93
. ระดับที่ 2 : ผู้เรียนท่ีสามารถใช้ภาษาได้อย่างอิสระ ดังนั้นจึงจัดสถานการณ์ท่ีเน้นนาเสนอบริบท
ในการอา่ นที่หลากหลายประเภท พร้อมทงั้ สง่ เสริมให้ผู้เรยี นพัฒนาการใช้ภาษาอยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
ข้ันตอน
1. ใหน้ กั เรยี นอา่ นและวเิ คราะห์สรปุ เน้ือเร่ืองที่กาหนดให้
2. เชอื่ มโยงเนอื้ เรื่องท่ีอา่ นกับประสบการณ์ในชีวิตของตนเอง
3. นาองค์ความรทู้ ่ไี ดจ้ าก ข้อ 1 และ ขอ้ 2 มาสร้างผลงานการเขียนใหม่ ทัง้ น้อี าจกาหนดใหเ้ ขียนร่วมกัน
เปน็ กลมุ่ หรือ เขยี นเป็นรายบุคคล ตามความเหมาะสมของระยะเวลาในการจดั กิจกรรม
4. วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ เกี่ยวกับรูปแบบโครงสร้างทางภาษาของงานเขียน แล้วปรับเปล่ียนขัด
เกลาการใช้ภาษาอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมตลอดจนความสามารถของการสอื่ ความหมายได้อยา่ งชดั เจน
5. จดั สถานการณ์การใชภ้ าษาจากผลงานใน ขอ้ 4 เพื่อเปิดโอกาสในการฝึก ซา้ ยา้ ทวน ความสามารถทาง
ภาษาให้มีประสิทธภิ าพเข้มขน้ คงทน มากย่ิงขนึ้
ระดับที่ 3 : ผู้เรียนท่ีมีความสามารถทางภาษาในขั้นสูง ดังน้ันจึงจัดสถานการณ์ท่ีเน้นให้
ผูเ้ รียนสรา้ งความรคู้ วามคดิ จากเร่ืองท่ีอา่ น รวมทงั้ มีวิจารณญาณในการอ่านดว้ ย
ขน้ั ตอน
1. เตรียมความพร้อมก่อนอ่านให้แก่ผู้เรียน เช่น ช้ีแจงลักษณะหรือจุดมุ่งหมายของงานเขียน สารวจ
คาศพั ท์ยาก หรอื ใหค้ วามรู้พนื้ ฐานก่อนการศึกษาเน้ือหาดังกล่าว เปน็ ต้น
2. ถอดโครงสร้างหรือรูปแบบการเขยี นของเน้ือเร่ืองที่นามาเปน็ สอ่ื ในการศึกษา
3. บันทึกส่ิงที่ได้เรียนรู้จากข้อสังเกตใน ข้อ 2 ท้ังน้ีสามารถบันทึกได้ท้ังความรู้ด้านโครงสร้างหรือรูปแบบ
การเขยี น และสาระสาคัญจากเน้ือเรื่องทศ่ี ึกษา
4. สงั เคราะหง์ านเขยี นจากเน้ือเรือ่ งที่กาหนดใหข้ ้นึ มาใหม่
5. ปรบั ปรุงแกไ้ ขผลงานรวมท้ังตรวจทานความเรยี บร้อย
6. นาผลงานการเขียนที่สร้างสรรค์เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วใน ข้อ 5 มาจัดสถานการณ์ฝึกฝนทักษะทาง
ภาษา
ทั้งนี้รูปแบบการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษา (CLE) ในระดับท่ี 2 และ ระดับที่ 3
สามารถดัดแปลงการจัดกิจกรรม ข้อ 3 – ข้อ 5 ได้ โดยผู้สอนอาจปรับปรุงกิจกรรมให้สอดคล้องกับ
ระดับอายุ หรือ ระดับความรูท้ ่ตี ้องการพฒั นาผ้เู รยี น เช่น การออกเสียงคา สานวน สุภาษติ คาพังเพย
คาราชาศัพท์ คาภาษาต่างประเทศในภาษาไทย เป็นต้น เพ่ือพัฒนาผู้เรียนในจุดบกพร่องเร่งด่วนท่ี
ต้องการพัฒนาเป็นพิเศษ นอกจากนี้ผู้จัดกิจกรรมยังต้องเลือกลักษณะเนื้อหาสาหรับการจัด
สถานการณก์ ารเรยี นรู้ให้สอดคลอ้ งกับผเู้ รยี นแตล่ ะระดับ ดังตารางตอ่ ไปนี้
\\//\\//วิธสี อนท่สี อดคลอ้ งกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
94
ระดบั ความสามารถทางภาษา ลักษณะเนอ้ื หา
ของผเู้ รียน
ระดับท่ี 1 ผู้เรียนท่ีมีความรู้ทาง บทอ่านประเภทนทิ านสนั้ ๆ เร่ืองเลา่ ตอนเดยี วแสดงลาดบั
ภาษาในระดบั ต้น (ป.1 – ป.2) เหตุการณ์ คาสัง่ หรือ ขนั้ ตอนการปฏิบัตงิ าน
ระดับท่ี 2 ผู้เรียนที่มีความรู้ทาง บทอ่านท่ีมีความยาว หรือ เรื่องเล่าท่ีมีความซับซ้อนมากขึ้น
ภาษาในระดบั กลาง (ป.3 – ป.4) เช่น แผ่นพับ ข่าวในหนังสือพิมพ์ โฆษณา บทความ เรื่องสั้น
บทกวี
ระดบั ท่ี 3 ผูเ้ รียนท่มี ีความสามารถ รายงานทางวิชาการ นิยาย วรรณคดี วรรณกรรม บทพูด
ทางภาษาในขัน้ สงู (ป.5 - มธั ยม) สุนทรพจน์ สารคดี ชวี ประวตั ิ สารานกุ รม
ตวั อย่างขน้ั ตอนการจัดการเรยี นรู้แบบม่งุ ประสบการณ์ทางภาษา (CLE)
1. ข้นั ผสู้ อนอ่านเรือ่ งให้ผู้เรียนฟงั
จัดให้ผู้เรียนนั่งเป็นรูปครึ่งวงกลมเพ่ือให้สามารถมองเห็นหนังสือท่ีผู้สอนใช้สอนได้อย่าง
ชัดเจนและท่วั ถงึ แลว้ ดาเนินกจิ กรรมการเรียนรู้ ดังน้ี
1.1) การนาเข้าสบู่ ทเรียน โดยการสนทนาซักถามเกี่ยวกบั หนา้ ปก
1.2) การสนทนา ผู้สอนและผู้เรียนสนทนาเกี่ยวกับภาพในหนังสือ โดยผู้สอนเปิด
หนงั สอื ให้ผู้เรียนดทู ลี ะหนา้ จนจบเล่ม พร้อมกับใชค้ าถามนาต่างๆ ทเี่ ปน็ คาถามปลายเปดิ เชน่
- นักเรยี นคิดว่าภาพนค้ี ืออะไร
- นักเรยี นคิดว่ามีใครทาอะไรบา้ ง
- นกั เรียนคิดว่าเรอ่ื งราวนเ้ี กดิ ข้นึ ทีไ่ หน
- นักเรยี นคดิ ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไร
- นักเรียนคิดว่าเหตุการณ์นีเ้ กิดขนึ้ ได้อย่างไร หรอื ทาไมจึงเกิดข้ึน
- ฯลฯ
คาถามเหล่านี้ใช้ถามต้ังแต่ตน้ จนจบเพื่อกระต้นุ ให้ผู้เรยี นคิด นาประสบการณเ์ ดิมมา
ใช้ในการพัฒนาความคิดรวบยอดเกยี่ วกับความหมายของคาต่างๆ
1.3 การเล่าเร่ือง ผู้สอนอ่านเชิงเล่าให้ผู้เรียนฟังอย่างมีชีวิตชีวาด้วยเทคนิคการเล่า
เรื่องพร้อมท้ังแสดงท่าทางประกอบเพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจความหมาย และในขณะที่ผู้สอนกาลังอ่านเชิง
เลา่ เรอ่ื งใหฟ้ งั จะตอ้ งไมช่ ้ีตวั อักษรในหนังสือตามไปด้วย
1.4 การแสดงความคิดเห็น ผสู้ อนและผู้เรยี นสนทนาแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับเร่ือง
ที่เล่าให้ฟัง ผู้สอนควรสนทนาโดยใช้คาถามง่ายๆ และใช้เทคนิคการต้ังคาถามกระตุ้นให้ผู้เรียนลาดับ
เรื่อง เพื่อช่วยกนั สรปุ แนวทางข้อคิดหรอื ความคิดรวบยอดของเรอ่ื งทีฟ่ ัง
\\//\\//วธิ ีสอนท่สี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
95
2. ขัน้ ผเู้ รยี นเลา่ เรือ่ งยอ้ นกลบั
2.1 การนาเข้าสู่บทเรียน ขั้นตอนน้ีเป็นขั้นที่ต่อเน่ืองจากขั้นตอนที่ 1 ฉะนั้น
การนาเข้าสู่บทเรียนควรเป็นการทบทวนจากส่ิงท่ีเรียนไปแล้วซ่ึงผู้สอนอาจคิดกิจกรรมขึ้นเองตาม
ความเหมาะสมหรือเลือกกจิ กรรมใดกจิ กรรมหน่ึง ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี
- ทบทวนเรื่องท่ีเรียนไปแล้ว ผู้สอนพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนทุกคนได้มี
โอกาสพดู โดยใชค้ าถามง่ายๆ ให้ผเู้ รยี นผลดั กนั เล่าเร่อื ง
- ถ้าผู้เรียนเล่าเร่ืองไม่ได้ ผู้สอนควรให้ดูภาพประกอบในหนังสือจะช่วย
กระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นจาเรอ่ื งราวต่างๆ ได้ แล้วสามารถถ่ายทอดออกมาในลกั ษณะการเล่าเร่ืองได้ดขี ้นึ
- ถ้าในข้ันตอนท่ี 1 การนาเข้าส่บู ทเรยี นใชก้ ารร้องเพลง การนาในขั้นนี้อาจ
ให้ผู้เรียนร้องเพลงเดิมทีผ่ ูส้ อนใช้ในขั้นตอนที่ 1 กไ็ ด้
2.2 การเล่าเรอื่ ง ผ้เู รยี นผลัดกนั เล่าเรือ่ งราวต่างๆ อาจใช้วธิ แี บง่ กลุม่ ช่วยกันเล่าเรื่อง
หรือให้เลา่ เรอ่ื งเป็นรายบุคคล ผสู้ อนควรกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนลาดับเรอ่ื งราวให้ถูกต้อง
2.3 การสนทนา ผู้เรียนและผู้สอนสนทนาเกี่ยวกับเร่ืองที่เล่าโดยผู้สอนพยายาม
กระตุ้นให้ผู้เรียนทุกคนพูด และอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทและนิสัยของตัวละคร
แตล่ ะตวั
2.4 ผ้เู รยี นแสดงบทบาทสมมตุ ิ โดยหาอาสาสมคั รหรอื ใหผ้ เู้ รยี นเลือกบทบาทของตัว
ละครท่ีตนชอบ ผู้เรียนที่เหลือจะเป็นผู้บอกบทพร้อมกับผู้สอน ในระยะแรกอาจจะมีบางคนไม่กล้า
แสดงบทบาทสมมตุ เิ ป็นตวั ละครต่างๆ พร้อมกับเพอ่ื น
3. ข้นั ผ้สู อนและผู้เรยี นเขยี นเรอ่ื งร่วมกัน
3.1 การเตรยี มวัสดุอปุ กรณ์ ผสู้ อนควรเตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ตา่ งๆ ดังน้ี
- กระดาษบรู๊ฟขนาดประมาณ 22 x 31 น้ิว หรือตามความเหมาะสม โดย
เตรียมกระดาษจานวนเทา่ กบั จานวนหน้าของหนังสอื เล่มใหญ่
- กระดาษอัดสาเนา
- กระดาษกาวย่น
- สีเทียน ปากกาเคมี
- กรรไกร
3.2 นาเขา้ ส่บู ทเรยี น โดยการสนทนา
3.3 ทบทวนเรอื่ ง โดยผู้สอนใชค้ าถามนาประเดน็ การเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผเู้ รียนลาดับ
เร่อื งท่ีเคยฟงั และสามารถเล่าเรื่องย้อนกลับได้อย่างถูกต้อง
3.4 เขียนเรื่อง ผู้สอนติดกระดาษปรู๊ฟบนกระดานเพื่อทาแผนภูมิแล้วตกลงกับ
ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้บอกเร่ือง ผู้สอนเป็นผู้เขียนเรื่องบนกระดาษปรู๊ฟอย่างช้าๆ โดยยืนชิดข้าง
\\//\\//วิธีสอนทส่ี อดคลอ้ งกับธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
96
แผนภูมิเพ่ือให้ผู้เรียนเห็นลักษณะการลากเส้นตัวหนังสือที่ถูกต้อง ขณะที่ผู้สอนเขียนให้ออกเสียง
