The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทคัดย่อนำเสนอสมาคมพยาบาลฯ จ.ยโสธร วันที่ 24 พฤษภาคม 2567

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ja Nattawadee, 2024-06-11 08:31:08

รวมบทคัดย่อนำเสนอสมาคมพยาบาลฯ จ.ยโสธร ปรับ11 มิ.ย.67

รวมบทคัดย่อนำเสนอสมาคมพยาบาลฯ จ.ยโสธร วันที่ 24 พฤษภาคม 2567

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 21 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 จำหน่ายและส่งต่อการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดและรังสีรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานีแพทย์อนุญาตให้กลับ บ้าน ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 รวมวันนอนโรงพยาบาล 16 วัน กรณีศึกษา ที่ 2 ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 82 ปี ประวัติในอดีตเคยเป็นมะเร็งลำไส้ตรง ได้รับการรักษาโดยเคมีบำบัดและ รังสีรักษาครบเมื่อปี 2565 ผู้ป่วยกลับเป็นซ้ำ มีเลือดออกทางทวารหนัก 3 วันก่อนมา รับไว้ในโรงพยาบาลวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 การวินิจฉัย Recurrent CA rectum invade vaginal wall ได้รับการผ่าตัด Abdominoperineal Resection with Total Abdominal Hysterectomy with Bilateral salpingo-oophorectomy with Appendectomy วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 การผ่าตัดไม่ยุ่งยากมาก การผ่าตัดใช้เวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที Estimate blood loss 100 ml หลังผ่าตัด on ET tube ส่งต่อ ICU ศัลยกรรม เนื่องจากเป็นผู้ป่วยสูงอายุสามารถ off ET tube ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ประเมินสภาพปอดหลัง off ET tube พบว่ามีเสมหะคั่งค้าง มีเสียง crepitation ที่ปอดทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากประสิทธิภาพการไอไม่ดี จึงปรึกษากายภาพบำบัด เพื่อทำ physical therapy และกระตุ้น ให้มีearly ambulation สอนการไอและหายใจที่ถูกวิธีหลังทำ physical therapy วันที่ 2 lung clear เนื่องจาก ขณะผ่าตัดไม่มีการสูญเสียเลือดมาก หลังผ่าตัดไม่ได้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินระดับอิเล็กโทรไลต์ อาการปกติมีการประเมินระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องทุก 6 ชั่วโมง พบว่าหลังผ่าตัดวันที่ 2 มีภาวะ Hyperglycemia ผล DTX 276 mg% ให้ RI 6units เริ่ม step diet โดยให้ liquid diet ในวันที่ 3 รับประทาน soft diet ได้ในวันที่ 5 หลังผ่าตัด บริเวณหน้าท้องผู้ป่วยด้านซ้ายมี colostomy อุจจาระปกติ ได้อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติ ยอมรับการมีทวารเทียม และเข้าใจวิธีการดูแล stoma ต่อมาผู้ป่วยอาการดีขึ้น จึงได้วางแผนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อ วางแผนการจำหน่าย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน ในวันที่ 6 มีนาคม 2567 รวมวันนอนโรงพยาบาล 7 วัน วิจารณ์: กรณีศึกษาทั้ง 2 รายนี้ มีความยุ่งยากซับซ้อนที่คล้ายกันคือ ผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ตรงและไม่ได้รับการตรวจ วินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรก ทำให้มีการลุกลามของมะเร็งไปยังอวัยวะข้างเคียง ซึ่งแนวทางการรักษาซับซ้อนมาก ขึ้น ทั้ง 2 รายมีความยุ่งยากซับซ้อนในการพยาบาลที่แตกต่างกัน แม้ว่าข้อวินิจฉัยการพยาบาลจะคล้ายคลึงกัน กรณีที่ 1 มะเร็งลุกลามไปที่ต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ จึงต้องตัดกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย การผ่าตัดมีความยุ่งยาก มากและใช้เวลานาน เสียเลือดมาก (1,500 ml) มี stoma ที่บริเวณหน้าท้อง 2 ตำแหน่ง ข้างขวาระบายปัสสาวะ ข้าง ซ้ายระบายอุจจาระ ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวลำบาก ทำให้ไม่มี early ambulation หลังผ่าตัดมีการติดตามภาวะ น้ำตาลในเลือดและอิเล็กโทรไลต์ มีภาวะ Hypomagnesemia และ Hypocalcemia ได้รับการรักษาโดยให้MgSO4 และ Calcium gluconate ใช้ระยะเวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายนาน ต้องให้การพยาบาลที่มีความยุ่งยากซับซ้อน จน สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยได้ ภายในเวลา 16 วัน กรณีศึกษาที่ 2 มะเร็งลุกลามไปที่ผนังช่องคลอดด้านบน จึง จึงทำการตัดมดลูกและรังไข่ทั้ง 2 ข้างร่วมด้วย มีความยุ่งยากซับซ้อนน้อยกว่ากรณีที่ 1 เสียเลือดน้อยกว่า (100 ml) แต่กรณีที่ 2 เป็นผู้ป่วยสูงอายุ หลังผ่าตัดไม่สามารถถอดท่อช่วยหายใจได้ หลังผ่าตัดจึงส่งผู้ป่วยไป ICU ศัลยกรรม แต่ สามารถถอดท่อช่วยหายใจได้ภายใน 24 ชั่วโมง หลังถอดท่อช่วยหายใจ ไม่สามารถไออย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มี เสมหะคั่งค้างในปอด จึงส่งปรึกษากายภาพบำบัด เพื่อเคาะปอดและกระตุ้นการไออย่างมีประสิทธิภาพ ต้องให้การ พยาบาลที่มีความยุ่งยากซับซ้อน จนสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยได้ภายในเวลา 7 วัน ข้อเสนอแนะ:


สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 22 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 1. ข้อเสนอแนะต่อองค์กร ควรมีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่ลำไส้ได้ตั้งแต่ ระยะเริ่มแรกซึ่งจะสามารถลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้และมีการติดตาม คุณภาพการดูแลผู้ป่วยและมีการประสานเครือข่ายในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ ตรงและมีทวารเทียมถาวร เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง 2. ข้อเสนอแนะต่อทีมสหวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วย 2.1 พยาบาลช่วยผ่าตัด ควรมีการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการประสานกับทีมสหวิชาชีพ ในการ เตรียมผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง 2.2 ขณะผ่าตัดพยาบาลช่วยผ่าตัด ควรมีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในส่วนลำไส้ ใหญ่และไส้ตรง การเตรียมเครื่องมือผ่าตัดที่เหมาะสมกับอวัยวะ เช่น ส่วนที่แคบ ลึก หรือเนื้อเยื่อที่หนา การ เลือกใช้ไหมเย็บ การใช้วัสดุเย็บปิดลำไส้อัตโนมัติ เฝ้าระวังการบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียงที่เป็นอวัยวะสำคัญ โดยสังเกตและทบทวนร่วมกันในทีมผ่าตัด และเฝ้าระวังการสูญเสียเลือด การห้ามเลือดโดยใช้เทคนิคการผูก เย็บที่มีประสิทธิภาพหรือการใช้เครื่องจี้เชื่อมปิดเส้นเลือด 2.3 หลังผ่าตัด พยาบาลช่วยผ่าตัด ควรติดตามเยี่ยมผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่หอผู้ป่วย ประเมินสภาพผู้ป่วย ร่วมกับสหวิชาชีพ ประเมินความปวด กระตุ้นให้มี early ambulation แนะนำการดูแลทวารเทียม เมื่อผู้ป่วย กลับบ้าน 2.4 พยาบาลช่วยผ่าตัด ควรมีการทบทวน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบของการทำ MM conference อย่างสม่ำเสมอ นำรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงไปปรับใช้ให้เหมาะสมตามบริบทของ ผู้ป่วย พัฒนาสมรรถนะของทีมที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยเฉพาะด้าน การติดตามดูแลผู้ป่วยที่มีทวารเทียม ถาวรเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน พัฒนาการใช้ระบบ Telemedicine หรือ Tele nurse 3. ข้อเสนอแนะต่อผู้ป่วย ควรมีการติดตามข่าวสารด้านสุขภาพ หรือเรียนรู้การดูแลทวารเทียมถาวร ควรมีผู้ดูแลที่รับรู้ข้อมูล ผู้ป่วยและแนวทางการดูแล มีแหล่งบริการสาธารณสุขใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่ที่สามารถให้คำปรึกษาการ ดูแลทวารเทียมถาวร เอกสารอ้างอิง : 1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: c2022 [เข้าถึงเมื่อ 18 ก.ย. 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://www.gmlgo.th/?p=105520


สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 23 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 2. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. สถิติด้านสถานะ สุขภาพ Health status statistics. ใน สรุปสถิติที่สำคัญ พ.ศ.2565 (Statistical Thailand). นนทบุรี: กอง ยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข; 2565. 3. กษยา ตันติผลาชีวะ. Familial Colorectal cancer. ในนพดนัย ชัยสมบูรณ์และคณะ (บรรณาธิการ) ศัลยศาสตร์วิวัฒน์ เล่มที่ 56: Dealing With Colorectal Disease 2018. กรุงเทพฯ: กรุงเทพเวชสาร; 2561. 4. คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน่วยที่ 7 ทฤษฎีและแนวทางประยุกต์สู่การปฏิบัติ: ทฤษฎี เน้นผู้รับบริการ. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา Nursing theory. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2555. 5. จันทร์เพ็ญ สันตวาจา. แนวคิดพื้นฐาน ทฤษฎี และกระบวนการพยาบาล (พิมพ์ครั้งที่ 6). นนทบุรี: โครงการ สวัสดิการวิชาการ สถาบันพระบรมราชนก; 2553. 6. สถิติข้อมูลโรงพยาบาลยโสธร. งานเวชระเบียนและสถิติ. ยโสธร: โรงพยาบาลยโสธร; 2566-2567. 7. คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี[อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: c2020 [เข้าถึง เมื่อ 20 ธ.ค. 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://www.medparkhospital.com/disease-andtreatment/instruction-for-radiation-therapy-in-cancer-patients 8. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: c2018 [เข้าถึงเมื่อ 11 ก.ย. 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://www.rama.mahidol.ac.th/cancer_center/sites/default/ files/public/pdf/FromOCPA/Protocol_cancer/Onco%20CA%20Colon-Rectum%202561.pdf 9. โรงพยาบาลมหาสารคาม [อินเทอร์เน็ต]. มหาสารคาม: c2020 [เข้าถึงเมื่อ 7 ม.ค. 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://mkh.go.th/nurse/wp-content/plugins/download-attachments/includes/ download.php?id=526 10. โรงพยาบาลหัวหิน กระทรวงสาธารณสุข [อินเทอร์เน็ต]. ประจวบคีรีขันธ์: c2020 [เข้าถึงเมื่อ 11 ก.ย. 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://huahinhospital.moph.go.th/file_doc/files-11275.pdf 11. มหาวิทยาลัยขอนแก่น [อินเทอร์เน็ต]. ขอนแก่น : c2021 [เข้าถึงเมื่อ 10 ก.พ. 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://heart.kku.ac.th/images/PDF/M_cardiac_Rehap/Program_rehap.pdf


