๓๕ ลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร โดยการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบทางการเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพที่มีมูลค่าสูง และมีแนวโน้ม ความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น แผนภำพที่ ๓-๒ สัดส่วนมูลค่าสินค้าเกษตรในภาพรวมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย ปี๒๕๒๒ – ๒๕๖๒ ที่มา: The World Bank Group (๒๐๒๐) หมายเหตุ: สินค้าเกษตรรวมถึงป่าไม้และประมง แผนภำพที่ ๓-๓ ราคาสินค้าเกษตรหลักที่เกษตรกรขายได้ณ ไร่นาของไทยรายเดือน (มกราคม ๒๕๔๘ - สิงหาคม ๒๕๖๓) (หน่วย: บาท/ตัน) ก. ข้าวเปลือก ข. อ้อยรวมพันธุ์ ค. มันส าปะหลัง ง. ยางแผ่นดิบ ชั้น ๓
๓๖ จ. ปาล์มน้ ามัน ฉ. ถั่วเหลือง ที่มา : ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร (๒๕๖๓) ห่วงโซ่มูลค่ำในอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของไทย อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยอาจจะนับว่ายังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ในช่วงที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนต่างให้ความส าคัญอย่างจริงจังในการพัฒนาและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศด้วยเศรษฐกิจกระแสใหม่ดังกล่าว ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย จะเห็นได้ว่ามีความก้าวหน้าของการพัฒนาในระดับ อุตสาหกรรมค่อนข้างมาก โดยภาพรวมของห่วงโซ่มูลค่าจะประกอบด้วย ๔ ส่วนหลัก ได้แก่ วัตถุดิบ (Feedstock) ผลิตภัณฑ์ขั้นต้น ผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง สารตั้งต้น (Building Block) และผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องขั้นสุดท้าย ซึ่งแผนภาพที่ ๓-๔ แสดงถึงการเกิดอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ของไทยอย่างคร่าว ๆ ในลักษณะห่วงโซ่ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งในที่นี้จะเน้นการสร้างมูลค่าให้กับพืชผล ทางการเกษตรกลุ่มที่ให้แป้งและน้ าตาล เช่น มันส าปะหลัง อ้อย และกลุ่มที่ให้น้ ามัน เช่น ปาล์มน้ ามัน โดยเริ่มจากการน าพืชวัตถุดิบเหล่านั้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นต้นที่มีมูลค่าเพิ่มต่ า เช่น แป้งมัน น้ าตาล กากน้ าตาล น้ ามันปาล์ม และเข้าสู่กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง ต่าง ๆ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง สารตั้งต้น (Building Block) และผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย โดยผลิตภัณฑ์ บางส่วนได้มีการด าเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว และบางส่วนยังไม่มีการผลิตหรืออยู่ระหว่างแผน การลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพเหล่านั้นจะถูกน าไปใช้ ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องขั้นสุดท้ายที่เกิดมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไบโอดีเซลและเอทานอลเพื่อเป็น พลังงานทางเลือก กรดซัคซินิกและกรดแลคติกเพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพ กรดซิตริก ไลซีน และสาร ให้ความหวาน รวมถึงเอนไซม์และยีสต์เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในอาหารแทนการใช้สารเคมีหรือผสม ในอาหารสัตว์เพื่อให้สัตว์ได้รับโปรตีนที่ดีจากธรรมชาติโอเลโอเคมี(Oleochemicals) เพื่อเป็น ส่วนประกอบในเครื่องส าอางและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน (Personal Health Care) และชีวเภสัชภัณฑ์เช่น วัคซีน อาหารทางการแพทย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่และต้องมีการลงทุน ทางด้านวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
๓๗ แผนภำพที่ ๓-๔ ห่วงโซ่มูลค่าในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย ที่มา : บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จ ากัด และศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปรับปรุงโดยส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เมื่อพิจารณาด้านผู้ผลิตในห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย พบว่าปัจจุบัน ยังมีจ านวนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ มีจ านวน ๓๙ ราย แบ่งเป็น ผู้ผลิตเอทานอลจากอ้อย ๑๗ ราย ผู้ผลิตเอทานอลจากมันส าปะหลัง ๑๐ ราย และผู้ผลิตไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ๑๒ ราย ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ ๒ ราย ผู้ผลิตวัสดุชีวภาพหรือผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ เช่น ถุงเพาะช าต้นไม้ถุงช้อปปิ้ง ภาชนะ หลอด ๒๓ ราย ผู้ผลิตสารเคมีชีวภาพ ๒๙ ราย ในจ านวนนี้บางรายเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพด้วย ส่วนผู้ผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ มีเพียง ๖ ราย ซึ่งเป็นจ านวนที่น้อยมาก เนื่องจากข้อจ ากัดด้านต้นทุนเทคโนโลยีการผลิตที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับข้อกฎหมายและกฎระเบียบด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนเพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์กลุ่มชีวเภสัชภัณฑ์ โดยแผนภาพที่ ๓-๕ แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย ยังมีโอกาสอีกมากส าหรับผู้ผลิตรายใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาและแข่งขันในอุตสาหกรรม
๓๘ แผนภำพที่ ๓-๕ โครงสร้างผู้ผลิตอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย ที่มา : ส านักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทราย กรมธุรกิจพลังงาน สถาบันพลาสติก และส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จากการวิเคราะห์ห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทยและทิศทาง การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพภายใต้กรอบนโยบาย ยุทธศาสตร์แผน และมาตรการต่าง ๆ ของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพในประเทศไทยสามารถแบ่งประเภท ออกเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ ๑) เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เช่น เอทานอล ไบโอดีเซล ๒) สารเคมีและวัสดุ ชีวภาพ (Bio chemicals and materials) เช่น กรดอะมิโน กรดอินทรีย์กรดไขมัน กลีเซอรีน สารให้ความหวาน สารแต่งกลิ่นรส สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ไบโอโพลิเมอร์ ๓) อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพส าหรับคนและสัตว์ (Food/feed ingredients and nutrition) เช่น อาหารเสริมสุขภาพ (Functional food) อาหารทางการแพทย์ (Medical food) วิตามิน และ ๔) ชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) เช่น วัคซีน ยาชีววัตถุ โดยผลิตภัณฑ์แต่ละกลุ่ม จะใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีชีวภาพในการแปรรูปที่แตกต่างกัน ท าให้ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท ที่ผลิตจากพืชวัตถุดิบแต่ละชนิดจะมีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน (แผนภาพที่ ๓-๖) ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ กลุ่มพลังงานเชื้อเพลิงเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าค่อนข้างต่ า เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอื่น เนื่องจาก ชีวมวลถูกใช้เป็นแค่เชื้อเพลิงในการเผาไหม้เท่านั้น ในขณะที่วัตถุดิบชีวมวลยังสามารถแปรรูปให้มี มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นได้อีก ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ อาหารและอาหารสัตว์ ที่มีส่วนผสมของสารส าคัญที่เป็นประโยชน์โดยผลิตภัณฑ์ที่ให้มูลค่าเพิ่มสูงสุดจะเป็นกลุ่มชีวเภสัชภัณฑ์ แผนภำพที่ ๓-๖ การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ที่มา : คณะท างานด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (D5: New S-Curve) ภายใต้คณะกรรมการสานพลังประชารัฐ
๓๙ การพัฒนาและขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพเกิดขึ้นในประเทศไทย และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนจ าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกัน ซึ่งนอกจากภาคประชาสังคมในพื้นที่แล้ว ยังมีภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานวิจัย และสถาบันการศึกษา ที่ต้องเชื่อมโยงการด าเนินการให้ประสานสอดคล้องกันและมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การยกระดับประเทศไทยสู่ “เศรษฐกิจฐานคุณค่า” (Value Based Economy) ตามนโยบาย ประเทศไทย ๔.๐ เพื่อน าพาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ า และกับดักความไม่สมดุล ในส่วนของภาครัฐพบว่ามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเป็นจ านวนมาก จาก ๗ กระทรวงหลัก อาทิกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากการผลักดันแผนปฏิบัติงานของหน่วยงาน ภาครัฐดังกล่าวตามนโยบายรัฐบาลแล้ว การขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชนก็เป็นกลไกส าคัญที่ช่วย ให้เกิดการเติบโตในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศ โดยมีตัวอย่างผู้เล่นรายส าคัญในปัจจุบัน เช่น บริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม จ ากัด ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PBS บริษัท โททาล คอร์เบียน พีแอลเอ (ประเทศไทย) จ ากัด ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จ ากัด (มหาชน) ผู้ผลิตเมทิลเอสเตอร์กลีเซอรีน โอเลโอเคมีชนิดพิเศษ บริษัท มิตรผล ไบโอฟูเอล จ ากัด และบริษัท ไทยรุ่งเรืองพลังงาน จ ากัด ผู้ผลิตเอทานอลจากอ้อย บริษัท บางจากไบโอเอทานอล จ ากัด และบริษัท อิมเพรส เอทานอล จ ากัด ผู้ผลิตเอทานอลจากมันส าปะหลัง บริษัท พลังงานบริสุทธิ์จ ากัด (มหาชน) และบริษัท น้ ามันพืชปทุม จ ากัด ผู้ผลิตไบโอดีเซล บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จ ากัด ผู้ผลิตยาชีววัตถุขณะเดียวกันภาคการศึกษาวิจัยก็เป็นภาคส่วนที่มีความส าคัญอย่างยิ่งในการถ่ายทอด องค์ความรู้ เทคโนโลยี และการค้นคว้าวิจัยเพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจและการผลิตเชิงพาณิชย์ ยกตัวอย่างเช่น โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (National Biopharmaceutical Facility (NBF) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อพัฒนาความสามารถในการผลิตวัคซีน ยา และสารมูลค่าสูงทางการแพทย์ขึ้นใช้เองในประเทศ (แผนภาพที่ ๓-๗ ) แผนภำพที่ ๓-๗ ผู้เล่นส าคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย ที่มา : รวบรวมโดย ส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
๔๐ ๓.๔ กรอบแนวคิดในกำรศึกษำกำรพัฒนำและขับเคลื่อนอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพของไทย แผนภำพที่ ๓-๘ กรอบแนวคิดในการศึกษาแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย ที่มา : ประมวลโดย ส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จากการศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ การวิเคราะห์สถานการณ์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ของโลกและของไทย รวมถึงการทบทวนข้อมูลและแนวทางการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ สามารถน ามาก าหนดกรอบแนวคิดในการศึกษาการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ของไทยได้(แผนภาพที่ ๓-๘) ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลักของวัตถุประสงค์ในการศึกษา ๔ ส่วน คือ แนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพตลอดห่วงโซ่ อุปทานการผลิตอย่างครบวงจร มาตรการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของนวัตกรรมและ เทคโนโลยีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของไทย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในการขับเคลื่อนสู่ภาคปฏิบัติโดยจะขึ้นอยู่กับตัวแปรปัจจัยส าคัญ ๓ ประการคือ ๑) ปัจจัยด้านนโยบาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทิศทางแนวนโยบายการพัฒนาของประเทศต้นแบบ ความเชื่อมโยงของ กรอบนโยบาย ยุทธศาสตร์แผน และมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย ความชัดเจนของกฎระเบียบ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ๒) ปัจจัยภายใน ได้แก่ ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ความพร้อมด้านวัตถุดิบ และเทคโนโลยีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากพืชวัตถุดิบเป้าหมาย และ ๓) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมและโครงสร้างประชากร กระแสการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตลาดความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทย กรอบแนวคิดนี้จะด าเนินการ วิเคราะห์ปัจจัยทั้งสามด้านที่ส าคัญควบคู่กับการวิเคราะห์ห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ประกอบด้วยวัตถุดิบการผลิต (Input) กระบวนการผลิต (Process) และกิจกรรมเชิงพาณิชย์ (Distribution/Marketing) รวมถึงปัจจัยเอื้อ (Enabling factors) เช่น การสนับสนุนและการเข้าถึง แหล่งเงินทุน การวิจัยและพัฒนา การสร้างบุคลากรทักษะสูง การพัฒนาห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ การรับรองคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์การขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา การปรับปรุงกฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิต การค้า และการลงทุน
๔๑ ๓.๕ กำรคัดเลือกพืชวัตถุดิบเป้ำหมำยที่มีศักยภำพ เพื่อให้การก าหนดแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพของ ประเทศไทยมีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ ปี และแผนพัฒนาระดับต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายงานการศึกษาฉบับนี้จึงได้วิเคราะห์และประเมิน ศักยภาพของพืชผลทางการเกษตรที่ใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งเบื้องต้น จะคัดเลือกพืชที่มีความพร้อมด้านปริมาณผลผลิตและความเหมาะสมด้านราคา (ตารางที่ ๓-๑) ควบคู่กับความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (แผนภาพที่ ๓-๘) โดยพิจารณาจากพืชเศรษฐกิจหลัก ของไทยที่มักประสบปัญหาความผันผวนของราคาค่อนข้างสูง แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มตามลักษณะเฉพาะ ของพืช คือ พืชที่ให้แป้งและน้ าตาล ได้แก่ ข้าว มันส าปะหลัง อ้อย พืชที่ให้น้ ามัน ได้แก่ ปาล์มน้ ามัน ถั่วเหลือง และพืชที่มีส่วนประกอบของโพลิเมอร์ได้แก่ยางพารา พืชที่ให้แป้งและน ำตำล ข้าวเป็นพืชที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยวมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพืช ในกลุ่มเดียวกัน แต่เมื่อพิจารณาปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยวแล้วจะเห็นได้ว่าข้าวให้ผลผลิต ต่อไร่ต่ าที่สุดอยู่ที่ ๔๖๗ กิโลกรัม ส่วนมันส าปะหลังและอ้อยโรงงานมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าอยู่ที่ ๓,๕๘๖ กิโลกรัม และ ๑๐,๗๔๙ กิโลกรัม ตามล าดับ นอกจากนี้ข้าวยังมีระดับราคาที่ค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ ๑๐,๓๒๓ บาท ซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตที่สูงมากหากน าข้าวมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ในขณะที่อ้อย โรงงานมีราคาจ าหน่าย ณ ไร่นา อยู่ที่ตันละ ๖๐๑ บาท ดังนั้น อ้อยโรงงานจึงมีความเหมาะสมในแง่ของ ปริมาณและราคาผลผลิต ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสินค้าชีวภาพประเภทเดียวกัน พบว่าพืชวัตถุดิบต่างชนิดกัน จะมีความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น การผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ จากมันส าปะหลังจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้น ๔๕-๑๐๐ เท่า แต่หากใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากอ้อยโรงงาน จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง ๑๖๐-๓๗๐ เท่า พืชที่ให้น ำมัน เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลด้านปริมาณและราคาผลผลิตแล้วจะเห็นได้ว่าปาล์มน้ ามัน เป็นพืชวัตถุดิบที่มีความพร้อมและความเหมาะสมมากกว่าถั่วเหลืองค่อนข้างมาก เนื่องจากปาล์มน้ ามัน มีพื้นที่เก็บเกี่ยว ๕.๖ ล้านไร่และให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงถึง ๒,๙๙๔ กิโลกรัม ท าให้ไม่จ าเป็นต้องพึ่งพา การน าเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณการผลิตถั่วเหลืองไม่เพียงพอ ต่อความต้องการใช้ภายในประเทศและยังคงต้องพึ่งพาการน าเข้าจากบราซิลและสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก นอกจากนี้ราคาที่เกษตรกรขายผลปาล์มทั้งทะลาย ณ ไร่นา ยังอยู่ในระดับต่ ากว่ามาก ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ ในแง่ของต้นทุนการผลิต อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงการเกิดมูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้าชีวภาพ กลุ่มอ าห า รเส ริมโภชน าก า ร (Nutrition) พบ ว่ า ส า รสกัดเลซิติน (Lecithin) จ ากถั่ วเหลือง สามารถสร้างมูลค่าให้กับพืชวัตถุดิบตั้งต้นได้สูงกว่าวิตามินจากปาล์มน้ ามัน พืชที่มีส่วนประกอบของโพลิเมอร์แม้ว่ายางพาราจะเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่รัฐบาล ให้ความส าคัญอย่างมากในการสร้างนวัตกรรมเพื่อแปรรูปเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง และมีข้อได้เปรียบ ในแง่ของพื้นที่กรีดยาง แต่เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับพืชเศรษฐกิจอื่น ท าให้ยางพาราอาจยังไม่เหมาะสมที่จะน ามาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นส าหรับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ ในขณะนี้อย่างไรก็ดีนักวิจัยจ านวนมากต่างพยายามคิดค้นนวัตกรรมด้วยการใช้ประโยชน์ จากคุณสมบัติเฉพาะของน้ ายางพาราธรรมชาติเช่น หุ่นจ าลองใช้ตรวจสอบปริมาณรังสีส าหรับการรักษา ผู้ป่วยโรคมะเร็งเพื่อลดความเสี่ยงจากการฉายรังสีเฝือกประคองข้อเท้าส าหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหว (แผนภาพที่ ๓-๙)
