เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ า 1124618 วธิ ีสอนภาษาไทยสาหรบั ประถมศกึ ษา
(Thai Language Teaching Methods for Primary Education)
สุชาดา ตัง้ ศริ นิ ทร์
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์
2563
คำนำ
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาวิธีสอนภาษาไทยสาหรับประถมศึกษา รหัสวิชา
1124618 เป็นวิชาการสอนวิชาเอก ในหมวดวิชาเอกบังคับสาหรับนักศึกษาช้ันปีที่ 4 ของหลักสูตร
ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ าภาษาไทย (หลกั สูตรปรับปรงุ พ.ศ. 2558) เพ่ือพัฒนาความสามารถในการ
จดั กจิ กรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทยในระดับชนั้ ประถมศึกษา
เน้ือหาในเอกสารประกอบการสอนรายวิชาวิธีสอนภาษาไทยสาหรับประถมศึกษาเล่มน้ี
ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกบั กระบวนการเรยี นรู้ภาษา แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอนวิชาภาษาไทย วิธีสอน
ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาภาไทยระดับประถมศึกษา ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอน
วิชาภาษาไทย และ การจดั กิจกรรมเพ่ือตรวจสอบผลการเรยี นรู้
ผูจ้ ัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารประกอบการสอนฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
ค้นคว้าและช่วยทบทวนสาระความรู้ในการเรียนรายวิชาวิธีสอนภาษาไทยสาหรับประถมศึกษา
รวมทั้งช่วยสร้างสรรค์การจัดกระบวนการเรยี นรูใ้ นรายวชิ าภาษาไทยไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพตอ่ ไป
สชุ าดา ตัง้ ศิรินทร์
สาขาวิชาภาษาไทย
ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค์
สารบญั
หน้า
คำนำ
สำรบัญ
แผนบรหิ ำรกำรสอนประจำวิชำ
บทที่ 1 กระบวนการเรยี นรภู้ าษา
1. กระบวนกำรรู้ภำษำ............................................................................................. 1
2. ทฤษฎีกำรเรยี นรู้ภำษำ........................................................................................ 3
3. ทฤษฎกี ำรสอนภำษำ........................................................................................... 6
บทท่ี 2 แนวคดิ เก่ียวกับการสอนวชิ าภาษาไทย
1. พัฒนำกำรและควำมพร้อมในกำรเรยี นภำษำไทย................................................ 10
2. กำรจัดกรรมกำรสอนภำษำไทยสำหรับประถมศึกษำ.......................................... 25
3. กำรสอนทักษะกำรฟงั สำหรับผเู้ รียนภำษำไทยระดับประถมศึกษำ...................... 32
4. กำรสอนทกั ษะกำรดสู ำหรับผู้เรียนภำษำไทยระดบั ประถมศกึ ษำ........................ 35
5. กำรสอนทักษะกำรพูดสำหรบั ผู้เรียนภำษำไทยระดับประถมศึกษำ..................... 37
6. กำรสอนทกั ษะกำรอ่ำนสำหรับผ้เู รยี นภำษำไทยระดับประถมศึกษำ................... 41
7. กำรสอนทักษะกำรเขียนสำหรบั ผ้เู รียนภำษำไทยระดับประถมศกึ ษำ.................. 49
8. กำรสอนวรรณกรรมวรรณคดสี ำหรบั ผู้เรยี นภำษำไทยระดับประถมศกึ ษำ.......... 59
9. กำรสอนภำษำไทยเพ่ือพฒั นำทักษะผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21................................ 65
10. แนวทำงกำรสอนซอ่ มเสรมิ วชิ ำภำษำไทย.......................................................... 79
11. ลักษณะของครภู ำษำไทยท่ดี ี.............................................................................. 81
บทที่ 3 วธิ ีสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา
1. วธิ สี อนแบบนิรนยั ................................................................................................ 84
2. วธิ ีสอนแบบอปุ นยั ............................................................................................... 85
3. วธิ สี อนแบบแสดงละคร....................................................................................... 86
4. วธิ ีสอนแบบบทบำทสมมุติ................................................................................... 88
5. วธิ ีสอนแบบมงุ่ ประสบกำรณ์ทำงภำษำ................................................................ 91
6. วิธีสอนแบบ KWL................................................................................................ 98
7. วธิ ีสอนแบบ PWIM.............................................................................................. 101
สารบญั (ต่อ)
หน้า
8. วธิ ีสอนแบบซนิ เนคติกส์....................................................................................... 104
9. วธิ ีสอนแบบ ARC................................................................................................. 108
10. วธิ สี อนแบบบรู ณำกำรกำรอ่ำนและเขยี นเรียงควำม.......................................... 111
11. วิธีสอนแบบสตอรไี ลน์........................................................................................ 113
12. วิธสี อนแบบ SQ3R............................................................................................ 122
13. วิธีสอนแบบใช้ปัญหำเปน็ ฐำน............................................................................ 124
14. วธิ ีสอนแบบแนวคิดหมวกหกใบ......................................................................... 126
15. วิธสี อนแบบรว่ มมอื กนั เรียนรู้............................................................................. 128
บทที่ 4 ศิลปะการจดั กิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย
1. เทคนิคกำรเลำ่ เร่ือง/นิทำน.................................................................................. 141
2. เทคนิคกำรใช้แผนผังมโนทัศน์............................................................................. 147
3. เทคนิคกำรใชเ้ พลง............................................................................................... 154
4. เทคนิคกำรเล่นกับภำษำในสังคมไทย................................................................... 156
5. เทคนคิ กำรร่วมคดิ ............................................................................................... 158
บทท่ี 5 การจดั กิจกรรมเพือ่ ตรวจสอบผลการเรยี นรู้
1. ควำมรทู้ ำงภำษำกับกำรวัดประเมินผลกำรเรียนรู้................................................ 164
2. หลักกำรประเมินผลในชนั้ เรียนที่มีประสทิ ธิภำพ................................................. 166
3. กำรวำงแผนเกบ็ รวบรวมข้อมลู เพ่ือกำรประเมนิ ผลกำรเรียน............................... 167
4. วิธีกำรเก็บรวบรวมข้อมูลผลกำรเรยี นรู้ของผู้เรียน............................................... 167
5. กำรประเมินเพื่อมอบอำนำจกำรเรยี นรู้............................................................... 169
บรรณานกุ รม ........................................................................................................................ 180
แผนบริหารการสอนประจาวชิ า
รหสั วิชา 1124618
รายวิชา วธิ ีสอนภาษาไทยสาหรับประถมศกึ ษา
(Thai Language Teaching Methods for Primary Education)
คาอธบิ ายรายวิชา
การวิเคราะห์หลักสูตรและเอกสารหลักสูตรภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา วธิ ีสอนและเทคนิค
การสอนท่ีเน้นการบูรณาการทักษะการฟัง การดู การพูด การอ่าน และการเขียน การเขียนแผนการ
จัดการเรียนรู้ การผลิตและการใช้ส่ือการเรียนรู้ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ ในการจัดการเรียนรู้ การสร้าง
แบบทดสอบ การทดลองสอนในช้ันเรียน
ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง
1. ด้านคณุ ธรรม
นาหลกั การของอทิ ธิบาท 4 มาใชใ้ นการปฏิบัตงิ านไดจ้ นประสบความสาเรจ็
2. ดา้ นความรู้
- นาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรมาออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
- นาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักภาษา วรรณคดี และทักษะทางภาษาไทยใน
ระดับประถมไปใช้ในการจดั การเรยี นรู้ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
3. ดา้ นทกั ษะทางปัญญา
วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และสร้างสรรค์กิจกรรมการสอน ส่ือ ตลอดจน
แบบทดสอบที่มีคุณภาพรวมท้ังเหมาะสมกับนักเรียนและบริบทของโรงเรียนเพ่ือพัฒนาคุณภาพของ
ผูเ้ รยี นวิชาภาษาไทยได้
4. ดา้ นทักษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
เรียนรู้และทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถปฏิบัติงานต่างๆ
ท่ไี ดร้ ับมอบหมายอย่างคุม้ คา่ และมคี วามรบั ผิดชอบต่อส่ิงแวดล้อม
5. ด้านทกั ษะการวเิ คราะห์เชิงตัวเลข การสือ่ สาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
- ใชท้ ักษะในการสอ่ื สารได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
- ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม รวมทง้ั มีวจิ ารณญาณในการรับสารจากสารสนเทศ
6. ด้านทักษะพสิ ัย
- สาธติ การสอนจากสถานการณ์จาลองทีก่ าหนดให้ได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม
เนื้อหาวิชา
1. กระบวนการเรียนรู้ภาษา
2. แนวคดิ เก่ียวกับการสอนวิชาภาษาไทย
3. วธิ ีสอนที่สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา
4. ศลิ ปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย
5. การจดั กิจกรรมเพ่ือตรวจสอบผลการเรยี นรู้
วิธสี อนและกิจกรรม
1. บรรยาย
2. อภิปราย
3. ฝกึ ปฏบิ ตั ิ
4. นาเสนอผลงาน
สือ่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาวธิ ีสอนภาษาไทยสาหรับประถมศกึ ษา
2. สือ่ จากโปรแกรมนาเสนองาน
การวดั ผลและการประเมนิ ผล
การวดั ผล
1. คะแนนระหวา่ งเรยี น 85 %
1.1 คุณธรรมจรยิ ธรรม 15 %
1.2 การฝกึ ปฏบิ ตั ิในชั้นเรยี น 35 %
1.3 ช้ินงาน 20 %
1.4 สอบกลางภาค 15 %
2. คะแนนสอบปลายภาค 15 %
การประเมินผล ได้ระดบั A
คะแนนระหวา่ ง 80 – 100 ไดร้ ะดบั B+
คะแนนระหว่าง 76 – 79 ไดร้ ะดบั B
คะแนนระหวา่ ง 70 – 75 ได้ระดับ C+
คะแนนระหวา่ ง 66 – 69 ได้ระดบั C
คะแนนระหวา่ ง 60 – 65 ไดร้ ะดบั D+
คะแนนระหวา่ ง 56 – 59 ได้ระดบั D
คะแนนระหวา่ ง 50 – 55 ไดร้ ะดบั F
คะแนนระหว่าง 0 – 49
1
บทท่ี 1
กระบวนการเรยี นรูภ้ าษา
ภาษาเป็นเคร่ืองมือส่ือสารที่เติบโตมาพร้อมกับพัฒนาการทางร่างกายของมนุษย์ เราเคย
สงสยั หรือไมว่ า่ บคุ คลสามารถเรียนรู้ภาษาและส่ือสารกนั ได้อย่างไร เหตุใดบคุ คลจงึ สามารถผลิตภาษา
ข้ึนใช้เองได้ แม้ไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการ และอะไรคือปัจจัยที่สาคัญในการพัฒนาด้าน
ภาษาของบุคคล ประเด็นเหลา่ น้ไี ด้รบั ความสนใจอยา่ งมากในการศึกษา สังเกต วเิ คราะห์ และทดลอง
สมมติฐานตามความน่าจะเป็นต่างๆ จากการศึกษาตามแนวคิดของนักวิชาการทางภาษาจานวนมาก
ทาให้ไดข้ อ้ สรปุ เกย่ี วกับกระบวนการเรียนร้ภู าษาของบุคคล ดงั ต่อไปน้ี
1. กระบวนการรูภ้ าษา (Language Acquisition)
กระบวนการรู้ภาษาของบุคคลเร่ิมทางานต้ังแต่อยู่ภายในครรภ์ของมารดาแล้ว ซ่ึงการศึกษา
ทางวิทยาศาสตร์พบข้อเท็จจริงตรงกันว่า ทารกในครรภ์สามารถได้ยินเสียงจากทั้งภายในและ
ภายนอกตัวของมารดา รวมทั้งสามารถแสดงออกถึงความพึงพอใจได้ด้วยการตอบสนองจากภายใน
ท้องของมารดา หรือที่เรามักเรียกว่า ลูกดิ้น ดังนั้นจึงอาจอนุมานได้ว่า กระบวนการรู้ภาษามิได้
เกิดขึ้น เมื่อเด็กเติบโตและเข้าสู่ระบบการศึกษาเท่านั้น ซึ่งจากการศึกษาผลการวิเคราห์และสังเกต
ของนักภาษาหลายท่าน สามารถสรุปกระบวนการรู้ภาษาของบุคคลได้โดยสังเขป ดัง กระ
กระบวนการตามลาดับขั้น ต่อไปน้ี
1. ขั้นสะสมประสบการณ์ (Hearing stage) : กระบวนการรู้ภาษาในขั้นนี้เกิดขึ้นตัง้ แต่
มารดามีอายุครรภ์ได้สี่เดือนจนถึงช่วงสามเดือนหลังคลอด เป็นกระบวนการซึมซับรับรู้เสียงต่างๆ ที่
ได้ยินในสภาพแวดล้อมต่างๆ ของมารดา เป็นขั้นกระตุ้นอวัยวะการรับเสียงซึ่งเป็นรากฐานสาคัญ
ของกระบวนการรู้ภาษา การจัดระบบภาษาในขั้นสะสมประสบการณ์นี้เป็นเพียงการเตรียมความ
พร้อมทางภาษาในด้านการคัดกรองเสียงที่เป็นภาษากับเสียงที่ไม่เป็นภาษาออกจากกัน เพื่อ
พัฒนาการรู้ภาษาในข้ันต่อไปได้เร็วข้ึน
2. ข้ันออกเสียงอ้อแอ้ (Babbling stage) : กระบวนการรู้ภาษาในข้ันน้ีเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด
จนถึงสิบสองเดือน กระบวนการรู้ภาษาในขั้นนี้เป็นช่วงทดลองอวัยวะในการออกเสียง เป็นการ
ฝึกฝนออกเสียงที่มีความหมายของตนจากขั้นสะสมประสบการณ์ ซึ่งการทดลองออกเสียงที่มี
\\//\\//กระบวนการเรยี นร้ภู าษา\\//\\//
2
ลักษณะใกล้เคียงกัน พบว่าเด็กสามารถจาแนกได้ แต่ไม่สามารถออกเสียงให้ต่างกันได้ ซึ่งสะท้อนให้
เห็นความเจริญด้านความรู้ภาษากับทักษะทางภาษาได้อย่างชัดเจน สาหรับกระบวนการรู้ภาษาใน
ขั้นนี้ การเจริญเติมโตของพัฒนาการทางภาษาในขั้นออกเสียงอ้อแอ้ มีลาดับของพัฒนาการที่
แตกต่างกัน ดังนี้
ช่วงอายุ พัฒนาการทางภาษา
ฝึกออกเสียงพยญั ชนะ วรรณยุกต์ และ สระ ตามลาดับ คือ เริ่มจากเสยี ง
3 – 4 เดือน พยัญชนะในฐานริมฝีปาก-->ปุม่ เหงือก-->เพดานแข็ง-->เพดานอ่อน -->ช่อง
ระหว่างเสียง-->นาสิก-->วรรณยุกต์
1. แยกเสียงสระและพยัญชนะได้
5 – 8 เดือน 2. ฝึกผสมเสยี งพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ แต่ผลลัพธ์ของการออกเสียงยัง
ไม่ใช่เสียงที่มีความหมายในภาษา
9 เดือน 1. ออกเสียงพยญั ชนะ สระ และ วรรณยุกต์ ได้จานวนเพิ่มขึ้น
2. ฝึกออกเสยี งพยางค์เปดิ และพยางค์ปดิ
10 - 12 1. ฝึกฝนเฉพาะเสียงในภาษาของพ่อแม่ ในลกั ษณะหน่งึ หรือสองพยางค์
2. ออกเสียงแบบเล่นเสียงวรรณยุกต์ (เฉพาะเด็กทมี่ ีเสียงวรรณยุกต์ในภาษา)
