143
2.7) ในเรื่องควรมีตัวละครที่เด็กสามารถสมมุติเป็นตนเองได้ ไม่ควรเลือกที่มีตัว
ละครหลายตัว เพราะจะทาให้เด็กสับสน และช่ือของตัวละครควรเป็นภาษาไทย เป็นชื่อง่ายๆ ที่เด็ก
เข้าใจความหมายได้
2.8) เน้ือเรื่องควรสอดแทรกคติธรรมสอนตัวละคร ให้มีมารยาทให้เป็นเด็กดี อบรม
ให้เด็กรู้ว่าทาดีได้ดี ทาช่ัวได้ชั่ว
3) หลักทั่วไปในการเล่านิทาน : การจะเล่านิทานให้ดีนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร ผู้เล่า
จะต้องมีเทคนิคในการเล่าอย่างมาก เพื่อท่ีจะทาให้เด็กสนใจได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ผู้เล่าจะต้องให้
ความรัก ความอดทน ความใกล้ชิดสนิทสนมกับเด็กอีกดว้ ย บุคลิกภาพและท่าทางของครูก็เป็นส่วน
สาคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง และก่อนที่จะเล่านิทานให้เด็กฟังทุกครั้งผู้เล่าจะต้องมีการเตรียมการเล่า
อยู่เสมอ อย่าคิดว่าไม่สาคัญ เพราะถ้าผู้เล่าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าจะทาให้การเล่านิทานประสบ
ความสาเร็จตามจุดประสงค์ที่วางไว้เสมอ การเล่านิทานจะให้ได้ผลตามจุดประสงค์นั้นจะต้อง
คานึงถึงสิ่งต่อไปน้ี
3.1) ทาความเข้าใจเนื้อเรื่องนิทานที่จะเล่าเสียก่อน โดยจินตนาการออกมาเป็น
ภาพ อ่านเรื่องช้าๆ เพื่อจับใจความ ตัวละคร และ เหตุการณ์ทุกอย่าง จากนั้นปิดหนังสือแล้วคิด
ย้อนเรื่องออกมาเป็นภาพ อ่านเรื่องเพื่อทบทวนอีกครั้ง พร้อมทั้งจดจาภาษาที่สละสลวยในเรื่องไป
ใช้ประกอบกับการเล่านิทานอย่างเหมาะสม
3.2) การเลือกคาควรเป็นคาที่ง่ายๆ ท่ีเด็กฟังหรือนึกออกเป็นภาพในจินตนาการได้
ควรใช้คาที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบด้วย เพื่อเด็กจะได้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น สูง – ต่า, หนัก – เบา,
ใหญ่ – เล็ก หรือ คาที่เก่ียวักบรูป รส กล่ิน เสียง เป็นต้น
3.3) หากในเน้ือเรื่องมีบทสนทนาของตัวละคร ให้ผู้เล่าพากย์เสียงให้สมจริง เพราะ
จะช่วยทาให้เด็กตื่นเต้นมากข้ึน
3.4) ควรหลีกเลีย่ งการบรรยานและการอธิบายที่ไม่จาเป็น เพื่อทาให้เนื้อเรื่องน่า
ฟังน่าติดตามมากย่ิงข้ึน
3.5) การเล่าเรื่องควรใช้เสียงสนทนากัน คือ ช้า ชัดเจน มีหนัก เบา แต่ไม่ควรมี
เอ้อ อ้า ทีนี้ คือแบบ เป็นต้น เพราะจะทาให้เสียรสของเรื่องและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของเด็ก
3.6) ขณะท่ีเล่านิทานควรจับเวลาให้ดี เว้นจังหวะตามอารมณ์ของเร่ือง เช่น ถ้าเน้ือ
เร่ืองมีสิ่งเร้าใจก็พูดให้เร็วข้ึน ทาท่าจริงจัง เม่ือถึงบทแปลกใจหรือตกตะลึก นอกจากนี้การทอดระยะ
ระหว่างการเล่าจะทาให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตามได้ดีท่ีสุด
3.7) นิทานท่ีนามาเล่าให้ยาวพอๆ กับระยะความสนใจของเด็ก คือ ประมาณ 15 –
25 นาที สาหรับเด็กประถมศึกษา หรือ ถ้าเป็นคาก็จะประมาณ 1,000 คา สาหรับเด็กประถมศึกษา
\\//\\//ศิลปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
144
ตอนต้น และประมาณ 3,000 คา สาหรับเด็กประถมศึกษาตอนปลาย ส่วนเด็กเล็กก่อนชั้นอนุบาล
ให้เล่านิทานที่มีคาประมาณ 100 คา และประมาณ 500 คา สาหรับระดับอนุบาลศึกษา
3.8) เวลาเล่านิทานต้องพยายามเป็นกันเองให้มากที่สุด ให้ความรักความสนิทสนม
กับเด็กอย่างจริงใจ ถ้าพบว่าเด็กคนใดคลายความสนใจจากนิทานและรบกวนสมาธิผู้อื่น ครูควร
จะต้องให้ความสนใจทันที อาจจะให้มานั่งใกล้ๆ ครูก็ได้
3.9) เวลาเล่าครูควรจะมีรูปภาพประกอบ อาจเป็นหนังสือภาพ หุ่น หรือสื่อการ
สอนอื่นๆ จะช่วยให้เด็กสนใจยิ่งขึ้น ถ้าผู้เล่ามีความสามารถวาดภาพประกอบขณะเล่าด้วยก็จะเป็น
การดีมาก
3.10) เวลาเล่าอย่าย่อเรื่องให้สั้นจนเกินไปจนขาดความสนุกไป และนอกจากนี้ยัง
จะทาให้เด็กไม่รู้เร่ืองด้วย
3.11) จัดบรรยากาศของห้องให้เหมาะสม เช่น อาจนั่งเล่ากับพื้น หรือเชิดหุ่น
ประกอบการเล่า หรืออาจจะไปเล่าใต้ต้นไม้นอกห้องเรียนก็ได้
3.12) อย่าแสดงท่าทางประกอบการเล่ามากเกินไป เพราะจะทาให้นิทานหมด
ความสนุก ควรพยายามเล่าให้เป็ฯไปตามธรรมชาติง่ายๆ และมีชีวิตชีวา
3.13) ขณะที่เล่าอาจให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเล่านิทานด้วย เช่น แสดงท่าตาม
เน้ือเรื่อง แต่ไม่ควรให้แสดงบ่อยมากจนเกินไป
3.14) ขณะที่เล่านิทาน สายตาของครูจะต้องมองกวาดดูนักเรียนได้ทุกคน อาจนั่ง
เป็นคร่ึงวงกลมหรือน่ังกับพ้ืนก็ได้ ในเวลาท่ีเด็กฟังนิทานสายตาของเด็กจะจับอยู่ท่ีผู้เล่า ผู้เล่าจะต้อง
ทอดสายตาไปที่เด็กไม่ใช่เพียงเพื่อจะดูว่าเด็กมีปฏิกิริยาอย่างใดเท่านั้น แต่เพื่อว่าเด็กจะได้เห็น
ความรู้สึกของผู้เล่าฉายมาทางดวงตาบ้าง เช่น ความรู้สึกเศร้า เสียใจ รื่นเริงสนุกสนาน ประหลาดใจ
ตื่นเต้น เป็นต้น
3.15) ขณะที่กาลังเล่านิทาน ถ้าหากมีเด็กพูดหรือถามขัดจังหวะ ครูควรบอกให้รอ
จนกว่าจะจบเรื่อง อย่างไรก็ตามครูอาจให้นักเรียนขัดจังหวะได้เป็นบางครั้งบางคราว
3.16) หลังจากการเล่านิทาน ควรเปิดโอกาสให้เด็กถามและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่
ควรบังคับเด็กให้พูดให้ถาม เพราะจะทาให้เด็กเสียความเพลิดเพลิน
3.17) หลังจากการเลา่ นิทานแล้ว อาจจะให้เด็กได้แข่งขันกันตั้งชื่อเรื่องก็ได้ เพื่อ
เป็นการส่งเสริมให้เด็กได้ติดตามและเพ่ือสร้างความเข้าใจในเรื่องท่ีครูได้เล่ามาแล้ว
3.18) ถ้านิทานเรื่องยาวครูอาจจะเล่าเป็นตอนๆ ก็ได้ เพื่อเป็นการเร้าให้เด็กอยาก
มาโรงเรียนไม่ขาดเรียน เพ่ือมาฟังนิทานต่อจนจบเร่ือง
นอกจากการเล่านิทานให้เด็กฟังแล้ว บางครั้งครูอาจจะอ่านนิทานให้เด็กฟังบ้างก็ได้สาหรับ
เด็กเล็กๆ บางครั้งยังจินตนาการไม่ทัน ถ้าได้เห็นรูปหนังสือก็จะทาให้เข้าใจดีขึ้น แต่การอ่านนิทาน
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
145
ไม่ควรใช้บ่อยนัก เพราะว่าไม่ได้ผลดีเท่ากับการเล่านิทาน เนื่องจากครูขาดโอกาสสบสายตากับเด็ก
ขณะท่ีอ่าน ทั้งนี้มีหลักการปฏิบัติสาหรับการอ่านนิทาน ดังนี้
1) พยายามทาให้เด็กรู้สึกว่า การอ่านหนังสือได้นั้นเป็นของสนุกสนาน เพื่อเด็กจะ
ได้มีมานะพยายามที่จะอ่านหนังสือให้ออกบ้าง
2) ครูต้องอ่านช้าๆ ชัดเจน และใช้เสียงตามบทละคร
3) ขณะอ่านควรฝึกนิสัยที่ดีให้เป็นตัวอย่างแก่เด็ก เช่น การถือหนังสือ การเปิดหน้า
หนังสือ ท่าน่ังอ่าน ท่าก้มหน้า และ อ่านออกเสียงให้ชัดเจน
4) ครูจะต้องอ่านเรื่องนั้นมาก่อนและรู้เรื่องเป็นอย่างดี เมื่อเวลาอ่านให้เด็กฟังจะ
ได้มีอารมณ์ได้ถูกต้อง
5) หลังจากการอ่านแล้ว อาจจะสนทนากับเด็กเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านแล้วก็ได้ เพื่อ
ความเข้าใจมากยิ่งข้ึน
6) นาหนังสือนิทานที่อ่านแล้วไปไว้ที่มุมหนังสือ เพื่อเด็กจะได้เกิดความสนใจใคร่รู้
หยิบดูฝึกฝนการอ่านด้วยตนเองได้อย่างสะดวก
4) สื่อการสอนที่ใช้ในการเล่านิทาน : สื่อการสอนมีความสาคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ครูเล่าเรื่อง
ได้ดีขึ้น เด็กได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินทั้งจากการฟังด้วยหูและการดูด้วยตาทาให้มองเห็น
ภาพได้ตามเนื้อเรื่อง ช่วยให้การเล่าประสบความสาเร็จมากขึ้น สื่อการสอนทีใ่ ข้ในการเล่านิทานมี
ดังต่อไปนี้
4.1) หนังสือนิทานในปัจจุบันมีหนังสือภาพนิทานที่แปลจากต่างประเทศมากขึ้น
พอสมควรแต่ราคาค่อนข้างแพง เวลาเล่าควรให้เด็กได้ดูรูปภาพจากหนังสือตามจังหวะการเล่า ถึง
ตอนใดก็ให้ดูรูปภาพทั่วทุกคนโดยหยุดเล่าขณะหน่ึงแล้วเล่าต่อไป
4.2) รูปภาพภาพที่ตัดมาจากหนังสือหรือวาดบนกระดาษแข็งแล้วระบายสีตัดเป็น
ตัวๆ ด้านหลังปิดกระดาษทรายใช้คู่กับแผ่นป้ายสาลี ครูควรฝึกวิธีใช้ให้ดี เพราะถ้าใช้ไม่คล่องแล้วจะ
รบกวนสมาธิของนักเรียน หรือครูอาจใช้กระดานพื้นเหล็กแทนแผ่นป้ายสาลีก็ได้ สาหรับติดรูปภาพ
ประกอบเรื่องที่มีแม่เหล็กติดไว้ด้านหลัง เพื่อให้สามารถติดภาพบนกระดานได้ กระดานพื้นเหล็กใช้
ประโยชน์ได้ดีเพราะครูสามารถเคล่ือนไหวภาพไปมาได้ดี ติดได้คล่องแคล่ว ไม่ต้องกลัวหลุด
4.3) กระดานดามีส่วนช่วยให้ครูสามารถเล่านิทานได้อย่างสนุกสนาน ในกรณีที่ครู
มีฝีมือในการวาดภาพการ์ตูนอย่างง่ายๆ เช่น รูปคน รูปสัตว์ต่างๆ และ รูปผลไม้ เป็นต้น ขณะที่ครู
เล่านิทานก็จะวาดภาพประกอบบนกระดานดา ทาให้เด็กสนใจยิ่งข้ึน
4.4) เทปและเครื่องบันทึกเสียงเล่านิทานในปัจจุบันน้ีได้มีผู้ผลิตออกมาเป็นจานวน
มาก การเปิดเทปนิทานให้ฟังก็เพื่อที่จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ หรือครูอาจจะอัดเสียงเพลง เสียงสัตว์
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
146
ร้อง และดนตรีมาใช้ประกอบการเล่าเรื่องได้ นอกจากน้ีครูอาจจะอัดเสียงการเล่านิทานของเด็กแล้ว
เปิดให้ฟังหลังจากการเล่า
4.5) เครื่องฉายสไลด์เป็นสื่อการสอนประกอบการเล่านิทานได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากสามารถแสดงเร่ืองราวต่างๆ ประกอบการเล่านิทานได้ซ่ึงจะช่วยให้เด็กสนใจได้มากยิ่งขึ้น
4.6) หุ่นเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในโรงเรียนประถมศึกษา เนื่องจาก
ช่วยเพิ่มความตื่นตาสนุกสนาน รวมทั้งช่วยให้เด็กจะได้เห็นตัวละครตามท้องเรื่อง บางครั้งเด็ก
อาจจะเกิดจินตนาการตามไม่ทันขณะที่ครูเล่านิทาน แต่เมื่อครูเชิดหุ่นประกอบจะทาให้เข้าใจและ
สนใจมากยิ่งขึ้น หุ่นที่ครูสามารถนามาใช้ในการเล่านิทานนั้นมีหลายชนิดด้วยกัน คือ หุ่นนิ้วมือ หุ่น
สวมมือ หุ่นสวมมือถุงกระดาษ หุ่นกระบอก หุ่นเสียบไม้ หุ่นหนังตะลุง และ หุ่นชัก เป็นต้น
5) ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเล่านิทานสาหรับเด็ก : การเล่านิทานจาเป็นต้องพิจารณา
ช่วงเวลาให้เหมาะสมกับผู้ฟัง ซึ่งการเล่านิทานหรือเล่าเรื่องในโรงเรียน สามารถกระทาได้ในสาม
ช่วงเวลา ดังนี้
5.1) ช่วงเวลาเช้าก่อนโรงเรียนเข้าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กมาโรงเรียนแล้ว ถ้าครูเล่า
นิทานให้ฟังและเล่าเป็นประจาก็จะทาให้เด็กรักโรงเรียน อยากมาโรงเรียนแต่เช้าเพ่ือมาฟังนิทาน
5.2) ช่วงเวลาเย็นหลังเลกิ เรียนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกช่วงหนึ่ง เนื่องจาก
ก่อนที่เด็กจะกลับบ้านหรือรอคอยผู้ปกครองมารับนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทั้งเด็กและครูว่าง จึงควรใช้
เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ครูอาจจะเล่านิทานให้เด็กฟังได้ ซ่ึงอาจจะเป็นนิทานส้ันๆ ที่จบเรื่องได้เลย
เป็นเรื่องๆ ไป หรืออาจเป็นนิทานยาวๆ แต่จบเป็นตอนๆ ก็ได้
5.3) ช่วงเวลาที่เด็กไม่สนใจในบทเรียน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในการสอนระดับอนุบาล
ศึกษา ประถมศึกษาปีท่ี 1 หรือ ประถมศึกษาปีท่ี 2 เนื่องจากผู้เรียนมีช่วงความสนใจที่จากัดอยู่เพียง
ประมาณ 10 – 15 นาที เท่านั้น ส่วนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 – 4 มีช่วงความสนใจที่จากัด
ประมาณ 20 – 30 นาที และ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 – 6 มีช่วงความสนใจจากัดประมาณ 25 – 35
นาที ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าหากรูยังคงสอนเนื้อหาต่อไปอีก ก็คงจะไม่ได้ล เพราะสมองของเด็กไม่
สามารถรับได้แล้ว ครูจาเป็นต้องหาวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียดของเด็กโดยการเล่านิทาน
ประกอบสักระยะหนึ่ง เมื่อสังเหตเห็นว่า เด็กได้รับความสนุกสนานมีความรู้สึกสดชื่นแล้ว ครูก็
สอดแทรกเนื้อหาวิชาตอ่ ไป วิธีการนี้จะชว่ ยให้เด็กไม่เบื่อที่จะเรียน มีความกระตือรือร้นและสนใจท่ี
จะเรียนต่อไป
\\//\\//ศลิ ปะการจดั กิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
147
6) ตัวอย่างนิทานสาหรับเด็ก : นิทานที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้มาจากคู่มือการสอนรายวิชา
ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ของ ขุนชานิ อนุสาส์น ชื่อเรื่อง เด็กป้อมเสาะหาความรู้ มีเนื้อหา
ดังนี้
“เด็กชายป้อมเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเด็กเรียนอ่อนและสอบไลต่ กถึงสองครั้ง จึงเกิด
ความท้อแท้ใจ แม่บอกว่า บรรดาทรัพย์สมบัติหรอื สิ่งอื่นจะประเสิรฐเท่าวิชานัน้ ไม่มี ขอให้พยายาม
ต่อไปจะได้รับผลสาเร็จ แล้วแม่ก็เล่านิทานให้เดายป้อมฟัง ดังนี้
ครั้งหนึ่งเกิดการรบกันข้ึนในระหว่างเจ้าแผ่นดินสององค์ เจ้าแผ่นดินฝ่ายหนึ่งมีกาลังอ่อนแอ
ไปรบคราวใดก็แพ้และเสียทหารไปมากมาย จึงมีความท้อถอยกลับนอนตรองคิดอยู่จะยอมแพ้ แต่
เวลาที่นอนอยู่นั้นเห็นแมงมุมกาลังชักใยอยู่บนเพดาน แมงมุมชักใยจวนจะเสร็จแล้วตกมายังพ้ืน เม่ือ
ตกลงมาหยุดพอหายเหนื่อยแล้วก็ขึ้นไปชักใยอีก และชักใยอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายเที่ยว ในที่สุดก็
แล้วเสร็จ ความเพียรพยายามของแมงมุมน้ีทาให้เจ้าแผ่นดินทรงหวนพระทัยว่า ถ้าเรามีความเพียรก็
จะชนะได้ ต่อมาจึงได้ยกกองทัพไปรบอีก คราวน้ีได้รับชัยชนะกลับมา
ตั้งแต่นั้นมาเด็กชายป้อมก็ตั้งใจเล่าเรียนไม่ทอ้ ถอย เด็กชายป้อมก็สอบไล่ได้จนชัน้ สูงสุด
และนิทานเร่ืองน้ีสอนให้รู้ว่า ความเพียรพยายามจะนามาซ่ึงความสาเร็จ”
2. เทคนิคการใชแ้ ผนผงั มโนทศั น์
รูปแบบการจัดกรอบความคิดเป็นกระบวนการนามโนทัศน์ในเนื้อหาสาระที่ต้องการนาเสนอ
มาจัดระบบ จัดลาดับ และเชื่อมโยงความสัมพันธ์แต่ละมโนทัศน์ท่ีมีความเก่ียวข้องกันเข้าด้วยกัน ทา
ให้เกิดเป็นกรอบมโนทัศน์ขึ้น เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรู้จักสังเกต เปรียบเทียบ สรุป และ จาแนกแยกแยะสิ่ง
ต่างๆ อย่างเป็นระบบ จนเกิดเป็นความคิดรวบยอดเก่ียวกับสิ่งน้ัน ผ่านแผนผังรูปแบบมโนทัศน์ที่มี
ความหลากหลาย ไดแ้ ก่ แผนผังมโนทัศน,์ แผนท่ีความคิด, แผนผังใยแมงมมุ , แผนภมู โิ ครงสรา้ งต้นไม้,
แผนภมู เิ วนน์, แผนภมู ขิ ้นั บนั ได, แผนภาพวงจร, แผนผังการดาเนนิ งาน, แผนภาพแสดงความสมั พันธ์,
แผนผังก้างปลา, แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์, แผนภาพแสดงลาดับเหตุการณ์ และ
แผนผังแสดงความสัมพันธ์แบบจาแนกประเภท ซึ่งมีรายละเอียดเก่ียวกับการจัดทาแผนผังแต่ละ
รูปแบบดังตอ่ ไปน้ี
\\//\\//ศิลปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
148
1) แผนผังมโนทศั น์ (Concept Map) เปน็ แผนภาพทแี่ สดงความสัมพันธร์ ะหว่างมโนทัศน์ (Concept)
ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องใด
เ รื่ อ ง ห นึ่ ง อ ย่ า ง เ ป็ น
ลาดับขั ้น เ พื ่อ ใ ห้
เ กิด ก า ร ส ร้า ง อ ง ค์
ค ว า ม รู้อ ย่า ง เ ป็น
ร ะ บ บ พัฒนาขึ้นโดย
โ จ เ ซ ฟ ดี โ น ว า ก
(Joseph D.Novak) ซง่ึ
มีรปู แบบดังนี้ แผนผัง
ม โ น ทัศ น์นิย ม ใ ช้
เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์หลัก มโนทัศน์รอง มโนทัศน์ย่อย มโนทัศน์
เฉพาะเจาะจง และ
ตัว อ ย่า ง ต า ม ลา ดับ
ห รือ อ า จ ใ ช้เ พื่อ ส รุป
อ ง ค ์ค ว า ม รู ้ใ ห ม ่ๆ
ห ร ือ ใ ช ้เ พื ่อ ก า ร
วิเ ค ร า ะ ห์เ นื้อ ห า ง า น
ต่า ง ๆ ต ล อ ด จ น ใ ช้
เ พื ่อ ก า ร จ ัด ร ะ บ บ
ค ว า ม คิ ด แ ล ะ ค ว า ม จา
เ ป็ น ต้ น
2) แ ผ น ที่ค ว า ม คิด ( Mind Map) เ ป็น แ ผ น ผัง ที่ใ ช้แ ส ด ง ก า ร เ ชื่อ ม โ ย ง ข อ ง ข้อ มูล
เกี่ยวกับเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง ระหว่างความคิด
ห ลัก ค ว า ม คิด ร อ ง แ ล ะ ค ว า ม คิด ย่อ ย ท่ี
เ กี่ย ว ข้อ ง สัม พัน ธ์กัน พัฒ น า ขึ้น โ ด ย โ ท นี่
บูซาน (Tony Busan) ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
\\//\\//ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
149
แ ผ น ที่ค ว า ม คิด นิย ม ใ ช้เ พื่อ ก า ร ร ะ ด ม ส ม อ ง ก า ร ส ร้า ง ห รือ ส รุป ค ว า ม รู้ ต ล อ ด จ น
การวิเคราะห์เนื้อความต่างๆ ซึ่งฃ่วยในการจัดระบบความคิดและความจาได้ดี โดย
การสร้างแผนที่ความคิดมีข้ันตอนท่ีเป็นแนวทางในการปฏิบัติท่ีสาคัญ ดังนี้
2.1) เขียนหรือ
ว า ด ภ า พ ม โ น ทั ศ น์ ห ลั ก
ห รือ หัว ข้อ เ รื่อ ง ต ร ง
กึ่ง ก ล า ง ห น้า ก ร ะ ด า ษ
ซ่ึ ง ค ว ร ใ ช้ ก ร ะ ด า ษ ช นิ ด
ไ ม ่ม ีเ ส ้น แ ล ะ ว า ง
กระดาษแนวนอน
2.2) เขียนหรือ
ว า ด ภ า พ ม โ น ทั ศ น์ ร อ ง
ที่สัม พัน ธ์กับ ม โ น ทัศ น์
หลักหรือหัวข้อเรื่องกระจายออกไปรอบๆ มโนทัศน์หลัก
2.3) เขียนหรือวาดภาพมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อ ยๆ
โ ด ย เ ขี ย น ข้ อ ค ว า ม ไ ว้ บ น เ ส้ น แ ต่ ล ะ เ ส้ น
2.4) ใช้ภาพส่ือความหมายให้มากที่สุด
2.5) เขียนหรือพิมพ์คาด้วยตัวบรรจงขนาดใหญ่
2.6) เขียนคาที่มีลักษณะเป็นหน่วยคาหรือข้อความที่มีความหมายในตัวเอง
2.7) เขียนคาเหนือเส้นและแต่ละเส้นต้องเชื่อมต่อกับเส้นอื่นๆ
2.8) ระบายสใี หท้ ั่วแผนทค่ี วามคิด
3) แผนภูมิใยแมงมมุ เปน็ แผนผัง
ที่ ใ ช้ แ ส ด ง ก า ร แ ย ก แ ย ะ
องค์ประกอบต่างๆ ของข้อมูล
ห รื อ จั ด ล า ดั บ ข้ อ มู ล ที่ มี
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั น ตั้ ง แ ต่
องค์ประกอบหลัก องค์ประกอบ
รอง องค์ประกอบย่อย หรือ
ตัวอย่างตามลาดับ ซึ่งมีลักษณะ
ดงั น้ี
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
150
4) แผนภูมิโครงสร้างต้นไม้ (Tree Structure) หรือ แผนผังความสัมพันธ์แบบก่ิงไม้ (Branching
Map) เป็นแผนผังที่ใช้
แสดงความสัมพันธ์ของ
เ รื่ อ ง ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ
ลดหล่ันกันเป็นช้ันๆ โดย
ออกแบบให้นาเสนอด้วย
การเขยี นชือ่ เรือ่ งไวข้ า้ งบน
หรือตรงกลางแล้วลากเสน้
ให้เช่ือมโยงกับความคิด
รวบยอดอ่ืนๆ ท่ีสาคัญรอง
ลงไปตามลาดบั ดงั นี้
5) แผนภูมิเวนน์ (Venn Diagram) เป็นแผนผังท่ีใช้แสดงความคิดรวบยอดในความสัมพันธ์ของ
องคป์ ระกอบต่างๆ ของบคุ คล สถานท่ี หรือ สิง่ ของในลักษณะตา่ งๆ ดังนี้
5.1) การแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เก่ียวข้องกัน หรือ แสดงลักษณะเป็นส่วนหนึ่ง
ของกันและกัน เชน่
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
151
5.2) การแสดงลกั ษณะข้อมูลทีไ่ ม่เกย่ี วขอ้ งกนั
5.3) การแสดงลกั ษณะขอ้ มลู ทเ่ี หมือนกนั และตา่ งกนั (Overlapping Circles Map)
6 ) แ ผ น ภู มิ ขั้ น บั น ไ ด
( Time Ladder Map)
เป็นแผนภูมิที่แสดงลาดับ
เวลา กระบวนการ หรือ
ข้ันตอนเป็นลาดับอย่าง
ง่ า ย ๆ เ พ่ื อ แ ส ด ง
ความสัมพันธ์ของข้อมูลที่
มี ล า ดั บ ข้ั น ต อ น ห รื อ
กระบวนการเป็นลาดับ
ตงั้ แตต่ ้นจนจบ
\\//\\//ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
152
7) แผนภาพวงจร (Cycle Graph) เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์กับระยะเวลาที่มี
การเรียงลาดับ การเคลื่อนไหวของ
ข้อมูลในลั กษณะเป็ นวงจรท่ี ไม่ มี
จุดเริ่มต้น ซ่ึงใช้สัญลักษณ์หัวลูกศรใน
การส่ือความหมายของแผนภาพ
8 ) แ ผ น ผั ง แ ส ด ง ล า ดั บ ข้ั น ก า ร
ด า เ นิ น ง า น ( Flowchart Diagram)
เป็นแผนภาพท่ีใช้แสดงการเล่ือนไหล
ข อ ง ข้ อ มู ล ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ ม อ ง เ ห็ น
กระบวนการเป็นวงจรที่มีการเล่ือนไหลหลายทิศทาง แต่สุดท้ายก็นาไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างใด
อย่างหน่ึง ท่ีต้องการ เช่น การวางแผนการดาเนินการในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง การจัดระบบขั้นตอน
ตามลาดับ นอกจากนีย้ ังกาหนดสัญลักษณ์สือ่ ความหมายในการสรา้ งแผนผงั ไว้ 3 ลักษณะ คอื
คาถาม การตดั สินใจ การปฏบิ ัติ
แผนผังแสดงลาดบั ข้ันการดาเนินงาน (Flowchart
Diagram) นิยมนาไปใช้นาเสนอข้อมูลเกย่ี วกับการ
วางแผน โดยมีกระบวนการตัดสินใจ กระบวนการ
ดาเนินงานเป็นข้ันตอน ซึ่งการวางแผนการทางาน
ในแผนผงั รปู แบบนี้จะชว่ ยให้เกดิ ความคดิ รวบยอด
ในแผนงานทีว่ างไว้อย่างชดั เจน
9) แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ (Matrix Diagram)
เ ป็ น แ ผ น ภ า พ ที่ ใ ช้ แ ส ด ง ข้ อ มู ล ที่ เ น้ น ช นิ ด แ ล ะ
ความสัมพันธ์ที่สาคัญซึ่งกาหนดไว้เป็นแนวตั้งและ
แนวนอน เช่น การเปรียบเทียบ ความคล้ายคลึง
หรือ ความแตกต่างความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและ
ผล หรือ ลาดับเวลา เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปข้อมูลท่ีจาเป็นท้ังหมดจะบรรจุอยู่ในช่องตารางทาให้เห็น
ความสัมพนั ธข์ องขอ้ มลู ได้อย่างชัดเจน
\\//\\//ศลิ ปะการจดั กิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
153
วัน 09.00- 10.00- 11.00- 12.00- 13.00- 14.00- 15.00-
เวลา 10.00 11.00 12.00 13.00 14.00 15.00 16.00
วันจันทร์
วนั อังคาร
วันพธุ
วันพฤหสั
วนั ศกุ ร์
10) แ ผ น ผัง ก้า ง ป ล า ( Fishbone
Map) เ ป ็น แ ผ น ผ ัง ที ่ใ ช ้แ ส ด ง
ค ว า ม สัม พัน ธ์ข อ ง ข้อ มูล ที่เ ส น อ เ ป็น
สาเหตุและผลลัพธ์ต่างๆ ในแต่ละด้าน
เช่น ใช้สาหรับนาเสนอแนวทางการ
แ ก้ ปั ญ ห า โ ด ย วิ เ ค ร า ะ ห์ ห า ส า เ ห ตุ แ ล ะ
ผลลัพธ์ หรือ วิธีการแก้ปัญหา เป็นต้น
11) แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ข อง
เหตุการณ์ (Time line) เป็นแผนภาพ
ที่ใ ช ้แ ส ด ง ค ว า ม สัม พัน ธ ์ร ะ ห ว ่า ง
เหตุการณ์ต่างๆ ตามลาดับเวลา โดย
กา ห น ด ช่ว ง ร ะ ย ะ ห่า ง ข อ ง เ ว ล า เ ป็ น
เ ท่า ไ ร ก็ไ ด้ ขึ้น อ ยู่กับ ลัก ษ ณ ะ ข อ ง
ข้ อ มู ล แ ต่ ทุ ก ช่ ว ง ร ะ ย ะ ห่ า ง ข อ ง เ ว ล า
นั้น จ ะ ต้อ ง กา ห น ด ใ ห้เ ท่า กัน จ า ก นั้น
จ ึง บ ัน ท ึก ข ้อ ม ูล ที ่เ ป ็น เ ห ต ุก า ร ณ์
เ รื่ อ ง ร า ว ล ง ไ ป ต า ม ร ะ ย ะ เ ว ล า น้ั น ๆ
12) แผนภาพแสดงลาดับเหตุการณ์ (Events Chain) เป็นแผนภาพท่ีใช้แสดงความสัมพันธ์
ระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ ตามลาดับเวลา แต่ไม่ได้นาข้อมูลด้านระยะเวลามาแสดงให้เห็นเป็นช่วง
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
154
ระยะเวลา ซึ่งแผนภาพนี้ต้องการนาเสนอข้อมูลเพียงเพื่อให้
ทราบเพยี งลาดบั กอ่ นและหลังของกระบวนการเท่าน้ัน
13) แผนภาพแสดงความสัมพันธ์แบบจาแนกประเภท
(Classification Map) เป็นแผนภาพท่ีแสดงถึงความสัมพนั ธ์
ของหัวเร่ือง ตัวอย่าง คุณสมบัติ/คุณลักษณะ โดยหัวเร่ืองท่ี
กล่าวถึงจะต้องอยู่บนสุด ส่วนตัวอย่างและ
คุณสมบัติ หรือ รายละเอียดสนับสนุนจะโยงลง
มาขา้ งล่างจากหวั เร่ืองนั้นๆ
3. เทคนิคการใชเ้ พลง
เพลงเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเร้าความสนใจผู้เรียนได้ดี เด็กจะสนุกสนานกับ
การเรียน ทาให้มีความสุขและเบิกบานใจ เพลงไทยนั้นได้แสดงศิลปะการใช้ภาษาไทยได้ดี เช่น เพลง
พ้ืนเมือง เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง เนื้อหาของเพลงจะเน้นศิลปะการใช้ภาษาไทย เพื่อให้ผู้ฟังเกิด
อารมณส์ ะเทอื นใจตามเนื้อเพลง และเกดิ ความไพเราะทางด้านรสของคา สามารถนามาใช้ในการสอน
ภาษาไทยได้ดี ซึ่งจากผลงานวิจัยของ อุบล ไกรศร (2551) ได้ทาวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกทักษะ
การอ่านคิดวิเคราะห์โดยใช้บทเพลงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5
ผลการวิจัยปรากฏว่า แบบฝึกที่ใช้บทเพลงประกอบสามาร ถพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการอ่าน
คิดวิเคราะห์ ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกท่ีใช้บทเพลง มี
ความพึงพอใจต่อแบบฝกึ ดังกลา่ วในระดับมากทีส่ ุด ซึ่งแสดงวา่ บทเพลงใชป้ ระกอบในการสอนไดด้ ี
