รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 12 - โอกาสจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น ภัยคุกคามจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น มีการลดอุปสรรคทางการค้าในตลาด ต่างประเทศที่น่าสนใจ มีบริษัทคู่แข่งหรือบริษัท ที่มีความชํานาญด้าน เทคโนโลยีที่น่าสนใจหรือความสามารถ มีการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหรือกิจการร่วมค้า เพื่อขยายตลาดของ บ ริษัท ห รือเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขัน มีสภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออํานวยต่อการจัด จําหน่ายสินค้า มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี – โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเทคโนโลยีที่บ่อนทําลายความสามารถที่ โดดเด่นของบริษัท มีนโยบายการค้าต่างประเทศที่จํากัด มีข้อกําหนดทางกฎหมายที่ทําให้ต้นทุนสูงขึ้น เงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวด ปัจจัยการผลิตและพลังงาน มีราคาเพิ่มขึ้น 1.4.4.2 การบ่งชี้และวิเคราะห์ปัญหายางพาราทั้งระบบ (Problem Identification and Analysis) เป็นการอธิบายบริบทของปัญหาและระบุสิ่งที่เป็น “ปัญหา” ทั้งในเชิงกระบวนการ บริหารจัดการและในเชิงผลิตภัณฑ์อันส่งผลให้เกิดความเข้าใจต่อสถานการณ์โดยทั่วไปอาจเรียกว่า “การประเมินสถานการณ์ปัญหา” มีส่วนประกอบและขั้นตอนดังนี้ 1) กําหนดขอบเขตของสถานการณ์และบริบทแวดล้อมของปัญหา 2) กําหนดลักษณะเฉพาะของสถานการณ์ - องค์ประกอบและความสัมพันธ์ 3) แปลผลและทําความเข้าใจสถานการณ์จากองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 13 - ตารางที่ 3 วิธีการระบุสถานการณ์และวิเคราะห์ปัญหา ขั้นตอนการระบุสถานการณ์และวิเคราะห์ปัญหา 2 1) ระบุปัญหาในปัจจุบัน (State the present problem) 2) วิเคราะห์ปัญหาที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน (Analyze the presenting problem) 3) ขยายขอบเขตการวิเคราะห์ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก (Broaden and deepen the analysis) 4) กําหนดขอบเขตของสถานการณ์ (Bound the situation) 5) เขียนแผนผังอธิบายสถานการณ์ (Diagram the situation) 6) บ่งชี้หัวข้อที่จําเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม (Identify topics requiring further study) 7) พัฒนาแผนการแก้ไขปัญหาทงระบบั้ (Develop an overall problem solving plan) 8) พัฒนาบทสรุปรวมของสถานการณ์ (Develop a summary account of the situation) 1.4.5 การจัดทํารายงานแนวทางการแก้ไขปัญหา และพัฒนาระบบยางพาราไทย คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทําแนวทางการพัฒนาเบื้องต้น ของมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ การเตรียมความพร้อม และนโยบายการพัฒนาที่ เหมาะสมสําหรับประเทศไทย อันเป็นผลจากการศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ปัญหายางพาราที่ได้ ดําเนินการ และจัดทํารายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีในลําดับต่อไป 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา ผลการศึกษาครั้งนี้จะได้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ อันเป็นแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาของระบบยางพาราอย่างยั่งยืน และเป็นการพัฒนาแนวทางเชิงนโยบายยางพารา ของไทย รวมทั้งนําไปสู่การกําหนดมาตรการช่วยเหลือและหรือพัฒนากลไกราคาที่ทําให้มีความยั่งยืน และให้ประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ 2 The Situation Definition and Analysis (SDA) Method–Gerald F. Smith (1998), Quality Problem Solving, ASQ Quality Press.
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 15 - บทท ี่ 2 “ยางพารา” พ ื ชเศรษฐกิจ - วิกฤตและโอกาสที่ยั่งย ื น บทนี้จะเป็นการทบทวนวรรณกรรม ข้อมูลพื้นฐานทางด้านยางพาราเริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้น ของยางพารา วิวัฒนาการของยางพาราและสถานการณ์ยางพาราโลกอาเซียนและประเทศไทย ตลอดจนมาตรการของรัฐบาลกับยางพาราไทยศึกษาปัญหาและอุปสรรคการพัฒนายางพาราไทย แผนยุทธศาสตร์ยางพาราของประเทศไทย และปัญหาอุปสรรค นโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหา ยางพาราที่ผ่านมา รูปภาพที่ 4 การกรีดยางพารา
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 16 - 2.1 วิวัฒนาการยางพารา 2.1.1 จุดเริ่มต้นของ”ต้นยางพารา” ยางพารา (Heveabrasiliensis) เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกําเนิดบริเวณลุ่มน้ําอเมซอน ประเทศบราซิล และประเทศเปรูทวีปอเมริกาใต้ยางพาราเป็นพืชที่ให้น้ํายาง ชาวพื้นเมืองแถบอเมริกาใต้เรียกต้นไม้ที่ให้ น้ํายางนี้ว่า “คาอุท์ชุค”(Caoutchouc) แปลว่าต้นไม้ร้องไห้จนถึงปี 2313 (ค.ศ.1770) โจเซฟพรีสต์ลีย์ พบว่ายังสามารถนํามาลบรอยดําของดินสอได้จึงเรียกว่า “ยางลบ” หรือตัวลบ (rubber) ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้ ในประเทศอังกฤษและประเทศเนเธอร์แลนด์เท่านั้นศูนย์กลางของการเพาะปลูกและซื้อขายในอเมริกา ใต้อยู่ที่รัฐปารา (Para) ประเทศบราซิลจนทําให้มีการเรียกผลผลิตจากน้ํายางที่ได้มาจาก Hevea brasiliensis และสายพันธุ์ยางที่มาจากลุ่มน้ําอเมซอนนี้ว่า “Para Rubber” และคนไทยเรียกยาง ชนิดนี้ว่า “ยางพารา” สวนยางในระยะแรก ปลูกด้วยยางพันธุ์พื้นเมืองที่พบในป่าแถบลุ่มน้ําอเมซอนและขยายพื้นที่ ไปปลูกในประเทศแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลางแต่สวนยางในประเทศแถบอเมริกาใต้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากในสภาวะที่โลกมีความต้องการยางสูงมาก ชาวสวนยางในบราซิล โคลัมเบียและปานามา จึงโหมกรีดยางกันอย่างหนักจนในที่สุดต้นยางในประเทศนั้น ได้รับความบอบช้ํามากและสาเหตุที่ทําให้ สวนยาง ในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้สูญสลายเนื่องมาจากในปี 2453 เริ่มมีการระบาดทําลาย ของโรคใบไม้ South American Leaf Blight เกิดจากเชื้อโรคที่ระบาดเข้าทําลายใบยางและ ต้นยางตายหมดทั้งสวน ตั้งแต่ปี 2473 โรคใบไหม้ South American Leaf Blight นี้ได้ระบาดรุนแรง จนไม่มีวิธีการแก้ไขและหยุดยั้งการเข้าทําลายได้เป็นสาเหตุให้ต้นยางตายหมดจนไม่มีต้นยางเหลืออยู่ ในแถบนั้นจนต้องหยุดการทําสวนยางในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้และได้หยุดทิ้งช่วงไปเป็น ระยะเวลายาวนานจนถึงรุ่นปัจจุบันได้เริ่มต้นกับมาปลูกใหม่ ในปี 2416 เซอร์คลีเมนส์มาร์คแฮม (Sir Clements Markham) ทําสวนควินิน อยู่ในอินเดีย ได้นํายางพารามาปลูกไว้ที่สวนพฤกษศาสตร์ Calcutta ประเทศอินเดียได้ 6 ต้น แต่เห็นว่าไม่พอให้ เซอร์เฮนรี่เอ วิคแฮม (Sir Henry A.Wickham) ไปบราซิลในฤดูร้อน ปี 2419 วิคแฮมได้ส่งเมล็ดยาง ไปเพาะที่อุทยานพฤกษชาติคิว (Royal Botanic Garden, Kew, London) มีความงอกประมาณ ร้อยละ 4 ส่งต้นอ่อนที่ได้ไปปลูกที่ซีลอน ชะวา สิงคโปร์
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 17 - ต่อมาปี 2420 ได้ส่งให้สิงคโปร์และไปปลูกที่กัวลากังซา รัฐเปรัคในมาลายูซึ่งคาดว่าเป็น ยางต้นแม่ของต้นยางที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีนําเข้ามาปลูกในประเทศไทยในปี 2442 ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2425 ยางพาราจึงเป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในคาบสมุทรแหลมมลายูในระยะ แรกเร่ิม ยางพาราจะปลูกกันมากในดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ และในดินแดนอาณานิคมของ ฮอลแลนด์ในพื้นที่เกาะชะวา และเกาะสุมาตราปัจจุบัน คือ ประเทศอินโดนีเชีย รูปภาพที่ 5 พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ณ ระนอง)
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 18 - 2.1.2 กําเนิดสวนยางพาราในประเทศไทย ในยุคแรก “ต้นยางพารา” 1 พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักด (ีคอซิมบี้ณ ระนอง) ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เดินทางไป ดูงานที่มลายูเมื่อปี 2442 เห็นว่าชาวมลายูปลูกยางกันมีผลดีมาก เกิดความสนใจที่จะนํายางเข้ามาปลูก ในประเทศไทยบ้าง แต่พันธุ์ยางสมัยนั้นฝรั่งซึ่งเป็นเจ้าของสวนยางหวงมากทําให้ไม่สามารถนําพันธุ์ ยางกลับมาได้จนกระทั่งปี 2444 พระสถลสถานพิทักษ์เดินทางไปที่ประเทศอินโดนีเซียจึงมีโอกาส นํากลับมาได้โดยนํากล้ายางมาหุ้มรากด้วยสําลีชุบน้ําแล้วหุ้มทับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่ง จึงบรรจุลงลังไม้ฉําฉาใส่เรือกลไฟส่วนตัวรีบเดินทางกลับประเทศไทยทันทีแล้วนําไปปลูกที่หน้า บ้านพักที่อําเภอกันตัง จังหวัดตรัง ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงต้นเดียวที่สหกรณ์การเกษตรกันตังจาก รุ่นแรกที่นํามา 4 ลัง พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ได้ขยายเนื้อที่ปลูกได้ถึง 45 ไร่นับได้ว่าเป็น เจ้าของสวนยางรายแรกของประเทศไทยจากนั้น พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ได้ส่งคนไปเรียนวิธี ปลูกยางเพื่อกลับมาสอนนักเรียนที่ล้วนเป็นเจ้าเมืองนายอําเภอ กํานันผู้ใหญ่บ้านและท่านก็สั่งให้ กํานันผู้ใหญ่บ้าน นําพันธุ์ยางไปแจกจ่าย และส่งเสริมให้ราษฎรปลูกทั่วไปในยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่า เป็นยุคตื่นยางและชาวบ้านเรียกยางพาราว่า “ยางเทศา” เป็นผลให้ราษฎรได้ขยายพื้นที่ปลูก ยางพาราไปทุกจังหวัดภาคใต้พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งยางพารา ไทยอนุสาวรีย์ของท่านสร้างขึ้นที่ตําบลทับเที่ยง จังหวัดตรัง ต่อมาปี 2451 หลวงราชไมตรี (ปูม ปุณศรี) 2 3 เดินทางไปจังหวัดภูเก็ตเกิดความคิดที่จะ นํายางพาราไปปลูกที่สวนของตนเอง บริเวณเชิงเขาสระบาป ตําบลพลิ้ว อําเภอเมืองจันทบุรีเนื่องด้วย สภาพพื้นที่และภูมิอากาศมีความคล้ายคลึงกับภาคใต้ต้นยางคงจะเจริญเติบโตดีให้ผลผลิตพอกัน จึงสั่งต้นพันธุ์ส่วนหนึ่งจากประเทศมาลายูไปปลูกจํานวน 2 ลัง ในเนื้อที่ 60 ไร่แต่ต้นยางชุดนั้น ตายเกือบหมดด้วยเหตุอันใดไม่แน่ชัด คงเหลือเพียง 3 ต้นเท่านั้นที่รอดตายเติบโตจนอายุ 10 – 15 ปี หลวงราชไมตรีจึงให้คนงานในสวนเก็บเมล็ดยางไปปลูก ได้ขยายพื้นที่ออกไปอีก 3 แปลง รวมเนื้อที่ ประมาณ 1,500 ไร่ เป็นแหล่งกําเนิดสวนยางพาราของภาคตะวันออก ในจังหวัดจันทบุรีเมล็ดยางได้ ขยายนําไปปลูกในจังหวัดระยองและตราด ส่วนในภาคใต้ราษฎรได้ขยายออกไปปลูกทุกจังหวัดตั้งแต่ จังหวัดชุมพรลงไป สรุปผลพื้นที่ปลูกในช่วงปีพ.ศ. 2447 – 2460 ประมาณว่ามีการปลูกยางพาราของ 1 http://www.kantangcity.go.th/travel/detail/32/data.html 2 ประวัติความเป็นมา/.บ้านพักประวัติศาสตร์หลวงราชไมตรีwww.baanluangrajamaitri.com 3 หลวงราชไมตรีเมืองจันทบูร บิดาแห่งยางพาราภาคตะวันออก www.finearts.go.th
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 19 - ไทยประมาณ 109,000 ไร่และในปี 2465 – 2471 เนื่องจากยางธรรมชาติมีราคาสูงขึ้น ได้มีการขยาย พื้นที่ปลูกยางเพิ่มขึ้นประมาณ 778,000 ไร่ และตั้งแต่ปี 2469 ยางพาราของไทยได้เริ่มเป็นสินค้า ขายส่งออกไปยังต่างประเทศ รูปภาพที่ 6 ต้นกล้วยในป่ายางพารา “ป่ายาง” เป็นสรรพนามที่สะท้อนให้เห็นสภาพของสวนยางพารายุคเริ่มต้นอย่างแจ่มชัด ได้ความหมายในตัวเองไม่ต้องมีคําอธิบายเพิ่มเติมความที่สวนยางมีสภาพรกต้นยางขึ้นไม่เป็นระเบียบ มีไม้ใหญ่เล็กขึ้นปะปนทั่วไปนี่เองจึงมีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า “การปลูกยางอย่างนั้นง่ายนิดเดียวมีเมล็ด ยางกับหนังสติ๊กก็พอแล้ว” ซึ่งสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสวนยางพาราส่วนใหญ่ในครึ่ง ศตวรรษแรกของยางพาราไทย นับแต่ยางพาราเริ่มหยั่งรากแก้วบนผืนแผ่นดินไทยต้นยางพารา ในสวนล้วนเป็นเมล็ดลูกหลาน สายพันธุ์ดั้งเดิมจากบราซิลที่นําเข้ามาจากมาเลเซียเกือบทั้งสิ้น ปลูกแล้วปลูกเลยขาดการบํารุงรักษาจึงให้ผลผลิตต่ํามากต้นทุนสูงและด้วยความที่ต้นยางมีอายุชราภาพ ยากเกินจะแข่งขันกับมาเลเซียผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลกซึ่งได้พัฒนาสวนยางพาราด้วยวิทยาการสมัยใหม่ ไปล่วงหน้าแล้วทั้งด้านพันธุ์ยางการบํารุงรักษาการกรีดและการแปรรูปซึ่งการดําเนินงาน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 20 - พระราชบัญญัติควบคุมยางในยุคนั้น สวนทางกับความเป็นจริงในความเป็นจริงด้านวิชาการ ช่วงระหว่างปี 2478 - 2480 เป็นช่วงเวลาที่สวนยางรุ่นแรก ๆ มีสภาพและอายุที่ควรโค่นออกปลูก ทดแทนใหม่ได้แล้วแต่สวนยางยังคงถูกใช้งานต่อไปในสภาพย่ําแย่เช่นนั้นด้วยปัจจัย 2 ประการคือ ปัจจัยที่ 1 ชาวสวนยางขาดความเข้าใจในเรื่องความจําเป็นในการปลูกแทนซึ่งเป็นวิธี หลักสําหรับพัฒนาสวนยางให้มีต้นทุนต่ํา ปัจจัยที่ 2 ความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่งร่วมกันคุมกําเนิดสวนยางระหว่างช่วงราคายาง ตกต่ําข้อตกลงควบคุมจํากัดยางระหว่างประเทศช่วงระหว่างปี 2477 – 2481 มีใจความสําคัญระบุว่า ประเทศสมาชิกจะปลูกแทนได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเนื้อที่สวนยางที่กรีดได้เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2480 ซึ่งมีข้อบัญญัติให้ผู้ต้องการปลูกแทนจะต้องขออนุญาตต่อ กองการยางเสียก่อนแม้เจ้าหน้าที่จะไม่เคร่งครัดนักแต่ก็ยังส่งผลด้านลบต่อชาวสวนยางอยู่ดี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศเริ่มมีการโค่นยางปลูกแทนกันมากขึ้นโดยเฉพาะ มาเลเซีย ยักษ์ใหญ่ในวงการยางพาราสวนที่ปลูกแทนระยะนั้นเป็นสวนขนาดใหญ่ในรูปบริษัท ถือครองโดยชาวอังกฤษ ซึ่งมีสถานะทางการเงินเอื้ออํานวยต่างกับชาวสวนยางขนาดเล็กที่ถือครอง โดยเจ้าของประเทศต้องตกอยู่ในสถานะเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เพราะขาดแคลนเงินทุนและความรู้ สําหรับประเทศไทยแม้นว่าพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2480 มีประกาศยกเลิกไป เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2487 แล้วก็ตาม แต่สภาพเศรษฐกิจทั่วไปยังตกต่ําประกอบกับชาวสวนยาง ขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องการปรุงสวนยางด้วยการปลูกแทน จึงยังไม่ปรากฏให้เห็นมีแต่การเพิ่ม พื้นที่ปลูกใหม่จนเนื้อที่สวนยางเพิ่มเป็น 3 ล้านไร่ในช่วงเวลานั้นต่อมาโอกาสสวนยางขนาดเล็ก มาถึงแล้วเมื่อปี 2495 ประเทศมาเลเซียภายใต้การปกครองของอังกฤษชาวสวนยางขนาดเล็กได้รับ โอกาสเช่นชาวสวนยางขนาดใหญ่บ้าง เมื่อรัฐบาลประกาศใช้กฎหมายด้วยการสงเคราะห์ ปลูกแทนที่มีชื่อว่า “RubberIndustry (Replanting) Ordinance 1952” เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เหล่านั้นถัดมาเพียงปีเดียว พ.