รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 63 - 2.5 ศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหา และเสนอแนวทางแก้ไข ในการพัฒนายางพาราไทย ด้านการผลิต ต้นทาง ปัญหาที่ 1 กลไกการนําผลงานวิจัยและพัฒนาสู่เชิงปฏิบัติยังไม่เกิดประสิทธิผล สภาพปัญหา งานวิจัยเกี่ยวกับการทําสวนยาง เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน มีหลายหน่วยงานทําวิจัยไว้ เป็นจํานวนมาก แต่องค์ความรู้จากงานวิจัยเหล่านี้ยังนําไปสู่การปฎิบัติของเกษตรกรไม่ทั่วถึงผลก็คือ อัตราเฉลี่ยผลผลิตต่อไร่ในหลายพื้นที่ยังต่ํากว่าเกณฑ์มาตรฐานทางวิชาการทําให้ต้นทุนการผลิตของ ไทยสูงและสูงกว่าประเทศอื่น และหากเกิดสถานการณ์ราคายางตกต่ํา เกษตรกรก็จะต้องขายยาง ต่ํากว่าต้นทุนการผลิต ดังนั้น งานวิจัยจึงมีบทบาทสําคัญในทุกขั้นตอนของการทําสวนยาง ซึ่งมีผลงานวิจัย รองรับทั้งสิ้น เช่น การเลือกพันธุ์ยาง การใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมกับสภาพดิน และอายุต้นยางโรคยาง การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิต เป็นต้น ปัจจัยสภาพพื้นที่แหล่งน้ําภูมิอากาศ พันธุ์ยาง ปุ๋ย สารเคมีการจัดการสวน การเก็บเกี่ยวผลผลิต การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ปัจจัยที่ระบุไว้ในงานวิจัย เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญในการทําสวนยางของเกษตรกรให้มีประสิทธิภาพซึ่งจะนําไปสู่การเพิ่มผลผลิต ต่อไร่และลดต้นทุนการผลิตระดับเกษตรกร แนวทางแก้ไข สถาบันวิจัยยางการยางแห่งประเทศไทย จะต้องวางมาตรการให้เกษตรกรชาวสวนยาง นําองค์ความรู้จากผลงานวิจัยในการสร้างสวนยางอย่างมีประสิทธิภาพเผยแพร่และกํากับให้ชาวสวนยาง ปฎิบัติอย่างจริงจัง โดยใช้อํานาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 ขณะเดียวกันหน่วยงานวิจัยจะต้องพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่องโดยให้ความสําคัญกับการลดต้นทุน การผลิต เช่น การพัฒนาพันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตสูงและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและทําอย่างไร ที่จะลดแรงงานกรีดยางโดยวิธีลดวันกรีดยางแต่ผลผลิตไม่น้อยกว่าเดิมการลดอายุยางอ่อนให้สั้นลง เป็นต้น ดังนั้น ในสภาวะกดดันด้านราคายางตกต่ําควรนํางานวิจัยที่ทําให้ผลผลิตยางเพิ่มขึ้นมา ช่วยสวนยางขนาดเล็ก อาทิเช่น ระบบกรีดยางหน้าสั้นและการใช้ฮอร์โมนพืชกับต้นยางสามารถ เพิ่มผลผลิตได้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัวเท่ากับเป็นการลดต้นทุนการผลิตประเทศไทยมีคําแนะนําเรื่องนี้ โดยสถาบันวิจัยยางซึ่งใช้ได้กับต้นยางที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ไม่อยู่ในเขตแห้งแล้งและต้นยาง มีความสมบูรณ์และงานวิจัยด้านการกรีดยางแบบระบบกรีด 2 รอยกรีดเป็นระบบใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 64 - กว่าการกรีดวันเว้นวัน ร้อยละ 18 เป็นระบบกรีดที่มีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตไม่เป็นอันตรายกับ ต้นยางและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยเทคโนโลยีเหล่านี้ควรขยายผลเพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับ เกษตรกร ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร (ก่อนปี 2558) โดยศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบเกษตรกรรม CIRAD ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้น สถาบันวิจัยยาง ควรต้องดําเนินการเชื่อมโยงระหว่างผลงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติ ในระดับสวนยางของเกษตรกร และจะต้องนําเทคโนโลยีอันเป็นผลงานวิจัยดีที่ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว เผยแพร่อย่างเชิงรุกไปสู่การใช้จริงของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพัฒนากลไก การเผยแพร่ผลงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพและสร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในด้านการวิจัย ให้เพิ่มจํานวนมากยิ่งขึ้น รูปภาพที่ 18 การผลิตยางแผ่นในระดับครัวเรือนเกษตรกร
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 65 - ปัญหาที่ 2 ต้นทุนการผลิตไม่สะท้อนความเป็นจริง สภาพปัญหา เกษตรกรร้องว่าขายยางต่ํากว่าต้นทุนการผลิตทําให้ขาดทุน จึงขอความช่วยเหลือจาก รัฐบาลเพื่อการเยียวยา การที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงจะต้องรู้ว่าต้นทุนที่แท้จริงเป็น เท่าไร ใครเป็นผู้กําหนด เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนหรือไม่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีหน่วยงาน ศึกษาวิเคราะห์หลายแห่ง มีแนวคิดและทฤษฎีในการคํานวณต้นทุนการผลิตที่แตกต่างกัน กลุ่มตัวอย่างและวิธีเก็บตัวอย่างก็แตกต่างกัน วิธีประเมินก็อาจแตกต่างกันด้วย เหล่านี้เป็นข้อมูล เชิงสถิติความเชื่อถือของข้อมูลต่อการหาต้นทุนการผลิตเพียงไร ดังเช่น สํานักงานเศรษฐกิจ การเกษตรประกาศต้นทุนการผลิต ณ ปี 2559 กิโลกรัมละ 62.97 บาท สถาบันวิจัยยางเมื่อปี 2553/2554 ก่อนคิดค่าเสียโอกาสกิโลกรัมละ 56.50 บาท ต้นทุนที่คิดค่าเสียโอกาสแล้วกิโลกรัมละ 59.89 บาท ส่วนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เมื่อปี 2557 เป็นค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 59.34 บาท และยังแยกเป็นต้นทุนยางแผ่นดิบ น้ํายางสด ยางก้อนถ้วยต้นทุนการผลิตของชาวสวนยาง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือสูงกว่าภาคใต้และภาคตะวันออก ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อไร่ ของทั้งประเทศสูงไปด้วย ปัญหาคือต้นทุนการผลิตที่มีความหลากหลายก่อให้เกิดความสับสน ในการบริหารจัดการ ควรมีข้อมูลจากแหล่งเดียวและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แนวทางแก้ไข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องเป็นหน่วยงานหลักในการหาต้นทุนการผลิต โดยรวบรวมนักวิชาการนักสถิติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยางและมหาวิทยาลัยต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูล ต้นทุนการผลิตที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งเกษตรกรชาวสวนยางและต้องแสดงให้ชัดเจนว่า ต้นทุนการผลิตส่วนที่เกษตรกรจ่ายไปจริงเป็นเท่าไรส่วนใด เรียกว่า เป็นต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ซึ่ง ใช้กรณีวิเคราะห์ความคุ้มค่าก่อนมีการลงทุน จากนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะประกาศต้นทุน การผลิตต่อไป นอกจากนั้น ควรคํานวณต้นทุนจําแนกเป็นกลุ่มตามการใช้งานและการนําไปใช้อ้างอิง โดยจําแนกเป็น 1) ต้นทุนทางเศรษฐศาสตรท์ ี่ใช้โดยหน่วยงานภาครัฐ และ 2) ต้นทุนทางบัญชีอันเป็น ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง สําหรับเกษตรกรในการบริหารจัดการสวนยาง และควรจําแนกต้นทุนตามขนาด ของสวนยาง จําแนกตามลักษณะของการทําสวนยาง (ทําเอง, จ้างแรงงานกรีด หรือแบ่งผลประโยชน์) รวมทั้งจําแนกต้นทุนตามภูมิภาค และประเภทของผลผลิตยางพารา รวมทั้งควรเผยแพร่ต้นทุน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 66 - เหล่านี้เป็นระยะ ๆ เช่น รายไตรมาส ราย 6 เดือน หรือรายปีเป็นต้น ( โดยทั่วไประบบการคิดต้นทุน ต่อหน่วย จะคํานวณเป็นจํานวนเงินต่อปริมาณผลผลิต – บาทต่อกิโลกรัม แต่อาจมีการแนะนําระบบ การคิดต้นทุนเป็นบาทต่อต้นยางเพื่อสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ) รูปภาพที่ 19 การตรวจสภาพดินในสวนยางพารา
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 67 - ปัญหาที่ 3 โครงสร้างเกษตรกรชาวสวนยางของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นรายย่อย สภาพปัญหา โครงสร้างการผลิตยางพาราระดับต้นทางส่วนมากเป็นเกษตรกรรายย่อย โดยชาวสวนยาง ร้อยละ 78.5 ของชาวสวนยางทั้งประเทศเป็นเกษตรกรที่มีพื้นที่สวนยางรายละไม่เกิน 15 ไร่ ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ต้นทุนการผลิตสูงและเมื่อราคายางตกต่ําเกษตรกรส่วนใหญ่จะประสบ ความเดือดร้อน มีรายได้จากสวนยางไม่พอเลี้ยงชีพ แนวทางแก้ไข กําหนดรูปแบบ (Model) การปลูกยางตามสภาพความเหมาะสมของพื้นที่และปัจจัย สิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางมีทางเลือกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยพื้นที่ปลูกยางจะต้อง ไม่น้อยกว่าหนึ่งแปลงกรีด (500 ต้น – ประมาณ 7 ไร่) จึงจะคุ้มค่า ส่วนพื้นที่ที่เหลือแบ่งไปปลูกพืช อื่นตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่และมีตลาดรองรับผลผลิต เพื่อให้มีรายได้พอเลี้ยงชีพ เกษตรกรที่มี พื้นที่สวนยางขนาดเล็กควรเพิ่มรายได้จากแหล่งอื่นหรือพืชอื่นให้มากขึ้น นอกจากนั้น การรวมแปลงบริหารเป็นแปลงใหญ่เป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหา รายได้ไม่เพียงพอของเกษตรกร โดยมีหลักการที่ว่า (1) เกษตรกรต้องมีรายได้ไม่น้อยไปกว่าเดิมและ (2) ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจะต้องลดลงกว่าเดิม เพื่อให้การรวมแปลงบริหารเป็นไปได้อย่างยั่งยืน รูปภาพที่ 20 การปลูกพืชร่วมยางพารา
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 68 - รูปภาพที่ 21 การปลูกพืชร่วมยางพารา – ไม้ยืนต้น ปัญหาที่ 4 การปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม สภาพปัญหา การปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ผลผลิตจะต่ํากว่า 250 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีและเปิดกรีดได้ ผลผลิตในปีที่ 8 หรือช้ากว่าตามข้อมูลของกรมพัฒนาที่ดิน พื้นที่ไม่เหมาะสมปลูกยางมี 4.551 ล้านไร่ ปัญหาพื้นที่ปลูกยางของประเทศไทยคือ ข้อมูลพื้นที่ปลูกยางมีการสํารวจหลายหน่วยงานและข้อมูล แตกต่างกันจึงไม่มีความเป็นเอกภาพ ทําให้ไม่อาจประกาศกําหนดเขตปลูกยางพาราได้แม้ว่า พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 จะกําหนดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมวิชาการเกษตร เป็นผู้ประกาศเขตปลูกยาง ผลก็คือ ไม่มีประกาศเขตความชัดเจนของพื้นที่ปลูกยางพาราที่ถูกต้อง การที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ํา แก้ปัญหาสวนยางอยู่ในเขตป่า ก็กระทําได้เพียงระดับหนึ่ง เท่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงการกีดกันทางการค้าจากผู้ซื้อต่างประเทศที่ยกสาเหตุคนบุกรุกป่า มาเป็นข้ออ้างว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์มาตรฐานสากล (FSC หรือ PEFC)
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 69 - แนวทางแก้ไข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องเป็นหน่วยงานหลักในการสํารวจพื้นที่ปลูกยาง ประกอบด้วยการยางแห่งประเทศไทยสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรกรมพัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร กรมป่าไม้กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ GISTDA (องค์การมหาชน) และหน่วยงานสนับสนุนในพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นที่ปลูกยางตาม วัตถุประสงค์และเป้าหมายร่วมกันแล้วกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้ประกาศเขตปลูกยาง ส่วนพื้นที่ไม่เหมาะสมให้เกษตรกรเลือกปลูกพืชอื่น หรือประกอบอาชีพอื่นที่ให้ผลตอบแทนต่อหน่วย พื้นที่มากกว่ายางพารา รวมทั้งรัฐบาลจะได้บริหารจัดการที่ดินให้ตรงกับปัญหากรณีสวนยางอยู่ในเขตป่า เป็นต้น ปัญหาที่ 5 ผลกระทบจากสวนยางของประเทศไทยที่ยังไม่ได้รับการรับรองในระบบ การจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล สภาพปัญหา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลูกยางมากที่สุดในโลกประมาณ30ล้านไร่ 11 แต่มีสวนยางที่ ผ่านการรับรองการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล FSC (Forest Stewardship Council) ประมาณ 50,000 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะมีผลกระทบอีก 3 ปีข้างหน้า ในตลาดยุโรปญี่ปุ่นต่อไป จะเป็นจีนและประเทศอื่น ๆ ที่เป็นประเทศคู่ค้ากับไทยจะใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีมาเป็นตัวกําหนด ทางการค้ากับไม้ยางผลิตภัณฑ์จากไม้ยางผลผลิตจากยางพาราตลอดจนผลิตภัณฑ์ยางสําเร็จรูป โดยให้มีการยืนยันว่าแหล่งที่มาของไม้ผลิตภัณฑ์จากไม้ผลผลิตยางที่แปรรูปมาจากป่าหรือสวนป่าที่มี การจัดการอย่างยั่งยืน (Sustainable Forest Management) หรือไม่โดยมีระบบตรวจสอบ ย้อนกลับ (Chain of Custody) หลักฐานที่เป็นเครื่องมือยืนยันทางการค้าคือ ใบรับรอง FSC เงื่อนไข ของประเทศผู้ซื้อใช้กับทุกประเทศเนื่องจากระบบดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นการป้องกันไม้ป่า จากป่าธรรมชาติหรือไม้เถื่อน รวมทั้งไม้ที่ปลูกขึ้นมาจะต้องให้ความสําคัญกับความยั่งยืนของระบบ เศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยสรุปผลผลิตจากสวนยางที่ยังไม่ได้การรับรองตามมาตรฐาน FSC จะขายไม่ได้ราคาหรือไม่มีผู้ซื้อตลาดก็จะแคบลง 11ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดิน ขณะที่การยางแห่งประเทศไทยระบุว่ามีพื้นที่ 22.93 ล้านไร่ (2559)
