7 ใกล้เคียงกับพยาบาลวิชาชีพกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๖ คน แล้วนำคะแนนมาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยง โดย หาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) มีค่าเท่ากับ ๐.๙๐ ต่อมาระหว่างวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ผู้วิจัยได้นำการ พัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่นำเสนอมาสาธิตและ เปิดให้พยาบาลวิชาชีพในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศลและผู้ป่วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่รับการรักษาที่โรงพยาบาล ราษีไศลได้ใช้งานระบบ ผู้วิจัยสามารถสรุปและประเมินผลการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลันชนิด STEMI ของงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัด ศรีสะเกษ โดยประเมินผล ๒ ด้าน คือ ด้านที่ ๑ ด้านผู้ใช้รูปแบบการพยาบาล ประเมินจากความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพในงาน การพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ต่อการใช้ระบบการ คัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่พัฒนาขึ้นจำนวน ๖ คน ด้านที่ ๒ ด้านผู้ป่วย ประเมินจากความพึงพอใจของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI จำนวน ๒๒ คน โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI แบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ โดยมีเกณฑ์คัดเข้า คือ เป็นผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลันชนิด STEMI ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI และยินดีให้ความร่วมมือในการตอบแบบประเมินความพึงพอใจ ๓.๒ งานวิจัยที่นำเสนอ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศลในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ ดังแสดงข้อมูลในตารางที่ ๑ โดยจะเห็นว่า จำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ใน ปี พ.ศ. ๒๕๖๖ มีจำนวนเพิ่มมากเมื่อเทียบกับ ๒ ปีก่อนหน้า และจะเห็นว่า ผู้ป่วยเป็นเพศชายมากกว่าเพศ หญิงรวมทั้งอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยเพศชายมีค่าต่ำกว่าอายุเฉลี่ยเพศหญิงอีกด้วย
8 ตารางที่ ๑ ข้อมูลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ ในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล ปี พ.ศ. ผู้ชาย ผู้หญิง อายุเฉลี่ยผู้ชาย อายุเฉลี่ยผู้หญิง ๒๕๖๔ ๓ ๓ ๖๔.๓ ๗๕.๖ ๒๕๖๕ ๓ ๑ ๖๐ ๙๐ ๒๕๖๖ ๑๐ ๒ ๗๐.๙ ๗๔ ราตรี พลเยี่ยม [๔] ได้อธิบายว่า อาการของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ก่อนที่จะเดินทางมารับการรักษาที่โรงพยาบาลจะแบ่งออกได้ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการแน่ ชัดและกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่แน่ชัด โดยผู้ป่วยที่มีอาการแน่ชัดจะมีอาการดังต่อไปนี้ • เจ็บหน้าอกร่วมกับมีเหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น • เจ็บแน่นกลางหน้าอกเหมือนถูกบีบหรือมีอะไรกดทับ • เจ็บหน้าอกปวดร้าวไปกลางหลัง กราม ไหล่ ต้นคอหรือแขนซ้าย • เจ็บแน่นหน้าอกต่อเนื่องนาน > ๒๐ นาที • เจ็บแน่นหน้าอกขณะทำกิจกรรมและอาการดีขึ้นเมื่อหยุดพัก • เจ็บแน่นตรงกลางหน้าอก/ใต้ลิ้นปี่หรือหน้าอกด้านซ้าย ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่แน่ชัดจะมีอาการดังต่อไปนี้ • เหนื่อยหอบหายใจไม่อิ่ม • เหนื่อยเพลียใจสั่น • วูบ หน้ามืดเป็นลม หมดสติ • จุกเสียดแน่นท้อง/จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ • วิงเวียนศรีษะ • ปวดหลัง • เหนื่อยหอบหายใจลำบาก เมื่อพิจารณาอาการของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในงานการ พยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศลในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ พบว่า ผู้ป่วยที่แสดงอาการแน่ชัดมีจำนวน ๑๔ ราย (ร้อยละ ๖๓.๖๔) และกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่แน่ชัด จำนวน ๘ ราย (ร้อยละ ๓๖.๓๖)
9 ผู้วิจัยได้ศึกษาถึงข้อมูลเรื่องเวลาการเดินทางมายังโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาหลังจากมี อาการตามแสดงในตารางที่ ๒ โดยจากข้อมูลที่ศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่เดินทางมาโรงพยาบาลหลังจากมีอาการ ไม่สบายภายในเวลา ๑ ชั่วโมงมีจำนวนน้อยที่สุด ผู้ป่วยส่วนมากจะรอให้อาการทุเลาก่อนเดินทางมา โรงพยาบาลโดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินทางมาโรงพยาบาลหลังจากเริ่มมีอาการไม่สบายภายใน ๑-๖ ชั่วโมง และผู้ป่วยกลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มที่เดินทางมารักษาตัวที่โรงพยาบาลนานที่สุด คือ มากกว่า ๖ ชั่วโมง โดย ผู้ป่วยบางรายในกลุ่มนี้ เดินทางมาโรงพยาบาลหลังจากเริ่มมีอาการไปแล้วถึง ๗๒ ชั่วโมง (๓ วันก่อน) ซึ่ง ประสิทธิภาพของการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI จะดีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ความเร็วในการได้รับการรักษา และหากได้รับการรักษาที่รวดเร็วจะทำให้ผู้ป่วยไม่เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อ หัวใจตายอย่างถาวรได้ ตารางที่ ๒ เวลาการเดินทางมายังโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาหลังจากมีอาการของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ ในงานการพยาบาลผู้ป่วย อุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล เวลาในการเดินทางมาโรงพยาบาล จำนวนผู้ป่วย คน (n = ๒๒) ร้อยละ น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง ๔ ๑๘.๑๘ ๑-๖ ชั่วโมง ๑๑ ๕๐.๐๐ มากกว่า ๖ ชั่วโมง ๗ ๓๑.๘๒ เกณฑ์มาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเมื่อผู้ป่วยเดินทางมาถึง โรงพยาบาลแล้วจะประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน คือ Door to EKG time จะต้องน้อยกว่า ๑๐ นาที Door to needles time จะต้องน้อยกว่า ๓๐ นาทีและ Door to balloon time จะต้องน้อยกว่า ๙๐ นาที โรงพยาบาลราษีไศลมีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้ต่ำกว่าร้อยละ ๙ ของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ดังนั้น ทางโรงพยาบาลราษีไศลจึงปรับค่าตัวชี้วัด Door to EKG time ใหม่เป็นน้อยกว่า ๕ นาที เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เวลาในขั้นตอนอื่น เช่น Door to needles time จะ สามารถเป็นไปได้ตามค่าเกณฑ์มาตรฐานในการรักษาผู้ป่วย แต่จากการศึกษาเวชระเบียนผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ ในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล พบว่า ความสำเร็จในการทำ Door to EKG time น้อยกว่า ๕ นาทีมีจำนวน ๔ ราย หรือเท่ากับร้อยละ ๑๘.๑๘ เท่านั้น ดังแสดงในตารางที่ ๓
10 ตารางที่ ๓ เวลาที่ได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Door to EKG time) ของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ ในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล เวลาที่ได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จำนวนผู้ป่วย คน (n = ๒๒) ร้อยละ น้อยกว่า ๕ นาที ๔ ๑๘.๑๘ ๕-๑๐ นาที ๖ ๒๗.๒๗ มากกว่า ๑๐ นาที ๑๒ ๕๔.๕๕ จากข้อมูลที่ศึกษามาพบว่า ปัญหาที่ส่งผลต่อความเร็วในการเข้ารับการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI มี ๒ ส่วน คือ เวลาที่ผู้ป่วยเดินทางเข้ามารับการรักษาที่ โรงพยาบาลยังใช้เวลามากและเวลาในการวัด EKG ผู้ป่วยยังมีค่ามากว่าค่าเป้าหมาย (ภายในเวลา ๕ นาที) ในงานวิจัยฉบับนี้จึงได้นำเสนอการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI ใหม่ โดยทำการแก้ปัญหา ๒ ข้อ ได้แก่ ๑. การสร้างเครื่องมือการคัดกรองอาการโรคกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันด้วยตนเองโดยใช้เทคโนโลยีแชทบอทอัจฉริยะเพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำแบบทดสอบเพื่อ ประเมินอาการเจ็บป่วย การเพิ่มช่องทางการขอรับคำปรึกษาจากแพทย์และพยาบาล การเพิ่มช่องทางการ โทรเรียกรถฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาผู้ป่วยเดินทางมาโรงพยาบาลช้า โดยเครื่องมือที่สร้างจะสามารถให้ผู้ป่วย เข้าถึงการรักษาหรือได้รับคำปรึกษาจากแพทย์และพยาบาลได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และ ๒. การปรับปรุง ขั้นตอนการคัดกรองผู้ป่วยที่งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล โดย หากผู้ป่วยที่มาถึงโรงพยาบาลและแสดงผลกาคัดกรองจากแชทบอทอัจฉริยะกับพยาบาลหรือบุคลากรทาง การแพทย์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกส่งเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที ซึ่งการปรับปรุงขั้นตอนนี้จะสามารถ แก้ปัญหาเรื่องความล่าช้าในการทำ EKG ได้ ๓.๒.๑ แชทบอทอัจฉริยะสำหรับให้ผู้ป่วยสามารถทำแบบประเมินโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI ได้ด้วยตนเอง อาการป่วยของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI สามารถแสดงได้ ๒ กลุ่ม คือ ผู้ป่วยกลุ่มอาการแน่ชัดและผู้ป่วยกลุ่มอาการไม่แน่ชัด โดยผู้ป่วยกลุ่มอาการแน่ชัดส่วนใหญ่จะเดินทาง มายังโรงพยาบาลไม่นานหลังจากมีอาการและเมื่อถึงโรงพยาบาลผู้ป่วยจะได้รับการคัดกรองและได้รับการ วัด EKG ภายในเวลาที่รวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มอาการแน่ชัดบางส่วนที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ถึงอันตรายของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ยังคงเข้าใจว่า อาการที่เป็นจะสามารถทุเลาลงได้เมื่อ
11 ทำการพักผ่อนหรือนอนหลับ ส่งผลให้ผู้ป่วยกลุ่มอาการแน่ชัดบางส่วนเข้ามารับการรักษาช้า ส่วนกลุ่ม อาการไม่แน่ชัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่เดินทางมาโรงพยาบาลทันทีหลังจากมีอาการ เพราะอาการที่เป็น อาจจะไม่รุนแรงและไม่ชัดเจนเพียงพอ แต่หากพิจารณาอาการของผู้ป่วยกลุ่มอาการไม่แน่ชัดร่วมกับข้อมูล ส่วนอื่น ๆ เช่น เพศ อายุ โรคประจำตัว พฤติกรรมการสูบบุหรี่ เป็นต้น ก็สามารถเป็นข้อมูลในขั้นตอนการ คัดกรองเพื่อให้ส่งผู้ป่วยเข้ารับการวัด EKG เพื่อตรวจสอบโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ได้ เพื่อให้ผู้ป่วยได้ตระหนักถึงอันตราย ทางผู้วิจัยจึงทำการสร้างแชทบอทอัจฉริยะขึ้น โดยในแช ทบอทอัจฉริยะนี้จะมีแบบทดสอบเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI ให้ผู้ป่วยสามารถทดสอบได้ด้วยตนเอง คะแนนที่ได้จากแบบทดสอบจะแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ๑) กลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบน้อยกว่า ๓ คะแนน ๒) กลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบระหว่าง ๓-๑๙ คะแนน และ ๓) กลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบมากกว่า ๒๐ คะแนน ตามการศึกษาแบบฟอร์มการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มโรค หลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาลโป่งน้ำร้อน [๑๐] โดยแต่ละกลุ่มคะแนนมีความหมายดังต่อไปนี้ ๑. กลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบน้อยกว่า ๓ คะแนน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยที่แน่ชัดของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI และไม่มีปัจจัยความเสี่ยง เช่น เพศ อายุ โรคประจำตัว พฤติกรรมการสูบบุหรี่ เป็นต้น เพียง ๑-๒ ปัจจัย ซึ่งถือว่า เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ต่ำ ๒. กลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบระหว่าง ๓-๑๙ คะแนน ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยที่แน่ชัดของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI และมีปัจจัยความเสี่ยง เช่น เพศ อายุ โรคประจำตัว พฤติกรรมการสูบบุหรี่ เป็นต้น ตั้งแต่ ๓ ปัจจัย ขึ้นไป ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI แบบอาการไม่แน่ชัด ได้ ดังนั้น เพื่อให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยมากที่สุด แชทบอทอัจฉริยะจะทำการถามอาการที่ไม่แน่ชัดเพิ่มกับ ผู้ป่วยเพิ่ม หากผู้ป่วยมีอาการไม่สบายตรงกับอาการป่วยที่ไม่แน่ชัด ทางแชทบอทอัจฉริยะจะทำการให้เบอร์ ติดต่อในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อ ขอคำปรึกษากับแพทย์หรือพยาบาลได้ แต่หากผู้ป่วยไม่มีอาการเพิ่มเติม แชทบอทอัจฉริยะจะแจ้งผู้ป่วยว่า ผู้ป่วยเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ควรมีการตรวจ ร่างกายประจำปีและออกกำลังกายเป็นประจำ
12 ๓. กลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบมากกว่า ๒๐ คะแนน ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอาการป่วยที่แน่ชัดของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ตั้งแต่ ๑ อาการเป็นต้นไป แชทบอทอัจฉริยะจะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่า ผู้ป่วยมีอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลันและจะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการติดต่อโรงพยาบาล ๓ ช่องทาง คือ ๑. โทรขอคำปรึกษา กับแพทย์หรือพยาบาล ในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล ๒. โทร เรียกรถฉุกเฉิน ๑๖๖๙ และ ๓. เดินทางไปยังโรงพยาบาล โดยบอกตำแหน่งที่ตั้งของโรงพยาบาลราษีไศล นอกจากแบบทดสอบเพื่อประเมินอาการเจ็บป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ด้วยตนเองแล้ว แชทบอทอัจฉริยะยังมีการให้ข้อมูลอื่น ๆ กับผู้ป่วย ได้แก่ ข้อมูลการเตรียมตัวก่อน ไปโรงพยาบาล โดยจะบอกถึงสิ่งของที่ต้องพกไปโรงพยาบาลและการอธิบายคำถามที่มักจะถูกถามเมื่อมาถึง โรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจในคำถามและสามารถตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว เช่น การบอกระดับความ เจ็บ เป็นต้น โดยผู้วิจัยคาดหวังว่า แชทบอทอัจฉริยะจะเป็นเครื่องมือให้ผู้ป่วยสามารถตระหนักถึงอันตราย ของอาการป่วยและรีบเดินทางมาโรงพยาบาล รวมทั้ง ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อขอ คำปรึกษากับแพทย์หรือพยาบาลได้ง่ายมากขึ้น เพื่อได้รับคำแนะนำให้เดินทางมารับการรักษาได้อย่าง รวดเร็วและปลอดภัย รูปที่ ๒ แสดงแผนภาพแสดงการทำงานของแชทบอทอัจฉริยะ รูปที่ ๒ แผนภาพแสดงการทำงานของแชทบอทอัจฉริยะ
13 ๓.๒.๒ การปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรอง จากขั้นตอนที่ ๓.๒.๑ ทางผู้ป่วยสามารถใช้แชทบอทอัจฉริยะเพื่อเพิ่มโอกาสให้สามารถเดินทางเข้า มารับการรักษาได้เร็วมากขึ้นแล้ว ในข้อ ๓.๒.๒ นี้จะเสนอการปรับปรุงกระบวนการคัดกรองแบบเดิมให้ เหมาะสมกับระบบแชทบอทอัจฉริยะที่นำเสนอ รูปที่ ๓ แสดงขั้นตอนการเดินทางมาถึงโรงพยาบาลของ วิธีการเดิมและวิธีการที่นำเสนอ กล่าวคือ หากผู้ป่วยมีอาการและเดินทางมายังโรงพยาบาล วิธีการเดิม จะต้องผ่านการคัดกรองด้วยการสอบถามอาการจากพยาบาล ในขั้นตอนนี้ เวลาที่ใช้ในการคัดกรองจะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น มีผู้ป่วยรอรับการคัดกรองจำนวนมากทำให้ต้องใช้เวลารอน าน พยาบาลคัดกรองไม่มีความรู้ความชำนาญพออาจจะทำให้การคัดกรองมีความผิดพลาด เช่น ต่ำกว่าที่ควรจะ เป็นได้ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้เวลาที่ใช้ตั้งแต่ที่ผู้ป่วยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลจนถึงได้รับการวัด EKG มากกว่า ๕ นาที ซึ่งถือว่า ไม่บรรลุตัวชี้วัดที่โรงพยาบาลราษีไศลกำหนดขึ้น เพื่อให้เวลาที่ใช้ตั้งแต่ที่ผู้ป่วยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลจนถึงได้รับการวัด EKG ต่ำกว่า ๕ นาที ทาง ผู้วิจัยได้ทำการปรับเปลี่ยนกระบวนการคัดกรอง คือ หากผู้ป่วยที่มาถึงโรงพยาบาลพร้อมแสดงหน้าจอมือ ถือว่า ได้ทำแบบทดสอบในการคัดกรองโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจากระบบแชทบอทอัจฉริยะ เรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยสามารถข้ามการคัดกรองไปรับการวัด EKG ได้เลย โดยกระบวนการนี้จะทำให้ผู้ป่วย ได้รับการวัด EKG ภายในเวลา ๕ นาทีแน่นอน รูปที่ ๓ ขั้นตอนการเดินทางมาถึงโรงพยาบาลของวิธีการเดิมและวิธีการที่นำเสนอ
14 ๔. ผลการวิจัย งานวิจัยฉบับนี้เป็นแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการทดลองพิจารณาจากการสำรวจ ความพึงพอใจจากกลุ่มพยาบาลวิชาชีพและกลุ่มตัวอย่างเป็นแบบเจาะจง ๑. กลุ่มพยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่ในการคัดกรองผู้ป่วยส่วนใหญ่ในงานการพยาบาลอุบัติเหตุ ฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศลที่มีประสบการณ์ในการทำงานตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป จำนวน ๖ ท่าน เพื่อ ขอรับการประเมินความพึงพอใจต่อระบบการคัดกรองที่นำเสนอก่อนที่จะนำไปใช้งานกับผู้ป่วยจริง ความพึงพอใจต่อการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่นำเสนอ Mean (̅) S.D. ระดับความพึง พอใจ ประโยชน์ของการทำแบบทดสอบเพื่อคัดกรอง ๔.๓๓ ๐.๕๒ มาก ช่วงคะแนนที่ใช้ในการคัดกรอง ๓.๘๓ ๐.๗๕ มาก ผลการคัดกรองของแต่ละช่วงคะแนน ๓.๘๓ ๐.๗๕ มาก ช่องทางการติดต่อที่แนะนำให้กับผู้ป่วย ๔.๕๐ ๐.๕๕ มากที่สุด ประโยน์ของฟังก์ชันการเตรียมตัวก่อนมาโรงพยาบาล ๔.๓๓ ๐.๕๒ มาก ประโยน์ของฟังก์ชันการให้ความรู้เรื่องหัวใจ ๔.๖๗ ๐.๕๒ มากที่สุด ประโยชน์ของระบบแชทบอทอัจฉริยะ ๔.๓๓ ๐.๘๒ มาก ความสะดวกในการใช้งานระบบแชทบอทอัจฉริยะ ๔.๓๓ ๐.๘๒ มาก การยอมรับเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการพยาบาล ๔.๐๐ ๑.๑๐ มาก ค่าเฉลี่ยรวม ๔.๒๔ ๐.๗๐ มาก ๒. กลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลราษี ไศล จำนวน ๒๒ ราย ความพึงพอใจต่อการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่นำเสนอ Mean (̅) S.D. ระดับความพึง พอใจ ประโยชน์ของการทำแบบทดสอบเพื่อคัดกรอง ๔.๕๐ ๐.๕๕ มากที่สุด ช่วงคะแนนที่ใช้ในการคัดกรอง ๔.๖๗ ๐.๕๒ มากที่สุด ผลการคัดกรองของแต่ละช่วงคะแนน ๔.๖๗ ๐.๕๒ มากที่สุด ช่องทางการติดต่อที่แนะนำให้กับผู้ป่วย ๔.๕๐ ๐.๕๕ มากที่สุด ประโยน์ของฟังก์ชันการเตรียมตัวก่อนมาโรงพยาบาล ๔.๕๐ ๐.๕๕ มากที่สุด ประโยน์ของฟังก์ชันการให้ความรู้เรื่องหัวใจ ๔.๖๗ ๐.๕๒ มากที่สุด ประโยชน์ของระบบแชทบอทอัจฉริยะ ๔.๖๗ ๐.๕๒ มากที่สุด ความสะดวกในการใช้งานระบบแชทบอทอัจฉริยะ ๔.๖๗ ๐.๕๒ มากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม ๔.๖๐ ๐.๕๓ มากที่สุด