การใชเ้ พลงประกอบการเรียนการสอน
1. เพลงทใ่ี ชค้ วรมเี นื้อหาตรงกบั บทเรยี นที่สอน
2. ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งใชท้ ัง้ เพลง ควรเลือกมาเฉพาะตอนใดตอนหนึง่ เพ่อื ไม่ให้เสยี เวลามากเกินไป
3. เพลงท่ีใช้ควรเป็นเพลงที่อยู่ในความสนใจของนักเรียน หรือเป็นเพลงท่ีผู้เรียนรู้จักดี ยิ่ง
สามารถรอ้ งเองได้จะชว่ ยใหส้ นกุ สนานมากข้ึน
4. หากเป็นเพลงท่ีครูแตง่ หรือเปน็ เพลงท่ีผู้เรียนร้องไม่ได้ ครคู วรดาเนนิ การดังน้ี
- ให้ผเู้ รยี นทาความเข้าใจกบั เนือ้ เพลงก่อน
\\//\\//ศิลปะการจดั กิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
155
- ครูร้องเพลงใหฟ้ ังกอ่ นหรือเปดิ เทปเพลง
- ใหผ้ ูเ้ รยี นรอ้ งตามครู
- ใหผ้ ู้เรยี นรอ้ งเพลงเอง
- ถ้าเพลงใดสามารถแสดงทา่ ทางประกอบได้ ครอู าจให้ผู้เรยี นออกแบบแสดงท่าทาง
ประกอบด้วย เพือ่ ฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นมีความคดิ สรา้ งสรรค์
ตวั อย่างเพลง เชน่
- เพลงรักที่อยากลืม ก็สามารถนามาใช้ในการสอนคาควบกล้า ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมาก เมื่อ
ร้องเพลงแลว้ ออกเสยี งคาควบกลา้ ไม่ชดั แลว้ จะทาใหร้ สคาหมดไปดังตัวอย่างเนอ้ื เพลง ดงั นี้
“ปลดิ ปลิวเคว้งคว้าง ชีวติ ฉนั ดง่ั ใบไม้ทห่ี ลุดลอย
นา้ ตาฉนั เตม็ ลาธาร อาบรกั ท่ผี ดิ หวังในตวั เธอ
ร้องทุกข์กับผนื ทราย ทเี่ ผลอใจไปรักเธอ
จงึ ตอ้ งมานั่งซึมเหม่อ เพราะรักเธอเพียงข้างเดยี ว”
ศลิ ปิน ฝน ธนสุนทร
- เพลงฉันก็รักของฉัน ใช้สอนเรื่องชนิดของคาหรือการใช้ภาษาพูดกบั ภาษาเขยี น ดังเน้ือ
เพลงที่ กลา่ วว่า
“เสียใจคนๆ น้ีไม่ใช่ของเธอ ได้โปรดอย่ามาข้องแวะกันอีก ฉันหวังว่าคงเข้าใจ
เพราะมันคอื สิทธขิ์ องฉันที่จะเรยี กร้อง ขอให้เธอจงไปไกลๆ ไมต่ ้องมาเจอ อย่ามาใกล้เขา ... ไดไ้ หม”
ศลิ ปนิ นวิ – จ๋ิว
- เพลงขอใจเธอแลกเบอร์โทร เพลงนใ้ี หผ้ ู้เรียนชว่ ยกันร้องได้ แลว้ ใหว้ ิเคราะห์การใช้ภาษาว่า
ถกู ตอ้ งหรือไม่ ดงั เนอ้ื เพลงที่วา่
“แวบเดียวแค่ดู ก็ทาให้รูว้ ่าเธอน่ะโดนหัวใจ อยากบอกเหลือเกินว่าเธอน่ารักแค่ไหน จรติ มาก
ไป กลัวมันไม่ดีไม่งาม ก็เลยเก๊กฟอร์ม ทาเป็นอ้อมค้อมทาเป็นว่าดูเฉยเมย จนเธอมาขอเบอร์โทรเข้า
ทางแล้วเอย๋ อยากบอกจังเลย ถงึ บ้านใหร้ ีบโทรหา”
ศิลปนิ หญงิ ลี ศรีจมุ พล
จะเห็นได้ว่า ครูสามารถเลือกเพลงมาใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทยได้อย่างหลากหลาย
และช่วยให้เด็กสนุกสนานกับการเรยี น ขณะเดียวกัน เพลงก็เป็นสื่อที่ใช้ในการสอนภาษาไทยได้ดี แต่
จะตอ้ งนามาวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ เนอ้ื เพลงใหเ้ ขา้ กบั บทเรียน
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
156
4. เทคนิคการเลน่ กับภาษาในสังคมไทย
4.1 ปริศนาคาทาย : ปริศนาคาทายเป็นภูมิปัญญาทางภาษาประเภทหน่ึงท่ีมีมาแต่โบราณ
กาล การทายปริศนาจะช่วยให้เด็กๆ สนุกเพลิดเพลิน และยังช่วยพัฒนาสติปัญญา และไหวพริบ
ปฏิภาณของเด็กได้เป็นอย่างดีย่ิง จากงานวิจัยที่ผู้เรียบเรียงเคยทา ผลการวิจัยพบว่าปริศนาคาทาย
ของไทยสามารถพัฒนาสตปิ ญั ญาของเด็กไทยไดด้ ี และจากการสารวจความพึงพอใจของผู้เรยี นที่เรียน
ภาษาไทย โดยใช้คาปริศนาคาทายก็พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจและมีทัศนคติท่ีดีต่อการเรียน
การสอนมากขึน้ ซง่ึ การนาปริศนาคาทายไปใชป้ ระกอบการสอนภาษาไทย มีขอ้ ควรปฏบิ ตั ดิ ังน้ี
1. ใช้ปริศนาคาทายได้ในทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ขั้นดาเนินการสอนหรอื
ขั้นสรุปบทเรียน
2. สามารถใชป้ รศิ นาคาทายในลกั ษณะของการเล่นเกมแขง่ ขนั กนั หาคาตอบ
3. วิเคราะหค์ าถามหรือคาตอบเพือ่ อธิบายเน้ือหาของบทเรียน
ตวั อย่างปริศนาคาทาย
- อะไรเอ่ย มีปากไม่มีฟนั กินขา้ วทกุ วนั ได้มากกวา่ คน (หม้อหงุ ข้าว)
- อะไรเอ่ย หนา้ สั้นๆ หางยาวๆเปน็ มังกร ขอบกนิ หญ้าในดงดอน
อาบนา้ ในลาธาร (ขวาน)
- อะไรเอ่ย กลมกล้ิงกลมอยู่บนพน้ื ธรณี สชี มพศู รีอยู่ในกลมกลิง้ กลม (แตงโม)
- อะไรเอ่ย เปน็ ถึงพรหมเมศ ฤทธเิ์ ดชบ่หอ่ น ดีแตจ่ ะนอนเฝ้าประตเู รอื น
ใครไปใครมาเชิดหนา้ เล่ือนเปอื้ น (พรมเช็ดเท้า)
- อะไรเอย่ มาจากเมืองจนี ยกตนี ให้คนดู (ง้วิ )
- อะไรเอ่ย มาจากเมืองเจ๊ก ตัวเลก็ เสียงดงั (วิทยุ)
จากตัวอย่างปริศนาคาทายข้างต้นจะเห็นได้ว่า เราสามารถใช้คาถามหรือคาตอบมา
ประกอบการสอนหลักภาษาไทยได้ดี เชน่ คาตอบก็จะสอนเร่ืองคานาม สว่ นคาถามก็จะสามารถนามา
วิเคราะห์เร่ืองชนดิ ของคา หรือหาคาสัมผัสได้ เป็นตน้
4.2 ผะหมี : ผะหมีเป็นการละเล่นท่ีไทยได้มาจากชาวจีน ผะหมี หมายถึงการตีปัญหาหรือ
การทายปัญหา มีลักษณะคล้ายกับปริศนาคาทาย แต่ไทยดัดแปลงมาเป็นการใช้ร้อยกรอง โดยแต่ง
เปน็ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน เป็นตัวปญั หาให้แขง่ กันทาย ผะหมเี ปน็ การเล่นทีส่ นุกสนาน ฝกึ ใหผ้ เู้ ล่น
\\//\\//ศิลปะการจดั กจิ กรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
157
ได้ใชป้ ฏิภาณไหวพริบ ช่างสงั เกต ผะหมจี งึ สามารถนามาใชใ้ นการสอนภาษาไทยได้ดี สามารถนาไปใช้
ในการสอนภาษาไทยไดท้ กุ ขน้ั ตอนของการสอน
ตวั อย่างผะหมีของ สนทิ สัตโยภาส (2556, หน้า 123 - 125)
1. พี่ตอ้ งไปละไอน้ ้อง (ลา) (หา)
เอกลองเลยมาสาย (ล่า) (ห่า)
โทใส่เหน่อื ยใจกาย (ล้า) (หา้ )
รีบเร็วไวท้ ายมาเลย
ผนั อักษรบทนี้ อยา่ งไร พเี่ อย
หน่ึงสืบเสาะแสวงไป บห่ ยน้ั
โรงติดต่อเป็นภัย ชนม์ชพี เราเฮย
สองค่หู น่งึ หน่วยนน้ั ชว่ ยเว้าคาทาย
2. มีเหตุภยั รบี ป้อง กันตน
จกั ปลอดทุกขภ์ ัยดล สขุ ลา้
ขืนปลอ่ ยจักอับจน ทกุ ขย์ ง่ิ จริงแฮ
ครวญคร่าทกุ วนั ย้า อยา่ ไดล้ ืมตน
ไมส่ นใจแตง่ เนอ้ื (กันไวด้ ีกวา่ แก)้
ผา้ ห้มุ กายสกนธ์ ตวั ตน
มที รพั ย์ส่งิ เปรอปรน ดา่ งพร้อย
ปลอดทกุ ข์จากโจรสิ้น ความสขุ ย่ิงนอ
ไมร่ มู้ ีสนิ
3. สาหนึ่งบอกเขตไว้
สา หน่ึงพระก่อเกณฑ์ (ผ้าขี้รว้ิ ห่อทอง)
สา หนงึ่ งดงามเดน่
สา หน่งึ ชายาให้ ชดั เจน (สาเม – เสมา)
เรยี กไว้ (สากี – สกี า)
กา หน่ึงเมายง่ิ ล้า ดยี ิง่ เลยเฮย (สาโภ – โสภา)
ธริ าชเจ้าอยุธยา (สาดี – สีดา)
เหลอื เกิน (กาชัญ – กัญชา)
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
158
กา หนงึ่ สาวสวยเพลนิ เพรศิ แพรว้ (กาญญั – กัญญา)
กา หน่ึงมกั ชวนเชิญ ถามต่อ อกี นา (กาขัง – กังขา)
กา หนึง่ ดาก่อนแล้ว เปลยี่ นได้ภายหลัง (กาเศ – เกศา)
4. ผูห้ นง่ึ ชานาญดา้ น ดนตรี (พระอภยั มณี)
ผู้หนึ่งหลงสาวศรี
ผ้หู นง่ึ วุ่นวารี พ่ีน้อง (พระลอ)
ผ้หู นึง่ โปรยทานก้อง
พฆิ าตกุมภีลด์ น้ิ ชิงนุช คนื มา (พระราม)
นางเปลยี่ นช่ือสองหน
เป็นหอยก่อนเปน็ คน ส่าสร้างผลบญุ (พระเวสสนั ดร)
สาส่อนกบั หน่มุ เหน้า
เกยี รติกกึ ก้องกอบกู้ ดบั ชนม์ (ไกรทอง)
สวมใสบ่ ุกพฆิ าต
ปากคาบป่ายปนี บาท ช่วยเวา้ (วันทอง)
กระหน่าข้าศึกข้าม
นามน่นั ใครหนอ (สงั ขท์ อง)
เช่นนีน้ ามใคร (ดอกทอง)
เอกราช (พระนเรศวร)
พมา่ คร้าม (พระมาลาเบี่ยง)
เหยยี บค่าย พม่าแฮ (พระแสดงดาบคาบค่าย)
แม่น้าถอยไป (พระแสงปนื ตน้ ข้ามแม่นา้ สะโตง)
จากตัวอย่าง ผะหมี จะเห็นได้ว่า ผะหมี ใช้ประกอบการสอนวิชาภาษาไทยได้ดี ช่วยพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษา ฝึกให้ผู้เรียนช่างสังเกต พัฒนาไหวพริบปฏิภาณตลอดจนฝึกให้ผู้เรียนมีมานะ
พยายามทจ่ี ะเอาชนะปญั หาและช่วยสรา้ งความม่นั ใจในตนเองดว้ ย
5. เทคนิคการรว่ มคดิ
เทคนิคการร่วมคิดเปน็ รูปแบบทส่ี ามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้กับการจดั กจิ กรรมการสอนได้อย่าง
หลากหลายศาสตร์สาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาภาษาไทย เนื่องจากธรรมชาติของวิชาเน้นเร่ือง
การพัฒนาทกั ษะทางภาษาซึ่งประกอบดว้ ย ทักษะในการฟงั การพดู การอ่าน การเขยี น ดงั น้นั การนา
กิจกรรมที่สัมพันธ์กับการส่อื สารโดยตรงไปประยุกต์ใช้ จึงเป็นการเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนได้ฝกึ ฝนทักษะ
ดงั กลา่ วได้อย่างเต็มท่ี ซึ่งสานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2544 : 106 – 128) ได้
เก็บรวบรวมและนาเสนอเทคนิคการรว่ มคิดไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจ ดงั ตอ่ ไปน้ี
\\//\\//ศิลปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
159
1. กิจกรรมร่วมหัวร่วมคิด (Numbers Heads) : เป็นรูปแบบของกิจกรรมการเรียนการสอน
ที่นักการศึกษาชาวสหรัฐอเมริการได้ทาการวิจัยและพัฒนาข้ึน โดยการจัดให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่ม
เพอ่ื พัฒนาพฤติกรรมทางสงั คมและพฒั นาความรู้ ความสามารถ ซงึ่ มีขนั้ ตอนการดาเนนิ กจิ กรรม ดังนี้
1.1) ผู้สอนเตรียมการจัดกิจกรรมโดยกาหนดประเด็นใหญ่ท่ีต้องการศึกษา จากนั้น
จัดเตรียมส่ือ อุปกรณ์ สารสนเทศ หรือแหล่งข้อมูลที่ต้องใช้ในการดาเนินกิจกรรม และจัดทาแบบ
รายงานการวางแผนดาเนนิ งานของกลมุ่
1.2) ผู้สอนกาหนดประเด็นใหญ่ที่ศึกษาและหัวข้อย่อย หรือปัญหาท่ีสอดคล้องกับ
ประเด็นใหญ่ ให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล สารสนเทศท่ีเตรียมไว้ให้ แล้วเสนอหัวข้อเรื่อง
หรือปญั หาทแี่ ต่ละคนสนใจ จดั ใหผ้ ู้เรยี นทเี่ ลอื กหวั ขอ้ เดยี วกันมารวมกลุ่มกัน ทงั้ นี้ไม่ควรเกิน 5 คน
1.3) แตล่ ะกลมุ่ วางแผนร่วมกนั ในการทางานและเขียนรายงานการวางแผนดาเนนิ งานส่ง
ใหผ้ สู้ อนพิจารณา ตามหัวข้อ ดงั น้ี
- เรอ่ื งที่ศกึ ษา
- สมาชกิ กลมุ่
- วิธกี ารศึกษา
- แหลง่ ความรู้ทใี่ ช้
- การแบ่งหนา้ ทีภ่ ายในกลุ่ม
1.4) กลุ่มดาเนินงานตามแผนการท่ีวางไว้ โดยศึกษาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายในและ
ภายนอกโรงเรียน ผู้สอนกากับดูแล ให้คาปรึกษา ติดตามความก้าวหน้าในการทางานของกลุ่มและ
ชว่ ยเหลอื เมอื่ กลุ่มตอ้ งการ
1.5) กลุ่มรวบรวมข้อมูลจากการดาเนินงานในกิจกรรม ข้อ 3 ร่วมกันวิเคราะห์และ
ประเมินข้อมูล สรุปเป็นประเด็นสาคัญของ้ินงานกลุ่ม วางแผนการนาเสนอผลงานต่อช้ันให้น่าสนใจ
พรอ้ มท้ังแบ่งหนา้ ที่ใหส้ มาชกิ ทุกคนมสี ่วนรว่ มในการนาเสนอผลงานกลุม่
1.6) กลุ่มนาเสนอผลงานตามหัวข้อเร่ืองท่ีศึกษาทีละกลุ่ม กลุ่มอื่นๆ เป็นผู้นาและ
จดบันทึกประเด็นท่ีแตกต่าง เพื่อขยายแนวความคิดองตนเองให้กว้างไกล ผู้สอนทาหน้าท่ีเป็น
ผู้ประสานงานในระหว่างการนาเสนอ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนร่วมประเมิน และแสดง
ความคิดเหน็ ทม่ี ตี ่อผลงานทุกชิ้น
\\//\\//ศิลปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
160
1.7) ดาเนินการประเมินผลงานองกลุ่มร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน และนอกจากนี้
ผสู้ อนยงั ต้องดาเนินการประเมนิ ผู้เรยี นเป็นรายบุคคลด้วยการสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติงานดว้ ย
2. กิจกรรมคู่คิดคู่สร้าง (Think-Pair-Share) : เป็นรูปแบบของกิจกรรมการเรียนการสอนที่
Spenser Kagan (1994) นักการศึกษาชาวสหรัฐอเมริกาได้ทาการวิจัยและพัฒนาข้ึน โดยการจัดให้
ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่ม ซึ่งเร่ิมจากการจับคู่กันคิด แล้วนาความคิดของท้ังคู่มาอภิปรายในกลุ่มเพ่ือ
ให้ได้ความคิดของกลุ่มเป็นกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาพฤติกรรมทางสังคม ควบคู่กับความรู้
ความเขา้ ใจในเรอ่ื งทีเ่ รยี น ซึง่ มขี น้ั ตอนการดาเนินกิจกรรม ดงั นี้
2.1) ผู้สอนเตรียมประเด็นปัญหาหรือหัวข้อปัญหาที่จะให้กลุ่มฃ่วยกันคิดหาคาตอบหรือ
หัวข้อการเรียนท่ีต้องแจ้งให้กลุ่มทราบ จากน้ันแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มแบบคละกัน พร้อมท้ังจัด