ตามคานั้นๆ ควบคู่ไปด้วย เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษรก่อนเขียนคาหรือ
ประโยคใหม่ ซ่ึงผ้สู อนควรออกเสยี งทบทวนคาหรือประโยคเดิมทุกครั้งแล้วให้ผเู้ รียนออกเสยี งตาม
3.5 วาดภาพประกอบเรื่อง ให้ผู้เรียนอาสาสมัครออกมาวาดภาพประกอบเรื่อง
บนแผนภูมทิ ่ีผู้สอนเขยี นเรื่องราวไว้ สว่ นผ้เู รยี นทีเ่ หลือใหว้ าดภาพบนกระดาษทีแ่ จกให้
3.6 ทบทวน ผู้เรียนช่วยกันอ่านทบทวนเรื่องที่ผู้สอนเขียน โดยฝึกเป็นกลุ่ม หรือ
เปน็ รายบคุ คล จากน้ันช่วยกันตงั้ ชอื่ เรื่อง
4. ขั้นผเู้ รียนทาหนงั สือเล่มใหญ่
ผู้สอนเตรียมการสอนโดยคัดลอกประโยคจากเรื่องท่ีเขียนในข้ันตอนท่ีผ่านมาทุก
แผน่ ลงบนกระดาษบรฟู๊ จานวนเทา่ กบั กลุม่ ผูเ้ รยี น แล้วจัดกจิ กรรมดงั นี้
4.1 นาเข้าสู่บทเรยี น โดยการสนทนาซกั ถามหรอื ใช้เพลง หรือ เกม
4.2 ทบทวนเรื่อง โดยให้ผู้เรียนอ่านแผนภูมิต่อจากน้ันให้อ่านจากหนังสือ
เลม่ ใหญเ่ พอ่ื เปรียบเทียบความเหมือนของเนื้อความ
4.3 แบง่ กลมุ่ ใชก้ จิ กรรมแบง่ กลุ่มผู้เรยี นตามความเหมาะสม ผู้สอนบอกให้
ผู้เรยี นทราบว่าจะตอ้ งทาอะไรบ้างแล้วเสนอใหผ้ ้เู รยี นปฏบิ ัตดิ ังนี้
- วางแผนปฏิบัตงิ านรว่ มกนั วา่ จะต้องทาอะไรบ้าง
- แบ่งหนา้ ทีก่ ารทางานในกลุ่มตามความถนดั ความสนใจ
- รบั ผิดชอบการทางานร่วมกัน
4.4 ร่วมกันวาดภาพ ให้แต่ละกลุ่มวาดภาพโดยผู้สอนแจกวัสดุอุปกรณ์ที่
เตรียมไว้ให้ในแตล่ ะกล่มุ แล้วใหด้ าเนินการตามทีว่ างแผนไวโ้ ดยเรม่ิ จาก
- จัดลาดับภาพแตล่ ะภาพว่าจะวาดอะไรบ้าง ตรงไหน ใครเปน็ ผูว้ าด
- ต้ังช่ือเรื่องแล้วจัดทาปกหนังสือ โดยเขียนชื่อเรื่องและวาด
ภาพประกอบ
- ปกหลังหนงั สือ เขยี นชอ่ื – นามสกลุ ของสมาชิกทุกคนในกลมุ่
- รวบรวมผลงานและจดั เรยี งหน้าให้เรียบร้อย แล้วนาไปเยบ็ เล่ม
- อ่านทบทวน
4.5 นาเสนอผลงาน ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอหนังสือเล่มใหญ่
หน้าห้องเรียน แล้วอ่านให้เพื่อนฟัง จะอ่านเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ผู้สอนควรให้กาลังใจ
ในการนาเสนอผลงาน รวมท้งั ใหก้ ารเสริมแรงดว้ ยการชื่นชมผลงานของผู้เรียนทุกคน
5. ข้นั ผู้เรียนทากจิ กรรมฝกึ ทกั ษะทางภาษา
\\//\\//วธิ ีสอนท่สี อดคล้องกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
97
5.1 ฝกึ ทกั ษะการจา การจาเปน็ ขั้นตอนแรกในการเรียนรภู้ าษาโดยการจาคาในหนังสือ
เล่มใหญ่ เรียนรู้สัญลักษณ์ของคาซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะทางภาษาไปสู่ทักษะอื่นๆ ได้ง่ายข้ึน ดังน้ัน
ผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่เร้าความสนใจให้เป็นการเรียนปนเล่นท่ีเหมาะกับวัยของเด็กและตรงตาม
วตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ โดยการจัดกิจกรรมขั้นน้ีควรสอดแทรกข้อควรปฏบิ ตั ิในการเป็นผู้ฟังที่ดีดว้ ย
กอ่ นท่ีจะจดั กิจกรรมผสู้ อนควรทบทวนพ้ืนฐานความรเู้ ดิมโดยใหผ้ ู้เรียนอา่ นเน้อื เร่ือง
ก่อนแล้วจึงจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนฝึกจาคาที่เรียนในหนังสือเล่มใหญ่ การจัดกิจกรรมควรมี
ความหลากหลาย เพอื่ จะทาใหผ้ เู้ รยี นสนกุ สนานไมเ่ บ่ือหน่ายในการเรียน
5.2 ฝึกทักษะการอ่าน การอ่านคาในหนังสือเล่มใหญ่เป็นขั้นตอนท่ีต่อเนื่องจาก
การจาคาประสบการณ์ในการจาคาทาให้เกิดการเรียนรู้สัญลักษณ์หรืออักษรสัมพันธ์ของเสียงกับ
ตัวอกั ษรซ่ึงจะทาให้ผเู้ รยี นอา่ นคาไดถ้ ูกตอ้ งและจาคาไดเ้ ร็วขนึ้ การจัดกิจกรรมควรมคี วามหลากหลาย
เพอื่ จะทาใหผ้ ูเ้ รียนสนกุ สนานไม่เบ่อื หนา่ ยในการเรยี น
5.3 ฝึกทักษะการเขียน การเขียนคาในหนังสือเล่มใหญ่ควรสอนให้ต่อเน่ืองจาก
การอ่านคา เพราะจะทาให้เข้าใจระบบตัวสะกดที่ใช้แตกต่างกันในคาต่างๆ ที่พบ ผู้สอนควรบอก
วิธกี ารเขยี นหนงั สอื ทถี่ ูกตอ้ ง ตง้ั แต่การจับดินสอ การลากเส้น วธิ กี ารเขยี นตวั อักษรแตล่ ะตัว เปน็ ต้น
5.4 ฝกึ แตง่ ประโยคปากเปล่า เมือ่ ผ้เู รียนไดอ้ ่านและเขียนคาอยา่ งตอ่ เน่ืองแล้ว จงึ ให้
ผู้เรียนนาคาในหนังสือ เล่มใหญ่มาแต่งประโยคปากเปล่าตามความต้องการโดยอาจทบทวน
ความหมายของคาบางคาท่ีเข้าใจยาก เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถคิด แต่งประโยคต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
การให้ผู้เรียนแต่งประโยคปากเปล่าจากคาท่ีอ่านและเขียนไปแล้วน้ันเป็นส่ิงท่ีช่วยให้เกิดความคิด
สรา้ งสรรค์ทางดา้ นภาษามากขนึ้ เกิดความพร้อมในการแตง่ และเขยี นประโยคใหมๆ่ จนสามารถเขียน
อย่างเปน็ อิสระได้
5.5 ฝกึ อา่ นและเขียนประโยคท่ีแต่งขน้ึ การท่ผี ูเ้ รยี นไดอ้ า่ นและเขียนประโยคจากคา
ต่างๆ ที่เคยเรียนมาพร้อมกับเพ่ือนๆ แล้ว เมื่อผู้เรียนต้องการแต่งประโยคใหม่จากคาใหม่ท่ียังไม่เคย
เขียน ผู้สอนจะต้องช่วยเขียนคาเหล่าน้ันให้ดูแล้วให้ผู้เรียนเขียนประโยคตามที่ต้องการ จะช่วยให้
ผเู้ รียนจาคาท่ีตอ้ งการได้ เปน็ การเรยี นคาใหม่อย่างมคี วามหมายและใชเ้ วลาเรยี นได้อย่างรวดเร็ว
5.6 แจกลูกประสมคาใหม่ สอนองค์ประกอบย่อยของภาษาโดยใช้คาที่รู้จักจาก
หนงั สือเลม่ ใหญเ่ ปน็ หลักการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคาต่างๆ ทพ่ี บจะช่วย
ให้ผู้เรียนเข้าใจระบบเสียง ระบบคา และ หลักเกณฑ์ทางภาษาได้ในที่สุด ซ่ึงจะทาให้ผู้เรียนสามารถ
อ่านและเขียนคาใหมท่ ่ตี นต้องการไดเ้ รว็ ข้ึน กจิ กรรมทีค่ วรจดั ไดแ้ ก่
1) ประมวลคาจากหนังสือประกอบการสอนโดยแยกเป็นประเภทต่างๆ ซึ่ง
จะทาให้ผู้เรียนฝึกแจกลกู สะกดคาได้งา่ ยข้นึ เช่น
- คาที่ไมม่ ตี วั สะกดและวรรณยกุ ต์ เช่น มา มี โต เช เปน็ ต้น
\\//\\//วธิ ีสอนทสี่ อดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
98
- คาประสมด้วยพยญั ชนะ สระ และ ตวั สะกด เชน่ นดิ กนิ ปีก เปน็ ตน้
2) ฝกึ แจกลกู สะกดคาตามทแี่ ยกประเภทของคาไว้ เชน่
แจกลกู
คาที่กาหนด ให้คาใหม่
มา กา ขา ตา มา ฯลฯ
สะกดคา
มา อ่านว่า มอ – อา – มา
กา อ่านวา่ กอ – อา – กา
ฯลฯ
5.7 นาคาใหม่มาแต่งประโยคปากเปล่า ให้ผู้เรียนฝึกทักษะการพูดโดยนาคาใหม่ท่ี
พบและรูจ้ ักมาแตง่ ประโยคปากเปล่าเพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจความหมายของคานน้ั มากข้นึ
5.8 อ่านและเขียนประโยคใหม่ เม่ือนาคาใหม่มาแต่งประโยคเพื่อฝึกทักษะการพูด
แล้วให้ฝึกอ่านและเขียนคาใหม่ในประโยคโดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนร่วมกันแต่งประโยค จากน้ันควร
สอดแทรกขอ้ ควรปฏบิ ตั ติ นในการอ่านและเขยี นดว้ ย
5.9 อ่านเร่ืองจากเรื่องใหม่ เม่ือผู้เรียนอ่านและเขียนประโยคใหม่เองได้ ควรให้
ผู้เรียนอ่านเรื่องใหม่ๆ เพ่ิมเติม เพ่ือฝึกความสามารถในการอ่านออกเสียง ส่วนความสามารถในการอ่าน
ในใจอาจจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น การค้นคว้าจากห้องสมุด การแข่งขันการอ่าน การอ่านข่าวส้ัน
เป็นต้น และควรสอดแทรกมารยาทในการใชห้ อ้ งสมุดร่วมกับการจัดกิจกรรมดังกล่าวด้วย
5.10 ฝกึ เลา่ เรอ่ื ง เลา่ หรือบอกรายละเอียดจากสิ่งที่คน้ พบจากการอ่าน การฟัง และ
พบเห็นในชีวิตประจาวัน ให้เพื่อนหรือครูฟังซึ่งเป็นการฝึกจับใจความสาคัญ ความเข้าใจในการอ่าน
การฟัง และการฝกึ ใชภ้ าษาโดยถา่ ยทอดความรู้ดว้ ยการพูด
5.11 ฝึกพูดโต้ตอบสนทนา พูดโต้ตอบสนทนาเร่ืองราวต่างๆ ให้เกิดความชานาญใน
การใชภ้ าษาพดู ในกาลเทศะต่างๆ ซึ่งครูอาจเลอื กใชเ้ กมตา่ งๆ ตามความเหมาะสม
5.12 เขียนเร่ืองส้ัน เม่ือผู้เรียนมีประสบการณ์และความสามารถในการพูด การอ่าน
การฟังแล้ว จากน้ันควรฝึกให้ผู้เรียนใช้ความคิดและประสบการณ์สื่อสารเป็นภาษาเขียนให้ผอู้ ่ืนเข้าใจ
โดยการเขยี นเป็นเร่ืองสั้นๆ เพ่อื เป็นการพฒั นาทักษะใหค้ รบทั้ง 4 ด้านอย่างมีประสทิ ธิภาพ
6. วิธีสอนแบบ KWL
การจัดการเรียนรู้แบบ KWL (Know-Want-Learned) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมี
ทักษะกระบวนการอ่านซ่ึงสอดคล้องกับทักษะการคิดอย่างรู้ตัวว่าตนคิดอะไร มีวิธีคิดอย่างไร สามารถ
\\//\\//วิธีสอนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
99
ตรวจสอบความคิดของตนเองได้ และสามารถปรับเปลี่ยนกลวิธีการคิดของตนได้ โดยผู้เรียนได้รับการฝึก