3. สังเกตการตอบสนองต่อเสียงท่ีได้ยิน
3. ขั้นพูดคาเดียว (One-word stage) : กระบวนการรู้ภาษาในขั้นนี้เกิดข้ึนต้ังแต่ในช่วงอายุ
หนึ่งปี ถึง หนึ่งปีครึ่ง กระบวนการรู้ภาษาในขั้นนี้เป็นการฝึกออกเสียงพูดเพื่อสื่อสารกับบุคคล ซึ่ง
ลักษณะของการพูดสื่อสารในขั้นนี้ จาแนกได้ 2 ลักษณะ คือการพูดเป็นพยางค์และการพูดเป็นคา
เพื่อสื่อความหมายในลักษณะกว้างออกของพยางค์หรือคานั้นๆ เช่น นก หมายถึง ทุกอย่างที่บินหรือ
ลอยในอากาศได้, หมา หมายถึง ส่ิงมีชีวิตท่ีมีสี่ขา และ สวย หมายถึง ผู้หญิงทุกคนที่ผมยาว เป็นต้น
ลักษณะการพูดเป็นพยางค์เกิดขึ้นในช่วงต้นของขั้นการพูดคาเดียว อวัยวะที่เกี่ยวกับการ
ออกเสียงยังใช้การไดไ้ ม่เต็มที่ แต่ความสามารถทางสมองเกี่ยวกับการรูภ้ าษาได้เจริญขึ้นแล้ว ดังนั้น
จึงมีการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์เกิดขึ้น เช่น ออกเสียง [na] เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ, ออกเสียง [eกลับหัว]
เพื่อบอกให้ทาอีกครั้ง, ออกเสียง [a] เพ่ือแสดงความพอใจ
ส่วนอีกลักษณะคือการพูดเป็นคาซึ่งเกิดขึ้นในช่วงท้ายของขั้นการพูดคาเดียว การพูด
ลักษณะนี้ อาจกล่าวได้วา่ เปน็ การพูดเป็นคาแบบไม่สมบูรณ์ เนื่องจากสามารถออกเสียงเป็นคาได้
ถูกต้องเพียงบางคา ร่วมกับการออกเสียงเพี้ยนในบางพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ รวมทั้งมีการ
ตัดคาสองพยางค์ให้เป็นคาพยางค์เดียว เช่น ชมพู่-->พู่, น้อยหน่า-->หน่า และ ฮัลโหล-->โหย เป็นต้น
4. ขั้นพูด 2 คา (Two-word stage) : กระบวนการรู้ภาษาในข้ันนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงหนึ่งขวบ
ครึ่ง ถึง สองขวบ เป็นช่วงทดลองสร้างประโยคสื่อสารจากวงคาศัพท์ที่มีอยา่ งจากัด ด้วยการใช้คา
\\//\\//กระบวนการเรยี นรภู้ าษา\\//\\//
3
สองลักษณะ คือ คาเปิด (Open) ซึ่งส่วนใหญม่ ักเป็นคานาม เช่น แม่, นม, ถุงเท้า และ เรือ เป็นต้น
ส่วนคาหมุน (Pivot) คือคาอื่นที่ไม่ใช่คานาม เช่น สวย, ใหญ่, กิน และ เห็น เป็นต้น โดยใช้โครงสร้าง
การเชื่อมต่อคา 2 ลักษณะ สาหรับการสร้างประโยคส่ือสาร ดังน้ี
1) คาหมุน + คาเปิด เช่น เห็น+เรือ, กิน+นม, ของฉัน+ผ้าห่ม
2) คาเปิด + คาหมุน เช่น แม่+เห็น, หมา+ใหญ่, พ่อ+วาง
3) คาเปิด + คาเปิด เช่น แม่+ถุงเท้า, นม+เก้าอี้, หมา+บ้าน
จากโครงสร้างของการใช้ประโยคสื่อสารข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า กระบวนการรูภ้ าษาขั้น
พูดสองคาน้ีเป็นการใช้ประโยคส่ือสารสารที่กินความหมายกว้างกว่าโครงสร้างประโยค ผู้รับสารต้อง
อาศัยบริบทเพื่อตีความการสื่อสาร ทั้งนี้นอกจากเป็นความพยายามสื่อสารแล้วยังเป็นขั้นตอนของ
การทดลองใช้ความรูท้ างภาษาเพื่อสร้างระบบภาษาของตนเองขึ้นมา จากการทดลองหมนุ คาที่มีอยู่
ในการสร้างประโยคและได้รับการปรับแก้ไขอยู่เสมอ
4. ขั้นพูดแบบโทรเลข (Telegraphic speech) : กระบวนการรู้ภาษาในขั้นนี้เริ่มตั้งแต่ชว่ ง
อายุสองขวบ ถึง สองขวบครึ่ง เป็นกระบวนการสร้างภาษาสื่อสารด้วยการนาคา จานวน 3 – 5 คา
มาเรียงต่อกันเป็นประโยคท่ีมีความบกพร่องทางไวยากรณ์ เช่น แม่ไม่หนูข้าวร้อน หมายถึง แม่หนูไม่
กินข้าวร้อน เนื่องจากปัญหาด้านคลังศัพท์ที่มีอย่างจากัด แต่อย่างไรก็ตามปัญหานี้จะค่อยๆ หายไป
เมื่ออายุประมาณสามขวบ เนื่องจากพัฒนาการในการออกเสียง สามารถใช้การได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและมีคลังศัพท์เพิ่มขึ้น ส่วนโครงสร้างกฎเกณฑ์ในระบบภาษาจะสมบูรณ์พร้อมเมื่อ
อายุประมาณห้าขวบและจะเป็นรากฐานทางภาษาของบุคคลไปตลอดชีวิต
กระบวนการรู้ภาษา (Language acquisition) เป็นเพียงการสะท้อนภาพเริ่มต้นของการ
เรียนรู้ภาษาเท่านั้น ช่วยให้เข้าใจได้ว่าสิ่งแรกที่บุคคลเรียนรู้จากการเป็นมนุษย์ คือภาษา และการ
แสดงออกทางภาษาของบุคคลจาเป็นต้องใช้ความพร้อมทางด้านร่างกายควบคู่ไปกับความพร้อมทาง
สติปัญญา แต่อย่างไรก็ตามเราอาจพบว่า บุคคลจานวนมากมีระดับความสามารถทางภาษาที่
แตกต่างกัน ดังนั้นนอกจากพัฒนาการของบุคคลตามธรรมชาติแล้ว น่าจะมีปัจจัยอื่นอีกที่ส่งผลต่อ
พฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาของบุคคลด้วย
2. ทฤษฎีการเรียนร้ภู าษา
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาเป็นการศึกษาปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับการรู้ภาษาของบุคคล โดย
การศึกษาวิเคราะห์และเช่ือมโยงเหตุปัจจัยต่างๆ ท่ีส่งผลต่อการรู้ภาษาของบุคคล เพื่อนา
\\//\\//กระบวนการเรียนรูภ้ าษา\\//\\//
4
ความสามารถในการควบคุมและทานายไปใช้สร้างคุณประโยชน์เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาต่างๆ ของ
บุคคลให้เกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด ซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาท่ีได้รับการยอมรับ
อย่างมาก ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษากลุ่มพฤติกรรมนิยม, ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษากลุ่มธรรมชาติ
นยิ ม และ ทฤษฎีการเรียนรภู้ าษากลุม่ พุทธินิยม
1.1 ทฤษฎกี ารเรียนรภู้ าษากุล่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theory)
ทฤษฎีน้ีได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของ สกินเนอร์ (B.F.Skinner) ซ่ึงสนใจเร่ือง
พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการวางเงื่อนไขและการเสริมแรง ดังน้ันทฤษฎีนี้จึงเช่ือว่า
การเรียนรู้ภาษาของเด็กก่อตัวขึ้นจากความต้องการส่อื สารเพ่ือตอบสนองความปรารถนาของตน เชน่
รอ้ น หวิ คัน หรอื ความต้องการ และ ความไมต่ ้องการ เปน็ ต้น ทาให้เดก็ เกิดกระบวนการสังเกตและ
เชื่อมโยงความหมายของพฤติกรรมต่างๆ และพยายามแสดงออก ซ่ึงพฤติกรรมที่เด็กสามารถ
แสดงออกได้ชัดเจนท่ีสุดคือพฤติกรรมทางภาษาหรือคาพูดน่ันเอง จากนั้นจึงพยายามฝึกฝน
ลอกเลียนแบบพฤติกรรมตามระดับพัฒนาการของตน หากพฤติกรรมใดได้รับการตอบสนองท่ีพึงใจ
พฤติกรรมนั้นจะคงอยู่หรือเกิดซ้า แต่หากพฤติกรรมใดได้รับการตอบสนองที่ไม่พึงใจ พฤติกรรมน้ัน
จะหายไปหรือไม่แสดงอีก ฉะน้ันอาจสรุปพฤติกรรมเรียนรู้ภาษาตามทฤษฎีการเรียนรู้ภาษากลุ่ม
พฤติกรรมนิยมได้ดังสมการน้ี
“(ความต้องการส่ือสาร + การเลยี นแบบ) X การเสริมแรง = ภาษา”
จากสมการข้างต้นอาจกล่าวได้ว่า ภาษาเกิดขึ้นได้จากเงื่อนไขด้านความปรารถนา
และความสามารถในการแก้ปัญหาซึ่งคือการเลียนแบบ แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมภาษาที่ได้
จากการเลียนแบบเฉพาะสถานการณ์จะไม่คงทนหรือเกิดซ้าจนเป็นนิสยั ได้ หากขาดการเสริมแรง
ดัง นั้น ก า ร ค ว บ คุมพ ฤ ติก รร ม ภ าษ า ใ ห้เ กิด ขึ้นต า มท ฤ ษ ฎีนี้จึง มิใช ่เ พีย งแ ค่ก าร ทาซ้า ใ ห้ดู เท่านั้น
พฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาจึงจะเกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
1.2 ทฤษฎีการเรยี นรภู้ าษากุล่มธรรมชาตินิยม (Nativist Theory)
ทฤษฎีน้ีได้รับอิทธิพลมาจากความเห็นต่างของนอม ชอมสกี้ (Noam Chomsky)
เก่ียวกับการเรียนรู้ภาษาแบบพฤติกรรมนิยม โดยมีข้อสมมติฐานวา่ หากพฤติกรรมทางภาษาเกิดจาก
ปัจจัยด้านการเลียนแบบและการเสริมแรงแล้ว เหตุใดนกแก้วและนกเอ้ียงที่ได้รับการฝึกฝนและ
เสริมแรงให้เลียนแบบการพูดของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์จึงไม่สามารถผลิตภาษาข้ึนใช้เองได้เฉก
เช่นเดียวกันกับมนษุ ย์ อีกทั้งข้อสรุปจากทฤษฎีไวยากรณ์สากล (Universal Grammar) ยังสะท้อนว่า
\\//\\//กระบวนการเรียนรภู้ าษา\\//\\//
5
ในทุกภาษามีลักษณะร่วมกันในโครงสร้างใหญ่ แม้ว่ามิได้เรียนรู้ภาษาซ่ึงกันและกันมาก่อน เน่ืองจาก
บุคคลมีกลไกการเรียนรู้ภาษา (language acquisition device หรือ LAD) ติดตัวมาแต่กาเนิด
กลไกการเรียนรู้ภาษา (Language Acquisition Device: LAD) เป็นกระบวนการ
ทางสมองที่เกิดขึน้ เองในร่างกายที่มีความปกติ กลไกนี้จะจัดระบบกฎเกณฑ์ทางภาษาให้แก่บุคคล
โดยอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมที่ดารงอยู่ในช่วงห้าขวบปีแรกของชีวิต ทาหน้าที่ตั้งค่าระบบภาษา
ให้กับบุคคล ซึ่งประกอบด้วยการตั้งค่าระบบภาษาภายในหรือสามัตถิยะภาษา (Competence)
และระบบภาษาภายนอกหรือกฤตกรรมภาษา (Performance) ดังนั้นทฤษฎีการเรียนรู้ภาษากลุ่ม
ธรรมชาตินิยมจึงเช่ือว่า การเรียนรู้ภาษาเป็นกลไกธรรมชาติท่ีมนุษย์ทุกคนต้องมีและเจริญเติบโตข้ึน
ได้เองพร้อมกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เพื่อช่วยให้บุคคลสามารถสร้างสรรค์ภาษาขึ้นใช้ได้เอง
อย่างไม่จากัดแม้มีระบบเสียงในภาษาจากัด และสามารถเข้าใจรูปแบบการใช้ภาษาได้อย่าง
หลากหลายแม้ไม่เคยมีประสบการณ์ทางภาษาน้ันๆ มาก่อน
1.3 ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษากุล่มพุทธินิยม (Cognitivism Theory)
ทฤษฎีนี้ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของ ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) ซึ่งมีความ
เชื่อว่าบุคคลมิได้มีกลไกเฉพาะสาหรับการเรียนรู้ภาษา แต่บุคคลเรียนรู้ภาษาได้เองตามลาดับ
พัฒนาการพัฒนาการทางสติปัญญาของตน ดังนี้
เรียนรู้และจาแนก ใช้ภาษาที่เป็นคา หรือ คิดวิเคราะห์อย่างมี คิดเชิงสร้างสรรค์ และ
ความต่างของสิ่ง ประโยค แทนสิ่งต่างๆ หลักการท่ีไม่ซับซ้อน คาดคะเนเหตุการณ์
รอบตัวด้วยการสัมผัส ไม่รับฟังเหตุผล มากได้ ยอมรับเหตุผล อย่างมีเหตุผล
จากลาดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าบุคคลมี
พัฒนาการในการรับรู้และการสื่อสารที่มีความซับซ้อนน้อยไปสู่ระดับที่มีความซับซ้อนมาก และ
ทุกพัฒนาการเป็นพื้นฐานของพัฒนาการในขั้นต่อไปเสมอ ฉะนั้นทฤษฎีนี้จึงเช่ือว่า การเรียนรู้ภาษา
เป็นกระบวนการเดียวกันกับกระบวนการเรียนรู้ทั่วไปของบุคคล ซึ่งเป็นการทางานของสมองที่
\\//\\//กระบวนการเรยี นรูภ้ าษา\\//\\//
6
ประกอบด้วย กระบวนการซึมซับ (Assimilation) บริบทแวดล้อมบุคคล และกระบวนการปรับ
โครงสร้าง (Accomodation) เพื่อให้เกิดภาวะสมดุล (Equilibation) ในโครงสร้างทางสติปัญญา
ของบุคคล แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเรื่องพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of Proximal
Development) ของไวก็อตสกี้ (Vygotsky) สร้างความกระจ่างเพิ่มเติมว่า นอกจากพัฒนาการของ
บุคคลจะเกิดขึ้นตามพัฒนาการได้เองแล้วยังสามารถส่งเสริมใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ด้วยการ
ก ร ะ ตุ ้น ป ฏ ิส ัม พ ัน ธ ์ข อ ง บ ุค ค ล ร ะ ห ว ่า ง บ ุค ค ล ก ับ บ ุค ค ล ห ร ือ บ ุค ค ล ก ับ สิ ่ง แ ว ด ล ้อ ม เ พื ่อ ก ร ะ ตุ ้น
กระบวนการทางสมองให้เกิดกระบวนการเช่ือมโยงได้ดีขึ้น
ดังนั้นการเรียนรู้ภาษาของทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมจึงอธิบายปรากฏการณ์
ทางภาษาของบุคคลว่า เกิดจากความสามารถทางสมองที่ติดตัวบุคคลมาและพัฒนาข้ึนอย่างมีลาดับ
ขั้น และไม่สามารถข้ามลาดับข้ันได้ แม้ว่าจะได้รับสิ่งเร้า หรือ การเสริมแรงท่ีแตกต่างกันมากเพียงใด
ก็ตาม แต่การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับส่ิงเร้าหรือการเสริมแรงจะเป็นพื้นฐานให้การเรียนรู้ภาษา
มีประสิทธิภาพสูงข้ึนเมื่อเข้าสู่พัฒนาการในลาดับขั้นนั้นๆ
จากทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาท่ีได้รับการยอมรับอย่างมากทั้งสามทฤษฎีข้างต้นนี้ สะท้อนให้
เห็นว่า การเรียนรู้ภาษาของบุคคลได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกตนเอง
การเรียนรู้ภาษาดาเนนิ ไปอย่างมีลาดับข้ันตอนท่ีชัดเจน ดังน้ันการส่งเสรมิ ให้บุคคลมีความสามารถใน
การใช้ภาษาท่ีมีประสิทธิภาพจึงต้องสอดคล้องกับปัจจัยการเรียนรู้ภาษาของบุคคลด้วยจึงจะเกิด
ประสิทธผิ ลสูงสดุ ในการสอนภาษา
3. ทฤษฎกี ารสอนภาษา
ทฤษฎีการสอนเป็นการนาความเข้าใจเร่ืองกระบวนการเรียนรู้ภาษาของบุคคลมาพัฒนาต่อ
ยอดเพ่ือเป็นแนวทางการจัดกจิ กรรมการสอนทส่ี อดคล้องกับธรรมชาตกิ ารเรยี นรู้ภาษาของบคุ คล ทา
ให้เกิดประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึนในกระบวนการสอนภาษา ซ่ึงประกอบด้วย ทฤษฎีภาษาศาสตร์
วรรณนา, ทฤษฎเี กยี่ วกับการฟงั และการพูด, ทฤษฎเี กีย่ วกบั การส่อื สาร และ ทฤษฎีธรรมชาติ ดงั น้ี
3.1 ทฤษฎีภาษาศาสตร์วรรณา (Descriptive Linguistics) : ทฤษฎีนี้เช่ือว่า ภาษาท่ี
แท้จริง คือ ภาษาพูด เน่ืองจากทุกภาษาเกิดจาก
ก า ร ป ร ะ ส ม เ สี ย ง ใ น ภ า ษ า ก่ อ น แ ล้ ว จึ ง เ กิ ด
กลายเป็นคา วลี ประโยคที่มีความหมายต่อมาได้
ดังน้นั แนวทางการสอนภาษาจึงต้องเริ่มตน้ จาก
จากการฝึกฝนด้านการพูดก่อนแลว้ จึงไล่เรยี งทกั ษะ
อื่นตอ่ ไป
\\//\\//กระบวนการเรียนรภู้ าษา\\//\\//
7
แนวทางการสอนภาษาตามทฤษฎนี ้ีจึงเริม่ ตน้ จากการนาคาศพั ท์และบรบิ ทของการใช้คาศัพท์
ทตี่ ้องการให้เกิดการเรียนรู้มาฝึกฝนผ่านกระบวนการพดู ก่อน ซึ่งกระบวนการพดู นหี้ มายรวมถงึ ทักษะ
ในการฟังเพื่อจาแนกความแตกต่างของการออกเสียงคาลักษณะต่างๆ ให้มีความชัดเจน แม่นยา เมื่อ
ผู้เรียนมีความคล่องแคล่วในทักษะการพูดแล้ว จากน้ันจึงเริ่มต้นกระบวนการฝึกฝนการอ่านต่อไป
ท้ังน้ีผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้นกับผู้เรียนภาษาในลักษณะเช่นน้ี คือความเข้าใจในรูปแบบกฎเกณฑ์ของภาษา
หรอื ไวยากรณ์ของภาษาทีฝ่ กึ ฝนนัน้ ๆ จากบริบทต่างๆ ท่ีปรากฏใช้อยใู่ นสถานการณ์จริง
3.2 ทฤษฎเี กี่ยวกบั การฟังและการพดู (Audio lingual) : ทฤษฎีนี้เช่อื วา่ การเรยี นรูภ้ าษา
เกดิ ขน้ึ อย่างมีลาดบั ข้ัน โดยเกิดเริม่ ต้นจากทักษะการฟังเพ่ือเตรียมพร้อมสู่ทักษะการพูดก่อน จากนั้น
จะเร่ิมพัฒนาทักษะทางภาษาที่มีความซับซ้อน
น้อยไปสู่ทักษะทางภาษาที่มีความซับซ้อน
มากกว่า ฉะนั้นเมื่อทักษะการฟังและการพูดมี
ประสิทธิภาพแล้ว ทักษะการอ่าน ซึ่งต้องใช้
คว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร คิด เ ชิ ง ซั บ ซ้ อน จึ ง เ ริ่ ม
พัฒนา และต่อยอดพัฒนาการสู่ทักษะการ
เขยี น ซึ่งต้องใชค้ วามคิดเชงิ ซับซอ้ นและความคดิ เชงิ สร้างสรรค์มากขนึ้ ตามลาดบั
แนวทางการสอนภาษาตามทฤษฎีนี้จึงเริ่มต้นจากนารูปประโยคที่ปรากฏใช้ในสถานการณ์
ส่ือสารต่างๆ มาจัดทาเป็นส่ือการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนฝึกทักษะการฟังให้เข้าใจ จาแนกแยกเสียงได้
ถูกต้อง จากนัน้ จึงฝกึ ฝนกระบวนการพูดโดยการประยุกต์ใชร้ ูปประโยคทเี่ รียนร้มู า เมอ่ื ผู้เรียนสามารถ
ฝึกฝนทักษะการพูดได้อย่างคล่องแคล่วแล้วจากนั้นจึงเร่ิมฝึกฝนทักษะการอ่านเพื่อให้สามารถรับสาร
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นจึงฝึกฝนกระบวนการเขียนต่อไป ซึ่งผลลัพธ์ของการฝกึ ฝนเช่นน้ีแม้ว่า
ไม่ได้เนน้ เรอ่ื งกฎเกณฑ์ทางภาษาแต่ผู้เรยี นจะสามารถใช้ภาษาได้อย่างถกู ต้องตามกฎเกณฑ์ไดเ้ อง
3.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสาร (Communicative Theory) : ทฤษฎีน้ีเช่ือว่า การสอน
ภาษามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพของ
การสื่อสารในสถานการณ์จริง โดยคุณภาพ
ของการส่ือสารประกอบด้วย ความถูกต้อง
ตามกฎเกณฑ์ภาษา ความเหมาะสมของ
ก า ร ใ ช้ ภ า ษ า สื่ อ ส า ร กั บ บุ ค ค ล แ ล ะ ส ถ า น ท่ี
ความสละสลวยของภาษา และความสร้างสรรค์
ในการใชภ้ าษา
\\//\\//กระบวนการเรยี นรภู้ าษา\\//\\//
8
แนวทางการสอนภาษาตามทฤษฎีนี้จึงเร่มิ ต้นจากการคัดเลือกภาษาท่ีมีความสาคัญจาเป็นใน
บริบทของการส่ือสารจริงมาจดั ทาเป็นส่อื สารสร้างเพื่อฝึกฝนทักษะการส่ือสารในรปู แบบของประโยค
ท่ีมีความถูกต้องสมบูรณ์ของไวยากรณ์ รวมถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของผู้รับสารและ
สถานการณ์ที่ส่ือสารด้วย การเรียนรู้รูปแบบประโยคท่ีถูกต้องผ่านบริบทของการนาไปใช้อย่าง
สมา่ เสมอจะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความรู้คดิ เรื่องกฎเกณฑ์การใชภ้ าษาท่ีถูกต้องพรอ้ มท้ังสามารถสื่อสารกับ
บุคคลอ่ืนๆ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพดว้ ย
3.4 ทฤษฎีธรรมชาติ (Natural theory) : ทฤษฎนี ีเ้ ช่ือว่า การสอนภาษาเป็นกระบวนการ
วิ เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ ล อ ก เ ลี ย น ต้ น แ บ บ อ ย่ า ง มี
ความหมาย ความสามารถในการพูดและ
การเขียนของบุคคลแปรผันตามความเข้าใจ
เน้ือหาของสารท่ีได้รับจากการฟังและการอ่าน
ตามลาดับ ส่วนกฎเกณฑ์ทางภาษาเป็นเพียง
การอธิบายลักษณะของการใช้ภาษาเท่าน้ัน
มิได้มีอทิ ธพิ ลต่อการบังคบั ใช้ภาษาแต่อยา่ งใด
แนวทางการสอนภาษาตามทฤษฎีน้ีจึงเริ่มต้นจากการฝึกทักษะการรับสารเพ่ือความเข้าใจ
ร่วมกับการผูกโยงเน้ือหากับความสนใจของผู้เรียนเข้าด้วยกัน จากนั้นนาเสนอเนื้อหาสาระผ่าน
กระบวนการฟงั หรือการอา่ นอย่างมคี วามหมาย ดว้ ยการวิเคราะห์สาระตามเนื้อหา และสาระประกอบ
ทแี่ ฝงอย่ใู นเนอ้ื หานน้ั ๆ จากนน้ั จึงจดั กจิ กรรมเกี่ยวกบั การพดู หรือการเขยี นเพ่ือเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนได้
พฒั นาทกั ษะการสื่อสารให้มีความชานาญมากขน้ึ โดยใช้กระบวนการฝึกฝนอย่างมลี าดับขนึ้ ตอน ดว้ ย
การเร่ิมต้นจากรูปแบบการใช้ภาษาท่ีมีความซับซ้อนน้อยไปสู่รูปแบบการใช้ภาษาที่มีความซับซ้อน
มาก เชน่ กิจกรรมการตอบคาถามส้ันๆ จากเรอ่ื งท่ีฟังหรืออ่าน กิจกรรมการพูดอภิปรายหรือกิจกรรม
การเขียนเติมข้อความในช่องว่างท่ีกาหนดให้ตามหัวข้อที่สืบเนื่องจากการฟังหรือการอ่าน เป็นต้น
ส่วนการสอนหลักภาษาตามทฤษฎีนจี้ ึงต้องไม่ขัดแย้งกับการนาต้นแบบทางภาษาที่ได้จากการฟังและ
การอา่ นไปใช้
\\//\\//กระบวนการเรยี นรู้ภาษา\\//\\//
9
3.5 ทฤษฎีเก่ียวกับการเรียนรู้ (Cognitive code theory) : ทฤษฎีน้ีเช่ือว่า การสอน
ภาษาเปน็ กระบวนการเช่ือมโยงและจัด
ระเบียบความรู้ภายในของบุคคล หาก
บุคคลได้รับความรู้ทางภาษาท่ีถูกต้อง
จึงจะสามารถฝึกฝนทักษะการสื่อสาร
ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทาให้บุคคลสามารถ
ส่อื สารได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพในท่สี ุด
แนวทางการสอนภาษาตามทฤษฎีนี้จึงเริ่มต้นจากการเรียนรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางภาษาที่
ปรากฏในชีวิตประจาวัน สร้างความเข้าใจในระบบเสียง ระบบคา และระบบประโยคให้สามารถให้
การไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ร่วมกับการท่องจาคาศพั ทแ์ ละฝกึ ฝนการนาคาศัพท์กบั กฎเกณฑท์ างภาษา
ทไ่ี ด้เรยี นรแู้ ลว้ ไปใช้ในสถานการณ์ที่ผู้เรียนสามารถเชือ่ มโยงกบั ประสบการณ์เดมิ ของตนเองได้ เพื่อให้
ผูเ้ รียนสามารถเกดิ การเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery Learning) ซึง่ จะฝงั ตดิ เป็นพฤติกรรมทางภาษา
ของผ้เู รยี นได้อยา่ งสมบรู ณ์
ทฤษฎีการสอนภาษาท่ีนาเสนอทั้งหมดข้างต้นน้ีมีจุดเด่นท่ีแตกต่างกันไปตามความเชื่อ
เก่ียวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาของบุคคล แต่อย่างไรก็ตามหากมองในลกั ษณะที่เป็นองค์รวมของ
การนาทฤษฎตี ่างๆ มาประยกุ ต์ใช้ในการสอนภาษา อาจพบวา่ มปี จั จัยทส่ี ่งผลต่อการพัฒนาทักษะทาง
ภาษาของบุคคลเหมือนกัน 3 ประการ คือ ปัจจัยด้านเนื้อหา ที่ต้องเช่ือมโยงหลักการทางภาษาใน
หลากหลายมิติและครอบคลุมการพัฒนาทุกทักษะทางภาษา ปัจจัยด้านกิจกรรมที่ให้ความสาคัญกับ
กิจกรรมฝึกฝนทักษะการสื่อสารในสถานการณ์ตามสภาพจริง และ ปัจจัยด้านผู้สอนซ่ึงต้องสามารถ
เป็นทงั้ ตน้ แบบการใช้ภาษาที่มีประสิทธิภาพตลอดจนสามารถเปน็ ผู้ใหข้ ้อมูลย้อนกลับที่เปน็ ประโยชน์
สาหรับต่อยอดพฒั นาการทางภาษาให้กบั ผูเ้ รียนได้อีกดว้ ย
\\//\\//กระบวนการเรยี นรู้ภาษา\\//\\//
10
บทที่ 2
แนวคดิ เกย่ี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย
วิชาภาษาไทยเป็นวิชาพ้ืนฐานสาคัญของผู้เรียนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาใน
ระดับต้น หากผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาไทยอย่างไม่เพียงพอจะส่งผลต่อความรู้
ความเข้าใจในการศึกษาเน้ือหาวชิ าอ่ืนๆ ตามไปดว้ ย แม้วา่ เน้อื ของวิชาภาษาไทยของระบบการศึกษา
ระดับต้นจะมีเนื้อหาท่ีไม่ซับซ้อน แต่อย่างไรก็ตามผู้สอนจาเป็นอย่างย่ิงที่ต้องพัฒนาผู้เรียนอย่างมี
หลักการ และพัฒนาผู้เรียนอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนทุกระบบพัฒนาการทางภาษา ดังน้ันการสอนวิชา
ภาษาไทยโดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับผู้เรียนในระดับการศึกษาระดับต้น ผู้สอนจึงต้องทาความเข้าใจ
เก่ยี วกับแนวคิดที่ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาดา้ นต่างๆ ทส่ี าคญั ดังตอ่ ไปน้ี
1. พัฒนาการและความพร้อมในการเรยี นภาษาไทย
เด็กท่ีเข้าเรียนในโรงเรยี นประถมเฉลี่ยแล้วอายุ 6 – 12 ปี ซึ่งเด็กในวัยน้ีจะเาใจภาษาได้ดีขน้ึ
สามารถใช้ภาษาส่ือความหมายในการพูดได้รู้เร่ือง ส่วนการอ่านข้ันเริ่มต้นเป็นพ้ืนฐานไปสู่การเขียน
เด็กในวัยนจ้ี ะมกี ารพัฒนาการทางภาษา (Language Development) ที่เจริญอยา่ งรวดเรว็ ร้คู าศัพท์
ต่างๆ เพิ่มมากข้ึน สามารถแสดงความคิด ความรู้สึกของตนให้ผู้อ่ืนทราบโดยใช้ภาษาท่ีเข้าใจกันได้
เดก็ ผู้หญิงจะมีพัฒนาการทางภาษาดีกว่าเด็กผ้ชู ายทุกระดับอายุ พัฒนาการทางภาษาจะมีความเจริญ
งอกงามอย่างต่อเน่ืองไม่ขาดตอน และพัฒนาการทางภาษายังสมั พันธ์กับพัฒนาการด้านอ่ืนๆ อีกด้วย
เช่น เด็กที่มีความเจริญทางสมองดี พฒั นาการทางภาษากจ็ ะดดี ว้ ย เด็กทส่ี นใจการอ่านและผู้ปกครอง
ให้การส่งเสริมก็จะรู้คาศัพท์ต่างๆ มากกว่าเด็กที่ไม่สนใจการอ่านหรือขาดการส่งเสริม เด็กแต่ละคน
มีแบบแผนของการพัฒนาการทางภาษาเป็นข้ันตอนตามลาดับขั้นตอนของความเจริญงอกงาม
เหมอื นกัน แต่อตั ราและประสิทธภิ าพของการพัฒนาน้ันจะแตกตา่ งกนั เป็นรายบุคคล
ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่เก่ียวกับการพัฒนาทางภาษานั้นข้ันอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
เช่น ความสามารถที่มีอยู่เดิม ความถนัดตามธรรมชาติ ประสบการณ์ที่เด็กได้รับความสนใจของเด็ก
ความพร้อมของร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ การแสดงออกอย่างอิสระ ความบันดาลใจ ฯลฯ ปัจจัย
เหล่านี้มีความสาคัญต่อความก้าวหน้าของเด็กแต่ละคนเป็นอย่างมาก ซ่ึงเด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการ
ของภาาาก้าวหน้าไปได้เพียงใดนัน้ ขน้ึ อยู่กับการเข้าใจความหมายเม่ือเด็กมคี วามคิดรวบยอดเกี่ยวกับ
\\//\\//แนวคิดเก่ียวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
11
เร่ืองอะไร เขาก็ต้องการคาศัพท์ท่ีจะใช้เรียก เช่น เด็กรู้ว่าของส่ิงหน่ึงใช้สวมศีรษะกันแดดได้ เม่ือเด็ก
เขา้ ใจวา่ สิง่ น้นั เป็นอะไรแล้วก็ต้องหาคาศัพท์ท่คี นท่ัวไปใช้กันอีกดว้ ยวา่ สิง่ น้นั คือ หมวก
อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสาคัญช่วยให้เด็กรู้คาศัพท์มากข้ึน คือ ส่ิงแวดล้อมของเด็ก เด็กท่ีอยู่ใน
บ้านที่มีโทรทัศน์ วิทยุ เทป และส่ิงของใช้มากมาย เด็กก็จะมีประสบการณ์เก่ียวกับสิง่ เหล่านี้และรูจ้ ัก
ชื่อพันธุ์ไม้ สัตว์และสิ่งต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าเด็กที่อยู่ในกรุง การท่ีเด็กรู้จักคามากข้ึนเพียงใด
ย่อมหมายความว่าเด็กมีความงอกงามทางภาษามากข้ึนเท่านั้น ประสบการณ์เป็นปัจจัยเบ้ืองต้น
ที่ก่อให้เกดิ ความเจริญงอกงามทางภาษาของเด็ก นอกจากนล้ี าดับท่ีของลูกกเ็ ป็นอีกปัจจยั หนึ่งที่ทาให้
เด็กมีพัฒนาการทางภาษาต่างกัน โดยลูกคนแรกจะมีพัฒนาการทางภาษาดีกว่าลูกคนสุดท้องเพราะ
ลูกคนแรกย่อมใกล้ชิดผู้หญ่มากกว่า ได้รับความเอาใจใส่มากกว่า ได้ฟังคาจากผู้ใหญ่มากกว่า ส่วนลูก
คนสุดท้องจะใกล้ชดิ พแี่ ละฟงั ภาษาเดก็ จากพี่มากกวา่ ฟังภาษาจากผู้ใหญจ่ ึงอาจไดเ้ รียนรู้คาน้อยกว่าพ่ี
1.1 พัฒนาการทางภาษาของเด็กแตล่ ะวยั
เดก็ หลงั จากคลอดมาแลว้ จะได้สัมผัสภาษาพดู และจะเลยี นเสียงพูดได้อายุ 12
เดือน จะเร่ิมหัดพูดและเรียนรู้ภาษาหนังสือเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบคร่ึง ซ่ึงนับเป็นพัฒนาการของ
เด็กวัยก่อนเรียน และจะมีพัฒนาการมาเป็นขั้นๆ เริ่มจากเด็กมีประสบการณ์ตรง รู้จักคาท่ีมี
ความหมายแทนสง่ิ ของหรือการกระทาเรม่ิ สามารถฟังแลว้ เขา้ ใจ และร้จู กั ใช้คาพูดมากขึ้นเร่ือยๆ และ
พูดมากเม่อื อายุ 6 ขวบ พฒั นาการทางภาษาของเด็กแตล่ ะวัย มีดังน้ี
1) เด็ก 6 ขวบ : เด็กวัยน้ีชอบพูด สามารถอ่านออกเสียงได้ชัดเจน มักจะ
ทาความประหลาดใจให้แก่ผ้ใู หญ่ในบางครั้ง เพราะสามารถใช้คาท่สี ลับซับซ้อน การสนทนาจะเปล่ียน
จากการพูดถึงตัวเองและความคิดเห็นของตนเองเป็นการพูดเกี่ยวกับการกระทาของคนอื่นและยังคง
เป็นเร่ืองที่เป็นรูปธรรมอยู่ เด็กวัยน้ีจะชอบฟังเร่ืองราวที่มีผู้อ่านให้ฟังอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะนิทาน
หรือบทละครสั้นๆ ชอบทาตามบทละคร ชอบฟังเรื่องท่ีเล่าซ้าๆ ชอบคาท่ีเป็นจังหวะและเพลงส้ันๆ
รู้จักเขียนช่ือตัวเองตามตัวอย่าง สนใจรูปภาพ สามารถบรรยายรูปภาพได้ เติมสิ่งที่ขาดหายไปใน
รูปภาพได้ เด็ก เรม่ิ มีความมน่ั ใจในการใชภ้ าษามากข้ึน
2) เด็ก 7 ขวบ : เด็กวัยน้ีชอบพูดมาก สนุกสนานกับการเล่นคาคล้องจอง
เล่นตลกกับคาพูด ชอบฟังนิยาย นิทาน เร่ืองชวนคิด เทพนิยาย คากลอนง่ายๆ และเรื่องที่เกี่ยวกับ
ชีวิตจริงที่พบในชีวิตประจาวัน รู้จักใช้ภาษาแสดงอารมณ์และความรู้สึก ชอบหัดอ่านหนังสือด้วย
ตนเองและอา่ นเสยี งดัง
\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
12
3) เด็ก 8 ขวบ : เด็กในช่วงนี้สามารถเข้าใจและมีความคิดในสิ่งที่
เปน็ นามธรรม สามารถกล่าวถึงบคุ คลอ่นื ท่ีไม่ได้อยู่ตรงหนา้ ได้ ชอบพูดมากขนึ้ ชอบเลา่ นทิ าน ชอบคุย
โออ้ วด สามารถใช้ภาษาได้อยา่ งกว้างขวางรวมทง้ั ภาษาตลาด รจู้ กั ขน้ึ เสียงเมอ่ื โมโห สนทนากับผู้ใหญ่
เป็นเร่ืองเป็นราว สามารถใช้คาที่เป็นนามธรรมได้ รู้เหตุรู้ผลและรู้ปัญหา ในวัยน้ีเด็กหญิงจะมีวุฒิ
ภาวะทางภาษาเร็วกว่าเด็กชาย เด็กจะเริ่มอ่านในใจได้ดีข้ึน เขียนได้มากขึ้น และเพ่ิมความเรียบร้อย
ในการเขยี น
4) เด็ก 9 ขวบ : เด็กในวัยน้ีชอบเรื่องที่เป็นจริง ไม่ชอบนิยาย ชอบอ่าน
เร่ืองท่ีเกี่ยวกับความลึกลับ ประวัติของบุคคล เรื่องสัตว์ต่างๆ ชอบผจญภัย ชอบเรื่องท่ีเกี่ยวกับชีวิต
ภายในบ้านและในโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะชอบเป็นพิเศษ สามารถพูดข้อความยาวๆ ได้
เพิม่ ขึน้ จับใจความไดด้ ีขนึ้ สามารถแตง่ กลอนง่ายๆ ได้ ลายมอื ดขี ้นึ และเขยี นจดหมายได้
5) เด็ก 10 ขวบ : เด็กในวัยน้ีจะมีความสนใจไม่ต่างกับเด็กอายุ 9 ขวบ
มากนัก เด็กชายจะสนใจอ่านหนังสือเก่ียวกับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ รู้จักทาความเข้าใจกับคาแปลกๆ
อ่านได้เร็วขึ้นท้ังการอ่านในใจและอ่านออกเสียง มีความเข้าใจดี สามารถเข้าใจความหมายจากส่ิงท่ี
อา่ นได้ สามารถแต่งคาประพันธ์ประเภทกลอนได้ เชน่ กลอน 3 กลอน 4
6) เด็กอายุ 11 ขวบ : เด็กผู้ชายชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการผจญภัย
การคน้ ควา้ ประดิษฐ์ เดก็ ผู้หญงิ ชอบเร่ืองเกีย่ วกับชีวิตภายในบ้าน สัตว์เล้ียง เรม่ิ อ่านนวนยิ ายประเภท
รักๆ ใครๆ่ สามารถแตง่ กลอนไดถ้ ึงกลอน 6
7) เด็กอายุ 12 ขวบ : เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทางภาษาเจริญข้ึนมาก รู้จัก
แหล่งเพ่ิมพูนความรู้ เช่น ห้องสมุด พจนานุกรม รู้จักย่อเร่ือง หาจุดสาคัญของเร่ือง รู้จักกาหนด
จุดมุ่งหมายของ การอ่าน รู้จักดัดแปลงเรื่อง ชอบอ่านหนังสือเพ่ือความบันเทิง ไม่ค่อยชอบอ่าน
เรื่องเก่ียวกับศาสนา ลดความนิยมเรื่องเกี่ยวกับเทวดา นางฟ้า เด็กชายชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับ
การผจญภัย วีรบรุ ษุ วีรสตรี ชีวประวัติ ประวตั ิศาสตร์ กฬี า ส่วนเดก็ หญิงส่วนมากยังคงชอบ เรอ่ื ง
เก่ียวกับชีวิตภายในบ้าน ในโรงเรียน เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากข้ึน เร่ิมอ่านนวนิยายสาหรับผู้ใหญ่ บางที
ชอบเรื่องอาชีพ เดก็ ในวยั น้รี จู้ ักวางโครงเรื่องง่ายๆ ในการเขียนบรรยายความ รู้จักเขียนจดหมายสั้นๆ
รู้จักเขียนคาเชิญ รู้จักทางานกลุ่ม ทารายงาน รู้จักวิจารณ์ภาพยนตร์โทรทัศน์และหนังสือท่ีอ่าน ด้าน
การเขยี นนี้สามารถปรบั ปรงุ ใหด้ ขี ้ึนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
13
1.2 ความแตกตา่ งทางภาษาของเดก็
เดก็ หญงิ และเด็กชายจะมีพัฒนาการทางภาษาแตกตา่ งกัน ดงั น้ี
1) เด็กหญิงจะมีความสามารถในเชิงภาษาดีกว่าเด็กชาย แต่เด็กชายจะ
เกง่ คณติ ศาสตร์มากกว่าเดก็ หญงิ
2) เดก็ หญิงสามารถใช้ภาษายากๆ ได้ดีกวา่ เด็กชาย
3) เดก็ หญงิ สามารถใช้คาพูดและประโยคได้ก่อนเด็กชาย
4) เดก็ หญิงมีความสนใจทางภาาามากกว่าเด็กชาย
5) เดก็ ชายชอบใช้ภาษาสแลงมากกว่าเด็กหญงิ
1.3 ความพร้อมในการเรยี นภาษาไทย
ในการเรียนภาษามีความสาคัญและจาเป็นมากทีค่ รผู ู้สอนจะต้องคานงึ ถงึ ความ
พร้อมของผู้เรียนก่อนเสมอ โดยเฉพาะการเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผู้เรียนจะมี ความ
พร้อมในการเรียนท่ีแตกต่างกัน บางคนเคยเรียนในชั้นอนุบาลมาแล้ว บางคนยังไม่เคยเรียน ดังนั้น
ความพร้อมในการอ่านและเขียนจะแตกต่างกัน ครูจาเป็นต้องเตรียมความพร้อมสาหรับผู้เรียนให้
พร้อมกอ่ น โดยความพร้อมนจ้ี ะข้นึ กับพฒั นาการทางกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา ซึ่งใน การ
เตรียมความพร้อมนี้จะเร่ิมทาในตอนแรกท่ีเปิดเรียนเป็นระยะเวลาประมาณ 3 - 6 สัปดาห์ แล้วแต่
ความเหมาะสม
ความพร้อมในการเรียนภาษาไทย หมายถึง การที่บุคคลมีความสนใจ ความต้องการ
และความรู้พ้ืนฐานเพียงพอท่ีจะเรียนภาษาไทย ซ่ึงต้องเตรียมพร้อมทักษะไปพร้อมๆ กันทุกด้าน คือ
การฟัง การดู การพูด การอ่าน และการเขียน เพราะมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน ถ้าทักษะใดทักษะ
หน่ึงไม่พร้อมอาจทาให้ไม่พร้อมในการเรียนรู้อีกทักษะหน่ึง ซ่ึงความพร้อมในการเรียนภาษาไทยของ
เดก็ ระดับประถมศึกษา แบง่ ออกเปน็ 2 ช่วง คือ
1) ความพร้อมก่อนเริ่มเรียนภาษาไทย ได้แก่ ความสามารถในการจาแนก
เสียงเป็นพ้ืนฐานของทักษะการฟัง ความสามารถในการเปล่งเสียงเป็นพื้นฐานของทักษะการพูด
ความสามารถในการเห็นความแตกต่างของภาพ การเรียนรู้คาศัพท์เป็นพ้ืนฐานของทักษะการอ่าน
และความสามารถในการบังคบั กลา้ มเนอ้ื มือและสายตาเป็นพน้ื ฐานของทักษะการเขียน
\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
14
2) ความพร้อมเม่ือเริ่มบทเรียนใหม่ หมายถึงความพร้อมในทักษะทุกด้าน
กอ่ นท่ีจะเร่ิมเรยี น ซง่ึ จะช่วยใหผ้ เู้ รียนทกั ษะตา่ งๆ ในบทเรียนใหม่ไดเ้ ป็นอย่างดี
1.4 ความสาคญั ของการเตรียมความพรอ้ มในการเรยี นภาษาไทย
1) การเตรียมความพร้อมเป็นพื้นฐานที่สาคัญของการเรียนภาษาไทยซึ่งถ้าผู้เรียน
เป็นผู้มีพื้นฐานทางภาษาดี ก็จะสามารถใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสาคัญในการเรียนวิชาอื่นๆ ได้
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2) การเตรียมความพร้อมในการเรียนภาษาไทยเป็นส่ิงที่ควรกระทา เพราะเป็น
ข้ันแรกของการพัฒนาทักษะทางภาษา เนื่องจากภาษาไทยมีพยัญชนะถึง 44 ตัว สระ 32 เสียง
วรรณยกุ ต์ 4 รูป 5 เสยี ง ซง่ึ ผ้เู รยี นตอ้ งอาศยั อวัยวะต่างๆ ท่ีใช้ในการรบั ร้ทู างภาษาใหป้ ระสานงานกัน
อย่างมีประสิทธิภาพและต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมท่ี
จะเรียนทกั ษะทางภาษาไทยดา้ นตา่ งๆ ได้ดี
3) การเตรียมความพร้อมเป็นการปูพ้ืนฐานความรู้ก่อนที่ผู้เรียนจะเรียนภาษาไทย
ให้อยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งน้ีเพราะผู้เรียนแต่ละคนมาจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
มีพื้นฐานความสามารถและประสบการณ์ต่างกัน ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมพร้อมให้ผู้เรียนทุกคนมี
พ้ืนฐานเทา่ เทียมกนั หรอื ใกล้เคยี งกันเสียก่อน
4) เม่อื ผเู้ รียนเริ่มเขา้ มาในโรงเรยี นใหม่ๆ ย่อมตอ้ งการเวลาในการเปรับตัวให้คุ้นเคย
กับส่ิงแวดล้อมใหม่ๆ ท่ีโรงเรียน ซ่ึงจะทาให้เด็กมีความรู้สึกสบายใจและปลอดภัยเมื่อมาอยู่รวมกัน
ทีโ่ รงเรียน
1.5 องค์ประกอบท่มี ผี ลต่อการเตรยี มความพร้อม
ครูผู้สอนควรทราบถึงลักษณะของเด็กท่ีมีความพร้อมท่ีจะเรียนภาษาไทยว่า
มีลักษณะอย่างไร ตลอดจนองค์ประกอบต่างๆ ท่ีจะมีผลทาให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียน
ภาษาไทยพ่ือท่ีจะจัดการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งองค์ประกอบที่มีลทาให้
ผเู้ รยี นพร้อมท่ีจะเรยี นภาษาไทยได้ดีนั้น ไดแ้ ก่
1) ความพร้อมทางด้านร่างกาย ได้แก่ การมีสุขภาพอนามัยท่ีดี อวัยวะ
ต่างๆ ในการฟังดี การมองเห็นหรอื การใช้สายตาดี อวัยวะในการพูดปกติ ความสัมพันธ์ของกล้ามเน้ือ
มือและสายตาใชก้ ารได้ดี
\\//\\//แนวคดิ เก่ยี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
15
2) ความพร้อมทางสมอง ได้แก่ ความสามารถในการคิด การหาเหตุผลดี
มีสตปิ ัญญาดี สามารถจดจาสิ่งต่างๆ ไดด้ ี จะพดู หรอื สง่ั อะไรเขา้ ใจ และปฏบิ ัติตามได้ ลาดบั เหตุการณ์
จากเรื่องราวท่ีได้รับฟังหรือจากภาพที่ได้เห็น อธิบายภาพต่างๆ ได้ รู้จักซักถาม สังเกต สนใจส่ิงต่างๆ
รอบตวั ทางานในช่วงเวลายาวนานพอสมควรไดโ้ ดยไมเ่ หน็ดเหนอื่ ย ฯลฯ
3) ความพร้อมทางอารมณ์และสังคม ได้แก่ การรู้จักควบคุมตนเองไม่ให้
ทะเลาะวิวาทกับผู้อนื่ มมี ารมณม์ น่ั คง สามารถเลอื กสิ่งทต่ี รงกบั ความต้องการของตนได้ มีความอดทน
สามารถทางานหรือเล่นร่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้ ฯลฯ
4) ความพร้อมทางภาษา ได้แก่ มีความสนใจพอใจท่ีจะอ่าน รู้จักฟังอย่าง
ตง้ั ใจ มชี ่วงความสนใจยาว สามารถใช้ภาษาไดด้ พี อสมควรแก่วัย ฯลฯ
องค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งท่ีแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีความพร้อมในการ
เรียนรู้ภาษาในระดับใด ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนสามารถเติมเต็มพัฒนาการทางภาษาให้กับผู้เรียนได้
อยา่ งมีประสิทธิภาพยงิ่ ขึ้น
1.6 เป้าหมายของการเตรียมความพร้อม
1) พฒั นาความสามารถทางภาษาของผู้เรียน
2) เพ่ือสร้างความคุ้นเคยกับหนังสอื
3) สร้างความเข้าใจเรือ่ งที่ฟงั เพือ่ นาไปสกู่ ารอา่ น
4) สรา้ งความสามารถในการพูดและการเขยี น
5) สร้างความเชื่อมัน่ และความสามารถในการอ่านและการเขยี น
6) ให้สามารถจาพยัญชนะและสระตา่ งๆ
7) สร้างความค้นุ เคยกบั เสียงของคาและอ่านคาพ้นื ฐาน
8) สรา้ งความสามารถในการใช้ภาษาให้ตดิ ตอ่ ส่อื สารได้
9) สร้างความสามารถในการจดั ลาดับความคดิ
10) สร้างความสามารถในการแยกแยะเสียงและภาพ เพ่ือสร้างความพร้อมทาง
สายตาและการฟงั
11) สร้างความสามารถในการทาตามคาสัง่
12) สรา้ งความสามารถในการทางานร่วมกนั และการอยู่ร่วมกัน
13) ฝึกกลา้ มเน้ือมอื และสายตา เพื่อสรา้ งความพรอ้ มในการเรยี น
\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
16
14) ฝกึ กระบวนการคิดให้แกผ่ ู้เรยี น
1.7 ข้นั ตอนในการสารวจความพร้อมในการเรยี นภาษาไทย
1) สารวจความพร้อมก่อนเร่ิมเรียนภาษา : ส่ิงท่ีจะสารวจในช่วงนี้ คือ พฤติกรรม
ของผู้เรียนเกี่ยวกับการแสดงออกเพื่อทราบความสามารถของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนเข้าใจภาษาพูด
หรอื ไม,่ ผู้เรียนใช้ภาษาพูดในการพูดกับคนใกลช้ ดิ รู้เร่ืองหรือไม่, ผเู้ รียนแยกเสียงของคาท่ีได้ยนิ ได้ฟัง
หรือคาพดู ที่ ใช้พดู ได้หรอื ไม่ เช่น พดู ชดั พูดไม่ชัด, ผเู้ รยี นแยกรปู ร่างของรูปทรงตา่ งๆ ได้หรอื ไม่ เพ่อื
เป็นพ้ืนฐานของการแยกรูปร่างของตัวอักษรต่างๆ , ผู้เรียนสามารถเข้าใจ แยกแยะสิ่งของ แยก
ประเภทสิ่งของใกล้ๆ ตัว ออกเป็นหมวดหมู่ได้หรือไม่, ผู้เรียนสนใจส่ิงต่างๆ รอบตัวเพียงใด และ
ผ้เู รยี นแสดงความสนใจอยากอา่ นหนงั สอื หรอื ไม่
2) การสารวจความพร้อมเมื่อเรม่ิ เรยี นช้ันเรียนใหม่ : การสารวจความพร้อมเม่ือเร่ิม
ชั้นเรียนใหม่นี้ควรทาทุกครั้ง เพ่ือให้ทราบระดับความสามารถและความรู้ขั้นพื้นฐานของผู้เรียนใน
ระดับช้ันทีผ่ ่านมา เพอ่ื จะได้หาวิธสี ่งเสรมิ ทักษะของผ้เู รยี นได้อยา่ งเหมาะสม
3) การสารวจความพร้อมก่อนเร่ิมบทเรียนแต่ละครั้ง : ครูผู้สอนควรสารวจ
ความพร้อมของผู้เรียนเสียก่อนเร่ิมเรียนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจที่จะเรียนและเป็น
การสารวจความรู้ พื้นฐานของผเู้ รียนก่อนท่ีจะเร่ิมบทเรยี นใหมด่ ้วย
4) การสารวจความพร้อมขณะเรียน : เม่ือครูผู้สอนได้สอนหรือพัฒนาทักษะ
ด้านต่างๆ แกผ่ ูเ้ รียนแลว้ ควรสารวจหรือทดสอบผเู้ รียนขณะทีเ่ รียนไปดว้ ย เพอ่ื ใหท้ ราบความก้าวหน้า
ของผู้เรียนและหาทางส่งเสริมต่อไปให้เหมาะสม เช่น ถ้าผู้เรียนออกเสียงพยัญชนะหรือคาไม่ถูกต้อง
ก็จะไดป้ รับปรงุ แก้ไขใหถ้ กู ตอ้ งทันทว่ งทีไมป่ ล่อยใหผ้ ่านไป
5) การสารวจความพร้อมท้ายการเรียน : เมื่อผู้เรียนเรียนจบทบเรียนหรือจบเร่ือง
แล้วควรมีการสารวจความพร้อมท้ายการเรียนโดยใชก้ ารสังเกต การสัมภาษณ์ การทดสอบปากเปล่า
หรือแบบทดสอบ เพื่อให้ทราบความสามารถของผู้เรียนว่ามีความพร้อมในการเรียนแต่ละเร่ือง
มากนอ้ ยเพยี งใด
1.8 การสารวจความพร้อมในการฟัง
การสารวจความพร้อมในการฟังเป็นการใช้วิธีการต่างๆ สารวจเพื่อให้ทราบ
ข้อบกพร่องทางด้านการฟังของผ้เู รยี น เพื่อให้ครูหาวิธพี ัฒนาความพรอ้ มในการฟังของผู้เรียนไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสม สามารถทาการสารวจได้หลายวิธี ดังตวั อย่างวิธกี าร ดังตอ่ ไปน้ี
1) การสารวจความพร้อมในการไดย้ ิน
\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
17
1.1) ให้ผู้เรียนยืนห่างจากครูผู้ทดสอบประมาณ 20 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่
ผเู้ รยี นไดย้ นิ ชดั เจน แล้วใช้การสนทนาโต้ตอบ ใหต้ อบคาถาม หรอื ให้พูดตาม อาจจะเป็นขอ้ ความหรือ
ตัวเลข
1.2) ใช้อุปกรณ์ท่ีมีเสียงหรือทาให้เกิดเสียงได้ เช่น นกหวีด ฉิ่ง กลอง กริ่ง
ระฆัง ฯลฯ มาทาให้เกดิ เสยี งแล้วใหบ้ อกว่า ไดย้ ินเสยี งหรือไม่ เปน็ เสียงอะไร
ในการทดสอบความพร้อมในการได้ยินนี้เพื่อให้ทราบระดับการได้ยินของผู้เรียนว่า
มีความสามารถในการได้ยินมากน้อยเพียงใด เพราะการได้ยินเพียงใดนั้นเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญ
อย่างแรกของการฟัง หากทดสอบแล้วทราบว่าผู้เรียนผิดปกติควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เช่ียวชาญเพื่อ
ดาเนินการทดสอบโดยใช้เครอื่ งไฟฟ้าหรอื วธิ ีอนื่ และหาทางช่วยเหลือต่อไป
2) การสารวจความสามารถในการจาแนกเสียง
2.1) ครูนาอุปกรณ์มาทาให้เกิดเสียงโดยไม่ให้ผู้เรียนเห็นแล้วให้บอกว่าเป็น
เสียงอะไร
2.2) ให้ผู้เรียนฟังเสียงที่ครูทาแล้ววงกลมรอบภาพ หรือข้อความที่เป็น
คาตอบ (ถา้ ผู้เรยี นอา่ นได)้
2.3) ให้ผู้เรียนฟังเสียงที่ครูทาแล้ว ให้ทาท่าทางประกอบเสียงน้ัน โดยเสียง
ทค่ี วรทาการทดสอบ ควรเป็นเสยี งจากสิง่ ต่อไปน้ี
2.3.1) เสยี งวตั ถแุ ละเสยี งจากธรรมชาตทิ อี่ ยรู่ อบตัว เช่น เสียงสัตว์
เสียงยวดยานพาหนะ เสียงโลหะ ฟ้าร้อง เสียงแสดงความรู้สึกต่างๆ เช่น ดีใจ เสียใจ โดยผู้ทดสอบ
อาจทาเสียงเอง เปิดเทป หรือใชอ้ ุปกรณ์ทาใหเ้ กดิ เสียงก็ได้ หรืออาจใหผ้ ู้เรยี นวงกลมรอบคาตามคาสั่ง
กไ็ ด้ โดยครเู ปน็ ผู้ทาเสียงตา่ งๆ ใหฟ้ ัง เชน่
คาส่งั ใหเ้ ขยี นวงกลมรอบรูปภาพตามเสียงที่ไดย้ ิน (ครทู ารอ้ งเสียงเหมยี วๆ)
คาสัง่ ให้เขยี นวงกลมรอบคาทีม่ ีเสยี งตามที่ได้ยิน (ครูตีฉ่งิ )
กลอง กรบั ฉิง่
\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
18
คาส่งั ให้เขียนวงกลมรอบคาที่แสดงความรสู้ ึก (ครทู าเสียงร้อย โอ๊ย โอย๊ )
เสยี ใจ เจบ็ ปวด ดใี จ
2.3.2) เสียงสระ เป็นการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักแยกเสียงสระท่ีได้ยิน
โดยครูเป็นผูอ้ า่ นคาให้ฟงั เชน่
คาสง่ั ให้เขยี นวงกลมรอบคาทีอ่ อกเสยี งสระเสยี งยาว
รกั ทา เย็น
คาสง่ั ให้เขยี นวงกลมรอบคาที่ออกเสยี งสระเสยี งสั้น
ปาก ปู ปิง้
คาสั่ง ใหเ้ ขียนวงกลมรอบคาที่คลอ้ งจองกบั คาวา่ "ฉัน"
กัน กิน กาน
2.3.3) เสยี งพยัญชนะ เป็นการฝกึ ใหผ้ เู้ รียนรู้จกั พยัญชนะและแยก
เสียงพยัญชนะเพอ่ื ใหท้ ราบความแตกตา่ งหรือความเหมือนกนั ของพยญั ชนะ ถ้าผู้เรียนยงั อา่ นไม่ได้ให้
ใชภ้ าพแทน เชน่
คาสัง่ ให้เขียนวงกลมรอบพยัญชนะทีไ่ ดย้ นิ (ผูท้ ดสอบพดู จ จาน)
ชจว
คาสง่ั ใหเ้ ขยี นวงกลมรอบคาที่มพี ยญั ชนะตน้ เหมือนคาทไ่ี ดย้ นิ (ผู้ทดสอบพูดคาว่า บ้าน)
ร้าน บนิ นอ้ ง
\\//\\//แนวคดิ เกีย่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
19
คาส่งั ครูอ่านออกเสยี งคาทีละคู่ แล้วให้นกั เรยี นบอกว่า เสียงพยญั ชนะต้นเหมือนกันหรือไม่
กราบ-กราบ แปร-แปร กรม-กลม
(เหมือน) (เหมือน) (ไม่เหมอื น)
2.3.4) เสยี งวรรณยุกต์ เพื่อให้ผ้เู รียนทราบความแตกต่างของเสยี ง
วรรณยุกต์ทป่ี ระสมอยู่ในคา เชน่
คาสง่ั ครอู า่ นออกเสียงคาทีละคู่ แล้วให้นักเรียนบอกวา่ เสียงวรรณยกุ ต์เหมือนกนั หรือไม่
เขา้ -เฝ้า ก้าง-ล้าง นก-นา้
(เหมอื น) (ไม่เหมอื น) (เหมือน)
3) ความสามารถในการปฏิบตั ิตามคาส่งั
เป็นการสารวจดวู า่ ผู้เรียนสามารถทาตามคาแนะนาหรือคาส่งั ตา่ งๆ ที่ไดย้ ิน
ถกู ต้องเพียงใด เชน่
คาส่งั ใหป้ ฏบิ ัตติ าม ได้แก่
1) เดินไปหน้าห้องแลว้ บอกชื่อตวั เอง
2) เดินไปปดิ หนา้ ตา่ ง 2 บาน
3) เดินไปบอกนักเรยี นหญิงใหม้ าหาครู 1 คน
4) อ่านบตั รคานใี้ ห้เพ่อื ฟงั แล้วทาทา่ ตามคาที่อ่าน
5) ใหแ้ สดงท่าทางเลยี นแบบสัตว์ 1 ชนดิ
คาสั่ง ให้เขียนวงกลมรอบดาวดวงท่เี ล็กทีส่ ดุ
4) ความเข้าใจคาศัพท์
เป็นการทดสอบความเข้าใจเก่ียวกับคาศัพท์โดยครูอ่านข้อความให้ฟัง แล้ว
ให้ผู้เรียนเขียนวงกลมรอบข้อท่ีถูกต้อง เช่น ครูพูด "เพื่อนๆ พากันดีใจท่ีสอบได้ แต่สมชาติมิได้มี
ความรู้สึกเช่นน้ันเพราะสมชาตติ ้องเรียนซ้าชน้ั ... สมชาติจะรสู้ กึ อยา่ งไร"
\\//\\//แนวคิดเกย่ี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
20
คาสง่ั ใหเ้ ขียนวงกลมรอบคาทต่ี รงกบั ความรู้สึกของสมชาติ
เจ็บใจ เสียใจ นอ้ ยใจ
5) ความเข้าใจเรอื่ ง
เปน็ การทดสอบความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เรอื่ งราวท่ีไดฟ้ ัง โดยครูอา่ นข้อความ
หรือเรอ่ื งราวให้ฟงั แลว้ ให้ผู้เรียนเขียนวงกลมข้อที่ถกู ต้อง เช่น ครูพูด "เจา้ ปยุ เปน็ สตั ว์ตัวเลก็ ๆ มขี นสี
ขาว นมุ่ สะอาด น่ารัก มนั ชอบเคล้าเคลียเจ้าของทุกเช้าเย็น"
คาส่ัง ใหเ้ ขียนวงกลมรอบช่อื สตั วท์ ม่ี ีความหมายตรงกบั คาว่า เจา้ ปุย (ใช้ภาพหากยังอา่ นไม่ได้)
แมว สุนขั ม้า
1.9 การสารวจความพรอ้ มในการพูด
การสารวจความพร้อมในการพูดเป็นการศึกษาดูว่าผู้เรียนมีความสามารถในการพูด
เพียงใด โดยอาจศึกษาจากส่ิงต่างๆ หลายอย่าง เช่น อวัยวะในการเปล่งเสียง ซ่ึงได้แก่ ปาก ฟัน
เพดาน ล้นิ ล้นิ ไก่ เปน็ ปกติหรือไม่ การได้ยนิ ถกู ต้องหรือไม่ เพราะถา้ ไดย้ นิ ผิดก็พูดออกมาผิด อารมณ์
ของผู้พูดอาจเป็นเหตุให้พูดผิดปกติ ส่ิงแวดล้อมผู้เรียนบางครั้งคนใกล้ชิดพูดคาที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไม้
กวาด เป็นไม้ฝาด มะม่วง เป็น กะม่วง ถ้าเด็กได้ยินบ่อยๆ ก็จะพูดไม่ถูกต้องไปด้วย ซ่ึงมีวิธีการ
สารวจความพรอ้ มในการพูดของนกั เรียน ดังวธิ ีการตอ่ ไปนี้
1) การสังเกตอยา่ งง่ายๆ
1.1) สนทนากับผู้เรียนด้วยเรื่องต่างๆ ท่ีอยู่ในความสนใจของเขา เพื่อเปิด
โอกาสให้เขาได้พูดมากๆ
1.2) ให้ผู้เรียนบรรยายหรือเล่าเรื่องตามภาพท่ีให้ดู 1 หรือ 2 หรือ 3 ภาพ
กไ็ ด้
จากวิธีข้างต้นน้ีจะสามารถทราบได้อย่างคร่าวๆ ว่าผู้เรียนคนน้ันพูดชัดหรือไม่ชัด
อกี ทัง้ ยงั ทราบพืน้ ฐานความรู้ ประสบการณเ์ ดมิ ของผูเ้ รียนดว้ ย
\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
21
2) การตรวจสอบ
เป็นการสารวจการพูดที่ลึกกว่าวิธีการแรกและจะทราบข้อบกพร่องต่างๆ
ของผู้เรียนชัดเจนขึ้น โดยครอู าจทาการตรวจสอบในสง่ิ ตอ่ ไปน้ี
2.1) อวัยวะในการพูด ได้แก่ ริมฝปี าก มีรอยแหวง่ หรอื ไม่ ดูความคลอ่ งของ
การใช้ริมฝีปาก ลนิ้ ดูวา่ มขี นาดปกตหิ รือไม่ ฟันดูว่ามฟี นั หลอ ฟันหา่ ง หรอื ผดิ ปกตหิ รอื ไม่
2.2) ตรวจสอบเก่ียวกับการพูด ให้สังเกตความชัดเจนในการพูด การออก
เสียงคา ประโยคว่าถูกต้องเพยี งใด ไมถ่ ูกตอ้ งเป็นบางคาหรอื ทุกคา
ในการสารวจความพร้อมในการพูดน้ันเม่ือครูพบข้อบกพร่องแล้วก็ควร
พยายามหาทางช่วยเหลือ แก้ไข เพ่ือให้ผู้เรียนได้สามารถออกเสียงได้ถูกต้องขึ้น ในการแก้ไขน้ันอาจ
ตอ้ งให้ผู้เช่ยี วชาญแกไ้ ขในบางเรอ่ื ง ถา้ เกินความสามารถของครผู สู้ อน
1.10 การสารวจความพร้อมในการอ่าน
การสารวจความพร้อมในการอ่านจะต้องทาทุกระดับช้ัน ไม่เฉพาะแต่ช้ันเร่ิมต้น
เท่าน้ันและควรทาในระยะเริ่มต้นเรียน ก่อนที่จะเริ่มสอนเนื้อหาในชั้น เนื่องจากผู้เรียนมีบางคนอาจ
ขาดทักษะบางอย่างและเป็นสิ่งท่ีจะช่วยใหค้ รูผ้สู อนร้วู ่าเม่ือใดผู้เรียนจึงจะเกิดความพร้อมในการอ่าน
จนสามารถอ่านเบ้ืองต้นได้ และถ้าผู้เรียนบกพร่องในองค์ประกอบใดก็ต้องสอนให้เกิดความพร้อมใน
องคป์ ระกอบนนั้ แล้วจึงสอนอา่ นต่อไป โดยการสารวจความพร้อมในการอา่ น ต้องพิจารณาถงึ สิ่งต่างๆ
ดงั นี้
1) การมองเห็น หรือ การรับรู้ทางสายตา : ผู้เรียนบางคนสายตาสั้น ชอบขยี้ตา
บ่อยๆ มองอะไรต้องเพง่ ครคู วรดูวา่ มใี ครบ้างท่ีมลี กั ษณะเชน่ นี้
2) การรับฟัง หรือ การรับรู้ทางหู : ซ่ึงเป็นองค์ประกอบสาคัญของการเตรียมความ
พร้อมในการอ่าน ซึ่งถ้าผิดปกติก็จะไม่สามารถแยกความเหมือนและความแตกต่างของเสียงได้ ก็จะ
อ่านได้ไมด่ ี
3) การหาความสัมพันธ์ของภาพและคา : เป็นการเช่ือมโยงความคิดของผู้เรียนจาก
ภาพกับสัญลักษณ์คือตัวอักษรท่ีประกอบกันเป็นคา ถ้าผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง
ภาพและคากจ็ ะมปี ญั หาในการอา่ นเช่นกัน
4) การรู้จักโครงสร้างของคาและภาษา : ช่วยให้ผู้เรียนอ่านได้เร็วข้ึน โดยควรรู้จัก
ตัวอักษรที่ประกอบเป็นคา ความหมายของคา และประโยคหรือเร่ืองราวต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้การอ่าน
ดขี ้นึ
\\//\\//แนวคิดเกย่ี วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
22
5) ประสบการณ์เดิม : ประสบการณ์เดิมจากทางบ้านเป็นสิ่งท่ีมีอิทธิพลสาคัญมาก
ต่อความสามารถในการอ่านของผู้เรียน ครูผู้สอนควรสารวจพ้ืนฐานการส่งเสรมิ การอ่านจากทางบา้ น
เพื่อหาทางปรับพ้ืนฐานและความพร้อมในการอ่านของผู้เรียนแต่ละคนให้อยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกันโดย
อาจสอบถามจากพ่อ แม่ ผูป้ กครอง และตัวเดก็ เอง
วิธกี ารตรวจสอบความพรอ้ มในการอ่านมีหลากหลายวิธี ดงั นี้
1. การสังเกตของครู เป็นวิธีการท่ีง่ายและควรทาอย่างสม่าเสมอ ดูนานๆ จึง
จะสามารถตัดสินได้ และควรมีเกณฑ์ในใจว่าจะสังเกตอะไรบ้าง เช่น การมองเห็น การพูด
ประสบการณเ์ ดิม การฟัง ความสนใจเรยี น โครงสรา้ งทางภาษา โครงสรา้ งของคา การรับร้ทู างสายตา
การรบั ร้ทู างหู
2. การใช้แบบทดสอบความพร้อมในการอ่านแบบทดสอบที่ใช้ครูอาจสร้างขึ้นใช้เอง
หรือจะนาแบบทดสอบความพร้อมที่มีผู้สร้างและมีการหาค่าความเท่ียง (Validity) ไว้แล้วมาใช้ก็ได้
การใช้แบบทดสอบความพร้อมในการอ่านจะเป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยจุดเด่นและจุดด้อยของ
ผู้เรียนได้ค่อนข้างเที่ยงตรง ครูสามารถนาผลไปจัดโปรแกรมเพื่อเตรียมความพร้อมในการอ่านให้กับ
ผเู้ รยี นตามองค์ประกอบท่ียังไมพ่ ร้อมได้ ดังตัวอย่างต่อไปน้ี
2.1) การรู้จักตัวอกั ษร
คาสง่ั ให้เขียนวงกลมรอบตัว "ถ"
ภกถ
2.2) การจาแนกกลมุ่ ตวั อกั ษร
คาสง่ั ใหเ้ ขยี นวงกลมรอบกลมุ่ ตวั อักษรทีไ่ มเ่ หมือนกล่มุ อ่ืน
กรม กลม กรม
2.3) ความสามารถในการจาแนกภาพ
คาส่งั ให้วงกลมรอบภาพทีไ่ มเ่ หมอื นภาพอื่น
\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
23
2.4) การหาความสัมพนั ธ์ของภาพ
คาส่ัง "หนังสือ มคี วามสมั พนั ธ์กบั ภาพใด"
2.5) การรู้ความหมายของคา
คาสัง่ ให้เขียนวงกลมรอบภาพสุนขั
2.6) การรู้ความหมายของประโยค
คาสั่ง ใหเ้ ขยี นวงกลมรอบภาพเดก็ กาลังยิม้
2.7) ความเขา้ ใจเรือ่ งราว
ครอู ่านขอ้ ความใหฟ้ งั "เดก็ ชายแดงไปซื้อดอกไมท้ ่ตี ลาด"
คาสั่ง จงวงกลม ภาพทเ่ี ด็กชายแดงไปซอื้ ทต่ี ลาด
1.11 การสารวจความพร้อมในการเขยี น
ก่อนที่ครูจะพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการเขียน ครูควรสารวจความพร้อม
ในการเขียนของผู้เรียนเสียก่อน แล้วจึงส่งเสริมความพร้อมในด้านที่ผู้เรียนยังบกพร่องอยู่ ผู้เรียนที่มี
ความพร้อมและได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธีจะมีพัฒนาการท่ีดี ซึ่งผู้สอนควรสารวจความพร้อมใน
การเขียนของผู้เรยี น ดังตอ่ ไปนี้
1) การรับรู้ทางสายตา : การใช้สายตาในการรับรู้ภาพต่างๆ ท้ังที่เป็นตัวอักษรและ
เป็นคาน้ัน เด็กบางคนก็จากดั เป็นเหตุในการเขียนตวั หนังสือกลบั เชน่ คน เขยี นเป็น นค เม่อื เดก็ มีวุฒิ
ภาวะแล้ว การรับรู้กลับจะหายไปเอง แต่เด็กบางคนก็จะเขียนตัวอักษรกลับจากขวาไปซ้าย ครูจึงควร
สารวจดูเดก็ แต่ละคนเพอ่ื หาวธิ ีแก้ไขให้เหมาะสม
\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
24
2) ความถนัดของการใช้มือ : เด็กบางคนถนัดเขียนมือขวา บางคนถนัดเขียนมือซา้ ย
ครูควรหาวิธชี ่วยให้เขาเขียนให้ถนดั เชน่ วธิ กี ารจับดินสอเขยี น การวางกระดาษ
3) ความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและสายตา : ในการบังคับมือเพ่ือากเส้น
พื้นฐานหรือลีลาเส้นที่ประกอบเข้าเป็นตัวอักษรตา่ งๆ และการลอกภาพตามแบบ ควรเป็นไปไดด้ ้วยดี
แต่ถา้ กล้ามเนื้อมือและสายตาไม่สัมพันธ์กนั กจ็ ะทาให้การเขยี นไม่เปน็ ไปตามต้องการ ครูผู้สอนจงึ ควร
สารวจดูวา่ ความสมั พันธ์เปน็ เชน่ ไร
4) ความสามารถในการเขียนพยัญชนะ สระ และ วรรณยุกต์ ที่ประกอบเป็นคา :
ความสามารถในด้านน้ีต้องอาศัยความจาเป็นหลักว่าพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์แต่ละตัวเขียน
อย่างไรและมีความรู้ในโครงสร้างของคาเพื่อเขียนเป็นคาที่ต้องการ ต้องรู้จักการใช้คาและประโยค
สิ่งเหล่าน้คี รผู ูส้ อนควรสารวจว่าผเู้ รียนแต่ละคนมคี วามสามารถเพียงใด และจะใช้วิธีการเตรียม ความ
พรอ้ มในการเขยี นอยา่ งไร
เมื่อครูผู้สอนทราบว่าส่ิงท่ีต้องสารวจความพร้อมในการเขียนมีอะไรบ้างแล้ว ครูก็ต้องหาวิธี
สารวจ โดยต้ังคาถามไว้ว่า จะสารวจอะไร อย่างไร ซึ่งวิธีการสารวจความพร้อมในการเขียน สามารถ
ทาไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี
1) การสารวจอย่างง่าย
1.1) ให้ผู้เรียนทางานทางศิลปะต่างๆ เช่น ตัด ฉีก ลอก ปะกระดาษ ให้เป็นรูปต่างๆ
การใช้พู่กันหรือสีเทียนระบายสี การปั้นดินน้ามันเป็นรูปต่างๆ แล้วสังเกตความคล่องแคล่ว และ
ผลงานในการทางานว่า ผู้เรียนสามารถตัด ฉีก ปะกระดาษได้ตามกรอบหรือระบายสีได้เรียบร้อยโดย
ไม่ออกนอกกรอบหรอื ไม่
1.2) ให้ผู้เรียนลองลากเส้นต่างๆ หรือวาดภาพเพื่อดูความแข็งแรงของกล้ามเน้ือมือ โดย
อาจให้ลากเสน้ บนพน้ื ทราย ในอากาศ หรือ ในกระดาษ
1.3) ให้คัดลอกงานจากบัตรคา หรือ บนกระดานดา หดั เขียนชอ่ื หรอื ทางานตามลาพงั
1.4) ใหเ้ ขยี นพยญั ชนะ สระ คา และ ประโยค
2) การใช้แบบทดสอบความพร้อมในการเขียน
2.1) การทดสอบกล้ามเน้ือเล็ก ด้วยการตัดกระดาษและการวาดรูป เช่น ให้ตัดกระดาษ
ด้วยกรรไกร ให้ตดั ตามชอบหรือตัดตามรอยทวี่ าดไว,้ ให้ลากเสน้ ตรงระหว่างเส้นตรง 2 เส้น ท่ีหา่ งกัน
\\//\\//แนวคิดเกย่ี วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
25
ประมาณ 1/4 นิ้ว โดยอาจวาดภาพบ้าน 2 หลัง มีเส้นตรง 2 เส้น ลากเชื่อมทางเดิน แล้วให้เด็ก
ลากเสน้ ตรงระหว่างทางเดนิ หรือ ลากเสน้ ตรงระหวา่ งเสน้ โคง้ 2 คู่ จากปลายขา้ งหน่งึ ไปอีกขา้ งหนงึ่
2.2) การวัดความสามารถทางสายตา โดยให้เด็กเตมิ ส่วนตา่ งๆ ของภาพท่ีหายไป
2.3) การทดสอบการบังคบั มือ โดยใหเ้ ด็กลากเสน้ ตามรอยประใหเ้ หมือนแบบ
2.4 การทดสอบการลอกภาพ โดยใหเ้ ดก็ เขยี น "ก"
2. การจดั กิจกรรมการสอนภาษาไทยสาหรบั ประถมศกึ ษา
2.1 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย : ในระดับประถมศึกษาผู้สอนจะต้องให้
ผู้เรียนได้รับการฝึกฝนอย่างเพียงพอพื่อให้เกิดความชานาญที่จะใข้ภาษาได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว
พยายามเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดง ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้
มากที่สุด เพ่ือให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด ดู อ่าน และเขียน ตลอดจนสามารถใช้ภาษาเป็น
เครื่องมือสาหรับการเรียนรู้วิทยาการต่างๆ ได้ ซึ่งมีหลักการในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ภาษาไทยในระดับประถมดังต่อไปน้ี
\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
26
1. คานึงถึงการเตรียมความพร้อมเป็นสาคัญ ในระยะเร่ิมเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1
กาหนดให้เตรียมความพร้อมในด้านการฟัง การพูดให้ชัดเจน การใช้สายตา การฝึกกล้ามเนื้อมือก่อน
จะเข้าส่กู ารเรยี นตามบทเรยี น สาหรับข้ันอ่ืนจะอย่ใู นลักษณะของการทบทวนกอ่ นเข้าสู่บทเรียน
2. จัดกิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงคข์ องการสอนตามหลักสูตรหรือบทเรียนนั้นๆ
3. ควรจัดกิจกรรมในรูปของทักษะสัมพันธ์ เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะของภาษา
ทั้งในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ได้อย่างสอดคล้องต่ อเน่ืองกัน เพราะ
ในชีวิตประจาวันจะต้องมีการรับสารส่งสารอยู่ตลอดเวลา กิจกรรมทักษะสัมพันธ์จะช่วยให้ผู้เรียน
มโี อกาสฝกึ ฝนทักษะต่างๆ ให้มากและมีความหมายยงิ่ ขึ้น เช่น ในการสอนคาใหม่บทเรียนใดบทเรียน
หนึ่งชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1
การฟงั - ใหฟ้ งั คาใหมท่ ีค่ รูอ่าน
การพูด - ให้พดู คาใหมแ่ ละบอกความหมาย
การอา่ น - ใหอ้ า่ นคาและความหมายบนกระดานดา
การเขยี น - ใหค้ าหรือนาคาไปแต่งประโยค
4. จัดกิจกรรมอย่างมีลาดับข้ันตอน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งภาษาไทยเป็นวิชาที่ต้องมีการฝึกทักษะให้เกิดความชานาญ สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
จึงควรมีลาดับข้ันตอนของการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม และควรให้ผู้เรียนเรียนจากส่ิงที่ง่ายไปสู่สิ่ง
ท่ียากและซับซ้อนขึ้น กสิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัวไปยังสิ่งที่ไกลตัว หรือจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหาสิ่งที่
เป็นนามธรรม เช่น การสอนคาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนเรียนคาต่างๆ
ไปพรอ้ มกับภาพ ดังตวั อย่างต่อไปนี้
รถ ดอกไม้ บา้ น
5. ปลูกฝังให้ผู้เรียนแสวงหาความรุ้ด้วยตนเอง ผู้เรียนในระดับนี้จะมีความอยากรู้อยากเห็น
ในการทาและเรียนรู้ในส่ิงต่างๆ และมคี วามต้องการความสาเร็จเป็นพ้ืนฐานอยู่แลว้ ดังนัน้ ครผู ู้สอนจึง
ควรปฏิบตั ิตัวใหเ้ ป็นแบบอยา่ งทดี่ ี ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ห็นคณุ ค่าของการหาความรูร้ อบตัว พยายามนาความรู้
ทั่วไปมาเช่ือมโยงกับบทเรียนทางภาษาเพื่อทาให้การเรียนการสอนสนุกสนาน น่าสนใจ ผู้เรียนได้รับ
\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
27
ความรู้ในวงกว้างขวางขึ้น ส่งเสริมให้ค้นคว้า สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนรักและสนใจการเรียนภาษาไทย
เช่น การค้นคว้าทารายงาน การแข่งขัน การจัดแสดงนิทรรศการผลงานของผู้เรียน ฯลฯ เม่ือผู้เรียน
มีโอกาสค้นคว้าบ่อยๆ และประสบความสาเร็จในผลงานของตนก็จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ของ
การอา่ นและรักการศึกษาคน้ ควา้ จนเปน็ นิสยั
6. จัดกิจกรรมให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความต้องการ และ
ความสนใจของผู้เรียน พยายามจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ประสบความสาเร็จมากที่สุด โดย
อาจให้ทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อให้เด็กท่ีเรียนเก่งได้ทางานร่วมกับเด็กอ่อน และได้ช่วยเหลือ
เดก็ ออ่ นให้ประสบความสาเรจ็ ดว้ ย จงึ จะช่วยให้เด็กมีเจตคติที่ดตี ่อการเรียน
7. ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงอย่างสม่าเสมอ ผู้สอนควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม
ในการปฏบิ ัตจิ รงิ เพือ่ จะไดเ้ รยี นรูด้ ้วยความเข้าใจ ไมต่ ้องท่องจา เชน่ ฝกึ พดู ในหวั ข้อตา่ งๆ ฝึกการฟัง
หลายๆ แบบ แล้วนามาเล่าให้เพื่อนฟัง หรือเขียนบันทึกมาให้เพ่ือนอ่าน และในการปฏิบัติน้ัน
ควรปฏิบัติอยา่ งสม่าเสมอ เพราะจะทาให้ผู้เรียนเรยี นอย่างมีประสทิ ธภิ าพ และในทางปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
น้ันควรมีกิจกรรมหลายๆ รูปแบบ เพื่อผู้เรียนจะได้เรียนอย่างสนุกสนานไม่เบื่อหน่ายและควร
เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นทกุ คนมีสว่ นรว่ มในการทากจิ กรรมอยา่ งทั่วถึงไม่วา่ จะเป็นเด็กเกง่ หรือเดก็ อ่อน
8. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนเป็นการช่วยส่งเสริมทักษะให้ผู้เรียนเห็น
แก่ประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าสว่ นตน เป็นการวางพื้นฐานของการพัฒนาคนให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ในภายหน้า การให้ทางานร่วมกับผู้อื่นน้ันจะได้รู้จักคิดร่วมกัน วางแผนร่วมกัน ฝึกการยอมรับ
ความคิดเห็นของผู้อื่น ฝึกการเป็นผู้นาและผู้ตาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เคารพในสิทธิของผู้อ่ืน
กล้าแสดง ออกในทางท่ีถูกต้อง รู้จักเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยในตนเอง และ
สามารถอย่รู ว่ มกับบุคคลอน่ื ไดด้ ี
9. จัดกิจกรรมเน้นให้ผุ้เรียนรู้จักใช้ความคิด คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดหาเหตุผล รู้จักส่ิงใด
ถูกส่ิงใดผิด คิดให้รอบคอบก่อนพูดหรือเขียน รู้จักวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์และสังเคราะห์ส่ิงที่ได้ฟัง
และอ่านเพื่อฝึกความคิด การแก้ปัญหา และให้มีวิจารณญาณในการใชภ้ าษา
10. จัดกิจกรรมโดยใช้วิธีการสอนหลายๆ รูปแบบ และพยายามดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลง
กิจกรรมให้น่าสนใจ ไม่ควรใช้กิจกรรมแบบเดียวกันที่ซ้าซาก จะทาให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
ไม่สนใจบทเรียนเท่าท่ีควร เช่น ครูบางคนใช้กิจกรรมนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการถามตอบเพียง
อย่างเดียว หรือสอนโดยการบรรยาย หรือให้ทาแบบฝึกหดั ทเี่ หมือนๆ กัน เป็นต้น
\\//\\//แนวคิดเกย่ี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
28
11. ควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกต ในการเรียนภาษาไทยต้องเป็นคนช่างสังเกต
เพราะจะชว่ ยให้เปน็ คนรอบรแู้ ละมีแนวทางในการทากิจกรรมดีขึ้น เชน่ สังเกตปา้ ยโฆษณา ฟงั คาจาก
วิทยุ โทรทัศน์ ดรู ายงานหรือเกมโชว์ทางโทรทัศน์ คาพดู ของพธิ ีกร ฯลฯ ซ่ึงอาจได้ความรจู้ ากส่งิ ต่างๆ
เหลา่ นีแ้ ละเกิดความคิดสร้างสรรค์
12. สอนให้ถูกต้องตามหลักการสอนภาษา การเรียนภาษาไทยเป็นการเลียนแบบอย่างหนึ่ง
ผู้เรียนจะต้องเรียนภาษาที่เป็นต้นแบบจากครูผู้สอน ต่อจากน้ันผู้เรียนจะรู้จักการปรับปรุงหรือ
เปลี่ยนแปลงให้เป็นภาษาของตนเองจากการฝึกทักษะทางภาษาบ่อยๆ และท้ายสุดผู้เรียนจะ
พฒั นาการใชภ้ าษาจากความคดิ สรา้ งสรรค์เพ่ือให้ได้รูปแบบการใช้ภาษาใหม่ๆ
13. การจัดกิจกรรมควรคานึงถึงสื่อการเรียนการสอนที่จะนามาใช้ซ่ึงควรเป็นวัสดุอุปกรณ์
ที่จัดหาได้ง่ายในท้องถิ่นแต่ละแห่ง มีราคาถูก ใช้ได้คุ้มค่า และในการสอนแต่ละครั้งไม่ควรใช้สื่อ
มากข้ึนจนเกินไป และนอกจากนี้ควรนาภาษาที่ใช้ในสังคมทสี่แวดล้อมเด็กมาเป็นส่ือประกอบ
การเรยี นการสอน เพื่อใหส้ มั พนั ธก์ บั การเรยี นและสามารถนาไปใชไ้ ด้จรงิ ในชวี ิตประจาวนั
14. การจัดกิจกรรมไม่ควรใช้เวลายาวนานเกินไป เพราะผู้เรียนในวัยนี้มีช่วงความสนใจ
ค่อนข้างสั้น ถ้าให้กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งยาวนานเกินไปผเู้ รียนอาจเบื่อหน่ายทาใหก้ ารเรียนรไู้ ม่ดี
เท่าทคี่ วร
15. ควรสอนสอดแทรกคุณธรรมต่างๆ ให้ผู้เรียนได้ซึมทราบโดยไม่รู้ตัว เช่น ความมีระเบียบ
วินัย ความอดทน ความขยัน ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา ฯลฯ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีความรู้
คูค่ ณุ ธรรม ซง่ึ จะสามารถอยูใ่ นสงั คมได้อย่างสงบสุข
16. ควรปลูกฝึงเจตคติท่ีดีในการเรียนภาษาไทย การเรียนภาษาไทยจะประสบความสาเร็จ
ด้วยดีน้ัน ผู้เรียนจะต้องมีเจตคติที่ดี และมองเห็นความสาคัญของภาษาไทย ครูผู้สอนจะต้อง
จัดกิจกรรมท่ีจูงใจและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการหาความรู้และเต็มใจที่จะรับ
การฝึกฝนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาดีและคล่องแคล่ว ให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน เกิดความซาบซ้ึงในการเรียนวรรณคดีไทยา แต่ผู้เรียนจะเกิดความซาบซ้ึงและสนุกได้นั้น
อยู่ท่คี รผู สู้ อนจะเป็นผวู้ างแผนจัดกจิ กรรมให้ ซ่ึงครูผู้สอนเองควรตระหนักในเร่ืองนี้เสมอ
17. ใหผ้ เู้ รียนประเมินผลความก้าวหน้าของตนเอง เมอื่ ผูเ้ รยี นไดเ้ รียนร้ไู ปแลว้ ควรประเมินผล
รวมหรอื แยกแตล่ ะคร้ังกไ็ ด้ อาจเป็นการสังเกต ตรวจสอบ หรือทาแบบทดสอบ เพอ่ื ให้ผู้เรยี นทราบผล
การเรียนรู้ของเขา โดยการประเมินผลนี้ควรให้ผู้เรียนแต่ละคนประเมินตัวเขาเองบ้าง เช่น ลองให้
\\//\\//แนวคดิ เก่ยี วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
29
เขียนคาศัพท์จากบทเรียน แล้วตรวจสอบว่าเขียนได้ถูกต้องหมดหรือไม่ หรืออ่านข้อความแล้วลอง
บันทึกใจความสาคัญแลว้ ตรวจสอบว่าใจความสาคัญถกู ตอ้ งหรือไม่
18. ให้ผู้เรียนได้รู้จักแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง เมื่อผู้เรียนมีข้อบกพร่อง เช่น พูดตัว "ร" ,
"ล" ไม่ชัด ควรให้ผู้เรียนฝึกพูดให้ถูกต้อง หรือให้หาข้อบกพร่องของตนเองว่าได้เขียนผิดอย่างไร แล้ว
แกไ้ ขใหถ้ ูกต้อง แตค่ รูผู้สอนต้องเปน็ แบบอย่างทดี่ ีในเร่ืองการใช้ภาษา เม่อื ผเู้ รียนเหน็ แบบอย่างที่ดีอยู่
เสมอจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อถือครูและพร้อมท่ีจะปรับปรุงแก้ไขตนเอง และครูผู้สอนควร
ติดตามและแกไ้ ขขอ้ บกพร่องทางภาษาของผู้เรียนอย่างสม่าเสมอ
19. ดาเนินการสอนซ่อมเสริมให้เมื่อพบว่า ผู้เรียนขาดทักษะด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ
ดา้ น เพื่อช่วยใหผ้ ูเ้ รียนบรรลุผลสาเร็จในการเรียนภาษาไทยมากขนึ้
20. จัดหาหนังสือที่เหมาะสมมาให้ผู้เรียนอ่านเสริมหรืออ่านประกอบบทเรียนในห้องเรียน
หรอื ส่งเสรมิ การอา่ นหนงั สอื ในหอ้ งสมุด เพื่อให้ผเุ้ รียนอา่ นไดค้ ลอ่ งมากขึน้ และมีความร้กู ว้างขวาง
2.2 หลักการเลือกรูปแบบกิจกรรม : ในการสอนภาษาไทยระดังประถมศึกษานั้น ครูผู้สอน
ควรใช้วิธีการสอนหลายๆ รูปแบบ และใช้กิจกรรมที่หลากหลายมีส่ือการเรียนการสอนประกอบท่ี
เหมาะสม เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ท่ีตั้งไว้ แต่ในการนาวิธีการสอนหรือกิจกรรมใด
มาใช้ในการสอนน้ันครูผู้สอนต้องพิจารณาดูว่าควรใช้วิธีการใด รูปแบบใดจึงจะเหมาะสมกับผู้เรียน
มากที่สุด ได้ผลที่สุด ซ่ึงหลักการเลือกรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยควรพิจารณาใน
ด้านตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ศึกษาจุดประสงค์ของบทเรียน : ในการสอนแต่ละคร้ัง ครูผู้สอนต้องศึกษาจุดประสงค์
ของบทเรียนให้แจ่มแจ้งเพ่ือนามากาหนดจุดประสงค์ของการสอนแต่ละคร้ัง แล้วจึงเลือกรูปแบบ
กิจกรรมให้สอดคล้องกัน เช่น ถ้าจะสอนเน้ือหาความรู้ อาจใช้การบรรยาย การค้นคว้า การสนทนา
ซกั ถาม ฯลฯ
2. ศึกษาเนื้อหาที่จะสอน : ครูผู้สอนต้องพิจารณาว่าเน้ือหาน้ันเป็นเนื้อหาในลักษณะใด
เหมาะสมกับกิจกรรมใด เช่น ถ้าเน้ือหาเก่ียวกับข้อคิดที่แผงไว้ก็ใช้กิจกรรมอภิปรายแล้วหาข้อสรุป
นอกจากน้ียังต้องพิจารณาเลือกอีกว่า ในการสอนคร้ังน้ันจะสามารถบูรณาการกับกลุ่มประสบการณ์
อ่นื ๆ ไดอ้ ยา่ งไร เพื่อให้ผ้เู รยี นมีความร้ทู ีเ่ ชือ่ มโยงสมั พนั ธ์กัน
3. ศึกษาลักษณะของผู้เรียน : การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรามักจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียน
มีส่วนร่วมในการทากิจกรรมอย่างท่ัวถึง แต่ครูผู้สอนก็ต้องคานึงอยู่เสมอว่า ผู้เรียนมีลักษณะ
\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
30
เป็นอย่างไร กิจกรรมท่ีเลือกจะเหมาะสมกับผู้เรียนน้ันๆ หรือไม่ เช่น ความยากง่ายของกิจกรรม
ระดับความสามารถของผู้เรียนท่ีจะกระทากิจกรรมน้ัน ควรพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับผู้เรียน
ส่วนใหญ่ในห้อง
4. พิจารณาความสามารถและความถนัดของครูผู้สอน : ความสามารถและความถนัดของ
ครูผู้สอนเป็นส่ิงจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องพิจารณาเพราะถ้าใช้วิธีการสอนที่ดี เลือกรูปแบบกิจกรรมที่
เหมาะสมกับผูเ้ รียน แต่ครผู สู้ อนขาดความสามารถ ไม่มคี วามถนัดในการใช้กจิ กรรมดงั กลา่ ว การเรียน
การสอนน้ันก็ไม่ประสบความสาเร็จ แต่ถ้าครูผู้สอนมีความสามารถและความถนัด เชี่ยวชาญ ก็จะ
สามารถใช้กิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวมไปถึงการรู้จักดัดแปลง ปรับปรุง หรือการ
แก้ปญั หาขณะใชก้ ิจกรรมตา่ งๆ เชน่ ถา้ ตอ้ งการใช้เพลงประกอบการสอน ครูสามารถรอ้ งไดก้ ร็ ้องสอน
เอง แตถ่ า้ ร้องไมไ่ ด้ อาจเปิดเครอ่ื งบันทึกเสยี งหรอื เชญิ ครูคนอน่ื มาเปน็ วิทยากรรอ้ งให้ฟงั กไ็ ด้
5. พิจารณาสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอน : การพจิ ารณาเลือกกจิ กรรมทใ่ี ช้ในการเรียน
การสอน ควรเลือกรูปแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ด้วย เช่น ถ้าจะให้เล่นเกมแต่
ห้องเรียนคับแคบ อาจย้ายไปใช้สถานที่อื่นทเี่ หมาะสมกว่าได้ หรือถ้าโรงเรียนอยู่ใกลส้ ถานที่มีเสยี งดัง
ได้แก่ เสียงดังจากรถยนต์ เรือ รถไฟ เครื่องบิน เคร่ืองจักร ฯลฯ ครูผู้สอนก็อาจใช้กิจกรรมการ
อภิปรายกลุ่ม การค้นคว้าหรือถ้าเป็นกิจกรรมที่ต้องเน้นการฝึกพูด อาจย้ายสถานที่ไปยังห้องที่เสียง
รบกวนได้นอ้ ยจะชว่ ยให้ทากจิ กรรมไดด้ ีขน้ึ
2.3 ข้อควรคานึงเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย : ในการสอนภาษาไทยระดบั
ประถมศึกษานั้น นอกจากครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้และทักษะท้ังในด้านเน้ือหา วิธีสอน และ
หลักการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ครูผู้สอนก็ยังควรคานึงถึงสิ่งต่างๆ ท่ีจะช่วยเสริมให้
การเรียนรภู้ าษาไทยได้ผลดีย่งิ ขน้ึ ในหลายๆ ดา้ น ดงั น้ี
1. ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สอนกันเองบ้าง เพราะในบางคร้ังผู้เรียนด้วยกันเองจะสามารถ
ใช้ภาษา ถ้อยคาที่เข้าใจกันได้ดี บางโรงเรียนอาจทาเป็นโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน โดยให้เด็กเก่งช่วย
สอนเด็กท่ีอ่อนกว่า จับเป็นคู่ๆ ซึ่งจะเป็นการฝึกผู้เรียนให้เป็นคนท่ีรู้จักช่วยเหลือเพ่ือน มีจิตใจ
เอ้ือเฟือ้ เผือ่ แผ่ เป็นการสร้างความรักความเขา้ ใจในผู้เรยี นดว้ ยกนั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
2. พยายามให้ความรู้หรือข้อคิดเห็นแก่ผู้เรียนและสนับสนุนให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์เร่ือง
ต่างๆ ทั้งในด้านบวกและด้านลบ หรือท้ังด้านที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซ่ึงเป็นการฝึกผู้เรียนให้รู้จัก
คิดอยา่ งมีเหตุผลและเป็นการพฒั นาความคดิ ใหค้ ิดได้อย่างลกึ ซ้ึงและกว้างไกล
\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
31
3. พยายามกระตุ้นหรือเร้าความสนใจให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นและกล้าแสดงออก หรือ
ได้ร่วมกระทากิจกรรมหลายๆ อย่าง อย่างทั่วถึงทุกคน ซ่ึงจะช่วยให้ผุ้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีย่ิงขึ้น
และเรียนอย่างสนุกสนาน มชี ีวิตชีวา และฝึกให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองให้มากท่ีสุด เพราะใน
ปัจจุบันความรู้มิได้เกิดจากการเรียนรู้จากครูผู้สอนเท่าน้ัน แต่ผู้เรียนสามารถศึกษาหาความรู้ด้วย
ตนเองจากแหล่ง ความรู้ต่างๆ ได้อย่างมากมาย เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีท่ีเป็นไป
อยา่ งรวดเร็วและไร้พรมแดน
4. อย่าสอนผู้เรยี นเฉพาะเน้ือหาหรือเร่ืองท่ีมีอยู่ในตาราเทา่ นนั้ เพราะชวี ติ คนเราไม่ได้เป็นไป
ตามตาราทว่ี า่ ไวเ้ สมอไป อีกทั้งความรู้หรอื วิทยาการใหม่ๆ เกดิ ขน้ึ อยู่ตลอดเวลา และไมม่ ที ี่ส้นิ สุด ควร
พยายามนาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาสอนผู้เรียนหรือแนะนาให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้า
เพ่ิมเติมจากแหล่งวิทยาการตา่ งๆ
5. อย่ามุ่งแต่จะให้ความรู้หรือเนื้อหาสาระแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ควรมุ่งให้ผู้เรียน
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมในทุกๆ ดา้ นให้ถกู ต้อง เพราะการศึกษามิใช่การสอนให้คนรู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้ แต่
เป็นการสอนให้คนประพฤติ (To Behave) ในสิง่ ท่ีเขายงั ประพฤติไม่ถูกต้อง
6. พยายามสรา้ งบรรยากาศทด่ี ีในการเรียนการสอน จดั สิ่งแวดลอ้ มให้เหมาะสม ใหผ้ ู้เรียนได้
ศึกษาด้วยกันอย่างมีความสุขและสนุกที่จะเรียนรู้ ครูผู้สอนควรเป็นผู้มีอารมณ์ขัน มีความเป็นกันเอง
กันผู้เรียนไม่นาความทุกข์หรือความไม่พอใจในสงิ่ อ่ืนๆ มาระบายหรือหาทางออกกับผเู้ รียน ไม่ลงโทษ
ผู้เรียน ด้วยการตีอย่างพร่าเพร่ือ เพราะจะทาให้ผู้เรียนหวาดผวาเม่ือครูเดินเข้าไปใกล้ๆ จิตใจจะ
ไรค้ วามสุข และจะทาให้การเรียนลม้ เหลวในทสี่ ดุ
7. พยายามใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องทั้งในการพูดและการเขียน โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการพูด
ควรออกเสยี งใหถ้ กู ตอ้ งชัดเจน เช่น คาทีม่ ีตวั "ร" , "ล" และแก้ไขผ้เู รยี นทีพ่ ดู ไม่ถกู ดว้ ย อยา่ ปล่อยปละ
ละเลยความไมถ่ กู ต้องของผเู้ รียน เพราะจะทาให้ผู้เรยี นตดิ เป็นนิสัยตลอดไป
8. พยายามใช้วิธีการสอนแบบให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มากท่ีสุด และเน้นทักษะ
กระบวนการ เพราะวิชาภาษาไทยเป็นวิชาท่ีมีเนื้อหาเหมาะแก่การใช้วิธีการสอนแบบให้ผู้เรียนเป็น
ผู้กระทากิจกรรมเองหรือร่วมกิจกรรมในหลายๆ รูปแบบเป็นอย่างมาก ดังนั้น ครูผู้สอนควรพยายาม
เลือกวิธกี ารหรอื เทคนิคต่างๆ มาใชใ้ หเ้ หมาะสมมากทีส่ ุด
\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
32
9. การสอนภาษาไทยควรใช้สื่อการเรียนการสอนหรือวัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนทุกคร้ัง
และควรใชห้ ลายๆ รูปแบบ เช่น การสอนอา่ นสะกดคา อาจใชส้ ื่อ 2 - 3 ชนิด ในการฝึกอา่ น สะกดคา
ทีเ่ ปน็ เร่ืองเดียวกนั
10. หลังจากการสอนเสร็จแล้ว ควรทาการวัดประเมินผลอย่างสม่าเสมอ อย่าปล่อยท้ิงไว้จน
จาพฤติกรรมตา่ งๆ ของผู้เรียนไม่ได้ ควรใหผ้ เู้ รียนได้มโี อกาสประเมินตนเอง และทราบผลการประเมิน
ย้อนกลับ เพ่ือจะได้นาไปปรับปรุงหรือแก้ไขข้อบกพร่องของตนอง และท่ีสาคัญคือครูควรใช้ผลการ
ประเมินน้นั ให้เป็นประโยชน์ในการปรบั ปรงุ การเรียนการสอนในครง้ั ต่อๆ ไปด้วย
3. การสอนทักษะการฟังสาหรับผเู้ รียนภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา
การฟังเปน็ ทักษะทางภาษาสาคัญมากทกั ษะหน่ึง ทกั ษะการฟังนบั ว่ามีอทิ ธิพลมากเพราะเป็น
แนวทางสาคัญท่ีจะช่วยให้การศึกษาสาขาอื่นๆ ประสบผลสาเร็จ นอกจากนั้นในชีวิตประจาวันของ
มนษุ ย์ยังใช้การฟังมากกว่าการพูด การอา่ น และการเขียน จงึ มีความจาเปน็ ท่ีครูต้องส้างนสิ ยั การฟังที่
ดีให้แก่นักเรียนด้วย เพราะถ้านักเรียนได้รับการฝึกฝนและการแนะแนวด้านการฟังอย่างถูกต้อง
เหมาะสม ก็จะมีความสามารถในการฟังอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฟัง
หากนกั เรียนขาดการฝึกฝนทักษะการฟังแลว้ กจ็ ะไม่ไดร้ ับประโยชน์จากการฟังเท่าที่ควร และอาจเกิด
ผลเสียแก่นักเรียนได้ การฟังมีหลายลักษณะ หลายประเภท แต่ละประเภทข้ึนอยู่กับจุดประสงค์ของ
การนาไปใช้ สถานการณ์ สิง่ แวดล้อม และส่วนประกอบอื่นๆ
3.1 แนวทางการสอนทักษะการฟงั
1) สอนให้ผู้เรียนเข้าใจวัตถุประสงค์และวิธีการฟังในส่ิงที่ด้ังแต่ละประเภท ซึ่งจะมีลักษณะ
การฟงั ที่แตกตา่ งกันไป
2) ควรให้ผู้เรียนฝึกทัษะการฟังแต่ละประเภทเพ่ือที่ผู้เรียนจะได้นาความรู้และประสบการณ์
ไปใชใ้ นโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสม และควรใหฝ้ กึ ทักษะการฟังใหเ้ หมาะสมกับโอกาสดว้ ย
3) ผู้สอนควรพูดให้ชัดถ้อยชัดคา พูดชัดเจน กะทัดรัด เข้าใจง่าย อย่าพูดเร็วจนเกินไป และ
ครูควรเป็นตัวอยา่ งทด่ี ใี นการฟังด้วย
4) ควรจัดบรรยากาศในการฟังให้เหมาะสม ไม่ให้ผู้เรียนนั่งแออัดกันเกินไป ไม่มีเสียงรบกวน
อากาศถ่ายเทสะดวก แสงสวา่ งเพยี งพอ และฝกึ ให้ทกุ คนมีมารยาทในการฟังท่ีดี
\\//\\//แนวคิดเก่ยี วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
33
5) กิจกรรมท่ีจัดควรเร้าความสนใจของผู้เรียน ให้ผู้เรียนอยากฟัง และควรให้กาลังใจแก่
ผ้เู รยี นในการฟงั อยา่ งตั้งใจด้วย
6) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดจากเรื่องที่ฟัง ควรให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการฟัง เช่น มีการ
ซกั ถามคาถามหรอื มกี ารพดู แสดงความคดิ เหน็
7) เรอื่ งทีจ่ ะฝึกให้ผู้เรียนฟังควรเปน็ เรื่องใกล้ตัว เปน็ เรอื่ งเก่ยี วข้องกับตวั ผู้เรียนหรือเป็นเรื่อง
ท่มี ีความหมายหรือมปี ระโยชน์แกผ่ ้เู รยี น จะทาใหผ้ ู้เรยี นสนใจมากข้ึน
8) ฝึกทักษะการฟังทุกประเภทอย่างสม่าเสมอ ครูผู้สอนอาจจะกาหนดไว้เลยว่าจะให้ผู้เรียน
ฝึกทักษะการฟังวันละก่ีนาที ฟังประเภทใดบ้าง ควรท่าอย่างสม่าเสมอ และควรให้ฟังวันละเลก็ วันละ
น้อย อย่ามากจนเกินไป เพราะจะทาให้เบื่อหน่ายและหลังจากที่ฟังจบแล้ว ควรมีการประเมินผลการ
ฟงั ด้วย
9) จัดกิจกรรมฝึกทักษะการฟังให้สัมพันธ์กับทักษะอื่นๆ ในการฝึกทักษะการฟังนั้นควรให้
สัมพนั ธก์ บั ทกั ษะการพดู การอ่าน และการเขียนด้วย เพอ่ื จะไดส้ อดคล้องกบั ชวี ิตจรงิ
10) ควรให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับ การให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับจะช่วยให้การฝึก
ปฏิบัติเป็นไปอย่างมีความหมายแก่ผู้เรียน ซึ่งเขาจะได้รับรู้ข้อบกพร่องของตนเอง เพื่อหาแนว
ทางแกไ้ ข แต่ถ้าทักษะการฟังของเู้ รยี นดีก็จะเป็นการเสรมิ แรงให้เขามกี าลังใจในการฝึกปฏบิ ัติต่อๆ ไป
3.2 แนวทางการจดั การเรียนรู้ทักษะการฟัง
กิจกรรมการเรียนการสอนทักษะการฟังที่จะเสนอแนะต่อไปน้ีเป็นการสอนทักษะการฟังให้
สัมพันธก์ ับทกั ษะอ่ืนๆ
1) ให้นักเรียนฟังนิทาน เร่ืองราว หรือบทความต่างๆ แล้วให้ตั้งช่ือเร่ืองพร้อมท้ังให้เหตุผล
ดว้ ยวาจาหรือขอ้ เขียน
2) จัดหาข้อความหลายๆ ข้อความ ทาเป็นข้อๆ แล้วให้นักเรียนขีดเส้นใต้ประโยคที่เป็น
ใจความสาคญั
3) เล่าเร่ือง หรือเปิดแถบบันทึกเสียง หรือให้นักเรียนเล่าเรื่อง แล้วให้นักเรียนช่วยกันสรุป
เร่ืองทฟี่ ังและเขียนในแผนภูมิ กระดานดา หรือในสมุดแบบฝกึ หัดสง่ ครู
\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
34
4) เชิญวิทยากรหรือให้นักเรียนคนใดคนหนึ่งท่ีได้ไปทากิจกรรมท่ีดีเด่นมาบรรยายให้เพ่ือนๆ
ฟัง แล้วใหน้ กั เรียนเขียนรายงานเปน็ รายบคุ คลหรือเป็นกลุ่ม
5) ให้นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ ผลดั กนั เล่าเรอ่ื งและถามคาถาม
6) ให้นักเรียนฟังเร่ืองราวจากแถบบันทึกเสียง แล้วครูแจกแบบฝึกหัด ซึ่งมีลักษณะต่างๆ
อาจจะเป็นแบบถูก - ผิด จบั คู่ เตมิ คา หรือแบบเลือกตอบใหน้ กั เรียนทา
7) นัดหมายกับนักเรียนฟังรายการข่าวจากวิทยุหรือโทรทัศน์ แล้วให้นักเรียนสรุปข่าวมาส่ง
ครเู ลอื กผลงานท่ีดเี ด่นติดปา้ ยประกาศในชัน้ เรยี น หรอื หนา้ ห้องเรยี น
8) ให้นักเรียนร้องเพลงพร้อมๆ กัน เช่น เพลงต้นตระกูลไทย เราสู้ สยามานุสสติ สุดแผ่นดนิ
เป็นต้น หรือฟังเพลงจากแถบบันทึกเสียง แล้วให้นักเรียนบอกใจความสาคัญของเพลง หรือให้เขียน
เปน็ คาขวัญสัน้ ๆ ประกวดกัน
9) ให้นักเรียนนิมนต์พระมาแสดงพระธรรมเทศนาหรือเชิญวทิ ยากรมาบรรยายแล้วแบ่งกลุ่ม
ทารายงาน นามาอ่านหนา้ ช้ัน
10) เตรียมเขียนสานวน สุภาษิต คาพังเพย ในแถบประโยค หรือให้นักเรียนเป็นผู้เตรียมให้
นักเรียนคนหน่ึงชูแถบประโยคแล้วติดบนกระดานดา อีกคนหน่ึงอ่านออกเสียงดังๆ ให้เพ่ือนทั้งช้ันฟัง
นักเรยี นที่ได้ฟังแล้วอาสาออกมาแสดงท่าทางประกอบ หลงั จากน้นั ใหน้ กั เรียนทั้งชนั้ ชว่ ยกนั วจิ ารณ์ว่า
แสดงท่าทางได้ถกู ต้องหรอื ไม่
11) ให้นักเรียนเตรียมเรื่องมาเล่าหน้าชั้น แล้วแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มท่ี 1 แสดงบทบาท
กลมุ่ ที่ 2 แสดงละคร กลุ่มที่ 3 วาดภาพแสดงจนิ ตนาการทไ่ี ด้จากการฟัง
12) ใหน้ กั เรียนฟงั คาส่งั ยาวๆ จากครหู รือจากเพ่อื น แล้วปฏิบตั ติ ามคาสั่ง
13) ให้นักเรียนฟังนิทานท่ีเพ่ือนหรือครูเล่าไม่จบ แล้วให้นักเรียนแต่ละคนเขียนต่อให้จบ
พรอ้ มทัง้ ตง้ั ชื่อเรือ่ ง
14) ให้นักเรียนไปช่วยกันรวบรวมข่าวต่างๆ ท้ังข่าวในประเทศ หรือข่าวต่างประเทศ โดย
แยกตัวข่าวและหัวข้อข่าวออกจากกัน แล้วให้นักเรียนคนใดคนหน่ึงอ่านข้อความในข่าวน้ันดังๆ แล้ว
ให้นกั เรียนคนอน่ื ๆ ออกมาหาหวั ข้อขา่ วที่เหมาะสมมาต่อ
\\//\\//แนวคดิ เก่ียวกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
35
15) แบง่ กลุ่มนกั เรียนออกเป็ฯกลุ่มย่อยๆ กลุม่ ละประมาณ 5 - 6 คน อภิปรายระดมความคิด
เก่ยี วกบั มารยาทของการฟังทดี่ ี
16) ให้นักเรียนฟังรายการสารคดีแล้วเขียนแสดงความคิดเห็นว่านักเรียนได้รับข้อคิดและ
สาระประโยชนใ์ ดจากรายการน้นั บ้าง
17) ให้นักเรียนฟังละครวิทยุหรือโทรทัศน์ เก็บคาราชาศัพท์หรือสานวนภาษาท่ีใช้แล้วนามา
ตรวจสอบกับราชาศัพทห์ รือสานวนภาษาทถี่ ูกตอ้ ง
18) ให้นักเรียนฟังเพลงและท่วงทานองการร้องเพลงจากวิทยุหรือโทรทัศน์แล้วสังเกตการใช้
ภาษาในเน้ือเพลง การออกเสยี ง "ร" , "ล" คาควบกลา้ แล้ววจิ ารณ์การออกเสียงและการใช้ภาษา
3.3 แนวทางการวดั ผลและประเมินผลทักษะการฟงั
1) ให้ฟังเพอ่ื แยกเสียงจากแถบบนั ทึกเสยี งหรอื จากครูอา่ นให้ฟัง
2) ให้ฟังแล้วปฏิบัติตาม โดยครูอาจจะส่ังให้นักเรียนปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วครูใช้การ
สังเกตความถกู ต้องในการปฏิบตั ิ
3) ใหฟ้ งั เพอ่ื วัดความสามารถจับใจความสาคัญของเรือ่ งท่ีฟัง ก่อนลงมือวัดผลครตู อ้ งชี้แจงให้
นักเรียนทราบว่าครูจะอ่านข้อความให้นักเรียนฟัง 2 คร้ัง ให้นักเรียนฟังให้ดีแล้วครูจะต้ังคาถามจาก
เรื่องที่ฟังทีละข้อ นักเรียนจะไม่มีโอกาสเห็นข้อความท่ีครูอ่าน นักเรียนจะได้รับแจกเฉพาะ
แบบทดสอบ (ทไ่ี ม่มีขอ้ ความท่ีผู้ควบคุมการสอบอา่ นให้ฟัง) และกระดาษคาตอบเท่านน้ั
4) ให้ฟังเพ่ือวัดความสนุกเพลิดเพลินซาบซ้ึง โดยครูอาจเปิดแถบบันทึกเสียงหรืออ่านให้
นกั เรยี นฟังแลว้ ใช้แบบสงั เกตบนั ทกึ การมีอารมณร์ ่วมในการฟัง เชน่ หน้าตา ทา่ ทางในการฟัง
5) มารยาทในการฟัง โดยครูอาจจะสังเกตนักเรียนในขณะท่ีเพื่อนนักเรียนออกมา
รายงานหรือพูดหน้าช้ันเรียน โดยใช้แบบสังเกต ความตั้งใจในการฟัง ซักถามเมื่อมีโอกาส ปรบมือให้
เมอื่ ผูพ้ ดู พดู จบ ท่านั่งฟังสุภาพ หรือ ไมส่ ง่ เสยี งคุยในขณะท่ีฟัง ฯลฯ เป็นต้น
4. การสอนทกั ษะการดสู าหรับผเู้ รียนภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา
ทักษะการดูเป็นทักษะที่สาคัญและจาเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจาวัน เพราะเป็นทักษะที่ใช้
แสวงหาความรู้ต่างๆ เพ่ือความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เดิมมามักไม่ค่อยคานึงถึงทักษะ
\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
36
การดูกันมากนัก แต่ขณะนี้ทักษะการดูมีความสาคัญเป็นอย่างมากเน่ืองจากการดูเป็นการรับสารจาก
สอื่ ภาพและสือ่ เสียง และยงั แสดงทศั นะได้จากการรบั รสู้ าร ตคี วาม แปลความ วิเคราะห์ และประเมิน
คุณค่าสารจากสื่อ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร การดูภาพยนตร์ การดูหนังสือ
การ์ตูน ผู้ดูจะต้องรับรู้สารจากการดูและนามาวิเคราะห์สาร ตีความประเมินคุณค่าของสารที่เป็นเน้ือ
เรื่อง โดยใช้หลกั การพินจิ วรรณกรรมหรือการวิเคราะหว์ รรณกรรมเบ้ืองต้น เช่น แนวคิดของเรือ่ ง ฉาก
ที่ประกอบเรื่อง ความสมเหตุสมผล กิริยาท่าทาง และการแสดงออกของตัวละครว่ามีความสมจริงกบั
บทบาทโครงเร่ือง เพลง เสียง สี แสง ท่ีใช้ประกอบการแสดงเพียงใด ให้อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงอย่างไร
และสอดคล้องหรือไม่กับยุคสมัยของเหตุการณ์ที่จาลองสู่บทละคร ตลอดจนมีคุณค่าทางจริยธรรม
คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดู ผู้ชมมากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นการดูข่าว ดูรายการ
ต่างๆ เช่น การอภิปราย การให้ความรู้เร่ืองที่เป็นสารคดี หรือการโฆษณาทางสื่อ จะต้องพิจารณา
เน้ือหาสาระว่าสมควรเช่ือถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเช่ือหรือไม่ นอกจากน้ันการดูละครเวที
ละครโทรทัศน์ การดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับความสนุกสนานต้องสามารถดูอย่าง
วิเคราะห์ ประเมินคา่ และแสดงทรรศนะของตนได้อยา่ งมีเหตุผล ตลอดจนสามารถนาความรู้ท่ีได้จาก
การดูไปใชใ้ นการพูดและการเขียนได้อย่างดี
4.1) แนวทางการจดั การเรยี นรู้ทักษะการดู
1) กิจกรรมการเรียนทกั ษะการดทู ีจ่ ะเสนอแนะต่อไปน้ีเปน็ การสอนทกั ษะการดใู หส้ ัมพันธ์กับ
ทักษะอื่นๆ ให้นักเรียนย่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ สรุปข่าวประจาวัน จะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ
ข่าวกีฬา ข่าวสังคม หรือแม้แต่ข่าวอาชญากรรมก็ได้ให้นักเรียนตัดข่าวต่างๆ แล้ววิเคราะห์ดูว่า
การเสนอข่าวนั้นเป็นการเสนอขอ้ เทจ็ จริงลว้ นๆ หรือใส่ความคดิ เหน็ ของผเู้ ขยี นลงไปดว้ ย
2) ให้นักเรียนตัดโฆษณาจากหนังสือพิมพ์ หรือรวบรวมคาโฆษณาจากแผ่นป้ายโฆษณา แล้ว
นามาเสนอในช้ัน และให้นักเรียนทั้งชั้นช่วยกันวิจารณ์ให้นักเรียนตัดภาพต่างๆ ท่ีใช้ประกอบข่าว
หนังสือพิมพ์ และวิจารณ์ภาพเหล่านั้นว่าเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยอาจมอบหมายให้ทางานเป็น
กลุ่ม แล้ววิจารณ์พาดหัวข่าว รวมทั้งการเสนอหัวข่าวย่อยและวิธีการเสนอข่าว ตลอดจนการใช้
ภาษาไทยของหนงั สือพิมพแ์ ตล่ ะฉบับ
3) ให้นักเรียนฟังรายการสารคดีจากวิทยุ หรือดูรายการสารคดีจากโทรทัศน์แล้วเขียน
แสดงความคิดเห็นว่า นักเรียนได้รับข้อคิดและสารประโยชน์อะไรบ้างจากรายการนั้น วิธีการเสนอ
สารคดนี ั้นเหมาะสมเพียงใด วจิ ารณก์ ารเลือกข่าวมาออกอากาศทางสถานวี ทิ ยวุ า่ มีสาระหรือมีคุณค่า
แก่ผูฟ้ ังมากนอ้ ยเพยี งใด
\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
37
4) มอบหมายให้นักเรียนดูรายการภาคความรู้และส่งเสริมเอกลักษณ์ของไทยแล้วบันทึก
ข้อความสั้นๆ เพื่อนามาอภิปรายในช้ัน หรือให้นักเรียนดูละครแล้ววิจารณ์การดาเนินเรื่องว่า ได้ให้
คุณค่าใดแก่สังคมบ้าง ชมรายการเกมโชว์ต่างๆ ทางโทรทัศน์ที่เก่ียวกับการใช้ภาษา แล้วมาวิจารณ์
การใช้ภาษารว่ มกันในห้องเรยี น หรืออาจจัดการแข่งขันหาคาหรอื สานวนไทยเลน่ กันในหม่เู พื่อนๆ ชม
ละคร วิจารณ์ช่อื ละครน้นั สังเกตการใชภ้ าษา ตลอดจนคุณธรรมทป่ี รากฏในเร่อื งเหลา่ นัน้ ด้วย
5) ชมรายการโทรทัศน์ท่ีมีพิธีกรดาเนินรายการ แล้วฝึกทาหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการ
โทรทัศน์ แล้วให้เพือ่ นๆ ร่วมกันวิจารณ์
4.2 แนวทางการวดั และประเมินผลทักษะการดู
1) การสังเกต ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนขณะดูกิจกรรมในสถานการณ์
ที่โรงเรียนจัดให้ เช่น ในช้ันเรียนนักเรียนดูการอภิปราย โต้วาที ดูแถบวีดีทัศน์ ดูละคร หรือเมื่อจัดให้
นักเรียนไปทัศนศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนโดยใช้แบบสังเกต
ความต้ังใจ ความสนใจของนักเรยี น
2) ตรวจผลงาน เม่ือจัดกิจกรรมให้นักเรียนไปดูแล้วครูอาจจะกาหนดให้นักเรียนทารายงาน
หรือเขียนแสดงความรู้สึกต่อสิ่งที่ไปดู ส่งครูหรือให้นักเรียนจัดนิทรรศการ ครูประเมินนักเรียนโดยใช้
แบบประเมินผลงานของนกั เรยี น
3) ทดสอบ โดยครูใช้แบบให้เขียนตอบส้ันๆ หรือแบบทดสอบแบบเลือกตอบเพ่ือตรวจสอบ
ความรขู้ องนักเรียนเก่ยี วกบั สิ่งท่ีใหไ้ ปดู
5. การสอนทักษะการพูดสาหรบั ผู้เรียนภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา
ทักษะการพูดเป็นทักษะท่ีสาคัญย่ิงทักษะหน่ึง ซึ่งนักเรียนจาเป็นต้องใช้ส่ือสารกันมาก
ท้ังในช้ันเรียนและในชีวิตประจาวัน ผู้ท่ีมีทักษะการพูดดีน้ันมักจะเป็นท่ียอมรับว่าเป็นผู้ ที่มี
บุคลิกภาพดี เป็นที่นิยมยกย่องของบุคคลอื่น จะประกอบกิจการงานใดๆ ก็ประสบผลสาเร็จ ผู้ท่ีมี
ทักษะในการพูดย่อมสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ที่มาเก่ียวข้องด้วยได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดความเข้าใจ
อันดีระหว่างกันและกัน ตรงกันข้ามกับผู้ที่ขาดทักษะในการพูด จะไม่สามารถสื่อความเข้าใจ
ได้ดีเท่าท่ีควร ครูมักจะบรรยายให้ทราบว่าการพูดแบบต่างๆ มีลักษณะอย่างไร และนักเรียนเพียง
จานวนน้อยท่ีมีโอกาสได้ฝึกฝน ฉะน้ันครูควรให้ความสนใจกับการฝึกฝน ทักษะการพูดของนักเรียน
\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
38
ให้มากยิ่งข้ึน และควรตระหนักไว้ด้วยว่า การสอนทักษะการพูดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดในรูปแบบใด
ควรสอนให้สัมพนั ธ์กับทกั ษะอืน่ ๆ ด้วย
การพูดไม่ใข่ทักษะท่ีติดตัวมาต้ังแต่แรกเกิด แต่ได้มาจากการฟังและการติดต่อคบหาสมาคม
ดังน้ันจึงต้องฝึกฝนทักษะในการพูดต้ังแต่ยังเป็นเด็ก บ้านมีอิทธิพลสาคัญต่อการพูดของเด็กมาก
ดังนน้ั การใช้คาพดู ของเด็กแตล่ ะคนจงึ แตกตา่ งกนั การพูดจะมีทง้ั ทด่ี ีและไม่ดใี นระยะนี้ครูควรแนะนา
ทางบ้าน ทางบา้ นควรใหค้ วามร่วมมอื กบั ทางโรงเรียนด้วย
5.1 แนวทางการจดั การเรียนรู้ทกั ษะการพดู
1) ศึกษาความพร้อมของผู้เรียน : ครูผู้สอนจะต้องศึกษาความพร้อมของผู้เรียนแต่ละคน
ว่ามีความสนใจ ความต้องการ พัฒนาการ และวามรู้ความสามารถพื้นฐานเพียงพอที่จะเรียนวิชา
ภาษาไทยตามหลักสูตรได้มากน้อยเพียงใด ต้องศึกษาทั้งความพร้อมก่อนเร่ิมเรียนภาษาไทย และ
ความพรอ้ มทีจ่ ะเรยี นบทเรียนใหม่
2) ศึกษาภูมิหลังของผู้เรียน : ปัจจัยท่ีช่วยให้การพูดของผู้เรยนเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น
ภูมิหลังของผู้เรียนมีความสาคัญมากประการหน่ึง ส่ิงท่ีควรศึกษา ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความสนใจและเอาใจใส่ของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ฐานะความเป็นอยู่ส่ิงแวดลอ้ มและสังคม ส่ิงเหล่าน้ี
จะช่วยกนั สนบั สนุนการพดู ของผเู้ รยี นเปน็ อย่างมาก
3) ครูผู้สอนควรสร้างบรรยากาศที่มีอิสระเสรี : การจัดบรรยากาศการเรียนการสอนที่
เป็นกันเอง ไม่เคร่งครัดและผู้เรียนรู้สึกสบายใจจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียน สนใจ
และรว่ มมือปฏิบัติกจิ กรรมเป็นอยา่ งดี ผเู้ รยี นจะมีความมนั่ ใจและมีความกล้าในการพูดมากข้ึน
4) คานึงถึงลักษณะเฉพาะตัวของผู้เรียน : การวางแผนจัดกจกรรมการพูดให้ผู้เรียนนั้น
ครูผู้สอนควรคานึงถึงความสามารถเฉพาะตัวของผู้เรียนเป็นอย่างย่ิง เพราะแต่ละคน
จะมีความสามารถในการพูดและการพัฒนาท่ีแตกต่างกันไป บางคนแก้ไขได้ บางคนแก้ไขไม่ได้ เช่น
ปากแหว่ง เพดานโหว่ ล้ินไก่ส้ัน ครูผู้สอนควรพัฒนาให้เป็นไปตามความสามารถของแต่ละบุคคลและ
ไม่เปรียบเทียบกับความสามารถของผู้เรยี นคนอ่ืนๆ
5) ควรให้โอกาสพูดแก่ผู้เรียนทุกคน : ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้ฝึกพูด
เพราะผู้เรียนจะได้มีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง เพ่ือน และครู อีกท้ังยังเป็นการฝึกให้นักเรียนมีความกลา้
ในการแสดงออก มีความกลา้ ในการแสดงความคิด ตลอดจนมคี วามกลา้ ในการใชเ้ หตผุ ลอกี ดว้ ย
\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
39
6) ควรสอนให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง : การฝึกให้ผู้เรียนได้ฝึกพูดด้วยตนเอง เป็นการให้
ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากการพูดน้ันๆ เช่น การพูดอภิปราย การรายงาน การโต้วาที การพูด
อวยพร การกล่าวขอบคุณ และอื่นๆ นอกจากนี้ยังควรแนะนาให้ผู้เรียนอ่านหนังสือมากๆ ฟังรายการ
จากวิทยุ โทรทัศน์ การพดู ในโอกาสตา่ งๆ เพือ่ เป็ฯแนวทางในการฝกึ พดู ของตนเอง
7) ครูผู้สอนต้องสอนแบบค่อยเป็นค่อยไป : การสอนทักษะการพูดน้ันต้องสอนโดยการใช้
เวลาฝึกทักษะพอสมควร จะสอนให้ผู้เรียนสามารถพูดได้ดีเลยในเวลาอันรวดเร็วไม่ได้ เพราะการจะ
พูดให้ได้ดีต้องอาศัยประสบการณ์หลายด้าน อาศัยเวลาในการฝึกพูด และต้องปรับปรุงการพูด
ของตนเองอยเู่ สมอ
8) การสอนพูดต้องอาศัยศรัทธาของผู้เรียน : "ศรัทธา" เป็นสิ่งหนึ่งท่ีมีความสาคัญในการจะ
กระทาส่ิงใดสิ่งหน่ึงให้ประสบผลสาเร็จด้วยดี ถ้ากระทาโดยขาดศรัทธาก็จะปราศจากความสาเร็จ
อย่างแน่นอน การพูดก็เช่นกัน ครูผู้สอนจะต้องเน้นให้ผู้เรียนได้เห็นความสาคัญและประโยชน์ของ
"การพูดเป็น" ให้มากท่ีสุด แล้วผู้เรียนก็จะเกิดความศรัทธาในการฝึกพูด และนอกจากนี้ครูผู้สอน
จะต้องเป็นแบบอย่างทดี่ ีในการพดู ใหแ้ ก่นักเรียนดว้ ย
9) ควรสอนฝึกพูดอย่างต่อเนื่อง : การสอนพูดครูผู้สอนจะต้องส่งเสริมให้นักเรียนฝึกทักษะ
การพดู อย่างตอ่ เน่ือง ถา้ หากขาดการฝกึ การพฒั นาทกั ษะการพดู กจ็ ะลดลงด้วย
10) ควรสอนให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลย้อนกลบั : การให้ข้อมูลย้อนกลับเป็นการเสริมแรงผู้เรยี น
ชนิดหนึ่ง เป็นส่ิงจาเป็นที่ควรกระทาในการฝึกทักษะทุกประเภท เป็นผลให้ผู้เรียนรู้จักประเมินผล
ตนเอง และหาแนวทางในการปรบั ปรุงแก้ไขข้อบกพร่องการพูดของตนใหด้ ียง่ิ ขน้ึ ด้วย
11) การสอนพูดต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย : การสอนพูดมิใช่เป็นหน้าท่ีของครู
ภาษาไทยเพียงคนเดียวเท่าน้ัน แต่ครูผู้สอนทุกคนในโรงเรียนตลอดจนผู้ปกครองของผู้เรียนก็ควร
มีส่วนร่วมมือช่วยเหลือกันพัฒนาและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ และการฝึกทักษะการพูดน้ันก็มิใช่
ฝกึ ไดเ้ ฉพาะแต่ท่ีโรงเรียนเทา่ นนั้ หากแตค่ วรตอ้ งฝึกพดู ทบี่ ้านด้วย
5.2 ตัวอยา่ งกิจกรรมการจดั การเรยี นรู้ทักษะการพดู
1) แบ่งกลุ่มนักเรียนฝึกสนทนากันกลุ่มละประมาณ 3 - 4 คน แล้วให้ผู้แทนของกลุ่มออกมา
เล่าเรอ่ื งที่ได้สนทนากนั ในกล่มุ ให้เพ่ือนๆ ทัง้ ชั้นฟัง
\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
40
2) แบ่งกลุ่มนักเรียนให้ไปอ่านข่าวประเภทต่างๆ เช่น ข่าวเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา
การกีฬา เปน็ ตน้ แลว้ นามาสนทนาแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ กันในชั้น
3) ครูอาจให้เวลาก่อนเรียนประมาณ 10 นาที ให้นักเรียนผลัดกันออกมาเล่าเหตุการณ์หรือ
ประสบการณ์ท่นี า่ ตน่ื เตน้ นา่ สนใจ ที่นกั เรียนไดป้ ระสบมาหนา้ ช้ันเรยี นคนละประมาณ 2 นาที
4) ให้นักเรียนจับคู่สัมภาษณ์ประวัติ ความสนใจพิเศษ ผลัดกันสัมภาษณ์กันและกันแล้วให้
ออกมาเลา่ ประวัติของเพอื่ นที่นักเรียนสมั ภาษณ์
5) ให้นักเรียนเล่าเรื่องการท่องเท่ียวซ่ึงนักเรียนได้ไปเที่ยวในระหว่างสุดสัปดาห์หรือ
ในวนั หยุด
6) ให้นกั เรยี นเล่าเรอื่ งโดยใชภ้ าพ อุปกรณ์ และแสดงท่าทางประกอบ
7) ให้นักเรียนอธิบายความแตกต่างของส่ิงของสองส่ิง เช่น ความแตกต่างระหว่างดินสอกับ
ปากกา แมน่ ้ากับลาคลอง ลูกฟุตบอลกับลูกรกั บี้ เปน็ ต้น
8) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ อภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวและเหตุการณ์ท่ี
เกิดข้นึ โดยนาหนังสอื พมิ พ์หรอื แถบบันทึกเสียงมาเปดิ ประกอบการอภปิ รายดว้ ย
9) ฝึกการทักทายปราศรัยให้นักเรียนสามารถใช้ถ้อยคาได้ถูกต้องเหมา ะสม โดยใช้
สถานการณ์จาลองหรือบทบาทสมมุติ เช่น การทักทายปราศรัยระหว่างเพ่ือนกับเพื่อน ผู้ใหญ่กับเด็ก
พระสงฆ์กบั ฆราวาส
10) ให้นักเรียนไปอ่านข่าวหรือฟังข่าวมาแล้วพูดสรุปให้เพ่ือนฟัง โดยให้นักเรียนผลัดเปล่ียน
กันทาหนา้ ท่ปี ระจาแต่ละวัน
11) ให้นักเรียนอ่านหนังสือเร่ืองราวต่างๆ แล้วให้นักเรียนพูดสรุปให้เพ่ือนฟัง โดยอาจเป็น
การแนะนาหนังสอื ที่นา่ อา่ น
12) ใหน้ ักเรยี ไปสมั ภาษณบ์ ุคคลทม่ี อี าชีพตา่ งๆ ในชุมขน แล้วทารายงานนามาเสนอหน้าช้นั
13) ครูหรือนักเรียนเล่าเร่ืองค้างไว้ แล้วให้นักเรียนเล่าเร่ือง่ต่อ อาจใช้ผู้เล่าประมาณ 3 - 4
คน หรอื มากกวา่ น้ีก็ได้
14) หลังจากนักเรียนได้ไปศึกษานอกสถานที่แล้ว ให้นักเรียนออกมารายงานตามท่ีได้รับ
มอบหมาย
\\//\\//แนวคดิ เก่ียวกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
41
15) ใหน้ ักเรยี นแสดงละคร โดยการแสดงตามบททม่ี ีอยู่แลว้ หรือ แตง่ บทข้นึ ใหม่กไ็ ด้
16) วจิ ารณ์ภาษาที่ใช้ในการพากย์ภาพยนตร์
17) สงั เกตการณ์บรรยาย อภปิ ราย ทางวิทยกุ ระจายเสยี ง หรอื วทิ ยุโทรทศั น์ เลือกสรรบุคคล
ท่บี รรยาย และอภิปรายดี นาลกั ษณะดเี ดน่ ตา่ งๆ มาเปน็ แนวทางในการพูด การอภปิ รายของตน
18) สังเกตภาษาที่ดาวตลกใช้ในรายการต่างๆ แล้ววิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ว่าควรจะใช้ภาษา
อย่างไร จึงจะเหมาะสม
5.3 แนวทางการวัดสมรรถภาพการพูด
วิธีการวัดสมรรถภาพการพูดท่ีเหมาะสมวิธีหน่ึง คือครูกาหนดให้นักเรียนออกมาพูดหน้าช้ัน
เรียน จากน้ันครูสังเกตและบันทึกพฤติกรรมการพูด เช่น บุคลิกท่าทาง การใช้สายตา การควบคุม
อารมณ์ การแสดงออกทางสีหน้า การใชน้ า้ เสยี ง การออกเสยี งชัดเจน และมารยาทในการพูด สาหรับ
การประเมินนั้นครคู วรใชแ้ บบประเมนิ การพูดในการบนั ทกึ พฤติกรรมของนักเรียนแตล่ ะคน
6. การสอนทักษะการอ่านสาหรบั ผเู้ รียนภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา
การอ่านถือเป็นหัวใจสาคัญของการเรียนรู้ในทุกระดับชั้นที่มีความจาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อการศึกษาหาความรู้เพ่ือการดารงชีวิตได้อย่างมีความสุข เพราะนอกจากการอ่านจะเป็นเครื่องมือ
ในการแสวงหาความรู้แลว้ การอา่ นยงั สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้กับผ้อู ่านได้อีกดว้ ย นอกจากน้ี
การอ่านยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ตลอดจนเป็นพื้นฐานในการฝึกคิด และฝึก
แก้ปญั หาทมี่ ปี ระสิทธภาพดว้ ย
ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านในระดับประถมศึกษาผู้สอนจึงต้องให้ความสาคัญ
กับการฝึกฝนทักษะการอ่านในทุกประเภท อันได้แก่ การอ่านออกเสียง การอ่านในใจ และการอ่าน
จับใจความ ให้มีความพร้อมสามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพการเรียนรู้
ของผเู้ รยี นใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสูงสุด
6.1 หลักการเบอ้ื งตน้ สาหรบั การพัฒนาทักษะการอ่าน
ก่อนการพัฒนาทักษะการอ่านลักษณะต่างๆ ผู้สอนต้องคานึงข้อมูลเบื้องต้นต่อไปนี้ เพ่ือให้
การพฒั นาทกั ษะการอ่านประเภทตา่ งๆ เกดิ ประสิทธภิ าพสงู สุด
\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
42
1) ความพร้อมของผู้เรียน : ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความพร้อมทางการอ่านท่ีแตกต่างกันไป
ดังน้ัน ความสามารถในการอ่านย่อมแตกต่างกันด้วย ครูผู้สอนต้องสารวจและสร้างความพร้อมใน
การอ่านของผ้เู รยี นเสียกอ่ น เชน่ การกวาดสายตา หรอื การจาแนกความแตกตา่ ง เป็นต้น
2) ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล : ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลเป็นปัจจัยสาคญั ที่มผี ลต่อการ
อ่านเป็นอย่างย่ิงประการหน่งึ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ความแตกตา่ งกันในดา้ นร่างกายและสตปิ ญั ญา
3) ความต้องการของผู้เรียน : ครูผู้สอนควรรู้และเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียน เช่น มีความ
อยากรู้อยากเห็น อยากโชว์และมีความสนใจในการอ่านเรื่องแบบใด ก็ควรจัดกิจกรรมการอ่านเร่ือง
แบบน้ันๆ
4) ประสบการณพ์ ื้นฐานของผู้เรียน : ประสบการณพ์ ืน้ ฐานของผู้เรยี นทุกคนย่อมแตกต่างกัน
ไปตามฐานะทางบ้านและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในการจัดกิจกรรมการสอนอ่าน ครูควรสร้าง
ประสบการณ์ให้แกผ่ เู้ รียน เชน่ การใหด้ ูภาพตา่ งๆ สิง่ ของต่างๆ หรือการไปดูของจรงิ จะช่วยให้ผเู้ รียน
สามารถอ่านไดอ้ ย่างเขา้ ใจและมีความหมายสาหรบั เขามากข้นึ
5) ความสามารถในการรับรู้ของผู้เรียน : ความสามารถในการรับรู้ของผู้เรียนจะแตกต่างกัน
ตามความแตกต่างกันทางสติปัญญา ประสบการณ์ และการเรียนรู้ ผู้เรียนบางคนรับรู้ได้ดีและเร็ว
ครูผู้สอนควรมีความรู้เข้าใจในความสามารถของผูเ้ รียนแตล่ ะคน เพ่ือท่ีจะจัดกิจกรรมการสอนอ่านได้
อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
6) สง่ เสรมิ ให้มีทัศนคติท่ีดีในการอ่าน : ในการสอนอ่านซง่ึ เป็นทักษะท่ีสาคัญในการศึกษาหา
ความรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตน้ัน ครูผู้สอนควรจัดกิจกรรมการสอนอ่านที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ทัศนคติท่ีดีและมีนิสัยรักการอ่าน อาจทาได้โดยการสร้างบรรยากาศท่ีดี การมีสัมพันธภาพท่ีดีต่อกัน
ท้ังระหว่างครูกับผู้เรียน และระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันเอง การจัดกิจกรรมการอ่านที่น่าสนใจ
เรา้ ใจ และตรงตามความตอ้ งการของผ้เู รียน
7) สอนวิธีการอ่านท่ีถูกต้อง : ครูผู้สอนควรสอนวิธีการอ่านท่ีถูกวิธี การจับหนังสือ ท่านั่ง
ความเร็วในการอ่าน และการรู้จกั เลอื กหนังสอื อา่ น
8) ผู้เรียนควรได้รับข้อมูลย้อนกลับ : หลังจากได้ฝึกการอ่านแล้ว ควรมีกิจกรรมที่ต่อเน่ือง
เช่น ใหต้ อบคาถาม แสดงความคิด สรปุ ใจความสาคัญ ฯลฯ และหลังจากนั้นควรได้รบั ข้อมลู ย้อนกลับ
ว่าถูกต้องเพยี งไร มีข้อบกพร่องอะไรบา้ งเพอื่ ทจี่ ะไดป้ รบั ปรงุ แกไ้ ขตนเอง
\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//