บทคัคั คั ด คั ดย่ย่ ย่ อ ย่ อผู้ผู้ผู้นำผู้นำนำนำเสนอผลงาน ปปรระะชุชุชุ ม ชุ มวิวิชช วิวิ าากกาารรสัสั สั ญสั ญจจรร คครั้รั้ รั้ งรั้ งที่ที่ ที่ที่11//22556677 สมาคมพยาบาลแห่ห่ ห่ ง ห่ งประเทศไทยฯ สาขาภาคตะวัวัน วั น วั ออกเฉีฉี ฉี ย ฉี ยงเหนืนื นื อ นื อ เรื่รื่ รื่ อ รื่ อ รื่รื่ ง พัพั พั ฒ พั ฒนาความก้ก้ ก้ า ก้ าวหน้น้ น้ า น้ าวิวิช วิวิ าชีชี ชี พ ชี พพยาบาล ประจำจำจำจำปีปีปีปี2567 ในวัวัน วั น วั ที่ที่ ที่ที่24 พฤษภาคม 2567 ณ ห้ห้ ห้ อ ห้ องประชุชุ ชุ ม ชุ มโรงพยาบาลยโสธร จัจั จั ง จั งหวัวัด วั ด วั ยโสธร จำจำจำจำนวน 46 เรื่รื่ รื่ อ รื่ อ รื่รื่ ง
ที่ สพฉ 104/2567 สมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน อําเภอเมือง จังหวัดขอนแกน 40002 1 เมษายน 2567 เรื่อง ขอเชิญเขารวมประชุมวิชาการสัญจรประจําป 2567 ครั้งที่ 1/2567 เรียน นายแพทยสาธารณสุขจังหวัด/ อธิการบดี/ผูอํานวยการโรงพยาบาล/ ผูอํานวยการวิทยาลัยพยาบาล/ ผูอํานวยการโรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตําบล/ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร/ สาธารณสุขอําเภอ/ กองสาธารณสุข องคการบริหารสวนจังหวัด/กองสาธารณสุข องคการบริหารสวนตําบล สิ่งที่สงมาดวย 1. รายละเอียดโครงการฯ จํานวน 1 ชุด 2. ใบแจงความจํานงเขารวมประชุมวิชาการฯ จํานวน 1 ชุด ดวยสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดกําหนดใหมีการจัดประชุม วิชาการสัญจร ประจําป 2567 เรื่อง พัฒนาความกาวหนาวิชาชีพการพยาบาล ประจําป 2567 ครั้งที่ 1/2567 ในวันศุกรที่ 24 พฤษภาคม 2567 เวลา 08.30-16.30 น. ณ หองประชุมโรงพยาบาลยโสธร จังหวัดยโสธร โดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหพยาบาลและสมาชิกสมาคมพยาบาล แหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความรู ความเขาใจ ดานการวิจัยทางการพยาบาล และสามารถนําไปประยุกตใชใน การพัฒนางานวิจัยใหมีคุณภาพมากขึ้น นําเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู ดานผลงานวิชาการ และงานวิจัย ใหมีคุณภาพ รายละเอียดตามที่แนบมาพรอมนี้ ในการนี้สมาคมพยาบาลฯ ขอเชิญพยาบาลวิชาชีพ อาจารยพยาบาล บุคลากรดานสุขภาพและผูสนใจ เขารวมโครงการประชุมวิชาการดังกลาวฯ โดยสมัครและชําระคาลงทะเบียนไดตั้งแตบัดนี้เปนตนไป สามารถ ดาวนโหลดเอกสารการสมัครไดที่ http://www.natne.or.th หรือ สมัครผาน QR Code ดานลาง อนึ่ง ผูเขารวม ประชุมที่เปนขาราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจมีสิทธิ์เบิกคาลงทะเบียนและคาใชจายตาง ๆ ไดตามระเบียบของ ทางราชการจากตนสังกัด และสามารถเขารวมประชุมไดโดยไมถือเปนวันลา ทั้งนี้ เมื่อไดรับอนุมัติจากผูบังคับบัญชาแลว สําหรับหนวยคะแนนการศึกษาตอเนื่องสาขาพยาบาลศาสตรอยูระหวางขอหนวย จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาใหบุคลากรในสังกัดเขารวมประชุม จักเปนพระคุณยิ่ง ขอแสดงความนับถือ (ผศ.ดร.เสาวมาศ คุณลาน เถื่อนนาดี) นายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โทรศัพท 080-8952065 E-mail: [email protected] สมาคมพยาบาลแหงประเทศไทย ในพระราชูปถัมภสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลิงคการสมัครประชุม ลิงคสมัครนําเสนอ
โครงการประชุมวิชาการสัญจร สมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรื่อง พัฒนาความกาวหนาวิชาชีพการพยาบาล ประจําป 2567 1. ขอมูลทั่วไปของโครงการ 1.1 ชื่อโครงการ “พัฒนาความกาวหนาวิชาชีพการพยาบาล” 1.2 ผูรับผิดชอบโครงการ 1) ฝายวิชาการ 2) ฝายพัฒนาวิชาชีพ และบริการพยาบาล 3) ฝายวิจัย 4) ฝายวารสาร 5) ฝายวิเทศสัมพันธ 6) วิเทศสัมพันธ 7) ฝายสวัสดิการและหารายได 8) ฝายทะเบียน และเหรัญญิก 9) ฝายจัดหารายได 1.3 สถานภาพโครงการ โครงการเดิม/ตอเนื่อง โครงการใหม 1.4 ประเภทโครงการและความสอดคลองกับประเด็นยุทธศาสตร ประเด็นยุทธศาสตรที่ 5 สงเสริมและพัฒนาสมรรถนะเพื่อสรางโอกาสในการพัฒนาความกาวหนา ในการประกอบวิชาชีพทุกระดับ กลยุทธที่ 5.1 การเตรียมความพรอมพยาบาลเพื่อความกาวหนาวิชาชีพ 2. หลักการและเหตุผล การปฏิบัติงานการพยาบาล โดยผูไดรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการพยาบาลชั้นหนึ่ง หรือ การพยาบาลและการผดุงครรภชั้นหนึ่ง ที่เกี่ยวของโดยตรงตอชีวิต สุขภาพ และอนามัยของประชาชน ทั้งในสถานบริการสุขภาพและในชุมชน ปฏิบัติงานสงเสริมและพัฒนาบริการการพยาบาล ปฏิบัติงานตรวจ วินิจฉัยใหการพยาบาลและการผดุงครรภตามกฎหมายวิชาชีพ ชวยเหลือแพทยกระทําการรักษาโรค ทําหนาที่ เปนผูใหบริการการโดยอาศัยหลักวิทยาศาสตรและศิลปะการพยาบาลในการประเมินสุขภาพ วินิจฉัยปญหา วางแผนงาน ประสานงาน ประเมินผล และบันทึกผลการใหการพยาบาลและผดุงครรภศึกษา วิเคราะห คิดคน พัฒนาการพยาบาล และควบคุมการพยาบาลใหเปนไปอยางมีคุณภาพ และอยูในมาตรฐาน สงเสริม และพัฒนาความสามารถทางการพยาบาล ใหกับเจาหนาที่ที่เกี่ยวของกับงานการพยาบาล นั้น ไดกําหนด ตําแหนงในสายงานดังนี้ พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ ระดับชํานาญการ ระดับชํานาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับผูทรงคุณวุฒิ ตามหลักเกณฑและเงื่อนไขการกําหนด ตําแหนงพยาบาลวิชาชีพ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2558 (หนังสือที่นร. ๑๐๐๘.๓.๓/๑๔๘ ลวท ๑๘ พค.๒๕๕๘) ประเด็น สําคัญที่เกี่ยวของกับพยาบาล กําหนดตําแหนงประเภทวิชาการ ในสายงานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ที่เปนงานวิจัยและพัฒนาไมนอยกวารอยละ 60 ของการปฏิบัติงานประจําของตําแหนง ดังนั้นการยื่นขอ ตําแหนงวิชาการที่สูงขึ้นในแตละระดับ ผูยื่นขอจะตองมีผลงานวิชาการ เปนผลงานที่สะทอนใหเห็นถึงความรู ความสามารถ และความชํานาญในงานของตําแหนงที่ขอประเมิน รวมทั้งสามารถระบุผลสําเร็จของงานหรือ ประโยชนที่เกิดจากงานนั้น หรือการนําไปใชหรือผลงานการใหบริการทางวิชาการ/ปฏิบัติการ ผลงาน นวัตกรรม หรือ สิ่งประดิษฐใหม เปนตน สมาคมพยาบาลแหงประเทศไทย ฯ สํานักสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใหความสําคัญกับ ความกาวหนาทางวิชาชีพบยาบาล เพื่อเปนการสนับสนุน สงเสริมใหพยาบาลวิชาชีพ ไดมีความรู ทักษะ ดานการพัฒนาผลงานทางวิชาการ จึงจัดประชุมวิชาการสัญจร ประจําป 2567 การพัฒนางานวิจัยทาง การพยาบาล ขึ้นเพื่อมุมหวังเปนกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนบุคลากรพยาบาลใหมีการพัฒนาตนเอง ดานวิชาการ ความกาวหนาในวิชาชีพ
-2- 3. วัตถุประสงคโครงการ เพื่อใหผูเขารวมโครงการ 3.1 มีความรู ความเขาใจ ดานการวิจัยทางการพยาบาล และสามารถนําไปประยุกตใชในการพัฒนา งานวิจัยใหมีคุณภาพมากขึ้น 3.2 นําเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู ดานผลงานวิชาการ และงานวิจัย ใหมีคุณภาพ 3.3 ไดรับการสงเสริมและสนับสนุนชองทางในการตีพิมพและเผยแพรงานวิจัย และผลงานวิชาการ 3.4 มีทัศนติที่ดีตอการผลิตผลงานวิชาการ และงานวิจัยทางการพยาบาลที่มีคุณภาพ 4. ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ 1. พยาบาลและสมาชิกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถนํา ความรูไปประยุกตใชในบทบาทวิชาชีพอยางมีประสิทธิภาพ 2. พยาบาลวิชาชีพสามารถผานการยื่นขอผลงานวิชาการดานการวิจัยไดเพิ่มขึ้น 5. ระยะเวลาดําเนินการ และ สถานที่ดําเนินโครงการ ดําเนินโครงการรูปแบบการสัญจร แบบ Hybrid สัญจรตามเขต จํานวน 3 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ วันที่ เขต จังหวัด สถานที่ จํานวนผูรวมโครงการ (Onsite/Online) 1/2567 24 พฤษภาคม 2567 อุบลราชธานี ยโสธร โรงพยาบาลยโสธร 200 2/2567 21 มิถุนายน 2567 นครราชสีมา ชัยภูมิ โรงพยาบาลชัยภูมิ 200 3/2567 25 ตุลาคม 2567 ขอนแกน สกลนคร โรงพยาบาลสกลนคร 200 6. กลุมเปาหมาย/ผูเขารวมโครงการ คาลงทะเบียน on site 600 บาท on line 300 บาท 6.1 พยาบาลวิชาชีพทุกระดับ ทั้งประเทศ 6.2 อาจารยพยาบาลทุกสถาบัน 6.3 บุคลากรสาธารณสุขทุกระดับที่สนใจ 7. เปาหมายผลผลิตและแผนปฏิบัติงาน ผูเขารวมประชุมวิชาการมีความพึงพอใจตอการจัดการประชุม มากกวา 3.51 จากคะแนนเต็ม 5 7.1 วิธีการดําเนินการ: การประชุมวิชาการประกอบดวย การบรรยายและอภิปราย ซักถาม 7.2งบประมาณรายจาย (ครั้งละ) คาลงทะเบียน: Onsite 600 บาท Online 300 บาท แหลงงบประมาณ จากสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจาก คาลงทะเบียนการประชุม หมายเหตุ: ทุกรายการสามารถถัวเฉลี่ยได 8. การชี้วัดผลการดําเนินการของโครงการ ผลลัพธที่คาดวาจะไดรับหลังจากการดําเนินงานโครงการ (ผลตอกลุมเปาหมาย) 8.1 ผูรวมโครงการมีความพึงพอใจตอการจัดประชุมวิชาการเรื่อง 8.2 ผูรวมโครงการพัฒนาทักษะการนําเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรูผลงานทางวิชาการ ไดแก ผลงานวิจัย กรณีศึกษา นวัตกรรม Evidence base practice และ CQI ทางการพยาบาล 8.3 ผูรวมประชุมไดรับรูชองทางการสงผลงานตีพิมพ เผยแพรผลงานวิจัย และวิชาการในวารสาร การพยาบาลและการดูแลสุขภาพ สมาคมแหงประเทศไทยฯ สํานักสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
-3- 8.4. ตัวชี้วัดความสําเร็จของแผนยุทธศาสตร พ.ศ. 2565-2567 หรือแผนปฏิบัติการประจําป พ.ศ. 2567 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดความสําเร็จ หนวยนับ คาเปาหมายที่ตั้งไว แผนยุทธศาสตร พ.ศ.2565-2567 แผนปฏิบัติการ 1.พยาบาลผูรวมประชุมไดมีเวทีนําเสนอ ผลงานวิจัย นวัตกรรม และกระบวนการใน การพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล เรื่อง เขตละ 20 เรื่องขึ้นไป 9. ปญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรือคาดวาจะเกิดขึ้นหากไมไดรับการอนุมัติโครงการ - ไมมี 10. ผลการประเมินโครงการในปที่ผานมา (กรณีเปนโครงการตอเนื่อง) 10.1 ผลการประเมินโครงการ ประเมินผลตามตัวชี้วัด 2565-2566 ระดับดี 10.2 การนําผลการประเมินไปปรับปรุงโครงการในปนี้ ขอเสนอแนะปที่ผานมาคือใหบูรณาการหนาที่ของฝายตางๆ ในการดําเนินงานรวมกันเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการดําเนินงาน ………………………………………………ผูเสนอโครงการ (ดร.ทัศนีย ทิพยสูงเนิน) ประธานฝายวิชาการ สมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ …………………………………..………ผูเห็นชอบโครงการ (ดร. สุเพียร โภคทิพย) อุปนายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขตอุบลราชธานี ….………………………………….…..…ผูเห็นชอบโครงการ (นางไพรวัลย พรมที) อุปนายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขตขอนแกน ……………………..………ผูเห็นชอบโครงการ (นางสาวสิริลักษณ คุณกมลกาญจน) อุปนายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขตนครราชสีมา ……………………………………….. ผูอนุมัติโครงการ (ผศ.ดร.เสาวมาศ คุณลาน เถื่อนนาดี) นายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สํานักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กําหนดการประชุมวิชาการสัญจร ประจําป2567 ครั้งที่ 1/2567 เรื่อง พัฒนาความกาวหนาวิชาชีพการพยาบาล ประจําป 2567 วันศุกรที่ 24 พฤษภาคม 2567 ณ หองประชุมโรงพยาบาลยโสธร จังหวัดยโสธร เวลา หัวขอ วิทยากร 08.00 - 08.45 น. ลงทะเบียน 08.45 - 09.00 น. - พิธีเปด - กลาวตอนรับ โดยผูอํานวยการโรงพยาบาล และถายภาพหมู สมาคมฯ มอบของที่ระลึกและขอบคุณ ประธาน : นายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลาวตอนรับ : ผูอํานวยการโรงพยาบาลยโสธร กลาวรายงาน : อุปนายกฯ เขต 09.00 - 09.15 น. บทบาทของสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ ในการสงเสริมความกาวหนาในการประกอบ วิชาชีพ ผศ.ดร. เสาวมาศ คุณลาน เถื่อนนาดี นายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 09.15 - 09.30 น. พักรับประทานอาหารวาง 09.30 – 11.00 น. ความรูพื้นฐานดานการวิจัย และนวัตกรรม กรณีศึกษา (Case Study) วิทยากร: เขตอุบลราชธานี นางสาวศศิธร ชํานาญผล นายกกิตติมศักดิ์ 11.00- 12.00 น. การเตรียมผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มี คุณภาพเพื่อการตีพิมพเผยแพรในระดับ ชาติ รศ.ดร. จันทรทิรา เจียรณัย ประธานฝายวารวารและ บรรณาธิการวารการพยาบาลและการดูแล สุขภาพ 12.00 - 13.00 น. พัก รับประทานอาหารกลางวัน 13.00 - 15.30 น. นําเสนอผลงานวิชาการ (onsite) Nursing Outcomes คณะกรรมการดําเนินการนําเสนอผลงานประจําหอง นําเสนอผลงาน หองละ 3 คน 15.30 - 16.30 น. สรุปผลการประชุมวิชาการ ประธานฝายวิชาการ ดร.ทัศนีย ทิพยสูงเนิน 16.30 - 17.00 น. ปดการประชุม ผศ.ดร. เสาวมาศ คุณลาน เถื่อนนาดี นายกสมาคมพยาบาลแหงประเทศไทยฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
รายชื่อคณะกรรมการผู้วิพากษ์ 24 พฤษภาคม 2567 1. ห้องนำเสนอที่ 1 1. ดร. สุเพียร โภคทิพย์ 2. อ. กลอยใจ แสนวงษ์ ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 1 นางอัจฉรา ศรีทองคำ การพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับ การฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 2 นางสาวณิชมาศ บุญสุข การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ รุนแรงที่ทำหัตถการผ่านสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด: กรณีศึกษาเปรียบ 2 ราย 3 นางสาวอรวรรณ สายสุวรรณ การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมหมอนหลอดเพื่อป้องกัน แผลกดทับในผู้ป่วยวิกฤติ ICU.MED 1 S รพ.สรรพสิทธิ ประสงค์ 4 นายเตชะธรรม ฟองนวลศิริกุล การพัฒนารูปแบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวช ฉุกเฉินที่เข้ารับบริการ ณ ห้องฉุกเฉิน 5 นางสาวสุวรี เตชะธนะชัย การพยาบาลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด STEMI ในห้องตรวจสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Lab) 6 นางเกยูร กุจะพันธ์ สมิธ การพัฒนาและทดสอบผลของโปรแกรมการพยาบาล ด้วยการเจริญสติตระหนักรู้ความคิดเพื่อดูแลจิตใจผู้ป่วย หลังโรคหลอดเลือดสมอง 7 นางเย็นใจ ประสพธัญญา ผลของการจัดการตนเองต่อความรู้และคุณภาพชีวิตของ ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง 8 นางสาวลิกิจ โหราฤทธิ์ ผลของการให้ความรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่องการใช้ SOS Score ต่อการปฏิบัติการประเมิน SOS Score ในผู้ป่วย Sepsis โรงพยาบาลหนองคาย 9 นางสมคิด เทียมแก้ว ผลของการดูแลผู้สูงอายุในสภาวะการเจ็บป่วยรุนแรงที่ บ้าน โดยการสนับสนุนของครอบครัว ชุมชน และ ท้องถิ่น: ศึกษารายกรณี 10 นางยุพิน คุณสัตย์ พัฒนาแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดหลอดเลือดดำ อักเสบในผู้ป่วยที่ได้รับยา Levophed ทางหลอดเลือด ดำส่วนปลายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
1. ห้องนำเสนอที่ 1 (ต่อ) 1. ดร. สุเพียร โภคทิพย์ 2. อ. กลอยใจ แสนวงษ์ ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 11 นางฑิสิญา อ่อนละมูล เพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ ได้รับยาเคมีโดยใช้ 7 Aspect of care 12 น.ส.กานต์ทิมา แขนอก นวัตกรรมลูกเต๋า
