The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tuahuay, 2023-10-10 19:13:43

รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy Industry)

กมธ.1

๘๕ ตารางที่ ๕-๑ ปริมาณอ้อย น้ าตาลทราย และกากน้ าตาล ตั้งแต่ฤดูการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ถึง ๒๕๖๒/๖๓ หน่วย : ล้านตัน ฤดูกำรผลิต อ้อย น ำตำล กำกน ำตำล ผลผลิตน ำตำล ต่อตันอ้อย 2557/58 105.96 11.34 4.607 0.107 2558/59 94.05 9.79 4.324 0.104 2559/60 92.95 10.03 3.894 0.108 2560/61 134.93 14.71 5.489 0.109 2561/62 130.97 14.58 5.876 0.111 2562/63 74.89 8.29 3.389 0.110 ที่มา : ส านักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทราย แม้ว่าอ้อยจะเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่มีช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม เป็นพืชที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวแบบต่อเนื่องตลอดทั้งปี แต่กลับมีน้ าตาล ทรายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเก็บรักษาได้เป็นระยะเวลานาน ดังนั้นหากมีการก าหนดปริมาณน้ าตาล ทรายคงคลังให้สามารถรองรับการด าเนินการผลิตในอุตสาหกรรม Bio economy ได้ตลอดทั้งปี ปัญหาจากความไม่สม่ าเสมอของปริมาณการผลิตในแต่ละช่วงปีของอุตสาหกรรมการผลิตน้ าตาลทราย จะไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนา Bio economy ของประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการโรงงานน้ าตาลจ านวนทั้งสิ้น ๕๗ แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งเพาะปลูกเนื่องจากช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบให้ตรง ตามแผนการผลิต ประหยัดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสะดวกในการติดต่อ ส่งเสริม หรือให้ความ ช่วยเหลือแก่เกษตรกร โดยกาญจนบุรีมีจ านวนโรงงานน้ าตาลมากที่สุด จ านวน ๘ แห่ง รองลงมา เป็นอุดรธานี จ านวน ๔ แห่ง และชลบุรี จ านวน ๔ แห่ง รายละเอียดดังตารางที่ ๕-๒


๘๖ ตารางที่ ๕-๒ ผู้ประกอบการโรงงานน้ าตาลของประเทศไทย ผู้ประกอบกำร จ ำนวนโรงงำน กลุ่มไทยรุ่งเรือง 10 กลุ่มมิตรผล 7 กลุ่มท่ามะกา 5 กลุ่มไทยเอกรักษ์ 3 กลุ่มชลบุรี 3 กลุ่มโคราช 2 กลุ่มน้ าตาลและอ้อยตะวันออก 2 กลุ่มบ้านโป่ง 2 กลุ่มวังขนาย 4 กลุ่มไทยกาญจนบุรี 2 กลุ่มกุมภวาปี 2 กลุ่มราชบุรี 2 กลุ่มมิตรเกษตร 2 กลุ่มระยอง 2 อื่น ๆ 9 รวม 57 อ้อยและผลิตภัณฑ์จากอ้อยสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม โดยเมื่ออ้อยถูกส่งเข้ากระบวนการหีบในโรงงานเพื่อผลิตเป็นน้ าตาลทรายจะมีผลิตภัณฑ์พื้นฐาน ดังนี้ ๑. น้ าตาลทราย ตามประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทราย เรื่อง ก าหนดชนิด และคุณภาพน้ าตาลทรายที่ให้โรงงานผลิต พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้แบ่งน้ าตาลทรายเป็น ๕ ชนิด คือ ๑.๑ น้ าตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เป็นน้ าตาลที่มีผลึกซูโครสที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก สีขาวสะอาด มีสิ่งเจือปนอื่น ๆ ติดอยู่เป็นส่วนน้อยที่สุด ๑.๒ น้ าตาลทรายขาว ประกอบด้วยน้ าตาลทรายขาวเกรด ๑-๓ ซึ่งมีผลึกซูโครส ที่มีความบริสุทธิ์สูง สีขาวมีสิ่งเจือปนอื่น ๆ ติดอยู่ส่วนน้อย ๑.๓ น้ าตาลทรายดิบ เป็นน้ าตาลที่มีผลึกซูโครสมีความบริสุทธิ์ต่ า มีสีอ่อนถึงสีเข้ม ตามสีของกากน้ าตาลที่หุ้มอยู่รอบผลึก ๑.๔ น้ าเชื่อมส าหรับใช้เป็นวัตถุดิบ เป็นน้ าตาลทรายที่อยู่ในรูปของเหลว และไม่สามารถน าไปบริโภคได้โดยตรง ๑.๕ น้ าตาลทรายชนิดพิเศษ เป็นน้ าตาลที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากน้ าตาล ทรายขาวบริสุทธิ์ น้ าตาลทรายขาว น้ าตาลทรายดิบ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด และไม่ใช่น้ าเชื่อมส าหรับ ใช้เป็นวัตถุดิบ


๘๗ ๒. ชานอ้อย คือ เศษเหลือของล าต้นอ้อยมีลักษณะเป็นเส้นใยที่หีบเอาน้ าอ้อย หรือน้ าตาลออกจากท่อนอ้อยแล้ว เป็นวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรจากโรงงานอุตสาหกรรมผลิตน้ าตาล ประโยชน์ที่ได้จากชานอ้อย ได้แก่ - การผลิตไฟฟ้า ชานอ้อยเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการหีบอ้อยซึ่งมีปริมาณ น้ าตาลติดอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเหลือเป็นเส้นใยอ้อย (Fiber) กับน้ าที่อยู่ในรูปของความชื้น และของแข็งที่ละลายน้ าได้เล็กน้อย ปริมาณชานอ้อยที่ได้จากการหีบอ้อยคิดเป็นร้อยละ ๒๘-๒๙ โดยประมาณของปริมาณอ้อยที่เข้าหีบ มีความชื้นร้อยละ ๔๘-๕๓ มีความหนาแน่นค่อนข้างต่ าประมาณ ๑๖๐ กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มีคุณสมบัติติดไฟง่าย ประกอบด้วยธาตุหลัก คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน มีค่าความร้อนของเชื้อเพลิง (Low Heating Value) ที่ 7.53 MJ/kg มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสามารถน าไปใช้เป็นเชื้อเพลิงของเตาหม้อ-น้ า (Boiler) ใช้ผลิตไอน้ าส าหรับ เป็นแหล่งพลังงานความร้อนในกระบวนการผลิตน้ าตาล โดยไอน้ าที่ผลิตได้จะถูกน าไปใช้ในกระบวนการ ผลิตน้ าตาลโดยผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน และนอกจากนี้ไอน้ าที่ผลิตได้สามารถน าไปผลิต กระแสไฟฟ้าใช้ในโรงงานด้วยการน าไปขับกังหันไอน้ า (Turbine) เพื่อผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องก าเนิดไฟฟ้า ในบางโรงงานสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เหลือใช้และสามารถจ าหน่ายให้กับการไฟฟ้า มีข้อมูลระบุว่า ในกระบวนการผลิตน้ าตาล อ้อยสดจ านวน ๑ ตัน เมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปต่าง ๆ จะใช้พลังงาน ทั้งสิ้นโดยประมาณ ๒๕-๓๐ กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้ไอน้ า ๐.๔ ตัน เพื่อให้ได้น้ าตาลที่เหลือจะเป็นชานอ้อย ประมาณ ๒๙๐กิโลกรัม ที่มีค่าเทียบเท่ากับพลังงานไฟฟ้าได้ถึง ๑๐๐ กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง (นิตยากานต์, ม.ป.ป.) - บรรจุภัณฑ์อาหาร ท าจากเยื่อกระดาษชานอ้อยเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตร กับผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลผลิตจากเทคโนโลยีชีวภาพที่น าวัสดุเหลือใช้อย่างชานอ้อยที่เหลือ จากอุตสาหกรรมผลิตน้ าตาลมาใช้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ าตาลจึงท าให้มีชานอ้อยที่เหลือ จากการผลิตเป็นจ านวนมาก จึงสามารถน ามาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ส าหรับใส่อาหารทดแทนการใช้กล่องโฟม ที่สร้างปัญหากับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ได้ โดยกระบวนการผลิตเริ่มจากการน าเยื่อกระดาษชานอ้อย ไปผสมตีผ่านกระบวนการป้องกันน้ ารั่วซึมและขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น จาน ชาม ถาด ถ้วยน้ า และกล่องพร้อมฝาปิด เป็นต้น โดยเมื่อน าบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยมาเปรียบเทียบกับกล่องโฟมจะเห็นว่า บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยจะมีสีหม่นไม่ขาวสะอาดเหมือนกล่องโฟม เนื่องจากในกระบวนการผลิตจะไม่ใช้ คลอรีนฟอกสีท าให้สีที่ได้ไม่ขาวสะอาดแต่จะมีการฆ่าเชื้อก่อนถึงมือผู้บริโภคที่อุณหภูมิ ๑๖๐ o C โดยในกระบวนการผลิตจะไม่เหลือของเสียจากการผลิตและสามารถน ากลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ ได้ทั้งหมดและยังใช้เวลาในการย่อยสลายได้เองในธรรมชาติภายใน ๓๐-๔๕ วัน (รูปที่ ๕-๒) ในขณะที่ โฟมไม่สามารถย่อยสลายได้เองและต้องสิ้นเปลืองพลังงานและสร้างของเสียจากกระบวนการผลิต และก าจัด โดยบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยผลิตจากธรรมชาติ ๑๐๐% สามารถทนความเย็นและความร้อนสูง ได้ตั้งแต่ -๔๐ ถึง ๒๒๐ o C จึงสามารถใช้กับการแช่แข็งหรือใช้เป็นภาชนะในเตาไมโครเวฟหรือเตาอบได้ โดยไม่ก่อสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อถูกความร้อนซึ่งต่างจากโฟมทั่วไปที่ ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเคมีที่ต้องอาศัยการน าเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ถึงแม้ว่าบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย จะเป็นมิตรกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อมแต่ก็ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในบ้านเรา ขณะที่ประเทศในแถบยุโรป อเมริกา หรือญี่ปุ่นกลายเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากกว่าโฟมเนื่องจากปลอดภัยต่อผู้บริโภค แต่มีราคาที่สูงกว่าโฟมประมาณ ๒ เท่า ส าหรับประเทศไทยยังไม่มีการสนับสนุนที่ชัดเจน


๘๘ หากมีการสนับสนุนให้ใช้บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยมากขึ้นอาจท าให้ราคาของบรรจุภัณฑ์ถูกลงได้ (สถาบันไทยพัฒน์, ๒๕๕๔) รูปที่ ๕-๒ กระบวนการผลิตเพื่อน ากลับมาใช้ใหม่ของบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย ปาร์ติเคิลบอร์ด การผลิตปาร์ติเคิลบอร์ดส่วนใหญ่มักเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้งาน ภายในอาคารมากกว่าใช้งานภายนอกอาคาร โดยเฉพาะการใช้งานในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะส าหรับผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนไม้หรือแผ่นชิ้นไม้อัด เพราะสามารถใช้วัตถุดิบจากไม้หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่ให้ชิ้นไม้หรือเส้นใยในการผลิต เช่น ชานอ้อยโดยผสมกับสารยึดติด สารเคลือบผิวกันซึม และสารเติมแต่งอื่นๆ ผ่านกระบวนการอัดร้อน และทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางกล เพื่อให้ตรงตามมาตราฐานอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ที่ก าหนดไว้ ซิลิกา เป็นผลึกของแข็งสีขาวที่ไม่ละลายน้ าเกิดจากสารประกอบทางเคมี ระหว่างธาตุซิลิกอนกับธาตุออกซิเจนมีสูตรทางเคมี คือ SiO2 มีทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์ โดยซิลิกาที่เกิดเองตามธรรมชาติจากสิ่งมีชีวิต เช่น ซิลิกาที่มีในสาหร่ายเปลือกแข็ง หรือไดอะตอม มีขนาดอนุภาคเล็ก และมีพื้นที่ผิวจ าเพาะมากกว่าถูกน ามาใช้เป็นสารดูดความชื้น สารดูดซับ สารเพิ่มความแข็งแรง สารเติมแต่ง และองค์ประกอบของตัวเร่งปฏิกิริยา จากการศึกษาองค์ประกอบทาง เคมีของขี้เถ้าชานอ้อยพบว่ามีปริมาณซิลิกาสูงมากกว่า ร้อยละ ๙๐ เหมาะแก่การน ามาใช้เป็นแหล่งซิลิ กาในการสังเคราะห์วัสดุที่มีซิลิกาเป็นองค์ประกอบ เช่น ซิลิกาเจล ซีโอไลต์ และซิลิกอนคาร์ไบด์ เป็นต้น สามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกันไปตามแต่คุณสมบัต ิซึ่งปัจจุบันซิลิกามีบทบาทส าคัญ ทั้งในอุตสาหกรรมและการศึกษาวิจัยรวมถึงมีการน าไปใช้ในอุตสาหกรรมหลายแขนง เช่น อุตสาหกรรมยาง สามารถใช้เป็นสารเสริมแรงเพราะการเติมสารตัวเติมลงไป ในยางจะช่วยปรับปรุงสมบัติเชิงกลต่าง ๆ ของยางให้ดีขึ้น โดยเฉพาะค่าความแข็ง โมดูลัส ความทนทาน ต่อแรงดึง ความทนทานต่อการฉีกขาด และความต้านทานต่อการขัดถู เป็นต้น


๘๙ อุตสาหกรรมซีเมนต์ ใช้ประโยชน์จากซิลิกาที่มีขนาดอนุภาคระดับนาโนเมตร เพื่อใช้เป็นส่วนผสมเพิ่มเติมท าให้ได้คอนกรีตคุณภาพสูงหรือคอนกรีตที่ยังไม่แข็งตัวมีความสามารถ ในการไหลเทดีขึ้น อุตสาหกรรมยา เป็นสารช่วยเพิ่มแรงตึงผิวและช่วยในการกระจายตัวของยา ชนิดที่เป็นของเหลว อุตสาหกรรมอาหาร สามารถใช้เป็นตัวดูดจับความชื้นเพื่อการถนอมอาหาร และใช้ในการกรองน้ าดื่ม อุตสาหกรรมสี สามารถใช้เป็นตัวควบคุมการไหลของสี อุตสาหกรรมเครื่องส าอาง สามารถใช้เป็นตัวช่วยดูดซับน้ า การน าชานอ้อยมาใช้เป็นแหล่งซิลิกาในการสังเคราะห์วัสดุที่มีซิลิกา เป็นองค์ประกอบจะช่วยเพิ่มมูลค่าจากชีวมวลที่ได้จากการเกษตรและยังสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ ในเชิงอุตสาหกรรมได้ (พัชรินทร์, ๒๕๕๓) ถ่านชีวภาพ (Biochar) สามารถผลิตได้โดยใช้เคมีเชิงความร้อนจากวัตถุดิบ ประเภทอินทรีย์ ซึ่งชานอ้อยเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่ดีเนื่องจากมีองค์ประกอบของคาร์บอนสูง โดยในระหว่างที่มีการย่อยสลายอินทรียวัตถุภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจนจ ากัดและที่ความร้อนสูง (๓๐๐-๗๐๐ o C) จะเกิดการแยกสลายและระเหยออก ท าให้ผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณคาร์บอนสูงเกิดรูพรุน โดยทั่วไปสามารถน ามาใช้เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับดิน ซึ่งแตกต่างจากถ่านทั่วไปซึ่งเดิมผลิตจากถ่านหิน และใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยถ่านชีวภาพได้ถูกน ามาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๘ สามารถน ามาเปลี่ยนเป็นถ่าน กัมมันต์(Activated carbon) โดยการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติทางกายภาพหรือทางเคมีเพื่อสร้างให้เกิด รูพรุนและน าไปใช้ส าหรับงานดูดซับ ซึ่งในปัจจุบันมีการน าไปใช้ในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความ อุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน การใช้เป็นเชื้อเพลิง การใช้เป็นวัสดุดูดซับ และการกักเก็บคาร์บอน เป็นต้น (Eggleston and Isabel, 2015) ๓. กากหม้อกรอง (Filter Cake) คือ ส่วนที่เป็นกากปนไปกับน้ าอ้อยหลังจากผ่าน เครื่องหีบแล้วก่อนที่จะส่งน้ าอ้อยผ่านเข้าเครื่องต้ม เพื่อให้ได้น้ าอ้อยเข้มข้นที่จะท าเป็นน้ าตาลทราย ต่อไป โดยน้ าอ้อยดังกล่าวจะต้องถูกกรองเอาเศษผงที่ติดมาออกก่อน ซึ่งกากที่ผ่านการกรองที่ค่อนข้าง ละเอียดนี้เรียกว่า Filter cake ซึ่งสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ - ปุ๋ยอินทรีย์ กากหม้อกรองถูกน ามาใช้ท าปุ๋ยในหลายประเทศทั่วโลก เช่น บราซิล อินเดีย ออสเตรเลีย คิวบา ปากีสถาน ไต้หวัน แอฟริกาใต้ และอาร์เจนตินา โดยปุ๋ยดังกล่าว ประกอบด้วยอินทรียวัตถุและแร่ธาตุที่มีความจ าเป็นต่อพืช ประกอบด้วยอินทรียวัตถุ ร้อยละ ๒๙.๖ ไนโตรเจน ร้อยละ ๑.๔ ฟอสฟอรัส ร้อยละ ๑.๒ โพแทสเซียม ร้อยละ ๐.๒ แคลเซียม ร้อยละ ๒.๗ แมกนีเซียม ร้อยละ ๑.๑ ซัลเฟอร์ ร้อยละ ๐.๒ พีเอช ๘.๒ และสัดส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน เท่ากับ ๑๒ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่เหมาะสมทางการเกษตรสามารถน ามาใช้ทดแทนแร่ธาตุที่พืชต้องการ ในบางส่วนได้และยังพบว่ามีการน ามาปรับใช้กับแปลงเพาะปลูกอ้อย ซึ่งในประเทศบราซิลมีการน า กากหม้อกรองมาปรับใช้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ใส่ผสมลงดิน ๘๐-๑๐๐ ตันต่อเฮกตาร์, ใช้ผสมรองก้นหลุม ๑๕-๓๐ ตันต่อเฮกตาร์ และใส่ระหว่างร่องปลูก ๔๐-๕๐ ตันต่อเฮกตาร์ ผลของการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติทางเคมีเมื่อใส่กากหม้อกรองลงดิน คือ เพิ่มปริมาณไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และแคลเซียม,