๔๒ จากการวิเคราะห์ศักยภาพของพืชเศรษฐกิจทั้ง ๖ ชนิด ข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า อ้อยโรงงาน และปาล์มน้ ามัน เป็นพืชที่เหมาะสมที่สุดในการน ามาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพของไทย เนื่องมาจากมีความได้เปรียบในด้านปริมาณผลผลิตที่เพียงพอและระดับราคา ที่เหมาะสม ประกอบกับมีความสามารถในการสร้างผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่หลากหลาย รายงานการศึกษาครั้งนนี้ จึงใช้ปาล์มน้ ามันและอ้อยเป็นกรณีศึกษา
๔๓ บทที่ ๔ กำรพัฒนำอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพ : กรณีศึกษำปำล์มน ำมัน ๔.๑ สถำนภำพและกำรผลิตปำล์มน ำมันในประเทศไทย ผลผลิตปาล์มน้ ามันของไทยถูกน าไปแปรรูปเป็นสินค้าเพื่อการบริโภค อาหารสัตว์ และไบโอดีเซลเป็นส่วนใหญ่ การน าไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ยังไม่มีแนวนโยบายในการพัฒนาและส่งเสริมที่ชัดเจน ประกอบกับการที่ต้องใช้เงินลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีการผลิตระดับสูง นอกจากนี้ยังขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงนโยบาย กฎระเบียบ สภาวการณ์แข่งขัน การผลิต เศรษฐศาสตร์การตลาด เทคโนโลยีและวิเคราะห์ความเสี่ยงทั้งจากภายใน และต่างประเทศ ท าให้ไม่เกิดแรงจูงใจให้กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง แม้ว่าผลิตภัณฑ์จะมีมูลค่า เพิ่มสูงกว่าผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นต้น เช่น น้ ามันพืช หรือไบโอดีเซล (เมธิลเอสเทอร์) ก็ตาม สภาวะแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูงในอุตสาหกรรมเกษตร สินค้าเกษตรได้รับผลกระทบจากภาวะการแข่งขัน รวมถึงปาล์มน้ ามัน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มี ความส าคัญอย่างหนึ่งของไทย ภาวะแวดล้อมทางการตลาดของปาล์มน้ ามันภายในประเทศและของโลก กดดันให้ต้องมีการพัฒนาตลาดและไม่มีหนทางการท าก าไรได้ง่ายอีกต่อไปส าหรับการวางแผนที่ผิดพลาด การไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจะท าให้มีโอกาสเพียงน้อยนิดในการอยู่รอดในตลาดโลก ประเทศที่จะประคองให้สินค้าเกษตรและพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญของตน เช่น ปาล์มน้ ามัน ด ารงเสถียรภาพในทางการตลาดได้นั้นจ าเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด หรือไม่เช่นนั้นจ าต้องยอมรับ สภาพราคาสินค้าเกษตรตกต่ าตามฤดูกาลที่เป็นวงจรธรรมชาติทุกปีซึ่งการปรับตัวที่ส าคัญจ าเป็นต้อง อาศัยยุทธศาสตร์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของปาล์มน้ ามัน เพื่อให้เกิดการจัดสรร การใช้ผลผลิตปาล์มน้ ามันได้อย่างมีคุณค่าต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจโลกได้มากที่สุด และสามารถก าหนดยุทธศาสตร์ไปสู่แนวทางปฏิบัติในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้ครอบคลุม ถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ ามันได้อย่างครบวงจร การก าหนดยุทธศาสตร์ที่จะน าไปสู่ แนวทางการปฏิบัติในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันเพื่อเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ จะมีผลโดยตรงต่อปาล์มน้ ามัน ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างการเติบโต อย่างมั่นคงของปาล์มน้ ามันในระยะยาว หน่วยงานภาครัฐควรจะเป็นหน่วยงานหลักที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เป็นไปอย่างมีคุณค่ามากที่สุดต่อระบบเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ ของปาล์มน้ ามันได้ดี ยิ่งขึ้น จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการก าหนดแนวทางมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ฐานชีวภาพจากปาล์มน้ ามันที่สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาผลิตผลเกษตร สร้างทางเลือกให้กับเกษตรกร การมีนโยบายส่งเสริม การผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องและเกิดการตื่นตัวในการผลิตโอเลโอเคมีเพื่อทดแทนการน าเข้าเคมีภัณฑ์ และสร้างมูลค่าจากการส่งออกซึ่งจะเป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นให้เกิด การลงทุนยกระดับเทคโนโลยีตลอดจนยกระดับนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันโอเลโอเคมี ของไทยต่อไป
๔๔ ตาราง ๔-๑ เนื้อที่ยืนต้น เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ของปาล์มน้ ามันของไทยปี๒๕๖๐-๒๕๖๔ 25642/ 6,090,000 16,640,000 2,734.00 หมายเหตุ : 1/ ข้อมูลเบื้องต้น 2/ ประมาณการ พ.ย. ๖๓ ที่มา : ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี ปาล์มน้ ามัน ภูมิภาค เนื้อที่ยืนต้น (ไร่) เนื้อที่ให้ผล (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อไร่ (กก.) 2560 ภาคเหนือ 84,645 65,303 77,419 1,186 ภาค ตะวันออก เฉียงเหนือ 191,867 153,980 212,880 1,383 ภาคกลาง 511,048 473,040 1,124,673 2,378 ภาคใต้ 4,877,288 4,289,727 13,037,289 3,039 รวมทั ง ประเทศ 5,664,848 4,982,050 14,452,261 2,901 2561 ภาคเหนือ 88,753 75,975 97,353 1,281 ภาค ตะวันออก เฉียงเหนือ 203,694 167,247 257,966 1,542 ภาคกลาง 516,691 487,720 1,218,748 2,499 ภาคใต้ 5,068,989 4,621,699 13,960,917 3,021 รวมทั ง ประเทศ 5,878,127 5,352,641 15,534,984 2,902 2562 ภาคเหนือ 80,028 95,403 1,192.12 ภาค ตะวันออก เฉียงเหนือ 133,093 190,214 1,429.38 ภาคกลาง 490,963 1,265,907 2,578.42 ภาคใต้ 4,744,824 15,249,387 3,213.90 รวมทั ง ประเทศ 5,448,908 16,800,938 3,083.36 25631/ 5,870,000 16,170,000 2,749.00 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) 7.40 8.58 1.07
๔๕ จากการเปรียบเทียบด้านเนื้อที่เพาะปลูกและเนื้อที่เก็บเกี่ยวพบว่า ภาคใต้เป็นภูมิภาค ที่มีพื้นที่เพาะปลูก และพื้นที่เก็บเกี่ยวมากที่สุด รองลงมาคือภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ตามล าดับ ในปี๒๕๖๒ ภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว มากที่สุด เป็นจ านวน ๑,๒๑๙,๘๐๘ ไร่ และจังหวัดสิงห์บุรีคือจ าหวัดที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยวน้อยสุด จ านวน ๑๓ ไร่ โดยพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ ามันของไทยมีการขยายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี๒๕๕๒ เป็นต้นมา ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ของการผลิตปาล์มน้ ามันมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ซึ่งภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีผลผลิตและผลผลิตต่อไร่มากที่สุด จ านวน ๔,๐๔๘,๕๔๓ ตัน และ ๓,๓๑๙.๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ตามล าดับ ตาราง ๔-๒ ปริมาณและมูลค่าการน าเข้าและส่งออกของน้ ามันปาล์มของไทยในปี๒๕๖๐-๒๕๖๓ ที่มา : ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตาราง ๔-๓ ตารางบัญชีสมดุลน้ ามันปาล์มโลก ปี๒๕๕๘/๕๙ - ๒๕๖๓/๖๔ หน่วย : ล้านตัน ปี ผลผลิต น าเข้า ส่งออก ความต้องการ ใช้ สต็อก คงเหลือ 2558/59 58.92 42.42 43.87 59.38 8.74 2559/60 65.32 46.02 48.89 61.58 9.70 2560/61 70.57 46.52 48.65 66.98 11.16 2561/62 74.03 50.38 51.58 72.70 11.28 2562/631/ 72.77 47.61 48.91 72.14 10.61 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) 5.63 3.27 2.75 5.71 5.53 2563/642/ 75.19 49.57 50.89 75.11 9.36 หมายเหตุ : 1/ ข้อมูลเบื้องต้น 2/ ประมาณการ พ.ย. ๖๓ ที่มา : Oilseeds, Word Markets and Trade. USDA Foreign Agricultural Service, November 2020 น้ ามันปาล์ม ปี การน าเข้า การส่งอออก ปริมาณ (กก.) มูลค่า (บาท) ปริมาณ (กก.) มูลค่า (บาท) 2560 81,789,168 3,806,759,824 429,957,779 11,751,603,468 2561 70,651,095 2,838,353,372 472,037,676 10,798,521,253 2562 72,749,697 2,376,303,533 380,877,307 6,661,027,737 2563 69,635,035 2,272,838,850 286,753,244 6,259,843,731
๔๖ ตาราง ๔-๔ บัญชีสมดุลน้ ามันปาล์มดิบของไทย ปี๒๕๕๙ – ๒๕๖๔ หน่วย : ล้านตัน ปี สต็อก ต้นปี (1) ผลผลิต (2) น าเข้า (3) รวม (4) ส่งออก (5) บริโภคภายใน (6) สต็อก ปลายปี (7) รวม บริโภค (8) พลังงาน ทดแทน 2559 0.335 1.804 0.014 2.153 0.056 0.988 0.816 0.293 2.153 2560 0.293 2.626 0.006 2.925 0.303 1.166 0.971 0.485 2.925 2561 0.485 2.778 0.003 3.266 0.373 1.227 1.200 0.466 3.266 2562 0.466 3.034 0.004 3.504 0.296 1.310 1.579 0.319 3.504 25631/ 0.319 2.826 0.006 3.151 0.211 1.216 1.448 0.276 3.151 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) 3.770 10.980 - 18.940 9.890 30.080 5.460 17.740 -5.220 9.890 25642/ 0.276 3.100 0.010 3.386 0.300 1.250 1.600 0.236 3.386 หมายเหตุ : 1/ ข้อมูลเบื้องต้น 2/ ประมาณการ พ.ย. ๖๓ ที่มา : กรมการค้าภายใน ในช่วง ๔ ปี(ปี๒๕๖๐ – ๒๕๖๓) การน าเข้าและการส่งออกน้ ามันปาล์มของไทยมีปริมาณ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยปริมาณสต็อกน้ ามันปาล์มที่มีจ านวนมากในปัจจุบันส่งผลให้เกิดการ ผลักดันการส่งออกในปี๒๕๖๔ เพื่อลดผลผลิตส่วนเกินเป้าหมายและรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มทะลาย และน้ ามันปาล์มภายในประเทศ จึงคาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกและมูลค่าการส่งออกในปี๒๕๖๔ จะเพิ่มขึ้น ตาราง ๔-๕ ปริมาณและมูลค่าการส่งออกและน าเข้าน้ ามันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์ปี๒๕๕๙ – ๒๕๖๔ รายการ การส่งออก การน าเข้า ปริมาณ (ตัน) มูลค่า (ล้านบาท) ปริมาณ (ตัน) มูลค่า (ล้านบาท) 2559 117,538 4,611 116,037 4,555 2560 429,959 11,752 81,797 3,783 2561 474,849 10,827 70,646 2,838 2562 380,877 6,695 72,959 2,376 25631/ 321,760 7,052 82,820 2,704 อัตราเพิ่ม (ร้อยละ) 20.84 2.91 -7.59 -14.00 25642/ 350,000 7,700 85,000 2,950 หมายเหตุ : 1/ ข้อมูลเบื้องต้น 2/ ประมาณการ พ.ย. ๖๓ ที่มา : กรมศุลกากร
๔๗ ตาราง ๔-๖ ราคาปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม ปี๒๕๕๙ – ๒๕๖๔ รายการ ราคาปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม (บาท/กิโลกรัม) อัตราเพิ่ม 2559 2560 2561 2562 2563 (ร้อยละ) 1/ 25642/ ผลปาล์มสดที่เกษตรกรขายได้ 5.41 4.10 3.11 2.60 4.72 4.50 -7.02 น้ ามันปาล์มดิบตลาดขายส่ง กทม. 31.95 24.88 19.57 18.23 28.76 27.00 -5.08 น้ ามันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย 23.04 22.24 18.39 16.60 20.99 20.10 -4.68 น้ ามันปาล์มบริสุทธิ์ตลาดขาย ส่ง กทม. 35.44 28.96 23.11 20.84 20.84 37.50 -11.67 หมายเหตุ : 1/ ข้อมูลเบื้องต้น 2/ ประมาณการ พ.ย. ๖๓ ที่มา : ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร จากการทบทวนสถานภาพวัตถุดิบปาล์มน้ ามันในประเทศไทย พบว่าวัตถุดิบปาล์มน้ ามัน ของไทย ยังมีความเป็นไปได้ในเชิงปริมาณและมีความเหมาะสมในการพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี ในประเทศไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ ามัน จะเห็นได้จากพื้นที่เพาะปลูก พื้นที่ให้ผลและปริมาณผลผลิตปาล์มน้ ามันที่เพิ่มสูงขึ้น ยกเว้นในปี๒๕๕๙ ที่พื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ ามัน จ านวนมากประสบปัญหาอุทกภัย ท าให้มีปริมาณผลผลิตปาล์มน้ ามันลดน้อยลง อย่างไรก็ตามปัจจัย ในด้านต้นทุนการผลิตปาล์มน้ ามันและราคาขายปาล์มน้ ามัน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความส าคัญมาก ซึ่งจากการศึกษา พบว่าต้นทุนการผลิตน้ ามันปาล์มเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัวจาก ๑๐ ปีก่อน (ปี๒๕๔๘) เช่นเดียวกับราคาปาล์มน้ ามันที่มีการเพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยสรุปแล้ว จะเห็นว่าสถานภาพวัตถุดิบปาล์มน้ ามันของไทยยังมีความเป็นไปได้ที่จะน าไป ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีหากมีการพัฒนาและส่งเสริมขึ้น แต่ควรต้องการมีพัฒนาและส่งเสริม การเพาะปลูกและผลิตปาล์มน้ ามันรองรับเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งสามารถท าได้จากการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ของปาล์มน้ ามัน ซึ่งในปี๒๕๖๓ ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยของปาล์มน้ ามันที่เพาะปลูกในประเทศไทยมีเพียง ๒,๗๔๙ กิโลกรัมต่อไร่ จากในอดีตที่ประเทศไทยเคยมีปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงถึง ๓,๒๙๖ กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อปี๒๕๕๖ และกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ ามัน ลูกผสมสุราษฎร์ธานีและวิธีการเพาะปลูกซึ่งสามารถให้ผลผลิตต่อไร่ได้สูงถึง ๓,๖๔๖ กิโลกรัมต่อไร่ จึงเห็นได้ว่าการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของปาล์มน้ ามันยังเป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้ในการ เพิ่มผลผลิตปาล์มน้ ามันของประเทศ ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ต้องเร่งด าเนินการเพื่อให้มีผลผลิตปาล์มน้ ามัน ส าหรับใช้เป็นวัตถุดิบให้เพียงพอต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีและท าให้ต้นทุน การเพาะปลูกปาล์มน้ ามันต่ าลง
๔๘ ๔.๒ ห่วงโซ่คุณค่ำของอุตสำหกรรมชีวภำพจำกปำล์มน ำมัน ๔.๒.๑ โครงสร้ำงอุตสำหกรรมและกำรเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่คุณค่ำของผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี จำกปำล์มน ำมัน ๔.๒.๑.๑ การใช้ประโยชน์จากปาล์มน้ ามันตลอดห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีของไทย ในปี๒๕๖๒ ประเทศไทยมีพื้นที่ให้ผลผลิตปาล์มน้ ามัน ๕.๔๕ ล้านไร่ ให้ผลผลิต ทะลายปาล์มน้ ามันรวม ๑๖.๘ ล้านตัน เนื่องจากวิธีการเก็บเกี่ยวที่มีการตัดทะลายปาล์มผิดวิธี โดยเกษตรกรบางรายจะตัดปาล์มที่ยังดิบ ประกอบกับการขนส่งที่ล่าช้า จึงท าให้กรดไขมันอิสระ เพิ่มปริมาณสูงขึ้นก่อนเข้าสู่กระบวนการสกัด ซี่งส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณน้ ามันปาล์มที่จะสกัดได้ รวมถึงการมีสิ่งเจือปนอื่น ๆ เช่น น้ าและทราย ที่เกิดจากการฉีดน้ าและทรายลงในทะลายปาล์มเพื่อเพิ่ม น้ าหนักทะลายปาล์มหรือท าให้ผลปาล์มร่วง ซึ่งจากการกระท าการดังกล่าวจึงท าให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ในกระบวนการผลิตมีเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ท าให้กระบวนการสกัดน้ ามันจากทะลายปาล์มของไทยเกิดความ สูญเสียโดยรวมประมาณร้อยละ ๓ คิดเป็นน้ าหนักที่สูญเสียกว่า ๐.๕ แสนตันต่อปี ส าหรับผลผลิตทะลายปาล์มสามารถน ามาแยกเป็นผลปาล์มที่พร้อมเข้าสู่ กระบวนการผลิตน้ ามันปาล์มได้ร้อยละ ๗๒ คิดเป็นน้ าหนักผลปาล์มสด ๑๒.๑ ล้านตัน ส่วนที่เหลือ คือทะลายปาล์มเปล่าร้อยละ ๒๕ ซึ่งน าไปใช้ประโยชน์ในการท าปุ๋ยและเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า (จากข้อมูลของประเทศมาเลเซียพบว่า ทะลายปาล์มเปล่าของมาเลเซียมีสัดส่วนร้อยละ ๒๒ และมีสัดส่วนการสูญเสียต่ ากว่า ท าให้มีสัดส่วนของผลปาล์มสดสูงกว่าของไทย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ปาล์ม และวิธีการตัดปาล์มที่แตกต่างกันระหว่างไทยกับมาเลเซีย) ผลปาล์มของไทยโดยเฉลี่ยประกอบด้วยเมล็ดในปาล์มร้อยละ ๑๗ คิดเป็นน้ าหนัก เมล็ดในปาล์ม ๒.๐๖ ล้านตัน และเนื้อปาล์มร้อยละ ๘๓ คิดเป็นน้ าหนัก ๑๐.๐๔ ล้านตัน (สัดส่วนในแต่ ละประเทศอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพันธุ์ปาล์มในประเทศนั้น ๆ)
๔๙