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 70 - แนวทางแก้ไข ประเทศไทยคุ้นเคยกับมาตรการ FSC แต่ไม่แพร่หลายเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมาประเทศไทย นําร่อง โดยโรงงานแปรรูปไม้ยางพาราที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ใบรับรองตามระบบ FSC ภายใต้ การจัดการของสํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง (สกย.หรือปัจจุบันคือ กยท.) ซึ่งพบว่า หลักเกณฑ์การจัดการสวนยางตามระเบียบของสํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง ที่ใช้มาถึง 58 ปีใกล้เคียงกับมาตรฐานของระบบ FSC สามารถปรับเข้าหากันได้และจากประสบการณ์ในเรื่องนี้ ของสํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยาง หรือการยางแห่งประเทศไทย ควรเจรจาให้ FSC ยอมรับระบบการจัดการสวนยางของกยท.เป็นมาตรฐานสากลและหน่วยงานของรัฐบาลไทยคือ สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยรับรองซึ่งขณะนี้การยางแห่งประเทศไทย มีความพร้อมที่จะดําเนินการสวนยางทุกแปลง ที่มีเอกสารสิทธิ์ให้อยู่ในระบบการจัดการสวนยางที่ยั่งยืนตามมาตรฐานสากลของการยางแห่งประเทศไทย ส่วนสวนยางที่อยู่ในเขตป่าไม่มีเอกสารสิทธิ์จะต้องกันไว้เป็นเขตเฉพาะโดยรัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดิน ผลผลิตจะใช้ในประเทศเท่านั้นไม่ส่งขายต่างประเทศเพื่อป้องกันต่างประเทศจะยกเป็นข้ออ้าง ในการกีดกันทางการค้า ปัญหาที่ 6 การผลิตและการใช้ยางของไทยยังไม่สมดุลกัน สภาพปัญหา ผลผลิตยางพาราของไทย เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นพื้นฐานที่ส่งออกไปต่างประเทศ ร้อยละ 84.20 และใช้ภายในประเทศเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาง ร้อยละ 15.80 (ปี 2558) ความไม่สมดุลระหว่างปริมาณการผลิตและการใช้ยางพาราของประเทศไทยเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาที่ยาวนานจากการเติบโตทางด้านผลผลิตอย่างรวดเร็ว จากราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้น ในอดีตและการส่งเสริมปลูกยางมากยิ่งขึ้น ขณะที่การยกระดับไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ยางยังไม่มีการ ส่งเสริมอย่างจริงจังและชัดเจน การละเลยสมดุลการผลิตและการใช้ยางโดยเน้นผลิตเฉพาะยางแปรรูปพื้นฐานเพื่อส่งออก เท่านั้นทําให้มีอํานาจต่อรองต่ําและไม่สามารถกําหนดราคาขายที่เหมาะสมได้เนื่องจากตลาดยาง แปรรูปพื้นฐานนี้เป็นตลาดของผู้ซื้อโดยผู้ซื้อมีอํานาจเหนือกว่าในการกําหนดราคาผ่านกลไกการซื้อ ขายในตลาดล่วงหน้าโดยการผลิตยางแปรรูปขั้นพื้นฐานเป็นผลิตภัณฑ์มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ง่าย นั่นคือการที่มีประเทศอื่น ๆ หันมาที่ปลูกยางเพิ่มมากขึ้น ทั้งประเทศเพื่อนบ้าน อาทิอินโดนิเซีย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 71 - มาเลเซีย ลาว เมียนมาร์เวียดนาม และรวมถึงประเทศผู้นําเข้ายางพาราจากไทย เช่น จีน อินเดีย ที่คํานึงถึงเสถียรภาพผลผลิตยางพารามากขึ้น ทําให้ปริมาณยางพาราในตลาดโลกมีมากขึ้น ตามลําดับ แนวทางแก้ไข ที่ผ่านมาประเทศไทยเน้นการเพิ่มปริมาณยางผลผลิตยางในระดับต้นทางเท่านั้น ผ่านกลไกการส่งเสริมการปลูกยางในแต่ละภูมิภาคและการให้ทุนสงเคราะห์การปลูกยางการควบคุม ปริมาณผลผลิตจําเป็นต้องดําเนินมาตรการอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไปตามลําดับเพื่อปรับ การผลิตไม่ให้เกินความต้องการใช้ (Over Supply) โดยลดการให้ทุนสงเคราะห์ในพื้นที่ปลูกที่ไม่ เหมาะสมและลดการปลูกในพื้นที่ป่าหวงห้ามและผิดกฎหมายเนื่องจากผลผลิตต่อไร่ต่ําไม่คุ้มกับการ ลงทุนขณะเดียวกันการให้ทุนสงเคราะห์ปลูกแทนตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 มาตรา 49 (2) การยางแห่งประเทศไทย ควรต้องคํานึงเรื่องการตลาดเป็นหลักกล่าวคือ ให้การตลาด นําการผลิตโดยวางแผนการปลูกและการตลาดล่วงหน้าให้ครบวงรอบของวัฏจักรยางพาราคือ 25 ถึง 30 ปีเฉลี่ยปีละประมาณ 670,000 ไร่และมีแผนระยะสั้นรองรับทุก 5 ปีเพื่อให้ผลผลิตยางจาก สวนยางต้นทางมีความสมดุลกับอุตสาหกรรมแปรรูปกลางทางและอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ทําให้เกิดดุลยภาพความต้องการใช้ในประเทศและปริมาณการส่งออกเป็นการสร้างความยั่งยืนต่อ ยางพาราทั้งระบบ นอกจากนั้น รัฐบาลต้องให้ความสําคัญในการบริหารสมดุลผลผลิตยางพาราและการใช้ ยางพาราภายในประเทศอย่างจริงจัง ควรมีการเฝ้าติดตามประเมินผลสัดส่วนการใช้ยางพารา ภายในประเทศอยู่เป็นระยะ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าของการดําเนินนโยบาย ที่กําหนดเป้าหมายการ ใช้ยางภายในประเทศ ร้อยละ 30 ของผลผลิตรวม ภายในระยะ 5 ปี รวมทั้งควรมีมาตรการส่งเสริม การลงทุนแบบมุ่งเป้าเฉพาะสําหรับอุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นต้น และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการส่งเสริมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 72 - รูปภาพที่ 22 ยางก้อนถ้วย ปัญหาที่ 7 ข้อเสียเปรียบในการผลิตยางก้อนถ้วยของชาวสวนยาง สภาพปัญหา เกษตรกรชาวสวนยางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รายย่อย การผลิตยางต่างคนต่างทํา ไม่มีโรงเรือนและอุปกรณ์จักรรีดยางทํายางแผ่น เกษตรกร ร้อยละ 80 จึงผลิตและจําหน่ายเป็นยางก้อนถ้วย (Cup Lump) เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ํา ใช้น้ํา ในกระบวนการผลิตน้อย ประหยัดแรงงาน มีตลาดรับซื้อรองรับ เพราะโรงงานในพื้นที่ เป็นโรงงานผลิตยางแท่งและผลิตยางเครปที่ใช้ยางก้อนถ้วยเป็นวัตถุดิบ การที่เกษตรกรไม่ผลิตยาง ก้อนถ้วยตามคําแนะนําทางวิชาการของสถาบันวิจัยยาง โดยเฉพาะการไม่ใช้กรดฟอร์มิก ตามคําแนะนํา ส่งผลต่อคุณภาพที่ด้อยลงมีผลกระทบต่อราคาที่เกษตรกรขายได้โดยถูกตัดราคา เนื่องจากน้ําหนักและค่าเนื้อยางแห้ง (DRC) ซึ่งเกิดปัญหาคือไม่มีค่ามาตรฐาน เกษตรกรไม่ได้รับ ความเป็นธรรมด้านราคาเพราะผู้ซื้อประเมินความชื้นด้วยสายตา กับอีกกรณีเกษตรกรไม่รอให้ยาง ก้อนถ้วยหมาดหรือแห้งก่อนจึงจะนําไปขายเพราะต้องการใช้เงิน แม้จะถูกตัดค่าน้ําหนักก็ยอม อีกทั้งจํานวนโรงงานแปรรูปเป็นยางแท่ง หรือน้ํายางข้น ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจํานวนโรงงานไม่มากนัก ทําให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกในการขายผลผลิต นอกจากนั้น การส่งออกยางก้อนถ้วยทําให้ประเทศเสียประโยชน์ที่ควรได้จากการเพิ่ม มูลค่ายางพาราในการแปรรูปเป็นยางแท่งและผลิตภัณฑ์ยางไม่ได้ภาษีเงินได้จากการแปรรูปยาง และยางก้อนถ้วยที่ส่งออกนําไปผลิตเป็นยางแท่งที่ตัดราคายางแท่งของไทยในตลาดโลก ทั้งนี้เนื่องจากผู้นําเข้ายางจากประเทศจีนต้องการยางราคาถูก จึงรับซื้อยางก้อนถ้วยมากกว่าที่จะรับ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 73 - ซื้อยางแผ่นดิบ อีกทั้งยางก้อนถ้วยยังสามารถกดราคารับซื้อได้ด้วยความคลุมเครือในการประเมินค่าเนื้อ ยางแห้ง (DRC) ต่ําๆ โครงสร้างลักษณะนี้เป็นผลจากความไม่เข้มแข็งในการรวมตัวเป็นสหกรณ์ของ เกษตรกรในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทําให้ขาดกลไกการช่วยเหลือเกษตรกรในการป้องกัน การถูกเอาเปรียบจากพ่อค้ายางทําให้เกษตรกรของ 2 ภูมิภาคนี้ขายยางได้ราคาต่ํากว่าภาคอื่น ๆ แนวทางแก้ไข การยางแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นที่พึ่งให้เกษตรกรชาวสวนยางในการสร้างความเป็นธรรม ทางด้านราคาการตีค่าเนื้อยางแห้ง (DRC) และน้ําหนักโดยการสร้างเป็น model ในการรับซื้อที่ โรงงานของการยางแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นตัวอย่างให้เอกชนและกระจายจุดรับซื้อที่เป็นของภาครัฐ เพื่อบริการเกษตรกรชาวสวนยางให้ทั่วถึงเพื่อเป็นราคาอ้างอิงให้กับภาคเอกชน ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยางปรับเปลี่ยนไปทํายางเครป เพื่อแก้ปัญหาน้ําเสียที่มีกลิ่นเหม็นและการถูกกดราคาเพราะยางเครปจะขายได้ราคาสูงกว่ายางก้อนถ้วย หรือกรณีเกษตรกรต้องการผลิตยางก้อนถ้วยก็จะต้องส่งเสริมและกํากับให้เกษตรกรใช้กรด ที่มีคุณภาพคือกรดฟอร์มิกเพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและรัฐควรส่งเสริมให้มีการแปรรูป เป็นยางแท่ง STR มากขึ้นโดยส่งเสริมให้เอกชนมีการจัดตั้งโรงงานแปรรูปในเขตพื้นที่ปลูกยาง ตามส่วนภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการรับซื้อยางก้อนถ้วยเพิ่มมากขึ้น จะทําให้เกิด การยกระดับราคายางก้อนถ้วย รวมทั้งควรมีมาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวอย่างเข้มแข็ง จัดตั้งเป็นสหกรณ์กองทุนสวนยางฯ ดําเนินกิจการแปรรูปยางดังกล่าว ภายใต้เงื่อนไขรับซื้อผลผลิตใน ราคาสูงกว่าตลาด และการจ่ายเงินปันผลคืนกลับสู่เกษตรกร รูปภาพที่ 23 การเทน้ํายางลงถาดเพื่อทํายางแผ่น
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 74 - รูปภาพที่ 24 เครื่องรีดยางแผ่น รูปภาพที่ 25 การตากยางแผ่น
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 75 - รูปภาพที่ 26 การรมควันยางแผ่น รูปภาพที่ 27 ยางแผ่นรมควัน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 76 - ด้านการแปรรูป กลางทางและปลายทาง ปัญหาที่ 8 นโยบายการจัดการระบบอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมไม่ชัดเจน สภาพของปัญหา 1. ระบบอุตสาหกรรมไม่มีทิศทางและนโยบายที่ชัดเจนและขาดเสถียรภาพ ความจําเป็นในการบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ ตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็น องค์ประกอบสําคัญในการทําให้ราคายางพารามีเสถียรภาพ การไร้ทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนา อุตสาหกรรมต่อเนื่องในการแปรรูปวัตถุดิบยางพาราในระดับต้นทางสู่ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นความเสี่ยง ขนาดใหญ่ของระบบยางพาราไทย เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเพียงอยางเด่ ียว นอกจากนั้น เจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ที่คาดหวังการยางแห่งประเทศไทยจะเป็นองค์กรกลางที่จะบริหารจัดการยางพาราของประเทศ ทั้งระบบอย่างครบวงจร แต่ด้วยประสิทธิภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขนาดและโครงสร้างขององค์กร ระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ และปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยางไม่อยู่ในขอบเขตภารกิจ ตามพระราชบัญญัติทําให้การยางแห่งประเทศไทยไม่สามารถดําเนินการได้แม้ว่าการผลิตและการค้า ยางพาราจะมีกฎหมายกํากับดูแลแต่ก็ไม่เอื้อต่อการแก้ไขและการพัฒนา แม้พระราชบัญญัติ การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 จะมีผลใช้บังคับมา 3 ปีเศษแล้วก็ตาม เพื่อให้มีความเป็น เอกภาพโดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนายางพารา แต่ยังต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะปรับตัว ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและเกษตรกร ให้มีแนวทางในการบริหารจัดการทั้งระบบจึงจะบรรลุ วัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติดังนั้น ปัญหาด้านทิศทางเชิงนโยบายอุตสาหกรรมยางพาราและ อุตสาหกรรมแปรรูปต่อเนื่องจึงเป็นปัญหาสําคัญที่ต้องดําเนินการแก้ไข 2. ขาดการพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารายังขาดความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับวิถีการผลิตของ เกษตรกรจึงสวนทางกับการเจริญเติบโตของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่จะนําไปสู่การพัฒนาใน รูปอุตสาหกรรมชุมชน 3. การจัดการสิ่งแวดล้อม ปัญหาเรื่องน้ําเสียและกลิ่นของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งมีผลกระทบต่อชุมชน แต่ระบบบําบัดน้ําเสีย มีพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ออกโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม บังคับใช้อยู่ซึ่งไม่ควบคุมเรื่องกลิ่น ส่วนกลิ่นเกิดจากโรงงานยางแท่งซื้อยางก้อนถ้วยแล้วนํามากอง รวมไว้รอการผลิต ส่งกลิ่นเนื่องจากจุลินทรีย์ย่อยสลายโปรตีนในยางก้อนถ้วย เมื่อทับกันนาน ๆ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 77 - ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็น จนในที่สุดเมื่อชาวบ้านที่อยู่ใกล้โรงงานยางแท่งในจังหวัดอุดรธานีร้องเรียน โรงงานจึงถูกปิดไป 2 โรง ถ้าขยายผลไปโรงอื่นแล้วโรงงานหยุดการผลิตจะกระทบวงจรธุรกิจทั้ง ระบบ เนื่องจากกรมมลพิษมิได้กําหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมยางอยู่ในรายชื่อโรงงาน 23 ประเภทที่ต้อง ใช้เกณฑ์ดมกลิ่น รูปภาพที่ 28 เครื่องปั่นน้ํายางข้น รูปภาพที่ 29 ผลิตภัณฑ์ยางจากกระบวนการจุ่ม (Dipping) ที่มา: ขอขอบคุณรปภาพจากู www.thailandindustry.com/indus_newweb/articles_preview.php?cid=19105