ให้ตระหนักในกระบวนการทาความเข้าใจตนเอง มีการวางแผน ต้ังจุดมุ่งหมาย ตรวจสอบความเข้าใจตน
มกี ารจดั ระบบข้อมูลเพื่อดึงมาใชภ้ ายหลังได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
การประยุกต์ใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ KWL ในรายวิชาภาษาไทย ผู้สอนต้องตั้งเป้าหมายใน
การสอนให้ชัดเจนก่อนสอนว่าต้องการให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องใดเพิ่มเติมหลังจากอ่าน
เนื้อเรื่องหรือใบความรู้ท่ีกาหนดให้ เช่น สอนหลักภาษาเร่ืองคานาม ตั้งเป้าหมายให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่อง
ชนิดและหน้าท่ีของคานาม, สอนเร่ืองการอ่านเพ่ือจับใจความสาคัญ ต้ังเป้าหมายให้ผู้เรียนเข้าใจ
กระบวนการอ่านจับใจความ หรือ สอนเร่ืองนิราศภูเขาทอง ตั้งเป้าหมายให้ผู้เรียนเล่าเรื่องย่อนิราศภูเขา
ทองได้ เป็นต้น โดยกลุ่มเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการทางภาษาให้ใช้วิธีการสอนร่วมกับใบความรู้ ส่วนกลุ่ม
เน้ือหาเก่ียวกับวรรณกรรมวรรณคดีให้ใช้วิธีสอนร่วมกับเน้ือหาของวรรณกรรมวรรณคดีน้ันๆ โดยตรง
เพื่อใหเ้ กดิ แนวปฏิบตั ทิ ีช่ ดั เจนในการดาเนินกิจกรรมในขน้ั K ขัน้ W และ ขั้น L ต่อไป
ขั้นตอนการจัดการเรยี นรู้
1) ข้ัน K (What you know) : ขั้นตอนนี้ผู้สอนต้องสร้างกระบวนการตรวจสอบความรู้เดิม
ของผู้เรียน ด้วยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทบทวนความเข้าใจเดิมของตนผ่านกระบวนการใช้คาถามของ
ผู้สอน เช่น กระบวนการอ่านจับใจความมีขั้นตอนอะไรบ้าง, คานามมีก่ีลักษณะ, คานามสามารถทา
หน้าท่ีอะไรในประโยคได้บ้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นกระบวนการท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับกลุ่มเน้ือหาทาง
หลักการใช้ภาษา ส่วนกลุ่มเน้อื หาวรรณกรรมวรรณคดีผู้สอนต้องมุ่งสรา้ งความสนใจใครร่ ู้ต่อเน้ือเรอ่ื ง
ทีต่ ้องการใหศ้ ึกษาแกผ่ ู้เรียน ด้วยการใช้วิธีการทานายเรอ่ื งหรอื การคาดเดาเนือ้ หาของเนื้อเรื่องจากช่ือ
เร่ือง หรือภาพเหตุการณ์สาคัญจากเน้ือเรื่อง เช่น เขียนช่ือ นิราศภูเขาทอง ไว้บนกระดาน หรือ ฉาย
ภาพเหตุการณ์ตอนหน่ึงเรื่องนิราศภูเขาทอง แล้วถามความคิดเห็นของผู้เรียนว่า เป็นเร่ืองเก่ียวกับ
อะไร อย่างไร เพราะเหตุใด เป็นต้น ทั้งนี้ผู้สอนต้องต้ังคาถามในการอภิปรายให้สอดคล้องกับ
เปา้ หมายการเรยี นรใู้ นครงั้ นน้ั ๆ ดว้ ย
จากน้ันเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ช่วยกันระดมสมอง โดยให้มีการบันทึกความคิดเห็นท่ีเกิดจาก
การระดมสมอง ด้วยวิธีการอันหลากหลาย เช่น ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันบันทึกบนกระดานดาในรูป
ของแผนท่ีความคิด (Mind map) หรือแผนผังใยแมงมุม (Web Diagram) ให้ชัดเจน ซึ่งจะ
ประกอบด้วยความคิดหลัก ความคิดรอง และ ความคิดย่อย ตามลาดับ โดยผู้สอนช่วยจัดข้อความที่
เป็นความคิดใหถ้ ูกต้องก่อนทีจ่ ะใหผ้ เู้ รยี นคัดลอกแผนที่ความคดิ หรือแผนผังนน้ั ลงในแผ่นกระดาษ แต่
ถา้ ผเู้ รียนคุ้นเคยกับการเขยี นแผนผังความคิดแลว้ ผสู้ อนอาจให้ผเู้ รียนแต่ละคนเขียนสงิ่ ท่ตี นร้หู รือคาด
เดาเกย่ี วกบั หัวขอ้ ท่ีผูส้ อนเปิดประเด็นในการอภปิ รายเปน็ แผนผังความคดิ ด้วยตนเอง
\\//\\//วธิ สี อนท่ีสอดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
100
2) ขน้ั W (What you want to know) : ขั้นตอนนีผ้ สู้ อนต้องจัดสถานการณใ์ หผ้ เู้ รยี นได้เติม
เต็มความรู้ความเข้าใจจากการศึกษาเนื้อหาท่ีผู้สอนกาหนดหรือจัดเตรียมไว้ให้ ซ่ึงประกอบด้วย
รายละเอยี ดทส่ี าคญั ดงั นี้
2.1) การตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่าน : หลังจากที่ผู้สอนกระตุ้นความรู้เดิมของผู้เรียน
ในขั้น K แล้ว ผู้สอนจะนาผู้เรียนไปสขู่ ั้นการตั้งจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ ด้วยการต้ังชุดคาถามกระตุ้น
ผเู้ รียน ตามสมมติฐานทอ่ี ภิปรายร่วมกันไวใ้ นขัน้ K หรือไม่ เช่น
- คานามมี 4 ชนดิ จริงหรือไม่
- กระบวนการอา่ นจับใจความสาคญั ตอ้ งเรมิ่ จากกระบวนการใด
- เรื่องนิราศภูเขาทองเป็นการเดินทางเพื่อติดตามสมบัติที่ถูกโจรขโมยไป
ใช่หรอื ไม่
- ตวั ละครเดนิ ทางไปท่ใี ดบ้าง
2.2) ผเู้ รยี นเขยี นคาถาม : ผู้สอนให้ผู้เรียนเขียนคาถามที่ตนมีลงในกระดาษให้มากทสี่ ุด
2.3) ผู้เรียนหาคาตอบ : ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านข้อความที่ผู้สอนเตรียมไว้ โดยกระตุ้น
ให้ผู้เรยี นพยายามหาคาตอบในสง่ิ ทต่ี นตง้ั คาถามไว้แล้วน้นั
นอกจากน้ีผู้สอนยังสามารถดัดแปลงส่ือการสอนท่ีเป็นการอ่านเป็นการใช้วิธีบรรยายหรือดู
วดี ทิ ัศนก์ ็ได้ ซึ่งจะเป็นการเน้นทักษะการฟงั แทนการอ่าน
3) ขั้น L (What you have learned) : ขั้นตอนน้ีผู้สอนต้องจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้
มีโอกาสถ่ายโยงความรู้เดิม หรือข้อสมมติฐานจากการอภิปรายในกิจกรรม ข้ัน K เข้ากับความรู้ใหม่
หรือ ขอ้ ค้นพบท่ไี ดจ้ ากกิจกรรม ขน้ั W ด้วยการกาหนดใหผ้ ู้เรยี นเขยี นคาตอบที่ได้ลงในกระดาษเปล่า
รวมทง้ั เขียนข้อมูลอืน่ ๆ ท่ีศกึ ษาเพ่ิมเติมได้ แตไ่ ม่ได้ต้งั คาถามหรือข้อสมมตฐิ านไว้ ท้ังนใี้ หผ้ เู้ รยี นเขียน
บันทกึ ข้อมลู ตามกิจกรรมใน ข้ัน K ขั้น W และ ขั้น L เป็นรายบุคคล ดงั ตารางในตัวอยา่ งต่อไปน้ี
K WL
(ผูเ้ รยี นร้อู ะไรบ้าง) (ผูเ้ รยี นตอ้ งการร้อู ะไรบา้ ง) (ผ้เู รยี นได้เรียนร้อู ะไร)
4) ข้นั การเขียนสรปุ และนาเสนอ : ขัน้ นี้เปน็ กิจกรรมสรปุ ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ดว้ ยการให้
ผ้เู รยี นนาขอ้ มูลที่ไดม้ าปรับแผนผังความคิดเดมิ ทเี่ ขยี นไว้ในขน้ั K ซงึ่ อาจจะมกี ารตดั ทอนเพมิ่ เติม หรือ
จัดระบบข้อมูลใหม่เพ่ือให้ได้แผนภาพความคิด ที่มีความสมบูรณ์มากย่ิงข้ึน นอกจากน้ีหากมีเวลา
\\//\\//วธิ ีสอนทสี่ อดคลอ้ งกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
101
เหลืออาจเพิ่มกิจกรรมเสนอผลการเรียนรู้เป็นรายกลุ่ม หรือ สุ่มผู้นาเสนอผลงานเป็นรายบุคคลก็ได้
เพอ่ื เพ่มิ ประสิทธิภาพของการเรียนรใู้ หส้ มบูรณ์มากย่ิงขึ้น
7. วธิ สี อนแบบ PWIM
การจัดการเรียนรู้แบบ PWIM หรือ Picture Word Inductive Model เป็นรูปแบบการสอนที่
ส่งเสริมและพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสาหรับผู้เรียนในระดับพื้นฐาน ด้วยแนวคิด 4 ประการ
ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นกระบวนการแบบธรรมชาติของสังคม (A Natural Social Process) คือ การใช้
กระบวนการส่ือสารแบบธรรมชาติด้วยการใช้ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนร่วมกันในขณะ
เรียนรู้ภาษาจนผู้เรียนสามารถพัฒนาการใช้ภาษาในการส่ือสารได้อย่างมีความหมายในชีวิตประจาวัน,
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นความต่อเนื่องของสมอง (The Concept-wired Brain) คือ การคิดแบบอุปนัยเพื่อ
หาความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของชุดความรู้ทางภาษา, การจัดการเรียนรู้ที่เน้นการทาความเข้าใจจาก
ความต้องการของผู้เรียน (A Need to Understand) คือ การกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระหายใคร่รู้
ในเน้ือหาจากภายในตนเองเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาคาตอบด้วยตนเองที่สูงขึ้น และการจัด
การเรียนรู้ที่เน้นการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (The Interactive Environment) คือ การแลกเปล่ียนเรียนรู้
กับเพื่อนและผู้สอน ซึ่งจะช่วยขยายฐานความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน ตลอดจนช่วยให้เกิดสภาวะการเรียนรู้ที่
คงทนเพม่ิ ขึ้นดว้ ย จากการแบง่ เบาภาระระหวา่ งกันในการทางานรว่ มกบั ผู้อนื่
ขน้ั ตอนการจัดการเรียนรู้
1) เลือกและระบุคาศพั ทจ์ ากภาพ (Select picture and Identify words)
1.1) ผู้สอนเลือกรูปภาพที่ประกอบ ด้วยภาพวัตถุ ส่ิงของ ฉากเหตุการณ์หรือ
สถานการณท์ ีน่ กั เรยี นรจู้ ักค้นุ เคย จากน้นั นาเสนอแผนภูมิรปู ภาพ (Picture Word Chart)
1.2) ผู้สอนกระตุ้นด้วยกลวธิ ีตา่ งๆ เพื่อให้นักเรียนสังเกต และช่วยกันระบุส่ิงท่ีปรากฏ