๙๐ เพิ่มความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวก, ลดความเข้มข้นของปริมาณอะลูมินัมที่แลกเปลี่ยนได้(Al3+ ) และลดความเป็นพิษต่อพืช เป็นประโยชน์ต่อลักษณะทางกายภาพและชีวภาพของดิน (Prado et al., 2013) รายงานจากประเทศอียิปแสดงให้เห็นว่าการใช้กากหม้อกรองที่ผสมกับ หินฟอสเฟตในแปลงปลูกหัวหอมอินทรีย์พบว่าช่วยในการปรับปรุงธาตุอาหารของพืช ช่วยเรื่องการ เจริญเติบโตและผลผลิตของพืช อีกทั้งยังมีผลช่วยเพิ่มคุณภาพของสินค้าส่งออกอีกด้วย (Abo-Baker Basha, 2011) เช่นเดียวกับประเทศคิวบามีการศึกษาถึงผลิตภาพการผลิตอ้อยที่ได้รับอินทรียวัตถุและแร่ธาตุ จากกากหม้อกรอง พบว่ามีผลในการปรับปรุงโครงสร้างของดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี โดยมีการใช้กากหม้อกรอง ๑๕ ตันต่อเฮกตาร์ ร่วมกับซีโอไลต์ ๒ ตันต่อเฮกตาร์ปุ๋ยฟอสเฟต ๔ ตันต่อเฮกตาร์ และหินแคลคาเรียส ๒ ตันต่อเฮกตาร์ ซึ่งส่งผลดีต่อคุณสมบัติของดินที่ใช้ในการเพาะปลูกและผลิตผล ทางอุตสาหกรรมมากว่า ๓ ปี ส่วนในประเทศสวาซิแลนด์กากหม้อกรองถือเป็นปัญหาของเมืองและไม่มี การน ามาใช้ประโยชน์กันอย่างแพร่หลาย แต่มีบางรายงานที่พบว่าน ามาใช้ในแปลงปลูกมันส าปะหลัง และมันเทศ โดยการเติมกากหม้อกรอง ๖๐ ตันต่อเฮกตาร์ ช่วยให้ผลผลิตมันส าปะหลังเพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ ๕๐ (Ossom, 2007) ไขอ้อยจากกากหม้อกรองประกอบด้วยกากใย ร้อยละ ๑๕-๓๐ โปรตีน ร้อยละ๑๕-๓๐ น้ าตาลกลูโคส ร้อยละ ๕-๑๕ แร่ธาตุและไขอ้อย ร้อยละ ๕-๑๕ โดยในไขอ้อยมีสารโพลีโคซานอล (Policosanol) และไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต ลดไขมัน แอลดีแอล ลดไตรกลีเซอไรด์ ลดปริมาณคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือด และช่วยป้องกันการเกิด โรคหัวใจ ซึ่งเหมาะต่อการน าไปพัฒนาต่อยอดเพื่อผลิตเป็นอาหารเสริมไว้ใช้เองในประเทศ เนื่องจากสารโพลีโคซานอลในต่างประเทศมีราคาขายสูงถึงกิโลกรัมละ ๒๐,๐๐๐ บาท โดยไขอ้อย ที่สกัดได้สามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ด้านอาหารในการเคลือบหมากฝรั่งหรือลูกอม ซึ่งเป็นตัวช่วยในเรื่องของความเงางาม การยืดอายุอาหาร และเป็นสารเพิ่มความหนืดในผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับความงามซึ่งน ามาใช้ในการผลิตลิปสติก โลชั่น ครีมทามือ ครีมบ ารุงเล็บ ครีมบ ารุงผม ทดแทนการใช้ไขมันอื่น เช่น ไขคาร์โนบา ไขผึ้ง หรือไขมันวัว เป็นต้น และยังสามารถใช้เป็นวัสดุห่อหุ้ม สารส าคัญในการออกฤทธิ์ของเครื่องส าอางค์ เช่น การปลดปล่อยวิตามินในครีมบ ารุงผิว สารแอนติ-ออกซิแดนต์ (Antioxidant) สามารถน าไปต่อยอดใช้จริงในอุตสาหกรรมเพื่อขยายโอกาส ในการเพิ่มมูลค่าและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลในประเทศไทยต่อไป (ไววิทย์, ๒๕๕๗) ๔. กากน้ าตาล (Molasses) เป็นผลิตผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ าตาล แยกออกจากกระบวนการผลิตน้ าตาลทรายในขั้นตอนสุดท้าย ด้วยการแยกออกจากเกล็ดน้ าตาล โดยวิธีการปั่น (Centrifuge) ซึ่งไม่สามารถตกผลึกเป็นเกล็ดน้ าตาลได้ด้วยวิธีทั่วไป และไม่น ากลับมา ใช้ผลิตน้ าตาลทรายอีก มีลักษณะเป็นของเหลว สีน้ าตาลด า มีความหนืดและเข้มข้นสูง สามารถน ามา ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยอ้อย ๑ ตัน เมื่อผ่านกระบวนการผลิตน้ าตาลจะมีส่วนของกากน้ าตาล ประมาณ ๔๕-๕๐ กิโลกรัม ดังนั้น ผลผลิตกากน้ าตาลในแต่ละปีจะมีมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับปริมาณ อ้อยเข้าหีบของโรงงานน้ าตาลในแต่ละปี รวมถึงคุณภาพอ้อยและประสิทธิภาพการผลิตน้ าตาลของ โรงงาน


๙๑ กากน้ าตาลถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่มีศักยภาพเนื่องจากเป็นแหล่งของ คาร์โบไฮเดรตที่สามารถน าไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในหลายอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับน้ าตาล ทรายดิบ มันส าปะหลัง และวัตถุดิบทางเลือกชนิดอื่น ซึ่งมีข้อดี-ข้อด้อย ดังตารางที่ ๕-๓ ตารางที่ ๕-๓ ข้อดี-ข้อด้อย ของการใช้กากน้ าตาลเป็นวัตถุดิบ ข้อดี ข้อด้อย ๑. เป็นผลพลอยได้ที่เกิดจากระบวนการผลิตน้ าตาล ซึ่งประเทศไทยมีโรงงานน้ าตาลกระจายอยู่เกือบครบ ทุกภาคท าให้สะดวกในการจัดหาและลดต้นทุนค่า ขนส่ง ๒. มีการแบ่งปันรายได้สู่ระบบอุตสาหกรรมอ้อย และน้ าตาลทราย ๓. มีองค์ประกอบของแหล่งอาหารชนิดอื่น ที่เชื้อจุลินทรีย์ต้องการรวมถึงสารที่ช่วยปรับสมดุล กรด-ด่าง รวมอยู่ด้วย ๔. ราคาไม่สูง ๑. คุณภาพไม่สม่ าเสมอขึ้นกับคุณภาพอ้อย ประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ าตาล รวมถึงการเก็บรักษา ๒. คุณภาพของกากน้ าตาลอาจลดลง ในระหว่างการจัดเก็บต้องมีการควบคุม และตรวจสอบสภาวะในการจัดเก็บ ๓. ใช้พื้นที่จัดเก็บมาก กากน้ าตาลสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางนอกเหนือจากการ น าไปใช้ผสมโดยตรงเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติในอาหารสัตว์ ปัจจุบันยังถูกน าไปใช้เป็นวัตถุดิบ ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) ซึ่งเป็นหนึ่งใน อุตสาหกรรมเป้าหมาย (อุตสาหกรรมอนาคต : New S-curve) รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ๑. อุตสาหกรรมผลิตแอลกอฮอล์และเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง กากน้ าตาลถือเป็นวัตถุดิบหลักที่ถูกน ามาใช้ในกระบวนการผลิตเอทานอล ของไทย จากข้อมูลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ มีการใช้กากน้ าตาลเป็นวัตถุดิบถึง ร้อยละ ๕๔ ของการใช้วัตถุดิบทั้งหมด โดยกากน้ าตาล ๑ ตัน สามารถผลิตเอทานอลได้ประมาณ ๒๓๐ - ๒๕๐ ลิตร โดยปริมาณที่ผลผลิต (Yield) ที่ได้ขึ้นอยู่กับ คุณภาพของกากน้ าตาลและประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานเอทานอล โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ นอกจากนั้นกากน้ าตาลยังถูกน าไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแอลกอฮอล์ที่ใช้ ในห้องปฏิบัติการอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องส าอาง ยา และการแพทย์อีกด้วย โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่เพียง รายเดียวของประเทศ คือ องค์การสุรา กรมสรรพสามิต ซึ่งในอนาคตมีแผนในการพลักดันผลิตภัณฑ์ รองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงอื่น ๆ อีกด้วย เช่น กลุ่มแอลกอฮอล์เกรดพรีเมียมรองรับอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ในกระบวนการผลิตในส่วนที่ต้องการความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ๒. อุตสาหกรรมสุรา กากน้ าตาลจากอ้อยในประเทศไทยถือเป็นวัตถุดิบส าคัญในอุตสาหกรรมสุรา ของประเทศไทย จากการสอบถามผู้ประกอบการสุราหลายแห่งพบว่ากากน้ าตาลของไทยกับกากน้ าตาล


๙๒ จากต่างประเทศเมื่อน ามาใช้ในการผลิตสุราพบว่าให้กลิ่นและรสสัมผัสที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังเป็นเอกลักษ์ และความนิยมในแต่ละพื้นที่ แม้จะเคยมีการน าเข้ากากน้ าตาลจากต่างประเทศมาใช้ทดแทนในช่วง ที่กากน้ าตาลขาดตลาดหรือมีราคาที่สูงแต่ก็ยังไม่สามารถน ามาใช้ทดแทนได้ จากข้อมูลของกรมโรงงาน (ณ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) พบว่ามีการขึ้นทะเบียนโรงงานในประเภทโรงงานล าดับที่ ๑๖ : โรงงาน ต้ม กลั่น หรือผสมสุรา กว่า ๓๐ โรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กากน้ าตาลเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ๓. อุตสาหกรรมผลิตยีสต์ ยีสต์เป็นแหล่งของโปรตีนสามารถใช้เป็นทั้งอาหารคนและอาหารสัตว์ รวมถึงเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเชื้อเพลิง เป็นต้น โดยกากน้ าตาลจะถูกน ามา ใช้เป็นองค์ประกอบส าหรับการเลี้ยงเชื้อยีสต์เนื่องจากเป็นแหล่งของไบโอติน (Biotin) ที่ยีสต์ใช้ในการ เจริญเติบโตซึ่งไม่พบในกากน้ าตาลที่มาจากบีท เมื่อยีสต์โตและมีจ านวนที่มากจะแยกเซลล์ยีสต์ มาผ่านกระบวนการท าแห้งเก็บในรูปผงเพื่อน าไปใช้ต่อไป ๔. อุตสาหกรรมผลิตเคมีชีวภาพ กากน้ าตาลสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการหมักต่าง ๆ เพื่อให้ได้ เคมีชีวภาพที่ต้องการโดยอาศัยการผลิตของเชื้อจุลินทรีย์ โดยเชื้อจุลินทรีย์จะใช้กากน้ าตาลเป็นแหล่ง อาหารส าหรับการเจริญเติบโต เช่น การผลิตกรดน้ าส้ม (Acetic acid) กรดมะนาว (Citric acid) กรดแลคติก (Lactic acid) เป็นต้น ซึ่งเคมีชีวภาพดังกล่าวสามารถน าไปใช้เป็นสารเคมีขั้นต้น ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมยา และอุตสาหกรรม พลาสติก เป็นต้น ๕. อุตสาหกรรมผลิตผงชูรส ปัจจุบันก ารผลิตผงชู รสถูกผลิตขึ้นด้ วยก า รหมักด้ วยเชื้อจุลินท รีย์ Corynebacterium glutanicum โดยใช้มันส าปะหลังหรือกากน้ าตาลเป็นวัตถุดิบ โดยเชื้อจุลินทรีย์ จะเปลี่ยนสารตั้งต้นเป็นกรดกลูตาเมต ส าหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาจเป็นแป้งมันส าปะหลัง หรือกากน้ าตาลขึ้นอยู่กับราคาต้นทุนวัตถุดิบ และเทคโนโลยีของแต่ละโรงงานเป็นส าคัญ โดยสัดส่วน ต้นทุนการผลิตจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบถึงร้อยละ ๖๐ โดยการใช้กากน้ าตาลจะดีกว่ามันส าปะหลัง เนื่องจากไม่ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ าตาล แต่จะต้องเปลี่ยนน้ าตาลโมเลกุลคู่บางส่วน ให้เป็นน้ าตาลโมเลกุลเดี่ยวก่อน จากที่กล่าวข้างต้นจะพบว่ากากน้ าตาลเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่มีศักยภาพ เช่นเดียวกับวัตถุดิบทางเลือกชนิดอื่น สามารถน ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคตโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ ที่จะใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของเชื้อจุลินทรีย์ในการผลิตสารเคมีชีวภาพขั้นต้นชนิดต่าง ๆ ตามที่ต้องการซึ่งสามารถน าไปต่อยอดได้ในอีกหลายอุตสาหกรรม ซึ่งกากน้ าตาลถือเป็นวัตถุดิบที่เหมาะ ต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์เกือบทุกชนิด ทั้งนี้การพิจารณาเลือกใช้วัตถุดิบยังคงขึ้นกับต้นทุน การผลิตรวมถึงเทคโนโลยีการผลิตของแต่ละโรงงานร่วมด้วย


๙๓ ๕.๒ ห่วงโซ่คุณค่ำของอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพจำกอ้อย ๕.๒.๑ โครงสร้ำงอุตสำหกรรมและกำรเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่คุณค่ำของผลิตภัณฑ์ชีวภำพจำกอ้อย การแปรรูปอ้อย เริ่มจากการน าอ้อยเข้าสู่กระบวนการหีบ ซึ่งจะได้ผลผลิต คือ น้ าอ้อย โดยมีผลพลอยได้ คือ ชานอ้อย น้ าอ้อยที่ได้จากการหีบจะน าไปผ่านกระบวนการ ท าให้สะอาด (Clarification) โดยการกรองผ่านหม้อกรองสุญญากาศ (Vacuum Rotary Filter) กากหรือสิ่งเจือปนที่อยู่ในน้ าอ้อยจะถูกแยกออกจากน้ าอ้อย เรียกว่า กากตะกอนหม้อกรอง ซึ่งกากตะกอนหม้อกรองสามารถน ามาใช้ในการผลิตปุ๋ยชีวภาพได้ น้ าอ้อยที่ผ่านกระบวนการกรองแล้วจะถูกน าไปผ่านกระบวนการให้ความดัน และความร้อน เพื่อให้เกิดการตกผลึกเป็นน้ าตาลทรายดิบ อย่างไรก็ดี น้ าตาลทรายดิบที่ผลิตได้ยังเป็น น้ าตาลที่ไม่สามารถบริโภคได้และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากยังเป็นน้ าตาลที่มีสิ่งเจือปนอยู่มาก จึงต้องมีการน าน้ าตาลทรายดิบผ่านเข้าสู่กระบวนการท าให้บริสุทธิ์และปรับสี เพื่อผลิตเป็นน้ าตาล ทรายขาวและน้ าตาลทรายขาวบริสุทธิ์ที่สามารถน ามาบริโภคได้ นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ได้ คือ น้ าเชื่อมหรือน้ าตาลทรายแล้ว ผลพลอยได้ที่ได้จาก กระบวนการหีบอ้อย สามารถน าไปใช้แปรรูปในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรม และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยกากอ้อย หรือ ชานอ้อย (Bagasse) ซึ่งเป็นส่วนของล าต้นอ้อยที่ถูกหีบ เอาน้ าอ้อยออกไปแล้ว เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแปรรูปอ้อย ซึ่งสามารถน าไปใช้เป็นเชื้อเพลิง ส าหรับผลิตกระแสไฟฟ้า รวมถึง สามารถน าไปผลิตเป็นเยื่อกระดาษพาร์ติเคิลบอร์ด (Particle Board) หรือชานอ้อยอัดแผ่น เพื่อใช้เป็นวัสดุทดแทนไม้อัดในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้นอกจากนี้ เส้นใยที่สกัดได้ จากชานอ้อยสามารถน ามาใช้ในการ Compound รวมกับเม็ดพลาสติก เพื่อใช้ในการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ พลาสติก ทั้งนี้ พลาสติกผสมดังกล่าวในปริมาณของวัสดุจากพืชที่มากเพียงพอสามารถยอมรับ เป็นพลาสติกชีวภาพได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง น้ าเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตเอทานอล สามารถน าไปผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถน าไปผลิตไฟฟ้าและความร้อน และน ากลับไปใช้ในกระบวนการผลิตได้ กากน้ าตาล (Molasses) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวหนืดข้นสีน้ าตาลเข้ม ไม่สามารถตกผลึกเป็นน้ าตาลทรายได้อีกแล้ว เนื่องจากไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ นิยมน าไปใช้เป็น วัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น เอทานอล ผงชูรส ไลซีนส าหรับผลิตอาหารสัตว์ ใช้เป็นอาหาร ส าหรับยีสต์ กรดแลคติก เป็นต้น ทั้งนี้ ต่อมา เมื่อโลกได้เข้าสู่กระแสอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้มีความพยายามในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพขึ้น โดยน าวัตถุดิบทางการเกษตรมาแปรรูปให้เกิด มูลค่าเพิ่ม ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืน น้ าตาลทรายซึ่งมีส่วนประกอบที่ส าคัญ คือ ซูโครส เป็นหนึ่งในแหล่งวัตถุดิบชีวมวลทางเลือกที่สามารถน าไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่มีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว (รูปที่ ๕-๓)


