The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิธีสอนภาษาไทยสำหรับประถมศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suchada tangsirin, 2020-07-01 09:49:48

วิธีสอนภาษาไทยสำหรับประถมศึกษา

วิธีสอนภาษาไทยสำหรับประถมศึกษา

43

6.2 แนวทางการจัดการเรยี นรทู้ กั ษะการอ่านออกเสียง
การอ่านออกเสียงจะต้องฝึกการอ่านให้ถูกต้อง ชัดเจน ใช้น้าเสียงอ่านที่เหมาะสม สามารถ

แบ่งวรรคตอนการอ่านได้ถูกต้อง อ่านไม่ตะกุกตะกัก หรือตกหล่น สามารถจาคาอ่านได้แม่นยา ไม่
อา่ นสะกดคาไปทลี ะคา และจะต้องอ่านด้วยความชนื่ ชม ในการสอนอ่านออกเสียงมีจดุ มุ่งหมาย ดงั น้ี

1. เพอ่ื ให้สามารถอา่ นไดถ้ กู ต้องตามอักขรวิธีและตามความนยิ ม
2. เพ่ือให้อา่ นได้ชัดเจน การเนน้ เสียง การเวน้ วรรคตอน จังหวะ ถกู ตอ้ ง
3. เพอื่ ให้สามารถจบั ใจความเร่ืองทอ่ี า่ นได้
4. เพื่อฝึกใหน้ ้าเสยี งทอี่ ่านเหมาะสมกับเรือ่ งท่ีอา่ น
นอกจากนี้แนวทางการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงให้กับผู้เรียนยังสามารถแบ่งออกได้ 3
ระดบั ตามระดับความสามารถของผเู้ รียน ซงึ่ มรี ายละเอยี ดทน่ี า่ สนใจดงั ตอ่ ไปนี้
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 - 2

1) ฝกึ อา่ นออกเสยี งคาใหม่ในบทเรียน
2) อ่านออกเสียงคาท่อี อกเสยี งยาก เช่น คาควบกล้า อกั ษรนา
3) ครผู ู้สอนอ่านใหฟ้ งั เป็นตวั อยา่ ง
4) อ่านตามครทู ลี ะวรรคหรือทลี ะบรรทัด
5) ฝึกอ่านออกเสียงเปน็ รายบุคคลและเป็นกลุ่ม
6) ฝกึ อ่านออกเสียงตามลาพงั หรืออ่านกบั เพื่อน
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 - 4
1) ฝกึ อา่ นออกเสยี งคาใหมห่ รือคายากจากบัตรคา เพ่ือใหจ้ าคาไดแ้ มน่ ยาและอา่ นได้อย่าง
คลอ่ งแคล่ว
2) อ่านออกเสียงจากแบบฝึกอ่าน ซ่ึงจะเป็นแบบฝึกเก่ียวกับการอ่านมาตราตัวสะกด
คาควบกล้า อักษรนา ฯลฯ
3) อ่านออกเสียงจากบทอ่าน การอ่านไม่จาเป็นต้องอ่านทั้งเรื่อง อาจแบ่งตอนหรือ
ยอ่ หนา้ ก็ได้ ซึง่ มีข้ันตอนในการฝกึ อ่าน ดงั น้ี

\\//\\//แนวคดิ เกีย่ วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

44

3.1) อ่านออกเสยี งคายากหรือคาใหมจ่ ากบตั รคาหรอื ในบทเรยี นจนคล่อง
3.2) ครอู ่านออกเสยี งให้ผ้เู รียนฟังและสงั เกตการณแ์ บ่งวรรคตอน
3.3) ผู้เรียนแต่ละคนอ่านสารวจก่อน แล้วหากมีคาใดที่ไม่สามารถอ่านได้ให้ถาม
เพ่อื นหรือครู หรอื ใช้การสะกดคาชว่ ย จากนั้นใหฝ้ กึ การอ่านแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้อง
3.4) ผ้เู รียนฝกึ อา่ นกบั ครเู ปน็ รายบุคคล เปน็ แถว หรือเป็นกลุ่ม
3.5) ผเู้ รียนจับค่กู นั อ่านหรืออา่ นเป็นกลุ่ม
3.6) ผู้เรยี นฝึกอ่านตามลาพังจนคล่องและจาคาได้แมน่ ยา
3.7) หลังจากอ่านออกเสียงแล้วให้ผู้เรียนคัดข้อความที่ชอบลงสมุด ฝึกเขียนตามคา
บอก แตง่ ประโยค วาดภาพ แลว้ เขียนคาบรรยายประกอบภาพ และประเมินการอา่ นออกเสยี งร่วมกัน
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5 - 6
1) ครูให้ผู้เรียนอ่านสารวจบทอ่านก่อน เพื่อฝึกด้วยตนเอง และสารวจคายากท่ียังอ่าน
ไม่ได้ จากนั้นครูควรนาคายากมาใหผ้ ู้เรียนฝึกอ่านอกี คร้ังจนคล่อง
2) ครูสาธิตการอ่านให้ผู้เรียนฟัง ผู้เรียนดูหนังสือและสังเกตการอ่าน การเว้นวรรคตอน
การใชน้ ้าเสยี งในการอา่ น โดยครูตอ้ งสาธติ การอ่านกอ่ นประมาณ 1 ตอน หรือ 1 ยอ่ หน้า
3) ผู้เรยี นฝกึ อา่ นกับครู โดยอ่านเป็นแถว เป็นกลุ่ม หรอื อา่ นทลี ะคนสบับกันไป
4) ผู้เรียนฝกึ อา่ นกบั เพอื่ นและชว่ ยกนั แกไ้ ข
5) ผู้เรียนฝกึ อ่านตามลาพงั ด้วยตนเองจนคล่อง
6) หลงั การฝกึ อา่ นออกเสียงแล้ว ให้เลือกทากจิ กรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ดังนี้
6.1) ฝึกอ่านโดยกาหนดตัวละครให้อา่ นเชน่ เดียวกับการเลน่ ละครวิทยุ
6.2) ฝกึ อ่านแบบการอา่ นขา่ วหรอื อ่านบทความ
6.3) การเขยี น คดิ นาคามาแต่งประโยค
6.4) วาดภาพประกอบข้อความจากหนังสอื แล้วเขียนบรรยายภาพ

\\//\\//แนวคิดเกย่ี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

45

6.3 แนวทางการจดั การเรียนรทู้ ักษะการอ่านในใจ
การอ่านในใจให้อ่านเนื้อหาท่ีเป็นเน้ือเร่ืองของบทเรียน การสอนจะเน้นอ่านเพื่อความเข้าใจ

และให้สัมพันธ์กับการสอนฟัง พูด และเขียน ข้ันตอนการสอนอ่านในใจแต่ละระดับชั้น มีข้อมูลดังน้ี
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 - 2
1) การอ่านออกเสียงคาใหม่ในบทเรียน : ทบทวนคาเก่าให้คล้องและรู้ความหมาย

ของคาโดยให้อ่านจากบัตรคา คาใต้ภาพ อ่านคาใหม่จากบทเรียน อ่านชื่อเรื่อง อภิปรายและแสดง
ความคดิ เห็น

2) สร้างจุดมุ่งหมายในการอ่าน : ได้แก่ การอ่านเพ่ือหาคาตอบ หรือตอบคาถาม,
การอา่ นเพอ่ื หาข้อความสาคัญในเรื่อง, การอา่ นเพ่ือเล่าเร่อื ง, การอา่ นเพ่อื สรุปความ และการอา่ นเพื่อ
อภปิ รายข้อคิดเหน็

3) อา่ นในใจ : ใหอ้ า่ นแล้วทากิจกรรมตามจดุ มุ่งหมายในการอา่ นทีต่ ัง้ ไว้

4) เขียนตามจุดมุ่งหมายในการอ่าน : หลังจากให้ผู้เรียนได้ทากิจกรรมการอ่านในใจ
แลว้ ให้ผเู้ รียนเขยี นในลกั ษณะตา่ งๆ ตามจุดม่งุ หมายทต่ี ั้งไว้

5) ใหว้ าดภาพตามเร่อื งที่อ่าน : ในชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ใหว้ าดภาพตามเรอ่ื งที่อ่าน
แลว้ เขียนคาบรรยายภาพ

ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 - 4
1) เตรียมการอ่าน : ประกอบด้วย การสร้างพื้นฐานประสบการณ์การอ่าน และการ

ตงั้ จุดม่งุ หมายในการอา่ น ซึง่ มรี ายละเอียด ดังนี้

1.1) การสร้างพ้ืนฐานประสบการณ์การอ่าน ได้แก่ การดูภาพปละสนทนา
เก่ียวกับภาพ แลว้ อภปิ รายชอ่ื เรือ่ ง ความหมาย อา่ นคาใหม่ และการอภปิ รายความหมายของคายาก

1.2) การต้ังจุดมุ่งหมายในการอ่าน ได้แก่ การอ่านเพื่อหาคาตอบ การจัดลาดับ
เหตกุ ารณห์ ารายละเอียดของเร่อื ง จับใจความสาคญั สรุปความ หรอื ย่อความ วิเคราะหห์ าเหตแุ ละผล
เปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างของข้อมลู แยกความคิดเหน็ และข้อเทจ็ จริง และสามารถ
เขียนแผนภาพโครงเร่ืองไดต้ ามดุ มุ่งหมายของการอ่าน

2) อ่านในใจ : ประกอบด้วยการอ่านในใจตลอดทั้งเรื่องโดยการอ่านในใจนี้ไม่ควร
แยกอ่านเป็นตอนหรือแยกอ่านเป็นย่อหน้า และควรฝึกการอ่านเร็วร่วมด้วย นอกจากนี้เมื่ออ่านจบ

\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

46

แล้วต้องมีการตอบคาถามปากเปล่า เพ่ือเป็นการสร้างความเข้าใจในการอ่านด้วย เช่น เหตุการณ์ใน
เรื่องนี้เกิดข้ึนที่ไหน เมื่อใด ใครเก่ียวข้องกับเหตุการณ์น้ันบ้าง, ใครเป็นคนสาคัญท่ีสุดที่ทาให้เกิด
เหตุการณ์น้ัน, อะไรเป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้เกิดเหตุการณ์, เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนก่อให้เกิดผลอะไรบา้ ง
หรอื นกั เรยี นได้ข้อคดิ อะไรจากการอา่ นเร่ืองนบ้ี ้าง เป็นต้น

3) การอภิปรายโครงเร่ืองตามแผนภาพโครงเร่ือง : แผนภาพโครงเรื่องเป็นกจิ กรรมท่ี
ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทอ่านได้อย่างถูกต้องและเกิดความแม่นยาในการเรียนรู้ สามารถรวบรวม
ความคิดและข้อมูลจากการอ่านเข้าเป็นหมวดหมู่ ทาให้เห็นโครงสร้างของความคิดหรือโครงสร้าง
ความรู้จากบทอา่ นน้นั อย่างชดั เจน โดยวิธกี ารรวมแผนภาพโครงเร่อื ง มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

3.1) ครูผู้สอนแจกแผนภาพโครงเรื่องหรือเขียนแผนภาพโครงเรื่องบนกระดาน
ดาแลว้ ให้ผเู้ รียนอ่านบทอ่าน

3.2) ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายโครงเร่ือง (Story Structure) ตามแผนภาพ
โครงเรื่อง หรือแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้ร่วมกันอภิปรายเน้ือเร่ืองตามแผนภาพโครงเรื่อง หรือแบ่งกลุ่ม
ผเู้ รียนให้ร่วมกันอภิปรายเน้อื เรื่องตามแผนภาพโครงเรอื่ ง

3.3) ครูเขียนข้อความในแผนภาพโครงเรื่องบนกระดานดาหรือให้ผู้เรียนเขียน
ข้อความลงในแผนภาพโครงเร่ืองที่แจกให้ แล้วทบทวนข้อความในแผนภาพโครงเรื่องกับบทอ่าน
อีกคร้งั และปรบั ใหส้ มบูรณ์

3.4) ผู้เรียนเล่าเร่ืองตามแผนภาพโครงเร่ืองโดยใช้ภาษาของตนเอง และ
การเลียนแบบถ้อยคาภาจากบทอ่านประกอบ อาจให้นักเรียนช่วยกันเล่าเร่ืองทีละคน หรือทีละตอน
จนลาดบั เร่ืองได้ครบถว้ น

3.5) ผู้เรียนเขียนเรื่องตามแผนภาพโครงเรื่องด้วยถ้อยคาของตนเอง อาจใช้
ถอ้ ยคา สานวนในหนังสอื ประกอบการเขียนด้วยก็ดี

3.6) ผู้เรียนตอบคาถามจากเร่อื งท่ีอ่านโดยฝกึ ให้เขียนตอบแบบบรรยายมากกว่า
ใหเ้ ติมคาหรอื ตอบคาถามแบปรนยั

ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5 - 6
1) เตรียมการอ่าน : การเตรียมการอ่านเป็นขั้นตอนท่ีสาคัญ ใช้เวลาประมาณ 20

นาที ในการจัดกิจกรรม ดังน้ี

\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

47

1.1) สร้างประสบการณพ์ ืน้ ฐาน อาจทาอย่างใดอย่างหนงึ่ ดงั น้ี

- สนทนาเกี่ยวกบั ชอ่ื เร่อื งและแนวคิดของเรื่อง

- ดภู าพในหนงั สือแลว้ สนทนาเกยี่ วกับภาพ

- เล่าเรือ่ งที่อ่านพอสงั เขป

- อ่านบทนาเรอ่ื ง (ถ้าม)ี เพื่อให้รู้เร่ืองอย่างคร่าวๆ

- อ่านข้อความบางตอนท่ีสาคัญ แล้วอภิปรายเพอื่ ใหไ้ ดค้ วามคดิ พ้ืนฐาน

- นาคาสาคัญของเรื่องมาสนทนาว่าผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับคาสาคัญน้ัน
หรอื ไม่

- ทดสอบเก่ียวกับคาศพั ท์

- นาคาสาคัญเก่ียวกบั เรอื่ งมาทาแผนภาพเครือข่ายความหมาย (Semantic

Mapping)

- ระดมความคดิ (Brainstorming) เก่ียวกบั ความรเู้ ดมิ ในเร่ืองทจี่ ะอ่าน

- อา่ นคายากในบทเรียน ครพู ิจารณาดูว่าคาใดบ้างที่เปน็ คายาก ความหมาย
ยาก หรือช่ือตัวละครที่เป็นคายาก ครูผู้สอนควรนาคาเหลา่ น้ันมาจดั ทาเป็นใบงานหรือบตั รคาสาหรบั
ให้ผู้เรยี นฝกึ อ่าน

- ต้ังจุดประสงค์การอ่านและบอกแนวทางการเรียน ซ่ึงครูควรบอก
จุดประสงค์และแนวทางการเรียนเพื่อผู้เรียนจะได้ทราบกิจกรรมและสามารถทากิจกรรมได้อย่างมี
จดุ มงุ่ หมาย

2) การอา่ นในใจ ประกอบด้วยขน้ั ตอนของการอา่ นเพื่อสรา้ งความเข้าใจ ดังน้ี
2.1) อ่านสารวจและต้ังคาถาม : โดยอ่านบทเรยี นอยา่ งคร่าวๆ ใชท้ กั ษะการอา่ นข้าม

และการกวาดสายตาเฉพาะตอนท่ีสาคัญ (Scanning) เป็นการอ่านเร็วๆ แล้วต้ังคาถาม ครูเขียนคาถาม
บนกระดาน

\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

48

2.2) อ่านพินิจพิเคราะห์และตอบคาถาม : ผู้เรียนจะอ่านบทเรียนอีกคร้ังอย่างพินิจ
เพ่ือหาคาตอบ จับประเด็นสาคัญ หารายละเอียดของเรื่อง หาเหตุและผลของเหตุการณ์ ลาดับ
เหตกุ ารณ์ตอบคาถามปากเปลา่ แลว้ อภปิ รายตอนใดตอนหนง่ึ ทส่ี าคญั

2.3) ตอบคาถามและทบทวน : ผู้เรียนตอบคาถามลงสมุดและทบทวนตรวจสอบ
คาตอบจากบทเรียนแลว้ แกไ้ ขคาตอบให้ถูกต้อง

3) การทาแผนภาพโครงเรื่อง เป็นกิจกรรมหลังการอ่านในใจ เพ่ือสร้างความเข้าใจ ใน
การอา่ นและนาไปสู่การพูด การฟงั และการเขยี น ซึ่งมขี ้นั ตอนการสอน ดงั น้ี

3.1) ผ้เู รยี นอา่ นบทเรยี นซ้าอีกคร้งั หนึ่ง
3.2) ครูเขียนแผนภาพโครงเรื่องบนกระดานดา หรือแจกใบงาน แล้วอภิปราย
รว่ มกันเพอื่ บอกแนวทางการเขียนแผนภาพโครงเรื่อง
3.3) แบ่งกลมุ่ ผู้เรยี นเขยี นแผนภาพโครงเร่ือง
3.4) ครูกับผู้เรียนช่วยกันเขียนแผนภาพโครงเรื่องบนกระดานดาอีกครั้งหนึ่ง
เปน็ แผนภาพโครงเร่อื งท่ีสมบูรณ์
3.5) ให้ผู้เรียนคนใดคนหนึ่งเล่าเรื่องตามแผนภาพโครงเร่ืองหรือให้เล่าเรื่อง
คนละตอน
3.6) ผเู้ รยี นเขยี นเรื่องตามแผนภาพโครงเร่อื ง
3.7) ผู้เรียนตรวจสอบกับหนังสือเรียนแล้วปรับแก้ไขท้ังตัวสะกด การันต์ และ
สานวนโวหาร
6.4 แนวทางการจัดการเรียนรทู้ กั ษะการอา่ นจบั ใจความสาคญั
1) ต้งั จุดมงุ่ หมายในการอ่านได้ชัดเจน เชน่ อ่านเพอื่ ความรู้ เพอ่ื ความเพลดิ เพลิน หรอื เพื่อ
บอกเจตนาของผู้ขียน เพราะจะเปน็ แนวทางให้กาหนดการอา่ นไดอ้ ย่างเหมาะสม และจบั ใจความหรือ
หาคาตอบไดร้ วดเรว็ ย่ิงขึ้น
2) สารวจส่วนประกอบของหนังสืออย่างคร่าวๆ เช่น ชอื่ เร่อื ง คานา สารบัญ คาช้ีแจง การใช้
หนังสือ ภาคผนวก ฯลฯ เพราะส่วนประกอบของหนังสือจะทาให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ืองหรือ
หนงั สือทอ่ี ่านไดก้ วา้ งขวางและรวดเร็ว

\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

49

3) ทาความเข้าใจลักษณะของหนังสือว่าเป็นหนังสือประเภทใด เช่น สารคดี ตารา บทความ
หรอื บนั เทิงคดี เปน็ ตน้ เพือ่ ชว่ ยใหม้ ีแนวทางในการอา่ นจับใจความสาคญั ได้งา่ ย

4) ใช้ความสามารถทางภาษาในด้านการแปลความหมายของคา ประโยคและข้อความต่างๆ
อยา่ งถูกต้อง รวดเรว็

5) ใชป้ ระสบการณห์ รือภูมิหลังเกยี่ วกับเร่ืองท่ีอ่านมาประกอบ จะทาให้เขา้ ใจและจับใจความ
ทอ่ี ่านไดง้ ่ายและรวดเร็วขึ้น

6) ขณะจัดการเรยี นร้คู วรลาดับขนั้ ตอนการสอน ดังนี้
1) สารวจเนื้อหา : อา่ นผา่ นๆ โดยตลอด เพ่อใหร้ ูว้ า่ เร่ืองท่ีอ่านเป็นเรื่องเกย่ี วกบั อะไร

จดุ ใดเปน็ จดุ สาคัญของเรอื่ ง
2) วิเคราะห์การอ่าน : อ่านให้ละเอียดเพ่ือทาความเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ควรหยุด

อา่ นระหวา่ งเร่ือง เพราะจะทาให้ความเข้าใจไม่ติดต่อกนั
3) ทบทวนความเข้าใจ : อ่านซ้าตอนท่ีไม่เข้าใจ และตรวจสอบความเข้าใจบางตอน

ใหแ้ น่นอนถกู ต้อง

7. แนวทางการสอนทกั ษะการเขียนสาหรับผเู้ รียนภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา
การเขียนเป็นทักษะหนึ่งของการสื่อสารประเภทการส่งสาร เพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้สิ่งต่างๆ ที่

ผู้เขียนต้องการ การเขียนเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมท่ีสาคัญอย่างยิ่ง เพราะ
การเขียนเป็นหลักฐานท่ีจะช่วยให้คนรุ่นหลังๆ ได้ทราบความเป็นมาของอดีตตลอดจนถึงปัจจุบัน ทา
ให้วัฒนธรรม ประเพณี ความรู้ ความทรงจา และหลายส่ิงหลายอย่างไม่สูญหายไป การเขียนเป็น
เคร่ืองมืออย่างหน่ึงท่ีช่วยทาให้โลกเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดย้ังและนอกจากน้ีการเขียนยังมี
ความสมั พันธ์อย่างใกล้ชิดกับทักษะการฟงั การพูด และการอา่ น เพราะทักษะทงั้ 3 อย่างดงั กล่าวช่วย
ใหท้ ักษะการเขียนดยี ่ิงข้ึน ในทานองเดียวกันการเขยี นเองก็ชว่ ยให้ทักษะการฟัง การพูด และการอ่าน
ดขี น้ึ ดว้ ยเช่นกัน