๕๐ ๔.๒.๑.๒ การใช้ประโยชน์จากเมล็ดในปาล์ม (Palm Kernel) เมล็ดในปาล์ม (Palm Kernel) ของไทย มีองค์ประกอบของกะลาปาล์มร้อยละ ๕๕ คิดเป็นน้ าหนักกะลาปาล์ม ๑.๑๓ ล้านตัน และเนื้อเมล็ดในปาล์มร้อยละ ๔๕ หรือคิดเป็นน้ าหนัก ๙.๓ แสนตัน (ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ได้พยายามวิจัยเพื่อให้ได้พันธุ์ปาล์มที่ขนาดของ เมล็ดในปาล์มใหญ่และมีกะลาปาล์มบางเพื่อเพิ่มสัดส่วนของน้ ามันเมล็ดในปาล์มซึ่งมีราคาแพงกว่าน้ ามันปาล์ม) กะลาปาล์มจ านวน ๑.๑๓ ล้านตัน ถูกน าไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิต กระแสไฟฟ้าและใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) เพื่อใช้ในอุตสาหกรรม การกรองหรือดูดซับสารเคมีต่าง ๆ เนื้อเมล็ดในปาล์มจะถูกแยกสกัดน้ ามันได้ประมาณร้อยละ ๔๘ คิดเป็นน้ าหนักน้ ามันเมล็ดในปาล์มดิบ ๔.๕ แสนตัน และได้กากเนื้อเมล็ดในปาล์มร้อยละ ๕๒ คิดเป็นน้ าหนัก ๔.๘ แสนตัน กากเนื้อเมล็ดในปาล์ม ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ น้ ามันเมล็ดในปาล์มดิบถูกส่งออกไปยังประเทศมาเลเซียร้อยละ ๗.๕ ของปริมาณ น้ ามันปาล์มดิบที่ผลิตได้คิดเป็นน้ าหนัก ๓ หมื่นตัน และน้ ามันเมล็ดในปาล์มดิบที่เหลือ ๒.๖๕ แสนตัน คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๕ จะส่งเข้าโรงกลั่นน้ ามันเมล็ดในปาล์ม ซึ่งในกระบวนการนี้จะแยกผลิตภัณฑ์ ได้ออกมาเป็น ๒ ผลิตภัณฑ์ได้แก่ ไขสเตียรินของน้ ามันเมล็ดในปาล์มร้อยละ ๓๗ คิดเป็นน้ าหนัก ๑.๕๕ แสนตัน และโอเลอินของน้ ามันเมล็ดในปาล์มร้อยละ ๖๓ คิดเป็น ๒.๖๕ แสนตัน ไขสเตียริน ของน้ ามันเมล็ดในปาล์ม ๑.๕๕ แสนตัน ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตครีมเทียม เนยเทียม เนยโกโก้ และผลิตภัณฑ์เคมีอื่น ๆ น้ ามันเมล็ดในปาล์มกลั่นหรือโอเลอิน ถูกส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย ๙.๓ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๓๕ ของน้ ามันเมล็ดในปาล์มกลั่นที่ผลิตได้ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๖๕ หรือคิดเป็นน้ าหนัก ๑.๗๒ แสนตัน ถูกน าไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตโอเลโอเคมีซึ่งการส่งออกน้ ามันเมล็ดในปาล์มดิบ และน้ ามันเมล็ดในปาล์มกลั่น ท าให้ประเทศไทยขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตโอเลโอเคมีจนต้องน าเข้า น้ ามันเมล็ดในปาล์มจากอินโดนีเซียจ านวน ๓.๓ หมื่นตัน โดยเข้าสู่กระบวนการผลิตโอเลโอเคมี๒.๕ หมื่นตัน ส่วนที่เหลืออีก ๘ พันตัน น าไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตครีมเทียมและเนยเทียม น้ ามันเมล็ดในปาล์มกลั่น ทั้งในส่วนที่ผลิตได้ภายในประเทศ ๑.๗๒ แสนตัน และส่วนที่น าเข้าจากอินโดนีเซีย ๒.๕ หมื่นตัน ถูกน าไปใช้ผลิตโอเลโอเคมีรวม ๑.๙๗ แสนตัน โดยน าไปแยกกรดไขมันแล้วผลิตเป็นแฟตตี้แอลกอฮอล์ แฟตตี้แอลกอฮอล์ที่ผลิตได้ถูกส่งออกไปยังต่างประเทศจ านวน ๖.๓ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๕ และมีการน าเข้าแฟตตี้แอลกอฮอล์๓.๒ หมื่นตัน ท าให้มีแฟตตี้แอลกอฮอล์ ที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอิท็อกซิเลท ๑.๖๖ แสนตัน อิท็อกซิเลทถูกผลิตในประเทศ ได้ประมาณ ๑.๖๖ แสนตัน และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ ๗ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๓๒ ส่วนที่เหลือถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมสารลดแรงตึงผิว เช่น แชมพูโดยมีการน าเข้าอิท็อกซิเลท ๕.๒ หมื่นตัน เมื่อรวมกับส่วนที่น าเข้าจะท าให้การใช้อิท็อกซิเลทในประเทศมีปริมาณทั้งสิ้น ๑.๔๘ แสนตัน โดยประมาณ ๔.๒.๑.๓ การใช้ประโยชน์จากน้ ามันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil) เนื้อปาล์มที่ถูกแยกเมล็ดปาล์มออกไปมีจ านวน ๑๐.๐๔ ล้านตัน เมื่อน ามาสกัด แยกองค์ประกอบจะได้เส้นใยร้อยละ ๓๕ คิดเป็นน้ าหนัก ๓.๕๑ ล้านตัน เส้นใยส่วนใหญ่ถูกใช้เป็น เชื้อเพลิงส าหรับหม้อไอน้ าในกระบวนการนึ่งปาล์มและถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนองค์ประกอบที่เป็นน้ าในเนื้อปาล์มและกากเนื้อปาล์มจะถูกแยกออกมาได้ร้อยละ ๓๕ หรือคิดเป็น
๕๑ น้ าหนัก ๓.๕๑ ล้านตัน น้ าที่แยกออกมาก็คือน้ าเสีย ซึ่งจะถูกน าไปใช้ผลิตไบโอแก๊สเพื่อใช้ในการผลิต กระแสไฟฟ้า ส่วนกากเนื้อปาล์มจะถูกน าไปใช้ผลิตปุ๋ยหรือสารปรับปรุงคุณภาพดิน องค์ประกอบที่เหลือ อีกร้อยละ ๓๐ คือน้ ามันปาล์มดิบ คิดเป็นน้ าหนัก ๓.๐๑ ล้านตัน เนื้อปาล์มที่ถูกแยกเมล็ดปาล์มออกไปมีจ านวน ๑๐.๐๔ ล้านตัน เมื่อน ามาสกัด แยกองค์ประกอบจะได้เส้นใยร้อยละ ๓๕ คิดเป็นน้ าหนัก ๓.๕๑ ล้านตัน เส้นใยส่วนใหญ่ถูกใช้เป็น เชื้อเพลิงส าหรับหม้อไอน้ าในกระบวนการนึ่งปาล์มและถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนองค์ประกอบที่เป็นน้ าในเนื้อปาล์มและกากเนื้อปาล์มจะถูกแยกออกมาได้ร้อยละ ๓๕ หรือคิดเป็น น้ าหนัก ๓.๕๑ ล้านตัน น้ าที่แยกออกมาก็คือน้ าเสีย ซึ่งจะถูกน าไปใช้ผลิตไบโอแก๊สเพื่อใช้ในการผลิต กระแสไฟฟ้า ส่วนกากเนื้อปาล์มจะถูกน าไปใช้ผลิตปุ๋ยหรือสารปรับปรุงคุณภาพดิน องค์ประกอบที่เหลืออีก ร้อยละ ๓๐ คือน้ ามันปาล์มดิบ คิดเป็นน้ าหนัก ๓.๐๑ ล้านตัน น้ ามันปาล์มดิบ จ านวน ๓.๐๑ ล้านตัน ถูกน าไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ร้อยละ ๕๒ ถูกส่งเข้าโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม คิดเป็น ๑.๕๖๕ ล้านตัน ร้อยละ ๔ ถูกใช้ในอุตสาหกรรม อาหารสัตว์และสบู่คิดเป็น ๑.๒ แสนตัน ร้อยละ ๔๔ ถูกใช้ในการผลิตไบโอดีเซล คิดเป็น ๑.๓๒๔ ล้านตัน และไม่มีการส่งออกน้ ามันปาล์มดิบจากประเทศไทย น้ ามันไบโอดีเซล น้ ามันปาล์มดิบถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลหรือเมทิลเอสเทอร์ ซึ่งก็คือเอสเทอร์ของกรดไขมันชนิดหนึ่ง เอสเทอร์ที่ผลิตได้นี้ร้อยละ ๙๙.๖ หรือคิดเป็น ๑.๓๒๑ ล้านตัน ถูกใช้ผสมเป็นน้ ามันเชื้อเพลิงส าหรับยานยนต์และมีการส่งออกน้อยมากเพียงประมาณ ๕,๐๐๐ ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ ๐.๔ ของเอสเทอร์ที่ผลิตได้ภายในประเทศ นอกจากนี้ในกระบวนการผลิตเอสเทอร์ ยังก่อให้เกิดผลพลอยได้คือ กลีเซอรีนดิบ อีกประมาณร้อยละ ๑๐ ของปริมาณเอสเทอร์คิดเป็น๘.๒ หมื่นตัน กลีเซอรีนดิบ ที่ผลิตได้ในประเทศ จ านวน ๘.๒ หมื่นตัน มีบริษัทคนกลางมารับซื้อ จากผู้ผลิตไบโอดีเซล และรวบรวมเพื่อส่งออกไปยังประเทศจีนเป็นจ านวน ๓.๓ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๔๐ ของปริมาณกลีเซอรีนดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศ กลีเซอรีนดิบที่เหลือถูกน ามากลั่นให้บริสุทธิ์ จ านวน ๔.๙ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๐ ของปริมาณกลีเซอรีนดิบที่ผลิตได้ประเทศไทยไม่มีการน าเข้า กลีเซอรีนดิบ มีเพียงการส่งออกเท่านั้น กลีเซอรีนกลั่นบริสุทธิ์นอกจากจะกลั่นได้ภายในประเทศจ านวน ๔.๙ หมื่นตันแล้ว ยังมีการน าเข้าเพื่อมาใช้ภายในประเทศอีก ๔.๔ หมื่นตัน ในขณะที่กลีเซอรีนบริสุทธิ์ที่กลั่นได้เอง ภายในประเทศจะถูกส่งออกไปจ าหน่ายยังตลาดต่างประเทศจ านวน ๒.๖ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๒๘ ของกลีเซอรีนกลั่นที่ใช้ภายในประเทศส่วนที่เหลือ ๖.๗ หมื่นตัน หรือร้อยละ ๗๒ ของกลีเซอรีนกลั่นบริสุทธิ์ ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโออิพิคลอโรไฮดริน ไบโออิพิคลอโรไฮดริน ประเทศไทยมีก าลังผลิตไบโออิพิคลอโรไฮดรินที่ใช้กลีเซอรีน กลั่นบริสุทธิ์เป็นวัตถุดิบอยู่ที่ ๑ แสนตันต่อปีอย่างไรก็ตาม มีวัตถุดิบกลีเซอรีนกลั่นถูกป้อนเข้าสู่การ ผลิตไบโออิพิคลอโรไฮดรินเพียง ๖.๗ หมื่นตัน ไบโออิพิคลอโรไฮดรินที่ผลิตได้ถูกใช้ในประเทศร้อยละ ๑๘ คิดเป็น ๑.๒ หมื่นตัน ส่วนที่เหลือถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ ๕.๕ หมื่นตัน คิดเป็นร้อยละ ๘๒ ของไบโออิพิคลอโรไฮดรินที่ผลิตได้ภายในประเทศ ไบโออิพิคลอโรไฮดรินถูกใช้ในกระบวนการผลิต อิพ็อกซีเรซิน เพื่อใช้เป็นสารเรซินในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เรซินเคลือบผิววัสดุ เป็นต้น น้ ามันปาล์มดิบ ในส่วนที่ถูกส่งเข้าโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม มีจ านวน ๑.๕๖๕ ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ ๕๒ ของน้ ามันปาล์มดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศ โรงกลั่นน้ ามันปาล์มจะกลั่นแยก
๕๒ องค์ประกอบของน้ ามันปาล์มดิบได้เป็นผลิตภัณฑ์๕ กลุ่ม ได้แก่กรดปาล์มหรือกรดน้ ามันปาล์ม (PFAD) ร้อยละ ๔ คิดเป็นปริมาณ ๖.๓ หมื่นตัน ไขปาล์มสเตียริน ร้อยละ ๑๕ คิดเป็นปริมาณ ๒.๓๕ แสนตัน น้ ามันปาล์มโอเลอิน ร้อยละ ๔๐ คิดเป็นปริมาณ ๖.๒๖ แสนตัน น้ ามันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์(RBD PO) ร้อยละ ๓๗ คิดเป็นปริมาณ ๕.๗๙ แสนตัน น้ ามันปาล์มไม่แยกไข ร้อยละ ๔ คิดเป็นปริมาณ ๖.๓ หมื่น ตัน กรดปาล์มหรือกรดน้ ามันปาล์ม (PFAD) ที่ผลิตได้ภายในประเทศ ถูกน าไปเข้าสู่กระบวนการสกัด กรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อการผลิตสารลดแรงตึงผิว สบู่ และจารบีและบางส่วนถูกน าไปใช้ เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตไบโอดีเซล ไขปาล์มสเตียรินมีลักษณะเป็นไขแข็ง มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ ๑๕ ในน้ ามันปาล์มดิบ โรงกลั่นน้ ามันปาล์มดิบสามารถผลิตแยกไขปาล์มสเตียรินออกมาได้มากถึง ๒.๓๕ แสนตัน ในปี๒๕๖๒ ไขปาล์มสเตียรินมีคุณค่า โดยสามารถน าไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล สบู่ เทียนไข แว็กซ์ ผสมในอาหารสัตว์ครีมเทียม เนยเทียม เป็นต้น โดยร้อยละ ๒๗ ของไขปาล์มสเตียริน คิดเป็นน้ าหนัก ๑.๐๑ แสนตัน ถูกน ามาใช้ในการผลิตไบโอดีเซลอีกร้อยละ ๗๓ คิดเป็นปริมาณ ๑.๗๒ แสนตัน ถูกใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบส าหรับสบู่ เทียนไข แว็กซ์ผสมในอาหารสัตว์ครีมเทียม เนยเทียม และอื่น ๆ และสกัดแยกเป็นกรดไขมัน และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ ๕.๖ หมื่นตัน เช่น กรดสเตียริ น้ ามันปาล์มโอเลอินและน้ ามันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จะได้จากการกลั่นน้ ามันปาล์มดิบ ซึ่งสามารถแยกองค์ประกอบส่วนที่เป็นของเหลวเหล่านี้ได้มากที่สุดถึงร้อยละ ๘๐ โดยน้ าหนัก แบ่งเป็นน้ ามันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ ๕.๗๙ แสนตัน และน้ ามันปาล์มโอเลอินอีก ๖.๒๖ แสนตัน เมื่อน ามากลั่นบริสุทธิ์แล้วใช้บริโภคภายในประเทศ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการส่งขายปลีก รวม ๙.๕๓ แสนตัน ในผลิตภัณฑ์นี้มีการส่งออก ๖.๓หมื่นตัน และมีการน าเข้าในช่วงที่ขาดแคลน ๒.๗ หมื่นตัน น้ ามันปาล์มไม่แยกไข เป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ ามันปาล์ม น้ ามันปาล์มไม่แยกไขนี้ มีส่วนของแข็งหรือไขปาล์มแขวนลอยอยู่ในเนื้อน้ ามันเป็นจ านวนมาก แต่มีต้นทุนผลิตต่ ากว่า สามารถน าไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งส าเร็จรูป นมข้น และไอศกรีม ๔.๒.๒ กำรเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่คุณค่ำของผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีจำกปำล์มน ำมันของไทย ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจาก มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งในที่นี้คณะผู้วิจัยได้พยายามรวบรวมและจัดแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการท าความเข้าใจ และสามารถบรรจุลงในผังห่วงโซ่คุณค่าได้นอกจากนี้ยังได้ใส่จ านวน ผู้ประกอบการและรายได้ของผู้ประกอบการ ซึ่งค านวณโดยการแบ่งส่วนรายได้ที่ได้มาจากฐานข้อมูล รายได้ของผู้ประกอบการ เพื่อจัดแบ่งลงในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ตามสัดส่วน โดยห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีของไทย มีองค์ประกอบดังนี้ ๔.๒.๒.๑ ส่วนวัตถุดิบตั้งต้น (Raw materials) ในส่วนของผู้ผลิตวัตถุดิบตั้งต้น ได้แก่ ภาคการเกษตร ซึ่งท าหน้าที่เป็นจุดก าเนิด ของห่วงโซ่คุณค่า โดยในปี๒๕๖๓ ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มจ านวน ๒.๑ แสนครัวเรือน และถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญมากประเภหนึ่งของไทย ๔.๒.๒.๒ อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีส่วนต้นน้ า (Upstream Oleochemical) วัตถุดิบที่มีความส าคัญส าหรับโอเลโอเคมีจะอยู่ในส่วนของอุตสาหกรรมต้นน้ า ซึ่งได้แก่ น้ ามันปาล์มดิบ (CPO) น้ ามันเมล็ดในปาล์มดิบ (PKO) น้ ามันปาล์มกลั่น (RBD PO)
๕๓ น้ ามันเมล็ดในปาล์มกลั่น (RBD PKO) กรดน้ ามันปาล์ม (PFAD) กรดน้ ามันเมล็ดในปาล์ม (KFAD) สเตียรินของน้ ามันปาล์ม (PO Stearin) สเตียรินของน้ ามันเมล็ดในปาล์ม (PKO Stearin) โอเลอิน ของน้ ามันปาล์ม (PO Olein) โอเลอินของน้ ามันเมล็ดในปาล์ม (PKO Olein) และไขสบู่ (Soap Stock) ซึ่งน ามาขึ้นรูปให้สะดวกต่อการน าไปใช้โดยมีลักษณะเป็นเส้น (Soap Noodle) หรือมีลักษณะ เป็นเกล็ด (Soap Chip) ในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ าของไทย ประกอบไปด้วยโรงสกัดน้ ามันปาล์ม ทั้งขนาดใหญ่ขนาดกลาง และขนาดเล็กจ านวนร้อยกว่าราย อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการที่ด าเนินกิจการ อยู่จ านวน ๙๙ ราย มีรายได้รวมกันทั้งสิ้น ๕๘,๙๓๑ ล้านบาท ข้อสังเกตที่ส าคัญคือ มูลค่ารวมของ ทะลายปาล์มน้ ามันที่เกษตรกรจ าหน่ายได้มีมูลค่า ๕๙,๔๙๒ ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ารายได้รวมของ โรงสกัดน้ ามันปาล์มทุกแห่งรวมกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหากเป็นเช่นนั้น ธุรกิจโรงสกัดน้ ามันปาล์ม ย่อมไม่สามารถด าเนินกิจการอยู่ได้เนื่องจากมีต้นทุนสูงเกินกว่าความเป็นจริง อย่างไรก็ตาม รายได้ของเกษตรกรที่สูงนั้นมีสาเหตุมาจากนโยบายการแทรกแซงราคาของรัฐ ท าให้ตัวเลขสูงกว่า ความเป็นจริง นอกจากโรงสกัดน้ ามันปาล์มแล้ว โรงกลั่นน้ ามันปาล์มก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ า เฉพาะในส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นฐานที่ใช้เป็นวัตถุดิบส าหรับ อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ าต่อไป ซึ่งผลิตภัณฑ์พื้นฐานเหล่านี้สร้างรายได้ให้กับโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม จ านวน ๑๔ ราย รวมประมาณ ๒๔,๘๗๘ ล้านบาท ทั้งนี้ไม่นับรวมรายได้จากการผลิตน้ ามันพืช
๕๔ มาการีน เนยขาว วานาสปาตีไขทอดอาหาร ที่จัดเป็นสินค้าของกลุ่มโอเลโอเคมีกลางน้ าที่จ าหน่ายให้แก่ ผู้บริโภคได้โดยตรง ดังนั้น เมื่อรวมรายได้ของทั้งโรงสกัดน้ ามันปาล์ม ๙๙ โรง (รายได้เฉลี่ย ๕๙๕ ล้านบาทต่อราย) และโรงกลั่นน้ ามันปาล์มเฉพาะส่วนการผลิตวัตถุดิบพื้นฐาน ๑๔ โรง (รายได้เฉลี่ย จากการผลิตวัตถุดิบพื้นฐาน ๑,๗๗๗ ล้านบาทต่อราย) จะท าให้ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมโอเลโอ เคมีต้นน้ า มีจ านวนทั้งสิ้น ๑๑๓ ราย มีรายได้รวม ๘๓,๘๐๙ ล้านบาท (รายได้เฉลี่ย ๗๔๒ ล้านบาท ต่อราย) ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่วัตถุดิบทะลายปาล์มน้ ามันจาก ๕๖,๔๙๒ ล้านบาท ได้เป็นจ านวน ๒๗,๓๑๗ ล้านบาท ๔.๒.๒.๒ อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีส่วนกลางน้ า (Midstream Oleochemical) ผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ า ได้กลายมาเป็นวัตถุดิบส าหรับ การผลิตโอเลโอเคมีกลางน้ า ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่ซับซ้อนมากนัก โดยอาจแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ ของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ าได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคในอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ น้ ามันพืชกลั่นบริสุทธิ์ มาการีน เนยขาว วานาสปาตีไขมันทอดอาหาร ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ถูกผลิตขึ้นโดยโรงงานกลั่น น้ ามันปาล์ม ซึ่งโรงกลั่นน้ ามันปาล์มบางรายเล็งเห็นประโยชน์ที่ได้จากมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภค เหล่านี้จึงลงทุนติดตั้งกระบวนการผลิตเพิ่มเติม เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากและมีเทคโนโลยีการผลิต ที่ไม่ซับซ้อนเพิ่มเติมจากการผลิตวัตถุดิบพื้นฐาน และยกระดับตนเองจากการเป็นเพียงผู้ประกอบการ ในส่วนอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ าเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการในส่วนอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ า นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตน้ ามันพืช มาการีน และเนยขาวที่มีลักษณะเป็น Stand alone ไม่เกี่ยวข้องกับโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม โดยผู้ประกอบการเหล่านี้รับซื้อวัตถุดิบจากโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม มาผลิตเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเอง ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ าที่ผลิต สินค้าเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหาร มีจ านวนทั้งสิ้น ๓๙ ราย มีรายได้รวม ๔๖,๓๗๗ ล้านบาท แบ่งเป็นผู้ผลิต น้ ามันพืช ๑๕ ราย มีรายได้รวม ๓๙,๔๓๐ ล้านบาท ผู้ผลิตมาการีน๑๔ราย มีรายได้รวม ๕,๕๓๗ ล้านบาท ผู้ผลิตเนยขาว ๑๐ ราย มีรายได้รวม ๑,๔๑๐ ล้านบาท ข้อสังเกตที่ส าคัญคือ ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้บางรายยกระดับมาจากการเป็น ผู้ประกอบการในส่วนต้นน้ า และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ าด้วย ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้จะปรับระดับยกตัวเองขึ้นมาผลิตสินค้าในกลุ่มกลางน้ า เพื่อเพิ่มมูลค่า และถูกนับรวมเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ าด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าวัตถุดิบเชิงอุตสาหกรรม ได้แก่กรดไขมันประเภทต่าง ๆ เอสเทอร์ของกรดไขมัน แอลกอฮอล์ของกรดไขมัน และกลีเซอรีน ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นวัตถุดิบส าหรับ อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีขั้นปลายน้ า การที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกจัดให้อยู่ในส่วนของอุตสาหกรรมโอเลโอ เคมีกลางน้ า อันเนื่องจากสาเหตุว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตสินค้าเหล่านี้แต่เดิมอยู่ในมือ ของผู้ประกอบการในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต่อมามีการพัฒนาและส่งต่อเทคโนโลยีการผลิต จนมีความแพร่หลายในทวีปเอเชีย และถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีความซับซ้อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ ได้ถูกผลิตมากขึ้นจากเทคโนโลยีที่แพร่หลาย ท าให้มีปริมาณสินค้าออกมาสู่ตลาดมากขึ้นและเกิดการ แข่งขันกันในด้านราคาและด้านต้นทุนการผลิต จนกระทั่งสินค้าบางตัวกลายเป็นสินค้าประเภทโภคภัณฑ์