2. ห้องนำเสนอที่ 2 1. อ. อรชร มาลาหอม 2. อ. ปิยดา เคียง 3. อ. ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 1 นางลำปาง ลูกคำ การพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลาง โดยใช้แนวคิด แบบลีนในหน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธร 2 นางอรุณี มงคลศิลป์ การพยาบาลผู้ป่วยส่องกล้องช่องทรวงอก (Medical thoracoscopy ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Pleuroscopy : กรณีศึกษา 3 นางสาวทิวาพร วงทวี กรณีศึกษา : การจัดการการดูแลผู้ป่วยวิกฤติของ พยาบาลในการดูแลด้านจิตวิญาณในห้องผู้ป่วยหนักอายุ รกรรม2 ทิศเหนือ 4 นางพิสมัย ชูไทย แนวทางการประเมินและป้องกันภาวะไตบาดเจ็บ เฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตบาดเจ็บหลายระบบ 5 นางสาวนันทนาเนื้ออ่อน พัฒนาแนวปฏิบัติการป้องกันการเกิดแผลกดทับใน ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตอายุรกรรมในหอผู้ป่วยอายุรก รรมชายชั้น6 6 นางสาวกมลศรี จุมพล พัฒนาศักยภาพการใช้กระบวนการพยาบาลของ พยาบาลใหม่ด้วยระบบพยาบาลพี่เลี้ยงใน Burn Unit 7 นางมะลิวรรณ แสนทอง โปรแกรมการพยาบาลด้วยความรักเพื่อการดูแลด้าน จิตใจผู้ป่วยแผลไหม้ 8 นางยุพาพิน สายแวว การพัฒนาแนวปฎิบัติการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกเชิง กรานหักและกระดูกเบ้าสะโพกหักโดยใช้แบบประเมิน สุขภาพ FANCAS 9 นางรติมา นันทวิเชียร การพัฒนาระบบการสื่อสารในทีมออกปฏิบัติการ การแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อออกรับผู้ป่วยฉุกเฉินนอก โรงพยาบาล 10 นางสาวอ้อมเกษ ทัดเทียม การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิด ที่รับประทานยาละลายเลือด (Warfarin) อย่างปลอดภัย แนวปฎิบัติใหม่
2. ห้องนำเสนอที่ 2 (ต่อ) 4. อ. อรชร มาลาหอม 5. อ. ปิยดา เคียง 6. อ. ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 11 นางสาวเพ็ญวิไล แซ่ลี้ การพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของงานการพยาบาล ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ 12 นางสาวกลิ่นผกา พาหุพันธ์ ประสิทธิผลของการใช้ระบบการแพทย์ทางไกลสำหรับ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยนอกอายุรกรรมเฉพาะโรค โรงพยาบาลยโสธร
3. ห้องนำเสนอที่ 3 1. ดร. รุ้งลาวัณย์เอี่ยมกุศลกิจ 2. อ. ศิรินาถ นามจันทรา 3. อ. นิภาพร ลครวงษ์ ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 1 นางศศิประไพ ไชยช่วย การพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร 2 นางสาวทองวัน สุนทร ผลของโปรแกรมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะ คลอดโดยพยาบาลต่อระดับความปวดและพฤติกรรม การเผชิญความเจ็บปวดในหญิงวัยรุ่นครรภ์แรก โรงพยาบาลหนองคาย 3 นางอภิญญา วงศ์เฟียง โปรแกรมการพยาบาลเพื่อลดภาวะท้องอืดและส่งเสริม การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องหลังผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี 4 นางรุ่งนภา ขนทรัพย์ ผลการพัฒนาบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะผู้ป่วย เด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจ 5 นางนริศรา เถาวืโท พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤตที่ได้รับ การผูกยึดด้วยวิธีทางกายภาพเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ จากการผูกยึด 6 นางพัชรี พรหมสุวงศ์ การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลดูดเสมหะผู้ป่วยเด็กที่ ใส่ท่อหลอดลมคอโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (EBP) 7 นางวิไลวรรณ ปาสีโล การสร้างผลิตภัณฑ์สายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด (Wrist band) สำหรับหอผู้ป่วยพิเศษพระปทุมวรราช สุริยวงศ์ 4 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการ 8 นางวันวิสา แสนลา การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเลี้ยง ลูกด้วยนมแม่ในภาวะบุตรแยกจากระยะแรกคลอด ตาม หลักบันได10ขั้นในทารกป่วยโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ 9 นางสาวพิมชญา ธรรมศรี การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลผู้ป่วยทารกแรก เกิดที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูง ( Persistent Pulmonary Hypertension of the Newborn) ในหอ ผู้ป่วย NICU.1 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลฯ
3. ห้องนำเสนอที่ 3 (ต่อ) 1. ดร. รุ้งลาวัณย์เอี่ยมกุศลกิจ 2. อ. ศิรินาถ นามจันทรา 3. อ. นิภาพร ลครวงษ์ ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 10 นางนิตยา กุลตังวัฒนา ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจ ต่อความเครียด ของผู้ป่วยที่มีผลตรวจส่องกล้องปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลนครพนม 11 นางขนิษฐา ลีนนลาน ผลของการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางแอพพลิเคชั่น ไลน์บนมือถือต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง
4. ห้องนำเสนอที่ 4 1. อ. วีระนุช มยุเรศ 2. อ. ลัดดา คำแดง 3. อ. สมคิด เผ่าผา ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 1 นางพิชามญชุ์ วิริยะวรางค์กูร กรณีศึกษา: การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ตรงระยะ ลุกลาม ที่ได้รับการผ่าตัดชนิด Abdominoperineal Resection และเปิดทวารเทียมถาวร 2 นางปราณี ทองเสริม การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ มีภาวะน้ำเกินร่วมกับภาวะหายใจล้มเหลว กรณีศึกษา เปรียบเทียบ 2 ราย 3 นางสาวอรัญญิการ์ สระบงกช ผลการพัฒนารูปแบบการให้ความรู้ผู้ป่วยผ่าตัดต้อ กระจกโดยใช้สื่อแบบมัลติมีเดียในหอผู้ป่วยจักษุ 4 นางอุบล พลเทพ การเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิด แผลกดทับ ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงชั้น 5 5 นางอัชราพร เถาว์โท การพัฒนาการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำ ทางหลอดเลือดดำเพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดดำส่วน ปลายอักเสบ (Phlebitis) 6 นางเลียมใจ คำมุงคุล การเพิ่มประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อและการ แพร่กระจายเชื้อดื้อยาโดย SHIP BE BUNDLE 7 นางยุวลี ฉายวงศ์ ลักษณะของผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคปอดใน โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี 8 นายนิพนธ์ น้อยวิเศษ การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการ มีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่าย ตำบลบ้านเป้า อำเภอ เกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิปี2567 9 นางภัครินทร์ชิดดี ประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรค ซึมเศร้าที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอำนาจเจริญ: สิ่งที่ช่วยลดแรงจูงใจและความตั้งใจในการฆ่าตัวตาย 10 นางวาทินี ชุณหปราณ ผลการสอนโดยใช้ Hands off technique ต่อ ประสิทธิภาพ ความมั่นใจ ความสำเร็จของการให้นมแม่ ก่อนจำหน่ายกลับบ้าน ในมารดาครรภ์แรกหลังคลอด ปกติ ครบกำหนด ทุกกลุ่มอายุ ที่รับไว้ในหอผู้ป่วยสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลนครพนม
4. ห้องนำเสนอที่ 4 (ต่อ) 1. อ. วีระนุช มยุเรศ 2. อ. ลัดดา คำแดง 3. อ. สมคิด เผ่าผา ลำดับ ชื่อ สกุล ผู้นำเสนอ ชื่อผลงาน หมายเหตุ 11 นางสุระดา ไชยธงยศ ผลของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อการป้องกันแผล ที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนครพนม 12 นางหอมหวล อ่อนมิ่ง พัฒนาการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ เฉียบพลันโดยใช้กระบวนการพยาบาลตามระยะ ร่วมกับ 7 Aspect of care หอผู้ป่วยSCH-3 พิเศษ โรงพยาบาลเด็กสรรพสิทธิประสงค์
ห้องนำเสนอที่ 1
การพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร นางอัจฉรา ศรีทองคำ โรงพยาบาลยโสธร ผู้ประพันธ์บรรณกิจ: [email protected] บทคัดย่อ ความปลอดภัยของผู้ป่วยในโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์ ทุกฝ่าย และเป็นสิ่งที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง การดูแลผู้ป่วยที่มารับการรักษาและได้รับยาฉีดที่ห้องฉีดยาแผนกผู้ป่วยนอก มีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง เกิดขึ้นหลายอย่าง อาทิเช่น การฉีดยาผิด การแพ้ยา การเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะฉีดและหลังฉีดยา ดังนั้นความปลอดภัย ของผู้ป่วยจึงเป็นสิ่งที่พยาบาลต้องตระหนักและให้ความสำคัญตลอดระยะเวลาที่รับผู้ป่วยไว้ในความดูแล วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาและศึกษาผลพัฒนาระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงในระดับที่ส่งผลให้เกิดอันตรายชั่วคราวต่อผู้รับบริการ เครื่องมืออุปกรณ์ กระบวนการทำงานและองค์กร ต้องได้รับการรักษาหรือแก้ไขเพิ่มเติม (ระดับ E) ขึ้นไปในผู้ป่วยนอก (OPD) ที่ได้รับการฉีดยา วิธีศึกษา: รูปแบบการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 พัฒนาระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไปในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยา และระยะที่ 3 การประเมินผล วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษา: 1) การศึกษาสถานการณ์ (1.1) ด้านโครงสร้างระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไปใน ผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยายังไม่เป็นระบบชัดเจน (1.2) ด้านกระบวนการการดูแลผู้ป่วยยังขาดความต่อเนื่องไม่ครบ ตามกระบวนการพยาบาล (1.3) ด้านผลลัพธ์ การเฝ้าระวังความเสี่ยงระดับ E มีโอกาสเกิดอุบัติการณ์สูง 2) ระบบ การป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไปในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยาที่พัฒนาขึ้นได้บูรณาการ 2 แนวคิด คือ การเน้นการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องแบบองค์รวมตั้งแต่แรกรับจนกระทั่งจำหน่าย และแนวคิดการบริหารความเสี่ยง เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข (2P Safety)ผลของระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไป ในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยา ที่พัฒนาขึ้น (2.1) จำนวนผู้ป่วยที่มารับการฉีดยาที่ห้องฉีดยา 700 ราย กลุ่มเฝ้าระวังเสี่ยงสูงที่ต้องสังเกตอาการ ร้อยละ 7 (n=49) กลุ่มเสี่ยงปานกลาง ร้อยละ 23 (n=161) และกลุ่มเสี่ยงต่ำ ร้อยละ 70 (n=490) (2.2) ผู้ป่วยที่มารับบริการมีความพึงพอใจร้อยละ 91 ต่อระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยง ระดับ E ขึ้นไปในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยา (2.3) ความเสี่ยงระดับ E เท่ากับ 0 และอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ระหว่างฉีดยาและหลังฉีดยา เท่ากับ 0 คำสำคัญ: การพัฒนาระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยง, ความเสี่ยงระดับ E, ห้องฉีดยาแผนกผู้ป่วยนอก
The Development of Nursing service system for Patients Received an injection in Outpatient Department, Yasothon Hospital. Atchara Srithongkam Yasothon Hospital Corresponding author: [email protected] Abstract Patient safety in hospitals is desirable for patients, relatives and all medical staff. It is an important factor demonstrating the development of the standard of care and continuous quality improvement. There are many risks in the outpatient injection room, such as injecting the wrong drug, allergic reactions to drugs and complications during and after the injection. Therefore, nurses must pay attention to and emphasis patient safety throughout the time they are caring for patients. Objective: To investigate the outcomes of developing a system to prevent risk at a level that results in temporary harm to service recipients. tools and equipment work process and organization Requires further treatment/correction (Level E) or higher risks in outpatient department ( OPD) patients receiving injections. Method: Research & Development. The sample group was selected randomly. The research is divided into 3 phases: Phase 1 investigates the situation, Phase 2 develops a system to prevent level E or higher risks in OPD patients receiving injections, and Phase 3 evaluates the results. Data analysis methods are used. Descriptive statistics. Results of the study: 1) Situational study (1.1) The structure of the system to prevent level E and above risks in OPD patients receiving injections is not clear. (1.2) The nursing process Patient care is not continuous and incomplete according to the nursing process. (1.3) Outcomes: Monitoring of risk level E has a high probability of occurrence. 2) The system for prevention of risk level E in OPD patients receiving injections. A system was developed that integrates 2 concepts: The emphasis on continuous, holistic care from the beginning of admission to discharge and the concept of risk management concepts for the safety of patients and health personnel (2P safety) . Results of the system developed to prevent level E or higher risk exposures in OPD patients receiving injections. (2.1) Number of patients coming to the injection room to receive injections: 700 cases, high risk monitoring group requiring symptom observation 7% (n=49), medium-risk group 23% (n=161), and high-risk group low 70% (n=490). (2.2) Patients coming for services are 91% satisfied with the system for avoiding level E or higher risks in OPD patients receiving injections. (2.3) Risk level E is equal to 0 and the rate of complications during and after injection is equal to 0. Key word: Development of risk prevention systems, risk level E, outpatient injection rooms