การนำเสนอวิชาการ เรื่อง “พัฒนาความก้าวหน้าวิชาชีพการพยาบาล ประจำปี 2567 ” วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ชื่อผู้นำเสนอ: นางปราณี ทองเสริม สังกัด: โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ชื่อเรื่องนำเสนอ: การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีภาวะน้ำเกินร่วมกับภาวะหายใจล้มเหลว กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย ชื่อภาษาอังกฤษ: Nursing care of End stage renal disease with Volume overload with Respiratory failure บทคัดย่อ บทนำ: รพ.สรรพสิทธิประสงค์มีปัญหาความแออัดโรคอายุรกรรม โดยเฉพาะโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (ESRD) เป็นโรคที่เกิดจากการสูญเสียหน้าที่ของไตไปอย่างช้าๆและต่อเนื่องจนเกิดการสูญเสียหน้าที่อย่างถาวร เป็น ปัญหาที่สำคัญระดับโลกและมีแนวโน้มผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น ในปี 2565 พบว่า 1 ใน 25 ชองผู้ป่วยโรคเบาหวานและความ ดันโลหิตสูง กลายเป็นผู้ป่วยไตเรื้อรังรายใหม่ ขณะที่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายจำเป็นต้องล้างไตมีจำนวนเพิ่มขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีภาวะน้ำเกินร่วมกับภาวะ หายใจล้มเหลว วิธีการศึกษา: เลือกศึกษาผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลจำนวน 2 ราย ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีภาวะน้ำ เกินร่วมกับภาวะหายใจล้มเหลว ศึกษาประวัติ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียน ประยุกต์ใช้มาตรฐาน การพยาบาล 7 Aspect of care กำหนดข้อวินิจฉัยทางการการพยาบาลโดยใช้แนวคิด 11 แบบแผนของกอร์ดอน ระยะเวลาดำเนินการ 1 มิ.ย.66 - 30 ก.ย.66 ผลการศึกษา: กรณีศึกษาที่ 1 ชายไทย 59 ปี U/D DM type 2 with HT with CKD stage 5 ยังไม่ได้ทำการ บำบัดทดแทนไต มาด้วยอาการสำคัญ 3 ชม.ก่อนมาหายใจหอบเหนื่อย ขา 2 ข้างบวมปัสสาวะออกน้อยลง ไปรพช. แพทย์ ใส่ ET tube refer มารพ.สปส. ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องภาวะน้ำเกิน ภาวะของเสียคั่ง มีภาวะติดเชื้อที่ปอด ภาวะน้ำตาลใน เลือดสูง มีภาวะโปรแตสเซียมในเลือดต่ำ มีภาวะซีด ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยการทำ HD อาการดีขึ้นถอดท่อช่วยหายใจ จำหน่ายกลับบ้าน LOS 5 วัน กรณีศึกษาที่ 2 ชายไทย 62 ปี U/D DM type 2 with HT with CKD stage 5 ยังไม่ได้ทำ การบำบัดทดแทนไต มาด้วยอาการสำคัญ 5 วันก่อนมามีไข้ ไอ มีเสมหะ 3 ชม.ก่อนหายใจหอบเหนื่อยไปรพช. แพทย์ใส่ ET tube refer มารพ.สปส ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องภาวะน้ำเกิน ภาวะของเสียคั่ง มีภาวะติดเชื้อที่ปอด ภาวะน้ำตาลในเลือด สูง มีภาวะโปรแตสเซียมในเลือดสูง มีภาวะซีด ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยการทำ HD อาการดีขึ้นถอดท่อช่วยหายใจ จำหน่ายกลับบ้าน LOS 5 วัน สรุป: พยาบาลเป็นผู้ที่มีบทบาทในการประเมินและค้นหาปัญหาของผู้ป่วย วางแผนปฏิบัติการให้ครอบคลุมตาม ปัญหาที่เกิดขึ้น เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย จัดการอาการรบกวน ให้การ พยาบาลตามมาตรฐานไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนตลอดจนวางแผนการจำหน่ายที่ดีเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยสามารถกลับบ้าน ได้ คำสำคัญ: ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย(End stage renal disease) ภาวะน้ำเกิน(Volume overload) ภาวะหายใจ ล้มเหลว(Respiratory failure)