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 78 - แนวทางแก้ไข 1. รัฐบาลควรกําหนดทิศทางและนโยบายที่ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ในการพัฒนา อุตสาหกรรมต่อเนื่องยางพารา อันเป็นการแปรรูปยางขั้นต้นและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาง ควบคู่ไป พร้อมกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานยางพาราทั้งระบบ 2. รัฐบาลมีนโยบายให้ใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ภายใน 5 ปีจึงเป็นโอกาส ที่โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์กึ่งสําเร็จรูปจะดูดซับวัตถุดิบต้นทางจากเกษตรกรได้มากขึ้นซึ่งจะมีผลให้ ราคาราคายางที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นด้วยแต่รัฐบาลจําเป็นต้องขยายอุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นต้น และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางรวมทั้งให้การสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาทักษะและสิ่งจูงใจให้ ผู้ประกอบการมาลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น 3. ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นต้นและผลิตภัณฑ์ยางในทุกภูมิภาค เพื่อเพิ่ม มูลค่าผลผลิตยางและเพื่อเพิ่มการแข่งขันในการรับซื้อวัตถุดิบ และเพื่อให้เกิดการส่งผ่านราคาไปสู่ เกษตรกรดําเนินการในลักษณะของสหกรณ์ (หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม) โดยกําไรที่ได้รับแต่ละปีนํามา จ่ายเป็นเงินปันผลคืนแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่เกษตรกร สมาชิกผู้ถือหุ้น และพนักงาน พร้อมไปกับ การซื้อรับยางก้อนถ้วยในระดับราคาที่สูงกว่าตลาดระหว่าง 0.2 - 0.5 บาทต่อกิโลกรัม ลักษณะนี้ เป็นการเชื่อมโยงภาคการผลิตระดับสวนยางของเกษตรกรสู่อุตสาหกรรมชุมชนในการแปรรูปยางขั้นต้น 4. การยางแห่งประเทศไทย ควรต้องดําเนินการให้โรงงานในสังกัดสามารถทําการผลิตได้ เต็มอัตรากําลังการผลิตและสามารถตอบสนองต่อความต้องการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ อาจดําเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและหรือการใช้กลไกบริษัทลูกเข้าดําเนินการภายใต้เงื่อนไข การซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าตลาดและดําเนินกิจการให้กําไร เพื่อมิให้เป็นภาระแก่ การยางแห่งประเทศไทยโดยโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้จังหวัดนครศรีธรรมราช และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่จังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานีและนครพนม ซึ่งมีกําลังการผลิต รวมกัน 100,400 ตันต่อปีแต่ผลิตได้จริงในปี 2558 เพียงร้อยละ 10 และปี 2559 ได้ร้อยละ 20 ถ้าผลิต ได้เต็มกําลังการผลิตเมื่อใดจะสามารถดูดซับวัตถุดิบต้นทางของเกษตรกรเข้าสู่กระบวนการแปรรูปได้ เป็นอย่างดีซึ่งโรงงานที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นโรงงานที่หลากหลายคือ มีโรงงานน้ํายางข้นโรงงานยาง แผ่นรมควัน โรงงานยางแท่ง โรงงานยางเครป โรงงานไม้ยาง ส่วนโรงงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้ง 3 โรง เป็นโรงงานยางแท่งที่มีกําลังการผลิตแห่งละ 20,000 ตันต่อปีนอกจากนั้น จังหวัด นครศรีธรรมราช (องค์การสวนยางเดิม) ยังมีสวนยางที่เปิดกรีดแล้วเป็นส่วนใหญ่เนื้อที่ประมาณ 30,000-40,000 ไ ร่ที่พ ร้อมป้อนเข้าโรงงานร่วมกับผลผลิตที่รับ ซื้อจากเกษตรกร
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 79 - จะทําให้ค่าเฉลี่ยต้นทุนวัตถุดิบที่ป้อนเข้าโรงงานอยู่ในระดับที่สามารถรับซื้อผลผลิตของเกษตรกร ในราคาสูงกว่าราคาท้องถิ่นได้จึงควรพัฒนาโรงงานแปรรูปยางพาราของการยางแห่งประเทศไทยให้มี ประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ยังมีโรงงานผลิตยางแผ่นรมควันหรือผึ่งแห้งขนาดเล็กกําลังผลิต 2 ตันต่อวัน สร้างโดยงบประมาณของรัฐบาลให้กับเกษตรกรชาวสวนยางที่รวมตัวจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ จํานวน 675 แห่ง ขณะนี้ดําเนินการได้ 334 แห่ง รวมแล้วมีกําลังการผลิตได้ 33,400 ตันต่อปี กับมีโรงงานอัดก้อนยางอีก 146 แห่ง สร้างโดยกรมวิชาการเกษตร ด้วยเงินกองทุนสงเคราะห์ เกษตรกรรับมอบได้ 140 แห่ง ใช้ประโยชน์โดยการนํายางแผ่นรมควันของสหกรณ์มาสู่กระบวนการ อัดก้อนพร้อมส่งออก นอกจากนั้น การยางแห่งประเทศไทยกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมวิชาการเกษตร อาจร่วมกันผลักดันและสนับสนุนด้านวิชาการด้านวิจัยและพัฒนาและอื่น ๆ ยกระดับสินค้า ที่มีคุณภาพระดับ GMP เพราะเป็นสินค้าที่ต้องการของตลาด โดยสนับสนุนทางด้านวิชาการ ด้านวิจัย และพัฒนาเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา ตลอดจนหาตลาดรองรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะเป็นการดูดซับวัตถุดิบจากเกษตรกรได้มาก ผลผลิตจากการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสําเร็จรูปจะมี คุณภาพได้มาตรฐาน ขายได้ราคาและสามารถจัดเก็บเป็นสต๊อคได้นาน ถ้ายังไม่พอในราคาของผู้เสนอซื้อ 5. ปัญหาเรื่องน้ําเสียและกลิ่นของโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปโดยเฉพาะโรงงานยางแท่ง ซึ่งมีผลกระทบต่อชุมชนนั้นคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติมีมติให้กรมควบคุมมลพิษกําหนด มาตรฐานสําหรับยางพาราเพื่อเป็นข้ออ้างอิงสําหรับการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมของมาตรฐาน ต่างประเทศ ขณะที่ยังไม่มีกําหนดการกําหนดเกณฑ์มาตรฐานภาครัฐ จึงตั้งคณะทํางานเพื่อนําวิธีการ ดมกลิ่นมาใช้ทั้ง ๆ ที่ยางพาราไม่อยู่ในรายการสินค้าที่ระเบียบกําหนดให้ใช้วิธีการดมกลิ่นเท่ากับว่า เป็นการปฏิบัติโดยไม่มีกฎระเบียบรองรองรับ ฉะนั้น จําเป็นอย่างยิ่งที่นักวิจัยจะต้องเร่งรีบ ทําการวิจัยหาสารกําจัดกลิ่นมิฉะนั้นโรงงานยางแท่งจะถูกปิด ๆ เปิด ๆ และอาจจะขยายไปยังโรงงาน ยางแท่งทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคอื่นด้วยซึ่งมีผลกระทบต่อเกษตรกรเพราะไม่มี แหล่งรับซื้อยางก้อนถ้วยเมื่อโรงงานอุตสาหกรรมหยุดการผลิตจะกระทบต่อวงจรธุรกิจทั้งระบบ จึงควรต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าปลายเหตุซึ่งทางสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้มีการศึกษาเรื่องนี้แล้วจึงควรเร่งรัดให้เกิดผลโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อชาวสวนยางอัน เนื่องมาจากกลิ่นเหม็นของยางก้อนถ้วยดังกล่าวชาวสวนยางยังมีช่องทางอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่าการ ขายเป็นยางก้อนถ้วยคือการทํายางเครปขายโรงงานยางแท่งการที่เกษตรกรทํายางก้อนถ้วยขายจะถูก กดราคาร้อยละ 10 - 15 เนื่องจากการประเมินความชื้นด้วยสายตาส่วนยางเครปผ่านเครื่องรีด จึงเป็นยางที่แห้งแล้วยางเครปทําโดยนํายางก้อนถ้วยสดเข้าเครื่องจักรรีดจนน้ําและความชื้นออกหมดแล้ว
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 80 - การลงทุนมีต้นทุนเพิ่มประมาณกิโลกรัมละ 2 บาท แต่ขายได้ราคาเพิ่มประมาณกิโลกรัมละ 10 บาท เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ชาวสวนยางและยังสามารถเก็บไว้ขายในช่วงที่ราคายางสูงก็สามารถทําได้ ซึ่งต่างกับยางก้อนถ้วยถ้าเก็บไว้นานคุณภาพจะต่ําขายไม่ได้ราคา รูปภาพที่ 30 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ยางจากสถาบันวิจัยยาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 81 - ปัญหาที่ 9 ความเสี่ยงจากราคายางไม่มีเสถียรภาพการแข่งขันสูงไม่มีโอกาสชี้นําราคายาง สภาพปัญหา 1. เนื่องจากราคายางไม่ได้กําหนดโดยผู้ขายในเวทีตลาดโลกผู้ซื้อและผู้ขายมีน้อยราย เรียกได้ว่าเป็นตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดยางพาราเป็นสินค้าที่ปริมาณผลผลิตไม่ตอบสนองราคา ได้ทันทีทําให้ผู้ซื้อมีอํานาจในการกําหนดราคาเองราคายางพาราได้รับอิทธิพลโดยตรงและ เป็นส่วนมากจากราคาล่วงหน้าสัญญาซื้อขายยางพาราในตลาดต่างประเทศ และราคายางไม่ได้ขึ้นกับ หลักอุปสงค์และอุปทานอย่างเดียวมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทําให้ราคายางผันผวนเกิดความเสี่ยงต่อสภาวะ ราคายางตกต่ําซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจยางพาราของไทย อาทิสินค้าที่เป็นคู่แข่งขันหรือทดแทน ยางพาราราคาน้ํามันสต๊อกยางของโลกการเก็งกําไรในตลาดล่วงหน้าค่าของสกุลเงินทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย กรณีเงินบาทแข็งค่าก็เป็นปัญหาต่อการส่งออกของไทย ฉะนั้น ความเสี่ยงด้านราคายางจึงกระทบต่อ ชาวสวนยางโดยตรงชาวสวนยางรายย่อยไม่มีโอกาสเก็บสต๊อกไว้รอขายเพราะทุนทรัพย์น้อยแม้บาง โอกาสขายแล้วขาดทุนก็ต้องยอมขาย 2. ยางพาราเป็นสินค้าเกษตรซื้อขายในตลาดโภคภัณฑ์ Commodity Market ล่วงหน้า ในต่างประเทศแม้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับหนึ่งของโลกกลับไม่มีบทบาทในการชี้นําราคา ยางในตลาดโลกเนื่องจากเป็นกลไกของตลาดประเทศผู้ซื้อซึ่งมีอิทธิพลต่อการกําหนดราคายางคือ ตลาดโตเกียว TOCOM ตลาดเซี่ยงไฮ้ SHFE และตลาดสิงคโปร์ SICOM ขณะที่ตลาดล่วงหน้าของไทยคือ TFEX ชี้นําราคายางได้ระดับหนึ่งเท่านั้นและเนื่องจากไทยไม่มีตลาดกลางที่เป็นสากลมีแต่ตลาดกลาง ในประเทศกระจายในหลายพื้นที่การซื้อขายเป็นราคาวันต่อวันจึงไม่ใช่ราคาชี้นําตลาดหรือกําหนด ราคายางภายในประเทศได้ 3. ประเทศไทยส่งยางออกร้อยละ 86 ของผลผลิตรวม และมากกว่าร้อยละ 50 ส่งไป ประเทศจีนการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวทําให้ไทยเกิดความเสี่ยงที่ต้องพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลักแม้ว่า ราคาขายยางของไทยจะสูงเมื่อเทียบกับยางของเวียดนามและลาว แต่ก็มีความเสี่ยงเนื่องจาก แนวโน้มการใช้ยางสังเคราะห์สูงและไทยมีต้นทุนค่าโลจิสติกส์สูงเนื่องจากเส้นทางการขนส่งยาง จากภาคใต้ส่วนใหญ่ผ่านท่าเรือสงขลาและท่าเรือปีนังซึ่งระยะทางไกลกว่าเวียดนาม ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลต่อศักยภาพของการแข่งขันของไทย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 82 - 4. ยางพารามีคู่แข่งคู่แข่งหรือสินค้าทดแทนยางพาราปัจจุบันคือ ยางสังเคราะห์ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่เลียนแบบยางธรรมชาติโดยวัตถุดิบหลักทําจากผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยการกลั่นน้ํามันดิบหรือการแยกก๊าซธรรมชาติความยืดหยุ่นจะน้อยกว่ายางธรรมชาติ แต่ยางธรรมชาติมีจุดอ่อนคือ ไม่ทนต่อสารเคมีน้ํามันความร้อนออกซิเจนโอโซนมีสิ่งสกปรกเจือปน และมีโปรตีนที่ทําให้เกิดการแพ้ซึ่งตรงข้ามกับยางสังเคราะห์เมื่อราคายางธรรมชาติสูงทําให้ผู้ผลิต มองหาวัสดุที่มีราคาต่ํากว่าคือ นํายางสังเคราะห์มาใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้ส่วนหนึ่ง และปรับสัดส่วน เพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์ซึ่งจากสถิติทั่วโลกที่ผ่านมาปริมาณการผลิตและการใช้ยาง สังเคราะห์สูงกว่าปริมาณการผลิตและการใช้ยางธรรมชาติและเมื่อมีการใช้ยางธรรมชาติและ ยางสังเคราะห์มากขึ้นยางล้อเก่าและชิ้นส่วนยานยนต์ที่เลิกใช้แล้วถือเป็นเรื่องที่ท้าทายในการจัดการ กับขยะเหล่านี้จึงเกิดเป็นอุตสาหกรรมยางรีไซเคิลเรียกว่ายางรีเคลม คือ การเปลี่ยนขยะยางล้อเก่า ให้เป็นวัสดุที่มีค่าด้วยเทคโนโลยีใหม่ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้กระบวนการผลิตอย่างง่าย มีประสิทธิภาพสามารถแข่งขันได้ในเชิงการค้าและช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและยังมีกระบวนการ ทําให้ยางรีเครมมีสมบัติทางกายภาพสูงถึงร้อยละ 80 ของยางใหม่ แนวทางแก้ไข 1. แก้ปัญหามุ่งตรงที่เกษตรกร 1.1 ส่งเสริมให้เกษตรกรทําการเกษตรแบบผสมผสานชาวสวนยางจะต้องไม่ปลูกพืช เชิงเดียวโดยปรับรูปแบบการปลูกยางให้เป็นแบบนวเกษตร เพื่อลดความเสี่ยงเมื่อราคายางผันผวน หรือกรณีมีโรคระบาดต้นยาง เช่น กรณีประเทศอินโดนีเซียที่ผ่านมาเมื่อราคายางตกต่ํารัฐบาล มักจะกําหนดมาตรการช่วยเหลือทางตรงไปสู่เกษตรกรและทางอ้อมไปสู่ผู้ประกอบการโดยคาดหวัง ว่าราคายางที่เกษตรกรขายได้จะสูงกว่าต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นการเยียวยาในระยะสั้นเท่านั้น หน่วยงานของรัฐจะต้องกําหนดเป็นนโยบายสนับสนุนการทําเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อให้มีรายได้ ทางอื่นนอกเหนือจากยางพารา อาทิการปลูกพืชร่วมยางพืชแซมหรือรายได้จากอาชีพอื่น ดังนั้น เกษตรกรจะไม่เดือดร้อนเมื่อเกิดภาวะราคายางตกต่ําแม้กระทั่งหยุดกรีดยางเพื่อสร้างอํานาจต่อรอง ราคายางก็ย่อมทําได้ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการถ่วงดุลด้านราคาผลของการปรับเปลี่ยนรูปแบบนี้ เกษตรกรจะได้ประโยชน์และเป็นแนวทางหนึ่งที่ทําให้เกิดความสมดุลระหว่างปริมาณผลผลิตและ ความต้องการยางพาราทั้งส่งออกและใช้ภายในของประเทศ