๙๔ รูปที่ ๕-๓ อุตสาหกรรมการแปรรูปอ้อยและน้ าตาลทราย และการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อัตราแปลงผลผลิต


๙๕ มูลค่าผลผลิต จากแผนภาพในข้างต้น อ้อยและผลิตภัณฑ์จากอ้อยสามารถน ามาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ต่อเนื่องได้หลากหลาย ดังรายละเอียดแสดงใน ตารางที่ ๕-๔


๙๖ ตารางที่ ๕-๔ ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทราย วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ กำรน ำไปใช้ น้ าอ้อย/ น้ าเชื่อม/ น้ าตาลทราย เคมีชีวภำพ - กรดแลคติก - กรดซักซินิก - กรดอะซิติก - กรดซิตริก - ไซลิทอล / ซอบิทอล - กรดอะมิโน เช่น ไลซีน - พลาสติกชีวภาพ : พอลิแลคติกแอซิด - ยาและเครื่องส าอาง - พลาสติกชีวภาพ : พอลิบิวทิลีนซัคซิเนต - อาหารและเครื่องดื่ม : น้ าส้มสายชู - ยา : ยาแอสไพริน - การเคลือบและกาว - อาหารและเครื่องดื่ม : สารให้กลิ่น รส ในอาหารแปรรูป - ยาและเครื่องส าอาง - ของใช้อุปโภค : น้ ายาท าความสะอาด - อาหารและเครื่องดื่ม : สารให้ความหวานแทนน้ าตาล - อาหารและเครื่องดื่ม : น้ าผลไม้ เนยแข็ง สารให้ความหวาน - อาหารสัตว์ - ยา : แอลโพรลีน ดีอะลานีน - ของใช้อุปโภค : ผงซักฟอก สบู่ น้ ายาท าความสะอาด - สารเคลือบผิว : อีพอกซีเรซิน พลำสติกชีวภำพ - พอลิแลคติกแอซิด - พอลิบิวทิลีนซัคซิเนต - พอลิไฮดรอกซีอัลคาโน เอต - การเกษตร : ฟิล์มคลุมดิน - บรรจุภัณฑ์ : แก้วพลาสติก - การแพทย์ : ไหมละลายส าหรับใช้เย็บแผล - อุตสาหกรรม : วัตถุดิบเพื่อขึ้นรูปต้นแบบด้วย กระบวนการ ๓D Printing - บรรจุภัณฑ์ : ฟิล์มบรรจุอาหาร พลาสติกเคลือบ บรรจุภัณฑ์กระดาษ - Compound กับพอลิแลคติกแอซิด: ฟิล์มคลุมดิน ของใช้ในครัวเรือน - การแพทย์ : เข็มฉีดยา - บรรจุภัณฑ์ : ฟิล์มบรรจุอาหาร - บรรจุภัณฑ์: ขวดแชมพู ฟิล์มบรรจุอาหาร


๙๗ วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ กำรน ำไปใช้ - พอลิเอทิลีน - พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต - พอลิไวนิลคลอไรด์ - บรรจุภัณฑ์: ขวดเครื่องดื่ม - สิ่งทอ: เส้นใยส าหรับผลิตเครื่องแต่งกาย - ชิ้นส่วนยานยนต์: หนังเทียม - บรรจุภัณฑ์: ฟิล์มพันห่ออาหาร วัสดุก่อสร้าง: ท่อประปา กากน้ าตาล เอทานอล - พลังงาน : เชื้อเพลิงในยานยนต์ - อาหารและเครื่องดื่ม : ผงชูรส สุรา - ปิโตรเคมี : เอทิลีน (วัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติก) ชานอ้อย - ไฟฟ้าชีวมวล - เส้นใย - พลังงาน : ไฟฟ้า - เฟอร์นิเจอร์/ ก่อสร้าง : พาร์ติเคิลบอร์ด - พลาสติก : วัสดุ Compound กับพลาสติก - อื่น ๆ : เยื่อกระดาษ ของใช้ในครัวเรือน กากตะกอน หม้อกรอง ปุ๋ยชีวภาพ - การเกษตร: ปุ๋ย ดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ที่ผลิตจากอ้อยและน้ าตาลทราย สามารถน าไปแปรรูปเข้าสู่หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิเช่น กลุ่มเคมีชีวภาพ กลุ่มชีวเภสัชภัณฑ์ กลุ่มเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมถึงกลุ่มพลาสติกชีวภาพ พลำสติกชีวภำพ ความเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมในกลุ่มพลาสติก ชีวภาพที่ผลิตจากอ้อยและน้ าตาลทราย มีดังนี้ ๑. พอลิแลคติกแอซิด (Polylactic Acid: PLA) กระบวนการผลิตพอลิแลคติกแอซิด เริ่มจากกระบวนการหมักน้ าตาลที่ได้จากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อาทิ อ้อย ข้าวโพด หรือมันส าปะหลัง จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นกรดแลคติก จากนั้น จึงน ากรดแลคติกมาผ่านกระบวนการพอลิเมอไรเซชั่น เพื่อผลิต เป็นพอลิแลคติกแอซิด โดยน้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด PLA ได้ประมาณ ๘๕.๒๘ กิโลกรัม ทั้งนี้ เม็ด PLA มักถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมของ ใช้ทางการแพทย์ หรืออุตสาหกรรมการเกษตร


๙๘ ๒. พอลิบิวทิลีนซัคซิเนต (Polybutylenesuccinate: PBS) พอลิบิวทิลีนซัคซิเนต เป็นพลาสติกที่ผลิตจากการท าปฏิกิริยาทางเคมีของสารตั้งต้น ๒ ชนิด คือ กรดซัคซินิก (Succinic acid) และ ๑,๔ บิวเทนไดออล (1,4-Butanediol) ซึ่งสารตั้งต้นทั้ง ๒ ชนิดสามารถผลิตได้จากน้ าตาลทราย โดยน้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด PBS ได้ประมาณ ๖๖.๔๕ กิโลกรัม ทั้งนี้ เม็ด PBS มักถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรม การเกษตร หรืออุตสาหกรรมของใช้ในครัวเรือน ๓. พอลิไฮดรอกซีอัลคาโนเอต (Polyhydroxyalkanoate: PHA) เป็นพลาสติก ที่ได้จากการหมักน้ าตาลทรายด้วยเชื้อจุลินทรีย์ โดยน้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด PHA ได้ประมาณ ๓๖.๕๕ กิโลกรัม ทั้งนี้ เม็ด PHA มักถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ หรืออุตสาหกรรมของใช้ทางการแพทย์ ๔. พอลิเอทิลีนชีวภาพ (Bio Polyethylene: Bio-PE) กระบวนการผลิตพอลิเอทิลีน ชีวภาพ เริ่มจากกระบวนการหมักน้ าตาลทรายหรือกากน้ าตาลด้วยเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อผลิตเป็นเอทานอล จากนั้นจึงน าเอทานอลมาท าปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อเปลี่ยนเป็นเอทิลีน แล้วน าเอทิลีนมาผ่านกระบวนการ พอลิเมอไรเซชันเพื่อผลิตเป็นพอลิเอทิลีนต่อไป กรณีใช้น้ าตาลทรายในการผลิต กรณีใช้กากน้ าตาลในการผลิต


๙๙ โดยน้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด Bio-PE ได้ประมาณ ๓๕.๐๗ กิโลกรัม (กากน้ าตาล ๔๕.๒๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด Bio-PE ได้ประมาณ ๖.๒๘ กิโลกรัม) ทั้งนี้ เม็ด Bio-PE มักถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ๕ . พอลิเอทิลีนเทเ รฟท าเลตชี วภ าพ (Bio Polyethylene Terephthalate : Bio-PET) พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตเป็นพลาสติกที่ผลิตได้จากการท าปฏิกิริยาทางเคมีของสารตั้งต้น ๒ ชนิด คือ เอทิลีนไกลคอล (Ethyleneglycol) และกรดเทเรฟทาลิก (Terephthalic acid) โดยเอทิลีน ไกลคอลเป็นสารตั้งต้นที่สามารถผลิตได้จากกระบวนการหมักน้ าตาลทรายหรือกากน้ าตาล ในขณะที่ การพัฒนาการผลิตกรดเทเรฟทาลิกจากวัสดุชีวภาพยังอยู่ในช่วงการด าเนินงานวิจัย ยังไม่สามารถผลิต ในเชิงพาณิชย์ ในปัจจุบันพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตสังเคราะห์จากวัสดุชีวภาพจึงเป็นพลาสติกชีวภาพ แบบบางส่วน (Partial Bioplastics) กรณีใช้น้ าตาลทรายในการผลิต กรณีใช้กากน้ าตาลในการผลิต โดยน้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด Bio-PET ได้ประมาณ ๖๔.๕๒ กิโลกรัม (กากน้ าตาล ๔๕.๒๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด Bio-PET ได้ประมาณ ๑๑.๓๐ กิโลกรัม) ทั้งนี้ เม็ด Bio-PET มักถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ หรืออุตสาหกรรมสิ่งทอ ๖. พอลิไวนิลคลอไรด์ชีวภาพ (Bio Polyvinyl Chloride: Bio-PVC) กระบวนการผลิต พอลิไวนิลคลอไรด์ชีวภาพ เริ่มจากกระบวนการหมักน้ าตาลทรายหรือกากน้ าตาลด้วยเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อผลิตเป็นเอทานอล จากนั้นน าเอทานอลมาท าปฏิกิริยาทางเคมีเป็นเอทิลีน แล้วท าการสังเคราะห์ เอทิลีนเป็นไวนิลคลอไรด์มอนอเมอร์ เพื่อน าไปผ่านกระบวนการพอลิเมอไรเซชันผลิตเป็นพอลิไวนิลคลอไรด์ กรณีใช้น้ าตาลทรายในการผลิต


๑๐๐ กรณีใช้กากน้ าตาลในการผลิต โดยน้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด Bio-PVC ได้ประมาณ ๑๖.๘๓ กิโลกรัม (กากน้ าตาล ๔๕.๒๕ กิโลกรัม สามารถน ามาแปรรูปเป็นเม็ด Bio-PVC ได้ประมาณ ๒.๕๑ กิโลกรัม) ทั้งนี้ เม็ด Bio-PVC มักถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรม ยานยนต์ หรืออุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ตารางที่ ๕-๕ อัตราแปลงผลผลิตพลาสติกชีวภาพจากอ้อยปริมาณ ๑ ตัน (น้ าตาลทราย ๑๑๐.๗๕ กิโลกรัม หรือกากน้ าตาล ๔๕.๒๕ กิโลกรัม) หน่วย : กิโลกรัม ชนิดพลำสติกชีวภำพ น ำตำลทรำย กำกน ำตำล พอลิแลคติกแอซิด (PLA) 85.28 - พอลิบิวทิลีนซัคซิเนต (PBS) 66.45 - พอลิไฮดรอกซีอัลคาโนเอต (PHA) 36.55 - พอลิเอทิลีนชีวภาพ (Bio-PE) 35.07 6.28 พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตชีวภาพ (BioPET) 64.52 11.3 พอลิไวนิลคลอไรด์ชีวภาพ (Bio-PVC) 16.83 2.51 อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพของประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงของการพัฒนา (Development stage) เนื่องด้วยในกระบวนการผลิตให้ได้มาซึ่งพลาสติกชีวภาพนั้น ต้องผ่านหลาย ขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในส่วน ของการหมัก (Fermentation) การท าให้บริสุทธิ์ (Purification) เนื่องจากกระบวนการเหล่านี้ต้องการ ความละเอียดสูงและการควบคุมสภาวะต่าง ๆ ที่เหมาะสมต่อการท างานของเอนไซม์ของจุลินทรีย์ จึงต้องมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่สูงมาก แต่ประเทศไทยก็ยังมีข้อได้เปรียบในศักยภาพของ อุตสาหกรรมการเกษตร โดยเฉพาะอ้อยและมันส าปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญของประเทศไทย โดยประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกน้ าตาลทรายอันดับต้น ๆ ของโลก จึงท าให้บริษัทพลาสติกชีวภาพ ของต่างประเทศมีความสนใจในการจัดตั้งฐานการผลิตพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย อาทิ (รูปที่ ๕-๔) - บริษัท PTT MCC Biochem ได้เริ่มด าเนินการผลิตพอลิบิวทิลีนซัคซิเนต (Polybutylene succinate : PBS) ในปี ๒๕๕๙ ด้วยปริมาณ ๒๐,๐๐๐ ตัน/ปี ทั้งนี้ ในระยะเริ่มต้น บริษัทจะใช้วัตถุดิบน าเข้าประเภท 1,4 Butanediol : BDO และ Bio-Succinic Acid: BSA ซึ่งเป็น วัตถุดิบส าหรับการผลิต PBS ในประเทศไทย เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีความสามารถ ในการผลิตวัตถุดิบทั้ง ๒ ชนิดดังกล่าว


๑๐๑ ที่มา : Reportlinker July 2020 (Globe Newswire) Reportlinker Aug. 2020 (Globe Newswire), สถาบันพลาสติก - บริษัท Total Corbion PLA (Thailand) ได้จัดตั้งฐานการผลิตพอลิแลคติกแอซิด (Polylactic acid: PLA) ในประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วยก าลังการผลิต ๗๕,๐๐๐ ตันต่อปี อีกทั้ง บริษัท Purac (Thailand) ได้เพิ่มการลงทุนเพื่อขยายก าลังการผลิตกรดแลคติกและอนุพันธ์ กรดแลคติกเพิ่มขึ้นอีก ๑๒๕,๐๐๐ ตัน/ปี เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการผลิตเม็ด PLA ดังกล่าวที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้น


๑๐๒ ที่มา : Global lactic acid : reportlinker July 2020, Reportlinker July 2020 (Globe Newswire), สถาบันพลาสติก ทั้งนี้ ภาครัฐบาลของประเทศไทยได้เล็งเห็นความส าคัญของอุตสาหกรรมชีวภาพ และมีการประกาศในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ให้อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงอุตสาหกรรมชีวภาพอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทยเพื่ออนาคต


๑๐๓ รูปที่ ๕-๔ ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยและสถานที่ตั้ง ที่มา : ข้อมูลจากการส ารวจ โดยสถาบันพลาสติก (มีนาคม ๒๕๖๓) ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่ใช้ในชีวิตประจ าวันมากมาย โดยเม็ดพลาสติกชีวภาพที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการผลิต ภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย คือ เม็ดพลาสติกชีวภาพประเภทพอลิแลคติกแอซิด (PLA) ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นการน าเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา (รูปที่ ๕-๕) ซึ่งมาตรการด้าน สิ่งแวดล้อมในต่างประเทศที่กระทบต่ออุตสาหกรรมของประเทศไทยและอีกหลายประเทศ เป็นเหตุให้ ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพมีแนวโน้มความต้องการของตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการน าเข้า เม็ดพลาสติก PLA ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เพิ่มขึ้นจาก ๔๒๒ ตันในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปริมาณ ๙๗๙ ตันในปี พ.ศ. ๒๕๖๒) คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีร้อยละ ๑๘.๓ (% AAGR) โดยเป็นการน าเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลักประมาณร้อยละ ๙๔ ของปริมาณการน าเข้าร่วม ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ สะท้อนถึงความต้องการหรืออุปสงค์ (Domestics Demand) ในการใช้เม็ดพลาสติก เพื่อการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น