1.บทนำ คุณภาพบริการพยาบาล มีคุณลักษณะของบริการพยาบาลที่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ ปราศจาก ข้อผิดพลาด และมีผลลัพธ์ที่ดีตามหลักวิชาการ ตามความคาดหวังของผู้ป่วย/ครอบครัวและผู้ใช้บริการ โดยคุณภาพ ตามที่คาดหวังเป็นผลจากการมีโครงสร้างและกระบวนการบริการที่เป็นไปตามมาตรฐานในระดับที่ดีที่สุด มาตรฐาน การปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยนอกเป็นการกำหนดให้พยาบาลนำไปปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มเข้ามาใช้บริการ ประกอบด้วย 9 มาตรฐาน กล่าวคือ มาตรฐานแรกเป็นการพยาบาลในระยะก่อนการตรวจรักษา เช่นการตรวจคัดกรอง การประเมินและเฝ้าระวังอาการผู้ใช้บริการต่อเนื่อง มาตรฐานที่สองเป็นการพยาบาลในระยะขณะตรวจรักษา ดูแล เอื้ออำนวยให้กระบวนการรักษาของแพทย์เป็นไปอย่างสะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว มาตรฐานที่สามเป็นการพยาบาลใน ระยะหลังการตรวจรักษา ดูแลประสานการส่งต่อ ให้ผู้ใช้บริการได้รับการบริการสุขภาพตามแนวทางการรักษาพยาบาล ต่อเนื่อง มาตรฐานที่สี่เป็นการดูแลต่อเนื่อง ดูแลผู้ใช้บริการ ในการตรวจรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ตามมาตรฐาน หรือแนวทางการส่งต่อ มาตรฐานที่ห้าเป็นการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพของผู้ใช้บริการ โดยมุ่งเน้น การป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น มาตรฐานที่หกเป็นการคุ้มครองภาวะสุขภาพเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ อย่างต่อเนื่อง มาตรฐานที่เจ็ดเป็นการให้ข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพให้ข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม การดูแลสุขภาพตนเองของผู้ใช้บริการ มาตรฐานที่แปดเป็นการพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยโดยเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่า ความเป็นมนุษย์ ตลอดจนการพิทักษ์สิทธิตามขอบเขต และมาตรฐานที่เก้าเป็นการบันทึกทางการพยาบาล เป็นลายลักษณ์ อักษรอย่างเป็นระบบเพื่อสื่อสารกับทีมงาน(1,2) ความปลอดภัยของผู้ป่วยในโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งบุคลากรทาง การแพทย์ทุกฝ่าย โดยได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข 2P safety (Patient and Personal Safety) โดยสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(องค์กรมหาชน)(3,4) แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลยโสธร เป็นด่านหน้าในการรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วย จะได้รับการดูแลโดยใช้กระบวนการพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของวิชาชีพพยาบาล เพราะเป็นแนวทางใน การดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ ทำให้วิชาชีพพยาบาลมีการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนและมีความต่อเนื่อง การมีทัศนคติที่ดีและเห็นคุณค่าของกระบวนการพยาบาลนำไปใช้ในการปฏิบัติงานที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับส่งผล ให้วิชาชีพมีความเป็นเอกลักษณ์และนำไปสู่การพยาบาลที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ กระบวนการพยาบาลเป็นการปฏิบัติการพยาบาลที่เป็นขั้นตอนโดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ใช้วิจารณญาณ เพื่อแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมแก่ผู้ใช้บริการแต่ละราย ตามแนวทางการพยาบาลของทฤษฎีการพยาบาลของคิงที่มีฐาน ความคิดเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ให้การพยาบาลในรูปแบบการสนับสนุนและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้รับบริการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการเป็นมนุษย์ โดยใช้กระบวนการพยาบาลดังต่อไปนี้1) การประเมินปัญหาของผู้ป่วย (Assessment) จากการซักประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ 2) การวินิจฉัย พยาบาล (Planning) แก้ปัญหาสำคัญก่อนหลังโดยแก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน 3) การวางแผน (Planning) แก้ปัญหา สำคัญก่อนหลังโดยแก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน 4) การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ (Implementation or intervention)
5) การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation) ว่ามีผลสัมฤทธิ์เพียงใด นอกจากนี้พยาบาลวิชาชีพยังมีบทบาทหน้าที่ 1) ผู้ให้การดูแล (Care provider) 2) ผู้ติดต่อสื่อสารหรือช่วยเหลือ (Communicator) 3) ผู้สอน (Teacher) 4) ผู้ให้ คำปรึกษา (Counselor) 4) ผู้พิทักษ์สิทธิ์ของผู้ใช้บริการ (Advocator) ห้องฉีดแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร มีบทบาทในการให้ยาผู้ป่วยตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยที่มารับบริการมีทั้งผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินกรณีไม่เร่งด่วนมาก รับการรักษาแล้วรับยามาฉีดต่อที่ห้องฉีดยาแผนกผู้ป่วยนอก คลินิกพิเศษต่างๆ ได้แก่ คลินิกอายุรกรรม คลินิกความ ดันโลหิตสูง คลินิกเบาหวาน คลินิกวัณโรค คลินิกศัลยกรรม คลินิกเด็ก คลินิกโรคตา คลินิกโรงทางศัลยกรรม คลินิกโรคไต คลินิกโรคหัวใจ คลินิกโรคกระดูก และคลินิกโรคผิวหนัง ซึ่งบทบาทหน้าที่ที่สำคัญของพยาบาลวิชาชีพต้องตระหนัก และรับผิดชอบ คือ เรื่องการบริหารจัดการยาโดยเฉพาะยาที่มีความเสี่ยงสูงเป็นแนวทางปฏิบัติในประเด็นความปลอดภัย ด้านยาที่โรงพยาบาลกำหนด การบริหารจัดการยาเป็นแนวทางปฏิบัติในประเด็นความปลอดภัยด้านยาที่ต้องให้ ความสำคัญ พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการบริหารยาเหล่านี้โดยเฉพาะขั้นตอนการบริหารยา การเฝ้าระวัง ติดตาม ตลอดจนบันทึกข้อมูลการใช้ยาและอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาเพื่อช่วยลดและป้องกันการเกิดความ คลาดเคลื่อนทางยาและอันตรายจากการใช้ยาความเสี่ยงสูงเหล่านั้น การบริหารจัดการยาความเสี่ยงสูงเพื่อให้เกิด ความปลอดภัยกับผู้ป่วย โดยสาระของบทความมี 4 ประเด็น ประกอบด้วย 1) คําจํากัดความยาความเสี่ยงสูง 2) กระบวนการบริหารจัดการยาความเสี่ยงสูง 3) บทบาทพยาบาลในการบริหารจัดการยาความเสี่ยงสูง และ 4) แผนการ พยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาความเสี่ยงสูง ดังนั้นในการให้บริการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาแผนก ผู้ป่วยนอก จะต้องอาศัยกระบวนการพยาบาลดังต่อไปนี้ 1.การประเมินปัญหาของผู้ป่วย (Assessment) จากการซัก ประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ 2.การวินิจฉัยพยาบาล (Planning) แก้ปัญหา สำคัญก่อนหลังโดยแก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน 3.การวางแผน (Planning) แก้ปัญหาสำคัญก่อนหลังโดยแก้ปัญหา เร่งด่วนก่อน 4. การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ (implementation or intervention) 5. การประเมินผลการพยาบาล (evaluation) ว่ามีผลสัมฤทธิ์เพียงใด ภายใต้การมีปฏิสัมพันธ์ให้การพยาบาลในรูปแบบการสนับสนุนและส่งเสริม การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้รับบริการราย ตามแนวทางการพยาบาลของทฤษฎีการพยาบาลของคิง นอกจากนี้ความปลอดภัยของผู้ป่วยในโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับผู้ป่วย ญาติ และบุคลากร ทางการแพทย์ทุกฝ่าย และเป็นสิ่งที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลที่ได้มาตรฐานและมีการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง การดูแลผู้ป่วยที่มารับการรักษาและได้รับยาฉีดแผนกผู้ป่วยนอก มีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงเกิดขึ้น หลายอย่าง อาทิเช่น การฉีดยาผิด การแพ้ยา การเกิดภาวะแทรกซ้อน ในขณะฉีดและหลังฉีดยา ดังนั้น ความปลอดภัย ของผู้ป่วยจึงเป็นสิ่งที่พยาบาลต้องตระหนักและให้ความสำคัญตลอดระยะเวลาที่รับผู้ป่วยไว้ในความดูแล จากปี 2563 – 2565 มีผู้ป่วยมารับบริการที่ห้องฉีดยา 8,912 ราย, 8,604 ราย และ 8,025 ราย ตามลำดับ มีอุบัติการณ์ความเสี่ยง ความคลาดเคลื่อนทางยาระดับ B ร้อยละ 0.85 (76 ราย), 0.48 (43 ราย) และ 0.44 (40 ราย) ตามลำดับ อุบัติการณ์ ความเสี่ยงระดับ C ร้อยละ 0.20 (18 ราย), 0.15 (13 ราย) และ 0.21 (19 ราย) ตามลำดับ ส่วนความเสี่ยงระดับ E
เท่ากับ 0 แม้มีแนวโน้มไม่เพิ่มขึ้นแต่บทบาทของพยาบาลก็ต้องเฝ้าระวังและป้องกันความเสี่ยง ตลอดถึง ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อวิเคราะห์และทบทวนบริการตามมาตรฐานบริการงานพยาบาลผู้ป่วยนอกโดยเฉพาะระบบบริการห้องฉีดยา ยังมีประเด็นในการพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐานบริการงานพยาบาลผู้ป่วยนอกมีคุณภาพมากขึ้นอีก อาทิเช่น การเฝ้า ระวังความเสี่ยงและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างฉีดยา ซึ่งกิจกรรมการพยาบาลทำให้เกิดผลดีต่อ ผู้รับบริการทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน แสดงถึงคุณภาพการพยาบาลสิ่งที่พึงกระทำและผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธรตาม มาตรฐานเชิงโครงสร้าง กระบวนการ ผลลัพธ์ให้เกิดคุณภาพมาตรฐานและผู้ป่วยเกิดความปลอดภัย สามารถนำมาใช้ ได้จริง รวมทั้งผู้รับบริการเกิดความมั่นใจ ซึ่งเน้นการพัฒนาขั้นตอนการทำงาน มีการนำปัญหามา วิเคราะห์ วางแผน การนำแผนที่วางไว้ ไปปฏิบัติจริงมีการทบทวนขั้นตอนอย่างเป็นระบบ มีการทวนซ้ำในกระบวนการและการปรับปรุง ให้ดีขึ้นตามกระบวนการแห่งการพัฒนาคุณภาพงานที่มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้รับบริการและ องค์กรต่อไป 2.กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้กรอบแนวคิดของโดนาบีเดียน (Donabedian, 2003) เป็นการประเมินคุณภาพ ระบบบริการการดูแลภาวะสุขภาพโดยจะต้องอาศัยองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน มี 3 องค์ประกอบหลักคือ 1. โครงสร้าง (structure) 2.กระบวนการ (process) และ 3.ผลลัพธ์ (out come) ซึ่งมีรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบดังนี้ (Donabedian, 2003)(5) ลักษณะขององค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน พบว่า มีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน หากสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น มีโครงสร้างที่ดี และกระบวนการที่ดีก็ยอมส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีตามมา เนื่องจากโครงสร้างของการบริการจะมี อิทธิพลต่อกระบวนการ และกระบวนการย่อมมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ ดังนั้น ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้ กรอบแนวคิดของโดนาบีเดียน (Donabedian, 2003) โดยจะต้องอาศัยองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน 3 องค์ประกอบ หลักดังกล่าว คือ โครงสร้าง (structure) กระบวนการ (process) และผลลัพธ์ (out come) ดังนี้ 1) โครงสร้างการประกอบด้วย ด้านการจัดโครงสร้างองค์กร ด้านทรัพยากรบุคคล และด้านเครื่องมือ 2) กระบวนการ ประกอบด้วย วิธีการหรือ กิจกรรมการดำเนินงานเช่น การจัดตั้งคณะทำงาน การให้ความรู้ ของบุคลากรทีมสุขภาพ 3) ผลลัพธ์ ประกอบด้วย สถานะทางสุขภาพ และความพึงพอใจของผู้ที่มารับบริการ โดยองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ เนื่องจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและ ขึ้นต่อกัน อันจะทำให้ได้ข้อมูลที่ครบตามองค์ประกอบดังที่กล่าวมา และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบ บริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร ต่อไป
รูปที่ 1 แสดงกรอบแนวคิดของโดนาบีเดียน (Donabedian, 2003)(5) 3.วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 2. เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 4.ขอบเขตการวิจัย 4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร จำนวน 713 ราย 4.2 ระยะเวลาในเก็บข้อมูล คือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2566 - เดือนพฤษภาคม 2566 4.3 สถานที่ในการศึกษาวิจัย ห้องฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 4.4 ตัวแปรที่ศึกษา 4.4.1 การพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล ยโสธร 4.4.2 คุณภาพของระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร โครงสร้าง (Structure) 1.นโยบายการบริการงาน พยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการ ฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 2.มาตรฐานการบริการงาน พยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการ ฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 3.แนวทางบริการงาน พยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการ ฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธรของกอง การพยาบาล กระบวนการ (Process) 1.วิเคราะห์สถานการณ์ เวช ระเบียน ทบทวนตัวชี้วัดการ ดำเนินงาน 2.พัฒนาระบบบริการงาน พยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการ ฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 3.พัฒนาสมรรถนะพยาบาล 4.นำสู่การปฏิบัติ 5.ประเมินผลการปฏิบัติ ผลลัพธ์ (Output) 1.ด้านองค์กร ได้แก่ ไม่เกิด ความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไป 2.ด้านผู้ให้บริการ ได้แก่ ความรู้ ความพึงพอใจ การ ปฏิบัติตามแนวทาง 3.ด้านผู้รับบริการ ได้แก่ ความ ปลอดภัยไม่ได้รับการส่งต่อไป แผนกอื่นที่เกิดจาก ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดยา
5.วิธีดำเนินการวิจัย 5.1 รูปแบบการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา(Research & Development) นี้ กำหนดพื้นที่ เป้าหมาย คือ ห้องฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 5.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่ายตามเกณฑ์คัดเข้า จำนวน 713 ราย 1.คุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างที่เลือกเข้าศึกษา (Inclusion criteria) 1.1 ผู้ป่วยทุกรายที่มารับการฉีดยาที่ห้องฉีดยา แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 1.2 ไม่มีการเจ็บป่วยรุนแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าร่วมโปรแกรม ฯ 1.3 ยินยอมเข้าร่วมการวิจัย 2.เกณฑ์การคัดออกของกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ป่วยไม่สะดวก เข้าร่วมในการตอบ แบบสอบถามหรือตอบแบบสอบถามไม่ครบตามที่กำหนดไว้ 5.3 ขั้นตอนการวิจัย เป็น 4 ระยะ ดังนี้คือ (1) ระยะที่ 1 (R1) การวิเคราะห์สถานการณ์ ร่วมกับการศึกษาข้อมูลสถิติการให้บริการ ตัวชี้วัดคุณภาพ การรักษาพยาบาลย้อนหลัง และทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยที่มารับ การฉีดยาที่ห้องฉีดยา แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร (2) ระยะที่ 2 (D1) พัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร มีการพัฒนาดังนี้ 1) ผู้วิจัยศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะพยาบาล ร่วมกับ การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน มากำหนดเป็นสมรรถนะของพยาบาล ประกอบด้วย สมรรถนะ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านการประเมินผู้ป่วย ด้านการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ด้านการบริหารยา และด้านการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ ผู้วิจัยดำเนินการดังนี้ 1) ศึกษาตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดโครงสร้างและเนื้อหา รวมทั้งเครื่องมือที่จะ ใช้ในการวิจัย 2) ดำเนินการพัฒนาเครื่องมือที่จะใช้ในการวิจัยตามโครงสร้างที่กำหนด 3) ได้รูปแบบระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร โดยมี กระบวนการพัฒนาเชิงปฏิบัติการ 4 ขั้นตอน ดังรูปที่ 1 (3) ระยะที่ 3 (R2) นำรูปแบบแนวทางที่พัฒนาขึ้นไปปฏิบัติกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใช้บริการ คือ ผู้ป่วยแผนก ผู้ป่วยนอกที่ได้รับการฉีดยา นำสู่การปฏิบัติโดยการ 1) จัดประชุม อบรมวิชาการความรู้เรื่องโรค และชี้แจงรูปแบบ การพยาบาล 2) นำรูปแบบไปใช้ 3) เก็บรวบรวมผลการดำเนินการ 4) ผู้วิจัยทำหน้าที่พี่เลี้ยง ที่ปรึกษา และผู้ประสานงาน (4) ระยะที่ 4 (D2) การประเมินผลรูปแบบระบบบริการงานพยาบาลที่พัฒนาขึ้น โดยผู้ป่วยที่มารับการฉีดยา ที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร จำนวน 713 ราย