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 83 - 1.2 เผยแพร่ข้อมูลต้นทุนการผลิตและเขตเหมาะสมปลูกยางให้เกษตรกรเพื่อจะได้ พิจารณาตัดสินใจปลูกยางหรือไม่และปลูกในรูปแบบใดซึ่งเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นไม่ต้องรอไป แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ 1.3 จัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายางเพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางออมเงินโดย รัฐสมทบด้วยส่วนหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงจากราคายางตกต่ําและสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรใน การประกอบอาชีพยางพารา (มีรายละเอียดในหัวข้อ 4.8) 2. แก้ปัญหามุ่งที่การค้า 2.1 สร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายยาง ณ ตลาดกลางยางพาราและตลาดท้องถิ่น ของการยางแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นราคาอ้างอิงของพ่อค้าท้องถิ่นขณะเดียวกัน การยางแห่งประเทศไทย ควรขยายตลาดกลางและตลาดท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เพื่อเป็นการบริการเกษตรกร ให้ทั่วถึงสําหรับพ่อค้าท้องถิ่นกรมวิชาการเกษตรจะต้องเคร่งครัดในการตรวจสอบให้ขึ้นทะเบียน ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เกษตรกรจะไม่ถูกเอาเปรียบจากผู้รับซื้อยาง 2.2 สร้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญภาครัฐจะต้องสร้างบุคลากรให้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ต่างประเทศที่จะเจรจาธุรกิจในเวทีตลาดโลกและสนับสนุนภาคเอกชนให้แข่งขันการค้ายางในเวที ตลาดโลก 2.3 จัดเวทีการจับคู่ธุรกิจเพื่อให้มีเวทีการซื้อขายยางในระดับประเทศดังเช่นที่ได้จัด มาแล้วโดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทยซึ่งนักธุรกิจต่างประเทศให้ความสนใจ มากจึงควรทําอย่างต่อเนื่องโดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และ กระทรวงต่างประเทศ เพื่อหน่วยงานในสังกัดที่ประจําอยู่ต่างประเทศจะได้ทําหน้าที่ประสานงาน ในธุรกิจค้ายางระหว่างประเทศ 2.4 ค่าธรรมเนียมส่งออกยาง (CESS) ที่ขณะนี้จัดเก็บกิโลกรัมละ 2 บาท ประเทศไทย ควรจะนําระบบการจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมส่งยางออกเป็นเครื่องมือทางด้านการตลาดเพื่อให้ยางที่ ส่งออกทํารายได้เข้าประเทศในมูลค่าที่สูงขึ้นกล่าวคือ กรณีผู้ส่งยางออกเป็นวัตถุดิบ เช่น น้ํายางสด ยางก้อนถ้วยไปแปรรูปที่โรงงานนอกประเทศมูลค่ายางส่งออกที่เป็นวัตถุดิบมีมูลค่าไม่มากเมื่อเทียบ กับการส่งออกเป็นยางที่แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสําเร็จรูปแล้วไทยจะเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในประเทศสูญเสียทั้งรายได้และภาษีดังนั้น ควรต้องพิจารณาว่าถ้าส่งออกเป็นยางกึ่งสําเร็จรูปจูงใจ ด้วยอัตราค่าธรรมเนียม CESS ที่ลดกว่าที่เก็บอยู่ในปัจจุบันซึ่งจะแก้ปัญหาต้นทุนยางส่งออกสูงได้ ด้วย แต่ถ้าส่งออกเป็นวัตถุดิบคือน้ํายางสดหรือยางก้อนถ้วยควรเก็บค่าธรรมเนียมส่งออก
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 84 - ที่สูงกว่าปัจจุบันจนในที่สุดต้องนําวัตถุดิบแปรรูปในประเทศเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ โดยยึดหลักการจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมการส่งยางออกเพื่อให้อุตสาหกรรมยางของไทยมีการพัฒนา อย่างต่อเนื่องและไม่กระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศผู้ผลิตอื่น (มีรายละเอียดในหัวข้อ 4.8) รูปภาพที่ 31 วิถีตลาดของเกษตรกรชาวสวนยาง รูปภาพที่ 32 การขายยางแผ่นรมควันระดับเกษตรกร
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 85 - ปัญหาที่ 10 ขาดระบบฐานข้อมูลสารสนเทศในการบริหารยางพาราทั้งระบบ สภาพปัญหา การบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบของประเทศไทยขาดประสิทธิผลที่ดีมีสาเหตุที่แท้จริง มาจากข้อมูลสารสนเทศด้านยางพาราของไทยที่มีไม่ครบถ้วน มีลักษณะแยกส่วนตามหน่วยงานต่าง ๆ ที่จัดเก็บข้อมูลตามวัตถุประสงค์เฉพาะ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลสารสนเทศเหล่านี้ไม่มีการทวนสอบถึง ความถูกต้องที่แท้จริง อาทิพื้นที่ปลูกยางในประเทศไทยที่มีจํานวนไม่ตรงกันจากข้อมูลของการยาง แห่งประเทศไทย กรมพัฒนาที่ดิน และ GISTDA และจํานวนครัวเรือนเกษตรกรชาวสวนยาง ในประเทศไทย นอกจากนั้น ข้อมูลยางพาราในปัจจุบันยังไม่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบทําให้มี ข้อสงสัยในความถูกต้องและเชื่อถือได้ได้แก่พื้นที่ปลูกยางพื้นที่สวนยางที่อยู่ในเขตป่าและนอกเขตป่า (ทั้งที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์) ตลอดจนพื้นที่ที่เหมาะสมปลูกยาง 12 (มากปานกลางน้อยและ ไม่เหมาะสม) ปริมาณผลผลิต ผลผลิตต่อไร่ ปริมาณการค้าขาย จํานวนเกษตรกรต้นทาง ผู้ประกอบการกลางทาง (แปรรูปยาง) และปลายทาง (ผลิตภัณฑ์ยาง) การวิจัยและการตลาดต้นทุนการผลิต ที่แท้จริงราคาที่ใช้อ้างอิงการบริโภคยางทั้งในประเทศและต่างประเทศสต๊อคยางและอื่น ๆ แม้กระทั่ง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 อันเป็นเครื่องมือ สําคัญในการแก้วิกฤตการณ์ยางพาราที่จําเป็นต้องใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง อันเป็นข้อมูล สําคัญตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่การเพาะพันธุ์ยาง การค้ายาง การตั้งโรงงาน การนําเข้าและส่งออกยาง การวิเคราะห์หรือการทดสอบคุณภาพยาง การขอใบอนุญาตต่าง ๆ การจดทะเบียนเกษตรกร ซึ่งกําหนดให้มีการจดทะเบียนและตรวจสอบย้อนกลับได้แต่ในทางปฏิบัติหน่วยงานที่รับผิดชอบตาม พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 คือ กรมวิชาการเกษตรยังไม่สามารถดําเนินการได้อย่างมี ประสิทธิภาพและทันสถานการณ์ทําให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้สืบเนื่องมาจากการขาดระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศรองรับการปฏิบัติงานฯ และขาดผู้ประสานข้อมูลให้อยู่ในฐานเดียวกัน ซึ่งการจดทะเบียนพ่อค้ายางนั้นจะเป็นข้อมูลในการติดตามการซื้อขายยางและตรวจสต๊อคยาง ทําให้รัฐสามารถบริหารสต๊อคระดับประเทศได้ปรากฏว่า พ่อค้ายางที่มาจดทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร 12การที่ข้อมูลพื้นที่ปลูกยางยังไม่มีความชัดเจนทําให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่อาจประกาศเขตพื้นที่เหมาะสม ในการปลูกยางอย่างเป็นทางการได้เป็นอุปสรรคต่อการดําเนินนโยบายปลูกพืชในเขตที่เหมาะสม (ผลผลิตต่อไร่ต่ําต้นทุน การผลิตสูง)และต่อการแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เดือดร้อนและปัญหาราคายาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 86 - เป็นพ่อค้าที่มีการซื้อขายยางมากกว่า 1,000 กิโลกรัมเท่านั้น เป็นการบังคับใช้กฎหมายไม่เคร่งครัด ส่วนเกษตรกรที่นําผลผลิตของตนเองมาขายไม่ต้องจดทะเบียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความจําเป็นทําให้ มาตรการบังคับตามกฎหมายไม่สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิผล รวมท้ังข้อมูลกรณีสวนยาง ที่ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ซึ่งมีทั้งสวนยางอยู่ในเขตป่าและนอกเขตป่า หากข้อมูลยังไม่มีความเป็น เอกภาพและชัดเจนจะเป็นเหตุให้ไทยถูกกีดกันทางการค้าโดยผู้ซื้อยางต่างประเทศจะยกเอาเหตุ คนบุกรุกป่ากล่าวหาไทยว่าไม่มีระบบการบริหารจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล FSC หรือ PEFC ทําให้ตลาดการค้าของไทยแคบลง หรือข้อมูลจํานวนผู้ค้ายางในพื้นที่ต่างๆและยอดรวม ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและได้รับการทวนสอบแล้ว สิ่งเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลยางพาราที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งปัญหาไม่มีข้อมูล ข้อมูลไม่ตรงกัน มีข้อมูลที่ล่าช้าไม่ทันสมัย/ไม่เป็นปัจจุบัน ส่งผลให้รัฐไม่อาจแก้ปัญหาราคายางตกต่ํา และความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ทันต่อเหตุการณ์ไม่อาจบริหารยางพาราทั้งระบบให้มีประสิทธิผลได้ และสืบเนื่องถึงการตัดสินใจเชิงนโยบาย และการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากมีการ พัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่ดีและนํามาวิเคราะห์/สังเคราะห์จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร ยุทธศาสตร์ชาติด้านยางพาราเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่มีข้อมูลจึงไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อนําไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง จึงไม่อาจแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และเรื้อรังของระบบยางพาราของประเทศได้ทําให้ไทยไม่มีบทบาท ในการกําหนดราคาขายยางในเวทีตลาดต่างประเทศระบบฐานข้อมูลสารสนเทศยางพาราเป็นปัญหาสําคัญ ที่เร่งด่วนของประเทศไทย เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และตัดสินใจ ทั้งของรัฐบาลหน่วยงานของรัฐและเอกชน โดยเฉพาะภาพรวมยางพาราทั้งระบบจะมีความชัดเจน นําไปสู่การบริหารจัดการยางที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพด้วยระบบฐานข้อมูลสารสนเทศยางพารา (Rubber Information System) หรือ “Rubber Info” แนวทางแก้ไข รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณให้กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการวางระบบ Rubber Info ร่วมกับกระทรวงหรือหน่วยงานอื่น ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สถาบันการศึกษาภาคเอกชนและสถาบันเกษตรกรโดยพัฒนาระบบฐานข้อมูล สารสนเทศยางพาราจากกรอบการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เป็นลําดับแรก การดําเนินงานส่วนนี้จะต้องควบคู่ไปกับการเพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ อันจําเป็นต้องมีการมอบอํานาจการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดการกํากับและตรวจสอบการปฏิบัติตาม
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 87 - พระราชบัญญัติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกิจกรรมการซื้อขายยางภายในประเทศและการจดทะเบียน และพัฒนาโครงสร้างให้เชื่อมโยงกับระบบ NSW ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการส่งยางออกนอกราชอาณาจักร และการเก็บค่าธรรมเนียมส่งยางออก และกรอบการปฏิบัติราชการตามกฎหมายอื่น ๆ อาทิพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 และหรือรวมทั้งกฎหมายของกระทรวงอื่น รูปภาพที่ 33 ลําดับการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศยางพารา การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศยางพาราลําดับถัดไป เป็นการดําเนินงาน ในกรอบพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย และจะเชื่อมระบบข้อมูลสารสนเทศของ การยางแห่งประเทศไทยเข้ากับระบบ Rubber Info ในส่วนแรก เพื่อให้ระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ ยางพารามีความครบถ้วนถูกต้องรวดเร็วและมีความเป็นเอกภาพสําหรับเป็นเครื่องมือในการบริหาร จัดการยางพาราทั้งระบบของประเทศให้มีประสิทธิผลและเป็นประโยชนต่อผู้ที่เก่ียวข้องทุกภาคส่วน วิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาแบบจําลองและพยากรณ์ เฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลง การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ การปฏิบัติงาน ระบบ Rubber Info เพื่อสนับสนุน ข้อมูลป้อนกลบั การบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ เชื่อมโยง Global Rubber Information ระบบ Rubber Info เพื่อ สนับสนุน พ.ร.บ ควบคุมยาง พ.ศ.2542 ระบบ Rubber Info เพื่อ สนับสนุน พ.ร.บการยางแห่ง ประเทศไทย พ.ศ.2558