ศ. 2496 ศรีลังกาก็ออกกฎหมายในลักษณะเดียวกับมาเลเซีย ขึ้นใช้บ้างในชื่อว่า Rubber Replanting Subsidy Act 1953 ความเคลื่อนไหวในความหยุดนิ่ง ช่วงเวลานั้นไทยส่งนักวิชาการจากกองการยางกลุ่มหนึ่งไป ประชุมและดูงานด้านยางพาราที่ประเทศมาเลเซียหลายครั้งเป็นระยะเวลา 2 เดือนนานพอ ต่อการศึกษารายละเอียดแนวทางการพัฒนาสวนยางพาราด้วยวิชาการสมัยใหม่ให้กระจ่างชัด เช่น การผสมพันธุ์ยาง การขยายพันธุ์ยาง การบํารุงรักษา การกรีด การแปรรูป ตลอดจน การเตรียมการปลูกแทน เพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางขนาดเล็กประสบการณ์จากสิ่งที่ได้รับรู้รับเห็นเป็น
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 21 - สิ่งเร้าใจให้นักวิชาการกองการยางกลุ่มนี้ตระหนักถึงความจําเป็นต้องรีบเร่งพัฒนาสวนยางพาราของไทย ให้ก้าวทันประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนารุดหน้าทิ้งห่างไทยไปไกลทุกด้านก่อนที่จะล่าช้าเกินไป การพัฒนายางพาราของประเทศไทยได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจาก มีการพัฒนาความรู้ทางวิชาการของยางพาราอย่างต่อเนื่องกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ กองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง พ.ศ. 2503 ทําให้ประเทศไทยมีกําลังผลิตยางพาราเป็นอันดับหนึ่ง ของโลกตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีกําลังผลิตยางพาราประมาณ 4.5 ล้านตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 36 ของกําลังผลิตยางพาราของโลกประมาณ 12.4 ล้านตันต่อปี 2.1.3 องค์กรหลักที่รับผิดชอบยางพาราของประเทศไทยก่อนจัดตั้งการยางแห่งประเทศไทย 2.1.3.1 สํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง หลวงสํารวจพฤกษาลัย (สมบูรณ์ณ ถลาง) ซึ่งดํารงตําแหน่งหัวหน้ากองการยาง กรมกสิกรรม เมื่อปี 2493 และคณะ คือ นายรัตน์เพชรจันทร์ผู้ช่วยหัวหน้ากองการยางและ นายเสียน ทองจันทร์เจ้าหน้าที่ระดับสูง กองการยาง บุคคลกลุ่มนี้เป็นผู้มีบทบาทสําคัญต่อ การผลักดันให้มีพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยางประกาศใช้และเป็นกําลังสําคัญ ในการดําเนินงานของสํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยางยุคต้น ๆ พระราชบัญญัติก่อรูป ในปี 2498 หลังจากสวนยางพาราแห่งแรกของไทยถือกําเนิดมา 56 ปีแนวคิดปฏิรูปสวนยางพารา ครั้งใหญ่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมด้วยการเสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยางต่อ กรมกสิกรรม เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2498 แต่ยังไม่บรรลุผลเนื่องด้วยมีผู้คัดค้านตลอดมาจนถึง 6 รัฐบาลประเด็นคัดค้านคือ เรื่องต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจาก “เงินสงเคราะห์” ที่เก็บจากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักรอันเป็นสาระสําคัญที่บรรจุไว้ในพระราชบัญญัติฯ จนถึงปี:
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 22 - พ.ศ. 2503 จึงได้ตราเป็นพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง พ.ศ 2503 โดยรัฐบาลยุคนั้น เข้าใจในสาระสําคัญของการปลูกแทนซึ่งเป็นหัวใจในการพัฒนาสวนยางพาราของประเทศให้ก้าวหน้า ทัดเทียมประเทศผู้นําด้านยางพาราและเห็นความสําคัญของยางพาราที่ก้าวแซงหน้าข้าวมาเป็นสินค้า ส่งออกอันดับหนึ่ง ในปี 2502 เป็นครั้งแรก ล้วนเป็นเหตุผลประกอบซึ่งกันและกันให้รัฐบาลตัดสินใจ เสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง พ.ศ. ... ผ่านกระบวนการอย่างเร่งด่วน ให้มีการประกาศใช้โดยเร็ว การได้มาซึ่งพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง พ.ศ. 2503 ด้วยความยากลําบากผู้บริหารยุคนั้นจึงกําหนดดวงตราองค์กรเป็นสัญลักษณ์รูปวงกลมภายในวงกลม เป็นรูปต้นยางอยู่ตรงกลางสื่อถึงต้นยางพันธุ์ดีที่ปลูกแทนตอยางสองข้างสื่อแทนต้นยางเก่าที่โค่นออก เหลือตอสูงจากพื้นดิน 50 เซนติเมตร มีใบยาง 6 ใบเคียงข้าง ชื่อองค์กรสองด้านเป็นสัญลักษณ์ ที่แฝงความหมายพิเศษมุ่งเจตนาให้ทราบว่าการได้มาซึ่งพระราชบัญญัติต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ ผ่านรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยกระทั่งผู้บริหารประเทศเข้าใจถึงเหตุผลและความจําเป็นของการปลูกแทน รวมระยะเวลานับแต่เสนอร่างพระราชบัญญัติถึงวันประกาศใช้ยาวนาน ถึง 6 ปี สํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง (สกย.) เป็นรัฐวิสาหกิจตาม พระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง พ.ศ. 2503 ความเป็นมาเนื่องจากก่อนตรา พระราชบัญญัติมีสวนยางที่ปลูกด้วยยางพันธุ์พื้นเมืองอยู่ทางภาคใต้ประมาณ 4.5 ล้านไร่ซึ่งให้ผลผลิตต่ํา จึงจําเป็นต้องรีบโค่นและปลูกทดแทนด้วยยางพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตสูงกว่าแต่เจ้าของสวนยางไม่มีทุน ในการสร้างสวนยางใหม่รัฐบาลสมัยนั้น จึงจัดตั้งกองทุนตามหลักการเดียวกับประเทศมาเลเซีย โดยตราพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง พ.ศ. 2503 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม ให้เกษตรกรปลูกยางพันธุ์ดีหรือไม้ยืนต้นอื่นทดแทนยางเก่า โดยให้ทุนสงเคราะห์จากเงินกองทุน สงเคราะห์การทําสวนยาง ซึ่งแหล่งรายได้มาจากเงินค่าธรรมเนียมที่เก็บจากผู้ส่งยางออก นอกราชอาณาจักรต่อมา เมื่อปี 2518 มีการแก้ไขพระราชบัญญัติเพื่อส่งเสริมเกษตรกรที่ไม่มีสวนยาง มาก่อนให้ปลูกยางพันธุ์ดีโดยนโยบายและงบประมาณของรัฐบาล
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 23 - 2.1.3.2 องค์การสวนยาง 4 เริ่มมาจากเหตุการณ์เมื่อปี 2480 – 2481 มีบริษัทใหญ่ชาวอเมริกัน จะมากว้าน ซื้อที่ดิน เพื่อสร้างสวนยางในท้องที่ตําบลนาบอน อําเภอทุ่งสง และตําบลช้างกลาง อําเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจํานวนมากช่วงระยะเวลาราวต้นปี 2481 ชาวอเมริกันชื่อ มร.วิทฟอร์ด (H.N. Whitford) ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมยางของนิวยอร์ก (Rubber Manufacturers Ass, New York) ได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อศึกษาตัวเลขสถิติการยางของประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วยการมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ชวนให้สงสัยว่าจะมาศึกษาถึงการซื้อที่ดินเพื่อปลูก ยางพาราเพราะตัวอย่างเกิดขึ้นในประเทศมลายูและประเทศอินโดนีเซียได้มีชาวต่างชาติเข้ามาหาพื้นที่ สร้างสวนยางขนาดใหญ่ (Estate) จํานวนมากฝ่ายไทยระหว่างปี 2482 – 2484 ให้พระยาอนุวัตวนรักษ์ หัวหน้ากองการยาง ซึ่งขณะนั้นกองการยาง สังกัดอยู่ในกรมป่าไม้ได้รับเงินจากรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ให้ไปจัดการซื้อที่ดินสวนยางในเขตตําบลนาบอน อําเภอทุ่งสง และตําบลช้างกลาง อําเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมาราช โดยให้ซื้อเป็นหย่อม ๆ กระจายอยู่ทั่ว ๆ ไปไม่ให้ติดต่อกัน เพื่อเป็นการกีดขวางการเข้ามากว้านซื้อที่ดินของชาวต่างชาติไว้ผลการจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ปรากฏว่าซื้อได้ ประมาณ 6 – 7 แห่ง รวมเนื้อที่ประมาณ 450 ไร่และรับขายฝากอีกหลายแปลงเนื้อที่ประมาณ 168 ไร่ ขณะที่ออกหาซื้อที่ดินสวนยางพระยาอนุวัตวนรักษ์หัวหน้ากองการยาง ได้เข้าไปพบสวนยางปลูกใหม่ อายุประมาณ 1 – 2 ปีเป็นจํานวน 6,000 ไร่ ปลูกติดต่อกันอยู่ในพื้นที่ที่บุกเบิกใหม่ๆ ปรากฏต่อมาว่า ที่ดินที่ปลูกสร้างสวนยางใหม่ๆ เหล่านี้เป็นที่ดินที่คนจีนได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเข้ายึดครอง พื้นที่เป็นผู้บุกเบิกพื้นที่ป่าไม้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น พระยาอนุวัตวนรักษ์จึงได้ขอความ ร่วมมือกับที่ดินจังหวัด ดําเนินการสอบสวนและผลักดันผู้บุกรุกที่ดินและเพื่อความเรียบร้อยของที่ดิน และป่าแห่งนี้ทางราชการจึงได้ออกพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตําบลช้างกลาง อําเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช พุทธศักราช 2484 เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2484 หวงห้ามที่ดิน ดังกล่าวไว้เพื่อการเกษตรรวมเนื้อที่ทั้งหมดในเขตพระราชกฤษฎีกาประมาณ 12,000 ไร่มีสวนยางอยู่ 6,000 ไร่ ได้ตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองการยางกรมป่าไม้ซึ่งกรมป่าไม้ได้พิจารณาเห็นว่า ที่ดินแห่งนี้อยู่ในภาคใต้เป็นที่ดินปลูกยางพาราของรัฐเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่มีเนื้อนี้กว้างขวางดิน ฟ้า อากาศ เหมาะแก่การปลูกยาง จึงได้กําหนดแผนงานที่จะดําเนินการในสวนยางแปลงนี้ให้เกิด ประโยชน์แก่เกษตรกรชาวสวนยางอย่างจริงจัง งานที่จําเป็นเร่งด่วนในระยะแรกนั้น พบว่าเกษตรกร 4 องค์การสวนยาง.2552. 60 ปีอ.ส.ย.สืบสานยางไทย องค์การสวนยาง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 16 ต.ช้างกลาง อ.ช้างกลาง จ. นครศรีธรรมราช 153 หน้า
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 24 - ชาวสวนยางขาดแคลนพันธุ์ยางที่จะนํามาปลูกสร้างสวนยาง จึงได้เริ่มดําเนินการขยายพันธุ์ยางพันธุ์ ดีไปสู่เกษตรกร และให้ขึ้นกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เนื่องจากสวนยางตําบลนาบอน มีต้นยางเจริญเติบโตมากขึ้น จะต้องใช้คนกรีดยาง เป็นจํานวนมากจะต้องซื้ออุปกรณ์การผลิตยางมาดําเนินงาน จําเป็นต้องสร้างอาคารและโรงงาน ทํายางโรงรมยางโรงเก็บยาง ฯลฯ และจะต้องมีการขายยางถ้าการดําเนินงานไม่คล่องตัว จะดําเนินการในรูปการค้าไม่ได้และการอยู่รวมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ซึ่งมีงานไปคนละอย่าง ไม่สะดวกแก่การควบคุมดําเนินงาน ฉะนั้น จึงจําต้องแยกงานยางออกจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ออกมาเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งคือ องค์การสวนยางนาบอนและในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 อนุมัติให้ตั้ง “องค์การสวนยางนาบอน” ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างแบบรัฐวิสาหกิจ ด้านยางพาราครั้งแรกของประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติดังนี้ 1) ให้กองการยางซึ่งได้รับงบประมาณค่าใช้จ่ายทําสวนยางนาบอนอยู่แล้วคงดําเนินการ ต่อไป ภายในจํานวนเนื้อที่และวงเงินที่ได้รับ 2) อนุมัติให้ตั้งองค์การสวนยางนาบอนขึ้นในกระทรวงเกษตรเพื่อดําเนินการทําสวนยาง ส่วนที่เหลือจากที่กองการยางทําได้ องค์การสวนยางนาบอน สังกัดสํานักปลัดกระทรวงเกษตราธิการ เพื่อดําเนินการ ทําสวนยางส่วนที่เหลือจากกองการยาง และได้รับทุนจากกระทรวงการคลังมาดําเนินงานในขั้นต้น จากงบประมาณประจําปี 2493 เป็นเงิน 3,400,000 บาท ในการจัดตั้งองค์การสวนยางนาบอนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อ “ผลิตยางแผ่นรมควันออกจําหน่าย จําหน่ายน้ํายางสด ดําเนินการในการผลิต ตามหลักวิชาการ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน และทําการค้นคว้า ทดลองส่งเสริมไป ในขณะเดียวกันด้วย และฝึกอบรมเกษตรกรไทยให้มีความรู้ความชํานาญในการผลิตยาง” 2.1.3.3 สถาบันวิจัยยางกรมวิชาการเกษตร เป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทําหน้าที่ศึกษาวิจัยและ พัฒนาควบคุมการผลิตการขยายพันธุ์การค้าและการส่งออกตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542