ในแผนภูมิภาพ หรือเหตุการณ์ สถานการณ์ หรือ การปฏิบัติที่ปรากฏในรูปภาพ (Words and
Action)
1.3) ผู้เรียนอ่านออกเสียงคาศัพท์ เพื่อให้ผู้เรียนได้สังเกตและฝึกการออกเสียงรูปและ
เสียงของคาใหถ้ กู ต้อง และนาไปใช้ในการสะกดคาในขั้นตอนตอ่ ไป
2) เช่ือมโยงคาศพั ท์ (Linking Words)
2.1) ผู้สอนกระตุ้นโดยใช้กลวิธีต่าง เพื่อให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
เพื่อสามารถติดบัตรคาศัพทท์ ี่ผ้เู รยี นระบใุ ห้ตรงกับสิง่ ทีป่ รากฏในแผนภูมภิ าพ
\\//\\//วธิ ีสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
102
2.2) ผูเ้ รยี นอ่านสะกดคาศัพท์ เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสังเกตรูปและเสยี งของคาศัพท์ เม่ือสะกด
คาจะได้จดจาคาศัพทน์ ้นั ได้
3) จดั กลุ่มคาศัพท์ (Classify Words)
3.1) ผู้สอนกระตุ้นโดยใช้กลวิธีต่างๆ เพ่ือให้ผู้เรียนช่วยกันจัดกลุ่มคาศัพท์ หรือ
จัดประเภทของคาศัพท์ที่ระบุไว้จากแผนภูมิภาพในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยอาจจาแนก
ได้ ดังนี้
- จาแนกตามเสียงพยัญชนะต้น (นอน, กาล, พิญ) หรือ พยัญชนะท้าย (กิ่ง,
มอง, คาง)
- จาแนกตามไตรยางศ์ (อักษรสงู อักษรกลาง และ อักษรต่า)
- จาแนกตามชนิดของคา (นาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ บุพบท สันธาน และ
อทุ าน)
ในการจัดกลุ่มคาศัพท์ ผู้สอนจะต้องคานึงถึงความสามารถและวัยของผู้เรียน เพ่ือ
เป็นประโยชน์สาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดเชิงอุปนัย (Inductive Thinking) โดยจัดกลุ่มคาศัพท์ไปหา
กฎเกณฑห์ รือหลักการได้
3.2) ผูเ้ รยี นอ่านออกเสยี งและอ่านสะกดคาศพั ทเ์ พือ่ ทบทวนอีกครง้ั
4) ประยกุ ต์ใช้คาศัพท์ (Applied Words)
4.1) ผ้สู อนเพิ่มคาศพั ทเ์ พื่อให้สอดคลอ้ งกับวัยของผ้เู รียนในแผนภมู ิภาพ (ถา้ มี)
4.2) ผู้สอนกระตุน้ โดยใช้กลวธิ ีต่างๆ เพือ่ ให้ผเู้ รียนตั้งชือ่ แผนภูมภิ าพโดยพิจารณาจาก
รายละเอียดของส่ิงที่ปรากฏในแผนภูมิภาพ และบรรยายเก่ียวกบั สง่ิ ทป่ี รากฏในแผนภูมภิ าพ
4.3) ผู้เรียนนาคาศัพท์ที่ระบุไว้มาสร้างเป็นประโยค ผู้สอนจะต้องคานึงถึงความสามารถ
และวัยของผู้เรียน และจดั ประเภทของประโยค เพอ่ื นาไปสกู่ ารเขยี นข้อความหรือย่อหน้า
4.4) ผู้เรียนอ่านทวนประโยคหรือข้อความจากงานเขียนที่ตนเองสร้างขึ้น เพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของคาศัพท์ที่ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้
ตวั อยา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบ PWIM Model
กิจกรรมการเรียนรู้เร่ือง "การเขียนเร่ืองตามจินตนาการ" มีขั้นตอนการจัดกิจกรรม โดย
จาแนกตามบทบาทของผูเ้ รยี นและผสู้ อน ดังน้ี
\\//\\//วิธีสอนทส่ี อดคล้องกับธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
103
\\//\\//วิธสี อนทสี่ อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
104
8. วธิ ีสอนแบบซินเนคติกส์
การจัดการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์ (Synectics) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาความคิด
สร้างสรรค์ของผู้เรียนทั้งแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม โดยใช้กระบวนการเปรียบเทียบจากการต้ัง
คาถามของผู้สอน และกระบวนการเช่ือมโยงความสัมพนั ธ์จากผลของการเปรียบเทียบอย่างเป็นลาดับ
ข้ันตอน
การจดั การเรยี นรู้แบบซินเนคตกิ สเ์ ป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่มี ีพ้ืนฐานมาจากความเชื่อที่
สาคญั 3 ประการ ดังน้ี
1) การนากระบวนการของความคิดสร้างสรรค์มาใช้อย่างรู้ตัวผนวกกับการให้เครื่องมือ
เพ่อื ใช้ในการคิดสรา้ งสรรค์จะชว่ ยใหบ้ คุ คลเกิดความคดิ สร้างสรรค์ข้ึนได้
2) องค์ประกอบด้านความรู้สึกสาคัญมากกว่าด้านสติปัญญา และการไม่มีเหตุผลสาคัญ
เท่ากับการใช้เหตุผล กล่าวคือการไม่มีเหตุผลทาให้คนไม่ติดอยู่กับกรอบและทาให้ใจเปิดกว้างยอมรับ
สง่ิ ตา่ งๆ เปน็ อยา่ งมาก ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ป็นเรอื่ งของการใชอ้ ารมณ์มากกว่าการใช้สตปิ ญั ญา
3) การใช้อารมณ์และความไม่มีเหตุผลของตนเองมาใช้แก้ปัญหาจะทาให้เกิดวิธีการท่ีมี
ความแปลกใหมย่ ่งิ ข้ึน
เคร่ืองมือในการเปรียบเทียบที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซินเนคติกส์
ท่ีสาคัญคือกิจกรรมการเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย ซึ่งจาแนกรายละเอียดกิจกรรมได้ 3 วิธีการ คือ
การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับส่ิงอ่ืน การเปรียบเทียบทางตรง และการเปรียบเทียบโดยใช้คาคู่ท่ี
มีความหมายขดั แยง้ กัน ซง่ึ มีรายละเอยี ด ดังนี้
1) การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับส่ิงอ่ืน (Personal Analogy) : การเปรยี บเทียบแบบนี้
ผู้เรียนต้องทาตนเสมือนเป็นส่ิงท่ีต้องการเปรียบเทียบ และบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นเม่ือตนเป็นสิ่ง
น้ัน สิ่งท่ีอาจเปรียบเทียบอาจเป็น คน พืช สัตว์ หรือส่ิงของ เช่น ให้ผู้เรียนสมมุติตัวเองว่าเป็น
เครื่องยนต์ในรถยนต์ แล้วบอกว่าผู้เรียนรู้สึกอย่างไรเมื่อรถติดเครื่องในตอนเช้าหรือเม่ือไฟแบตเตอรี่
หมด หรอื เมอื่ รถติดไฟแดง การที่ผ้เู รียนต้องสมมุตติ ัวเองเป็นอีกสิ่งหน่ึงทาใหล้ ืมความเป็นตัวเองชั่วครู่
และเมือ่ ตอ้ งเปรียบเทยี บจะทาให้ผเู้ รยี นเกิดความแปลกใหม่ และความคิดสร้างสรรคข์ นึ้ ได้ บุคคลอาจ
เอาความรู้สกึ ของตนเองไปใสใ่ นส่งิ ท่สี มมุติและบรรยายความรสู้ กึ ออกมาไดห้ ลายขัน้ คอื
\\//\\//วธิ สี อนทส่ี อดคล้องกับธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
105
ข้ันที่ 1 บรรยายออกมาในรูปของข้อเท็จจริง ในขั้นนี้บุคคลจะไม่บรรยายความรู้สึกการมี
ส่วนร่วม แต่มองของท่ีต้องการเปรียบเทียบโดยความเป็นจริง เช่น ในกรณีที่ให้เปรียบเทียบกับ
เครอ่ื งยนต์อาจบรรยายวา่ "รู้สกึ ล่นื น้ามัน" หรอื "ร้สู กึ รอ้ น" เป็นต้น
ขัน้ ที่ 2 บรรยายถึงความร้สู ึกร่วม แตเ่ ป็นการรูส้ ึกทีไมม่ ีอะไรแปลกใหม่ เชน่ "รู้สึกมีพลัง"
ขนั้ ที่ 3 บรรยายถึงความรสู กึ รว่ ม เหน็ อกเหน็ ใจกับสิง่ เปรยี บเทียบท่มี ีชวี ติ
ขั้นท่ี 4 บรรยายถงึ ความร้สู กึ ร่วมเห็นอกเหน็ ใจกบั สิง่ เปรียบเทยี บทีไ่ มม่ ชี ีวติ ในข้ันนบี้ คุ คล
ต้องรู้สึกเป็นจริงเป็นจังในสิ่งเปรียบเทียบ และแสดงความเห็นอกเห็นใจในส่ิงนั้นอย่างแท้จริง
คาบรรยายอาจออกมาในรูป "รู้สึกว่าถูกใช้อย่างไม่เป็นธรรมและไม่เคยได้ตัดสินใจในเองว่าเม่ือไรจะ
เดนิ เครอื่ งหรอื เมือ่ ไรจะหยุดเครื่อง การตัดสินใจขน้ึ อยูก่ ับผอู้ ่นื ท้ังสิน้ " จดุ ประสงคข์ องการเปรียบเทียบ
แบบนี้กค็ ือ เพ่อื ให้ผู้เรยี นเกดิ ควาสมคิดสรา้ งสรรคจ์ ากการเปรียบเทียบคนกบั สิ่งอืน่ ท่ีไกลตัว
2) การเปรียบเทียบทางตรง (Direct Analogy) : เป็นการเปรียบเทียบทางตรงระหว่างของ
สองสิ่งหรือมากกว่า สิ่งท่ีนามาเปรียบเทียบอาจเป็นคน สัตว์ พืชหรือส่ิงของ โดยของที่นามา
เปรียบเทยี บไม่จาเปน็ ตอ้ งเหมือนกันทุกประการ จดุ ประสงค์ก็คือเพ่ือใหม้ องเห็นปัญหาในอีกแนวหนึ่ง
หรือเพ่ือให้เกิดความคิดใหม่ซึ่งอาจนามาใช้แก้ปัญหาที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น วิศวกรท่านหนึ่ง เฝ้า
สังเกตดูหนอนเจาะท่อนไม้เป็นรูปคล้ายอุโมงค์ทาให้วิศวกรผู้น้ีเกิดความคิดสร้างท่ออุโมงค์ทางานใต้
นา้ ขน้ึ มา
3) การเปรียบเทียบโดยใช้คาคู่ที่มีความหมายขัดแย้งกัน (Compressed Conflict) : เป็น
การใช้คาเปรียบเทียบสองคาท่ีมีความหมายขัดแย้งกันหรือตรงกันข้ามมาอธบิ ายลักษณะของคน สัตว์
พืช หรือส่ิงของที่ต้องการ ยกตัวอย่างคาในภาษาอังกฤษ เช่น ก้าวร้าวอย่างเหนื่อยหน่าย (Tiredly
Agressive) ศัตรฉู ันทม์ ิตร (Friendly Foe) หรือทาเครือ่ งทาลายทช่ี ว่ ยชีวิต (Life-saving Destroyer)
เป็นต้น ในภาษาไทยอาจเป็นคา เช่น ฉลาดในเรื่องโง่ๆ หรือ สวยโทรมๆ เป็นต้น (สมศักด์ิ ภู่วิภา
ดาวรรธน,์ มปป: 171 - 172)
ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรม
1. ข้ันบรรยายสถานการณ์ปัจจุบัน : ในข้ันนี้ผู้สอนบรรยายสถานการณ์หรือหัวข้อที่น่าสนใจ