๑๐๔ รูปที่ ๕-๕ ปริมาณการน าเข้าเม็ดพลาสติกชีวภาพประเภท PLA ของไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๒ ที่มา : กรมศุลกากร (มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓) การส่งออกในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ (รูปที่ ๕-๖) ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเม็ดพลาสติก ชีวภาพเป็นอันดับที่ ๕ รองจากประเทศสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ จีน และเบลเยียม ตามล าดับ และเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๖๑ พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ ๒ รองจากประเทศสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็น ถึงศักยภาพของไทยในการผลิตและการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพต้นน้ าในระดับ ภูมิภาคและระดับโลก รูปที่ ๕-๖ การจัดอันดับผู้ส่งออกเม็ดพลาสติกชีวภาพประเภท PLA ของโลก ที่มา : Global Trade Atlas ณ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ เมื่อพิจารณาในภาคอุตสาหกรรมปลายน้ า (Downstream bioplastics industry) ซึ่งเป็นการแปรรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพของไทย จากข้อมูลการส ารวจผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมพลาสติกของไทยในปี ๒๐๑๘ โดยศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมพลาสติก (Plastics Intelligence Unit: PIU) ดังแสดงใน รูปที่ ๕-๗ พบว่า ในประเทศไทยมีจ านวนผู้แปรรูป ผลิ ตภัณฑ์พ ล า ส ติ ก (Plastics Convertors) ทั้งหมด ๒,๘๒๕ ร า ย โ ด ยใน จ าน วน ดัง ก ล่ า ว มีผู้ประกอบการที่ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ๑๑ ราย (ตารางที่ ๕-๖) หรือคิดเป็นประมาณ ร้อยละ ๑ จากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการแปรรูปพลาสติกของไทยทั้งหมด ซึ่งในช่วงระยะเวลา


๑๐๕ ที่ผ่านมาภาครัฐก็ได้มีการส่งเสริมและกระตุ้นอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพไทยมากขึ้น อาทิ การออกนโยบาย ผลักดันและส่งเสริมอุตสาหกรรมในกลุ่ม S-Curve ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีการพัฒนา ต่อยอด (First S-Curve) และอุตสาหกรรมศักยภาพในอนาคตของไทย (New S-Curve) โดยหนึ่ง ในอุตสาหกรรมดังกล่าวประกอบด้วยอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพด้วย หรือเป็นการวางรากฐานเพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดในอนาคต ตารางที่ ๕-๖ รายชื่อผู้ประกอบการพลาสติกชีวภาพที่ได้จากการส ารวจ ล ำดับ ผู้ประกอบกำร ล ำดับ ผู้ประกอบกำร 1 บจก.เอวีเต๊ซ์ 2 บจก.อุตสาหกรรมสหธัญญพืช 3 โรงงาน กิจอนันต์พลาส (ไทยรุ่งกิจ) 4 บจก.พรอดดิจิ 5 บจก.โอเชี่ยนพลาสติก อินเตอร์เทรด 6 บจก.พี.พี.แพคเกจจิ้ง 7 บจก.แม็กซ์ริช 8 บจก.แวนด้าแพค 9 บจก.เจ.เอส.อุตสาหกรรมพลาสติก 10 บจก.แพค แอนด์ เซฟ 11 บจก.เอเชียเวิลด์เทค อินดัสตรี้ รูปที่ ๕-๗ ข้อมูลการส ารวจจ านวนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลาสติกไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่มา : ข้อมูลจากการส ารวจปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมพลาสติก ในกลุ่มของผู้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกนั้น มีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก ล าดับรองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในครัวเรือน มีก าลังการผลิตรวม ๔๒,๖๙๖ ตัน/ปี จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สัดส่วนของผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพของไทย ยังคงมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกทั่วไป ท าให้การขับเคลื่อน อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพของไทยยังมีข้อจ ากัดอยู่ แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทาน ในอุตสาหกรรมพลาสติก (Plastics industry supply chain) ที่มีความเข็มแข็ง มีผู้ประกอบการ ที่สนับสนุนการด าเนินอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ าจนถึงปลายน้ า มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่


๑๐๖ ที่มีประสิทธิภาพ สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการ ดังกล่าวสามารถปรับใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพได้ ด้วยเหตุนี้ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพนั้น จึงขึ้นอยู่กับตลาดปลายทาง (End-use market) เป็นส าคัญ ปัจจุบันตลาดหลักส าหรับพลาสติกชีวภาพ คือ กลุ่มบรรจุภัณฑ์โดยกลุ่มประเทศ หลักที่มีความสนใจในกลุ่มพลาสติกชีวภาพ คือ - กลุ่มยุโรปตะวันตก เป็นตลาดผู้บริโภครายใหญ่ เนื่องจากพฤติกรรมของประชาชน ในยุโรปถึงร้อยละ ๗๕ ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ประเทศเยอรมัน และเนเธอร์แลนด์ - กลุ่มอเมริกาเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีการบริโภคบรรจุภัณฑ์พลาสติกมากที่สุดในโลก และเริ่มมีการยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในบางพื้นที่ เช่น แคนนาดา เม็กซิโก ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งมีการงดพลาสติกใช้แล้วบางประเภทในบางรัฐ จึงมีโอกาสที่พลาสติกชีวภาพจะเข้าไปแทนที่ - กลุ่มเอเชีย แปซิฟิก และโอเชียเนีย โดยที่ผ่านมาพลาสติกชีวภาพยังไม่เป็นที่นิยม แต่การตื่นตัวตามกระแสและการกระตุ้นผ่านมาตรการจากภาครัฐ ผลักดันให้บางประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน (บางมณฑล) ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิสราเอล มาเลเซีย เมียนมาร์และบังกลาเทศ เริ่มลดใช้ พลาสติกและหาผลิตภัณฑ์ทดแทน โดยในอนาคตเอเชียแปซิฟิกจะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพ ที่จะก้าวมาเป็นผู้น าตลาดแทนยุโรปในอนาคต เชื อเพลิงชีวภำพ ลักษณะของกลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ประกอบด้วย ๒ ประเภทหลัก คือ เอทานอล และ ไฟฟ้า เอทานอล ในปีพ.ศ. ๒๕๖๓ มีโรงงานผลิตเอทานอลที่ด าเนินการผลิตแล้วจ านวน ๒๗ โรงงาน และมีโรงงานอยู่ระหว่างด าเนินการก่อสร้างจ านวน ๑ โรงงาน มีก าลังการผลิตติดตั้งจริงรวม ๖.๑๒๕ ล้านลิตร/วัน แยกเป็นโรงงานที่ใช้วัตถุดิบจากกากน้ าตาล ๑๑ โรงงาน, น้ าอ้อย ๑ โรงงาน, กากน้ าตาล/มันส าปะหลัง ๖ โรงงาน และจากมันส าปะหลัง ๙ โรงงาน (ตารางที่ ๕.๗) มีปริมาณเอทานอล ที่ใช้วัตถุดิบจากกากน้ าตาล, อ้อย และมันส าปะหลัง คิดเป็นอัตราส่วนประมาณ ๕๘ : ๔ : ๓๘ ซึ่งมาจากวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายมากกว่าร้อยละ ๖๐ โดยสถานที่ตั้งของโรงงานส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่ต่อยอดจากธุรกิจเดิม เช่นเดียวกับผู้ผลิตเอทานอลจากมันส าปะหลัง ที่มักเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจมันส าปะหลังด้วย ท าให้ โรงงานเอทานอลที่ด าเนินธุรกิจแบบ Integration มีความได้เปรียบในการจัดหาวัตถุดิบและมีต้นทุนโลจิสติกส์ ต่ ากว่าโรงงานเอทานอล แบบ Stand alone เนื่องจากวัตถุดิบถือเป็นต้นทุนหลักในการผลิตเอทานอล


๑๐๗ ตารางที่ ๕-๗ สถานการณ์ก าลังการผลิตโรงงานเอทานอลของประเทศไทย ที่ ผู้ประกอบกำร จังหวัด วัตถุดิบ ก ำลังกำรผลิต ติดตั งจริง (ลิตร/วัน) 1. โรงงำนเอทำนอล (กำกน ำตำล) 1 บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จ ากัด (มหาชน) (ด่านช้าง) สุพรรณบุรี กากน้ าตาล 150,000 2 บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จ ากัด นครสวรรค์ กากน้ าตาล 230,000 3 บริษัท น้ าตาลไทยเอทานอล จ ากัด กาญจนบุรี กากน้ าตาล 200,000 4 บริษัท มิตรผล ไบโอฟูเอล จ ากัด (ชัยภูมิ) ชัยภูมิ กากน้ าตาล 500,000 5 บริษัท มิตรผล ไบโอฟูเอล จ ากัด (กาฬสินธุ์) กาฬสินธุ์ กากน้ าตาล 230,000 6 บริษัท มิตรผล ไบโอฟูเอล จ ากัด (กุฉินารายณ์) กาฬสินธุ์ กากน้ าตาล 320,000 7 บริษัท มิตรผล ไบโอฟูเอล จ ากัด (ด่านช้าง) สุพรรณบุรี กากน้ าตาล 200,000 8 บริษัท เคไอเอทานอล จ ากัด นครราชสีมา กากน้ าตาล 200,000 9 บริษัท เคเอสแอล กรีนอินโนเวชั่น จ ากัด (มหาชน) ขอนแก่น กากน้ าตาล 150,000 10 บริษัท เคเอสแอล กรีนอินโนเวชั่น จ ากัด (มหาชน) (บ่อพลอย) กาญจนบุรี กากน้ าตาล 300,000 11 บริษัท ไทยรุ่งเรืองพลังงาน จ ากัด สระบุรี กากน้ าตาล 300,000 12 บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จ ากัด ตาก น้ าอ้อย 230,000 รวม (1) 3,010,000 2. โรงงำนเอทำนอล (วัตถุดิบมันสำปะหลัง+กำกน ำตำล) 13 บริษัท ราชบุรีเอทานอล จ ากัด ราชบุรี มันเส้น/ กากน้ าตาล 150,000 14 บริษัท อี เอส เพาเวอร์ จ ากัด สระแก้ว มันเส้น/ กากน้ าตาล 150,000 15 บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จ ากัด (มหาชน) นครปฐม มันเส้น/ กากน้ าตาล 200,000 16 บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จ ากัด (มหาชน) (ด่านช้าง) สุพรรณบุรี มันเส้น/ กากน้ าตาล 200,000 17 บริษัท อิมเพรสเทคโนโลยี จ ากัด ฉะเชิงเทรา มันสด/มันเส้น/ กากน้ าตาล 200,000 18 บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ฟ เทรดดิ้ง จ ากัด อยุธยา มันเส้น/ กากน้ าตาล 25,000 รวม (2) 925,000


๑๐๘ ที่ ผู้ประกอบกำร จังหวัด วัตถุดิบ ก ำลังกำรผลิต ติดตั งจริง (ลิตร/วัน) 3. โรงงำนเอทำนอล (วัตถุดิบมันส ำปะหลัง) 19 บริษัท ทรัพย์ทิพย์ จ ากัด ลพบุรี มันเส้น 200,000 20 บริษัท ไทยเอทานอล พาวเวอร์ จ ากัด (มหาชน) ขอนแก่น มันสด 90,000 21 บริษัท ไท่ผิงเอทานอล จ ากัด สระแก้ว มันสด 300,000 22 บริษัท พี.เอส.ซี.สตาร์ช โปร์ดักส์ จ ากัด (มหาชน) ชลบุรี มันเส้น 150,000 23 บริษัท อี 85 จ ากัด ปราจีนบุรี มันสด/น้ าแป้ง 500,000 24 บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จ ากัด (มหาชน) อุบลราชธานี มันสด/มันเส้น 400,000 25 บริษัท บางจากไบโอเอทานอล จ ากัด ฉะเชิงเทรา มันสด/มันเส้น 150,000 26 บริษัท อัพเวนเจอร์ จ ากัด นครราชสีมา มันเส้น 340,000 27 บริษัท ฟ้าขวัญทิพย์ จ ากัด ปราจีนบุรี มันสด 60,000 รวม (3) 2,190,000 รวมก ำลังกำรผลิต (1)+(2)+(3) 6,125,000 4. โรงงำนเอทำนอลที่อยู่ระหว่ำงด ำเนินกำรก่อสร้ำง 28 บริษัท อัพเวนเจอร์ จ ากัด เฟส 2,3 นครราชสีมา มันเส้น ที่มา : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ กระบวนการผลิตเอทานอลจากอ้อยและผลิตภัณฑ์จากอ้อย กระบวนการผลิตเอทานอลในปัจจุบันแบ่งตามกลุ่มพืชผลการเกษตรที่ใช้ออกเป็น ๓กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ ๑. การผลิตเอทานอลจากพืชจ าพวกอ้อยหรือเศษที่เหลือจากการผลิตจ าพวก กากน้ าตาล โดยใช้กรรมวิธีการหมักและกลั่นจนได้เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ (ร้อยละ ๙๕) จากนั้นน ามา กลั่นอีกรอบเพื่อก าจัดน้ าจนได้เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ร้อยละ ๙๙.๕ ซึ่งสามารถน าไปใช้เป็นสารเพิ่มค่า ออกเทนในน้ ามันเบนซินส าหรับประเทศไทยมักใช้กากน้ าตาลซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการ ผลิตน้ าตาลมาเป็นวัตถุดิบใน การผลิตเอทานอลมากกว่าการผลิตจากอ้อยโดยตรง เนื่องจากการน าอ้อย มาผลิตเอทานอลยังมีข้อจ ากัดในด้านการปลูกและการตัดส่งโรงงานได้เพียงปีละไม่เกิน ๕ เดือน และการน าอ้อยมาใช้เป็นวัตถุดิบโดยตรงยังต้องค านึงถึงระบบการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ าตาล ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ด้วย ๒. การผลิตเอทานอลจากพืชจ าพวกแป้ง เช่น ข้าวโพด มันส าปะหลัง ข้าวฟ่างหวาน โดยการเปลี่ยนแป้ง ในพืชให้เป็นน้ าตาล แล้วหมักน้ าตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ โดยน าพืชนั้นเข้าเครื่องสับ และบดจนละเอียด น ามาใส่ถังต้มให้สุกเติมเอนไซม์เพื่อช่วยย่อยและเร่งให้สลายตัวเร็วขึ้น จากนั้นน าไปหมักต่อในถังหมัก เพื่อเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ าตาล แล้วน าไปผ่านกรรมวิธีการหมักและการกลั่น


๑๐๙ จนได้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ (ร้อยละ ๙๕) จากนั้นน ามากลั่นอีกรอบเพื่อก าจัดน้ าออกจนได้เป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ ร้อยละ ๙๙.๕ ๓. การผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบประเภทเส้นใย เช่น ฟางข้าว หรือหญ้า โดยการเปลี่ยนแป้งในเส้นใยพืชให้เป็นน้ าตาล และหมักน้ าตาลให้เป็นแอลกอฮอล์เช่นเดียวกัน จากนั้นน าไปกลั่นจนได้แอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ ร้อยละ ๙๙.๕ ไฟฟ้า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลได้มีการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าชีวมวล จากโรงไฟฟ้าจ านวน ๘๗ โครงการ ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก (VSPP) จ านวน ๖๓ โค รงก า ร แล ะผู้ผลิตไฟฟ้ า ร ายเล็ก (SPP) โดยใช้ ระบบก า รผลิตพลังง านค ว าม ร้อน และไฟฟ้าร่วมกัน (Cogeneration) จ านวน ๒๔ โครงการ มีการใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ไฟฟ้าโดยมีก าลังผลิตติดตั้งจ านวน ๒,๐๕๑ MW และเสนอจ าหน่ายไฟฟ้าจ านวน ๙๕๐ MW คิดเป็นมูลค่า ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท และมีก าลังผลิตที่ตอบรับซื้อแล้วแต่ยังไม่ได้ท าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จ านวน ๙๙ MW ชานอ้อย เป็นชีวมวลที่มีศักยภาพที่ได้จากโรงงานน้ าตาลเมื่อน าอ้อย ๑ ตัน ผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วจะใช้พลังงานทั้งสิ้น ๒๕-๓๐ kWh และใช้ไอน้ าอีก ๐.๔ ตัน เพื่อให้ได้ น้ าตาลทราย ๑๐๐-๑๒๑ กิโลกรัม จะมีชานอ้อยเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตประมาณ ๒๘๐-๒๙๐ กิโลกรัม หรือเทียบเท่าพลังงานไฟฟ้าได้ ๑๐๐ kWh โรงงานน้ าตาลมีความต้องการ ใช้พลังงานความร้อนอย่างมาก และมีข้อได้เปรียบเพราะมีชานอ้อยที่ได้หลังกระบวนการหีบน้ าอ้อย โดยปริมาณชานอ้อยที่ได้เกิดขึ้นจากการหีบอ้อยจะมีประมาณเฉลี่ยที่ร้อยละ ๒๙ ของปริมาณอ้อย ที่เข้าหีบ มีความชื้นร้อยละโดยประมาณอยู่ระหว่าง ๔๘-๕๓ มีความหนาแน่นค่อนข้างต่ า ประมาณ ๑๖๐ กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร มีคุณสมบัติติดไฟง่าย ชานอ้อยที่เกิดขึ้นมีคุณสมบัติที่เหมาะสม สามารถน าไปใช้เป็นเชื้อเพลิงของเตาหม้อน้ า (Boiler) ใช้ผลิตไอน้ าส าหรับเป็นแหล่งพลังงานความร้อน ในกระบวนการผลิตน้ าตาล ไอน้ าที่ผลิตได้จะถูกน าไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ าตาลโดยผ่านเครื่อง แลกเปลี่ยนความร้อน และนอกจากนี้ไอน้ าที่ผลิตได้สามารถน าไปผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในโรงงาน ด้วยการน าไปขับกังหันไอน้ า (Turbine) เพื่อผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องก าเนิดไฟฟ้า จากข้อมูลการประเมินศักยภาพชีวมวลจากคู่มือการพัฒนาและการลงทุนผลิต พลังงานทดแทน พบว่าค่าความร้อนจากใบและยอดอ้อยมีค่าสูงกว่าชานอ้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าใบ และยอดอ้อยมีสมบัติการเป็นเชื้อเพลิงที่ดี ดังตารางที่ ๕-๘ ตารางที่ ๕-๘ คุณสมบัติของชีวมวล ชนิด ชีวมวล อัตรำส่วนชีวมวล (ตัน/ตันผลผลิต) ค่ำควำมร้อน (MJ/kg) ควำมชื น (%) อ้อยโรงงาน ชานอ้อย 0.28 7.37 50.73 ใบและยอดอ้อย 0.17 15.48 9.2