ชื่อเรื่อง การเพิ่มประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาโดย SHIP BE BUNDLE เจ้าของผลงาน นางเลียมใจ คำมุงคุล นางทศพร วัฒนราษฎร์พิเศษอายุรกรรมโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ บทนำ : การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ เป็นปัญหาในโรงพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญของการ เพิ่มระยะเวลานอนโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาล เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต จากสถิติโรงพยาบาลปี2564-2566 พบผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา 0.83 , 1.02 และ 0.88 ต่อ 1000 วันนอน ตามลำดับ หอผู้ป่วยพิเศษอายุรกรรมรับดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาต่อเนื่อง 6 , 8 และ 7 ราย ใน ปีงบประมาณ 2564, 2565 และ 2566 ตามลำดับ จากสถิติข้อมูลพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น เพื่อให้การ ป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อของผู้ป่วยเชื้อดื้อยาได้ประสิทธิภาพสูงสุดและบุคลากรปฏิบัติตาม แนวทางปฏิบัติของงานป้องกันและควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลเป็นแนวทางเดียวกัน จึงได้มีการนำ แนวทางปฏิบัติของงานป้องกันและควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลที่มีอยู่ ร่วมกับการใช้SHIP BE BUNDLE ได้แก่S:Staff Education, H: Hand Hygiene, I: Isolation, P: PPE, B: Bathing E: Environment เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติเข้ากับบริบทของหน่วยงาน วัตถุประสงค์: 1. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาในหอผู้ป่วยพิเศษ อายุรกรรม 2. เพื่อให้บุคลากรในหอผู้ป่วยปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ ดื้อยาโดย SHIP BE BUNDLE ระยะเวลาดำเนินการ: เดือน ตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567 วิธีดำเนินงาน : ใช้กระบวนการ PDCA, Plan:วิเคราะห์ปัญหา ทบทวนแนวทางการปฏิบัติประเด็นปัญหาที่ พบ ทบทวนอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น Do: จัดทำแผนการดำเนินการ ทบทวนแนวปฏิบัติของงานป้องกันและ ควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลที่มีอยู่ ศึกษางานวิชาการ จัดประชุมทบทวนให้ความรู้แก่บุคลากรทุกคน เกี่ยวกับ SHIP BE BUNDLE, นำ SHIP BE BUNDLE มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการแพร่กระจาย เชื้อดื้อยา Check: หัวหน้าเวรกำกับ ติดตาม ทุกเวร ร่วมกับการ Pre-Post conference หากพบปัญหา ทีมจะ ประชุมเพื่อแก้ไขและทำความเข้าใจให้ตรงกัน มีการนิเทศติดตามอย่างใกล้ชิด เก็บข้อมูล วิเคราะห์ประเมินผล และสรุปผลทุกเดือน Act: หากพบปัญหา ทีมจะประชุมเพื่อแก้ไขและทำความเข้าใจให้ตรงกันเพื่อปรับปรุง แก้ไขและวางแผนต่อไป ผลการดำเนินงาน : ปีงบประมาณ 2567 (6 เดือนแรก) 1.อัตราการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพเท่ากับ 0 2.บุคลากรปฏิบัติโดยใช้SHIP BE BUNDLE 90 % สรุป : ความร่วมมือของบุคลากรในทีม ผู้ป่วยและญาติ สามารถลดอัตราการติดเชื้อดื้อยาและลดระยะเวลาใน การนอนโรงพยาบาล บทเรียนที่ได้รับ:การนำหลัก SHIP BE BUNDLE มาใช้ในการปฏิบัติสามารถลดอัตราการติดเชื้อและการ แพร่กระจายเชื้อดื้อยาได้ดียิ่งขึ้น สามารถนิเทศติดตามได้ง่ายขึ้นและสม่ำเสมอ


บทคัดย่อ กิจกรรมพัฒนาคุณภาพCQI : เรื่องผลการพัฒนารูปแบบการให้ความรู้ผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้สื่อแบบมัลติมีเดียในหอผู้ป่วยจักษุชื่อเจ้าของผลงาน : นางสาวอรัญญิการ์สระบงกชและคณะหอผู้ป่วยจักษุโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ความสําคัญของปัญหา: โรคต้อกระจกเป็นโรคที่มีภาวะเสื่อมของเลนส์ตาทําให้เลนส์ตาขุ่นส่งผลต่อการ มองเห็นของผู้ป่วยภาวะแทรกซ้อนที่สําคัญที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังผ่าตัดคือการติดเชื้อภายในลูกตา (Endopthalmitis)นับว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สําคัญอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นทําใหสู้ญเสียการมองเห็นที่รุนแรง และถาวรจนถึงขั้นต้องสูญเสียดวงตาจากการเก็บข้อมูลโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์พบอุบัติการณ์การติดเชื้อภายในลูกตาของPCTจักษุปีงบประมาณ2565-2567จํานวน 5 รายจากการวิเคราะห์ปัญหาพบว่าผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุมีความพร่องด้านการรับรู้หรือไม่มีผู้ดูแลทําให้ปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดไม่ถูกต้องเจ้าหน้าที่ขาดการประเมินความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยหอผู้ป่วยจักษุเล็งเห็นความสําคัญจึงได้พัฒนาแนวทางการให้ความรู้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเพื่อป้องกันการติดเชื้อและให้ผู้ป่วยปลอดภัยหลังผ่าตัดวัตถุประสงค์: 1. เพื่อป้องกันการติดเชื้อผู้ป่วยหลังผ่าตัดต้อกระจกภายในหอผู้ป่วยจักษุ2. เพื่อพัฒนาแนวทางการให้ความรู้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดต้อกระจกหอผู้ป่วยจักษุตัวชี้วัด : 1.อัตราการติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก = 0.3 % 2. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามแนวทางให้ความรู้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกหอผู้ป่วยจักษุ= 100 % ขั้นตอนการดําเนินงาน:(1.)วิเคราะห์ปัญหาหาสาเหตุการติดเชื้อภายในPCTจักษุร่วมกับทีมสหสาขา(2.)ร่วมกําหนดแนวทางการให้ความรู้โดยการผลิตสื่อวิดิทัศน์และแผ่นพับการปฏิบัติตัวก่อน,หลังผ่าตัด,การปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้านผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก(3.)นําแนวทางสู่การปฏิบัติ(4).เก็บข้อมูล(5.)ติดตามประเมินผลการปฏิบัติทุกเดือนนําข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ผลการดําเนินงาน: 1.อัตราการติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก = 0% 2.เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามแนวทางให้ความรู้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกหอผู้ป่วยจักษุ= 100 % อภิปรายผล: การให้ความรู้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดโรคต้อกระจกโดยการใช้กิจกรรมการให้ความรู้ที่ประกอบด้วยสื่อวีดิทัศน์และการแจกเอกสารเป็นวิธีการให้ความรู้ที่ช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดโรคต้อกระจกมีความรู้ดีขึ้นผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถดูแลได้ถูกต้องทําผู้ป่วยผ่าตัดโรคต้อกระจกปลอดภัยไม่เกิดการติดเชื้อหลังผ่าตัด