5.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาระบบ แบบสำรวจรายการปฏิบัติ-ไม่ปฏิบัติ เลือกตอบ “ปฏิบัติทุกครั้ง” “ปฏิบัติบางครั้ง” และ “ไม่ปฏิบัติ” จำนวน 18 รายการ โดยเครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (content validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน เพื่อหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index: CVI) และนำไปทดลองใช้กับพยาบาลผู้ปฏิบัติในห้องฉีดยา แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร 2) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลลัพธ์ ได้แก่ แบบประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อรูปแบบที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล ยโสธร จำนวน 7 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) กำหนดระดับความพึงพอใจ ดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก ระดับ 3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ระดับ 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด ผู้วิจัยนำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยที่มารับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 30 ชุด แล้วนำมาหาค่าทดสอบความ เชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.80 5.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและสร้างข้อสรุป 6. การพิทักษ์สิทธิ์ การวิจัยนี้ดำเนินการหลังผ่านการพิจารณา และอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมใน มนุษย์โรงพยาบาลยโสธร เลขที่ YST 2023-04 ให้การรับรองวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ช่วงเวลาที่ศึกษา ตั้งแต่ เดือน กุมภาพันธ์ 2565 – 31 กรกฎาคม 2566 7. ผลการวิจัย 1.การศึกษาสถานการณ์ พบว่า 1) ด้านโครงสร้างระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไปในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยายังไม่เป็นระบบชัดเจน แนวปฏิบัติกำหนดไว้ยังไม่เป็นปัจจุบัน บุคลากรที่เป็นทีมให้บริการ ห้องฉีดยาแผนกผู้ป่วยนอกมีการทบทวนความเสี่ยงต่าง ๆ ค่อนข้างน้อย และมีข้อจำกัดในการคัดกรองและประเมิน ผู้ป่วย แนวปฏิบัติในการปฏิบัติงานเดิมยังไม่ครอบคลุม จึงควรมีการทบทวนและทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการและ ขั้นตอนด้วย รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมการทบทวนอุบัติการณ์ ที่เกิดขึ้นต่างๆ 2) ด้านกระบวนการ การดูแลผู้ป่วยยัง ขาดความต่อเนื่องไม่ครบตามกระบวนการพยาบาลโดยเฉพาะการประเมินผู้ป่วย ก่อน ระหว่าง และหลังฉีดยา เพราะ ใช้ระบบการหมุนเวียนมาปฏิบัติหน้าที่แทนกัน 3) ด้านผลลัพธ์ การเฝ้าระวังความเสี่ยงระดับ E มีโอกาสเกิดอุบัติการณ์ สูง เนื่องด้วยมีผู้ป่วยที่หลากหลายกลุ่มโรค มีหลายกลุ่มวัย และแนวทางยังไม่ระบุรายละเอียดในส่วนย่อยที่ หลากหลายกลุ่มโรค โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโรคร่วม
2.ระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร ที่พัฒนาขึ้น เป็นระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไปในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับการฉีดยาที่พัฒนาขึ้นได้บูรณาการ 2 แนวคิด คือ การเน้นการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องแบบองค์รวมตั้งแต่แรกรับจนกระทั่งจําหน่าย และแนวคิด การบริหารความเสี่ยง 2P Safety ผลของระบบการป้องกันการเกิดความเสี่ยงระดับ E ขึ้นไปในผู้ป่วย OPD ที่ได้รับ การฉีดยาที่พัฒนาขึ้น ดังรูปที่ 2 รูปที่ 2 แสดงระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธรที่พัฒนา ผู้ป่วยยื่นบัตรพร้อมยา ฉีด Check คน Check ยา สอบถาม ใบนำทาง Pop up ใน Hos XP ตรวจสอบ ประวัติการแพ้ยา Hx แพ้ยา Hx ฉีดยา Hx แพ้ยาจากที่อื่น 1.ดู Order แพทย์ 2.Consult แพทย์ เพื่อปรับยาใหม่ 1.Consult เภสัชกร 2.Consult แพทย์เพื่อ ปรับยาใหม่ 1.ประเมินอาการวัด v/s 2.ให้การพยาบาล ดูแลเบื้องต้น 3.รายงานแพทย์เพื่อ สังเกตอาการและ ปรับยา *กรณีอาการรุนแรง ส่ง ER
กิจกรรมการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาแผนกผู้ป่วยนอกที่ได้จากการพัฒนา (Implementation) ตารางที่ 1 แสดงกิจกรรมการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาแผนกผู้ป่วยนอกที่ได้จากการพัฒนา กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) 1. ตรวจสอบบันทึกการให้ยากับคำสั่งการ รักษา 2. มีการตรวจสอบการให้ยาโดยพยาบาล/ผู้ช่วย พยาบาล 2 คนตรวจสอบ เพื่อยืนยันตัวบุคคลก่อนที่ จะให้ยา 3. แจ้งให้ผู้ป่วย/ญาติทราบ ซักประวัติการแพ้ยา อธิบายชนิดของยาที่ผู้ป่วยจะได้รับฤทธิ์ และผลข้างเคียงของยา รวมทั้งข้อปฏิบัติที่ ควรทราบ 4. ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้งและใส่ถุงมือก่อน ฉีดยา 5. เตรียมยาฉีดตามหลักการปลอดเชื้อ - มั่นใจว่าฉีดยาได้ถูกต้องตามหลัก 6R -ป้องกันความคลาดเคลื่อน - เคารพในสิทธิผู้ป่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน ได้ทราบข้อมูลและปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง - ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ - ป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค 6. เปิดโอกาสให้ซักถาม และมีส่วนร่วมในการ เลือกตำแหน่งที่ฉีดยา 7. จัดท่าให้นอนหงาย นอนคว่า นอนตะแคง หรือนั่ง 8. เลือกตำแหน่งที่ฉีดยา หลีกเลี่ยงบริเวณที่มี รอยถลอกอักเสบ ช้ำ บวมหรือรอยแผลเป็น รอยแทงเข็มซ้ำ หลายครั้ง 9. เช็ดบริเวณที่จะฉีดยาด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดเปิดวงกลมจากตรงกลางออกด้านนอก ประมาณ 5 เซนติเมตร 10. ถอดปลอกเข็มออก ไล่อากาศในกระบอก ฉีดยาโดยจับกระบอกฉีดยาให้ตั้งตรงค่อยๆดันลูกสูบ จนกระทั้งเห็นยาเข้าไปอยู่ในหัวเข็ม 11. จับผิวหนังให้ตึงโดยยกขึ้นหรือดึงลง จับ กระบอกฉีดยาให้ปลายตัดของเข็มหงายขึ้น - ผู้ป่วยมีส่วนร่วม - จัดท่าให้เหมาะสมตามตำแหน่งที่ฉีดยา -ผู้ป่วยได้รับการฉีดยาที่ถูกต้องถูกตำแหน่งไม่เกิด ความบาดเจ็บเพิ่มจากการฉีดยา - ทำความสะอาดบริเวณฉีดยา - แอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ได้ ภายในเวลา 10-15 วินาทีลดการติดเชื้อ90% ใน เวลา 12 นาที ที่สำคัญที่สุดคือฤทธิ์ทำลาย เชื้อโรคจะเกิดขึ้นเมื่อแอลกอฮอล์ระเหยแห้งแล้ว บริเวณผิวหนังได้ขณะที่รอให้แอลกอฮอล์แห้ง - ป้องกันอากาศเข้าผู้ป่วยและตรวจสอบปริมาณยา ได้ถูกต้อง -การปักเข็งลงอย่างรวดเร็วทำให้ ลดความเจ็ดปวด
กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) แทงเข็มฉีดยาให้ปลายตัดของเข็มหงายขึ้น แทงเข็มฉีดยาอย่างรวดเร็ว ให้เข็มทำมุม ดังนี้ 11.1 กล้ามเนื้อสะโพก ให้แทงเข็มทำ มุม 72-90องศา ในผู้ใหญ่เข็มลึกประมาณ 1-1.5 นิ้วในเด็กไม่เกิน 1 นิ้ว 11.2 กล้ามเนื้อต้นขาในผู้ใหญ่ให้แทงเข็ม ทำมุม 72-90 องศาลึกประมาณ 2/3 นิ้ว ในเด็กให้แทงเข็มทำมุม 45 องศา ลึกประมาณ 3⁄4 นิ้ว 11.3 กล้ามเนื้อต้นแขนแทงเข็มทำมุม 45-60 องศาลึก2/3 นิ้ว 12. ยึดหัวเข็มและกระบอกฉีดยาให้นิ่ง ดึง ลูกสูบออกเล็กน้อยเพื่อทดสอบว่าปลายเข็ม แทงถูกหลอดเลือดหรือไม่ถ้าไม่พบเลือด ในกระบอกฉีดยาให้ดันยาเข้าไปช้าๆ จน หมด (10 วินาที/มิลลิลิตร) 13. ใช้สำลีแห้งวางเหนือจุดแทงเข็ม ดึงเข็มออก โดยเร็วตามทิศทางเดียวกับที่แทงเข็มเลื่อน สำลีกดรอยเข็มคลึงบริเวณที่ฉีดเบาๆ ถ้ามี เลือดออกให้ใช้สำลีแห้งหรือผ้าก๊อสกดไว้ 30-60 วินาทีจนกว่าเลือดจะหยุด 14. ทิ้งเข็มในขณะทิ้งของมีคม โดยไม่สวม ปลอกเข็ม และทิ้งกระบอกฉีดยาในขยะติดเชื้อ 15. สังเกตและซักถามอาการผิดปกติที่อาจจะ เกิดขึ้นขณะและหลังฉีดยา 15-30 นาที และ ถ้าเป็นไปได้ควรประเมินตำแหน่งที่ฉีดยา ใน 2-4 ชั่วโมง16. ให้การช่วยเหลือ และรายงาน แพทย์ทันทีเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา 17. เก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้งหรือใช้ Waterless 20-30 วินาที 18. บันทึกการให้ยาลงในแบบบันทึกการให้ยา -การแทงเข็มทำมุมทำให้เข้าถึงชั้นกล้ามมเนื้อได้ง่าย -กดห้ามเลือด - ความปลอดภัย ไม่ถูกเข็มทิ่มตำและลดการ แพร่กระจายเชื้อ
กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ถ้าพบความผิดปกติจากการให้ยาให้บันทึก ในแบบบันทึกทางการพยาบาล การบันทึก (Documentation) บันทึกการให้ยาลงในแบบบันทึกการให้ยา (Medication Record) และแบบบันทึกทางการพยาบาล โดยบันทึกวัน เวลา ตำแหน่งที่ฉีดหลังการให้ยาทันทีกรณีที่เป็นยาที่ให้เป็น pm ควรบันทึกเหตุผลในการให้ ยาทุกครั้งถ้ามีการให้ยาช้า หรือไม่ได้ให้ยาควรมีการรายงานอุบัติการณ์และแจ้งให้หัวหน้าทีมทราบเพื่อหา เหตุผลหรือข้อเท็จจริงและแนวทางแก้ไข 3. ผลของการพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล ยโสธร ผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 68.72 (n=490) และเป็นเพศชาย ร้อยละ 31.28 (n=223) อยู่ในกลุ่มอายุ 16-59 ปีส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ความดัน เบาหวาน และ อุบัติการณ์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร มีความเสี่ยงระดับต่ำร้อยละ 70.27 รองลงมาอยู่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 22.58 และอยู่ในระดับความเสี่ยงสูงที่ต้องสังเกตอาการร้อยละ 7.15 ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยา ที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร (N=713) ระดับความเสี่ยง จำนวน ร้อยละ 1.กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงระดับสูงที่ต้องสังเกตอาการ 51 7.15 2.กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง 161 22.58 3.กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงระดับต่ำ 501 70.27 ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล ยโสธร พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะความพึงพอใจโดยรวม มีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.05 (S.D. = 0.67) รองลงมาคือ ด้านความสะดวกเมื่อต้องการความช่วยเหลือ มีค่าคะแนนเฉลี่ย 3.90 (S.D. = 0.55) และด้านการติดต่อประสานงาน รวดเร็วชัดเจน 3.86 (S.D. = 0.59) ดังแสดงในตารางที่ 3
ตารางที่ 3 ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร รายการข้อคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ คะแนนเฉลี่ย S.D. ผลการประเมิน 1.ด้านความสะดวกเมื่อต้องการความช่วยเหลือ 3.90 0.55 มาก 2.ด้านการติดต่อประสานงานรวดเร็วชัดเจน 3.86 0.59 มาก 3.ด้านอัธยาศัยของพยาบาลในการให้บริการ 3.76 0.65 มาก 4.ด้านการแจ้งข้อมูลสุขภาพต่างๆ 3.80 0.63 มาก 5.ด้านคุณภาพบริการ 3.83 0.67 มาก 6.ด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล 3.82 0.72 มาก 7.ความพึงพอใจโดยรวม 4.05 0.67 มาก 8. การอภิปรายผล การพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร ที่ พัฒนาขึ้นนี้ได้มีการประยุกต์ใช้แนวคิดของโดนาบีเดียน (Donabedian, 2003) (5) มาใช้เป็นการประเมินคุณภาพ ระบบบริการการดูแลภาวะสุขภาพโดยจะต้องอาศัยองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน มี 3 องค์ประกอบหลักคือ โครงสร้าง (structure) กระบวนการ (process) และผลลัพธ์ (out come) พบว่า ในการพัฒนาระบบบริการการพยาบาล ดังกล่าว มีการพัฒนาปรับปรุง 2 วงรอบ และนำไปทดลองใช้ ส่งผลดีต่อระบบบริการพยาบาล ทำให้มีความชัดเจนใน การปฏิบัติงาน สามารถนำไปใช้ได้จริงในการให้บริการในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร มีจุดเด่นที่สำคัญอย่างมากต่อระบบบริการเฉพาะด้าน กล่าวคือ ทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการพยาบาลที่มีคุณภาพ ได้รับ การรักษาตามแผนการรักษา ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้หากงานบริการพยาบาลมี การจัดการระบบที่ชัดเจนและมีการนำกรอบแนวคิดเชิงระบบมาใช้(5) รูปแบบของระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก หลังการพัฒนา พบว่า สิ่งสำคัญที่พยาบาลวิชาชีพและบุคลากรที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ คือ การประเมินผู้ป่วยและการซักประวัติ การแพ้ยา ประวัติยาเดิม ตรวจสอบวันหมดอายุของยา ประเมินความเหมาะสมของยาต่อผู้ป่วย ตรวจสอบความถูกต้อง ตามหลัก 6R คือ 1) RI ถูกผู้ป่วย 2) R2 ถูกยา 3) R3 ถูกขนาด 4) R4 ถูกเวลา 5) R5 ถูกทาง และ 6) R6 ถูกเทคนิค ทบทวนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับการสั่งให้ยาหลีกสี่ยงการให้ยาบริเวณที่กล้ามเนื้อบาดเจ็บอยู่เดิม เช่น มีรอยช้ำ กดเจ็บ แข็ง อักเสบ หรือตกสะเก็ด เป็นต้น นอกจากนั้นควรประเมินความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาที่จะ ได้รับ หากผู้ป่ายไม่ทราบ คารให้ความรู้ ถ้ายาที่ให้มีผลต่อสัญญาณชีพควรประเมินก่อนให้ยา ถ้ายามีผลในการลดปวด ควรประเมินอาการปวดก่อนและหลังการให้ยา(5,6,7)