เช่น ในขณะน้ีมขี า่ วโจรปลน้ ร้านทอง ผู้สอนอาจจะทง้ั บรรยายและถามนาว่า
\\//\\//วิธสี อนท่สี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
106
ผู้สอน : นักเรียนคงทราบเวลานี้มีโจรปล้นร้านทอง เราลองมาต้ังช่ือโจรคนน้ีและลักษณะ
พเิ ศษทไี่ ม่เหมอื นใคร
ผเู้ รยี น : โจรคนนน้ี ่าจะชื่อ ดา ผมยาวสมี ว่ ง ปลน้ รา้ นเกม
ผ้เู รียน : โจนคนนน้ี า่ จะชอื่ บักจ่อย ผมสที อง ขาเป๋ ปลน้ รา้ นรถบงั คบั
ผเู้ รยี น : โจรคนนนี้ ่าจะชือ่ โป้งเหน่ง ผมสีแดง ใส่ฟันเหลก็ มีกลา้ มใหญ่ ปลน้ ร้านตกุ๊ ตา
หลังจากน้ันผู้สอนให้ผู้เรียนทบทวนลักษณะของโจรอีกคร้ังว่ามีลักษณะแปลกใหม่หรือ
มีลักษณะที่แตกต่างจากโจรโดยท่ัวไปอย่างไร ผู้เรียนเห็นความแปลกใหมม่หรือไม่อย่างไรขั้นน้ีผู้สอน
ต้องคอยกระตุ้นโดยถามให้ผู้เรียนเห็นความแปลกใหม่จริงๆ ซ่ึงผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะตอบว่าไม่มี
ความแปลกใหม่ เพราะเปน็ ลกั ษณะกว้างๆ ของโจรธรรมดาๆ ท่ีมีอยู่
2. ขั้นการเปรียบเทียบ : ในข้ันน้ีการเปรียบเทียบระหว่างของสองสิ่งหรือมากกว่าส่ิงที่นามา
เปรียบเทียบอาจจะเป็น คน พืช สัตว์ สิ่งของ เพื่อให้ผู้เรียนได้มอง ได้เห็นปัญหาอีกแนวหนึ่ง เพ่ือให้
เกิดแนวคดิ ใหมๆ่ ดังตวั อยา่ ง
ผู้สอน : ลักษณะของโจรยังเป็นลักษณะธรรมดาๆ ถ้าสมมุติว่าครูจะให้นักเรียน
เปรียบเทียบระหว่างโจรที่ชื่อดากับเครื่องมือท่ีใช้ในบ้าน นักเรียนคิดว่ามีเครื่องมืออะไรที่มีส่วนคล้าย
กบั ลกั ษณะของดา
ผู้เรียน : เคร่อื งซกั ผ้า
ผู้เรียน : ทวี ี
ผู้เรยี น : ไม้กวาด
ผเู้ รียน : ชิงชา้
หลังจากนั้นผู้สอนให้ผู้เรยี นทั้งห้องรว่ มกันพิจารณาว่าการเปรียบเทียบระหว่างส่ิงของข้างตน้
กับโจรช่ือดาอันไหนเปรีบเทียบได้แหวกแนวที่สุด พร้อมทั้งให้ผู้เรียนอธิบายการทางานของสิ่งของนน้ั
เช่น ถ้าผู้เรียนเลือกไม้กวาด ผู้สอนต้องซักถามผู้เรียนเกี่ยวกับลักษณะการทางาน การประดิษฐ์
ไม้กวาด ในข้นั ตอนนย้ี ังไมเ่ ปรียบเทียบไม้กวาดกับโจร
\\//\\//วธิ สี อนท่ีสอดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
107
3. ขั้นการเปรียบเทียบกับตนเอง : เป็นขั้นตอนในการนาตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ซึ่ง
ทาให้ผู้เรียนต้องทาตนเหมือนสิ่งท่ีต้องการเปรีบบเทียบและบรรยายความรู้สึกที่เกิดข้ึนเม่ีอตนเป็น
สิง่ นนั้ เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความคิดแปลกใหม่ ดงั ตัวอย่าง
หลังจากท่ีผู้เรียนเลือกส่ิงของท่ีคิดว่าแปลกแหวกแนวที่สุด คือ ไม้กวาด ผู้สอนก็ให้ผู้เรียน
เปรยี บเทียบตนเองกบั ไม้กวาด โดยต้งั คาถามว่า
ผสู้ อน : ถา้ สมมตุ วิ า่ นักเรยี นเปน็ ไม้กวาด จงบอกความรสู้ กึ ว่าเปน็ อยา่ งไร ในขณะท่เี ปน็ ไม้
กวาด
ผู้เรียน : ผมต้องคอยเก็บกวาดส่ิงสกปรกอยู่ทุกวัน ผมไม่อยากให้มีส่ิงสกปรก เช่น ฝุ่น
กระดาษ ถุงพลาสติก เป็นตน้ เพราะสิง่ ต่างๆ ทาใหผ้ มเหมน็ และจามอยูบ่ ่อยๆ ผมท้อแท้เพราะไม่เคย
เหน็ หนา้ ใครนอกจากเพอ่ื นผมทชี่ ่ือว่าฝนุ่
ผู้เรียน : ผมชอบเศษขยะมาก เพราะทาให้ผมมีความหอมในตัวมากกว่าเครื่องใช้อ่ืนๆ
ดังนัน้ เศษขยะจึงเป็นเหมอื นนา้ หอมประจาตวั ผม ผมภมู ใิ จท่ีได้ทาหนา้ ท่ีพทิ ักษ์ความสะอาด
4. ข้ันการเปรียบเทียบโดยใช้คาคู่ท่ีมีความหมายท่ีขัดแย้งกัน : โดยนาคามาจากการท่ีผู้เรียน
เอาตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งของในขั้นตอนท่ี 3 โดยให้ผู้เรียนเลือก เช่น เหม็น กับ หอม, ท้อแท้
กับ ภูมิใจ, สกปรก กับ สะอาด
เมื่อผู้เรียนได้เลือกคาท่ีมีความหมายขัดแย้งกันแล้วผู้สอนให้ผู้เรียนเลือกคาที่มีความหมาย
ขัดแย้งหรือตรงกันขา้ มมากท่ีสุด
5. ขนั้ การเปรียบเทียบทางตรง คร้ังท่ี 2 : ผู้สอนยอ้ นกลับมาใชว้ ธิ กี ารเปรยี บเทยี บทางตรงอีก
คร้ังโดยใช้คาที่มีความหมายขัดแย้งกันที่ผู้เรียนได้เลือกไว้ในข้อ 4 มาเป็นหลัก สมมุติว่าผู้เรียนเลือก
เหมน็ กบั หอม ผสู้ อนอาจใชค้ น สัตว์ หรอื ส่ิงของมาเปรยี บเทียบ เชน่
ผสู้ อน : ลองนกึ ถึงของใชท้ ่มี ลี กั ษณะของเหมน็ และหอม
ผู้เรียน : ลูกเหม็นในห้องน้า
ผู้เรียน : น้าหอม
\\//\\//วิธสี อนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
108
ผู้เรยี น : ถุงเทา้
ผเู้ รียน : ยาทาเลบ็
ผู้เรียน : มะกรดู
เม่อื ผูเ้ รียนหาคามาไดท้ ้ังหมดผู้สอนจะยตุ กิ ารหาคาเปรยี บเทียบพรอ้ มทัง้ ถามนาวา่
ผู้สอน : ส่ิงท่ีกล่าวมาทั้งหมดข้างต้น อะไรท่ีจะใช้บรรยายลักษณะโจรดาได้ดีและ
น่าตน่ื เต้นที่สดุ
ผู้เรียน : ยาทาเลบ็
ผ้สู อน : ยาทาเล็บมาบรรยายลกั ษณะโจรดาได้อยา่ งไร
หลังจากท่ีถาม ถ้าผู้เรียนเงียบผู้สอนให้ผู้เรียนอภิปรายลักษณะของยาทาเล็บ ข้อดี ข้อเสีย สี
ต่างๆ ของยาทาเล็บ ฯลฯ พร้อมท้ังจดลงกระดานดา แล้วให้ผู้เรียนเขียนถึงโจรดาโดยใช้ข้อความ
ทั้งหมดเกย่ี วกบั ยาทาเลบ็ บรรยาย
6. ข้ันสารวจงานท่ีต้องทาอีกคร้ัง : ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบแล้วนาไปสู่ปัญหาเร่ิมแรกซึ่ง
หลังจากที่ผู้เรียนได้เลือกยาทาเล็บแล้ว ผู้สอนจะนาไปสู่ปัญหาเร่ิมแรก คือ การบรรยายเปรียบเทียบ
โจรดากับยาทาเล็บโดยต้งั คาถามว่า
ผู้สอน : ลองกลับมาคิดถึงโจรดาอีกครั้ง เราจะใช้ยาทาเล็บมาบรรยายลักษณะโจรดาได้
อยา่ งไร
ในขน้ั ตอนนีส้ ว่ นใหญผ่ ู้เรยี นจะเงียบ ผู้สอนอาจจะต้องใชค้ าอธบิ ายหรือต้ังคาถามนาว่า ยาทา
เล็บนั้นเป็นอย่างไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร สีสันต่างๆ เป็นอย่างไร โดยให้ผู้เรียนอธิบาย พร้อมทั้ง
ใหผ้ เู้ รยี นเขยี นถึงโจรดาโดยใชข้ อ้ ความท้งั หมดเกย่ี วกับยาทาเล็บขา้ งต้นบรรยายลักษณะโจรดา
9. วิธสี อนแบบARC
Vanghan และ Estes เป็นผู้คดิ ทฤษฎีการสอนอ่านแบบ ARC โดยมคี วามหมาย ดังนี้
A = Anticipation คือ การคาดคะเนลว่ งหนา้ กบั สิง่ ทอ่ี า่ น
\\//\\//วธิ ีสอนทสี่ อดคล้องกับธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
109
R = Realization คอื การตระหนักในความหมายทแี่ ท้จรงิ ของข้อความทอ่ี ่าน
C = Contemplation คอื การพจิ ารณาไตร่ตรองถึงความรทู้ ีไ่ ด้จากการอา่ น
ข้ันตอนการอา่ น แบง่ เป็น 3 ข้นั ตอน ดงั นี้
1. ขัน้ A Anticipation เป็นข้นั เตรียมความพร้อมก่อนการอ่าน มี 4 วิธี
วิธีที่ 1 การวางแผนกอ่ นการอา่ น
1.1 ครูเตรียมหัวเรื่องหรือคารวบยอดท่ีสัมพันธ์กับเร่ืองให้ผู้เรียนหาคาศัพท์ที่
สัมพันธก์ บั เร่ืองท่ีจะอ่าน
1.2 ครแู ละผ้เู รียนรว่ มกนั อภปิ รายเพือ่ จดั คาศัพทใ์ ห้เป็นหมวดหมู่สมั พันธก์ ัน
1.3 นาคาศพั ท์ทจ่ี ัดหมวดหมู่มาจัดเป็นโครงสรา้ งเครอื ขา่ ยความรู้
วิธีท่ี 2 การแลกเปลย่ี นคาถามตามเน้ือเรื่อง
2.1 ใหน้ ักเรียนอา่ นในใจ ย่อหนา้ แรก แล้วปดิ บทอ่าน
2.2 ให้ผู้เรยี นตง้ั คาถามในยอ่ หนา้ แรกให้เพ่ือนๆ ตอบ
2.3 ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายถึงคาถามที่เพื่อนต้ังว่ามีคุณภาพหรือไม่ และทา
อยา่ งไรจะไดค้ าถามท่มี คี ุณภาพ
2.4 ใหผ้ ู้เรยี นฝกึ ต้ังคาถามและตอบคาถามจากการอ่านบทอา่ นประมาณ 1 – 2 ย่อหนา้
วธิ ที ี่ 3 การสรา้ งจินตนาการ มีขัน้ ตอนดงั นี้
3.1 ก่อนการอ่านบทอ่าน ให้ผู้เรียนนั่งหลับตา ให้ผู้เรียนคิดสร้างจินตนาการ โดยครู
ใช้เทคนคิ โนม้ น้าวใจโดยการบรรยาย ครูสรา้ งความสนใจจากภาพท่ผี ูเ้ รยี นนกึ คิดได้ ให้ผูเ้ รยี นลมื ตา
3.2 ให้ผู้เรียนเขียนบรรยายความรสู้ กึ และภาพในจนิ ตนาการของตนเอง
3.3 ใหผ้ ู้เรยี นนาส่ิงที่เขยี นมาอภปิ รายแลกเปล่ยี นกัน
วิธีท่ี 4 การสรา้ งแผนภาพเครือข่ายความคิด
4.1 ก่อนอ่านบทอ่าน ครูเตรียมหัวเรื่องหรือคารวบยอดจากบทอ่าน เขียนหัวเรื่อง
และคารวบยอดลงบนกระดาน ใหผ้ ูเ้ รยี นลอกคาศัพท์แกนลงบนกระดาษของตน
4.2 ให้ผเู้ รียนคิดถึงสิส่งทเี่ ก่ียวข้องสัมพันธก์ ับคาศัพท์แกน แล้วเขยี นคาศัพทท์ ี่นึกได้
ลงใกล้ๆ กับคาศพั ท์แกน
4.3 ให้ผู้เรียนคิดถึงคาอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับคาศัพท์แกนและคาศัพท์ท่ีสัมพันธ์กับ
คาศพั ทใ์ หม่ แล้วขีดเสน้ โยงความสัมพันธข์ องคาศัพท์
\\//\\//วธิ สี อนทีส่ อดคลอ้ งกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
110
4.4 ทากจิ กรรมข้อ 2 และ ขอ้ 3 ซ้าๆ จนได้แผนภาพเครือขา่ ยความคิดทเ่ี ป็นคารวบ
ยอดบนกระดาน
2. ขั้น R Realization ดาเนนิ ตามขนั้ ตอนตอ่ ไปนี้
1. ในขณะที่อ่านเน้ือเรื่องให้ผู้เรียนพิจารณาข้อความท่ีอ่าน ถ้าอ่านแล้วเข้าใจให้ใส่
เครือ่ งหมาย ขา้ งข้อความน้นั หากอ่านแล้วไม่แน่ใจให้ใส่เครื่องหมาย ขา้ งข้อความนน้ั
2. ใหผ้ ้เู รียนทบทวนว่าส่วนใดผเู้ รยี นเข้าใจ ส่วนใดที่ผเู้ รียนไมเ่ ข้าใจบา้ ง
3. ใหผ้ เู้ รียนตรวจสอบขอ้ ความที่ไม่เขา้ ใจ ลองอา่ นซา้ หาวธิ กี ารแกป้ ญั หา
4. พยายามทบทวนส่ิงทอี่ ่านอกี ครง้ั
3. ขั้น C Contemplation เป็นกิจกรรมหลังการอ่าน เป็นข้ันให้ผู้เรียนพิจารณาไตร่ตรอง
ความรูท้ ี่ไดจ้ ากการอา่ น กจิ กรรมขนั้ C นี้ สามารถเลอื กใชว้ ิธีใดวิธีหนง่ึ ดงั ตอ่ ไปน้ี
วธิ ีท่ี 1 Graphic Post Organizer (การเขยี นโครงสรา้ งสรุปใจความสาคญั )
1.1 ให้ผู้เรียนจัดกลุ่มอภิปรายความสาคัญโดยรวม จับใจความสาคัญแต่ละย่อหน้า
หรือสง่ิ ท่เี ปน็ ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการอา่ น
1.2 เขียนโครงสรา้ งสรุปใจความสาคัญของบททอ่ี ่าน
1.3 ให้ตัวแทนกลุ่มนาเสนอโครงร่างสรุปใจความสาคัญของบทอ่าน แล้วอภิปราย
ความถูกต้องสมบรู ณ์ของโครงสรา้ งนั้น
1.4 ถา้ ในขน้ั A ใช้วิธกี ารข้อ 4 การสรา้ งแผนภาพเครือข่ายความคิด ครอู าจนาโครง
รา่ งดังกลา่ วมาเปรียบเทยี บกับโครงสรา้ งสรปุ ใจความสาคญั
วธิ ที ่ี 2 การเขียนสรปุ เร่อื ง ดาเนินตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี
2.1 การอ่านเรื่อง (Read)
2.2 การประมวลความรู้จากเรือ่ ง (Encode)
2.3 การจัดใจความสาคญั ของเรือ่ ง (Annotate)
2.4 การพิจารณาเรือ่ งท่สี รุป (Ponder)
วธิ ีที่ 3 จดบันทึกประโยคท่ชี อบ หรอื สนใจ
3.1 ใหผ้ ู้เรียนแต่ละคนเลือกประโยคทน่ี า่ สนใจจากบทอา่ นมาคนละ 1 ประโยค
3.2 เลือกผู้เรียน 1 คน ออกมาอา่ นประโยคที่ตนเลือกให้เพื่อนๆ ฟงั
3.3 ใหผ้ ู้เรยี นร่วมกนั อภิปรายประโยคท่ีเลือกมา
3.4 เจา้ ของประโยคแสดงความคดิ เหน็ ท่ีเลอื กประโยคน้ัน
\\//\\//วธิ สี อนท่สี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
111
3.5 ใหผ้ เู้ รยี นผลัดเปล่ียนกันเป็นผเู้ ลือกประโยคและทากิจกรรมข้อ 2 – 4
ทฤษฎีการสอนอ่านตามแนวการสอนแบบ ARC เป็นวิธีการสอนท่ีควรนามาใช้ในการฝึก
ทักษะการอ่านภาษาไทยได้ดี และแต่ละขั้นตอนก็มีวิธีการอย่างหลากหลาย ทาให้การเรียนการสอน
นา่ สนใจและการฝึกทักษะการอ่านจะประสบความสาเรจ็ อย่างดี
10. วธิ ีสอนแบบบรู ณาการการอา่ นและการเขยี นเรยี งความ
การบูรณาการการอ่านและการเขียนเรียงความ หรือ Cooperative Intergrated Reading
and Composition : CIRC คือ โปรแกรมสาหรับสอนการอ่าน การเขียน และ ทักษะทางภาษา
(Language arts) ใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย เป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นา
การเรยี นแบบรว่ มมือมาใชก้ บั การอ่าน (CIRC-Reading) และ การเขียน CIRC-Writing โดยตรง ดังนี้
CIRC-Reading สาหรับการอ่าน นักเรียนจะได้รับการสอนภายในกลุ่มการอ่าน หลังจากนั้น
ให้นักเรียนแยกออกเป็นทีมเพื่อทางานตามกิจกรรมแบบร่วมมือ โดยการจับคู่กันอ่านการทานายเรื่อง
ท่ีอ่าน การสรุปเร่ืองให้อีกคนหนึ่งฟัง การเขียนตอบคาถามจากเรื่อง การฝึกสะกดคาศัพท์
การถอดรหัสและฝึกเรื่องคาศัพท์ นักเรียนทางานร่วมกันในทีมเพื่อให้นักเรียนสามารถจับใจ
ความสาคัญของเร่อื งท่ีอา่ นได้ และได้ทกั ษะอน่ื ๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับความเขา้ ใจในการอ่าน
CIRC-Writing สาหรับการเขียน วิธกี ารทใ่ี ช้ข้ึนอยู่กบั รปู แบบกระบวนการเขียน ซงึ่ ใช้รปู แบบ
ทีมเหมือนกับโปรแกรม CIRC สาหรับการอ่าน วิธีการน้ีนักเรียนทางานร่วมกันเพื่อวางแผน (Plan)
ร่างต้นฉบับ (Draft) ทบทวนแก้ไข (Revise) รวบรวมและลาดับเร่ือง (Edit) และพิมพ์หรือแสดง
ผลงาน (Publish) เร่ืองท่ีแต่งออกมาโดยครูเป็นผู้เสนอเนื้อหาเพียงเล็กน้อยเก่ียวกับแนวทาง (Style)
เนื้อหาและกลวธิ ีของการเขียน
นอกจากนี้การบูรณาการการอ่านและการเขียนเรียงความเป็นวิธีสอนเขียนเรียงความ
ภาษาอังกฤษโดยบูรณาการกับการสอนอ่านโดยเร่ิมจากการสอนอ่าน เพ่ือให้เกิดควาสมรู้ความเข้าใจ
และจากการอ่านชว่ ยพฒั นาความสามารถในการเขียนเรียงความซึ่งเปน็ วธิ ีสอนท่ีใช้ในสหรัฐอเมริกามา
ก่อน และมีการนาไปใช้อย่างแพร่หลายและประสบผลสาเร็จโดยเฉพาะสาหรับท่ีเป็นการสอนด้าน
ภาษา เชน่ หลักการเขยี นภาษา แตส่ าหรับการสอนภาษาไทยหรอื ภาษาอังกฤษในประเทศไทยซึ่งไม่ได้
ใช้ภาษาอังกฤษเป็นประจาหรือใช้เป็นภาราชการ การท่ีจะนาเทคนิค CIRC ไปใช้ให้ประสบผลสาเร็จ
ได้ไมง่ ่ายนัก และที่สาคัญถา้ ผู้สอนและผู้เรยี นไมช่ านาญ คนุ้ เคย และยอมรับเทคนิควธิ ีดังกลา่ ว
\\//\\//วิธีสอนทีส่ อดคล้องกับธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
112
แต่อย่างไรก็ตามในฐานะครูมืออาชีพสามารถที่จะปรับประยุกต์วิธีการและวัตถุประสงค์ให้
สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ด้วยภาษาของประเทศตนเองได้ โดยยึดหลักการร่วมมือกัน
เรียนรู้อย่างจริงจัง ทุกคนมีการยอมรับกันและกัน มีเป้าหมายความสาเร็จเดียวกัน โดยท่ีครูต้อง
ดาเนินการสอนความรู้ พร้อมทั้งฝึกทักษะการอ่านและการเขียนก่อนให้ฝึกปฏิบัติ ด้วยการร่วมมือกัน
เรียนรู้ ดังนั้นการสอบแบบ CIRC จึงต้องเลือกบทอ่านที่ประกอบด้วยโครงสร้างหลักการทางภาษา
ที่นักเรียนต้องรู้และเข้าใจ เพ่ือนาไปใช้เป็นแบบในการเขียนต่อไป บทอ่านต้องมีสาระที่เหมาะสมกับ
วัย ระดับช้ัน มีความหมายและมีคุณค่าต่อผู้เรียนด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ CIRC มีข้ันตอน
การจดั การเรยี นรดู้ งั ตอ่ ไปน้ี
1. ขั้นสอนเร่ิมต้นจากครู (Teacher Instruction) เป็นขั้นที่ครูสรุปหรือบรรยายความรู้ให้
แก่นักเรียน ซ่งึ ประกอบด้วยกิจกรรม ดังตอ่ ไปน้ี
1.1) ครูนาเสนอความรูเ้ กย่ี วกบั การอา่ น วิธีอา่ น ความสาคัญของการอา่ นเพอ่ื ความเข้าใจ
พอสังเขป อธิบายความสาคัญของการเขียน วิธีการเขียนรูปแบบต่างๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง
การอา่ นและการเขยี น
1.2) ครูยกตัวอยา่ งบทอา่ นเพอื่ ให้ทกุ คนศึกษาร่วมกัน ทาความเข้าใจ ถาม–ตอบ ชีใ้ หเ้ ห็น
ประเด็นสาคญั โครงสรา้ งของข้อความ ประโยคตา่ งๆ ความเชอื่ มโยงของข้อความ หรือประโยคในบท
อ่าน ใช้กิจกรรมการอ่านโดยพยายามบูรณาการเพื่อวิเคราะห์ลักษณะวิธีการเขียน ซ่ึงการฝึกหัดเขียน
ควรเร่มิ จากการเขยี นตอบง่ายๆ การสร้างประโยคจากคาศัพท์หรือคาเช่อื ม คาขยาย ต่างๆ เปน็ ตน้
1.3) ครูตรวจสอบความรู้ความเข้าใจเน้ือเรื่อง สาระสาคัญ ประเด็นหลัก ประเด็นรอง
ลักษณะของเน้ือเรื่อง โครงสร้างประโยคที่ใช้ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อความหรือประโยคต่างๆ และ
บทความของเรื่อง รวมท้ังฝึกให้คาดคะเนจุดจบของเร่ือง หรือบทสรุปของเร่ืองท่ีจะเกิดข้ึนจาก
เหตกุ ารณ์เรื่องราวต่างๆ ความเป็นไปไดห้ รือจินตนาการสรา้ งสรรค์ความคิด
4. ข้ันฝึกปฏิบัติภายในทีม (Team Practice) เป็นขั้นท่ีนักเรียนทางานในกลุ่มซึ่งมี
ความสามารถแตกต่างกัน โดยจัดกลุม่ นกั เรียนโดยคละความสามารถ แจกใบความรู้ ใบกิจกรรม หรือ
อุปกรณ์การฝึกอ่ืนๆ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาท่ีเรียน ให้ 2-3 คน ต่อ 1 ชุด เพ่ือให้เกิดการร่วมมือกันปฏิบัติ
กิจกรรมตามขอ้ ตกลงท่ไี ดต้ กลงกันไว้ล่วงหน้ากอ่ นดาเนินการจดั การเรียนรู้
5. สมาชิกกลุ่มทุกกลุ่มร่วมกันเรียนรู้และอ่านใบความรู้ ฝึกกิจกรรมตามใบงานท่ีครูเตรียม
ไว้ให้ โดยครคู อยติดตามดแู ล ถาม – ตอบ การฝึกปฏิบัติของนกั เรยี นอยา่ งทัว่ ถึงทุกกล่มุ
\\//\\//วิธีสอนทสี่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
113
6. ข้ันประเมินการเรียนรู้ตนเอง (Individual Assessment) เป็นขั้นท่ีให้นักเรียนได้ประเมิน
การเรียนรู้ของตนเองในเรื่องของข้อความรู้หรือทักษะท่ีได้รับในบทเรียน โดยการให้ฝึกหัดด้าน
การเขียนควรให้สมาชกิ ได้ตรวจสอบการเขียนของเพ่ือนหรือช่วยกันแก้ไขปรับปรุงงานของกันและกัน
ให้ถูกต้อง ท้ังนี้การฝึกเขียนจากบทอ่านควรสอดคล้องกับรูปแบบของบทอ่านที่ได้รับในตอนต้นด้วย