ชื่อเรื่อง CQI : การพัฒนาการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อป้องกันภาวะ หลอดเลือดดำส่วนปลายอักเสบ (Phlebitis) ผู้นำเสนอ: นางอัชราพร เถาว์โท น.ส.เบญจมาภรณ์ ชุมแสง และนางพรสวรรค์ ฐานไชยยิ่ง ชื่อองค์กร: โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ความเป็นมาและความสำคัญ: ห้องผู้ป่วยหนักโรคหลอดเลือดสมอง ให้การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน อายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งชายและหญิง แรกรับผู้ป่วยต้องได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำทุกราย ในปี พ.ศ. 2564-2566 พบว่ามีการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ 707, 551 และ 580 ครั้ง เกิดภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ 7, 2 และ 6 ครั้ง ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น เสียค่าใช้จ่ายใน การรักษาเพิ่มขึ้น ทางหอผู้ป่วยได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ จึงได้มีการพัฒนาการปฏิบัติการ พยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลายขึ้น โดยได้วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่แท้จริงตาม บริบทของหน่วยงาน พบว่าพยาบาลปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลายเพียงร้อย ละ 59.46 และจากการนำร่องประเมินความรู้พยาบาลจำนวน 5 ราย พบว่ามีพยาบาลร้อยละ 40 อธิบายขั้นตอน ได้ไม่ครบ วัตถุประสงค์: เพื่อให้พยาบาลปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย เพื่อลดการเกิด ภาวะหลอดเลือดดำอักเสบจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ วิธีดำเนินการ: ใช้กระบวนการ PDCA ในเดือน ต.ค.66–มี.ค.67 โดย 1) Plan: ทบทวนปัญหา สาเหตุและ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ วิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข 2) Do: ทบทวนแนว ปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย สื่อสารทำความเข้าใจ สาธิตย้อนกลับวิธีการ on IV catheter และทำการนิเทศติดตามโดยหัวหน้าเวร/หัวหน้าหอผู้ป่วย 3) Check: ติดตามประเมินผลภายหลังดำเนินการ 6 เดือนโดยใช้แบบประเมินการป้องกันการเกิด Infiltration, Phlebitis จากนั้นวิเคราะห์ผลโดยใช้ความถี่ร้อยละ 4) Act: นำผลการประเมินการใช้แนวปฏิบัติมาเป็นแนวทางแก้ไขปรับปรุงโดยใช้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันใน ทีม ผลการศึกษา: พยาบาลปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลายร้อยละ 89.52 โดย พบว่าวิธีปฏิบัติที่ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 คือ หมวดที่ 2 การให้สารน้ำสารอาหารทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย 916 ครั้ง เกิดหลอดเลือดดำอักเสบระดับ 2 จำนวน 5 ครั้ง (5.46/1,000 วันคาสายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลาย) ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: การสร้างความตระหนัก กระตุ้นให้ทีมปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการให้ สารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างสม่ำเสมอและมีการนิเทศติดตามจะส่งให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน จากการได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ และควรมีการจัดทำสื่อการสอนประกอบการนิเทศเพื่อให้มีแนวทาง ปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น คำสำคัญ: การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ, ภาวะหลอดเลือดดำส่วนปลายอักเสบ


บทคัดย่อ เรื่อง : การเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงชั้น 5 ประเภทผลงาน : CQI เจ้าของผลงาน : พว. อุบล พลเทพ ที่ปรึกษา พว. อรินท์พร โสภาพันธ์ หลักการและเหตุผล: การเกิดแผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้ผู้ป่วยเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน นอน โรงพยาบาลนานขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้จากข้อมูล ตัวชี้วัดคุณภาพบริการของหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงชั้น 5 ปีงบประมาณ 2564-2566 พบอัตราการเกิด แผลกดทับระดับ 2-4 8.30, 10.20 และ 10.45 ต่อ 1000 วันนอน ตามลำดับ ผลการปฏิบัติตาม WI การ ป้องกันและดูแลแผลกดทับ ปีงบประมาณ 2566 ร้อยละ 74 จากการวิเคราะห์พบว่า มีปัจจัยที่มีผลให้ผู้ป่วย เกิดแผลกดทับ ทั้งทางด้านผู้ป่วยเอง สภาพอากาศ ความชื้นของผิวหนัง ภาวะโภชนาการ ข้อจำกัดของการ เคลื่อนไหว และบุคลากรที่มีภาระงานที่มาก การจัดลำดับความสำคัญที่อยู่ลำดับท้ายๆต่อจากกิจกรรมการ พยาบาลอื่น ขาดการสื่อสารที่ชัดเจน และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ผู้จัดทำจึงได้พัฒนากิจกรรมคุณภาพขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง วัตถุประสงค์: 1.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง ชั้น 5 2.เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันและดูแลแผลกดทับ ตัวชี้วัด : 1.อุบัติการณ์การเกิดแผลกดทับ ระดับ 2-4 ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ลดลง < ร้อยละ 5 2.บุคลากรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันและดูแลแผลกดทับ > ร้อยละ 90 วิธีการดำเนินงาน : 1.Plan ประชุมทีม กำหนดเป้าหมาย วางแผนดำเนินการ และกำหนดผู้รับผิดชอบหลัก คือ PI NURSE ประจำหน่วยงาน 2.Do 1) กำหนดแนวทางการดูแลกลุ่มเสี่ยงมี Barden score น้อยกว่า 18 คะแนน หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ตั้งแต่แรกรับจนถึงจำหน่ายผู้ป่วย 2) ให้ข้อมูลญาติตั้งแต่แรกรับ ในการเตรียมอุปกรณ์ในการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล ประเมินความพร้อมของญาติในการดูแลผู้ป่วย พร้อมลง ข้อมูลใน Kardex เพื่อสื่อสาร 3) สื่อสารในทีมการพยาบาลอย่างมีระบบทั้งใน Kardex และบันทึกทางการ พยาบาล โดยใช้ตราประทับ 4) แขวนป้าย PI หน้าเตียงเพื่อสื่อสารในทีม 5) สอนญาติหรือ Care giver ในการ ดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับเมื่อผู้ป่วยกลับบ้าน 3.Check ติดตามความก้าวหน้าของแผลทาง กลุ่มไลน์และจากบันทึกทางการพยาบาล นิเทศติดตามการปฏิบัติตามแนวทาง โดยการสังเกตและสอบถาม โดยหัวหน้าหอผู้ป่วย พยาบาลอาวุโส และทีม PI NURSE 4.Act เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย แต่ละราย จึงมีการจัดหาอุปกรณ์ในส่วนกลางไว้ ผลการดำเนินงาน : 1.หลังจากนำแนวทางปฏิบัติลงสู่การปฏิบัติ (ต.ค. 2566 – มี.ค. 2567) พบอุบัติการณ์ การเกิดแผลกดทับ ระดับ 2-4 ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ร้อยละ 5.32 (ในจำนวนนี้เป็นแผลกดทับระดับ 2 ทั้งหมด) 2.บุคลากรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันและดูแลแผลกดทับ ร้อยละ 92 การนำไปใช้: สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลอื่นๆ เช่น ป้องกันพลัดตกหกล้ม


ผลการสอนโดยใช้ Hands off technique ต่อประสิทธิภาพ ความมั่นใจ ความสำเร็จของการให้ นมแม่ก่อนจำหน่ายกลับบ้าน ในมารดาครรภ์แรกหลังคลอดปกติ ครบกำหนด ทุกกลุ่มอายุที่รับไว้ ในหอผู้ป่วยสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลนครพนม วาทินี ชุณหปราณ บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงประสิทธิผล (Efficacy research) แบบ Prospective interrupted time มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลการสอนโดยใช้ Hands off technique ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการให้นมแม่ ก่อนจำหน่ายกลับบ้าน ในมารดาครรภ์แรกหลังคลอดปกติ ครบกำหนด ทุกกลุ่มอายุที่รับไว้ในหอผู้ป่วยสูตินรีเวช กรรม โรงพยาบาลนครพนม 2) เพื่อเปรียบเทียบความมั่นใจของแม่ในการให้นมลูกระหว่างแม่ที่ได้รับการสอนโดย ใช้ Hands off technique กับแม่ที่ได้รับการสอนแบบเดิมใช้ Hands on technique กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลัง คลอดปกติ ครบกำหนด ครรภ์แรก ทุกกลุ่มอายุที่รับไว้ในหอผู้ป่วยสูตินรีเวช โรงพยาบาลนครพนม ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2567 ถึง เมษายน 2567 จำนวน 42 ราย เก็บข้อมูลโดย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของแม่และลูกที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น แบบประเมินประสิทธิภาพในการให้นมแม่ ผู้วิจัยใช้ LATCH Score ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับการ ประเมินประสิทธิภาพการให้นมแม่ขณะอยู่โรงพยาบาลและก่อนจำหน่ายกลับบ้าน และแบบสอบถามความมั่นใจ ของแม่ในการให้นมลูก ของนงนุช เจริญสุระสถลผู้วิจัยนำมาใช้โดยไม่มีการดัดแปลงเนื้อหาของเครื่องมือ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยการใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการ ให้นมแม่ และความมั่นใจของแม่ด้วย Independent t-test ,Two-sample Wilcoxon rank-sum test และ Survival Regression ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มศึกษา คือ Hands off technique และ Hands on technique ส่วนใหญ่มีอายุ อยู่ในช่วง 20-34 ปี อายุครรภ์> 37 สัปดาห์ และน้ำหนักบุตร>3000 กรัม และลักษณะพื้นฐานอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน ลักษณะศึกษาที่ความแตกต่างกันได้แก่ APGAR Score ที่ 1 นาที , APGAR Score ที่ 5 นาที และ ความตั้งใจให้ นมแม่ ประสิทธิภาพการให้นมแม่ก่อนจำหน่ายกลับบ้าน พบว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบ Hands off technique ลดจำนวนครั้งการสอน ระยะเวลาที่ใช้ในการสอนจนเข้าเต้าสำเร็จลดลง ระยะเวลาที่ใช้ในการทำให้แม่ LATCH score≥ 8 และคะแนนความมั่นใจก่อนจำหน่าย เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยใช้ระยะเวลาสั้นลง (Time ratio) เท่ากับ 0.63 เท่า จากผลการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะให้เพิ่มระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลและเพิ่มจำนวนกลุ่ม ตัวอย่างในการทดลองเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คำสำคัญ Hands off technique, Hands off technique, เลี้ยงลูกด้วยนมแม่


บทคัดย่อ เรื่อง การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของ ภาคีเครือข่าย ตำบลบ้านเป้า อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิปี2567 นายนิพนธ์ น้อยวิเศษ ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเป้า อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ โรคพยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุที่สำคัญในการก่อโรคมะเร็งท่อน้ำดีโดยตำบลบ้านเป้า ได้มีการรณรงค์ เก็บอุจจาระส่งตรวจหาพยาธิใบไม้ตับ ตั้งแต่ปี 2562-2566 รวมจำนวน 1,265 คน พบไข่พยาธิใบไม้ตับ จำนวน 239 คน คิดเป็นร้อยละ 18.90 ซึ่งถือว่าสูงกว่าเกณฑ์เกือบ 4 เท่า จึงมีการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิ ใบไม้ตับ โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย โดยมีวัตถุประสงค์1) เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิ ใบไม้ตับ 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้และพฤติกรรมของผู้ติดโรคพยาธิใบไม้ตับก่อนและหลัง การพัฒนารูปแบบ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กลุ่มตัวอย่างคือ1) แกนนำชุมชน คัดเลือก กลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 30 คน 2) กลุ่มผู้ติดโรคพยาธิใบไม้ตับ เลือกแบบแบ่งชั้น (stratified sampling) จำนวน 150 คน การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติเชิงเชิงพรรณนา ใช้การแจกแจงความถี่ ร้อย ละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ใช้สถิติ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่า ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการวางแผน และสนับสนุนการดำเนินงาน คือ การจัดทำสถานที่กำจัดสิ่งปฏิกูลที่ถูกหลักสุขาภิบาล โดยเทศบาลตำบลบ้านเป้า มีการเฝ้าระวังการทิ้ง สิ่งปฏิกูลที่ไม่ถูกต้องโดยผู้นำชุมชน มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ไม่กินปลาดิบทั้งในหมู่บ้านและในโรงเรียนโดย อสม. และ รพ.สต.บ้านเป้า ดำเนินการจัดดอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มที่ติดโรคพยาธิใบไม้ตับ ผลการ จัดกิจกรรมในกลุ่มติดโรคพยาธิใบไม้ตับ พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 60.67 ส่วนใหญ่สถานภาพสมรส ร้อยละ 82.00 ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 50-59 ปี ร้อยละ 44.00 อายุเฉลี่ย 55.30 ปี (S.D.=7.90 ปี) ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ70.67 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 82.00 ส่วนใหญ่เคยตรวจหาโรคพยาธิใบไม้ตับ จำนวน 2 ครั้ง ร้อยละ 50.67 ปีส่วนใหญ่เคยตรวจพบพยาธิใบไม้ตับ จำนวน 1 ครั้ง ร้อยละ 90.00 การรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับ ส่วนใหญ่รักษาและกินยาครบ ร้อยละ 83.33 ผลการเปรียบเทียบระดับความรู้พบว่า ก่อนอบรมส่วนใหญ่มีความรู้ระดับมาก ร้อยละ 52.67 รองลงมาระดับ ปานกลาง ร้อยละ 32.67 (̅=74.67, S.D.=11.67) หลังอบรมส่วนใหญ่มีความรู้ระดับมาก ร้อยละ 92.67 รองลงมาระดับปานกลาง ร้อยละ 7.33 (̅=88.83, S.D = 7.00) ผลการเปรียบเทียบด้วยสถิติ pair t-test พบว่าหลังการอบรมมีคะแนนมากกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.000) ผลการ เปรียบเทียบระดับการปฏิบัติตัวพบว่าก่อนอบรมส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 52.00 รองลงมาระดับ ดี ร้อยละ 48.00 (̅=22.87, S.D.=2.72) หลังอบรมส่วนใหญ่อยู่ใระดับดีร้อยละ 90.67 รองลงมาระดับปาน กลาง ร้อยละ 9.33 (̅=26.64, S.D.=2.03) ผลการเปรียบเทียบด้วยสถิติ pair t-test พบว่าหลังการอบรมมี คะแนนมากกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.000) สรุปว่าผลการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ทำให้ ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของปัญหา ร่วมวางแผน ร่วมดำเนินการ ทำให้ได้รูปแบบการดำเนินงานที่ชัดเจน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมในการป้องกันโรค และการรณรงค์ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ในตับ ทำให้เกิดผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน


ชื่อเรื่อง พัฒนาการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันโดยใช้กระบวนการพยาบาลตามระยะ ร่วมกับ 7 Aspect of care หอผู้ป่วยSCH-3 พิเศษ โรงพยาบาลเด็กสรรพสิทธิประสงค์ เจ้าของโครงการ/ผลงาน นางหอมหวล อ่อนมิ่ง ผู้นำเสนอ นางหอมหวล อ่อนมิ่ง ,นางสาวสุวรรณา สลับศรีและนางพรทิภา ธิวงศ์ ชื่อองค์กร,จังหวัด หอผู้ป่วยSCH-3 พิเศษ โรงพยาบาลเด็กสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ความเป็นมาและความสำคัญ โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน(Acute gastroenteritis)เป็นปัญหาสำคัญของ ระบบสาธารณสุขทั่วโลกสถิติโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันพบผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาประมาณ 179 ล้านราย ต่อปีสำหรับประเทศไทยปี 2565 พบผู้ป่วยจำนวน 643,281 รายโรงพยาบาลเด็กสรรพสิทธิประสงค์ปี2564, 2565 และ2566จำนวน 250 , 290 และ459รายตามลำดับ ส่วนหอผู้ป่วยSCH-3 พิเศษ มีผู้ป่วยโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ เฉียบพลัน ปี2564, 2565และ 2566จำนวน 92, 133และ 328 รายตามลำดับ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น พบอุบัติการณ์ ย้ายเข้า ICU โดยไม่ได้วางแผน ปี2565และ2566จำนวน 1ราย2รายตามลำดับ จากการทบทวน พบว่าผู้ป่วยมีภาวะ ขาดน้ำระดับ ปานกลาง2ราย รุนแรง 1รายจึงวิเคราะห์หาสาเหตุพบว่า ด้านผู้ป่วยเกิดภาวะขาดน้ำระดับรุนแรง ด้าน บุคลากร พบว่าการปฏิบัติด้านการพยาบาลยังไม่เป็นแนวเดียวกัน มีการประเมินล่าช้า ไม่ต่อเนื่องและไม่ครอบคลุมส่งผล กระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานเสียค่าใช้จ่ายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนและความพึงพอใจ ของผู้ดูแล ทางหอผู้ป่วย SCH-3 พิเศษเห็นความสำคัญจึงพัฒนาการดูและผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ เฉียบพลันโดยใช้กระบวนการพยาบาล ร่วมกับ 7 Aspect of careตั้งแต่แรกรับจนกระทั่งจำหน่าย เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อนได้รับการดูแลตามมาตรฐานวิชาชีพที่มีประสิทธิภาพสูงสุด วัตถุประสงค์1. เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันได้รับการดูแลตามมาตรฐานวิชาชีพ ตัวชี้วัด 1. ผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันไม่เกิดภาวะขาดน้ำระดับรุนแรง ร้อยละ 90 2. อัตราการย้ายเข้า ICU โดยไม่ได้วางแผนน้อยกว่าร้อยละ 10 วิธีการดำเนินงาน 1.วิเคราะห์อุบัติการณ์ทบทวนเวชระเบียน และการพยาบาลในผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้ อักเสบเฉียบพลัน ที่มีภาวะขาดน้ำโดยใช้กระบวนการพยาบาล 2.คืนข้อมูลให้พยาบาลรับทราบปัญหา และหาแนว ทางแก้ไข 3.สืบค้นตำราวิชาการในการหาแนวทางปฏิบัติและเครื่องมือในการประเมินผู้ป่วย 4.พัฒนารูปแบบการ ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน ที่มีภาวะขาดน้ำโดยใช้หลัก 7 aspect of care 5.ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านเพื่อปรับแก้ให้มีความเหมาะสม 6. นำหลัก 7 aspect of care มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเด็ก กระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันทุกราย รวมทั้งประเมินผลเป็นระยะๆ 7. นิเทศติดตามโดยหัวหน้าหอผู้ป่วย 8. เก็บรวบรวมข้อมูลนำมาวิเคราะห์ 9.ประเมินผลการใช้ 7 aspect of care ระยะเวลา ต.ค.2566- เม.ย.2567 ผลการดำเนินงาน ผู้ป่วยเด็กโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยSCH-3พิเศษ 179 ราย ได้รับการ ดูแลที่ถูกต้องตามมาตรฐานการพยาบาลปลอดภัยไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ไม่พบการเกิดภาวะขาดน้ำระดับ รุนแรง เท่ากับ 0 อัตราการย้ายเข้า ICU โดยไม่ได้วางแผน เท่ากับ 0 ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ประโยชน์ ควรพัฒนานำหลัก 7 Aspects of care ไปใช้ร่วมกับกระบวนการ พยาบาลผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยทุกๆโรคได้


ผลของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อการป้องกันแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนครพนม นางสุระดา ไชยธงยศ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หอผู้ป่วยพิเศษรับขวัญ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลนครพนม บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้และสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันแผลที่เท้าในผู้ป่วย โรคเบาหวานระหว่างก่อนและหลังได้รับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม วัสดุและวิธีการศึกษา : การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) ชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อนและ หลังการทดลอง (one group prctest-posttest design) ระยะเวลาศึกษาวิจัย 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 - เมษายน 2566 กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมได้และเคย นอนพักเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยพิเศษรับขวัญ จำนวน 21 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินวิจัยประกอบด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม คู่มือการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน กลุ่มไลน์หรือแอพพลิเคชั่นไลน์ บนมือถือ และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้ป่วย โรคเบาหวาน แบบทดสอบความรู้เรื่องโรคเบาหวานและการป้องกันการเกิดแผลที่เท้า และแบบประเมินการ ปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันการเกิดแผลที่เท้าตามการรับรู้โดยเครื่องมือในงานวิจัยผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เครื่องมือทั้งในด้านความตรงของเนื้อหาและความเชื่อมั่น วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนความรู้โดยใช้สถิติpaired t-test) และเปรียบเทียบสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องระหว่างก่อน และหลังทดลอง โดยใช้สถิติไคสแควร์ ผลการศึกษา : คะแนนความรู้และสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันการเกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วย โรคเบาหวานหลังได้รับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .023 และ .021 ตามลำดับ การวิจัยนี้แสดงให้เห็น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม มีผลทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้และการปฏิบัติ ที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น คำสำคัญ :การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม, การป้องกันแผลที่เท้าผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคเบาหวาน


ประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อำนาจเจริญ: สิ่งที่ช่วยลดแรงจูงใจและความตั้งใจในการฆ่าตัวตาย Experience of suicide attempts in depressive patients admitted to Amnatcharoen Hospital: What reduces motivation and intention to commit suicide นางภัครินทร์ ชิดดี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลอำนาจเจริญ อ.ดร.ไพรินทร์ ยอดสุบัน โครงการจัดตั้งวิทยาเขตอำนาจเจริญ มหาวิทยาลัยมหิดล เขตสุขภาพที่10 ประเภท Oral Presentation บทคัดย่อ การศึกษานี้เป็นการวิจัยปรากฎการณ์วิทยาเชิงตีความ (Interpretative Phenomenology) มีวัตถุประสงค์ เพื่ออธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในการพยายายามฆ่าตัวตาย ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลคือผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยในกลุ่มโรคซึมเศร้า ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อำนาจเจริญ ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2564– 30 กันยายน 2565 จำนวน 7 คน ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก นำมาถอดความแบบคำต่อคำและวิเคราะห์เชิงคุณภาพตามวิธีการของไดลเคลแมนและอเลน ผลการศึกษาสามารถอธิบายประสบการณ์ชีวิตของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในการพยายายามฆ่าตัวตาย: สิ่งที่ช่วยลด แรงจูงใจและความตั้งใจในการฆ่าตัวตาย ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย ได้แก่ 1) ความช่วยเหลือ ความรัก ความเข้าใจ จากบุคคลในครอบครัว คนรักและเพื่อนสนิท 2) การการทำกิจกรรมช่วยลดความคิดฆ่าตัวตาย 3) การได้รับคำปรึกษา ที่ดีจากพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ 4) การหยุดความคิดและพฤติกรรมทำร้ายตนเองและการพยายามฆ่าตัว ตาย และ 5) การยอมรับการเจ็บป่วยซึมเศร้า การเข้ารับการรักษาและรับประทานยาต่อเนื่อง คำสำคัญ โรคซึมเศร้า,พยายามฆ่าตัวตาย,วิจัยปรากฎการณ์วิทยา


Click to View FlipBook Version