โดยทั่วไป ควรประเมินและเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เมื่อสามารถตรวจสอบได้ ในระยะเริ่มแรก หากต้องฉีดยาให้แก่ผู้ป่วยหลายครั้งควรหมุนเวียนตำแหน่งฉีดยากรณียาฉีดที่ระคายเคืองมาก นิยมใช้ เทคนิคการใส่ฟองอากาศเข้าไปในกระบอกยาประมาณ 2-3 หยด (0.2 มิลลิลิตร) และห้ามคลึงบริเวณที่ฉีดยา เพราะ การคลึงอาจทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้นและอาจทำให้ยาเข้าสู่ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังได้ กลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ มีโรคประจำตัว ควรเน้นในการซักประวัติการรับประทานยาต้านเกร็ดเลือด หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดก่อน ฉีดยาทุกครั้ง และยังต้องระวังตำแหน่งการฉีดยาที่ผู้สูงอายุอาจมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อฝ่อ กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง พอๆ กับกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่ต้องระวังตำแหน่งที่ฉีดยา(1,8,9) 9. สรุปผลการวิจัย การพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร ที่พัฒนาขึ้นนี้ส่งผลดีต่อระบบบริการพยาบาล ทำให้มีความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจ เกิดความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้นและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อระบบบริการ ที่พัฒนาขึ้น 10. ข้อเสนอแนะ 1.เชิงนโยบาย ควรขยายผลการพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร ที่พัฒนาขึ้นนี้ไปสู่หน่วยบริการอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน 2.การนำผลการวิจัยไปใช้ ด้านการปฏิบัติการพยาบาล ควรนำระบบบริการที่พัฒนาขึ้นนี้ไปปฏิบัติอย่าง ต่อเนื่อง รวมถึงการนำการนิเทศติดตามมาใช้ในร่วมด้วย 3.การศึกษาครั้งต่อไป ควรพัฒนาระบบบริการงานพยาบาลในผู้ป่วยที่มีโรคร่วมและมีความเสี่ยงสูงที่ได้รับ การฉีดยาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยโสธร เอกสารอ้างอิง 1.พัชรี เนียมศรี, ธัญรดี จิรสินธิปก. มาตรฐานการพยาบาลในโรงพยาบาล (ปรับปรุงครั้งที่ 2). พิมพ์ครั้งที่ 3. นนทบุรี : องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ; 2551. 2. Research system public health institute. State hospital in the new look. Bangkok : Research Institute system public health press ; 1999. 3. สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน). มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ (ฉบับที่ 4). กรุงเทพฯ : หนังสือดีวัน ; 2562. 4. สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน). HA UPDATE 2019. กรุงเทพฯ : หนังสือดีวัน ; 2562. 5. Donabedian, A. (2003). An introduction to quality assurance in health care. New York: NY: Oxford University Press.
6. นันท์ซญาน์ นฤนาทธนาเสฎฐ์. การพัฒนาสร้างมาตรฐานการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน ในห้อง ตรวจอายุรกรรมทั่วไป แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลมหาสารคาม. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม 2563 ; 17(2) : 111-8. 7. ลัดตา อะโนศรี.การพัฒนาระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยเบาหวาน กลุ่มงานผู้ป่วยนอก. วารสารสุขภาพและ สิ่งแวดล้อมศึกษา 2563 ; 5(2) : 186-91. 8. มนัสดา คำรินทร์. การประยุกค์ใช้ Lean Six Sigma ในการพัฒนาคุณภาพการบริการผู้ป่วยที่รับบริการที่แผนก ผู้ป่วยนอกของศูนย์สามัคคี โรงพยาบาลมหาสารคาม. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม 2562 ; 16(3) : 109-115. 9. เนตรเพชรรัสม์ ตระกูลบุญเนตร.ความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้บริการของแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลนวุติสมเด็จย่า.วารสารพยาบาลตำรวจ 2560 ; 10: 64-74.
นวัตกรรมลูกเต๋า ชื่อผู้ประดิษฐ์/คิดค้น นางสาวกานต์ทิมา แขนอก กลุ่มงานการพยาบาลวิสัญญีภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลอำนาจเจริญ โทรศัพท์045-511941 (1135) e-mail address [email protected] บทคัดย่อ โรงพยาบาลอำนาจเจริญเป็นโรงพยาบาลทั่วไป ในด้านการผ่าตัดโรงพยาบาลอำนาจเจริญมีศักยภาพในการ ให้บริการผ่าตัดครอบคลุมเกือบทุกสาขา มีห้องผ่าตัดจำนวน 8 ห้อง ในปี งบประมาณ 2566 มีผู้ป่วยได้รับยาระงับ ความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย จำนวน 9,372 ราย ซึ่งในการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายด้วยการดมยาสลบแก่ ผู้ป่วยแต่ละราย ท่อช่วยหายใจถือเป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการด้านวิสัญญี โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ผ่าตัดบริเวณลำคอ ที่วิสัญญีจะต้องให้การระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย พบว่าเป็นการผ่าตัดที่เกิดอุบัติการณ์ที่แพทย์ผู้ผ่าตัดมีโอกาสจะ กดทับบริเวณท่อช่วยหายใจ ทำให้ท่อช่วยหายใจเกิดการหักพับงอ การควบคุมการหายใจเป็นไปได้ด้วยความ ยากลำบาก เกิดแรงดันทางเดินหายใจส่วนต้นเพิ่มสูงขึ้นที่อาจเสี่ยงต่อภาวะ Pneumothorax และเกิดค่าความเข้มข้น ของคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจขณะหายใจออกคั่งจนผู้ป่วยเกิดภาวะพร่องออกซิเจน หากรุนแรงอาจมีภาวะ Metabolic acidosis และเสียชีวิตได้ในที่สุด ซึ่งบทบาทสำคัญของวิสัญญีพยาบาล ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของ ผู้ป่วยในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขณะให้ยาระงับความรู้สึก จึงได้พัฒนาเป็นอุปกรณ์ “ลูกเต๋า” ขึ้นมา โดย ออกแบบให้เป็นทรงสี่เหลี่ยมนุ่มไว้สำหรับรองท่อช่วยหายใจและเหมาะกับสรีระส่วนศีรษะของผู้ป่วย แนวคิดนี้ต้องการ ป้องกันปัญหาการหักพับงอของท่อช่วยหายใจ ป้องกันผู้ป่วยเกิดภาวะพร่องออกซิเจนขณะผ่าตัด และพัฒนา ประสิทธิภาพการปฏิบัติการพยาบาลทางด้านวิสัญญีให้ดีขึ้น เพื่อเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยให้มากที่สุด สะดวกในการใช้ งานและลดต้นทุนของโรงพยาบาล วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมและศึกษาผลของการใช้นวัตกรรมในการ ป้องกันการเกิดการหักพับงอของท่อช่วยหายใจ การเกิดการแรงดันทางเดินหายใจสูงขึ้น การเกิดภาวะพร่องออกซิเจน ของผู้ป่วยขณะผ่าตัดไทรอยด์รวมถึงศึกษาความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้นวัตกรรม วิธีการพัฒนา สิ่งประดิษฐ์ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดตาม ADDIE Model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์ (Analysis), การ ออกแบบ(Design), การพัฒนา(Development), และการนำไปใช้(Implementation) รวมถึงการประเมินผล (Evaluation) ที่เป็นกิจกรรมพื้นฐานในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพกระบวนการออกแบบพัฒนาที่เป็นระบบ โดยประเมินจากผู้ใช้งานพบว่าลูกเต๋ารุ่นที่ 1 ขนาดใหญ่ กดทับดวงตา ยังพบการหักพับงอของท่อช่วยหายใจ จึงมี ข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงอุปกรณ์และพัฒนามาเป็นหัวจี้ห้ามเลือดอัจฉริยะรุ่นที่ 2 พบว่าขนาดเหมาะสม อ่อนนุ่มเกินไป ท่อช่วยหายใจยังหักพับงอ และยังทำความสะอาดยาก จึงเกิดการพัฒนามาเป็นรุ่นที่ 3 ที่ใช้ผ้ายางรองกันเปื้อนที่มี ความนุ่มตัดตามรูปแบบที่ออกแบบไว้ ใส่ฟองน้ำด้านในเพื่อให้มีความนุ่มที่เหมาะสม เย็บสายรัดท่อช่วยหายใจ หลัง พัฒนานวัตกรรมแล้วมีขนาดเหมาะสมไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยอีก อัตราความพึงพอใจอยู่ในระดับสูงร้อยละ 100 การกดทับท่อช่วยหายใจ การเกิดภาวะพร่องออกซิเจน และแรงดันท่อทางเดินหายใจส่วนต้นสูงเกิดร้อยละ 0 คำสำคัญ นวัตกรรม, ลูกเต๋า, รองท่อช่วยหายใจ, ป้องกันท่อช่วยหายใจ, วิสัญญี
การนำเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง “พัฒนาความก้าวหน้าวิชาชีพการพยาบาล ประจำปี 2567” วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ชื่อผู้นำเสนอ : นางณิชมาศ บุญสุข พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ สังกัด : ห้องผู้ป่วยหนักโรคหัวใจและหลอดเลือด 2 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ชื่อเรื่องนำเสนอ การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบรุนแรง ที่ทำหัตถการผ่านสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด:กรณีศึกษาเปรียบ 2 ราย บทคัดย่อ บทนำ : ผู้สูงอายุพบโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบรุนแรง (Severe aortic stenosis) ได้บ่อย สาเหตุเกิดจากการเกาะตัว ของแคลเซียม ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการแน่นหน้าอก วิงเวียน วูบ หมดสติ เหนื่อย หายใจไม่อิ่ม น้ำท่วมปอด ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง คุณภาพชีวิตลดลง และมี โอกาสเสียชีวิตได้สูง ปัจจุบันมีการรักษาโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกรุนแรงโดยที่ทำหัตถการผ่านสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด :TAVR (Transcatheter Aortic Valve Replacement) ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่ความเสี่ยง สูงในการผ่าตัด การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุที่ทำTAVR เน้นการเตรียมก่อนทำหัตถการ และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน หลังทำหัตถการ วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบรุนแรง ที่ทำหัตถการผ่าน สายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด :TAVR กรณีศึกษา 2 ราย วิธีการศึกษา : เป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบโดยศึกษาประวัติประเมินสภาพผู้ป่วยให้การดูแลตามกระบวนการพยาบาล ร่วมกับบูรณาการหน้าที่หลักทางคลินิก 7 ASPECTโดยทำการศึกษาในช่วงเดือนตั้งแต่ กันยายน 2566– มีนาคม 2567 ผลการศึกษา: ผู้ป่วยเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบรุนแรงที่ทำหัตถการผ่านสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 ชายไทยอายุ76 ปี แพทย์วินิจฉัยSevere AS, no underlying นัดทำTAVR พยาบาลห้องผู้ป่วยหนักมี บทบาทสำคัญ ระยะแรกรับ เน้นการเตรียมทำTAVR โดยพยาบาลให้ความรู้เพื่อลดความวิตกกังวล ระยะต่อเนื่อง หลัง ทำหัตถการผู้ป่วยต้องคาสายสวน C-line, A-line, pacemaker ให้การพยาบาลเพื่อลดPain สังเกตเฝ้าระวังภาวะหัว ใจเต้นช้าพยาบาลต้องมีความรู้ สามารถใช้เครื่อง pacemaker ได้ เฝ้าระวังภาวะBleeding,hematoma,เกล็ดเลือดต่ำ ,ระยะจำหน่ายการให้คำแนะนำตามหลักD-METHOD เน้นการรับประทานยา ASA อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันขดลวดอุด ตัน ให้คำแนะนำในการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยและญาติสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมระยะเวลา 3 วัน กรณีศึกษาที่ 2 ชายไทยอายุ 81 ปี แพทย์วินิจฉัยSevere AS, HT นัดทำTAVR การพยาบาลระยะแรกรับ ต่อเนื่อง จำหน่าย คล้ายกับรายที่1 แต่ต้องนอนโรงพยาบาลนานกว่ารวม 8 วัน เนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะซีดได้รับPRC มีความเสี่ยง เกิดภาวะซีดซ้ำจากมีการสูญเสียเลือด ผู้ป่วยต้องคาสายสวน หลายที่ทำให้มีไข้หลังทำหัตถการพยาบาลให้การดูแลเพื่อ ป้องกันภาวะseptic shock มีภาวะสับสนพยาบาลใช้cam ICU และการพยาบาลทฤษฎีผู้สูงอายุ ประเมินเพื่อป้องกัน การเกิดผลัดตกหกล้ม สามารถทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย สรุป : การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุที่ทำหัตถการTAVR ก่อนทำหัตถการ พยาบาลห้องผู้ป่วยหนักต้องให้ความรู้เพื่อลด ความวิตกกังวล หลังทำหัตถการมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือหัวใจเต้นเต้นช้าต้องใช้pacemaker พยาบาลต้อง ดูแล การทำงานของเครื่อง ภาวะBleeding และHematoma fall การจำหน่ายให้คำแนะนำการรับประทานยาASA เน้น การปฏิบัติตัวเพื่อให้สามารถดูแลตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง คำสำคัญ Severe AS, การพยาบาล, ผู้ป่วยเปลี่ยนลิ้นหัวใจ , TAVR
ชื่อเรื่อง พัฒนาแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบในผู้ป่วยที่ได้รับยา Levophed ทางหลอด เลือดดำส่วนปลายโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ผู้นำเสนอผลงาน นาง ยุพิน คุณสัตย์พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ , นาง วันนิสาข์ ลำดวน พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ ห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรม1ทิศใต้ ที่ปรึกษา ดร.สุเพียร โภคทิพย์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ, น.ส อรวรรณ สายสุวรรณ พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ ความเป็นมาและคำสำคัญ ห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรม1ทิศใต้รับผู้ป่วยภาวะวิกฤตได้รับยาความเสี่ยงสูง Levophed ข้อมูลอัตราการเกิด Phlebitis จากการให้ยาปี2564-2566 จำนวน 2, 2,3 ราย พบร้อยละ 2.68, 2.33 และ 2.81ครั้งต่อ1,000วันให้สารน้ำทางเลือดเลือดดำส่วนปลายซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นและเกิดความเสี่ยง ระดับ E วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบในผู้ป่วยที่ได้รับยา Levophed ทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย วิธีดำเนินการ พัฒนาแนวปฎิบัติแนวคิด PDCA 1.Plan ทบทวนแนวปฎิบัติเดิม พบปัญหาขาดการประเมินซ้ำ ตำแหน่งให้ยา Levophed ได้เพียงร้อยละ 65.66 สืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์โดยใช้คำสำคัญ Phlebitis, Levophed คัดเลือกงานวิจัยและบทความที่เกี่ยวข้องจำนวน 5 เรื่องระดับ 4a 1 เรื่อง ,1b 1เรื่อง 3C 2เรื่อง และ3d 1 เรื่อง นำหลักฐานเชิงประจักษ์มาสังเคราะห์ยกร่างเป็นแนวปฏิบัติการพยาบาล 2. DO จัดทำ ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติใหม่คือเน้นการประเมินซ้ำในทุกรายที่ใช้ยา Levophed ร่วมกับการใช้ใบแนวทางการ ป้องกันการเกิด Phlebitisจากการให้ยา Levophed 3.check ประเมินผลโดยใช้แบบประเมินการปฎิบัติ รายงานปัญหาในที่ประชุมประจำเดือนเพื่อปรับปรุงแก้ไข 4.Act สรุปผลลัพธ์ วิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ผลการศึกษา1. พยาบาลปฎิบัติตามแนวทางการดูแลหลอดเลือดดำอักเสบจากการได้รับยาความเสี่ยงสูง levophed จาก 65.66% เพื่มขึ้นเป็น 87.00% 2.นำแนวทางปฎิบัติใช้กับผู้ป่วยที่ได้รับ levophed ปี 2567 จำนวน 12 ราย พบว่าลดลงจากเดิม 2.81 เป็น 1.86 ครั้งต่อ 1,000วันให้สารน้ำทางเลือดเลือดดำส่วนปลาย แต่พบว่าเกิด Phlebitis 2 รายเนื่องจาก ON levophed(4:100) อัตราการเกิด ระดับ3และระดับ5 ตามลำดับ สรุปการศึกษาและการนำไปใช้ประโยชน์ การใช้แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบในผู้ป่วย ที่ได้รับยา Levophed สามารถลดการเกิด Phlebitis และสอดคล้องกับนโยบาย 2P Safety คำสำคัญ Phlebitis, Levophed