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 88 - ทั้งหน่วยงานของรัฐ เกษตรกร และผู้ประกอบการ เป็นต้น จึงจําเป็นต้องระดมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง กับยางพาราทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมาดําเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วโดยกําหนดเป็นวาระแห่งชาติ กําหนดระเบียบปฏิบัติโดยนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ซึ่งมีแนวทางการดําเนินงานจัดการระบบ Rubber info ดังต่อไปนี้ 1. จัดทํากรอบโครงสร้างระบบ Rubber info ในทุกมิติโดยนําระบบ Fishing info มาเทียบเคียง 2. ฐานข้อมูลยางพารายึดข้อมูลที่ได้จากวิธีปฏิบัติที่กําหนดโดยพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เป็นหลัก รวมทั้งกฎกระทรวงระเบียบข้อบังคับที่ออกโดยพระราชบัญญัติฉบับนี้ฉะนั้น กรมวิชาการเกษตร จึงเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบระบบ Rubber info โดยเริ่มต้นจาก 2.1 การควบคุมการจดทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 6 (4) มาตรา 7 และมาตรา 9 การแจ้งเนื้อที่สวนยางจํานวนต้นยางและพันธุ์ยาง ที่ปลูกในสวนยางรวมทั้งปริมาณเนื้อยางที่ผู้ทําสวนยางทําได้ในแต่ละปีโดยรายงานสื่อสารแบบ อิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นเพื่อนําข้อมูลการจดทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางตามแบบ ข้อมูลรายงานเข้าระบบ Rubber info 2.2 ควบคุมการจดทะเบียนแปลงขยายพันธุ์ยางเพ่ือการค้าตามพระราชบัญญัติ ควบคุมยาง พ. ศ. 2542 มาตรา 21 นําข้อมูลการจดทะเบียนแปลงขยายพันธุ์ยางชนิดพันธุ์ยาง ที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตกําลังผลิตผลการจําหน่ายพันธุ์ยางตามแบบข้อมูลแอพพลิเคชั่นออนไลน์บันทึก ข้อมูลรายงานเข้าระบบ Rubber info 2.3 ควบคุมการจดทะเบียนผู้ค้ายางตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 24 ผู้ค้ายางทุกระดับที่ซื้อขายยางต้องจดทะเบียนค้ายาง นําข้อมูล การจดทะเบียนค้ายางและการซื้อขายยางและยางคงเหลือในครอบครอง รายงานตามแบบ แอพพลิเคชั่นออนไลน์บันทึกข้อมูลรายงานเข้าระบบ Rubber info 2.4 ควบคุมการจดทะเบียนตั้งโรงงานอุตสาหกรรมยางแปรรูปกลางทางและ ปลายทางตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 25 นําข้อมูลการจดทะเบียนโรงงาน การรับซื้อยางการใช้ยางในการผลิตและยอดคงเหลือในครอบครองเพ่ือรายงานตามแบบ แอพพลิเคชั่นออนไลน์บันทึกข้อมูลรายงานเข้าระบบ Rubber info 2.5 ควบคุมการจดทะเบียนผู้นําเข้าหรือส่งออกยางไปนอกราชอาณาจักรตาม พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 26 มาตรา 27 และมาตรา 28 นําข้อมูลการจดทะเบียน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 89 - นําเข้าหรือส่งออกยางไปนอกราชอาณาจักรรายงานตามแบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์บันทึกข้อมูล รายงานเข้าระบบ Rubber info 3. พื้นที่สวนยางพาราของประเทศไทยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมพื้นที่สวนยาง ทั้งประเทศของสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ข้อมูลสํารวจพื้นฐาน ด้านดินปลูกยางจากกรมพัฒนาที่ดิน ข้อมูลพื้นฐานพื้นที่ปลูกยางของกรมวิชาการเกษตร พื้นที่สวน ยางปลูกแทนและสวนยางที่เกษตรกรมาขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย สวนยางที่อยู่ภายใต้ กฏหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งฐานข้อมูล ของกรมวิชาการเกษตรที่ได้จากการจดทะเบียนเกษตรกรมาบริหารจัดการให้อยู่บนฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อนําไปใช้ในระบบ Rubber info แล้วนํามาวิเคราะห์เพื่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้ประโยชน์ ในการประกาศเขตพื้นที่เหมาะสมสําหรับปลูกยางพาราตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 4. จัดการข้อมูลการจดทะเบียนของยางพาราทั้งหมดในระบบอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ ผู้ได้รับอนุญาตจดทะเบียนใหม่ทุกฉบับจะมี username และ password แต่ละรายในการเข้าระบบ เพื่อส่งข้อมูลเข้าระบบฐานข้อมูล Rubber info และต้องจัดระบบรวบรวมข้อมูลเป็น Big Data และทุกกิจกรรมจะต้องมีแอพพลิเคชั่นใช้ประโยชน์ 5. การบริหารจัดการยางทั้งระบบเมื่อระบบ Rubber info สําเร็จแล้วจะได้ข้อมูลผลผลิต ของแต่ละพื้นที่ของประเทศไทยในแต่ละช่วงระยะเวลาเป็นปัจจุบัน Real Time ติดตามจํานวน การซื้อขายยางและจํานวนสต๊อคคงเหลือที่เป็นจริงจะเป็นเครื่องมือที่ง่ายต่อการบริหารยางพาราทั้งระบบ 6. จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการข้อมูลยางพารา โดยการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่มี ภารกิจเกี่ยวข้องกันเพื่อการบริหารจัดการฐานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพบนฐานข้อมูลเดียวกัน โดยออกเป็นระเบียบสํานักนายกมาบังคับใช้ให้ทุกรายการถูกต้องและอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน การประเมินกําลังผลิตของสวนยางของทั้งประเทศบนพื้นฐานความเป็นจริงเพื่อการวางแผน บริหารจัดการให้สมดุลกับความต้องการวัตถุดิบของโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปจนผลิต เป็นผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพจะทําให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมและ ความยั่งยืนของยางพาราทั้งระบบ ตลอดจนเป็นฐานข้อมูลในการกําหนดนโยบายการบริโภค ยางพาราในประเทศและกําหนดเป้าหมายส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ชัดเจน โดยผู้มีส่วนร่วม ทุกฝ่ายจะร่วมกันวางแผนบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้ข้อมูล ยางพาราจากระบบ Rubber info
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 90 - รูปภาพที่ 34 การขายยางก้อนถ้วยของเกษตรกร ปัญหาที่ 11 งานวิจัยและพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ยังมีน้อยและขาดสิ่งจูงใจสนับสนุน ธุรกิจยางพารา สภาพปัญหา 1. หน่วยงานวิจัยของภาครัฐมีหลายแห่งคือสถาบันวิจัยยางการยางแห่งประเทศไทย สกว. สวก. วช. สวทช. และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งมีความซับซ้อนและขาดความเชื่อมโยงงานวิจัยส่วน ใหญ่ไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ปัญหายางได้อย่างเป็นรูปธรรมปัญหาหลัก ๆ ของงานวิจัยได้แก่ขาด สิ่งจูงใจให้บุคลากรที่ศึกษาด้านนี้มาทํางานในหน่วยงานของรัฐ และผลงานวิจัยส่วนใหญ่ไม่ได้นําไป ต่อยอดในเชิงธุรกิจเท่าที่ควรการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐมีน้อย การสร้างบุคลากรที่ทํางาน วิจัยยังไม่หลากหลายและขาดสิ่งจูงใจให้นักวิจัยทํางานด้านวิจัยและพัฒนาได้มากกว่าสาขาอื่น โดยเฉพาะขาดนักวิจัยด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา เทคโนโลยีส่วนใหญ่ต้องนําเข้าจาก ต่างประเทศทําให้ต้นทุนการผลิตสูงขณะที่งานวิจัยส่งเสริมและพัฒนาของภาครัฐยังขาด การประสานงานให้เป็นไปในทางทิศทางเดียวกัน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 91 - 2. ขาดสิ่งจูงใจในการขับเคลื่อนธุรกิจให้คล่องตัวและรวดเร็วเช่นเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการสนับสนุนของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และความสะดวกรวดเร็วทางด้านเอกสารและการประสานงาน เป็นต้น แนวทางแก้ไข 1. รัฐบาลควรกําหนดให้งานวิจัยและพัฒนาด้านยางพาราเป็นวาระแห่งชาติเพื่อกําหนด โครงสร้างของงานวิจัยแห่งชาติแล้วรวบรวมผลงานวิจัยและนักวิจัยให้เป็นศูนย์เดียวและมีแผนงาน รองรับงานวิจัยภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อรัฐจะได้สนับสนุนงบประมาณให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนงานมิฉะนั้นการใช้ยางแปรรูปในประเทศที่รัฐตั้งเป้าหมายจะเพิ่ม เป็นร้อยละ 30 ของผลผลิตรวมจะไม่บังเกิดผล 2. สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI ควรทบทวนการยกเว้นภาษีนิติบุคคล สําหรับอุตสาหกรรมยางที่ปรับลดจาก 8 ปีเหลือ 3 ปีควรปรับเท่าเกณฑ์เดิม8ปีหรือมากกว่าเพื่อเป็น การสนับสนุนการใช้ยางในประเทศใหได้ ้เป้าหมายร้อยละ30 ของผลผลิตรวม ตามนโยบายของรัฐบาล 3. อัตราภาษีศุลกากรนําเข้าประเทศจีนกรณีประเทศไทยจีนเก็บภาษีนําเข้าร้อยละ 18 แต่เก็บจากประเทศลาวเพียงร้อยละ 3 ด้วยเหตุที่ไทยส่งยางออกไปจีนเป็นลําดับหนึ่งฉะนั้นการยาง แห่งประเทศไทยควรนําปัญหานี้เสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเพื่อพิจารณาระดับ นโยบายให้มีการเจรจากันในฐานะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจที่สําคัญ 4. ภาครัฐควรให้สิ่งจูงใจเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจยางพาราโดยสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา งานวิจัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้สิทธิ์ประโยชน์ทางด้านภาษีเป็นกรณีพิเศษปรับปรุงกฎระเบียบที่ ล้าสมัยรัฐจะต้องแก้ปัญหาความไม่คล่องตัวในระบบราชการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเช่น กฎหมายผังเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางรวมทั้งการแก้ปัญหามลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมยาง ซึ่งล่าช้ายังไม่มีข้อยุติส่วนการติดต่อกับหน่วยราชการยังไม่เป็นศูนย์รวมหนึ่งเดียว (One Stop Service) คือต้องติดต่อกับหลายหน่วยงานและเอกสารมีปริมาณมาก
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 92 - รูปภาพที่ 35 การบรรจุหีบห่อยางพาราเพื่อส่งออก ปัญหาที่ 12 การบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ไม่เคร่งครัด สภาพปัญหา พระราชบัญญัติฉบับนี้กําหนดขึ้นอันเนื่องมาจากในช่วงปี 2470 - 2474 เกิดวิกฤตทาง เศรษฐกิจการค้าทั่วโลก มีผลทําให้ราคาผลผลิตยางพาราตกต่ําเป็นอย่างมาก จึงเกิดโครงการจํากัด โควตาการส่งออกและจํากัดพื้นที่ปลูกยางประเทศไทยได้นําบทบัญญัติแห่งสัญญาจํากัดยาง ระหว่างประเทศมาตราเป็นพระราชบัญญัติและมีการปรับปรุงแก้ไขล่าสุดเมื่อปี 2542 คือ พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ที่ใช้ในปัจจุบัน ดังนั้น พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นเครื่องมือ ในการแก้ปัญหาวิกฤตราคายางตกต่ําของไทย โดยวางมาตรการตั้งแต่การเพาะพันธุ์ยาง การค้ายาง การตั้งโรงงาน การนําเข้า และส่งออกยาง การวิเคราะห์หรือการทดสอบคุณภาพยาง มาตรการที่ กําหนดขึ้น เพื่อเป็นการวางแผนการผลิตและการใช้พันธุ์ยางของประเทศกําหนดวิธีการควบคุมและ การรับรองพันธุ์ยางของทางราชการส่วนการควบคุมทางการค้า เพื่อให้การส่งออกเป็นไปตาม มาตรฐานสากลที่ผู้ซื้อเชื่อถือและยอมรับในคุณภาพของยางไทย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 93 - อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือการบังคับใช้ทางกฎหมายตาม พระราชบัญญัติยังขาดประสิทธิผลอย่างเพียงพอ โดยพบว่ามีการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนด ในพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวข้องกับวัสดุปลูกและการค้าขาย ซึ่งการตรวจติดตามไม่ทันสถานการณ์ทําให้บทลงโทษไม่มีความหมายแม้จะมีค่าปรับกําหนดไว้ ก็ตามจึงเป็นสาเหตุสําคัญที่ไม่สามารถควบคุมการผลิตและการค้ายางได้ทําให้เกษตรกรถูกเอา เปรียบด้านราคาและการบริหารจัดการระบบยางพาราของไทยขาดประสิทธิภาพโดยองค์รวม และมีประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1. พระราชบัญญัติเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ําของไทย โดยใช้มาตรการ ตรวจสอบปริมาณยางคงเหลือเพื่อการควบคุมและต่อรองทางข้อตกลงยางระหว่างประเทศ 2. พระราชบัญญัติใช้เพื่อควบคุมพื้นที่ปลูกยาง การกําหนดพื้นที่ให้เหมาะสมกับ สถานการณ์การผลิตและการตลาดและส่งออกยางตามข้อตกลงของสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ 3. ปัญหาการใช้พันธุ์ยางที่ปลูกไม่เหมาะสมกับสภาพสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ปลูกยางของ ไทยในบางครั้งที่ประเทศไม่มีพันธ์ยางุหรือกรณีมีการลักลอบน้ําเข้าพันธุ์ยางเข้ามาปลูก 4. เรื่องการจดทะเบียนการค้ายาง ตามกฎหมายกําหนดให้ผู้ค้าทุกราย ต้องจดทะเบียน มีใบอนุญาตค้ายางก่อน ดําเนินธุรกิจต่อไปได้ข้อเท็จจริงไม่มีใครทราบจํานวนผู้ทําการค้ายางที่แท้จริง ภาครัฐจําเป็นต้องหามาตรการตรวจสอบให้ทุกรายเข้าสู่ระบบได้ทุกราย แนวทางแก้ไข ด้วยเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ที่ให้อํานาจหน้าที่กํากับ กิจการอย่างครบวงจรทั้งด้านการผลิต ด้านอุตสาหกรรมยางและด้านเศรษฐกิจยาง แต่ประเด็นสําคัญ คือยังขาดการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ให้อํานาจกรมวิชาการเกษตร สามารถรองรับการดําเนินงานด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การผลิตยาง การกําหนดเขตทําสวนยาง การขึ้น ทะเบียนควบคุมพันธุ์ยาง การสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของยางพาราตามมาตรฐานสากลโดยระบบ การรับรองมาตรฐานการพัฒนาระบบบรรจุหีบห่อยาง รวมถึงการสร้างกลไกสําคัญด้านเศรษฐกิจยาง เพื่อสร้างเสถียรภาพราคายาง โดยระบบวางแผนการผลิตยางจากข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยําที่เป็น ตัวเลขพื้นที่สวนยางในปัจจุบัน จํานวนต้นยาง พันธุ์ยางที่ปลูก ปริมาณยางที่ผลิตได้โดยระบบการจด ทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยาง ข้อกําหนดเกี่ยวกับการลักลอบส่งยาง การออกมาตรการแทรกแซง ตลาดยางพารา การเก็บสต๊อกยาง มาตรการการปรับปริมาณการผลิตและกําหนดปริมาณการส่งออก รวมถึงการพัฒนาระบบตลาดยางพาราของประเทศที่กรมวิชาการเกษตรมีอํานาจหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติสามารถกําหนดระบบการซื้อขายยางล่วงหน้าและการส่งมอบยางจริง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 94 - จึงเป็นภารกิจหน้าที่สําคัญที่หน่วยงานของรัฐต้องออกกฎหมายลูก กฎกระทรวง ระเบียบหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องขั้นต้นและที่สําคัญคือ การบริหารจัดการที่จะบังคับใช้ กฎหมายเกี่ยวกับยางพาราอย่างเข้มงวดจริงจัง อาทิมาตรการบทลงโทษ การยึดใบอนุญาตค้ายาง และใบอนุญาตดําเนินการด้านอื่น ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด สามารถสร้างความเป็นธรรม สร้างเสถียรภาพราคายาง ตลอดจนการบริหารจัดการระบบยางพารา ของประเทศได้สมเจตนารมณ์ของกฎหมาย และดําเนินการดังนี้ 1. เมื่อไม่ทราบจํานวนพื้นที่และผลผลิตที่แน่นอน ทําให้ขาดข้อมูลพื้นที่และปริมาณการ ผลิตสําหรับใช้บังคับกฎหมายควบคุมยางตามข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือมาตรการของข้อตกลงไม่ มีประสิทธิผล แนวทางแก้ไขโดยการประกาศพื้นที่ปลูกยางที่เหมาะสมตามพระราชบัญญัติเศรษฐกิจ การเกษตร พ.