15 ๔.๑ การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่างและจริยธรรมการวิจัย ทางผู้วิจัยได้คำนึงถึงหลักจริยธรรมการวิจัยในคน จึงได้ทำเรื่องขอเอกสารรับรองโครงการวิจัยจาก คณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สำนักสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ เลขที่ SPPH ๒๐๒๔- ๐๒๑ ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ๕. สรุปและข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้ ๕.๑ สรุปงานวิจัย จากการศึกษาข้อมูลก่อนการพัฒนาจากแบบบันทึกเวชระเบียนของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่เข้ามารับการรักษาในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลราษีไศล ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๒๒ ราย พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะ เดินทางมาโรงพยาบาลช้า (มากกว่า ๑ ชั่วโมงหลังมีอาการ) เพราะขาดความรู้ความเข้าใจถึงอันตรายของ โรค โดยจำนวนผู้ป่วยที่เดินทางมารับการรักษาหลังมีอาการเกินเวลา ๑ ชั่วโมงมีร้อยละ ๘๑.๘๒ และเมื่อ ผู้ป่วยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลพบว่า ผู้ป่วยได้รับการตรวจ EKG ช้ากว่าค่าตัวชี้วัดที่โรงพยาบาลราษีไศลตั้ง ไว้ คือ เวลาที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจ EKG จะต้องไม่เกิน ๕ นาที โดยตัวชี้วัดนี้ทำได้สำเร็จเพียงร้อยละ ๑๘.๑๘ เท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทางผู้วิจัยจึงนำเสนอการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรค กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ประกอบด้วย ๑. การสร้างเครื่องมือการคัดกรองอาการโรค กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันด้วยตนเองโดยใช้เทคโนโลยีแชทบอทอัจฉริยะเพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ป่วย ได้ติดต่อโรงพยาบาลและรถฉุกเฉินได้ทันทีหลังจากมีอาการและ ๒. การปรับปรุงขั้นตอนการคัดกรองผู้ป่วย ที่งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวชเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจ EKG ภายใน ๕ นาที โดย ผู้วิจัยได้ประเมินผลลัพธ์ของวิธีที่นำเสนอจากการทำแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพในการ ใช้งานการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในรูปแบบ การพยาบาลอยู่ในระดับมาก (̅= ๔.๒๔ และ S.D. = ๐.๗๐) และค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในการใช้งานของ ผู้ป่วยอยู่ในระดับมากที่สุด (̅= ๔.๖๐ และ S.D. = ๐.๕๓) ๕.๒ การนำไปใช้ประโยชน์ ปัจจุบัน ระบบแชทบอทอัจฉริยะได้มีการเผยแพร่การใช้งานให้กับกลุ่มผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาที่ คลินิกหัวใจ โรงพยาบาลราษีไศล โดยผู้ป่วยที่ร่วมเข้าทดสอบระบบแชทบอทอัจฉริยะและตอบแบบสำรวจ เป็นกลุ่มผู้ป่วยรู้จักแอปพลิเคชัน LINE และมีการใช้งานแอปพลิเคชัน LINE เป็นประจำในการติดต่อสื่อสาร
16 อยู่แล้ว จึงมีความคุ้นเคยและรู้วิธีการเพิ่มแชทบอทอัจฉริยะเข้าไปในโปรแกรมไลน์ โดยมีการให้คำแนะนำ และข้อเสนอแนะระบบดังต่อไปนี้ - การใช้งานง่าย - เป็นเครื่องมือใหม่ที่ทำให้สามารถช่วยผู้ป่วยในการติดต่อกับแพทย์และพยาบาลได้ง่ายและสะดวก มากขึ้น - เป็นเครื่องมือที่ดีที่คิดว่า สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้เมื่อมีอาการไม่สบาย - ทุกฟังก์ชันดี - เป็นสิ่งใหม่ที่มีประโยชน์ - เครื่องมือนี้จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยในเวลาที่มีอาการไม่สบายได้ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๑. ผู้ทรงคุณวุฒิแนะนำให้เพิ่มคำถามที่มักจะถูกถามเพิ่มเพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจสำหรับ ผู้ป่วยในการตอบคำถามถึงอาการป่วยของผู้ป่วยให้มีความถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการ รักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. เครื่องมือที่นำเสนอเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลันชนิด STEMI ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถเพิ่มฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ เช่น การ เพิ่มคำถามเกี่ยวกับการคัดกรองการให้ยาละลายลิ่มเลือดก่อนที่จะนำข้อมูลปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง ประจำจังหวัดทางโปรแกรมไลน์ เพื่อทางแพทย์จะได้พิจารณาถึงการให้ยาละลายลิ่มเลือดไปพร้อมกับช่วงที่ ให้คำแนะนำในการรักษาผู้ป่วยได้เลย ซึ่งจะทำให้ Door to needle time สำเร็จตามค่าตัวชี้วัดที่ไม่เกิน ๓๐ นาที
17 เอกสารอ้างอิง [๑] สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข. สถิติกระทรวง สาธารณสุข ปี พ.ศ. ๒๕๖๕. นนทบุรี: สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข; ๒๕๖๕. [๒] เบญจมาศ แสนแสง, ศรีนยา ดวงเดือน, ขันทอง มางจางดีอุดม, อรุณศรี แสนเมือง และ ภัทรพงษ์ มกรเวส. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาที่มารักษาของผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัง ชนิดเอสยก วารสารโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอนแก่น ๒๕๖๓; ๑(๓) : ๑๗๒-๑๙๐. [๓] จรรฏา ภูยาฟ้า. การจัดการทางการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิด STEMI ที่ แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน. วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ๒๕๖๕; ๒(๒) : ๑๖๙-๑๗๕. [๔] ราตรี พลเยี่ยม. การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเฉียบพลัน โรงพยาบาลเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารวิจัยและพัฒนาวัตกรรมทางสุขภาพ ๒๕๖๓; ๑(๒) : ๑๑-๑๙. [๕] เยาวลักษณ์ คำวิไชย. การพัฒนาการดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรงพยาบาล สุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารวิจัยและพัฒนาวัตกรรมทางสุขภาพ ๒๕๖๓; ๑(๓) : ๔๓-๕๑. [๖] สุวดี แสงขำ. การพัฒนารูปแบบระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันของหน่วย บริการปฐมภูมิ จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วารสารกองการพยาบาล ๒๕๖๔; ๔๘(๓) : ๒๗-๓๘. [๗] เพ็ญศรี นรินทร์ และ ธิราภรณ์ อุ่นแก้ว. การพัฒนารูปแบบคัดกรองและเฝ้าระวังการเกิดโรคหัวใจ ในผู้สูงอายุโดยใช้ STEMI Alert 3 steps แบบมีส่วนร่วมภาคีเครือข่ายในพื้นที่ : บริบทอำเภอขุน หาญ. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ ๒๕๖๖; ๓(๒) : ๗๖-๘๖. [๘] ทีม PCT. แบบฟอร์มการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาลโป่งน้ำร้อน. ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๒. [๙] ๑๒ ปี แอปพลิเคชัน LINE กับ ๖ บทบาท ที่ยกระดับชีวิตคนไทยสู่โลกดิจิทัลในทุกมิติเข้าได้ถึง จาก: https://linecorp.com/th/pr/news/th/2023/4621. ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ [๑๐] J. Cohen. Statistical power of analysis for the behavioral sciences. Hillsdale, New Jersey: Lawrence Erlbaum Associates; ๑๙๘๘. [๑๑] ไพศาล วรคำ. การวิจัยทางการศึกษา (Education Research). มหาสารคาม ๒๕๕๙: ตักสิลาการ พิมพ์.
บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง: พัฒนาศักยภาพการใช้กระบวนการพยาบาลของพยาบาลใหม่ด้วยระบบพยาบาลพี่เลี้ยงใน Burn Unit ความเป็นมาและความสำคัญ: การพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพต้องใช้กระบวนการพยาบาลเป็น พื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมที่ตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การพยาบาลผู้ป่วย แผลไหม้ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจึงจะดูแลผู้ป่วยให้เกิดความปลอดดภัย ห้อง ผู้ป่วยหนักบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกมีอัตรากำลังพยาบาลใหม่จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 41.67 ยังขาด ประสบการณ์ในการพยาบาลผู้ป่วยแผลไหม้ การวางตัวและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งปัญหาดังกล่าว ก่อให้เกิดความยากลำบากในการปรับตัว กลัว วิตกกังวล เครียดในการทำงาน หากพยาบาลใหม่ได้เรียนรู้จาก สถานการณ์จริงโดยมีพยาบาลพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา ชี้แนะ สอนงานโดยใช้หลักการสร้างสัมพันธภาพส่วนบุคคลใน รูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ จะช่วยให้พยาบาลใหม่ลดความวิตกกังวล ความเครียด และพัฒนา ศักยภาพในการปฏิบัติการพยาบาลได้ วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาศักยภาพการใช้กระบวนการพยาบาลของพยาบาลใหม่ด้วยระบบพยาบาลพี่เลี้ยง วิธีดำเนินการ: 1. สร้างระบบพยาบาลพี่เลี้ยง โดยคัดเลือกจากพยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์การทำงานใน Burn Unit มากกว่า 5 ปีและผ่านการอบรมการพยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต 2. ปฐมนิเทศ พยาบาลใหม่โดยพยาบาลพี่เลี้ยงตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย 3. จัดคู่พยาบาลพี่เลี้ยงประกบพยาบาลใหม่ในการ เป็นที่ปรึกษา 4. สอน ชี้แนะ ฝึกประสบการณ์การพยาบาลผู้ป่วยแผลไหม้ในขณะขึ้นปฏิบัติงาน 5. ฝึกทักษะการใช้ กระบวนการพยาบาลโดยการทำ case study คู่ละ 1 เรื่อง นำเสนอในที่ประชุมประจำเดือน 6. ประเมินการใช้ กระบวนการพยาบาลจากการตรวจสอบคุณภาพบันทึกทางการพยาบาลของพยาบาลใหม่ คนละ 1 ครั้ง/เดือน 7. ประเมินความพึงพอใจของพยาบาลใหม่ต่อระบบพยาบาลพี่เลี้ยง เป็นมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ โดย 1 คะแนนพึงพอใจน้อยที่สุดจนถึง 5 คะแนนพึงพอใจมากที่สุด 8. วิเคราะห์และสรุปผล ผลการดำเนินงาน: 1. พยาบาลใหม่ได้รับปฐมนิเทศจากพยาบาลพี่เลี้ยงครบร้อยละ 100 2. ผลการปฏิบัติการใช้ กระบวนการพยาบาล พบว่า มีการปฏิบัติในแต่ละกระบวนการได้ถูกต้อง ดังนี้ การรวบรวมข้อมูลร้อยละ 83.24 การวินิจฉัยทางการพยาบาลร้อยละ 78.65 การวางแผนการพยาบาลร้อยละ 76.67 การปฏิบัติการพยาบาลร้อย ละ 81.02 และการประเมินผลการพยาบาลร้อยละ 80.32 3. ผลการประเมินความพึงพอใจต่อระบบพยาบาลพี่ เลี้ยงภาพรวมร้อยละ 93.78 สรุปและข้อเสนอแนะ: ระบบพยาบาลพี่เลี้ยงสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะในการใช้กระบวนการพยาบาลได้ และ ควรใช้ระบบนิเทศ กำกับ ติดตามการใช้กระบวนการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
Case study : การจัดการการดูแลผู้ป่วยวิกฤติของพยาบาลในการดูแลด้านจิตวิญาณ ในห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรม2ทิศเหนือ Author : พว. ทิวาพร วงทวี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ Tel. 094-2960029 Introduction :ผู้ป่วยวิกฤติมีปัญหาซับซ้อน ต้องได้รับการดูแลใกล้ชิด ต้องพึงพาอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง รวมทั้งต้องมีสหสาขาวิชาชีพในทีมสุขภาพที่มีความรู้ ความสามารถดูแลเฉพาะทางการดูแลผู้ป่วยวิกฤติ Case presentation : ชายไทย 60 ปี Dx.AFI with AFI with Alteration of conscious Admit หอผู้ป่วย สามัญระยะเวลา 5 ชั่วโมง มีอาการทรุดลงทำการย้ายห้องผู้ป่วยหนักอายุรกรรม R/O Septic encephalopathy with Respiratory Failure ในระหว่างการดูแลรักษามีภาวะ Acute Plumonary Embolism และVAP ซึ่งมี ปัญหาที่ซับซ้อน Management : ได้นำกรอบแนวคิดสำหรับการดูแลผู้ป่วยวิกฤต โดยใช้ทฤษฎีระบบการพยาบาล 3 ระยะคือ ระยะทดแทนทั้งหมด ระยะทดแทนบางส่วน และระยะการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ ทั้งผู้ป่วยและ ญาติ โดยการดูแลรักษาที่ให้ความสำคัญกับทุกด้านของบุคคล ได้แก ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณในบทบาทของ พยาบาลให้การดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุมโดยมีทีมสหสาขาวิชาชีพ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินหายใจ หัวใจ ระบบ ประสาท การติดเชื้อ โภชนาการ เภสัชกร กายภาพบำบัด และพยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางวิกฤต ซึ่งการประเมิน การดูแลผู้ป่วยโดยใช้ SOFA Score และ APACHE II Score ในการประเมินภาวะทรุดลงทุกวันทุกเวร Result : แรกรับ SOFA Score 0-6 คะแนน ( Mortality น้อยกว่า 10 % ) และ APACHE II Score 25-29 คะแนน ( Death Rate 55 % ) จนทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น SOFA Score 10-12 คะแนน ( Mortality 40-50 % ) และ APACHE II Score 5-9 คะแนน ( Death Rate 8 % ) สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจ และส่งต่อรับ การรักษาไปหน่วยงานสามัญและวางแผนจำหน่ายได้ ระยะเวลาที่ดูแลในห้องผู้ป่วยหนัก 37 วัน และส่งต่อรับการ รักษาไปหน่วยงานสามัญและวางแผนจำหน่ายได้ภายใน 1 สัปดาห์ รวมระยะเวลาวันนอนในโรงพยาบาล 44 วัน Discussion การใช้แบบสอบถามการรับรู้การดูแลด้านจิตวิญาณตามแนวคิดของเบสท์ร่วมกับการประเมิน SOFA Score , APACHE II Score ร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ ผู้ป่วยปลอดภัยได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ Reference: 1.สุนิสา เดชพิชัย จิราภรณ์ ชูวงศ์ .(2563) วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ปีที่3 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2563 2.วิจิตรา กุสุมภ์ .(2560) การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต:แบบองค์รวม กรุงเทพฯ:ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล สหประ ชาพาณิชย์
ชื่อเรื่อง : พัฒนาแนวปฏิบัติการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตอายุรกรรมในหอผู้ป่วย อายุรกรรมชายชั้น6 ชื่อผู้นำเสนอ : นางสาวนันทนา เนื้ออ่อน พว.ชำนาญการ สังกัด : โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี บทนำ : การเกิดแผลกดทับเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกคุณภาพการให้การพยาบาล ผลการสำรวจความชุกใน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีอัตราความชุก 5.60 พบสูงสุดในหน่วยงานอายุกรรม ปี2563/2564/2565 ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายชั้น 6 พบผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตอายุรกรรมเกิดแผลกดทับ ระดับ2 ขึ้นไปจำนวน 48,39และ66 ราย สาเหตุการเกิดแผลกดทับจากการใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา/ความเปียกชื้น/ อุณหภูมิห้องสูงเฉลี่ย 37-40 องศา/ไม่ได้พลิกตะแคงตัวจัดท่าผู้ป่วยตามเวลา หน่วยงานตระหนักถึงความสำคัญ จึงได้พัฒนาแนวปฏิบัติการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย และสอดคล้องกับนโยบายของโรงพยาบาลในการดูแลความปลอดภัยผู้ป่วย(Patient Safety) วัตถุประสงค์: ลดอัตราการเกิดแผลกดทับระดับที่ 2 ขึ้นไปในผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตอายุรกรรม วิธีดำเนินการ: ใช้กระบวนการ PDCA กำหนดกลุ่มเป้าหมายคือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตในโซน ICU จำนวน 8 เตียง/ระยะดำเนินการ 1ก.พ.-30 เม.ย.2567/กำหนดแนวทางปฏิบัติการพลิกตะแคงตัวและการดูแลผิวหนัง/จัด Work shop สาธิตการจัดท่านอนและSkin care โดยET nurse/ทำนวตกรรมองศาเตียงและนาฬิกาพลิกตัว/ เตรียมอุปกรณ์ Skin care/ที่นอนลม/อุปกรณ์ลดแรงกด/จัดตั้ง Group lineรายงานแผลกดทับในหน่วยงาน ติดตามผลการดำเนินงานโดยหัวหน้าหอผู้ป่วย ET.nurseและทีมพยาบาลอช.6ทุกสัปดาห์ ผลการดำเนินงาน : 1) ไม่พบอุบัติการณ์การเกิดแผลกดทับ 2) เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่กำหนด 85% ข้อเสนอแนะ : การป้องกันการเกิดแผลกดทับสิ่งที่สำคัญคือการกำหนดแนวปฏิบัติและมอบหมายผู้รับผิดชอบ อย่างชัดเจน ความร่วมมือจากทีมสหสาขาวิชาชีพและการนิเทศติดตามสม่ำเสมอ คำสำคัญ : แผลกดทับ,ภาวะวิกฤตอายุรกรรม,แนวปฏิบัติการป้องกันการเกิดแผลกดทับ
การนำเสนอวิชาการ เรื่อง “ความก้าวหน้าและการพัฒนาวิชาชีพการพยาบาล ประจำปี 2567 ครั้งที่ 1/2567 วันที่ 24 เมษายน 2567 ชื่อผู้นำเสนอ : นางอรุณี มงคลศิลป์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ สังกัด : ห้องส่องกล้องอายุรกรรม กลุ่มงานการพยาบาลตรวจรักษาพิเศษ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ชื่อเรื่องนำเสนอ : การพยาบาลผู้ป่วยส่องกล้องช่องทรวงอก (Medical thoracoscopy ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า Pleuroscopy : กรณีศึกษา ชื่อภาษาอังกฤษ : Nursing Care of Patients thoracoscopy ( Medical thoracoscopy), also known as Pleuroscopy : Case study บทคัดย่อ บทนำ : การส่องกล้องช่องทรวงอกหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Pleuroscopy หัตถการนี้ช่วยรักษาและวินิจฉัย ทำ โดยการดูผ่านกล้อง (thoracoscopy)และทำการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) จากเยื่อหุ้มปอดของผู้ป่วยที่มีน้ำในโพรงเยื่อ หุ้มปอด(pleural effusion) ในประเทศไทยมีบางโรงพยาบาลที่สามารถทำหัตถการนี้ได้ จากข้อมูล ปี 2564-2566 พบผู้ป่วย 38 21และ 28 ตามลำดับ วัตถุประสงค์:เพื่อศึกษาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยส่องกล้องช่องทรวงอก วิธีการศึกษา: ศึกษาผู้ป่วยส่องกล้องช่องทรวงอก ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 -30 เมษายน 2567 ใช้แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียน การซักประวัติผู้ป่วย พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การ วางแผนการพยาบาล สรุปประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล ผลการศึกษา: Case 1 ชายไทยอายุ 56 ปี หายใจเหนื่อยหอบ 1 เดือนก่อนมา ไอมากตอนกลางคืน ไอเจ็บตึงไปกลางหลัง O2 sat 96% Cx̄R พบ Right pleural effusion หลังทำพบว่า Fibrinous pleuritis with granulation tissue หลังทำ หัตถการผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน เป็นการส่องกล้องเพื่อการวินิจฉัย Case 2 หญิงไทยอายุ 79 ปี7 วันก่อน มาโรงพยาบาล ไอแน่นหน้าอก เหนื่อยนอนราบไม่ได้ O2 sat 95% Cx̄R พบLung mass Right pleural effusion หลัง ทำ พบ adenocacinoma แพทย์ส่ง consult Onco Med ให้ยาเคมีบำบัด หลังทำหัตถการผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มี ภาวะแทรกซ้อนเป็นการส่องกล้องเพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรค สรุป : Pleuroscopy เป็นการรักษาต้นเหตุที่ตรงจุด ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พยาบาลต้องมีความรู้ ทักษะความ ชำนาญเป็นพิเศษ มีแนวทางการพยาบาลที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความปลอดภัย คำสำคัญ : Pleuroscopy pleural effusion ส่องกล้องช่องทรวงอก (Medical thoracoscopy )
พัฒนาแนวทางการประเมินและป้องกันภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตบาดเจ็บหลายระบบชื่อเรื่อง แนวทางการประเมินและป้องกันภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตบาดเจ็บหลายระบบชื่อผู้จัดทําและผู้นําเสนอ นางพิสมัย ชูไทย และ นางสาวอัมพวัน ประดับศรีพยาบาลวิชาชีพชํานาญการห้องผู้ป่วยหนักหลวงปู่ชา โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์โทรศัพท์094 – 2917424 E – mail address:[email protected] ความสําคัญของปัญหาภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันเป็นสาเหตุหลักของอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยระยะวิกฤตหากมีการประเมินติดตามผู้ป่วยที่ล่าช้า ไม่ครอบคลุม อาจทําให้เกิดผลเสียร้ายแรงขึ้นกับผู้ป่วยได้จากสถิติห้องผู้ป่วยหนักหลวงปู่ชาโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์พบว่า มีภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในปี2565-2566 = 10 และ15ราย ตามลําดับ 6 เดือนแรก (ต.ค.66-มี.ค.67)= 5 ราย ที่ได้รับบําบัดทดแทนไตที่หน่วยไตเทียม(ข้อมูลสถิติประจําเดือนผู้ป่วยที่เข้ารับการฟอกไตหน่วยไตเทียม โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์,2566 ) ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นทางหอผู้ป่วยเล็งเห็นความสําคัญในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้ปลอดภัยตามมาตรฐานวิชาชีพจึงได้จัดทําแนวทางการประเมินและป้องกันภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตบาดเจ็บหลายระบบขึ้น วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้มีแนวทางการประเมินเพื่อป้องกันภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตบาดเจ็บหลายระบบ วิธีดําเนินการ : 1)ประชุมวางแผน วิเคราะห์ข้อมูล /สถานการณ์ 2)ทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์/แนวปฏิบัติ/มาตรฐานโรค พัฒนาแนวปฏิบัติโดยใช้แนวคิด Soukup (2000)มีขั้นตอน 1) ค้นหาปัญหาทางคลินิก 2) ทบทวนและสืบค้น ประเมินความน่าเชื่อถือของงานวิจัยโดยได้ระดับความน่าเชื่อถือระดับ A=1 B=2 C=3 D=7เรื่องตามลําดับ 3)ระดมสมองจัดทําแนวทางการปฏิบัติงาน4)ปฏิบัติตามแนวทางดังนี้4.1 มีการประเมินผู้ป่วยทุกรายด้วยแบบประเมินเพื่อป้องกันภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน โดยผู้ที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง(DM,HT,CKD,CHF ,Heartdisease) ต้องมีสัญลักษณ์เตือนให้ทราบเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเป็นรูปไตสีแดง กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังใช้สัญลักษณ์รูปไตสีเหลืองและกลุ่มที่ไม่มีโรคปรจําตัวใช้สัญลักษณ์รูปไตสีเขียว มีระดับคะแนนแบ่งความรุนแรงคะแนน≥5มีความเสี่ยงต่อการเกิด AKI 4.2 มีแนวทางการรายงานแพทย์เจ้าของไข้เพื่อให้แผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย4.3 ปฏิบัติตามแผนการรักษาและประเมินผล 5) นิเทศการปฏิบัติโดย HN /SN 6) วิเคราะห์สรุปผล ผลการศึกษา มีแนวปฏิบัติการป้องกันไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตบาดเจ็บหลายระบบ คําสําคัญ: AKI predictor,การป้องกันไตบาดเจ็บเฉียบพลัน,การประเมินภาวะไตวายในผู้ป่วยวิกฤตอุบัติเหตุ
บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง: โปรแกรมการพยาบาลด้วยความรักเพื่อการดูแลด้านจิตใจผู้ป่วยแผลไหม้ ความเป็นมาและความสำคัญ: การบาดเจ็บแผลไหม้เป็นการเจ็บป่วยที่มีความรุนแรง มีความเสี่ยงสูง ผู้ป่วยต้อง ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและรวดเร็วจากทีมสุขภาพที่มีความรู้และประสบการณ์เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยและป้องกัน ภาวะแทรกซ้อน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ ตั้งใจหรือไม่ทราบล่วงหน้า ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดและวิตกกังวล อาจเกิดอาการตกใจ ร้องไห้ กลัว นอนไม่ หลับ เศร้าโศก และซึมเศร้า บางคนอาจถามข้อมูลซ้ำ ๆ ไปมา แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ร้องตะโกนเสียงดัง ไม่ให้ ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล ตำหนิตนเอง ตำหนิทีมสุขภาพที่ให้ข้อมูลไม่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยยังไม่มี การรับรู้ที่ถูกต้อง พยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์โดยอาศัยการสร้าง สัมพันธภาพภายใต้ความรักในเพื่อนมนุษย์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย ช่วยลดความกลัว และความวิตก กังวลขณะรับการรักษาใน Burn Unit อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ป่วยด้วย วัตถุประสงค์: เพื่อส่งเสริมการดูแลด้านจิตใจผู้ป่วยแผลไหม้ขณะรับการรักษาใน Burn Unit โดยใช้โปรแกรมการ พยาบาลด้วยความรัก วิธีดำเนินการ: 1. พัฒนาโปรแกรมการพยาบาลด้วยความรักจากการศึกษาเอกสาร ตำรา ตามทฤษฎีการดูแล ของวัทสัน ประกอบด้วยปัจจัยการดูแล 10 ประการ ได้แก่ 1) สร้างระบบค่านิยมการเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น และมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 2) สร้างความศรัทธาและความหวัง 3) สร้างความไวต่อความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น 4) สร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือและความไว้วางไว 5) ยอมรับความรู้สึกทางบวกและลบ 6) ใช้วิธีการแก้ปัญหา และตัดสินใจอย่างเป็นระบบเพื่อการตัดสินใจ 7) ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เข้าถึงจิตใจผู้อื่น 8) ประคับประคอง สนับสนุน และแก้ไขสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ จิตสังคม และจิตวิญญาณ 9) พึงพอใจที่จะช่วยเหลือเพื่อตอบสนอง ความต้องการของบุคคลอื่น และ 10) ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น-พลังที่มีอยู่ 2. ให้ความรู้แก่พยาบาลในการปฏิบัติตาม โปรแกรม ฯ 3. ปฏิบัติการพยาบาลตามโปรแกรม ฯ ในกลุ่มผู้ป่วยแผลไหม้ที่เข้ารับการรักษาใน Burn Unit เดือน มกราคม ถึงเมษายน 2567 ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถสื่อสารเข้าใจ 4. ประเมินภาวะสุขภาพจิตของผู้ป่วยแผล ไหม้ที่ได้รับการพยาบาลตามโปรแกรม ฯ ทุก 7 วัน โดยพยาบาลเจ้าของไข้ ใช้แบบวัดความวิตกกังวล STAI FormY1 มี 20 ข้อคำถาม เป็นข้อความเชิงบวก 10 ข้อ และเชิงลบ 10 ข้อ นำมาจัดระดับความวิตกกังวลเป็น 3 ระดับ คือ 20-39 คะแนนมีความวิตกกังวลต่ำ 40-59 คะแนนมีความวิตกกังวลปานกลาง และ 60-80 คะแนนมีความวิตก กังวลสูง 5. ประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการปฏิบัติการพยาบาลตามโปรแกรม ฯ ในวันจำหน่าย ประกอบด้วย ด้านกระบวนการ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และด้านความพึงพอใจโดยรวม เป็นมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ โดย 1 คะแนนพึงพอใจน้อยที่สุดจนถึง 5 คะแนนพึงพอใจมากที่สุด 6. วิเคราะห์และสรุปผล ผลการดำเนินงาน: 1. ผู้ป่วยแผลไหม้ที่ได้รับการพยาบาลตามโปรแกรมการพยาบาลด้วยความรัก ในการประเมิน ความวิตกกังวลครั้งแรก กลุ่ม major burn มีความวิตกกังวลเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง ส่วนกลุ่ม moderate burn มี ความวิตกกังวลเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และลดลงอยู่ในระดับต่ำ ในการประเมินครั้งต่อไปจนจำหน่าย 2. ผล การประเมินความพึงพอใจเฉลี่ยทั้งด้านกระบวนการ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และภาพรวมอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะ: ขยายผลการปฏิบัติการพยาบาลด้วยความรักไปยังญาติหรือผู้ดูแล เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล ความเครียด ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลและการให้คำปรึกษาในการจัดการความเครียดต่อไป
ชื่อเรื่อง : การพัฒนาแนวปฎิบัติการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานหักและกระดูกเบ้าสะโพกหักโดยใช้แบบ ประเมินสุขภาพ FANCAS ชื่อหน่วยงาน : หอผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ชาย1 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ชื่อผู้น าเสนอ : นางยุพาพิน สายแวว Email : [email protected] หลักการและเหตุผล : กระดูกเชิงกรานหักและกระดูกเบ้าสะโพกหักเป็นภาวะการบาดเจ็บที่พบได้ไม่บ่อย แต่ มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างสูง มีโอกาสเสียชีวิตและเกิดความพิการ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ตามมาตรฐาน จากบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแล โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์จังหวัด อุบลราชธานีเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิที่มีความเป็นเลิศด้านอุบัติเหตุ จากสถิติข้อมูลผู้ป่วยปี 2564 และ 2565 มีผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานและกระดูกเบ้าสะโพกหักเท่ากับ 60 และ 56 รายพบอุบัติการณ์เกิดภาวะ Hypovolemic shock เท่ากับ 3 และ 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 5 และ1.75 ตามล าดับ จากผลการทบทวนพบว่า ผู้ป่วยมีการบาดเจ็บระบบอื่นร่วมด้วย ถึงแม้ว่าจะพบอุบัติการณ์ไม่มาก แต่เป็นภาวะวิกฤตฉุกเฉินทาง ออร์โธปิดิกส์ที่ต้องเฝ้าระวัง หน่วยงานจึงได้พัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานหักและ กระดูกเบ้าสะโพกหักโดยใช้แบบประเมินสุขภาพ FANCAS เพื่อน ามาพัฒนางานในการดูแลผู้ป่วยต่อไป วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาแนวปฎิบัติการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานหักและกระดูกเบ้าสะโพกหักโดยใช้ แบบประเมินสุขภาพ FANCAS วิธีการด าเนินการ : (1) ทบทวนสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยผู้ป่วยกระดูกเชิงกรานหักและกระดูกเบ้าสะโพกหัก (2) ศึกษาค้นคว้างานวิจัยต าราและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (3) ประชุมวางแผนการด าเนินงานและสร้าง รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโดยใช้แบบประเมินสุขภาพ FANCAS (4) ให้ความรู้ด้านวิชาการแก่เจ้าหน้าที่และอธิบาย การใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น (4) ปฏิบัติตามรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วกระดูกเชิงกรานหักและกระดูกเบ้าสะโพก หักโดยใช้แบบประเมินสุขภาพ FANCAS (5) ประเมินผล ระยะเวลาด าเนินการ : ตุลาคม 2565 – กันยายน 2566 ผลการด าเนินการ: (1) อุบัติการณ์ผู้ป่วยย้าย ICU โดยไม่ได้วางแผนเท่ากับ 0 % (2) อุบัติการณ์ผู้ป่วยเกิด ภาวะ Hypovolemic shock Stage 2 เท่ากับ 0 % (3) บุคลากรปฏิบัติตามแนวปฎิบัติการพยาบาลผู้ป่วย กระดูกเชิงกรานหักและกระดูกเบ้าสะโพกหักโดยใช้แบบประเมินสุขภาพ FANCAS เท่ากับร้อยละ 90 % ประเด็นที่ยังไม่ครอบคลุมคือเนื่องจากยังไม่เคยใช้แบบประเมินสุขภาพ FANCASในหอผู้ป่วยสามัญ สรุป: แนวปฎิบัติช่วยให้การดูแลผู้ป่วยประสบผลส าเร็จ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความพิการ มีคุณภาพชีวิต ที่ดีและบุคลากรมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ค าส าคัญ : กระดูกเบ้าสะโพกหัก, การพยาบาลผู้ป่วยกระดูกเบ้าสะโพกหัก
บทคัดย่อ 1. ชื่อผลงาน/โครงการพัฒนา: การพัฒนาระบบการสื่อสารในทีมออกปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อออก รับผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล 2. ประเภทผลงานพัฒนา CQI: การพัฒนาระบบการสื่อสารในทีมออกปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินโดยใช้ ระบบ Ambulink 3. ชื่อหน่วยงาน:ศูนย์ดูแลผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาล ผู้นำเสนอ : นางรติมา นันทวิเชียร 4. หลักการและเหตุผล ปัญหาสาเหตุโดยย่อ ความต้องการพัฒนา: การสื่อสารในทีมออกปฏิบัติการที่จุด เกิดเหตุเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นขั้นตอนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วย สถิติการออกรับผู้ป่วยเมื่อปี 2564 , 2565 และ 2566 มีจำนวน 617 , 1437 และ 1070 รายต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการไม่คงที่ ทั้งหยุดหายใจ และที่ต้องช่วยฟื้นคืนชีพอีกจำนวนมาก เพราะหน่วยปฏิบัติขั้นสูงของโรงพยาบาลสรรพ สิทธิฯ ดูแลผู้ป่วยทุกกรณีดังนั้น ขั้นตอนเมื่อได้รับแจ้งข้อมูลจากศูนย์สั่งการให้ออกรับผู้ป่วย กระบวนการในการสื่อสารในทีมออกเหตุ พบปัญหาการสื่อสารที่ล่าช้า หรือสื่อสารกับทีมออกปฏิบัติการ ไม่ได้ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการสื่อสารทางวิทยุเมื่อออกเดินทาง ขณะทำหัตถการบนรถแล้วไม่สะดวกใน ถือวิทยุสื่อสาร เมื่อออกปฏิบัติการระยะทางเริ่มห่างจากโรงพยาบาล สัญญาณวิทยุจะเริ่มขาดหาย จึงมี การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน คือระบบ Ambulinkในระหว่างการปฏิบัติการได้ 5. วัตถุประสงค์ / ตัวชี้วัด: -ทีมออกปฏิบัติการได้รับการติดต่อสื่อสารกับศูนย์สั่งการกู้ชีพสรรพสิทธิ์ได้ 100% -ทีมสื่อสารเข้าใจขั้นตอนการส่งข้อมูล 100% 6. วิธีดำเนินการ ประกอบด้วย 6.1รูปแบบการพัฒนา : - จัดอบรมให้เจ้าหน้าที่ได้ใช้งานจริงในระบบAmbulink - ใช้กับผู้ป่วยทุกรายที่มีการออกปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน 6.2สถานที่ดำเนิน: ศูนย์สั่งการกู้ชีพสรรพสิทธิ์และบนรถพยาบาล 6.3 กลุ่มเป้าหมาย/ กระบวนการพัฒนา : จัดเจ้าหน้าที่เข้าอบรม เพื่อศึกษาเรียนรู้ระบบและการใช้งาน 6.4 วิธีการเก็บข้อมูล/วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล: -สถิติการใช้งาน Ambulinkเมื่อมีการออกเหตุ 7. ผลการดำเนินการ: เจ้าหน้าที่ใช้งานระบบ Ambulinkได้ 100% 8. ข้อเสนอแนะการนำผลการดำเนินการไปใช้ประโยชน์ - การติดต่อสื่อสารเป็นความสำคัญในการออกปฏิบัติการฉุกเฉิน - การสื่อสารที่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้รวดเร็วและต่อเนื่อง - เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการ ทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลาง โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธร ล ำปำง ลูกค ำ* บทคัดย่อ บทน า: หน่วยจ่ำยกลำง (Central sterile supply department: CSSD) เป็นศูนย์กลำงรวบรวมอุปกรณ์ กำรแพทย์ที่ปนเปื้อนมำสู่กระบวนท ำให้ปรำศจำกเชื้อที่ได้มำตรฐำน ผู้รับบริกำรได้รับอุปกรณ์กำรแพทย์ปรำศจำก เชื้อที่มีมำตรฐำน เพียงพอ พร้อมใช้งำน และมีควำมพึงพอใจต่อกำรบริกำร แต่ยังมีควำมท้ำทำยในกำรพัฒนำอยู่ หลำยประเด็น ได้แก่ กำรควบคุมคุณภำพ ในงำนจ่ำยกลำง กำรส ำรองเครื่องมือมำกเกินควำมจ ำเป็น อุปกรณ์ หมดอำยุ จ ำนวนอุปกรณ์ส่งมำท ำให้ปรำศจำกเชื้อซ้ ำ กำรบริหำรจัดกำรหมุนเวียนเครื่องมือให้เหมำะสมพร้อมใช้ และกำรวำงแผนให้เป็นระบบ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนำระบบควบคุมคุณภำพในงำนจ่ำยกลำง โดยประยุกต์ แนวคิดแบบลีนมำใช้ในกำรพัฒนำระบบงำนดังกล่ำว วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนำและศึกษำผลของกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วย จ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร วิธีการศึกษา: รูปแบบกำรวิจัยเป็นรูปแบบกำรวิจัยและพัฒนำ ประกอบด้วย 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 กำรศึกษำ สถำนกำรณ์กำรจัดบริกำรในหน่วยงำนจ่ำยกลำง ระยะที่ 2 กำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิด แบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรและกำรทดลองใช้รูปแบบ ระยะที่ 3 กำรน ำรูปแบบกำรจัดบริกำรที่ ปรับปรุงแล้วไปใช้จริงในหน่วยงำน ระยะที่ 4 กำรประเมินผลลัพธ์กำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร คัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบสุ่มอย่ำงง่ำยตำมเกณฑ์คัดเข้ำเป็นพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอ ผู้ป่วย จ ำนวน 30 คน เป็นเจ้ำหน้ำที่หน่วยจ่ำยกลำง 19 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย ประสิทธิภำพกำรท ำให้ ปรำศจำกเชื้อ แบบประเมินกำรปฏิบัติตำมกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วย จ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร และแบบประเมินควำมพึงพอใจของเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนในหน่วยจ่ำยกลำง และ พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนำ ผลการวิจัย ประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ เท่ำกับร้อยละ 100 ควำมพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่ำงอยู่ในระดับ มำก มีกำรปฏิบัติตำมรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ทั้ง 5 กิจกรรม มำกกว่ำ ร้อยละ 80 ทุกกิจกรรม สรุปผลการวิจัย: กำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำล ยโสธร พบว่ำ ผลลัพธ์ในกำรด ำเนินงำนดีกว่ำแบบเดิม ข้อเสนอแนะ ควรมีกำรน ำแนวคิดลีนมำใช้ และมีกำรศึกษำติดตำมประเมินผลอย่ำงต่อเนื่อง
Development of Service Quality Central Sterile Supply by Lean concept In Supply center : Yasothon Hospital Lampang Lookkum* Abstract The central distribution point is the center that collects used medical equipment and places it in a standardized process, namely clean, sterile equipment. The beneficiaries receive tools medical devices that are clean, sterile, compliant, safe and ready for use. They are ready for use and satisfied. From experience, it was found that there are still many challenges in development, including quality control. in the middle-paid position management of rotation of tools appropriate and ready for use planning for a central sterilization system, reducing re-sterilization. The researcher is therefore interested in developing a quality control system in centralized distribution. By applying the lean concept to develop the said work system. Objective: To develop and study the results of improving the quality of centralized payment services. Application of the lean concept in the central distribution unit of Yasothon Hospital Method of the study:The research model is a research and development model consisting of 4 phases: Phase 1: Investigating the situation of service delivery in the centralized distribution units. Phase 2: Improving the quality of centralized distribution services using lean concepts in the centralized distribution unit. Yasothon Hospital and testing the model, Phase 3: Implementing the improved service delivery model in agency practice. Phase 4: Evaluation of the results of the development of the quality of centralized payment services. Yasothon Hospital A simple random sample was selected according to the inclusion criteria. They were 30 infection control nurses, including 19 central dispatch staff. Research instruments include a quality assessment form for quality control systems in central dispatch work and a provider and service recipient satisfaction assessment form Data were analyzed using descriptive statistics. Research instruments include quality assessment form for quality control systems in centralized distribution work and service provider and service recipient satisfaction assessment form Data were analyzed using descriptive statistics. Research results: Sterilization efficiency Equal to 100 percent, the satisfaction of the sample group was at a high level. The central distribution service system model is followed using the Lean concept in all 5 activities, more than 80 percent of every activity. Summary of the research results: Improving the quality of centralized payments using lean concepts in the central distribution unit of Yasothon Hospital revealed that operating results were better than the original model. Suggestions: Lean concepts should be applied. And there is continuous investigation, monitoring and evaluation.
1.ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ภำวะติดเชื้อในโรงพยำบำลมีควำมส ำคัญเป็นอย่ำงมำก เนื่องจำกกำรติดเชื้อในโรงพยำบำลส่งผลกระทบ ต่อผู้ป่วย ต่อบุคลำกร และต่อโรงพยำบำล ผลกระทบต่อผู้ป่วย ท ำให้อัตรำกำรเสียชีวิตสูง และทุพพลภำพ สูญเสีย รำยได้ และสูญเสียโอกำสทำงสังคม ผลกระทบต่อบุคลำกรท ำให้ภำระงำนเพิ่มขึ้น บุคลำกรไม่เพียงพอ คุณภำพชีวิต ลดลง ผลกระทบต่อองค์กร ท ำให้ต้นทุนกำรรักษำเพิ่มขึ้น เกิดกำรสูญเสียทำงเศรษฐกิจ เสี่ยงต่อกำรถูกฟ้องร้อง ร้องเรียน โดยเฉพำะโรงพยำบำลตติยภูมิหรือโรงพยำบำลมหำวิทยำลัย ซึ่งนอกจำกจะมีจ ำนวนผู้ป่วยที่มีปริมำณ มำกแล้ว ยังมีกำรรักษำที่ช่วยยืดอำยุผู้ป่วยโดยวิธีกำรต่ำงๆ เช่น กำรใช้เครื่องช่วยหำยใจ กำรใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ กำรฟอกไต กำรตรวจรักษำที่ซับซ้อน เช่น กำรใส่สำยสวนหัวใจ กำรฉีดสำยทึบแสง ฯ หรือกำรผ่ำตัดใหญ่ฯลฯ เป็น ต้น สิ่งเหล่ำนี้ล้วนแต่เอื้อให้เกิดภำวะติดเชื้อในโรงพยำบำลแทบทั้งสิ้น ข้อมูลสถำนกำรณ์กำรติดเชื้อในโรงพยำบำล ในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2553 มีรำยงำนข้อมูลกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล จำกโรงพยำบำลมหำวิทยำลัย โรงพยำบำลศูนย์ โรงพยำบำลทั่วไป และโรงพยำบำลชุมชน จ ำนวน 1,023 แห่ง พบกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล จ ำนวน 268,628 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 3.98 ของจ ำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่เข้ำรับกำรรักษำในโรงพยำบำล10และใน ปี พ.ศ. 2554 พบอัตรำควำมชุกกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล ร้อยละ 7.3 ต้องพักรักษำในโรงพยำบำลนำนขึ้น ประมำณ10 วัน มีอัตรำตำยสูงถึง ร้อยละ 10.0 สูญเสียทำงเศรษฐกิจเป็นหมื่นล้ำน(4) และจำกผลส ำรวจอัตรำ ควำมชุกกำรติดเชื้อในโรงพยำบำลของสถำบันบ ำรำศนรำดูร ในปีงบประมำณ 2557 พบร้อยละ 5.011 ภำวะติด เชื้อในโรงพยำบำลท ำให้เกิดผลกระทบต่ำงๆจ ำนวนมำก ได้แก่ กำรท ำให้ผู้ป่วยมีอัตรำกำรตำยหรือทุพพลภำพมำก ขึ้น ผู้ป่วยต้องอยู่โรงพยำบำลนำนขึ้นท ำให้มีกำรสูญเสียรำยได้หรือโรงพยำบำลมีอัตรำกำรหมุนเวียนเตียงลดลงท ำ ให้ไม่สำมำรถรับผู้ป่วยรำยใหม่ได้และอำจจะท ำให้เกิดกำรระบำดของกำรติดเชื้อดื้อยำในโรงพยำบำลได้๔ กำรติดเชื้อในโรงพยำบำล (healthcare-associated infections) หมำยถึง กำรติดเชื้อของผู้ป่วยขณะที่ เข้ำรับกำรรักษำอยู่ในโรงพยำบำล โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอำกำรติดเชื้อนั้นมำก่อน หรือไม่ได้อยู่ในระยะฟักตัวของโรค นั้นๆ ขณะเริ่มเข้ำรับกำรรักษำ ในโรงพยำบำล ซึ่งอำกำรของกำรติดเชื้อนั้นอำจแสดงให้เห็น ในขณะที่ผู้ป่วยก ำลัง รับกำรรักษำอยู่ในโรงพยำบำลและยังรวมถึงผู้ป่วยที่ออกจำกโรงพยำบำลแล้วแต่มีอำกำรแสดงในช่วงระยะฟักตัว ของโรคดังกล่ำว กรณีที่ไม่ทรำบระยะฟักตัวให้ก ำหนดระยะเวลำกำรติดเชื้อที่เกิดขึ้นภำยหลังเข้ำรักษำ ใน โรงพยำบำลไม่น้อยกว่ำ 2 วันปฏิทิน ชั่วโมง๙,11 กรรมวิธีที่ใช้ในกำรตรวจรักษำผู้ป่วย ที่ท ำให้เกิดโรคติดเชื้อในโรงพยำบำล (Inducing Procedure) ที่ ส ำคัญมีดังนี้ 1. กำรสวนปัสสำวะ เป็นกรรมวิธีที่พบบ่อยที่สุด และในโรงพยำบำลพบว่ำประมำณร้อยละ 25 ของผู้ป่วย ที่รับไว้รักษำในโรงพยำบำลได้รับกำรสวนปัสสำวะ 2. กำรผ่ำตัด กำรท ำแผล 3. กำรให้สำรน้ ำเข้ำหลอดเลือดด ำ (IV line) 4. กำรใช้เครื่องช่วยหำยใจ 5. กำรใส่ท่อต่ำงๆ เข้ำสู่ร่ำงกำย เช่น endotracheal tube, tracheostomy tube เป็นต้น 6. กำรฉีดยำ เจำะเลือด นอกจำกกำรท ำหัตถกำรต่ำงๆที่เอื้อต่อกำรเกิดภำวะติดเชื้อแล้ว อุปกรณ์กำรแพทย์ต่ำงๆในกำรท ำ หัตถกำรนั้นๆก็มีควำมส ำคัญเป็นอย่ำงมำกโดยอุปกรณ์กำรแพทย์ในโรงพยำบำลส่วนใหญ่สำมำรถน ำกลับมำใช้ซ้ ำ
ได้แต่จะต้องได้รับกำรท ำลำยเชื้อหรือกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อที่มีประสิทธิภำพ หำกกระบวนกำรท ำลำยเชื้อหรือท ำ ให้ปรำศจำกเชื้อไม่มีประสิทธิภำพจะส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อในโรงพยำบำลได้ จำกกำรศึกษำในต่ำงประเทศพบว่ำมีกำรติดเชื้อในโรงพยำบำลจำกกำรท ำลำยเชื้อและท ำให้ปรำศจำกเชื้อ ของอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ไม่มีประสิทธิภำพ มีรำยงำนดังนี้Gransden และคณะศึกษำกำรระบำดของเชื้อ Serratia marcescens ในโรงพยำบำลในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตรวจพบเชื้อ Serratia marcescens ในทำรก 30 รำย ผลกำรศึกษำพบว่ำกำรระบำดเกิดจำกกำรท ำลำยเชื้อใน breast bump ไม่เหมำะสม เนื่องจำกกำรน ำ breast bump แช่ใน hypochlorite แต่บำงส่วนของ breast bump ไม่จมอยู่ในน้ ำยำและไม่มีกำรบันทึกเวลำที่แช่ ท ำให้ เกิดกำรปนเปื้อนเชื้อ Serratia marcescens ในน้ ำนมมำรดำและหลังจำกเปลี่ยนวิธีกำรเป็นกำรล้ำงด้วยเครื่อง อัตโนมัติโดยใช้อุณหภูมิ 80 องศำเซลเซียสและท ำให้แห้งกำรระบำดสงบลง14 เซฟไฟและคณะ13 ได้ท ำกำรศึกษำ กำรระบำดของเชื้อ Acinetobacter anitratus ที่ดื้อต่อยำต้ำนจุลชีพพบว่ำผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรรักษำในหออภิบำล ผู้ป่วยในโรงพยำบำลแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษเกิดกำรติดเชื้อที่ระบบทำงเดินหำยใจ เนื่องจำกกำรท ำลำยเชื้อ อุปกรณ์เครื่องช่วยหำยใจไม่สมบูรณ์ท ำให้ผู้ป่วย 6 รำย เกิดกำรติดเชื้อและในจ ำนวนนี้เสียชีวิต 2 รำย ส ำหรับประเทศไทยยังไม่พบรำยงำนภำวะติดเชื้อจำกกำรท ำลำยเชื้อและท ำให้ปรำศจำกเชื้อของอุปกรณ์ กำรแพทย์ที่ไม่มีประสิทธิภำพที่ชัดเจน แต่ในโรงพยำบำลต่ำงๆก็ไม่ควรมองข้ำมในเรื่องส ำคัญนี้ ในกำรควบคุมกำร ป้องกันกำรติดเชื้อในโรงพยำบำลนั้นเป็นสิ่งที่ป้องกันได้แต่ไม่ได้ทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจำกเชื้อที่เป็นสำเหตุโดยมำกอยู่ ในตัวผู้ป่วยเอง ปัจจัยที่ส ำคัญคือภูมิคุ้มกันโรคลดลงในผู้ป่วย, กำรตรวจรักษำที่เสี่ยงต่อกำรน ำเชื้อเข้ำสู่ผู้ป่วย ซึ่งไม่ สำมำรถหลีกเลี่ยงได้อย่ำงไรก็ตำม เมื่อพิจำรณำถึงผลที่จะได้จำกกำรป้องกันแล้ว ก็น่ำที่จะได้รับกำรพิจำรณำจำก หน่วยงำนที่วำงนโยบำยของสถำนพยำบำลนั้นๆ กำรป้องกันกระท ำได้โดยวิธีกำรดังต่อไปนี้ 1. มีระบบเฝ้ำติดตำมกำรติดเชื้อ (surveillance system) ที่ดี 2. ก ำจัดแหล่งของเชื้อโรค 3. อำหำรและน้ ำดื่มต้องสะอำด 4. กำรเข้มงวดต่อกรรมวิธีปลอดเชื้อ และกำรท ำลำยเชื้อ (Aseptic and antiseptic technique) 5. กำรแยกผู้ป่วย 6. กำรเข้มงวดต่อกำรใช้ยำต้ำนจุลชีพ ซึ่งมำตรกำรเหล่ำนี้เป็นสิ่งที่บุคลำกรทำงกำรแพทย์ทุกคนควรตระหนักและให้ควำมสนใจเพื่อให้ โรงพยำบำลประสบควำมส ำเร็จในกำรควบคุมและป้องกันกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล หน่วยจ่ำยกลำง (Central sterile supply department) เป็นศูนย์กลำงของสถำนพยำบำลในกำร รวบรวมอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ใช้แล้ว เข้ำสู่กระบวนกำรท ำลำยเชื้อและท ำให้ปรำศจำกเชื้อก่อนน ำไปใช้ในกำรตรวจ รักษำและ หรือช่วยชีวิตผู้ป่วย จึงเกี่ยวข้องกับควำมปลอดภัยของผู้ป่วยโดยตรง หน่วยจ่ำยกลำงที่มีระบบกำร ด ำเนินกำรที่มีคุณภำพและประสิทธิภำพจะสำมำรถป้องกันและลดควำมเสี่ยงต่อกำรติดเชื้อจำกอุปกรณ์กำรแพทย์ ลดต้นทุนค่ำใช้จ่ำยด้ำนวัสดุอุปกรณ์ทำงกำรแพทย์ อ ำนวยควำมสะดวกในกำรปฏิบัติงำนของหน่วยงำนต่ำงๆ รวมทั้งสนับสนุนกำรบริหำร จัดกำรภำยในโรงพยำบำลได้เป็นอย่ำงดี กระบวนกำรงำนหลัก 7 ขั้นตอน ของกำร ท ำลำยเชื้อและท ำให้ปรำศจำกเชื้อ มีดังต่อไปนี้ 1) กำรรับอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ใช้แล้วกับผู้ป่วยแล้วน ำกลับมำล้ำง ท ำควำมสะอำด ๒)กำรล้ำงอุปกรณ์กำรแพทย์ (Cleaning) เป็นวิธีลดจ ำนวนเชื้อโรคได้ดีที่สุด ท ำง่ำยและประหยัด
ทั้งเวลำและวัสดุ กำรล้ำงที่ถูกต้องสำมำรถก ำจัดเชื้อโรคออกได้เกือบหมดดังนั้นกำรล้ำงจึงเป็นวิธีพื้นฐำนที่ต้อง ปฏิบัติและเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนกำรลดจ ำนวนเชื้อโรค ๓) กำรจัดเตรียมและห่ออุปกรณ์เพื่อน ำไปท ำให้ ปรำศจำกเชื้อ 4) กำรจัดเรียงอุปกรณ์กำรแพทย์เพื่อท ำปรำศจำกเชื้อ ๕) กำรท ำลำยเชื้อ (Disinfection) และกำร ท ำให้ปรำศจำกเชื้อ (Sterilization) ซึ่งหมำยถึง กำรท ำลำยเชื้อทั้งหมดรวมถึงสปอร์ของแบคทีเรีย ๖) กำรเก็บ อุปกรณ์กำรแพทย์ปรำศจำกเชื้อ ๗)กำรแจกจ่ำยอุปกรณ์ที่ผ่ำนกระบวนกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อแล้วไปยังหน่วยงำน ในโรงพยำบำล๕ โรงพยำบำลยโสธรเป็นโรงพยำบำลทั่วไปขนำด 370 เตียง จำกข้อมูลกำรด ำเนินงำนกำรบริกำรตำม กระบวนกำรงำนจ่ำยกลำงโรงพยำบำลยโสธรในปี พ.ศ. 2563, 2564 และ 2565 ชุดอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ผ่ำน กระบวนกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ จ ำนวน 798,502 859,325 และ 894,387 ชุดตำมล ำดับ ซึ่งมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น นอกจำกนี้ยังพบว่ำ มีกำรใช้เครื่องมือ Single Use มำ Reuse โดยไม่คิดต้นทุน บำงหน่วยงำนมีกำรส ำรอง เครื่องมือมำกเกินควำมจ ำเป็นท ำให้หมดอำยุ ต้องส่งมำท ำปรำศจำกเชื้อซ้ ำ (Re-Sterile) ในปี 2563, ๒๕๖๔, 2565 มีอัตรำกำร Re-sterile ร้อยละ 25.68, 29.78 และ 26.70 ตำมล ำดับ จำกข้อมูลกำรเฝ้ำระวังกำรติด เชื้อโรงพยำบำลยโสธร อัตรำกำรติดเชื้อปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับกำรใช้เครื่องช่วยหำยใจ เท่ำกับ 2.42, 3.16 และ 2.36 ต่อ ๑๐๐๐ วันใช้เครื่องช่วยหำยใจ อัตรำกำรติดเชื้อในระบบทำงเดินปัสสำวะในผู้ป่วยทีใช้สำยสวนปัสสำวะ เท่ำกับ 0.21, 0.20 และ 0.20 ต่อ ๑๐๐๐ วันใส่สำยสวนคำปัสสำวะ อัตรำกำรติดเชื้อต ำแหน่งผ่ำตัดร้อยละ 0.13, 0.04 และ 0.05 ตำมล ำดับ ในด้ำนกระบวนกำรท ำงำน ยังพบอุบัติกำรณ์เครื่องมือไม่พร้อมใช้ จำกห่อ อุปกรณ์ช ำรุดเครื่องมือไม่สะอำดด้ำนกำรดูแลบุคลำกร ปี พ.ศ.๒๕๖๓ ,2564 ,2565 ยังพบบุคลำกรถูกของมีคม ทิ่มต ำจำกกำรปฏิบัติงำน จ ำนวน ๓ ,2 และ 1 รำย ตำมล ำดับ มีบุคลำกรอำยุ 50 ปีขึ้นไป จ ำนวน 8 รำย คิดเป็น ร้อยละ ๔๒.๑ และในกลุ่มนี้มีโรคประจ ำตัวจ ำนวน 4 รำย คิดเป็น ร้อยละ 50 คือโรคกระดูกทับเส้นประสำท 2 คน โรคหัวใจ 1 รำย โรคเบำหวำนควำมดันโลหิตสูง ๑ รำย ซึ่งไม่สำมำรถปฏิบัติงำนในต ำแหน่งที่ต้องใช้แรงและ ปฏิบัติงำนนอกเวลำรำชกำรได้ ท ำให้บุคลำกรเกิดกำรเหนื่อยล้ำจำกกำรใช้แรงงำน อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์มีขนำด ใหญ่และหนัก จำกภำระงำนที่เพิ่มขึ้นและบุคลำกรที่สำมำรถปฏิบัติงำนในทุกต ำแหน่งงำนได้มีจ ำนวนน้อยลง จึง จ ำเป็นต้องหำวิธีปฏิบัติงำนให้มีประสิทธิภำพ ผู้วิจัยจึงตระหนักถึงควำมส ำคัญของกำรบริหำรบุคลำกร ให้สำมำรถ จัดบริกำรเป็นไปตำมมำตรฐำน โดยวำงระบบกำรปฏิบัติงำน กำรควบคุมก ำกับ กำรตรวจสอบกระบวนกำร ปฏิบัติงำนของพนักงำนจ่ำยกลำง ในกำรจัดกำรอุปกรณ์กำรแพทย์ โดยน ำแนวคิดแบบลีน มำเป็นวิธีช่วยในกำร ก ำจัดควำมสูญเปล่ำ โดยวิธีกำรระบุคุณค่ำ ควบคุมกิจกรรมต่ำงๆ ไม่ให้หยุดชะงัก สำมำรถตอบสนองควำมต้องกำร ของผู้รับบริกำรได้มำกขึ้น จำกกำรทบทวนวรรณกรรมพบว่ำแนวคิดแบบลีน (Lean) จะสำมำรถท ำให้กำร ปฏิบัติงำนของพนักงำนจ่ำยกลำงมีประสิทธิภำพและเกิดประสิทธิผลเพิ่มขึ้นภำยใต้หลักกำรและมำตรฐำนกำรท ำ ให้ปรำศจำกเชื้อท ำให้กระบวนกำรปฏิบัติงำนกำรจัดกำรอุปกรณ์กำรแพทย์ เป็นล ำดับขั้นตอน ส่งผลให้กำรบริหำร เวลำจำกขั้นตอนหนึ่ง ไปสู่ขั้นตอนหนึ่ง ไม่สูญเปล่ำและท ำให้กำรไหล(Flow) ด้วยเทคนิคกำรจัดกำรแบบลีน ในกำร ขจัดควำมสูญเปล่ำ (Waste) นี้ออกไป ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษำเรื่องกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้ แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร 2.วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร 2. เพื่อประเมินผลลัพธ์ระบบพัฒนำคุณภำพบริกำรที่พัฒนำขึ้น 3.ขอบเขตของการวิจัย กำรศึกษำครั้งนี้ เป็นกำรวิจัยและพัฒนำ (Research and Development) แบ่งวิธีด ำเนินกำรวิจัย ตำม วัตถุประสงค์กำรวิจัย โดยศึกษำจำก เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนในหน่วยจ่ำยกลำงและ พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนใน หอผู้ป่วย มี ระยะกำรด ำเนินกำร 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 วิเครำะห์สถำนกำรณ์ร่วมกับศึกษำสถิติกำรให้บริกำร คุณภำพ ตัวชี้วัดในหน่วยจ่ำยกลำง ระยะที่ 2 ระยะด ำเนินกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรในงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิด แบบลีน ทบทวนต ำรำ เอกสำร งำนวิจัย น ำเสนอต่อคณะกรรมกำร ควบคุมและป้องกันกำรติดเชื้อระดับ โรงพยำบำล พร้อมทั้งเสนอแนวทำงพัฒนำคุณภำพเพื่อแก้ไข และลดอุปสรรค ซึ่งพัฒนำจำกแนวทำงกำรพัฒนำ หน่วยจ่ำยกลำง ของส ำนักบริกำรสุขภำพ กระทรวงสำธำรณสุข และสมำคมศูนย์กลำงงำนปรำศจำกเชื้อแห่ง ประเทศไทย (2561) ระยะที่ 3 กำรน ำรูปแบบกำรพัฒนำไปทดลองใช้ ระยะที่ 4 ประเมินผลลัพธ์ของระบบที่ พัฒนำขึ้น ด ำเนินกำรศึกษำระหว่ำง 16 ตุลำคม 2566 – 31 ธันวำคม 2566 4.นิยามตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย การพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลางโดยแนวคิดแบบลีน หมำยถึง กำรบริหำรงำน ในกำรวำงแผน ควบคุมก ำกับ สั่งกำร กำรปฏิบัติกำร ของบุคลำกรของหน่วยจ่ำยกลำงและพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย ในกำรจัดกำรอุปกรณ์กำรแพทย์ โดยใช้แนวคิดที่ท ำให้กระบวนกำรมีควำมคล่องตัว ก ำจัดควำมสูญเปล่ำและเพิ่ม ประสิทธิภำพให้สูงขึ้น ประสิทธิภาพ หมำยถึง กำรวัดผลส ำเร็จของพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงในกำรปฏิบัติงำน 2 เรื่อง ได้แก่ ประสิทธิภำพกำรท ำปรำศจำกเชื้อ และกำรปฏิบัติตำมแนวปฏิบัติงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ความพึงพอใจต่อบริการของหน่วยจ่ายกลาง หมำยถึง ควำมรู้สึกทำงบวกของเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนใน หน่วยจ่ำยกลำงและพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วยต่อบริกำรของหน่วยจ่ำยกลำง วัดโดยใช้แบบสอบถำม ควำมพึงพอใจของผู้ใช้บริกำรต่อบริกำรหน่วยจ่ำยกลำง 5.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.สร้ำงองค์ควำมรู้ที่เกิดจำกำรพัฒนำรูปแบบกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรโดยแนวคิดแบบลีน 2.มีแนวทำงกำรจัดบริกำรในหน่วยจ่ำยกลำง อันจะเกิดประโยชน์แก่เจ้ำหน้ำที่ที่เกี่ยวข้องและผู้รับบริกำร 3.ผู้มำรับบริกำร ได้รับกำรรักษำพยำบำล ที่ได้มำตรฐำน และมีควำมปลอดภัยในกำรรักษำพยำบำลผู้ป่วย 6.กรอบแนวคิดในการท าวิจัย กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยและพัฒนำ (Research and Development) คุณภำพบริกำรของหน่วยจ่ำย กลำง โดยน ำกำรจัดกำรแบบลีนมำประยุกต์ใช้แนวคิดในกำรศึกษำวิจัยครั้งนี้ใช้กรอบแนวคิดกำรจัดกำรแบบลีน ของวอแม็กและโจนส์ของ Womak & Jone (1959) โดยมีหลักกำรแนวคิด 5 ประกำร คือ 1) กำรระบุคุณค่ำ (Value) 2)กำรก ำหนดสำยธำรคุณค่ำ (Value steam map) 3)กำรไหล (Flow) 4) ระบบดึง (Pull system) และ 5) ควำมสมบูรณ์แบบ (Perfection) มำเป็นเครื่องมือในกำรจัดกำรกระบวนกำรปฏิบัติงำน และน ำกระบวนกำร บริหำรงำนมำเป็นกลไกประสำนและผลักดันให้สำมำรถด ำเนินกิจกรรมไปได้อย่ำงมีประสิทธิภำพจนบรรลุเป้ำหมำย ที่ก ำหนด
แนวคิดแบบลีน (Lean) เป็นค ำคุณศัพท์ที่เรียกทับศัพท์ภำษำอังกฤษ แปลเป็นภำษำไทยว่ำ “บำง” หรือ ปรำศจำกส่วนเกิน 3 ควำมหมำยที่น ำมำใช้ในกำรบริหำรองค์กร คือ ท ำให้องค์กรที่ด ำเนินกำรโดยปรำศจำกควำม สูญเปล่ำในทุกกระบวนกำรอย่ำงต่อเนื่อง ท ำให้สำมำรถลดต้นทุนกำรผลิต เพิ่มผลก ำไรและผลลัพธ์ที่ดีในที่สุด และ คำดว่ำลีน (Lean) จะสำมำรถท ำให้กำรปฏิบัติงำนของเจ้ำหน้ำที่มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น โดยมีรำยละเอียดดังนี้ 1)กำร มอบหมำยหมำยงำนของพนักงำนจ่ำยกลำง 2) กำรประชุมบุคลำกรเพื่อแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น และเรียนรู้ร่วมกัน เกี่ยวกับกำรพัฒนำกระบวนกำรปฏิบัติงำนตำมแนวคิดแบบลีน 3) กำรสอนควำมรู้และทักษะกำรท ำงำนตำม แผนกำรสอน และ 4) คู่มือกำรปฏิบัติงำนจ่ำยกลำง ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ก ำหนดกรอบแนวคิดกำรท ำวิจัยโดยศึกษำค้นคว้ำ ด้ำนวิชำกำร เอกสำร ต ำรำและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง น ำเสนอวรรณกรรมเป็นหัวข้อตำมล ำดับดังนี้ 1. คุณภำพบริกำร งำนจ่ำยกลำง 2.สภำพปัญหำกำรจัดกำรบุคลำกรทำงกำรพยำบำลของหน่วยจ่ำยกลำง 3.แนวคิดแบบลีน 4. ควำม พึงพอใจของผู้ใช้บริกำร และ 5.งำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ตำมแผนภำพ ที่ 1)
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย7.วิธีด าเนินการวิจัย กระบวนการ (Process) ระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์การจัดบริการใน หน่วยงานจ่ายกลาง กำรประเมินผลกำรด ำเนินงำนคุณภำพบริกำรงำน จ่ำยกลำงในกำรปฏิบัติงำน กำรจัดกำรเครื่องมือที่ ปนเปื้อนรูปแบบที่เป็นอยู่ ระยะที่ 2 การพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลาง โดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธรและการทดลองใช้รูปแบบ ก ำหนดรูปแบบกำรจัดบริกำรของหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร และน ำรูปแบบกำรจัดบริกำรที่ พัฒนำขึ้นไปทดลองใช้ ระยะที่ 3 การน ารูปแบบการจัดบริการที่ปรับปรุง แล้วไปใช้จริงในหน่วยงาน ผู้วิจัยอธิบำยแนว ทำงกำรปฏิบัติงำนตำมหน้ำที่ควำมรับผิดชอบและ มอบหมำยงำนแก่บุคลำกรทำงกำรพยำบำลของ หน่วยจ่ำยกลำง ตำมรูปแบบที่พัฒนำขึ้น ประชุม บุคลำกรของหน่วยจ่ำยกลำง กำรจัดกิจกรรมกำร สอนโดยวิธีบรรยำย เรื่องกำรจัดบริกำรในหน่วยงำน จ่ำยกลำง ตำมมำตรฐำนกำรประกันคุณภำพกำร พยำบำลด้ำนกำรป้องกันและควบคุมกำรติดเชื้อใน โรงพยำบำล โดยรูปแบบกำรจัดบริกำรที่ผู้วิจัยได้ พัฒนำขึ้น ระยะที่ 4 การประเมินผลลัพธ์การพัฒนาคุณภาพ บริการงานจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธร ดังนี้ 1.ประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ 2.กำร ปฏิบัติตำมแนวทำงปฏิบัติงำนจ่ำยกลำงโดยใช้ แนวคิดแบบลีน 3.ควำมพึงพอใจต่อบริกำรของ หน่วยจ่ำยกลำง ผลลัพธ์ (Outcome) 1.ประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ 2. กำรปฏิบัติตำมแนวทำงปฏิบัติงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน 3.ควำมพึงพอใจต่อบริกำรของหน่วยจ่ำยกลำง 4.อัตรำกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล ปัจจัยน าเข้า (Input) 1) การพัฒนาบุคลากรหน่วยจ่ายกลางโดย แนวคิดแบบลีน 1.กำรมอบหมำยงำน 2.กำรประชุมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกัน 3.กำรสอนควำมรู้ 4.ศึกษำด้วยตนเองจำกคู่มือ การจัดการแบบลีน 1. กำรระบุคุณค่ำ (Value) 2.กำรก ำหนดสำยธำรคุณค่ำ (Value steam map) 3.กำรไหล (Flow) 4. ระบบดึง (Pull system) 5.ควำมสมบูรณ์แบบ (Perfection) 2) แนวคิดการพยาบาลควบคุมการติดเชื้อใน งานจ่ายกลาง ผลผลิต (Output) ได้ระบบคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำล ยโสธร
7.1 รูปแบบการวิจัย กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยและพัฒนำ (Research and Development ) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนำ คุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน แบ่งกำรศึกษำ เป็น 4 ระยะ ดังนี้ 1) กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ ร่วมกับศึกษำข้อมูลสถิติกำรให้บริกำรตัวชี้วัดคุณภำพในงำนจ่ำยกลำง 2) ด ำเนินกำรพัฒนำระบบควบคุมคุณภำพ ทบทวนงำน ต ำรำ เอกสำรงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง น ำเสนอต่อคณะกรรมกำรควบคุมและป้องกันกำรติดเชื้อ โรงพยำบำล 3) น ำรูปแบบกำรพัฒนำไปทดลองใช้ 4) ประเมินผลลัพธ์ของกำรใช้ระบบที่พัฒนำขึ้น 7.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 7.2.1 ประชากร คือ เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนในหน่วยจ่ำยกลำง และพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอ ผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร 7.2.2 กลุ่มตัวอย่าง มี 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร 2) พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร การค านวณขนาดตัวอย่าง 1. เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร เลือกแบบเจำะจงจำกเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง เป็นกลุ่มตัวอย่ำงยินดีและเต็มใจให้ควำม ร่วมมือในกำรวิจัย ทั้งหมด 19 คน จึงไม่มีกำรค ำนวณขนำดตัวอย่ำง 2. พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร ก ำหนดขนำดของกลุ่มตัวอย่ำง (Sample Size) จำกสูตรค ำนวณขนำดตัวอย่ำง ทิศทำงทดสอบทำง เดียว (One-side test) โดยโปรแกรม Statistics analysis and sample size n ≥ 2(1− 2 + 1−) 2 Differrence Difference + Z1-α/2 2 2 Alpha (α) = 0.05 Beta (β) = 0.2 Mean of difference = 3 Standard deviation of difference = 0.4 Minimum paired sample needed = 30 จากค านวณขนาดตัวอย่างจะได้กลุ่มศึกษาทั้งหมด 30 ราย
การสุ่มตัวอย่าง กำรสุ่มตัวอย่ำงแบบจ ำเพำะเจำะจง (Purposive sampling) โดยกำรเลือกพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนใน หอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร และไม่ได้อยู่ในทีมพัฒนำ รูปแบบกำรจัดบริกำรจนได้จ ำนวนครบ 30 รำย เกณฑ์การคัดเข้าและเกณฑ์การคัดออก 1. เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่หน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธร เกณฑ์การคัดเข้า 1) เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร 2) กลุ่มตัวอย่ำงยินดีและเต็มใจให้ควำมร่วมมือในกำรวิจัย เกณฑ์การคัดออก 1) เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง ที่ไม่ให้ควำมร่วมมือในกำรตอบแบบสอบถำมในช่วงระยะเวลำ ด ำเนินกำรวิจัย 2. พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลยโสธร เกณฑ์การคัดเข้า 1) เป็นพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร 2) กลุ่มตัวอย่ำงยินดีและเต็มใจให้ควำมร่วมมือในกำรวิจัย เกณฑ์การคัดออก 1) พยำบำลวิชำชีพที่ไม่ให้ควำมร่วมมือในกำรตอบแบบสอบถำมในช่วงระยะเวลำด ำเนินกำรวิจัย 7.3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1 เครื่องมือที่ใช้ในการด าเนินการวิจัย ระยะที่ 1 กำรศึกษำสถำนกำรณ์กำรจัดบริกำรในหน่วยงำนจ่ำยกลำง กำรประเมินผลกำรด ำเนินงำนระบบบริกำรของหน่วยจ่ำยกลำงในกำรปฏิบัติงำน กำรจัดกำรอุปกรณ์ กำรแพทย์ที่เป็นอยู่ โดยกำรส ำรวจปัญหำกำรให้บริกำร และสัมภำษณ์พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย ใช้ รูปแบบกำรสัมภำษณ์แบบไม่เป็นทำงกำร ในกำรซักถำมแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น จำกนั้นน ำข้อมูลมำวิเครำะห์ ประเด็นปัญหำและวำงแผนแก้ไขปัญหำร่วมกัน ระยะที่ 2 กำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง มีกำรจัดรูปแบบใหม่โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วย จ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร และกำรทดลองใช้รูปแบบ ผู้วิจัยประชุมเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง แสดงควำมคิดเห็นระดมสมอง (Brain Storming) แลกเปลี่ยนควำมรู้เกี่ยวกับกำรจัดกำรอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้แล้ว รูปแบบที่ใช้ในปัจจุบัน น ำข้อสรุปมำก ำหนดแนวทำงแก้ไข วิเครำะห์ขั้นตอนกำรปฏิบัติงำนกำรจัดกำรอุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้แล้วด้วยแผนภูมิกระบวนกำร (Flow process chart) วิเครำะห์สำเหตุของปัญหำ ก ำหนดกำรท ำงำน ในแต่ละขั้นตอน และก ำหนดรูปแบบกำรจัดบริกำรของหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร และน ำรูปแบบกำร จัดบริกำรที่พัฒนำขึ้นไปทดลองใช้ ระยะที่ 3 กำรน ำรูปแบบกำรจัดบริกำรที่ปรับปรุงแล้วไปใช้จริงในหน่วยงำน ผู้วิจัยอธิบำยแนวทำงกำร ปฏิบัติงำนตำมหน้ำที่ควำมรับผิดชอบและมอบหมำยงำนแก่เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง ตำมรูปแบบที่ พัฒนำขึ้น ประชุมเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง กำรจัดกิจกรรมกำรสอนโดยวิธีบรรยำย เรื่อง กำร
จัดบริกำรในหน่วยงำนจ่ำยกลำง ตำมมำตรฐำนกำรประกันคุณภำพกำรพยำบำลด้ำนกำรป้องกันและควบคุมกำร ติดเชื้อในโรงพยำบำล โดยรูปแบบกำรจัดบริกำรที่ผู้วิจัยได้พัฒนำขึ้น ระยะที่ 4 กำรประเมินผลกำรใช้รูปแบบกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยแนวคิดแบบลีน โรงพยำบำลยโสธร โดยส ำรวจควำมพึงพอใจต่อบริกำรของหน่วยจ่ำยกลำง โดยใช้แบบสอบถำมควำมพึงพอใจต่อ บริกำร หน่วยจ่ำยกลำง 2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ประกอบด้วย 2.1 แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การในการท างาน 2.2 แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวคิดแบบลีน โดยใช้แบบประเมินกำรปฏิบัติ-ไม่ปฏิบัติ เลือกตอบ “ปฏิบัติ” และ “ไม่ปฏิบัติ” โดยเครื่องมือผ่ำนกำรตรวจสอบควำมตรงตำมเนื้อหำ (content validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่ำน เพื่อ หำค่ำดัชนีควำมตรงตำมเนื้อหำ (Content Validity Index: CVI) = 0.80 2.3 แบบประเมินความพึงพอใจในกำรน ำรูปแบบกำรจัดบริกำรไปใช้มีเกณฑ์กำรแปลควำมหมำยกำรให้ คะแนน ดังนี้ ค่ำเฉลี่ยตั้งแต่ 4.50 - 5.00 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจ ในระดับมำกที่สุด ค่ำเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 - 4.49 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจ ในระดับมำก ค่ำเฉลี่ยตั้งแต่ 2.50 - 3.49 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจ ในระดับปำนกลำง ค่ำเฉลี่ยตั้งแต่ 1.50 - 2.49 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจ ในระดับน้อย ค่ำเฉลี่ยตั้งแต่ 1.00 - 1.49 หมำยถึง มีควำมพึงพอใจ ในระดับน้อยที่สุด ผู้วิจัยได้น ำแบบประเมินควำมพึงพอใจของมำลัย สงฆ์ประสิทธิ์(2559) มำใช้ในกำรวิจัยครั้งนี้ โดยผ่ำน กำรตรวจสอบควำมตรงของเนื้อหำ โดยผ่ำนกำรตรวจสอบเครื่องมือ ควำมตรงของเนื้อหำ (content validity) จำกผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 5 ท่ำน และมีกำรตรวจสอบค่ำควำมเชื่อมั่นของเครื่องมือก่อนกำรน ำไปใช้จริง โดยมีค่ำ สัมประสิทธิ์อัลฟ่ำของครอนบำช (Cronbach alpha coefficient) ได้ค่ำควำมเชื่อมั่น เท่ำกับ 0.907 7.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ท ำหนังสือขออนุญำตเก็บข้อมูลถึงผู้อ ำนวยกำรโรงพยำบำลยโสธรเพื่อขอเก็บข้อมูล 2. ติดต่อประสำนงำนกับหัวหน้ำหอผู้ป่วยในเพื่อขอเก็บข้อมูล 3. บันทึกข้อมูลลงในโปรแกรม Excel แล้วตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง หำกพบว่ำมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันจะต้องน ำข้อมูลไปตรวจสอบกับต้นฉบับและแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป ตรวจสอบควำมถูกต้องครบถ้วน และ ควำมสมบูรณ์ของข้อมูล เพื่อเตรียมวิเครำะห์ข้อมูลในขั้นตอนต่อไป 4. กำรเก็บข้อมูลพยำบำลวิชำชีพผู้ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย และเจ้ำหน้ำที่ในหน่วยจ่ำยกลำง โดยใช้ แบบสอบถำม ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป และควำมพึงพอใจ 5.กำรเก็บข้อมูลกำรปฏิบัติตำมแนวคิดแบบลีน โดยใช้แบบประเมินกำรปฏิบัติ-ไม่ปฏิบัติ 7.5 ข้อพิจารณาด้านจริยธรรมในการวิจัย งำนวิจัยนี้ผ่ำนกำรรับรองจริยธรรมกำรวิจัยจำกคณะกรรมกำรวิจัยในมนุษย์ โรงพยำบำลยโสธร เอกสำร รับรองเลขที่ YST ๒๐๒๓-๕๓ ลงวันที่ ๑๖ ตุลำคม ๒๕๖๖ ผู้วิจัยจะปฏิบัติตำมระเบียบของโรงพยำบำลว่ำ
ด้วยกำร รักษำควำมลับอย่ำงเคร่งครัด กำรบันทึกข้อมูลจะลงบันทึกโดยใช้รหัส (code) ที่ตั้งขึ้น ข้อมูลที่ได้จำก กลุ่ม ตัวอย่ำงจะถูกเก็บเป็นควำมลับและกำรเผยแพร่ข้อมูลจะท ำได้เฉพำะผลกำรวิจัยและกำรวิจัยนี้ไม่ได้ท ำให้เกิด ควำมเสี่ยงเพิ่มขึ้นแก่กลุ่มตัวอย่ำงแต่อย่ำงใด จะรักษำควำมลับอย่ำงเคร่งคัดโดยจะไม่น ำข้อมูลทุกอย่ำงของกลุ่ม ตัวอย่ำงไปเปิดเผยต่อสำธำรณชน ไม่ว่ำกรณีใดๆทั้งสิ้น หลักฐำนหรือเอกสำรทุกอย่ำงที่เกี่ยวข้อกับข้อมูล ผู้ป่วย เมื่อท ำกำรวิจัยเสร็จจะท ำลำยเอกสำรทั้งหมดโดยกำรเผำท ำลำย 7.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในกำรศึกษำครั้งนี้เป็นสถิติเชิงพรรณนำ (Descriptive statistics) ใช้ในกำรอธิบำยคุณลักษณะ ทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง โดยน ำเสนอในรูปแบบร้อยละ (Percentage) ของค่ำเฉลี่ย (Mean) และค่ำเบี่ยงเบน มำตรฐำน (Standard deviation) 8.ผลการวิจัย 1. พัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลางโดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธร มีกำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงใหม่โดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำล ยโสธร น ำเสนอผลกำรศึกษำ ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงเปรียบเทียบรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงแบบเดิมกับรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร รูปแบบเดิม รูปแบบใหม่ 1.รูปแบบการปฏิบัติ 1.1 รูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำง (7 ขั้นตอน) 1.รูปแบบการปฏิบัติแบบใหม่ 1.1 รูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบ ลีน 1.2 โปรแกรมพัฒนำสมรรถนะบุคลำกรในหน่วยงำนจ่ำย กลำง 1.3 แนวทำงกำรนิเทศทำงกำรท ำงำนด้ำนกำรควบคุมและ ป้องกันกำรติดเชื้อโดยหัวหน้ำงำนหน่วยจ่ำยกลำง 1.4 แนวทำงกำรนิเทศทำงกำรท ำงำนด้ำนกำรควบคุมและ ป้องกันกำรติดเชื้อโดยพยำบำลควบคุมกำรติดเชื้อ 2.การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพ 2.1 กำรจัดประชุมให้ควำมรู้ เรื่องกำร จัดบริกำรในหน่วยงำนจ่ำยกลำงแก่พยำบำล ผู้ป่วยโรคติดเชื้อและกำรควบคุมกำรติดเชื้อ ประจ ำหอผู้ป่วย 2.การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพที่เพิ่มขึ้น 2.1 จัดประชุมวิชำกำรร่วมกับพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำน ในหอผู้ป่วยเพื่อหำรูปแบบกำรจัดระบบบริกำรงำนจ่ำย กลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน 2.2 ทบทวนรูปแบบกำรจัดระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำง ร่วมกับทีม 2.3 ประชุม ทบทวนแนวทำงกำรปฏิบัติงำนตำมหน้ำที่ ควำมรับผิดชอบและมอบหมำยงำนแก่บุคลำกรทำงกำร
พยำบำลของหน่วยจ่ำยกลำง ตำมรูปแบบที่พัฒนำขึ้น ประชุมบุคลำกรของหน่วยจ่ำยกลำง กำรจัดกิจกรรมกำร สอนโดยวิธีบรรยำย เรื่องกำรจัดบริกำรในหน่วยงำนจ่ำย กลำง ตำมมำตรฐำนกำรประกันคุณภำพกำรพยำบำลด้ำน กำรป้องกันและควบคุมกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล 2. ประเมินผลลัพธ์ระบบพัฒนาคุณภาพบริการที่พัฒนาขึ้น 2.1 ข้อมูลทั่วไป ๒.๑.๑ เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง ส่วนใหญ่เป็นเพศชำย ร้อยละ 57.89 อำยุอยู่ในช่วง 30- 39 ปี ร้อยละ 42.11 กำรศึกษำส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ ำกว่ำปริญญำตรี ร้อยละ 94.73 ดังแสดงในตำรำงที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำงของเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร ข้อมูลทั่วไป (n = ๑9) จ านวน ร้อยละ เพศ -ชำย -หญิง ๑๑ 8 57.89 42.11 อายุ -อำยุ 20 – ๒9 ปี -อำยุ 30 – 39 ปี -อำยุ 40 – 59 ปี -อำยุ 50 – 59 ปี ๖ 8 ๒ 3 31.58 42.11 10.52 15.79 การศึกษา -ต่ ำกว่ำปริญญำตรี -ปริญญำตรี ๑๘ ๑ 94.73 5.27 ๒.๑.๒ พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 90.00 ส่วนใหญ่อยู่ใน กลุ่มอำยุ 20 – 30 ปี ร้อยละ 30.00 มีสถำนะภำพสมรสเป็นอันดับหนึ่งร้อยละ 36.67 กำรศึกษำส่วน ใหญ่สูงกว่ำปริญญำตรี ร้อยละ 100 ดังแสดงในตำรำงที่ 3
ตารางที่ 3 แสดงลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำงของพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร ข้อมูลทั่วไป (n = 30) จ านวน ร้อยละ เพศ -ชำย -หญิง 3 27 10.00 90.00 อายุ -อำยุ 20-30 ปี -อำยุ 30 – 40 ปี -อำยุ 40 – 50 ปี -อำยุ 50 – 60 ปี 9 8 6 7 30.00 26.67 20.00 23.33 สถานภาพ -โสด -สมรส -หย่ำร้ำง -อื่นๆ 9 11 9 1 30 36.67 30 3.33 การศึกษา -ปริญญำตรีขึ้นไป 30 100 2.2 การประเมินผลลัพธ์ประสิทธิภาพการท าให้ปราศจากเชื้อ ประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ พบว่ำหลังด ำเนินกำรประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ เท่ำกับ ร้อยละ 100 ซึ่งเพิ่มจำกเดิม ที่มีประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ เท่ำกับ 99.97 ดังตำรำงที่ 4 ตารางที่ 4 ประสิทธิภำพกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อก่อนและหลังกำรด ำเนินกำรศึกษำ ก่อนและหลังการพัฒนา ประสิทธิภาพการท าให้ปราศจากเชื้อ ก่อนพัฒนำรูปแบบ 99.97 หลังพัฒนำรูปแบบ 100 2.3 การประเมินความพึงพอใจต่อการพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลางโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วย จ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธรที่พัฒนาขึ้น 2.3.1 ความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่หน่วยจ่ายกลาง ควำมพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่ำงของเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรทุกด้ำนอยู่ ในระดับมำก โดยเฉพำะควำมพึงพอใจโดยรวม มีค่ำคะแนนเฉลี่ย 4.75 (SD 0.47) รองลงมำด้ำนกำรพัฒนำ รูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรมีควำมสะดวกใน
กำรปฏิบัติใช้มีค่ำคะแนนเฉลี่ย 4.16 (SD 0.55) และด้ำนเห็นด้วยกับกำรน ำกำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำน จ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรที่พัฒนำไปใช้ขยำยผลในเครือข่ำยหรือ หน่วยงำนอื่นมีค่ำคะแนนเฉลี่ย 4.07 (SD 0.64) ดังแสดงในตำรำงที่ 5 ตารางที่ 5 ควำมพึงพอใจของเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร (n=19) รายการข้อคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ คะแนนเฉลี่ย S.D. ผลกำรประเมิน 1.กำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้ แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร มีโครงสร้ำง ขอบเขต หน้ำที่ควำมรับผิดชอบมีควำม ชัดเจน 4.02 0.76 มำก 2.กำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้ แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรที่ พัฒนำสำมำรถน ำไปใช้จริงได้ 3.92 0.54 มำก 3.กำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้ แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรมี ควำมสะดวกในกำรปฏิบัติใช้ 4.16 0.32 มำก 4.กำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้ แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรมี ประโยชน์ต่อหน่วยงำนท่ำน 3.58 0.51 มำก 5.เห็นด้วยกับกำรน ำกำรพัฒนำรูปแบบระบบบริกำรงำน จ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรที่พัฒนำไปใช้ขยำยผลในเครือข่ำยหรือ หน่วยงำนอื่น 4.07 0.64 มำก 6.ควำมพึงพอใจโดยรวมต่อกำรพัฒนำรูปแบบระบบ บริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำย กลำง โรงพยำบำลยโสธร(โดยรวม) 4.75 0.47 มำก 2.3.2 ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย ต่อการพัฒนาคุณภาพบริการงาน จ่ายกลางโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธรที่พัฒนาขึ้น ควำมพึงพอใจของ พยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร ทุกด้ำนอยู่ในระดับมำก โดยเฉพำะควำมพึงพอใจโดยรวม มีค่ำคะแนนเฉลี่ย 4.09 (SD 0.69) รองลงมำด้ำนอัธยำศัยของพยำบำลในกำร ให้บริกำร มีค่ำคะแนนเฉลี่ย 3.96 (SD 0.53) และด้ำนกำรแจ้งข้อมูลสุขภำพต่ำงๆ มีค่ำคะแนนเฉลี่ย 3.85 (SD 0.59) ดังแสดงในตำรำงที่ 6
ตารางที่ 6 ควำมพึงพอใจของพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธร (n=30) รายการข้อคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ คะแนนเฉลี่ย S.D. ผลกำรประเมิน 1.ด้ำนควำมสะดวกเมื่อต้องกำรควำมช่วยเหลือ 3.81 0.73 มำก 2.ด้ำนกำรติดต่อประสำนงำนรวดเร็วชัดเจน 3.80 0.67 มำก 3.ด้ำนอัธยำศัยของเจ้ำหน้ำที่ในกำรให้บริกำร 3.96 0.53 มำก 4.ด้ำนกำรแจ้งข้อมูลสุขภำพต่ำงๆ 3.85 0.59 มำก 5.ด้ำนคุณภำพบริกำร 3.73 0.68 มำก 6.ด้ำนคุณภำพของเครื่องมืออุปกรณ์ 3.80 0.63 มำก 7.ควำมพึงพอใจโดยรวม 4.09 0.69 มำก 2.4 การปฏิบัติตามรูปแบบการพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลางโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ายกลาง โรงพยาบาลยโสธรที่พัฒนาขึ้น 2.4.1 การปฏิบัติตามรูปแบบการพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลางโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่าย กลาง โรงพยาบาลยโสธรที่พัฒนาขึ้น ของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่หน่วยจ่ายกลาง กำรปฏิบัติตำมรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำล ยโสธร พบว่ำเจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรทั้งหมด 19 คน ปฏิบัติตำมรูปแบบทั้ง 7 กิจกรรม มำกกว่ำ ร้อยละ 80 ทุกกิจกรรม ดังตำรำงที่ 7 ตารางที่ 7 กำรปฏิบัติตำมรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง ของ เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร (n=74) รายการกิจกรรม การปฏิบัติ (ร้อยละ) 1.กำรปฏิบัติตำมแนวทำงกำรรับอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ใช้แล้วกับผู้ป่วยแล้ว น ำกลับมำล้ำงท ำควำมสะอำด 83.78 2.กำรปฏิบัติตำมแนวทำงกำรกำรล้ำงอุปกรณ์กำรแพทย์ 86.49 3.กำรปฏิบัติตำมแนวทำงกำรกำรจัดเตรียมและห่ออุปกรณ์กำรแพทย์เพื่อ น ำไปท ำให้ปรำศจำกเชื้อ 91.89 4.ปฏิบัติงำนตำมแนวทำงกำรจัดเรียงอุปกรณ์กำรแพทย์เพื่อท ำปรำศจำก เชื้อ 86.49
5.ปฏิบัติงำนตำมแนวทำงกำรกำรท ำลำยเชื้อ (Disinfection) และกำรท ำ ให้ปรำศจำกเชื้อ (Sterilization) 91.89 6.ปฏิบัติงำนตำมแนวทำงกำรเก็บอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ปรำศจำกเชื้อ 86.49 7.ปฏิบัติงำนตำมแนวทำงกำรแจกจ่ำยอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ผ่ำน กระบวนกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อแล้ว ไปยังหน่วยงำนในโรงพยำบำล 89.19 รวมกำรปฏิบัติ 88.03 2.4.1 การปฏิบัติตามรูปแบบการพัฒนาคุณภาพบริการงานจ่ายกลางโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่าย กลาง โรงพยาบาลยโสธรที่พัฒนาขึ้น ของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย กำรปฏิบัติตำมรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำล ยโสธร พบว่ำพยำบำลวิชำชีพที่ปฏิบัติงำนในหอผู้ป่วย โรงพยำบำลยโสธรทั้งหมด 30 คน ปฏิบัติตำมรูปแบบทั้ง 4 กิจกรรม มำกกว่ำ ร้อยละ 80 ทุกกิจกรรม ดังตำรำงที่ 8 ตารางที่ 8 กำรปฏิบัติตำมรูปแบบระบบบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง ของ เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนที่หน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร (n=30) รายการกิจกรรม การปฏิบัติ (ร้อยละ) 1.กำรปฏิบัติตำมแนวทำงกำรคัดแยกอุปกรณ์กำรแพทย์หลังกำรใช้งำน 86.67 2.กำรปฏิบัติตำมแนวทำงกำรตรวจสอบคุณภำพอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ได้รับ กำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ 90 3.กำรปฏิบัติตำมแนวทำงกำรจัดเก็บอุปกรณ์กำรแพทย์ที่ได้รับกำรท ำให้ ปรำศจำกเชื้อ 90 4.ปฏิบัติงำนตำมแนวทำงกำรใช้อุปกรณ์กำรแพทย์ที่ถูกต้อง 86.67 รวมกำรปฏิบัติ 88.33 2.5 อัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาล อัตรำกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล พบว่ำ หลังด ำเนินกำรอัตรำกำรติดเชื้อปอดอักเสบจำกกำรใช้เครื่องช่วย หำยใจ ในเดือนธันวำคม 2566 เท่ำกับ 0.67 ต่อ 1000 วันใช้เครื่องช่วยหำยใจ ซึ่งเพิ่มจำกจำกเดือน กันยำยน 2566 ที่มีอัตรำกำรติดเชื้อปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับกำรใช้เครื่องช่วยหำยใจ 0.18 ต่อ 1000 วันใช้เครื่องช่วย หำยใจ ส่วนอัตรำกำรติดเชื้อในระบบทำงเดินปัสสำวะที่สัมพันธ์กับกำรใช้สำยสวนปัสสำวะ และกำรติดเชื้อแผล ผ่ำตัด เท่ำกับ 0 ดังตำรำงที่ 9 ตารางที่ 9 อัตรำกำรติดเชื้อในโรงพยำบำลต ำแหน่งที่สัมพันธ์กับกำรใช้อุปกรณ์กำรแพทย์ที่ผ่ำนกำรท ำให้ ปรำศจำกเชื้อจำกหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร
ต ำแหน่งกำรติดเชื้อ อัตรำกำรติดเชื้อ กันยำยน 2566 ธันวำคม 2566 กำรติดเชื้อปอดอักเสบจำกกำรใช้เครื่องช่วยหำยใจ (ต่อ 1000 วันใช้เครื่องช่วยหำยใจ) 0.18 0.67 กำรติดเชื้อในระบบทำงเดินปัสสำวะที่สัมพันธ์กับกำรใช้ สำยสวนปัสสำวะ (ต่อ 1000 วันใส่สำยสวนปัสสำวะ) 0.28 0 กำรติดเชื้อแผลผ่ำตัด (ร้อยละ) 0.18 0 9.อภิปรายผล กำรศึกษำกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำล ยโสธร ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1. เพื่อพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร และ 2. เพื่อประเมินผลลัพธ์ระบบพัฒนำคุณภำพบริกำรที่พัฒนำขึ้น จำกกำรศึกษำ พบว่ำ รูปแบบกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำงโดยใช้แนวคิดแบบลีน ในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธรที่ พัฒนำขึ้น สำมำรถลดขั้นตอนกำรปฏิบัติงำน ลดระยะเวลำ ลดจ ำนวนบุคลำกรต่อกิจกรรมกำรปฏิบัติงำนใน ระบบงำนหน่วยจ่ำยกลำง ซึ่งผลกำรวิจัย สอดคล้องกับกำรศึกษำของมำลัย สงฆ์ประสิทธิ์ (2559) ได้ศึกษำ ประสิทธิผลของกำรจัดกำรบุคลำกรทำงกำรพยำบำลของหน่วยจ่ำยกลำงในกำรปฏิบัติงำน โดยกำรจัดกำรแบบลีน ในโรงพยำบำลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งสังกัดกรมกำรแพทย์กระทรวงสำธำรณ์สุข พบว่ำ กำรจัดกำรบุคลำกร ทำงกำรพยำบำลของหน่วยจ่ำยกลำงในกำรปฏิบัติงำน โดยกำรจัดกำรแบบลีน ในโรงพยำบำลระดับตติยภูมิมี ประสิทธิผลโดยสำมำรถลดเวลำของกำรปฏิบัติงำนกำรจัดกำรเครื่องมือที่ปนเปื้อนได้ในทุกขั้นตอน และผู้รับบริกำร มีควำมพึงพอใจต่อบริกำรหน่วยจ่ำยกลำง อยู่ในระดับควำมพึงพอใจมำก ศศิธร เรืองประเสริฐกุล และพรสวรรค์ โควบุตร (2564) ได้ศึกษำ ผลของกำรปรับปรุงคุณภำพกำร จัดเตรียมเครื่องมือแพทย์ต่อกำรเพิ่มควำมพึงพอใจ ของผู้รับบริกำรในกำรบริกำรของงำนจ่ำยกลำง โรงพยำบำลศรีนครินทร์ คณะแพทยศำสตร์ มหำวิทยำลัยขอนแก่น พบว่ำ ร้อยละของเครื่องมือแพทย์ผ่ำนเกณฑ์ก่อนและหลังกำรปรับปรุงคุณภำพ มีค่ำเฉลี่ยต่อเดือนเท่ำกับ 91.82 ± 1.19 และ 95.33 ± 1.25 ตำมล ำดับ (p ≤ 0.005) และ2) ร้อยละควำมพึงพอใจของผู้รับบริกำรก่อนและ หลังกำรปรับปรุงเพิ่มขึ้นจำก 76.80 เป็นร้อยละ 83.40 (p=0.006) ขวัญจิต แสงทอง และคณะ (ค.ศ. 2005) ได้ศึกษำกำรพัฒนำคุณภำพกำรฆ่ำเชื้อตำมแนวปฏิบัติของหน่วยจ่ำยกลำง พบว่ำ 30 ตัวชี้วัดคุณภำพกำรพัฒนำ โดยมี 9 ตัวชี้วัด เป็นตัวชี้วัดเกี่ยวกับโครงสร้ำงองค์กร มีตัวชี้วัดเกี่ยวกับกระบวนกำร 12 ตัวชี้วัด และตัวชี้วัด เกี่ยวกับผลลัพธ์ 9 ตัวชี้วัด และตัวชี้วัดมีควำมเหมำะสมกับกำรประเมินคุณภำพของหน่วยจ่ำยกลำง ในประเทศ ไทย Sudheendra Kulkarni และ Chandrakanth Chillarge (ค.ศ. 2015) ได้ศึกษำควำมรู้ ทัศนคติ และกำร ปฏิบัติงำนของเจ้ำหน้ำที่ในหน่วยจ่ำยกลำงในประเทศอินเดีย พบว่ำ เจ้ำหน้ำที่ ในหน่วยจ่ำยกลำงของโรงพยำบำล มีควำมรู้เพียงพอ และมีทัศนคติที่ดี และอยู่ในระดับสูง กำรปฏิบัติงำนในระดับดี ดังนั้น โรงพยำบำลควรน ำผล กำรศึกษำมำใช้เพื่อประเมินควำมรู้ของเจ้ำหน้ำที่เกี่ยวกับเทคนิคกำรฆ่ำเชื้ออย่ำงสม่ ำเสมอเพื่อป้องกันกำรติดเชื้อ ในโรงพยำบำล Li Wang และคณะ (ค.ศ. 2018) ได้ศึกษำกำรประยุกต์ใช้รูปแบบกำรจัดกำรควบคุมคุณภำพ เฉพำะของหน่วยจ่ำยกลำง พบว่ำ คะแนนควำมพึงพอใจของกลุ่มทดลอง (95.8 ± 1.2) สูงกว่ำกลุ่มควบคุมอย่ำงมี
นัยส ำคัญ (90.2 ± 2.3; P = 0.000) อัตรำกำรร้องเรียนของกลุ่มทดลอง (3.3%) ต่ ำกว่ำกลุ่มควบคุมอย่ำงมี นัยส ำคัญ (11.6%; P = 0.035) กำรควบคุมคุณภำพเกี่ยวกับกำรรีไซเคิลและกำรบรรจุสูงขึ้นอย่ำงมีนัยส ำคัญซึ่ง ส่งผลดีต่อคะแนนควำมพึงพอใจ อัตรำควำมเสียหำยต่อผู้เชี่ยวชำญเครื่องมือแพทย์ในช่วงทดลอง (0.40%) ต่ ำกว่ำ ช่วงควบคุม (0.61%; P = 0.003) ควำมรู้ทำงทฤษฎีและทักษะกำรปฏิบัติของเจ้ำหน้ำที่หน่วยจ่ำยกลำงดีขึ้น หลังจำกกำรประยุกต์ใช้รูปแบบกำรจัดกำรควำมเชี่ยวชำญพิเศษ Suzimar de Fatima และคณะ (ค.ศ. 2014) ได้ศึกษำวิเครำะห์ตัวชี้วัดคุณภำพของหน่วยจ่ำยกลำงในโรงพยำบำลของรัฐ ประเทศบรำชิล พบว่ำ เจ้ำหน้ำที่ใน หน่วยงำนไม่สำมำรถปฏิบัติตำมตัวชี้วัดได้โดยเฉพำะตัวชี้วัดที่เกี่ยวกับขั้นตอนกำรท ำงำน และกำรส ำรวจควำมพึง พอใจของผู้รับบริกำรไม่สำมำรถอธิบำยถึงประสิทธิภำพของกำรให้บริกำรเนื่องจำกไม่ได้ศึกษำในภำพรวม และ Ricardo da Costa และคณะ (ค.ศ. 2020) ได้ศึกษำบทบำทของเจ้ำหน้ำที่ในหน่วยจ่ำยกลำง เป็นกำรทบทวน แบบบูรณำกำร พบว่ำ จำกกำรทบทวนงำนวิชำกำร ทั้งหมด 29 ผลงำน พบประเด็นที่ส ำคัญ ได้แก่ กำรรับรู้ต่อ บทบำทตนเองของเจ้ำหน้ำที่ในหน่วยจ่ำยกลำง ผู้รับบริกำรรับรู้ถึงบทบำทของเจ้ำหน้ำที่ หน่วยจ่ำยกลำง และ ภำระงำนของเจ้ำหน้ำที่ในหน่วยจ่ำยกลำง 10.สรุปผลการวิจัย กำรพัฒนำคุณภำพบริกำรงำนจ่ำยกลำง โดยใช้แนวคิดแบบลีนในหน่วยจ่ำยกลำง โรงพยำบำลยโสธร พบว่ำ ผลลัพธ์ในกำรด ำเนินงำนดีกว่ำแบบเดิม 11.ข้อเสนอแนะ ควรมีกำรน ำแนวคิดลีนมำใช้ และมีกำรศึกษำติดตำมประเมินผลอย่ำงต่อเนื่อง 12. อ้างอิง 1. กองกำรพยำบำล. ส ำนักงำนปลัดกระทรวงสำธำรณสุข. (2542). มำตรฐำนกำรพยำบำลใน โรงพยำบำล ปรับปรุงครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์. 2. สภำกำรพยำบำล. (2548). ประกำศสภำกำรพยำบำลเรื่องมำตรฐำนบริกำรกำรพยำบำลและ กำรผดุง ครรภ์ระดับทุติยภูมิ และระดับตติยภูมิ. นนทบุรี : สภำกำรพยำบำล. (อัดส ำเนำ). 3. สภำกำรพยำบำล. (2540). พระรำชบัญญัติวิชำชีพกำรพยำบำลและผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528. แก้ไข เพิ่มเติม พรบ.วิชำชีพ ฉบับที่ 2. มปท. 4. นิตยำ อินทรำวัฒนำ. (2558). โรคติดเชื้อในโรงพยำบำลและสถำนกำรณ์กำรดื้อยำ. Journal of the Medicine and Health Sciences. 5. ชมรมควบคุมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย. (2533). กำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อและกำรท ำลำยเชื้อ.(พิมพ์ ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: เรือนแก้วกำรพิมพ์. 6. สำธิต นฤภัย. (2553). กำรบริหำรจัดกำรระบบเครื่องมือแพทย์ในโรงพยำบำล.เอกสำรประกอบกำร บรรยำย. กองวิศวกรรมกำรแพทย์. กระทรวงสำธำรณสุข 7. สมหวัง ด่ำนชัยวิจิตร. (2553). โรคติดเชื้อในโรงพยำบำล.(พิมพ์ครั้งที่3).กรุงเทพฯ:แอล ทีเพลส กำร พิมพ์. 8. อะเคื้อ อุณหเลขกะ. (2555). หลักและแนวปฏิบัติในกำรท ำลำยเชื้อและกำรท ำให้ปรำศจำกเชื้อ. (พิมพ์ครั้งที่2). เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมืองเชียงใหม่.
9. วิลำวัณย์ พิเชียรเสถียร. (2542). กำรควบคุมกำรติดเชื้อในโรงพยำบำล. ในวิลำวัณย์พิเชียรเสถียร (บก.), กำรพยำบำลด้ำนกำรควบคุมกำรติดเชื้อ เล่ม 1 (หน้ำ 55-67).เชียงใหม่: คณะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. 10.ภำณุมำศ ภูมำศ และคณะ. (2555). ผลกระทบด้ำนสุขภำพและเศรษฐศำสตร์จำกกำรติด เชื้อดื้อยำต้ำน จุลชีพในประเทศไทย : กำร ศึกษำเบื้องต้น. วำรสำร วิจัยระบบสำธำรณสุข 2555;6,3(ก.ค.-ก.ย.):352- 360 11.สถำบันบ ำรำศนรำดูร. (2559). สถำนกำรณ์และผลกำรด ำเนินงำนด้ำนโรคติดเชื้อ. เอกสำรประกอบค ำ ของบด ำเนินงำน โครงกำร ปี 2559. 12.Block, S.S. (1991). Disinfection,Sterilization and Preservation.(4th ed.). Philadelphia: Lea & Fibiger. 13.Cefai, C., Richards, J., Gould, F.K. and Mc Peake, P. (1990). An Outbreak of Acinetobacter Respiratory tract infection resulting from incomplete disinfection of ventilator equipment. J HospInfect, 15: 1773182. 14.Gransden, W.R., Webster, M., French, G.L. & Phillips, I. (1986). An Outbreak of Serratia marcescens transmitted by contaminated breast pumps in a special care baby unit. J HospInfect, 15: 1773182. 15.Rutala, W.A., Weber, D.J. and Healthcare Infection Control Practices Advisory Committee (HICPAC). (2008). Guideline for Disinfection and Sterilization in Healthcare Facilities, Atlanta: Centers for Disease Control and Prevention.
การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยาละลายเลือด (Warfarin) อย่าง ปลอดภัยแนวปฎิบัติใหม่ หอผู้ป่วยศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ หน่วยงาน : หอผู้ป่วยศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก (CVT) โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ผู้นำเสนอ นางสาวอ้อมเกษ ทัดเทียม Email : [email protected] ประเภทผลงานที่ประสงค์นำเสนอ : การนำเสนอผลงาน (Oral Presentation) หลักการและเหตุผล หอผู้ป่วยศัลยกรรมหัวใจและทรวงอกให้การดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยาละลาย เลือด (Warfarin)สถิติในปี พ.ศ. 2564-2566 ให้การดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยาละลาย เลือด312 ราย พบยาละลายเลือดเกินระดับ (Warfarin overdose) 9 ราย ให้ FFP 6 ราย, ให้ Vit K 3 ราย, ลิ้นหัวใจติด (Valve dysfunction) 2 รายผ่าตัด1ราย ให้SK 1 ราย,361รายพบยาละลายเลือดเกินระดับ (Warfarin overdose) 15 ราย ให้FFP 12 รายให้Vit K 3 รายและ346รายพบยาละลายเลือดเกินระดับ (WarfarinOverdose)10รายให้VitK2รายFFP8รายลิ้นหัวใจติด1รายให้SK1รายตามลำดับ อาจทำให้เกิดการ สูญเสียชีวิตจากการรับประทานยาละลายเลือด (Warfarin) ไม่ได้ระดับเกิดการผ่าตัดซ้ำจาก Valve dysfunction วัตถุประสงค์1) เพื่อให้พยาบาลปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยา ละลายเลือด (Warfarin) เป็นมาตรฐานเดียวกัน 2) เพื่อทบทวนการดูแลผู้ป่วยร่วมกับนำกระบวนการ PDCA มาใช้ในการปฏิบัติดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยาละลายเลือด (Warfarin) 3) เพื่อลด ภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยาละลายเลือด (Warfarin) ต้องอยู่โรงพยาบาลนาน วิธีดำเนินการ1.) ทบทวนปัญหา/วิเคราะห์สาเหตุ/สถานการณ์2.) ทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์/ Guide line 3.) ระดมสมองกำหนดเป้าหมายวางแผนดำเนินการ 4.) นำกระบวนการคุณภาพ PDCA มาใช้ในการดูแลผู้ป่วย 5.)กำหนดกิจกรรมตามกระบวนการคุณภาพ PDCA สู่การปฏิบัติ 1. Plan 2. DO 3. Check 4. Act. 6.) นิเทศ แบบมีส่วนร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ 7.) ประเมินผลวิเคราะห์ผลลัพธ์ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงาน 1. บุคลากรปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดที่รับประทานยาละลาย เลือด (Warfarin) 90% 2. เกิดอุบัติการณ์การผ่าตัดซ้ำจากการรับประทานยาละลายเลือดเกิดขนาด, ลิ้นหัวใจ ติดเท่ากับ 0% สรุป แนวปฎิบัติใหม่ผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจแบบเปิดรับประทานยาละลายเลือดวาร์ฟารินผ่าตัดซ้ำลิ้นหัวใจติดมี แนวโน้มลดลงพยาบาลมีความรู้เพิ่มขึ้น คำสำคัญ : ยาละลายเลือด(Warfarin)
ห้องนำเสนอที่ 3
โปรแกรมการพยาบาลเพื่อลดภาวะท้องอืดและส่งเสริมการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องหลังผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี หอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลนครพนม อภิญญา วงศ์เฟียง การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือภาวะท้องอืด การลดภาวะท้องอืด จะทำให้ ผู้ป่วยสุขสบาย ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นหลังผ่าตัดได้การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการ พยาบาลเพื่อลดภาวะท้องอืดและส่งเสริมการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี รูปแบบวิจัย กึ่งทดลอง กลุ่มศึกษา คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีแบบเปิดช่องท้องและแบบส่องกล้อง ในช่วงเดือน ต.ค-เม.ย พ.ศ. 2567 จำนวน 60 คน เป็นกลุ่มที่ใช้แนวปฏิบัติแบบเดิมและแบบใหม่กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ในวิจัย คือ โปรแกรมการพยาบาลเพื่อลดภาวะท้องอืดและส่งเสริมการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด นิ่วในถุงน้ำดี ตรวจสอบคุณภาพความตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล คือ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก ได้แก่ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ภาวะท้องอืด การเรอ การคลื่นไส้อาเจียน และการขับถ่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลการใช้โปรแกรมด้วย Fisher’s exact probability test, t-test, Twosample Wilcoxon rank-sum test และ mean difference regression ผลการศึกษา พบว่าลักษณะทั่วไปของผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีทั้งกลุ่มแนวปฏิบัติใหม่และกลุ่มแนวปฏิบัติ เดิมเฉลี่ยอยู่ในวัยกลางคน ไม่มีโรคประจำตัว ผู้ดูแลเป็นคู่สมรส และผ่าตัดแบบส่องกล้อง มีลักษณะพื้นฐาน ได้แก่ น้ำหนัก ระยะเวลาในการผ่าตัด การรับยาหลังผ่าตัด เวียนศีรษะของทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 แนวปฏิบัติใหม่ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการท้องอืดลดลงตั้งแต่วันแรก ร้อยละ 100 แนวปฏิบัติ แบบเดิม ร้อยละ 33.3 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และจำนวนวันที่ผู้ป่วยท้องอืด ลดลงจนถึงระดับ 1 จนถึงท้องไม่อืด จาก 3.96 วัน (±0.18) เหลือ 2.63 วัน (± 0.49) เร็วขึ้น 1.33 วัน (CI = -1.52 ถึง -1.14, p<0.001) ส่วนอาการทางคลินิกอื่นๆ ได้แก่ การคลื่นไส้อาเจียน การเรอ และการขับถ่ายของกลุ่มที่ใช้ แนวปฏิบัติใหม่และแนวปฏิบัติเดิม ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ: โปรแกรมการพยาบาล ภาวะท้องอืด การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี
1 การพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร Development of Program Maternal Participation in Preterm Infants at Pediatric Intensive Care Unit Yasothon Hospital ศศิประไพ ไชยช่วย1 ,อรทัย หลงทอน1 ,กิตติพร จันทร์เพชร1 1หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร ศึกษาประสิทธิผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างคือ มารดาทารกคลอดก่อนกำหนด จำนวน 64 คน กลุ่มทดลอง จำนวน 32 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 32 คน การวิจัยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน 1) วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้อง 2) ออกแบบและพัฒนาเครื่องมือ 3) ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างขนาด เล็ก 4) ประเมินผลและปรับปรุง 5) ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาและสรุปผล เครื่องมือวิจัย คือ โปรแกรม การดำเนินกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด คู่มือการมีส่วนร่วมดูแลทารกคลอดก่อน กำหนดสำหรับมารดา แบบสัมภาษณ์ความเครียดของมารดาเด็กป่วยหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โดยผ่าน การตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และแบบสัมภาษณ์ความเครียดของมารดาเด็ก ป่วยหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม ค่าความเชื่อมั่น 0.82 วิเคราะห์ด้วยสถิติ แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที สรุปผลการวิจัย 1) โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ประกอบด้วย การ สร้างสัมพันธภาพกับมารดา การให้ข้อมูลสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วย การให้ข้อมูลพฤติกรรมทารก การสอน สาธิตกิจกรรมการดแลบุตร การเสริมพลังบวกมารดา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมสหสาขา 2) ความเครียด ของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมแตกต่างต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p<.001) คำสำคัญ : การพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วม, มารดาทารกคลอดก่อนกำหนด, ความเครียดของมารดา ทารกคลอดก่อนกำหนด
2 บทนำ ทารกคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลก มีอุบัติการณ์การคลอดก่อนกำหนด ของทารกใน 184 ประเทศทั่วโลกอยู่ในระดับสูง ทารกึคลอดก่อนกำหนดคือทารกเกิดมีชีพที่ เกิดก่อนอายุ ครรภ์ 37 สัปดาห์ โดยพบอัตราการคลอดก่อนกำหนดของทารกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-18 ของ จำนวนทารกที่เกิด ทั้งหมด โดยมากกว่าร้อยละ 60 ของทารกคลอดก่อนกำหนดอยู่ในแถบประเทศแอฟริกา และเอเชียใต้ (World Health Organization[WHO],2018) สำหรับในประเทศไทย ยังไม่พบรายงานสถิติการคลอดก่อนกำหนด พบ เพียงข้อมูลการคลอดก่อนกำหนดที่สัมพันธ์กับสถิติการเกิดของทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2500 กรัม จากข้อมูลทางสถิติระหว่างปีพ.ศ. 2561, 2562 และ 2563 พบอัตราการเกิดของ ทารกที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2500 กรัม มีจำนวนร้อยละ 10.92, 9.92 และ 9.52 ของทารกเกิดมีชีพทั้งหมด ตามลำดับ (กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2564) การคลอดก่อนกำหนดของทารกส่งผลกระทบต่อตัวทารกทั้งด้านร่างกายและ พัฒนาการ การคลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยคิดเป็นร้อยละ 15.9 ของการ เสียชีวิตในวัยทารก (Liu et al., 2016) แต่หากทารกคลอดก่อนกำหนดรอดชีวิตจะเสี่ยงต่อการ เกิดปัญหา สุขภาพต่างๆ ตามมา ได้แก่ ระบบหายใจเกิดอาการกลุ่มอาการหายใจลำบาก ระบบหัวใจและ หลอดเลือด พบโรคหลอดเลือดหัวใจเกิน (Patent Ductus Arteriosus [PDA]) ระบบประสาททำให้การ ทำงานของศูนย์ควบคุมการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเกิดภาวะหยุดหายใจ การเกิดภาวะเลือดออกในโพรงสมอง รีเฟล็กซ์(reflex) การดูดกลืนทำงานไม่สัมพันธ์กันส่งผลให้เสี่ยงต่อการสำลักนม ระบบทางเดินอาหารส่งผลให้ รับนมไม่ได้และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลำไส้อักเสบเน่าตาย อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายและการเกิด ภาวะ อุณหภูมิกายต่ำ (Balest, 2021) นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมในหออภิบาลทารกแรกเกิดที่ทารกเผชิญหลัง เกิดมี ลักษณะแตกต่างจากสิ่งแวดล้อมขณะอยู่ในครรภ์ของมารดา ทั้งการได้รับการกระตุ้นจากแสง เสียง การสัมผัส และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ภายใต้การพัฒนาการทางระบบประสาทที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ (Scott, 2018) มีพัฒนาการล่าช้ากว่าทารกที่มีอายุครรภ์ครบกำหนด (Beauregard et al., 2018) จากปัญหาและผลกระทบต่อตัวทารกดังกล่าวข้างต้น ล้วนส่งผลกระทบต่อบิดาและมารดาของ ทารก แรกเกิดเหล่านี้ด้วย โดยจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่ามีการศึกษาผลกระทบต่อครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่เป็น การศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบต่อมารดา ได้แก่การศึกษาอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวลของ มารดาที่มีทารก คลอดก่อนกำหนดขณะที่เข้ารับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิด ในประเทศอิตาลี โดย ศึกษาในมารดา 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกมารดาที่ทารกมีอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์และกลุ่มที่สองมารดาที่ ทารกมีอายุครรภ์ มากกว่า 32 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า มารดาของทารกคลอดก่อนกำหนดทั้งสองกลุ่มมีระดับอาการ ซึมเศร้าและความวิตกกังวลสูง (Trumello et al., 2018) โรงพยาบาลยโสธร จังหวัดยโสธร จากข้อมูลสถิติ หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม ผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาในปี พ.ศ. 2564 – 2566 พบว่ามีจำนวน 1,494, 1,609 และ 1,195 ราย เป็นทารกคลอดก่อนกำหนด จำนวน 108, 112 และ 101 ราย ตามลำดับ (งานเวช ระเบียน โรงพยาบาลยโสธร , 2566) นโยบายโรงพยาบาลยโสธรได้มีการกำหนดเวลาเยี่ยม ระเบียบการเยี่ยม และการเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมของเด็กป่วย โดยจะไม่อนุญาตให้บิดามารดาหรือญาติ เฝ้าไข้ตลอดเวลา แต่จะมีช่วงเวลาที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม ซึ่งเด็กป่วยจะอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดจาก
3 พยาบาลเจ้าของไข้ตลอด 24 ชั่วโมง การดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันจะเป็นหน้าที่ของพยาบาลทั้งหมด ได้แก่ การทำความสะอาดร่างกาย การเปลี่ยนเสื้อผ้า การทำความสะอาดหลังขับถ่าย การพลิกตะแคงตัวและการให้ อาหารทางสายยาง และเด็กป่วยส่วนใหญ่นอนรักษาตัวในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมประมาณ 3-7 วัน (นิตยา อิสรโชติ, 2557) เมื่ออาการทุเลาหรือสามารถถอดท่อช่วยหายใจออกได้ ก็จะย้ายไปรับการดูแลต่อยัง หอผู้ป่วยเด็กสามัญ ทำให้มารดามีเวลาเรียนรู้ในการดูแลบุตรที่ค่อนข้างจำกัดเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของบุตร พฤติกรรมและอาการของบุตรที่เกิดจากการเจ็บป่วย วิธีการรักษาพยาบาลที่ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ และทำให้มารดาขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรในเรื่องการทำกิจวัตรประจำวันของบุตร มารดา ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ทีมสุขภาพในการดูแลบุตร มารดาไม่กล้าแม้จะจับต้องหรือสัมผัสตัวบุตร มีความรู้สึกสูญเสีย บทบาทมารดาให้ทีมสุขภาพ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงบทบาทการเป็นมารดาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มารดามี ความเครียด การเจ็บป่วยวิกฤตที่คุกคามชีวิตเป็นสถานการณ์ขั้นรุนแรงที่ไม่เพียงพอแต่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อครอบครัวโดยมิได้คาดการณ์มาก่อน ครอบครัวจะมีความรู้สึกช็อคสับสนกับ เหตุการณ์ที้เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสมาชิกที่เจ็บป่วยเป็นเด็กและจำเป็นต้องได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก กุมารเวชกรรมที่เต็มไปด้วยเสียงสัญญาณของอุปกรณ์และเครื่องมือช่วยชีวิตตลอดเวลา ร่วมกับการทำงานของ แพทย์และพยาบาลที่มุ่งเน้นความสนใจเฉพาะตัวผุ้ป่วยเท่านั้น จึงเป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดและ เป็นความทุกข์ของครอบครัว โดยเฉพาะบิดามารดา เด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร ประมาณร้อยละ 70 ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ และมีความจำเป็นต้อง รับการรักษาด้วยหัตถการต่างๆ ได้แก่ การใส่สายให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำใหญ่ การเจาะปอด การเจาะหลัง รวมถึงการช่วยเหลือด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งส่งผลให้เด็กป่วยเกิดความกลัวและปวดทั้งสิ้น ความเครียด คือ การที่บุคคลประเมินเหตุการณ์ว่ามีผลต่อสวัดิภาพของตนและต้องใช้แหล่งประโยชน์ ในการปรับตัวที่มีอยู่อย่างเต็มที่หรือเกินกำลังที่ตนจะใช้ในการเผชิญปัญหา นั่นคือเหตุการณ์จะเครียดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการประเมินความสมดุลระหว่างความต้องการกับแหล่งประโยชน์ที่มีอยู่ของบุคคลนั้น (Lazarus & Folkman, 1984) การเจ็บป่วยและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของบุตรจะก่อให้เกิดความเครียดต่อ บิดามารดาอย่างยิ่งและจะรุนแรงขึ้นถ้าบุตรเจ็บเจ็บป่วยถึงขั้นวิกฤตและต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก กุมารเวชกรรม เนื่องจากบิดมารดาได้ประเมินแล้วว่าปัญหาต่างๆที่เกิดการเจ็บป่วยของบุตรมีความรุนแรงเกิน ความสามารถและแหล่งประโยชน์ที่มีอยู่ของบิดามารดาที่จะจัดการกับปัญหาได้ จากการทบทวนวรรณกรรม Jintrawet (2005) พบว่า เด็กป่วยเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม มารดาจะรับรู้ว่าเป็นความ เจ็บป่วยที่รุนแรงและเป็นสาเหตุของความเครียด สอดคล้องกับ Bizek (2006) การเข้ารับการรักษาในหอ ผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมของบุตรจึงเป็นภาวะวิกฤตที่เป็นปรากฏการณ์ที่คุกคามชีวิตเด็กป่วย เป็นเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่คาดคิดมาก่อนทำให้บิดามารดาต้องพบสิ่งต่างๆที่ไม่คุ้นเคย ภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น จากสถานการณ์เฉพาะหน้าซึ่งเกิดจากเหตุการณ์รุนแรงภายนอกที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน ความเครียดที่ รุนแรงดังกล่าวอาจทำให้บิดาขาดสมดุลของชีวิตและมีความต้องการต่างๆ เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตไว้ นอกจากนี้บิดายังสับสน ไม่แน่ใจบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของตนเองว่าจะทำบทบาทอย่างไร มารดาต้องปรับ บทบาทการดูแลเด็กสุขภาพแข็งแรง มาเป็นบิดาที่ดูแลเด็กป่วยที่มีภาวะวิกฤตในโรงพยาบาล ประกอบกับหอ
4 ผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมในเรื่องกฎระเบียบการเข้าเยี่ยม สภาพเด็กป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้ เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้การมีส่วนร่วมของมารดาในการดูแลบุตรหรือการปฏิบัติ ตามบทบาทของมารดาในด้านการดูแลบุตรทำได้น้อยหรือในบางรายอาจจะไม่มีเลย แต่ในความเป็นจริงมารดา ยังมีความต้องการการมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรป่วยรับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม เช่น การมี ส่วนร่วมในการดูแลกิจกรรมที่ทำประจำ การมีส่วนร่วมในการดูแลกิจกรรมการพยาบาล การมีส่วนร่วมในการ ดูแลกิจกรรมการพยาบาล การมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการดูแลเด็ก ป่วย (Schepp, 1995) จากการศึกษาการมีส่วนร่วมที่ต้องการจะปฏิบัติของผู้ปกครอบเด็กป่วยมะเร็งและเด็กป่วยที่เข้ารับการ รักษาในโรงพยาบาลชุมชน มีผลการศึกษาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชุมชน พบว่า มีผลการศึกษาที่ สอดคล้องกัน คือ ผู้ปกครองเด็กป่วยทั้งหมดต้องการที่จะปฏิบัติการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วย โดยรวมอยู่ ในระดับที่มาก และได้รับการตอบสนองการปฏิบัติการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยน้อยกว่าความต้องการ นอกจากนี้ ปวารณา (2553) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลเด็กป่วยในหอผู้ป่วยเด็กระยะวิกฤต พบว่า ความ แตกต่างของการปฏิบัติจริงและความต้องการการปฏิบัติของผู้ดูแลเด็กป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤตรายด้านและ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลต้องการปฏิบัติสูงกว่าการมีส่วนร่วมที่ได้ปฏิบัติจริงในทุกด้านอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การศึกษาของนิตยา อิสรโชติ (2557) ได้ศึกษาผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วม ของมารดาในการดูแลเด็กป่วยต่อความเครียดของมารดาเด็กป่วยหอผู้ป่วยหนักกุมาเวชกรรม จำนวน 25 ราย กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาในการดูแลเด็ก ป่วย พบว่า มารดาเด็กป่วยกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติจากหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม มี ความเครียดหลังการทดลองต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 9.77 , p= .002) มารดาเด็ก ป่วยกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยจากผู้วิจัยมีความเครียดหลังการทดลองต่ำ กว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 42.88 , p= .000) มารดาเด็กป่วยกลุ่มควบคุมได้รับการ พยาบาลตามปกติ และกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยจากผู้วิจัยมีความเครียดก่อน การทดลองไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 1.54 , p= .13) มารดาเด็กป่วยกลุ่มทดลองได้รับ โปรแกรมมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยจากผู้วิจัยมีความเครียดหลังการทดลองต่ำกว่ามารดาเด็กป่วยในกลุ่ม ควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติจากหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 37.97 , p= .000) การศึกษาเกี่ยวกับการพยาบาลที่ช่วยลดความเครียดของบิดามารดา เช่น การให้ข้อมูลโดยใช้คู่มือ รูปภาพประกอบคำบรรยายก่อนเข้าเยี่ยมทารกแรกเกิดก่อนกำหนด พบว่า มารดาทารกแรกเกิดกลุ่มที่ได้รับ ข้อมูลประกอบคำบรรยายก่อนเข้าเยี่ยมมีความเครียดน้อยกว่ามารดากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ สอดคล้องกับการศึกษาของ คาร์เรนและเจฟฟรีย์ (Karen & Jeffrey, 1999) ได้ทำการศึกษาการลด ความเครียดในบอดามารดาเด็กป่วยหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โดยการให้บิดามารดาเด็กป่วยเข้ามาอยู่กับ เด็กป่วยขณะทำหัตถการ พบว่าสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของบิดามารดาขณะเด็กป่วย เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรมได้ศึกษาดังกล่าวไม่ได้เน้นการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยที่ชัดเจน
5 ดังนั้นการส่งแสริมให้มารดาได้ปฏิบัติบทบาทมารดาโดยให้มารดาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลทารก คลอดก่อนกำหนด ขณะรับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม การมีส่วนร่วมของมารดาในการดูแล ทารกคลอดก่อนกำหนด จะช่วยให้มารดาสามารถรับรู้และเข้าใจอาการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลการรักษา รวมถึง กิจกรรมการรักษาพยาบาลที่เด็กป่วยได้รับ ได้มีส่วนร่วมในการดูแลและช่วยเหลือบุตรป่วยในกิจกรรมต่างๆทั้ง กิจวัตรประจำวันและกิจกรรมการรักษาพยาบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้มารดาสามารถลดความเครียดที่เกิด จากการเจ็บป่วยและเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรมได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อทารกคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะด้านจิตใจ เด็กจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ลดความกลัว และความเครียดจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลของการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ต่อ ความเครียดของมารดา หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลยโสธร ให้มารดาได้ปฏิบัติจริง มีการทบทวนและการสาธิตย้อนกลับ ซึ่งจะช่วยให้มารดา สามารถดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดได้อย่างมั่นใจเพื่อนำผลการวิจัย ไปใช้เป็นแนวทางใน การปฏิบัติการพยาบาลที่ช่วยเพิ่มทักษะความสามารถของมารดาในการดูแลกิจกรรมที่ทำประจำและกิจกรรม ที่เกี่ยวกับการพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้ทารกคลอดก่อน กำหนดได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและส่งผลดีต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด หอผู้ป่วยหนักกุมารเวช กรรม โรงพยาบาลยโสธร 2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดที่พัฒนาขึ้น
6 ประสิทธิผลของโปรแกรมการ มีส่วนร่วมของมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด -ความเครียดมารดา โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารก คลอดก่อนกำหนด 1. การสร้างสัมพันธภาพกับมารดา ทารกคลอดก่อนกำหนด 2. การให้ข้อมูลสภาพแวดล้อมในหอ ผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม 3. การให้ข้อมูลลักษณะพฤติกรรมและ พฤติกรรมทารกคลอดก่อนกำหนด 4. การสอน/สาธิตทำกิจกรรมดูแลทารก 5. การเสริมพลังบวกมารดาในการมี ส่วนร่วมการดูแลทารก 6. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมสห สาขา กรอบแนวคิดการวิจัย แนวคิดการสร้างโปรแกรม 1. กระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) (Kenton,2015) ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ 2 ออกแบบและพัฒนาเครื่องมือ ข ั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้โปรแกรมกับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลและปรับปรุงโปรแกรม ขั้นตอนที่ 5 ทดลองใช้โปรแกรมกับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาและสรุปผล 2. มาตรฐานการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด การดูแลอุณหภูมิร่างกาย การดูแลทางเดินหายใจ การดูแลป้องกันการติดเชื้อ การให้สารอาหาร การดูแลเฉพาะโรค การสร้างเสริมสายสัมพันธ์แม่ลูก การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการ 3. แนวคิดการมีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยของบิดามารดา ในโรงพยาบาลของเชปป์ (Schepp, 1995) 1. การมีส่วนร่วมที่ได้ปฏิบัติจริง (actual participation) 2. การมีส่วนร่วมที่ต้องปฏิบัติ (preferred participation)
7 ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้อง 2) ออกแบบและพัฒนาเครื่องมือ 3) ทดลองใช้โปรแกรมกับกลุ่ม ตัวอย่างขนาดเล็ก 4) ประเมินผลและปรับปรุงโปรแกรม 5) ทดลองใช้โปรแกรมกับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาและ สรุปผล ผู้วิจัยวัดประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด โดยวัดก่อน และหลังการใช้โปรแกรมทดลอง (two groups pretest-posttest design) แนวคิดการมีส่วนร่วมในการดูแล เด็กป่วยของบิดามารดาในโรงพยาบาลของเชปป์ (Schepp, 1995) การมีส่วนร่วมที่ได้ปฏิบัติจริง (actual participation) และการมีส่วนร่วมที่ต้องปฏิบัติ (preferred participation) การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สร้าง การมีส่วนร่วมของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรม 3 ด้าน คือ 1) ด้านการมีส่วนร่วม ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล 2) ด้านการมีส่วนร่วมดูแลในกิจวัตรประจำวัน และ 3) ด้านการมีส่วนร่วมดูแลใน กิจกรรมการพยาบาล โดยใช้มาตรฐานการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ประกอบด้วยการดูแลอุณหภูมิ ร่างกาย การดูแลทางเดินหายใจ การดูแลป้องกันการติดเชื้อ การให้สารอาหาร การดูแลเฉพาะโรค การสร้าง เสริมสายสัมพันธ์แม่ลูก การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กำหนดขนาดตัวอย่างโดยการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง เพื่อการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของประชากร สองกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน n ∕ group = 2 (zα/2 + zβ) 2 σ2 (u1 − u2) 2 เมื่อ n คือ ขนาดตัวอย่างที่ได้จากการคำนวณในแต่ละกลุ่ม Zα/2 คือ สถิติ Z ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เท่ากับ 1.96 Zβ คือ อำนาจการทดสอบที่กำหนด ที่ 90% เท่ากับ 1.28 2 คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนเฉลี่ยในกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม โดยจะเป็นค่า ความแปรปรวนร่วม (µ1-µ2) คือ ผลต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ความแปรปรวนที่ผู้วิจัยใช้ คือ ค่าความแปรปรวนร่วมซึ่งจะต้องเป็นไปตามข้อตกลง ของการ คำนวณขนาดตัวอย่าง เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยประชากรสองกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน (อรุณ จิรวัฒน์กุล, 2558) จากการศึกษาของ นิตยา อิสรโชติ(2557) ที่ศึกษาผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมของมารดา ในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดต่อความเครียดของมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดหอผู้ป่วยหนักกุมารเวช กรรม โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 25 คน กลุ่มควบคุม 25 คน พบว่า หลังได้รับ โปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความเครียด เท่ากับ 1.63 (SD = 0.24) กลุ่มควบคุม มีคะแนน