2 การทํ จัดกา “กอง ครบว ประเ สารส ชาวส การต ให้ดขีึ้ 2.1.4 องค์ก การย เป็นรั ทาสวนยางํอ ารยางพารา งทุนพัฒนายา มาตรา (1) เ วงจรบริหารจั เทศเป็นศูนยก์ (2) ส สนเทศเกี่ยวกั (3) ส สวนยางและ ตลาด การปร ขึ้น (4) ดํ (5) ดํ รตามพระรา ยางแห่งประเ รัฐวิสาหกิจสั งค์การสวนย าของประเท างพารา” เปน็ า 8 ให้การย ป็นองค์กรกล จัดการเกี่ยวกั กลางอุตสาห ส่งเสริมสนับส กับยางพารา ส่งเสริมสนับ ะผู้ประกอบกิ ระกอบธุรกิจ ดาเนํ ินการให้ ดาเนํ ินการส่ง รายงา าชบัญญัติกา เทศไทย ังกัดกระทรว ยางและสถาบั ศทั้งระบบค นหลักโดยมีภา ยางแห่งประเ ลางรับผิดชอบ กับการเงินขอ กรรมผลิตภณั สนุนและจัดใ สนุนและให้ กิจการยางด้า และการดําเน ้ระดับราคาย เสริมและสนั านการพิจาร คณะกรรม - 25 - ารยางแห่งปร วงเกษตรและ บันวิจัยยาง เพ ครบวงจรเพื่ ารกิจตามกรอ เทศไทย (กยท บดูแลการบริ องกองทุนพัฒ ณฑ์ยางพารา ให้มีการศึกษ ห้ความช่วยเห านวิชาการก นินการอื่นที่เ างพารามีเสถี นบสนัุนให้มีก รณาศึกษา ภ มาธิการการเกษ ระเทศไทย พ ะสหกรณ์รวบ พื่อเป็นองค์ก อให้มีความ อบสาระสําคัญ ท.) มีวัตถุปร หารจัดการย ฒนายางพารา า ษาวิเคราะห์วิ หลือเกษตรก การเงินการผ เกี่ยวข้องเพื่อ ถียรภาพ ารปลูกแทนแ ภาพรวมขอ ษตรและสหกรณ พ.ศ. 2558 บรวมสํานักง กรกลางรับผิด เป็นเอกภาพ ญของพระราช ระสงค์ดังต่อไ างพาราของป ตลอดจนส่งเ วิจัยพัฒนาแล กรชาวสวนย ผลิตการแปร อยกระดับรา และการปลูก งยางพาราท ณ์ สภานิติบัญญ านกองทุนสง ดชอบดูแลกา พโดยใช้จ่าย ชบัญญัติประ ไปนี้ ประเทศทั้งระ เสริมและสนั ละเผยแพร่ข้ ยางสถาบันเก รรูปการอุตส ยได้และคุณ ใหม่ ทั้งระบบ ญัติแห่งชาติ งเคราะห์ ารบริหาร ยจากเงิน กอบด้วย ะบบอย่าง ับสนุนให้ อมูลและ กษตรกร าหกรรม ภาพชีวิต
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 26 - มาตรา 9 ให้กยท. มีอํานาจกระทํากิจการต่างๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา 8 ดังต่อไปนี้ (1) ส่งเสริมและสนับสนุนการปรับปรุงคุณภาพของผลผลิตและระบบตลาดเพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยาง (2) ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา (3) ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยางรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสถาบันเกษตรกร ชาวสวนยางเพื่อลงทุนดําเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยางพาราตามที่คณะกรรมการกําหนด (4) ส่งเสริมสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตยางพาราและองค์การ ระหว่างประเทศเกี่ยวกับยางพารา (5) ส่งเสริมและจัดให้มีการพัฒนาบุคลากรและการบริหารจัดการเกี่ยวกับยางพารา (6) ดําเนินการอื่นใดที่จําเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ กยท. ตามที่คณะกรรมการกําหนด มาตรา 10 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามมาตรา 8 และอํานาจกระทํากิจการตามมาตรา 9 ให้การยางแห่งประเทศไทย มีอํานาจหน้าที่จะทํากิจการดังต่อไปนี้ด้วย (1) ถือกรรมสิทธิ์มีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ (2) ก่อตั้งสิทธิหรือกระทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร (3) ทําความตกลงและร่วมมือกับองค์การหรือหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในกิจการที่เกี่ยวกับการดําเนินการตามวัตถุประสงค์ของ กยท. (4) เข้าร่วมกิจกรรมหรือเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของ การยางแห่งประเทศไทย (5) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ในการดําเนินการตามวัตถุประสงค์ของ การยางแห่งประเทศไทย (6) จัดตั้งบริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา (7) เรียกเก็บค่าธรรมเนียมค่าบํารุงค่าตอบแทนหรือค่าบริการในการดําเนินการ (8) กระทําการอื่นใดที่จําเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการยางแห่ง ประเทศไทย การเข้าร่วมกิจการหรือการเข้าร่วมทุนตาม (4) และการกู้ยืมหรือการให้กู้ยืมเงินตาม (5) ที่มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 27 - มาตรา 11 ทุนของ กยท. ประกอบด้วย (1) เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาเป็นทุนประเดิมตามมาตรา 67 มาตรา 68 และมาตรา 70 เฉพาะที่ไม่ได้โอนเป็นของกองทุนตามมาตรา 44 (2) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้หรือเป็นเงินของกยท มาตรา 12 การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) อาจมีรายได้ดังต่อไปนี้ (1) ทุนตามมาตรา 11 (2) เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นคราว ๆ เพื่อดําเนิน กิจการหรือขยายกิจการตามความเหมาะสม (3) เงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรอื่นรวมทั้งจากต่างประเทศหรือองค์การ ระหว่างประเทศ (4) ค่าธรรมเนียมค่าบํารุงค่าตอบแทนค่าบริการหรือรายได้จากการดําเนินการหรือการลงทุน (5) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกยท มาตรา 13 รายได้ที่กยท. ได้รับจากการดําเนินงานให้ตกเป็นของ กยท. สําหรับเป็น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดําเนินกิจการค่าบํารุงรักษาค่าเสื่อมราคาเงินสํารองตามมาตรา 14 โบนัสหรือ เงินรางวัลตามมาตรา 34 กองทุนสํารองเลี้ยงชีพกองทุนบําเหน็จหรือกองทุนสงเคราะห์และ การสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานลูกจ้างและครอบครัวตามมาตรา 54 และเงินลงทุน ตามงบลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบตามมาตรา 55 ตลอดจนค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสมตามที่ คณะกรรมการกําหนดรายได้ที่ได้รับในปีหนึ่งหนึ่งเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายและค่าภาระดังกล่าวในวรรค หนึ่งแล้วเหลือเท่าใดให้การยางแห่งประเทศไทย นําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ในกรณีที่รายได้มีจํานวนไม่เพียงพอสําหรับค่าใช้จ่ายและค่าภาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง นอกจากเงินสํารองตามมาตรา 24 และเงินโบนัสหรือเงินรางวัลตามมาตรา 34 และการยางแห่ง ประเทศไทย ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่กยท. เท่าจํานวนที่ขาด มาตรา 36 เกษตรกรชาวสวนยางผู้ใดมีสวนยางตั้งอยู่บนที่ดินที่ตนเอง มีกรรมสิทธิ์หรือ สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากประสงค์จะขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน ตามพระราชบัญญัตินี้ให้ยื่นคําขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนต่อ กยท. ตามแบบและวิธีการ ที่คณะกรรมการกําหนด
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 28 - ในกรณีที่ผู้ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทนเป็นผู้ทําสวนยางในที่ดินที่ตน เช่าหรืออาศัยบุคคลอื่น ผู้ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุน ต้องแสดงต่อการยางแห่งประเทศไทยว่า ผู้ให้เช่าหรือผู้ให้อาศัยได้ให้ความยินยอมในการที่ตนขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนตามแบบ ที่คณะกรรมการกําหนด เพื่อประโยชน์ในการสํารวจตรวจสอบของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ในการพิจารณาให้ การส่งเสริมและสนับสนุน ให้มีการปลูกแทนผู้ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุน ต้องอํานวยความสะดวกและ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด มาตรา 43 ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เรียกว่า “กองทุนพัฒนายางพารา” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนา ยางพารา การใช้จ่ายเงินกองทุนให้กระทําอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพโดยคํานึงถึงประโยชน์ของ เกษตรกรชาวสวนยางเป็นหลัก มาตรา 44 กองทุนประกอบด้วย (1) เงินกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยางที่โอนมาตามมาตรา 67 (2) ค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากการจัดเก็บตามมาตรา 47 และมาตรา 48 (3) ค่าบํารุงค่าตอบแทนค่าบริการหรือรายได้จากการดําเนินการของกองทุน (4) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน เงินและทรัพย์สินที่เป็นของกองทุนไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน มาตรา 47 บุคคลใดส่งยางพาราออกนอกราชอาณาจักรต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตามอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกําหนดและให้ได้รับยกเว้นไม่ต้อง เสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนําเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า ในกรณีที่มีความจําเป็นรัฐมนตรีจะประกาศกําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งก็ได้ การกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งและการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามวรรคสอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการกําหนดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมให้เป็นไปตามที่ รัฐมนตรีประกาศกําหนด
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 29 - มาตรา 49 ให้คณะกรรมการจัดสรรเงินจากกองทุนตามจํานวนและเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในแต่ละปีงบประมาณดังต่อไปนี้ (1) จํานวนไม่เกินร้อยละ 10 เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกิจการของ กยท. (2) จํานวนไม่เกินร้อยละ 40 เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ เกษตรกรชาวสวนยางเพื่อการปลูกแทน (3) จํานวนไม่เกินร้อยละ 35 เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ เกษตรกรชาวสวนยางสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางในการปรับปรุงคุณภาพ ผลผลิตการผลิตการแปรรูปการตลาดและการดําเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับยางพาราและอุตสาหกรรม แปรรูปยางขั้นต้นอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรมไม้ยางการพัฒนายางทั้งระบบและการรักษา เสถียรภาพราคายาง (4) จํานวนไม่เกินร้อยละ 5 เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเงิน วิชาการ การศึกษาวิจัยและการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับยางพาราในอันที่จะเกิดประโยชน์ในการบริหาร จัดการยางพาราอย่างครบวงจร (5) จํานวนไม่เกินร้อยละ 7 เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสวัสดิการเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง (6) จํานวนไม่เกินร้อยละ 3 เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนสถาบันเกษตรกร ชาวสวนยาง การบริหารและจัดสรรเงินจากกองทุนให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกําหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีซึ่งจะต้องคํานึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อ การพัฒนายางพารา รวมทั้งการใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ตามมาตรา 47 ในกรณีที่ปีงบประมาณใดมิได้จัดสรรเงินเต็มตามจํานวนที่กําหนดไว้สําหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละ ประเภทตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการอาจจัดสรรเงินในส่วนที่เหลือไปเป็นค่าใช้จ่ายในประเภทอื่น ซึ่งมิใช่ค่าใช้จ่ายตาม (1) ได้ตามความเหมาะสมและจําเป็น ในกรณีที่เงินของกองทุนไม่เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการตาม (2) (3) (4) (5) และ (6) ให้คณะกรรมการนํารายได้ตามมาตรา 12 มาจัดสรรเพิ่มเติมได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของเงินรายได้ ตามมาตรา 12
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 30 - ในกรณีที่เงินกองทุนจัดสรรตาม (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) ยังไม่เพียงพอให้รัฐตั้งรายจ่าย เพิ่มเติมในงบประมาณประจําปีตามความจําเป็น ในกรณีที่มีเงินเหลือจากค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้เก็บไว้เพื่อนําไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายนั้น ๆ ในปีต่อไป รูปภาพที่ 7 แปลงเพาะกล้ายาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 31 - 2.1.5 องค์กรตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 กรมวิชาการเกษตร ความเป็นมาของพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เริ่มจากปี 2470 – 2474 เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจการค้าทั่วโลกตกต่ํา โรงงานทํายางพาราในประเทศต่าง ๆ ต้องล้มเลิก ไปเป็นจํานวนมาก ผลผลิตยางมีมากเกินความต้องการของตลาดโลกราคาจึงตกต่ํามากประเทศอังกฤษ ซึ่งมีอาณานิคมอยู่ทางแหลมมลายูที่มีการปลูกยางมากจึงพยายามแก้ไขสถานการณ์โดยในปี 2473 จัดทําโครงการจํากัดยางทั้งการปลูกและจํากัดโควตายางส่งออกมิให้ยางล้นตลาด จนทําให้ราคาตกต่ํา ประเทศไทยร่วมเป็นภาคีข้อตกลงจํากัดยางระหว่างประเทศและตราเป็นพระราชบัญญัติเมื่อปี 2477 กําหนดวิธีการควบคุมการปลูกยางการทํายางการส่งออกยางจนถึงปี 2542 ได้มีการปรับปรุงให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตราเป็นพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ใช้จนถึง ทุกวันนี้โดยกรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานที่กํากับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกฎหมายฉบับนี้ ใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ราคายางตกต่ําและมีบทกําหนดโทษไว้ด้วย 2.1.6 อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง 2.1.6.1 โครงสร้างอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง มีจํานวนทั้งสิ้น 668 โรงงาน5 โรงงานส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ 52 จะตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพ ฯและปริมณฑล นอกจากนั้น จะกระจายตัวอยู่ในภาคต่างๆ ในปี 2544 มีการใช้ยางธรรมชาติเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้นประมาณ 253,462 ตัน โดยผลิตภัณฑ์ยาง ที่ใช้ยางธรรมชาติมากที่สุด 6 อันดับแรกคือ ยางล้อรถยนต์ถุงมือยาง สายยางยืด ยางรัดของ ยางล้อ รถจักรยานยนต์รองเท้า 5 ทําเนียบอุตสาหกรรมยางไทย 2556 – 2557