จากน้ันจึงพัฒนาเป็นการเขียนในลักษณะอื่นๆ ที่ซับซ้อนหรือใช้ความคิดมากขึ้น ที่สาคัญนักเรียนควร
ได้มองเห็นและเข้าใจรูปแบบโครงสร้างของประโยคหรือข้อความทีส่ าคญั ก่อน
7. ขั้นประเมินรายบุคคล (Team Recognition) เป็นการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจและ
วัดผลการเรียนรดู้ า้ นการอา่ นและการเขียน ดงั นี้
7.1) ครูควรออกแบบทดสอบ กาหนดเกณฑ์ และ ใหค้ ะแนนโดยที่นกั เรยี นรู้วธิ ีใหค้ ะแนน
สามารถตรวจใหค้ ะแนนตนเองและคานวณคะแนนกลมุ่ ของตนเองได้
7.2) รวมเป็นคะแนนของทมี เพ่อื มอบรางวัลแก่ทีมใดทีไ่ ด้คะแนนถึงเกณฑ์ที่กาหนดไว้
11. วิธีสอนแบบStory line
การจัดการเรียนรู้แบบสตอรีไลน์ (Storyline Method) เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการท่ีมี
การนาเอาสาระการเรียนรู้จากหลายกลุ่มสาระมาเชื่อมโยงกัน เพื่อจัดการเรียนรู้ภายใต้หัวข้อเรื่อง
เดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) เร่ืองแต่ละตอนจะต่อเนื่อและมีลาดับเหตุการณ์
(Sequence) หรือเรียกว่า เส้นทางการเดินเร่ือง (Topic line) และใช้คาถามหลัก (Key question)
เปน็ ตวั นาไปสกู่ ารให้ผู้เรยี นทากจิ กรรม (Activity) อย่างหลากหลาย ซ่ึงกจิ กรรมเหลา่ น้ันจะส่งเสริมให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามสภาพจริง ได้ลงมือปฏิบัติจริง เน้นทักษะการคิด การวิเคราะห์ การตัดสินใจ
กระบวนการกลุ่ม ตลอดจนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ดังน้ันการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline จึง
เปน็ การบูรณาการเนอ้ื หาสาระและทกั ษะกระบวนการตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกนั
ลกั ษณะการจัดการเรยี นูแ้ บบสตอรีไลน์
Steve Bell (2000) ไดเ้ สนอหลักการที่จะเป็นพ้ืนฐานทจี่ ะนาไปสู่การเรียนรูแ้ บบสตอรไี ลน์ไว้
อยา่ งนา่ สนใจ ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี
1. เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ : ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับ
การเรียนรู้ของตนเองและส่ิงสาคัญที่สุดที่ผู้สอนจะต้องรู้ก็คือ ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะเดิม
\\//\\//วิธสี อนทีส่ อดคล้องกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
114
ของผู้เรียนในชั้น ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสาคัญหรือจุดเร่ิมต้นของการออกแบบหัวเร่ืองเพ่ือ
สรา้ งความรู้ ประสบการณ์ และทกั ษะใหมข่ องผเู้ รียน
2. สร้างความต่ืนตัวให้กับผู้เรียนตลอดเวลา : สร้างความต่ืนตัวให้กับผู้เรยี นด้วยการใชว้ ิธี
ต้ังคาถามของผู้สอน การเรียนการสอนแบบสตอรีไลน์นั้น ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
โดยจะเน้นเร่ืองการแก้ปัญหาและการตัดสินใจซ่ึงจะช่วยพัฒนาด้านสติปัญญา ทักษะและทัศนคติ
การเข้ามามีสว่ นรว่ มในการเขียนหนงั สือประกอบภาพ/หนังสือเล่มเล็ก เนื้อหาท่ีสรา้ งขนึ้ ในหนงั สือนั้น
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้สามัญสานึกในการสารวจสิ่งแวดล้อมของตนเอง ซ่ึงจะเป็นการแสดงออก
ทางความคิดในเร่อื งเกยี่ วกบั การคน้ พบของผู้เรยี นแต่ละคน
3. สร้างความรสู้ ึกเป็นเจ้าของ : ผเู้ รียนจะต้องมสี ว่ นร่วมหรือเป็นเจ้าของในการสร้างเร่ือง
น้ันๆ ท้ังในเรื่องของสถานที่ ผู้คนที่อยู่อาศัย การดาเนินชีวิตตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เก่ียวข้อง
ลว้ นแตเ่ ป็นเร่อื งราวทผี่ ้เู รยี นร่วมกันคิดและสรา้ งขึน้ มาจากการศกึ ษาค้นคว้า รวมท้ังจนิ ตนาการท้ังสิ้น
4. เป็นโครงสร้างที่ทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถเท่าเทียมกัน : ผู้สอนและผู้เรียนจะ
เป็นผู้ที่ทาให้การเรียนรู้ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างม่ันคง ผู้เรียนจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกทอดท้ิงและเมื่อมี
โอกาสเทา่ เทยี มกันในการแสดงความสามารถทแ่ี ต่ละคนถนดั และสนใจใฝร่ ู้ เพราะโครงเรอื่ งทเี่ ขียนขึ้น
นั้นทุกคนจะได้รับบทบาทและการกล่าวถึงอย่างสม่าเสมอ ผู้สอนก็สามารถจัดกิจกรรมท่ีเหมาะสม
ใหก้ ับผู้เรยี นได้โดยใชพ้ ื้นฐานของเรื่องและลาดับข้นั ตอนต่างๆ ที่ผูเ้ รียนเขยี น/สร้างข้นึ
5. เช่ือมการฝึกทักษะพื้นฐานเข้ากับการดารงชีวิตจริงและใช้ได้ดีกับการเรียนภาษาและ
สิ่งแวดล้อม : การทากิจกรรมเพ่ือการเรียนรู้แบบสตอรีไลน์นี้จะช่วยสร้างโอกาสในการฝึกทักษะ
ด้านพ้ืนฐานโดยผู้เรียนจะสามารถฝึกทักษะนั้นๆ ซ้าแล้วซ้าอีกโดยไม่ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เป็น
ลักษณะการเรียนการสอนเร่ืองราวทฃส่ิงใกล้ตัวมากท่ีสุด เช่น ตัวเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา
จากนน้ั จึงขยายเปน็ วงกว้างออกไปสูส่ ภาพแวดล้อมในชมุ ชนของผู้เรียนและออกไปสปู่ ระเทศอน่ื ๆ เมือ่
อยู่ในชั้นเรียนท่ีสูงขึ้นในลักษณะของการบูรณาการเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบองค์รวมและ
สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ ผู้เรียนจึงจะได้เรียนรู้ถึงส่ิงท่ีเป็นวิถีชีวิตจริงส่งผลให้
ผเู้ รยี นไดเ้ ห็นประโยชนข์ องการเรียนรู้
6. เปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้ส่ิงท่ีกว้างขวางกว่าที่มีไว้ในหลักสูตร : เม่ือผู้เรียนได้สร้าง
จินตนาการเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมและผู้อยู่อาศัยขึ้นมาแล้ว ส่ิงท่ีจะเกิดตามมาก็เป็นเร่ืองที่เก่ียวข้องกับ
ความรู้สึก เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว ค่านิยมในด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนประเพณี
\\//\\//วิธสี อนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
115
วัฒนธรรมต่างๆ เป็นต้น เร่ืองราวเหล่าน้ี คือการเรียนรู้ผ่านการสอนแบบบทบาทสมมุติน่ันเอง ผู้เรียน
ก็จะยอมรับบคุ ลิกลักษณะของตัวละครทสี่ ร้างขน้ึ จนกลายเป็นบุคลกิ ลักษณะของเขาเอง
7. ส่งเสริมให้เกิดอารยธรรมขึ้นระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน : ในขณะท่ีผู้สอนมีแผนการสอน
สตอรีไลน์แบบบูรณาการที่เป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึกอยู่ในมือน้ัน เร่ืองราวต่างๆ ในกระดาษจะมี
ชีวิตจริงข้ึนมาได้โดยการทากิจกรรมและจินตนาการของผู้เรียนในห้องเรียน ครูจะทาหน้าที่เป็นผู้
ประสานการทางานร่วมกัน ผู้เรียนจะพึ่งพาครูในด้านการเป็นผู้นา ส่วนครูสร้างการมีส่วนร่วมของ
ผู้เรยี นให้เกดิ การเรยี นรู้เพอ่ื ทีจ่ ะทาให้เร่อื งราวต่างๆ เดนิ หนา้ ต่อไป
8. ส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ : ผู้สอนหลายคนมักจะมีความรู้สึกอึดอัดหรือ
มีปมด้อยในเรื่องประสบการณ์และความรุ้เรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัย เช่น อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์
เคร่ืองพิมพ์ดีดไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซ่ึงอุปกรณ์เหล่าน้ีจะเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
ที่เป็นของจริงตามเนื้อหาที่กาหนด อุปกรณ์เหล่านี้ผู้สอนและผู้เรียนจะเป็นผู้ใช้และฝึกฝนจนสามารถ
ใช้มันไดอ้ ยา่ งดี
9. ช่วยให้ผู้สอนสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้สอดคล้องกับ
ความสามารถของผู้เรียนรายบุคคล : การที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของหนังสือภาพหรือหนังสอื
เลม่ เลก็ ทสี่ ร้างขึ้นมารวมทั้งรว่ มกิจกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษา ทาให้ผูเ้ รียนท่ีมีจุดอ่อนด้านภาษา
จะมีโอกาสไดร้ บั การพฒั นาอย่างมาก เนอ่ื งจากการสอนแบบนีเ้ ป็นการสอนแบบปลายเปิดจงึ ใหโ้ อกาส
ผเู้ รยี นทมี่ คี วามสามารถสูงไดค้ ิดและพัฒนามากขึน้ เช่นเดียวกัน
10. เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน : การสอนแบบสตอรีไลน์เปิดโอกาสให้ผู้เรียนร่วมกันทา
กิจกรรมหลายรูปแบบ ซึ่งคณะทางานแบ่งกลุ่มเป็นงานเด่ียว จับคู่ กลุ่มย่อย หรือเรียนร่วมกันท้ังช้ัน
ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของงาน โดยกิจกรรมจะเป็นตัวกาหนดว่าควรจะแบ่งกลุ่มผู้รียนอย่างไร