ศ. 2522 และมาตรา 6 (3) และมาตรา 6 (4) ได้โดยใช้ระบบ Rubber info เพื่อให้ได้ ข้อมูลให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นําไปใช้ในการเจรจาต่อรองใน ITRC 2. ทางเลอกในการใช ื ้มาตรการประกาศนี้กรณีเกษตรกรปลูกยางไปแล้วก่อนมีประกาศ หน่วยงานกระทวงเกษตรต้องบูรณาการข้อมูลเกษตรกร เพื่อให้การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสม ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม สําหรับการปลูกยางพารา 3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องกํากับให้กรมวิชาการเกษตรปฏิบัติให้เป็นไป ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้เพราะมีผลต่อยางพาราทั้งระบบของประเทศไทยและ จะนําไปสู่การจัดทําฐานข้อมูลยางพาราให้มีประสิทธิภาพ รูปภาพที่ 36 การจัดเก็บสต๊อกยางพารา
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 95 - ปัญหาที่ 13 ความไม่คล่องตัวในการบริหารจัดการ ตามพระราชบัญญัติการยาง แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 สภาพของปัญหา เนื่องด้วยพระราชบัญญัติฉบับนี้กําหนดขึ้นเพื่อให้มีองค์กรกลางรับผิดชอบดูแลการบริหาร จัดการยางพาราของไทยทั้งระบบครบวงจรมีเอกภาพสามารถดําเนินการไปได้อย่างมีอิสระคล่องตัว ทําหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนากิจการเกี่ยวกับยางพาราของประเทศโดยจัดตั้งกองทุนพัฒนายางพารา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนายางพาราองค์กรกลางนั้นคือการควบรวม สํานักงานกองทุนสงเคราะห์การทําสวนยางองค์การสวนยางและสถาบันวิจัยยางเป็นการยาง แห่งประเทศไทยตราเป็นพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 ปัญหา สําคัญที่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการทําให้ยังไม่สามารถดําเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ได้แก่ 1. ข้อจํากัดทางด้านการเงิน รายได้หลักของกองทุนพัฒนายางพาราคือเงินค่าธรรมเนียมในการส่งยางออกนอก ราชอาณาจักร (CESS) ซึ่งการยางฯจัดเก็บในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาทเท่ากับอัตราที่สํานักงานกองทุน สงเคราะห์การทําสวนยางจัดเก็บก่อนที่จะเป็นการยางแห่งประเทศไทยแต่ภารกิจที่การยาง แห่งประเทศไทยรับผิดชอบในปริมาณงานที่มากเกินกว่าเมื่อครั้งเป็นสํานักงานกองทุนสงเคราะห์ การทําสวนยางกล่าวคือภารกิจปลูกยางหรือไม้ยืนต้นอื่นทดแทนยางเก่าที่มีเป้าหมายปลูกแทนเพิ่ม จากเดิม ตั้งแต่ปี 2558 - 2564 เพื่อลดพื้นที่ปลูกยางตามนโยบายของรัฐบาลและต้องรับผิดชอบ ภารกิจที่กําหนดขึ้นตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา 49 (3) (4) (5) และ (6) รวมทั้งภารกิจตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาราคายางตกต่ํา ดังนั้น ภารกิจ และปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งจํานวนบุคลากรจากการรวม 3 หน่วยงานซึ่งแต่เดิมเป็นหน่วย และบุคลากรที่ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ ทําให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าบริหารเพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดดในขณะที่การยางแห่งประเทศไทยยังไม่มีรายได้จากธุรกิจมาจุนเจือหากไม่ได้รับ งบประมาณอย่างเพียงพอแม้ในพระราชบัญญัติจะกําหนดให้ขอตั้งงบประมาณสมทบได้ก็ตาม จะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติและนโยบายของรัฐบาล
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 96 - 2. ความไม่พร้อมในการทําธุรกิจ ความหวังที่จะให้องค์การสวนยางเดิมเป็นหน่วยธุรกิจทํารายได้สู่การยางแห่งประเทศไทย เพื่อสมทบเข้ากองทุนพัฒนายางพาราค่อนข้างจะเลือนลางในขณะนี้และอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะ หนึ่งเนื่องจากผลประกอบการในอดีตมีทั้งกําไรและขาดทุนมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้นทั้ง ๆ ที่มีมีการครอบครองสวนยางมากที่สุดในประเทศไทย 30,000 - 40,000 ไร่แต่เนื่องด้วยความเป็น รัฐวิสาหกิจที่ไม่คล่องตัวทางด้านกฎระเบียบและการบริหารจัดการเงินทุนตลอดจนบุคลากรที่ยังไม่ เชี่ยวชาญด้านตลาดต่างประเทศที่จะไปแข่งขันในเวทีตลาดโลกเมื่อมีการโอนมาอยู่การยาง แห่งประเทศไทยแล้วยังไม่สามารถทํากําไรได้ 3. สิทธิในการขอทุนปลูกแทนตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ. ศ. 2558 มาตรา 36 ตามความในมาตรา 36 กําหนดให้กรณีที่ดินของเกษตรกรมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นจึงจะขอทุนปลูกแทนได้ทําให้เจ้าของที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในเขต ป่าสงวนแห่งชาติแต่ไม่ได้ยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์จากทางราชการซึ่งสามารถให้กรมป่าไม้รับรองได้แต่ ก็เสียสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามมาตรา 36 แนวทางแก้ไข 1. การยางแห่งประเทศไทยควรจะต้องแก้ไขพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา 49 เกี่ยวกับกองทุนพัฒนายางพาราให้มีความคล่องตัวในการบริหารงาน ส่วนมาตรา 36 ควรจะทบทวนร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําอย่างไร เกษตรกรที่มีสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินแต่ที่ดินมิได้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจะได้รับสิทธิ์ใน การขอปลูกแทนตามมาตรา 36 ซึ่งอาจจะต้องแก้ไขพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. การขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางซึ่งตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 มาตรา 4 กําหนดความหมายของเกษตรกรชาวสวนยาง คือ เจ้าของผู้เช่าหรือผู้ทําสวนยาง และคนกรีดยางซึ่งมีสิทธิ์ได้รับผลผลิตจากต้นยางในสวนยางนั้นและได้ขึ้นทะเบียนไว้กับการยาง แห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกําหนดซึ่งการยางฯ ได้กําหนดการขึ้นทะเบียนไว้เป็น 2 กรณีคือกรณีมีเอกสารสิทธิ์กับกรณีไม่มีเอกสารสิทธิ์ซึ่งกรณีไม่มี เอกสารสิทธิ์เท่านั้นที่มาตรา 36 กําหนดไม่ให้รับทุนปลูกแทนตามมาตรา 49 (2) ส่วนการขอรับ การช่วยเหลือที่เกี่ยวกับตัวบุคคลตามมาตรา 49 (3) (5) และ (6) เช่น ฝึกอบรมหรือสวัสดิการ เป็นต้น น่าจะใช้สิทธิ์ได้เพราะไม่มีข้อห้ามที่กําหนดโดยพระราชบัญญัติควรทบทวนระเบียบที่ออกตาม พระราชบัญญัติในมาตรา 4
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 97 - ปัญหาที่ 14 พระราชบัญญัติอื่น ๆ ที่ไม่เกื้อหนุนอตสาหกรรมยางพาราุ สภาพปัญหา พระราชบัญญัติผังเมือง (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2518 ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมยาง ไม่อาจขยายโรงงานภายใต้เขตผังเมืองที่กําหนดใหม่การสร้างโรงงานใหม่แม้จะเป็นโรงงานขนาดเล็ก จะต้องสร้างในเขตอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ห่างไกลกับสวนยางมากทําให้เกิดความไม่สะดวกกับเกษตรกร ในการขนส่งผลผลิตไปขายและจะมีต้นทุนเพิ่มอีกด้วย ส่วนกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางอาทิพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นกฏหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องที่เกี่ยวกับการขออนุญาติก่อสร้างโรงงานและขอรับ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ที่มีการควบคุมในเรื่องกลิ่น และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 โดยกรมควบคุมมลพิษ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบําบัดน้ําเสีย/น้ําทิ้งเป็นต้น แนวทางแก้ไข ควรมีการทบทวนกฎหมายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแนวทางนโยบายแห่งรัฐ และไม่ให้เกิดผล กระทบกับระบบเศรษฐกิจ และสมควรทบทวนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเกื้อหนุน ธุรกิจยางพาราภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควรมีการผ่อนผัน ผ่อนปรนกฎระเบียบผังเมืองที่มีการกําหนดรูปแบบการใช้พื้นที่เพื่อให้ ผู้ประกอบการแปรรูปยางพาราสามารถจัดตั้งโรงงานทําการผลิตแปรรูปยางพาราได้ในพื้นที่บริเวณสวนยาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 98 - รูปภาพที่ 37 การอัดก้อนยางลูกขุน รูปภาพที่ 38 เครื่องจักรในอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 99 - บทท ี่ 3 ความเช ื่อมโยงตลอดห่วงโซ่ยางพาราทั้ งระบบ ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทยที่ให้ผลผลิตใช้เป็นวัตถุดิบไปสู่ภาคอุตสาหกรรม กลางทางและปลายทางเพื่อเพิ่มมูลค่า กล่าวได้ว่าผลผลิตของยางพาราเป็นห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value chain) ของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลักซึ่งในปี 2558 มีสัดส่วนการใช้ยางธรรมชาติ ถึงร้อยละ 66 ถุงมือยางร้อยละ 12.66 ยางยืดร้อยละ 14 ยางรัดของร้อยละ 2.83 และอุตสาหกรรม อื่น ๆ ร้อยละ 5 เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจโลกผันผวน ความต้องการใช้ยางของประเทศ ผู้ซื้อลดลงจะมีผลต่อเสถียรภาพราคายางและส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกร ชาวสวนยางถึง 1.6 ล้านครัวเรือนเพราะเกษตรกรชาวสวนยางไม่สามารถกําหนดราคาขายได้เอง เนื่องจากราคายางขึ้นกับราคาตลาดโลก ในขณะที่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอยู่ในระดับที่เกินกว่า ราคาที่เกษตรกรขายได้กล่าวคือ ปี 2557 ต้นทุนการผลิตของเกษตรกร อยู่ที่กิโลกรัมละ 63.08 บาท ปี 2559 ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอยู่ที่กิโลกรัมละ 62.97 บาท (สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ปรากฏว่า ในปี 2554 เกษตรกรชาวสวนยางขายยางได้สูงถึงกิโลกรัมละ 129 บาท(ยางแผ่นดิบ คุณภาพ 3) หลังจากนั้น ราคายางก็ลดลงอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันที่ราคายางไม่เกินกิโลกรัมละ 50 บาท (ยางแผ่นดิบคุณภาพ 3) ประเมินได้ว่าแนวโน้มราคายางพาราใน 1 - 2 ปีข้างหน้าจะทรงตัวในระดับ ใกล้เคียงกับปัจจุบัน ฉะนั้น ประเทศไทยจะต้องพัฒนาเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิต ให้เพิ่มผลผลิตต่อไร่ลดต้นทุนการผลิต เพื่อรักษาความเป็นผู้นําการผลิตของโลกนอกจากนั้น เกษตรกร จะต้องมีรายได้ทางอื่นเสริมด้วยจะพึ่งพาพืชยางอย่างเดียวไม่ได้แล้วส่วนทางด้านอุตสาหกรรม ต้องผลักดันให้มีการแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์ยางทั้งกึ่งสําเร็จรูปและสําเร็จรูปในระดับชุมชนและระดับ เอกชน ให้สู่เป้าหมายสัดส่วนการใช้ยางพาราภายในประเทศร้อยละ 30 ของผลผลิตรวมภายใน 5 ปี และเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดทั้งในประเทศและเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ ให้สามารถแข่งขัน ในตลาดโลกได้โดยภาครัฐจะต้องให้การสนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา เงินทุน