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 32 - รูปภาพที่ 8 ภาพรวมห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยาง ที่มา : สถานการณ์ยางพาราและการปรับตัวของเกษตรกร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - สํานักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, กุมภาพันธ์ 2558 ข้อมูลจากรายงานสภาวะอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพาราของไทย ครึ่งปีแรก ปี 2561 และคาดการณ์ปี 2561 (โดยสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันพลาสติก) ระบุว่า 2.1.6.2 สภาวะการผลิต ภาพรวมปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มยางล้อในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 (ข้อมูล จากการสํารวจผู้ประกอบการของสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมามีรายละเอียดดังนี้ยางนอกรถยนต์ นั่ง/รถกระบะปรับตัวลดลงร้อยละ 2.22 ยางนอกรถบรรทุก/รถโดยสารขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.16 ยางนอกรถจักรยานยนต์ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.02 ยางนอกอื่น ๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.65
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 33 - ยางในรถบรรทุกและรถโดยสารปรับตัวลดลงร้อยละ 1.76 ยางในรถจักรยานยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.78 และยางหล่อดอกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.21 สําหรับภาพรวมปริมาณการผลิตถุงมือยาง/ถุงมือตรวจครึ่งปีแรกของปี 2561 (ข้อมูลจาก การสํารวจผู้ประกอบการของสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ) อยู่ที่ 9,322 ล้านชิ้น มีปรมาณเพิ ิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ที่มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 8,578 ล้านชิ้นหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.02 รูปภาพที่ 9 ยางล้อยานพาหนะ ที่มา: ขอขอบคุณรปภาพจากู https://chobrod.com/auto-market/สมอ-เตรียมออก-4-มอก-คุมมาตรฐานยางล้อรถยนต-3720 ์
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 34 - 2.1.6.3 สภาวะการค้าและตลาด - การจําหน่ายในประเทศ ภาพรวมปริมาณการจําหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มยางล้อในครึ่งปีแรกของปี 2561 (ข้อมูลจากการสํารวจผู้ประกอบการของสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมาโดยแบ่งตาม ผลิตภัณฑ์จะมีรายละเอียดดังนี้ยางนอกรถยนต์นั่ง/รถกระบะปรับตัวลดลงร้อยละ 4.79 ยางนอก รถบรรทุก/รถโดยสารขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.05 ยางนอกรถจักรยานยนต์ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.05 ยางนอกอื่น ๆขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 122.10 ยางในรถบรรทุกและรถโดยสารปรับตัวลดลงร้อยละ 6.57 ยางในรถจักรยานยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.79 และยางหล่อดอกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.57 สําหรับภาพรวมปริมาณการจําหน่ายถุงมือยาง /ถุงมือตรวจครึ่งปีแรกของ ปี 2561 (ข้อมูลจากการสํารวจผู้ประกอบการของสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ) อยู่ที่ 1,791 ล้านชิ้นเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณการจําหน่ายอยู่ที่ 1,238 ล้านชิ้นหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.67 2.1.6.4 การส่งออกและตลาดส่งออก ภาพรวมมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางรวมของไทย ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 มีมูลค่า 3,837 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2561 เป็นตัวเลขประมาณการ) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 3,558 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะพบว่าขยายตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.84 โดยผลิตภัณฑ์หมวดยางล้อส่งออกไปสหรัฐฯเป็นหลักถุงมือยางส่งออกไป สหรัฐอเมริกาเป็นหลัก รูปภาพที่ 10 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ตั้งแต่ ปี 2551 - 2561
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 35 - ภาพรวมมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ปี 2561 มีมูลค่ารวม 7,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลจากการประมาณการ) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ปี 2560 ที่มีมูลค่ารวม 7,409 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.91 สําหรับสัดส่วนมูลค่าการส่งออกในครึ่งปีแรกปี 2561 (เดือนพ.ค. - มิ.ย. 61 เป็น ตัวเลขประมาณการ) โดยผลิตภัณฑ์ยางล้อมีสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 61.82 มูลค่า 2,372 ล้านดอลลาร์ สหรัฐรองลงมาคือ ถุงมือยางร้อยละ 13.89 ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ร้อยละ 11.22 ท่อยางร้อยละ 4.87 ยางยืดร้อยละ 3.99 ถุงยางอนามัยร้อยละ 3.88 และสายพานร้อยละ 2.14 ตามลําดับ 2.1.6.5 การนําเข้าและแหล่งนําเข้า ภาพรวมมูลค่าการนําเข้าผลิตภัณฑ์ยางของไทยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 มีมูลค่า 673 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 623 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.03 โดยยางล้อนําเข้าจากจีนเป็นส่วนใหญ่ รูปภาพที่ 11 สัดส่วนและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ช่วงครึ่งปีแรก ปี 2561
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 36 - แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมผลิตผลิตภัณฑ์ยางช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 ภาคการผลิตยังเติบโตได้ดีตลาดภายในประเทศ ยังมีความต้องการอยู่แต่ภาคการส่งออกนั้น อาจจะ ต้องพิจารณาเป็นพิเศษเนื่องจากมีปัจจัยกระทบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นประเด็นธนาคารกลางสหรัฐ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงนโยบายจะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา สงครามการค้า ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ลุกลามไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างอียูกับสหรัฐฯทําให้อียูออกมา ตั้งกําแพงภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐที่มีการตั้งภาษีนําเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปความผันผวนของราคา น้ํามันดิบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลุ่มประเทศอาหรับ เป็นต้น แต่ไทยยังมีปัจจัยหนุน คือ มีการ ปรับการคาดการณ์ GDP ไทยปี 2561 จากร้อยละ 3.9 ปรับเป็นร้อยละ 4.4 และภาคการส่งออกขยายตัว จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 9 และค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่อ่อนค่าขึ้นต่อเนื่องซึ่งเป็นผลดีต่อภาคการส่งออก ตารางที่ 4 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ปี 2560 และ ปี 2561
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 37 - ตารางที่ 5 มูลค่าการนําเข้าผลิตภัณฑ์ยางไทย ปี 2560 และ ปี 2561 ตารางที่ 6 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย (ล้านบาท) ประเภทผลิตภัณฑ์ 2558 2559 2560 ยางรีเคลม 111.30 291.48 381.89 ยางวัลคาไนต์อื่นๆ 108.60 114.96 81.78 ยางยืด 8,290.50 8,218.30 9,977.13 ยางปูพื้น/กระเบื้องติดผนัง 174.30 179.29 160.09 ท่อยาง 9,941.50 10,675.28 11,799.74 สายพาน 4,287.90 4,962.55 5,401.83 ยางยานพาหนะ 116,453.30 125,294.77 148,752.61 ยางในยานพาหนะ 3,205.80 3,026.63 2,963.59 ยางที่หล่อดอกใหม่ 2,890.50 2,984.84 3,328.65 ถุงยางอนามัย 5,156.80 4,895.50 5,418.95 หัวนมเลี้ยงทารก 50.00 51.88 51.51 ถุงมือ 33,065.50 33,635.19 35,845.28 ผ้ายาง 614.90 348.84 371.04 ปะเก็น/ซีลยาง 3,105.00 3,692.96 3,869.01 ยางรัดของ 2,252.20 2,142.65 2,455.91 ยางลบ 25.20 27.48 34.54 ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ 17,122.10 18,452.43 20,197.64
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 38 - ประเภทผลิตภัณฑ์ 2558 2559 2560 รวม 206,855.40 218,995.02 251,091.18 ยางคอมปาวด์ 23,518.80 11,416.45 11,276.59 รวมทั้งหมด 230,374.20 230,411.47 262,367.77 ตารางที่ 7 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ประเภทผลิตภัณฑ์ 2558 2559 2560 ยางรีเคลม 355.80 338.54 394.78 ยางวัลคาไนต์อื่นๆ 147.10 223.51 89.54 ยางยืด 5.40 11.08 9.28 ยางปูพื้น/กระเบื้องติดผนัง 29.90 29.58 24.76 ท่อยาง 5,733.70 5,712.33 5,655.88 สายพาน 2,371.10 2,625.73 3,109.92 ยางยานพาหนะ 11,112.80 12,002.15 11,916.63 ยางในยานพาหนะ 684.30 680.38 615.97 ยางที่หล่อดอกใหม่ 1,954.90 2,105.63 2,132.23 ถุงยางอนามัย 72.90 58.16 113.88 หัวนมเลี้ยงทารก 13.10 4.13 3.51 ถุงมือ 1,358.80 1,463.74 1,566.96 ผ้ายาง 1,262.10 1,659.95 1,595.28 ปะเก็น/ซีลยาง 111.80 107.83 14.86 ยางรัดของ 37.60 53.98 78.18 ยางลบ 62.70 52.14 60.02 ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ 15,059.30 14,351.99 16,798.47 รวม 40,353.40 41,480.86 44,180.14 ยางคอมปาวด์ 1,255.80 1,786.88 1,801.72 รวมทั้งหมด 41,609.10 43,267.74 45,981.86
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 39 - ตารางที่ 8 ปริมาณการใช้ยางธรรมชาติในประเทศแยกตามผลิตภัณฑ์ (เมตริกตัน) ประเภทผลิตภัณฑ์ 2557 2558 2559 2560 ยางยานพาหนะ 329,051 297,138 340,668 378,021 ยางรถจักรยานยนต์ 23,811 40,693 33,254 33,735 หล่อดอก 2,128 1,336 1,124 1,045 ยางรัดของ 15,353 24,991 21,541 27,546 อะไหล่รถยนต์ 2,802 3,488 3,133 1,458 พื้นรองเท้า 1,146 1,496 1,282 2,265 รองเท้า 4,769 4,983 5,256 4,160 ท่อยาง 712 15,630 4,109 706 สายพาน 2,499 7,514 3,048 1,264 ยางยืด 79,168 87,746 97,174 111,500 ถุงมือยาง 58,865 81,979 72,992 55,367 ถุงยางอนามัย 6,464 9,524 10,087 10,566 ผลิตภัณฑ์ฟองน้ํา 234 292 176 411 กาว 2,985 3,036 3,193 2,194 เครื่องมือทางการแพทย์/ 952 378 354 271 อื่นๆ 10,064 20,267 19,879 22,734 รวม 541,003 600,491 617,269 653,243 ที่มา: สถิติยางประเทศไทย ปีที่ 46 (2560) กองการยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 40 - 2.2 สถานการณ์ยางพารา ปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติของโลก ณ ปี 2559 มีจํานวน 12.4 ล้านตัน ปริมาณการใช้ของ โลกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 12.7 ล้านตัน การใช้มากกว่าการผลิตประมาณ 300,000 ตัน โดยมีสต็อกปลายปี 2 ล้านตัน สําหรับประเทศไทยแม้ว่าจะมีพื้นที่ปลูกยางในปี 2558 ประมาณ 30.6 ล้านไร่มากกว่า ประเทศอินโดนีเซียซึ่งมีพื้นที่ปลูกยาง 26 ล้านไร่แต่ผลผลิตของไทยเท่ากับ 4.43 ล้านตัน สูงกว่า อินโดนีเซียที่มีผลผลิต 3.23 ล้านตัน ในปี 2559 ผลผลิตของไทยประมาณ 4.5 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.3 ของผลผลิตโลก ส่งออกในรูปวัตถุดิบกึ่งสําเร็จรูปร้อยละ 86 มูลค่าเพียง 180,000 ล้านบาท ประเทศจีนนําเข้ายางพาราจากไทยมากที่สุด รองลงมาได้แก่มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ตามลําดับ ในขณะที่ใช้เพื่อการแปรรูปยางพาราในประเทศเพียงร้อยละ 14 แต่มูลค่าสูงถึง 325,752 ล้านบาท ซึ่งความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญนี้ภาครัฐควรต้องกําหนดให้ มีแผนการเพิ่มมูลค่าการใช้ยางในประเทศเพื่อการแปรรูปมากกว่าร้อยละ 14 ในปัจจุบันจากนโยบาย ภาครัฐตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้ยางในประเทศเป็นร้อยละ 30 ภายใน 5 ปีประเทศไทยจะมีรายได้เข้า ประเทศกว่าหลายล้านล้านบาทจากการแปรรูปยางพาราของภาคอุตสาหกรรมกลางทางและ ปลายทาง ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางเพิ่มขึ้น 6 จากปัจจัยเหล่านี้จะเห็นได้ว่าชาวสวนยางมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าราคาที่คาดว่าจะขายได้ ส่วนผู้ผลิตสินค้าที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้แก่ล้อรถยนต์ชิ้นส่วนยานยนต์ถุงมือยางถุงยาง อนามัยเป็นต้น ถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงแต่ราคาขายของสินค้าไม่ได้ ลดลงตามราคาวัตถุดิบยางพารา จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ไทยจะต้องเพิ่มการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น 6 จากการวิเคราะห์ (ธนาคารทหารไทย: 2559) พบว่า 1. ปริมาณความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยางล้อของโลกจะขยายตัวในปี 2559 - 2560 ประมาณร้อยละ 3 - 3.5 ต่อปี อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่สดใส 2. ปริมาณการผลิตของโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 - 4.2% ในปี 2559 – 2560 อันเนื่องมาจากการขยายพื้นที่ของประเทศ อินโดนีเซีย เวียดนาม จีนและอินเดียเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดอุปทานส่วนเกินได้ 3. ปริมาณสต็อกยางพาราจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่ปลูกตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย เวียดนามและจีนทําให้เกิดการทยอยสะสมสต็อกซึ่งขณะนี้สต็อกยางของโลกมีประมาณ 2 ล้านตัน 4. ราคายางสังเคราะห์จะทรงตัวในระดับต่ําตามราคาน้ํามันโลกเมื่อราคายางสังเคราะห์ลดลงผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ก็ปรับสัดส่วนการใช้ ยางสังเคราะห์ให้มากข้ึนเพราะมีต้นทุนต่ํากว่าดังนั้นผู้ผลิตยางธรรมชาติจึงต้องปรับลดราคาขายยางให้สามารถแข่งขันกับยาง สังเคราะห์ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาปริมาณการผลิตและการใช้ยางสังเคราะห์ของโลกสูงกว่าปริมาณการผลิต และการใช้ยาง ธรรมชาติอยู่แล้ว