๕๕ (Commodity Goods) และน าไปสู่การยกระดับไปสู่การผลิตขนาดใหญ่ที่ต้องการความประหยัด จากขนาดก าลังการผลิต โดยผู้ผลิตที่ส าคัญแต่ละรายมักจะมีก าลังผลิตในระดับแสนตันต่อปีขึ้นไป ผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าวัตถุดิบเชิงอุตสาหกรรมนี้ มีจ านวนทั้งสิ้น ๒๖ ราย สร้างรายได้จ านวน ๔๓,๖๑๒ ล้านบาท หรือเฉลี่ย ๑,๖๗๗ ล้านบาทต่อราย ประกอบด้วยผู้ผลิตกรดไขมันบริสุทธิ์๒ ราย มีรายได้รวม ๕๑๙ ล้านบาท คิดเป็นรายได้เฉลี่ย ๒๖๐ ล้านบาท ต่อราย ผู้ผลิตเอสเทอร์ของกรดไขมัน ๑๐ ราย มีรายได้รวม ๒๗,๘๑๘ ล้านบาท คิดเป็นรายได้ เฉลี่ย ๒,๗๘๒ ล้านบาทต่อราย ผู้ผลิตแอลกอฮอล์ของกรดไขมัน ๓ ราย มีรายได้รวม ๑๔,๑๙๖ ล้านบาท คิดเป็นรายได้เฉลี่ย ๔,๗๓๒ ล้านบาทต่อราย ผู้ผลิตกลีเซอรีนดิบ ๑๐ ราย ซึ่งก็คือผู้ผลิตเอสเทอร์ ของกรดไขมันนั่นเอง เนื่องจากกลีเซอรีนดิบเป็นผลพลอยได้ของกระบวนการผลิตเอสเทอร์ มีรายได้ จากกลีเซอรีนดิบรวม ๘๖๖ ล้านบาทหรือคิดเป็น ๘๗ ล้านบาทต่อราย ผู้ผลิตเอสเทอร์เฉพาะ เพื่อการอุตสาหกรรมมีเพียง ๑ ราย มีรายได้๒๑๓ ล้านบาท จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการในส่วน อุตสาหกรรมกลางน้ าประเภทวัตถุดิบเชิงอุตสาหกรรม จะมีขนาดใหญ่กว่าผู้ผลิตในอุตสาหกรรม โอเลโอเคมีต้นน้ ามาก โดยเฉพาะผู้ผลิตแอลกอฮอล์ของกรดไขมัน เมื่อรวมจ านวนผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ า ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคและกลุ่มวัตถุดิบเชิงอุตสาหกรรม พบว่า มีจ านวนทั้งสิ้น ๖๕ ราย มีรายได้รวมกัน ๘๙,๙๘๙ ล้านบาท สร้างมูลค่าจากอุตสาหกรรมต้นน้ าที่มีมูลค่ารวม ๘๓,๘๐๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๖,๑๘๐ ล้านบาท ๔.๒.๒.๔ อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีส่วนปลายน้ า (Downstream Oleochemical) ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีในส่วนของอุตสาหกรรมปลายน้ า ได้แก่ สารอนุพันธ์ (Derivatives) ต่าง ๆ ของวัตถุดิบในระดับกลางน้ า เช่น สารอนุพันธ์ของกรดไขมัน สารอนุพันธ์ ของแอลกอฮอล์อิท็อกซิเลทของแอลกอฮอล์อิท็อกซิเลทของเอสเทอร์เอมีนและอนุพันธ์ของเอมีน อาไมด์และอนุพันธ์ของอาไมด์กลีเซอรีนบริสุทธิ์และอนุพันธ์ของกลีเซอรีน โพรพิลีนไกลคอล เอทิลีนไกลคอล กรดอะคริลิก อะคริโลไนไตร์อะโครลีน ไตรอะเซติน อิพิคลอโรไฮดริน อิพ็อกซีเรซิน อัลคิลเรซิน เป็นต้น ส าหรับในประเทศไทย ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีปลายน้ ามีจ านวน ๑๘ ราย มีมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้รวมกันเพียง ๕,๙๖๖ ล้านบาท มีรายได้เฉลี่ย ๓๓๑ ล้านบาทต่อราย ประกอบด้วยผู้ผลิตอิท็อกซิเลท ๑ ราย มีรายได้๑,๙๑๙ ล้านบาท ผู้ผลิตเอมีนและอาไมด์๑ ราย มีรายได้๑๐๖ ล้านบาท ผู้ผลิตอิพิคลอโรไฮดรินจากกลีเซอรีน ๒ ราย มีรายได้๑,๖๖๘ ล้านบาท และผู้ผลิตกลีเซอรีนกลั่นบริสุทธิ์ส าหรับอุตสาหกรรมอาหารและยา และเป็นสารตั้งต้นส าหรับการผลิต อิพิคลอโรไฮดรินอีก ๖ ราย มีรายได้รวมกัน ๒,๑๖๕ ล้านบาท ข้อสังเกตที่ส าคัญส าห รับอุตส าหก ร รมโอเลโอเคมีปล ายน้ าของไทย คือ มีผู้ประกอบการจ านวนน้อยรายและส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตกลีเซอรีนกลั่นบริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนโอเลโอเคมี ปลายน้ าอื่น ๆ ที่เหลือเกือบทุกบริษัทถือหุ้นโดย บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จ ากัด (มหาชน) ทั้งสิ้นยกเว้น บริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จ ากัด (มหาชน) และบริษัท เอฟ บีประเทศไทย จ ากัด ในเครือของบริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จ ากัด (มหาชน) ที่สามารถผลิตสารอนุพันธ์ต่าง ๆ ได้ทั้งที่ไม่ใช่บริษัทในเครือขององค์กรขนาดใหญ่ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งที่ส าคัญ คือ มูลค่าการผลิตรวมของผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี ขั้นปลายน้ า มีมูลค่ารวมกันเพียง ๕,๙๖๖ ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ า
๕๖ ที่มีมูลค่าสูงถึง ๘๙,๙๘๙ ล้านบาท ทั้งที่มูลค่าของผลิตภัณฑ์ปลายน้ าควรจะสูงขึ้นยิ่งไปกว่าผลิตภัณฑ์ ในขั้นกลางน้ า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีจากต้นน้ า ได้ส่งต่อเพื่อสร้างมูลค่าในกลุ่ม อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ า แต่หายไปจากขั้นปลายน้ า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในขั้นกลางน้ า ส่วนใหญ่มิได้ถูกน าเข้าสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีขั้นปลายน้ าในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตได้ ในขั้นกลางน้ าและมิได้น าไปสร้างมูลค่าเพิ่มต่อในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีขั้นปลายน้ านั้น ได้ถูกน าไปใช้ บริโภคโดยตรงมากเป็นอันดับ ๑ คิดเป็นมูลค่ามากถึง ๓๔,๗๖๕ ล้านบาท ซึ่งหากคิดเฉลี่ยจากผู้บริโภค จ านวน ๖๘.๔ ล้านคนของไทย จะพบว่าคนไทยบริโภคผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี๕๐๘ บาทต่อคนต่อปี นอกจากการน าไปบริโภคโดยตรงแล้ว การน าผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีขั้นกลางไปใช้มากเป็นอันดับสอง คือ การใช้พลังงานไบโอดีเซล มีมูลค่าถึง ๒๗,๘๑๘ ล้านบาท รองลงมาคือ การเป็นวัตถุดิบในการผลิต อาหารส าเร็จรูปต่างๆ ๑๑,๖๑๓ ล้านบาท น าไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ประมาณ ๘,๐๐๐ ล้านบาท และถูกส่งออกไปยังต่างประเทศโดยมิได้เพิ่มมูลค่าอีก ๔,๓๔๐ ล้านบาท รวมมูลค่าผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีขั้นกลางที่มิได้ถูกแปรรูปเป็นโอเลโอเคมีขั้นปลาย สูงถึงประมาณ ๘๖,๕๓๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๒ ของมูลค่าผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีขั้นกลางน้ าทั้งหมด และมีผลิตภัณฑ์เพียงร้อยละ ๓.๘ ที่ถูกน ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีขั้นปลายน้ า รูปที่ ๔-๑ มูลค่าอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีตลอดห่วงโซ่คุณค่า ที่มา : รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีจากพืชน้ ามัน, ๒๕๖๐ โอเลโอเคมีต้นน้ า ๘๓,๘๐๙ ล้านบาท โอเลโอเคมีกลางน้ า ๘๙,๙๘๙ ล้านบาท อุตสาหกรรม End User ๘๗,๔๓๐ ล้านบาท โอเลโอเคมีปลายน้ า ๕,๙๖๖ ล้านบาท ผู้บริโภค ๑๒๒,๑๙๕ ล้านบาท วัตถุดิบตั้งต้น ๕๖,๔๙๒ ล้านบาท อุตสาหกรรมต่อเนื่อง (End Users) ๘,๐๐๐ ล้านบาท ผู้บริโภค ๓๔,๗๖๕ ล้านบาท (๖๘.๔ ล้านคน : ๕๐๘ บาท/คน/ ปี) พลังงาน ๒๗,๘๑๘ ล้านบาท อุตสาหกรรมอาหาร ๑๑,๖๑๓ ล้านบาท ส่งออก ๔,๔๒๓ ล้านบาท ส่งออก ๔,๖๒๐ ล้านบาท ส่งออก ๔,๓๔๐ ล้านบาท มูลค่ำรวมทั งระบบ ห่วงโซ่คุณค่ำ ๖๕,๗๐๓ ล้ำนบำท ๒๗,๓๑๗ ล้านบาท มูลค่าเพิ่ม ๖,๑๘๐ ล้านบาท มูลค่าเพิ่ม ๓๒,๒๐๖ ล้านบาท มูลค่าเพิ่ม ๓๒,๒๐๖ ล้านบาท
๕๗ ๔.๒.๒.๕ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าส าเร็จรูปที่เป็น End Users ส าหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น End Users ของผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีที่ส าคัญ ของไทย ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีจ านวนรวมกันมากถึง ๑,๐๓๓ ราย มีมูลค่าสินค้าที่เป็น End Users รวมกันสูงถึง ๕๖๕,๑๘๔ ล้านบาท โดยมีผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีเป็นส่วนผสมคิดเป็นมูลค่า ๘๗,๔๓๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๕.๕ ของสินค้า End Users ที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยอุตสาหกรรม End Users ที่ส าคัญเรียงตามล าดับ ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน มีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีเพื่อสร้างมูลค่า โดยในปี๒๕๕๙ มีการผสมเมทิลเอสเทอร์จ านวน ๑,๒๒๙ ล้านลิตร ลงในน้ ามันดีเซลคิดเป็นมูลค่าของเมทิลเอสเทอร์ ๓๖,๘๖๘ ล้านบาท อุตสาหกรรมเครื่องส าอางและสุขอนามัยส่วนบุคคล มีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี คิดเป็นมูลค่า ๑๖,๗๓๑ ล้านบาท อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนและสารลดแรงตึงผิว มีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๑๓,๑๐๙ ล้านบาท อุตสาหกรรมอาหาร มีการใช้ผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๑๑,๖๑๓ ล้านบาท อุตสาหกรรมน้ ามันหล่อลื่น สารหล่อลื่นในอุตสาหกรรม และจารบีมีการใช้ ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๕,๘๒๐ ล้านบาท อุตสาหกรรมยาและอาหารเสริม มีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๑,๑๗๔ ล้านบาท อุตสาหกรรมสารเคลือบผิววัสดุมีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๑,๒๗๘ ล้านบาท อุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๕๐๐ ล้านบาทอุตสาหกรรมเกษตร มีการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีคิดเป็นมูลค่า ๓๓๗ ล้านบาท ซึ่งหากคิดรวมผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีขั้นกลางน้ าที่จ าหน่ายตรง ไปยังตลาดผู้บริโภค และผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีที่ผสมอยู่ในสินค้าส าเร็จรูปในแต่ละ End Users Sector แล้วจะพบว่ามีมูลค่าในการอุปโภคบริโภครวม ๑๒๒,๑๙๕ ล้านบาท ดังแสดงในรูปที่ ๔-๒๓ และรายละเอียดจ าแนกตามผลิตภัณฑ์ดังแสดงในรูป ๔-๒๑ และรูป ๔-๒๒ ๔.๓ ข้อจ ำกัด สภำพปัญหำ และอุปสรรคในกำรพัฒนำอุตสำหกรรมเศรษฐกิจฐำนชีวภำพจำกปำล์มน ำมัน โอเลโอเคมีมิได้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศไทยแต่อย่างใด ประเทศไทยมีการผลิต โอเลโอเคมีขั้นต้นน้ ามานานหลายสิบปีก่อนหน้านี้การผลิตไขสบู่ (Soap noodle, Soap chip) ของผู้ผลิตสบู่รายใหญ่ของต่างประเทศที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยและให้ผลพลอยได้ เป็นกลีเซอรีน มีมานานหลายสิบปีก่อนที่จะเกิดการผลิตกลีเซอรีนอันเป็นผลพลอยได้ของการผลิตเมทิล เอสเทอร์ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไบโอดีเซล และก่อนที่สายการผลิตไขสบู่และกลีเซอรีนเหล่านั้น จะย้ายฐานการผลิตออกไปจากประเทศไทย อันเนื่องมาจากโครงสร้างของอุตสาหกรรมปาล์ม ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ส าคัญไม่เอื้ออ านวยต่อการด าเนินธุรกิจและก่อให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับฐานการผลิตที่มีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายประเทศไทยก็เดินเข้าสู่สายการผลิตโอเลโอเคมีขั้นกลางน้ าและขั้นปลายน้ าในที่สุด แม้ว่าโอเลโอเคมี กลางน้ าและปลายน้ าจะยังมีผู้ประกอบการจ านวนไม่มากนักและผลิตภัณฑ์ยังเป็นเพียงโอเลโอเคมี ขั้นพื้นฐานก็ตาม
๕๘ ๔.๓.๑ กฎระเบียบและนโยบำยภำครัฐเกี่ยวกับอุตสำหกรรมปำล์มน ำมันในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่ำนมำ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมน้ ามันปาล์มและปาล์มน้ ามัน ๒๕๕๑-๒๕๕๕ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอแผนพัฒนาอุตสาหกรรมน้ ามันปาล์มและปาล์มน้ ามัน ๒๕๕๑–๒๕๕๕ และได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยก าหนด เป้าหมายของพื้นที่ปลูกปาล์มน้ ามันในพื้นที่ปลูกใหม่ ๒.๕ ล้านไร่ หรือ ๕ แสนไร่ต่อปีปลูกทดแทน สวนปาล์มน้ ามันเก่าด้วยปาล์มน้ ามันพันธุ์ดี๕ แสนไร่ เพิ่มผลผลิตจาก ๓ ตันต่อไร่ เป็น ๓.๕ ตันต่อไร่ต่อปี เพิ่มอัตราสกัดน้ ามันจากร้อยละ ๑๗ เป็นร้อยละ ๑๘.๕ และให้มีการชดเชยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ าให้แก่ เกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่ไม่เกิน ๒๕ ไร่ โดยใช้งบประมาณปีละ ๑,๑๙๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๘ ปี รวมงบประมาณ ๙,๕๒๐ ล้านบาท ด าเนินการเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ ามัน การตลาดพลังงานทดแทน และส่งเสริมบุคลากร ทั้งนี้เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตปาล์มน้ ามันเพื่อตอบสนองนโยบายการส่งเสริม การใช้พลังงานทดแทน อย่างไรก็ตาม ผลปรากฏว่าการด าเนินการไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้และพื้นที่ปลูกปาล์ม ได้เพิ่มขึ้นจาก ๒.๘๘ ล้านไร่ ในปี๒๕๕๑ เป็น ๓.๙๘ ล้านไร่ ในปี๒๕๕๕ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ ๒.๗ แสนไร่ต่อปีจากเป้าหมายที่วางไว้๕ แสนไร่ต่อปีและผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ๓.๒๑ ตันต่อไร่ ในปี๒๕๕๔ ลงเหลือ ๒.๘๔ ตันต่อไร่ ในปี๒๕๕๕ และการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ ามันพันธุ์ดีทดแทน สวนเก่าด าเนินการได้๑๔,๘๐๐ ไร่ จากเป้าหมาย ๕ แสนไร่ ส่วนอัตราการสกัดน้ ามันในปี๒๕๕๔ ท าได้ร้อยละ ๑๗.๖๘ จากเป้าหมายที่ร้อยละ ๑๘.๕ ในปี๒๕๕๕ ตามแผน ส าห รับแผนพัฒน าอุตส าหกรรมน้ ามันป าล์มและป าล์มน้ ามัน ๒๕๕๖–๒๕๖๐ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมน้ ามันปาล์มและปาล์มน้ ามันปี๒๕๕๖–๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณค่าผลปาล์มน้ ามันและผลิตภัณฑ์ ๑) เพิ่มพื้นที่ปลูกปาล์มน้ ามันในเขตเหมาะสมปลูกปาล์มน้ ามันตามประกาศกระทรวง เกษตรและสหกรณ์โดยให้มีการตรวจวิเคราะห์ดิน และให้ค าแนะน าการจัดการดินและปุ๋ย ๒) เร่งรัดและรณรงค์ในการปรับปรุงฟื้นฟูสวนปาล์มน้ ามันเก่าในเขตเหมาะสมปลูก โดยปลูกทดแทนด้วยพันธุ์ดีและการจัดการการผลิตที่ถูกต้อง รวมทั้งก าหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ การท าสวนปาล์มน้ ามัน ๓) สนับสนุนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มสู่ภาคการผลิต ที่มีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานองค์ความรู้และการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรการผลิต ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและแข่งขันได้ภายใต้ระบบการค้าเสรี ๔) สนับสนุนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มสู่ภาคการผลิต ที่มีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานองค์ความรู้และการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรการผลิต ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและแข่งขันได้ภายใต้ระบบการค้าเสรี ๕) จัดท ามาตรการ ข้อก าหนด กับเกษตรกร ลานเท และโรงงาน เพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ ามัน ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด ๑) นโยบายพลังงานเชิงยืดหยุ่นเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพด้านการตลาดและราคา ๒) เสริมสร้างนโยบายการตลาดน้ ามันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามกลไกตลาด ที่ก่อให้เกิดการแข่งขันและกระจายผลประโยชน์สู่ผู้เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
๕๙ ๓) จัดท าและบังคับใช้มาตรฐานปาล์มน้ ามันและผลิตภัณฑ์ตามหลักมาตรฐานสากล ทั้งระบบ ใช้มาตรการภาคบังคับ GMP ลานเท มาตรฐานโรงงานสกัดและโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม ๔) ก าหนดนโยบายสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามัน ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๑) สนับสนุนการผลิตพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกอย่างต่อเนื่องชัดเจน ให้สอดคล้องกับศักยภาพการผลิตปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม เช่น ไบโอดีเซล พลังงานชีวมวล และชีวภาพ ๒) ก าหนดบทลงโทษที่รุนแรงและเข้มงวด รวมทั้ง ก ากับ ดูแล และควบคุมการน าน้ ามัน ใช้แล้วกลับมาใช้เพื่อการบริโภค (Reuse) โดยให้ใช้เป็นพลังงานทดแทนเท่านั้น พร้อมทั้งให้มีตลาด รองรับที่ชัดเจน ๓) ส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบเครื่องยนต์ที่สามารถรองรับ B100 ได้ ยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาแบบมุ่งเป้า ๑) การวิจัยเชิงนโยบายการบริหารจัดการปาล์มน้ ามันอย่างเป็นระบบ และเผยแพร่ ให้เกษตรกรอย่างทั่วถึง ๒) การต่อยอดงานวิจัยอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เทคโนโลยี และกรรมวิธีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (การใช้ประโยชน์จากต้นปาล์มน้ ามัน) ๓) การวิจัยเพื่อประเมินและลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และได้เทคโนโลยีที่สามารถ ขยายผลในทางปฏิบัติ ๔) วิจัยและก าหนดมาตรฐานของคุณภาพและการจัดการแต่ละขั้นตอน เช่น เครื่องมือ ตรวจวัดคุณภาพน้ ามัน การใช้ประโยชน์จากต้นปาล์มน้ ามันเก่า ๕) การวิจัยและพัฒนาบุคลากร เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนขบวนการพัฒนาบุคลากร ด้านการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม รวมทั้งสร้างขบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีปาล์ม น้ ามันอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ในระดับเกษตรกรด้วยกันเอง และมุ่งเน้น ให้เกษตรกรต้นแบบถ่ายทอดให้เกษตรกร ๖) วิจัยและพัฒนาพันธุ์ปาล์มที่ใช้ผลผลิตสูง ยุทธศาสตร์การบริหารและการจัดการ ๑) จัดท าพระราชบัญญัติปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มให้เป็นวาระแห่งชาติปฏิรูปกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม ให้มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องกัน และให้เกษตรกรมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน ๒) จัดตั้งองค์กรและกองทุนพัฒนาปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการพัฒนา อุตสาหกรรมทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแข่งขันได้ ๓) ส่งเสริม พัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคเกษตร (โดยเฉพาะการขนส่งทางรถไฟ) ๔) จัดท าฐานข้อมูลทั้งระบบ เช่น GPS แปลงปลูกปาล์ม ลานเท โรงงาน ฯลฯ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เกษตรกร เอกชน ต้องมีส่วนร่วมในการด าเนินการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความร่วมมือตามบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ ร่วมกันในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์สู่ภาคการปฏิบัติในทุกระดับชั้น