สิ่งจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 100 - นอกจากนั้น ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางอันเกิดจากราคายางพาราตกต่ําที่ ผ่านมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าภาครัฐจะแก้ไขปัญหาโดยการเยียวยาและกําหนดมาตรการในการช่วยเหลือ เกษตรกรชาวสวนยางแต่ก้อยังจําเป็นอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องสร้างความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ เทคโนโลยีและเงินทุน ให้กับเกษตรกร รวมทั้งการปรับรูปแบบการทําเกษตรแบบผสมผสาน ไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อมีรายได้เสริมเพียงพอกับการเลี้ยงชีพแล้ว เกษตรกรชาวสวนยางย่อมมี อํานาจต่อรองกับผู้ซื้อยาง ถ้ายังไม่พอใจก็ยังไม่ขายหรือหยุดกรีดยางก็ย่อมได้ขั้นตอนต่อไปเกษตรกร ชาวสวนยางสามารถก้าวสู่การแปรรูปในระดับชุมชนและพัฒนาเป็นธุรกิจในระบบสหกรณ์ ที่มีหน่วยงานของรัฐเป็นพี่เลี้ยง ทั้งนี้รัฐจะต้องให้ความสําคัญกับงานวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และการตลาด แม้ว่าจะใช้งบประมาณที่สูงก็ตาม แต่ก็เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า โดยเริ่มตั้งแต่งานวิจัยระดับเกษตรกรซึ่งจะทําให้เกษตรกรชาวสวนยางสร้างสวนยางอย่างมี ประสิทธิภาพ ผลผลิตต่อไร่เพ่มขิ ึ้น ต้นทุนการผลิตลดลงส่วนงานวิจัยทางด้านกระบวนการแปรรูป เพื่อเพิ่ม มูลค่าและการตลาด ผู้ได้รับประโยชน์มีตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง จนสามารถก้าวสู่ การแข่งขันในเวทีตลาดโลก ทําให้ประเทศไทยมีรายได้มหาศาล ในขณะเดียวกันก็ต้องแก้ปัญหา ระยะสั้น โดยกําหนดมาตรการปรับความสมดุลระหว่างปริมาณผลผลิตยางพารากับปริมาณการ ใช้ในประเทศและส่งออก โดยต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 5 ปีหากปริมาณผลผลิตเกินกว่า ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศและส่งออกก็ต้องลดพื้นที่ปลูกยาง โดยเริ่มลดพื้นที่สวนยาง ในเขตป่าอนุรักษ์และเขตป่าที่หวงห้ามก่อนและจัดหาที่ทํากินอื่นให้แทน จากนั้นลดพื้นที่สวนยาง ในเขตที่ไม่เหมาะสมปลูกยางเป็นลําดับถัดไปซึ่งมีถึง 4.55 ล้านไร่ โดยให้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า กรณีการสนับสนุนให้เกษตรกรสร้างสวนยางให้มีประสิทธิภาพ ภาครัฐจะต้องให้ ความสําคัญกับพันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตสูงและเหมาะสมกับพื้นที่แต่ละเขตด้วย รวมทั้งพัฒนาคุณภาพยาง ให้เพิ่มสูงขึ้นและให้ขายได้ในราคาสูงขึ้นซึ่งจะคุ้มกับต้นทุน และทําความเข้าใจกับความหมายของ ต้นทุนการผลิตระดับเกษตรกร และสื่อข้อมูลให้เกษตรกรได้รับรู้ว่าประเทศคู่แข่งขันได้พยายาม ลดต้นทุนการผลิตทําให้ขายสินค้าในราคาที่ต่ํากว่าไทย จึงจําเป็นที่เกษตรกรต้องให้ความสําคัญ ในการลดต้นทุนการผลิต มิฉะนั้น ไทยจะเสียส่วนแบ่งทางการค้าให้กับอินโดนีเซียเพราะประเทศจีน เริ่มมีการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตของอินโดนีเซียต่ํากว่า ขณะเดียวกันเกษตรกรชาวสวนยางก็ต้องปรับรูปแบบการทําสวนยางให้เป็นเกษตรผสมผสาน ตามหลักทฤษฎีใหม่ไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซึ่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้นําเสนอรูปแบบธุรกิจ มาเป็นตัวอย่างแล้ว
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 101 - นอกจากนั้น รัฐบาลจําเป็นต้องกระตุ้นให้มีการใช้ยางในประเทศทําเป็นแผนระยะสั้น และระยะยาว โดยรัฐสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา เงินลงทุน เอื้อทางด้านส่งเสริมการลงทุน และกฎข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งจัดให้มีเวทีภาคเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจ เพื่อเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกันและร่วมกันแก้ปัญหาในฐานะเป็นห่วงโซ่ธุรกิจเดียวกัน โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้สนับสนุนและประสานงาน และให้มีฐานข้อมูลทั้งหมดของยางพารา (Big Data) ออนไลน์ทุกภาคส่วน และรัฐจะต้องให้ความสําคัญกับข้อมูลสื่อสารไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ให้รับรู้เรื่องยางธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบของไทย ในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกํากับดูแล เพื่อมิให้ตลาดผู้ใช้ยางพาราของไทยสร้างข้อกําหนด ในลักษณะที่กีดกันวัตถุดิบของไทย 3.1 ห่วงโซ่อุปทานยางพาราไทย (Thailand Natural Rubber Supply Chain) รูปภาพที่ 39 ห่วงโซ่อุปทานยางพาราไทย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 102 - รูปภาพที่ 40 สัดส่วนมูลค่ายางพาราต้นทางกลางทางปลายทาง 3.2 สมดุลยางพาราของประเทศไทย รูปภาพที่ 41 สมดุลการผลิตและการใช้ยางธรรมชาติประเทศไทย 2543 - 2555 (พันตัน) ที่มา: IRSG (2013)
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 103 - สถิติสมดุลยางพาราของประเทศไทยมีความแตกต่างออกไป เป็นลักษณะการเติบโต ที่มุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลักอันทําให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างปริมาณการผลิตและการใช้อย่างต่อเนื่อง มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (เช่นเดียวกับประเทศอินโดนิเซีย) โดยประเทศไทยเน้นแต่การขยาย ขนาดการผลิต เพื่อผลิตปริมาณยางพาราแปรรูปพื้นฐานมากขึ้น แต่มีการยกระดับไปสู่การผลิต ผลิตภัณฑ์ยางอันเป็นอุตสาหกรรมขั้นปลายทางไม่มากนัก และขาดการดําเนินนโยบายที่ดีและจริงจัง ในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อส่งออกหรือทดแทนการนําเข้า การที่ประเทศไทยเน้นผลิตเฉพาะยางแปรรูปพื้นฐาน ทําให้มีอํานาจต่อรองต่ําและ ไม่สามารถกําหนดราคาขายที่เหมาะสมได้เนื่องจากตลาดยางแปรรูปพื้นฐานนี้เป็นตลาดของผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อมีอํานาจในการกําหนดราคาเหนือกว่าผ่านกลไกการซื้อขายล่วงหน้านั่นหมายความ อุตสาหกรรมยางพาราต้นทางอาจจะต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้นและเผชิญความผันผวนของราคา ยางในตลาดโลกอยู่เป็นระยะ ๆ รูปภาพที่ 42 การกรีดยางและถ้วยรอง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 104 - ในปี 2555 มูลค่าการส่งออกยางพาราแปรรูปพื้นฐาน (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง น้ํายาง และอื่น ๆ) มีมูลค่ารวม 270,154 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณยางพารา 2.556 ล้านตัน ขณะที่ ผลิตภัณฑ์ยาง (ยางยานพาหนะ ยางยืด ถุงมือยาง และอื่น ๆ) มีมูลค่าการส่งออกรวม 259,820 ล้านบาท ใกล้เคียงกัน แต่ใช้ยางพาราประมาณ 0.505 ล้านตัน ซึ่งน้อยกว่าถึงประมาณ 6 เท่า จะเห็นว่าเป็นการคุ้มค่ากว่ามาก หากประเทศไทยหันมาเน้นการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง แทนที่จะเป็นการขายยางแปรรูปขั้นพื้นฐาน และการดําเนินงานเช่นนั้นจะเป็นไปได้จําเป็นต้อง พัฒนาการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้นเพื่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลายของระบบ ยางพาราซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์และการที่ไทยเป็นฐานการผลิต รถยนต์สําคัญของโลก เป็นพื้นฐานที่ดีในการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ที่จะสามารถเติบโต ได้อย่างแข็งแกร่ง ตารางที่ 14 เปรียบเทียบอัตราส่วนปริมาณการใช้ยางในประเทศต่อผลผลิตยางของประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 5 ปีพ.ศ. 2556 - 2560 ปีพ.ศ. ปริมาณผลผลติ ยางของประเทศ (ตัน) ปริมาณการใช้ ยางในประเทศ (ตัน) %ใช้ยางใน ประเทศเพิ่มขนึ้ (เปอรเซ์ ็นต์) ปริมาณยาง ที่ใช้เพิ่มขนตึ้อป่ ี (ตัน) %ใช้ยางเพิ่มขึ้น จากปีก่อน (เปอรเซ์ ็นต์) 2556 2557 2558 2559 2560 4,170,428 4,323,975 4,473,370 4,536,965 5,131,710 520,628 541,003 600,491 617,269 653,243 12.48 12.51 13.42 13.60 12.73 - 20,375 59,488 16,778 35,974 - 3.91 10.99 2.79 5.83 ที่มา : 1. สถิติยางประเทศไทย ปีที่45 (2559) กองการยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ´ 2. สถิติยางประเทศไทย ปีที่46 (2560) กองการยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 105 - บทท ี่ 4 ผลการศ ึ กษาวิเคราะห ์ ยางพาราทั้ งระบบ 4.1 สภาพปัญหายางพาราไทยต้นทาง กลางทาง ปลายทาง อุตสาหกรรมยางพาราไทยมีขนาดใหญ่และเกี่ยวข้องกับเกษตรกรชาวสวนยาง ทั่วประเทศ หลายล้านครัวเรือน หากวิเคราะห์ตามกระบวนการเพิ่มมูลค่ายางพาราไทย จากระดับ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง จะเห็นความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ แต่ละส่วน ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกันในบทนี้จะเป็นการวิเคราะห์ศึกษายางพาราทั้งระบบโดยประเมินจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรค ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ และสังเคราะห์แนวทาง พัฒนาปรับปรุงอุตสาหกรรมยางพารา จากนั้นวิเคราะห์และทําการวิเคราะห์เงื่อนไขตามกรอบ Diamond Model ของอุตสาหกรรมยางพารา รูปภาพที่ 43 สภาพปัญหายางพาราไทยต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ที่มา: มนต์ชัย พินิจจิตรสมุทร (2561) วิเคราะห์อุตสาหกรรมยางพาราไทย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 106 - 4.2 การวิเคราะห์จุดแข็งและทรัพย์สินที่มีศักยภาพแข่งขัน อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตารางที่ 15 จุดแข็งและทรัพย์สินที่มีศักยภาพแข่งขัน อุตสาหกรรมยางพาราไทย จุดแข็งและทรัพย์สินที่มีศักยภาพแข่งขัน สมรรถนะที่ตรงกับปัจจัยความสําเร็จที่สําคัญ ของอุตสาหกรรม ปัจจัยแห่งความสําเร็จของอุตสาหกรรมยางพารา คือ การมีเทคโนโลยีที่เหนือชั้น และมีอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่เป็นระบบตลอดห่วงโซ่อปทานุซึ่งประเทศไทย มีความเข้มแข็งทางเทคโลยีเฉพาะยางพาราต้นทาง เท่านั้น ขณะที่เทคโนโลยีการแปรรูปยังอ่อนแอ มีทรัพยากรทางการเงินที่เพียงพอต่อการ ขยายธุรกิจ มีการให้ทุนสงเคราะห์การทําสวนยางอย่างเป็นระบบ ทําให้การขยายการผลิตยางพาราทั้งในเชิงปริมาณและ คุณภาพเป็นไปอย่างก้าวหน้า มีชื่อเสียงของแบรนด์หรือชื่อเสียงของบริษัท ที่แข็งแกร่ง คุณภาพของยางพาราไทยมีชื่อเสียงที่ดีมีคุณภาพสูง ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ มีการประหยัดต่อขนาด หรือมีการเรียนรู้จาก ประสบการณ์เหนือกว่าคู่แข่ง ประสบการณ์ของอุตสาหกรรมยางพาราต้นทาง เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ แต่อุตสาหกรรมช่วงกลางทาง และปลายทางในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างมี ศักยภาพน้อยกว่าคู่แข่ง มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนอื่น ๆ เหนือคู่แข่ง ไม่มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุน มีฐานลูกค้าที่น่าสนใจ มีฐานลูกค้าที่เชื่อมั่นคุณภาพวัตถุดิบยางพาราไทย เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะและมี สิทธิบัตรทางเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ไม่มีเทคโนโลยีเฉพาะ มีอํานาจการเจรจาต่อรองที่เข้มแข็งเหนือ ซัพพลายเออร์และผู้ซื้อ มีอํานาจต่อรองต่ํากับประเทศผู้ซื้อยาง มีทรัพยากรและความสามารถที่มีคุณค่าและ หายาก พื้นที่ปลูกที่เหมาะสมทําเลของประเทศตั้งอยู่ในเขตร้อน ชื้นเหมาะสําหรับการปลูกยาง แต่ก็มีหลายประเทศที่ อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 107 - จุดแข็งและทรัพย์สินที่มีศักยภาพแข่งขัน มีทรัพยากรที่หาสิ่งทดแทนได้ยาก และมี ความสามารถที่ยากต่อการเลียนแบบ ประเทศผู้ปลูกยางใหม่มีทรัพยากรเช่นเดียวกันกับไทย และสามารถพัฒนาหรือเลียนแบบคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้ ไม่ยาก มีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า คุณภาพเหนือกว่า แต่คู่แข่งกําลังพัฒนาอย่างก้าวหน้า ตามมา มีความครอบคลุมทางภูมิศาสตร์ที่กว้างกว่า หรือมีความสามารถกระจายสินค้าทั่วโลกที่ แข็งแกร่ง ไม่ครอบคลุม เนื่องจากมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณ ยางพาราส่งออกไปยังประเทศจีนเป็นหลัก และสินค้า มิได้กระจายไปทั่วโลก มีพันธมิตรหรือกิจการร่วมค้าที่สามารถเข้าถึง เทคโนโลยีและตลาดทางภูมิภาคอื่นที่ น่าสนใจ ยังไม่มีการพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับประเทศที่มี เทคโนโลยี ที่มา: มนต์ชัย พินิจจิตรสมุทร (2561) วิเคราะห์อุตสาหกรรมยางพาราไทย จุดแข็ง (Strength) 1. มีการให้ทุนสงเคราะห์การทําสวนยางอย่างเป็นระบบ ทําให้การขยายการผลิต ยางพาราทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพเป็นไปอย่างก้าวหน้า 