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 41 - โดยอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดจนผู้ประกอบการระดับ ชุมชน และให้ความสําคัญกับการสร้างมาตรฐาน พัฒนาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆจากการวิจัย แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ําการให้การส่งเสริมการลงทุนของ BOI เป็นต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพารา ซึ่งจะช่วยให้ราคายางพารามีทิศทางที่ดีขึ้น 2.2.1 สถานการณ์ยางพาราของโลก ปัจจุบันเกือบทุกภูมิภาคของโลก มีการปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นจาก 24 ประเทศ ในปี 2555 เป็น 33 ประเทศ ในปี 2560 อยู่ในทวีปเอเชีย 13 ประเทศ ทวีปแอฟริกา 9 ประเทศ ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้รวม 11 ประเทศ รวมพื้นที่ปลูกยางของโลก 90.27 ล้านไร่ ผลผลิตของโลกรวม 13.4 ล้านตัน คาดว่าปริมาณการใช้ยางพาราของโลกจะเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่ ไม่มากนัก เพราะภาวะเศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปหดตัวลดลงและในกรณีราคายางธรรมชาติสูงมาก ผู้ใช้ยางต่างพยายามลดต้นทุนโดยการทดแทนยางพาราด้วยยางสังเคราะห์แม้ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ จะส่งผลให้การผลิตมากกว่าปริมาณความต้องการ (Over Supply) แต่จีนและประเทศอื่นกลับใช้ ยางในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เพราะยางพาราเป็นสินค้าจําเป็นต่ออุตสาหกรรมยางล้อ ซึ่งยางล้อใช้ยาง ธรรมชาติถึงร้อยละ 30 ในอนาคตจํานวนประชากรเพิ่มปีละร้อยละ 3 ความต้องการใช้ยางธรรมชาติ เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนตันต่อปีดังนั้น จําเป็นต้องปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1 ล้านไร่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมีข้อจํากัดเรื่องที่ดิน เงินทุนระยะเวลาการปลูกซึ่งใช้เวลาถึง 7 ปีจึงจะเริ่ม ให้ผลผลิต ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555 - 2559) เนื้อที่ปลูกยางพาราของโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศผู้ปลูกยางพาราที่สําคัญของโลก ได้แก่จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย มีพื้นที่ปลูกยางเพิ่มขึ้นจาก 68.44 ล้านไร่ ในปี 2555 เป็น 71.30 ล้านไร่ ในปี 2559 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.02 ต่อปีสําหรับผลผลิตยางพาราของโลกเพิ่มขึ้นจาก 11.66 ล้านตัน ในปี 2555 เป็น 12.40 ล้านตัน ในปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.09 ต่อปีถึงแม้ว่าราคา ยางพาราจะลดลง ในปี 2556 ต่อเนื่องมาจนถึง ปี 2559 แต่เนื่องจากยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับพืชเศรษฐกิจอื่น จึงจูงใจให้มีการขยายเนื้อที่ปลูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิตหลักส่งผลให้มีเนื้อที่เปิดกรีดเพิ่มมากขึ้น
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 42 - 2.2.1.1 การผลิตและการใช้ยางโลก ประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ในปี 2559 มีเนื้อที่ปลูกยางพารารวม 58.49 ล้านไร่และมีผลผลิต รวม 9.40 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 75.80 ของผลผลิตโลก 1) ไทย มีผลผลิตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก เนื้อที่ปลูก ปี 2559 จํานวน 22.93 ล้านไร่เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 21.04 ล้านไร่หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.18 ต่อปี ปริมาณผลผลิต ปี 2559 จํานวน 4.34 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 3.88 ล้านตัน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.70 ต่อปี และมีผลผลิตต่อไร่ ในปี 2559 จํานวน 235 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมีจํานวน 229 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีหรือขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.65 ต่อปี คาดว่าในปี 2560 จะมีพื้นที่ปลูกยางรวม 22.789 ล้านไร่และคาดว่าจะมี ผลผลิต 4.375 ล้านตัน มีการใช้ยางในประเทศจํานวน 0.65 ล้านตัน (ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินระบุว่า พื้นที่ปลูกยางพาราทั้งประเทศ ปี 2558 – 2559 เป็นจํานวน 30,615,399 ไร่ เป็นข้อมูลที่แต่ละหน่วยงาน ยังไม่ถูกต้องตรงกัน) 2) อินโดนีเซีย มีผลผลิตมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากไทย เนื้อที่ปลูก ปี 2559 จํานวน 22.74 ล้านไร่เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 21.91 ล้านไร่หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 ต่อปี ผลผลิต ปี 2559 จํานวน 3.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 3.24 ล้านตัน ห รือขยายตัวเพิ่ม ขึ้น ร้อยละ 0.45 ต่อปีและมีผลผลิต ต่อไร่ ในปี 2559 จํานวน 176 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมีจํานวน 171 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.13 ต่อปี 3) มาเลเซีย มีเนื้อที่ปลูกยางพาราเป็นอันดับ 3 ของโลก เนื้อที่ปลูก ปี 2559 จํานวน 6.74 ล้านไร่เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 6.51 ล้านไร่หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87 ต่อปี ผลผลิต ปี 2559 จํานวน 0.67 ล้านตัน ลดลงจากปี 2555 ซึ่งมีจํานวน 0.83 ล้านตัน หรือขยายตัวลดลงขึ้นร้อยละ 5.27 ต่อปีและมีผลผลิตต่อไร่ ปี 2559 จํานวน 224 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ลดลงจากปี 2555 ซึ่งมีจํานวน 234 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีหรือขยายตัวลดลงร้อยละ 0.79 ต่อปี
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 43 - 4) เวียดนาม มีเนื้อที่ปลูกยางพาราเป็นอันดับ 4 ของโลก และผลผลิตเป็น อันดับ 3 ของโลก เนื้อที่ปลูก ปี 2559 จํานวน 6.08 ล้านไร่เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 5.99 ล้านไร่หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.42 ต่อปี ผลผลิต ปี 2559 จํานวน 1.03 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งมี จํานวน 0.95 ล้านตัน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ต่อปีและผลผลิตต่อไร่ ปี 2559 มีจํานวน 268 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ปริมาณการผลิตยางของโลกโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2554 - 2560 มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.36 โดยผลผลิตยางพาราของโลกเพิ่มขึ้นจาก 11.239 ล้านตัน ในปี 2554 เป็น 13.380 ล้านตัน ในปี 2560 จากการขยายเนื้อที่เปิดกรีดของประเทศผู้ผลิตยางพาราของประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน มาเลเซีย และอินเดีย สําหรับในปี 2560 ปริมาณการผลิตโลก มีจํานวน 13.380 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน จํานวน 0.290 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.17 ปริมาณการใช้ยางโลกโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2554 - 2560 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.02 ในปี 2560 มีปริมาณการใช้รวม 13.090 ล้านตัน น้อยกว่าปริมาณการผลิต 0.290 ล้านตัน หรือร้อยละ 2.17 จีนยังคงเป็นประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่ ในปี 2559 จีนใช้ยางพารา 4.863 ล้านตัน หรือร้อยละ 61.37 กลุ่มประเทศ EU 1.188 ล้านตัน อินเดีย 1.034 ล้านตัน สหรัฐฯ 0.932 ล้านตัน และญี่ปุ่น 0.677 ล้านตัน สําหรับในปี 2560 ปริมาณการใช้ยางโลก 13.090 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.503 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 3.99 ปริมาณการผลิตมากกว่าปริมาณการใช้ยางของโลก 0.290 ล้านตัน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 44 - คาดการณ์การผลิตและการใช้ยางโลก ITRC คาดว่าในปี 2560 ถึงปี 2563 จะมี ปริมาณการผลิตยางส่วนเกินประมาณปีละ 0.300 – 0.400 ล้านตันโดยคาดว่าในปี 2560, 2561, 2562, และ 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตส่วนเกิน 0.297, 0.340, 0.345, 0.423 ล้านตัน ตามลําดับ โดยคาดว่าในปี 2560 จะมีปริมาณการผลิต 13.054 ล้านตัน และมีการใช้ยาง 12.757 ล้านตัน เป็นการใช้ยาง ของจีนร้อยละ 38.37 กลุ่ม EU ร้อยละ 9.897 สหรัฐร้อยละ 7.48 และญี่ปุ่นร้อยละ 5.14 จากความต้องการ ใช้ยางในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องและมีผลผลิตส่วนเกิน 0.297 ล้านตัน ตารางที่ 9 การผลิตและการใช้ยางโลก หน่วย : พันตัน ปีการผลิต การใช้ส่วนต่าง ร้อยละของ ผลผลิต 2554 11,239 11,034 205 1.82 2555 11,658 11,046 612 5.25 2556 12,282 11,430 852 6.94 2557 12,142 12,181 -39 (0.32) 2558 12,271 12,140 131 1.07 2559 12,451 12,587 -136 (1.09) 2560 13,380 13,090 290 2.17 ที่มา : International Rubber Study Group (IRSG) Vol.72 No.4-6 October – December 2017 7 สหภาพยุโรป (EU) จัดให้ยางพาราเป็นวัสดุที่ต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษในเชิงยุทธศาสตร์เนื่องจากมีความสําคัญต่อ เศรษฐกิจของ EU เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็งในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมยางและสร้างความยั่งยืนของโซ่อุปทาน ยางพาราช่วยให้ EU ของบประมาณสนับสนุนในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางเพิ่มขึ้น 1. การเปลี่ยนสถานะของยางพาราครั้งนี้สะท้อนความกังวลของ EU ต่อความมั่นคงของอุปทานยางพาราโลกอันเป็น ความเสี่ยงสําหรับ EU ซึ่งผลผลิตยางกว่าร้อย 94 อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดยางพาราอยู่ในตลาด เอเชียโดยเฉพาะจีนและอินเดีย 2. ชี้ให้เห็นว่า EU มีความกังวลต่อความมีเสถียรภาพของยางสังเคราะห์ทั้งในเชิงปริมาณการผลิตและราคาของยาง สังเคราะห์ (EU กําหนดให้อุปสงค์ยางสังเคราะห์ประมาณ70% ของความต้องการใช้ยางทั้งหมด) 3. EU จะให้ความสําคัญกับงานวจิัยยางพารามากขึ้นหลังจากทิ้งร้างมากว่า10ปีและหันมาสนับสนุนการใช้ยาง ธรรมชาติแทนยางสังเคราะห์มากขึ้น EU เนื่องจากกระแสความสําคัญของ GREEN POLYMER