\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

50

7.1 หลักการสอนทักษะการเขียน
การเขียนเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ อารมณ์ เร่ืองราวต่างๆ ให้ผู้อ่ืนได้

เข้าใจ ให้คนจานวนมากได้อ่าน ในการเขียนต้องการให้ผู้เรียนมีอิสระในการแสดงออกด้านความคิด
เปน็ การเปิดดวงใจของตนเองใหผ้ ้อู น่ื ไดท้ ราบ ดงั น้นั ครผู สู้ อนจึงควรคานึงถึงหลกั การสอนเขยี น ดงั นี้

1) ด้านตัวผู้เรียน : ความรู้เก่ียวกับพ้ืนฐานของตัวผู้เรียนจะช่วยให้ครูผู้สอนวางแผนการสอน
ไดด้ ีข้ึน ครผู ูส้ อนควรทราบเก่ยี วกับตวั ผเู้ รยี น ดังน้ี

1.1) ความพร้อมของผเู้ รียน : ในการเขียนนั้นจะต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหวา่ งกล้ามเน้ือ
มือ ตา และความคิด ครูจาเป็นต้องทราบว่าผู้เรียนมีวามพร้อมเพียงเท่าใด และจะหาวิธีพัฒนาความ
พรอ้ มอยา่ งไร

1.2) ความสามารถในการรับรู้และการถ่ายทอดของผู้เรียน : ผู้เรียนแต่ละคนน้ันจะมี
ความสามารถในการรับรแู้ ละการถา่ ยทอดใหผ้ ู้อนื่ เขา้ ใจแตกต่างกัน บางคนสามารถรับรูไ้ ดเ้ รว็ บางคน
ช้า บางคนมีความรู้ความสามารถแต่ไม่สามารถเขียนแสดงความรู้ให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ ครูจึงจาเป็นต้นรู้
และเขา้ ใจความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไข หรอื ส่งเสรมิ ทักษะการเขียนให้
เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคนได้

1.3) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เรียน : การเขียนเป็นทักษะเกี่ยวกับการนาความรู้ที่ได้
จากการฟังและอ่านมาผสมผสานเรยี งลาดบั เป็นความคิดใหม่ และเขียนแสดงความคดิ เหลา่ นั้นออกมา
ให้ผู้อ่นื เขา้ ใจ ผเู้ รียนทมี่ คี วามคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ดจี ะสามารถเขียนไดด้ ี ในการเขยี นผู้เรียนจะสามารถ
ใช้ความคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรคเ์ ป็นอย่างมาก เพราะภาษามคี วามสมั พันธก์ ับความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ และ
ตามธรรมชาติผู้เรียนก็จะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยต่างกันตามโอกาสที่
ได้รับการฝึกฝนมา ดังนั้นครู้สอนจึงควรส่งเสริมความคิดริเริม่ สร้างสรรค์ด้วยกลวิธตี ่างๆ ให้แก่ผู้เรียน
ทุกคนเพอื่ ทักษะในการเขียนจะได้ดีขน้ึ ตามไปดว้ ย

1.4) ความสนใจและความศรัทธาในตัวผู้เรียน : การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ยั่วยุ
ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและต้องการที่จะเขียนแสดงออก จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้
แสดงความคิดเห็นหรือจินตนาการด้วยความเต็มใจ โดยกิจกรรมน้ัน ไม่ควรยากเกินไปและรู้ ผล
ในการกระทากิจกรรมนั้นทันที จะทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและศรัทธาต่องานเขียนของเขาและ
จะช่วยพฒั นาทักษะการเขียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

51

2) ดา้ นตัวผสู้ อน : ผเู้ รียนจะสามารถพัฒนาทักษะการเขียนได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบทบาท
ของครผู สู้ อนเป็นสาคัญ ดงั นน้ั ครูจงึ ควรคานงึ ถึงสิ่งต่อไปน้ี

2.1) ความรู้ตามหลักภาษาไทย : ครูควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักภาษาไทย
ทกุ เร่อื ง เพ่อื ที่จะได้นาไปสอนผู้เรียนไดถ้ ูกต้อง

2.2) ความรู้เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการเขียน : การเขียนแต่ละประเภทมีจุดมุ่งหมายท่ี
แตกต่างกัน ครูจาเป็นต้องเขา้ ใจจุดมุ่งหมายหรือแนวคิดของการเขียนแต่ละประเภท เพือ่ จะไดป้ ลูกฝัง
แนวคิดแกผ่ เู้ รยี นได้ถกู ตอ้ ง

2.3) เจตคติของครู : เจตคตขิ องครูที่มีต่อทักษะการเขียน ความรู้สกึ ความคดิ ความสนใจ
และการมองเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของการเขียนที่แสดงออกในขณะสอน จะทาให้ผู้เรียน
มีความรู้สึกหรือเกิดเจตคติท่ีดีต่อการเขียนตามครูไปด้วย ทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและศรัทธาที่
จะเขยี นเพิ่มขึ้น

3. ด้านวิธีสอนของครู : วิธีการสอนของครูเป็นสิ่งสาคัญที่สุดของการพัฒนาทักษะการเขียน
ให้แก่ผู้เรียน เพราะวิธีการสอนเป็นวิธีฝึกฝนทักษะการเขียนโดยตรง การจัดกิจกรรมจึงควรคานึงถึง
ส่งิ ต่อไปนี้

3.1) การวางแผนการสอน : ครูจะต้องวางแผนการสอนในแต่ละระดับชั้นหรือแต่ละ
บทเรียน โดยคานึงถึงจุดมุ่งหมาย เน้ือหาสาระสาคัญ วุฒิภาวะของผู้เรียน ส่ือการเรียนการสอน และ
การประเมนิ ผล

3.2) การเตรียมความพร้อมสาหรับบทเรียนใหม่ : ครูควรนาประสบการณ์เดิมมาเป็น
พนื้ ฐาน เพ่อื ถา่ ยโยงให้เกิดความรู้ใหม่ ตลอดจนสามารถเรียนรู้บทเรียนใหม่ได้มีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น

3.3) การสอนให้เข้าใจความหลายของคาและประโยค : โดยการใช้ส่ือต่างๆ หรือสร้าง
สถานการณเ์ พื่อใหผ้ เู้ รียนเกดิ แนวคิดและเขา้ ใจความหมายดว้ ยตนเอง

3.4) กาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนให้ชัดเจน : ครูควรเขียนจุดมุ่งหมายของการเรียนแต่
ละครั้งให้ชัดเจนและควรใหผ้ ู้เรียนทราบดว้ ย เพ่ือจะช่วยให้ผเู้ รียนรู้แนวทางและกิจกรรมจะได้ดาเนิน
ไปอย่างราบร่ืนและมปี ระสิทธิภาพ

3.5) วิธกี ารฝึกทักษะการเขียน : ผู้เรยี นจะมีทักษะการเขียนได้จาเปน็ ต้องมีการฝึกฝนการ
เขียนอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ือง โดยฝึกจากสิ่งที่ง่ายๆ ใกล้ตัวผู้เรียนก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มความยาก

\\//\\//แนวคดิ เก่ียวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

52

ขึ้นทีละน้อย ตามระดับวุฒิภาวะและศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน และกิจกรรมที่ฝึกเขียนควรเป็น
เรอ่ื งที่ผู้เรียนเคยมีประสบการณม์ าก่อนจะทาใหเ้ ขยี นไดด้ ขี ึ้น

3.6) การสร้างบรรยากาศในห้องเรียน : ผู้เรียนจะเขียนได้ดีต้องอาศัยบรรยากาศท่ีทาให้
รู้สึกสบายใจ อบอุ่น มีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนและครู ดังน้ัน
ครผู สู้ อนควรสรา้ งบรรยากาศในห้องเรียนทีเ่ ออ้ื อานวยตอ่ การพฒั นาทกั ษะการเขียน

3.7) การใช้สิ่งเร้าและแรงบันดาลใจ : ครูควรจัดสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ให้ผู้เรียน
ประทบั ใจ ไมบ่ บี บังคับผ้เู รยี นให้เขยี นดว้ ยกรณตี า่ งๆ สิง่ เร้าตา่ งๆ เชน่ ส่ือคาพดู หรือเหตุการณจ์ ะช่วย
เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนเขียนได้ดีข้ึน ตัวอย่างเช่น ครูนาภาพมาให้ผู้เรียนดูแล้วเขียนบรรยาย
ความรู้สกึ ท่มี ตี อ่ ภาพนนั้ ผูเ้ รียนจะเขียนได้ดกี ว่าที่จะให้ผเู้ รยี นนกึ ข้ึนมาเอง

3.8) การให้ผู้เรียนภูมิใจในผลงาน : การเสริมแรงด้วยวิธีการต่างๆ เป็นสิ่งท่ีจาเป็นเพ่ือ
ให้ผู้เรียนได้มีกาลังใจในการฝึกทักษะการเขียน โดยการนาผลงานของผู้เรียนท่ีดีแสดงให้เพื่อนชม
หรืออ่านให้เพ่ือนฟัง หรืออาจจัดประกวดผลงานการเขียนเพ่ือเป็นการเร้าความสนใจผู้เรียน
ใหอ้ ยากเขียนมากขน้ึ

3.9) การส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ : การที่ผู้เรียนจะเขียนได้ดีข้ึน
จาเป็นต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เช่น ให้ศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุด การพาไปชมนิทรรศการ
การศกึ ษานอกสถานที่ ฯลฯ

3.10) การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร : กิจกรรมเสริมหลักสูตรจะช่วยพัฒนาทักษะการ
เขียนให้กับผู้เรียนมากข้ึน เช่น การจัดประกวดเขียนคาขวัญ โฆษณา เรียงความ เขียนบรรยายภาพ
ฯลฯ โดยอาจใหเ้ ขยี นเนื้อหาทสี่ มั พันธก์ ับกลุ่มประสบการณ์อื่นๆ

3.11) การประเมินผลและติดตามผล : การประเมินผลและติดตามผลเป็นส่ิงจาเป็นใน
การพัฒนาทักษะการเขียน เพื่อดูความก้าวหน้าและแก้ไขปรับปรุงทักษะการเขียนให้พัฒนาสูงขึ้น
ตามศักยภาพและวุฒิภาวะของผู้เรียน เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งใจเรียนมากย่ิงข้ึน และการติดตาม
ผลนีค้ รูควรทาอย่างสม่าเสมอ

7.2 การฝึกทกั ษะพนื้ ฐานในการเขียนสาหรับผเู้ รยี นระดับประถมศกึ ษา
1) ฝึกสายตา : ให้สังเกตความเหมือน ความตา่ ง การขาด การเกิน ความเล็ก ความใหญ่ ฯลฯ

ของส่ิงตา่ งๆ

\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

53

2) ฝึกบังคับกล้ามเน้ืออย่างอิสระ : โดยให้วาด ปั้น ลากเส้น ฉีก ตัด ปะติด ฯลฯ เพ่ือช่วยฝึก
กลา้ มเนอ้ื ตาให้ทางานสัมพนั ธก์ ับกลา้ มเน้ือมือ

3) ฝึกบังคับกล้ามเน้ือตากับมือในการเขียนตัวหนังสือ โดยการลากเส้นพื้นฐาน เพ่ือนาไปสู่
การเขียนสระและพยญั ชนะต่อไป

4) วางท่าทางในการน่ังเขียน การจับดินสอ การวางสมุด มือ และเคลื่อนไหวมือในการเขียน
ได้ถูกต้องถกู วิธี

5) ฝึกเขียนพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ให้ถูกต้องตามตาแหน่ง ตวั หนังสือมีหวั และมีขนาด
เสมอกัน

6) เขยี นเว้นชอ่ งไฟให้พองามและรกั ษาระดับบรรทัดในการเขยี น
7) เขยี นดว้ ยลายมือท่ีอา่ นง่ายเป็ฯระเบียบและสวยงาม
8) เขียนให้ถกู ต้องตามหลักเกณฑท์ างภาษา
9) ฝึกเขียนจากคาที่ง่ายไปหาคายาก และเร่ิมเขียนจากคาไปหาประโยค แล้วจึงฝึกเขียนเป็น
ข้อความท่ียาวขึ้นหรอื เป็นเรอ่ื ง
10) ฝึกการเขียนจดบันทึกเร่ืองราวต่างๆ หรือความรู้อยู่เสมอ เพื่อเพ่ิมพูนทักษะและความ
เข้าใจในการเขียน
11) ฝกึ ใหผ้ ู้เรียนไดพฒั นาความคดิ ในการเขยี นและมีความเชื่อมั่นในตนเอง
12) ฝึกทกั ษะการเขียนประเภทตา่ งๆ และฝกึ การนาหลกั การเขียนไปใชป้ ระโยชน์
7.3 แนวทางการจดั กิจกรรมการสอนทักษะการเขียน
การเขียนนั้นมีหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทจะมีวิธีการเขียนที่แตกต่างกันเน่ืองจาก
มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างกัน ดังน้ันจึงขอเสนอวิธีการจดั กิจกรรมการสอนทักษะการเขียนท่ีสาคญั
สาหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งได้แก่ การคัดลายมือ การเขียนเรียงความ และการเขียน
ย่อความ โดยสงั เขป ดงั ตอ่ ไปนี้
1) แนวทางการจัดกจิ กรรมการสอนคัดลายมอื

1.1) แนวทางการจดั การเรยี นรู้

\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

54

1. ครูกาหนดให้นักเรียนคัดลายมือทุกวัน : กาหนดคาหรือข้อความให้นักเรียน
คัดเป็นสัปดาห์ กาหนดคาหรือข้อความให้คัดทุกวัน นักเรียนจะคัดลายมือเวลาใดก็ได้แต่ต้องมี
งานสง่ ทกุ วนั

2. ครูควรให้ผูเ้ รียนจัดทาสมุดคาศัพท์หรือสมดุ ประโยคสามัญหรือประโยคซ้อน
3. จดั ทาสมุดภาพและเขียนคาบรรยายภาพ
4. จดั ทาสมดุ คาขวญั คติพจน์
5. จัดทาสมุดคาศพั ท์ที่นกั เรียนเขยี นผดิ บอ่ ย
6. จัดทารายการอาหารและเขยี นภาพอาหาร
7. จัดทารายชอื่ สถานทท่ี อ่ งเท่ียวในจงั หวดั และเขียนแนะนาสถานที่ท่องเท่ียว
8. จดั ทาหนังสือแนะนาหนงั สือดีควรอ่าน
9. ฝึกการคัดลายมอื และจัดประกวดการคดั ลายมอื
1.2) แนวทางการวัดประเมินผล
การวัดและประเมินผลการคัดลายมือ ครูอาจให้นักเรียนคัดจ้อความท่ีกาหนด
ให้ภายในเวลาที่กาหนด ครูสามารถสังเกตท่าทางการคัดของนักเรียนว่าถูกต้องหรือไม่ เช่น วางสมุด
ขนานกับโต๊ะ แขนทั้งสองวางบนโต๊ะ หน้าตั้งตรง ห่างจากสมุดประมาณ 30 เซ็นติเมตร จับดินสอ
ด้วยนิ้วช้แี ละนว้ิ หวั แมม่ ือ เทา้ ทงั้ สองข้างราบกบั พื้น เปน็ ตน้ และตรวจผลงานของนกั เรียนโดยมีเกณฑ์
การให้คะแนน เช่น การเขียนตัวอักษรถูกต้อง การวางวรรณยุกต์ถูกที่ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
และความสะอาด เปน็ ต้น
2) แนวทางการจดั กิจกรรมการสอนเขียนเรยี งความ
2.1) ควรฝึกให้ผู้เรียนเขียนแบบสร้างสรรค์ก่อนให้เขียนเรียงความ ซ่ึงการเขียนแบบ
สร้างสรรค์น้ันจะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักคิด มีความม่ันใจ และกล้าในการแสดงออก มีความแคล่วคล่อง
ว่องไว มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักเช่ือโยงสิ่งต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน รู้จักเปรียบเทียบว่าส่ิงใด
เหมือนกัน หรือแตกต่างกัน รู้จักพิจารณาในส่ิงต่างๆ รู้จักเหตุผล ฯลฯ ซ่ึงส่ิงต่างๆ เหล่านี้จะเป็น
พืน้ ฐานท่ดี ขี องการเขยี นเรยี งความ

\\//\\//แนวคดิ เก่ยี วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

55

2.2) การสอนเยนเร่ืองหรือเรียงความควรมีส่ิงเร้ามาให้จะช่วยให้นึกคิดถึงส่ิงท่ีจะเขียนได้
ง่ายขึ้น ส่ิงเรา้ เชน่ รูปภาพ ของจริง เหตกุ ารณ์ เสียง ฯลฯ

2.3) เร่ืองที่จะให้ผู้เรียนเขียนควรตรงกับความสนใจ ความต้องการ ความพร้อมทาง
อารมณ์ สตปิ ญั ญา และเหมาะสมกบั ระดบั วฒุ ภิ าวะของผู้เรยี น

2.4) ก่อนทจี่ ะให้ผเู้ รียนเยนเรยี งความนน้ั ควรใหฝ้ ึกพดู เล่าเร่ืองราวตา่ งๆ ก่อน โดยอาจจะ
ใหพ้ ูดกนั เป็นกลุ่มก้อนแลว้ จงึ ค่อยพูดเปน็ รายบคุ คล

2.5) การจัดกิจกรรมการสอนเขียนเรียงความควรให้สอดคล้องกับประสบการณ์และ
สภาพแวดลอ้ มความเป็นอยู่ของผเู้ รยี นดว้ ย

2.6) ควรสร้างศรัทธาในงานเขียนโดยให้ผู้เรียนเข้าใจจุดมุ่งหมาย มองเห็นความมสาคัญ
ของงานเขยี น เพื่อใหเ้ กิดความภาคภูมิใจในงานเขยี นของตนเอง

2.7) ครูควรสร้างบรรยากาศในการเขียนให้ผู้เรียนเกิดความอยากเขียน เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนแสดงออกซ่ึงความคิดเห็นและจินตนาการอย่างอิสระเสรี กระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าที่จะแสดงออก
มคี วามเป็นกนั เองท้ังระหว่างครูกับผู้เรยี น ระหว่างผูเ้ รียนกับผเู้ รียนด้วยกนั เอง หรอื ระหวา่ งผเู้ รียนกับ
สอื่ การสอนท่นี ามาประกอบด้วยกจ็ ะทาให้บรรยากาศดยี ่ิงขึน้

2.8) การเขียนแต่ละครั้งควรตั้งความมุ่งหมายเพื่อฝึกทักษะทีละอย่าง เช่น ฝึกการเขียน
เร่ือง ฝึกความเป็นเอกภาพของเรื่อง ฝึกความมีสัมพันธภาพของเร่ือง ฝึกการเลือกใช้สานวนโวหาร
ฝกึ การเขยี นรูปแบบต่างๆ ฯลฯ และครคู วรเน้นให้ผเู้ รยี นเข้าใจลกั ษณะสาคัญของส่งิ เหล่านั้นดว้ ย

2.9) ครคู วรอธบิ ายให้ผ้เู รียนเข้าใจองค์ประกอบของเรยี งความในเรื่องต่อไปนี้
1) เน้ือเรอื่ ง มีความถูกต้อง ชดั เจน มเี อกภาพ สอดคล้องกับช่อื เรอ่ื ง และเขยี นแสดง

ใหเ้ หน็ จดุ สาคัญที่เน้นไว้อยา่ งชดั เจน
2) การใชภ้ าษาควรใชถ้ อ้ ยคา สานวน ให้ถกู ตอ้ ง เหมาะสม กบั บคุ คล และสถานท่ี
3) รูปแบบมีองคป์ ระกอบครบ กล่าวคือ มบี ทนา เน้อื เรื่อง และบทสรปุ
4) ส่วนอื่นๆ ท่ีประกอบการเขียน ได้แก่ ลายมืออ่านง่าย การเว้นวรรคตอนดี

การสะกดการันตถ์ กู ตอ้ ง และมีความสะอาดเรียบรอ้ ย

\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

56

2.10) การตรวจแก้ไขงานของผู้เขียน ควรกระทาด้วยความระมัดระวัง ควรใช้การชม
มากกว่าการติ เพราะจะเป็ฯแรงเสริมที่ช่วยให้ผู้เรียนอยากเรียนมากขึ้น มีกาลังใจในการเขียนและ
ควรคานงึ ถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลทีม่ ีความสามารถต่างกนั ด้วย

2.11) การสอนเขียนเรียงความควรเร่ิมต้นจากการเรียบเรียงคาพูดเป็นวลีและประโยค
แล้วปรับเป็นภาษาเขียนให้ถูกต้อง ฝึกเขียนเป็นเรื่องราว เขียนจากความรู้สึกนึกคิดหรือจินตนาการ
ของตนเองตามลาดับ โดยการสอนเขียนเรียงความครูผู้สอนอาจเลือกใช้วิธีการสอนได้
ตามความเหมาะสม ดังนี้

1. ฝึกเรียงคาให้เป็นประโยค โดยให้คาต่างๆ ท่ีเรียนรู้แล้วมาเรียงเป็นประโยค

ที่ถูกตอ้ ง

2. ฝึกแตง่ ประโยคต่างๆ เชน่ ประโยคบอกเลา่ ประโยคคาถาม ประโยคปฏเิ สธ ฯลฯ
หรืออาจกาหนดคาให้มาแล้วนาคาเหล่านี้ไปปแต่งประโยคให้ได้ใจความ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ
แต่งประโยคไดร้ วดเร็วและถูกตอ้ งดว้ ย

3. เรียงประโยคตามลาดับเร่ืองราวท่ีควรจะเป็น โดยอาจเริ่มต้นด้วยการต้ังคาถาม
ตามลาดับเร่ืองราวท่ีจะให้เขียน แล้วให้ผู้เรียนนาคาตอบมาเรียบเรียงต่อกันให้ได้ความสมบูรณ์
ต่อเนื่องกัน และในการเขียนน้ันควรเร่ิมเขียนเรื่องสั้นๆ ให้จบภายในย่อหน้าเดียวก่อน แล้วค่อยๆ
เขยี นเรือ่ งให้ยาวขึน้ ตามวามสามารถ

4. สนทนาหรือเล่าเรื่องเก่ียวกับประสบการณ์ เช่น กิจวัตรประจาวัน การเลี้ยงสัตว์
อาหารท่ีชอบ งานอดิเรก หนังสือที่ชอบอ่าน ดนตรีที่ชอบฟัง การไปทท่องเที่ยวในวันหยุด ฯลฯ แล้ว
นาเรอื่ งราวมาเขียนเปน็ เรยี งความ

5. เขยี นเรยี งความแบบเล่าเรื่องหรือเล่านทิ าน อาจทาได้ ดงั น้ี
5.1 ครูกาหนดให้ผู้เรียนไปอ่านเรื่องหรือนิทานแล้วมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เมื่อเล่า

จบกช็ ่วยกันสรปุ แกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง

5.2 ครูอ่านเร่ืองหรือเล่านิทานให้ฟังแล้วให้ผู้เรียนเล่าซ้าตามท่ีครูเล่า โดยไม่
กวดขันเรื่องปลีกย่อยท่ีไม่สาคัญ แต่เน้นให้จาเร่ืองและสานวนภาษาท่ีใช้ ในการเครูอาจมีภาพมาให้
ผเู้ รียนดู เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสนใจและสามารถจาเรอ่ื งราวไดด้ ีย่ิงขึ้น

\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

57

6. ให้เขียนเรียงความจากภาพ ครูนาภาพมาให้ผู้เรียนดู ซึ่งอาจจะเป็นภาพน่ิงท่ี
ไม่ต่อเน่ือง เช่น ภาพดอกไม้ ภาพสวนสัตว์ ภาพทิวทัศน์ ภาพชุมชนในเมือง และชุมชนในชนบท
ภาพชายทะเล เพียง 1 ภาพ หรืออาจเป็นภาพน่ิงที่ต่อเนื่องกันหลายภาพ เช่น ภาพการ์ตูนท่ีต่อกัน
เป็นเร่ือง เพื่อให้ผู้เรียนเขียนเรื่องราวจากภาพและเกิดจินตนาการในการเขียนเรื่องน้ันๆ นอกจากนี้
ครูยังอาจให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถท่ียากยิ่งข้ึนได้ เช่น ให้ภาพ 4 ภาพ ท่ีไม่สัมพันธ์กันเลย
แล้วให้ผู้เรียนเขียนเรียงความ 1 เรื่อง โดยให้มีคาท่ีแสดงชื่อส่ิงของท้ัง 4 ภาพ ให้ครบถ้วน แต่จะเป็น
ช่ือภาพใดก่อนก็ได้ การเขยี นเช่นนผี้ ้เู รียนจะได้แสดงความสามารถในหลายๆ ดา้ น เช่น ความสามารถ
ในการใช้คา ความคิดในการเช่ือมโยงสัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
การผูกเรอื่ ง และปฏพิ านไหวพริบ

7. เขยี นเรยี งความโดยการตอ่ เรอ่ื งให้จบ ซง่ึ มวี ธิ ีการ ดงั น้ี

7.1 ครเู ลา่ เร่อื งไวเ้ พยี งตอนหนึ่งแลว้ ใหผ้ ้เู รยี นจินตนาการเล่าตอ่ จนจบ

7.2 ครเู ขียนเร่ืองบนกระดานดาบางส่วน เว้นบางสว่ น แลว้ ให้ผูเ้ รยี นไปเขียนเติม
ให้จบเรอื่ งและได้ใจความ

7.3 ให้ผู้เรียนผลัดกันเล่าเรื่องส้ันๆ คนละเร่ือง เม่ือจบแล้วให้ผู้เรียนช่วยกัน
ปรบั ปรงุ เรอื่ งและสานวนภาษาแล้วเขียนลงสมุด

7.4 ให้ผู้เรียนเล่าเร่ืองต่อกัน โดยครูกาหนดช่ือเร่ืองหรือผู้เรียนช่วยกันกาหนด
ช่ือเรื่องเองก็ได้ แล้วผู้เรียนคนหนึ่งเป็นผู้เริ่มเร่ือง ให้พูดประมาณ 1 ประโยค แล้วคนต่อไปพูดต่อกัน
ไปเร่ือยๆ แต่ต้องเป็นเร่ืองราวเดียวกัน และคนสุดท้ายพูดจบเร่ืองพอดี เม่ือเสร็จแล้วให้ทุกคนชว่ ยกัน
สรุปเร่ืองราวท้ังหมดท่ีเล่าให้เป็นเร่ืองสั้น กระชับ แล้วเขียนลงสมุด แต่ในการทากิจกรรมข้อนี้ ควรให้
ผู้เรียนทาเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 10 คน จึงจะได้เรื่องท่ีไม่ยาวเกินไปนัก และเร่ืองที่จะได้ไม่
กว้างเกนิ ไปจะงา่ ยตอ่ การสรปุ

8. เขียนเรียงความจากหัวข้อท่ีครูหรือผู้เรียนกาหนดไว้ หรือจากคาที่กาหนดให้โดย
กาหนดจานวนคาและความยากงา่ ยของคาใหเ้ หมาะสมกับระดับชัน้ ของผ้เู รียน

9. เขียนเรียงความจากการไปศึกษานอกสถานท่ี เม่ือครูพาผู้เรียนไปทัศนศึกษานอก
สถานที่หรือพาไปชมนิทรรศการในสถานท่ีต่างๆ แล้วให้เขียนเป็นรายงานหรือเรียงความจาก
ประสบการณท์ ่ีได้ไปพบเห็นมา

\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

58

10. เขียนข่าวรายวันของโรงเรียน ข่าวจากวิทยุ ข่าวในชุมชน ข่าวจากหนังสือพิมพ์
เมื่อครตู รวจแก้ไขแลว้ นาไปติดป้ายไว้ใหท้ ุกคนอ่าน

11. เขียนเรียงความโดยเสรี เพ่ือส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และ
ความสามารถด้านอ่ืนๆ ให้เต็มที่ แล้วครูช่วยปรับปรุงแก้ไขให้บ้างแต่ไม่ควรตาหนิผู้เรียน ถ้าเนื้อหาท่ี
เขยี นมิได้เป็นไปตามที่ครมู ุ่งหวัง

12. ครูเขียนเค้าโครงเรื่องคร่าวๆ ไว้บนกระดานดา แล้วให้ผู้เรียนเขียนเรียงความ
โดยสามารถใส่รายละเอียดเนื้อหาไดอ้ ยา่ งอสิ ระ

13. ให้วาดภาพตามจนิ ตนาการ แล้วเขียนคาบรรยายไวใ้ ต้ภาพ โดยอาจจะเป็นภาพ
เดยี วตอ่ เรอื่ งกนั หรอื หลายภาพตอ่ เรอ่ื งก็ได้ จากนน้ั นามาจัดทาเปน็ สมดุ ภาพต่อไป

14. เขียนบันทึกจากงานท่ีผู้เรียนได้กระทา เช่น การประดิษฐ์สิ่งของ งานเกษตร
การทดลองวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ให้ผู้เรียนเขียนบรรยายถึงการทางานแต่ละข้ันตอน ต้ังแต่เริ่มจนจบ
เป็นผลสาเร็จ

3) แนวทางการจดั กจิ กรรมการสอนเขียนย่อความ
การย่อความเป็นการเก็บใจความสาคัญของเร่ือง เป็นการฝึกวิธีการฟังและอ่านอย่างต้ังใจ

ให้รู้ว่าตอนใดสาคัญ ให้รู้จักจับจุดมุ่งหมายของส่ิงที่ฟังและอ่าน ท่ีเป็นสาระสาคัญของเรื่อง
การย่อความมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนไดส้ รปุ ข้อความที่ตนอ่านหรือฟงั ให้ได้ใจความสาคญั แลว้ เรยี บเรียง
ถอ้ ยคาให้ถกู ต้องเหมาะสม โดยมีแนวทางในการจดั กจิ กรรม ดังตอ่ ไปนี้

3.1) ฝกึ ทอนประโยคให้สนั้ ลง โดยทอนให้เหลอื เพียงแตใ่ จความสาคญั

3.2) แจกข้อความให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มอ่านและย่อเร่ืองหรือครูอ่านให้ฟัง แล้ว
ยอ่ เร่อื ง จากนัน้ ส่งตัวแทนกลุ่มออกมารายงานหน้าชน้ั เรียน พรอ้ มทั้งเขยี นส่งครดู ้วย

3.3) เปดิ เทปบันทกึ เสยี งเรื่องใดเร่อื งหนึง่ ให้ผ้เู รียนฟงั จับใจความแลว้ ยอ่ ความ

3.4) แจกข้อความให้ผู้เรียนทุกคนอ่าน แล้วย่อความโดยกาหนดเวลาให้ตามความ

เหมาะสม

3.5) ใหย้ ่อความจากหนังสอื เรียนตอนใดตอนหนง่ึ

3.6) ให้ย่อความจากขา่ ว บทความ หรอื เรื่องราวในหนังสอื พมิ พแ์ ละวทิ ยุ

\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

59

3.7) เชิญวิทยากรมาบรรยายเร่ืองต่างๆ ให้ผู้เรียนฟังแล้วให้จับใจความสาคัญ แล้ว
จากนั้นมอบหมายให้นกั เรียนยอ่ ความ

8. การสอนวรรณกรรมวรรณคดีสาหรบั ผูเ้ รียนภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา

วรรณคดีเป็นส่ิงสร้างสรรค์อันล้าค่าของมนุษย์ มนุษย์สร้างและส่ือสารเรื่องราวของชีวิต
วัฒนธรรม และอารมณ์ ความรู้สึกที่เกี่ยวข้อง หรือสะท้อนความเป็นไปของมนุษย์ ด้วยกลวิธีการใช้
ถ้อยคาสานวนภาษา ซ่ึงมคี วามเหมอื นหรือต่างกนั ไปในแตล่ ะยุคสมัย

วรรณคดีที่กาหนดให้เรียนและเลือกเรียนนั้น เลือกสรรมาจากวรรณคดีต่างสมัย ซึ่งล้วนเป็น
สมมุติทางวัฒนธรรมของชาติ มีความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ และศักยภาพของนักเรียนในแต่ละ
ช่วงชั้น ทั้งยังเป็นวรรณคดีที่ใช้รูปแบบ กลวิธีการเขียน และถ้อยคาสานวนภาษาอย่างดี
มีความไพเราะเหมาะงาม ท้ังเสียงคาและความหมาย ช่วยให้นักเรียนสนุกสนานเพลิดเพลิน จดจาได้
เกิดความซาบซึ้งประทับใจ และภูมิใจในสิส่งท่ีบรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ สั่งสม สืบสาน และพัฒนา
ต่อเนื่องต่อกันจากอดีตตราบจนปัจจุบัน ส่งผลให้เป็นคุณค่า นาไปใช้ประโยชน์ในการพูด การเขียน
การศกึ ษาคน้ ควา้ ปรารถนาจะอนรุ ักษ์ไว้ และใช้เปน็ พืน้ ฐานในการสร้างผลงานใหมต่ อ่ ไปได้

วรรณคดีเป็นหนังสือที่มีคุณลักษณะสาคัญ 2 ประการ คือ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระเป็น
ประโยชน์ไม่ชักนาไปในทางที่เสื่อมเสีย และเป็นหนังสือที่แต่งได้ถูกต้องเหมาะสมตามระเบียบวิธีทาง
ภาษา สว่ นวรรณกรรมคือหนงั สอื ทวั่ ไปทีเ่ ป็นขอ้ เขียนและเลา่ ด้วยคา

การจัดการเรียนการสอนวรรณคดีวรรณกรรมนับได้ว่าเป็นงานที่มีคุณค่ายิ่งของครูภาษาไทย
เนื่องจากช่วยให้นักเรียนได้พบว่า วรรณคดีหรือวรรณกรรมท่ีเรียนนั้นมีเน้ือหาสาระท่ีเป็นประโยชน์
อย่างไร มีคุณค่าต่อตนเองและต่อสังคมอย่างไร เม่ือเห็นคุณค่าแล้ว นักเรียนย่อมเรียนวรรณคดีและ
วรรณกรรมอย่างมีความหมาย สนุกและเกิดประโยชน์สูงสุดได้ แนวทางการจัดการเรียนการสอน
วรรณคดีและวรรณกรรม ครูอาจดาเนินการให้นักเรียนเห็นคุณค่าได้สาระประโยชน์ตามวตั ถุประสงค์
ดงั ต่อไปนี้

1. อ่านเข้าใจ : การอ่านเข้าใจนับเป็นข้ันตอนแรกในการสอนวรรณคดีหรือวรรณกรรม ซึ่งครู
จะต้องเตรียมการสอนโดยอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่จะสอนน้ันให้เข้ าใจและจัดการเรียนการ
สอนใหน้ ักเรียนอ่านเข้าใจด้วย ดงั นี้

\\//\\//แนวคดิ เก่ยี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

60

1.1 เข้าใจเรื่อง คือ สามารถจับใจความสาคัญและรายละเอียดของเรื่องได้ สามารถ
ตอบคาถามได้ว่า เรื่องนั้นคือเรื่องอะไร กล่าวถึงใคร ทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไร ทาอย่างไร และผลของ
การกระทาน้ันเป็นอย่างไร เม่ือลงมือสอนครูก็จะต้องใหน้ ักเรียนอ่านเร่ืองใหเ้ ข้าใจเป็นอันดับแรกก่อน
เช่นกัน การเรียนวรรณคดีหรือวรรณกรรมจงึ จะประสบความสาเรจ็ ให้นักเรียนจับใจความสาคัญและ
รายละเอียดได้น้ัน ครูอาจแนะให้ใช้วิธีการวาดภาพหรือแผนภาพประกอบ เช่น สอนเรื่อง สามก๊ก
เม่ือจะอ่านเรื่องสามก๊กให้เข้าใจครูอาจแนะให้นักเรียนเขียนแผนภาพโครงเร่ือง (Story map) ประกอบ
โดยร่างภาพวงกลมขึ้นสามวงแล้วเขียนชื่อ่ก๊กทั้งสามกากับพร้อมช่ือบุคคลสาคัญ ก็จะทาให้สามารถ
โยงเร่ืองราวเข้าด้วยกันไดง้ า่ ยข้ึน ดังนี้

วยุ กก๊
-โจโฉ-
เมอื งฮโู ต๋

จ๊กก๊ก งอ่ ก๊ก
-เลา่ ป่ี- -ซนุ กวน-
เมอื งฮันต๋ง เมอื งกังตั๋ง

1.2 เขา้ ใจศัพท์ คือ สามารถเข้าใจความหมายของศพั ทย์ ากหรือศพั ท์ตา่ งยุคสมยั ได้ หากอา่ นแล้วยังไม่
เข้าใจ ไม่ควรผ่านเลยไป ควรศึกษาความหมายของศัพท์น้ันให้เข้าใจเสียก่อน โดยอาจค้นความหมาย
จากพจนานุกรมหรอื ถามผู้รู้ แตไ่ ม่ควรกังวลกบั คาศพั ท์มากเกนิ ไป

2. ได้เสียงเสนาะ : การสอนวรรณคดีหรือวรรณกรรมไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง
ล้วนแต่มีเสียงเสนาะของบทประพันธ์ หากจะยกตัวอย่างให้นักเรียนเข้าใจถึงความสาคัญของเสียง
ในข้อนี้ก็อาจทาได้โดยยกตัวอย่างข้อความมาสักประโยคหน่ึงแล้วครูอ่านออกเสียงแตกต่างกัน
เป็นอ่านออกเสียงธรรมดากับอ่านออกเสียงตามอารมณ์ของข้อความ นักเรียนก็จะพบว่า เสียงเสนาะ
ของขอ้ ความนั้นอยู่ท่ีลีลาการอ่านออกเสียงใหเ้ หมาะสมกับข้อความน้ันๆ ดังนี้

2.1 เสียงเสนาะร้อยแก้ว เกิดข้ึนจากการอ่านที่ใช้น้าเสียง ลีลา การเว้นจังหวะ การเน้น
เสียง การผ่อนเสยี ง การกระแทกกระทั้ง ฯลฯ เพื่อให้เสียงที่อ่านส่ืออารมณ์ตามเน้ือหา เมื่อเขา้ ใจแล้ว

\\//\\//แนวคิดเกีย่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

61

ลองพยายามฝึกการใช้น้าเสียงในการอ่านเช่นน้ี ซึ่งเมื่อผู้เรียนได้ฝึกหัดสักระยะหนึ่งแล้วก็จะเ กิด
ความคุ้นเคยและเห็นความงาม ความไพเราะในถ้อยคาและน้าเสียงจากเรื่องที่อ่าน นักเรียนก็จะ
เกิดความรู้สึกสนุกกับการอ่านในการเรียนวรรณคดีหรือวรรณกรรมรร้อยแก้ว ครูอาจยกตัวอย่าง
ผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธีกร ผู้ดาเนินรายการวิทยุโทรทัศน์ ตลอดจนนักประชาสัมพันธ์ในหน่วยงาน
ต่างๆ โดยบันทึกเสียงของบุคคลเหล่าน้ัน ลงแถบบันทึกเสียงหรือแถบบันทึกภาพมาถ่ายทอด
ให้นักเรียนได้ฟังได้ชมจะทาให้นักเรียนเข้าใจและนาไปปรับปรุงการอ่านของตน แต่ท้ังน้ีครูต้อง
ชี้ให้เห็นด้วยว่าตัวอย่างใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร นอกจากนี้การยกตัวอย่างการอ่าน
ของบุคคลต่างๆ ยังจะสามารถกระตุ้นให้นักเรียนสนใจฝึกอ่านออกเสียงให้ถูกวิธีเพ่ือการประกอบ
อาชีพในวันขา้ งหนา้ ไดอ้ กี ดว้ ย

2.2 เสียงเสนาะร้อยกรอง เกิดจากการอ่านออกเสียงตามแบบวิธีของร้อยกรองชนิดน้ันๆ
เรยี กว่า การอา่ นทานองเสนาะ ครูภาษาไทยท่ีดีควรฝกึ อ่านทานองเสนาะให้ได้ การใชแ้ ถบบันทึกเสียง
ควรเป็นเพียงการใช้อุปกรณ์ช่วยครูเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นหลักในการสอน การสาธิตการอ่านทานอง
เสนาะของครูผู้สอนจะทาให้นักเรียนสามารถจับลีลา จังหวะ และน้าเสียงได้ นักเรียนก็จะฝึกตามได้
โดยง่าย เมื่อครูได้สาธิตพอสมควรแล้วจึงควรใช้แถบบันทึกเสียงประกอบการสอน การอ่านทานอง
เสนาะไม่ใช่เรื่องยาก ท่ีครูบางคนเห็นว่าเป็นเรื่องยากก็เพราะยังมิได้ลงมือฝึก หรือหากลงมือฝึกแล้ว
ทาไม่ได้รสู้ กึ ว่าอายตัวเองเหลยหยดุ ไม่ฝึกต่อไปหากเป็นเช่นน้ี ครูก็จะไมร่ ูส้ ึกสนกุ กับการอ่าน โอกาสท่ี
จะสอนหรอื ฝกึ ให้นักเรียนรักการอา่ นวรรณคดีหรือวรรณกรรมกย็ ง่ิ ลดน้อยลงไป ดังน้ันเมื่อครูรูส้ ึกอาย
ตัวเองก็ควรหยุดพิจารณาสักครู่หน่ึงว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่ที่ใด ก็หาทางแก้ไข เช่ือว่าจากน้ันไม่นานก็
จะทาได้ไม่ยากนัก เพราะครูภาษาไทยรักการอ่านเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากท่ีจะปรับลีลา
อารมณ์ และน้าเสียงให้ไพเราะได้ตามลีลาของทานองเสนาะนั้นๆ หากไม่มีตัวอย่างการอ่านทานอง
เสนาะแบบใด ครูก็อาจหาได้จากผู้รู้ แหล่งวัสดุทางการศึกษา อย่าลืมว่าการสอนทานองเสนาะมิใช่
การเค่ียวเข็ญ เพราะจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แต่ควรสอนให้เห็นตัวอย่าง สร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
น้าเสยี งกบั อารมณแ์ ละความหมาย นกั เรยี นก็จะรับรไู้ ดถ้ ึงสุนทรียรสจากบทประพนั ธต์ ามท่คี รตู ้องการ

3. เจาะแนวคิดสาคัญ : เพราะการสอนให้นักเรียนสามารถจับแนวคิดสาคัญของเรื่อง
(Theme) ได้ จะต้องให้นักเรียนอ่านเข้าใจเสียก่อน แล้วจากนั้นสามารถท่ีจะประมวลเรื่องที่อ่าน
ท้ังหมดเพื่อวิเคราะห์ดูว่า สาระต่างๆ ทั้งหลายของเรื่องที่อ่าน ต่างมุ่งสู่ประเด็นเดียวกันอย่างไร หาก
สามารถวิเคราะห์ และจับสาระที่หลากหลายของเร่ืองได้ว่าท้ายที่สุดแล้วสาระเหล่านั้นมุ่งสู่ผลอย่าง
เดยี วกนั ก็แสดงวา่ ผู้อ่านมศี ักยภาพในการอ่านสงู ในระดบั ท่สี ามารถวเิ คราะหว์ ินจิ สารได้ สามารถที่จะ

\\//\\//แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

62

เชื่อมโยงสาระหรือเหตุการณ์ตา่ งๆ ในเรื่อง และสามารถอธิบายสาระหรอื เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นได้
อย่างมีเหตุผล การสอนจับแนวคิดสาคัญอาจทาได้โดยครูคอยช่วยกระตุ้นหรือแนะวิธีคิดพิจารณา
สาระสาคญั ใหน้ ักเรยี นค้นพบดว้ ยตนเองได้โดยงา่ ยก็จะทาให้นักเรียนภูมิใจ จากนัน้ จึงกระตุ้นให้คิดต่อ
ว่า สาระสาคญั เหลา่ น้มี ุง่ สู่ผลอย่างเดียวกันคืออะไร ทั้งน้ีอย่าลมื ชี้ให้นักเรียนเขา้ ใจว่า สาระสาคญั อาจ
มไี ด้หลายประเด็น แต่แนวคิดสาคัญจะตอ้ งมีเพยี งประเด็นเดยี วเท่าน้ัน

4. หมั่นวิเคราะห์วินิจฉัย : การสอนให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์วินิจฉัย คือ การสอนให้นักเรียน
สามารถแยกแยะและพิจารณาเรื่องที่อ่านได้ท้ังรูปแบบ เนื้อหา กลวิธี และการใช้ภาษา ว่าแต่ละ
องค์ประกอบมีรายละเอียดอย่างไรในกระบวนการอ่านวิเคราะห์วินิจฉัยเนื้อหาของวรรณคดีและ
วรรณกรรมน้นั ครูตอ้ งใหน้ กั เรียนสามารถอ่านตีความได้ กล่าวคอื สามารถเขา้ ใจความหมายท่ีแฝงอยู่
ในเร่ืองที่อ่านโดยผู้เรียนมิได้บอกออกมาตรงๆ ความสามารถในการตีความจะข้ึนอยู่กับประสบการณ์
และทักษะการอา่ น ดังนน้ั เมอ่ื ครูอา่ นวรรณคดีหรือวรรณกรรมเรอ่ื งใดแล้วรูส้ กึ วา่ เหมือนไมไ่ ดร้ บั สาระ
หรอื ความรูส้ ึกทช่ี ัดเจน หรือวา่ เรอื่ งที่อ่านง่ายไป ผเู้ ขยี นไม่น่าจะเขยี นง่ายขนาดน้ี กใ็ ห้พยายามค้นหา
สาระหรือความรู้สึกที่แฝงเร้นนั้นให้พบ โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา หากยังไม่แน่ใจ
อาจใช้วิธกี ารแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ กับครูอาจารย์คนอ่ืนๆ เมอื่ นาไปสอนนักเรยี นครูก็ควรกระตุ้นให้
นกั เรียนรจู้ กั ตีความดงั กลา่ วเชน่ กัน โดยครผู สู้ อนคอยใหก้ าลังใจและชีแ้ นะ

5. ใส่ใจวิพากษ์วิจารณ์ : การสอนให้นักเรียนกล้าแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องท่ีอ่านมี
ความสาคัญ เมื่อสามารถวิเคราะห์วินิจฉัยรายละเอียดต่างๆ และสามารถแสดงให้เห็นความประสาน
สัมพันธ์ขององค์ประกอบตา่ งๆ เหล่านั้น ได้อย่างมีเหตุผล เช่ือมโยงเข้าด้วยกันเพ่ือแสดงความคิดเห็น
ของตนประกอบได้อย่างกลมกลืนแล้ว ก็เรียกได้ว่ารู้วิพากษ์วิจารณ์ การสอนในข้ันน้ีหากมุ่งที่จะให้
นักเรียนเขียนบทวิจารณ์อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไป แต่ครูผู้สอนสามารถเลือกใช้กลวิธีการสนทนา
ซักถาม หรือใช้บทบาทสมมุติว่า ถ้านักเรียนเป็นตัวละครนั้นๆ นักเรียนจะหาทางออกของปัญหา
อย่างไร เหตุใดจึงเลือกทางออกเช่นน้ัน แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องท่ีอ่าน ก็นับได้ว่าเป็น
การสอนการวจิ ารณใ์ นระดับหนึ่ง

6. ประสานกิจกรรม : หากครูผู้สอนรู้จักเลือกกิจกรรมต่างๆ ใช้ประกอบการเรียนการสอน
วรรณคดีและวรรณกรรม จะทาให้การเรียนการสอนสนุกและน่าสนใจย่ิงข้ึน นอกจากนี้ยังช่วยให้
นกั เรียนเขา้ ใจและจาเน้อื หาไดด้ ยี งิ่ ข้ึนดว้ ย ขอ้ เสนอแนะกจิ กรรมพอเปน็ แนวทางดงั ต่อไปนี้

\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

63

6.1 กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ กิจกรรมนี้อาจใช้สอนเรื่องใดๆ ท่ีมีการจัดเน้ือหาเป็นหมวดหมู่
เช่น การสอนศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันหรือคาไวพจน์ ครูอาจตัดกระดาษแข็งเป็นรูปวงกลม
ในวงกลมน้ันเขียนศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันลงไป 4 - 5 คา ทาวงกลมเช่นนี้เท่ากับจานวน
นักเรียนในชน้ั จานวนศพั ท์บนแผน่ กระดานแตล่ ะแผ่นใหม้ จี านวนเท่ากนั หลังจากนนั้ ตดั แผน่ กระดาษ
ออกเปน็ ชิน้ ๆ ตามจานวนคาศพั ท์ แลว้ นาชนิ้ สว่ นกระดาษทเ่ี ป็นแผน่ วงกลมเดยี วกนั 5 - 6 บรรจลุ งใน
ซองเดียวกัน เวลาเล่นให้นักเรียนนั่งเป็นกลุ่มๆ แจกของท่ีบรรจุชิ้นส่วนวงกลม กลุ่มละ 1 ซอง ให้
สมาชิกในกลุ่มนาช้ินส่วนวงกลมท่ีได้รับมาต่อกันให้เป็นวงกลม กลุ่มใดเสร็จก่อนเป็นผู้ชนะ เมื่อเล่น
เสร็จนักเรียนก็จะได้รู้จักคาศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันเป็นกลุ่มๆ ไปแล้วบันทึกลงสมุด นอกจากนี้
อาจนาลกั ษณะของกลุ่มสัมพันธ์ไปดัดแปลงใหเ้ ล่นกจิ กรรมอ่ืนๆ ต่อไปอีกได้

6.2 กิจกรรมบทบาทสมมุติ ใช้เล่นประกอบการเรียนการสอนวรรณคดีหรือวรรณกรรม
ประเภทมีเนื้อเรื่อง โดยสมมุติให้นักเรียนรับบทเป็นตัวละครต่างๆ เมื่อดาเนินเร่ืองมาถึงจุดท่ีเป็น
ประเด็นปัญหาแลว้ นกั เรียนจะวิเคราะห์ปัญหาและแก้ไขปัญหาอย่างไร

6.3 กิจกรรมการแสดงละคร อาจจัดเป็นละครย่อยๆ ในช้ันเรียนโดยไม่ต้องแต่งตัวตาม
แบบตัวละครให้ส้ินเปลือง เพียงแต่สมมุติให้รับบทบาทตัวละครน้ันๆ แสดงตามเน้ือเรื่องเดิม เพื่อให้
นักเรยี นไดร้ บั ความสนุกสนานและจดจาไดด้ ียง่ิ ขนึ้

6.4 กิจกรรมขับร้องฟ้อนรา ครูผู้สอนอาจจัดให้นักเรียนได้ร้องเพลงที่มีเน้ือหาเกี่ยวกับ
วรรณคดีและวรรณกรรมที่เรยี น ทงั้ ทเ่ี ป็นเพลงทคี่ รูแตง่ ข้นึ มาใหม่ เพลงพ้ืนบา้ น เพลงไทย เพลงลูกทุ่ง
เพลงไทยสากล

6.5 กิจกรรมวาดภาพ ครูอาจจัดให้มีกิจกรรมวาดภาพประกอบเร่ืองท่ีเรียน โดยอาจจัด
ประกวดกิจกรรมน้ีนอกจากจะได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนแล้ว ยังทาให้นักเรียนตั้งใจอ่าน
และค้นคว้าความรู้เก่ียวกับวรรณคดีหรือวรรณกรรมเร่ืองส้ันๆ ให้เข้าใจดีย่ิงข้ึนเพ่ือที่จะได้ออกแบบ
ภาพวาดไดด้ ี

6.6 กิจกรรมเขียนแผนที่ในการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวกับการเดินทาง โดย
ครูอาจให้นักเรียนเขียนแผนที่ประกอบการเดินทางนั้น หรือครูให้นักเรียนได้เห็นแผนท่ีจริงเป็น
แนวทางแล้วเขียนแผนที่การเดินทางท่ไี ด้จากเร่อื งที่อ่าน

6.7 กิจกรรมสถานการณ์จาลอง ครูอาจให้นักเรียนจัดสถานการณ์จาลองเก่ียวกับ
วัฒนธรรมประเพณที ่ีพบในเรื่องท่ีเรียน

\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

64

6.8 กิจกรรมค้นควา้ ครอู าจให้นักเรียนไดม้ โี อกาสช่วยครูคน้ ควา้ หาข้อมลู ต่างๆ ท่เี ก่ียวกับ
เรื่องท่ีเรียน อาจให้เป็นกิจกรรมกลุ่มหรือรายบุคคลตามความเหมาะสม โดยครูต้องสามารถบอก
แหล่งข้อมลู ท่จี ะให้นักเรยี นค้นควา้ ได้

6.9 กิจกรรมนิทรรศการ ครูอาจให้นักเรียนช่วยกันจัดนิทรรศการเรื่องใดเรื่องหน่ึง
ท่ีน่าสนใจเกย่ี วกับวรรณคดหี รือวรรณกรรมทเี่ รียนในโอกาสอนั เหมาะสม

6.10 กิจกรรมทายปัญหา ครูอาจให้นักเรียนไปตั้งปัญหาจากเรื่องท่ีเรียน แล้วมาทาย
ปัญหากันในชั้นเรียน

7. สัมพันธ์เนื้อหา : การเรียนการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมให้สัมพันธ์เน้ือหาอื่นๆ ท้ังใน
กลุ่มสาระฯ เดียวกนั และต่างกลมุ่ สาระฯ ตัวอยา่ งเช่น

7.1 สอนใหส้ มั พนั ธ์กับราชาศัพท์ ข้อน้ีครผู ้สู อนสามารถนาราชาศัพท์ที่ปรากฏในบทเรียน
มาสอนให้นักเรียนรู้จักใช้ให้ถูกต้อง แต่ทั้งน้ีครูจะต้องระวังและอธิบายให้นกั เรียนเข้าใจว่า ราชาศัพท์
ที่ปรากฏในวรรณคดีและวรรณกรรมท้ังหลายนั้นไม่ค่อยจะถูกต้องเพราะเรื่องที่อ่านมักจะเป็น
เร่ืองสมมุติ หรือเป็นเร่ืองเทียมละคร การใช้ราชาศัพท์จึงใช้พอเป็นที่เข้า ใจเท่าน้ัน มิได้เน้น
ความถกู ต้องดังทีใ่ ชใ้ นชีวิตจรงิ เมอ่ื นามาสอนจงึ ชใ้ี หน้ ักเรยี นเหน็ วา่ ที่ถกู ต้องนั้นจะต้องใช้อยา่ งไร

7.2 สอนให้สัมพันธ์กับการแต่งคาประพันธ์ ในขณะที่สอนอ่านและวิเคราะห์เรื่องราว
ที่อ่านนั้น ครูอาจนาตัวอย่างคาประพันธ์ที่นักเรียนกาลังเรียนมาเป็นตัวอย่างในการแต่งคาประพันธ์
โดยครูอาจให้นักเรียนค้นหาบทประพันธ์ที่ชอบ ให้เหตุผลว่าชอบเพราะเหตุใด แล้วถ้าจะแต่ง
เลียนแบบท่ีชอบ นักเรียนน่าจะทาได้อย่างไร แล้วให้ลองฝึกเลียนแบบ เม่ือนักเรียนทาได้ก็จะ
มกี าลงั ใจที่จะทาต่อไป และอาจสามารถแตง่ ด้วยความคดิ ของตนเองทั้งหมดไดใ้ นไม่ช้า

7.3 สอนให้สัมพันธ์กับหลักภาษา วิธีน้ีทาได้โดยครูอาจนาตัวอย่างประโยคจากเร่ืองที่
เรียนมาให้นักเรียนพิจารณาโครงสร้างของประโยคและวิเคราห์ประโยค นอกจากน้ีครูยังสามารถ
ชใี้ หเ้ ห็นตวั อย่างประโยคท่ีดแี ละบกพรอ่ งได้อย่างชดั เจนอีกดว้ ย

7.4 สอนให้สัมพันธ์กับการพูดและการฟัง ในการสอนภาษานั้นครูผู้สอนจะต้องสัมพันธ์
ทกั ษะ ฟัง พดู อา่ น และเขยี นอยแู่ ลว้ การสอนวรรณคดแี ละวรรณกรรมใหส้ ัมพนั ธ์กับการพดู และการ
ฟังจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะทางภาษาเพิ่มข้ึน ครูอาจจัดได้โดยให้นักเรียนออกมาเล่าเรื่องที่อ่าน
แสดงความคิดเห็ฯต่อเรื่องที่อ่าน เพื่อเป็นการเสริมทักษะการพูดและให้นักเรียนท่ีฟังแสดงความ

\\//\\//แนวคิดเก่ยี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

65

คิดเห็นต่อการพูดของเพ่ือนๆ ก็จะเป็นการเสริมทกั าะการฟังและการดู นอกจากนี้ผู้ท่ีจะออกมาพูดได้
หรือแสดงความคิดเห็นต่อการพูดของเพื่อนๆ ได้ก็ย่อมจะต้องอ่านหรือทาความเข้าใจเรื่องนั้นมาก่อน
จึงเป็นการส่งเสริมการศกึ ษาคน้ ควา้ ทางออ้ มดว้ ย

7.5 สอนให้สัมพันธ์กับเนื้อหาวิชาอ่ืนๆ กล่าวคือ เม่ือเรื่องที่เรียนมีเน้ือหเก่ียวข้องกับวิชา
อื่นๆ ก็สอนความรู้เร่ืองน้ันๆ เช่ือมโยงอย่างเหมาะสมด้วย เพราะในชีวิตจริงเราจะต้องใช้สรรพวิทยา
ต่างๆ อย่างประสานสมั พนั ธก์ ันอย่แู ล้ว ไมส่ ามารถใช้ความร้เู พียงแขนงใดแขนงหนง่ึ ดาเนินชีวติ ได้ เช่น
เนื้อหาเกี่ยวข้องทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ แพทยศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ ก็สอนหรือให้นักเรียน
คน้ ควา้ ความรูท้ เี่ กี่ยวข้องกบั เรอ่ื งน้ันๆ เพ่ิมเตมิ

9. การสอนภาษาไทยเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21

9.1 เปา้ หมายของหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานสูก่ ารพฒั นาการเรยี นรู้ในชนั้ เรียน
"ทกุ หลักสตู ร ไม่วา่ จะเปน็ กลุ่มสาระวิชาใด หรอื ระดับใด ยอ่ มต้องมแี นวทางท่เี ปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั กับ
หลักสตู รแกนกลาง เพ่ือพัฒนาประชากรของชาตใิ ห้เป็นผู้มคี ณุ ภาพและไดม้ าตรฐานดุจเดียวกัน
ดงั นัน้ ต้องออกแบบการเรียนร้ใู นช้ันเรียนให้สอดคล้องกับ K-P-A ของหลกั สูตรแกนกลางให้ได้"

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานเป็นต้นตอสาคัญในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ใน
ชนั้ เรียนใหก้ บั เยาวชนของชาติได้มีมาตรฐานการเรียนรู้เฉกเช่นเดียวกนั ท่วั ท้ังประเทศ ซึ่งรายละเอียด
ที่ส าคัญที่ผู้ ใช้หลั กสู ตรต้องตร ะหนัก ถึง ก่ อนนาหลั กสู ตร ไปปร ะยุ กต์ใช้ ในก ารจัด การเรีย น รู้ น้ั น
ประกอบดว้ ย ความจรงิ 4 ประการ ดังตอ่ ไปนี้

1) ทุกกลุ่มสาระวิชาในหลักสตู รมเี ป้าหมายเดียวกันในการพฒั นาผู้เรียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มีจุดเน้นที่สาคัญในการพัฒนา

ผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญามีความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพโดยกาหนด
เป็นจุดหมายเพ่ือให้เกิดกับผู้เรียนเม่ือจบการศึกษาขั้นพื้นฐานดังนี้ 1 มีคุณธรรมจรยิ ธรรมและค่านิยม
ทพี่ ึงประสงค์เหน็ คุณค่าในตนเองมวี ินัยและปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่
ตนนบั ถือโดยยดึ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2 มีความรคู้ วามสามารถในการส่ือสารการคิดการ
แก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต 3 มีสุขภาพ กายและสุขภาพจิตท่ีดีมีสุขนิสัยและรักการ
ออกกาลังกาย 4 มีความรักชาติมีจิตสานึกใน ความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถีชีวิตและ

\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

66

การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5 มีจิตสานึกในการ
อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม มีจิตสาธารณะท่ีมุ่งทา
ประโยชน์ และสรา้ งสรรค์ส่ิงท่ีดงี ามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสขุ

2) หลักสูตรแกนกลางเน้นการพฒั นาความรู้และทกั ษะของผเู้ รยี นให้ไดม้ าตรฐานเดียวกนั
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานได้จาแนกรายละเอยี ดการพฒั นาผู้เรียนให้เกิดความรู้

ความสามารถที่เป็นมาตรฐานระดับชาติออกเป็น 8 กลุ่มสาระ ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย,
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์, กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศกึ ษา
ศาสนา และวฒั นธรรม, กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา, กลุม่ สาระการเรียนร้ศู ลิ ปะ, กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดย
มาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประกอบด้วยมาตรฐานท่ีสาคัญจานวน 5
มาตรฐาน ดงั ตอ่ ไปนี้

1) มาตรฐาน ท 1.1 คือ การใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนาไปใช้
ตดั สนิ ใจ แก้ปัญหาในการดาเนนิ ชวี ิต และมีนิสัยรกั การอ่าน

2) มาตรฐาน ท 2.1 คือ การใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ เขียนย่อ
ความ และเขียนเร่ืองราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศ และเขยี นรายงานการศึกษา
ค้นคว้าอย่างมีประสทิ ธิภาพ

3) มาตรฐาน ท 3.1 คือ ความสามารถในการเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และการพูด
แสดงความรู้ความคิด รวมทั้งการพูดแสดงความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและ
สร้างสรรค์

4) มาตรฐาน ท 4.1 คือ การเข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง
ของภาษา และพลงั ของภาษา ภมู ิปญั ญาของภาษา รวมท้งั การรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ขิ องชาติ

5) มาตรฐาน ท 5.1 คือ การเข้าใจและแสดงความคิดเห็นวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม
ไทย อย่างเหน็ คณุ ค่าและนามาประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจรงิ

การพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ตรงตามมาตรฐานระดับชาติดังกล่าวนี้ผู้สอนจาเป็นต้อง
จัดการเรียนรู้ตามตัวชี้วัดของหลักสูตร ซึ่งได้กาหนดสิ่งท่ีผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ โดยประกอบด้วย
ตัวช้ีวัด จานวน 2 ประเภท ได้แก่ ตัวชี้วัดช้ันปี (ประถมศึกษาปีท่ี 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3) และตัวช้ีวัด
ช่วงช้ัน (มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 - 6)

\\//\\//แนวคดิ เก่ียวกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

67

3) หลักสตู รแกนกลางมุ่งพัฒนาใหผ้ ู้เรยี นเกดิ สมรรถนะสาคญั ระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนที่ต้องพัฒนาในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย

ความสามารถอันพงึ ปฏบิ ตั ไิ ดท้ ่สี าคัญ ดังตอ่ ไปน้ี
1) ความสามารถในการสื่อสารเป็นความสามารถในการรับและส่งสารเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้

รูจ้ ักเลือกรบั และสง่ สารโดยใช้หลกั เหตุผลพรอ้ มทงั้ ใชว้ ธิ ีการส่ือสารท่ีมีประสทิ ธิภาพ

2) ความสามารถในการคิดเปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะหแ์ ละการคดิ สังเคราะห์การคิด
อย่างสร้างสรรค์การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการคิดเป็นระบบเพื่อนาไปส่กู ารสร้างองค์ความรู้หรอื
สารสนเทศในการตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั ตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม

3) ความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคบนพื้นฐาน
ของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมลู สารสนเทศพร้อมทั้งมีการตดั สนิ ใจท่ีมปี ระสิทธภิ าพ

4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ ไปใช้ใน
การดาเนินชวี ติ ประจาวนั ได้อยา่ งเหมาะสมกบั การเปล่ยี นแปลงของสงั คมและสภาพแวดล้อม

5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้าน
ตา่ งๆ และ มที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยเี พื่อการพฒั นาตนเองและสงั คมในดา้ นการเรียนรู้การ
ส่อื สาร การทางานการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคถ์ ูกต้องเหมาะสมและมคี ุณธรรม

4) หลักสูตรแกนกลางมงุ่ พัฒนาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ระหวา่ งการจัดการเรียนรู้
การสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้กับผู้เรียนเป็นการพัฒนาความสามารถด้านการอยู่

ร่วมกับผ้อู น่ื ในสังคมอย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ซง่ึ ประกอบด้วยคุณลักษณะ
ทีส่ าคัญ ดงั ตอ่ ไปนี้

1) รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2) ซอื่ สตั ย์ สุจรติ
3) มีวินัย
4) ใฝ่เรยี นรู้
5) อยอู่ ยา่ งพอเพียง
6) มงุ่ มั่นในการทางาน
7) รักความเปน็ ไทย
8) มีจิตสาธารณะ

\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกบั การสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

68

9.2 การพฒั นาทักษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21
1. ทาไมจงึ ตอ้ งพฒั นาผู้เรียนใหม้ ีทักษะในศตวรรษท่ี 21

"การเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง การเรียนวิชาในห้องเรียนยังเป็นการเรียน
แบบสมมติ ดังน้ันจึงต้องเปลี่ยนแนวทางการสอนใหม่ โดยการออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้
ใกลเ้ คยี ง กับสภาพจริงมากทสี่ ดุ "

การศึกษาสมั พันธ์กบั การดาเนินชวี ติ เปน็ อย่างมากซึง่ สงั เกตได้จากรายละเอียดท่เี ปล่ียนแปลง
ไปในแตล่ ะยุคสมัยตามเป้าหมายท่ีคงเดิม ไดแ้ ก่ เปา้ หมายเพอ่ื การทางานและสังคม, เปา้ หมายเพื่อฝึก
สตปิ ัญญา ของตน, เป้าหมายเพ่ือทาหน้าท่ีพลเมือง และ เป้าหมายเพ่ือสืบทอดจารีตและคุณค่า ซงึ่ มี
รายละเอียดที่แตกตา่ งกันไปในแต่ละยุค ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี

เป้าหมาย ยคุ เกษตรกรรม ยคุ อตุ สาหกรรม ยคุ ความรู้
ของการศกึ ษา

1. เพ่อื - ปลกู พ้ชื เลี้ยงสัตว์ - รับใช้สังคมผ่านงานที่ต้องการ - มีบทบาทต่อสารสนเทศของโลก

การทางานและ - ผลิตอาหารเล้ียงครอบครัว ความชานาญพิเศษ และสร้างนวัตกรรมการบริหาร

เพือ่ สังคม และคนอ่ืน - ประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ และ ใหม่ๆ เพือ่ สนองความต้องการและ

- สร้างเครื่องมอื เครอื่ งใช้ วศิ วกรรมศาสตร์เพอ่ื แก้ปัญหา

- บทบาทในเศรษฐกิจครวั เรอื น ความกา้ วหน้าของอตุ สาหกรรม - บทบาทในเศรษฐกิจโลก

- บทบาทต่อช้ินส่วนหน่ึงของห่วง

โซ่การผลิตและ

การกระจายสนิ คา้ ท่ียาว

2. เพื่อฝึกฝน - เรยี นวิชาพืน้ ฐาน 3R - เรียนรู้ "อ่านออก เขียนได้ และ - พัฒนาตนเองด้วยความรู้ผ่าน

สตปิ ญั ญา (Reading, (W)riting, คดิ เลขเปน็ " (เนน้ ทจ่ี านวนคน) เทคโนโลยีและเครื่องมือเพิ่ม

ของตน (A)rithmetic - เรียนรู้ทักษะสาหรับโรงงาน ศกั ยภาพ

- เรียนการเกษตรกรรม และ การค้า และงานในอุตสาหกรรม - ได้รับผลประโยชน์จาก

ทักษะทางชา่ ง (สาหรบั คนส่วนใหญ)่ การขยายฐานความรู้ และ

- เรียนรู้ทักษะด้านการจัดการ ผู้ ป ร ะ กอบ กา ร ขย า ย ตั วแ ล ะ

วิศ วกร ร ม แ ล ะ วิทย า ศ า ส ต ร์ เชื่อมโยงไปทัว่ โลก

(สาหรบั คนชน้ั สงู ซงึ่ มสี ่วนน้อย) - การใช้เทคโนโลยีเปน็

เคร่ืองอานวยความสะดวก

ในการเรียนรูต้ ลอดชวี ิต

3. เพ่อื ทา - การชว่ ยเหลอื เพ่อื นบ้าน - การเข้าร่วมกิจกรรมขององค์กร - เขา้ รว่ มในการตดั สินใจของ

หน้าท่พี ลเมอื ง - การมีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางสงั คมเพื่อประโยชน์ของชุมชน ชุมชนและการตดั สนิ ใจทาง

ของหมบู่ า้ น

\\//\\//แนวคดิ เก่ยี วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

69

เปา้ หมาย ยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม ยุคความรู้
ของการศึกษา - การสนับสนุนบรกิ ารใน
ท้องถ่ินและงานฉลองต่างๆ - เขา้ รว่ มกจิ กรรมด้านแรงงานและ การเมอื ง ท้ังโดยตนเองและผา่ น
4. เพื่อสืบทอด การเมอื ง ทางกจิ กรรมออนไลน์
จารตี และ - ถ่ายทอดความรู้ และ - เข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครและ - เขา้ รว่ มกจิ กรรมของโลกผา่ นทาง
คณุ คา่ วัฒนธรรมเกษตรกรรมไปยัง บรจิ าคเพือ่ การพัฒนาบา้ นเมือง ชมุ ชนออนไลน์ และ Social
คนรุ่นหลงั network
- อบรมเล้ียงดูลูกหลานตาม - เรียนร้คู วามรดู้ า้ นการคา้ - รับใชช้ มุ ชนท้องถิ่นไปจนถึง
จ า รี ต ป ร ะ เ พ ณี ข อ ง ช น เ ผ่ า การช่าง และวิชาชีพ รวมท้ัง ระดับโลกในประเดน็ สาคญั ๆ ดว้ ย
ศาสนา และความเช่ือของพ่อ ถ่ายทอดสคู่ นรนุ่ หลงั เวลาและทรพั ยากรผา่ นทางการ
แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย - ธารงคณุ คา่ และวฒั นธรรมของ ส่อื สารและ Social network
ตนในท่ามกลางความแตกต่าง - เรียนรคู้ วามรใู้ นสาขาอย่าง
หลากหลายของชีวิตคนเมอื ง รวดเร็วและประยกุ ตใ์ ชห้ ลักวิชา
- เชือ่ มโยงกับคนในวฒั นธรรมอนื่ นน้ั ข้ามสาขาเพ่อื สร้างความรใู้ หม่
และภมู ภิ าคอ่นื ตาม และนวัตกรรม
การขยายตวั ของการคมนาคมและ - สรา้ งเอกลกั ษณข์ องคนจากจารตี
การสอ่ื สาร วัฒนธรรมท่ีแตกตา่ งหลากหลาย
และเคารพจารีตและวฒั นธรรมอนื่
- เขา้ ร่วมกิจกรรมข้ามวัฒนธรรม
ผสมผสานจารตี ที่แตกต่าง
หลากหลาย และความเปน็
พลเมืองโลก สู่จารตี ใหม่ และ
สืบทอดสคู่ นรุ่นตอ่ ๆ ไป

ดังน้ันหากผู้ทาหน้าที่พัฒนาผู้เรียนยังคงย่าอยู่กับที่ ยังคงพัฒนาผู้เรียนดุจเดียวกันกับยุคท่ี
ตนเองประสบมา ยังคงยึดติดกับแนวคิดหรือวิถีปฏิบัติแบบยุคก่อน ก็อาจเป็นการทาลายความงอก
งามท่ีแท้จรงิ ของยคุ สมัยใหมท่ ิเ่ กดิ ข้นึ แลว้ และมแี นวโนม้ ท่จี ะเปล่ยี นแปลงต่อไปเร่ือยๆ ในทกุ ขณะ

2. ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 คอื อะไร

"3R x 7C จาก โมเดลสายรุ้ง (Rainbow Model) คือ คาตอบที่ชัดเจนที่สุดสาหรับ
การขยายความเร่ืองทักษะในศตวรรษท่ี 21 แต่ต้องตระหนักเรื่องการตีความให้ลึกซึ้งจึงจะ
ครอบคลุมและเกิดประโยชนส์ ูงสุดในการพฒั นาและตอ่ ยอดทางการศึกษา"

\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

70

นักวิชาการหลายทา่ นไดใ้ ห้คาจากัดความเก่ียวกับทักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 ไว้ อย่าง
มากมาย ซึ่งมีทั้งสาระที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามทุกคาจากัดความอยู่ในกรอบ
แนวคิดเดียวกันท้ังหมด นั่นคือ กรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 (Framework for 21st
Century Learning) ดังรปู ภาพต่อไปน้ี

กรอบแนวคิดเพ่ือการเรียนรู้ใน
ศตวรรษท่ี 21 (Framework for

21st Century Learning)

หรอื
“โมเดลสายรงุ้ (Rainbow Model)”

แผนภาพน้เี กดิ ข้นึ จากการรวมตัวกันของนักวชิ าการ นักการศึกษา องคก์ รภาครัฐ และเอกชน
มากมายทร่ี ว่ มกนั กอ่ ตง้ั องคก์ าร "ภาคีเพอื่ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ( Partnership for 21st Century
Skills )" เพื่อสะท้อนผลการเรียนรู้ของนักเรียนและระบบการสนับสนุนการศึกษาในศตวรรษท่ี 21
เพ่ือวิเคราะห์ความจาเป็นในการพัฒนาทักษะให้กับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ดังน้ันจึงอาจกล่าวได้ว่า
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ตอ้ งประกอบด้วยเนอ้ื หาสาระ ดงั ต่อไปน้ี

1. สาระหลกั ทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21
1) สาระหลกั (Core subjects)

1.1) ภาษาแม่และภาษาสาคัญของโลก
1.2) ศิลปะ
1.3) คณติ ศาสตร์
1.4) การปกครองและหนา้ ที่พลเมือง
1.5) เศรษฐศาสตร์
1.6) วิทยาศาสตร์
1.7) ภูมศิ าสตร์
1.8) ประวตั ศิ าสตร์
2) สาระสาคญั เพื่อการดารงชพี ในศตวรรษท่ี 21

\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

71

2.1) ความรเู้ กย่ี วกับโลก (Global Awareness)
2.2) ความรเู้ กี่ยวกบั การเงนิ เศรษฐศาสตร์ ธุรกจิ และ
การเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and
Entrepreneurial Literacy)
2.3) ความรูด้ ้านการเป็นพลเมือง (Civic Literacy)
2.4) ความร้ดู ้านสุขภาพ (Health Literacy)
2.5) ความรู้ดา้ นสิง่ แวดล้อม (Environmental Literacy)
2. ทักษะในศตวรรษท่ี 1) ทักษะการเรียนรู้และนวตั กรรม
21 1.1) ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์และนวัตกรรม : การประยุกต์ใช้
จินตนาการและการประดิษฐ์

1.1.1) การคิดอย่างสร้างสรรค์ เช่น มีมุมมองท่ีปรับปรุง
เล็กน้อยจากของเดิม หรือ เป็นหลักการที่แหวกแนวโดย
ส้นิ เชงิ
1.1.2) การทางานกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ เช่น สามารถ
พัฒนางานร่วมกับผู้อื่นได้ เข้าใจข้อจากัด และเปิดรับ
มุมมองใหม่อยู่เสมอ รวมทั้งการมองความล้มเหลวเป็น
โอกาสใน การเรียนรู้
1.1.3) การสรา้ งนวัตกรรม หรอื การประยกุ ต์สนู่ วัตกรรม
เช่น การลงมือปฏิบัติตามความคิดสร้างสรรค์เพื่อ
นาไปส่ผู ลสาเรจ็ ที่เปน็ รูปธรรม
1.2) การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา : การคิด
อย่างผ้เู ช่ียวชาญ
1.2.1) การคิดอย่างมีเหตุผลหลากหลายแบบ เช่น คิด
แบบอุปนัย คิดแบบอนุมาน เปน็ ตน้ แลว้ แตส่ ถานการณ์
1.2.2) การคิดกระบวนระบบ เช่น สามารถวิเคราะห์
ความสมั พันธข์ องปจั จยั ยอ่ ยจนเกิดผลในภาพรวมได้
1.2.3) การพิจารณาและการตัดสินใจ เช่น สามารถ
วิเคราะห์ เปรียบเทียบ ประเมินผล โต้แย้ง แปลความ
และตีความได้ รวมท้ังสามารถคิดตัดสินใจได้อย่าง
หลากหลาย และแหวกแนว
1.3) การสือ่ สารและการรว่ มมอื : การสือ่ สารอยา่ งซบั ซ้อน
1.3.1) การสื่อสารอย่างชัดเจน เช่น สามารถเรียบเรียง
หรอื จดั กล่มุ ความคดิ เพื่อสอ่ื สารอยา่ งหลากหลาย และ

\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

72

สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพท้ังในฐานะของ
ผรู้ บั และผู้สง่ สาร
1.3.2) การร่วมมือกับผู้อ่ืน เช่น การให้เกียรติ มีความ
ยืดหย่นุ ประนีประนอม รวมท้งั มีความรับผดิ ชอบต่องาน
และ เพอ่ื นร่วมงาน
2) ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และ เทคโนโลยี
2.1) ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ: การสรา้ งสารสนเทศและสื่อเพอื่ นาไป
แลกเปล่ียนเรียนรู้กับผคู้ นวงกว้าง ทั้งในด้านของการเป็นผูบ้ ริโภค
และการเปน็ ผ้ผู ลิต ตลอดจนต้องมีความรบั ผดิ ชอบต่อสังคมดว้ ย
2.1.1) การเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศ คอื การใช้
เวลาน้อยในการเข้าถึงสารสนเทศ และสามารถเข้าถงึ
แหลง่ ข้อมูล ทถี่ ูกต้อง
2.1.2) การใช้และการจดั การสารสนเทศ เช่น การ
เลอื กใชส้ ารสนเทศที่เหมาะสมกับความตอ้ งการ เข้าถงึ
แหล่งขอ้ มูลไดอ้ ย่างหลากหลาย รวมทัง้ นาสารสนเทศ
ต่างๆ มาให้สอดคล้องกับหลกั จรยิ ธรรม คุณธรรม และ
กฎหมาย
2.2) ทักษะด้านส่ือ : ความสามารถในการรับสารและการส่งสาร
ได้ อย่างหลากหลาย
2.2.1) การวเิ คราะห์สอื่ เชน่ สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มลู จาก
ส่อื ได้ ทัง้ โดย การแปลความ วิเคราะห์จุดประสงค์
ตคี วาม
2.2.2) การผลติ สอ่ื เชน่ สามารถใชเ้ ครือ่ งมือท่ี
หลากหลายในการสรา้ งและนาเสนอ
2.3) ทักษะด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร : การ
กากับติดตามให้สามารถใชท้ กั ษะน้ีไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพสงู สดุ
2.3.1) การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโยลีอย่างมปี ระสิทธิผล เชน่
การใช้เทคโนโลยเี พ่ืองานตา่ งๆ เช่น การวิจยั การ
จัดระบบ การประเมนิ หรอื การใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื การ
ส่อื สาร และเช่อื มโยงเครอื ขา่ ยต่างๆ
3) ทกั ษะชีวิตและการทางาน (อาชีพ)
3.1) ความยืดหยนุ่ และการปรบั ตวั : การเปลีย่ นแปลงที่รวดเร็วทา
ให้การวางแผนการทางานแบบตายตัวใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นต้อง

\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

73

สามารถใชว้ ิกฤตเปน็ โอกาส ใช้ปญั หาเปน็ โอกาส หาทางออกอยา่ ง
สรา้ งสรรค์

3.1.1) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การปรับตัว
เข้ากับบทบาทที่แตกต่าง งานที่ได้รับมอบหมาย
กาหนดการที่เปลี่ยนไป และบริบทท่ีเปล่ียนไป รวมท้ัง
สามารถทางานได้ผลดีในสภาพของความไม่ชัดเจน ไม่
แน่นอน และในสภาพที่ลาดับความสาคัญของงาน
เปลีย่ นแปลงไป
3.1.2) มีความยืดหยุ่น เช่น สามารถนาเอาผลลัพท์ที่เกิด
ข้นึ มาใช้ประโยชน์อย่างได้ผล จัดการเชงิ บวกต่อคาชม คา
ตาหนิ และความผิดพลาด สามารถนาเอาความเห็นและ
ค ว า ม เ ชื่ อ ที่ แ ต ก ต่ า ง ห ล า ก ห ล า ย ข อ ง ที ม ง า น จ า ก
หลากหลายวัฒนธรรม มาทาความเข้าใจ ต่อรอง สร้าง
ดุลยภาพ และทาใหง้ านลลุ ่วง
3.2) การริเร่ิมและการกากับดูแลตนเอง : ชีวิตในโลกยุคศตวรรษ
ท่ี 21 ต้องการบุคคลท่มี ีความขวนขวายและสามารถเรียนรไู้ ด้ด้วย
ตนเอง
3.2.1) การจัดการเป้าหมายและเวลา เช่น การกาหนด
เป้าหมายโดยมีเกณฑ์ความสาเร็จท่ีจับต้องได้และที่จับ
ต้องไม่ได้ มีความสมดุลระหว่างเป้าหมายเชิงยุทธวิธี กับ
เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ซ่ึงเป็นเป้าหมายระยะยาว
รวมทั้งสามารถใช้เวลาและจัดการภาระงานได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
3.2.2) การทางานได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถทางาน
สาเร็จได้โดยการกาหนดตัวงานเอง คอยติดตามผลงาน
เอง รวมท้งั กาหนดลาดบั ความสาคัญของงานเอง
3.2.3) การเป็นผู้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถ
มองเห็นโอกาสเรียนรู้ใหม่ๆ เพ่ือขยายความเช่ียวชาญ
ของตน สามารถริเร่ิมการพัฒนาทักษะไปสู่ระดับมือ
อาชีพ รวมท้ังสามารถทบทวน ใคร่ครวญ ประสบการณ์
ในอดตี แล้วนามาพัฒนาตนเองในอนาคตได้
3.3) ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม : สามารถทางาน
และดารงชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมและผู้คนท่ีมีความแตกต่าง

\\//\\//แนวคิดเก่ียวกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

74

หลากหลายได้อย่างไม่รู้สึกเครียดหรือแปลกแยก และทาให้งาน
สาเร็จได้ รวมทั้ง การยกระดับความฉลาดด้านสังคม และ
ความฉลาดดา้ นอารมณ์

3.3.1) การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธอ์ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เชน่ รวู้ า่
เมื่อไร ควรฟัง เมื่อไรควรพูด รวมทั้งแสดงพฤติกรรมได้
อยา่ งมอื อาชีพและน่านับถอื
3.3.2) การทางานอย่างมปี ระสทิ ธิภาพในทมี ทม่ี ี
ความหลากหลาย เชน่ เคารพความแตกตา่ งทาง
วัฒนธรรม และทางานร่วมกบั คนทมี่ ีพื้นฐานแตกตา่ งกัน
ทางสงั คมและวฒั นธรรมอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ สามารถ
ตอบสนองความเหน็ และคุณคา่ ทแ่ี ตกตา่ งอยา่ งใจกวา้ ง
รวมทัง้ สามารถยกระดับความแตกตา่ งทางสังคมและ
วัฒนธรรมไปสกู่ ารสรา้ งแนวความคิดใหม่ วธิ ที างานแบบ
ใหม่ หรือคุณภาพของ
ผลงานสงู ข้ึน
3.4) การมีผลงานและความรับผิดชอบตรวจสอบได้ : การเรียนรู้
ต้องมุ่งสู่การปฏิบัติ ดังน้ันบทสรุปของความรู้จะต้องออกมาในรูป
ของผลงานท่ีมคี ณุ ภาพ
3.4.1) การจัดการโครงการ เช่น สามารถกาหนด
เป้าหมายและทาให้บรรลุเป้าหมายนั้น แม้ว่าจะมี
อุปสรรคและมีแรงบีบค้ัน แย่งเวลาหรือความสนใจ
รวมท้ังสามารถกาหนดลาดับความสาคัญ วางแผน และ
จดั การงานได้
3.4.2) การผลิตผลงาน เช่น สามารถทางานได้ด้วยท่าที
เชิงบวก สามารถจัดการเวลาในการผลิตผลงานไดอ้ ยา่ งมี
ประสิทธิภาพ สามารถทางานไดอ้ ย่างหลากหลายในเวลา
เดียวกัน สามารถนาเสนอตนเองอย่างมืออาชีพและมี
มารยาท รวมท้งั รบั ผดิ ชอบต่อผลงานท่เี กิดข้ึน
3.5) ภาวะผู้นาและความรับผดิ ชอบ : ทักษะน้เี กิดจากรปู แบบ
การทางานท่ีเปลี่ยนแปลงไป โดยจะเปน็ การทางานร่วมกันของคน
จากหลากหลายที่ แบง่ หนา้ ทีก่ นั รับผิดชอบ และรว่ มกนั
สร้างสรรคผ์ ลงาน ดงั นนั้ การทางานจงึ อาจมกี ารสลับบทบาท
หน้าที่กนั อยู่เสมอจึงเปน็ ทักษะทีค่ วรมีในศตวรรษท่ี 21

\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

75

3.5.1) การชี้แนะและการเป็นผู้นาแก่ผู้อื่น เช่น การมี
มนุษยสัมพันธ์ สามารถแก้ปัญหา และชักนาผู้อื่นไปสู่
เป้าหมายได้ การทาให้ผู้อื่นเกิดพลังในการทางานให้
บรรลุผลสาเร็จร่วมกนั รวมท้งั สามารถสร้างแรงบันดาลใจ
ให้ผู้อ่ืน ได้ใช้ศักยภาพหรือความสามารถสูงสุดผ่าน
การทาตัวเปน็ ตัวอย่าง และไม่ถือผลประโยชน์ของตนเอง
เป็นที่ตั้ง ตลอดจนสามารถทาตวั ให้เปน็ ตัวอย่างในการใช้
อานาจอย่างมีจริยธรรมและคุณธรรม
3.5.2) มีความรบั ผิดชอบต่อผู้อ่นื เชน่ สามารถดาเนนิ การ
อย่างมีความรบั ผดิ ชอบโดยถอื ประโยชน์สว่ นรวมเปน็ ที่ตงั้

จากตารางวเิ คราะหท์ ักษะในศตวรรษท่ี 21 ขา้ งตน้ จงึ อาจสรปุ ได้วา่ ทกั ษะสาคัญในศตวรรษ
ที่ 21 คือ 3R + 8C + 2L ซงึ่ ประกอบดว้ ย รายละเอียดโดยสงั เขป ดงั ตอ่ ไปนี้

3R ไดแ้ ก่ R1 – reading (อา่ นออก)

R2 – (W)riting (เขยี นได้)

R3 – (A)rithmetics (คดิ เลขเปน็ )

8C ไดแ้ ก่ C1 - creativity & Innovation (ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม)

C2 – critical thinking & problem solving ( ทั ก ษ ะ ด้ า น ก า ร คิ ด อ ย่ า ง มี
วจิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ปญั หา)

C3 - cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่าง
กระบวนทศั น)์

C4 - collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ, การ
ทางานเป็นทีม และภาวะผูน้ า)

C5 - communications, information & media literacy (ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร

สารสนเทศ และรเู้ ท่าทนั สอ่ื )

C6 – computing & media literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร)

\\//\\//แนวคิดเก่ยี วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

76

C7 - career & learning skills (ทักษะอาชพี และทักษะการเรียนรู)้
C8 – change (ทักษะการเปลย่ี นแปลง)
2L ได้แก่ L1 – learning skills (ทักษะการเรียนรู้)
L2 – leadership (ภาวะผนู้ า)
3. หลกั การเรยี นรู้เพอ่ื สง่ เสริมทกั ษะผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21 เป็นอยา่ งไร
"ครตู ้องปรบั เปลี่ยนบทบาทเดิม จากการเปน็ ผูบ้ อกความรู้ หรือนาเสนอเน้ือหาการสอนท่ี
เป็นข้อเท็จจริงแบบแยกส่วน อีกทั้งกิจกรรมการสอนต้องเอ้ือให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงออกถึง
ความรู้ความสามารถของตนภายหลังจบการเรียนรู้ เพ่ือการนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในบริบทท่ี
หลากหลายซ่งึ จะทาใหก้ ารเรยี นสง่ ผลต่อทง้ั ดา้ นความรู้และทักษะที่สาคัญในศตวรรษที่ 21ได้"

1) การเรียนรู้ต้องมีเป้าหมายและบริบท : นักเรียนควรได้รับความช่วยเหลือเพ่ือให้เข้าใจ
เปา้ หมายของสิง่ ทีเ่ รียน การเรยี นรูค้ วรวางกรอบด้วยคาถามทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ความทา้ ทายทีส่ าคัญ และการ
ประยกุ ตใ์ ช้ได้อย่างแทจ้ รงิ

2) ผู้เชี่ยวชาญจัดระบบหรือแบ่งความรู้ของตนตามแนวคิดหลักที่ถ่ายโอนได้ : การสอน
เน้ือหาควรวางกรอบในแง่ของแนวคิดหลักและข้ันตอนท่ีถ่ายโอนได้ ไม่ใช่สอนเพียงข้อเท็จจริง และ
ทกั ษะแบบเป็นเอกเทศ

3) เน้นกระบวนการคิดให้กลายเป็นส่ือกลางสาหรับเสริมการเรียนรู้ : ควรให้นักเรียนมีส่วน
รว่ มในกระบวนการคดิ ที่ซบั ซ้อนเพื่อให้เรยี นรู้ได้ลึกซ้งึ ขึ้นหรือรจู้ ักนาไปประยุกตใ์ ช้ โดยฝึกให้นักเรียน
ฝึกคิดเพ่ือ การจัดจาแนก (Classification) และการจัดกลุ่ม (Categorization) การใช้เหตุผลเชิง
อนมุ าน (Inferential reasoning) การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการคดิ ซอ้ นคิด (Metacognition)
เป็นต้น

4) เน้นการแสดงออกหรือการสาธติ จากการเรียนรู้ : เปิดโอกาสใหน้ กั เรียนถา่ ยโอนสง่ิ ที่เรยี นรู้
ผ่านกระบวนการดัดแปลงสิ่งที่ได้เรียนรู้เข้ากับสถานการณ์และปัญหาใหม่ๆ ที่มีความสาคัญและ
หลากหลาย

\\//\\//แนวคดิ เกีย่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

77

5) พัฒนาการเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยการต่อยอดจากความรู้เดิมที่มี : ผู้เรียนใช้ประสบการณ์และ
ความรู้พ้ืนฐานเพ่ือสร้างความหมายต่อตนเองและโลกรอบตัวอย่างกระตือรือร้น ด้วยเหตุน้ีนักเรียน
จะต้องได้รับ ความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถเช่ือมโยงข้อมูลและความคิดใหม่ๆ เข้ากับสิ่งที่พวกเขา
เรยี นรูม้ าแล้ว

6) การเรียนรู้เป็นเรื่องทางสังคม : ครูควรสร้างโอกาสในการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ภายใต้
สภาพแวดลอ้ มทีเ่ ก้อื หนุน

7) ทัศนคตแิ ละค่านยิ มมสี ่วนช่วยในการเรยี นรูด้ ้วยการกล่ันกรองประสบการณแ์ ละสิ่งท่ีรับรู้ :
ครูควรช่วยให้นักเรียนรู้จักทัศนคติและค่านิยมของตนโดยชัดเจน และเข้าใจว่าส่ิงเหล่าน้ันส่งผลต่อ
การเรียนรู้อยา่ งไร 8) การเรียนรู้ไม่ใช่กระบวนการที่เป็นเส้นตรงแต่เป็นการพัฒนาที่มีการลง
ลึกตลอดเวลา : นักเรียนควรมีสว่ นร่วมในการทบทวนแนวคิดหลักและข้ันตอน เพ่อื พฒั นาการเรียนรู้
ใหล้ กึ ซึ้งและก้าวหน้ายง่ิ ข้นึ เม่อื เวลาผา่ นไป

9) ต้นแบบความเป็นเลิศ (Model of Excellence) และเสียงสะท้อนอย่างต่อเน่ืองช่วย
ปรับปรุง การเรียนรู้และการปฏิบัติ : ผู้เรียนต้องได้เห็นต้นแบบของงานท่ีเป็นเลิศ และต้องได้รับ
ความเห็นตอบกลับ (Feedback) อย่างสม่าเสมอ ทันท่วงที และ เป็นมิตร เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ปฏบิ ตั ิ
ทดลองซ้า คดิ ทบทวน และปรับปรุงงานของตนใหด้ ยี ิ่งขึ้น

10) การเรยี นทีเ่ อ้ืออานวยต่อลักษณะการเรยี นรู้ท่ผี ู้เรียนพอใจ รวมท้งั เพอ่ื ต่อความรเู้ ดิมและ
ความสนใจจะช่วยเสริมการเรียนรู้ : ครูควรทาการประเมินก่อนสอนเพื่อค้นหาความรู้เดิม ความชอบ
และความสนใจของนักเรียน ตลอดจนควรแยกแยะรูปแบบการสอนเพ่ือรองรับความแตกต่างของ
นักเรียนดว้ ย

4. ยทุ ธศาสตร์การสอนทีช่ ่วยใหบ้ รรลุผลลพั ธท์ ่พี งึ ประสงค์สาหรับศตวรรษที่ 21 เปน็ อยา่ งไร

"ยุทธศาสตร์สาคัญในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์แห่งศตวรรษท่ี 21 ได้แก่
การสอนท่ีให้นักเรียนมีส่วนในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น บูรณาการทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21
กับเน้ือหาวิชา นอกจากนี้ครูต้องคอยเปิดโอกาสให้นักเรียนถ่ายโอนการเรียนรู้ของตนเองเพื่อให้
เกิดกระบวนการประเมินอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที ตลอดจนสร้างสรรค์บรรยากาศการเรียนรู้ที่
ส่งเสรมิ กระบวนการคิดและการใหค้ วามเคารพซงึ่ กันและกัน โดยท่ีครตู อ้ งแสดงตนเปน็ ตน้ แบบท่ีดี
และน่ายกย่องด้วย"

\\//\\//แนวคิดเกยี่ วกับการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//

78

1) ยทุ ธศาสตรแ์ บบโต้ตอบท่ใี ห้นกั เรียนมสี ว่ นรว่ มอยา่ งกระตือรอื ร้นในการพัฒนาความเข้าใจ
เรือ่ งความคดิ อนั ยิ่งใหญแ่ ละการกระยุกต์ใช้ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 : การทาความเข้าใจแนวคิดหลัก
คือหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ เมื่อครูช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้ท่ีมีก่อนหน้า สารวจคาถาม
สาคัญ และอธิบายแนวคิดหลัก ครูต้องใช้ยุทธศาสตร์แบบโต้ตอบและมีส่วนร่วมเพื่อช้ีแนะผู้เรียนให้
เกิดความเขา้ ใจในเชงิ ลกึ รูจ้ กั พัฒนาและประยุกต์ใช้ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ดังนี้

1) การเรยี นรจู้ ากปัญหา
2) การทดลองทางวิทยาศาสตร์และการสืบคน้ ทางประวตั ศิ าสตร์
3) การสัมมนาแบบเนน้ การตั้งคาถามให้คิดหาคาตอบ
4) โครงการและการสื่อสารที่รว่ มกนั ทาเปน็ ทมี
5) การแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์
6) เคร่อื งมือการเรยี นรู้ทีช่ ว่ ยใหน้ ักเรียนรูจ้ ักเช่อื มโยง เชน่ การใชแ้ ผนผงั ภาพ
7) สมดุ จดปฏสิ ัมพันธ์ (Interactive Notebook) หรือ สมดุ จดทไี่ ม่ไดใ้ ชบ้ ันทกึ ข้อมูล
เพียงอย่างเดยี ว แตม่ พี ื้นท่ใี ห้ผูใ้ ชส้ ามารถปฏิสัมพันธ์ เชน่ วิเคราะหแ์ ละเพิ่มเติมความเห็นเช่ือมโยงกับ
ความร้ชู ุดอนื่ หรอื ใส่ภาพประกอบ
8) คาถามสาคญั ด้วยการถามซ้าๆ และให้เวลาตอบ

งานของครูและนักเรยี นเป็นงานยาก ในเชิงความคดิ และนักเรยี นมักจะถูกท้าทายทางปัญญา
เช่น การให้นักเรียนเขียนประมวลความคิดและเช่ือมโยงข้อมูลกับแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน สรุปสิ่งที่
เรียนรู้พร้อมทั้งเขียนบทวเิ คราะห์ท่ีมีตรรกะน่าเชือ่ ถือ รวมทั้งสนับสนุนความคิดของตนด้วยข้อโต้แย้ง
ทมี่ ีเหตผุ ลพอ

2) ยทุ ธศาสตรก์ ารสอนทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยประยกุ ต์ใชใ้ นพืน้ ทีท่ างวชิ าการ : ทักษะ
แห่งศตวรรษท่ี 21 และภารกิจหลักได้บูรณาการเข้าไปในพื้นที่การเรียนรู้ทางวิชาการและสอนการ
อย่างชัดเจนตลอดทุกระดับชั้น เมื่อแนะนาทักษะเหล่านี้ในระดับชั้นท่ีต่าลงมา ครูจะแบ่งทักษะ
ออกเป็นองค์ประกอบสาคัญต่างๆ และให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกและประยุกต์ใช้ทักษะดังกล่าว พร้อมท้ัง
คอยชี้แนะและให้ความเห็นเม่ือเวลาผ่านไปเราได้เห็นนักเรียนพัฒนาศักยภาพและความสามารถใน
การถ่ายโอนทักษะเหลา่ น้ไี ปสู่สถานการณใ์ หม่ๆไดด้ ้วยตัวเอง

3) นักเรยี นมีโอกาสมากมายท่ีจะถา่ ยโอนการเรียนรู้ไปสสู่ ถานการณ์ใหม่ : นกั เรียนเขา้ ใจเป็น
อย่างดีว่าการถ่ายโอนคือเป้าหมายหลักของการเรียนรู้และได้รับโอกาสมากมายท่ีจะประยุกต์ใช้สิ่งท่ี
เรียนร้แู ละ ความเข้าใจภายใต้สถานการณใ์ หม่ นักเรยี นมีโอกาสเข้าร่วมกจิ กรรมและการประเมินใน
ชีวิตจริง เช่น เขียน จดหมายถึงบรรณาธิการทาวิจัยเรื่องท่ีตนสนใจ ตรวจสอบประเด็นและข้อ

\\//\\//แนวคิดเกี่ยวกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

79

ถกเถียงในปัจจุบัน สร้างผลิตภัณฑ์และผลงานของตน เป็นต้น ครูอาจช่วยช้ีแนะให้นักเรียนเหน็ ความ
เช่อื มโยงระหวา่ งแนวคิดและทักษะกบั ประสบการณจ์ รงิ

4) ครูใช้การประเมินอย่างต่อเนื่องเพ่ือตรวจสอบระดับความเข้าใจเร่ืองแนวคิดและทักษะ
ของนักเรียนและปรับความเรว็ และระดับการสอนใหส้ อดคล้อง : ครใู ช้แบบประเมินผลก่อนเรียนอย่าง
สม่าเสมอเพ่ือตรวจสอบความรู้เดิม ความสนใจ และ รูปแบบการเรียนรู้ท่ีนักเรียนชอบระหว่างการ
เรียนรู้ดาเนินไป ครูจะตรวจสอบระดับการเรียนรู้และความเข้าใจในเร่ืองความคิดอันยิ่งใหญ่และ
ทักษะแห่งศตวรรษใหม่ของนักเรียนแต่ละคนอย่างต่อเนื่องและหลักการสอนตามความจาเป็น การ
ประเมินระหว่างการสอน เช่น การสรุป 5 นาทีในช่วงท้ายของช้ันเรียน การ์ดคาถามก่อนเลิกช้ันเรยี น
แบบทดสอบที่ไม่นับคะแนน และการสังเกตการณ์ อย่างไม่เป็นทางการ ถูกใช้เพื่อกาหนดระดับการ
เรียนรู้และความต้องการของผู้เรียน ครูคอยให้ความเห็น อย่างทันท่วงที และเข้าใจง่ายแก่นักเรยี น
ควบค่ไู ปกับการเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นฝึกฝนครนุ่ คิดและทบทวน

5) ครูสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศในการเรียนที่ให้คุณค่ากับการมีส่วนร่วมของนักเรียน
เคารพความคิด คาถาม และ สิ่งที่นักเรียนทาในช้ันเรียน รวมท้ังสนับสนุนให้นักเรียนแสดงความคิด
คาถาม และ การคาดคะเนของตน : บรรยากาศในช้ันเรียนที่ส่งเสริมให้เกิดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์
สาหรับศตวรรษที่ 21 คือการกระตุ้นให้นักเรียนกล้าลองคิดสง่ิ ใหม่ๆ ทางปัญญาและสร้างความหมาย
ให้แก่การเรียนรู้ ความผิดพลาด ถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้มากกว่าจะเป็นความลม้ เหลว นักเรียนมี
ส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้เพ่ือสร้างความหมายแก่ตนเองและส่วนรวม สนับสนุนให้นักเรียนตั้ง
คาถาม แสดงความเห็น ถกเถียง เรื่องหลักการตามที่เขา้ ใจ แลกเปล่ียนความเห็นกบั เพ่ือน สร้างสรรค์
และแบ่งปันความคิดเห็นของตน นอกจากน้ีครูต้องคอยจัดสถานการณ์เพื่อทบทวนสิ่งท่ีนักเรียนได้
เรยี นรู้ไปแลว้ อยา่ งสม่าเสมอ และครูต้องทาตวั เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติเชน่ นนั้ ด้วย

10. แนวทางการสอนซ่อมเสริมวชิ าภาษาไทย

การสอนซ่อมเสริม เปน็ การจดั การเรียนการสอนเพ่ือให้ความชว่ ยเหลือผู้เรียนท่ีมีข้อบกพร่อง
ในทักษะด้านต่างๆ ทางภาษาไทย การให้ความช่วยหลือแก่ผู้เรียนท่ีมีความสามารถในการทา
ความเข้าใจบทเรียนได้ค่อนข้างช้า ไม่สามารถติดตามบทเรียนได้ทันเพื่อนๆ ให้เรียนได้ดีข้ึน และ
ส่งเสริมผู้เรียนท่ีเรียนปานกลางหรือเก่ง ได้พัฒนาศักยภาพของเขาอย่างเต็มท่ี โดยการจัดกิจกรรม

\\//\\//แนวคดิ เก่ียวกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

80

รปู แบบตา่ งๆ รวมถงึ การให้ผเู้ รียนได้พัฒนาสังคมนสิ ยั เช่น ใหผ้ ทู้ ีเ่ รียนเกง่ ได้ชว่ ยเหลอื เพ่อื นท่เี รียนช้า
ในโอกาสอนั ควร การสอนซอ่ มเสรมิ วิชาภาษาไทยแกผ่ ู้เรียนในชั้นประถมศึกษา ควรมหี ลักปฏิบตั ิ ดงั นี้

1) ผู้สอนควรหม่ันสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน เพื่อจะได้ข้อมูล
เกี่ยวกับตัวผู้เรียนแต่ละคนว่ามีข้อบกพร่องหรือจุดเด่นในด้านใดบ้าง สมควรที่จะได้รับการแก้ไขหรือ
ส่งเสริมให้เขามพี ัฒนาการทีด่ ีย่ิงขึน้ อย่างไร

2) การจัดกิจกรรมการสอนซอ่ มเสรมิ ผูส้ อนควรคานงึ ถึงส่งิ ต่อไปนี้

2.1) ครูผู้สอนต้องตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนท่ีจะต้องเป็นผู้คอยส่งเสริมให้
กาลงั ใจแกผ่ ้เู รียน มคี วามอดทนสงู ใจเย็ฯ รกั และ เมตตาเดก็ ๆ

2.2) เตรียมจัดหาส่ือและกิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีจูงใจให้ผู้เรยี นเข้าใจ เร้าความ
สนใจใหผ้ ู้เรียนเกิดความสนกุ สนาน เพลดิ เพลิน กระตอื รือรน้ และรักท่ีจะเรียน

2.3) ดาเนินการสอนโดยให้คาอธิบายช้าๆ ชัดเจน มีลาดับข้ันตอน เร่ิมจากส่ิงท่ีง่าย
ไปหาสิง่ ทีย่ าก และเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนได้ร่วมกิจกรรมอยา่ งทัว่ ถงึ

2.4) ใช้เวลาดาเนินการสอนประมาณ 15 นาที ในช่วงก่อนเข้าเรียน พักกลางวัน
หรอื หลงั เลิกเรยี น เพอื่ ลดความเบอ่ื หน่ายต่อการเรยี นของผเู้ รยี นให้น้อยลง

2.5) จัดผู้เรียนที่มีข้อบกพร่องคล้ายๆ กัน เป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อง่ายต่อการสอนและ
การร่วมกิจกรรมของผู้เรียน ส่วนผู้เรียนทมี่ ีข้อบกพร่องแตกตา่ งจากกลุ่มเพ่ือน ผู้สอนอาจจัดสอนซ่อม
เสริมเปน็ รายบุคคล

3) การประเมินผลการเรยี นการสอนซ่อมเสรมิ ผ้สู อนควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี

3.1) หมั่นสังเกตพฤติกรรมการเรียนและผลการเรียนของผู้เรียนและจดบันทึกผลไว้
ทุกครง้ั

3.2) ผู้สอนควรทดสอบหลังจากเรียนจบบทเรียน เพ่ือทราบพัฒนาการของผู้เรียน
เป็นระยะๆ ถ้าพบว่า ผู้เรียนคนใดยังมีข้อบกพร่องอยู่ต้องทาการสอนซ้า โดยจัดกิจกรรมรูปแบบใหม่
มาสอนแลว้ ทดสอบใหม่

\\//\\//แนวคิดเก่ียวกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

81

3.3) ควรจัดทาแผนภูมิบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน เพื่อให้เขาได้
ทราบความก้าวหนา้ ในการเรยี นของเขาแต่ละคน เชน่

11. ลกั ษณะของครภู าษาไทยทดี่ ี
ครูผสู้ อนเป็นบุคคลท่ีสาคัญท่ีสดุ ในการจัดและดาเนินงานการศกึ ษาในทุกระดับและครูท่ีดีน้ัน

ยอ่ มเปน็ ทีพ่ ึงปรารถนาของสถาบันการศึกษาทุกๆ แหง่ โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา ไมว่ ่าจะเป็น
การสอนวิชาใดหรือกลุ่มประสบการณ์ใดย่ิงต้องการครูดี ซ่ึงเป็นครูที่มีคุณสมบัติหรือสมรรถภาพท่ี
พิเศษเฉพาะและเหมาะสมกับวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์นั้นๆ จะทาให้การเรียนการสอนสามารถ
ดาเนินไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและได้ผลตามความมุ่งหมายของหลักสตู ร

ในโรงเรียนประถมศึกษาโดยส่วนใหญ่ ครูคนหนึ่งๆ จาเป็นต้องสอนหลายๆ วิชา หรือทุกวชิ า
เน่ืองจากมีครูจานวนไม่พอกับปริมาณของผู้เรียน ดังนั้นครูที่สอนระดับชั้นประถมศึกษาจึงควรมี
ความรู้ความสามารถ เทคนิค และทักษะในการสอนทุกๆ วิชา เท่าที่จะสามารถทาได้ แต่สาหรับครูท่ี
จะสอนวิชาภาษาไทยน้ันควรมีคุณลักษณะท่ีเพิ่มเติมจากครูท่ีจะสอนวิชาอื่นๆ ซึ่งโดยสรุปแล้ว
ลกั ษณะของครภู าษาไทยท่ดี ีนนั้ ควรมลี ักษณะ ดงั น้ี

1) เป็นผู้ที่มีความรู้ทางภาษาไทยดี ลึกซ้ึงและกว้างขวาง : เพ่ือที่ผู้เรียนจะได้รับความรู้ที่
ถกู ต้องและเต็มเม็ดเต็มหนว่ ย สามารถยกตัวอยา่ งประกอบคาอธิบายไดถ้ ูกตอ้ ง ชัดเจน

\\//\\//แนวคดิ เกย่ี วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

82

2) มีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาของเด็ก : รู้จักจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้
เหมาะสมกับพฒั นาการทางภาษา รจู้ ักใช้หลกั จิตวทิ ยาการศึกษาในการสอน เพ่ือใหก้ ารเรียนการสอน
ดาเนนิ ไปไดอ้ ยา่ งดมี ากข้ึน

3) มีบคุ ลกิ ภาพท่ีดี : เป็นผู้มีอารมณร์ ่าเริงแจ่มใส ยิม้ แยม้ มีอารมณ์ขนั มปี ฏภิ าณไหวพริบดี
พูดจาไพเราะ ชัดถ้อยชัดคา วางตนดี แตง่ กายสภุ าพ สะอาด เรียบรอ้ ย มกี ริ ยิ าท่าทางดี รูจ้ ักวางตนได้
เหมาะสม เป็นแบบอย่างท่ีดี มคี วามเป็นกนั เอง

4) มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยเป็นอย่างดี : สามารถแสดงออกในการฟัง พูด อ่าน
และ เขียน ไดอ้ ย่างถูกต้องตามกาลเทศะ เปน็ ตัวอยา่ งหรือต้นแบบในการใชภ้ าษาท่ดี ีให้แกผ่ เู้ รียนได้

5) สามารถใช้วิธีสอนหรือกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดี : เหมาะสมกับจุดประสงค์และ
เน้ือหาของบทเรียน มเี ทคนิคหรือกลวิธีการสอนทแี่ ปลกใหม่ ทนั สมัย นา่ สนใจ ไม่ซ้าซากจาเจ และ มี
สื่อประกอบการเรียนการสอนทุกคร้ัง เพ่ือช่วยทาให้ผู้เรียนตั้งใจเรียนและมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน
วชิ าภาษาไทยและเกดิ ศรัทธาในตัวครูอีกดว้ ย

6) เป็นผู้มีจิตใจกว้าง มีเหตุผล : ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ชอบคิด มีความสามารถในการแสดงออกทางความคิดและอารมณ์ โดยเฉพาะเก่ียวกับบทร้อยกรอง
วรรณคดี จะทาใหส้ ามารถนาผูเ้ รียนใหเ้ กดิ อารมณ์รว่ มกบั กวไี ด้ เข้าใจบทวรรณคดไี ด้อย่างลกึ ซ้ึง

7) เป็นผู้ท่ีมีมนุษยสัมพันธ์ดี : สามารถเข้ากับผู้อ่ืนได้ มีความเชื่อม่ันในตัวเอง เข้มแข็ง กล้า
ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ งานหนกั ขยัน อดทน

8) มีความศรัทธา เชื่อมั่นในคุณค่าของภาษาไทยและมีทัศนคติท่ีดีต่อภาษาไทย : สามารถจูง
ใจให้ผู้เรียนมองเห็นความสาคัญของภาษาไทยและรักที่จะเรียนภาษาไทยด้วยใจจริง ซ่ึงจะช่วยให้
ผเู้ รียนมคี วามรกั ศรทั ธาในตวั ครู และยึดครเู ปน็ แบบอยา่ ง

9) เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น : ให้ความสาคัญต่อการค้นคว้าหาความรู้ที่ถูกต้อง แม่นยา
เพอ่ื นาไปถ่ายทอดให้แกผ่ เู้ รียนอยา่ งถกู ต้อง และหม่นั ปรบั ปรุงตนเองให้เป็นผมู้ คี วามรู้ทันสมยั อยู่เสมอ

10) สร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนการสอน : วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่ผุ้เรียนมักจะเบ่ือ
หน่าย แตถ่ ้าครูผู้สอนมคี วามสามารถในการจัดบรรยากาศของการเรยี นการสอนให้สนุก นา่ เรียน ก็จะ
ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนร่วมทากจิ กรรมดว้ ยดี

\\//\\//แนวคดิ เกีย่ วกบั การสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

83

11) เป็นผู้มีความสามารถพิเศษที่หลากหลาย : ความสามารถพิเศษทีห่ ลากหลาย เชน่ การ
ร้องเพลง การเล่นดนตรี การแต่งกลอน การนาเล่นเกม และ การขับเสภา เป็นต้น ช่วยให้การจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนมีชีวิตชีวา ทาให้ผู้เรียนมีความสนใจท่ีจะเรียน เกิดจินตนาการและ
มีความสนุกสนานเพลิดเพลินซ่ึงเป็นส่วนสาคัญท่ีจะช่วยให้การเรียนการสอนประสบความสาเร็จ
ได้เป็นอยา่ งดี

12) มีความรู้ในกลุ่มประสบการณ์อื่นๆ ดีพอสมควร และมีความรู้รอบตัวอย่างกว้างขวาง :
เพ่ือที่จะสามารถนาความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ มาสัมพันธ์กับการสอนวิชาภาษาไทยได้อย่าง
เหมาะสม ทาให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจและมีทักษะในการใช้ภาษาให้เกิดประโยชน์ใน
ชวี ติ ประจาวนั ไดอ้ ย่างแท้จรงิ

\\//\\//แนวคดิ เกยี่ วกับการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//

84

บทที่ 3

วิธสี อนท่สี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา

การสอนวิชาภาษาไทยให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากความเข้าใจเรื่องพ้ืนฐานเกี่ยวกับ
กระบวนการเรียนรู้ภาษาและแนวคิดแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของผู้เรียนแล้ว วิธีการ
สอนนับวา่ เป็นอีกปจั จยั หนง่ึ ท่ีมคี วามสาคญั ต่อพฤติกรรมการเรยี นรู้ของผ้เู รียนมากทส่ี ดุ ทัง้ นเ้ี นอื่ งจาก
วธิ ีสอนเป็นกระบวนการพัฒนาผเู้ รยี นอย่างเป็นระบบ ชว่ ยจดั เรียงสาระสาคัญของเนื้อหาและกิจกรรม
อยา่ งเป็นลาดับขั้น ทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างสมบูรณ์ แต่อยา่ งไรก็
ตามวิธีการสอนอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนร้ทู แ่ี ตกต่างกันไปในแต่ละรายวิชา ดังน้ันผู้สอนจึงต้อง
เลือกสรรวิธีสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติและเป้าหมายหลักของวิชาภาษาไทย ระดับประถมศึกษา
ตามวธิ ีการสอนทไี่ ดน้ าเสนอไว้ ดงั ต่อไปนี้

1. วิธีสอนแบบนิรนัย

การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive Method) เป็นกระบวนการท่ีผู้สอนจัดการเรียนรู้
ให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ ทฤษฎี หลักเกณฑ์ ข้อเท็จจริง หรือข้อสรุปตาม
วัตถุประสงค์ในบทเรียน จากน้ันจึงให้ตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่าง หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกนาทฤษฎี
หลักการ หลักเกณฑ์ กฎ หรอื ข้อสรปุ ไปใช้ในสถานการณ์ท่หี ลากหลาย หรอื อาจเป็นลักษณะใหผ้ ู้เรียน
หาหลักฐาน เหตุผลมาพิสูจน์ยืนยันทฤษฎี กฎหรือข้อสรุปเหลา่ นั้น การจัดการเรียนรูแ้ บบนี้จะชว่ ยให้
ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์ ทฤษฎี ข้อสรุปเหล่าน้ันอย่าง
ลึกซ้ึง ฉะนั้นการสอนแบบน้ีจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสอนจากทฤษฎีหรือกฎไปสู่ตัวอย่างที่เป็น
รายละเอยี ด
ขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรม

1) ขัน้ กาหนดขอบเขตของปญั หา : เปน็ การนาเขา้ สู่บทเรียนโดยการเสนอปัญหาหรือระบุส่ิง
ท่ีจะสอนในแง่ของปัญหา เพ่ือย่ัวยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจท่ีจะหาคาตอบ ปัญหาท่ีนาเสนอควรจะ
เก่ียวขอ้ งกับสถานการณ์ของชีวติ และเหมาะสมกบั วฒุ ภิ าวะของผู้เรยี น

2) ขั้นแสดงและอธิบายทฤษฎีหลักการ : เป็นการนาเอาทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุปที่
ต้องการสอนมาจดั การเรยี นรู้ให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี กฎ หรอื หลกั การ นัน้

\\//\\//วธิ ีสอนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//

85

3) ขั้นใช้ทฤษฎีหลักการ : เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะเลือกทฤษฎี หลักการ หรือ กฎ ท่ีได้รับจาก
การเรยี นร้มู าใช้ในการแก้ปัญหาที่ได้กาหนดไว้

4) ข้ันตรวจสอบและสรุป : เป็นข้ันที่ผู้เรียนจะตรวจสอบและสรุปทฤษฎี หลักการ กฎ
ข้อสรุปหรือนิยามที่ใช้ว่าถูกต้อง สมเหตุสมผลหรือไม่ โดยอาจปรึกษาผู้สอน หรือค้นคว้าจากตารา
ต่างๆ หรือจากการทดลอง ซ่ึงข้อสรุปที่ได้พิสูจน์หรือตรวจสอบว่าเป็นจริงเท่าน้ันจึงจะสามารถเป็น
ความรทู้ ่ีถกู ต้องได้

5) ข้ันฝึกปฏิบัติ : เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุป พอสมควรแล้ว
ผ้สู อนเสนอสถานการณใ์ หม่ใหผ้ ู้เรยี น ฝึกนาความรู้มาประยกุ ตใ์ ช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ ท่หี ลากหลาย

2. วิธีสอนแบบอปุ นัย

การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย (Inductive Method) เป็นกระบวนการท่ีสอนเน้ือหาจาก
รายละเอียดสว่ นย่อยไปหารายละเอยี ดส่วนใหญ่ โดยการนาเอาตวั อย่าง ข้อมูล เหตุการณ์ สถานการณ์
หรอื ปรากฏการณ์ ทม่ี หี ลกั การแฝงอยมู่ าให้ผู้เรยี นศึกษา สงั เกต ทดลอง เปรยี บเทยี บ หรอื วิเคราะห์
จนสามารถสรปุ หลักการหรือกฎเกณฑไ์ ด้ดว้ ยตนเอง เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนไดฝ้ กึ ทักษะ การสังเกต การคิด
วิเคราะห์ ซึ่งทาให้เกิดการเรียนรู้และสามารถสรุปหรือค้นพบหลักการ กฎเกณฑ์ หรือประเด็นสาคัญ
ได้ดว้ ยตวั เอง

ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรม
1) ขัน้ เตรยี มการ : ทบทวนความรเู้ ดมิ หรือปพู นื้ ฐานความร้ใู หก้ บั ผเู้ รียน
2) ขั้นเสนอตัวอย่าง : ผู้สอนนาเสนอตัวอย่างข้อมูล สถานการณ์ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์

หรือแนวคิดให้ผู้เรียนได้สังเกตลักษณะและคุณสมบัติของตัวอย่างเพ่ือพิจารณาเปรียบเทียบสรุปเป็น
หลกั การ แนวคิด หรือ กฎเกณฑ์ ซงึ่ การเสนอตวั อย่างควรเสนอหลายๆ ตัวอยา่ งให้มากพอท่ีผู้เรียนจะ
สามารถสรปุ เป็นหลกั การหรอื หลกั เกณฑ์ตา่ งๆ ได้

3) ขั้นเปรยี บเทียบ : ผู้เรยี นฝกึ สงั เกต ค้นหา วิเคราะห์ รวบรวม เปรียบเทียบ ความคลา้ ยคลงึ
กันขององค์ประกอบในตัวอย่าง แยกแยะข้อแตกต่าง มองเห็นความสัมพันธ์ในรายละเอียดท่ี
เหมือนกัน หรือ ต่างกนั

ในข้ันน้ีหากตัวอย่างท่ีให้แก่ผู้เรียนเป็นตัวอย่างที่ดี ครอบคลุมลักษณะหรือคุณสมบัติ
สาคัญๆ ของหลักการ ทฤษฎีก็ย่อมจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถศึกษาและวิเคราะห์ได้ตรงตาม
วัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว แต่หากผู้เรียนไม่ประสบความสาเร็จผู้สอนอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือใช้วิธี
กระตนุ้ ให้ผู้เรียนได้คิดค้นต่อไปโดยการต้ังคาถามกระตุน้ แต่ไม่ควรให้ในลักษณะบอกคาตอบ เพราะวิธี

\\//\\//วธิ สี อนที่สอดคล้องกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//

86

สอนนี้มุ่งใหผ้ เู้ รียนได้คิด ทาความเขา้ ใจดว้ ยตนเอง ดังนั้นควรใหผ้ ูเ้ รยี นได้รว่ มกันคิดวเิ คราะห์เป็นกลุ่ม
ย่อยเพอื่ จะได้แลกเปลี่ยนความคดิ เห็นซ่งึ กันและกนั โดยเน้นใหผ้ ู้เรยี นทกุ คนมีส่วนรว่ มในการอภปิ ราย
กลมุ่ อย่างทวั่ ถึงและผสู้ อนไมค่ วรรบี รอ้ นหรือเรง่ เร้าผู้เรยี นจนเกนิ ไป

4) ขั้นสรุปกฎเกณฑ์ : เป็นการให้ผู้เรียนนาข้อสังเกตต่างๆ จากตัวอย่างมาสรุปเป็นหลักการ
กฎเกณฑ์ หรอื นิยามดว้ ยตัวผ้เู รยี นเอง

5) ขั้นนาไปใช้ : ผู้สอนควรจะเตรียมตัวอย่างข้อมูล สถานการณ์ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์
หรือ ความคิดใหม่ๆ ที่หลากหลายมาให้ผเู้ รียนใช้ในการฝึกนาความรู้ ข้อสรุปไปใช้ หรือ ผู้สอนอาจให้
โอกาสผู้เรียนช่วยกันยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของผู้เรียนมาเปรียบเทียบก็ได้ เป็นการส่งเสริมให้
ผเู้ รยี นนาความรู้ท่ีไดร้ บั ไปใช้ในชีวิตประจาวนั และจะทาให้ผเู้ รียนเกิดความเขา้ ใจอย่างลึกซ้ึงย่ิงข้ึน รวมท้ัง
เป็นการทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนว่าหลักการท่ีได้รับนั้นสามารถนาไปใช้แก้ปัญหาหรือทา
แบบฝึกหัดไดห้ รือไม่ หรอื เป็นการประเมนิ วา่ ผเู้ รยี นได้บรรลวุ ัตถุประสงคท์ ี่ตงั้ ไวห้ รือไม่น่นั เอง

3. วิธสี อนแบบแสดงละคร

การจดั การเรียนรู้โดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) คือ กระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้สอนให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนแสดงละคร ซึ่งเป็นเร่ืองราวที่ต้องการให้
ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ตามเน้ือหา และบทละครท่ีได้กาหนดไวต้ ั้งแตต่ ้นจนจบ ซงึ่ ผเู้ รยี นจะต้องแสดงบทบาท
หรอื สมมตุ ิวา่ ตนเองเป็นหรือแสร้งทาเปน็ ตัวเขาเองหรือบุคคลอ่นื หรือตวั ละครตวั ใดตวั หน่ึงโดยจะต้อง
แสดงบทบาทการใช้ภาษา แสดงสีหน้า ท่าทางกับการเคล่ือนไหวประกอบการสนทนาตามบทละครที่
แต่งไว้เรียบร้อยแล้ว และผู้แสดงจะไม่นาเอาบุคลิกภาพและความรู้สึกนึกคิดของตนเองเข้าไปมีส่วน
เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีส่วนทาให้เกิดผลเสียหายต่อการแสดงบทบาทน้ันๆ วิธีการน้ีจะทาให้ผู้เรียนได้มี
ประสบการณ์ในการที่จะเข้าใจในความรู้สึก เหตุผล และพฤติกรรมของผู้อื่น และจะสามารถจดจา
เร่ืองราวนน้ั ไดน้ าน
ขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

1. ขน้ั เตรียมการ
1.1) ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายถึงวัตถุประสงค์ของการท่ีจะใช้บทละครเพื่อ

การเรยี นรตู้ ามวัตถปุ ระสงค์ทก่ี าหนด

\\//\\//วิธีสอนทส่ี อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//

87

1.2) ผู้สอนเตรียมบทละครไว้ให้ผู้เรียนแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยอาจให้โอกาสผู้เรียนมี
สว่ นรว่ มในการเลือกเรือ่ งราวท่ีจะแสดงบทพูดของตวั ละครต่างๆ

1.3) ผู้สอนและผ้เู รียนร่วมกนั ศกึ ษาเนอื้ หาเร่ืองราวจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพอ่ื ให้ได้เน้ือหา
เรื่องราวท่ีตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด หรืออาจจะต้องแสวงหาผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์ หรือ
ความเชย่ี วชาญเก่ยี วกับเรอ่ื งนนั้ ๆ มาใหค้ าปรึกษา เช่น การแสดงละครทางประวตั ศิ าสตร์ เป็นตน้