๑๑๐ มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ได้มีการก าหนดให้โรงงานน้ าตาลรับอ้อยไฟไหม้ เข้าหีบในฤดูการผลิต ๒๕๖๒/๒๕๖๓, ๒๕๖๓/๒๕๖๔, ๒๕๖๔/๒๕๖๕, ๒๕๖๕/๒๕๖๖ และ ๒๕๖๖ /๒๕๖๗ ไม่เกินร้อยละ ๓๐, ๒๐, ๑๐, ๕ และ ๐ ต่อวันตามล าดับ ส านักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทรายร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตรจัดท าโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ลงเงินกู้ปีละ ๒,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อย กลุ่มบุคคล และวิสาหกิจชุมชน เข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ า ลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบ โดยสามารถน าเงินทุนไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกอ้อย เช่น การจัดหาแหล่งน้ าส ารองในการ บรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้ง การจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรมาใช้ในการผลิตอ้อยเพื่อลด การสูญเสียและลดต้นทุนในระยะยาว ส่งผลให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ลดปัญหาอ้อยไฟไหม้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ ต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในไร่อ้อย ทั้งนี้ จากการสนับสนุนดังกล่าว จะท าให้ให้มีอ้อยตัดสดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีใบและยอดอ้อยเพิ่มมากขึ้นด้วย ส านักงานจึงได้ส่งเสริม และสนับสนุนการใช้วัตถุดิบในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายประเภทใบและยอดอ้อย ในการใช้เป็น เชื้อเพลิงทดแทน โดยในฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ ได้มีการส่งเสริมโรงงานน้ าตาลและโรงงานไฟฟ้า ชีวมวลสามารถรับซื้อใบและยอดอ้อยมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน จ านวน ๖๓๑,๐๗๒.๐๘ ตัน คิดเป็นมูลค่า กว่า ๔๗๓ ล้านบาท (ตารางที่ ๕-๙) ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีรายได้จากการขายใบและยอดอ้อย ซึ่งการน าเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในการเป็นแหล่งเชื้อเพลิงชีวมวลสอดคล้อง กับเป้าหมายในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายทั้งระบบในการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานโดยผลิตพลังงาน จากวัตถุดิบพลังงานทดแทนที่มีอยู่ภายในประเทศ และพัฒนาศักยภาพการผลิตพลังงานทดแทน ด้วยเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสม ทั้งยังช่วยลดสาเหตุปัญหาฝุ่นควันจากการเผาวัสดุทางการเกษตร นอกจากนั้น ยังมีการจัดท าบันทึกความเข้าใจโครงการการใช้ประโยชน์ใบ และยอดอ้อยเป็นเชื้อเพลิงทดแทน เพื่อลดปัญหาอ้อยไฟไหม้และฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๒.๕ ไมครอน (PM 2.5) ระหว่างส านักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทรายกับบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จ ากัด ในการรับซื้อใบและยอดอ้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน จ านวน ๒๑๐,๐๐๐ ตัน/ปี ในพื้นที่ ๓ จังหวัด ได้แก่ สระบุรี (อ าเภอท่าหลวงและแก่งคอย), อยุธยา (อ าเภอเสนา) และกาญจนบุรี (อ าเภอท่าม่วง) มีเป้าหมายปีละประมาณ ๑,๗๑๓,๒๐๘ ไร่ โดยเริ่มด าเนินตั้งแต่วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ถึง ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖


๑๑๑ ตารางที่ ๕-๙ การส่งเสริมโรงงานน้ าตาลและโรงงานไฟฟ้าชีวมวลสามารถรับซื้อใบและยอดอ้อยมาใช้เป็น เชื้อเพลิงทดแทน ล ำดับ รำยชื่อบริษัท รำคำรับซื อ (บำท/ตัน) ปริมำณ กำรรับซื อ ในฤดูกำรผลิตปี 2562/2563 (ตัน) เป้ำหมำยกำรรับซื อ ในฤดูกำรผลิตปี 2563/2564 (ตัน) 1 บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (ภูเขียว) จ ากัด 1,000 35,952 70,000 2 บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (ภูเวียง) จ ากัด 1,000 8,959 40,000 3 บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (ภูหลวง) จ ากัด 1,000 17,506 30,000 4 บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (กาฬสินธุ์) จ ากัด 1,000 31,845 50,000 5 บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (ด่านช้าง) จ ากัด 1,000 93,204 120,000 6 บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (อ านาจเจริญ) จ ากัด 1,000 0 20,000 7 บริษัท ไบโอ-เพาเวอร์ (สิงห์บุรี) จ ากัด 1,000 27,145 10,000 8 บริษัท อุตสาหกรรมน้ าตาลอีสาน จ ากัด 900-1,000 650 10,000 9 บริษัท บ้านไร่ผลิตไฟฟ้า จ ากัด 850-900 25,428.35 27,000 10 บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จ ากัด 800 1,310.73 2,000 11 บริษัท เกษตรไทย ไบโอเพาเวอร์ จ ากัด 750 240,000 300,000 12 บริษัท น้ าตาลไทยเอกลักษณ์ จ ากัด 750 108,000 150,000 13 บริษัท น้ าตาลและอ้อยตะวันออก จ ากัด (วังสมบูรณ์) 800 41,072 70,000 14 บริษัท น้ าตาลและอ้อยตะวันออก จ ากัด (วัฒนานคร) 800 0 70,000 15 บริษัท น้ าตาลทิพย์สุโขทัย จ ากัด 800 0 60,000 16 บริษัท น้ าตาลทิพย์ก าแพงเพชร จ ากัด 800 0 60,000 17 บริษัท น้ าตาลขอนแก่น จ ากัด (มหาชน) (น้ าพอง) 800-1,000 0 10,000


๑๑๒ ล ำดับ รำยชื่อบริษัท รำคำรับซื อ (บำท/ตัน) ปริมำณ กำรรับซื อ ในฤดูกำรผลิตปี 2562/2563 (ตัน) เป้ำหมำยกำรรับซื อ ในฤดูกำรผลิตปี 2563/2564 (ตัน) 18 บริษัท น้ าตาลขอนแก่น จ ากัด (มหาชน) (วังสะพุง) 800-1,000 0 40,000 19 บริษัท น้ าตาลขอนแก่น จ ากัด (มหาชน) (บ่อพลอย) 800-1,000 0 30,000 20 บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จ ากัด 200-1,500 0 210,000 รวม 631,072.08 1,379,000 รำยได้ (ล้ำนบำท)* 473.304 1,034.20 ปริมำณไฟฟ้ำที่คำดว่ำผลิตได้ (MW)** 37.56 82.08 ๕.๓ ข้อจ ำกัด สภำพปัญหำ และอุปสรรคในกำรพัฒนำอุตสำหกรรมเศรษฐกิจชีวภำพจำกอ้อย ๕.๓.๑ กฎระเบียบและนโยบำยภำครัฐเกี่ยวกับอุตสำหกรรมอ้อย ๑. เนื่องจากการปรับปรุง พ.ร.บ. อ้อยและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สามารถ น าน้ าอ้อยไปผลิตสินค้าอื่นที่ไม่ใช่น้ าตาลทรายได้และจัดสรรวัตถุดิบ (น้ าอ้อย) ที่เพียงพอและเหมาะสม กับอุตสาหกรรมชีวภาพอยู่ระหว่างการด าเนินการปรับปรุง (การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. อ้อยและน้ าตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ส านักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทรายได้จัดท าประกาศคณะกรรมการ อ้อยและน้ าตาลทราย เรื่อง ก าหนดชนิดและคุณภาพน้ าตาลทรายที่ให้โรงงานผลิต พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ ตุล าคม ๒๕๖๒ ให้ส าม า รถน าน้ าเชื่อมที่ผ่ านก า รต้ม ระเหย (Evaporation) ที่ค่าความเข้มข้นของแข็งที่ละลาย (%Brix) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ เป็นวัตถุดิบได้ ช่วงฤดูการผลิตปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ถึง ๒๕๖๓/๒๕๖๔ ส านักงานคณะกรรมการ อ้อยและน้ าตาลทรายได้มีการส่งเสริมให้มีการน าน้ าเชื่อมเพื่อใช้ในการผลิตเอทานอลเกรดเชื้อเพลิงดังนี้ ในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทราย (กอน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ มีมติอนุญาตให้บริษัทน้ าตาล จ าหน่ายน้ าเชื่อมเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล ในฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ซึ่ง สอน. ได้อนุญาตให้บริษัทน้ าตาลมิตรกาฬสินธุ์ จ ากัด จ าหน่ายน้ าเชื่อมความ เข้มข้นสูงเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล จ านวน ๑๔,๒๔๑.๐๕ ลูกบาศก์เมตร ค านวณแปลง ค่ากลับเป็นน้ าตาลทรายดิบ จ านวน ๑๐,๘๑๑.๘๖ ตัน และกากน้ าตาล จ านวน ๓,๔๕๐.๑๒ ตัน โดยในฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ สอน. ได้อนุญาตให้จ าหน่ายน้ าเชื่อมเพื่อใช้ เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล รวม ๕๕๑,๐๐๐ ตันน้ าเชื่อม และน าไปใช้จริงจ านวน ๑๗๕,๔๖๒ ตัน น้ าเชื่อม สามารถผลิตเอทานอลได้ประมาณ ๕๒.๘ ล้านลิตร โดยมีมูลค่าประมาณ ๑,๒๑๔ ล้านบาท ดังตารางที่ ๕-๑๐


๑๑๓ ตารางที่ ๕-๑๐ ปริมาณน้ าเชื่อมที่อนุญาตให้จ าหน่ายและการค านวณกลับ (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม ๒๕๖๓) ล ำดั บ บริษัทผู้ขออนุญำต ปริมำณน ำเชื่อม (ตัน น ำเชื่อม) กำรค ำนวณกลับ (ตัน) ประมำณกำร ปริมำณอ้อย (ตัน) ปริมำณเอทำ นอล (ลิตร)* อนุญำต ใช้จริง น ำตำลทรำย ดิบ กำก น ำตำล 1 บริษัทน้ าตาลสระบุรี จ ากัด 200,000 ไม่ได้ด าเนินการ 2 บริษัทน้ าตาล มิตรกาฬสินธุ์ จ ากัด 145,000 83,410.834 42,555.91 10,554.413 322,037.63 24,152,822.25 3 บริษัทรวมเกษตรกร อุตสาหกรรม จ ากัด 111,000 60,854.953 28,355.51 10,768.023 246,183.57 18,463,767.75 4 บริษัทน้ าตาลมิตรผล จ ากัด 50,000 24,583.80 11,044.85 5,397.881 109,398.51 8,204,888.25 5 บริษัทน้ าตาลไทย กาญจนบุรี จ ากัด 45,000 6,612.85 2,935.36 526.651 26,510.95 1,988,321.60 รวม 551,000 175,462.437 84,891.63 27,246.968 704,130.66 52,809,799.50 หมายเหตุ : * ข้อมูลจากการประมาณการ โดยอ้อย ๑ ตัน สามารถผลิตเอทานอลได้ ๗๕ ลิตร การอนุญาตให้จ าหน่ายน้ าเชื่อมเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลในฤดู การผลิตปี ๒๕๖๓/๒๕๖๔ ตามประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทราย เรื่อง ก าหนดชนิด และคุณภาพน้ าตาลทรายที่ให้โรงงานผลิต พ.ศ. ๒๕๖๒ จ านวน ๖๑๒,๐๐๐ ตันน้ าเชื่อม (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๔) ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การให้ตั้งโรงงานที่ใช้อ้อย เป็นวัตถุดิบในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ เพื่อให้เกิดการบริหารพื้นที่เกษตรกรรมในการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญของประเทศและสอดคล้อง กับนโยบายทางเศรษฐกิจที่ส าคัญของรัฐบาล ได้แก่ มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๐ ซึ่งเป็นผลดีแก่ชาวไร่อ้อยและระบบอุตสาหกรรมส าคัญที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบเกิด การพัฒนาภาคเกษตรให้มีความเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และก่อให้เกิดการร่วมทุนระหว่าง บริษัท จีจีซี ไบโอเคมิคอล จ ากัด (ผลิตเคมีชีวภาพ) และ บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล (ผลิตเอทานอล จากกากน้ าตาล) ในนามของบริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล จ ากัด หรือ GKBI ภายใต้โครงการ นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ถือเป็น Bio Hub แห่งแรกของอาเซียน และ BioComplex แบบครบวงจร แห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้วัตถุดิบจากอ้อย ซึ่งเป็นโครงการน าร่องตามนโยบายโครงการเขตเศรษฐกิจ ชีวภาพ (Bioeconomy) ของประเทศ บนเนื้อที่กว่า ๒,๐๐๐ ไร่ ในอ าเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีการด าเนินการดังนี้


๑๑๔ ระยะที่ ๑ : - การก่อสร้างโรงหีบอ้อย ก าลังการผลิต ๒๔,๐๐๐ ตัน/วัน - โรงงานเอทานอล เกรดเชื้อเพลิง ก าลังการผลิต ๖๐๐,๐๐๐ ลิตร/วัน - โรงผลิตไฟฟ้าชีวมวล ขนาดก าลังการผลิตติดตั้ง ๒ x ๓๘ MW - โรงไฟฟ้าจากกากส่า ขนาดก าลังการผลิตติดตั้ง ๙ MW ใช้เงินลงทุนกว่า ๗,๕๐๐ ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการด าเนินการ ท างานโครงสร้าง รวมถึงการสั่งซื้อ ติดตั้งอุปกรณ์ มีความคืบหน้าของงาน ๘๖.๗๕% (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓) ระยะที่ ๒ : บริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล จ ากัด มีแผนการร่วมทุน กับบริษัทจากต่างประเทศ เพื่อการผลิตเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ๓. ประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทราย เรื่อง ก าหนดประเภทกิจการ เกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมที่ให้โรงงานจ าหน่ายน้ าตาลทรายดิบในราชอาณาจักรและเงื่อนไขในการ อนุญาต (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๗ จ านวน ๗ ประเภทกิจการ (๖ กิจการอุตสาหกรรม) ดังนี้ - กิจการเกษตรกรรมเลี้ยงผึ้ง - กิจการอุตสาหกรรมผลิตกรดแลคติค - กิจการอุตสาหกรรมผลิตแอล-ไลซีน (L-lysine) ใช้กับอาหารสัตว์ - กิจการอุตสาหกรรมผลิตผงชูรส - กิจการอุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Chemicals) - กิจการอุตสาหกรรมผลิตเอทานอล และแอลกอฮอล์ - กิจการอุตสาหกรรมผลิตยีสต์สกัด (Yeast Extract) (ตารางที่ ๕-๑๑) ตารางที่ ๕-๑๑ ปริมาณน้ าตาลทรายดิบที่ได้รับอนุญาตให้ขนย้ายเพื่อใช้ในกิจการอุตสาหกรรม ในปีการผลิต ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๒/๒๕๖๓ หน่วย : ตัน ล ำดับ ประเภทกิจกำร 2558/2559 2559/2560 2560/2561 2561/2562 2562/2563 1 กรดแลคติก 124,858.1 125,693.7 136,889.6 132,803.2 165,760.84 2 แอล-ไลซีน และผงชูรส 58,191.4 420.0 108,068.7 73,395.5 49,354.97 3 เอทานอลและ แอลกอฮอล์ - 180.0 106,784.4 360,809.7 479,348.81 4 ยีสต์สกัด 450 - 1,140.0 1,140.0 900 5 เคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม - - 5,615.24 5,000 รวม 183,499.5 126,293.7 352,882.7 573,763.6 703,855.37