๖๐ ส าหรับผลการด าเนินงานตามแผนฯ ปี๒๕๕๖–๒๕๖๐ พบว่า พื้นที่ปลูกปาล์มใหม่ เพิ่มขึ้นจาก ๓.๙๘ ล้านไร่ ในปี๒๕๕๕ เป็น ๕.๑๘ ล้านไร่ ในปี๒๕๕๙ หรือเพิ่มขึ้น ๑.๒ ล้านไร่ เกินเป้าหมาย ๑ ล้านไร่ตามแผนฯ อย่างไรก็ตาม แผนพัฒนาอุตสาหกรรมน้ ามันปาล์มและปาล์มน้ ามัน ถึงแม้จะมี พันธกิจเพื่อเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ ามันและผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง แต่ในยุทธศาสตร์ทั้ง ๕ ด้าน ของแผนฯ ปี๒๕๕๖-๒๕๖๐ ก็มิได้พูดถึงโอเลโอเคมีไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มคุณค่าผลปาล์มน้ ามัน และผลิตภัณฑ์การตลาด หรือแม้แต่การวิจัยพัฒนา ซึ่งระบุถึงการต่อยอดงานวิจัยอย่างจริงจัง และต่อเนื่องเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เทคโนโลยีและกรรมวิธีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีค่าเพิ่มสูง ซึ่งระบุไว้เพียงการใช้ประโยชน์จากต้นปาล์มน้ ามันเท่านั้น ส่วนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ ได้มีการกล่าวถึงการจัดท าร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ ามัน และน้ ามันปาล์ม และการตั้งองค์กรและกองทุนพัฒนาปาล์มน้ ามัน เพื่อบริหารจัดการอุตสาหกรรม ทั้งระบบ ซึ่งพบว่าปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็น และผ่านการ พิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ และอยู่ระหว่างการพิจารณา ของส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากกฤษฎีกาเห็นชอบในร่างดังกล่าว คณะรัฐมนตรี จึงจะส่งร่างพระราชบัญญัติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาและลงมติให้ความเห็นชอบประกาศ เป็นกฎหมาย ส่วนกองทุนพัฒนาปาล์มน้ ามันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการจัดตั้งกองทุนฯ และตั้งคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๔.๓.๒ กฎระเบียบและนโยบำยภำครัฐและปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง กฎระเบียบและนโยบายภาครัฐมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ า ที่ส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมโอเลโอเคมีทั้งกลางน้ า และปลายน้ า เนื่องจากผลผลิตของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ าเป็นวัตถุดิบและเป็นต้นทุนหลัก ที่มีผลต่อศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ าและปลายน้ า คณะที่ปรึกษาได้แยก นโยบายที่ส าคัญๆ ตามล าดับขั้นอุตสาหกรรมในห่วงโซ่คุณค่าเป็น ๔ ระดับ ดังนี้ ๑. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัตถุดิบ ๒. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ า ๓. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีกลางน้ า ๔. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีปลายน้ า จากการรวบรวมและแบ่งแยกนโยบายออกเป็นส่วนๆ ดังกล่าวข้างต้น พบว่ามีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๔.๓.๒.๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัตถุดิบ ปาล์มน้ ามันหลายชนิดจัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญของไทย และมีศักยภาพ ในการพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยน าไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ที่สามารถ ตอบสนองความต้องการในประเทศและสามารถส่งออกเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ ดังนั้น หากมีการวางแผนด้านวัตถุดิบที่ดีจะท าให้ได้วัตถุดิบคุณภาพดีและมีปริมาณเพียงพอ ในการน าไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ในล าดับต่อไปได้ทั้งนี้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการผลิต วัตถุดิบ ได้แก่
๖๑ กรมวิชาการเกษตร มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ร่วมมือกับหน่วยราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาที่ดิน และส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการศึกษาและวิจัยเพื่อจัดท า แผนที่แสดงพื้นที่ที่เหมาะสมส าหรับการปลูกปาล์มน้ ามันโดยวิธีการท าส ารวจโดยใช้ดาวเทียม (Remote sensing) สนับสนุนด้านวิชาการ ฝึกอบรม และให้ค าแนะน าต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ ามัน ศึกษา วิจัย และพัฒนาการผลิตและการแปรรูปปาล์มน้ ามัน เร่งรัดการผลิตปาล์มน้ ามันพันธุ์ดี และร่วมมือกับกรมส่งเสริมการเกษตรในการจัดหาปาล์มน้ ามันพันธุ์ดีให้แก่เกษตรกร กรมส่งเสริมการเกษตร มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ให้การสนับสนุนเกษตรกร ในการปลูกปาล์มน้ ามันแทนพืชเกษตรอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่ า ศึกษาพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ ามันร่วมกับ กรมวิชาการเกษตร ตลอดจนฝึกอบรม และให้ค าปรึกษาแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ ามัน ให้บริการจัดหา ปุ๋ยเคมีตามผลการวิเคราะห์ดินและใบปาล์มน้ ามัน ส่งเสริมและสนับสนุนการรวมตัวของเกษตรกร รายย่อยเป็นสถาบันเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน สนับสนุนระบบน้ าให้แก่เกษตรกรรายย่อย เช่น ขุดสระน้ า และท่อส่งน้ า กรมส่งเสริมสหกรณ์การเกษตร มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ สนับสนุน การด าเนินธุรกิจของสหกรณ์และส่งเสริมสนับสนุนการรวมตัวของเกษตรกรเป็นสหกรณ์ ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ส ารวจข้อมูล วางแผน ปรับแผน ติดตาม ประเมินผลการผลิตปาล์มน้ ามัน รับขึ้นทะเบียนผู้ปลูกปาล์มน้ ามัน และวิเคราะห์อุปสงค์อุปทานของปาล์มน้ ามัน จัดท าแผนยุทธศาสตร์ปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มของไทย โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงแผนยุทธศาสตร์ปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มปี๒๕๕๘-๒๕๖๙ ซึ่งมีเป้าหมายดังนี้ - ด้านอุปทาน : ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ ามันอีก ๓ ล้านไร่ ควบคู่กับการเพิ่ม ผลผลิตต่อไรเฉลี่ยจาก ๓.๒ ตัน เป็น ๓.๕ ตัน และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตการแปรรูปให้ได้อัตรา น้ ามันร้อยละ ๒๐ ซึ่งจะท าให้ผลผลิตปาล์มน้ ามันเพิ่มกว่า ๒๑ ล้านตัน หรือเพิ่มเป็นสองเท่า - ด้านอุปสงค์: เพิ่มอุปสงค์ในประเทศ โดย ๑) เพิ่มการใช้น้ ามันเพื่อการบริโภค ประมาณ ๓ แสนตัน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๓ ต่อปีและ ๒) เพิ่มการใช้น้ ามันปาล์มเป็นพลังงาน ทดแทนอีกเท่าตัว ขณะเดียวกันจะรักษาระดับการส่งออกน้ ามันปาล์ม ประมาณ ๓-๗ แสนตันต่อปี - ภายในปี๒๕๖๒ จะผลักดันให้เกิดมาตรฐานน้ ามันปาล์มของอาเซียน (ASEAN Sustainable Palm Oil : ASPO) และผลักดันกฎหมายปาล์มน้ ามันให้มีโครงสร้างถาวรในการขับเคลื่อน วิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ พัฒนาและปรับปรุงความสามารถ ในการเข้าถึงแหล่งน้ าธรรมชาติของเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ ามันและเพิ่มพื้นที่ ท าการเกษตรปาล์มน้ ามันในเขตชลประทานร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมทรัพยากรน้ า มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ร่วมมือกับกรมชลประทานในการ บริหารจัดการ อนุรักษ์ฟื้นฟูพัฒนา และแก้ไขปัญหาทรัพยากรในพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ ามัน กรมพัฒนาที่ดิน มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร ในการก าหนดพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการผลิตปาล์มน้ ามัน ส านักงานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ พัฒนาแหล่งส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ ามันในเขตปฏิรูปที่ดิน
๖๒ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ สนับสนุน ทางการเงินส าหรับการเพาะปลูกปาล์มน้ ามัน กรมการค้าภายใน มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ก าหนดนโยบายการน าเข้า ส่งออก ห้ามน าเข้าส่งออกปาล์มน้ ามันและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเคมีชีวภาพ รวมถึงการ ก าหนดราคาซื้อขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือส่งผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อมต่ออุปสงค์อุปทานของ ปาล์มน้ ามัน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยส านักบริหารการค้าธัญพืชและสินค้า ข้อตกลง มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ท าหน้าที่โดยตรงในการเจรจาต่อรอง และก าหนดนโยบายน าเข้า ส่งออกปาล์มน้ ามันต่อประเทศคู่ค้า กระทรวงการคลัง มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ พิจารณาเรื่องมาตรการทางภาษี อันเกี่ยวข้องกับการน าเข้าส่งออกปาล์มน้ ามัน ซึ่งมีผลต่อราคาจ าหน่ายปาล์มน้ ามัน พิจารณาเรื่องมาตรการ ทางภาษีอันเกี่ยวข้องกับการน าเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ ามันภายในประเทศและต้นทุน ในการผลิตเคมีชีวภาพจากปาล์มน้ ามัน ส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ เป็นองค์กร มหาชน ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์อันมีผลต่อการวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ของปาล์มน้ ามันของไทย คณะกรรมการพืชน้ ามันและน้ ามันพืช มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ก าหนดนโยบาย การบริหารจัดการการผลิต การตลาด การแปรรูปถั่วเหลือง พืชน้ ามันอื่น ๆ โดนมีรองนายกรัฐมนตรีเป็น ประธาน และมีเลขาธิการส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นเลขานุการ ส่งผลต่อปาล์มน้ ามัน เนื่องจาก ถั่วเหลืองเป็นสินค้าทดแทนปาล์มน้ ามันได้ คณะกรรมการนโยบายอาหาร มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ก าหนดนโยบายและ มาตรการการผลิต การน าเข้า การควบคุมคุณภาพของอาหารสัตว์เช่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น อันมีผลต่ออุปสงค์อุปทานของกากถั่วเหลือง ซึ่งมีผลต่อราคาของน้ ามันปาล์มและถั่วเหลือง ภายในประเทศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นเลขานุการ องค์การคลังสินค้า มีบทบาทต่อปาล์มน้ ามัน คือ ท าหน้าที่น าเข้าและรับซื้อสินค้า เพื่อแก้ไขปัญหาตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาด้านปริมาณและราคาสินค้าภายในประเทศ เช่น การน าเข้าปูนซีเมนต์เหล็ก น้ ามันปาล์ม เป็นต้น ปฏิบัติตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตร ภายใต้องค์การการค้าโลก ในการเปิดตลาดสินค้าเกษตร ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี น าเข้าสินค้าในธุรกิจขององค์การคลังสินค้า มีบทบาทต่อการสกัดน้ ามัน จากการท าหน้าที่น าเข้า ตามโควตาของ WTO ๔.๓.๒.๒ นโยบายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปาล์มน้ ามันขั้นต้น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปาล์มน้ ามันขั้นต้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ ามันที่ได้จากการ น าผลผลิตปาล์มน้ ามันจากเกษตรกรมาเข้าสู่กระบวนการสกัดน้ ามัน ดังเช่นกรณีของวัตถุดิบปาล์ม จะได้น้ ามันออกมาเป็นน้ ามันจากปาล์มและน้ ามันจากเมล็ดในปาล์ม ซึ่งผู้ผลิตน้ ามันในขั้นต้นนี้ จะรวมถึงขั้นตอนในส่วนของการกลั่นน้ ามันพืชด้วย โดยผลผลิตที่ได้จากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ขั้นต้น จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถน าไปใช้อุปโภค บริโภคได้เช่น น้ ามันพืช และผลิตภัณฑ์ส าหรับเป็นสารตั้งต้น
๖๓ เช่น น้ ามันเมล็ดนอกปาล์ม (CPO) น้ ามันเมล็ดในปาล์ม (PKO) น้ ามันสเตียริน (PST) ซึ่งจะน าไปใช้ ในการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นต้นกลุ่มนี้ควรกระจายลงไปในพื้นที่ ที่มีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งและยังคงรักษาคุณภาพของผลปาล์มไว้ได้แต่ปัจจุบันยัง พบว่า โรงงานสกัดน้ ามันปาล์มยังไม่สามารถกระจายตัวลงไปในพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกปาล์มได้ อย่างทั่วถึง ถึงแม้จะมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนที่ท าหน้าที่สนับสนุนและพัฒนาการผลิตน้ ามัน จากพืชอยู่หลายองค์กรก็ตาม แต่การด าเนินนโยบายดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งนี้การศึกษานี้ผู้วิจัยได้รวบรวมหน่วยงานปัจจุบันที่มีภาระรับผิดชอบเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์แปรรูป ขั้นต้น ทั้งของปาล์มน้ ามันปาล์ม และปาล์มน้ ามันชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องไว้ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามันแห่งชาติ(กนป.) จากแผนผังห่วงโซ่คุณค่า อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีจะเห็นว่าอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีต้นน้ า คือ อุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและ ผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ ามัน โดยหน่วยงานระดับสูงที่ควบคุมดูแลนโยบายของอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามัน คือ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามันแห่งชาติ(กนป.) มีส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นฝ่าย เลขานุการ ซึ่งรายละเอียดขององค์ประกอบของคณะกรรมการ กนป. และอ านาจหน้าที่ปรากฏตาม ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนพิเศษ ๑๐๗ ง.หน้า ๑/๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๑ ตามที่ปรากฏ ในภาคผนวก ๘ กนป. ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี๒๕๕๑ และมีการประชุมจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๒๓ ครั้ง แบ่งเป็น ปีพ.ศ. ๒๕๕๔ ๒๕๕๕ ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ ๒๕๕๘ ๒๕๕๙ ๒๕๖๐ จ านวนครั้งที่ประชุม ๑๑ ๓ ๑ ๐ ๕ ๒ ๑ โดยเรื่องส าคัญส่วนใหญ่เป็นการประชุมเพื่อใช้อ านาจหน้าที่ในการแก้ปัญหา เกี่ยวกับราคาผลปาล์ม ราคาน้ ามันปาล์ม และการแทรกแซงตลาด เช่น การชดเชยราคาการน าเข้าน้ ามัน ปาล์ม การแก้ปัญหาปาล์มน้ ามัน การดูดซับน้ ามันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด การก าหนดสินค้า และบริการควบคุมของการการค้าภายใน การปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและ การตลาดปาล์มน้ ามันแบบครบวงจร การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม การจ่ายเงิน ส่วนต่างราคาน้ ามันปาล์ม การแก้ไขปัญหาราคาน้ ามันปาล์ม ปัญหาน้ ามันปาล์มขาดแคลน มาตรการ และการบริหารจัดการน้ ามันปาล์มน าเข้า การขอน าเข้าน้ ามันปาล์มเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังส ารอง ปาล์มน้ ามันเป็นพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญชนิดหนึ่ง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของเกษตรกร กนป.จึงมอบหมายให้ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร จัดท าแผนพัฒนา อุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มขึ้นมาแล้วจ านวน ๒ ครั้ง คือ แผนพัฒนาอุตสาหกรรม ปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม ปี๒๕๕๑-๒๕๕๕ และแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์ม ปี๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งเมื่อพิจารณาแผนดังกล่าวแล้ว พบว่า ได้มีการร่างแผนเพื่อให้สอดคล้องกับ แผนพัฒนาการเกษตรของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก อย่างไรก็ตาม ทั้งแผนพัฒนาการเกษตรของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติแผนพัฒนาพลังงานทดแทนของกระทรวงพลังงาน และแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามัน และน้ ามันปาล์มของส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร ไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาปาล์มน้ ามันไปสู่ อุตสาหกรรมโอเลโอเคมี
๖๔ นอกจากหน่วยงานภาครัฐดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว ยังมีสมาคมภาคเอกชน และองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปาล์มน้ ามัน เช่น สมาคมปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มแห่งประเทศไทย สมาคมโรงงานน้ ามันปาล์มบริโภค สมาคมโรงงานสกัดน้ ามันปาล์ม สมาคมโรงกลั่นน้ ามันปาล์ม สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมน้ ามันปาล์ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมปศุสัตว์ไทย สมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อเพื่อการส่งออก สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) สถาบันอาหาร คณะกรรมการธุรกิจเกษตรและอาหาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สถาบันไทย-เยอรมัน นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่กรมวิชาการเกษตร กรมการค้าภายใน กระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามันแห่งชาติคณะกรรมการพืชน้ ามันและน้ ามันพืช คณะกรรมการนโยบายอาหาร และองค์การคลังสินค้า ๔.๓.๒.๓ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีขั้นกลาง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปาล์มน้ ามันขั้นกลาง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารตั้งต้นน้ ามัน ปาล์มดิบ (CPO) น้ ามันเมล็ดในปาล์ม (PKO) น้ ามันสเตียริน (PST) เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งสามารถ แบ่งแยกกลุ่มของผลิตภัณฑ์ขั้นกลางเป็นกลุ่ม ได้แก่กรดไขมัน กลีเซอรีน แฟตตี้แอลกอฮอล์แฟตตี้เอส เทอร์ซึ่งในการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางนี้จะมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการก าหนดนโยบาย ควบคุม ดูแล หรือออกกฎระเบียบที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นกลาง ของปาล์มน้ ามันปาล์ม และปาล์มน้ ามันอื่น ๆ อยู่หลายหน่วยงาน โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มหน่วยงาน ที่มีความส าคัญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ หน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านนโยบายระดับสูง เป็นหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง กับการก าหนดยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งได้มีการก าหนดเป้าหมายของการพัฒนา อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพจากปาล์มน้ ามันและการเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตร ซึ่งจะส่งผลต่อการผลักดัน นโยบายจากหน่วยงานอื่น ๆ ให้อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพจากปาล์มน้ ามันสามารถด าเนินการได้ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่ให้ความส าคัญกับนโยบายทางด้านนี้เช่น ส านักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) หน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านการส่งเสริมการตลาด เป็นหน่วยงานที่ท าหน้าที่ สนับสนุนในด้านการจัดหา ควบคุม และดูแลการตลาด ทั้งตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านนี้มีอยู่เป็นจ านวนมาก เช่น สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันอาหาร (NFI)