การพัฒนาและทดสอบผลของโปรแกรมการพยาบาลด้วยการเจริญสติตระหนักรู้ความคิดเพื่อดูแลจิตใจ ผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง นางเกยูร กุจะพันธ์ สมิธ ดร.เกษราภรณ์ เคนบุปผา ผศ.โปรยทิพย์ สันตะพันธุ์ ผศ.เกษร สายธนู บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาและทดสอบผลของโปรแกรมการ พยาบาลด้วยการเจริญสติตระหนักรู้ความคิดเพื่อดูแลจิตใจผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) พัฒนาโปรแกรมด้วยการปรับปรุงมาจากโปรแกรมการบำบัดโรคซึมเศร้าด้วยการเจริญสติ ตระหนักรู้ความคิด โดยสอบถามความคิดเห็นแนวทางการพัฒนาจากการสนทนากลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือด สมองที่มีอาการซึมเศร้า ญาติผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 2) ทดสอบ โปรแกรมเบื้องต้นในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 12 คน ที่มารับบริการในศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง แขมเจริญ โรงพยาบาลเดชอุดม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินโรคซึมเศร้าด้วย 9 คำถาม (9Q) แบบสอบถามวัดภาวะสุขภาพจิต แบบวัดความครุ่นคิดต่อ สถานการณ์ แบบประเมินสติแบบวัดคุณภาพชีวิตเฉพาะผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองฉบับภาษาไทย วิเคราะห์ ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วยสถิติ Wilcoxon Signed rank test ผลการศึกษา พบว่า โปรแกรมการพยาบาลด้วยการเจริญสติตระหนักรู้ความคิดเพื่อดูแลจิตใจผู้ป่วย หลังโรคหลอดเลือดสมอง มี 5 กิจกรรม ได้แก่ การตระหนักรู้กับความคิดที่เกิดขึ้น โลกของความคิดและจิตใจที่ ฟุ้งซ่าน การตระหนักรู้และการปล่อยวาง ความคิดไม่ใช่ความจริง และ การดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด ดำเนินการ สัปดาห์ละ 1 ครั้งๆละ 60-90 นาทีติดต่อกัน 5 สัปดาห์ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังเข้าร่วมกิจกรรมตาม โปรแกรมดังกล่าว พบว่า มีอาการซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.05) มีความครุ่นคิดต่อ สถานการณ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.05) และคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) พยาบาลที่รับผิดชอบงานสุขภาพจิตและจิตเวชหรือทำงานในคลินิกโรคหัวใจและหลอดเลือดสามารถนํา โปรแกรมการพยาบาลด้วยการเจริญสติตระหนักรู้ความคิดไปประยุกต์ใช้ในดูแลจิตใจของผู้ป่วยหลังโรคหลอด เลือดสมอง อย่างไรก็ตามเป็นเพียงผลการศึกษาเบื้องเท่านั้น ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมและเจ้าหน้าที่ควรผ่าน การอบรมการใช้โปรแกรมก่อนนำไปใช้พยาบาลผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง คำสำคัญ : การดูแลจิตใจ ผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง โปรแกรมการเจริญสติตระหนักรู้ความคิด
ชื่อเรื่องน ำเสนอ : เพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีโดยใช้7 Aspect of care ประเภทผลงำน : CQI ผู้น ำเสนอผลงำน : นางฑิสิญา อ่อนละมูล พยาบาลวิชาชีพช านาญการ เจ้ำของผลงำน : นางฑิสิญา อ่อนละมูล,นางสาวบุญเรือง เดชกล้า พยาบาลวิชาชีพช านาญการ บทน ำ : โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆในประเทศไทยมีแนวโน้มการตายเพิ่มทุกปีสถิติหอผู้ป่วยพิเศษพระ ปทุมฯ5 ผู้ป่วยมะเร็งทุกระบบที่รับยาเคมีบ าบัดเป็น 5 อันดับโรคแรก จ านวนผู้ป่วยที่เข้ารับยาเคมีบ าบัดปีงบประมาณ 2563-2565 จ านวน 202 ,232,290รายใหม่27,21,13ราย รายเก่า175,211,277รายตามล าดับ ผู้ป่วยรายใหม่และ รายเก่าบางรายยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการเตรียมตัวและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นขณะรับยาเคมีบ าบัด จากการประเมินความรู้ก่อนรับยา รายใหม่คิดเป็นร้อยละ 42,38,45รายเก่า 72,80,75 ตามล าดับ ท าให้เกิด อาการข้างเคียงจากยาเคมีบ าบัด เช่น คลื่นไส้อาเจียน เยื่อบุปากอักเสบ ท้องเสีย รวมถึงกลัววิตกกังวลเกี่ยวกับการ รักษา ท าให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลนานขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้น จากการวิเคราะห์ของทีมจึงน าแนวทางการ วางแผนจ าหน่ายโดยใช้7Aspect of care เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบ าบัด วัตถุประสงค์:1)เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบ าบัดได้รับการวางแผนจ าหน่ายอย่างครอบคลุมตั้งแต่แรกรับจน จ าหน่าย 2) เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติตามแนวทางการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีโดยใช้ 7 Aspect of care ตัวชี้วัด :1)ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบ าบัดได้รับการวางแผนจ าหน่ายโดยใช้ 7 Aspect of care ≥ร้อยละ80 2) บุคลากรปฏิบัติตามแนวทางการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบ าบัดโดยใช้7 Aspect of care≥ร้อย ละ80 วิธีกำรด ำเนินงำน : 1. Plan ก าหนดเป้าหมาย วางแผนด าเนินงาน 2.Do 2.1) ด้านผู้ป่วยเริ่มใช้แนวทางการ วางแผนจ าหน่ายโดยใช้ 7 Aspect of care ตั้งแต่รับใหม่รับย้ายทุกราย ประเมินความรู้ก่อน-หลังให้การวางแผน จ าหน่ายทุกราย 2.2)ด้านบุคลากรจัดอบรมให้ความรู้ ประชุม ทบทวนความรู้เรื่อง7 Aspect of care โดยหัวหน้า หอผู้ป่วย ประเมินSpecific Competency ประชุมชี้แจงแนวทางการวางแผนจ าหน่ายโดยการน า7 Aspect of care ประเมินความรู้ความเข้าใจก่อน-หลังการวางแผนจ าหน่ายโดยการน า7 Aspect of care 3. Check ติดตาม ประเมินผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ 4. Act วิเคราะห์ผลส าเร็จ ปัญหาอุปสรรค ปรับปรุงแก้ไข ผลกำรด ำเนินกำร: หลังจากน าแนวทางการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบ าบัดโดยใช้ 7 Aspect of careสู่การปฏิบัติ(เม.ย- ก.ย.2566) จ านวนผู้ป่วย 202 ราย ได้รับการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมี โดยใช้ 7 Aspect of care ร้อยละ 90 มีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวได้ถูกต้องร้อยละ 89.24 การประเมิน ความรู้ความเข้าใจก่อน-หลังการวางแผนจ าหน่ายโดยการน า7 Aspect of care เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.50 บุคลากร ปฏิบัติตามแนวทางการทางการวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีโดยใช้ 7 Aspect of care ร้อยละ 90 สรุป : พยาบาลต้องมีความรู้ ทักษะการประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลน าสู่การวินิจฉัยและให้การพยาบาลได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ประสานทีมสหวิชาชีพให้ค าแนะน าการปฏิบัติตัว วางแผนการดูแลตั้งแต่แรกรับจนจ าหน่ายเพื่อให้ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ชื่อผลงาน “การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมหมอนหลอดเพื่อป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยวิกฤติ ICU.MED 1 S รพ.สรรพสิทธิประสงค์” เจ้าของผลงาน นางสาว อรวรรณ สายสุวรรณ ,นางวันนิสาข์ ลำดวน,นางสาวอุรา โสรส และคณะ ผู้นำเสนอผลงาน นางสาวอรวรรณ สายสุวรรณ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรม 1 ทิศใต้ ที่ปรึกษา ดร.สุเพียร โภคทิพย์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ หลักการและเหตุผล ห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรมอายุรกรรม 1 ทิศใต้ ดูแลและให้การพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรมที่มี ภาวะวิกฤติและยุ่งยากซับซ้อน จำนวนผู้ป่วยปี 2564 - 2566 จำนวน 518, 533 และ 529 ราย จากการประเมิน Barden score ระดับคะแนนความเสี่ยง 6-9 พบอัตราการเกิดแผลกดทับระดับที่ 2 เท่ากับ 2.86, 3.06, 4.12 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นห้องผู้ป่วยจึงมีแนวคิดที่จะนำนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอด ใช้หมอนหนุนไส้หลอดเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยวิกฤติ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมหมอนหลอดเพื่อป้องกันแผลกดทับ ของห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรม 1ทิศใต้ วิธีดำเนินการ พัฒนานวัตกรรมโดยใช้ ADDIE model ดังนี้1.Analytic วิเคราะห์ปัญหาพบอัตราการเกิดแผลกด ทับที่เพิ่มสูงขึ้น 2. Design ออกแบบโดยสืบค้นผลงานวิจัยการพยาบาลภาวะแผลกดทับ ระดับ 4a จำนวน 2 เรื่อง 3d จำนวน 2 เรื่อง 3. Development ตามงานวิจัยเดิมใช้การเย็บผ้าปลอกหมอนนำไส้หลอดมาใส่ พบว่าสกปรก ระหว่างใช้งานและราคาแพง จึงได้พัฒนานวัตกรรมโดยใช้ถุงซักผ้าและนำผ้าห่อ Set Sterile ที่ไม่ได้ใช้มาเย็บแทน ปลอกหมอน ดำเนินการสร้าง 3.1 ตัดหลอดกาแฟความยาวประมาณ 1 นิ้ว 3.2 นำหลอดที่ตัดมายัดไส้ใส่ถุงซักผ้า ขนาด 30*40 cm จนเต็ม 3.3 ชั่งน้ำหนักของไส้หลอดเพื่อหาความแน่นที่เหมาะสมคือ 90% 3.4 นำผ้าห่อ Set Sterile ขนาด 42*42 cm มาเย็บประกบกัน 3.5 นำผ้าห่อ Set Sterile ที่เย็บนำมาหุ้มอีกชั้น ราคาใบละ 75 บาท โดยผู้ทรงคุณวุฒิ3 ท่าน ค่าคะแนน CVI 0.96 นวัตกรรมใช้ได้และเหมาะสม 4. Implement นำหมอนไปทดลอง ใช้ 5. Evaluation ประเมินผลการใช้ ผลการดำเนินงาน ในปี 2567 เดือนตุลาคม 2566 - เดือนมีนาคม 2567 นำนวัตกรรมใช้กับผู้ป่วยวิกฤติที่ประเมิน Barden score ได้คะแนน 6-9 คะแนน จำนวน 5 ราย อัตราการเกิดแผลกดทับลดลงเท่ากับ 1.86 ครั้งต่อ1,000 วันนอน และเจ้าหน้าที่พึงพอใจในนวัตกรรม 100 % การนำไปใช้ประโยชน์ การนำนวัตกรรมไปใช้ในหน่วยงานเพื่อป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยวิกฤติทำให้การดูแลมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คำสำคัญ : Bed sore , Nursing for bed sore
การวิจัย Routine to Research (R2R) ชื่อผลงาน การพัฒนารูปแบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่เข้ารับบริการ ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ชื่อผู้วิจัย นายเตชะธรรม ฟองนวลศิริกุล หน่วยงาน กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลวารินชำราบ โทรศัพท์/โทรสาร 091-396-4444 E-mail: [email protected] บทคัดย่อ บทนำ ภาวะฉุกเฉินทางจิตเวช (Emergency Psychiatry) เป็นพฤติกรรมที่ต้องได้รับการจัดการทางจิตเวช อย่างทันทีทันใด เป็นอาการทางจิตหรือพฤติกรรมที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยและผู้อื่น พฤติกรรมที่ ถูกจัดให้เป็นปัญหาฉุกเฉินทางจิตเวช ได้แก่ พฤติกรรมหลงผิด พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย พฤติกรรมทำร้าย ตนเอง พฤติกรรมก้าวร้าว จากการให้บริการผู้ป่วยที่พบมักมีพฤติกรรมก้าวร้าว ฆ่าตัวตายและทำร้ายตนเอง เพราะพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลต่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยและบุคคลรอบข้าง ผู้ปฏิบัติหน้างานจะต้อง สามารถประเมินผู้ป่วยและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและปลอดภัยในแนวทางการปฏิบัติ การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นการพัฒนารูปแบบการดูแลและให้บริการซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแล และให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินและศึกษาผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน เมื่อเผชิญ กับภาวะฉุกเฉินทางจิตเวช ใช้แนวทางการดำเนินการผลการศึกษาและพัฒนามาประยุกต์ใช้เป็นกรอบในการ พัฒนางาน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์สถานการณ์การดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิต 3. เพื่อนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินและประเมินผล รูปแบบการวิจัย : วิจัยและพัฒนา วิธีดำเนินการวิจัย : ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ 1. ศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์สถานการณ์ 2. พัฒนา รูปแบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน 3. นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้และประเมินผล กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วยบุคลากรทีมสุขภาพ และผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับบริการในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลวารินชำราบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบบันทึก การสนทนากลุ่มและใช้รูปแบบการดูแลและ ให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละและวิเคราะห์ปัญหา จากการสนทนากลุ่มที่เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย : รูปแบบการดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 1. การประเมินคัดกรองและการซักประวัติผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน 2. การดูแลและให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน 3. การรักษาและการพยาบาล 4. การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล 5. การบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผลการ นำรูปแบบไปใช้พบว่าผู้ป่วยมีระดับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงลดลง การส่งต่อลดลง ผู้ป่วยและบุคลากร ปลอดภัยไม่เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน นอกจากนั้นบุคลากรและผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบการดูแล และให้บริการผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินเกิดความพึงพอใจ คำสำคัญ : รูปแบบการดูแลให้บริการ ผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน
ผลของการดูแลผู้สูงอายุในสภาวะการเจ็บป่วยรุนแรงที่บ้าน โดยการสนับสนุนของครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น: ศึกษารายกรณี สมคิด เทียมแก้ว* บทคัดย่อ การศึกษารายกรณี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการดูแลผู้สูงอายุในสภาวะการเจ็บป่วยรุนแรงที่ บ้าน โดยการสนับสนุนของครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น โดยศึกษาผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย จ านวน 1 คน และผู้ที่ มีส่วนเกี่ยวข้องจ านวน 6 คน ประกอบด้วย สามีผู้สูงอายุ, หมอครอบครัว 3 หมอ, นายกองค์การบริหารส่วน ต าบล, ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งสิ้น 7 คน ศึกษาในช่วงวันที่ 12 – 18 เมษายน 2567 เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ส่วน คือ ข้อมูลผู้ป่วยโดยใช้แบบประเมินของกอร์ดอน 11 แบบแผน และกระบวนการพยาบาล ด้วยแนวคิดการดูแล แบบองค์รวมและแรงสนับสนุนทางสังคม ส่วนที่ 2 เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพในส่วนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการ สัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลและบรรยายเนื้อหา ผลการศึกษา หญิงไทย อายุ 89 ปี รูปร่างผอม สูง BMI 12.98 การมองเห็นเลือนราง ค่า Visual Acuity: (V/A) เท่ากับ 20/70 ความสามารถในการด าเนินชีวิตประจ าวัน ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL index) ได้ 17 คะแนน พร่องเรื่องการเคลื่อนไหว อาศัยกับสามีวัยสูงอายุและเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว ที่อยู่อาศัยในพื้นที่สาธารณะโรงประปาหมู่บ้าน อาชีพเก็บของเก่าขาย มีรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคน พิการ รายได้ไม่พอเพียงในการยังชีพ สภาวะการเจ็บป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมา 5 ปีขาดการรักษา ต่อเนื่อง ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย เดินล าบาก มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและผ่าตัด บริเวณสมอง เมื่อปี 2565 ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพที่บ้านได้รับยาโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจ า หมู่บ้าน (อสม.) น าส่งและประเมินความดันโลหิตเดือนละ 1 ครั้ง สามีดูแลการกินยาทุกวัน ผู้น าชุมชนประสาน เรื่องที่อยู่อาศัย และทุนสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร่วมดูแลปรับสภาพที่อยู่ อาศัย จะเห็นได้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจได้รับการแก้ไข ปัญหาการเจ็บป่วยได้รับการรักษาโดย แพทย์ และส่งต่อดูแลต่อเนื่องที่บ้านโดยทีมหมอครอบครัว ข้อเสนอแนะ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และด้านร่างกาย จ าเป็นต้องมีหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนสนับสนุนในการดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยและอยู่ล าพังกับผู้สูงอายุด้วยกัน ให้สามารถ จัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้ ค าส าคัญ: การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน, สภาวะการเจ็บป่วยรุนแรง, แรงสนับสนุนทางสังคม * พยาบาลวิชาชีพช านาญการ กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ
ผลของการจัดการตนเองต่อความรู้และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง นางเย็นใจ ประสพธัญญา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลนครพนม บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรู้และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง อย่างต่อเนื่องก่อนและหลังการจัดการตนเอง วัสดุและวิธีการศึกษา : การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) แบบหนึ่งกลุ่มทดสอบ ก่อนและหลัง (one group pretest-posttest design) ระยะเวลาศึกษา 5 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์2567 ศึกษาที่หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลนครพนม กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง อย่างต่อเนื่องที่ขึ้นทะเบียนรักษาในโรงพยาบาลนครพนม คำนวณได้ขนาดตัวอย่าง 36 คน คัดเลือกโดยการสุ่ม แบบง่าย (Simple sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการตนเองและแผนการ ให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับโรคไตวายและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้เกี่ยวกับโรคไตวายและการปฏิบัติ ตัวของผู้ป่วยของล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง และแบบสอบถามคุณภาพชีวิตเฉพาะโรคไตเรื้อรังโดยใช้ KDQOL-SFTM เวอร์ชัน 1.3 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรู้และ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่องก่อนและหลังการจัดการตนเองโดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test ผลการศึกษา : คะแนนเฉลี่ยของความรู้เกี่ยวกับโรคไตวายและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยล้างไตทางช่อง ท้องอย่างต่อเนื่อง หลังการทดลองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง อย่างต่อเนื่องมีคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นหลังการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .032 ข้อสรุป : การจัดการตนเองของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่องซึ่งประกอบไปด้วยการตรวจสอบ พฤติกรรมตนเองการให้ความรู้เรื่องโรคและวิธีการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่องการตั้งเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง การประเมินตนเอง และการเสริมแรงตนเอง มีผลทำให้ผู้ป่วยมีความรู้ในการ ปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเช่นกัน คำสำคัญ :การจัดการตนเอง, คุณภาพชีวิตผู้ป่วย, ล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ 1) คะแนนความรู้ก่อนและหลังการ ทดลองของกลุ่มทดลอง จากผลของการให้ความรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่องการใช้ SOS Score ต่อการ ปฏิบัติการประเมิน SOS Score ในผู้ป่วยSepsis โรงพยาบาลหนองคาย 2) คะแนนความรู้ หลังการ ทดลอง ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง จากผลการให้ความรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่องการใช้ SOS Score ต่อการปฏิบัติการประเมิน SOS Score ในผู้ป่วยSepsis โรงพยาบาลหนองคาย 3) คะแนน ความรู้ของการใช้ SOS score ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง หลังการทดลอง จากผลการให้ ความรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่องการใช้ SOS Score ต่อการปฏิบัติการประเมิน SOS Score ในผู้ป่วยSepsis โรงพยาบาลหนองคาย และ 4) เพื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนความรู้ของการใช้ Bundle Sepsis ระหว่าง กลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลองหลังการทดลอง จากผลของการให้ความรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่องการใช้ SOS Score ต่อการปฏิบัติการประเมิน SOS Score ในผู้ป่วยSepsis โรงพยาบาลหนองคาย เป็นการวิจัยเชิง ทดลองแบบสมบูรณ์ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 72 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และ กลุ่มควบคุม กลุ่มละ 36 คน ได้จากการสุ่มแบบใช้ความน่าจะเป็นเข้ากลุ่มเพื่อดำเนินการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ผลของการให้ความรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่องการใช้ SOS Score ต่อการปฏิบัติการประเมิน SOS Score ในผู้ป่วยSepsis โรงพยาบาลหนองคาย แบบทดสอบวัด ความรู้ การหาคุณภาพเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ สถิติ t-test Independent และสถิติค่า Chi-square ( 2 ) ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบคะแนนความรู้ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่ม ทดลอง ก่อนทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 7.88 คะแนน และหลังการทดลอง มีค่าคะแนนเฉลี่ย 18.02 คะแนน เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างก่อนทดลองกับหลังทดลอง พบว่า คะแนนเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลการเปรียบเทียบคะแนนความรู้ หลังการทดลอง ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง พบว่า กลุ่มควบคุมมีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 15.92 คะแนน และกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 18.03 คะแนน พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีค่าคะแนน เฉลี่ยแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ผลการเปรียบเทียบคะแนนความรู้ของการใช้ SOS score ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง หลังการทดลอง หลังการทดลอง ผลการทดลองพบว่า การใช้ SOS score ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง พบว่า กลุ่มควบคุม มีการใช้ SOS score คิด เป็นร้อยละ 55.56 ส่วนกลุ่มทดลองมีการใช้ SOS score คิดเป็นร้อยละ 94.44 เมื่อใช้สถิติ Chi-square ( 2 ) ทดสอบสัดส่วนค่าร้อยละทั้งสองกลุ่ม ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง พบว่า การใช้ SOS score ของทั้งสองกลุ่ม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) หลังการทดลอง ผล
การทดลองพบว่า การใช้ Bundle Sepsis ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง ( 2 ) ทดสอบสัดส่วน ระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง พบว่า การใช้ Bundle Sepsis ของทั้งสองกลุ่ม แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ : การให้ความรู้แบบมีส่วนร่วม/การประเมิน SOS Score/การปฏิบัติตาม Bundle Sepsis/ พยาบาล
การพยาบาลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด STEMI ในห้องตรวจสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Lab) ณ.โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี: กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย บทคัดย่อ บทนำ :โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (ST elevated Myocardium Infarction: STEMI) มีอัตราการตายสูง เนื่องจาก เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดโคโรนารี่ที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบ เร่งด่วน ได้แก่ การเปิดหลอดเลือดหัวใจ (Reperfusion) ที่อุดตันให้เร็วที่สุด ซึ่งมี 2 วิธี คือ 1) การทำหัตถการถ่างขยาย หลอดเลือดหัวใจ PCI (Percutaneous Coronary Intervension) 2) การให้ยาละลายลิ่มเลือด คือ Streptokinase (SK) แล้วจะส่งไปทำการสวนหัวใจและหลอดเลือด (Coronary Artery Angiography: CAG) เรียกว่า Phamaco Invasive วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด STEMI ที่ได้รับการรักษาที่ห้องตรวจสวนหัวใจ โดยเข้าทางด่วน (FAST TRACK) กรณีศึกษา 2 ราย ที่ห้องตรวจสวนหัวใจ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ กรณีศึกษา : กรณีศึกษาที่ 1 ชายไทยอายุ 67 ปี U/D DM,HT DLP 4 ชั่วโมง ก่อนมา รพช. มีอาการแน่นหน้าอกร้าว ไปที่แขน ตัวเย็น เข้าระบบ FAST TRACK STEMI แพทย์วินิจฉัย ว่าเป็น Inferior wall MI S/P SK ได้รับ MONAC และได้รับยาละลายลิ่มเลือด SK 1.5 ล้านยูนิต V drip โดยมี Door to Needle time 27 นาที รับ Refer จาก รพช.ไว้ ในหอผู้ป่วยหนักในระหว่างให้ SK ไม่มีอาการผิดปกติ แต่หลังจาก SK หมดมีความดันโลหิตสูง ได้รับยา NTG 1:10 V drip เพื่อควบคุมความดันโลหิต ตาม Guideline และส่งต่อทำ CT brain ก่อนทำ CAG ผลการฉีดสีพบว่าเส้นเลือด ข้างขวาเปิดหลังได้รับยาละลายลิ่มเลือด และทำการรักษาโดยวิธี Phamaco Invasive ภายใน 24 ชั่วโมง TIMI 3flow after procedure กรณีศึกษาที่ 2 หญิงไทยอายุ 55 ปี ไม่มีโรคประจำตัวรับส่งต่อจาก รพช. ด้วยปวดใต้ลิ้นปี่ร้าวไป สะบักซ้าย 40 นาที ก่อนมา รพ. ได้เข้าระบบ FAST TRACK STEMI แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น Anterior wall myocardial infarction ได้รับ MONAC ได้รับยาละลายลิ่มเลือด SK 1.5 ล้านยูนิต V drip โดยมี Door to Needle time 20 นาที ส่งต่อมาที่หอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ในระหว่างให้ SK ไม่มีอาการผิดปกติแต่หลังจาก SK หมด มี ความดันโลหิตต่ำ ผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอก VAS 10/10 คะแนน นาทีที่ 90 EKG ยังมี STE V1-V4 จึงส่งต่อเพื่อทำ Rescue PCI ผู้ป่วยรายนี้ ผลการฉีดสีเส้นเลือดไม่เปิด และได้ทำการใส่เครื่องพยุงหัวใจ IABP (Intra aortic ballon pump) เพื่อช่วยพยุงหัวใจจากภาวะ Cardiogenic shock ร่วมกับการให้ยาเพิ่มความดันโลหิต Inotropic drug สรุป : จากกรณีศึกษาบทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในภาวะวิกฤติ มี ความสำคัญอย่างยิ่ง ในการประเมิน คัดกรองผู้ป่วยอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ขณะมาถึงโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการ วินิจฉัยอย่างถูกต้อง และได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด และการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ห้องตรวจสวน หัวใจ ทำให้ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย คำสำคัญ : กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด STEMI , การพยาบาลระยะวิกฤต น.ส.สุวรี เตชะธนะชัย
ห้องนำเสนอที่ 2
1 การพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของ งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ นางสาวเพ็ญวิไล แซ่ลี้ งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลราษีไศล บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development) มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา ระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของงานการพยาบาลผู้ป่วย อุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ดำเนินการวิจัยระหว่างวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ ขั้น ศึกษาสถานการณ์ปัญหา ระยะที่ ๒ ขั้นพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลันชนิด STEMI และระยะที่ ๓ ประเมินผลการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษี ไศล จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน คัดเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง จำนวน ๒๒ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ระยะที่ ๑ แบบบันทึกเวชระเบียนที่ เข้ามารับการรักษาในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ ระยะที่ ๒ เป็นการนำเสนอระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI กับกลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ระยะที่ ๓ แบบประเมินการใช้งานการพัฒนา ระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่นำเสนอและแบบประเมิน ความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า จากระยะที่ ๑ การศึกษาเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาในงานการ พยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับ การรักษาด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมีแนวโน้มจำนวนเพิ่มมากขึ้นและผู้ป่วยส่วนใหญ่จะ เดินทางมาโรงพยาบาลช้า (มากกว่า ๑ ชั่วโมงหลังมีอาการ) เพราะขาดความรู้ความเข้าใจถึงอันตรายของ โรค โดยจำนวนผู้ป่วยที่เดินทางมารับการรักษาหลังมีอาการเกินเวลา ๑ ชั่วโมงมีร้อยละ ๘๑.๘๒ และเมื่อ ผู้ป่วยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลพบว่า ผู้ป่วยได้รับการตรวจ EKG ช้ากว่าค่าตัวชี้วัดที่โรงพยาบาลราษีไศลตั้ง ไว้ คือ เวลาที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจ EKG จะต้องไม่เกิน ๕ นาที โดยตัวชี้วัดนี้ทำได้สำเร็จเพียงร้อยละ ๑๘.๑๘ เท่านั้น ระยะที่ ๒ การพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ประกอบด้วย ๑. การสร้างเครื่องมือการคัดกรองอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันด้วย