๑๑๕ ๔. กรมโรงงานอุตสาหกรรม การจัดท าร่างกฎกระทรวงก าหนดประเภท ชนิด และขนาดโรงงาน (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เพื่อเพิ่มประเภทหรือชนิดของโรงงานประกอบกิจการท าเคมีภัณฑ์ หรือสารเคมีหรือวัสดุเคมีโดยกระบวนการเคมีชีวภาพ และการผลิตพลาสติกชีวภาพ โดยให้ยกเลิกความในล าดับที่ ๔๒ แห่งบัญชีท้ายกฎกระทรวงก าหนดประเภท ชนิด และขนาดโรงงาน พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยเพิ่มเติมประเภทหรือชนิดโรงงาน ดังนี้ “(๓) การท าเคมีภัณฑ์ หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งใช้วัตถุดิบพื้นฐาน ทางการเกษตร หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต่อเนื่อง โดยใช้กระบวนการทางเคมีชีวภาพเป็นพื้นฐาน (๔) การผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมีที่ผลิต จากวัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต่อเนื่อง (๕) การผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมีที่ผลิต จากวัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต่อเนื่องรวมกับวัตถุดิบที่ผลิตมาจากปิโตรเลียม และท าให้พลาสติกชีวภาพนั้นสลายตัวได้ทางชีวภาพ” ๕. กระทรวงการคลังจัดท ามาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ซึ่งจะเป็นการน า รายจ่ายที่ผู้ประกอบการได้จ่ายไปในการซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ ทางชีวภาพมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจ านวน ๑.๒๕ เท่าของค่าใช้จ่ายที่ได้จ่าย ไปในขอรับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ๖. ส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จัดท าประกาศส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เพื่อรองรับการ ด าเนินการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๓๘๘) เรื่อง ก าหนดประเภท หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลส าหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อ ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยครอบคลุมผลิตภัณฑ์ ๑๑ ชนิด ได้แก่ ถุงหูหิ้ว, ถุงขยะ, แก้วพลาสติก, จานชามถาดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง, ช้อนส้อมพลาสติก, หลอดพลาสติก, ถุงพลาสติกส าหรับเพาะช า, ฟิล์มคลุมหน้าดิน, ขวดพลาสติก, ฝาแก้วน้ า และฟิล์มปิดฝาแก้ว เป็นระยะเวลา ๓ รอบปีบัญชี (ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔) โดยมีการให้การรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ แก่ผู้ประกอบการแล้ว ๓ ราย ได้แก่ บริษัท บีดีสตรอว์ จ ากัด, บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จ ากัด (มหาชน) และบริษัท แวนด้าแพค จ ากัด เพื่อใช้ประกอบการยื่นลดหย่อนภาษีของผู้ซื้อที่ซื้อผลิตภัณฑ์ จากผู้ผลิตดังกล่าว ซึ่งทั้งสามรายเป็นผู้ผลิตหลอดพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และอยู่ระหว่างการ พิจารณาให้การรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพแก่ผู้ประกอบการอีกจ านวน ๕ ราย ๗. กระทรวงพลังงาน ได้มีการก าหนดนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนพลังงานทดแทน คือ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Alternative Energy Development Plan: AEDP 2015) ได้ให้ความส าคัญในการส่งเสริมการผลิตพลังงานจากวัตถุดิบ พลังงานทดแทนที่มีอยู่ภายในประเทศให้ได้เต็มตามศักยภาพ การพัฒนาศักยภาพการผลิตพลังงาน ทดแทนด้วยเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสม และการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อผลประโยชน์ร่วม ในมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชน โดยมีเป้าหมายสัดส่วนพลังงานทดแทนประเภทพลังงานไฟฟ้า ชีวมวลเป็นร้อยละ ๑๕-๒๐ หรือ ๕,๕๗๐ MW ในปี ๒๕๗๙ โดยในร่างของแผน AEDP 2018 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น ๕,๗๘๖ MW ในปี พ.ศ. ๒๕๘๐


๑๑๖ ๘. กระทรวงพลังงาน ได้จัดท าแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2018) ซึ่งผ่านความเห็นชอบ จากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยจะสนับสนุนให้น าผลผลิตทางการเกษตรส่วนเกิน ที่เหลือใช้จากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกแล้วมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล เชิงพาณิชย์ ได้แก่ กากน้ าตาลซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ าตาลจากอ้อยและมันส าปะหลัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่จะต้องใช้เพื่อเป็นอาหารส าหรับการบริโภค โดยมีการปรับลดเป้าหมายการผลิตเอทานอลในปี พ.ศ. ๒๕๘๐ จาก ๑๑.๓๐ ล้านลิตร/วัน (AEDP 2015) เป็น ๗.๕๐ ล้านลิตร/วัน (AEDP 2018) ซึ่งการก าหนดค่าเป้าหมายการส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ จะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ - แผนพัฒนาระบบขนส่งตามแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม - แผนอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง - การพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า - ข้อจ ากัดของเทคโนโลยียานยนต์ในการรองรับการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในสัดส่วนที่สูงขึ้น - พระราชบัญญัติกองทุนน้ ามันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ก าหนดไม่ให้ใช้เงินกองทุนน้ ามันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาน้ ามัน ที่มีเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นส่วนผสม ๙. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดท า (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๕) ภายใต้ Roadmap การจัดการขยะ พลาสติก พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๗๓ เสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ตามที่กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ “เป้าหมายที่ ๑ : การลด เลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย ด้วยการใช้วัสดุทดแทน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้อยละ ๑๐๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว ความหนา น้อยกว่า ๓๖ ไมครอน, กล่องโฟมบรรจุอาหาร ไม่รวมถึงโฟมที่ใช้กันกระแทกในภาคอุตสาหกรรม /แก้วพลาสติก ความหนาน้อยกว่า ๑๐๐ ไมครอน และหลอดพลาสติก ยกเว้นการใช้กรณีจ าเป็น ได้แก่ การใช้ในเด็ก คนชรา ผู้ป่วย เป็นต้น” ๑๐. กรมโยธาธิการและผังเมือง ปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม เพื่อสนับสนุนการประกอบการอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบาย ของรัฐบาลในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพ ๑๑. ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ให้การส่งเสริมการลงทุน ในอุตสาหกรรมตามแนวคิด BCG Model แบบครบวงจรตั้งแต่เกษตรต้นน้ าจนถึงปลายน้ า ซึ่งสามารถสรุปประเภทกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมชีวภาพได้ดังตารางที่ ๕-๑๒


๑๑๗ ตารางที่ ๕-๑๒ ประเภทกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อยที่ BOI ให้การสนับสนุน ประเภทกิจกำร สิทธิประโยชน์ ยกเว้นภำษีเงินได้นิติบุคคล (ปี) กลุ่มอุตสำหกรรมเกษตรและแปรรูปอำหำร กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโน และสารป้องกันก าจัดศัตรูพืชชีวภัณฑ์ 5 กิจการปรับปรุงพันธุ์พืช หรือสัตว์ (ที่ไม่เข้าข่ายกิจการ เทคโนโลยีชีวภาพ) 5 กิจการผลิตสารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติหรือผลิตภัณฑ์ จากสารสกัดจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ (ยกเว้นยา สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน และเครื่องส าอาง) 5-8 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ หรือเศษวัสดุ ทางการเกษตร (ยกเว้นที่มีขั้นตอนการผลิตไม่ซับซ้อน เช่น อบแห้ง ตากแห้ง เป็นต้น) 5 กิจการผลิตอาหารสัตว์หรือส่วนผสมของอาหารสัตว์ - การผลิตหรือให้บริการระบบการเกษตรสมัยใหม่ 5 กิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) 5 กลุ่มอุตสำหกรรมชีวภำพ กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตทางการเกษตรรวมทั้งเศษวัสดุ หรือขยะ หรือของเสียที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร 5-8 - กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร 8 - กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากเศษวัสดุหรือขยะ หรือของเสีย ที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร 8 - กิจการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัด 5 กิจการผลิตเคมีภัณฑ์ หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 5-8 - กิจการผลิตเคมีภัณฑ์ หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม หรือผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมในโครงการเดียวกัน 8 - กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 5 กิจการเทคโนโลยีชีวภาพ 8 - กิจการวิจัยและพัฒนา และ/หรืออุตสาหกรรมการผลิต เมล็ดพันธุ์พืช หรือการปรับปรุงพันธุ์พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ 8 - กิจการวิจัยและพัฒนา และ/หรืออุตสาหกรรมการผลิต สารเวชภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ 8


๑๑๘ ประเภทกิจกำร สิทธิประโยชน์ ยกเว้นภำษีเงินได้นิติบุคคล (ปี) - กิจการวิจัยและพัฒนา และ/หรืออุตสาหกรรมการผลิต ชุดตรวจวินิจฉัยการแพทย์ การเกษตร อาหาร และสิ่งแวดล้อม 8 - กิจการวิจัยและพัฒนา และ/หรืออุตสาหกรรมการผลิต ที่ใช้เซลล์จุลินทรีย์ เซลล์พืช และเซลล์สัตว์ ในการผลิต สารชีวโมเลกุลและสารออกฤทธิ์ชีวภาพ 8 - กิจการผลิตวัตถุดิบ และ/หรือวัสดุจ าเป็นที่ใช้เพื่อการวิจัย และพัฒนา การทดลอง การทดสอบ การควบคุมคุณภาพ และ/หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ 8 กลุ่มอุตสำหกรรมกำรแพทย์ กิจการผลิตอาหารทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 8 กิจการกิจการผลิตสารออกฤทธิ์ส าคัญในยา 8 กลุ่มอุตสำหกรรมกระดำษ กิจการผลิตเยื่อกระดาษ หรือกระดาษ 5-8 กิจการผลิตเยื่อกระดาษชนิดปลอดเชื้อหรือกระดาษ ชนิดปลอดเชื้อ 8 กิจการผลิตเยื่อกระดาษชนิดพิเศษ หรือกระดาษชนิดพิเศษ 5 กลุ่มอุตสำหกรรมพลังงำน สำธำรณูปโภคและสิ่งแวดล้อม กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอน้ า 8 - กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอน้ า จากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ เป็นต้น ยกเว้นขยะหรือเชื้อเพลิงจากขยะ 8 ๕.๓.๒ หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องกับกำรพัฒนำอุตสำหกรรมชีวภำพจำกอ้อย อุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีการประสานการท างาน จากหลายภาคส่วนในการพัฒนา หากจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายสู่อุตสาหกรรม ชีวภาพแต่ละภาคส่วนจะมีบทบาทในการขับเคลื่อนและพัฒนา ดังตารางที่ ๕-๑๓ ตารางที่ ๕.๑๓ หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อย ห่วงโซ่ บทบำท หน่วยงำน อ้อย - การพัฒนาเพื่อลดต้นทุนการผลิตและ เพิ่มผลิตภาพการผลิต - การสนับสนุนด้านปัจจัยการผลิต - การพัฒนาบุคลากรทั้งเกษตรกร ชาวไร่อ้อยและนักวิจัยด้านอ้อย - กระทรวงอุตสาหกรรม - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - สถาบันการศึกษา - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม


๑๑๙ ห่วงโซ่ บทบำท หน่วยงำน - ส านักงบประมาณ - ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร - สถาบันชาวไร่อ้อย น้ าตาล - ประสิทธิภาพการผลิตน้ าตาล - มาตรฐานและคุณภาพของน้ าตาล - การก าหนดราคาจ าหน่ายน้ าตาล - การพัฒนาบุคลากรทั้งผู้ปฏิบัติงานใน โรงงานน้ าตาลและนักวิจัยด้านน้ าตาล - กระทรวงอุตสาหกรรม - กระทรวงพาณิชย์ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม - ส านักงบประมาณ - โรงงานน้ าตาล ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องและ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ - การวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการ สร้างมูลค่าเพิ่ม - การพัฒนาบุคลากรทั้งผู้ปฏิบัติงาน ในสถานประกอบการอุตสาหกรรม ต่อเนื่องและอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมถึงนักวิจัยด้านอุตสาหกรรม ต่อเนื่องและอุตสาหกรรมชีวภาพ - การให้การรับรองด้านมาตรฐานและ การรับรองคุณภาพ - การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการ ลงทุน - การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิด อุปสงค์ - กระทรวงอุตสาหกรรม - กระทรวงพาณิชย์ - กระทรวงพลังงาน - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม - ส านักงบประมาณ - ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน (BOI) - สถาบันการศึกษา - สมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย - สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติก ชีวภาพไทย - ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับ อุตสาหกรรมต่อเนื่องและ อุตสาหกรรมชีวภาพ


๑๒๐ ๕.๔ แนวทำงกำรพัฒนำและส่งเสริมอุตสำหกรรมชีวภำพจำกอ้อย จากการรวบรวมข้อมูล การศึกษาดูงาน การสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์อุตสาหกรมอ้อย และน้ าตาลของไทย การวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมภายในของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลของไทย และปัจจัยแวดล้อมภายในของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลของไทย พบว่าแนวทางการพัฒนา และส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อย มีดังต่อไปนี้ ๕.๔.๑ แนวทำงในกำรพัฒนำและส่งเสริมอุตสำหกรรมชีวภำพจำกอ้อยของไทย แนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อยของไทยจ าเป็นต้อง มีการพัฒนาตั้งแต่ส่วนของต้นน้ าจนถึงปลายน้ า ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเกษตรกรชาวไร่อ้อย ภาครัฐ และภาคเอกชน (รูปที่ ๕-๘) ดังนี้ รูปที่ ๕-๘ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อยตลอดห่วงโซ่


๑๒๑ รูปที่ ๕-๘ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อยตลอดห่วงโซ่ (ต่อ) ที่มา : เอกสารประกอบการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔ สาขานวัตกรรม ๑. ด้านวัตถุดิบ ผลิตภาพการผลิตอ้อยและน้ าตาลทราย แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออก น้ าตาลรายใหญ่อีกรายหนึ่งของโลก แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังมีข้อจ ากัดบางประการที่ควรได้รับ การพัฒนาและส่งเสริม เช่น ต้นทุนทางด้านปัจจัยการผลิตที่ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จึงควรมีการ วางแนวทางในการพัฒนาที่จะมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตภาพการผลิต ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพสาขาเกษตร “ท าน้อยแต่ได้มาก” เช่น การส่งเสริมให้มีการ ท าเกษตรอัจริยะ มีการส่งเสริมให้ใช้อ้อยพันธุ์ดี (ต้นทานโรคและแมลง มีปริมาณน้ าตาลสูง) การใช้เครื่องจักรกลเพื่อทุ่นแรงงานคนและค่าใช้จ่าย การพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและการสร้าง เครือข่ายเกษตรกร การสนับสนุนด้านการวิจัยและระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การสนับสนุน ให้เกษตรกรท าไร่อ้อยอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจโดยการน าวัตถุดิบ จากอุตสาหกรรมอ้อยไปใช้ในอุตสาหกรรมชีวภาพ (รูปที่ ๕-๙ และ ๕.๑๐)


๑๒๒ รูปที่ ๕.๙ กลไกปฏิรูปภาคเกษตรไทย รูปที่ ๕.๑๐ ตัวอย่างการพัฒนาภาคการเกษตรในอุตสาหกรรมอ้อยสู่อุตสาหกรรมชีวภาพ ที่มา : เอกสารประกอบการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔ สาขาการเกษตร ในส่วนของโรงงานน้ าตาลควรมีการสร้างเครือข่ายในการพัฒนาร่วมกับเกษตรกร ชาวไร่อ้อย รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ าตาลทรายของโรงงานให้มีประสิทธิภาพดี ซึ่งจะเป็นผลให้ผลผลิตน้ าตาลต่อตันอ้อยเพิ่มสูงขึ้นได้


๑๒๓ ราคาของวัตถุดิบ นอกเหนือจากการพัฒนาเพื่อเพิ่มผลิตภาพของวัตถุดิบแล้ว อาจปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยสู่อุตสาหกรรมชีวภาพราคาของวัตถุดิบ ถือเป็นปัจจัยส าคัญในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนเนื่องจากต้องมีการค านึงถึงต้นทุนการผลิตเป็นหลัก ราคาน้ าตาลทรายเป็นปัจจัยส าคัญหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนจัดตั้งฐานการผลิต อุตสาหกรรม Bio economy ของบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีจากต่างประเทศ นอกเหนือจากปริมาณ วัตถุดิบหรือน้ าตาลทรายเพื่อรองรับการผลิตในอุตสาหกรรมดังกล่าวแล้ว ประเด็นพิจารณาที่ส าคัญ เกี่ยวกับราคาน้ าตาลทราย มี ๒ ประเด็น คือ มาตรการด้านราคาของภาครัฐเพื่อชักจูงการลงทุน จากต่างประเทศ และ ขอบเขตราคาน้ าตาลทรายที่สร้างความสามารถในการแข่งขัน คุณภาพวัตถุดิบ ในปัจจุบันการน าน้ าเชื่อมเข้มข้นเพื่ออุตสาหกรรม (High Test Molasses) มาใช้ในอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพยังขาดมาตรฐานควบคุมคุณภาพของน้ าเชื่อม เข้มข้นเพื่ออุตสาหกรรม (High Test Molasses) รองรับการน าไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต ในภาคอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพสูงสุด ทั้งนี้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน ต้องร่วมกันก าหนดมาตรฐานควบคุมคุณภาพน้ าเชื่อมเข้มข้นเพื่ออุตสาหกรรม (High Test Molasses) ให้มีค่าความหวานและปริมาณสิ่งเจือปนที่เหมาะสมต่อการน าไปใช้ในอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ และพลาสติกชีวภาพ โดยมีประสิทธิภาพการผลิตใกล้เคียงกับการใช้น้ าตาลทรายเป็นวัตถุดิบ ในอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ ๒. ความเหมาะสมของพื้นที่เป้าหมายอุตสาหกรรม ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีห่วงโซ่อุปทานครบวงจรและมีความเกี่ยวเนื่อง กับหลายภาคส่วน อุตสาหกรรม ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทรายที่เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ า อุตส าหก รรมก ารส่งออกเม็ดพล าสติก และอุตส าหก ร รมก า รแป รรูปผลิตภัณฑ์พล าสติก ดังนั้น การพิจารณาจัดตั้งอุตสาหกรรม Bio economy จึงจ าเป็นต้องพิจารณาปัจจัยในหลายด้าน อาทิ เส้นทางและระยะเวลาในการขนส่งวัตถุดิบหรือสินค้า ระบบสาธารณูปโภคที่ส าคัญรองรับ และนโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐบาล เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงสายโซ่อุปทาน อุตสาหกรรม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้แนวโน้มของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ของประเทศไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งออกเป็นหลัก เนื่องจากความต้องการพลาสติกชีวภาพ ภายในประเทศยังมีน้อยมาก (โดยหากพิจารณาการผลิตเม็ดพลาสติกภายในประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ในปริมาณประมาณ ๘ ล้านตัน พบว่า สัดส่วนปริมาณมากกว่าร้อยละ ๗๐ เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก) ทั้งนี้ในปัจจุบัน ภาครัฐบาลได้ระบุพื้นที่เป้าหมายที่จะได้รับมาตรการส่งเสริม การลงทุนในการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อันได้แก่ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง โดยทั้ง ๒ จังหวัดดังกล่าวมีระบบสาธารณูปโภคที่ส าคัญรองรับอุตสาหกรรมการผลิต อีกทั้ง ยังมีท่าเรือ พาณิชย์ที่ส าคัญของประเทศรองรับอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยจังหวัดชลบุรีมีท่าเรือแหลมฉบัง เป็นท่าเรือการส่งออกที่ส าคัญ ในขณะที่จังหวัดระยองมีการส่งออกที่ส าคัญผ่านทางท่าเรือมาบตาพุต เช่นเดียวกัน จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองจึงเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ส าคัญของ ประเทศในปัจจุบัน ซึ่งรวมไปถึงผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ คือ บ ริษัท Purac Corbion ผู้ผลิตก รดแลคติก (Lactic Acid) และบ ริษัท PTTMCC BioChem ผู้ผลิตเม็ดพอลิบิวทิลีนซัคซิเนต (PBS) โดยในปัจจุบัน บริษัท Purac Corbion จัดซื้อน้ าตาลทรายดิบ ภายในประเทศเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเคมีชีวภาพ ในขณะที่บริษัท PTTMCC BioChem


๑๒๔ ยังอาศัยการน าเข้าวัตถุดิบการผลิตทั้ง ๒ ชนิด (กรดซัคซินิคและ ๑,๔ บิวเทนไดออล) มาจากต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตวัตถุดิบทั้ง ๒ ชนิดได้ ดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้น จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองจึงเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ที่สามารถเชื่อมโยงการขนส่งในสายโซ่อุปทานอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพได้โดยสะดวก นอกจากความสะดวกในการขนส่งสินค้าส่งออกต่างประเทศผ่านทางท่าเรือพ าณิชย์แล้ว พื้นที่อุตสาหกรรมของทั้ง ๒ จังหวัดดังกล่าวสามารถขนส่งวัตถุดิบชีวภาพเข้าสู่พื้นที่ส าคัญของอุตสาหกรรม การแปรรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก คือ พื้นที่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดในภาคกลาง และภาคตะวันออกได้โดยสะดวก นอกจากนี้ จังหวัดชลบุรียังเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตน้ าตาลทราย จ านวน ๔ แห่ง (โรงงานน้ าตาลนิวกว้างสุ้นหลี, โรงงานอุตสาหกรรมน้ าตาลชลบุรี, โรงงานน้ าตาลระยอง และโรงงานสหการน้ าตาลชลบุรี) และยังมีโรงงานน้ าตาลในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างจังหวัดสระแก้ว อีกกว่า ๒ แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ าตาลและอ้อยตะวันออกและโรงงานน้ าตาลและอ้อยตะวันออก (วังสมบูรณ์) เมื่อพิจารณาถึงการรองรับของระบบสาธารณูปโภคและวัตถุดิบ (อาทิ ก๊าซไฮโดรเจน) ประกอบกับศักยภาพการเชื่อมโยงการขนส่งและการส่งออกดังกล่าว จังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี จึงมีศักยภาพเพียงพอในการเป็นฐานการจัดตั้ง Bio economy Hub ของประเทศไทยในปัจจุบัน ในอน าคตป ระเทศไทยมีแผนก า รเพิ่มผลผลิตอ้อยและน้ าต าลท ร าย ภาคผู้ประกอบการจึงเริ่มมีการพิจารณาถึงแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มและขยายก าลังการผลิต ของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ อีกทั้ง ผู้ประกอบการบางรายได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ ของการน าน้ าเชื่อมเข้มข้นเพื่ออุตสาหกรรม (High Test Molasses) มาใช้ผลิตเคมีชีวภาพหรือพลาสติก ชีวภาพโดยตรง พื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาลทราย การก าหนดพื้นที่เป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพอย่างครบวงจร เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษถือเป็นหนึ่งในแนวทางส าคัญซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาในการจัดตั้งโรงงาน อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพบนพื้นที่ซึ่งอาจขัดต่อระเบียบผังเมืองในการจัดตั้งโรงงาน บนเขตพื้นที่สีเขียว (ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม) หรือเขตพื้นที่สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว (ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) ทั้งนี้ภาครัฐควรก าหนดนโยบายสนับสนุนการลงทุน ในรูปแบบ Super cluster (เช่นเดียวกับนโยบายสนับสนุนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ขั้นสูงหรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคตอื่นๆ) อาทิ การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ให้เกิดการลงทุน ของภาคเอกชน การเตรียมความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคและแหล่งพลังงานรองรับอุตสาหกรรม พื้นที่ที่มีศักยภาพด้านวัตถุดิบและได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในการจัดตั้ง อุตสาหกรรมชีวภาพแบบครบวงจร อาทิ พื้นที่ภาคกลางตอนบน อาทิ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีปริมาณผลผลิตอ้อย ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ อยู่ใกล้แหล่งชลประทาน และมีเส้นทางการขนส่ง ที่สะดวก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณผลผลิตอ้อยสูง ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ใกล้เขื่อนล าปาว (ซึ่งเป็นแหล่งชลประทานที่ส าคัญรองรับภาคเกษตรกรรมในภูมิภาค) โดยเขื่อนล าปาวเป็นแหล่ง ชลประทานที่ได้รับความสนใจจากธนาคารโลกในการร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรในบริเวณรอบ พื้นที่ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมีโครงการที่มีแผนในการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อยที่อยู่ภายใต้ การขับเคลื่อนตามมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐) ดังรูปที่ ๕.๑๑


๑๒๕ รูปที่ ๕-๑๑ ผลการด าเนินงานที่ส าคัญตามมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ ที่มา : ส านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔) ๓. นโยบายสนับสนุนของภาครัฐบาล ตามที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ภาครัฐบาลของประเทศไทยเล็งเห็นความส าคัญ ของอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยรัฐบาลได้มีการประกาศในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ให้อุตสาหกรรม การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงอุตสาหกรรมชีวภาพอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพื่ออนาคต โดยอุตสาหกรรมการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพได้ถูกก าหนดให้เป็น ๑ ใน ๕ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิมที่มีรากฐาน แข็งแรงเพื่อการต่อยอด และอุตสาหกรรมชีวภาพเป็น ๑ ใน ๕ ของกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนา ดังแสดงข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ซึ่งได้มีการน าเสนอในข้างต้น การได้รับการก าหนดเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพได้รับสิทธิประโยชน์สนับสนุนการลงทุนในระดับสูงสุดที่เหนือกว่า กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป โดยได้รับการพิจารณาเป็นกิจการประเภท A1 หรืออุตสาหกรรมฐานความรู้ ด าเนินงานวิจัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งกิจการในกลุ่มดังกล่าวจะได้รับ สิทธิประโยชน์ในการยกเว้นอัตราภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลา ๘ ปี ตามสิทธิประโยชน์มาตรา ๓๑ นอกจากนี้ การลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นอากรเครื่องจักร ตามสิทธิประโยชน์ มาตรา ๒๘ และยกเว้นอากรวัตถุดิบในการผลิตเพื่อการส่งออก ตามสิทธิประโยชน์มาตรา ๓๖ นอกจากนี้ รัฐบาลก าลังพิจารณาเกี่ยวกับการก าหนดสิทธิประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม


๑๒๖ นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการพัฒนางานวิจัยและการตลาดของพลาสติกชีวภาพ ภายในประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์ได้ประกาศมาตรการส่งเสริมการน าค่าใช้จ่ายจากการวิจัยพัฒนา พลาสติกชีวภาพมาหักลดค่าใช้จ่ายในการค านวณภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งทางผู้ประกอบการเอกชนสามารถ น าค่าใช้จ่ายจากการด าเนินงานวิจัยพัฒนาพลาสติกชีวภาพตลอดสายโซ่อุปทานไปหักลดค่าใช้จ่ายได้ ร้อยละ ๓๐๐ ในการค านวณภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมไปถึงกระทรวงการคลังก็อยู่ในระหว่าง การพิจารณามาตรการการน าค่าใช้จ่ายจากการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพมาหักลดค่าใช้จ่ายในการ ค านวณภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งเป็นมาตรการสนับสนุนที่ทางผู้ประกอบการเอกชนจะสามารถน าค่าใช้จ่าย จากการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพไปหักลดค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ ๒๐๐ ในการค านวณภาษีเงินได้ นิติบุคคล เป็นระยะเวลา ๕ ปี ๔. การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศส าหรับอุตสาหกรรม Bio economy เนื่องจากในปัจจุบัน การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตในอุตสาหกรรมชีวภาพที่สูง เพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรม ของประเทศและความสามารถในการแข่งขันทางการค้าสินค้าชีวภาพของไทยในตลาดโลก จึงควรมีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศส าหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ (ครอบคลุมอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง ชีวภาพ เคมีชีวภาพ ชีวเภสัชภัณฑ์ และพลาสติกชีวภาพ) โดยมีการวิจัยพัฒนาเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่กระบวนการผลิตวัตถุดิบประเภทอ้อยจนถึงกระบวนการในอุตสาหกรรมชีวภาพ ดังนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ า อาทิ การวิจัยพัฒนาพันธุ์อ้อยเพิ่มปริมาณ ค่าความหวานของอ้อย ความสามารถในการทนต่อโรคหรือศัตรูพืช การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี กระบวนการผลิตจุลินทรีย์ที่สามารถเพิ่มปริมาณและคุณภาพของการผลิตเอนไซม์ในภาคอุตสาหกรรม โดยการน าเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีจีโนม พันธุวิศวกรรม รวมถึงเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ า อาทิ การวิจัยพัฒนาเพื่อควบคุมและรักษา คุณภาพน้ าเชื่อมเข้มข้นเพื่ออุตสาหกรรม (High Test Molasses) ให้เหมาะสมในการน ามาใช้ใน อุตสาหกรรมชีวภาพ การวิจัยพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพจากวัสดุประเภทพืชจ าพวกเส้นใย (Cellulosic) ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบทางการเกษตรที่ประเทศไทยมีอยู่ในปริมาณมาก เพื่อเพิ่มศักยภาพ อุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ า อาทิ การวิจัยพัฒนากระบวนการแปรรูป ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพ เวชภัณฑ์และเครื่องส าอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้ง จากกระบวนการผลิต ทั้งนี้ ควรมีการสร้างเครือข่ายวิจัยพัฒนาร่วมกับภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ในระดับ ปฏิบัติการ (Lab Scale) ระดับโรงงานน าร่อง (Pilot Plant) และระดับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ (Commercial Scale) เพื่อรองรับการด าเนินงานในภาคอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ส านักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ าตาลทรายได้รับการจัดสรร งบประมาณในการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ ณ ต าบลบางพระ อ าเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี รองรับการวิจัย พัฒนา ทดสอบที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพ รวมถึงเป็นศูนย์กลาง การแลกเปลี่ยนความรู้อบรมและสัมมนาของนักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ ในการยกระดับสินค้า เกษตรสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพและผลักดันให้ EEC เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชีวภาพต่อไปในอนาคต


๑๒๗ ๕. การสนับสนุนทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ปัจจุบันตลาดของผลิตภัณฑ์ชีวภาพของประเทศไทยยังไม่เติบโตเท่าที่ควร เนื่องจากราคาของผลิตภัณฑ์ชีวภาพของไทยยังสูงกว่าราคาของผลิตภัณฑ์ทั่วไปจึงท าให้ไม่เป็นที่นิยม ของผู้บริโภค แม้จะมีการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประโยชน์ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภาครัฐจึงควร มีการออกมาตรการ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อบังคับใช้และ/หรือสร้างแรงจูงใจจากผู้ผลิตและบริโภค เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น ตารางที่ ๕.๑๔ (ร่าง) แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อย ระยะสั น (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕) ระยะกลำง (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๘) ระยะยำว (พ.ศ. ๒๕๖๙-๒๕๗๐) ๑. การปรับปรุงพระราชบัญญัติ อ้อยและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ๒. การทบทวนยุทธศาสตร์อ้อย โรงงานและน้ าตาลทราย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙ ๓. การจัดท าร่างกฎกระทรวง ก าหนดประเภท ชนิด และขนาด โรงงาน (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เพื่อเพิ่มประเภทหรือชนิดของ โรงงานประกอบกิจการท า เคมีภัณฑ์ หรือสารเคมีหรือวัสดุเคมี โดยกระบวนการเคมีชีวภาพ และการผลิตพลาสติกชีวภาพ ๔. การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริม อุตสาหกรรมชีวภาพ ๕. การผลักดันให้เกษตรกรชาวไร่ อ้อยเป็นเกษตรกรอัจฉริยะ ๖. น าเครื่องจักรกลการเกษตรมา ทดแทนการเผาอ้อย โดยมีการเผา อ้อยไม่เกินร้อยละ ๕ ๑. การปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ๒. การเปิดให้บริการของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ ๓. มีการออกมาตรการ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อบังคับใช้ และ/หรือสร้างแรงจูงใจจากผู้ผลิตและบริโภคเพื่อกระตุ้นให้เกิด การใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ๔. มีการทดแทนพลาสติกจากแหล่งปิโตรเลียมด้วยพลาสติก ชีวภาพในผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งมากกว่าร้อยละ ๕ ๕. ผู้ประกอบการโรงงานน้ าตาลเดิมสามารถขยายกิจการเพื่อ ต่อยอดผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้วัตถุดิบจากอุตสาหกรรมอ้อย และน้ าตาลทรายในรูปแบบ Bio complex ได้ในบริเวณ เดียวกัน ๕.๔.๒ กำรพัฒนำอุตสำหกรรมชีวภำพที่ครอบคลุม ก า รพัฒน าอุตส าหก ร รมชี วภ าพที่ค รอบคลุมคว รมุ่งเน้นให้ภ าคเอกชน มีขีดความสามารถในการแข่งขัน มีการผลิตและการค้าผลิตภัณฑ์ชีวภาพในเชิงพาณิชย์ทั้งภายใน และต่างประเทศ และการปรับพื้นฐานจากภาคเกษตรสู่อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน


๑๒๘ โดยควรมีการร่วมมือระหว่างภาคราชการและเอกชนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพในกรอบ การด าเนินการหลัก ดังนี้ ๑. การพัฒนาการวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตอุตสาหกรรมชีวภาพ ๒. การส่งเสริมด้านเงินทุน สิทธิประโยชน์ และรางวัลแก่การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ ๓. การพัฒนาก าลังคนและเพิ่มความสามารถทางเทคโนโลยีชีวภาพ และวิศวกรรม เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ ๔. การส่งเสริมบ่มเพาะ สร้าง และยกระดับผู้ประกอบการและธุรกิจอุตสาหกรรม ชีวภาพรูปแบบใหม่ (New Business Models & Entrepreneurs) ๕. การปรับปรุงมาตรฐาน กฎหมาย กฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ชีวภาพ (Standards/Laws/Regulations) ๖. การสร้างและพัฒนาตลาด ทั้งนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพมีประเด็นในการร่วมมือและผลักดันเพื่อให้เกิด การผลิตและการค้าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมซึ่งมีข้อประเด็นเสนอ ประกอบด้วย ๑. การปรับผังเมืองเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมชีวภาพได้ในบริเวณเดียวกัน กับแหล่งวัตถุดิบอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ ชีวพลังงาน และ Food Ingredients เป็นต้น ๒. การปรับ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ที่เกี่ยวกับการระบุความสูงของอาคาร จากความสูงไม่เกิน ๑๒-๑๖ เมตร ให้สูงขึ้นเพื่อให้เอื้อต่อการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมชีวภาพ ๓. การปรับแก้ไขเพิ่มเติม พรบ.โรงงาน ฉบับที่ ๒ (๒๕๖๒) โดยเพิ่มล าดับย่อย ของล าดับที่ ๔๒ ครอบคลุมการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มาจากวัตถุดิบทางการเกษตร ๔๒ (๓), (๔), (๕) ๔. การส่งเสริมการอนุมัติ EIA และ ESA ๕. สนับสนุนเงินทุนส าหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรวมถึง การพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ๖. ภาครัฐขยายขอบเขตพื้นที่ด าเนินการพัฒนาระบบชลประทานแก่ภาคเกษตรในชนบท ๗. การเพิ่มมาตรการจูงใจให้กับภาคเอกชน ในการพัฒนาระบบชลประทาน ตามการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก โดยการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยสามารถรวมค่าออกแบบและส ารวจระบบชลประทานได้ ๘. การยกเว้นหรือก าหนดภาษีน าเข้าในอัตราต่ าส าหรับเครื่องจักรกล การเกษตร และอะไหล่ รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการท าเกษตรสมัยใหม่ เช่น โดรน UAV เครื่องติดตามความชื้นดิน ระบบการให้น้ าหรือให้ปุ๋ยแบบอัตโนมัติ และหรือมีวงเงินสินเชื่อภาครัฐให้เกษตกรกู้ยืม พร้อมสนับสนุน ดอกเบี้ยต่ า และผ่อนช าระยะยาวเพื่อการปรับโครงสร้างสู่ Smart farming ๙. การยกเว้นหรือก าหนดภาษีน าเข้ารถตัดอ้อย เครื่องเก็บใบอ้อย และอะไหล่ ในอัตราต่ า เพิ่มการผ่อนช าระในระยะยาวกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๘ ปีขึ้นไป ๑๐. การรณรงค์ควบคุมการใช้ Single-use, Conventional plastic ที่ย่อยสลาย ไม่ได้ และส่งเสริมการผลิตการใช้ Bio-degradable plastics หรือ Bio-based plastics เพื่อสิ่งแวดล้อม ๑๑. การเพิ่มสินค้าผลิตภัณฑ์กระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพแทนพลาสติก จากปิโตรเลียม เช่น กระดาษห่อข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง หรือบะหมี่ เข้าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ในมาตรการ