ห้องเรียนใหน้ งั่ เป็นกลุม่ หันหน้าเข้าหากันเพ่อื ให้มปี ฏสิ มั พันธ์ทด่ี ีต่อกัน
2.2) ผู้สอนมอบประเด็นปัญหาให้กลุ่มช่วยกันคิด ซ่ึงประเด็นปัญหาอาจมาจากการท่ี
ผูส้ อนแจง้ หัวข้อการเรยี นให้กลมุ่ ทราบ แลว้ กลุ่มกาหนดปญั หาท่อี ยากรู้ข้ึนมาเองในหวั ข้อเร่ืองนั้นๆ
2.3) สมาชิกภายในกลุ่มจบั คู่กนั อภิปรายเพื่อคิดหาคาตอบ โดยเมอื่ จดั หาสมาชิกเข้ากลุ่ม
ได้แล้วต้องมีการกาหนดหมายเลขให้แก่สมาชิกเพื่อง่ายต่อการสลับคู่การอภิปราย ซ่ึงแต่ละกลุ่มจะ
สลบั คอู่ ภปิ รายดังน้ี
รอบที่ 1 หมายเลข 1 จบั คอู่ ภิปรายกับ หมายเลข 2
หมายเลข 3 จบั คู่อภปิ รายกบั หมายเลข 4
รอบท่ี 2 หมายเลข 1 จบั คู่อภปิ รายกับ หมายเลข 3
หมายเลข 2 จบั คูอ่ ภปิ รายกับ หมายเลข 4
รอบที่ 3 หมายเลข 1 จับคูอ่ ภปิ รายกับ หมายเลข 4
หมายเลข 2 จบั คู่อภปิ รายกับ หมายเลข 3
2.4) เมื่อสมาชิกกลุ่มจับคู่กันอภิปรายครบตามจานวนรอบท่ีกาหนดหรือครบตาม
กาหนดเวลาแลว้ ให้สมาชกิ กลุ่มนาผลการอภปิ รายของแต่ละคู่มาอภิปรายในกลมุ่ อีกครัง้ เพื่อหาข้อสรุป
รว่ มกันของกลมุ่
2.5) ตัวแทนกลุ่มนาเสนอความคิดหรอื คาตอบของกลมุ่ ต่อชั้นเรียน
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
161
2.6) ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้แบบสังกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม และ
ประเมินนักเรยี นจากการตรวจบนั ทกึ ผลรายงานการอภิปราย
3. กจิ กรรมคิดคู่สลบั คู่คิด (Think-Pair-Square) : เปน็ วิธกี ารท่ใี ห้สมาชกิ ภายในกลุ่มมโี อกาส
จับคู่ร่วมกันคิด อภิปราย แลกเปล่ียนความรู้ และประสบการณ์ในประเด็นท่ีศึกษาอย่างทั่วถึง ซึ่งมี
ขนั้ ตอนการดาเนินกิจกรรม ดังนี้
3.1) ผู้สอนเตรียมการจัดกิจกรรมโดยการแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 6 คน
จากน้ันจัดเตรยี มประเด็นท่ตี ้องการศกึ ษาและแบบบันทึกผลการอภปิ รายกลุม่
3.2) ผสู้ อนมอบหมายประเด็นทีศ่ ึกษาให้กลุม่ ร่วมกันคิด
3.3) สมาชิกในกล่มุ จับคูก่ นั คดิ ตามประเด็นทศ่ี กึ ษาในเวลาที่กาหนด
3.4) สมาชิกในกลุม่ แต่ละค่สู ลบั คกู่ นั เพอ่ื ร่วมกันคิดในประเดน็ ท่ีศึกษาอีกครั้ง
3.5) สมาชิกกลุ่มทกุ คนรว่ มกันอภิปรายเพ่อื สรปุ เป็นความคดิ ของกลุม่
3.6) แต่ละกล่มุ สง่ ตวั แทนนาเสนอขอ้ สรปุ ของกลุ่มตอ่ ช้ันเรยี น
3.7) วัดผลผู้เรียนโดยการสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ิงานและผลการดาเนินงาน
4. กิจกรรมเล่าเร่ืองรอบวง (Roundrobin) : เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนเล่า
ประสบการณค์ วามรู้ในประเด็นท่ีศึกษาโดยใช้เวลาทเี่ ท่ากัน ซงึ่ มีขั้นตอนการดาเนนิ กิจกรรม ดังนี้
4.1) ผู้สอนเตรียมการจดั กิจกรรมโดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุม่ กลุ่มละ 4 คน พร้อมทั้ง
กาหนดหมายเลขประจาตวั ของสมาชิกแต่ละคนในกล่มุ เปน็ 1, 2, 3 และ 4
4.2) แจง้ ประเด็นท่ีศึกษาให้แตล่ ะกลุ่มทราบ
4.3) ให้สมาชิกภายในกลุ่มจับคู่เล่าเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่ศึกษาโดยใช้เวลาเท่าๆ
กัน ตามลาดบั ข้นั ตอน ดังน้ี
ขั้นท่ี 1 : สมาชิกหมายเลข 1 จับคู่กับหมายเลข 2 และหมายเลข 3 จับคู่กับ
หมายเลข 4 โดยใหห้ มายเลข 1 และ 3 เปน็ ผู้เล่า สว่ นหมายเลข 2 และ 4 เป็นผู้ฟงั
ข้ันที่ 2 : เปล่ียนผู้เล่าและผู้ฟังโดยให้สมาชิกหมายเลข 2 และ 4 เป็นผู้เล่า ส่วน
หมายเลข 1 และ 3 เปน็ ผูฟ้ งั
ข้ันที่ 3 : ให้แต่ละคนผลัดกันเล่าให้สมาชิกภายในกล่มุ ฟัง โดยเริ่มจากหมายเลข
1, 2, 3 และ 4 ตามลาดบั
\\//\\//ศิลปะการจัดกจิ กรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
162
4.4) ผู้สอนซักถามปัญหาเกี่ยวกับประเด็นท่ีศึกษาแล้วสุ่มหมายเลขประจาตัวสมาชิกใน
กลุ่มเปน็ ผูต้ อบปญั หา
4.5) ประเมินผลผู้เรียนจากการสังเกตการตอบคาถาม ความสนใจ การส่ือความหมาย
และมารยาทในการฟงั
5. กิจกรรมอัศวินโต๊ะกลม (Round Table) : เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งเน้นพัฒนาพฤติกรรมทาง
สังคมในด้านการทางานระบบกลมุ่ การมปี ฏสิ ัมพันธ์ทด่ี ตี อ่ กัน การช่วยเหลอื ซ่งึ กันและกัน การยอมรับ
ความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน และการรู้บทบาทหน้าท่ีของตนเอง อีกท้ังยังเป็นกิจกรรมที่สามารถ
ประยุกตใ์ ช้ในขั้นการนาเข้าสู่บทเรียนหรือขน้ั สรปุ บทเรียนได้อีกด้วย นอกจากนยี้ งั เปน็ การจดั กจิ กรรม
ท่ีเปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงออกทางความคิดอย่างทั่วถึงด้วยการ ผลัดกันเขียนประเด็นที่
ศึกษาหนง่ึ คาตอบลงบนแบบบันทึกทีละคน ซ่ึงมขี นั้ ตอนการดาเนนิ กจิ กรรม ดังนี้
5.1) ผู้สอนเตรียมการจัดกิจกรรมโดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 6 คน
พร้อมทัง้ แจกแบบบนั ทกึ และประเด็นที่ศกึ ษาให้ผ้เู รยี นกลุม่ ละ 1 ชดุ
5.2) สมาชิกคนที่ 1 ของกลุ่มเขียนแสดงความคิดเห็นหรือเขียนตอบคาถามตามประเดน็
ท่ีศกึ ษาลงในแบบบันทึกแลว้ ส่งตอ่ ใหส้ มาชิกในกลุ่มเขียนจนครบทงั้ กลุม่
ในกรณีท่ีผู้เรียนไม่มีความรู้ความเข้าใจในประเด็นท่ีศึกษาผู้สอนต้องแจกใบความรู้ให้
นักเรียน แต่ละกลุ่มศึกษารายละเอียดก่อน จากน้ันจึงแจ้งประเด็นท่ีต้องการให้ศึกษาแก่ผู้เรียน ซึ่ง
ประเด็นท่ีศึกษาน้ีอาจมี 1 หรือ 2 ประเด็น ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสาระสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ใน
คาบน้ัน
5.3) สมาชิกกล่มุ ร่วมกนั สรปุ เป็นความคดิ ของกลุม่
5.4) แต่ละกล่มุ ส่งตัวแทนนาเสนอผลงานตอ่ ช้ันเรียน
5.5) วัดผลผู้เรยี นโดยการสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติงานและผลการดาเนนิ งาน
6. กิจกรรมจุดร่วมในความต่าง (Compare and Contrast) : เป็นวิธีการที่ใช้ฝึกทักษะ
การจาแนก โดยให้สมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันศึกษาวิเคราะห์หาความเหมือนและความแตกต่างจาก
ประเด็นท่ีศึกษาอย่างน้อย 2 ประเด็น โดยบันทึกผลการวิเคราะห์ลงในแผนภูมิความสัมพันธ์ (Venn
Diagram)
\\//\\//ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
163
6.1) ผู้สอนเตรียมการจัดกิจกรรมโดยการกาหนดประเด็นท่ีศึกษาอย่างน้อย 2 ประเด็น
ที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น คาเป็น – คาตาย, อักษรสามหมู่, การสร้างคาไทย และคาครุ – ลหุ เป็นตน้
รวมทงั้ จดั เตรียมใบความรู้ในประเด็นทีศ่ ึกษาดว้ ย จากนนั้ แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม กลมุ่ ละ 4 – 6 คน
พร้อมท้งั แจกแบบบนั ทึกผลการศกึ ษาใหแ้ ก่ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มดว้ ย
6.2) สมาชิกแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูล เกี่ยวกับความเหมือนและความแตกต่าง
ของประเด็นทศี่ กึ ษาเพ่ือจดั ทาแผนภูมิความสมั พนั ธ์ (Venn Diagram) ต่อไป
6.3) แต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการวิคราะหข์ อ้ มลู ตอ่ ชนั้ เรยี น
6.4) ผู้สอนและผูเ้ รยี นแตล่ ะกลุม่ ร่วมกันจัดทาแผนภมู คิ วามสัมพนั ธ์อีกครั้ง
6.5) วัดผลผ้เู รียนโดยการสงั เกตความร่วมมอื ในการทางาน และการตรวจผลงานกลุม่
7. กิจกรรมสืบค้นเป็นกลุ่ม (Group Investigation : GI) : เป็นวิธกี ารที่เนน้ การศึกษาค้นคว้า
และสืบเสาะหาความรู้ในเร่ืองท่ีสนใจร่วมกัน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดส่ิงท่ีจะ
เรียน และร่วมกันวางแผนจัดกระบวนการเรียนเหมาะสาหรับการเรียนรู้แบบโครงงาน ซึ่งมีข้ันตอน
การดาเนนิ กิจกรรม ดังนี้
7.1) ผู้สอนเตรียมการจัดกิจกรรมโดยการกาหนดประเด็นใหญ่ท่ีศึกษาและหัวข้อย่อย
หรอื ปญั หาท่สี อดคล้องกบั ประเดน็ ใหญใ่ ห้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่เตรียมไว้ให้
แล้วเสนอหัวข้อเร่อื งหรือปญั หาทแ่ี ต่ละคนสนใจ จัดให้ผูเ้ รียนท่เี ลือกหัวข้อเดียวกันมารวมกลุม่ กันท้ังน้ี
ไมค่ วรเกนิ 5 คน
7.2) แต่ละกลุ่มวางแผนร่วมกันในการทางาน และเขียนรายงานการวางแผนดาเนินงาน
ส่งให้ผู้สอนพิจารณา ตามหัวข้อดังนี้ เร่ืองท่ีศึกษา, สมาชิกกลุ่ม, วิธีการศึกษา, แหล่งความรู้ที่ใช้ และ
การแบง่ หนา้ ทภี่ ายในกลุ่ม เปน็ ตน้
7.3) กลุ่มดาเนินงานตามแผนการท่ีวางไว้ โดยศึกษาจากแหล่งข้อมูลท้ังภายในและ
ภายนอกโรงเรียน ผู้สอนกากับ ดูแล ให้คาปรึกษา ติดตามความก้าวหน้าในการทางานของกลุ่มและ
ชว่ ยเหลือเมอื่ ต้องการ
7.4) กลุ่มรวบรวมข้อมูลจากการดาเนินงานในกิจกรรมข้อ 3 ร่วมกันวิเคราะห์และ
ประเมินข้อมูล สรุปเป็นประเด็นสาคัญของช้ินงานกลุ่ม วางแผนการนาเสนอผลงานต่อชั้นใช้น่าสนใจ
พรอ้ มท้งั แบง่ หนา้ ท่ีให้สมาชิกทุกคนมสี ่วนรว่ มในการนาเสนอผลงานกล่มุ
\\//\\//ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย\\//\\//
164
7.5) กลุ่มนาเสนอผลงานตามหัวข้อเร่ืองที่ศึกษาทีละกลุ่ม กลุ่มอ่ืนๆ เป็นผู้ฟัง และจด
บันทึกประเด็นที่แตกต่าง เพื่อขยายแนวความคิดของตัวเองให้กว้างไกล ผู้สอนทาหน้าที่เป็นผู้
ประสานงานในระหว่างการนาเสนอ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนร่วมประเมินและแสดงความ
คดิ เห็นทม่ี ีตอ่ ผลงานทุกช้ิน
7.6) วัดผลผเู้ รียนโดยประเมินผลงานของกลุ่มรว่ มกนั ระหว่างผู้สอนและผู้เรยี น ตลอดจน
ประเมนิ ผู้เรียนเปน็ รายบคุ คลโดยการสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิงาน
8. กิจกรรมมุมสนทนา (Corners) : เป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างความสามัคคีในชั้นเรียน ข้ันตอน
การเรียนเร่ิมต้นด้วยการจัดให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มย่อยเข้าไปน่ังตามมุมหรือจุดต่างๆ ของห้องเรียน
ผู้เรียนในกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มจะช่วยกันคิดหาคาตอบสาหรับโจทย์ปัญหาต่างๆ ที่ผู้สอนยกข้ึนมา
หลังจากน้นั จะเปิดโอกาสให้สมาชกิ ในมุมหน่ึงอธิบายเรือ่ งราวทตี่ นไดศ้ ึกษาใหเ้ พ่อื นในมุมอน่ื ฟัง
9. กิจกรรมคู่ตรวจสอบ (Pairs Check) : เป็นเทคนิคที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 4
หรือ 6 คน สมาชิกในกลุ่มจับคู่กันทางาน เม่ือได้รับโจทย์ปัญหาหรือแบบฝึกหัดจากผู้สอน ผู้เรียนคน
หน่ึงจะเป็ฯคนแก้โจทย์หรือตอบปัญหา และอีกคนหน่ึงทาหน้าท่ีเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหา หลังจาก
ทาโจทย์ข้อที่ 1 เสร็จ ผู้เรียนคู่น้ันจะสลับหน้าท่ีกัน คือให้คนท่ีแก้โจทย์ข้อท่ีผ่านมาทาหน้าท่ีเป็นคน
เสนอแนะ และใหค้ นทเ่ี คยทาหน้าทีเ่ สนอแนะไปทาหน้าทีแ่ กโ้ จทยป์ ัญหา เม่ือแกโ้ จทยเ์ สรจ็ ครบแต่ละ
ขอ้ แต่ละคจู่ ะนาคาตอบมาแลกเปล่ยี นและตรวจสอบกับคาตอบของคู่อ่นื ในกลุ่ม
10. กิจกรรมเพื่อนเรียน (Partners) : เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องจับคู่เพื่อช่วยเหลือกันเรียน
และทาความเข้าใจเน้ือหาที่เป็นความคิดรวบยอดที่สาคัญ ในบางครั้งคู่หนึ่งอาจไปขอคาแนะนา
คาอธิบายจากคู่อื่นๆ ท่ีคาดว่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรอื่ งดังกลา่ วดกี ว่า และเช่นเดยี วกันเมื่อผู้เรยี น
ค่นู ัน้ เกดิ ความเขา้ ใจที่แจ่มชดั แล้ว กจ็ ะเป็นผูถ้ า่ ยทอดความร้ใู ห้ผู้เรียนคอู่ ่นื ๆ ตอ่ ไป
\\//\\//ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
165
บทท่ี 5
การจัดกจิ กรรมเพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้
กิจกรรมเพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิงในกระบวนการ
จัดการเรียนรู้ เน่ืองจากเป็นขั้นตอนของการตรวจสอบประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ทาให้ผู้สอน
สามารถปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนได้อย่างทันการ การตรวจสอบผลการเรียนรู้สามารถกระทาได้
หลากหลายรูปแบบ แต่ในปัจจุบันให้ความสาคัญกับกระบวนการประเมินเพื่อมอบอานาจการเรียนรู้
ให้แก่ผู้เรียนมากท่ีสุด แต่อย่างไรก็ตามผู้สอนจาเป็นต้องทาความเข้าใจและยึดหลักการของการวัด
ประเมนิ ผลเปน็ พน้ื ฐานในการปฏบิ ัตดิ ้วย ซง่ึ มีรายละเอยี ดท่สี าคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ความรู้ทางภาษากบั การวัดประเมินผลการเรยี นรู้
การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษาเป็นงานที่ต้องการความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับ
การพัฒนาทางภาษา ดังนั้นผู้ปฏิบัติหน้าท่ีวัดผลการเรียนรู้ด้านภาษาจาเป็นต้องเข้าใจหลักการของ
การเรยี นร้ภู าษา เพือ่ เป็นพน้ื ฐานการดาเนนิ งาน ดังน้ี
1. ทักษะทางภาษาทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนมีความสาคัญเท่าๆ กัน และ
ทักษะเหล่าน้ีจะบูรณาการกัน ในการเรียนการสอนจะไม่แยกฝึกทักษะทีละอย่างจะต้องฝึกทักษะไป
พร้อมๆ กนั และทักษะทางภาษาทกั ษะหน่ึงจะสง่ ผลต่อการพฒั นาทักษะทางภาษาอนื่ ๆ ด้วย
2. ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษาพร้อมกับการพัฒนาด้านความคิด
เพราะภาษาเป็นส่ือของความคิด ผู้ท่ีมีทักษะและความสามารถในการใช้ภาษา มีประมวลคามาก
จะช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดด้วย ขณะเดียวกันการเรียนภาษาจะเรียนร่วมกันกับผู้อ่ืน
มีการติดต่อสื่อสาร ใช้ภาษาในการติดต่อกับเพ่ือนและครูจึงเป็นการฝึกทักษะทางสังคมด้วย เม่ือ
ผู้เรียนได้ใชภ้ าษาและได้ฝกึ ทกั ษะทางสงั คมในสถานการณ์จริง
3. ผเู้ รียนต้องเรยี นรูก้ ารใช้ภาษาพูดและภาษาเขยี นอย่างถูกต้อง ดว้ ยการฝึกการใชภ้ าษามิใช่
เรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่เพียงอย่างเดียว การเรียนภาษาจะต้องเรียนรู้ไวยากรณ์หรือหลักภาษา
การสะกดคา การใช้เคร่ืองหมายวรรคตอน และนาความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการฝึกฝนการเขียนและ
พัฒนาทักษะทางภาษาของตน
\\//\\//การจัดกิจกรรมเพือ่ ตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
166
4. ผู้เรียนทุกคนจะได้รับการพัฒนาทักษะทางภาษาเท่ากันแต่การพัฒนาทางภาษาของแต่ละ
คนจะไมเ่ ทา่ กนั เพราะผู้เรียนมีวธิ ีการเรียนรูต้ า่ งกัน
5. ภาษากับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หลักสูตรจะต้องให้ความสาคัญ ให้
ความเคารพและเห็นคุณคา่ ของเช้ือชาติ จดั กิจกรรมภมู ิหลังของภาษา และการใชภ้ าษาถิ่นของผู้เรียน
ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาภาษาไทยของตนและพัฒนาความรู้สึกท่ีดีเกี่ยวกับภาษาไทย กระตุ้นให้ผู้เรียน
สามารถใช้ภาษาไทยได้อยา่ งมีความสุข
6. ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมอื ของการเรยี นรู้และทุกกลุ่มสาระการเรยี นรจู้ ะต้องใช้ภาษาไทยเป็น
เครื่องมือการสื่อสารและการแสวงหาความรู้ การเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะใช้ภาษาในการคิด
วิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การอภิปราย การเขียนรายงาน การเขียนโครงการ การตอบคาถาม
การตอบข้อทดสอบ ดังน้ัน ครูทุกคนไม่ว่าจะสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ใดก็ตามจะต้องใช้ภาษาที่เป็น
แบบแผน เป็นตัวอยา่ งที่ดีแกน่ กั เรียน และตอ้ งสอนการใชภ้ าษาแก่ผเู้ รียนดว้ ยเสมอ
2. หลกั การประเมนิ ผลในชั้นเรียนท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ
1. การประเมินผลในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน : เพราะ
เป้าหมายของการประเมินผลในชั้นเรียน คือ การได้ข้อมูลเพ่ือพัฒนาการเรียนของผู้เรียน และข้อมูล
เก่ยี วกบั การพัฒนาการสอน แนวคดิ นี้ชใี้ หเ้ ห็นวา่ การประเมินผลจะตอ้ งอยู่ในกระบวนการดาเนินงาน
มิใช่เหตุการณ์เกิดข้ึนเพียงครั้งเดียว แล้วสรุปผลการเรียนการสอนหรือประเมินตอนจบบทเรียน
ผู้สอนจะต้องปฏิบัติการประเมินผลการเรียนรู้ตั้งแต่เร่ิมต้นบทเรียนเพื่อตรวจสอบความรู้พ้ืนฐาน
ประเมินผลระหว่างการเรียนการสอนโดยประเมินอย่างสม่าเสมอตลอดการสอนแต่ละหนว่ ย เพื่อให้ได้
ข้อมูลมาปรับปรุงการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ผลการประเมินจะใช้ข้อมูล
เกี่ยวกบั ประสิทธภิ าพการสอนและระดับการเรยี นรขู้ องนักเรยี น
2. การประเมินจะต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ีหลากหลาย : การประเมินผลในชั้นเรียนทีด่ ี
ต้องได้จากการสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ การวัดเพียงครั้งเดียวอย่างเดียว จะให้ข้อมูลท่ี
ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากจะให้ข้อมูลของผู้เรียนเพียงเวลานั้นเท่านั้น การใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งท่ีได้
มาด้วยวิธีการที่หลากหลายสอดคล้องกับสิ่งท่ีต้องการวัดและสภาพที่เป็นจริง มีความสาคัญ
ต่อการตดั สินใจโดยรวม
3. การประเมินจะต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้ และ ยุติธรรม : ความเท่ียงตรงและ
ความเช่ือม่ันเป็นคุณสมบัติสาคัญของเครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ความเท่ียงตรง
\\//\\//การจัดกจิ กรรมเพ่ือตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
167
ของเคร่ืองมือเป็นผลมาจากการใช้เคร่ืองมือวัดผลการเรียนรู้ท่ีสามารถวัดส่ิงที่ต้องการวัด เช่น ครู
ต้องการวัดความสามารถในการค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ของผู้เรียน ครูจะต้องติดตาม
สังเกตการใช้แหล่งความรู้เพื่อการค้นคว้าข้อมูลในสภาพที่เป็นจริงของผู้เรียน มิใช่ให้ผู้เรียนสอบโดย
การเขียนตอบเพ่ือแสดงความรู้เก่ียวกับการค้นคว้าข้อมูลจากห้องสมุด ซึ่งไม่สะท้อนความสามารถท่ี
แท้จริงของผู้เรียน ส่วนความเช่ือม่ันของข้อมูล หมายถึง ความเชื่อถือได้และความคงเส้นคงวาของผล
การประเมินที่ได้ ส่วนการกาหนดเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนจะช่วยให้ผลการประเมินมีความเชื่อถือ
ได้มากข้ึน สาหรับด้านความยุติธรรม หมายถึง การให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสแสดงสิ่งที่เขารู้และ
สามารถทาได้ ไม่ใช่ประเมินในสิ่งทไ่ี ม่เคยสอนถือเป็นการไมย่ ุตธิ รรม
3. การวางแผนเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพื่อการประเมนิ ผลการเรียน
การกาหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลผลการเรียนรู้ท่ีได้จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้
พิจารณาองค์ประกอบสาคัญต่อไปนี้
1. ผลการเรยี นรู้ท่ตี ้องการจากกิจกรรมการเรียนการสอนคืออะไร : หลกั สูตรสถานศึกษาจะมี
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่ได้มาจากมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นของช้ันท่ีสอน ซ่ึงกาหนดไว้ให้
ครอบคลุมความรู้ ทักษะ คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมต่างๆ ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังจะนาไปสู่
การเลือกวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
2. ความมุ่งหมายของการประเมินคืออะไร : ความมุ่งหมายของการประเมินและผู้ท่ีจะนา
ผลการประเมินไปใช้จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการประเมินได้เหมาะสม รวมท้ังสามารถกาหนด
แนวทางในการรายงานผลการประเมินได้ การประเมินเพื่อวินิจฉัยจุดเด่น - จุดด้วย ในการเรียนกับ
การประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรยี นมีความมุ่งหมายตา่ งกนั การประเมินเพื่อวินิจฉัยต้องการข้อมูลเพื่อ
การปรับปรุงพัฒนาผเู้ รียน วิธกี ารประเมนิ จงึ มลี กั ษณะมุง่ เน้นในรายละเอยี ดทุกขั้นตอนแห่งการเรียนรู้
เพื่อเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเรียนของผู้เรียน เหมาะท่ีจะนามาใช้ระหว่างกระบวนการ
เรียนการสอน ส่วนการประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนจะเป็นการประเมินสรุปผลการเรียนรู้ทั้งหมด
แนวทางการวัดจึงมีลักษณะท่ีนามาเฉพาะเป้าหมายหลกั สาคัญท่ีจะแสดงภาพรวมเกี่ยวกับสัมฤทธิผล
ของผเู้ รียนตามความคาดหวงั มาประเมิน
4. วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผลการเรยี นรู้ของผเู้ รียน
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลพิจารณาจากเป้าประสงค์ของการประเมินท่ีเฉพาะเจาะจงใน
รายละเอียด เพื่อจะได้นาข้อมูลไปใชป้ ระโยชนใ์ นการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ได้แก่
วิธีการดังน้ี
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพ่ือตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
168
1. การดูจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงาน บันทึกประจาวัน รายงานการทดลอง บทร้อย
กรอง บทละคร แฟ้มผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นการนาความรู้และทักษะไปใช้ใน
การปฏิบัตงิ านของผเู้ รยี น
2. ดูการปฏิบัติ สังเกตการนาทักษะและความรู้ไปใช้โดยตรงในสถานการณ์ท่ีให้ปฏิบัติ เช่น
การร้องเพลง ดนตรี การโต้วาที
3. ดูกระบวนการ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ กระบวนการคิด เช่น การต้ังคาถาม
การให้นักเรียนคิดดังๆ จะได้ทราบวิธีการคิดที่นักเรียนใช้ วิธีการน้ีเป็นกระบวนการท่ีจะให้ข้อมูล
เพ่ือการวนิ จิ ฉัย
4. การสังเกต เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ท่ีผู้สอนดูจากพฤติกรรมของผู้เรียนหรือ
จากเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน โดยเป็นการสังเกตรายบุคคล แล้วบันทึกผลการสังเกตไว้ พฤติกรรมท่ีผู้สอน
ควรสงั เกตผเู้ รียน เชน่ การฝึกทักษะต่างๆ ท่ีผ้เู รยี นฝกึ ขณะปฏิบตั ิกิจกรรม
5. การประเมินตนเองของนักเรียน เป็นการประเมินตนเองเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน
กระบวนการทางาน ผลงาน ปัญหาหรอื อุปสรรค วธิ ีการแก้ไข แนวทางการเสริมสร้างศักยภาพแห่งตน
หรือ การขอความช่วยเหลือจากครู การประเมินตนเองเป็นภารกิจที่ผู้เรียนต้องรับผิดชอบต่อตนเอง
ในการพัฒนางานน้ันให้สาเร็จตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ นาผลการเรียนรู้ไปปรับปรุงและขยาย
ผลให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม การประเมินตนเองเป็นวิธีการหน่ึงที่ช่วยให้นักเรียนเกิด
แรงจูงใจใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้นาตนเอง ความก้าวหน้าทั้งในด้านคุณภาพของงานและคุณลักษณะท่ี
พงึ ประสงค์
6. การประเมินกลุ่ม เป็นการให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกจากการมี
ส่วนร่วมในกระบวนการทางานเป็นกลุ่ม การพบปัญหาหรืออุปสรรค แนวทางการแก้ไขผลงาน
ก า ร แ ส ด ง ค ว า ม รู้ สึ ก ต่ อ ส ม า ชิ ก ใ น ก ลุ่ ม แ ล ะ ผ ล ที่ เ กิ ด จ า ก ก า ร ท า ง า น ร่ ว ม กั บ ส ม า ชิ ก ใ น ก ลุ่ ม
การประเมินกลุ่มเป็นการฝึกการคิดวิเคราะห์วิจารณ์อย่างมีเหตุผลและยุติธรรมให้เกิดขึ้นแก่นักเรียน
และฝึกทักษะการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน การประเมินกลุ่มเหมาะสาหรับการทาโครงงาน
ตามความสนใจ
7. การสัมภาษณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลในลักษณะที่ครูมีโอกาสพบปะสนทนากับ
นักเรียน โดยมีการเตรียมหัวข้อหรือคาถามที่ต้องการสัมภาษณ์อย่างง่ายๆ แล้วถามเรียงคาถามไป
เรื่อยๆ หรืออาจมีการถามสลับคาถาม ข้ึนอยู่กับเหตุการณ์ในขณะสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ควรเป็น
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพอื่ ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
169
แบบไม่เป็นทางการ แต่ผู้ถามจะมีเนื้อหาที่ต้องการถามอยู่แล้ว โดยต้องพยายามพูดคุยและนาเข้าสู่
เรื่องท่ีต้องการ ส่วนใหญ่การถามนิยมใช้ประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ความเข้าใจในระดับที่
สูงกว่าความรู้ความจา ให้แสดงความรู้สึกนึกคิดและอาจสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ค่านิยม เจตคติ
รวมท้ังเห็นคณุ ค่าของสิ่งที่ไดเ้ รียนรูน้ น้ั
5. การประเมินเพอื่ มอบอานาจการเรยี นรู้
การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผ้สู อนส่วนใหญ่เป็นไปเพ่ือการตดั สินผลการเรียนตามมาตรฐาน
มิได้เป็นไปเพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สูงข้ึนซึ่งทาให้การจัดการศึกษาส่วนใหญ่
ต้องล้มเหลว ครูไม่ประสบความสาเร็จในการจัดการเรียนรู้ในขณะเดียวกันนักเรยี นก็ขาดแคลนทักษะ
ในการนาความรู้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ันผู้สอนจึงควรปรับมุมความคิดใหม่เพ่ือให้
การประเมินผลการเรยี นรู้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
ดว้ ยการประเมนิ เพ่ือพฒั นาผลการเรยี นรู้
การประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) เป็นการมอบอานาจการเรียนรู้ให้กับ
ผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตรวจสอบความรู้ความความใจและความสามารถของตนเอง อย่างมี
ทศิ ทางเพ่ือพฒั นาตนเองไปสู่การเรยี นรตู้ ามกรอบมาตรฐานทค่ี รูกาหนด ซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์ท่ี
สาคญั 5 ประการ ดังน้ี
1. กาหนดวัตถุประสงค์และเกณฑ์ความสาเร็จในการเรียนรู้ : การเรียนรู้ท่ีมีพลัง คือ
การเรียนรู้ท่ีมีเป้าหมายชัดเจน เม่ือนักเรียนเข้าใจว่าตนกาลังเรียนอะไร เพื่อประโยชน์อะไรต่อชีวิตใน
อนาคตของตน การเรียนก็จะเป็นส่ิงที่มีความหมาย มีคุณค่า ทาให้เกิดแรงบันดาลในต่อการเรียน
และผลการเรียนดีขึ้น เป็นการสร้างคุณค่าของการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียน ดังน้ันก่อน
การจัดการเรียนรู้ผู้สอนจาเป็นต้องกาหนดเป้าหมายความสาเร็จหลังการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมให้
ผู้เรียนสามารถนาความรู้จากสถานการณ์หน่ึงไปปรับใช้กับอีกสถานการณ์หน่ึงได้ โดยมีเป้าหมาย
สุดท้ายเป็นผลลัพธ์ของการเรียนรู้และมีกระบวนการปฏิบัติเป็นลาดับขั้นสู่ความสาเร็จ การจัด
สถานการณ์การเรียนรเู้ พ่ือให้นักเรียนเข้าถึงเปา้ หมายและเกณฑ์ความสาเรจ็ ของการเรียนรู้ท่ีสามารถ
นาไปประยกุ ต์ใช้ได้ ได้แก่กิจกรรมดงั ต่อไปนี้
การประเมินเพอ่ื ตดั สิน การประเมินเพอ่ื พัฒนา
กจิ กรรมท่ี 1 คู่สลบั กลบั กันตรวจ
ใหน้ ักเรียนจบั คสู่ ลบั กนั ตรวจงาน นาคาตอบข้อสอบของนักเรียนคนอ่ืนๆ มาวิจารณ์ร่วมกันจะช่วยทาให้
เข้าใจผลงานที่มีคุณภาพต่างกนั และเข้าใจวา่ ลกั ษณะของผลงานท่มี ี
\\//\\//การจัดกจิ กรรมเพื่อตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
170
การประเมินเพ่ือตดั สิน การประเมนิ เพื่อพัฒนา
ผล : นกั เรยี นตรวจให้คะแนนชนดิ คุณภาพสูงเป็นอย่างไรในทางปฏิบัติ เพราะความเข้าใจแบบนี้ส่วนหน่ึง
ต่างคนต่างไม่มีเกณฑ์ประเมิน ระบุออกมาเป็นถ้อยคายาก การเห็นตัวอย่างจะช่วยให้เกิดความเข้าใจ
คุณภาพ บางคร้ังนักเรียนอาจไม่ ได้ง่าย นักเรียนต้องได้รับการฝึกให้เข้าใจคุณภาพของช้ินงานตั้งแต่เป็น
ยอมรับผลการประเมนิ จากเพอ่ื น นกั เรยี นอนบุ าล เพ่อื เป็นการวางรากฐานหรือสร้างนสิ ยั การประเมินเพื่อ
พัฒนาให้ติดตัวไปตลอดชีวิตหรืออีกนัยหน่ึงคือฝึกให้เป็นคนทางาน
ประณีต มีคณุ ภาพสูง
ผล : นักเรียนเข้าใจความหมายของบทเรียน, เกิดอุปนิสัยใน
การตรวจทานตัวเอง, รู้จักผลงานคุณภาพสูงท้ังในแง่เน้ือหาความเข้าใจ
และทางกายภาพรวมทงั้ เสน้ ทางทจ่ี ะพาตนเองไปถึงคุณภาพน้ันๆ ด้วย
กจิ กรรมท่ี 2 แบบทดสอบจาลอง
ให้นกั เรยี นระบวุ า่ ตนเองเขา้ ใจ (สาหรับเด็กโต เช่น ป.4 ขึ้นไป) ให้นักเรียนออกข้อสอบเพ่ือทดสอบ
บทเรียนมากน้อยแคไ่ หน ความก้าวหน้าในการเรยี นรกู้ ันเอง รวมท้งั ระบคุ าเฉลย
ผล : นักเรยี นระบไุ มไ่ ด้ แม้แตเ่ ด็ก ผล : นกั เรยี นเรม่ิ เห็นวธิ ีที่จะประเมนิ ตัวเองอยา่ งงา่ ยๆ ไมต่ อ้ งรอคอยให้
ที่ตั้งใจเรียน เพราะไม่ค่อยได้ฝึก ครูหรือใครมาประเมิน เมื่อระบุตัวเองได้ก็เห็นทิศทางการพัฒนาตัวเอง
ประเมินคุณภาพของตัวเองและ ใหด้ ขี ้ึน
มกั จะรอดจู ากผลการสอบ
กจิ กรรมที่ 3 Choose-Swap-Choose
ใหน้ กั เรยี นประเมนิ ผลงานกันเอง ให้นักเรียนทาชิ้นงาน เช่น เขียนตัวอักษร ก จานวน 10 ตัวอักษร แล้ว
ผล : นักเรียนระบุคุณภาพลง จับคู่กับเพ่ือนเพ่ือแลกกันประเมินว่าตัวอักษรตัวใดสวยที่สุด เม่ือ
รายละเอยี ดไม่ค่อยได้ เพราะไม่มี นักเรียนมีความคิดเห็นท่ีไม่ตรงกัน ให้แต่ละคนอธิบายว่าทาไมตนจึง
ตวั อย่างใหเ้ ปรยี บเทียบ คิดเหน็ เชน่ นัน้
ผล : นักเรียนได้ฝึกระบุคุณภาพและฝึกการยอมรับในความเห็นท่ี
แตกตา่ งกัน
2. หาหลักฐานของความสาเร็จในการเรียนรู้ : เป็นหัวใจสาคัญของการประเมินเพื่อพัฒนา
(Formative Assessment) โดยครูต้องดาเนินการหาหลักฐานการเรียนรู้ของนักเรียนอยู่ตลอดที่จัด
กิจกรรม ด้วยการพิจารณาหาความเข้าใจท่ียังไม่สมบูรณ์หรือความเข้าใจท่ีคลาดเคล่ือนของนักเรียน
อยา่ งแนบเนยี นในการจัดสถานการณก์ ารเรยี นรู้ เพราะหากนักเรยี นมีความรทู้ ี่ไม่แม่นยาจะทาให้เรียน
ตอ่ ยอดความรใู้ หม่ไดย้ าก อกี ท้งั การออกแบบกจิ กรรมใหน้ ักเรยี นเอาใจใส่การเรียนรู้ของตนเองจะช่วย
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพือ่ ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
171
ทาให้นักเรียนได้ปรับปรุงความเขา้ ใจในตัวเองและไดฝ้ ึกวิธีการเรยี นรู้ทด่ี ีกวา่ เดิมไปในตวั ด้วย กิจกรรม
การหาหลกั ฐานของความสาเร็จในการเรียนรู้ท่ีน่าสนใจได้แกก่ จิ กรรมดงั ต่อไปน้ี
การประเมินเพ่อื ตัดสิน การประเมินเพือ่ พัฒนา
กิจกรรมท่ี 1 I – R – E (Initiation-Response-Evaluation)
คาถามสว่ นใหญ่ในหอ้ งเรยี นเนน้ ใช้เทคนิค ริเร่ิม ตอบรับ ประเมิน โดยให้ครูเปิดฉากด้วยคาถาม ให้
ไปท่ีการจัดการห้องเรยี น เช่น นักเรียนตอบ แล้วครูนาข้อมูลจากคาตอบของนักเรียนมาตั้งประเด็น
ใครทางานเสรจ็ แลว้ บ้าง และการ อภิปรายเพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจของนักเรียน โดยใช้คาถาม
ถามเพอ่ื ทบทวนความรู้ที่มีอยู่ กระตุ้นความคิด โดยไม่จาเป็นว่าคาตอบที่ได้จะถูกหรือผิด แต่ต้องมี
แล้วอาจเป็นสง่ิ ท่ีเรยี นไปแล้วหรือ คาอธิบายว่าทาไมจึงตอบเช่นน้ัน เพ่ือให้เกิดกระบวนการอภิปรายซ่ึงจะ
ปรากฏอยใู่ นเอกสารการเรียน สง่ ผลต่อการเรียนรู้ทซ่ี บั ซอ้ นตอ่ ไป
ผล : นกั เรียนไม่ได้แสดงออกใน ผล : นกั เรยี นได้ฝกึ แลกเปลี่ยนความคดิ ความเข้าใจ และในขณะเดยี วกนั
ด้านการเข้าใจเน้อื หา ครไู ด้รับ ครกู ็ได้เห็นพฒั นาการของนักเรยี นตามความเปน็ จริง
ข้อมลู ดา้ นการจัดการ แต่ไม่ได้
ขอ้ มลู ดา้ นพัฒนาการของ
การเรยี นรู้
กจิ กรรมที่ 2 Pose – Pause – Pounce - Bounce
เวลาครูถามแล้วให้นักเรียนยกมอื ครูตั้งคาถามต่อชั้นเรียน (pose) แล้วหยุด (pause) อย่างน้อย 5 วินาที
ตอบ จากนน้ั ช้ี (pounce) ให้นกั เรยี นคนหนึ่งตอบ โดยชแี้ บบสมุ่ เม่ือไดค้ าตอบ
ผล : นักเรยี นทีย่ กมอื ตอบมกั จะ ก็ชี้ (bounce) ให้นักเรียนอีกคนหนึ่ง (ช้ีแบบสุ่ม) ให้ความเห็นต่อคาตอบ
เป็นคนเดิมๆ คนทไี่ มย่ กมือ ไม่ ของเพอ่ื นต่อไป
ตอบกเ็ ป็นคนเดมิ ๆ เชน่ กัน ผล : นักเรียนได้รับแรงกระตุ้นให้มีสติรู้ตัว ใส่ใจในการเรียนมากย่ิงข้ึน
เป็นการตอบท่ีสนุก มีสีสันมากข้ึน ในขณะที่ครูได้เรียนรู้ระดับความรู้
ความเข้าใจของเดก็ แตล่ ะคน ได้ร้จู กั วธิ ีการเรยี นรทู้ ตี่ า่ งกันของเด็กแต่ละ
คน อีกท้ังสามารถนาไปสร้างแผนการสอน หรือแบบฝึกหัดท่ีเหมาะสม
กับหอ้ งเรยี นและรายบุคคลตอ่ ไปไดอ้ ีกด้วย
กิจกรรมที่ 3 Wait Time
ครูให้เวลาในการคิดหาคาตอบไม่ ช่วงเวลาระหว่างคาถามกับคาตอบเป็นเรื่องสาคัญ ดังนั้นครูต้อง
เหมาะสมกบั คาถาม พิจารณาความซับซ้อนของคาถามก่อน หากซับซ้อนน้อย ให้เวลาคิด
ผล : นักเรียนไม่มีเวลาได้ฝึกใช้ คาตอบเพียง 2 - 3 วินาที แต่หากซับซ้อนมากให้เพิ่มเวลา แต่อย่างไร
ความคิดให้ถ่ีถ้วน ตอบคาถาม กต็ ามต้องระวงั อยา่ ให้เวลานานเกนิ ไปเพราะนกั เรยี นจะหมดความสนใจ
\\//\\//การจัดกจิ กรรมเพ่ือตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
172
การประเมนิ เพ่ือตัดสนิ การประเมินเพื่อพัฒนา
แบบรีบๆ ผ่านๆ ไป หรือบางคน ผล : นักเรียนได้คิดหาคาตอบจริงๆ ในขณะท่ีครูได้โอกาสพัฒนาการต้ัง
อาจไมค่ ดิ หาคาตอบเลย คาถาม รวมทง้ั ครูยงั ได้เหน็ กระบวนการคิดวเิ คราะหข์ องนักเรียนด้วย
กิจกรรมท่ี 4 คาถามเชงิ อภิปราย
ครูใช้คาถามปลายปิดไม่เหมาะ บางครง้ั คาถามอาจไม่ใชเ่ ครื่องมือกระตุ้นการอภิปรายในชน้ั เรียน ดงั น้ัน
กับโอกาส เมือ่ หลังจากถามคาถามแลว้ ควรม่งุ เป้าไปท่ีการให้เหตผุ ลหรือการอ้างอิง
ผล : นักเรียนไม่ได้ฝึกทักษะการ ข้อมลู ประกอบเพ่ือกระตุ้นการอภปิ รายในห้องเรียนให้มากขึ้น
คิดเท่าท่ีควร เพราะคาตอบแคบ ผล : นักเรยี นไดฝ้ กึ อภิปราย บอกเหตผุ ล และค้นควา้ ขอ้ มลู ประกอบมาก
เพียงใช่-ไม่ใช่ เห็นด้วย-ไม่เห็น ข้ึน ในขณะท่ีครูได้ประเมินความเข้าใจของนักเรียนในเร่ืองท่ีสอนได้
ด้วยเทา่ นัน้ อย่างลกึ ซงึ้
กิจกรรมที่ 5 คาถามก้นรอ้ น (Hot Tea Question)
ตั้งคาถามแล้วให้นักเรียนยกมือ ครูตั้งคาถามเป็นชุดติดต่อกัน ให้นักเรียนตอบทีละคน (ช้ีแบบสุ่ม)
ตอบเองเป็นประจาทุกวัน นักเรียนทุกคนต่างก็ฟังอย่างต้ังใจ เพราะ "คาถามก้นร้อน" อาจมาที่ตน
ผล : นักเรียนเร่ิมไม่กระตือรือร้น เมื่อไรก็ได้ พอถึงจุดที่เหมาะสม ครูโยนคาถามก้นร้อนไปยังนักเรียนคน
บรรยากาศในห้องเรยี นเริม่ นงิ่ หน่งึ "จงสรปุ ประเดน็ เรยี นรทู้ ้งั หมดจากทเ่ี ราไดค้ ยุ กนั ไปแลว้ "
ผล : นักเรียนเกิดความสนุก ตื่นเต้น มีสติต้ังใจเรียน ในขณะท่ีครูได้
ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียน
กิจกรรมที่ 6 ตอบพรอ้ มกนั ทั้งห้อง
อยากถามคว ามคิดเห็นของ เทคนิคตอบพร้อมกันท้ังห้องมีหลายเทคนิค เช่น เทคนิคการใช้มือ ใช้
นักเรียนทั้งห้อง จึงให้ตอบคาถาม กระดานหน้าห้อง เทคนิคการใช้มือทาโดยตกลงว่ายกนิ้วมืออย่างไรเป็น
พรอ้ มกัน สัญญาณเห็นด้วย/ใช่ อย่างไรเป็นสัญญาณไม่เห็นด้วย/ไม่ใช่ หรือใช้วิธี
ผล : นักเรียนวุ่นวาย เสียงดัง ครู ให้ครเู ขียนประโยคบนกระดานแล้วใหน้ ักเรยี นออกมาเขยี นต่อ แลว้ ถาม
ควบคุมห้องเรียนได้ยาก ใช้ นักเรียนท้ังช้ันว่า เห็นด้วยหรือไม่ คนท่ีไม่เห็นด้วยออกมาเขียนแล้วถาม
เวลานานกว่าจะได้ข้อสรุป และ นักเรยี นทง้ั ชั้นอีกไปเร่อื ยๆ
อาจไม่ได้ข้อมูลชัดเจน ไปไม่ถึง ผล : นกั เรียนได้แสดงความเหน็ ทกุ คน ในขณะทค่ี รูได้จัดการหอ้ งเรียนได้
เหตุผลของนักเรียน ท้ังคนท่ีเห็น ง่ายข้ึน เขา้ ถงึ เหตผุ ลของนกั เรยี นได้มากขึ้น
ด้วยและคนทไ่ี มเ่ หน็ ด้วย
กจิ กรรมท่ี 7 การอภปิ รายเชงิ วินจิ ฉัย (Discussion questions and Diagnostic questions)
ใช้คาถามแบบปรนัยเพ่ือประเมิน ใช้คาถามเพ่ืออภิปราย สู่การวินิจฉัย (Discussion Questions and
นักเรียนเม่ือจบบทเรียน เพ่ือให้ Diagnostic Questions) โดยการสร้างคาถามแบบปรนัย 4 ตัวเลือก ท่ี
ง่ายในการตรวจวดั มคี าตอบท่ีถกู ได้หลายคาตอบ ดดยวิธคี ดิ ท่ีตา่ งกัน นกั เรยี นคนไหนตอบ
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพอื่ ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
173
การประเมนิ เพือ่ ตัดสิน การประเมินเพ่ือพัฒนา
ผล : นักเรียนบางคนใช้การจา ใช้ คาตอบใดต้องอธิบายด้วย และคาอธิบายจะเป็นข้อมูลใวห้ครูทราบวิธี