๖๕ กรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก สภาหอการค้า แห่งประเทศไทย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ตัวอย่างของการด าเนินการของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ พลังงาน กระทรวงพลังงาน ที่ได้มีการก าหนดแผนแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2015) ซึ่งเป็นแผนที่เน้น การผลักดันการปลูกปาล์มน้ ามัน เพิ่มจ านวนปาล์มน้ ามัน เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมไบโอดีเซล แต่อย่างไรก็ตาม การวางแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2015) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ พลังงาน กระทรวงพลังงาน เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอดีเซลเท่านั้น แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2015) ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและ อนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ซึ่งอ้างอิงยุทธศาสตร์ปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มปี๒๕๕๘-๒๕๖๙ และประเมินผลผลิตปาล์มน้ ามันจากพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกปาล์มน้ ามันทั่วประเทศและประเมิน น้ ามันปาล์มคงเหลือจากการบริโภคเป็นศักยภาพในการผลิตไบโอดีเซลในอนาคต โดยมีเป้าหมาย การผลิตไบโอดีเซล ๑๔ ล้านลิตรต่อวันในปี๒๕๗๙ ตารางที่ ๔-๗ เป้าหมายการผลิตไบโอดีเซลในปี๒๕๗๙ ตามแผน AEDP 2015 ศักยภำพน ำมันปำล์ม ๒๕๖๐๑ ๒๕๖๒๑ ๒๕๖๙๑ ๒๕๗๙๒ เป้าหมายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ ามัน (ล้านไร่) ๕.๐ ๕.๕ ๗.๕ ๑๐.๒ ผลผลิตปาล์มน้ ามัน (ล้านตัน/ปี) ๑๕.๔ ๑๖.๗ ๒๑.๔ ๒๙.๕ ผลผลิตน้ ามันปาล์มดิบ (ล้านตัน/ปี) ๒.๙ ๓.๒ ๔.๓ ๕.๙ น้ ามันปาล์มดิบคงเหลือ (ล้านตัน/ปี) ๓๑.๙ ๒.๐ ๒.๙ ๔.๒ ไบโอดีเซลสูงสุดที่ผลิตได้(ล้านลิตร/วัน) ๔ ๖.๕ ๗.๑ ๑๐.๐ ๑๔.๐ หมายเหตุ : ๑ ยุทธศาสตร์ปาล์มน้ ามันและน้ ามันปาล์มปี๒๕๕๘-๒๕๖๙ ๒ จากการอนุมานผลผลิตตามพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกปาล์มน้ ามันทั่วประเทศ ๓ คิดน้ ามันปาล์มดิบคงเหลือโดยยังไม่ได้หักปริมาณการส่งออก ๔ ค านวณโดยคิดการผลิตไบโอดีเซลชนิด Fatty Acid Methyl Esters (FAME) ที่มา : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์เป็นหน่วยงาน ที่ให้การสนับสนุนและดูแลในด้านคุณภาพการผลิต เพื่อให้มีการผลิต ที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะการผลิตเพื่อน าไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารซึ่งในปัจจุบันมีความเข้มงวดในเรื่องกฎระเบียบ มาก ปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านนี้เช่น บริษัท ห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เกษตรและอาหาร จ ากัด ส านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สถาบันอาหาร (สอห.) ส านักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถาบันรับรองมาตรฐาน ไอ เอส โอหน่วยงานที่มีความส าคัญในด้าน มาตรการทางการเงิน
๖๖ ในปัจจุบัน มีหน่วยงานที่ท าหน้าที่เกี่ยวข้องกับนโยบายทางด้านการเงิน การลงทุน และการจัดหาแหล่งเงินทุนของบริษัท โดยบทบาทที่ส าคัญของหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง ทางการเงินได้แก่ การเป็นแหล่งเงินทุนและให้สินเชื่อในต้นทุนที่มีความเหมาะสมกับองค์กรที่จะเข้ามา ด าเนินการผลิต ปัญหาหลักประการหนึ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นระหว่างสถาบันการเงินกับผู้ลงทุน ในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ของประเทศไทย จึงเป็นผลให้การพิจารณาของสถาบัน การเงินเพื่อให้สินเชื่อมีความยากมากขึ้น ใช้ระยะเวลาในการพิจารณานาน หรือคิดต้นทุนของการให้กู้ยืม ในระดับสูง หน่วยงานที่มีบทบาทกับการด าเนินมาตรการทางการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารเพื่อการ ส่งออกและน าเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จ ากัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย. SICGO) หน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านมาตรการภาษีเป็นหน่วยงานที่มีความส าคัญมาก กับการด าเนินธุรกิจ เนื่องจากการให้การสนับสนุน สิทธิพิเศษ และความช่วยเหลือทางด้านภาษีในช่วง เริ่มด าเนินการ ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่ส าคัญในการให้ความช่วยเหลือธุรกิจเกิดใหม่ของไทย ให้สามารถแข่งขันได้กับบริษัทคู่แข่งส าคัญของต่างประเทศ ที่มีการด าเนินการจนมีความเชี่ยวชาญแล้ว ทั้งนี้รูปแบบการให้ความช่วยเหลือจะรวมถึงการลดหย่อนภาษีการก าหนดอัตราภาษีส าหรับสินค้า เฉพาะ และการยกเว้นภาษีน าเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ อันจะส่งผลต่อเงินลงทุนเริ่มต้นของ ผู้ลงทุนที่ลดลง โดยหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร หน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านการวิจัยและพัฒนา ในปัจจุบันประเทศไทย มีหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องในด้านการวิจัยพัฒนาอยู่เป็นจ านวนมากที่ท าการค้นคว้าวิจัยและพัฒนา ทางด้านเทคโนโลยีทั้งเพื่อการพัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่และเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการ ผลิตให้มีคุณภาพดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การวิจัยและพัฒนา ของหน่วยงานต่างๆ ในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมี จากปาล์มน้ ามันที่เป็นลักษณะเชิงพาณิชย์ยังค่อนข้างมีความจ ากัด เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการให้ ความส าคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟตตี้เอสเทอร์ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลเป็นหลัก ส่วนการวิจัยและพัฒนาในผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นยังมีไม่มากนัก โดยหน่วยงานที่มีบทบาทในด้านการ ด าเนินการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย เช่น ส านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ส านักงานสภา วิจัยแห่งชาติ(วช.) ส านักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ(สว ทน.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันอาหาร (NFI) ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(BIOTEC) ศูนย์บริการสารสนเทศทาง เทคโนโลยี(TIAC) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ส านักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(สนช.) และกรม อู่ทหารเรือ กองทัพเรือ โดยหน่วยงานด้านการวิจัยพัฒนาได้มีการบูรณาการด้านการวิจัยร่วมกันระหว่าง ห น่ ว ยง า น เ ช่ น ก า ร ก า ห น ดใ ห้ มี ส ภ า นโ ย บ า ย วิ จั ย แ ล ะ น วั ต ก ร ร ม แ ห่ง ช า ติ (นวนช.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) และเลขาธิการ ส านักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ(สวทน.) เป็นเลขานุการร่วม เพื่อเป็นกลไกส าคัญที่ท าหน้าที่ก าหนดนโยบายและแผนด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
๖๗ และนวัตกรรมของประเทศให้ชัดเจน ให้มีการจัดสรรและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าส่งเสริมสนับสนุน ผลักดันการด าเนินงานตามนโยบายและแผน และติดตามประเมินผลการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หน่วยงานที่มีความส าคัญในด้านบุคลากร การพัฒนาบุคลากรถือเป็นปัจจัย รากฐานส าคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นและสามารถด าเนินการต่อไปได้อย่างยั่งยืน และยังเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนา สร้างความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ทั้งนี้ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีหลักสูตรที่ให้การศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรที่ตรงกับสายวิชาทางด้านผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีมากนัก ดังนั้น การพัฒนาบุคลากรควรเน้นการพัฒนาหลักสูตรความรู้ทางด้านเทคโนโลยี การผลิตในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีและการสนับสนุนปัจจัยเกื้อหนุนต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาส และสนับสนุนการเรียนของผู้เรียน โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการพัฒนาบุคลากร เช่น ส านักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ๔.๓.๒.๔ นโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีปลายน้ า ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีขั้นปลาย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการผลิต โดยใช้ผลิตภัณฑ์ ขั้นกลางดังกล่าวข้างต้น อันได้แก่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มกรดไขมัน กลีเซอรีน แฟตตี้แอลกอฮอล์แฟตตี้เอสเทอร์ เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการน าไปผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่อไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้นี้จะมีเป็นจ านวนมากขึ้นอยู่กับ การน าไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใด และการน าสารประกอบใดเข้ามาผสม รวมทั้งการน าไปใช้เป็น สารประกอบในการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรม อาหารสัตว์อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพและเครื่องส าอาง อุตสาหกรรม ยา อุตสาหกรรมเครื่องใช้ในบ้าน อุตสาหกรรมยาง อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมสีอุตสาหกรรม พลาสติก อุตสาหกรรมหมึกพิมพ์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมยาสูบ อุตสาหกรรมเรซิ่น และอุตสาหกรรมวัตถุระเบิด จึงท าให้นโยบาย กฎระเบียบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นปลายของปาล์มน้ ามันในกลุ่มนี้จะถูกบังคับเช่นเดียวกับกรณีของการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมทั่วไป หรือจะเข้าตามหมวดสินค้าเฉพาะในแต่ละประเภทของอุตสาหกรรมที่มีการน าไปใช้ เป็นวัตถุดิบ ดังนั้น เนื่องจากจะเป็นนโยบายและกฎระเบียบที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการ วิเคราะห์กรณีของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีจึงจะไม่น ามากล่าวไว้ในที่นี้ ๔.๓.๓ นโยบำยก ำหนดมำตรฐำนผลิตภัณฑ์เชื อเพลิงทดแทนจำกพืชน ำมัน กรมธุรกิจพลังงานได้ออกประกาศก าหนดคุณลักษณะและคุณภาพของไบโอดีเซล ที่ได้จากกระบวนการเอสเทอริฟิเคชั่น (Esterification) ของน้ ามันพืชหรือกรดไขมัน ทั้งส าหรับการใช้ จ าหน่ายในเชิงพาณิชย์และส าหรับการใช้กับเครื่องจักรกลทางเกษตรขนาดเล็ก ๔.๓.๔ นโยบำยกำรส่งเสริมกำรลงทุน ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ให้สิทธิประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน ที่เกี่ยวข้องกับพืชน้ ามันและผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้ หมวด ๑ ประเภท ๑.๑ กิจการขยายพันธุ์พืชหรือการคัดคุณภาพเมล็ดพันธุ์ถูกจัดให้ เป็นกิจการที่ให้ความส าคัญเป็นพิเศษ ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ๘ ปี โดยไม่ขึ้นอยู่กับเขตส่งเสริม หมวด ๑ ประเภท ๑.๑๒ กิจการผลิตน้ ามันหรือไขมันจากพืชและสัตว์
๖๘ หมวด ๑ ประเภท ๑.๒๖ กิจการผลิตแอลกอฮอล์หรือเชื้อเพลิงจากผลผลิต ทางการเกษตร หมวด ๖ ประเภท ๖.๒ เคมีภัณฑ์อื่นๆ ที่ต้องมีกระบวนการผลิตทางเคมี หมวด ๗ ประเภท ๗.๓๐ กิจการเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ได้แก่กิจการ วิจัยและพัฒนาและอุตสาหกรรมการผลิตเมล็ดพันธุ์หรือการปรับปรุงพันธุ์พืช และสัตว์ที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ และกิจการวิจัยและพัฒนาและอุตสาหกรรมการ ผลิตสารเวชภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ๔.๓.๕ นโยบำยกำรพัฒนำและส่งเสริมเชื อเพลิงชีวภำพ นโยบายการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้มีการออกประกาศเพื่อให้มีการผสม ไบโอดีเซลในอัตราส่วนร้อยละ ๑๐ เพื่อจ าหน่ายทั่วประเทศ ในปี๒๕๕๕ ซึ่งจะเป็นผลให้มีความต้องการ เมทิลเอสเทอร์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังมีการก าหนดในหลักการงบประมาณแผ่นดินวงเงิน ๑,๓๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมการปลูกพืชน้ ามัน ๘๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการวิจัยพัฒนา และบริหารจัดการ ๕๐๐ ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ก าหนดนโยบายให้กับกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปได้ดังนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก าหนดพื้นที่ปลูกปาล์มให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ให้ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นฐานการปลูกปาล์ม พัฒนาและท าโครงการน าร่องในภาคอีสาน และภาคเหนือ จัดหาเมล็ดพันธ์ส่งเสริมการปลูกปาล์ม และศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร ประสานและจัดท าความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อปลูกปาล์มในลักษณะ Contact Farming ด้วย กระทรวงการคลัง พิจารณาจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) เพื่อส่งเสริมการปลูกปาล์ม พืชน้ ามันและ การผลิต ไบโอดีเซล ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สนับสนุนสินเชื่อแก่ SPV เพื่อด าเนินธุรกิจปาล์มน้ ามัน โดยให้กระทรวงการคลังค้ าประกัน กระทรวงพลังงานและกระทรวง อุตสาหกรรม รับผิดชอบการผลิตและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ก าหนด นโยบายการก่อสร้างโรงงานไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับการก าหนดพื้นที่เพาะปลูกปาล์ม ที่ตั้งคลังน้ ามัน เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับน้ ามันใช้ประกอบอาหาร และลดต้นทุน ค่าขนส่งในการผสมไบโอดีเซล ควรมีมาตรการภาษีเพื่อให้ราคาขายปลีกไบโอดีเซลแตกต่างจากราคาน้ ามันดีเซลในช่วงแรก ๔.๓.๖ นโยบำยกำรพัฒนำและส่งเสริมเชื อเพลิงชีวภำพของสหภำพยุโรป สหภาพยุโรป (EU) ได้มีการพิจารณาให้ห้ามการน าเข้าพืชที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงบางชนิด ที่มีกระบวนการผลิตเป็นอันตรายต่อสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติเช่น ปาล์ม ข้าวโพด ที่มีการเพาะปลูก โดยรุกที่ป่าสมบูรณ์ซึ่งนโยบายดังกล่าวอาจท าให้เกิดข้อพิพาททางการค้าระหว่างอียูและกลุ่มประเทศ ผู้ส่งออกน้ ามันปาล์มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๔.๓.๗ นโยบำยผลิตพลังงำนจำกพืชของสหรัฐอเมริกำ นโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากพืชของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ราคาของพืชพลังงาน ซึ่งรวมกับพืชน้ ามันของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ๔.๓.๘ ปัจจัยด้ำนกำรให้ควำมส ำคัญกับสิ่งแวดล้อม แนวโน้มของการให้ความส าคัญกับสิ่งแวดล้อม การลดภาวะโลกร้อน เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาค ในโลก ท าให้หลายองค์กรและรัฐบาลในหลายประเทศหันมาให้ความส าคัญกับการผลิตในอุตสาหกรรม ต่างๆ ที่จะไม่เป็นปัจจัยกระตุ้นหรือสร้างให้เกิดภาวะโลกร้อนมากขึ้น รวมถึงการประหยัดการใช้ ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป แต่หันมาใช้ทรัพยากรทางเลือก หรือทรัพยากรหมุนเวียนมากขึ้น
๖๙ ๔.๓.๙ ปัจจัยด้านราคาปิโตรเลียม ปัจจัยด้านราคาปิโตรเลียมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นผลจากหลายๆ ปัจจัย เช่น การรวมตัวกันก าหนดราคาของกลุ่มผู้ผลิตน้ ามัน (OPEC) แนวโน้ม การขาดแคลนทรัพยากร การเก็งก าไรราคาน้ ามัน ท าให้ราคาปิโตรเลียมในตลาดโลกมีระดับราคา เพิ่มสูงขึ้นและมีความผันผวนมากในปัจจุบัน ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีซึ่งส่วนใหญ่ ใช้ปิโตรเลียมเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ท าให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพพยายามมองหาผลิตภัณฑ์เคมี ชีวภาพชนิดอื่น ๆ เพื่อมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน อันจะเป็นโอกาสของผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพจากพืชน้ ามัน ที่จะสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างไรก็ตามระดับราคาน้ ามันดิบที่ลดลงตั้งแต่ปี๒๕๕๗ อันเนื่องมาจาก การขยายก าหลังผลิตจากการค้นพบแหล่งทรายน้ ามันใหม่ในทวีปอเมริกา ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อราคา ของโอเลโอเคมีท าให้ราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปีด้วยเช่นกัน รูปที่ ๔-๒ ราคาน้ ามันในตลาดโลกระหว่างปีพ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๕๙ ที่มา : https://data.oecd.org/energy/crude-oil-import-prices.html ๔.๓.๑๐ ภำวกำรณ์ขำดแคลนอำหำร ภาวะการขาดแคลนอาหารและการที่สินค้าอาหารหลายชนิดมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก เป็นปัญหาส าคัญที่ก าลังเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงทั่วโลกในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อพืชน้ ามัน ซึ่งเป็นวัตถุดิบทั้งส าหรับอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีและกลายเป็นประเด็น ที่เริ่มมีการถกเถียงกันถึงแนวทางของการใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยหลายฝ่ายมีความเห็นที่ควรจะสนับสนุนไปในแนวทางของการใช้เป็นอาหารก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรโลกโดยเฉพาะ ผู้มีรายได้น้อยและผู้ยากไร้ ๔.๓.๑๑ นโยบำยกำรปรับระบบกำรผลิต กำรบริหำรจัดกำรภำคเกษตรและกำรใช้ฐำนทรัพยำกรชีวภำพ ๔.๓.๑๑.๑ นโยบายและเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ ปีพ.ศ. ๒๕๖๐–๒๕๖๔ ได้มีการให้ความส าคัญกับประเด็นเรื่องการปรับระบบการผลิตการเกษตรให้สอดคล้องกับพันธกรณี ในด้านการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและศักยภาพของพื้นที่รวมทั้งสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้