๑๒๙ ภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพเพิ่มเติม เพื่อยกระดับ ความปลอดภัยทางอาหารแก่ผู้บริโภค (Food Safety) ๑๒. ส่งเสริมการจัดท า Bio-label ที่เป็นมาตรฐานกลางของประเทศเพื่อแสดง ในผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ๑๓. เพิ่มอัตราการลดหย่อนภาษีที่จะสามารถกระตุ้นอุปสงค์การใช้พลาสติกชีวภาพ ร้อยละ ๒๐๐-๓๐๐ ให้กับผู้บริโภค ในระยะแรกเพื่อการส่งเสริมการลงทุนและผลิตพลาสติกชีวภาพ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ๑ ๔ . ก า ร อุ ด ห นุ น จ า ก ภ า ค รั ฐ ส า ห รั บ Technology Transfer/Licensing ในเทคโนโลยีที่ประเทศไทยยังพัฒนาไม่ได้ และเทคโนโลยีพัฒนาผลิตภัณฑ์กลางน้ า (Compounding) และปลายน้ า (New products) กับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของรัฐ เพื่อการปรับฐานเทคโนโลยี และวิธีการผลิตของประเทศ ๑๕. เร่งสร้างขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ในระดับ อุ ต ส า ห ก ร ร ม เ ค มี ชี ว ภ า พ แ ล ะ Bio-based ร ว ม ถึ ง ส ร้ าง แ ล ะ พั ฒ น า บุ ค ล า ก ร ด้ า น Biotechnology/Bioprocess Engineering /Biopolymer Enigneering เพื่ อ เ ต รี ย ม ค ว า มพ ร้ อ ม ให้กับอุตสาหกรรมชีวภาพ ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑๖. จัดท าแนวทางร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน และสร้างกลไกที่จะสนับสนุน การน าวัตถุดิบและการปลูกอ้อยโดยไม่เผาไปใช้ในอุตสาหกรรมชีวภาพที่เป็นระยะยาว เช่น ประโยชน์ ทางด้าน Carbon credit/Carbon tax เป็นต้น ๑๗. ส่งเสริมการน าน้ าอ้อยไปใช้เป็นวัตถุดิบ ในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เป็นอุตสาหกรรมชีวภาพ ๑๘. ภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดท า Transition roadmap ที่จะเปลี่ยนจากการใช้ เอทานอลเป็น EV เพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตเอทานอลเพื่อเป็นเชื้อเพลิงและผลกระทบ ต่อเกษตรกรที่ปลูกอ้อยและปาล์มน้ ามัน โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านควรจะมีทั้ง FFV ตั้งแต่ E20-E100 และ EV ควบคู่กันไป และพัฒน าเทคโนโลยีก ารผลิต Ethanol hydrogen fuel cell vehicle เพื่อรองรับใช้เอทานอลในอนาคต ๑๙ . ก า ร ส่งเ ส ริม ก า รน าเอท านอ ลไปผลิ ตเผ ลิตภัณฑ์ต่ อ ยอ ดมูล ค่ าสูง เช่นในอุตสาหกรรมยา หรือตัวท าละลายในอุตสาหกรรมต่างๆ หรือการพัฒนาเพื่อน าเอทานอล เป็น วัตถุดิบในก า รผลิตเคมีชี วภ าพ พ ล าสติกชี วภ าพ เช่น PE PET แล ะอื่น ๆ ต่อไปได้ ในราคาที่เหมาะสม ๒๐. การสนับสนุนให้มีการซื้อขาย Carbon credit จากโรงงานอุตสาหกรรมชีวภาพ พลังงานชีวภาพที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Carbon footprint/Environmental friendly process ที่ได้ผ่านตลาดซื้อขาย Carbon กลางของประเทศเพื่อการยกระดับราคาอ้อยและพืชเศรษฐกิจต่อไป ๒๑. การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าชีวมวลเพื่อระดับเศรษฐกิจฐานรากอ้อยและพืชเศรษฐกิจ


๑๓๐


๑๓๑ บทที่ ๖ สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบำย ๖.๑ สรุป อุตสาหกรรมชีวภาพถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดหลักคือการทดแทนการผลิตในรูปแบบเดิมที่ใช้ทรัพยากรชนิดที่ใช้แล้วหมดไปเปลี่ยนมาเป็น การใช้ทรัพยากรชีวภาพและชีวมวลที่เป็นทรัพยากรทดแทนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้อุตสาหกรรมชีวภาพถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ชีวมวลจากภาคการเกษตรเป็นวัตถุดิบ ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพต่าง ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ มีคุณสมบัติที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเคมีได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมชีวภาพ เป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงระหว่างภาคการเกษตรที่เป็นแหล่งวัตถุดิบตั้งต้น กับภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศจึงเปรียบเสมือนการพัฒนา ต่อยอดอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตจากภาคการเกษตรเป็นวัตถุดิบตั้งต้นและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับ ผลผลิตและวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จากการศึกษาแนวนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศต้นแบบ อย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนี บราซิล จีน และมาเลเซีย พบว่า ในแต่ละประเทศจะมีแนวทางการพัฒนา อุตสาหกรรมชีวภาพที่คล้ายคลึงกันแต่จะแตกต่างกันในด้านประเด็นเนื้อหา เนื่องจากบริบทของแต่ละ ประเทศที่มีความแตกต่างกัน เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วัตถุดิบชีวภาพ เป็นต้น โดยในส่วน ของประเทศไทย จากปัญหาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลง ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่เพิ่ม มากขึ้น รวมถึงจ านวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีความจ าเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนจากการผลิต ภาคอุตสาหกรรมในรูปแบบเดิมสู่การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ เทคโนโลยีชีวภาพ ดังนั้นภาครัฐจึงได้ให้ความส าคัญกับอุตสาหกรรมชีวภาพด้วยการก าหนดให้เป็นหนึ่ง ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (S-Curve) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านการเป็นแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่หลากหลายควบคู่กับความก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร อันจะน าไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ า กลางน้ า จนถึงปลายน้ า โดยมีแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีกรอบนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการที่เกี่ยวข้องในระดับหน่วยงานที่ส าคัญ เช่น กรอบนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศไทยของส านักงานคณะกรรมการนโยบาย วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (สวทน.) กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ โดยส านักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) และมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ ของไทยโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ปัจจุบันอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในช่วงของการพัฒนา แต่จากการ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพทางด้านวัตถุดิบจากสินค้าเกษตร และยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตร


๑๓๒ รายใหญ่ของโลก อาทิ ข้าว มันส าปะหลัง ยางพารา น้ าตาลทราย น้ ามันปาล์ม รวมไปถึงยังมี อุตสาหกรรมขั้นต้นที่แปรรูปวัตถุดิบจากภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ส่งผลให้ ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) ทั้งของภูมิภาค และของโลก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตร ของประเทศไทยจะพบว่า อุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมแปรรูปในขั้นต้นที่ใช้เทคโนโลยี และเครื่องจักรในการผลิตที่ไม่สลับซับซ้อนท าให้การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบมีไม่มาก สินค้าส่วนใหญ่ จึงเป็นสินค้าที่ใช้เพื่อการบริโภคและพลังงานทดแทน เช่น ข้าวหอมมะลิ แป้งมันส าปะหลัง น้ าตาลทราย น้ ามันพืช ไบโอดีเซลจากปาล์มน้ ามัน เอทานอลจากอ้อย เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขาดโอกาสในการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่ โดยสาเหตุส าคัญก็มาจากการขาดนโยบายหรือแนวทางในการ ขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศที่ชัดเจน การมีข้อกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อก าหนด ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือยกระดับภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงในการที่ จะยกระดับจากอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรสู่อุตสาหกรรมชีวภาพจ าเป็นที่จะต้องใช้เงิน ลงทุนสูงและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นจ านวนมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการขาดแรงขับเคลื่อนในการ พัฒนาแม้ว่าผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรในรูปแบบเดิมจะมีแนวโน้มทางด้านราคาและความต้องการที่ลดลงก็ตาม ซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ การที่จะสามารถพยุงราคาของสินค้าเกษตรในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบดังกล่าว ในการผลิตให้สามารถอยู่รอดได้นั้น จึงจ าเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าเกษตร เช่น เมื่อน าอ้อยมาผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงถึง ๑๐๐-๒๒๐ เท่า หรือเมื่อน าปาล์มน้ ามันมาผลิตเป็นวิตามินจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงถึง ๒๐-๔๕ เท่า (รูปที่ ๖.๑) ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม เกิดการสร้างงานสร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น อันจะน ามาสู่ความมั่นคง ทางด้านเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรไทย รูปที่ ๖.๑ ห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมชีวภาพ ที่มา : มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐


๑๓๓ ดังนั้น การมีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพที่ชัดเจนและสอดคล้องกับบริบท ของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งส าคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศสามารถ ขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลเชิงประจักษ์อย่างแท้จริง ทั้งนี้คณะท างานจึงได้ศึกษาข้อมูล อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพจากกรณีศึกษาอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามันและอ้อย พร้อมวิเคราะห์ปัจจัย แวดล้อมและห่วงโซ่คุณค่า เพื่อจัดท าข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ชีวภาพของประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๖.๒ กำรวิเครำะห์ปัจจัยแวดล้อมอุตสำหกรรมชีวภำพของประเทศไทย ในการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทยจะท าการวิเคราะห์ จากข้อมูลของอุตสาหกรรมชีวภาพในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงข้อมูลจากอุตสาหกรรมปาล์มน้ ามัน และอุตสาหกรรมอ้อยที่ได้มีการรวบรวมในบทที่ ๔ และบทที่ ๕ โดยใช้ SWOT Analysis เป็นเครื่องมือ ในการวิเคราะห์ เพื่อประเมินปัจจัยแวดล้อมและศักยภาพของอุตสาหกรรม ซึ่งการวิเคราะห์ จะแบ่งออกเป็นปัจจัยแวดล้อมภายใน ได้แก่ จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) และปัจจัยแวดล้อมภายนอก ได้แก่ โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) โดยผลการ วิเคราะห์พบปัจจัยที่เป็นจุดแข็ง ๖ ปัจจัย ปัจจัยที่เป็นจุดอ่อน ๑๓ ปัจจัย ปัจจัยที่เป็นโอกาส ๔ ปัจจัย และปัจจัยที่เป็นอุปสรรค ๒ ปัจจัย (รูปที่ ๖.๒) โดยมีรายละเอียดของการวิเคราะห์ในแต่ละปัจจัย ดังนี้ รูปที่ ๖.๒ สรุปผลการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย กำรวิเครำะห์ปัจจัยภำยใน กำรวิเครำะห์ปัจจัยภำยนอก จุดแข็ง (Strenghts) S๑ สามารถปลูกพืชที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมชีวภาพได้เอง S๒ มีอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตจากภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง S๓ ภาพลักษณ์ทางด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ผลิตจาก ประเทศไทย S๔ มีตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพขนาดใหญ่ในประเทศ S๕ มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าส าเร็จรูป (End user) เป็นฐานลูกค้าในประเทศ S๖ มีผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นส่วนประกอบส าคัญ ส าหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ โอกำส (Opportunities) O๑ ความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตในเชิงพาณิชย์ O๒ แนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ชีวภาพในตลาดโลก O๓ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ชีวภาพในปัจจุบันเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ ทั่วไป O๔ ขนาดของตลาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพมีขนาดใหญ่ จุดอ่อน (Weaknesses) W๑ กฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ W๒ ความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ W๓ ขาดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชีวภาพและศูนย์ทดสอบรับรอง W๔ ขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ W๕ ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใน อุตสาหกรรม W๖ ขาดเทคโนโลยีการผลิตในเชิงพาณิชย์ W๗ กระบวนการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมแบบมืออาชีพ W๘ ขาดหน่วยงานที่รับผิดชอบเฉพาะด้านส าหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ W๙ การค านึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคในประเทศ W๑๐ ภาพพจน์ทางด้านตราสินค้าของผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ผลิตจาก ประเทศไทย W๑๑ ขาดช่องทางการจัดจ าหน่าย W๑๒ สัดส่วนของเกษตรกรรายย่อยที่สูง W๑๓ ความแปรปรวนของปริมาณวัตถุดิบ อุปสรรค (Threats) T๑ ราคาวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศคู่แข่ง T๒ ประเทศคู่แข่งในอุตสาหกรรมชีวภาพได้รับการสนับสนุนจาก ภาครัฐอย่างจริงจัง


๑๓๔ จุดแข็ง (Strengths) S1 สามารถปลูกพืชที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมชีวภาพได้เอง ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีความเหมาะสมกับการท าเกษตร ประชาชนมากกว่าร้อยละ ๕๐ ประกอบอาชีพเกษตรกร มีพืชเศรษฐกิจที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบ ในอุตสาหกรรมชีวภาพหลายชนิด เช่น ข้าว ยางพารา มันส าปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ ามัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อ ได้เปรียบที่ส าคัญหากจะน าผลผลิตดังกล่าวไปต่อยอดในอุตสาหกรรมชีวภาพ S2 มีอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตจากภาคการเกษตรที่เข้มแข็ง นอกจากประเทศไทยจะสามารถปลูกพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมชีวภาพได้เองแล้ว ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยยังมีความเข้มแข็งสามารถ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออก สินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก อาทิ ผลิตภัณฑ์จากมันส าปะหลัง ได้แก่ มันเส้น มันอัดเม็ด แป้งมัน ผลิตภัณฑ์จากอ้อย ได้แก่ น้ าตาลทรายดิบ ผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ ามัน ได้แก่ น้ ามันปาล์มดิบ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถน ามาต่อยอดในอุตสาหกรรมชีวภาพได้เกือบทั้งหมด S3 ภาพลักษณ์ทางด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ผลิตจากประเทศไทย ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย เช่น ผู้ผลิตไบโอดีเซล ผู้ผลิต แอลกอฮอล์ของกรดไขมัน ผู้ผลิตเอทานอล หรือผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ จะใช้เทคโนโลยีการผลิต ของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ทางด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ผลิต จากประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล S4 มีตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพขนาดใหญ่ในประเทศ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งในส่วนของการน าเอทานอลที่ผลิตได้ทั้งจากมันส าปะหลังและอ้อยผสมลงในน้ ามันเบนซิน และในส่วน ของไบโอดีเซลที่ผลิตได้จากน้ ามันปาล์ม ส่งผลให้มีตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพขนาดใหญ่ภายในประเทศ และมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นจ านวนมาก S5 มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าส าเร็จรูป (End user) เป็นฐานลูกค้าในประเทศ ประเทศไทยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าส าเร็จรูป (End user) ระดับโลก ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากอุตสาหกรรมชีวภาพเป็นฐานลูกค้าภายในประเทศเป็นจ านวนมาก เช่น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ใช้กรดซักซินิก กรดอะซิติก กรดซิตริก ที่ผลิตจากอ้อยเป็นวัตถุดิบ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพที่ใช้กรดแลคติกที่ผลิต จากอ้อยเป็นวัตถุดิบ หรือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตสารหล่อลื่นที่ใช้ผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี จากปาล์มน้ ามันเป็นวัตถุดิบ S6 มีผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นส่วนประกอบส าคัญส าหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีที่ส าคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีแหล่งก๊าซธรรมชาติและโรงแยกก๊าซเป็นของตนเอง โดยแหล่งผลิตปิโตรเคมีที่ส าคัญ อยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งในกระบวนการแยกก๊าซนั้นจะสามารถแยก ออกเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิดรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบส าคัญในอุตสาหกรรมชีวภาพขั้นสูง เช่น ก๊าซไฮโดรเจน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เอทิลีนไกลคอล ซัลเฟอร์ เป็นต้น


Click to View FlipBook Version