2 ตนเองโดยใช้เทคโนโลยีแชทบอทอัจฉริยะเพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ป่วยได้ติดต่อโรงพยาบาลและรถฉุกเฉินได้ ทันทีหลังจากมีอาการและ๒. การปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองผู้ป่วยที่งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉินและนิติเวชเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจ EKG ภายใน ๕ นาที ระยะที่ ๓ ผลลัพธ์ค่าเฉลี่ยแบบประเมิน ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพในการใช้งานการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในรูปแบบการพยาบาลอยู่ในระดับมาก (̅= ๔.๒๔ และ S.D. = ๐.๗๐) และ ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในการใช้งานของผู้ป่วยอยู่ในระดับมากที่สุด (̅= ๔.๖๐ และ S.D. = ๐.๕๓) ๑. หลักการและเหตุผล: ปัญหา / ความต้องการการวิจัย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST segment elevation myocardial infarction (STEMI) เป็นการเจ็บป่วยวิกฤตและฉุกเฉิน ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็วเพื่อ ลดอัตราการตายและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น จากสถิติกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ พบว่า คน ไทยเสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ๒๒,๘๕๒ คนต่อปี ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิต มากกว่าโรคหัวใจอื่นถึง ๔.๖ เท่า (โรคหัวใจอื่นที่คนไทยเสียชีวิตมีจำนวนทั้งสิ้น ๔,๙๖๕ คนต่อปี) และหาก พิจารณาถึงแนวโน้มของอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คนมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นจาก ๓๑.๔ ไปเป็น ๓๕.๑ ตามลำดับ [๑] โดยปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเฉียบพลัน คือ การคัดกรองผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจะต้องคัดกรองโรค อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ตามเกณฑ์มาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ป่วยควรจะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ไม่เกิน ๑๐ นาทีนับตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลหรือเมื่อ บุคลากรทางการแพทย์ พบผู้ป่วยเป็นคนแรก (First medical contact) ผู้ป่วยควรได้รับยาละลายลิ่มเลือด ภายใน ๓๐ นาทีแรกตั้งแต่ได้รับ คำวินิจฉัยโรคจากแพทย์เฉพาะทาง และผู้ป่วยควรได้รับการเปิดเส้น เลือดหัวใจ (PCI) ภายใน ๙๐ นาทีนับตั้งแต่ผู้ป่วยเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เนื่องจากหากกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดไปเลี้ยงนานกว่า ๓๐ นาที ถึง ๖ ชั่วโมงจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอย่าง รุนแรง และหากนานเกินกว่า ๖ ชั่วโมงโดยที่ยังไม่ได้รับการรักษาจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายอย่างถาวร ดังนั้น การคัดกรองผู้ป่วยที่ถูกต้องและรวดเร็วจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้รับการดูแล ช่วยเหลือและวินิจฉัยได้ทันเวลา[๒-๗] โดยเบญจมาศ แสนแสงและคณะ [๒] อธิบายว่า อัตราการเสียชีวิตร้อยละ ๕๐ มักจะเกิดในระยะ เริ่มมีอาการใน ๑ ชั่วโมงแรก และระยะเวลาที่ล่าช้าไปทุก ๆ ๓๐ นาทีจะเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในปีแรกถึง ร้อยละ ๗.๕ และการได้รับการเปิดหลอดเลือดหัวใจสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ ๒๕-๓๐ และ การศึกษาพบว่า การล่าช้าจะเกิดขึ้นสองรอบ คือ ช่วงแรกเกิดช่วงที่มีอาการจนถึงตัดสินใจขอความ ช่วยเหลือและช่วงสองคือช่วงที่ขอความช่วยเหลือจนถึงโรงพยาบาล โดยการล่าช้าในช่วงแรกจะเกิดขึ้น
3 มากกว่าส่งผลให้ผู้ป่วยใช้เวลานานกว่าจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา โดยปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับการมารับการรักษาช้าแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ ๑. ปัญหาเรื่องการเดินทางมาโรงพยาบาล ๒. ผู้ป่วยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรค และ ๓. อาการเจ็บป่วยไม่ชัดเจน เช่น ไม่มีอาการเจ็บแน่น หน้าอก เป็นต้น นอกจากความล่าช้าที่ผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาช้าแล้ว กระบวนการในการรักษาพยาบาลใน โรงพยาบาลก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเวลาในการรักษาพยาบาลเช่นกัน โดยจรรฏา ภูยาฟ้า [๓] ได้สรุปปัญหา ทางการจัดการพยาบาลในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในงานการพยาบาลอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช พบว่า มี ๓ ปัญหาหลักทีทำให้เกิดความล่าช้า ได้แก่ ๑. ความล่าช้าในการทำ EKG ๒. ความล่าช้าในการ แปลผล EKG และ ๓. ความล่าช้าในการเตรียมทีมให้มีความพร้อมในการดูแล โดยจะเห็นว่า การเกิดความ ล่าช้าในการทำ EKG จะส่งผลกระทบให้เกิดความล่าช้าทั้งการให้ยาละลายลิ่มเลือดและการเปิดเส้นเลือด หัวใจแก่ผู้ป่วยด้วย สาเหตุหลักของการเกิดความล่าช้าในการทำ EKG คือ เวลาที่ใช้ในขั้นตอนการคัดกรอง ผู้ป่วย งานวิจัยฉบับนี้นำเสนอการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI ใหม่ โดยทำการปรับปรุงการคัดกรอง ๒ ส่วน คือ ๑. การสร้างเครื่องมือการคัดกรองอาการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันด้วยตนเองโดยใช้เทคโนโลยีแชทบอทอัจฉริยะเพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำ แบบทดสอบเพื่อประเมินอาการเจ็บป่วย การเพิ่มช่องทางการขอรับคำปรึกษาจากแพทย์และพยาบาล การ เพิ่มช่องทางการโทรเรียกรถฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาการเดินทางมายังโรงพยาบาล โดยในขั้นตอนนี้จะช่วยให้ ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และ ๒. การปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองผู้ป่วยที่งานการ พยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล โดยหากผู้ป่วยที่มาถึงโรงพยาบาลและ แสดงผลการคัดกรองจากแชทบอทอัจฉริยะกับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกส่งเข้ารับการตรวจ EKG ทันที ซึ่งการปรับปรุงขั้นตอนนี้จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องความล่าช้าในการทำ EKG. ได้ ๒. เป้าหมาย / วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI โดยทำ การปรับปรุงการคัดกรอง ๒ ส่วน ได้แก่ ๑ การสร้างเครื่องมือการคัดกรองอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ด้วย ตนเองโดยใช้เทคโนโลยีแชทบอทอัจฉริยะเพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว ๒ การปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองผู้ป่วยที่งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล เพื่อผู้ป่วยสามารถได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายในเวลา ๕ นาทีเมื่อบุคลากรทางการแพทย์พบผู้ป่วยเป็นคนแรก
4 ๓. วิธีดำเนินการ : รูปแบบการวิจัย / กระบวนการวิจัย ๓.๑ ระเบียบวิธีการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ การศึกษาและพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของงาน การพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ผู้วิจัยได้ทำการ ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และได้แบ่งการดำเนินการวิจัยออกเป็น ๓ ระยะ ดังนี้ ระยะที่ ๑ ขั้นศึกษาสถานการณ์ปัญหา โดยศึกษาข้อมูลก่อนการพัฒนาจากแบบบันทึกเวช ระเบียนของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่เข้ามารับการรักษาในงานการ พยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๒๒ ราย ระยะที่ ๒ การพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่นำเสนอ โดยในระยะนี้สามารถแบ่งเป็น ๓ ช่วงในการพัฒนา คือ ช่วงที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๗ จากการ วิเคราะห์ก่อนการพัฒนาพบว่า ระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษมีแนวทางการ ปฏิบัติในการดูแลรักษาผู้ป่วยครบถ้วนชัดเจนแต่ยังคงมีผู้ป่วยบางรายได้รับการรักษาช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทำ ให้ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ซึ่งปัญหาความ ล่าช้าเกิดจาก ๒ ปัจจัย ได้แก่ ๑. ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเดินทางมาโรงพยาบาลหลังจากเริ่มมีอาการเจ็บแน่น หน้าอกเป็นเวลานาน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าใจว่า อาการเจ็บป่วยที่เป็นจะสามารถบรรเทาลงได้หากได้พัก หรือนอนหลับ ซึ่งจากความเข้าใจดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ป่วยเดินทางเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลช้ากว่า เวลาที่ควรจะเป็น ทำให้การรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดช้าและมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอย่างรุนแรงได้ ๒. กลุ่มผู้ป่วยที่เดินทางเข้ารับการบริการในงานการพยาบาลผู้ป่วย อุบัติเหตุและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล หากผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่แน่ชัด [๔] อาจได้รับการ คัดกรองจากพยาบาลเป็นเวลานานหรืออาจได้รับการคัดกรองที่ผิดพลาดได้ ส่งผลลัพธ์ให้ผู้ป่วยได้รับการ รักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานและไม่ได้รับการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน ๕ นาทีตามตัวชี้วัดของโรงพยาบาล ราษีไศล ช่วงที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ทางผู้วิจัยได้เริ่ม ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมารับการรักษาช้าของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
5 ชนิด STEMI แบ่งได้เป็น 3 ปัจจัยที่มีผลมากที่สุด คือ 1. ปัญหาเรื่องการเดินทางมาโรงพยาบาล 2. ผู้ป่วย ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรค และ 3. อาการเจ็บป่วยไม่ชัดเจน เช่น ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เป็นต้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทางผู้วิจัยจึงดำเนินการพัฒนาดังนี้ ๑. ผู้ป่วยควรจะได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการป่วยทั้งแบบชัดเจนและไม่ชัดเจนรวมถึง อันตรายของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI เพื่อให้ผู้ป่วยรีบเดินทางมารับ การรักษาที่โรงพยาบาลหรือโทรขอความช่วยเหลือจากรถฉุกเฉิน ทางผู้วิจัยจึงศึกษาแบบฟอร์ม การคัดกรองที่งานการพยาบาลอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชใช้ในปัจจุบัน ซึ่งแบบฟอร์มดังกล่าว มีการเขียนอาการป่วยของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI อย่าง ชัดเจน พร้อมด้วยปัจจัยความเสี่ยงของผู้ป่วยที่จะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI ทั้งปัจจัยของโรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วยที่ผ่านมา พฤติกรรมการดำเนิน ชีวิต เป็นต้น ทางผู้วิจัยจึงคิดสร้างแบบประเมินอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถประเมินอาการป่วยของตนเองได้ ๒. ทางผู้วิจัยศึกษาเครื่องมือที่จะเผยแพร่แบบประเมินอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลันชนิด STEMI ด้วยตนเองโดยเน้นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มและที่ สำคัญผู้ป่วยจะต้องมีความคุ้นเคยกับการใช้งานเครื่องมือเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการใช้งาน จาก การศึกษา ผู้วิจัยพบว่า ปัจจุบันคนไทยมีการเปิดบัญชีผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน LINE กว่า 54 ล้าน บัญชี [๙] ซึ่งถือว่า แอปพลิเคชัน LINE เป็นเครื่องมือที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน อีกทั้ง โรงพยาบาลส่วนมากก็ใช้แอปพลิเคชัน LINE ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วยอีกด้วย การ ใช้แอปพลิเคชัน LINE เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วยโดยมากจะติดต่อผ่านกลุ่มไลน์ ซึ่งจำเป็น จะต้องมีบุคลากรของโรงพยาบาลพิมพ์ข้อความเพื่อสื่อสารกับผู้ป่วย แต่นอกเหนือจากการใช้ แอปพลิเคชัน LINE ผ่านไลน์กลุ่มแล้ว แอปพลิเคชัน LINE ยังเปิดบริการแชทบอทที่สามารถ ติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้งานได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานมาคอยตอบคำถาม ทำให้การใช้งานแชทบอทมีความสะดวกสบายและไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรมาดูแลตลอดเวลา อีกด้วย ๓. ผู้วิจัยทำการออกแบบแชทบอทให้มีการใช้งานที่ง่าย คือ จากข้อมูลที่ศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรค กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ถึงแม้จะมีการใช้ แอปพลิเคชัน LINE เป็นประจำแต่การพิมพ์ข้อความของผู้สูงอายุยังคงไม่สะดวกในการใช้งาน ทางผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาและออกแบบแชทบอทให้สามารถรองรับการใช้งานโดยการกดปุ่ม เลือก ทำให้การใช้งานแชทบอททั้งหมดไม่จำเป็นต้องพิมพ์ข้อความ ซึ่งมีง่ายและความ เหมาะสมต่อการใช้งานทุกวัย ๔. เพื่อแก้ปัญหาการเดินทางมาโรงพยาบาลของผู้ป่วยหรือการไม่ทราบหมายเลขโทรศัพท์ขอ ความช่วยเหลือ ๑๖๖๙ ทางผู้วิจัยจึงได้มีการพัฒนาแชทบอทนอกจากจะสามารถเผยแพร่แบบ
6 ประเมินอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ด้วยตนเองแล้ว ยังสามารถ บอกถึงความเสี่ยงของอาการโดยพิจารณาจากคะแนนที่ผู้ป่วยได้จากแบบประเมินพร้อมมี ฟังก์ชันการโทรศัพท์ขอคำปรึกษาจากแพทย์และพยาบาลในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศลโดยตรง รวมทั้งมีฟังก์ชันการโทรศัพท์เรียกรถฉุกเฉิน แม้ผู้ป่วยจะไม่ทราบหมายเลข ๑๖๖๙ ๕. เพื่อให้การใช้งานแชทบอทเกิดประโยชน์มากขึ้น ทางผู้วิจัยมีการออกแบบแชทบอทให้มีช่อง การให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับโรคหัวใจ ความรู้เกี่ยวกับคำถามต่าง ๆ ที่มักจะถูกถามเมื่อเดินทาง มาถึงโรงพยาบาล การให้ข้อมูลการเตรียมตัวก่อนเดินทางมาโรงพยาบาล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ สามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเพื่อให้ข้อมูลทันสมัยกับการใช้งานปัจจุบัน ช่วงที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ทางผู้วิจัยได้ทำ ออกแบบการปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองผู้ป่วยที่งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล เพื่อผู้ป่วยสามารถได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายในเวลา ๕ นาทีเมื่อบุคลากร ทางการแพทย์พบผู้ป่วยเป็นคนแรก โดยจากขั้นตอนเดิมหากผู้ป่วยเดินทางมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจะต้องได้รับการคัดกรองจากพยาบาลที่งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศลก่อน ทำให้บางครั้งผู้ป่วยได้รับการคัดกรองช้า ใช้เวลานาน ทำให้ผู้ป่วยได้รับการวัด EKG เกินเวลา ๕ นาทีตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาล ทางผู้วิจัยจึงทำการปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองสำหรับ ผู้ป่วยที่ได้แสดงผลการทำแบบประเมินอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ด้วย ตนเองให้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคนแรกที่เจอ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกนำไปทำการวัด EKG เลย ทำให้ ระยะเวลา Door to EKG มีค่าต่ำกว่า ๕ นาทีตามตัวชี้วัดที่โรงพยาบาลราษีไศลตั้งเป้าไว้ ระยะที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ผู้วิจัยได้ทำ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยทั้งการหาความตรงของเนื้อหา (Content validity) และ การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยผู้วิจัยได้ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ ๓ ท่านเพื่อ หาค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา (Content validity index: CVI) โดยได้ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาของ เครื่องมือทั้งหมดได้ค่าเท่ากับ ๐.๙๒ ส่วนการหาค่าความเชื่อมั่นทางผู้วิจัยได้หาค่าความเชื่อมั่นของ เครื่องมือทั้งหมดและได้รับการตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิด้วยการคำนวณหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามของงานวิจัยนี้มีค่าเท่ากับ ๐.๘๘ การหาความเที่ยงของเครื่องมือ โดยนำเครื่องมือทั้งหมดที่ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาแล้วไปให้พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในงานการพยาบาลผู้ป่วย อุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีคุณสมบัติ