8 ความเครียด เท่ากับ 3.87 (SD = 0.17) ผู้วิจัยนำผลการศึกษาดังกล่าวมาใช้ เนื่องจาก กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดา ทารกคลอดก่อนกำหนด มีความใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ในการวิจัยนี้ โดยคำนวณความแปรปรวน ร่วมจากสูตรคำนวณ ความแปรปรวนร่วม = (n1 − 1)SD2 1 + (n2 − 1)SD2 2 (n1 + n2 ) – 2 กำหนดให้ n1 คือ ขนาดตัวอย่างในกลุ่มทดลอง n2 คือ ขนาดตัวอย่างในกลุ่มเปรียบเทียบ SD1 2 คือ ความแปรปรวนของค่าเฉลี่ยการส่งเสริมสุขภาพ ในกลุ่ม ทดลอง SD2 2 คือ ความแปรปรวนของค่าเฉลี่ยการส่งเสริมสุขภาพ ในกลุ่ม เปรียบเทียบ และเมื่อทำการแทนค่าในสูตรเพื่อใช้คำนวณค่าความแปรปรวนร่วม ได้ดังนี้ ความแปรปรวนร่วม = (25 − 1) 0.242 + (25 − 1) 0.172 (25 + 25) – 2 ความแปรปรวนร่วม = 0.03 นำค่าความแปรปรวนมาคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างจากสูตร ได้ดังนี้ n ∕ group = 2(zα/2 + zβ) 2 σ 2 (u1 − u2 ) 2 n ∕ group = 2(1.96 + 1.28) 2 0.03 (3.87 – 1.63) 2 n ∕ group = 26.4 ดังนั้น ต้องมีขนาดกลุ่มตัวอย่าง 26.4 คนต่อกลุ่ม และเพื่อป้องกันการสูญหายของกลุ่ม ตัวอย่างจากการติดตามในงานวิจัย (dropout) ที่อาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการวิจัยครั้งนี้ จึงมีการ ปรับเพิ่ม ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่คาดว่าจะสูญหายจากการติดตาม ร้อยละ 10 (อรุณ จิรวัฒน์กุล, 2558) โดยไม่ตัดผู้ป่วยที่ สูญหายจากการติดตามออกจากการวิเคราะห์ โดยยึดหลักการตั้งใจรักษา (Principle of Intention to Treat) โดยใช้สูตร ดังนี้ nadj = n [1 − R] 2 กำหนดให้ nadj คือ ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ได้ปรับแล้ว
9 n คือ ขนาดตัวอย่างที่ได้คำนวณจากสูตรคำนวณขนาดตัวอย่าง R คือ สัดส่วนที่สูญหายจากการติดตาม nadj = n [1 − R] 2 nadj = 26.4 [1 – 0.1] 2 nadj = 32.5 ดังนั้น ผู้วิจัยต้องใช้กลุ่มตัวอย่างในกลุ่มทดลอง จำนวน 32 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 32 คน รวมเป็น 64 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างนี้ได้มาโดยเลือกเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่ผู้วิจัยกำหนด คือ มารดาทารกคลอดก่อนกำหนด จำนวน 64 คน กลุ่มทดลอง จำนวน 32 คน และ กลุ่มควบคุม จำนวน 32 คน เกณฑ์การคัดเข้า มารดาทารก คลอดก่อนกำหนด ที่บุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธรและ ไม่มี ภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดบุตร มีความตั้งใจเลี้ยงบุตรด้วยตนเอง มารดาสมัครใจ และสามารถพบผู้วิจัยได้ทุก ครั้งที่นัดหมาย เกณฑ์การคัดออก มารดามีปัญหาการได้ยินการมองเห็น การพูดการสื่อสารมารดาไม่สามารถ เข้าร่วมจนสิ้นสุดการทดลอง มารดาขอถอนตัวก่อนสิ้นสุดการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอด ก่อนกำหนด ได้แก่ การสร้างสัมพันธภาพกับมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด การให้ข้อมูลสภาพแวดล้อมใน หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม การให้ข้อมูลลักษณะพฤติกรรมและพฤติกรรมทารกคลอดก่อนกำหนด การ สอน/สาธิตทำกิจกรรมดูแลทารก การเสริมพลังบวกมารดาในการมีส่วนร่วมการดูแลทารก การแลกเปลี่ยน เรียนรู้กับทีมสหสาขา 2) คู่มือการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดสำหรับมารดา ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ คือ สาเหตุการคลอดก่อนกำหนด ลักษณะทารกคลอดก่อนกำหนด ปัญหาสุขภาพที่พบ การดูแลทารกคลอดก่อน กำหนด การเจริญเติบโตของทารก อาหารของทารก พัฒนาการของทารกคลอดก่อนกำหนด 3) มาตรฐานการ ดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ คือ การดูแลอุณหภูมิร่างกาย การดูแลทางเดินหายใจ การดูแลป้องกันการติดเชื้อ การให้สารอาหาร การดูแลเฉพาะโรค การสร้างเสริมสายสัมพันธ์แม่ลูก การ ส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม บทความทางวิชาการ ตำราและเอกสารต่างๆ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยผ่านการตรวจสอบเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ประกอบด้วย กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยเด็ก 1 ท่าน พยาบาลที่มีประสบการณ์
10 การดูแลมารดาทารกแรกเกิด 1 ท่าน และอาจารย์พยาบาลสาขาเด็ก 1 ท่าน ได้ค่าความตรงตามเนื้อหา (Content validity index : CVI) เท่ากับ 1 2. แบบสัมภาษณ์ความเครียดของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม ผู้วิจัย ดัดแปลงมาจากแบบประเมินความเครียดของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ของนิตยา อิสรโชติ (2557)ซึ่ง นิตยา ได้ดัดแปลงมาจากแบบประเมินความเครียดของบิดามารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ของ พรศิริ (2536) ซึ่งพรศิริ ได้แปลและดัดแปลงมาจากแบบประเมินความเครียดบิดามารดาทารกคลอดก่อนกำหนดวิกฤตของ คาร์เตอร์และไมลส์ (Carter & Miles, 1989) มีจำนวน 35 ข้อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ด้าน คือ 1) ด้านการ เปลี่ยนแปลงบทบาทบิดา จำนวน 8 ข้อ 2) ด้านลักษณะพฤติกรรมและอารมณ์ของบุตร จำนวน 6 ข้อ 3) ด้าน กิจกรรมการรักษาพยาบาลที่บุตรได้รับ จำนวน 7 ข้อ 4) ด้านพฤติกรรมและการสื่อสารของพยาบาลจำนวน 8 ข้อ และ 5) ด้านแสงและเสียงของอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาบุตร จำนวน 6 ข้อ และลักษณะ คำตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 อันดับ ซึ่งผู้วิจัยยึดตามรูปแบบมาตราส่วนการประมาณค่าของพรศิริ (2536) โดยให้คะแนนดังนี้ สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นไม่ทำให้เกิดความเครียด ให้คะแนน 1 สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดเล็กน้อย ให้คะแนน 2 สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดปานกลาง ให้คะแนน 3 สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดมาก ให้คะแนน 4 สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดมากที่สุด ให้คะแนน 5 เกณฑ์การแปลผลระดับคะแนนความเครียดจะคิดค่าเฉลี่ยของคะแนนความเครียดที่ได้จาก แบบสอบถามโดยใช้เกณฑ์การแปลผลของพรศิริ (2536) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย ความหมาย 1.00-1.49 คือ สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นไม่ทำให้เกิดความเครียด 1.50-2.49 คือ สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดเล็กน้อย 2.50-3.49 คือ สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดปานกลาง 3.50-4.49 คือ สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดมาก 4.50-5.00 คือ สถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความเครียดมากที่สุด โดยผ่านการตรวจสอบเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ประกอบด้วย กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการดูแลผู้ป่วยเด็ก 1 ท่าน พยาบาลที่มีประสบการณ์การดูแลมารดาทารกแรกเกิด 1 ท่าน และอาจารย์ พยาบาลสาขาเด็ก 1 ท่าน จากนั้นทดสอบความเชื่อมั่นด้วยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค (Cronbrach alpha Coefficient) เท่ากับ 0.82 เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของมารดา สร้างขึ้น โดยผู้วิจัย ประกอบด้วยอายุ ลักษณะครอบครัว ศาสนา สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ ประสบการณ์ การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม และการรับรู้ภาวะความรุนแรงของการ เจ็บป่วยของบุตร ส่วนข้อมูลของทารกคลอดก่อนกำหนด ได้แก่ อายุ เพศ การวินิจฉัยโรค และสิทธิในการรักษา
11 2) แบบบันทึกข้อมูลบทั่วไปของทารกคลอดก่อนกำหนด สร้างขึ้นโดยผู้วิจัย ประกอบด้วย วันเดือนปีเกิด เพศ อายุครรภ์แรกเกิด น้ำหนักแรกเกิด และการวินิจฉัยโรค โดยใช้การคัดลอกจากเวชทะเบียนทารก 3) แบบบันทึก การปฏิบัติกิจกรรมการมีส่วนร่วม ดูแลของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม เพื่อ ตรวจสอบความครบถ้วนของการปฏิบัติกิจกรรมการมีส่วนร่วมของมารดาซึ่งผู้วิจัยจัดทำขึ้นเอง และผู้วิจัยเป็น คนบันทึก วิธีดำเนินการวิจัย การพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด(Research and Development) (Kenton,2015) แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหามารดาทารก คลอดก่อนกำหนด และพยาบาล (Analysis: Research 1 (R1)) โดยสนทนากลุ่มกับพยาบาลหอผู้ป่วยหนัก กุมารเวชกรรม ตามประเด็นคำถามเพื่อวิเคราะห์ปัญหามารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกคลอดก่อน กำหนด ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบและพัฒนาเครื่องมือสร้างรูปแบบเพื่อใช้แก้ปัญหา (Design and Development: Development 1 (D1)) โดยใช้แนวคิดการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยของบิดามารดาใน โรงพยาบาลของเชปป์ (Schepp, 1995) เพื่อพัฒนาเครื่องมือวิจัย ได้แก่ การพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วม ของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด คู่มือการดูผแลทารกคลอดก่อนกำหนด และมาตรฐานการดูแลทารกคลอด ก่อนกำหนด ควบคู่กับการพัฒนาแบบสัมภาษณ์ความเครียดมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด รวมถึงการเก็บ รวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบ (Implementation Research (R2)) เป็นการนำโปรแกรม การมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด สร้างขึ้นในขั้นตอนที่ 2 ไปทดลองใช้กับมารดาทารกคลอด ก่อนกำหนดที่มีลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 10 คน โดยวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental) แบบ One Group Pretest-Posttest Design ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลและการปรับปรุงโปรแกรม (Evaluation : Development 2 (R2)) เป็นการนำผลการทดลองในขั้นที่ 3 มาปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมให้ เหมาะสมมากยิ่งขึ้นก่อนำนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ข ั้นตอนที่ 5 การทดลองใช้โปรแกรมกับกลุ่มตัวอย่าง ที่ศึกษาและสรุปผล (Implementation Research 2 (R3) and Conclusion) โดยใช้การพัฒนาโปรแกรมการ มีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด คู่มือการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดสำหรับมารดา มาตรฐาน การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดที่พัฒนาขึ้น หลังจากนั้นประเมินความเครียดของมารดา โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ความเครียดของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม ต่อการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วม ของมารดารวมถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล
12 สรุปขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา (R&D) การวิจัย (Research) การพัฒนา (Development) วิเคราะห์สภาพปัญหา และศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการดูแลมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด (R1) การออกแบบ/สร้าง รูปแบบเครื่องมือที่ใช้แก้ปัญหา (D1) ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กและปรับปรุง (R2) ประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบ (D2) ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาและสรุปผล (R3)
13 การเก็บรวบรวมข้อมูล ภายหลังได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ผู้วิจัยประชุมสนทนากลุ่มกับพยาบาลหอ ผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม เพื่อค้นหาปัญหา วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ มีส่วนร่วมในการดูแลทารก นำข้อคิดเห็นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วมการดูแล ทารก นำรูปแบบมาทดลองใช้ ปรับปรุงแก้ไขและกำหนดโปรแกรมในการมีส่วนร่วมในการดูผแปลทารกคลอด ก่อนกำหนด กำหนดมาตรฐานในการดูแลทารกสำหรับพยาบาล กำหนดคู่มือการดูแลทารกสำหรับมารดา ติดตามผลการนำโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไปใช้กับมารดาและทารก ผู้วิจัยดำเนินการตามโปรแกรมการมีส่วนร่วมมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดที่พัฒนาขึ้น ซึ่งการ ดำเนินการ 4 ครั้ง (ระยะเวลา 4 วัน) ได้แก่ ครั้งที่ 1 พบมารดาวันแรก การสร้างสัมพันธภาพกับมารดา เริ่มจาก แนะนำตัว ชี้แจงวัตถุประสงค์ การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง ขอความร่วมมือเข้าร่วมงานวิจัยและให้เซ็นยินยอม การสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แจกคู่มือการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดแพละให้มารดาทำแบบสัมภาษณ์ความเครียดมารดาทารกคลอดก่อน กำหนด (Pretest) ครั้งที่ 2 พบมารดาวันที่ 2 ให้มารดาเยี่ยมบุตร พยาบาลส่งเสริมให้มารดามีปฏิสัมพันธ์กับบุตร และให้ ข้อมูลสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วย ให้คำแนะนำการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สอนบีบน้ำนม และการเก็บน้ำนม ให้ ข้อมูลพฤติกรรมของทารกคลอดก่อนกำหนด กระตุ้นการบีบน้ำนมส่งให้ลูกทุกมื้อ ครั้งที่ 3 พบมารดาวันที่ 3 พยาบาลสอน/สาธิตการดูแลบุตร กระตุ้นการบีบน้ำนม การเช็ดตัว ทำ ความสะอาดร่างกายบุตร และพยาบาลเสริมพลังให้มารดามีส่วนร่วมดูแลบุตรร่วมกับพยาบาล ครั้งที่ 4 พบมารดาวันที่ 4 พยาบาลพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เมื่อดำเนินการครบ 4 ครั้ง ผู้วิจัยประเมินประสิทธิผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด ได้แก่ ประเมินแบบสัมภาษณ์ความเครียดมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด (Posttest) การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างวิเคราะห์โดยใช้สถิติบรรยาย การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อย ละ 2. เปรียบเทียบความเครียดมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ก่อนและหลังการทดลอง วิเคราะห์ด้วย สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Independent t-test การพิทักษ์สิทธิ์ ผู้วิจัยดำเนินการด้านจริยธรรม โดยทำบันทึกเสนอกรรมการพิจารณาจริยธรรมงานของโรงพยาบาล พร้อมโครงร่างงานวิจัย เมื่อได้รับเอกสารรับรองจากคณะกรรมการวิจัยในมนุษย์ เอกสารรับรองเลขที่ YST2024-07 ผู้วิจัยจึงเก็บรวบรวมข้อมูล ก่อนเก็บรวบรวม ข้อมูลผู้วิจัยพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง โดยแจ้งให้
14 ทราบรายละเอียดของการวิจัย วัตถุประสงค์ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ประโยชน์ที่ได้รับ โดยแจ้งว่าข้อมูลที่ได้ ในการวิจัยนี้ถือเป็นความลับ ผลการวิจัยจะนำเสนอในภาพรวม ไม่มีการเปิดเผยชื่อ นามสกุล กลุ่มตัวอย่าง สามารถแจ้งออกจากการศึกษาวิจัยได้ก่อนการวิจัยสิ้นสุด ผลการวิจัย 1. โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ประกอบด้วย 1) การสร้างสัมพันธภาพ กับมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด 2 ) การให้ข้อมูลสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม 3 ) การให้ ข้อมูลลักษณะพฤติกรรมและพฤติกรรมทารกคลอดก่อนกำหนด 4 ) การสอน/สาธิตทำกิจกรรมดูแลทารก 5 ) การเสริมพลังบวกมารดาในการมีส่วนร่วมการดูแลทารก 6 ) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมสหสาขา 2. ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ข้อมูลส่วนบุคคลมารดาและทารก กลุ่มควบคุม มารดามีอายุ 26-30 ปี จำนวน 11 คน คิดเป็น ร้อยละ 34.4 อายุ 31-35 ปี จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 21.9 ระดับการศึกษา ส่วนใหญ่มัธยมศึกษา ตอนต้น จำนวน 9 คน ร้อยละ 28.1 และมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 8 คน ร้อยละ 25 สถานภาพคู่ จำนวน 22 คน ร้อยละ 68.8 อาชีพส่วนใหญ่ รับจ้าง จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 40.6 รายได้ส่วนใหญ่ 20,001- 30,000 บาท/เดือน จำนวน 16 คน ร้อยละ 50 ฝากครรภ์ ร้อยละ 100 ชนิดของการคลอดส่วนใหญ่ ผ่าคลอด ทางหน้าท้อง ร้อยละ 81.3 กลุ่มทดลอง มารดามีอายุ 26-30 ปี จำนวน 10 คน คิดเป็น ร้อยละ 31.3 อายุ 31-35 ปี จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 25 ระดับการศึกษา ส่วนใหญ่ปริญญาตรีจำนวน 8 คน ร้อยละ 25 สถานภาพคู่ จำนวน 18 คน ร้อยละ 56.3 อาชีพส่วนใหญ่ รับจ้าง จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 รายได้ ส่วนใหญ่ 10,001-20,000 บาท/เดือน จำนวน 12 คน ร้อยละ 37.5 ฝากครรภ์ ร้อยละ 100 ชนิดของการ คลอดส่วนใหญ่ ผ่าคลอดทางหน้าท้อง ร้อยละ 59.4 จากการวิเคราะห์ปัญหา มารดาทารกคลอดก่อนกำหนด พยาบาลหอผู้ป่วยหนักกุมารเวช กรรม พบว่า ปัญหาของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ขาดการปฏิสัมพันธ์กับบุตร ขาดการเยี่ยม ไม่มีน้ำนม ขาดความรู้ ขาดทักษะในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด วิธีแก้ปัญหา คือ กำหนดโปรแกรมการมีส่วนร่วม ของมารดา และจัดทำคู่มือการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ปัญหาของพยาบาล ไม่มีแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนครอบครัวมส่วนร่วมที่ชัดเจน วิธีการแก้ปัญหาคือ กำหนดมาตรฐานการพยาบาลเรื่องการดูแลทารก คลอดก่อนกำหนดและให้พยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐาน
15 ตารางที่ 1 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดรายด้านของมารดาทารกคลอดก่อน กำหนด ก่อนการทดลอง ความเครียด ก่อนการทดลอง กลุ่มควบคุม (N=32) กลุ่มทดลอง (N=32) M SD ระดับ M SD ระดับ ด้านการเปลี่ยนแปลงบทบาทการเป็นมารดา 3.66 0.59 มาก 4.30 0.57 มาก ด้านลักษณะพฤติกรรม และอารมณ์ของบุตร 4.10 0.72 มาก 4.26 0.62 มาก ด้านกิจกรรมการรักษาพยาบาลที่บุตรได้รับ 3.59 0.56 มาก 3.89 0.49 มาก ด้านพฤติกรรมและการสื่อสารของพยาบาล 4.30 0.57 มาก 3.78 0.55 มาก ด้านแสงและเสียงจากอุปกรณ์และเครื่องมือ ที่ใช้ในการรักษาบุตร 4.26 0.62 มาก 3.88 0.53 มาก รวมทุกด้าน 3.97 0.68 มาก 4.02 0.59 มาก จากตารางที่ 1 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดรายด้านของมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด ก่อนการทดลอง ภาพรวมกลุ่มควบคุม พบว่า คะแนนความเครียดของมารดาก่อนการ ทดลอง อยู่ในระดับมาก (M=3.97, SD=0.68) โดยมีความเครียดด้านพฤติกรรมและการสื่อสารของพยาบาล อยู่ระดับมาก (M=4.30, SD=0.57) รองลงมาด้านแสงและเสียงจากอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาบุตร อยู่ ระดับมาก (M=4.26, SD=0.62) ตามลำดับ ส่วนภาพรวมกลุ่มทดลอง พบว่า คะแนนความเครียดของมารดา ก่อนการทดลอง อยู่ในระดับมาก (M=4.02, SD=0.59) โดยมีความเครียดด้านการเปลี่ยนแปลงบทบาทการเป็น มารดา อยู่ระดับมาก (M=4.30, SD=0.57) รองลงมา ด้านลักษณะพฤติกรรม และอารมณ์ของบุตร อยู่ระดับมาก (M=4.26, SD=0.62) ตามลำดับ
16 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดรายด้านของมารดาทารกคลอดก่อน กำหนดหลังการทดลอง ความเครียด หลังการทดลอง กลุ่มควบคุม (N=32) กลุ่มทดลอง (N=32) M SD ระดับ M SD ระดับ ด้านการเปลี่ยนแปลงบทบาทการเป็นมารดา 3.92 0.53 มาก 2.96 0.56 ปานกลาง ด้านลักษณะพฤติกรรม และอารมณ์ของบุตร 4.00 0.72 มาก 3.14 0.51 ปานกลาง ด้านกิจกรรมการรักษาพยาบาลที่บุตรได้รับ 3.72 0.73 มาก 3.38 0.57 ปานกลาง ด้านพฤติกรรมและการสื่อสารของพยาบาล 4.21 0.54 มาก 3.34 0.55 ปานกลาง ด้านแสงและเสียงจากอุปกรณ์และเครื่องมือ ที่ใช้ในการรักษาบุตร 4.23 0.61 มาก 3.44 0.64 ปานกลาง รวมทุกด้าน 4.02 0.65 มาก 3.24 0.59 ปานกลาง จากตารางที่ 2 เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดรายด้านของมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด หลังการทดลอง ภาพรวมกลุ่มควบคุม พบว่า คะแนนความเครียดของมารดาก่อนการ ทดลอง อยู่ในระดับมาก (M=4.02, SD=0.65) โดยมีความเครียดด้านแสงและเสียงจากอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ใน การรักษาบุตร อยู่ระดับมาก (M=4.23, SD=0.61) รองลงมาด้านพฤติกรรมและการสื่อสารของพยาบาลอยู่ระดับมาก (M=4.21, SD=0.54) ตามลำดับ ส่วนภาพรวมกลุ่มทดลอง พบว่า คะแนนความเครียดของมารดาก่อนการ ทดลอง อยู่ในระดับปานกลาง (M=3.24, SD=0.59) โดยมีความเครียดด้านแสงและเสียงจากอุปกรณ์และเครื่องมือ ที่ใช้ในการรักษาบุตร อยู่ระดับปานกลาง (M=3.44, SD=0.64) รองลงมา ด้านกิจกรรมการรักษาพยาบาลที่บุตรได้รับ อยู่ ระดับปานกลาง (M=3.38, SD=0.57) ตามลำดับ
17 ตารางที่ 3 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดของมารดาทารกคลอดก่อน กำหนด ก่อนและหลังใช้โปรแกรม กลุ่ม กลุ่มควบคุม (N=32) กลุ่มทดลอง (N=32) t P-value M SD ระดับ M SD ระดับ ก่อนการทดลอง 3.97 0.68 มาก 4.02 0.59 มาก 10.41 .000 หลังการทดลอง 4.02 0.65 มาก 3.24 0.59 ปานกลาง ***p<.001 จากตารางที่ 3 เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดของมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด ก่อนและหลังใช้โปรแกรม พบว่า ก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มควบคุม มีคะแนน ความเครียดอยู่ระดับมาก ส่วนกลุ่มทดลอง ก่อนการทดลอง มีคะแนนความเครียดอยู่ระดับมาก หลังการ ทดลอง พบว่า มีคะแนนความเครียดอยู่ระดับปานกลาง สรุปเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนน ความเครียดของมารดา หลังการทดลองของกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติและกลุ่มทดลองหลังใช้ โปรแกรมการมีส่วนร่วมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p<.001 การอภิปรายผล 1. โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ประกอบด้วย 1) การสร้าง สัมพันธภาพกับมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด 2) การให้ข้อมูลสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม 3) การให้ข้อมูลลักษณะพฤติกรรมและพฤติกรรมทารกคลอดก่อนกำหนด 4) การสอน/สาธิตทำกิจกรรมดูแล ทารก 5 ) การเสริมพลังบวกมารดาในการมีส่วนร่วมการดูแลทารก 6) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมสหสาขา การปฏิบัติตามโปรแกรมจะทำให้มารดามีความรัก ความผูกพันกับบุตร มีความรู้ในการดูแลบุตร สอดคล้องกับ การศึกษาของ Hayeese et al., 2019 พบว่ารูปแบบการดูแลทารกต้องใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของผู้ที่ เกี่ยวข้องจึงจะประสบผลสำเร็จ 2. ประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด การนำโปรแกรมการมี ส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด มาใช้ทำให้มารดามีความรู้ในการดูแลบุตร รวมถึงมีทักษะในการ ดูแลบุตรขณะอยู่หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม เพราะการฝึกทำกิจกรรมการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ของเบนจามินบลูม ที่กล่าวไว้ว่า ความสามารถในการปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนเกิดทักษะปฏิบัติ ผล คือ ความเครียดลดลง
18 การนำผลการวิจัยไปใช้ โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด มีประโยชน์ต่อมารดาและทารกคลอด ก่อนกำหนด ทำให้มารดามีความรักและความผูกพันต่อบุตร ทั้งมีความรู้ ทักษะ มีความมั่นใจในการดูแลบุตร จึงควรนำโปรแกรมการมีส่วนร่วมมาใช้กับทารกแรกเกิดที่อยู่ในภาวะวิกฤติอื่นด้วย ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับความต้องการของมารดาในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ในหอผู้ป่วยหนัก กุมารเวชกรรม ของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ทราบความสอดคล้องในการปฏิบัติระหว่างบุคลากรกับ มารดา เอกสารอ้างอิง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2564). อัตรำทำรกแรกเกิดน้ำหนักน้อย (Low Birth Weight Rate) ระดับเขตสุขภาพ. สืบค้นจาก http://dashboard.anamai.moph.go.th/dashboard/lbwr?year=2020 นิตยา อิสรโชติ. (2557). ผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดต่อ ความเครียดของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลเด็ก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สงขลา. ปวารณา จำปาแขม. (2553). การมีส่วนร่วมของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยเด็กในหอผู้ป่วยระยะวิกฤต. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลเด็ก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ขอนแก่น. เวชทะเบียนโรงพยาบาลยโสธร. (2566). สถิติผู้ป่วยเด็กหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร. ยโสธร : โรงพยาบาลยโสธร. Beauregard, J. L., Drews-Botsch, C., Sales, J. M., Flanders, W. D., & Kramer, M. R. (2018). Preterm Birth, Poverty, and Cognitive Development. Pediatrics,141(1). https://doi.org/10.1542/peds. 2017-0509 Jintrawet, U. (2005). Parental practices during their child’s admission to pediatric intensive care unit. (Unpublished doctoral desertion). Chiang Mai University, Chiang Mai. Karen, S. P., & Jeffrey, S. R. (1999). Family presence during invasive procedures in the pediatric intensive care unit., Archives of Pediatrics & Adolescent Medicine, 153, 955- 958. Lazarus, R.S.; & S. Folkman. (1984). Stress, Appraisal, and Coping. New York: Springer Publishing Company Inc.
19 Liu, L., Oza, S., Hogan, D., Chu, Y., Perin, J., Zhu, J., Lawn, J. E., Cousens, S., Mathers, C., & Black, R. E. (2016). Global, regional, and national causes of under-5 mortality in 2000- 15 : an updated systematic analysis with implications for the Sustainable Development Goals. The Lancet, 388(10063), 3027-3035. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(16)31593-8 Schepp, K. (1995). Psychometric assessment of the preferred participation scale for parent of hospitalized children. Unpublished manuscript: University of Washington, School of Nursing, Seattle, WA. Scott, J. (2018). Sensory Stimuli: How They Impact Premature Infants. Retrieved fromhttps://www. draeger.com/en-us_us/Hospital/Insights/Improving-ClinicalOutcomes/Sensory-Stimuli-and Premature-Infant Trumello, C., Candelori, C., Cofini, M., Cimino, S., Cerniglia, L., Paciello, M., & Babore, A. (2018). Mothers' Depression, Anxiety, and Mental Representations after Preterm Birth: A Study During the Infant's Hospitalization in a Neonatal Intensive Care Unit [Original Research]. Frontiers in Public Health,6 (359). https://doi.org/10.3389/fpubh.2018.00359 World Health Organization. (2018). Survive and thrive: transforming care for every small and sick newborn. Retrieved from https://www.who.int/maternal_child_adolescent/documents/care-smallsicknewborns-survive-thrive/en
ผลของโปรแกรมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาล ต่อระดับความปวดและพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวดในหญิงวัยรุ่นครรภ์แรก โรงพยาบาลหนองคาย ทองวัน สุนทร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลหนองคาย บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เปรียบเทียบระดับความปวดของหญิงวัยรุ่นครรภ์แรกกลุ่มที่ ได้รับโปรแกรมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาลกับกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติและ2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวดในหญิงวัยรุ่นครรภ์แรกกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการสนับสนุนอย่าง ต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาลกับกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง 2 กลุ่ม ๆ ละ 20 คน กลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ หญิงวัยรุ่นครรภ์แรก จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาล แบบวัด ประเมินระดับความปวด และการเผชิญความเจ็บปวด สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Repeated Measurement Analysis of Variance ANOVA แบบวัดซ้ำ เพื่อทำ การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ของค่าคะแนนความปวดและพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวด ด้วยวิธี LSD กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบระดับความปวดของหญิงวัยรุ่นครรภ์แรกที่ได้รับโปรแกรมการ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาล พบว่า การวัดครั้งที่ 3 มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าการวัดครั้ง ที่ 2 และมากกว่าการวัดครั้งที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และการวัดครั้งที่ 2 มีค่าคะแนนเฉลี่ย มากว่าการวัดครั้งที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และ 2) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการเผชิญ ความเจ็บปวดในหญิงวัยรุ่นครรภ์แรกที่ได้รับโปรแกรมการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาล พบว่า การวัดครั้งที่ 3 มีค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวดน้อยกว่าการวัดครั้ง 2 และน้อยกว่า การวัดครั้งที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และการวัดครั้งที่ 2 มีค่าคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการ เผชิญความเจ็บปวด น้อยกว่าการวัดครั้งที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า โปรแกรมการ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะคลอดโดยพยาบาลนำไปใช้กับหญิงวัยรุ่นครรภ์แรกได้ คำสำคัญ : ระดับความปวด, พฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวด, หญิงวัยรุ่นครรภ์แรก,โปรแกรม
ชื่อเรื่อง: พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤตที่ได้รับการผูกยึดด้วยวิธีทางกายภาพเพื่อป้องกันการ บาดเจ็บจากการผูกยึด ผู้นำเสนอ: นางนริศรา เถาว์โท พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยงาน : ห้องผู้ป่วยหนัก SCH-ICU3 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ความเป็นมาและความสำคัญ: การควบคุมผู้ป่วยด้วยวิธีทางกายภาพ ทำได้โดยการผูกมัดหรือการตรึงร่างกาย ซึ่ง การควบคุมนั้นส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยรวมหรือส่วนใดส่วนหนึ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บ ก่อให้เกิด ความพิการ ไปจนถึงเสียชีวิตได้ ห้องผู้ป่วยหนักSCH-ICU3 ให้การดูแลผู้ป่วยเด็กวิกฤตอายุ 1 เดือนถึงต่ำกว่า15ปีที่ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งผู้ป่วยเด็กเล็กไม่สามารถเข้าใจความหมายการสื่อสาร เกิดภาวะสับสนขณะรักษาตัวในห้อง ผู้ป่วยหนัก ทำให้ผู้ป่วยอาจเกิดอุบัติการณ์ที่สำคัญ เช่น การดึงท่อช่วยหายใจ,ท่อระบายทรวงอก, ตกเตียง จำเป็น ที่จะต้องได้รับการผูกยึดผู้ป่วยเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น จากสถิติข้อมูลของหน่วยงานในปีงบประมาณ 2563-2565 พบว่ามีผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการผูกยึดจำนวน 81 ราย, 86 ราย และ 90 รายตามลำดับ ในปีงบประมาณ 2565 มีอุบัติการณ์การผูกยึดผู้ป่วยไม่เหมาะสม จำนวน 2 ราย ซึ่งมีความรุนแรงอยู่ในระดับ C และ G ตามลำดับ ดังนั้นหอผู้ป่วยจึงเล็งเห็นความสำคัญของการการผูกยึดที่ถูกวิธีและมีแนวปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันจึงเป็นสิ่ง สำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้ วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการผูกยึดผู้ป่วยเด็กวิกฤตด้วยวิธีทางกายภาพ ตัวชี้วัด: 1. อัตราบุคลากรปฏิบัติตามแนวทางการผูกยึดผู้ป่วยเด็กด้วยวิธีทางกายภาพ มากกว่าร้อยละ 80 2.อุบัติการณ์เกิดการบาดเจ็บจากการผูกยึดผู้ป่วยเด็กด้วยวิธีทางกายภาพ ระดับ GHI = 0 วิธีการดำเนินการ: ใช้แนวคิด PDCA โดย 1) วิเคราะห์ปัญหาโดยใช้แผนภูมิต้นไม้2)ศึกษาค้นคว้าเอกสารตำราที่ เกี่ยวข้อง 3) สร้างและพัฒนาแนวปฏิบัติโดยกำหนดแนวทางการให้การพยาบาลและจัดทำแบบบันทึกข้อมูลการผูก ยึดผู้ป่วยเด็กวิกฤตด้วยวิธีทางกายภาพ,ประเมินความพร้อมในปล่อยการผูกยึดอย่างน้อยทุก 8 ชม. และการยุติการ ผูกยึดโดยใช้แบบประเมิน MAAS score 4)ประชุมชี้แจงแนวทางการการผูกยึดผู้ป่วยเด็กวิกฤตด้วยวิธีทาง กายภาพ 5)สรุปผลการดำเนินงานและวิเคราะห์ข้อมูลโดยความถี่ และร้อยละ 6) วิเคราะห์ผลสำเร็จการ ดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรค ผลการศึกษา: ผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในห้องผู้ป่วยหนักSCH-ICU3 เดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม 2566 จำนวน 25 ราย ได้รับการผูกยึดด้วยวิธีทางกายภาพตามแนวทาง ,อัตราบุคลากรปฏิบัติตามแนวทางการผูกยึดผู้ป่วยเด็ก ด้วยวิธีทางกายภาพ ร้อยละ 92.26 ,อุบัติการณ์เกิดการบาดเจ็บจากการผูกยึดผู้ป่วยเด็กด้วยวิธีทางกายภาพระดับ GHI =0 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: นำผลการศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลผูกยึดผู้ป่วยเด็กด้วยวิธี ทางกายภาพในหน่วยงานอื่นที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก ร่วมกับการใช้กระบวนการทางการพยาบาล
เรื่องการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในภาวะบุตรแยกจากระยะแรก คลอด ตามหลักบันได10ขั้นในทารกป่วยโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ผู้นิพนธ์ นางวันวิสา แสนลา, น.ส.มาลี นิ่มพงษ์พันธ์และ นางมยุรา คูณค้ำ หน่วยงาน : แผนกสูติกรรม 2 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ความเป็นมาและความสำคัญ: ระยะแรกคลอดการแยกทารกจากมารดาเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีโอกาสทราบล่วงหน้า มารดาขาดการ เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ส่งผลให้มารดาเกิดความเครียด ร่างกายหลั่งสารโดปามีน ยับยั้งการหลั่งของ ฮอร์โมนโปรแลคติน และฮอร์โมนออกซิโตซิน ทำให้เต้านมมีการสร้างและหลั่งน้ำนมลดลง (Dimitraki M, et al.,2016) เมื่อเด็กป่วยส่งผลให้ขาดการดูดนมจากเต้านมมารดา ทำให้เต้านมมีการสร้างน้ำนมลดลงและแห้งไป ในที่สุด (Eglash, Montgomerry, & Wood,2008) จากข้อมูลสถิติมารดาหลังคลอดที่ต้องแยกจากทารก ตั้งแต่แรกคลอดของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ใน ปี 2565- 2566 พบเด็กเกิด2,816 3,643คน และต้อง ย้ายไปอยู่ตึกเด็กป่วยจำนวน 865(30.71%) และ 957(26.27%)ราย ตามลำดับและมารดาสามารถบีบน้ำนม ส่งให้ทารก ที่ตึกเด็กป่วย ภายใน 48 ชม.ก่อนกลับบ้านมีเพียง 6.9 % จากการวิเคราะห์ปัญหา เกิดจากการ ช่วยเหลือที่ยังค่อนข้างล่าช้า พยาบาลไม่มีแนวปฏิบัติที่เป็นแนวทางเดียวกัน จึงส่งผลต่อการบีบเก็บน้ำนมที่ถูก วิธี เพื่อผลิตน้ำนมได้เพียงพอต่อความต้องการของทารก ในช่วง3วันแรก ขณะนอนโรงพยาบาล วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาแนวแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในภาวะบุตรแยกจาก แรกคลอด ตามหลักบันได10ขั้นในทารกป่วยโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ วิธีดำเนินการ : ใช้แนวคิด Soukup, 2000 ศึกษาที่ หอผู้ป่วยสูติกรรม2 โรงพยาบาลสรรพสิทธิ ประสงค์ กับพยาบาล 12 คน มีขั้นตอน 1) ค้นหาปัญหาทางคลินิก 2) ทบทวนและสืบค้น ประเมินความ น่าเชื่อถือของงานวิจัย ได้ระดับ 2a, 2b , 4a และ 1c รวม 8 เรื่อง 3) พัฒนาแนวปฏิบัติและประเมินคุณภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญ 4) นำไปทดลองใช้กับมารดาหลังคลอด ผลการศึกษา ได้แนวปฏิบัติ 5กิจกรรม ดังนี้ 1) บันไดขั้นที่1 การให้ข้อมูลแม่ในทารกป่วย (Inform decision) 2)บันไดขั้นที่2 การช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำนมให้เร็วและต่อเนื่อง(Establishment and maintenance of milk supply) 3) บันไดขั้นที่3 การบริหารจัดการน้ำนม(Human milk management) 4) บันไดขั้นที่9 การเตรียมความพร้อมและสร้างความมั่นใจก่อนกลับบ้าน(Preparation for discharge) 5) บันไดขั้นที่10 การเยี่ยมติดตาม(Appropriate follow-up) ผลการตรวจสอบคุณภาพแนวปฏิบัติการพยาบาล อยู่ระดับดีร้อยละ 86 ผลการทดลองใช้แนวปฏิบัติ พบว่า มารดาสามารถบีบน้ำนมส่งบุตรใน48ชั่วโมงร้อยละ 94.28 และความคิดเห็นของพยาบาลต่อการนำแนวปฏิบัติไปใช้ มีความเป็นไปได้ระดับดีร้อยละ 85.3 เกิด ประโยชน์ต่อผู้รับบริการความพึงพอใจระดับมาก ร้อยละ 96
ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1. นำหลักฐานเชิงประจักษ์มาดูแลมารดาหลังคลอดที่บุตรแยกจาก 2. ศึกษาประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลนี้ต่อเนื่อง 6เดือน คำสำคัญ : ภาวะบุตรแยกจากหลังคลอด การบีบเก็บน้ำนมด้วยตนเอง บันได10 ขั้นในเด็กป่วย คำถามวิจัย 1.แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาบุตรแยกจากระยะแรกคลอด โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์มีอะไรบ้าง ตอบ มี 5 กิจกรรมได้แก่ 1) บันไดขั้นที่1 การให้ข้อมูลแม่ในทารกป่วย (Inform decision) 2)บันไดขั้นที่2 การช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำนมให้เร็วและต่อเนื่อง(Establishment and maintenance of milk supply) 3) บันไดขั้นที่3 การบริหารจัดการน้ำนม(Human milk management) 4) บันไดขั้นที่9 การเตรียมความพร้อม และสร้างความมั่นใจก่อนกลับบ้าน(Preparation for discharge) 5) บันไดขั้นที่10 การเยี่ยมติดตาม (Appropriate follow-up) 2.คุณภาพแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาบุตรแยกจากระยะแรก คลอด โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เป็นอย่างไร ตอบ ผลการตรวจสอบคุณภาพแนวปฏิบัติการพยาบาล อยู่ระดับดีร้อยละ 86 3.แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาบุตรแยกจากระยะแรกคลอด สามารถลดเพิ่มอัตราการบีบน้ำนมส่งบุตรใน48ชั่วโมงได้หรือไหรือไม่ ตอบ ในกลุ่มทดลอง 35 รายมารดาสามารถบีบน้ำนมส่งบุตรก่อนกลับบ้าน 33 รายร้อยละ 94.28
เอกสารอ้างอิง เกรียงศักดิ์จิรแพทย์. Breastfeeding Practice in Premature Infant.ใน:สุนทร ฮ่อเผ่าพันธ์,Neonatology. 2007.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ:ธนาเพส; 2550หน้า 12-22. เกรียงศักดิ์จิรแพทย์.Estabishment of Breast feeding.ใน:ศิราภรณ์สวัสดิวร.สรุปผลการประชุมวิชาการ นานาชาตินมแม่ในเด็กป่วยครั้งที่2.พิมพ์ครั้งที่.กรุงเทพฯ:ไตเติ้ลพริ้นติ้ง;2558. หน้า 14-17. เกรียงศักดิ์จีระแพทย์. การประเมินภาวะสุขภาพทารกแรกเกิด. กรุงเทพฯ: ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะ แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.2554 กระทรวงสาธารณสุข.4ยุทธศาสตร์[อินเตอร์เน็ต].2560[เข้าถึงเมื่อ16 ก.ย.2561].เข้าถึงได้จาก: https://www.slideshare.net/Plesiwimon/pp-excellence จิรกุล ครบสอน, งามเอก ลำมะนา, กุสุมา ลีโพธิปัสสา.(2023). การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในทารกแรก เกิดป่วย:การบูรณาการการจัดการเรียนการสอนการเลี้ยงลูกด้วยนมแมในหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต. มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย,สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี. ศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษการพยาบาลนม แม่ในเด็กป่วย. (2562).ประโยชน์ของนมแม่ในเด็กป่วย. โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราธานี.แผนยุทธศาสตร์[อินเตอร์เน็ต].2560 [เข้าถึงเมื่อ16ก.ย.2561]. เข้าถึงได้จาก: https://www.sunpasit.go.th/2014/index.php?files=mission วันวิสา แสนลา, เมรีรัตน์มั่นวงศ์, ปัณฑิตา สุขุมาลย์. (2023). ผลของโปรแกรมนวดกระตุ้นน้ำนมด้วยตนเอง ต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาหลังคลอดบุตรที่มีภาวะลิ้นติดโรงพยาบาลสรรพสิทธิ ประสงค์จังหวัดอุบลราชธานี.วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา, 18(1), 118-130. สุรางค์เนียมแสง. (2018). ประสิทธิผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมสำหรับมารดาของทารกแรกเกิด ก่อน-กำหนดน้ำหนักน้อยต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด. สุดาภรณ์พยัคฆเรือง. การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในทารกที่มีภาวะเจ็บป่วย[อินเตอร์เน็ต].2557 [เข้าถึง เมื่อ16ก.ย.2561].เข้าถึงได้จาก: http://www.ns.mahidol.ac.th/breastfeeding/doc/newsletter/Nov-Dec_7.pdf โรงพยาบาลอุดรธานี. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี, 26(2), 127-136.
เอกสารอ้างอิง (ต่อ) อังสนา ศิริวัฒนเมธานนท์, ปรางทิพย์ทาเสนาะ เอลเทอร์,โสภา บุตรดา. (2023). ผลของการนวดเต้านมต่อ การแก้ไขปัญหาท่อน้ำนมอุดตันในมารดาระยะให้นมบุตร.วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล, 29(2), e264608-e264608. อุมาพร สุทัศน์วรวุฒ.นมแม่ความแตกต่างจากนมผสม[อินเตอร์เน็ต].2560[เข้าถึงเมื่อ20 ต.ค.2561]. เข้าถึงได้ จาก: https://www.google.co.th/search=จรรยา+จิระประดิษฐา2013เกี่ยวกับนมแม่ในเด็กป่วย https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/benefits-of-breastfeeding/ Gephart SM, Weller M. Colostrum as oral immune therapy to promote neonatal health.Adv Neonatal Care 2014;14(1):44- Kaewsuk, C., Rungreang, K., & Phanwichatkul, T. (2021). การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ใน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19. Thai Red Cross Nursing Journal, 14(2), 50-62. Dimitraki M, Tsikouras P, Manav B, Gioka T, Koutlaki N, Zervoudis S, et al. Evaluation of the effect of natural and emotional stress of labor on lactation and breast-feeding. Arch Gynecol Obstet 2016;293(2):317-28 World Health Organization, Maternal and Newborn Health. Thermal protection of the newborn: a practical guide. World Health Organization.Ganeva; 1997. Diane L. Spatz. Ten Steps for Promoting and Protecting Breastfeeding for Vulnerable Infants.J Perinat Neonatal Nurs 2004;18:385–96. Dimitraki M,TsikourasP, ManavB, GiokaT, Koutlaki N, Zervoudis S, et al. Evaluationof the effectof natural and emotionalstressof laboron lactation and breast- feeding. Arch Gynecol Obstet2016;293:317-28.
1.ชื่อผลงาน : เรื่อง การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันเลือดใน ปอดสูง ( Persistent Pulmonary Hypertension of the Newborn) ในหอผู้ป่วย NICU.1 รพ.สรรพสิทธิ ประสงค์ อุบลฯ 2. คำสำคัญ: ภาวะความดันเลือดในปอดสูงในทารกแรกเกิด (PPHN) 3. สรุปผลงานโดยย่อ : การนำมาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วย PPHN : CNPG/แนวทางการเฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่ม เสี่ยงมาใช้ในการวินิจฉัยเบื้องต้นในการดูแลทารกที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูงทำให้บุคลากรทางการแพทย์มี ความรู้/สมรรถนะเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งอุปกรณ์-เครื่องมือแพทย์/ยา พร้อมใช้งานทำให้อัตรารอดชีวิต เพิ่มมากขึ้น และบุคลากรปฏิบัติตาม CNPG เพิ่มขึ้นจาก78 % เป็น 95 % 4. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : หอผู้ป่วย NICU.1 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี 5. สมาชิกทีม : นางสาวพิมชญา ธรรมศรี(ผู้นำเสนอ) ,นางสายฝน ดีเมืองปัก 6. เป้าหมาย: 1.เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูงได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ปลอดภัยจาก ภาวะแทรกซ้อน2.เพื่อให้บุคลากรทางการพยาบาลมีแนวทางปฏิบัติCNPG เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตัวชี้วัด :1.อัตราการตายผู้ป่วย PPHN< 30 % 2.อัตราการปฏิบัติตามแนวทาง CNPG > 95 % 7. ปัญหาและสาเหตุ :หอผู้ป่วยNICU.1 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลฯให้การดูแลรักษาผู้ป่วย PPHN ในปี 2564-2566 จำนวน 22,16 และ 16 ราย ตามลำดับ โดยพบว่าอัตราการเสียชีวิตสูง 36.36 % (8/22),37.5 %(6/16)และ 10.52 % (2/19) จากการทบทวน เวชระเบียนผู้ป่วยเสียชีวิตร่วมกับกุมารแพทย์พบว่า สาเหตุ การตายเกิดจาก ไม่มีแนวทางปฏิบัติCNPG ที่ชัดเจน บุคลากรขาดความรู้/สมรรถนะในการดูแลรักษาผู้ป่วย PPHN ,ด้านอัตรากำลัง เครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์ยังไม่พร้อมใช้งาน,ไม่มียาขยายหลอดเลือด Stock ไว้ที่ ward ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ล่าช้า จึงได้จัดทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพ การดูแลผู้ป่วยภาวะความดันเลือด ในปอดสูงในทารกแรกเกิด เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ มีแนวทางปฏิบัติ CNPG ที่ชัดเจน ผู้ป่วยได้รับดูแล รักษาที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน อัตราการรอดชีวิตทารกเพิ่มมากขึ้น 8. กิจกรรมพัฒนา :ประชุมวางแผนวิเคราะห์ข้อมูล/สถานการณ์การวิจัย และพัฒนานี้ดำเนินการแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่1 ระยะพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลตามขั้นตอนของ Soukup 2000 มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้ 1.การค้นหาความเสี่ยงด้านคลินิก 2.การสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง 3.การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการ พยาบาล 4.การนำแนวปฏิบัติไปทดลองใช้ และระยะที่ 2 ศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล คัดเลือก กลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด จำนวน 13 คน และทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันเลือดในปอดสูง จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัยประเมิน คุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ใช้แบบประเมิน The AGREE II ประกอบด้วย 1) แนวทางการเฝ้าระวังผู้ป่วยทุก รายที่มีกลุ่มเสี่ยง 2) การพัฒนาระบบคัดกรองทารกกลุ่มเสี่ยง /ระบบประสานงานกับกุมารแพทย์โรคหัวใจเพื่อ Echocardiogram3) แบบประเมินสมรรถนะทางการพยาบาลในการดูแลทารกแรกวิกฤตที่มีภาวะความดันเลือด ในปอดสูง 4) ประสานงานเภสัชกรในการเตรียมยาลดแรงดันเลือดในปอด strock ที่ ward และ5) แบบประเมิน ความพึงพอใจของพยาบาลในการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลโดย HN/SN วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา 9.ผลการศึกษา : แนวปฏิบัติทางการพยาบาลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันเลือดในปอดที่มีมาตรฐาน 10. บทเรียนที่ได้รับ : อัตรารอดชีวิตของผู้ป่วย PPHN เพิ่มมากขึ้น,อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนลดลง ผู้ป่วย ปลอดภัย บุคลากรทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีระบบการสื่อสาร/การประสานงาน ที่มีประสิทธิภาพชัดเจน มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ร่วมกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรนำไปขยายผลเพื่อพัฒนางาน Excellence Newborn ให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
11. การติดต่อกับทีมงาน : นางสาวพิมชญา ธรรมศรีพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หอผู้ป่วย NICU.1 รพ.สรรพ สิทธิประสงค์อุบลฯ โทร 045-244973ต่อ1213 มือถือ 095-6349933 อีเมล์:[email protected]
ชื่อเรื่อง : นวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด (Wrist band) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผู้ เข้ารับบริการ ผู้วิจัย นางวิไลวรรณ ปาสีโล ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หอผู้ป่วยพิเศษพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ 4 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี บทคัดย่อ ความสำคัญของปัญหา : การระบุตัวผู้ป่วย เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในทุกกิจกรรมของการบริการพยาบาล และต้องกระทำให้ถูกต้องทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการส่งทารกแรกเกิดออกนอกแผนกเพื่อทำการรักษาหรือหัตถการ เพื่อให้มีความปลอดภัย โดยสอดคล้องกับมาตรฐานที่ 6 : การป้องกันการระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาด จากข้อมูลความ เสี่ยงของหอผู้ป่วยพิเศษพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ 4 ในปี พ.ศ. 2566 พบอุบัติการณ์การส่งตัวทารกแรกเกิดที่ส่งทำ หัตถการนอกแผนก ไม่ระบุตัวผู้ป่วยขณะส่งไปทำหัตถการตัดผังผืดใต้ลิ้น 2 ครั้ง เป็นความเสี่ยงระดับ B ดังนั้นผู้ ศึกษาจึงพัฒนานวัตกรรม เพื่อช่วยให้ทารกได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และมีความปลอดภัย วัตถุประสงค์ : 1.เพื่อพัฒนานวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด 2.เพื่อป้องกันการระบุตัวทารกแรกเกิด ผิดพลาด3.เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เข้ารับการบริการ วิธีดำเนินการ : ตามขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรมทางการพยาบาลโดยประยุกต์ใช้รูปแบบแนวคิดของการปฏิบัติ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของ Flemming & Fenton มี6 ขั้นตอน ดังนี้ 1.ระบุสถานการณ์ปัญหา 2.ตั้งคำถาม 3.ค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์ 4.ประเมินคุณภาพผลงานวิจัย 5.นำไปปฏิบัติ 6.ตรวจสอบผลการปฏิบัติ ผลดำเนินการ : 1.ได้นวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือ (Wrist band) สำหรับทารกแรกเกิด “WILAIWAN Wrist Band” ประเมินนวัตกรรม โดยบุคลากรจำนวน 11 คน พบว่านวัตกรรมมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์/การใช้แก้ปัญหา ร้อยละ 95 สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ร้อยละ 95 มีความปลอดภัยของนวัตกรรม ร้อยละ 90 มีความคุ้มค่า คุ้มทุน ร้อยละ 95 (ราคานวัตกรรม 3 บาท / ชิ้น) และความพึงพอใจโดยรวม ร้อยละ 90 2.บิดา-มารดาของทารก แรกเกิด ที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วย จำนวน 12 คน พบว่ามีความพึงพอใจต่อนวัตกรรมสายผูกรัดข้อมือทารกแรก เกิด ในระดับดีมาก ข้อเสนอแนะ : 1.ควรมีการทดสอบและตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ามีความ ปลอดภัยในการใช้งาน 2.มีการฝึกอบรมการใช้นวัตกรรมให้แก่บุคลากรใหม่ เพื่อให้มีความเข้าใจและใช้งานอย่าง ถูกต้อง 3.มีการติดตามและประเมินผลลัพธ์ของการใช้งานนวัตกรรมเพื่อปรับปรุงและพัฒนาต่อไป คำสำคัญ: สายผูกรัดข้อมือทารกแรกเกิด, ทารกแรกเกิด, ประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย
ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจ ต่อความเครียดของผู้ป่วยที่มีผลตรวจ ส่องกล้องปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลนครพนม นิตยา กุลตังวัฒนา รุ้งลาวัลย์ เอี่ยมกุศลกิจ บทคัดย่อ ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีแนวโน้มมากสูงขึ้น และส่งผลให้เกิดความเครียดมาตั้งแต่ระยะทราบผลการ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกว่าผิดปกติ งานวิจัยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลัง อำนาจ ต่อความเครียดของผู้ป่วยที่มีผลตรวจส่องกล้องปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาล โดยศึกษาในกลุ่มผู้ป่วย มีผลตรวจส่องกล้องปากมดลูกผิดปกติทั้งกลุ่มเสี่ยงต่ำและเสี่ยงสูง จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 20 คน กลุ่มทดลอง 20 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง และสุ่มเข้ากลุ่มด้วยวิธีสุ่มอย่างง่ายและ จับคู่กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้เป็นความเสี่ยงระดับเท่ากัน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ โปรแกรม เสริมสร้างพลังอำนาจ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบ ประเมินความเครียดและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย และสถิติ ทดสอบทีแบบจับคู่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมีผลตรวจส่องกล้องปากมดลูกผิดปกติส่วนใหญ่เป็นวัยเจริญพันธุ์ อาชีพ เกษตรกรรม ศาสนาพุทธ สถานภาพคู่ การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ย 19 ปี 5 เดือน มีจำนวนคู่นอนเฉลี่ย 3 คน ไม่มีโรคประจำตัว ส่วนมากมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท ส่วนใหญ่มี การตั้งครรภ์/การมีบุตรเฉลี่ย 2 คน สามีเป็นผู้ดูแลเมื่อเจ็บป่วย ใช้สิทธิบัตรทองในการรักษามากที่สุด มีการ วินิจฉัยโรคเป็น LSIL เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลทั่วไปของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ไม่มีความ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทุกประเด็น คะแนนความเครียดก่อนการทดลองทั้งสอง กลุ่มอยู่ในระดับความเครียดสูง โดยกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนความเครียดเท่ากับ 56.90 คะแนน (S.D. = 16.74) และกลุ่มงควบคุมมีค่าคะแนนความเครียดเท่ากับ 50.75 คะแนน (S.D. = 13.81) คะแนนความเครียด ของกลุ่มทดลองมีแนวโน้มลดลง ระหว่างก่อนและหลังการทดลอง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< 0.001) คะแนนความเครียดกลุ่มควบคุมมีแนวโน้มมากขึ้น มีความแตกต่างกันระหว่างก่อนและหลังการ ทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(P< 0.05) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความเครียดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุมหลังการทดลอง พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนความเครียดน้อยกว่า และมีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ(P< 0.001) พยาบาลวิชาชีพแผนกสูตินรีเวชสามารถนำโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจเพื่อ ลดความเครียดของผู้ป่วยที่มีผลตรวจส่องกล้องปากมดลูกผิดปกติได้ทันทีหลังทราบผลตรวจ คำสำคัญ: โปรแกรม เสริมสร้างพลังอำนาจ ความเครียด การส่องกล้อง ปากมดลูกผิดปกติ
ผลของการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางแอพพลิเคชั่นไลน์บนมือถือต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัด ขนิษฐา ลีนนลาน กลุ่มงานการพยาบาลตรวจรักษาพิเศษ กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลนครพนม บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมี บำบัดระหว่างก่อนและหลังการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางแอพพลิเคชั่นไลน์บนมือถือ วัสดุและวิธีการศึกษา : การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) แบบหนึ่งกลุ่ม วัดก่อนหลังการ ทดลอง (One Group Pre-Post test) ในหน่วยเคมีบำบัด โรงพยาบาลนครพนม ระยะเวลาศึกษา 5 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2566 ถึงเดือนมกราคม 2567 กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ ได้รับเคมีบำบัด (chemotherapy) แบบผู้ป่วยนอก ในระหว่างเดือนที่ทำการศึกษา ซึ่งเป็นการสุ่มตามความ สะดวก (convenience sampling) จำนวน 15 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการ ให้ความรู้ในการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัด 2) คู่มือและวีดีโอสั้นความยาว 3-5 นาทีเกี่ยวกับการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัด 3) กลุ่มไลน์(Group Line) สนทนา ทั้งแบบกลุ่มและส่วนตัว และเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัด 2) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้า นมที่ได้รับเคมีบำบัด 3)แบบประเมินคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัด ซึ่งผ่านการตรวจสอบ ความตรงตามเนื้อหาและความเชื่อมั่นแล้ว วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบค่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัดก่อนและหลัง ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางแอพพลิเคชั่นไลน์บนมือถือโดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test ผลการศึกษา : คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมของกลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองเพิ่มขึ้นจาก 14.20 (SD=2.956) เป็น 17.33 (SD=2.288) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.001) และคุณภาพชีวิตของกลุ่ม ตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางทั้งก่อนและหลังการทดลอง แต่คะแนนเฉลี่ยของคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นหลัง การทดลองจาก 7.80 (SD=2.077) เป็น 9.67 (SD=1.175) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p=.010) ข้อสรุป : การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางแอพพลิเคชั่นไลน์บนมือถือ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ผู้ป่วย มะเร็งเต้านมที่ได้รับเคมีบำบัดมีพฤติกรรมการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นได้ คำสำคัญ :การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ, คุณภาพชีวิตผู้ป่วย, มะเร็งเต้านม, เคมีบำบัด
บทความนำเสนอวิชาการ นางพัชรี พรหมสุวงศ์ โรงพยาบาลเด็กสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลดูดเสมหะผู้ป่วยเด็กที่ใส่ท่อหลอดลมคอโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์(EBP) ผู้นำเสนอ: นางพัชรี พรหมสุวงศ์, ชื่อองค์กร,จังหวัด: ห้องผู้ป่วยหนัก SCH-ICU2 โรงพยาบาลเด็กสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ความเป็นมาและความสำคัญ: การดูดเสมหะคือการใช้สายยางดูดเสมหะซึ่งปราศจากเชื้อผ่านเข้าทางปาก จมูก หรืออุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในหลอดลม เช่น Endotracheal, Tracheostomy tube เป็นต้น เพื่อนำเสมหะออกจาก ทางเดินหายใจ เนื่องจากผู้ป่วยไอขับเสมหะออกเองไม่ได้หรือการเก็บเสมหะเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ จากสถิติ ของหอผู้ป่วยในปี2564 ถึง 2566 ห้องผู้ป่วยหนัก SCH-ICU2 มีจำนวนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจจำนวน 118,141, 125 รายตามลำดับ มีอุบัติการณ์เลือดออกจากท่อหลอดลมคอ จำนวน 10 ราย ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องได้รับการดูด เสมหะเพื่อระบายเสมหะออกช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งแลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีอย่างน้อยวันละ5-6 ครั้งต่อวัน การดูด เสมหะที่ไม่ถูกวิธีส่งผลให้ภาวะแทรกซ้อนกับผู้ป่วย เกิดการบาดเจ็บมีเลือดออกการพร่องออกซิเจน การเปลี่ยนแปลง ของสัญญาณชีพ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ปอดแฟบ และเกิดความไม่สุขสบายของผู้ป่วย บิดา มารดาของ ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลและไม่พึ่งพอใจต่อการพยาบาล การดูดเสมหะ มี2 วิธีคือแบบระบบปิดและระบบเปิดพบว่า การดูดเสมหะแบบระบบปิดใช้ระยะเวลาในการดูดเสมหะน้อยใช้พยาบาลหนึ่งคนและสามารถใช้สายดูดเสมหะสายเดิม ใช้ได้หลายครั้ง ส่วนการดูดเสมหะแบบระบบเปิดใช้เวลามากกว่า ใช้สองคนในการดูดเสมหะแต่ละครั้งและต้องเปลี่ยน สายในการดูดเสมหะซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน การควบคุมภาวะแทรกซ้อนไม่ให้เกิดขณะดูดเสมหะไม่สามารถทำ ได้ทุกครั้ง จึงนำประเด็นดังกล่าวมาพัฒนาแนวทางการพยาบาลในการดูดเสมหะในผู้ป่วยเด็กที่ใส่ท่อหลอดลมคอ วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลดูดเสมหะผู้ป่วยเด็กที่ใส่ท่อหลอดลมคอโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ วิธีการดำเนินการ:สถานที่ดำเนินงาน:ห้องผู้ป่วยหนัก SCH-ICU2 1.กลุ่มเป้าหมาย:ผู้ป่วยเด็กที่ใส่ท่อหลอดลมคอ ,พยาบาลวิชาชีพ SCH-ICU2 จำนวน 17 คน 2.ขั้นตอนการศึกษา: 1)ประชุมหน่วยงานวิเคราะห์ปัญหาในการดูด เสมหะ 2) มอบหมายทีมพยาบาลผู้รับผิดชอบ 3) ทบทวนและสังเคราะห์วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องในการดูดเสมหะใน ผู้ป่วยเด็ก 4) ร่างแนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูดเสมหะในผู้ป่วยเด็กที่ใส่ท่อหลอดลมคอโดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ ประกอบด้วย การประเมินสภาพผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้คือ การประเมินเพื่อการดูดเสมหะ, การประเมินหา ความผิดปกติอื่นๆ การเตรียมอุปกรณ์การดูดเสมหะ การเตรียมผู้ป่วย การปฏิบัติการดูดเสมหะตามหลักฐานเชิง ประจักษ์การประเมินผลการดูดเสมหะ 5) ปรึกษาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุงแนวปฏิบัติ 6)กำหนดตัวชี้วัด7) นำความรู้ลงสู่การปฏิบัติในหน่วยงาน 8) ติดตามนิเทศในการปฏิบัติ 9)เก็บข้อมูลตัวชี้วัดวิเคราะห์และปรับปรุงต่อเนื่อง 10) การประเมินผล วิธีการเก็บข้อมูล เก็บข้อมูล 3เดือน (มรกราคม-มีนาคม 2567) วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติร้อยละ ผลการศึกษา 1.ด้านพยาบาล พยาบาลปฏิบัติตามแนวทางการดูดเสมหะ 95.45% เป็น 97.61% 2.ด้านผู้ป่วย อุบัติการณ์การมีภาวะเลือดออกจากท่อลดลง เท่ากับ 0 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: การนำผลการศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ในหน่วยงานอื่นๆต้อง ทบทวนวรรณกรรมและปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทหน่วยงาน
ผลของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อการป้องกันแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนครพนม นางสุระดา ไชยธงยศ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หอผู้ป่วยพิเศษรับขวัญ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลนครพนม บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้และสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันแผลที่เท้าในผู้ป่วย โรคเบาหวานระหว่างก่อนและหลังได้รับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม วัสดุและวิธีการศึกษา : การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) ชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อนและ หลังการทดลอง (one group prctest-posttest design) ระยะเวลาศึกษาวิจัย 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 - เมษายน 2566 กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมได้และเคย นอนพักเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยพิเศษรับขวัญ จำนวน 21 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินวิจัยประกอบด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม คู่มือการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน กลุ่มไลน์หรือแอพพลิเคชั่นไลน์ บนมือถือ และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้ป่วย โรคเบาหวาน แบบทดสอบความรู้เรื่องโรคเบาหวานและการป้องกันการเกิดแผลที่เท้า และแบบประเมินการ ปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันการเกิดแผลที่เท้าตามการรับรู้โดยเครื่องมือในงานวิจัยผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เครื่องมือทั้งในด้านความตรงของเนื้อหาและความเชื่อมั่น วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนความรู้โดยใช้สถิติpaired t-test) และเปรียบเทียบสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องระหว่างก่อน และหลังทดลอง โดยใช้สถิติไคสแควร์ ผลการศึกษา : คะแนนความรู้และสัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันการเกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วย โรคเบาหวานหลังได้รับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .023 และ .021 ตามลำดับ การวิจัยนี้แสดงให้เห็น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม มีผลทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้และการปฏิบัติ ที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น คำสำคัญ :การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม, การป้องกันแผลที่เท้าผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคเบาหวาน
1. ชื่อเรื่อง ผลการพัฒนาบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจ 2. คณะผู้จัดท า นางรุ่งนภา ขนทรัพย์(ผู้น าเสนอ) นางสาวทัศนียา ไกรสรสวัสดิ์นางสาวสายสุดา เหมือนเหลา 3. สถานที่ปฏิบัติงาน งานห้องผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมโรคหัวใจ (PCICU) โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 4. หลักการและเหตุผล การบันทึกทางการพยาบาลที่มีคุณภาพเป็นสิ่งที่แสดงถึงผลลัพธ์ของการพยาบาลที่มีคุณภาพได้ นอกจากนี้ยังใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าพยาบาลได้ดูแลผู้ป่วยจริงช่วยสื่อสารข้อมูลส าคัญเพื่อการดูแลต่อเนื่อง การบันทึก ที่ไม่มีคุณภาพจะน าไปสู่เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ป่วย จากการทบทวนและวิเคราะห์การบันทึกการพยาบาลใน ผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์พบว่า มีความซ้ าซ้อน ไม่ ต่อเนื่อง ไม่เห็นภาพรวมของผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับจนกระทั่งจ าหน่าย ไม่ครบกระบวนการพยาบาลโดยเฉพาะการประเมิน ภาวะแทรกซ้อนหลังตรวจสวนหัวใจถึงร้อยละ 40 ดังนั้นคณะผู้ศึกษาจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาระบบการบันทึก ทางการพยาบาล โดยใช้กระบวนการทางการพยาบาล ที่เฉพาะเจาะจงกับโรค ครอบคลุมประเด็นปัญหา เพื่อให้ผู้ป่วย ได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสูงสุด 5. วัตถุประสงค์1. เพื่อพัฒนาบันทึกทางการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจ 2. เพื่อศึกษาผลของการใช้บันทึกทางการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจ 6. ตัวชี้วัด 1. เกิดนวัตกรรมการพัฒนาบันทึกทางการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจ 2. พยาบาลวิชาชีพห้องผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมโรคหัวใจ มีความพึงพอใจ ≥ 3.5 7. วิธีการด าเนินงาน โดยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนพัฒนาตามแนวคิดของ ADDIE Model ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เป็นการพัฒนา โดยประกอบด้วย(1) A=Analyze วิเคราะห์สภาพปัญหาและปัจจัยต่อการบันทึกการพยาบาลและแนวทางแก้ไขร่วมกับ ทีมสุขภาพ (2) D= Design ออกแบบและจัดท าคู่มือการบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการ แต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจ (3) D= Development น าไปทดลองใช้ในห้องผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมโรคหัวใจ (PCICU) เป็นระยะเวลา 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.66) และประเมินความคิดเห็นของพยาบาลวิชาชีพผู้เขียนบันทึกทางการ พยาบาล ปรับปรุงคู่มือและประชุมแจงผลที่ได้จากการทดลองใช้ ขั้นตอนที่ 2 (4) I=Implement และ (5) E= Evaluation การประเมินผลการพัฒนา กลุ่มประชากรได้แก่พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานในห้องผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรคหัวใจจ านวน 13 คน และกลุ่มตัวอย่างคือเวชระเบียนผู้ป่วยในที่เข้ารับบริการการตรวจสวนหัวใจที่จ าหน่ายในช่วง วันที่ 1 ก.ค.66-30ก.ย.66 ทั้งหมด 25 ราย โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จ านวน 15 ชุด เครื่องมือที่ใช้คือ แบบ ตรวจสอบความสมบูรณ์บันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะ และแบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ ซึ่ง ผ่านการตรวจสอบของผู้ทรงคุณวุฒิ3 ท่าน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 8. ผลการด าเนินงาน การพัฒนาบันทึกทางการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่ก าเนิดที่เข้ารับการสวนหัวใจมี 2 ส่วน คือ ส่วนบันทึกก้าวหน้าโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x =4.55, SD=0.47) ในส่วนบันทึกสรุป โดยรวมอยู่ในระดับมาก ที่สุด (x =4.61, SD=0.47) และ 2.ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อบันทึกทางการพยาบาลแบบชี้เฉพาะการตรวจ สวนหัวใจในเด็กโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x =4.65, SD=0.46) 9 .บทเรียนที่ได้รับ 1. ผลต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือถูกต้อง ปลอดภัย ส่งผลต่อคุณภาพการรักษาพยาบาล 2. ผลต่อบุคลาการ ท าให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจตรงกัน มีความถูกต้อง ลดขั้นตอนการท างาน
ห้องนำเสนอที่ 4
1.ชื่อเจ้าของผลงาน : นางยุวลีฉายวงศ์พย.ม. 1 วิยะดา เปาวนา พย.ม.2*จิตตานันท์ศรีสุวรรณ์พย.ม.3 ประภัสสร ศรีแสงจันทร์วท.บ.4ที่อยู่:โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี36 หมู่1 ต.หนองไผ่อ.เมือง จ.อุดรธานี41330 โทรศัพท์042-110345 ต่อ4710,4703มือถือ : 094-9465757 Email [email protected] 2. ชื่อเรื่อง: (Title) ภาษาไทย : ลักษณะของผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคปอดในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีภาษาอังกฤษ : Characteristic of cancer patients with active pulmonary tuberculosis at Udon Thani Cancer Hospital. 3. บทคัดย่อ (Abstract) : ผู้ป่วยมะเร็งเป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่่าหากมีวัณโรคร่วม อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้การศึกษานี้เพื่อศึกษาลักษณะผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคปอดรายใหม่ในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีเป็นการศึกษาแบบย้อนหลังรายกรณีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ภายหลังได้รับการวินิจฉัยเป็นวัณโรคปอดรายใหม่จากการทบทวนเวชระเบียนจากระบบฐานข้อมูล ระหว่างปีพ.ศ. 2561-2565 จ่านวน 20 ราย เครื่องมือวิจัยเป็นแบบบันทึกข้อมูล สถิติที่ใช้เป็นสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยด้านบุคคล กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 90 มีอายุ60 ปีขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่และดื่มสุราและจบประถมศึกษา ร้อยละ55ไม่มีโรคประจ่าตัวร้อยละ 60 รองลงมาเป็นโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 15 2) ปัจจัยด้านเชื้อก่อโรคและมะเร็ง ผลตรวจเสมหะเป็นบวกร้อยละ 65 ผลตรวจเอกซเรย์ปอดผิดปกติร้อยละ 95 โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นมะเร็งลิ้น รองลงมาเป็นมะเร็งช่องปาก ร้อยละ 40 และ 15 ตามล่าดับ มะเร็งลุกลามไปที่ปอดพบมากที่สุดร้อยละ 35 และเป็นมะเร็งระยะที่4ร้อยละ65 การรักษาทั้งเคมีบ่าบัดและรังสีรักษาร้อยละ 55 3) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 45 จ่านวนสมาชิกในครอบครัวมากกว่า 4 คน ร้อยละ 35 ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอดร่วมบ้าน ร้อยละ 10 มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก โสต ศอ นาสิก ร้อยละ 100 จากการศึกษาควรเฝ้าระวังและคัดกรองวัณโรคในผู้ป่วยโดยเฉพาะมะเร็งศีรษะและล่าคอ อายุมากกว่า 60 ปีมีโรคร่วมและพัฒนาระบบบริการให้มีคุณภาพ ลดอุบัติการณ์การเกิดโรคและลดอัตราการเสียชีวิต 4. คําสําคัญ: ผู้ป่วยมะเรง็ผู้ป่วยมะเรง็ที่เปน็วัณโรคปอด ลักษณะของผู้ปว่ยมะเรง็ที่เป็นวณั โรคปอด 5.ความสําคัญของปัญหา : โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในสาเหตุส่าคัญของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตทั่วโลก รวมถึงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส่าคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยองค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าในปีค.ศ. 2040 และปีค.ศ. 2050ผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 28.9 และ 35 ล้านคน ตามล่าดับ จากข้อมูลสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพ.ศ. 2559 – 2561 คนไทยเป็นมะเร็งรายใหม่วันละ 381 คนหรือ 139,206 คน/ปีและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 230 คนหรือ 84,073 คน/ปีอุบัติการณ์โรคมะเร็งในชายไทยวันละ173.1 คนต่อประชากรแสนคน อุบัติการณ์โรคมะเร็งในหญิงไทย วันละ 159 คนต่อประชากรแสนคน ผู้ป่วยมะเร็งเป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่่าหากมีวัณโรคร่วม อาจส่งผลให้เกิดอันตรายจนเสียชีวิตได้วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาส่าคัญทางด้านสาธารณสุขในปัจจุบันของทั่วโลกจากรายงานขององค์การอนามัยโลก ในปีพ.ศ. 2561 พบผู้ป่วยรายใหม่ติดเชื้อวัณโรคและกลับเป็นซ้่าของโลกสูงถึง 10 ล้านคน คดิเป็น132คนต่อแสนประชากร เสียชีวิตสูงถึง 1.5 ล้านคน ติดเชื้อเอชไอวี8.6 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 8.6 ของผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมด โดยเสียชีวิต ปีละ 2.5แสนคนส่าหรับผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา MDR/RR-TB คาดว่าจะมี4.8 แสนคน พบได้ร้อยละ 3.4 ของผู้ป่วยใหม่ส่าหรับประเทศไทย จัดเป็น 1 ใน14ประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง (High Burden Country lists) ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 – 2563 พบผู้ป่วยวัณโรคมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปีพบผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้่าของทุกประเภทที่ขึ้นทะเบียน จ่านวน 35,951 ราย คิดเป็นอัตราการรายงานผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้่า 54.0 ต่อแสนประชากรพบชายมากกว่าหญิง 2:1 เท่า กลุ่มอายุ65 ปีขึ้นไปมีจ่านวนและอัตราการรายงานผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้่ามากกว่าทุกกลุ่มอายุมีภาระทางเศรษฐศาสตร์จากวัณโรคสูงถึงปีละ 75,238 ล้านบาท จ่าแนกเป็นต้นทุนการเจ็บป่วยที่ไม่รวมการเสียชีวิต 4,796 ล้านบาทต่อปี(64,645บาทต่อผู้ป่วยหนึ่งราย) และผลิตภาพที่สูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควร 70,442 ล้านบาท (5.63 ล้านบาทต่อการเสียชีวิตหนึ่งราย) คาดประมาณว่าในปีพ.ศ.2578 จะมีแนวโน้มภาระโรคสูงขึ้น โดยมีผู้ป่วยวัณโรคใหม่เพิ่มเป็นปีละ 124,000 ราย คิดเป็นอัตราอุบัติการณ์185 ต่อแสนประชากร และจ่านวนการเสียชีวิตยังคงสูงต่อเนื่องประมาณ 11,000 รายต่อปีส่งผลให้ภาระทางเศรษฐศาสตร์จากวัณโรคในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2560-2564) เท่ากับ358,973ล้านบาท และในระยะยาว 21 ปี(2558-2578) มีมูลค่าสูงถึง 1.39 ล้านล้านบาท เขตบริการสุขภาพที่8 ในปีพ.ศ. 2561 พบผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และขึ้นทะเบียนร้อยละ 63.04 จ่านวน 5,683 ราย คิดเป็น 108.43 คนต่อแสนประชากร ผลส่าเร็จในการรักษาร้อยละ 86.43 จังหวัดอุดรธานีพบผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และขึ้นทะเบียน จ่านวน 1,798 ราย (ร้อยละ 66.37) คิดเป็น 130.68 คนตอ่แสนประชากร ผลส่าเร็จในการรักษาร้อยละ85.14ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคแบ่งได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ ปัจจัยด้านผู้ป่วยวัณโรค เช่น ป่วยเป็นวัณโรคปอด หลอดลมหรือกล่องเสียงในระยะที่มีเชื้อในเสมหะ เมื่อไอ จามท่าให้เกิดการหายใจแรงๆ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สถานที่อับทึบและคับแคบ แสงแดดส่องไม่ถึงการถ่ายเทอากาศไม่ดีและปัจจัยด้านระบบบริการ เช่น การวินิจฉัยและรักษาล่าช้า การให้ยารักษาไม่ถูกต้อง การรักษาไม่ครบ การท่าหัตถการที่ท่าให้เกิดละอองฝอย นอกจากนี้จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยพบว่า ผู้ที่มีโรคหรือความเสี่ยงต่อวัณโรค ได้แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเบาหวานได้รับยากดภูมิคุ้มกัน สูบบุหรี่ถุงลมโป่งพอง ซิลิโคสิส โรคไตเรื้อรัง ผ่าตัดกระเพาะ ตัดต่อล่าไส้ภาวะทุพโภชนาการ ผู้ติดยาเสพติดหรือมีความผิดปกติจากติดสุราผู้ป่วยที่เคยป่วยเป็นวัณโรค โรคมะเร็งที่พบว่ามีการติดเชื้อวัณโรคภายหลังการเป็นมะเร็งพบมากที่สุด คือ มะเร็งปอดและมะเร็งซาร์โคมารองลงมาคือมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้่าเหลืองและมะเร็งทางเดินอาหาร ผู้ป่วยวัณโรคส่วนใหญ่ร้อยละ 65.9 ได้รับการวินิจฉัยโรคหลังเป็นโรคมะเร็ง
มากกว่า 6 เดือน ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยวัณโรคพบว่า การเสียชีวิตสัมพันธ์กับอายุ70 ปีโดยมีการตรวจเสมหะเป็นบวกดัชนีมวลกาย <18.5 กก./ม 2 และโรคร่วมที่ร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และโรคไต นอกจากนี้วัณโรคยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างมีนัยส่าคัญของมะเร็งต่อมน้่าเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งรังไข่และมะเร็งเต้านม ผู้หญิงที่เป็นวัณโรคมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ชาย ยกเว้นมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งต่อมน้่าเหลือง อย่างไรก็ตามยังพบปัจจัยเสี่ยงของการเกิดวัณโรคยังสัมพันธ์กับเศรษฐกิจทางครอบครัว สังคมและโรคประจ่าตัวที่ท่าให้เกิดภูมิคุ้มกันที่บกพร่องอื่นๆ ได้แก่ผู้ติดยาเสพติด โรคปอดอักเสบจากฝุ่นทราย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยผ่าตัดกระเพาะอาหาร/ล่าไส้ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น มะเร็งปลูกถ่ายอวัยวะ และโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นต้นโดยผู้ป่วยมะเร็งมีการติดเชื้อได้ง่ายกว่าบุคคลอื่นเนื่องจากการเจ็บป่วยด้วยสาเหตุของโรคมะเร็งเองนั้นมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง จากมีระดับอิมนูโนโกลบินและการสร้างโปรตีนลดลง ประกอบกับการได้รับการรักษาด้วยเคมีบ่าบัดและการฉายรังสี ปัจจัยด้านความเจ็บป่วยเกี่ยวกับชนิดของมะเร็งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ท่าให้ผู้ป่วยมะเร็งติดเชื้อวัณโรคได้ง่าย ซึ่งสรุปได้ว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่ท่าให้ผู้ป่วยเสียชีวิตระหว่างการรักษา เกิดจากการมีโรคร่วมและกลุ่มผู้สูงอายุโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีมีภารกิจให้บริการตรวจคัดกรอง ค้นหา รักษา ฟื้นฟูเฝ้าระวังและติดตามผู้มารับบริการอย่างครบวงจรด้านโรคมะเร็ง จ่านวนผู้รับบริการที่เป็นมะเร็งเฉลี่ยต่อปีประมาณ 2,000 – 2,500 คน พบผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคทั้งรายเก่าและรายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งอาจส่งผลกระทบในระบบบริการโรงพยาบาล เกิดการแพร่กระจายเชื้อต่อทั้งผู้ให้บริการโดยเฉพาะบุคลากรทางการพยาบาลซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากที่สุดทั้งในการประเมินและคัดกรองผู้ป่วยก่อนเข้ารับการรักษาและการดูแลรักษาระหว่างผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล และเกิดการแพร่กระจ่ายเชื้อต่อผู้มารับบริการรายอื่นภายในโรงพยาบาลหรือแม้กระทั่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเอง ที่อาจมีผลกระทบต้องสูญเสียโอกาสด้านการรักษา การใช้ทรัพยากรและงบประมาณเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังอาจเป็นสาเหตุส่งเสริมที่ส่าคัญที่ท่าให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ง่ายและเร็วขึ้นจากสถานการณ์การทบทวนวรรณกรรมและยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค พ.ศ. 2560-2564 ต้องเร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อวัณโรค โดยเพิ่มโอกาสเข้าถึงการวินิจฉัยแก่กลุ่มเสี่ยง เร่งรัดการคัดกรอง ค้นหา และรักษาวัณโรคโดยเร็ว ยุติปัญหาวัณโรคให้ได้ตามเป้าหมายอย่างเร่งด่วน หากด่าเนินงานล่าช้าจะเกิดความสูญเสียมากขึ้น เช่น มีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลมากขึ้น ผู้ป่วยและญาติเสียโอกาสจากการขาดงานเศรษฐานะของครัวเรือนลดลง การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ใกล้ชิด ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาลักษณะผู้ป่วยมะเร็งที่มีวัณโรคปอดระยะแพร่กระจายร่วมในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีเพื่อให้ได้ข้อมูลในการพัฒนาแนวปฏิบัติในการคัดกรอง ค้นหาผู้ป่วยมะเร็งที่มีวัณโรคร่วมสามารถน่าไปวางแผน บริหารจัดการ ลดความรุนแรงของการเกิดโรค และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 6.วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาลักษณะของผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคปอดตามปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยเป็นวัณโรคปอด 7.วิธีการ(Methods): เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ศึกษาข้อมูลแบบย้อนหลังรายกรณี (Retrospective case series study) ในผู้ป่วยมะเร็งภายหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคปอดรายใหม่อายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ที่เข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีระหว่างปีพ.ศ. 2561-2565 จ่านวนทั้งสิ้น 20 รายจากจ่านวนผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาทั้งสิ้น 10,910 คน โดยทบทวนเวชระเบียนจากระบบฐานข้อมูลตั้งแต่เริ่มวินิจฉัยระหว่างการรักษา จนกระทั่งผู้ป่วยรักษาหายหรือเสียชีวิต โดยศึกษาลักษณะผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาและต่อมาพบว่าเป็นวัณโรคปอดใน3ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคคล ปัจจัยด้านเชื้อก่อโรคและมะเร็ง และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกข้อมูล (Caserecordform)ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญจ่านวน 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective Congruence) เท่ากับ0.84 และน่าไปท่าการเก็บรวบรวมข้อมูล หลังจากได้รับอนุมัติให้ด่าเนินโครงการวิจัยจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยของโรงพยาบาลแล้ว บันทึกข้อมูลตามแบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้อง ความครบถ้วน และความสมบูรณ์ของข้อมูล น่าข้อมูลที่ได้มาบันทึกลงในคอมพิวเตอร์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติเชิงพรรณนาแสดงข้อมูล จ่านวน ร้อยละ 8.ผลการศึกษา (Result): ปัจจัยด้านบุคคล กลุ่มตัวอย่าง จ่านวน 20 คน เป็นเพศชายมากที่สุด จ่านวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 90 อายุที่พบมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ60-74 ปีจ่านวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 45 และอายุที่พบน้อยที่สุด อยู่ในช่วงอายุ30 - 44 ปีจ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ดัชนีมวลกายในช่วง18.5 – 22.9 กก./ม 2 พบมากที่สุดจ่านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 60 น้อยกว่า 18.5 กก./ม 2 จ่านวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 30 มากกว่า30กก./ม2พบน้อยที่สุดจ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 สถานภาพสมรสพบมากที่สุด จ่านวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 70 โสดพบน้อยที่สุด จ่านวน1คนคิดเป็นร้อยละ 5 มีสัญชาติไทยจ่านวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 100 การศึกษาจบระดับประถมศึกษามากที่สุด จ่านวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ55จบระดับปริญญาตรีน้อยที่สุด จ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 10 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ≤ 5,000 บาท จ่านวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 90 สิทธิการรักษาประกันสุขภาพถ้วนหน้าพบมากที่สุด จ่านวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 70 สวัสดิการข้าราชการและช่าระค่าใช้จ่ายเองพบน้อยที่สุด จ่านวนละ1คนคิดเป็นร้อยละ 5 สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์พบมากที่สุด จ่านวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 55 ไม่มีโรคประจ่าตัวพบมากที่สุด จ่านวน12 คนคิดเป็นร้อยละ60 ไม่มีประวัติการแพ้ยาพบมากที่สุด จ่านวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 90 ปัจจัยด้านเชื้อก่อโรคและมะเร็ง กลุ่มตัวอย่างจ่านวน 20 คน มีผลตรวจเสมหะพบเชื้อวัณโรค 1+ AFB จ่านวน 6 คน 2+AFBจ่านวน1คนและ 3+ AFB จ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 30, 5 และ 10 ตามล่าดับ ผลตรวจไม่พบเชื้อวัณโรค จ่านวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25ผลPCRNTM
positive จ่านวน 4 คนและ PCR NTM negative จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 20 และ 5 ตามล่าดับ ไม่ได้ตรวจเสมหะ 1 คนแต่พบมีผลตรวจเอกซเรย์ปอดผิดปกติคิดเป็นร้อยละ 5 ผลตรวจเอกซเรย์ปอด (Chest X-Ray) พบ infiltration มากที่สุด จ่านวน 15 คน แยกเป็น Reticulonodular จ่านวน7คนReticularจ่านวน 6 คน และ Nodular จ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 35, 30 และ 10 ตามล่าดับ พบ Bronchiectasis จ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ10พบFibrosis จ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 10 และ พบ Granulomatous จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ต่าแหน่ง (Location) ที่พบมากที่สุดคือRightupper lobe จ่านวน 6 คนคิดเป็นร้อยละ 30 และต่าแหน่งที่พบน้อยที่สุดคือ Left lower lobe จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5และพบผลตรวจเอกซเรย์ปอดปกติแต่พบเสมหะมีเชื้อวัณโรคปอด จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 การวินิจฉัยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยมะเร็งที่พบมากที่สุด คือ มะเร็งลิ้น จ่านวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มะเร็งที่พบน้อยที่สุด คือมะเร็งปอดมะเร็งทวารหนักและมะเร็งคอหอย จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ต่าแหน่งมะเร็งลุกลามพบมากที่สุด คือ ลุกลามที่ปอด จ่านวน 7 คนคิดเป็นร้อยละ35และพบว่าผู้ป่วยมะเร็งไม่มีการแพร่กระจายของมะเร็ง จ่านวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ระยะมะเร็ง พบว่า ผู้ป่วยอยู่ในระยะที่4 มากที่สุดจ่านวน13คน คิดเป็นร้อยละ 65 การรักษามะเร็งที่ผ่านมาพบว่า การรักษาด้วยเคมีบ่าบัดและรังสีรักษาพบมากที่สุด จ่านวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ55รองลงมาคือ รังสีรักษา จ่านวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 35 ส่วนการผ่าตัด จ่านวน 1 คน และเคมีบ่าบัด จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 การประเมินสมรรถภาพการท่ากิจวัตรประจ่าวัน (ECOG) พบว่าผู้ป่วยมีECOG = 0 พบมากที่สุด จ่านวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ50รองลงมามีECOG = 4 จ่านวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25 และ ECOG = 2 และ 3 พบน้อยที่สุด จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 จ่านวนสัมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล (ANC) พบ ANC > 3,000 cells/mm 3 มากที่สุด จ่านวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ85และพบANC < 1,500 cells/mm 3 จ่านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 และระดับอัลบูมินในเลือด (Serum albumin) พบว่าอยู่ระหว่าง 3.5–5gm/dl(ค่าปกติ) พบมากที่สุด จ่านวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 55 และ < 3.5 gm/dl จ่านวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 30 ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มตัวอย่างจ่านวน 20 คน อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลจ่านวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากที่สุด จ่านวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 45 ไม่ได้ประกอบอาชีพ จ่านวน 4 คนคิดเป็นร้อยละ 20 รับจ้างจ่านวน 3 คนคิดเป็นร้อยละ15และน้อยที่สุดคืออาชีพค้าขายและรับราชการ จ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 10 จ่านวนสมาชิกในครอบครัว ≤ 4 คน จ่านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 20จ่านวนสมาชิกในครอบครัว > 4 คน จ่านวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 35 ไม่ระบุจ่านวน 9 คนคิดเป็นร้อยละ 45 การสัมผัสผู้ป่วยวัณโรคปอดร่วมบ้านไม่ได้ใกล้ชิดจ่านวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 35 ใกล้ชิดจ่านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 10 และไม่ระบุจ่านวน 11 คนคิดเป็นร้อยละ 55 แผนกที่มารับบริการเป็นแผนกผู้ป่วยนอกโสต ศอ นาสิก จ่านวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ข้อค้นพบเพิ่มเติมจากผลการศึกษาในครั้งนี้พบว่า การเป็นผู้ป่วยมะเร็งแล้วมีวัณโรคร่วม เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นความเหมือนและคล้ายกันระหว่างผู้ป่วยมะเร็งและมีวัณโรคร่วม คือ อาการไข้ ไอ เหนื่อย เพลีย น้่าหนักลด โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและล่าคอและมะเร็งแพร่กระจายไปที่ปอด อาการและอาการแสดงคล้ายกันมาก ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ความช่านาญในการวินิจฉัย จากข้อสังเกตและประสบการณ์ผู้ศึกษายังพบว่า ผลการตรวจเสมหะจะพบเชื้อ ในวันถัดๆ มาหลังเข้านอนในโรงพยาบาล ท่าให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาลได้อีกทั้งยังพบว่า กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและล่าคอ มักมาด้วยอาการไอ เจ็บคอ พบก้อนหรือต่อมผิดปกติจึงได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยการท่าหัตถการเช่น การส่องกล้อง เจาะคอและการผ่าตัด เพื่อยืนยันผลการเป็นมะเร็งร่วมด้วย ดังนั้นหากร่างกายผู้ป่วยมีเชื้อวัณโรคแฝงอยู่อาจเกิดการแพร่กระจายเชื้อให้กับบุคคลอื่นได้จึงควรมีการตรวจ TST/IGRA ให้กับผู้ป่วยมะเร็งที่สงสัยและบุคลากรกลุ่มเสี่ยงที่ให้บริการเพราะหากร่างกายได้ติดเชื้อวัณโรคแล้ว 2-8 สัปดาห์จะให้ผลบวกได้ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช้ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาแนวปฏิบัติในการคัดกรองผู้ป่วยมะเร็ง ได้แก่ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเป็นมะเร็งศีรษะและล่าคอและมีโรคร่วม และสามารถน่ามาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการบริหารจัดการการพยาบาล ดูแลเฝ้าระวังและคัดกรองผู้ป่วยมะเร็งเพื่อให้ได้รับการบริการอย่างมีคุณภาพต่อไป 2. ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งต่อไป 1) ควรพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นวัณโรคปอดเพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรค ลดจ่านวนผู้ป่วยเสียชีวิต และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคสู่บุคคลอื่น 2) ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคปอดร่วม 3) ควรพัฒนารูปแบบการจัดการผู้ป่วยรายกรณีแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นวัณโรคปอดร่วมได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การค้นหาผู้ป่วยเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาตั้งแต่ระยะแรก การสอบสวนโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยสู่ผู้ป่วยด้วยกัน สู่ผู้ใกล้ชิดหรือบุคลากรสุขภาพที่ให้บริการ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 1 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 กรณีศึกษา: การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ตรงระยะลุกลาม ที่ได้รับการผ่าตัดชนิด Abdominoperineal Resection และเปิดทวารเทียมถาวร Case study: Nursing care of patients with advanced rectal cancer who have Abdominoperineal Resection surgery with Permanent colostomy พิชามญชุ์ วิริยะวรางค์กูร โรงพยาบาลยโสธร บทคัดย่อ มะเร็งลำใหญ่และไส้ตรง เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นลำดับ 2 ในประเทศไทย การรักษาใช้วิธีการผ่าตัดร่วมกับให้ ยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค การผ่าตัดส่วนใหญ่ เป็นการผ่าตัดแบบ Abdominoperineal Resection ร่วมกับการเปิดทวารเทียมถาวร ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ใช้เวลานานและมีความ เสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่นการบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียงหรือการสูญเสียเลือดขณะผ่าตัด ดังนั้น ทีม ผ่าตัดและทีมสุขภาพที่ร่วมดูแลผู้ป่วย จำเป็นต้องมีความชำนาญเฉพาะด้าน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ผู้ศึกษาจึง เลือกศึกษาผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ตรงระยะลุกลาม มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย โดยใช้ กระบวนการพยาบาลทั้งก่อนผ่าตัด ระยะผ่าตัด และหลังผ่าตัด การสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีจากการมีทวารเทียมถาวร ศึกษาเปรียบเทียบในผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ตรงระยะลุกลาม จำนวน 2 ราย ที่รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลยโสธร โดย รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียน การสังเกตและเยี่ยมผู้ป่วย ระยะเวลาการศึกษา เดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือน มีนาคม 2567 ผลการศึกษา: กรณีที่ 1 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 67 ปี อาการสำคัญ ถ่ายเป็นมูกเลือด คลำพบติ่งที่รูทวารก่อนมา โรงพยาบาล 1 เดือน แพทย์วินิจฉัยเป็น CA lower rectum and anal canal, prostate and bladder invasion ได้รับการผ่าตัด Abdominoperineal Resection with Cystectomy with ileal conduit สูญเสียเลือดขณะผ่าตัด 1,500 ml ได้รับเลือดทดแทนขณะผ่าตัด หลังผ่าตัดผู้ป่วยพักฟื้นได้ดี ระยะเวลานอนโรงพยาบาล 16 วัน กรณีที่ 2 ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 82 ปี อาการสำคัญ มีเลือดออกทางทวารหนักก่อนมาโรงพยาบาล 2-3 วัน ผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ตรงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปฏิเสธการผ่าตัด รับการรักษาโดยวิธีเคมีบำบัดและรังสีรักษาครบเมื่อปี 2565 แพทย์วินิจฉัยเป็น Recurrent CA rectum invade vaginal wall ได้รับการผ่าตัด Abdominoperineal Resection with Total Abdominal Hysterectomy with Bilateral Salpingo-oophorectomy with appendectomy สูญเสียเลือดขณะ ผ่าตัด 100 ml มีเสมหะค้างในปอดหลังผ่าตัดวันแรก ปรึกษากายภาพบำบัดทำ physical therapy อาการดีขึ้น รวม ระยะเวลานอนโรงพยาบาล 7 วัน สรุป: ผู้ป่วยปลอดภัยจากการผ่าตัดที่มีความยุ่งยากและใช้เวลานาน ไม่มีการบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียงและปลอดภัย จากการสูญเสียเลือดขณะผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและการเตรียม
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 2 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 เครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมใช้ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน ลดวันนอนโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการ รักษาพยาบาล คำสำคัญ: โรคมะเร็งลำไส้ตรงระยะลุกลาม, Abdominoperineal Resection, ทวารเทียมถาวร Abstract Colon and Rectum cancer is the 2nd most common cancer in Thailand. Treatment by surgery may be combined with chemotherapy or radiotherapy depending on the severity of the disease. Most surgeries are Abdominoperineal Resection with permanent colostomy. This is a major surgery which often leads to complications. It takes a long time for surgery and high risk of complications, such as injury to nearby organs or loss of a large amount of blood during surgery, so the surgical team and health team that take care of the patient requires specialized expertise for patient safety. The researcherhas chosen to study patients with advanced rectal cancer. The purpose is to provide guidelines for patient care. Using the nursing process pre-operation, peri-operation, and postoperation. Promoting good health for having permanent colostomy. Comparative study in two patients with advanced rectal cancer who have surgery in Yasothon Hospital. Gather patients’ information from medical records, observing, and visiting patients. Study period: October 2023 to March 2024. Results: The first patient: A Thai male patient, 67 years old, presented with the main symptom; He has bloody mucus in his stool, palpable polyps at the anus. It happened one month before coming to the hospital. The doctor diagnosed it as CA lower rectum and anal canal, invading prostate gland, and bladder. Surgery: Abdominoperineal Resection with Cystectomy with ileal conduit, estimated blood loss 1,500 ml, He got blood replacement during surgery and recovers well after surgery, the length of hospital stays 16 days. The second patient: A Thai female patient, 82 years old, presented with the main symptom; The rectal bleeding a few days before coming to the hospital. The patient had been diagnosed with rectal cancer two years ago and refused surgery. She got treatment by chemotherapy and radiation; all was done in 2022. The doctor diagnosed it as a recurrent CA rectum invading the vaginal wall. Surgery: Abdominoperineal Resection with Total Abdominal Hysterectomy with Bilateral Salpingo-oophorectomy with appendectomy, estimate blood loss 100 ml, there was mucus remaining in lungs on the first day after surgery. Consult a physical therapist for physical therapy. She recovers well after surgery, the length of hospital stays 7 days. Conclusion: Patients are safe from complicated and time consuming surgery. There is no injury to nearby organs and safety from blood loss during surgery. Operating room nurses play an important
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 3 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 role in preparing patients and getting equipment ready for surgery to keep patients safe from complications, reduce length of hospital stays and medical treatment costs. Keywords: Metastatic rectal cancer, Abdominoperineal Resection, Permanent colostomy บทนำ: โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในประเทศไทย จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พ.ศ.2565(1) อุบัติการณ์ของมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง เป็นอันดับที่ 1 ในเพศชาย และเป็นอันดับที่ 3 ในเพศหญิง ส่วนใหญ่อายุ มากกว่า 50 ปี มีอัตรารอดชีพ 1, 3 และ 5 ปี ร้อยละ 90.11, 77.40 และ 69.21 ตามลำดับ ปัจจุบันการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง เป็นแบบ multimodality treatment(2) ใช้วิธีการผ่าตัด ร่วมกับให้ยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัด Abdominoperineal Resection และเปิดทวารเทียมถาวร ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ต้องอาศัยความร่วมมือของทีม ผู้ดูแล ทั้งการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยก่อนผ่าตัดที่มีความวิตกกังวลสูง การเตรียมผ่าตัดภายในอุ้งเชิงกรานที่ ลักษณะทางกายวิภาคมีความลึกและแคบโดยเฉพาะในเพศชาย ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียงหรือการ สูญเสียเลือดจากการผ่าตัดที่ใช้เวลานาน จำเป็นต้องใช้ทีมที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในการช่วยผ่าตัด ในระยะหลัง ผ่าตัด ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลให้มีการพักฟื้นโดยเร็ว การส่งเสริมการดูแลตนเองจากการมีทวารเทียมถาวร โดย ประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในทุกระยะการผ่าตัด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนและ ได้รับการฟื้นฟูสภาพที่เหมาะสม สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติในโรงพยาบาลยโสธรมีผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงมารับการรักษา ในปี พ.ศ.2564-2566 ที่ผ่านมา จำนวนทั้งสิ้น 173, 161, 212 ราย(6) รับการรักษาโดยการ ผ่าตัดชนิด Abdominoperineal Resection และเปิดทวารเทียมถาวร จำนวน 5, 10, 6 ราย ตามลำดับ จากความสำคัญดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจศึกษาผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ตรงระยะลุกลาม ที่ได้รับการ ผ่าตัดชนิด Abdominoperineal Resection และเปิดทวารเทียมถาวร โดยเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย ที่มีความ เสี่ยงสูงและรุนแรงที่แตกต่างกัน ที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลยโสธร โดยนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการ พยาบาล(5) ทฤษฎีทางการพยาบาลของโอเร็ม(4) และการพยาบาลตามมาตรฐานการดูแล Surgical safety check list มาใช้ในการวางแผนการพยาบาลและปฏิบัติการพยาบาล วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการประยุกต์กระบวนการพยาบาลและพัฒนาคุณภาพในการดูแลผู้ป่วย ทั้งระยะก่อนผ่าตัด ระยะผ่าตัด และระยะหลังผ่าตัด วิธีดำเนินการศึกษา: 1. เลือกผู้ป่วย 2 ราย จากผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ตรงที่ลุกลามไปสู่อวัยวะข้างเคียง ที่รับการรักษาใน โรงพยาบาลยโสธร ในช่วงเดือน ตุลาคม 2566 ถึงเดือน มีนาคม 2567 2. รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย สังเกต สัมภาษณ์ผู้ป่วยและครอบครัว 3. ศึกษา ค้นคว้าข้อมูลการรักษาและการพยาบาลโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง 4. นำข้อมูลมาวิเคราะห์ วางแผนให้การพยาบาลผู้ป่วยตามปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย 5. ปฏิบัติการพยาบาลและประเมินผลผู้ป่วยกรณีศึกษาร่วมกับสหวิชาชีพ 6. สรุปกรณีศึกษา
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 4 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 พยาธิสรีระวิทยาของโรค: มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (Colorectal cancer) หมายถึง โรคที่เซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่มี การเปลี่ยนแปลง โดยมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ พบได้ตั้งแต่บริเวณ Caecum, Ascending colon, Transverse colon, Descending colon, Sigmoid colon ,Rectum และ Anus สามารถลุกลามไปผนัง ลำไส้ ต่อมน้ำเหลืองรอบข้าง แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ส่งผลให้การทำงานของอวัยวะเหล่านั้นผิดปกติ(3) สาเหตุ: ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แน่ชัด(7) แต่พบว่าการรับประทานอาหารที่ให้ พลังงาน ไขมัน และน้ำตาลสูง โรคอ้วน อาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังพบปัจจัยเสี่ยง อื่นๆ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่า 2 คนขึ้นไป เคยมีติ่งเนื้อใน ลำไส้ใหญ่ เคยเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง และการสูบบุหรี่ การรักษา: 1. การผ่าตัด (Surgery) การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ใช้การผ่าตัดเป็นหลัก(8) โดยการผ่าตัดมุ่งที่ จะตัดก้อนมะเร็งออกทั้งหมดพร้อมกับเนื้อเยื่อรอบ ๆ ก้อนมะเร็ง การตัดต้องตัดให้ห่างก้อนมะเร็งให้เพียงพอ โดยปกติ จะตัดห่างก้อนมะเร็ง 2 ซม. ในราย Poorly differentiated adenocarcinoma ต้องตัดห่างจากมะเร็ง 5 ซม. และ ต้องตัดอวัยวะรอบข้างออก รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองที่รองรับออกไปพร้อมกัน 1.1 มะเร็งของลำไส้ตรงส่วน Upper rectum (เกิน 10-15ซม. จากปากทวารหนัก) รักษาโดยทำผ่าตัด Anterior resection แต่ถ้าสภาพผู้ป่วยไม่ดีพออาจทำเป็น Hartmann's operation แทน 1.2 มะเร็งของลำไส้ตรงส่วน Middle rectum (5-10ซม. จากปากทวารหนัก) รักษาโดยทำผ่าตัด Low anterior resection 1.3 มะเร็งของลำไส้ตรงส่วน Lower rectum (0-5 ซม. จากปากทวารหนัก) รักษาโดยทำผ่าตัด Abdominoperineal resection (APR) มีการตัดกล้ามเนื้อหูรูดและผิวหนังรอบทวารหนักออกร่วมด้วย นำเอาลำไส้ ส่วน Sigmoid colon มาเปิดที่ผนังหน้าท้องให้เป็นทางออกของอุจจาระอย่างถาวร (Permanent colostomy) 2. การรักษาด้วยรังสีรักษา (Radiation therapy) เป็นการรักษาเสริมการผ่าตัด (adjuvant treatment) โดยอาจให้ก่อนการผ่าตัด (pre-operation Radiotherapy) เพื่อลดการเกิดโรคขึ้นใหม่ในอุ้งเชิงกราน หรือในกรณีที่ โรคเป็นมากจนไม่สามารถผ่าตัดหรือผ่าตัดแล้วไม่สามารถเลาะก้อนมะเร็งออกได้หมด (locally advance disease) 3. เคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นการรักษาเสริม (adjuvant) ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะที่ 2 หรือ 3 กลุ่มที่นิยมใช้ในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงที่มีประสิทธิภาพ คือ 5-FU ร่วมกับ leucovarin และในระยะ แพร่กระจายจะใช้ irinotecan, Oxalipatin, Cepecitabine (Meloda) และล่าสุดคือ bevacizumab (Avastin) ส่วน สูตรยาจะใช้สูตร FOLFOX4 เป็นเวลา 6 เดือน การพยาบาล: พยาบาลมีบทบาทสำคัญต่อผู้ป่วยทุกระยะผ่าตัด ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยมักจะมีความวิตกกังวลสูง มีการ เยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด 1 วัน ร่วมปรึกษาและวางแผนกับสหวิชาชีพในการรักษาและแจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ประเมินความ พร้อมด้านร่างกาย ในระยะผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมในกรณีฉุกเฉิน เช่นการบาดเจ็บต่อ อวัยวะข้างเคียงหรือการสูญเสียเลือดจำนวนมาก(9) เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ตลอดจนเฝ้าระวังการบาดเจ็บจากการจัด ท่า Lithotomy position(10) ในระยะหลังผ่าตัด ดูแลให้มีการพักฟื้นโดยเร็ว สอนและสาธิตการไอและการหายใจที่ถูก วิธี(11) ดูแลให้ได้รับยาฆ่าเชื้อและแก้ปวดตามแผนการรักษา ส่งเสริมการดูแลตนเองจากการมีทวารเทียมถาวร เพื่อให้ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติตลอดจนติดตามผู้ป่วยเมื่อกลับมาพบแพทย์ในช่วง 2-4 สัปดาห์ ภายหลังกลับบ้าน
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 5 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 กรณีศึกษา: กรณีศึกษารายที่ 1: ผู้ป่วยชายไทย อายุ 67 ปี สถานภาพสมรส HN 278365/AN 660035407 นับถือศาสนาพุทธ ภูมิลำเนา อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล ปวดก้น มีติ่งโผล่จากรูทวาร บางครั้งถ่าย เป็นมูกเลือด เป็นก่อนมาโรงพยาบาล 1 เดือน ผู้ป่วยมีประวัติปวดหน่วงก้น ถ่ายลำบาก มีเลือดปน มา 4-5 เดือน ไม่ได้รับการรักษา อาการมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ได้รับประทานยาประจำใด ๆ สมาชิกในครอบครัวไม่มี ประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง การประเมินสภาพร่างกายแรกรับ; Good consciousness, mild pale, no jaundice, BW 55 kg, Hight 170 cm, BMI 19.031, E4V5M6, HEENT normal, Mild guarding abdomen, อุณหภูมิ 36.6 °C, ชีพจร 116 ครั้ง/นาที, หายใจ 20 ครั้ง/นาที, BP 135/78 mmHg, O2 sat 96% ผลตรวจทาง พยาธิวิทยา: Malignant neoplasm of rectum ผล CT scan: CA rectum invasion anal canal surrounding fat stranding ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ; Hct 23%, Hb 6.7 gm%, WBC 13,400 cell, GFR 55.43, CEA 72.31 ng/mL, EKG มี sinus tachycardia, Chest X-ray normal การวินิจฉัย: CA lower rectum and anal canal, prostate and bladder invasion การผ่าตัด: Abdominoperineal Resection with Cystectomy with ileal conduit. กรณีศึกษารายที่ 2: ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 82 ปี สถานภาพสมรส HN 245921/AN 670006605 นับถือศาสนาพุทธ ภูมิลำเนา อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล 2-3 วันก่อนมา มีเลือดออกทางทวารหนัก ร่วมกับมีถ่ายเหลววันละ 5-6 ครั้ง ผู้ป่วยเคยตรวจพบมะเร็งลำไส้ตรง เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปฏิเสธการผ่าตัด ได้รับการรักษาโดยวิธีเคมีบำบัดและรังสีรักษา 25 แสง ครบเมื่อเดือนกันยายน 2565 เคยรับการ ผ่าตัดริดสีดวงทวาร ที่โรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ และผ่าตัดต่อมไทรอยด์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว สมาชิกในครอบครัวไม่มีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง การประเมินสภาพร่างกายแรกรับ; Good consciousness, mild pale, no jaundice, BW 53 kg, Hight 155 cm, BMI 22.06, E4V5M6, HEENT normal, Mild guarding abdomen, อุณหภูมิ 36.6 °C, ชีพจร 80 ครั้ง/นาที, หายใจ 20 ครั้ง/นาที, BP 130/70 mmHg, O2 sat 98% ผล CT scan: CA lower rectum invade vaginal wall ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจ พิเศษอื่นๆ; Hct 28%, Hb 8.5 gm%, WBC 6,200 cell, GFR 64.93, CEA = 10.30 ng/mL, EKG normal, Chest X-ray normal การวินิจฉัย: Recurrent CA rectum invade vaginal wall การผ่าตัด: Abdominoperineal Resection with Total Abdominal Hysterectomy with Bilateral Salpingo-oophorectomy with appendectomy การวินิจฉัยทางการพยาบาลและการปฏิบัติการพยาบาล ประเมินโดยใช้รูปแบบ Problem oriented record; ข้อมูลพื้นฐาน (Data base): การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด (Pre-operation) 1. วิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ตรง
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 6 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยบอกว่าไม่ รู้ว่าหลังผ่าตัดจะ เป็นอย่างไร S: ผู้ป่วยบอกว่า ตนนึกว่าฉายแสง แล้วจะหายขาด วัตถุประสงค์: เพื่อลดความวิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับ โรคมะเร็งลำไส้ตรง เกณฑ์การประเมินผล: สังเกตสีหน้า แววตา กริยาท่าทาง และการมี กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: สีหน้าวิตกกังวล O: สีหน้าวิตกกังวล ส่วนร่วมในการสนทนา การพยาบาล: 1.เยี่ยมผู้ป่วย 1 วันก่อนผ่าตัด เพื่อให้ข้อมูลและสร้างสัมพันธภาพกับ ผู้ป่วยและญาติ 2. อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับโรคอย่างคร่าว ๆ ว่าโรคนี้สามารถ เกิดขึ้นได้โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกี่ยวกับพฤติกรรมการขับถ่าย การรับประทานอาหารพวกเนื้อสัตว์หรือของหมักดอง เป็นต้น 3. โรคนี้สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด เมื่อผ่าตัดก้อนมะเร็งออกจะมี การส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อดูระยะของมะเร็ง หากมีการลุกลามไป ที่ต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง อาจมีการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดหรือรังสี รักษาร่วมด้วย 4. หากปล่อยให้มะเร็งลุกลามไม่ทำการรักษา อาจเกิดการอุดตันของ ลำไส้และมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง 5. เปิดโอกาสให้พูดคุยซักถาม การประเมินผล: ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวล ซักถามเกี่ยวกับโรคและ การปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน พูดคุยด้วยท่าทีเป็นกันเองมากขึ้น 2. วิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดและการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัด
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 7 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยบอกว่า ค่อนข้างกลัวการ ผ่าตัดและเป็นห่วง ครอบครัว O: ผู้ป่วยเป็น หัวหน้าครอบครัว และไม่เคยเจ็บป่วย หรือรับการผ่าตัด S: ผู้ป่วยบอกว่าไม่ ค่อยอยากรับการ ผ่าตัดถ้ามีทางเลือก อื่น O: ผู้ป่วยเคย ปฏิเสธการรักษา โดยการผ่าตัด วัตถุประสงค์: เพื่อลดความวิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับการ ผ่าตัดและการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัด เกณฑ์การประเมินผล: สังเกตกริยาท่าทาง การพูดคุยสนทนาและ ตอบข้อซักถาม การพยาบาล: 1. มีส่วนร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เพื่อประเมินความพร้อมของการเตรียม ผ่าตัดและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่า แพทย์จะประเมินด้านแนวทางการ ผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดจะดูแลในส่วนเครื่องมือผ่าตัดให้พร้อม วิสัญญีพยาบาลจะประเมินเรื่องความปลอดภัยในการดมยาสลบ ส่วน พยาบาลที่หอผู้ป่วยจะเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดและดูแลหลังผ่าตัด อย่างใกล้ชิดใน 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด 2. อธิบายขั้นตอนการเตรียมผ่าตัด การตรวจพิเศษต่างๆ การให้สารน้ำ ทางหลอดเลือดดำ การให้ยาปฏิชีวนะ การใส่สายยางทางจมูก การ เตรียมลำไส้ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล 3. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัด แผนการรักษา การดำเนินชีวิต ประจำวันหลังผ่าตัด 4. แนะนำการเตรียมความสะอาดร่างกาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลัง ผ่าตัด 5. แนะนำการเตรียมพร้อมสำหรับดมยาสลบ งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยง คืน ถอดฟันปลอม เครื่องประดับ 6. หลังผ่าตัดอาจมีท่อระบายจากแผลผ่าตัด จะมีแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง และที่ก้น และมีทวารเทียมที่หน้าท้องด้านซ้าย 7. ดูแลให้ได้รับยา Swiff เพื่อเตรียมลำไส้ก่อนผ่าตัดและอธิบายให้ เข้าใจถึงความสำคัญว่ามีผลต่อการเฝ้าระวังการติดเชื้อหลังผ่าตัดและ สอบถามผู้ป่วยว่าได้ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์หรือไม่ 8. แนะนำการเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง การไอ และการหายใจที่ถูกวิธีเพื่อลดอาการปวดแผล 9. หลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน สามารถทานอาหารอ่อน กาก ละเอียดและทานอาหารให้ตรงเวลา เพื่อควบคุมการขับถ่ายทางทวาร เทียม 10. เปิดโอกาสให้ซักถาม
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 8 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 การประเมินผล: ผู้ป่วยมีความเข้าใจโรคและแนวทางการรักษา ยอมรับภาพลักษณ์หลังการผ่าตัดให้ความร่วมมือในการเตรียมตัวก่อน ผ่าตัด ได้รับ Swiff ตามแผนการรักษา พูดคุยบอกว่าไม่ค่อยกลัวการ ผ่าตัด มั่นใจในทีมแพทย์ที่ให้การรักษา 3. เสี่ยงต่อการงด-เลื่อนผ่าตัดจากการเตรียมผู้ป่วยไม่พร้อมด้านร่างกายเนื่องจากภาวะซีด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยบอกว่าช่วง นี้ค่อนข้างเหนื่อยง่าย O: ตรวจร่างกาย มี Mild pale, Hct 23% ให้PRC 2 units เวรบ่ายหลังให้ เลือด Hct 26% แพทย์สั่งให้ PRC S: ผู้ป่วยบอกว่า เหนื่อยอ่อนเพลีย O: ตรวจร่างกาย มี Mild pale, Hct 28% ให้PRC 1 unit วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดตามกำหนด เกณฑ์การประเมินผล: ผู้ป่วยมีความพร้อมก่อนผ่าตัด ระดับความ เข้มข้นของเม็ดเลือดแดง >30% การพยาบาล: 1. ประเมินอาการหายใจหอบเหนื่อย ปลายมือ ปลายเท้าเขียว 2. ดูแลให้ได้รับการพักผ่อน เพื่อลดการใช้ O2 3. ให้ PRC เพื่อ keep Hct > 30% ตามแผนการรักษาของแพทย์ 4. ติดตามผล Hct หลังให้ PRC รายงานผลให้แพทย์ทราบ 5. วัด vital sign, O2 sat q 4 hr กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล อีก 1 unit เช้าวัน ผ่าตัด มีผื่นขึ้นขณะ ให้เลือด ให้ CPM 1 amp IV 6. จอง PRC และ FFP ตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ 7. หลังผ่าตัดเมื่อกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ให้รับประทานอาหารเพื่อ เสริมการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ นม ไข่ เลือด เครื่องใน ไก่ ปลา กุ้ง หอย ผักใบเขียว และธัญพืช รวมถึงผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น 8. แนะนำมาพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่องหลังผ่าตัด การประเมินผล : รายที่ 1 ผล Hct 29% แพทย์และวิสัญญีแพทย์พิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถผ่าตัดได้ รายที่ 2 ผล Hct 35% มีความพร้อมด้านร่างกายสำหรับผ่าตัด การพยาบาลในขณะรอผ่าตัด (Immediate pre-operation) 1. เสี่ยงต่อการผ่าตัดผิดคน ผิดหัตถการ (ตามมาตรฐาน Surgical safety check list) กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยยืนยัน ชื่อ นามสกุล การผ่าตัด มะเร็งลำไส้ตรงและ S: ผู้ป่วยยืนยัน ชื่อ นามสกุล การผ่าตัด มะเร็งลำไส้ตรง วัตถุประสงค์: เพื่อป้องกันการผ่าตัดผิดคน ผิดหัตถการ เกณฑ์การประเมินผล: การ Identify ครบทุกขั้นตอน ผ่าตัดถูกคน ถูกหัตถการ การพยาบาล:
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 9 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 และแพทย์ที่ทำการ ผ่าตัด O: อาจมีผู้ป่วยที่มี ชื่อ นามสกุล เหมือนกัน และ มีผู้ป่วยที่รอผ่าตัด มากกว่า 1 คน และแพทย์ที่ทำการ ผ่าตัด O: อาจมีผู้ป่วยที่มี ชื่อ นามสกุล เหมือนกัน และ มีผู้ป่วยที่รอผ่าตัด มากกว่า 1 คน 1. ทักทายและตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วย ที่ห้องรอผ่าตัด 2. Identify ตามหลัก surgical safety check list โดยถามตัวผู้ป่วย ตรวจสอบกับป้ายข้อมือ ตรวจสอบกับแฟ้มประวัติผู้ป่วย และจากใบ รับ Set ผ่าตัด 3. ติดป้ายเบอร์ห้องผ่าตัด แพทย์ วิธีการดมยาสลบ 4. ตรวจสอบซ้ำก่อนนำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด การประเมินผล: ผู้ป่วยได้รับการ Identify ครบถ้วน ผู้ป่วยปลอดภัย การผ่าตัดถูกคน ถูกหัตถการ 2. เสี่ยงต่อการการงดหรือเลื่อนผ่าตัดเนื่องจากการเตรียมผู้ป่วยไม่พร้อม กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยบอกว่า ได้รับการเตรียม ลำไส้โดยวิธีให้ยา ระบาย เมื่อคืนนี้ นอนหลับพักผ่อนได้ S: ผู้ป่วยบอกว่า ได้รับการเตรียม ลำไส้โดยวิธีให้ยา ระบาย เมื่อคืนนี้ นอนหลับพักผ่อนได้ วัตถุประสงค์: เพื่อให้มีการเตรียมความพร้อมผู้ป่วยอย่างครบถ้วนตาม แผนการรักษา เกณฑ์การประเมินผล: มีการเตรียมลำไส้ที่ถูกต้อง มีการตรวจสอบผล การตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจพิเศษอื่น ๆ รายงานแพทย์ หากมีผลผิดปกติ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: ผู้ป่วยได้รับ Swiff ตามแผนการ รักษา, ได้รับการ ประเมิน vital sign ก่อนส่งผู้ป่วยมา ห้องผ่าตัด, มีการส่ง ตรวจเลือดทางเคมี ตรวจ EKG, X-ray ก่อนผ่าตัด O: ผู้ป่วยได้รับ Swiff ตามแผนการ รักษา, ได้รับการ ประเมิน vital sign ก่อนส่งผู้ป่วยมา ห้องผ่าตัด, มีการส่ง ตรวจเลือดทางเคมี ตรวจ EKG, X-ray ก่อนผ่าตัด การพยาบาล: 1. พูดคุยทักทายและประเมินความวิตกกังวลของผู้ป่วยขณะอยู่ห้องรอ ผ่าตัด 2. ตรวจสอบผลการตรวจพิเศษหรือผลตรวจทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ว่าผลอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ 3. ดูค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงหลังได้รับการให้เลือดก่อนผ่าตัด ว่าอยู่ในเกณฑ์หรือไม่ 4. ตรวจสอบ vital sign ขณะมาถึงห้องรอผ่าตัด 5. ตรวจสอบคำสั่งการเตรียมลำไส้และสอบถามผู้ป่วยว่าได้ปฏิบัติตาม แผนการรักษาของแพทย์หรือไม่ 6. ตรวจสอบอุปกรณ์หรือยาที่เตรียมมาพร้อมผู้ป่วย การประเมินผล: ผู้ป่วย มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการ ตรวจพิเศษอื่น ๆ อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถผ่าตัดได้การเตรียมลำไส้ถูกวิธี มีความพร้อมและได้รับการผ่าตัดตามแผน การพยาบาลระยะผ่าตัด (Intra-operation) 1. เสี่ยงต่อการผ่าตัดผิดคน ผิดแพทย์ ผิดหัตถการ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 10 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยยืนยัน ชื่อ นามสกุล และ แพทย์ที่ทำการ ผ่าตัด O: ปฏิบัติตาม surgical safety check list S: ผู้ป่วยยืนยัน ชื่อ นามสกุล และ แพทย์ที่ทำการ ผ่าตัด O: ปฏิบัติตาม surgical safety check list วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย มีการปฏิบัติตามมาตรฐาน Surgical safety check list อย่างเข้มงวด เกณฑ์การประเมินผล: มีการ Sign in, Time out และ Sign out ครบถ้วน การพยาบาล: ก่อนที่จะเริ่มให้การระงับความรู้สึก (sign in) ทีมผ่าตัดทำร่วมกัน ประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ 1. การยืนยันความถูกต้องของชื่อ-นามสกุลผู้ป่วย ตำแหน่งชนิดของ การผ่าตัด และใบยินยอมผ่าตัด 2. ตรวจสอบความครบถ้วนของอุปกรณ์และยา 3. การตรวจสอบว่ามี pulse oximeter ติดให้ผู้ป่วย 4. ตรวจสอบประวัติการแพ้ยา 5. การตรวจสอบประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจลำบาก 6. การตรวจสอบการมีโอกาสเสียเลือดมากกว่า 500 ml และ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล 7. ทำ Time out ก่อนลงมีดผ่าตัด โดยแพทย์แจ้งชื่อผู้ป่วย โรคและ แผนการผ่าตัด ประมาณการสูญเสียเลือด ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ประเมินเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด วิสัญญีพยาบาลแจ้งความเสี่ยงในการ ดมยาสลบ พยาบาลห้องผ่าตัดแจ้งความพร้อมของเครื่องมือผ่าตัด การประเมินผล: ผู้ป่วยปลอดภัย ได้รับการดูแลตามกระบวนการ surgical safety check list ครบถ้วน 2. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการจัดท่า Lithotomy เช่น Hip dislocation, กล้ามเนื้อล้า, foot drop กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: ผู้ป่วยค่อนข้าง ผอม BMI 19.031, ใช้เวลาในการ ผ่าตัด 5 ชั่วโมง 10 นาทีมีการกดทับ บริเวณข้อพับจาก การจัดท่า Lithotomy O: ใช้เวลาในการ ผ่าตัด 2 ชั่วโมง 35 นาทีมีการกดทับ บริเวณข้อพับจาก การจัดท่า Lithotomy วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนของการจัด ท่า Lithotomy เกณฑ์การประเมินผล: ไม่มีHip dislocation, กล้ามเนื้อล้า, wrist drop หรือ foot drop หลังผ่าตัด การพยาบาล: 1. ประเมินสภาพผิวหนัง ปุ่มกระดูก กล้ามเนื้อ พิกัดการเคลื่อนไหว (Range of motion)
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 11 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 2. จัดท่า Lithotomy position - เลื่อนผู้ป่วยมาด้านปลายเตียง ใช้เจลจัดท่าวางบนขาหยั่ง - วางที่รองขาทั้งสองข้างให้สูงพอดีข้อเข่า - ยกขาขึ้นขาหยั่งช้า ๆ และพร้อมกันทั้งสองข้าง - รัดขาให้ติดกับที่รองขาทั้งสองข้าง - ให้ข้อสะโพกผายออกเพียงเล็กน้อย ใช้เจลจัดท่ารองเพื่อป้องกันการ กดทับบนขาหยั่งโดยตรงของ Obturator nerve, Saphenous nerve, femoral nerve และ Common peroneal nerve, sciatic nerve เป็นต้น - วางมือไว้บนที่รองแขนระดับเสมอที่นอน และกางแขนมุมไม่เกิน 90° และผูกรัดแขนทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของ brachial plexus - ใช้เจลจัดท่าหรือผ้าม้วน หนุนใต้สะโพกเพื่อยกก้นผู้ป่วยให้ลอยขึ้น จากระดับของพื้นเตียงผ่าตัด การประเมินผล: ไม่มีอาการชาหรืออ่อนแรงของแขนและขา, ไม่มี wrist drop หรือ foot drop จาก nerve ถูกกด 3. เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการสูญเสียเลือดที่สามารถป้องกันได้ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: มีการผูกตัด inferior rectal artery, superior และ inferior vesical artery, dorsal vein complex O: มีการผูกตัด inferior rectal artery, uterine artery, ovarian artery, round ligament, uterosacral ligament, วัตถุประสงค์: เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังอันตรายจากการสูญเสียเลือด ขณะผ่าตัด เช่นภาวะช็อค เกณฑ์การประเมินผล: ไม่เกิดภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือด การพยาบาล: 1. เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ห้ามเลือดให้พร้อมใช้งาน 2. คำนวณการเสียเลือดจากผ้าซับโลหิต, ขวด suction 3. หากเปลี่ยนแผนการผ่าตัด สามารถเตรียมเครื่องมือได้ทัน 4. ประเมินสัญญาณชีพ ความรุนแรงของการเสียเลือด ประเมิน ภาวะช็อคตลอดการผ่าตัด การประเมินผล: รายที่ 1 ใช้เวลาผ่าตัด 5 ชั่วโมง 10 นาทีestimate blood loss 1,500 ml, ได้รับ PRC 3 units, FFP 4 units, ไม่มี ภาวะช็อค
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 12 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 รายที่ 2 ใช้เวลาผ่าตัด 2 ชั่วโมง 35 นาทีestimate blood loss 100 ml, ไม่ได้รับ PRC หรือ FFP ขณะผ่าตัด, ไม่มีภาวะช็อค 4. เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของอวัยวะใกล้เคียง กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: ลำไส้ตรงอยู่ใน อุ้งเชิงกรานซึ่งใน เพศชายจะแคบ และมีการลุกลาม ของมะเร็งไปยัง bladder O: ลำไส้ตรงอยู่ใน อุ้งเชิงกราน มีการ ลุกลามไปยัง vaginal wall วัตถุประสงค์: ผู้ป่วยปลอดภัยไม่มีการบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียง เกณฑ์การประเมินผล: ไม่มีการบาดเจ็บของอวัยวะใกล้เคียงเช่น ureter หรือ sigmoid mesenteric การพยาบาล: 1. เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ผ่าตัดให้พร้อมใช้งาน 2. มีการเฝ้าระวังร่วมกันของทีมตลอดการทำผ่าตัด ทบทวนและเสนอ ความเห็นร่วมกันในการตัดเลาะในส่วนลึกหรือใกล้อวัยวะหรือเส้น เลือดที่สำคัญ 3. เตรียมอุปกรณ์ เช่นเครื่อง Suction เพิ่มเติมในส่วนที่เสี่ยงต่อการ เสียเลือดมาก 4.เตรียมเครื่องมือที่มีความยาวพิเศษ ในการเลาะเนื้อเยื่อส่วนลึก การประเมินผล: กรณี ที่ 1 ไม่มีการบาดเจ็บต่อ sigmoid mesenteric หรืออวัยวะอื่น ๆ กรณีที่ 2 ไม่มีการบาดเจ็บต่อ ureter หรืออวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเคียง 5. เสี่ยงต่อการติดเชื้อในร่างกายผู้ป่วยจากกระบวนการผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: มีการผ่าตัด ภายในช่องท้อง หลายอวัยวะ ร่วมกับผ่าตัด บริเวณก้น มีการใช้ เครื่องมือเป็น จำนวนมาก ประเภทแผล contaminate wound, ไม่มีการ ละเมิด sterile technique O: มีการผ่าตัด ภายในช่องท้อง หลายอวัยวะ ร่วมกับผ่าตัด บริเวณก้น มีการใช้ เครื่องมือเป็น จำนวนมาก ประเภทแผล contaminate wound, ไม่มีการ ละเมิด sterile technique วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการติดเชื้อในร่างกาย เกณฑ์การประเมินผล: ความผิดปกติของแผลผ่าตัด เช่น ปวด บวม แดง ร้อนหรือมีdischarge ที่ผิดปกติ การมีไข้หลังผ่าตัด การพยาบาล: 1. ควบคุมการทำความสะอาดห้องผ่าตัดก่อนและหลังผ่าตัด 2. การได้รับยา Prophylaxis antibiotic ตามมาตรฐาน 3. Surgical hand washing ให้ถูกต้อง สวมเสื้อกาวน์และถุงมือ โดย ยึดหลัก aseptic technique อย่างเคร่งครัด 4. แยกเครื่องมือผ่าตัดในส่วน Perineal resection และเครื่องมือที่ใช้ ในการผ่าตัดส่วนของช่องท้องไม่ปะปนกัน 5. เตรียมเครื่องมือให้พร้อมใช้งาน ช่วยลดระยะเวลาในการผ่าตัดให้ สั้นลง
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 13 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 6. เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น ดูแลความสะอาดปลาย stoma วาง Colostomy bag ครอบ stoma ให้เป็นระบบปิด ใช้ Colostomy bag ชนิดปลายปิด การประเมินผล: หลังผ่าตัด แผลผ่าตัดไม่มีอาการ ปวด บวมแดง ร้อน หรือมี discharge ที่ผิดปกติ ไม่มีไข้ 6. เสี่ยงต่อการตกค้างของอุปกรณ์เครื่องมือในร่างกายผู้ป่วย กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: มีการใช้ เครื่องมือหลาย ชนิดและเป็น จำนวนมาก มีการ pack ผ้าซับโลหิต ภายในช่องท้อง มี การผ่าตัดทั้งในข่อง ท้องและก้น โดย แพทย์ 2 ท่าน และ แยกชุดเครื่องมือ ผ่าตัด O: มีการใช้ เครื่องมือหลายชนิด และเป็นจำนวน มาก มีการ pack ผ้าซับโลหิตภายใน ช่องท้อง มีการ ผ่าตัดทั้งในข่องท้อง และก้น และแยก ชุดเครื่องมือผ่าตัด ก่อนปิดแผลผ่าตัด วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการมีสิ่งตกค้างในร่างกาย เกณฑ์การประเมินผล: ก่อนปิดแผลผ่าตัด มีการตรวจนับเครื่องมือ อุปกรณ์ครบถ้วน การพยาบาล: 1. ตรวจนับเครื่องมือ อุปกรณ์ ผ้าซับโลหิต ของมีคม แจ้งให้ circulate ทราบและบันทึกบนกระดานประจำห้อง 2. ตรวจสอบเครื่องมือว่าสมบูรณ์หรือชำรุดหรือไม่ 3. กรณีมีการใช้ผ้าซับโลหิต pack ในแผลขณะผ่าตัด ให้ บันทึก ชนิด จำนวน และเวลาทั้งขณะ pack และ off 4. กรณีมีการเปิดผ้าซับโลหิตหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม แจ้ง circulate บันทึกบนกระดาน 5. ก่อนเย็บปิดแผลผ่าตัด ตรวจนับผ้าซับโลหิตและอุปกรณ์ ร่วมกับ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล circulate และขานแจ้งพร้อมลงบันทึก 6. Sign out ก่อนปิดแผลผ่าตัด 7. ตรวจนับนับผ้าซับโลหิตและอุปกรณ์ ร่วมกับ circulate อีกครั้ง ก่อนนำเครื่องมือส่งล้าง การประเมินผล: ตรวจนับเครื่องมือและอุปกรณ์ครบถ้วนก่อนปิดแผล การพยาบาลระยะหลังผ่าตัดทันที (Immediate post-op) 1. เสี่ยงต่อการส่งตรวจชิ้นเนื้อไม่ถูกต้องตามอวัยวะ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 14 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 O: ส่งตรวจทาง พยาธิวิทยา 2 specimens 1. Anorectosigmoid colon 2. Bladder O: ส่งตรวจทาง พยาธิวิทยา 2 specimens 1. Rectum 2. Uterus with both adnexas วัตถุประสงค์: เพื่อให้ส่งชิ้นเนื้อตรวจได้ถูกต้อง ครบถ้วน เกณฑ์การประเมินผล: อวัยวะที่ตัดออก ได้รับการยืนยันร่วมกันกับ แพทย์และบันทึกอย่างถูกต้องและมีการตรวจสอบซ้ำ ก่อนนำชิ้นเนื้อ ไปแช่น้ำยาหรือส่งต่อแผนกพยาธิวิทยา การพยาบาล: 1. ทำการ sign out ร่วมกันกับแพทย์ เกี่ยวกับ ชนิดของชิ้นเนื้อ จำนวน และประเภทของการส่งตรวจ 2. เขียนรายละเอียดในใบ request ชิ้นเนื้อ ให้ถูกต้อง 3. บันทึกรายละเอียดการส่งชิ้นเนื้อ ในใบบันทึกการพยาบาลระยะ ผ่าตัด 4. ส่งต่อชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ, แช่น้ำยา 10% formaline ใช้น้ำยา ปริมาณ 10 เท่าของชิ้นเนื้อ และแล่ชิ้นเนื้อให้หนาไม่เกิน 2 ซม.เพื่อให้ น้ำยาสามารถซึมเข้าได้อย่างทั่วถึง การประเมินผล: ส่งตรวจและ Identify ชิ้นเนื้อถูกต้องและครบถ้วน 2. เสี่ยงต่อภาวะ hypovolemic shock หลังผ่าตัด เนื่องจากการสูญเสียเลือด O: สูญเสียเลือด ขณะผ่าตัด 1,500 ml, Hct อยู่ในช่วง 23-28% ขณะ ผ่าตัด O: ไม่มีภาวะเสี่ยง ต่อภาวะช็อคจาก การ สูญเสียเลือด ขณะผ่าตัด (EBL100 ml) วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่มีภาวะช็อกจากการเสียเลือด เกณฑ์การประเมินผล: อาการแสดงภาวะช็อค เช่น ชีพจรเร็วขึ้น, หายใจเร็ว > 24 ครั้ง/นาที, mean arterial pressure ลดลงจากเดิม ประมาณ 10 -15 mmHg, ระดับความรู้สึกตัวลดลง, ปัสสาวะออก < 1 ml/กก./ชั่วโมง การพยาบาล: 1. ประเมินสัญญาณชีพหลังผ่าตัด 2. ประเมินลักษณะแผลผ่าตัด สังเกตสีและปริมาณเลือดจากท่อระบาย 3. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล 4. ร่วมกับแพทย์และทีมวิสัญญีพยาบาล ประเมินสัญญานชีพและการ สูญเสียเลือด พร้อมให้ PRC 3 units, FFP 4 units ทดแทนขณะผ่าตัด การประเมินผล: กรณีที่ 1 ไม่มีภาวะช็อก กรณีที่ 2 ไม่มีภาวะเสี่ยง การพยาบาลระยะหลังผ่าตัด (Post-operation) 1. ไม่สุขสบายจากการปวดแผลผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยแจ้งว่า ปวดแผลผ่าตัด S: ผู้ป่วยแจ้งว่า ปวดแผลผ่าตัด วัตถุประสงค์: เพื่อลดความไม่สุขสบายจากการปวดแผลผ่าตัด เกณฑ์การประเมินผล: Numeric Rating Scale (NRS) < 5
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 15 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 O: Numeric Rating Scale (NRS) = 9, แพทย์ ให้MO 5mg, Dynastat 40 mg IV O: Numeric Rating Scale (NRS) = 5, แพทย์ ให้Fentanyl 10: 1 = 5 mcg/hr การพยาบาล: 1. เยี่ยมผู้ป่วย ครั้งที่ 1 หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง 2. ประเมินความปวดแบบ Numeric Rating Scale 3. จัดท่านอนศีรษะสูง ใช้หมอนรองใต้เข่าให้เข่างอเล็กน้อยเพื่อลด อาการตึงหน้าท้องและแผลผ่าตัด 4. ดูแลให้ได้รับยาแก้ปวด ตามแผนการรักษาของแพทย์ประมินความ ปวดซ้ำ หลังได้รับยา 30 นาที 5. สอน แนะนำ สาธิต ให้ผู้ป่วยประคองหรือกดแผลผ่าตัดขณะไอ จาม เพื่อหลีกเลี่ยงการกระเทือนแผลโดยตรง 6. ดูแลให้ผู้ป่วยสุขสบาย ทำกิจวัตรตามความเหมาะสม 7. ดูแลสายท่อระบายต่าง ๆ ไม่ให้ดึงรั้ง การประเมินผล: กรณีที่ 1 ประเมินหลังให้ยา 30 นาที NSR = 3 กรณีที่ 2 ประเมินหลังให้ยา 30 นาที NSR = 2 2. เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระยะ 24-48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: หายใจหอบ เหนื่อย, on O2 canular 4L/min, มีไข้ 38.30C O: On ET tube post-op ICU, off ET tube ภายใน 24 ชม, O2 mask with bag 10 L/min, both lung มี crepitation consult PT O2 sat 96% วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนจากการ ผ่าตัดหรือดมยาสลบ ในระยะ 24-48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด เกณฑ์การประเมินผล: ชีพจร < 80 ครั้ง/นาที, หายใจ < 24 ครั้ง/ นาที, BP > 90/60 mmHg, O2 sat > 95% ระดับความรู้สึกตัวดี การพยาบาล: 1. ประเมินสัญญาณชีพ ตาม Routine post op care ผิวหนัง เป็นต้น 2. ประเมินระดับความรู้สึกตัว การเคลื่อนไหวของแขนขา reflex ต่าง ๆ ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ 3. ดูแลให้ได้รับ Oxygen ตามแผนการรักษา กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล 4. ดูแลให้ได้รับสารน้ำตามแผนการรักษา 5. ประเมินแผลผ่าตัด สังเกต Sign of bleeding 6. ประเมินการ Record I/O ทุก 8 ชั่วโมง 7. สอนการหายใจและไอที่ถูกวิธี สอนการกระดกปลายเท้า ป้องกัน DVT 8. ส่ง consult กายภาพ ตามแผนการรักษา การประเมินผล: กรณีที่ 1 อาการเหนื่อยหอบลดลงหลังได้รับ O2 canular, O2 sat 98% ไม่มีไข้กรณีที่ 2 ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 16 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 3. เกิดภาวะเสียสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: - Magnesium 1.5 mg/dL (1.6- 2.6) - Calcium 7.6 mg/dL (8.4-10.4) O: ไม่มีการเสีย สมดุลของอิเล็กโทร ไลต์ วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ เกณฑ์การประเมินผล: ประเมินตามค่าปกติของห้องปฏิบัติการ เฝ้า ระวังระดับ Magnesium 1.6-2.6 mg/dL, Calcium 8.4-10.4 mg/dL การพยาบาล: 1. ดูแลให้ได้รับสารน้ำตามแผนการรักษา 2. ดูแลให้ได้รับ Magnesium 4 ml และ Calcium 2 amp ตาม แผนการรักษา และเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงอิเล็กโทรไลต์อื่น ๆ เช่น - ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สับสน อ่อนเพลีย มีตะคริวที่ท้อง - ภาวะโปแทสเซียมในเลือดต่ำอาจมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชีพจรเต้นไม่ สม่ำเสมอ คลื่นไส้อาเจียน ซึมลง ลำไส้มีการเคลื่อนไหวลดลง เป็นต้น 3. ตรวจสอบสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง 4. ดูแลให้ได้รับสารน้ำและสารอาหารตามแผนการรักษา 5. ประเมิน urine output ทุก 1-2 ชั่วโมง การประเมินผล: กรณีที่ 1 Repeat lab; Magnesium 2.1 mg/dL, Calcium 8.6 mg/dL กรณีที่ 2 ไม่มีความเสี่ยง 4. เกิดภาวะ hyperglycemia เนื่องจากการทำงานผิดปกติของระบบในร่างกายหลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: ไม่เกิดภาวะ hyperglycemia S: ผู้ป่วยมีอาการ มึนงง O: DTX 276 mg% วัตถุประสงค์: เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากน้ำตาลในเลือดสูง เกณฑ์การประเมินผล: ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วง 80-200 mg% โดยวัดทุก 6 ชั่วโมง ตามแผนการรักษาของแพทย์ กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล แพทย์ให้ continue DTX q 6 hr การพยาบาล: 1. ติดตามการให้RI 6 units ตามแผนการรักษา 2. ติดตามการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดซ้ำ หลังให้RI 30 นาที 3. เจาะ DTX q 6 hr, keep DTX 80-200 mg% 4. ประเมินและสังเกตอาการผู้ป่วยที่อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เช่นอ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว ซึ่งอาจสังเกตได้ไม่ชัดเจนในผู้ป่วยหลัง ผ่าตัด
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 17 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 การประเมินผล: กรณีที่ 1 ไม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง กรณีที่ 2 ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ในช่วง 146-198 mg% 5. เสี่ยงต่อการเกิด stomal necrosis หลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: มี colostomy ที่หน้าท้องด้านซ้าย และ conduit stoma ที่หน้าท้อง ด้านขวา O: มี colostomy ที่หน้าท้องด้านซ้าย วัตถุประสงค์: ไม่เกิดภาวะ stomal necrosis เกณฑ์การประเมินผล: stoma มีลักษณะผิวนุ่ม สีชมพู ไม่มีเลือดออก การพยาบาล: 1. สังเกตความผิดปกติของ stoma เช่นมีสีคล้ำ มีเลือดออกหรือหดรั้ง 2. ประเมินความสมบูรณ์ของ stoma และผิวหนังโดยรอบ 3. ประเมินและบันทึกลักษณะของสิ่งขับถ่ายที่ออกจาก stoma 4. ประเมินและบันทึกการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การประเมินผล: stoma สีแดงออกชมพูไม่มีภาวะ necrosis 6. เสี่ยงต่อการติดเชื้อตำแหน่งแผลผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล O: นอกจากแผลที่ mid line แล้ว ยัง มีแผลบริเวณ Perineal area และ stoma ที่ หน้าท้อง ทั้ง 2 ข้าง O: นอกจากแผลที่ mid line แล้ว ยังมี แผลบริเวณ Perineal area และ stoma ที่หน้า ท้องด้านซ้าย วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยการติดเชื้อตำแหน่งแผลผ่าตัด เกณฑ์การประเมินผล: แผลแห้ง สะอาด ไม่มีอาการปวด บวม แดง ร้อน หรือ discharge ที่ผิดปกติจากท่อระบายต่างๆ การพยาบาล: 1. ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง 2. ประเมินอาการปวด บวม แดง ร้อน ของแผลผ่าตัด, discharge จากท่อระบายต่าง ๆ การซึมของแผล เป็นต้น 3. ติดตามการให้ยา Antibiotic ตามแผนการรักษา 4. ส่งเสริมการหายของแผล โดยดูแลให้น้ำและ สารอาหารอย่าง เพียงพอ การประเมินผล: กรณีที่ 1 แผลไม่มีอาการผิดปกติ, Jackson drain กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล ช่องท้อง content 250 ml, แผลที่ก้น content 275 ml กรณีที่ 2 แผลไม่มีอาการผิดปกติ, Jackson drain ช่องท้อง content 120 ml, แผลที่ก้น content 10 ml 7. เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารหลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยบอกว่ามี อาการอ่อนเพลีย S: ผู้ป่วยบอกว่ามี อาการอ่อนเพลีย วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 18 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 O: step diet ภายหลังผ่าตัด เริ่ม liquid diet วันที่ 4 หลังผ่าตัด แต่ มีอาการปวด แน่น ท้อง ในวันที่ 13 เมื่อเริ่ม regular diet ได้กระตุ้นให้ ambulation และ รับประทานอาหาร อ่อน ย่อยง่าย O: step diet ภายหลังผ่าตัด เริ่ม liquid diet วันที่ 3 และ soft diet วันที่ 5 หลังผ่าตัด เกณฑ์การประเมินผล: ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ตาม step diet ไม่มีอาการท้องอืด การพยาบาล: 1. อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ เมื่อแพทย์ให้เริ่มรับประทาน โดยเริ่มจาก จิบ น้ำ > เหลวใส > อาหารอ่อน ตามลำดับ 2. ก่อนทานอาหาร ควรทำความสะอาดช่องปากและฟัน 3. หลังทานอาหาร ให้ Ambulate เพื่อป้องกันท้องอืด 4. ประเมินการทำงานของทางเดินอาหาร การผายลม ประเมินจากถุง Colostomy โป่ง อาการปวดแน่นท้อง การประเมินผล: กรณีที่ 1 มีอาการปวด แน่นท้อง ท้องอืด หลังจาก รับประทาน regular diet ในวันที่ 13 หลังผ่าตัด หลังจากกระตุ้นให้ ambulation และรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย อาการดีขึ้น กรณีที่ 2 สามารถ รับประทานอาหารได้ ท้องไม่อืด 8. เสี่ยงต่อภาวะการเห็นคุณค่าตนเองลดลง (Low self esteem) กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: บอกว่ากังวล เรื่องทวารเทียม O: ภาพลักษณ์ เปลี่ยนแปลง ภายหลังการทำ ผ่าตัดเปิดทวาร เทียมถาวร S: บอกว่ากังวล เรื่องทวารเทียม O: ภาพลักษณ์ เปลี่ยนแปลง ภายหลังการทำ ผ่าตัดเปิดทวาร เทียมถาวร วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจในภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลง หลังผ่าตัด เกณฑ์การประเมินผล: ผู้ป่วยและญาติเข้าใจและยอมรับในการมี ทวารเทียมถาวร การพยาบาล: 1. ประเมินทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อทวารเทียม พร้อมให้ข้อมูลที่ช่วย สนับสนุนสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ป่วย 2. ทบทวนให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลเข้าใจถึงสภาวะของโรค 3. แนะนำให้ผู้ป่วยรู้จักกับทวารเทียมของตนเองมากขึ้น โดยกระตุ้นให้ เริ่มมองและสัมผัสด้วยมือ 4. สนับสนุนให้มีส่วนร่วมในการดูแลทวารเทียม กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล 5. สังเกตการแสดงออกของคู่สมรสต่อผู้ป่วย ให้กำลังใจ 6. ให้ผู้ป่วยได้พูดคุยกับผู้มีทวารเทียม เปิดโอกาสให้ซักถาม การประเมินผล: ผู้ป่วยและญาติยอมรับการมีทวารเทียม 9. เตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจในการดูแล stoma ด้วยตัวเองของผู้ป่วยและผู้ดูแล กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 19 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 S: ไม่มีความรู้ใน การดูแลทวาร เทียม O: ผู้ป่วยต้องได้รับ คำแนะนำที่ถูกต้อง ในการดูแลทวาร เทียม เมื่อกลับไป บ้าน S: ไม่มีความรู้ใน การดูแลทวารเทียม O: ผู้ป่วยต้องได้รับ คำแนะนำที่ถูกต้อง ในการดูแลทวาร เทียม เมื่อกลับไป บ้าน วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีความพร้อมในการดูแลทวาร เทียม เกณฑ์การประเมินผล: ผู้ป่วยและญาติเข้าใจข้อปฏิบัติการมีทวาร เทียม การพยาบาล: 1. เยี่ยมผู้ป่วยอีก 2 ครั้ง คือวันที่ 3 และวันที่ 5 หลังผ่าตัด 2. ให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวารเทียม การทำความสะอาด stoma และผิวหนังโดยรอบ การเปลี่ยนถุงเมื่อปริมาณอุจจาระ 1/3-1/2 ของ ถุง การปิดถุง การทำความสะอาดถุงรองรับสิ่งขับถ่าย 3. ประเมินผลและบันทึกการปรับตัวของผู้ป่วยและผู้ดูแล การประเมินผล: ผู้ป่วยและญาติมีความเข้าใจ สามารถทบทวนและ ตอบข้อซักถามได้ 10. มีความผิดปกติทางเพศ (Erectile dysfunction) จากภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล S: ผู้ป่วยบอก อาการ O: มีการ invaded ของก้อนมะเร็งไปที่ S: ผู้ป่วยบอกว่าไม่ มีสัมพันธภาพทาง เพศ O: ไม่มีความเสี่ยง วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยและคู่สมรสเข้าใจในความผิดปกติ สามารถ ปรับตัวและฟื้นฟูร่างกายได้เหมาะสม เกณฑ์การประเมินผล: มีความเข้าใจ สีหน้าคลายความกังวล พูดคุย ซักถามปัญหา การพยาบาล: 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเรื่องโรคและ ปัญหาอวัยวะเพศไม่แข็งตัว 2. เปิดโอกาสผู้ป่วยให้ซักถามข้อข้องใจ และบอกถึงปัญหา ความต้องการการช่วยเหลือ เกี่ยวกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ 3. สอนการออกกำลังกลามเนื้ออุ้งเชิงกราน ช่วยแก้ไขเส้นประสาทที่ ได้รับบาดเจ็บ สามารถงอกขึ้นใหม่และฟื้นฟูตัวเองอย่างต่อเนื่องหลัง ผ่าตัดอาจใช้เวลามากกว่า 1 ปี 4. ให้ข้อมูลแก่คู่สมรส กรณีศึกษาที่ 1 กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาล prostate มีการ dissection tissue ค่อนข้างมาก 5. ให้กำลังใจ และส่งเสริมความมั่นใจให้กับผู้ป่วย การประเมินผล: กรณีที่ 1 ผู้ป่วยและภรรยา ยอมรับ กรณีที่ 2 ไม่มี ความเสี่ยง 11. พร่องความรู้ในการปฏิบัติตัวเมื่อต้องรับยาเคมีบำบัด
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร | yasothon.moph.go.th | 6 ธันวาคม 2566 | P a g e | 20 Published Online by Yasothon Provincial Public Health Office | yasothon.moph.go.th | December 6, 2023 S: บอกว่ายังไม่ ทราบว่าจะต้อง เตรียมตัวอย่างไร O: ผู้ป่วยยังไม่ได้ รับคำแนะนำใน การเตรียมตัว จำเป็นต้องมีการ เตรียมตัวที่ถูกต้อง O: ไม่ต้องรับยาเคมี บำบัด วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมในการรับเคมีบำบัด เกณฑ์การประเมินผล: มีความเข้าใจ พูดคุยซักถามปัญหาและตอบ คำถามได้ การพยาบาล: 1. ก่อนรับเคมีบำบัด บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เน้นทานอาหารที่มี โปรตีนสูง ผัก ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่น้อยกว่าวันละ 2-3 ลิตร พักผ่อนให้ เพียงพอ รักษาความสะอาดช่องปากและฟัน รับการตรวจเลือดเพื่อดู ความพร้อมของร่างกาย 2. ขณะรับเคมีบำบัด หากมีอาการควรแจ้งอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นใน ระหว่างได้รับยา แจ้งให้แพทย์ทราบว่าใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจำและ ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง 3. หลังรับเคมีบำบัด ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนักและพักผ่อนให้ เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ รับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ดื่มน้ำไม่น้อยกว่าวันละ 2-3 ลิตร หลีกเลี่ยงการ ไปในสถานที่แออัดและการเข้าใกล้ผู้ป่วยโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัด วัณโรคปอด โรคเริม การมีเพศสัมพันธ์อาจต้องงดไว้ก่อนหรือตามคำ แนะนำของแพทย์ภายหลังได้รับยาเคมีบำบัดประมาณ 2 สัปดาห์ควร รับการตรวจเลือด เพื่อดูการทำงานของไขกระดูก การประเมินผล: กรณีที่ 1 ผู้ป่วยและญาติทราบถึงแผนการรักษาของ แพทย์และตอบคำถามในการปฏิบัติตัวได้ค่อนข้างดี กรณีที่ 2 ไม่ได้รับ ยาเคมีบำบัด สรุปกรณีศึกษา: กรณีศึกษาที่ 1 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 67 ปี รับไว้ในโรงพยาบาลวันที่ 18 ตุลาคม 2566 การวินิจฉัย CA lower rectum and anal canal, prostate and bladder invasion ได้รับ ผ่าตัด Abdominoperineal Resection with Cystectomy with ileal conduit วันที่ 19 ตุลาคม 2566 เนื่องจากมีการลุกลามของมะเร็ง การ ผ่าตัดใช้เวลา 5 ชั่วโมง 10 นาที estimate blood loss 1,500 ml ขณะผ่าตัดได้ PRC 3 units FFP 4 units เนื่องจาก ขณะผ่าตัดมีการสูญเสียเลือดมาก หลังผ่าตัด 1 วัน ส่งตรวจเลือดเพื่อประเมินระดับอิเล็กโทรไลต์พบว่ามีภาวะ Hypomagnesemia และ Hypocalcemia ให้ MgSO4 และ Calcium gluconate และประเมินระดับน้ำตาลในเลือด อย่างต่อเนื่องทุก 6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด พบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติเริ่ม step diet โดยให้ liquid diet ในวันที่ 4 หลังผ่าตัด จนกระทั่ง regular diet ในวันที่ 13 หลังผ่าตัด หลังให้regular diet ผู้ป่วยมีอาการท้องอืด จึงได้วางแผนร่วมกับทีม ให้ ambulation มากขึ้น และให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย บริเวณหน้าท้องผู้ป่วย มี conduit stoma ที่ ด้านขวา ปัสสาวะสีเหลืองใส ส่วนด้านซ้ายมี colostomy อุจจาระปกติได้อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติยอมรับการมีทวาร เทียมและเข้าใจวิธีการดูแล stoma ทั้ง 2 ข้าง ต่อมาผู้ป่วยอาการดีขึ้น จึงได้วางแผนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อวางแผนการ