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 45 - ตารางที่ 10 การคาดการณ์การผลิตและการใช้ยางโลก (พันตัน) ปีการผลิต การใช้ยาง ส่วนต่าง ร้อยละของ ผลผลิต 2554 11,185 11,379 -194 -1.73 2555 11,597 11,439 158 1.36 2556 12,343 11,776 567 4.59 2557 12,139 12,363 -224 -1.85 2558 12,528 12,551 -23 -0.18 2559 12,768 12,693 75 0.59 2560 13,054 12,757 297 2.28 2561 13,385 13,045 340 2.54 2562 13,784 13,439 345 2.50 2563 14,317 13,894 423 2.95 ที่มา : International Tripartite Rubber Council (ITRC) 2.2.1.2 การส่งออกยางโลก การส่งออกยางพาราโลกตั้งแต่ปี 2554 – 2559 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.24 โดยประเทศไทยยังคงเป็นอันดับหนึ่งในการส่งออกยาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.67 รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย และเวียดนาม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.14 และ 4.53 ตามลําดับ ส่วนมาเลเซียการส่งออกลดลงที่ร้อยละ 5.46 ในปี 2560 การส่งออกยางพาราโลก มีจํานวน 11.711 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 17.26 โดยประเทศไทยส่งออกยาง อยู่ที่ 4.419 ล้านตัน รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซียอยู่ที่ 3.251, 1.380 และ 1.185 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.66, 23.05, 10.07 และ 15.87 ตามลําดับ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 46 - ตารางที่ 11 ปริมาณการส่งออกยางโลก หน่วย : พันตัน ปีพ.ศ. โลก ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม อื่นๆ 2554 8,429 2,982 2,566 1,240 817 825 2555 8,871 3,175 2,525 1,291 1,023 857 2556 9,888 3,752 2,770 1,332 1,076 958 2557 9,676 3,729 2,662 1,192 1,066 1,027 2558 9,772 3,776 2,680 1,119 1,137 1,060 2559 9,987 3,922 2,642 1,023 1,254 1,146 2560* 11,711 4,419 3,251 1,185 1,380 1,476 อัตราการเพิ่ม (ร้อยละ) 4.42 5.91 2.78 -2.73 7.54 9.05 2559* 9,987 3,922 2,642 1,023 1,254 1,146 2560* 11,711 4,419 3,251 1,185 1,380 1,476 อัตราการเพิ่ม (ร้อยละ) 17.26 12.66 23.05 15.87 10.07 28.81 ที่มา : International Rubber Study Group (IRSG) Vol.72 No.1-3 January – March 2018 หมายเหตุ: * ข้อมูลรายปี 2.2.2 สถานการณ์ยางพาราของไทย ภูมิภาคอาเซียนมีพื้นที่ปลูก ผลิต และส่งออกยางพารา มากที่สุดในโลก พื้นที่ปลูกของไทย อินโดนิเซียและมาเลเซียรวมกันมากกว่าร้อยละ 65 ของผลผลิตทั่วโลก ทั้งสามประเทศจึงร่วมกันจัดตั้ง บริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศจํากัด (International Rubber Consortium Limited : IRCo) เพื่อดําเนินกลยุทธ์ทางการตลาด (Strategic Market Operation : SMO) ปัจจุบันจีนมีการปลูกยาง เพิ่มมากขึ้นในกลุ่ม CLMV (กัมพูชาลาวพม่าและเวียดนาม) โดยเวียดนาม ลงทุนปลูกในประเทศพม่าและ ประเทศลาวด้วยจึงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ลําดับที่ 4 และมีแนวโน้มจะเข้าร่วมในบริษัทร่วมทุนยางพารา ระหว่างประเทศ ทําให้บริษัทร่วมทุนฯควบคุมการส่งออกสู่ตลาดโลกได้ถึงร้อยละ 70 2.2.2.1 การผลิตและการใช้ยางประเทศไทย ปริมาณการผลิตยางของไทยตั้งแต่ปี 2554 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2559 พื้นที่ปลูกยางรวม 22.933 ล้านไร่พื้นที่กรีดได้ 18.466 ล้านไร่และผลผลิตยาง 4.342 ล้านตัน ผลผลิต ต่อไร่ต่อปี 235 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีและคาดว่าในปี 2560 มีพื้นที่ปลูกยางรวม 22.864 ล้านไร่พื้นที่กรีดได้ 19.245 ล้านไร่และมีผลผลิต 4.429 ล้านตัน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 47 - การใช้ยางในประเทศในปี 2560 มีการใช้ยางจํานวน 0.700 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ ผ่านมาอัตราร้อยละ 7.7 เนื่องจากการขยายการผลิตของผู้ประกอบการภายในประเทศและการขยายฐาน การผลิตของอุตสาหกรรมจากต่างประเทศทั้งอุตสาหกรรมยางล้อและอุตสาหกรรมแบบจุ่ม เช่น ถุงมือยาง เป็นต้น นอกจากนี้ภาครัฐยังส่งเสริม/สนับสนุนให้นํายางพารามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ ภายในประเทศรวมถึงส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐเพิ่มมากขึ้น ตารางที่ 12 การผลิตและการใช้ยางไทย ปีพ.ศ. พื้นที่ปลูก (ล้านไร่) พื้นที่กรีดได้ (ล้านไร่) ผลผลิตยาง (ล้านตัน) ผลผลิตต่อไร่ต่อปี (กก./ไร่/ปี) ปริมาณการใช้ยาง (ล้านตัน) 2554 20.03 15.85 3.898 246 0.486 2555 21.04 6.94 0.389 229 0.505 2556 22.20 17.83 4.232 237 0.520 2557 22.87 18.20 4.327 238 0.541 2558 23.14 18.43 4.414 240 0.600 2559 22.93 18.47 4.343 235 0.650 2560 22.86 19.24 4.429 234 0.700 ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, ANRPC 2.2.2.1 การส่งออกยางไทย ในปี 2560 ประเทศไทยส่งออกยาง 4.167 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.462 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 12.48 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยชนิดยางที่ส่งออกมากที่สุด คือ ยางแท่ง รองลงมา คือ ยางผสม และน้ํายางข้น โดยส่งออกจํานวน 1.514 ล้านตัน 1.127.26 ล้านตัน และ 0.674 ล้านตัน ตามลําดับ ส่วนประเทศผู้นําเข้าหลักของประเทศไทย 3 อันดับแรก ได้แก่จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น ซึ่งประเทศจีนยังคงเป็นผู้นําเข้าอันดับหนึ่งของไทยการส่งออกยางคาดว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เล็กน้อย เนื่องจากความต้องการใช้ยางโลกยังคงมีอยู่
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 48 - ตารางที่ 13 ปริมาณการส่งออกยางของประเทศไทย ปี 2559 – 2560 ชนิดยาง ปี 2559 (พันตัน) ปี 2560 (พันตัน) เพิ่ม / ลด (พันตัน) (ร้อยละ) ยางแท่ง 1,722 1,460 -262 -15.21 ยางผสม 671 1,030 359 53.50 น้ํายางข้น 665 683 18 2.71 ยางแผ่นรมควนั 562 664 102 18.15 ยางคอมปาวด์ 125 72 -53 -42.40 ยางอื่นๆ 60 188 128 213.33 รวม 3,805 4,097 292 7.67 ที่มา:กรมศุลกากร, 2560 2.2.3 สถานการณ์ราคายาง ตั้งแต่ปี 2554 ราคายางมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคายางแผ่นดิบ ในปี 2554 เฉลี่ย 132.66 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกิดจากการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาน้ํามัน อันมี ผลต่อราคายางสังเคราะห์จึงมีการปรับเปลี่ยนมาใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น และการเติบโตแบบก้าว กระโดดของอุตสาหกรรมรถยนต์อันมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและ ตั้งเป้าหมายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ1ของโลกในปี 2553 จึงทําให้จีนสต็อกยางไม่ทันและส่งผลให้ ราคายางในปี 2554 สูงขึ้นยางรวดเร็ว หลังจากนั้นราคายางมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจนถึงปี 2558 รูปภาพที่ 12 การผลิต การใช้สต็อกยางในตลาดโลก และราคายางในประเทศไทย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 49 - ราคายางในปี 2560 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศผู้ใช้ยางหลักทั้ง สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น รวมทั้งราคาน้ํามันดิบปรับตัวสูงขึ้น ทําให้การรับซื้อและการลงทุนมีการขยายตัว โดยราคายางในตลาดต่าง ๆ เมื่อเทียบในช่วงเดียวกัน ของปกี่อน (ม.ค.-ธ.ค.) ดังนี้ 1. ราคาซื้อขายยางล่วงหน้าในตลาดสิงคโปร์ : SICOM ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 เฉลี่ยอยู่ที่ 66.83 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.66 และราคายางแท่ง STR 20 อยู่ที่ 55.69 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.20 2. ราคาซื้อขายยางล่วงหน้าในตลาดโตเกียว : TOCOM ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 72.03 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.78 3. ราคาซื้อขายยางล่วงหน้าในตลาดเซี่ยงไฮ้ : SHFE ราคายางแผ่นรมควันชนั้ 3 อยู่ที่ 70.45 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.72 2.2.3.1 สถานการณ์ราคายางในประเทศไทย ปี 2560 รูปภาพที่ 13 สถานการณ์ราคายางในประเทศไทย ราคาประมูลยางตลาดกลางยางพาราราคายางแผ่นดิบคุณภาพดีปี 2560 (ม.ค.- ธ.ค.) อยู่ที่ 60.74 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.03 บาท/กิโลกรัม หรือคิดเป็นร้อยละ 15.23 และราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 63.25 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 8.34 บาท/กิโลกรัม หรือคิดเป็น ร้อยละ 15.12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยในช่วงต้นปี (ม.ค.- ก.พ. 2560) ราคายางเพิ่ม
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 50 - สูงขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในภาคใต้ทําให้พื้นที่กรีดยางได้รับความเสียหายและสต็อกยาง ตลาดจีนปรับตัวลดลง 1 แสนตัน ประกอบกับราคาน้ํามันดิบเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนราคายางในช่วงเดือน มีนาคม – ธันวาคม 2560 ราคายางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเริ่มชะลอ ตัวลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีนและญี่ปุ่น แม้ยังคงมีการขยายตัวแต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ส่งผล กระทบต่อภาคการลงทุนและภาคการผลิต ทําให้อัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมลดลงช่วงเดือน มีนาคม – ธันวาคม 2560 ราคายางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก 1) การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าผู้ใช้ยาง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีนและญี่ปุ่น แม้ยังคงมีการขยายตัว แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง จีนในฐานะประเทศที่ใช้ยาง มากอันดับหนึ่งของโลกกําลังประสบปัญหาเรื่องหนี้ภาครัฐที่นําไปลงทุนในการทําระบบ สาธารณูปโภคค่อนข้างมาก ทําให้ภาวะเศรษฐกิจในจีนเกิดการชะลอตัว 2) ราคายางในตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ การเก็งกําไรในตลาดล่วงหน้า โดยราคายางในตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ ทั้งตลาดล่วงหน้าโตเกียว ตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ และตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ปรับตัวลดลงเนื่องจากตลาดได้รับปัจจัยจากความกังวลของนักลงทุนในตลาด ล่วงหน้าจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองโลก รวมถึงความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือส่งผลให้นักลงทุนชะลอการซื้อและราคาในตลาดล่วงหน้ามีความผันผวน และลดลงอย่างรุนแรง ทําให้มีผลกระทบต่อราคาซื้อขายยางประจําวันที่เกษตรกรได้รับ เนื่องจาก ในการทําสัญญาซื้อขายรายปี (Long-term) ของบริษัทเอกชนโดยส่วนมากการตกลงราคาจะใช้ราคา ตลาด SICOM 3) อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินลดลงอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งในการซื้อขายยางมากกว่าร้อยละ 95 จะซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์โดยอัตราแลกเปลี่ยนในช่วง ปี 2559 ค่าเงินบาทเฉลี่ย 35.29 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในขณะที่ในปี 2560 ค่าเงินบาทเฉลี่ย 33.94 บาทต่อ 1 ดอลลาร์จึงทําให้ราคายางลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 51 - รูปภาพที่ 14 ราคายางในตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ และราคาน้ํามันดิบ 2.2.3.2 แนวโน้มสถานการณ์ยาง ปี 2561 ปี 2561 ITRC คาดว่า มีปริมาณผลผลิตยางโลก 13.39 ล้านตัน เนื่องจากราคายาง ที่พุ่งสูงขึ้นในปี 2554 จึงทําให้แต่ละประเทศผู้ผลิตยางขยายพื้นที่ปลูกยางเพิ่มขึ้นประมาณ 11.900 ล้านไร่ และจะเริ่มทยอยให้ผลผลิตในปี 2560 ถึงปี 2561 และคาดว่าปริมาณความต้องการใช้ยางของโลก มีประมาณ 13.05 ล้านตัน จากความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ของจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตามจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ ยางรายใหญ่ของโลก จึงทําให้ปริมาณการใช้ยางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จึงคาดว่าราคายางมีแนวโน้มลดลง ปี 2561 สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดการณ์เบื้องต้นว่า ปริมาณผลผลิตยางของไทย จะมีจํานวน 4.920 ล้านตัน เนื่องจากการขยายพื้นที่ปลูกยางในปี 2555 จํานวน 1.406 ล้านไร่ ปี 2561 คาดการณ์เบื้องต้นปริมาณผลผลิตยางของไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.40 ล้านตัน จากการขยายพื้นที่ปลูกยางในปี 2554 ทั้งนี้คาดว่าปริมาณการใช้ยางในประเทศจะเพิ่ม มากขึ้น จากนโยบายการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศจากโครงการการใช้ยางภาครัฐ และการ สนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง สําหรับการส่งออกยางคาดว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่าน มาเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการใช้ยางโลกยังคงมีอยู่แต่คาดว่าราคายางเฉลี่ยทั้งปีมีโอกาสที่จะ ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของราคาในตลาดโลก
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 52 - 2.2.3.3 การพยากรณ์ราคายาง ปริมาณผลผลิต และปริมาณความต้องการยางทั่วโลก จากแบบจําลองการพยากรณ์ราคายางพารา ผลผลิต และปริมาณความต้องการ ยางพาราทั่วโลก ช่วงปี 2561 – 2565 พบว่าแนวโน้มในระยะยาวราคายางพารามีทิศทางปรับตัว ลดลงตามลําดับ จากระดับราคาส่งออก 1.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 เป็น 1.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ในช่วงปี 2565 ขณะที่ความต้องการยางพาราของโลกอ่อนตัวลง ในช่วงปี 2563 อันเป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง รูปภาพที่ 15 พยากรณ์ราคายางพารา ผลผลิต และความต้องการยางพารา ปี 2561 – 2565 ที่มา: จากแบบจําลองเศรษฐมิติของหน่วยวิจัยเศรษฐศาสตร์ยางพารา คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (https://www.facebook.com/Rubber-Economics-Research-Unit-at-KU) และPinitjitsamut, M.(2017), Global Natural Rubber Forecasting: 2017 – 2022, ITRC Statistical Committee No.2/2017 หมายเหตุ: - เป็นผลพยากรณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2560 และจําเป็นต้องมีการปรับปรุงข้อมูลสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ Facebook – Rubber Economics Research Unit at KU.
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 53 - รูปภาพที่ 16 ความผันผวนของราคายาง 2556 – 2560 เมื่อเปรียบเทียบความผันผวนของราคายางในตลาดโลกช่วงปี 2559 – 2561 กับช่วงปี 2556 – 2558 จะเห็นว่าระดับความผันผวนของราคาจะลดลงจากระดับ 15.51 มาเป็นระดับ 13.38 แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของตลาดที่มีการเก็งกําไรและผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ลดลง 2.3 มาตรการของรัฐบาลกับยางพาราของไทย มาตรการของรัฐบาลไทยที่ผ่านมาจะให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาภาวะราคายาง ตกต่ํารัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ เช่นการแทรกแซงราคายางหรือการสนับสนุน เงินทุนหลาย ๆ โครงการแต่เมื่อสิ้นสุดโครงการปัญหาราคายางก็กลับสู่สภาพเดิมเกษตรกรชาวสวน ยางได้รับความเดือดร้อนนําไปสู่การเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือมาโดยตลอด ที่ผ่านมาการแก้ปัญหา ยังไม่สามารถก้าวพ้นปัญหาเดิม ๆ ที่ชาวสวนยางประสบอยู่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของกลไก ความสัมพนธั ์ตามห่วงโซ่อุปทานของระบบยางพาราไทย ตั้งแต่ระดับต้นทาง กลางทาง และปลายทาง อันเป็นผลิตภัณฑ์ยางขาดการบรูณาการไปในทิศทางเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบในลักษณะ ห่วงโซ่เดียวกัน อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐก็ยังมิได้ทําหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนเท่าที่ควรเนื่องจากปัญหา และอุปสรรคทางด้านกฎหมายระเบียบข้อบังคับการบริหารจัดการของแต่ละหน่วยงานก็มิได้บูรณา การกันที่ผ่านมาส่วนใหญ่มุ่งใช้แต่เพียงมาตรการทางการเงิน โดยเฉพาะการจ่ายเงินชดเชยเกษตรกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 54 - 2.3.1 นโยบายยางพาราในอดีต ในปี 2543 การผลิตยางของประเทศไทยมีปริมาณสูงถึง 2.47 ล้านตันหรือคิดเป็น ร้อยละ 36 ของการผลิตของโลกเพิ่มขึ้นจากปี 2542 รวม 370,000 ตัน หรือมากกว่าการเพิ่มอัตรา การใช้ยางของโลกถึงแม้ว่าประเทศไทยผลิตยางมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันมา เป็นเวลายาวนานก็ตามแต่ราคายางพาราเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาสาเหตุจากวิกฤต เศรษฐกิจโลกราคายางลดลงอย่างมากโดยเฉพาะปี 2542 ราคายางแผ่นดิบที่เกษตรกรได้รับเฉลี่ย กิโลกรัมละ 19 บาท ลดลงจากปี 2539 ที่มีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 28 บาท ซึ่งโดยทั่วไปราคา ยางพารามีความผันผวนตามกลไกตลาดอุปสงค์และอุปทานในตลาดเป็นปัจจัยสําคัญในการกําหนดราคา ในแต่ละช่วงเวลารวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจโลกก็ส่งผลต่อราคายางพาราเช่นเดียวกัน เมื่อภาวะ เศรษฐกิจตกต่ําจะทําให้ราคายางพาราตกต่ําไปด้วยเนื่องจากความต้องการบริโภคที่หดตัวลง ทําให้ ชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องหามาตรการ/แนวทาง ในการช่วยเหลือ ชาวสวนยางให้มีรายได้เพียงพอต่อการดํารงกิจกรรมทางการเกษตรและเลี้ยงชีพต่อไป การที่ราคายางอ่อนตัวลงเช่นนี้ส่งผลให้กระทบต่อรายได้ของเกษตรกร รัฐบาลต้อง เข้าแทรกแซงราคายางพาราเป็นช่วง ๆ ตามสภาวะราคายางที่ลดต่ําลงโดยดําเนินการตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมีปริมาณยางที่แทรกแซงสูงถึง 999,500 ตันหรือประมาณร้อยละ 9 ของการผลิตทั้งหมดจาก สถานการณ์ที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตยางสูงมากในขณะที่ราคายางของโลกยังอยู่ในระดับต่ําเมื่อ เปรียบเทียบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทุกปีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐผู้ประกอบการและ เกษตรกรควรหันมาร่วมมือกันเพื่อพัฒนายางไทยให้ยั่งยืนและเพิ่มรายได้ให้ประเทศและเกษตรกรโดยรวม ในปี 2544 รัฐบาลไทยได้มีการกําหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนายางพารา ไทย8 โดยตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะนั้น การที่ยางพาราไทยประสบปัญหาต้นทุนการผลิต สูงกว่าประเทศคู่แข่งขันโดยเฉพาะผู้ผลิตรายใหญ่อย่างประเทศอินโดนิเซียและเวียดนาม (ปัจจุบันนี้ ประเทศไทย ก็ยังคงมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า) ทําให้การส่งออกยางพาราของไทยมีต้นทุนสูงและ มีตลาดแคบ อีกทั้งระบบตลาดไม่เอื้อต่อการส่งออกและไม่สามารถกําหนดราคายางในตลาดโลกได้ ดังนั้น ภายใต้การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีการกําหนดเป็นพันธกิจใน 6 ด้าน คือ 8 รายงานการสัมมนายางพาราแห่งประเทศไทยครั้งท 4 ี่เรื่อง “พัฒนายางพาราไทยกู้ภัยเศรษฐกิจ” 17-20 กันยายน 2544 ณโรงแรมเจบี อ.หาดใหญ่จ.สงขลา
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 55 - 1. พัฒนาการผลิตยางให้มีผลผลิตสูงต้นทุนการผลิตต่ําและตรงตามความต้องการ ของผู้แปรรูป 2. เสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกรโดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ เกษตรกรรวมกลุ่มการดําเนินธุรกิจขั้นปฐมด้วยตัวเอง 3. พัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางดิบให้มีคุณภาพและมาตรฐานความต้องการ ของผู้ใช้ 4. พัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางให้มีการใช้ยางภายในประเทศเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ ยางชนิดต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานตามที่สากลยอมรับและเปนการสร็ ้างมูลค่าเพิ่มของยางธรรมชาติ 5. เร่งรัดและสร้างกระบวนการให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตในประเทศมากขึ้น 6. พัฒนาระบบการบริหารการจัดการอุตสาหกรรมยางให้มีการเชื่อมโยงหน่วยงาน ภาครัฐเอกชนและเกษตรกรให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โดยมีแผนปฏิบัติงานและแผนงานสนับสนุนหลายด้าน อาทิแผนพัฒนาอุตสาหกรรม ยางแผนงานเร่งรัดการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางในต่างประเทศ แผนงานสนับสนุนการใช้งานของภาครัฐ แผนการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางระดับท้องถิ่น แผนพัฒนาการตลาดยาง และแผนงานพัฒนา ระบบงานส่งออก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสถิติที่ผ่านมาสะท้อนว่าการดําเนินงานตามแผนงาน ดังกล่าว และแผนงานที่มีการกําหนดนโยบายดังกล่าวไม่ประสบผลสําเร็จเท่าที่ควร เกษตรกรยังคงมี ระดับการผลผลิตต่ํากว่า และต้นทุนสูงกว่าประเทศคู่แข่ง และยังคงประสบปัญหาทางด้านความผัน ผวนของราคาที่ไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม หากพิจารณาเฉพาะนโยบายและมาตรการที่ เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราที่ผ่านมาพบว่าเป็นไปในลักษณะเช่นเดียวกัน ซึ่งแผนงานพัฒนาตลาดยางมีวัตถุประสงค์ในเรื่องนี้โดยมุ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางของประเทศ พัฒนาตลาดยางพาราไทยสู่ระบบสากล และเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกยางของประเทศ และให้ประเทศไทยเป็นตลาดกลางที่สําคัญของโลกอันสะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออก ยางพารารายใหญ่ของโลกแต่ไม่มีอํานาจในการกําหนดราคาได้แม้ว่าแผนงานนี้มีการดําเนินงาน ในช่วงปี 2544 – 2549 แต่ระดับราคายางพาราในช่วงระหว่างนั้น มีความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เป็น 94.32 ซึ่งมีค่าความผันผวนในระดับค่อนข้างสูง แผนงานดังกล่าว จึงไม่ประสบความสําเร็จมากนัก
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 56 - อย่างไรก็ตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2545 ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ยางพาราระหว่างประเทศไทย มาเลเซียอินโดนีเซียตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอโดยให้มีคณะกรรมการบริหารร่วม ประกอบด้วย ผู้แทนจากสามประเทศและให้จัดตั้งสํานักงาน ณ ประเทศไทยและให้ผู้แทนจากประเทศไทย ทําหน้าที่เป็นประธานกรรมการบริหาร ให้เรียกเก็บกองทุนจดทะเบียนที่ร่วมทุนตามสัดส่วนปริมาณ การผลิตยางธรรมชาติของแต่ละประเทศ คาดว่าจะใช้ทุนจดทะเบียนประมาณ 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีหน้าที่ซื้อขายบริหารยางจากทั้งสามประเทศ อีกทั้งยังให้มีมาตรการทางภาษีสนับสนุนในการ ดําเนินกิจการบริษัทฯ นอกจากนั้นยังมีมติอนุมัติองค์ประกอบผู้แทนไทยในคณะกรรมการยาง ระหว่างประเทศ (International Tripartite Rubber Council : ITRC) ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อธิบดีกรมวิชาการเกษตรและนายกสมาคมยางพาราไทยเป็นกรรมการ ความร่วมมือด้านยางพาราในส่วนของมาตรการปรับปริมาณการผลิตยางพารา (Supply Management Scheme : SMS) ของประเทศไทยอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีเป้าหมายที่จะลด ผลผลิตปี 2545 และปี 2546 ร้อยละ 4 ซึ่งผลการดําเนินการณวันที่ 30 กันยายน 2545 ไทยดําเนินการ ได้ 36,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 49.56 ของเป้าหมายที่จะลด (72,636 ตัน) มาเลเซียดําเนินการได้ 39,806 ตัน คิดเป็นร้อยละ 122.86 ของเป้าหมายที่จะลด (32,400ตัน) ส่วนอินโดนีเซียยังไม่ได้แจ้ง ผลสําหรับมาตรการควบคุมปริมาณการส่งออก (Agreed Export Tonnage Scheme : AETS) ทั้งสามประเทศมีเป้าหมายลดปริมาณการส่งออกร้อยละ 10 ในปี 2545 โดยไทยดําเนินการได้ 1,524,481 ตัน คิดเป็นร้อยละ 77.27 ของเป้าหมาย (1,973,000 ตัน) อินโดนีเซียดําเนินการได้ 718,900 ตัน คิดเป็นร้อยละ 58.4 ของเป้าหมาย (1,231,000 ตัน) และมาเลเซียดําเนินการได้ 415,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 82.62 ของเป้าหมาย (502,275 ตัน) อย่างไรก็ดีในปี 2544 อันเป็นปีของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สมัยแรกรัฐบาลไทย มีความร่วมมือด้านยางพารากับประเทศอินโดนิเซีย และมาเลเซีย และมีมติคณะรัฐมนตรีและมีการ จัดตั้งบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนิเซีย ในวันที่ 5 มีนาคม 2545 และมีแนวคิดการจัดตั้งเมืองยางพารา ในภาคใต้ในปี 2546 รวมทั้งมาตรการปรับปริมาณการผลิต ยาง (Supply Management Scheme) มีเป้าหมายลดปริมาณผลผลิตในปี 2545 – 2546 ร้อยละ 4 และมาตรการควบคุมปริมาณส่งออก (Agreed Export Tonnage Scheme: AETS) โดยทั้งสามประเทศ มีเป้าหมายลดการส่งออกลงร้อยละ 10 โดยในปี 2545 ได้มีการดําเนินการ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 57 - ร้อยละ 77.27 ของเป้าหมาย (มาเลเซียดําเนินการร้อยละ 82.62 อินโดนิเซียดําเนินการร้อยละ 58.4 ของเป้าหมาย) ทั้งนี้สองประเทศมีจํานวนการส่งออกที่น้อยกว่าประเทศไทย ในแผนพัฒนายางพาราของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี 2545 – 25499 มีการกําหนด เป้าหมายการผลิตยางพารา เพื่อต้องการรักษาระดับราคาให้คงที่และไม่ตกต่ํา มีการกําหนดแนว ทางการลดปริมาณผลผลิตยางพาราเป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายลดผลผลิตจากระดับ 2.52 ล้านตัน เป็น 2.40 ล้านตัน และกําหนดร่วมกับการปรับสัดส่วนผลผลิตจากยางแผ่นรมควัน : ยางแท่ง : น้ํายางข้น : ยางประเภทอื่น ๆ จากสัดส่วน 50:28:18:4 ไปเป็น 35 : 40 : 20 : 5 ซึ่งทําให้มีการลดการผลิตยาง แผ่นรมควันและน้ํายางข้น และเพิ่มการผลิตยางแท่งและยางชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังกําหนดลด ปริมาณการส่งออกในรูปวัตถุดิบให้ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อปีและรักษาพื้นที่ปลูกที่ระดับ 12 ล้านไร่ ในปี 2552 รัฐบาล มีนโยบายสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา เพิ่มมูลค่า เป้าหมายเก็บสต๊อก โดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 255210 ในเรื่องโครงการสนับสนุน สถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ํา โดยอนุมัติ ในหลักการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ํา โดยวงเงินที่ใช้ในการดําเนินการให้สถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพาราเพิ่มมูลค่า จํานวน 200,000 ตัน วงเงิน 8,000 ล้านบาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยกําหนดเงื่อนไขให้ เร่งระบายผลผลิตเพื่อปิดบัญชีโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีและชําระเงินคืนให้แก่ธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรโดยเร็ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการและ การดําเนินงานจํานวน 270 ล้านบาท อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2552 เรื่องแนวทางการดําเนินงานตามโครงการ สนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพื่อเพิ่มมูลค่าแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ํา โดยอนุมัติให้องค์การ สวนยางกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในวงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 จากวงเงิน 8,000 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ดําเนิน โครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพื่อเพิ่มมูลค่าแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ํา ตามมติคณะรัฐมนตรีไว้แล้วเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรวมทั้งดอกผลที่เกิดขึ้นจากการดําเนินงาน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยการซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรที่ไม่สามารถแปรรูปหรืออัดก้อน 9 http://www.rubberthai.com/book/file/72.pdf 10http://www.cabinet.thaigov.go.th/acrobat/Slump.pdf