2. ประสบการณ์ของอุตสาหกรรมยางพาราต้นทางเหนือกว่าประเทศอื่น ๆ – ยางแผ่นดิบ และน้ํายางมีคุณภาพสูงเกษตรกรสวนยางของไทย มีความรู้ความชํานาญ (Skilled Labor) แต่อุตสาหกรรมช่วงกลางทางและปลายทางในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างมีศักยภาพน้อย 3. ปริมาณผลผลิตและการส่งออกยางแปรรูปขั้นพื้นฐานจํานวนมาก - มีฐานลูกค้าที่เชื่อมั่น คุณภาพวัตถุดิบยางพาราไทย 4. มีสถาบันเกษตรกรด้านยางพาราจํานวนมากและเข้มแข็งและมีผู้ประกอบการยางพารา จํานวนมาก พร้อมรับการพัฒนาและการส่งเสริม 5. มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการวิจัยยางหลายหน่วยงาน 6. มีศักยภาพและมีความสามารถในการแข่งขันสูงในเรื่องการผลิตและการแปรรูป ยางพาราโดยเฉพาะยางแผ่นรมควันซึ่งใครเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกต่อเนื่องมาเป็น ระยะเวลาไม่ต่ํากว่า 20 ปี 7. ทําเลที่ตั้งของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการผลิตและการจําหน่ายใน ASEAN พื้นที่ ปลูกที่เหมาะสมทําเลของประเทศตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นเหมาะสําหรับการปลูกยาง แต่ก็มีหลาย ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 108 - 4.3 การวิเคราะห์จุดอ่อนและทรัพย์สินด้อยศักยภาพแข่งขัน อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตารางที่ 16 จุดอ่อนและทรัพย์สินด้อยศักยภาพแข่งขัน อุตสาหกรรมยางพาราไทย จุดอ่อนและทรัพย์สินที่ด้อยศักยภาพแข่งขัน ไม่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน ไม่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน แม้ว่ามียุทธศาสตร์ ยางพารา 5 ปีและ 20 ปีแต่ไม่มีการยอมรับในวงกว้าง และไม่มีการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ ไม่มีสมรรถนะหลักที่ชัดเจน ไม่มีขีดความสามารถสมรรถนะหลัก ที่แตกต่างไปจาก คู่แข่ง ไม่มีสมรรถนะที่โดดเด่นหรือทรัพยากรที่ เหนือกว่าคู่แข่ง ไม่มีสมรรถนะที่โดดเด่นหรือทรัพยากรที่โดดเด่น เหนือกว่าคู่แข่ง ขาดความสนใจในเรื่องความต้องการของ ลูกค้า ไม่สนใจความต้องการลูกค้าผู้บริโภคปลายทางอย่าง แท้จริง ไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางเพื่อตอบสนอง ผู้บริโภคปลายทาง รวมทั้งอุตสาหกรรมแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางในขอบเขตที่จํากัด ผลิตภัณฑ์หรือบริการมีคุณลักษณะที่ด้อยกว่า คู่แข่ง ไม่ใช่ มีงบดุลที่อ่อนแอ หรือมีทรัพยากรการเงินที่ จํากัด หรือมีหนี้มากเกินไป ไม่ใช่ มีค่าใช้จ่ายโดยรวมที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ คู่แข่งรายสําคัญ มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าคู่แข่ง มีขอบเขตสายผลิตภัณฑ์แคบเกินไปเมื่อเทียบ กับคู่แข่ง ส่วนมากทําแต่ยางแผ่น ยางก้อนถ้วย น้ํายาง มีภาพลักษณ์หรือชื่อเสียงที่อ่อนแอ ไม่ใช่ มีเครือข่ายตัวแทนจําหน่ายที่อ่อนแอกว่า คู่แข่ง หรือขาดความสามารถในการกระจาย สินค้าอย่างเพียงพอ ไม่ใช่ มีการบริหารจัดการที่อ่อนแอ ขาด ประสิทธิภาพ การบริหารระบบยางพาราทั้งระบบมีความอ่อนแอ และไม่มีประสิทธิภาพ โครงสร้างการผลิตกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเกษตรกร รายย่อยที่มีพื้นที่สวนยางไม่เกิน 15 ไร่ทําให้ต้นทุน การผลิตสูงรวมทั้งต้นทุนการผลิตไปผูกพันกับ ค่าใช้จ่ายรายวันของครัวเรือนเกษตรกรทําให้ขาด ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการดําเนินงาน ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมยาง
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 109 - จุดอ่อนและทรัพย์สินที่ด้อยศักยภาพแข่งขัน พ.ศ 2542 อย่างจริงจังและอย่างมีประสิทธิผลทํา ให้ไม่ทราบถึงข้อมูลการผลิตยางอย่างแท้จริงและไม่ สามารถควบคุมปริมาณการผลิตยางภายในประเทศได้ มีปัญหาการดําเนินงานภายใน หรือมีสิ่ง อํานวยความสะดวกที่ล้าสมัย องค์กรบริหารระบบยางพารายังมีปัญหา ยังไม่มีองค์กรที่ชัดเจนในการบริหารภาพรวมของ ระบบยางพาราโดยรวม องค์กรด้านยางพารา (กยท) มีการบริหารจัดการที่มี ประสิทธิผลจํากัด และขาดการบูรณาการภายใน ไม่มีองค์กรที่ทําหน้าที่บริหารงานรวมระบบ ยางพารา กลไกที่เป็นอยู่ (คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ) ไม่มีประสิทธิผล ในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ของยางพารา มีกําลังการผลิตที่ใช้ไม่ได้ใช้งานมากเกินไป ไม่ใช่ มีทรัพยากรที่สามารถเลียนแบบได้ง่าย หรือ หาสิ่งที่ทดแทนง่าย ไม่ใช่ ที่มา: มนต์ชัย พินิจจิตรสมุทร (2561) วิเคราะห์อุตสาหกรรมยางพาราไทย จุดอ่อน (Weakness) 1. ต้นทุนการผลิต (กล้ายาง ปุ๋ย แรงงาน) และต้นทุนโลจิติกส์สูงกว่าประเทศคู่แข่งและ โครงสร้างการผลิตยาง ฯ เป็นเกษตรกรรายย่อย ทําให้มีต้นทุนการผลิตสูง และรายได้ไม่เพียงพอในช่วง ราคาตกต่ํา โครงสร้างการผลิตกว่าร้อยละ 80 เป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่สวนยางไม่เกิน 15 ไร่ ทําให้ต้นทุนการผลิตสูงรวมทั้งต้นทุนการผลิตไปผูกพันกับค่าใช้จ่ายรายวันของครัวเรือนเกษตรกร ทําให้ขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการดําเนินงาน 2. องค์กรด้านยางพารา (กยท.) มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิผลจํากัดและขาดการบูรณาการ ภายใน โดยองค์กรบริหารระบบยางพารายังมีปัญหาและอ่อนแอ ไม่มีองค์กรที่ชัดเจนในการบริหาร ภาพรวมของระบบยางพาราโดยรวม
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 110 - 3. ไม่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน แม้ว่ามียุทธศาสตร์ยางพารา 5 ปีและ 20 ปีแต่ไม่มี การยอมรับในวงกว้างและไม่มีการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ 4. กลไกที่เป็นอยู่ (คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ) ไม่มีประสิทธิผลในการแก้ไข ปัญหาที่ซับซ้อนของระบบยางพารา และปัญหาเชิงโครงสร้างของยางพารา 5. ไม่สนใจความต้องการลูกค้าผู้บริโภคปลายทางอย่างแท้จริง ไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ยางเพื่อตอบสนองผู้บริโภคปลายทาง รวมทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางในขอบเขตที่จํากัด 6. ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ 2542 อย่างจริงจังและ อย่างมีประสิทธิผลทําให้ไม่ทราบถึงข้อมูลการผลิตยางอย่างแท้จริงและไม่สามารถควบคุมปริมาณการ ผลิตยางภายในประเทศได้การบริหารระบบยางพาราภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ยังไม่มีประสิทธิผล 7. ขาดกลไกอุตสาหกรรมต่อเนื่องในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (มีจํานวนน้อย และขาดเทคโนโลยี) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่าของยางธรรมชาติ และเทคโนโลยีการผลิตยังล้าหลังกว่าประเทศคู่แข่งรายสําคัญอย่างมาเลเซียและขาดกฎหมาย มาตรการส่งเสริมการลงทุนพิเศษสําหรับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง - ไม่มีสมรรถนะที่โดดเด่นหรือ ทรัพยากรที่โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งขาดแคลนบุคลากรด้านงานวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางฯ งานวิจัยและพัฒนายาง มีการนําไปใช้ประโยชน์เพื่อการผลิตไม่มากนัก 8. ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดกลาง จึงมีข้อจํากัดด้านเงินทุน การผลิต และเทคโนโลยีและขาดความพร้อมด้าน อุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น แม่พิมพ์แบบจุ่มอะไหล่เครื่องจักรซึ่งต้องนําเข้าจากต่างประเทศ 9. ช่องทางการจําหน่ายในประเทศมีจํากัด (ผู้ซื้อน้อยราย) ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก และไม่มีอํานาจการต่อรองด้านราคา และนโยบายการใช้ยางภายในประเทศยังไม่สัมฤทธิ์ผล 10. ผลผลิตยาง เป็นการผลิตวัตถุดิบต้นทางเพื่อการส่งออกเท่านั้นยังไม่มีโครงสร้างระบบ การผลิตการค้าการตลาดข้อมูลข่าวสารและระบบการบริหารจัดการภายใน ที่เชื่อมโยงและบูรณาการ อย่างเป็นรูปธรรม 11. นโยบายรัฐบาลเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยอาศัยข้อมูลที่ขาดความเป็นเอกภาพ 12. มีอุปสรรคด้านกฎหมาย ประกาศผังเมืองและสิ่งแวดล้อม ในการขยายการแปรรูปยาง กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดและยังไม่ได้เตรียมการส่งเสริมเขตพื้นที่พิเศษในการส่งเสริมการลงทุน
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 111 - 4.4 การวิเคราะห์โอกาสจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตารางที่ 17 โอกาสจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น อุตสาหกรรมยางพาราไทย โอกาสจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น มีความต้องการของผู้ซื้อสินค้าอุตสาหกรรมที่ สูงขึ้นอย่างมาก มีความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นตามการขยายตัว ของเศรษฐกิจโลก ปริมาณความต้องการยางพารา ในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น มีการให้บริการกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มตลาด เพิ่มเติม มีการขยายตลาดใหม่และมีการเติบโตความ ต้องการในตลาดใหม่ มีการขยายสู่ตลาดใหม่ทางภูมิศาสตร์ ไม่มี มีการขยายสายผลิตภัณฑ์ของ บริษัทเพื่อ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในวงกว้าง มากขึ้น ไม่มี มีการใช้ทักษะที่มีอยู่ของบริษัท หรือความรู้ ทางเทคโนโลยีเพื่อป้อนสายผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือธุรกิจใหม่ๆ ไม่มี มีการลดอุปสรรคทางการค้าในตลาด ต่างประเทศที่น่าสนใจ ไม่มี มีบริษัทคู่แข่งหรือบริษัท ที่มีความชํานาญ ด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจหรือความสามารถ ไม่มี มีการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหรือกิจการร่วมค้า เพื่อขยายตลาดของ บริษัท หรือเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขัน ยังไม่มี ที่มา: มนต์ชัย พินิจจิตรสมุทร (2561) วิเคราะห์อุตสาหกรรมยางพาราไทย
รายงานการพิจารณาศึกษา ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ - 112 - โอกาส (Opportunity) 1. เส้นทางเชื่อมโยงเศรษฐกิจมีการพัฒนาช่วยลดต้นทุนโลจิติกส์ 2. การเปิดประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทําให้การค้า การลงทุน ขยายตัวมากขึ้น 3. ราคาน้ํามันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทําให้มีโอกาสใช้ยางธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์ เพิ่มมากขึ้น 4. มีนโยบายสนับสนุนด้านเงินทุน เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูป และการตลาด 5. เอกชนสนใจจะร่วมทุนเป็นพันธมิตรทางการค้า แปรรูป และการตลาด 6. แนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ของอาเซียนจีนและอินเดีย ส่งผลให้มี ความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นช่วยทดแทนความต้องการใช้ยางพาราของสหรัฐอเมริกาญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปที่ยังมีความผันผวนตามสภาวะทางเศรษฐกิจ 7. การตื่นตัวและให้ความสําคัญในการป้องกันรักษาสุขภาพทั้งในภาคอุตสาหกรรมและ ภาคครัวเรือนเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ โรคสายพันธ์ุใหม่ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ เป็นต้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมถุงมือยางมีการเติบโตดีขึ้น 4.5 การวิเคราะห์ภัยคุกคามจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตารางที่ 18 ภัยคุกคามจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น อุตสาหกรรมยางพาราไทย ภัยคุกคามจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้น มีความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของการแข่งขัน ระหว่างคู่แข่งในอุตสาหกรรม การผลิตยางในพื้นที่ปลูกใหม่เพิ่มมากขึ้นการ แข่งขันด้านราคาเพิ่มสูงขึ้น มีการชะลอตัวของการเติบโตของตลาด ไม่มี มีการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ที่มีศักยภาพ ประเทศในแถบอาเซียนหันมานิยมปลูกยางเพิ่ม มากขึ้น อํานาจการต่อรองของลูกค้าหรือซัพพลาย เออร์เพิ่มมากขึ้น ลูกค้ามีอํานาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น การเข้าเทคโอเวอร์บริษัทผู้ส่งออกรายใหญ่ของ ไทยโดยวิสาหกิจจีนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ ระบบยางพาราภายในประเทศ – อํานาจ ต่อรองของไทยลดลง มีการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ซื้อและ รสนิยมจากผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรม มีการเปลี่ยนแปลงมาซื้อยางก้อนมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนถูกกว่ายางประเภทอื่นราคาถูก กว่าบริษัทอุตสาหกรรมล้อยางรถยนต์ในจีน