การเดา ผลคะแนนที่ได้อาจไม่ใช่ คดิ และพื้นความรขู้ องนักเรยี นดว้ ย
ข้อมมูลท่ีแท้จริงว่านักเรียนมี ผล : นักเรียนได้คิดทบทวนหาเหตุผลในคาตอบท่ีตัวเองเลือกเพื่อสแงด
ความเข้าใจมากนอ้ ยเพยี งใด ความคิดเหน็ และเหน็ ความเป็นไปได้ของคาตอบอน่ื ๆ ไมด่ ่วนสรปุ
3. ให้คาแนะนาป้อนกลับเพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผล : การให้คาแนะนาป้อนกลับ
(Feedback) ช่วยให้การเรียนรู้มีผลสัมฤทธ์ิสูงข้ึนได้ เน่ืองจากนักเรียนได้เห็นข้อบกพร่องและแนว
ทางการพัฒนาในระหว่างการเรียนรู้ของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งการให้
คาแนะนาปอ้ นกลบั อาจทาใหเ้ กิดผลการเรยี นรู้ที่แย่ลงได้ หากนาไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
คาแนะนาป้อนกลับ หรือ Feedback เป็นศัพท์ของวงการวิศวกรรม มีท่ีมาจากคาว่า
Feedback loop ของการปฏิบัติงาน ท่ีต้องการบรรลุเป้าหมาย โดยการใส่ตัววัดผลงานเข้าไปใน
กระบวนการปฏิบัติงาน เพ่ือให้ผลการประเมินย้อนกลับไปควบคุมกระบวนการปฏิบัติงานให้ปรับตัว
เพื่อเข้าใกล้เป้าหมายมากย่ิงขึ้น ดังนั้นเมื่อนามาใช้ในการจัดการศึกษาจึงเป็นการสะท้อนผล
การปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม โดยการมุ่งการแนะนาไปที่ตัวพฤติกรรมไม่ใช่ท่ี
ตัวนักเรียน มุ่งเน้นท่ีการทางานของนักเรียนไม่ใช่อัตตาของนักเรียน มุ่งแนะนาเฉพาะส่วนที่นักเรียน
ควบคุมได้ไม่ใช่ส่ิงท่ีอยู่เหนือการควบคุมของนักเรียน และต้องสะท้อนผลในขณะท่ีนักเรียนมี
ความพรอ้ มทีจ่ ะรับฟงั ดว้ ย ซ่งึ มขี อ้ ควรคานึงในการใหค้ าแนะนาป้อนกลบั ท่ีน่าสนใจ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
คาแนะนาป้อนกลับทไี่ มด่ ี คาแนะนาป้อนกลับทดี่ ี
1. ทาให้นักเรียนคิดว่าตนเองไม่ถนัดเร่ืองนั้นๆ 1. กระตุน้ การคิดบวก คดิ พัฒนาการเรียนของตนเอง ไม่
และหมดกาลงั ใจในการเรยี น กระตุ้นอารมณ์ปกป้องความรู้สึกหรืออัตตาตัวตนของ
ตนเอง
2. กระตนุ้ อตั ตามากกวา่ กระตุน้ ความขยนั ใฝเ่ รียน 2. คาแนะน้าน้นั ต้องส้นั และตรงประเดน็
3. ทาให้คิดถึงเพียงผลการเรียนหรือการทดสอบที่ 3. คาแนะนาต้องสร้างงานต่อไปให้นักเรียนได้ปรับปรุง
ผ่านมาแลว้ มากกว่าการคิดพฒั นาปรบั ปรุงตนเอง พัฒนาผลงานของตนเองตอ่ ไป
4. ให้คาแนะนาป้อนกลับเฉพาะคนที่ต้องแก้ไขแต่ 4. คาแนะนาป้อนกลับต้องเป็นตัวช่วยพัฒนาผลงานให้
ไมใ่ หข้ ้อเสนอแนะเพอ่ื การพัฒนาผลงานใหด้ ยี ิ่งขน้ึ ดีย่ิงขึ้นไม่ใชก่ ารตดั สนิ ว่าใครเกง่ ใครไมเ่ ก่ง
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพอื่ ตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
174
การจัดสถานการณ์การเรียนรู้เพื่อให้คาแนะนาป้อนกลับในห้องเรียนท่ีสามารถนาไป
ประยกุ ต์ใช้ในทุกชว่ งของการจัดกิจกรรมกรรม ไดแ้ ก่กิจกรรมทน่ี า่ สนใจ ดังตอ่ ไปน้ี
การประเมนิ เพ่ือตัดสนิ การประเมินเพอื่ พัฒนา
กจิ กรรมท่ี 1
ให้คาแนะนาแบบรวมๆ ทั้งช้ัน ให้คาแนะนาป้อนกลับเม่ือมีเวลาในชั้นเรียน เพื่อให้เด็กได้ลองใช้
เรียนก่อนหมดเวลาเรียนหรือ คาแนะนาป้อนกลับในการปรับปรุงงานของตน เพ่ือให้คาแนะนา
กอ่ นกลับบ้าน ป้อนกลบั นาไปส่กู ารคดิ ไปขา้ งหน้าและการลงมือปรับปรุง
ผล : นักเรียนไม่มีเวลาได้นา ผล : นักเรียนได้คาแนะนาป้อนกลับของครูไปใช้และในขณะเดยี วกันครูก็
คาแนะนาจากครูมาใช้แก้ไข ไดป้ ระเมนิ การให้คาแนะนาของตวั เองว่าเดก็ นาไปใชแ้ ลว้ ได้ผลหรอื ไม่
ปรับปรุง นักเรียนบางคนยังไม่
เข้าใจแต่ก็ไม่มีเวลามากพอให้
ถามหรอื ทดลองลงมอื ทางาน
กิจกรรมที่ 2
ใหค้ าแนะนาเพยี ง ถกู -ผดิ ด-ี ไม่ดี เมื่อครูตรวจงานเด็กให้เลือก 3 ประเด็นสาคัญท่ีต้องการให้เด็กทบทวน
ผล : นักเรียนไม่เข้าใจว่าทาไม ไตร่ตรองเพื่อแก้ไข โดยใส่ตัวเลขกากับไว้ท่ีประโยคหรือตาแหน่งต่างๆ
คาตอบของเขาถึงผิด/ถูก ไม่รู้จะ บนงานแล้วเขียนคาถามที่ด้านล่างของกระดาษว่าครูต้องการให้
ปรับปรุงตัวอย่างไร ซ่ึงทาให้ ไตร่ตรองทบทวนอะไร และเว้นช่องว่างให้นักเรียนเขียน เทคนิคนี้ช่วย
การเรียนรูห้ ยุดอยูก่ ับท่ี ให้นักเรียนทุกคนมีงานทา เพ่ือคิดไปข้างหน้า ในการปรับปรุงความรู้
และการเรียนรู้ของตนเอง ไม่ว่าผลงานทีส่ ่งครูจะมีคุณภาพอยา่ งไร
ผล : นักเรียนเกิดอุปนิสัยในการตรวจทานตัวเอง ในขณะที่ครูก็มีเวลา
ดแู ลตดิ ตามการทางานของนักเรยี นคนอื่นๆ ในช้นั เรียนท่ัวถึงมากข้ึน
กิจกรรมท่ี 3
ใ ห้ นั ก เ รี ย น แ ก้ ง า น เ พื่ อ เ พ่ิ ม อย่าให้คาแนะนาป้อนกลับพร้อมกับให้คะแนน เพราะเพ่ือได้รับ
คะแนน กระดาษคาตอบพร้อมคะแนนและคาแนะนาป้อนกลับ นักเรียนจะ
ผล : นกั เรียนจะแก้ไขเพยี งเพ่ือให้ เปรียบเทยี บคะแนนของตนเองกับเพื่อน ความสนใจกจ็ ะไปอยทู่ ี่คะแนน
ได้คะแนนเพ่ิม หรือเพียงเพ่ือให้ ไม่ได้สนใจคาแนะนาป้อนกลับเลย เด็กจะไม่อ่านคาแนะนาป้อนกลับ
ผ่านการสอบไปเท่านั้น เพราะ หรอื อา่ นกอ็ ่านแบบไมส่ นใจ
นักเรียนจะให้ความสนใจกับ ผล : นักเรียนได้รับโอกาสทาความเข้าใจเนื้อหาท่ีแท้จริง ไม่ยึดติดกับ
คะแนนมากกวา่ คาแนะนา คะแนน
\\//\\//การจัดกิจกรรมเพอื่ ตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
175
การประเมินเพ่ือตดั สนิ การประเมินเพือ่ พัฒนา
ให้คาแนะนาท่ีเกินความสามารถ ให้คาแนะนาช่วยเหลอื เพยี งบางสว่ นเพื่อให้นักเรยี นได้ฝึกช่วยตัวเอง
ที่นักเรยี นจะทาเองได้ ผล : นักเรียนได้ฝึกช่วยเหลือตัวเอง ฝึกเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง ในขณะที่
ผล : ครูใช้เวลาสะท้อนงานอย่าง ครูก็มีเวลาดูแลติดตามการทางานของนักเรียนคนอ่ืนๆ ในช้ันเรียนได้
มากมายแตไ่ มเ่ กดิ ประโยชน์อันใด ท่วั ถึงมากขนึ้
4. นักเรียนเป็นครูซึ่งกันและกัน : เป็นการให้นักเรียนประเมินผลการเรียนและให้ข้อมูล
ป้อนกลับซ่ึงกันและกัน (Peer feedback) ซ่ึงนอกจากจะทาให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจใน
เนื้อหามากข้ึนแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในด้านทักษะชีวิตและการส่ือสารอีกด้วย
ซ่ึงปัจจัยสาคัญในการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการร่วมมือกันในการเรียนรู้ ประกอบด้วย การสร้าง
แรงจูงใจ (Motivation) การสร้างความกลมเกลียวกัน (Social Chcesion) การตอบสนองเป็น
รายบุคคลอย่างท่ัวถึง (Rersonalization) และการคิดอย่างชัดเจน (Cognitive Elaboration)
นอกจากนี้ผู้สอนต้องสร้างวิญญาณกลุ่มด้วยการต้ังเป้าหมายของกลุ่มให้ชัดเจน ให้ทุกคนในกลุ่มร่วม
แรงร่วมใจกันไปสู่เป้าหมายของกล่มุ ให้ได้ รวมท้ังต้องสร้างวิญญาณการเรยี นใหร้ ู้จรงิ หรือพฒั นาให้ทุก
คนในกลุ่มสามารถปฏิบัติผลงานได้จริงสามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มได้ทุกคน ซึ่งการจัดสถานการณ์
การเรยี นรู้เพือ่ สง่ เสริมยทุ ธศาสตรน์ ้ี ประกอบดว้ ยกิจกรรมที่นา่ สนใจ ดงั ต่อไปนี้
การประเมนิ เพ่อื ตดั สนิ การประเมนิ เพือ่ พัฒนา
กจิ กรรมที่ 1
ครูอธิบายหาคาตอบให้ทุกอย่าง ใช้เทคนิค C3B4ME เป็นข้อตกลงง่ายๆ ว่าเม่ือนักเรียนมีปัญหาหรือ
เม่ือนักเรียนสงสัย ใครๆ ก็มารอ คาถาม ตอ้ งปรึกษาเพ่ือ 3 คน ก่อ่นมาถามครู
ถามครแู ตผ่ เู้ ดียว ผล : นกั เรยี นมีทกั ษะในการแกป้ ญั หา เรยี นรู้วธิ ีหาคาตอบจากเพอ่ื นและ
ผล : นักเรียนไม่ขวนขวายหา วิธีถ่ายทอดความรู้ให้เพ่ือน ในขณะท่ีครูก็มีเวลาติดตามดูพัฒนาการ
คาตอบด้วยตนเอง การคดิ การแก้ปญั หาของนกั เรียนมากขน้ึ ด้วย
กิจกรรมท่ี 2
ให้นักเรียนวิจารณ์งานของเพ่ือน ทาข้อตกลงว่า ในการตรวจผลงานของเพื่อนต้อง "ให้ดาว 2 ดวง" ซึ่ง
โดยไม่ให้แนวทางในการวิเคราะห์ หมายถึงการระบุประเด็นท่ีน่าช่ืนชม 2 ประเด็น และ แจ้ง "ความหวัง"
วิจารณ์ หน่ึงข้อ ซึง่ หมายถึงข้อแนะนาให้ปรบั ปรงุ ในกรณีที่ผไู้ ดร้ บั "2ดาว1หวัง"
ผล : นักเรียนไม่ค่อยต้ังใจตรวจ ไม่เห็นประโยชน์ต่อข้อความให้ครูรวบรวมข้อเสนอแนะจากงานต่างๆ
ผลงานของเพื่อน จับประเด็นไม่ มาอภิปรายหน้าช้ันเรียน เพื่อสรุปเป็นข้อควรระวังที่สาคัญใน
ถกู ระบุได้เพยี งดี-ไมด่ ี ถกู -ผดิ จน การปฏบิ ัติงานตอ่ ไป
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพื่อตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
176
การประเมินเพอื่ ตดั สิน การประเมนิ เพ่อื พัฒนา
บางครั้งอาจนาไปสู่การตรวจตาม ผล : นักเรียนได้ฝึกประเมินงานคนอื่นและประเมินตัวเองเม่ือถูกเพื่อน
ความพอใจ ไม่มหี ลกั เกณฑ์ แนะนา
กิจกรรมที่ 4
เม่ือใกล้หมดช่ัวโมงสอน ครูมักจะ ครูใช้วิธีแบ่งเด็กเป็นกลุ่ม ให้คุยกันเองว่ามีตรงไหนไม่เข้าใจหรืออาจ
ถามว่า "ใครมีปัญหาบา้ ง" มีข้อตกลงว่าให้แต่ละกลุ่มเขยี นคาถามกล่มุ ละอย่างน้อย 1 คาถาม แล้ว
ผล : นักเรียนมักไม่ถาม เพราะมี ครูเก็บคาถามเอามาแจกแจง แล้วร่วมกันตอบคาถามในห้อง โดยมี
จิตวิทยาว่า เด็กไม่อยากแสดงตัว การเช่อื มโยงประเดน็ ของคาถามแต่ละคาถามดว้ ย
ว่าหัวท่ือ หรือกรณีเด็กไทยก็ ผล : นักเรียนระบุสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจได้ชัดเจนข้ึน ต้ังคาถามตรง
เกรงใจครูหรือเกรงใจเพอ่ื น ประเดน็ มากข้นึ สว่ นครกู ส็ ามารถประเมนิ ความเขา้ ใจหลังจบบทเรียนได้
กจิ กรรมที่ 5
เม่ือครูตรวจงานแล้วให้นักเรียน ครูตรวจช้ินงานโดยครูตรวจแล้วขีดเส้นใต้ส่วนท่ีผิดหรือยังไม่ดีพอ แล้ว
นากลับไปแก้ไขใหม่ นักเรียนก็ยัง คืนให้นักเรียนทาความเข้าใจปัญหา แล้วจัดกลุ่มปัญหา แล้วให้นักเรียน
ไม่รวู้ า่ ต้องแกอ้ ยา่ งไร จับคู่หาทางช่วยกันแก้ไขชน้ิ งาน การจับคู่ที่ดีคือ ให้นักเรียนที่เก่งด้าน ก
ผล : ครตู ้องคอยอธบิ ายรายบคุ คล ออ่ นดา้ น ข จับคูก่ ับเพือ่ นท่ีอ่อนดา้ น ก เก่ง ดา้ น ข
ซึ่งใช้เวลามาก ผล : นักเรยี นไดแ้ ลกเปลีย่ นเรยี นรู้วิธีคดิ วธิ ที างานจากเพอื่ น
กิจกรรมที่ 6
ให้นักเรียนสรุปว่า วันนี้ได้เรียนรู้ ครูให้นักเรียนร่วมกันทบทวนบทเรียนก่อนหมดช่ัวโมง โดยก่อนหมด
อะไรบ้าง เวลา 5 นาที ทารายการท่ีได้เรียนในคาบน้ัน แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม
ผล : นักเรียนท่ียกมือตอบมักจะ เท่ากับจานวน รายการแล้วแต่ละกลุ่มรายงานต่อชั้น กลมุ่ ละ 1 รายการ
เป็นคนเดิมๆ ส่วนคนอ่ืนๆ ก็จะ ไมซ่ ้ากัน เพื่อใหท้ กุ กล่มุ มีโอกาสไดร้ ายงาน
นงั่ นงิ่ ๆ วา่ งๆ ไมค่ ดิ ทบทวน ผล : นักเรียนทุกคนได้ช่วยกันคิดทบทวนการเรียน ส่วนครูได้ประเมิน
การสอนของตนเอง เพอ่ื นาไปตอ่ ยอดการสอนในคาบต่อไป
กจิ กรรมท่ี 7
ท้ายชั่วโมงครูเลือกนักเรียนที่ไม่ ตอนต้นคาบ ครูเลือกนักเรียนคนหน่ึงเป็น "กัปตัน" ของคาบ ทาหน้าที่
คอ่ ยตั้งใจเรยี นใหต้ อบคาถามหรือ สรุปบทเรียนและตอบคาถาม ถ้ากัปตันตอบไม่ได้ ก็ขอให้เพ่ือนๆ
สรุปบทเรียน เพอื่ กระตนุ้ ใหร้ ตู้ วั ช่วยกันตอบ นอกจากน้ียังสามารถปรับวิธีการให้หลากหลายมากขึ้น
ผล : นักเรียนตอบไม่ได้ เพราะ โดยให้ "กัปตนั " เป็นผู้ตงั้ คาถามใหเ้ พือ่ นๆ ในช้นั ตอบ
ไม่ได้ถูกกระตุ้นตั้งแต่ต้นชั่วโมง ผล : นักเรียนค้นพบศักยภาพของตนเองและกระตุ้นให้อยากพัฒนา
รู้สึกกดดัน และหมดเวลาเรียน ตัวเอง ในขณะท่ีครูก็สามารถประเมินทักษะความเข้าใจและทักษะ
พอดีจงึ ไม่ได้ปรบั ปรงุ ตวั การจบั ประเดน็ ของนกั เรียนได้ชดั เจนข้นึ
\\//\\//การจัดกจิ กรรมเพ่อื ตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
177
การประเมินเพ่ือตดั สนิ การประเมินเพอ่ื พัฒนา
กจิ กรรมท่ี 8
ระหวา่ งการสอนครูต้องคอยเตือน ครูจัดให้ในแต่ละคาบเรียนมีทีมนักเรียนทาหน้าท่ีต่างๆ เช่น ประธาน
ให้ต้ังใจเรียน เตือนบ่อยๆ ก็ คุณอานวย (Facilitator) ผู้บันทึก เป็นต้น แต่ไม่กาหนดผู้รายงาน (ต่อ
กลายเป็นบน่ ชั้นเรียน) แต่เม่ือใกล้จบคาบ จะสุ่มเรียกนักเรียน 1 คน จากทั้งช้ันให้
ผล : คาเตอื นนน้ั ไมส่ ่งผลยง่ั ยืนต่อ เป็นผรู้ ายงาน เป็นกุศโลบายใหน้ ักเรยี นทุกคนตั้งใจเรียน
นักเรียน ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ผล : นักเรียนค่อยๆ ปรับพฤติกรรม ตั้งใจเรียนมากขึ้น ในขณะที่ครูก็
พฤติกรรม ครูหงุดหงิดไ ม่ มี สบายใจมากข้ึน ไม่ต้องคอยเตือนมากนัก ให้กลไกของห้องเรียนกระตุ้น
ความสุขในการสอน นักเรียนที่ พฤตกิ รรมของผเู้ รียนเอง
ตง้ั ใจเรยี นกห็ มดสนกุ
5. นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเอง : คนที่เรียนรู้ได้มากกว่าคือคนท่ีสามารถจัดการ
การเรียนรู้ของตนเองได้ ครูไม่ได้เป็นผู้สร้างการเรียนรู้ในตัวนักเรียน แต่มีบทบาทสาคัญในการจัด
สถานการณ์ให้เกิดการเรียนรู้ ผู้เรียนเท่าน้ันที่เป็นผู้สร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้นในตัวเอง ซึ่งปัจจัย
สาคัญท่ีชว่ ยสรา้ งให้นกั เรียนสามารถเป็นเจา้ ของการเรยี นรู้ได้ ประกอบดว้ ยทกั ษะท่ีสาคัญ 2 ประการ
คือ ทกั ษะการประเมนิ ตนเองของนักเรยี น และ ทักษะการเรียนโดยกากบั ตวั เอง
การประเมินตนเองของนักเรียนเป็นการนาแนวทางการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative
assessment) มาช่วยยกระดับการเรียนรู้ของตนเอง ซ่ึงการประเมินตนเองของนักเรียนน้ีมี 2 ส่วน
คือ ส่วนที่ครูกาหนด (Prescriptive component) สาหรับวินิจฉัยความรู้ความใจของนักเรียน และ
อีกส่วนหน่ึง คือการให้นักเรียนค่อยๆ เสาะหาเป็นระยะ (Exploratory component) โดยการให้
นกั เรียนกาหนดเกณฑ์ การประเมนิ แล้วนามาประเมนิ ตนเอง
ทักษะการเรียนโดยกากับตัวเอง (Self-Regulated Learning) : เป็นการนาความเข้าใจ
ความคิดของตนเอง (Metacognition) หรือความรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตนเอง ซึ่ง
ป ร ะ ก อ บ ด้ว ย ก า ร รู้ว ่า ต น รู้อ ะ ไ ร ( Metacognitive knowledge) รู้ว ่า ต น ทา อ ะ ไ ร ไ ด้
(Metacognitive skills) และรู้ว่าตนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความสามารถในการคิดของตน
(Metacognitive experience) ซึ่งจะทาให้สามารถเชื่อมโ ยงคว ามรู้ที่จาเพาะไปใช้ใน
สถานการณ์ใหม่ที่แตกต่างกันได้ ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งของการกากับตัวเอง คือ แรงบันดาลใจ
(Motivation) ซ่ึงหากครูให้คาแนะนาป้อนกลับเชิงบวกและสร้างสรรค์ (Positive constructive
\\//\\//การจดั กจิ กรรมเพ่อื ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
178
feedback) จะส่งผลให้นักเรียนเกิดแรงบันดาลใจที่จะเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ซ่ึงทั้งสองปัจจัยน้ีจะทา
ให้นักเรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของตนไปสู่เป้าหมายได้
กิจกรรมการจัดสถานการณ์การเรียนรู้ท่ีช่วยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝนตนเองสู่การเป็น
เจ้าของการเรยี นรู้ท่ีนา่ สนใจสาหรบั การนาไปประยุกตใ์ ช้ในหอ้ งเรยี น ได้แกก่ จิ กรรมดงั ตอ่ ไปนี้
การประเมนิ เพ่ือตัดสิน การประเมินเพื่อพัฒนา
กิจกรรมท่ี 1
ครูมักถามว่าใครไม่เข้าใจ ให้ ตอนต้นคาบเรียนครูทาความตกลงเป้าหมายของการเรียน ก่อนจบคาบ
ยกมอื ข้นึ ให้นักเรียนแต่ละคนยกป้ายสีใดสีหนึ่ง ในสามสี คือ แดง (ยังไม่บรรลุ
ผล : นักเรียนไม่ค่อยมีใครยกมือ เป้าหมาย) เหลือง (ไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจบางส่วน) เขียว (บรรลุ
เพราะไม่อยากให้เพ่ือนรู้ หรือ เป้าหมายท้ังหมด) ซ่ึงกระบวนการนี้เรียกวา่ Self report ซง่ึ เปน็ ทเี่ ขา้ ใจ
อายไม่อยากเป็นจุดสนใจของเพอ่ื กันว่า ความแม่นยาไม่มากนัก และครูต้องระวังไม่ให้เกิดผลข้างเคียงท่ี
ในในห้อง แต่มักจะตามไปถามครู ไม่ต้องการได้ เชน่ หากครกู าหนดว่า ปา้ ยเขียว หมายถงึ "ฉนั พร้อมที่จะ
หรือเพ่ือนหลังเลือกเรียน ซ่ึง สอนเรื่องน้ีแก่คนอื่น" นักเรียนบางคนอาจยกป้ายเขียวเพราะอยากให้
บางครั้งก็อาจลืม กลายเป็นว่า ตัวเองดูดี เรื่องนักเรียนแสดงพฤติกรรมต่างๆ เพ่ือให้ตัวเองดูดีนี้ ครูควร
ความไมเ่ ข้าใจถูกสะสมไปเร่อื ยๆ เอาใจใส่ และหาทางไม่ให้จิตวิทยาด้านความมีตัวตนนี้เป็นอุปสรรค
ตอ่ การเรียนรู้
ผล : นักเรียนทุกคนได้ฝึกประเมินตนเองอย่างง่ายๆ หัดระบุความเข้าใจ
ของตัวเอง ผา่ นการใชป้ า้ ยสีตา่ งๆ
กิจกรรมท่ี 2
"ใครไมเ่ ขา้ ใจตรงไหนบา้ ง" เมื่อครู นักเรียนทุกคนได้รับแจกแผ่นซีดีเก่าท่ีด้านหน่ึงติดกระดาษสีเขียว
ถามประเมินความเข้าใจของ อีกด้านหน่ึงติดกระดาษสีแดง เมื่อเร่ิมคาบเรียน ทุกแผ่นมีสีเขียวข้ึน
นักเรียนตอนจบคาบเรียน เพ่ิงรู้ ระหว่างครูสอนหากนักเรียนคนไหนไม่เข้าใจหรือตามไม่ทัน ให้ยก
ว่านกั เรยี นไม่เข้าใจตง้ั แตช่ ่วงต้น ดา้ นแดงข้นึ ให้ครูเห็น ซ่ึงครตู ้องคอยสงั เกตอยเู่ ปน็ ระยะดว้ ย
ผล : ครูต้องใช้เวลาเพ่ิมขึ้นเพื่อ ผล : นักเรียนได้ประเมินตนเองรวมท้ังไม่ปล่อยผ่านหรือสะสม
อธบิ ายใหม่ต้ังแตต่ น้ ความไม่เขา้ ใจ ส่วนครูไดป้ ระเมนิ การสอนของตนขณะสอนดว้ ย
กจิ กรรมท่ี 3
ให้นักเรียนเขียนบันทึกการเรยี นรู้ เม่ือจบบทเรียน ครูให้นักเรียนแต่ละคนเขียนบันทึกการเรียนรู้ของตน
หลงั จบบทเรยี น เพื่อฝึกให้นักเรียนไตร่ตรองทบทวนบทเรียนด้วยตน เอง (self-
ผล : นักเรยี นบางคนยังไม่มีทักษะ reflection) โดยครูตั้งประเด็นให้ ซ่ึงครูอาจต้ังประเด็นคาถามไว้อย่าง
การเขยี นจงึ ไม่รจู้ ะเขียนอยา่ งไร หลากหลาย เพ่ือให้นักเรียนเลือกหัวข้อที่สนใจสาหรับการเขียนตอบได้
\\//\\//การจัดกิจกรรมเพอื่ ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
179
การประเมนิ เพื่อตัดสิน การประเมินเพื่อพัฒนา
เช่น วันนี้ฉันได้เรียน..., ฉันประหลาดใจเรื่อง..., สิ่งท่ีมีประโยชน์ท่ีสุดท่ี
ฉันได้จากบทเรียนคือ...โดยจะอาไปใช้..., ฉันสนใจเร่ือง..., ส่วนของ
บทเรียนทฉ่ี ันชอบมากท่สี ุดคอื ...เพราะ..., สง่ิ ทฉี่ นั ไม่แนใ่ จคอื ..., ประเดน็
สาคัญที่ฉันอยากเรียนรู้เพ่ิมเติมคือ..., ความรู้สึกของฉันหลังจบบทเรยี น
น้ีคอื ..., ฉันนา่ จะเรยี นรใู้ นบทเรยี นน้ีมากกวา่ นี้ถา้ ... เปน็ ต้น
ผล : นักเรียนมีประเด็นคาถามให้ได้ทบทวนตัวเองก่อนการเขียนบันทึก
สว่ นครูไดป้ ระเมินการสอนของตัวเองจากบนั ทึกของนกั เรียน
\\//\\//การจัดกจิ กรรมเพอื่ ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
180
บรรณานกุ รม
กรมวิชาการ. (2540). การสอนทเ่ี นน้ นักเรยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง. กรงุ เทพมหานคร: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
กรมวชิ าการ. (2543). การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ. กรงุ เทพมหานคร: การศาสนา.
กรมวชิ าการ. (2544). กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: องค์การรับสง่ สินค้าและ
พัสดภุ ณั ฑ์.
กองวิจัยทางการศึกษา, กรมวิชาการ. (2535). นวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยระดับ
มธั ยมศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
ชาตรี เกิดธรรม. (2542). การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรเ์ น้นนกั เรยี นเป็นศนู ย์กลาง. มหาสารคาม:
บริษทั คอมแพคพร้ินท์ จากัด.
ทิศนา แขมมณ.ี (2544). 14 วิธสี อนสาหรับครูมืออาชีพ. มหาสารคาม: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
นพคณุ คณุ าชีวะ. (2558). ทฤษฎีและวิธสี อนภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
นาตยา ปิลันธนานนท์. (2542). การเรียนรู้ความคิดรวบยอด. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แม็ค
จากัด.
บุญชม ศรีสะอาด. (2541). พัฒนาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม: ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ.
เพ็ญศรี รังสยิ ากูล. (2536). ภาษาศาสตร์และการเขยี น 1. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัย
รามคาแหง.
รุ่งฤดี แผลงศร. (2560). ศาสตร์การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพฯ :
สานกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
วรพจน์ วงศ์กจิ รุ่งเรือง และ อธิป จติ ตฤกษ์ แปล. (2556). ทักษะแห่งอนาคตใหม่ : การศึกษาเพ่อื
ศตวรรษท่ี 21. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : โอเพ่นเวิลด์ส.
วราภรณ์ ศนุ าลัย. (2536). วิธกี ารสอน. กรงุ เทพมหานคร: ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ.
\\//\\//การจัดกิจกรรมเพ่อื ตรวจสอบผลการเรยี นรู้\\//\\//
181
วชั รา เล่าเรยี นดี. (2552). รปู แบบและกลยุทธ์การจัดการเรยี นรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคดิ . นครปฐม :
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิจารณ์ พานชิ . (2557). การประเมินเพอื่ มอบอานาจการเรยี นรู้. กรุงเทพมหานคร : สานอักษร.
สมบตั ิ แสงร่งุ เรอื ง. (2544). สู่การสอนทัว่ ไป. นครปฐม: มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2544). การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการประเมินตามสภาพจริง.
กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์ The Knowledge center.
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2540). การเรียนการสอนเพื่อการเรียนรู้ท่ี
แทจ้ รงิ ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: คุรุสภาลาดพรา้ ว.
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2540). คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ภาษาไทยแบบม่งุ ประสบการณภ์ าษาช้นประถมศึกษาปีท่ี 1 - 2. กรุงเทพมหานคร: ครุ สุ ภา
ลาดพรา้ ว.
สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ. (2540). รายงานการดาเนนิ งานโครงการพฒั นา
ประสทิ ธิภาพการเรยี นการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี
1 – 2 ประจาปีงบประมาณ 2537 - 2539. กรุงเทพมหานคร: ศรีอนันต์การพิมพ์ จากัด.
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2542). ชุดพัฒนาการเรียนการสอนครูมือ
อาชีพ. กรุงเทพมหานคร: คุรสุ ภาลาดพร้าว.
สุวิทย์ มูลคา และ อรทัย มูลคา. (2545). 19 วิธัดการเรียนรู้ : เพ่ือพัฒนาความรู้และทักษะ.
กรุงเทพฯ : ภาพพมิ พ์.
ไสว ฟักขาว. (2544). หลกั การสอนสาหรับการเป็นครูมืออาชีพ. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัทสานกั พิมพ์
เอมพันธ์ จากดั .
อรทัย มูลคา และคณะ. (2544). CHILD CENTRED : STORYLINE METHOD : การบูรณาการ
หลักสูตรและการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เล่ม 2 . พิมพ์คร้ังท่ี 2.
กรงุ เทพมหานคร : ภาพพิมพ์.
อาภรณ์ ใจเทย่ี ง. (2540). หลักการสอน. กรุงเทพมหานคร: โอ เอส พร้ินต้งิ เฮ้าส์.
\\//\\//การจัดกิจกรรมเพ่อื ตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//
182
อดุ ม วโรตมส์ กิ ขดิตถ.์ (2543). ความรูเ้ บ้อื งต้นเก่ยี วกับภาษา. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 6. กรงุ เทพฯ :
มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
อุทัย ภิรมย์ร่ืน. (2543). ภาษาศาสตร์และการอ่าน 1. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
Annoussamy, David. 2006. Psychological aspects of language acquisition. journal of
the indian academy of applied psychology, february. Vol. 32, No.2, 84-92.
Brown, H Douglas, 1941. Principles of language learning and teaching. 5th ed. United
state : pearson education.
O’grady, William. 2005. How children learn language. New york : Cambrdige press.
\\//\\//การจดั กิจกรรมเพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้\\//\\//