อนึ่งการใช้การละครเพื่อการเรียนรู้นั้น อาจจะไม่จาเป็ฯที่จะต้องจัดทาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
มีความสมบูรณ์เหมือนความจริง แต่ส่ิงท่ีผู้สอนจะต้องให้ความเอาใจใส่และพิถีพิถันมากคือประเด็น
ความรู้หรือสาระต่างๆ ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะต้องเด่นชัดองค์ประกอบอ่ืนๆ เป็น
ส่วนเสริม ซึ่งแตกต่างกับการแสดงละครท่ีเป็นศิลปะการแสดงที่จะต้องจัดทาทุกส่ิงทุกอย่างให้มี
ความสมบรู ณ์ตรงตามความเปน็ จริงให้มากทส่ี ดุ

2. ขน้ั ศกึ ษาบทละครและเลอื กผ้แู สดง
2.1) ผ้สู อนและผ้เู รยี นรว่ มกันศึกษาและทาความเข้าใจบทละคร
2.2) ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันพิจารณาคัดเลือกผู้แสดง โดยคานึงถึงความเหมาะสมและ

ความสามารถของผู้เรียนกับบทบาทท่ีจะมอบให้แสดง ควรจะเลือกผู้ที่มีบุคลิกลักษณะตรงกับเร่ือง
และมีความสามารถท่ีจะตีบทแตก รวมท้ังผู้แสดงนั้นควรจะสมัครใจหรือเต็มใจท่ีจะแสดงด้วย จะ
สง่ ผลให้งานการแสดงน้ันตรงกบั เรื่องราวและใกลค้ วามเป็นจริงมากท่สี ดุ

3. ขนั้ ศึกษาบท ซอ้ มการแสดง เตรยี มวัสดุอุปกรณ์และผูช้ มการแสดง
3.1) ผู้แสดงแต่ละคนจะต้องศึกษาเร่ืองราวและบทบาทของตนให้ลึกซ้ึง จดจา และ

ฝึกซอ้ มบทของตนใหค้ ลอ่ ง
3.2) จัดให้มีการฝึกซ้อมร่วมกัน เพราะหลังจากฝึกซ้อมแล้ว บางกรณีอาจจะมี

ความจาเป็นต้องเปล่ียนตัวผู้แสดง หากพบว่าผู้ท่ีเลือกไว้ไม่มีความสามารถแสดงได้ดีพอที่จะสื่อ
ความหมายไดต้ รงกับเรือ่ งราวหรือเนือ้ หาอนั เปน็ จดุ ประสงคส์ าคญั ของการเรยี นรู้

3.3) ผู้สอนควรจัดแบ่งงานหรือมอบความรับผิดชอบให้แก่ผู้เรียนที่ไม่ได้แสดง เพราะ
โดยปกติการเรียนรู้โดยใชก้ ารแสดงละครนั้น ผู้เรียนจะไม่ได้แสดงท้ังหมด ผู้ที่ไม่ได้แสดงก็จะเป็นผู้ชม
การแสดงหรือเป็นผู้ช่วยจัดการแสดง เช่น เป็นผู้กากับการแสดง บอกบท จัดฉาก แต่งตัวผู้แสดง
จัดหาวัสดุอุปกรณ์การแสดง เป็นต้น ดังนั้นผู้สอนจึงควรจัดแบ่งงานให้ผู้เรียนที่เหลือตามความสนใจ

\\//\\//วิธสี อนท่ีสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//

88

และความสามารถของผู้เรียน พร้อมทั้งให้คาแนะนาในการชมการแสดง การสังเกตหรือประเด็น
สาคัญๆ ของเรื่องทีจ่ ะนาไปสูก่ ารเรยี นรู้

4. ขน้ั แสดง
4.1) ผแู้ สดงจะตอ้ งตัง้ ใจทาการแสดงตามบทบาทและขน้ั ตอนท่ีกาหนดไว้ใหด้ ที ีส่ ดุ
4.2) ผู้สอนและผู้ชมการแสดงควรชมการแสดงด้วยความต้ังใจ ให้กาลังใจผู้แสดงด้วย

การปรบมอื เป็นระยะๆ เป็นต้น
4.3) ผู้ชมจะต้องตั้งใจสังเกตการณ์แสดงในประเด็นสาคัญๆ ที่ผู้สอนแนะนาไว้ หรืออาจมี

การจดบนั ทกึ ไว้เผื่อกนั ลืม
5. ข้นั อภปิ รายและสรปุ
5.1) ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกัน โดยมุ่งถึงการอภิปรายเร่ืองราวที่แสดงออกมา

ความสามารถของผ้แู สดงและประเด็นทเ่ี ป็นเนือ้ หาสาระสาคัญของการเรียนรู้
5.2) ผู้สอนและผเู้ รียนรว่ มกันสรปุ สาระสาคัญของการเรยี นรทู้ ไ่ี ด้จากการแสดงละคร

4. วิธสี อนแบบบทบาทสมมุติ
การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมุติ (Role Playing) คือ กระบวนการที่ผู้สอนกาหนด

หัวข้อเรื่องปัญหาหรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง แล้วให้ผู้เรียนสวม
บทบาท หรือแสดงบทบาทนั้นตามความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์ของผู้เรียนท่ีคิดว่าควรจะเป็น
ภายหลังของการแสดงบทบาทสมมุติจะต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงออกท้ังด้านความรู้และ
พฤตกิ รรมของผแู้ สดงเพอ่ื การเรียนร้ตู ามวตั ถุประสงค์
ขั้นตอนการจัดการเรยี นรู้

1. ข้ันเตรยี มการ
ผู้สอนควรกาหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน สร้างสถานการณ์และกาหนดบทบาทสมมุติซึ่ง

บทบาทสมมตุ ิที่ใช้ประกอบการเรยี นการสอนอยูใ่ นปจั จุบันนี้แยกออกเป็น 3 วิธี ดงั นี้

\\//\\//วิธีสอนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//

89

1) การแสดงบทบาทสมมุติแบบไม่มีบทเตรียมไว้ ซ่ึงผู้แสดงไม่จาเป็นต้องฝึกซ้อมก่อนท่ี
จะแสดง เม่ือเรียนถึงเรื่องใดตอนใดก็แสดงได้ทันที โดยแสดงไปตามความรสู้ ึกนึกคิด
ของตนเอง เชน่ เป็นครู ทหาร หรอื บุคคลสาคญั ต่างๆ ในชมุ ชน เปน็ ต้น

2) การแสดงบทบาทสมมุติแบบเตรียมบทไว้พร้อม ผู้สอนจะเตรียมบทไว้ล่วงหน้า บอก
ความคิดรวบยอดและบทบาทให้ผู้แสดงทราบ ซ่ึงผู้แสดงอาจแสดงตามบทที่กาหนด
บ้างหรืออาจคิดบทบาทข้ึนเองตามความคิด ความพอใจของตน แต่ต้องตรงกับ
เน้ือหาทกี่ าหนดไว้

3) การแสดงบทบาทสมมุติทแบบแสดงละคร ผู้สอนกาหนดบทบาทไว้แล้วผู้แสดง
จะตอ้ งฝกึ ซ้อมแสดงและพดู ตามบทที่ผู้สอนกาหนดขึน้

2. ข้ันเรมิ่ บทเรียน
ผู้สอนควรกระตุ้นความสนใจผู้เรยี นใหค้ ิดและอยากติดตามเร่ืองราวต่างๆ ซ่ึงอาจทาได้หลาย
วธิ ี เชน่

- การเช่ือมโยงประสบการณใ์ กล้ตวั ผ้เู รียน
- การเชอ่ื มโยงประสบการณ์ท่ผี ู้เรียนไดร้ ับในอดตี
- การเล่าเรอื่ งราวหรือสถานการณส์ มมตุ ิท่เี ตรียมมาแล้วและท้ิงท้ายด้วยปัญหา
- การช้แี จงให้เหน็ ประโยชน์จากการเขา้ ร่วมแสดงและรว่ มกนั คิดแก้ปัญหา
- การใชค้ าถามนาซ่ึงเป็นคาถามหลกั ในประเด็นที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการคิด
- ฯลฯ
3. ข้นั เลือกผแู้ สดง
การเลือกผู้แสดงขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายท่ีต้องการให้เกิดกับผู้เรียน และควรให้โอกาสผู้เรียน
อาสาสมคั รแสดงบทบาทดว้ ยความเต็มใจ เม่ือเลอื กผแู้ สดงครบถว้ นโดยวิธีการใดวธิ ีการหนึ่งแลว้ ควร
ใหเ้ วลาในการเตรียมการแสดงและการฝกึ ซอ้ มพอสมควร เช่น
- เลือกผู้แสดงท่ีมีลักษณะเหมาะสมกับบทบาท เพ่ือให้การแสดงเป็นไปอย่างราบร่ืน
ตามวัตถุประสงค์
- เลือกผู้แสดงที่มีลักษณะตรงข้ามกับบทบาทท่ีกาหนดให้ เพื่อให้ผู้เรียนคนน้ันไดร้ บั
ประสบการณใ์ หม่ เกดิ ความเขา้ ใจในความรู้สกึ และพฤตกิ รรมของผทู้ มีลกั ษณะแตกตา่ งไปจากตน
- เลอื กผแู้ สดงจากอาสาสมคั รหรอื ความสมคั รใจท่ีผแู้ สดงแตล่ ะคนสนใจ

\\//\\//วิธีสอนทส่ี อดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//

90

- เลือกผู้แสดงแบบจาเพาะเจาะจง เพ่ือให้บคุ คลนน้ั เกดิ การเรยี นรู้ และไดข้ อ้ คิดจาก
บทบาททไ่ี ด้รับ

- ฯลฯ
4. ขัน้ กาหนดตัวผู้สังเกตการณห์ รือผชู้ ม
ผู้สอนควรซ้อมความเข้าใจกับผู้ชมหรือผู้สังเกตการณ์ว่า การแสดงบทบาทสมมุติที่จัดขึ้นนี้
มิได้ม่งุ นาเสนอเพือ่ ความสนกุ สนาน ความบนั เทิง แต่ที่จรงิ แลว้ จุดประสงค์ท่สี าคัญม่งุ ใหเ้ กิดการเรียนรู้
แก่ผู้แสดงและผู้ชมหรือผู้สังเกตการณ์ ดังนั้นผู้ชมควรสังเกตและมีแบบบันทึกการสังเกต เพ่ือสะดวก
ในการเก็บขอ้ มลู ต่างๆ ไดอ้ ยา่ งครบถ้วน
5. ขั้นแสดง
การใช้วัสดอุ ุปกรณ์ประกอบการแสดง ควรใช้เศษวัสดุโดยการใชซ้ ้า การหมุนเวียนนากลับมา
ใช้ใหม่หรือซ่อมแซมใช้ เพื่อเป็นการประหยัดและปลูกจิตสานึกในการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ให้เกิด
ประโยชน์คุ้มค่า จัดเป็นฉาก การแสดงให้ดูสมจริงสมจัง เม่ือทุกฝ่ายพร้อมแล้วให้เร่ิมการแสดงตาม
เวลาที่กาหนด ผู้แสดงควรดูแลกากับการแสดงอย่างใกล้ชิด ไม่ควรให้ใช้เวลายืดยาวมากเกินไปหรือ
แสดงออกนอกเรื่องหรือวกวนไปมาจนผู้ชมเกิดความราคาญหรือความสับสนไม่สามารถจับประเด็น
ตามที่ต้องการได้
6. ขนั้ วิเคราะห์และอภปิ รายผลการแสดง
ขั้นตอนน้ีเป็นข้ันตอนสาคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้
เทคนิคท่ีจาเปน็ คือการสัมภาษณ์ความรู้สึกของผู้แสดงและการจดบันทึก ต่อจากนน้ั จงึ สัมภาษณ์ผู้ชม/
ผู้สังเกตการณ์ต่างๆ จากข้อมูลที่บันทึกไว้ เพ่ือนาข้อมูลเหล่าน้ันมาเป็นประเด็นในการอภิปราย
สะทอ้ นความคิดเหน็ และสรปุ ประเดน็ สาคัญในการเรยี นรู้
ผู้สอนต้องระมัดระวังในการคุมประเด็นการอภิปราย โดยเน้นผู้ร่วมอภิปรายทุกคนให้
ตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมุติว่า บทบาทที่ผู้แสดงแสดงออกมานั้นเป็น
เคร่ืองมือในการดึงความรู้สกึ นึกคิด การรับรู้ เจตคติหรืออคติต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของผแู้ สดงแต่
ละคนออกมาเพ่ือเป็นข้อมูลในการเรียนรู้ ดังน้ันการอภิปรายจึงควรมุ่งเน้นเฉพาะพฤติกรรมท่ีผู้สวม
บทบาทแสดงออกมา ตลอดจนสะท้อนความรู้สึกของผู้สวมบทบาที่แสดงตามบทบาทนั้นๆ เช่น มี
พฤติกรรมอะไรบ้างท่ีน่าสนใจ ทาไมจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น พฤติกรรมนั้นๆ จะก่อให้เกิดผล
อะไรบ้าง เป็นต้น ประเด็นสาคัญผู้ร่วมอภิปรายไม่ควรมุ่งประเด็นไปวิจารณ์การแสดงรายบุคคล เช่น

\\//\\//วธิ ีสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//

91

แสดงได้ดี ไม่ดีเพียงไร เพราะนอกจากจะทาให้ผู้แสดงที่ตั้งใจแสดงตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย
ถูกวิพากษ์วิจารณ์จนเสยี ความรสู้ ึกแลว้ ยงั ผดิ วัตถุประสงค์ทตี่ ้องการอภปิ รายอกี ดว้ ย

7. ขนั้ แลกเปล่ียนประสบการณแ์ ละสรปุ
เมื่อได้วิเคราะห์และอภิปรายผลของการแสดงแล้ว ผู้สอนจะเป็นผู้เร้าและจูงใจให้ผู้เรียนได้
แลกเปล่ียนประสบการณ์ต่างๆ เพ่ือให้เกิดแนวคิดกว้างขวางขึ้น โดยให้ข้อคิดว่าส่ิงท่ีได้เรียนรู้หรอื พบ
เห็นมาน้ัน เป็นสิ่งที่มีส่วนเก่ียวข้องบนพ้ืนฐานความเป็นจริงในวิถีชีวิตทั้งนั้นแล้ว ให้ผู้เรียนช่วยกัน
กาหนดกรอบแนวคิดของเร่ือง สรปุ ประเด็นใหต้ รงกับวตั ถุประสงค์ของการแสดงท่ีกาหนดไว้

5. วธิ สี อนแบบมุ่งประสบการณท์ างภาษา

การจดั การเรยี นรู้แบบมุ่งประสบการณ์ภาษา หรอื Concentrated Language Encounters
เป็นเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางภาษาจากประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ผ่านกระบวนการรับและส่ง
สารโดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวกในระหว่างจัดระเบียบความรู้ความเข้าใจการใช้ภาษาอย่าง
ถกู ต้องและเหมาะสม รวมทง้ั เปดิ โอกาสใหม้ ีกระบวนการฝกึ ฝนแบบเน้น ซา้ ย้าทวน เพอ่ื ปรบั ปรุงและ
ต่อยอดทกั ษะทางภาษาให้คงทนถาวรมากยิ่งขึ้นต่อไป

ผู้ริเร่ิมพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งประสบกาณ์ทางภาษา (CLE) คือ ดร.ไบรอัน
เกรย์ (Dr.Brian Gray) และ จูเลีย ไพรซ์ (Julia Price) ซึ่งเป็นผู้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนเทรเกอร์
ปาร์ค (Traeger Park School) ประเทศออสเตรเลีย โดยพัฒนาแนวคิดนี้ร่วมกับ ริชาร์ด วอล์กเกอร์
(Richard Walker) และ เนีย ดอ (Nea Dore) ซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญด้านภาษาศาสตร์และการรู้หนังสือ
เพื่อมุ่งพัฒนาทักษะทางภาษาให้แก่นักเรียน ซึ่งได้ผลลัพธ์ในเชิงประจักษ์ว่า ผู้เรียนท่ีได้รับการพัฒนา
ด้วยวิธีการน้ีมีความสามารถทางภาษา มีนิสัยรักอ่าน และมีวิจารณญาณในการรับสารสูงขึ้นอย่าง
มีนยั สาคญั ทางสถติ ิ

ต่อมารองศาสตราจารย์ ดร.เสาวลักษณ์ รัตนวิชญ์ ได้นาแนวทางการเรียนรู้ดังกล่าวน้ีมา
ปรับประยุกต์ใช้กับบริบทของสังคมไทย ผ่านกระบวนการวิจัยซ่ึงได้ผลเป็นข้อสรุปว่า รูปแบบนี้ทาให้
ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสาร ด้านการอ่าน การเขียน การฟัง และ การพูด สูงขึ้นมากกว่า
กลุ่มควบคุม ถึง 73% นอกจากน้ีเม่ือนาแนวทางท่ีรองศาสตราจารย์ ดร.เสาวลักษณ์ ดัดแปลง
กระบวนการดังกล่าวไปใช้กับกลุ่มประเทศสมาชิกโรตารี่สากล เช่น ตุรกี เนปาล บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์
มาเลเซีย อินเดีย เป็นต้น ปรากฏผลลัพธ์การดาเนินการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ผู้เรียนสามารถพูด

\\//\\//วธิ ีสอนทส่ี อดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//

92

และเขียนสื่อสารได้ดีขึ้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน สาหรับการสอนภาษาท่ี 1 และ 6 เดือน สาหรับ
การสอนภาษาท่ี 2 ดว้ ยการเรยี นเพยี ง 5 ชว่ั โมง ตอ่ สัปดาห์

ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรม
การจัดการเรียนรู้แบบมุ่งประสบกาณ์ทางภาษา (CLE) จาแนกกระบวนการนาไปใช้ 3 ระดับ

คือ ผู้เรียนที่มีข้อจากัดในการใช้ภาษา, ผู้เรียนท่ีสามารถใช้ภาษาได้อย่างอิสระ และ ผู้เรียน
ที่มีความสามารถทางภาษาขั้นสูง โดยกระบวนการแต่ละระดับมีข้ันตอนดาเนินกิจกรรม ท่ี
แตกต่างกัน ดงั นี้

ระดับท่ี 1 : ผู้เรียนในระดับเร่ิมต้นซ่ึงมีข้อจากัดในการใช้ภาษา การจัดสถานการณ์เน้นให้

ผู้เรียนรู้สึกสนุกสนานในการอ่านและการเขียนพร้อมท้ังเรียนรู้วิธีการใช้ภาษาของตนเองจากกิจกรรม

ทค่ี รูช่วยแกไ้ ขปรบั ใหก้ ารสง่ สารสมบรู ณ์

ข้ันตอน

ดาเนนิ กิจกรรมโดยใช้เนอื้ หาเป็นฐาน ดาเนินกิจกรรมโดยใชก้ ิจกรรมเปน็ ฐาน

(Text-based Unit) (Activity-based Unit)

1. เล่าเรื่องเน้อื หาจากเนื้อเรื่องเปา้ หมาย 1. เลา่ เรือ่ งจากประสบการณ์ท่ีมลี กั ษณะเน้ือหา

2. นกั เรียนเล่าเร่ืองย้อนกลบั พร้อมกบั ขั้นตอนชดั เจนเป็นรปู ธรรม เชน่ การพดู แนะนา

อภิปรายเนอื้ เรื่องร่วมกนั ดว้ ยเทคนคิ บทบาท อปุ กรณ์ การสาธติ วิธีการ หรือ อธิบายการเข้าร่วม

สมมติ เชน่ ถ้านกั เรยี นเปน็ ตวั ละครจะแสดง กิจกรรมท่ีมีลาดับขั้นตอน เป็นต้น ด้วยเทคนิคการ

พฤติกรรมตา่ งออกไปจากเนื้อเรื่องอย่างไรบา้ ง เลา่ เรื่องทชี่ ้า ชดั และ เป็นขัน้ ตอน

เป็นตน้ 2. นกั เรยี นเล่าเรอ่ื งย้อนกลบั ซึง่ อาจเป็นการสาธิต

ซ้าอกี ครง้ั ดว้ ยอปุ กรณเ์ ดิม ท้งั นส้ี ามารถออกแบบ

กิจกรรมให้ผูเ้ รยี นแต่ละคนได้มีโอกาสฝกึ ฝนเปน็

รายบคุ คล หรอื จัดเปน็ กลุม่ ย่อย เพื่อทบทวน

ความเข้าใจเรื่องที่ฟัง ในข้อ 1

3. ปรับเปลย่ี นขดั เกลาการใช้ภาษาให้ถกู ตอ้ งและสอ่ื ความได้ชัดเจน

4. จัดทาเนือ้ หาเป็นรูปเล่มที่สามารถนาไปใชเ้ ปน็ สื่อต่อยอดในกจิ กรรมทางภาษาอ่นื ตอ่ ไปได้ง่าย ซง่ึ

ทาให้ได้เน้ือหาที่นามาจัดทารูปเล่มอย่างหลากหลายทั้งเน้ือหาในเชิงกว้างและเชิงลึกจ นท้ายที่สุด

สามารถนามารวบรวมเปน็ หนงั สือเลม่ ใหญ่

5. จัดสถานการณ์การใช้ภาษาจากส่ือทางภาษาที่สร้างข้ึนใน ข้อ 4 ด้วยกิจกรรมเกมท่ีสนุกสนาน

และหลากหลาย

\\//\\//วิธสี อนท่สี อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//


Click to View FlipBook Version