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 58 - หรือขายยางไปต่างประเทศ โดยใช้ราคานําตลาดเป็นคราว ๆ เพื่อให้ราคายางสูงขึ้นตามเป้าหมาย ของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติและมีเป้าหมายในการเก็บสต๊อกประมาณ 120,000 ตัน และให้จําหน่ายไปต่างประเทศโดยให้กระทรวงการคลังค้ําประกันในการแทรกแซงราคายางพารา แต่ละครั้งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาตกต่ํา เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น การแทรกแซง มักจะมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสวนยาง ช่วยให้ชาวสวนยางจําหน่ายยางได้ ในราคาสูงขึ้นคุ้มกับต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้น การแทรกแซงราคาดังกล่าวนับเป็นเครื่องมือที่รัฐบาล นํามาใช้เพื่อแก้ปัญหาในบางช่วงเวลา 2.3.2 นโยบายยางพาราในช่วงปี 2555 - ปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 เรื่องการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา โดยเห็นชอบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอดําเนินงานตามโครงการ พัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ให้แก่สถาบันเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการและผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัดและ ให้แก่องค์การสวนยางซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ําประกัน ยกเว้นสถาบันเกษตรกรที่เคยได้รับอนุมัติ ให้เข้าร่วมโครงการสนับสนุน สถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ํา มาแล้วสามารถได้รับการจัดสรรได้ทันทีและให้สถาบันเกษตรกรและองค์การสวนยางซื้อยางจาก สมาชิกผลิตและเก็บรวบรวมโดยการแนะนําและตรวจสอบคุณภาพยางให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน กรมวิชาการเกษตร รวมทั้งเก็บรักษายางไว้ในโกดังของสถาบันเกษตรกรหรือสํานักงานกองทุน สงเคราะห์การทําสวนยางหรือของกรมวิชาการเกษตรหรือจําหน่ายในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งการตั้ง คณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง กําหนดมาตรการหลักเกณฑ์เงื่อนไขและดําเนินงานการบริหารโครงการ ฯ ให้เป็นไปตามมติ คณะรัฐมนตรีรวมทั้งการกํากับดูแล ตรวจสอบติดตามและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐภาคเอกชนและภาคเกษตรกร และเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้นสําหรับยางแผ่น รมควันของสถาบันเกษตรกรที่ยังไม่สามารถขายได้เนื่องจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา โดยให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อวงเงิน 2,000 ล้านบาท โดยใช้ผลผลิตยางพาราจํานําเป็นประกัน ทั้งนี้ให้ สถาบันเกษตรกรเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยสําหรับเงินที่ธ.ก.ส. จะให้กู้เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เพื่อให้สถาบันเกษตรกรและองค์การสวนยาง ใช้ในการรับซื้อยางนําไปแปรรูปและรอขายในราคาที่
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 59 - เหมาะสมในวงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาทนั้น อนุมัติให้ใช้จากงบช่วยเหลือโครงการรับจํานํา ข้าวจํานวน 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะจัดสรรให้สถาบันเกษตรกรจํานวน 5,000 ล้านบาทและองค์การ สวนยางจํานวน 10,000 ล้านบาท นั่นคือ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อ ยางพาราแปรรูปและจําหน่ายในระยะเวลาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพของตลาดอย่าง ต่อเนื่อง และควรดําเนินการให้ครอบคลุมสถาบันเกษตรกรทั่วทั้งประเทศที่กระจายตัวอยู่ในภาคต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือภาคใต้ภาคกลางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อ เกษตรกรผู้ปลูกยางอย่างทั่วถึงไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหาร จัดการหนี้เงินกู้ด้วยการไถ่ถอนเงินกู้ปรับหนี้ใหม่หรือจ่ายล่วงหน้า (Refinance, Roll over, Prepayment) โดยกระทรวงการคลังค้ําประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ยรัฐบาลรับภาระชําระคืนต้นเงินและดอกเบี้ย จากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินโครงการทั้งหมด ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลได้ใช้การแทรกแซงราคายางเพื่อแก้ไขปัญหาราคา ยางตกต่ํา โดยการแทรกแซงราคายางล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 จากการที่ราคายางปรับตัวลดลงอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตหนี้สินของกลุ่มยูโรโซนและการชะลอตัวของ เศรษฐกิจโลกความต้องการบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลง ซึ่งทางคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อให้ราคารับซื้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ 120 บาทต่อกิโลกรัม โดยอนุมัติวงเงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อดําเนินโครงการ แต่ราคายาง ยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะยังคงความกังวลด้านวิกฤตหนี้สินของกลุ่มยูโรโซน เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้องค์การสวนยางกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร ในส่วนของสถาบันเกษตรกรจํานวน 2,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เพื่อดําเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางอีกด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้องค์การสวนยาง กู้ยืมเงิน จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในวงเงิน 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0 เพื่อดําเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ยางพาราให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งนี้ขออนุมัติเบิกจ่าย 5,000 ล้านบาท และต่อไปทุกครั้ง จะขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเบิกจ่ายงวดละ 5,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 60 - การดําเนินการโดยการแทรกแซงกลไกตลาดไม่ควรที่จะทําในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น การลดอุปทานสินค้าโดยรัฐรับซื้อที่ราคาประกันหรือการให้เงินอุดหนุนส่วนต่าง เพื่อให้เกษตรกรขาย ได้ราคาสูงซึ่งจะมีผลกระทบตามมาอีกมากมาย และนอกจากนี้การแทรกแซงในราคาที่ 120 บาทต่อ กิโลกรัม อาจจะเป็นราคาที่สูงเกินไป ควรแทรกแซงในระดับราคาที่เหมาะสมเพราะการแทรกแซง ดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณผิด ๆ ให้กับเกษตรกร โดยเกษตรกรจํานวนหนึ่งอาจเร่งผลิตเพราะ ต้องการขายที่ราคา 120 บาท ดังนั้น อุปทานแทนที่จะลดลงกลับเพิ่มขึ้น เป็นต้น ส่วนแนวทางอื่น ๆ ที่ควรดําเนินการควบคู่กันไปกับการกําหนดระดับราคาก็คือ การลดต้นทุนการผลิตหรือเพิ่มผลผลิต ต่อไร่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง สนับสนุนการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางและเพิ่มมูลค่าซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้ให้เกษตรกรไปในตัว การแก้ปัญหาปี 2560 รัฐบาลกําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ําหลาย โครงการโดยใช้งบประมาณที่สูงมากมีโครงการดังต่อไปนี้ 1. โครงการสินเชื่อผู้ประกอบการน้ํายางข้น 10,000 ล้านบาท 2. โครงการสนับสนุนเงินหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกร 10,000 ล้านบาท 3. โครงการสนับสนุนเงินหมุนเวียนดูดซับยางพารา 350,000 ตัน วงเงิน 20,000 ล้านบาท 4. โครงการสนับสนุน 7 กระทรวงซื้อยางพารานํามาใช้ 200,000 ตันวงเงิน 12,000 ล้านบาท 5. โครงการลดพื้นที่ปลูกยางชั่วคราว 200,000 ไร่ถาวร 200,000 ไร่ 6. โครงการตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายางร่วมกับเอกชน 5 ราย 7. โครงการสินเชื่อผู้ประกอบการ 15,000 ล้านบาท 8. โครงการสินเชื่อให้สถาบันเกษตรกรในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ดังนั้น การกําหนดมาตรการต่าง ๆ รีบเร่งเพื่อมุ่งแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ําซึ่งอาจจะ ไม่มีการประเมินความเป็นไปได้ของโครงการทั้งกฎระเบียบงบประมาณความคุ้มค่าต่อการลงทุน ผู้ได้รับประโยชน์และการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังไม่มีผลประเมิน โครงการลงทุนที่ผ่านมาก่อนอนุมัติโครงการใหม่ซึ่งบ่งชี้ว่าโครงการตามมาตรการที่ดําเนินงานมาในอดีต มีประสิทธิผลในวงจํากัด
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 61 - 2.4 ความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) รับรอง 5 ปี รัฐบาลได้กําหนดกรอบและแนวทางการพัฒนาประเทศโดยให้หน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วย การพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือคติพจน์ “มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืน” ระยะเวลา 20 ปี โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ความมั่นคง ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ยุทธศาสตร์ที่5 การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ที่ 6 การปรบสมดัุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ จะทําหน้าที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตามทิศทางยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยแนวทางยุทธศาสตร์ ยางพาราระยะ 20 ปีได้ให้ความสําคัญในการพัฒนา 5 ทิศทางดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพิ่มรายได้ครัวเรือนพัฒนาเกษตรกรเป็น Smart Farmer จัดตั้งกลุ่มเป็นสถาบันเกษตรกร และสนับสนุนการทําสวนยางในรูปแบบแปลงใหญ่และให้มีการบริหารแบบมืออาชีพส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพให้กับกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน การบริหารจัดการพื้นที่การผลิตและปริมาณผลผลิตยางพาราการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแปรรูปยาง/ไม้ยางการพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพัฒนา/จัดหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมหรือระบบการบริหาร จัดการเพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานในสวนยางประสานความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและ ประชาคมวิจัยระดับนานาชาติ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 62 - 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่าย พัฒนาตลาดที่ซื้อขายจริงส่งมอบจริงให้ตลาดทั่วโลกใช้อ้างอิงพัฒนาตลาดและช่องทางการ จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์ยางทั้งในประเทศและต่างประเทศพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านยางพารา 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน ปรับปรุงแก้ไขการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับยางพาราพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพัฒนา บุคลากรส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศและการลงทุนในธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ ยางพารายังมีความจํากัดแผนงานและโครงการที่จําเป็นต้องดําเนินการ รวมทั้งรายละเอียดของกลไกการ ขับเคลื่อนจําเป็นจะต้องได้รับการทบทวน เพื่อให้สอดคล้องตามทิศทางยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เป็นหลัก รูปภาพที่ 17 กรอบยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579)