๗๐ ทางวิชาการเกษตร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบมีส่วนร่วมที่เชื่อมโยงกับฐานทรัพยากร ชีวภาพ (Bio Based) ในการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรและมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและพัฒนา เศรษฐกิจชีวภาพให้เป็นฐานรายได้ใหม่ที่ส าคัญ พัฒนาระบบ การบริหารจัดการความเสี่ยงและมีการ ปรับตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเพื่อให้ฐาน การผลิตภาคเกษตรและรายได้ เกษตรกรมีความมั่นคง โดยส่งเสริมให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ และไม่ท าลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งตามแนวนโยบายดังกล่าวจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเคมีชีวภาพจากพืช น้ ามัน เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถน ามาใช้เพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์เคมีที่ผลิตจากปิโตรเลียมได้ รวมทั้ง ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการเสริมสร้างขีดความสามารถการผลิตในห่วงโซ่ อุตสาหกรรมเกษตร โดยเสริมสร้างศักยภาพของสถาบันเกษตรกรและการรวมกลุ่ม ให้เป็นกลไกหลัก ในการบริหารจัดการตลอด ห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมเกษตร โดยอาศัยแนวคิดและกระบวนการ สหกรณ์เป็นพื้นฐานในการเสริมสร้าง ความเข้มแข็งให้ครอบคลุมเกษตรกรและประชาชนในทุกพื้นที่ และขยายผลเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิต การตลาดและการเงิน กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และคลัสเตอร์ที่เชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ กรอบนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพของไทย ปี๒๕๕๕-๒๕๖๔ ได้ก าหนดแผนยุทธศาสตร์ที่จะด าเนินการในด้านต่าง ๆ ที่ส าคัญ คือ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพสาขาเกษตรและอาหาร โดยมีแนวคิดดังต่อไปนี้ การพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์และปัจจัยการผลิต (ซึ่งส่วนหนึ่งใช้ เทคโนโลยีชีวภาพ) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต มุ่งสู่การผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม (Green Industry) และการผลิตที่ยั่งยืน (Sustainable Agriculture) การเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันการผลิตสินค้าเกษตรมีมูลค่าเพิ่มน้อย สาเหตุหลักเนื่องจาก เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นต้น อย่างไรก็ดีประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้นได้อีกมาก ทั้งด้วยการยกระดับประสิทธิภาพการผลิต เช่น การพัฒนาพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงหรือมีคุณสมบัติที่ดี การควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย การมีข้อมูลด้านโภชนาการ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย และมีขั้นนวัตกรรมที่สูงขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์อาหารได้อีกไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ จากมูลค่าปัจจุบัน ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพสาขาการแพทย์และสุขภาพ โดยมีแนวคิด ดังต่อไปนี้ เทคโนโลยีชีวภาพเป็นปัจจัยส าคัญในการแก้ปัญหาด้านสุขภาพของคนไทย โดยท าให้มีผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพที่ให้การดูแล รักษา และตรวจวินิจฉัยได้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งต้นทุนการผลิตต่ าลง โอกาสที่เอกชนจะเป็นผู้ลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพิ่มเติม ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพสาขาพลังงานชีวภาพ วัตถุดิบของพลังงานชีวภาพไม่ควรเป็นพืชอาหารเป็นพลังงานสะอาดช่วยลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
๗๑ เทคโนโลยีชีวภาพเป็นตัวขับเคลื่อนส าคัญของการพัฒนา มีโอกาสที่ภาคเอกชนจะลงทุนวิจัยพัฒนาและต่อยอดในอนาคต ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพสาขาอุตสาหกรรมชีวภาพ แนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคตที่มุ่งสู่อุตสาหกรรมฐานชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพเป็นปัจจัยส าคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ ผลิตลดต้นทุนการ ผลิตลดมลพิษจากของเสียหรือลดการปลดปล่อยคาร์บอน ภาคเอกชนมีโอกาสลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ๔.๓.๑๑.๒ แผนที่น าทางแห่งชาติในกรอบการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติก ชีวภาพปี๒๕๕๔-๒๕๕๘ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ในกรอบการ ส่งเสริมการลงทุนใน อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ซึ่งส านักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สนช. ได้รับมอบหมาย ให้เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการแผนทีน าทางแห่งชาติฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๘) ด้วย งบประมาณสนับสนุน ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณเพื่อสนับสนุน การสร้างโรงงานน าร่องผลิตเม็ด พลาสติกชีวภาพ และประกาศมาตรการเสริม ๕ ด้าน อย่างไรก็ตาม แผนที่น าทางแห่งชาติดังกล่าวครอบคลุมถึงพลาสติกชีวภาพ ที่ผลิตได้จากพืชแป้งและน้ าตาลเป็นหลัก และมิได้ครอบคลุมถึงพลาสติกชีวภาพที่สามารถผลิตได้จาก ปาล์มน้ ามัน ๔.๓.๑๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ๔.๐ ระยะ ๒๐ ปี(พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) กระทรวงอุตสาหกรรมได้ก าหนดแผนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย ๔.๐ ของรัฐบาล โดยวางแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศ การพัฒนาประเทศให้หลุดพ้น จากกับดักประเทศรายได้ปานกลางแล้วก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงนั้นจ าเป็นต้องมีการปรับโครงสร้าง อุตสาหกรรมอันเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนา อุตสาหกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต และเป็นอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาในด้านความคิด สร้างสรรค์และนวัตกรรมต่างๆ ส าหรับอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีที่ผลิตได้จากปาล์มน้ ามัน จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) ได้แก่อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพครบวงจร เคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ (Bio-Chemical/Bioplastic) การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ที่จัดเป็นอุตสาหกรรมอน าคต (New S-Curve) หรือ กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้น กลุ่มนี้มีความสามารถในการ เติบโตต่อไปในอนาคตสูง แต่เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ยังมีผู้ประกอบการน้อย กลุ่มอุตสาหกรรม ยังไม่เข้มแข็ง มูลค่าทางเศรษฐกิจยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนาเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้
๗๒ ๔.๔ แนวทำงกำรพัฒนำและส่งเสริมอุตสำหกรรมโอเลโอเคมีที่ผลิตได้จำกปำล์มน ำมัน จากการรวบรวมข้อมูล การศึกษาดูงาน การสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีของไทยและการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมภายในของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีของไทย ปัจจัยแวดล้อมภายในของอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีของไทย พบว่าประกอบไปด้วยจุดแข็ง ๕ ปัจจัย ในขณะที่มีจุดอ่อนมากถึง ๑๕ ปัจจัย และผลการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ พบว่าแนวทางการพัฒนา และส่งเสริมอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีที่ผลิตได้จากปาล์มน้ ามัน เพื่อก้าวสู่การเป็นวัตถุดิบที่ส าคัญ ของอุตสาหกรรมเศรษบกิจชีวภาพของไทย จะต้องด าเนินการดังต่อไปนี้ ๔.๔.๑ ต้องปรับโครงสร้ำงและจัดตั งหน่วยงำนเพื่อบูรณำกำรภำรกิจด้ำนปำล์มโอเลโอเคมี แผนระยะสั น กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะของ แผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ ทบทวนร่าง พรบ.ปาล์ม น้ ามันและน้ ามันปาล์ม ในส่วนของ คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันและน้ ามัน ปาล์มแห่งชาติรวมถึง จัดตั้งหน่วยงานที่ รับผิดชอบด้านปาล์ม โอเลโอเคมีขึ้นเป็นการ เฉพาะ จัดท าร่าง หลักการและ เหตุผล เพื่อทบทวน ร่าง พรบ. ปาล์มน้ ามันและ น้ ามันปาล์ม โดยยึดแนวทาง ตาม พรบ. ACT 582 ของมาเลเซีย มีร่าง พรบ. ที่ สามารถจัดตั้ง คณะกรรมการ ระดับชาติ รวมถึงมี หน่วยงาน ที่ตั้ง หน่วยงานและ ก าลังคน เทียบเท่าระดับ กรม ในการ รับผิดชอบและ ท าหน้าที่อย่าง บูรณาการด้าน อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีและ ปาล์มน้ ามัน ด าเนินการได้ ทันทีเป็น ความ รับผิดชอบ ของ หน่วยงาน ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงอุตสาหกรรม • กระทรวงพาณิชย์ • กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ • ส านักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา • คณะรัฐมนตรี • สภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภา ศึกษาแนวทาง การจัดตั้ง หน่วยงานและ จัดท าร่าง หลักการและ เหตุผลในการ เสนอขอขัดตั้ง หน่วยงาน ด าเนินการขอ ก าลังคนและ งบประมาณ มีผลการศึกษาที่ แสดงถึงความ จ าเป็นที่จะต้อง มีหน่วยงาน ระดับกรมในการ รับผิดชอบและ ท าหน้าที่อย่าง บูรณาการด้าน อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีและ ปาล์มน้ ามัน ด าเนินการได้ ทันทีเป็น ความ รับผิดชอบ ของ หน่วยงาน ภาครัฐ
๗๓ จัดตั้ง คณะกรรมการ เพื่อร่าง พรบ. ให้มีเนื้อหาและ หลักการในการ ส่งเสริมและ พัฒนาโอเลโอ เคมีจากปาล์ม น้ ามัน มีการก าหนดให้ มีการส่งเสริม และพัฒนา อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีจาก ปาล์มน้ ามัน ใน ร่าง พรบ. ด าเนินการได้ ทันทีเป็น ความ รับผิดชอบ ของ หน่วยงาน ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงอุตสาหกรรม • กระทรวงพาณิชย์ • กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ • ส านักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา • คณะรัฐมนตรี • สภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภา ปรับระบบโครงสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต เข้าสู่รูปแบบ Biorefinery complex ที่สามารถ ผนวกอุตสาหกรรมต้น น้ า กลางน้ าและปลาย น้ าเข้าด้วยกัน เพื่อลดต้นทุน ปรับระบบโครงสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต เข้าสู่รูปแบบ Biorefinery complex ที่สามารถ ผนวกอุตสาหกรรมต้น น้ า กลางน้ าและปลาย น้ า เข้าด้วยกัน เพื่อลดต้นทุน (ต่อ) ออกมาตรการ ส่งเสริมการ ลงทุน โดยให้ สิทธิประโยชน์ ส าหรับโครงการ ที่ใช้พืชเป็น วัตถุดิบหรือมี รูปแบบที่เป็น Biorefinery มีการเสนอแผน ลงทุนผลิตโอเล โอเคมีใน รูปแบบ Biorefinery complex อย่าง น้อย ๑ โครงการ ภายในปี๒๕๗๐ เป็นแผนที่ ควร ด าเนินการ โดย ภาคเอกชน ภายใต้การ สนับสนุน จากภาครัฐ • กระทรวงอุตสาหกรรม • กระทรวงพลังงาน • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • คณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน • บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ๔.๔.๒ ต้องปรับปรุงกฎระเบียบที่มีผลต่อห่วงโซ่คุณค่ำของอุตสำหกรรมโอเลโอเคมี แผนระยะสั น กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะ ของแผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ ทบทวนร่าง พรบ.ปาล์ม น้ ามันและ น้ ามันปาล์ม ในส่วนของ ศึกษาผลกระทบของ การห้ามการน าเข้า น้ ามันปาล์ม และการ อนุญาตให้มีการน าเข้า • อนุญาตให้การ น าเข้าส่งออกเป็นไป ตามกลไกตลาดเฉพาะ วัตถุดิบส าหรับการ ผลิตโอเลโอเคมีเพื่อ ด าเนินการ ได้ทันที เป็นความ รับผิดชอบ ของ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงพาณิชย์ • กระทรวงอุตสาหกรรม
๗๔ การน าเข้า ส่งออก วัตถุดิบและ ผลิตภัณฑ์ที่ เกี่ยวข้องกับ อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีทั้ง ระบบ วัตถุดิบส าหรับการ ผลิตโอเลโอเคมี การผลิตทดแทนการ น าเข้าและเพื่อการ ส่งออก • สร้างกลไกตลาดที่ ไม่ควบคุมการผลิต การตลาดสินค้าโอเลโอ เคมี หน่วยงาน ภาครัฐ • ภาคเอกชนที่ได้รับ ผลกระทบ • ภาคเกษตรที่ได้รับ ผลกระทบ จัดท า มาตรฐาน มอก. จัดท าข้อก าหนด คุณภาพมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ส าหรับผลิตภัณฑ์โอเล โอเคมีตลอดห่วงโซ่ คุณค่า มีมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ส าหรับผลิตภัณฑ์โอเล โอเคมีชนิดที่ใช้มากใน ประเทศไทยจ านวน ๑๐ ผลิตภัณฑ์ภายในปี ๒๕๗๐ ด าเนินการ ได้ทันที เป็นความ รับผิดชอบ ของ หน่วยงาน ภาครัฐ • ส านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ออกมาตรการ ที่ส่งเสริมให้ เกิดอุปสงค์ใน ผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีที่ เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ออกมาตรการ ที่ส่งเสริมให้ เกิดอุปสงค์ใน ผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีที่ เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม (ต่อ) • ปรับปรุงกฎระเบียบ ให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม และเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดความ ต้องการผลิตภัณฑ์โอเล โอเคมี • ใช้ช่องทางด้าน กฎหมาย โดยเฉพาะที่ เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย ความปลอดภัยและ สิ่งแวดล้อม เพื่อศึกษา วิเคราะห์ประสาน จัดท าแผนงาน ออก มาตรการให้มีการ สนับสนุนการใช้ ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี ที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม • ปรับปรุงกฎระเบียบ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัด จ้างให้เอื้อต่อการ ส่งเสริมการใช้ มีระเบียบที่ช่วยสร้าง อุปสงค์ส าหรับ ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี ตลอดห่วงโซ่คุณค่า เนื่องจากเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลาย ได้ตามธรรมชาติและ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผงซักฟอก น้ ายา ท าความสะอาด น้ ามันเครื่อง น้ ามัน ไฮดรอลิค จาระบี ด าเนินการ ได้ทันที เป็นความ รับผิดชอบ ของ หน่วยงาน ภาครัฐ โดย พิจารณา ตามความ ต้องการ ของ ภาคเอกชน • คณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ • คณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงาน • ส านักงาน คณะกรรมการก ากับ กิจการพลังงาน • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • กรุงเทพมหานคร • องค์การบริหารการ ปกครองส่วนท้องถิ่น • ส านักงาน คณะกรรมการอาหาร และยา • กรมเจ้าท่า • กรมโรงงาน อุตสาหกรรม • ส านักงานนโยบายและ แผน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม • กรมควบคุมมลพิษ
๗๕ ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีที่ ผลิตได้ภายในประเทศ • กรมส่งเสริมคุณภาพ สิ่งแวดล้อม • กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง • สถาบันยานยนต์ • การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การ ไฟฟ้านครหลวง การ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปรับปรุง ระเบียบ กฎเกณฑ์ ส่งเสริมการ ลงทุนใน อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีและ เอื้ออ านวยต่อ การสร้าง ผู้ประกอบการ รายใหม่ที่มี ศักยภาพใน การผลิต โอเลโอเคมี ภายใน ประเทศ • ปรับปรุงหลักเกณฑ์ และลดเงื่อนไขในการ ขอรับการส่งเสริมการ ลงทุนที่ไม่จ าเป็น และ เพิ่มสิทธิประโยชน์ • ศึกษาแนวทางการ ส่งเสริมและพัฒนา ผู้ประกอบการใน อุตสาหกรรมโอเลโอ เคมี มีนักลงทุนขอรับการ ส่งเสริมการผลิตโอเล โอเคมีและได้รับอนุมัติ ให้ลงทุนผลิตโอเลโอ เคมีเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน โดยเกิดการใช้น้ ามัน ปาล์มและผลิตภัณฑ์ เป็นวัตถุดิบทั้งสิ้น ๑ ล้านตัน ภายในปี ๒๕๗๐ (ไม่รวมไบโอดีเซล) ด าเนินการ ได้ทันที เป็นความ รับผิดชอบ ของ หน่วยงาน ภาครัฐ • คณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน • กระทรวงอุตสาหกรรม ๔.๔.๓ มีกำรจัดท ำแผนเพื่อยกระดับอุตสำหกรรมปำล์มน ำมันไปสู่อุตสำหกรรมกลำงน ำและปลำยน ำ แผนระยะสั น กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะของ แผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ ให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง จัดท าแผนใน การพัฒนา ศักยภาพ อุตสาหกรรม โอเลโอเคมีขึ้น เป็นการเฉพาะ ศึกษาแนวทางการ จัดท าแผน ยกระดับ อุตสาหกรรมโอเล โอเคมีและส่งแนว ทางการจัดท าแผน ให้แก่หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไป ด าเนินการต่อยอด หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องมี แผนพัฒนา ศักยภาพ อุตสาหกรรมโอเล โอเคมี เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • ส านักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม • กระทรวงพาณิชย์ • คณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน • ส านักงานเศรษฐกิจ การเกษตร
๗๖ ศึกษาแนวทางการ จัดตั้งศูนย์ทดสอบ และรับรอง มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีของ ภาครัฐหรือเอกชน มีแผนการจัดตั้ง ศูนย์ทดสอบและ รับรองมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีของ ภาครัฐหรือเอกชน อย่างน้อย ๑ แห่ง ในปี๒๕๖๕ เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและ นวัตกรรม • ส านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ ส่งเสริมการ ผลิต สารหล่อลื่น ชีวภาพ ประเภทต่างๆ ส่งเสริมการลงทุน เพื่อการต่อยอด ไปสู่สารหล่อลื่นที่ เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม มีโรงงานต่อยอด การผลิตไปสู่สาร หล่อลื่น ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม อย่างน้อย ๑ โรงงาน ภายในปี ๒๕๖๕ เช่น น้ ามันหล่อลื่น น้ ามันหม้อแปลง ไฟฟ้า น้ ามันไฮ ดรอลิค น้ ามันรีด ขึ้นรูปโลหะ สาร เปลี่ยนสถานะ (PCM) เป็นแผนที่ควร ด าเนินการโดย ภาคเอกชน • กระทรวงอุตสาหกรรม • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • คณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน • กฟผ. กฟภ. กฟน. • กระทรวงพลังงาน ส่งเสริมการ ผลิตสาร หล่อลื่น ชีวภาพ ประเภทต่าง ๆ (ต่อ) ใช้มาตรการทาง กฎหมาย กฎ ระเบียบตาม แนวทางที่ ๒ ใน การผลักดันให้เกิด แรงจูงใจในการ ผลิตสารหล่อลื่น ชีวภาพขึ้น ภายในประเทศ มีกฎ ระเบียบ ที่ท าให้เกิดความ จ าเป็นในการใช้ สารหล่อลื่น ชีวภาพ เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที คณะกรรมการนโยบายปาล์ม น้ ามันแห่งชาติ • ส านักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม • กรมควบคุมมลพิษ • กรมส่งเสริมคุณภาพ สิ่งแวดล้อม • กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง มีข้อก าหนด คุณภาพผลิตภัณฑ์ ตามมาตรฐาน มอก. ส าหรับสาร หล่อลื่นชีวภาพ ประเภทต่างๆ เช่น น้ ามันหล่อลื่น เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • ส านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
๗๗ น้ ามันไฮดรอลิค น้ ามันหม้อแปลง ไฟฟ้า จาระบี น้ ามันขึ้นรูป ตัด โลหะ น้ ามัน คอมเพรสเซอร์ เป็นต้น มีระเบียบการ ส่งเสริมการลงทุน ครอบคลุม ผู้ผลิต สารหล่อลื่น ชีวภาพ ที่ใช้ วัตถุดิบจากปาล์ม น้ ามัน เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • คณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน มีระเบียบ แนวทางและ งบประมาณ ใน การจัดตั้งศูนย์ ทดสอบและ รับรองมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์สารหล่อ ลื่นชีวภาพของ ภาครัฐหรือเอกชน ที่ให้บริการ ทดสอบคุณภาพ สารหล่อลื่นแก่ บุคคลทั่วไป เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • ส านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม • สถาบันยานยนต์ • สถาบันไฟฟ้า • การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การ ไฟฟ้านครหลวง การ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่งเสริมการ ผลิตสาร หล่อลื่น ชีวภาพ ประเภทต่าง ๆ (ต่อ) ใช้มาตรการทาง กฎหมาย กฎ ระเบียบตาม แนวทางที่ ๒ ใน การผลักดันให้เกิด แรงจูงใจในการ ผลิตสารหล่อลื่น ชีวภาพขึ้น ภายในประเทศ (ต่อ) มีแผนงาน แนวทางการ ส่งเสริมและ ยกระดับ อุตสาหกรรมสาร หล่อลื่นชีวภาพ เพื่อให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไป ด าเนินการตาม แผนต่อไป เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • ส านักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม • ส านักงานเศรษฐกิจ การเกษตร • ส านักงานพัฒนาการวิจัย การเกษตร (สวก.) • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและ นวัตกรรม มีระเบียบที่อ านวย ความสะดวกใน เป็นความ รับผิดชอบของ • กรมโรงงานอุตสาหกรรม
๗๘ การขออนุญาต จัดตั้งโรงงานผลิต สารหล่อลื่น ชีวภาพ และผ่อน ปรนเงื่อนไขที่เป็น อุปสรรค เช่น สามารถตั้ง โรงงานผลิตสาร หล่อลื่น ในพื้นที่ โรงสกัดปาล์มเดิม ได้โดยสะดวก หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • ส านักงานปลัดกระทรวง อุตสาหกรรม ใช้มาตรการทาง การเงินเพื่อ ส่งเสริมการลงทุน ในอุตสาหกรรม สารหล่อลื่นชีวภาพ จากปาล์มน้ ามัน มีมาตาการทาง การเงิน ผ่าน ธนาคารเฉพาะกิจ ของรัฐ สหกรณ์ เพื่อให้ ผู้ลงทุนมีต้นทุน ทางการเงินต่ า ในช่วง ๕ ปีแรก ของการลงทุน เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • กระทรวงการคลัง มีแผนการร่วม ลงทุนโดย หน่วยงานภาครัฐ กับผู้ประกอบการ SMEs เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐร่วมกับ ภาคเอกชน และด าเนินการ ได้ทันที • ส านักงานนวัตกรรม แห่งชาติ • ส านักงานพัฒนาการวิจัย การเกษตร (สวก.) • ส านักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ส่งเสริมการ ผลิต สารหล่อลื่น ชีวภาพ ประเภทต่าง ๆ (ต่อ) ส่งเสริมการวิจัย และพัฒนาสาร หล่อลื่นชีวภาพทุก ประเภท ทั้ง กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ รวมถึง การประยุกต์ใช้ใน อุตสาหกรรม ที่เป็น End User มีแผนงาน โครงการและ งบประมาณในการ ส่งเสริมการวิจัย และพัฒนาด้าน สารหล่อลื่น ชีวภาพจาก ปาล์มน้ ามัน เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ และ ด าเนินการได้ ทันที • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและ นวัตกรรม • ส านักงานพัฒนาการวิจัย การเกษตร (สวก.) • ส านักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
๗๙ ๔.๔.๔ มีกำรวิจัยและส่งเสริมกำรพัฒนำพันธุ์ปำล์มที่ให้ปริมำณน ำมันเมล็ดในสูง แผนระยะ กลำง กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะของ แผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ เพิ่มสัดส่วน ผลผลิตน้ ามัน เมล็ดในปาล์ม ให้เทียบเท่า ประเทศ อินโดนีเซีย ร่วมมือกับ ศูนย์วิจัยของ ต่างประเทศ ในการตัดต่อ พันธุกรรม เพื่อปรับปรุงพันธุ์ ปาล์มที่ให้ สัดส่วนน้ ามัน เมล็ดในปาล์ม มากขึ้น เพิ่มสัดส่วน ผลผลิตน้ ามัน เมล็ดในปาล์ม ร้อยละ ๕๐ ในปี๒๕๗๐ เป็นแผนที่ควร ด าเนินการโดย ภาคเอกชน ภายใต้การ อุดหนุนจาก ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบายปาล์ม น้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและ นวัตกรรม • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ • บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ลดการสกัด น้ ามันปาล์ม เกรดรวมของ โรงสกัด B ส่งเสริมให้มีการ สกัดแยกน้ ามัน เมล็ดในของโรง B การสกัดน้ ามัน ปาล์มทั้งหมด เป็นระบบแยก เมล็ดในปาล์ม ภายในปี ๒๕๖๕ เป็นแผนที่ควร ด าเนินการโดย ภาคเอกชน ภายใต้การ อุดหนุนจาก ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบายปาล์ม น้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ • กระทรวงอุตสาหกรรม ๔.๔.๕ มีระบบกำรบริหำรจัดกำรกำรรับซื อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภำพ แผนระยะกลำง กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะของ แผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ ก าหนด มาตรการรับซื้อ วัตถุดิบทะลาย ปาล์มที่เป็น มาตรฐาน เพื่อให้สามารถ ลดความผันผวน ของคุณภาพ และต้นทุน วัตถุดิบที่ ป้อนเข้าสู่ อุตสาหกรรม โอเลโอเคมี ต้นน้ า การออกข้อบังคับ ให้ต้องรับซื้อ ปาล์มตาม มาตรฐานที่ ก าหนดในคู่มือ โดยมีเจ้าหน้าที่ คัดเกรดเป็นผู้ ควบคุมตาม กฎหมาย มีระเบียบและ บังคับใช้ให้ผู้ซื้อ ขายปาล์มต้อง ปฏิบัติ ด าเนินการได้ ทันทีเป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ จัดท าคู่มือการคัด เกรดและตีราคา ปาล์มน้ ามัน มีคู่มือการคัด เกรดและตีราคา ปาล์มน้ ามันที่ เป็นมาตรฐาน ด าเนินการได้ ทันทีเป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์
๘๐ จัดท าหลักสูตร และอบรม เจ้าหน้าที่คัดเกรด และตีราคาปาล์ม น้ ามัน และออก ใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพตี ราคาผลปาล์ม มีเจ้าหน้าที่คัด เกรดประจ าจุด ซื้อขายทะลาย ปาล์มน้ ามันทุก จุด ภายในปี ๒๕๖๕ ด าเนินการ ได้ทันที เป็นความ รับผิดชอบของ หน่วยงาน ภาครัฐ • กรมวิชาการเกษตร • กรมส่งเสริมการเกษตร • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ ๔.๔.๖ มีกำรสนับสนุนกำรรับซื อไฟฟ้ำจำก Biomass และ Biogas ในอุตสำหกรรมน ำมันปำล์ม แผน ระยะยำว กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะ ของแผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ ก าหนด มาตรการ ส่งเสริมการ ผลิตไฟฟ้า จากชีวมวล และจากก๊าซ ชีวภาพ ศึกษาศักยภาพใน การผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานชีวมวล และก๊าซชีวภาพ ของผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรม ปาล์มน้ ามัน มีแผนในการผลิต กระแสไฟฟ้าใช้ เองได้ทั้งหมด ภายในปี๒๕๖๕ เป็นแผนที่ควร ด าเนินการโดย ภาคเอกชน ภายใต้การ อุดหนุนจาก ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • ส านักงานนโยบายและแผน พลังงาน • กรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรักษ์ พลังงาน • กรมธุรกิจพลังงาน ส่งเสริมการผลิต ไฟฟ้าชีวมวลและ ก๊าซชีวภาพ ตาม ศักยภาพที่มีอยู่ ทั้งหมดใน อุตสาหกรรมปาล์ม โรงงานสกัด น้ ามันปาล์มต้อง สามารถผลิต กระแสไฟฟ้าใช้ เองได้ทั้งหมด ภายในปี๒๕๖๕ เป็นแผนที่ควร ด าเนินการโดย ภาคเอกชน ภายใต้การ อุดหนุนจาก ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบาย ปาล์มน้ ามันแห่งชาติ • ส านักงานนโยบายและแผน พลังงาน • กรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรักษ์ พลังงาน • กรมธุรกิจพลังงาน ๔.๔.๗ มีกำรส่งเสริมกำรผลิตโอเลโอเคมีเพื่อเข้ำสู่ตลำดโลกที่มีอุปสงค์ทำงตลำดขนำดใหญ่และอัตรำกำรเติบโตสูง แผนระยะยำว กิจกรรม เป้ำหมำย ลักษณะ ของแผน หน่วยงำนผู้รับผิดชอบ ส่งเสริม ผู้ประกอบการ ไทยให้เกิดการ ร่วมทุนกับ ผู้ประกอบการ ส่งเสริมการ ร่วมทุนกับต่าง ประเทศ มีบริษัทไทย ร่วมทุนกับ บริษัทข้ามชาติ ด้านโอเลโอ เคมีเพิ่มขึ้น ๓ เป็นแผนที่ ควรด าเนิน การโดยภาค เอกชน ภายใต้การ • คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามัน แห่งชาติ • กระทรวงการคลัง • บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง
๘๑ โอเลโอเคมี ระดับโลก องค์กรภายใน ปี๒๕๗๐ อุดหนุนจาก ภาครัฐ ส่งเสริมการ ผลิตสาร อนุพันธ์ของ โอเลโอเคมี พื้นฐาน มีการผลิตสาร อนุพันธ์เพิ่มขึ้น ๒๐ ชนิด ในปี ๒๕๗๐ เป็นแผนที่ ควรด าเนิน การโดยภาค เอกชน ภายใต้การ อุดหนุนจาก ภาครัฐ • คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามัน แห่งชาติ • กระทรวงอุตสาหกรรม • บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ออกมาตรการ ที่ส่งเสริม การวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมี ส่งเสริมการ วิจัยและ พัฒนาทั้ง กระบวน การผลิตและ ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการ ประยุกต์ ใช้ใน อุตสาหกรรมที่ เป็น End User มีสิทธิบัตรใน กระบวนการ ผลิตและ ผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นรวม ๑๐ สิทธิบัตร ภายในปี ๒๕๗๐ เป็นแผนที่รัฐ ควรด าเนิน การและ ถ่ายทอด เทคโนโลยี ให้แก่ ภาคเอกชน • คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามัน แห่งชาติ • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม • ส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร • กระทรวงพาณิชย์ • บริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง สร้างสภาวะ แวดล้อม ที่เหมาะสมต่อ การลงทุนของ ผู้ประกอบการ โอเลโอเคมี โดยเน้น เพื่อการส่งออก ศึกษาและ ประเมินความ ต้องการและ จัดท าแผนใน การพัฒนา บุคลากรด้าน โอเลโอเคมี ทั้งในด้าน เทคโนโลยี การบริหาร จัดการและ การตลาด • มีหลักสูตร การศึกษา การฝึกอบรม ด้าน เทคโนโลยี การบริหาร จัดการและ การตลาด โอเลโอเคมี • มีสถาบัน การศึกษา สถาบัน อบรมด้าน เทคโนโลยี การบริหาร จัดการและ การตลาด โอเลโอเคมี เป็นแผนที่ ด าเนินการได้ โดย หน่วยงาน ภาครัฐ ร่วมกับ เอกชน • คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ ามัน แห่งชาติ • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม • สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
๘๒ • มีการรับรอง มาตรฐาน ด้านวิชาชีพ ให้แก่ บุคคลากร ด้านโอเลโอ เคมี
๘๓ บทที่ ๕ กำรพัฒนำอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพ : กรณีศึกษำอ้อย ๕.๑ สถำนภำพและกำรผลิตอ้อยและน ำตำลทรำยในประเทศไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีขององค์การ การค้าโลก โดยอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลถือเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องประสานการท างานกับหลายภาคส่วน ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ประกอบอ้อยเป็นพืช ที่มีกฎและระเบียบต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ท าให้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายของไทยต้องมีการพัฒนา และปรับตัวครั้งใหญ่ นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีการออกมาตรการเกี่ยวกับการเก็บภาษีความหวาน ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการบริโภคน้ าตาลลดลง ท าให้การสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมชีวภาพ เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างรายได้ และลดความผันผวนทางรายได้จากราคาน้ าตาลทราย โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกสู่อุตสาหกรรมชีวภาพ ตามมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ ของไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ ปัจจุบันในหลายประเทศทั่วโลกให้ความส าคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมท าให้กระแส และการผลิตสินค้าของโลกเน้นให้ความส าคัญกับผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพ ซึ่งถือเป็นโอกาสส าคัญ ที่มีส่วนช่วยในการผลักดันอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายสู่อุตสาหกรรมชีวภาพได้ โดยวัตถุดิบ จากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายถือเป็นวัตถุดิบที่มีศักยภาพในการพัฒนาและต่อยอดสู่อุตสาหกรรม ชีวภาพตลอดทั้งพีรามิดมูลค่าของเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) (รูปที่ ๕-๑) สามารถก่อให้เกิด รายได้ตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่า ประกอบด้วยอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพซึ่งสามารถต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) ที่ถูกน าไปใช้เป็นสารเคมี ขั้นกลางและผลิตภัณฑ์ในหลายอุตสาหกรรม ตามแนวทางประชารัฐภายใต้โมเดล Thailand 4.0 ที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การเป็นโมเดลที่เน้นคุณค่า (Value-based Economy) เน้นการขับเคลื่อนนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) เพื่อให้เติบโตอย่างสมดุลด้วยการ สร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) ที่สามารถรองรับผลกระทบจากความผันผวน ภายนอกและตอบโจทย์ความต้องการของโลกได้
๘๔ รูปที่ ๕-๑ พีรามิดมูลค่าของเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม ชีวภาพ (Bio-Hub) เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ าตาลรายใหญ่ของโลก รวมถึงเป็นประเทศ ที่มีความพร้อมทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อไปยังหลายประเทศในภูมิภาค ๕.๑.๑ สถำนภำพวัตถุดิบอ้อยของตลำดโลก ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๖๒ ปริมาณการผลิตและบริโภคน้ าตาลทั่วโลกเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นเป็น ๗.๗ พันล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ (พ.ศ. ๒๕๔๓ จ านวน ๖.๑ พันล้านคน) รวมถึงมีความต้องการใช้น้ าตาลในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น (อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม และเอทานอล) โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ผลผลิตน้ าตาลทั่วโลก อยู่ที่ประมาณ ๑๗๙ ล้านตันน้ าตาลทรายดิบ โดยผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก คือ อินเดีย (ร้อยละ ๑๙.๑), บราซิล (ร้อยละ ๑๖.๔), สหภาพยุโรป (ร้อยละ ๑๐.๐) และไทย (ร้อยละ ๘.๑) ซึ่งมีสัดส่วนดังนี้ ๑. น้ าตาลที่มาจากอ้อย สัดส่วน ร้อยละ ๗๗.๙ ของผลผลิตน้ าตาลทั้งหมด ซึ่งมาจากประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรอย่าง บราซิล และประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกอย่างอินเดียและไทย โดยอินเดียมีผลผลิตถึง ๑ ใน ๔ ของผลผลิตน้ าตาลจากอ้อยทั่วโลก รองลงมา ได้แก่ บราซิล (ร้อยละ ๒๑.๑) ไทย (ร้อยละ ๑๐.๔), จีน (ร้อยละ ๖.๗) และเม็กซิโก (ร้อยละ ๔.๙) ๒. น้ าตาลจากหัวบีท (Beet root) สัดส่วน ร้อยละ ๒๒.๑ ของผลผลิตน้ าตาล ทั้งหมด มีแหล่งผลิตหลักจากสหภาพยุโรป รองลงมา ได้แก่ รัสเซีย (ร้อยละ ๑๕.๓), สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ ๑๑.๓), ตุรกี (ร้อยละ ๖.๘) และยูเครน (ร้อยละ ๔.๔) ๕.๑.๒ สถำนภำพวัตถุดิบอ้อยในประเทศไทย ในฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๖๓ มีปริมาณอ้อยเข้าหีบ ๗๔.๘๙ ล้านตัน (-43.14 %YoY) สามารถผลิตน้ าตาลทรายได้ ๘.๒๙ ล้านตัน ปริมาณอ้อยและน้ าตาลทรายจะลดลงกว่า ร้อยละ ๔๐ จากฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ซึ่งเป็นผลจากปัญหาภัยแล้งในพื้นที่เพาะปลูกรวมถึงสภาพอากาศ ที่แปรปรวนในบางพื้นที่ (ตารางที่ ๕-๑)