การเรียนรู้ร่วมกันจึงเป็นการพัฒนาวุฒิภาวะทางสังคม ท้ังนี้ในชีวิตจริงของคนในสังคมต่างก็ต้อง
ชว่ ยกันทางานเพ่ือให้บรรลุวตั ถุประสงค์รว่ มกัน
11. กอ่ ใหก้ ารฝกึ ทกั ษะปฏิบัติทีซ่ ้าๆ กนั แตม่ ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา : ตัวแปรสาคัญ
ในการเรียนรู้อย่างหน่ึงของทฤษฎี Retention คือ การฝึกปฏิบัติ แต่การวางแผนการสอนให้มีการฝกึ
ปฏิบัติท่ีมีจานวนเหมาะสมนั้นค่อนข้างทาได้ยาก แต่การสอนแบบสตอรีไลน์ นอกจากจะเป็น
ตัวกระตุ้นสให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียนอยู่เสมอแล้ว บ่อยคร้ังยังเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะ
การปฏิบัติอีกด้วย
\\//\\//วิธีสอนที่สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
116
12. เน้นให้เห็นความสาคัญของการกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นพัฒนารูปแบบความคิดรวบยอดด้วย
ตนเองก่อน : การสอนแบบสตอรีไลน์จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนพัฒนาสติปัญญาและจินตนาการของ
ผู้เรียนก่อน เช่น มีกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนสร้างกระเป๋าเคร่ืองมือแพทย์พร้อมเคร่ืองเวชภัณฑ์บรรจุ
ในกระเป๋า ซ่ึงส่ิงที่สร้างขึ้นน้ันจะเป็นสิ่งท่ีสร้างข้ึนจากความคิดรวบยอดของเขาคิดว่ามันน่าจะเป็น
น่าจะมี หลังจากน้ีเม่ือเขามีโอกาสได้เห็นกระเป๋าเครื่องมือแพทย์จรงิ ๆ แล้วเขาก็สามารถเปรียบเทียบ
กับกระเป๋าเคร่ืองมือแพทย์ที่เขาได้ทาข้ึนมา การเปรียบเทียบดังกล่าวก่อให้เกิดการเรียนรู้เพื่อ
การปรับปรุงพัฒนางานซึ่งเป็นลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพนั่นเอง ผู้เรียนเหล่าน้ีมีคาถามพร้อม
อยู่แล้ว เขารู้อยู่แล้วว่าเขากาลังค้นหาอะไรและหลายคร้ังที่อาจรู้สึกแปลกใจว่าทาไมถึงหลงลืมใส่
บางสิ่งบางอย่างได้ บางครง้ั พวกเขาอาจจะคิดว่าเวชภัณฑ์ที่บรรจอุ ยู่ในกระเปา๋ เครอ่ื งมือแพทยข์ องเขา
มีคุณค่ามากกว่าที่มีในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์จริงๆ การที่ครูให้ผู้เรียนสร้างส่ิงต่างๆ ขึ้นจากส่ิงท่ีได้
เห็น ได้สัมผัส ได้รับรู้เป็นการให้คาตอบกับผู้เรียนง่ายเกินไปจนขาดความท้าทาย ความสามารถ
ของผู้เรียนขาดความหลากหลายของคาตอบที่เปน็ ไปได้ และเป็นการไม่สนับสนุนใหผ้ ู้เรียนมีทักษะใน
การแก้ปัญหาในโอกาสทคี่ วรจะเปน็
13. เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ : สตอรีไลน์เป็นวิธกี ารเรียนรู้แบบบูรณาการท้ังเน้ือหา
หลักสูตร และกระบวนการเรียนการสอน โดยสามารถหลอมรวมเน้ือหาวิชาต่างๆ เช่น สังคมศึกษา
ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ภาษาอังกฤษ ดนตรี นาฏศิลป์ และ ฯลฯ เข้ามาจัด
การเรียนการสอนภายใต้หัวข้อเร่ืองเดียวกัน ซึ่งจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตประจาวันท่ีจะต้องใช้
กระบวนการคิด ทักษะต่างๆ ท่ีหลากหลายมาช่วยในการแก้ไขปัญหา จึงเป็นการฝึกทักษะแก้ปัญหา
ของผเู้ รยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี
14. เน้นเรื่องการต้ังคาถามหลักของครูผู้สอน : การต้ังคาถามของครูผู้สอนเป็นหัวใจของ
การเรยี นการสอนแบบสตอรไี ลน์ เนอื่ งจากคาถามหลักจะเปน็ ส่ือนาไปสู่การปฏบิ ัติกิจกรรมของผู้เรียน
อย่างหลากหลาย และจะเป็นตัวเชื่อมโยงการดาเนินเร่ืองให้ต่อเน่ืองเป็นลาดับภายใต้หัวข้อเรื่อง
เดยี วกนั
15. เทคนิควธิ ีการจดั การเรยี นรู้หรอื วิฦธสี อนที่หลากหลาย : ในการจดั กระบวนการเรียนรู้
แบบต่างๆ เช่น เกม บทบาทสมมุติ กระบวนการ สถานการณ์จาลอง ละครสืบสวนสอบสวน
กรณีศกึ ษา สาธติ ทดลอง โครงงาน ใชแ้ หล่งเรยี นรู้ในท้องถิ่น เปน็ ตน้
\\//\\//วิธสี อนทสี่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
117
ดังน้ันจะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนแบบสตอรีไลน์น้ันจะเป็นลักษณะการจัดการเรยี นร้ทู ี่
มีจุดเน้น เทคนิค กระบวนการท่ีมุ่งส่งเสริมประสบการณ์อย่างหลากหลายแก่ผู้เรียน โดยผู้เรียนเป็น
ผู้คิดและลงมือทากิจกรรมด้วยตนเอง ซ่ึงจะก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สอดคล้องกับวิถี
ชวี ติ จริงของคนเราสามารถนาไปใชห้ รือแกป้ ัญหาในชีวติ จริงได้
องค์ประกอบสาคัญของสตอรไี ลน์
สตอรีไลน์จะมีองค์ประกอบต่างๆ ท่ีผสมผสานอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 4 ส่วน ได้แก่ ตัวละคร
(คนหรอื สตั ว์ หรอื ท้งั คนและสัตว์) เวลา (อดตี ปัจจุบน หรอื อนาคต) สถานที่ (สิ่งแวดล้อมหรอื สถานที่
ท่ีดาเนินเรอื่ งราวตา่ งๆ) นอกจากน้ตี ัวละครจะต้องมกี ารดาเนินชวี ิตท้ังเปน็ ลักษณะวิถีชวี ิตปกติและวิถี
ชีวิตท่ีไม่เป็นไปตามปกติ โดยอาจจะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดข้ึนกับตัวละคร ดังน้ันสตอรีไลน์จึงมี
องค์ประกอบอยา่ งน้อย 4 องคป์ ระกอบดว้ ยกัน
องค์ทั้ง 4 ของเส้นทางเดินเร่ืองมีความสาคัญเป็นอย่างมากต่อวิธีการสอนแบบสตอรีไลน์ ซ่ึง
ลักษณะต่างๆ ขององคป์ ระกอบมรี ายละเอียดทีส่ าคัญ ดังต่อไปนี้
1. ฉาก (Setting) : ได้แก่ สถานทีห่ รอื ภาพกวา้ งๆ ที่เป็นความคดิ รวบยอดเก่ียวกับสถานท่ี
เกิดเหตุการณ์ต่างๆ สถานท่ีอยู่อาศัยของตัวละครในเรื่องนั้นๆ โดยจะมีเง่ือนไขของเวลา เช่น เวลา
ปจั จุบัน เวลาในยคุ ประวตั ิศาสตร์ เปน็ ตน้ สว่ นสถานท่ีจะเปน็ การกาหนดตามเรื่องที่สร้างข้ึน เชน่ เรอื
เดินสมุทร บ้านเรือน ชายทะเล สถานีขนส่ง เกาะ ธนาคาร สถานีตารวจ เป็นต้น ซึ่งผู้สอนจะต้องตั้ง
คาถามเพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นตอบคาถาม แลว้ สร้างฉากขึ้นตามคาตอบหรอื จนิ ตนาการของตน
2. ตัวละคร (Character) : ได้แก่ คนหรือสัตว์ที่มีชีวิตโลดแล่นอยู่ในเน้ือเร่ือง โดยต้อง
คานึงอยู่เสมอว่าจะต้องให้ผู้เรียนเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในเร่ืองที่จะเรียนด้วย โดยผู้เรียนจะมีฐานะเป็น
ตัวละครตัวหน่ึงของเร่ือง ซึ่งอาจสร้างเป็นสัญลักษณ์ ตุ๊กตา หรือหุ่นแทนก็ได้ ตัวละครน้ันๆ จะมี
บทบาทในการเดินเร่ือง ต้ังแต่ต้นจนจบทาให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจและมีความรู้สึกว่าตัวละคร
เหล่านั้นเป็นตัวแทนของเขาจริงๆ จนเกิดควาามรู้สึกเป็นเจ้าของตัวละครหรือหุ่นที่สร้างขึ้นจะต้องมี
ความกลมกลืนและสมั พันธก์ ับฉาก เช่น ฉากเป็นเรือเดินสมุตร ตัวละครก็คือลูกเรือ กัปตันเรือ ต้นหน
ผโู้ ดยสาร ฉากเป็นธนาคาร ตวั ละครกค็ ือ ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ ลกู คา้ ยาม เปน็ ตน้
3. วถิ ีชวี ติ หรอื การดาเนินชีวติ (A way of life) : ไดแ้ ก่ เร่ืองราวในการดารงชีวติ โดยปกติ
ของตวั ละคร เช่น กจิ วตั รประจาวนั ของตวั ละครแตล่ ะคน เปน็ ต้น
\\//\\//วธิ ีสอนทสี่ อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
118
4. เหตุการณ์ (Event) : ได้แก่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือปัญหาในความเป็นจริงที่ตัว
ละครต้องเผชิญหรือเป็นการสร้างสถานการณ์สมมุติขึ้นมา แล้วให้ผู้เรียนเรียนรู้ สร้างความตระหนัก
ฝึกแก้ไขปัญหาตามจุดประสงค์ของวิชาต่างๆ ท่ีผู้สอนวิเคราะห์จากหลักสูตร เช่น ปรากฏการณ์
ธรรมชาติ การท่องเทย่ี ว วันสาคัญ การทางาน อบุ ตั ภิ ยั หรอื ภยั ธรรมชาติตา่ งๆ เป็นตน้ คาถามท่ีผู้สอน
ใช้กับผู้เรียนในแต่ละองก์จะช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างไม่จากัด ท้ังน้ี
ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของประเด็นหลกั ความสามารถในการใชค้ าถามของครู ความกระตือรือร้นใน
การเรียนรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียนแต่ละคนที่จะแลกเปลี่ยนถ่ายทอดซ่ึงกันและกันแน่นอนทสี่ ดุ
ว่าผู้เรียนแต่ละคนจะมโี อกาสพัฒนาความสามารถให้เต็มศักยภาพของงตน
โดยสรุปการดาเนินเรื่องในสตอรีไลน์ก็คือกระบวนการท่ีทาให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยผู้สอน
จะเป็นผู้พัฒนาหรือวางโครงเร่ืองสตอรีไลน์ ส่วนผู้เรียนจะเป็นผู้ทากิจกรรมตามลักษณะเส้นทาง
การเดนิ เรอื่ งในแต่ละองคด์ งั แสดงในแผนภูมติ ่อไปนี้
ตัวอย่าง ลักษณะกิจกรรมของแต่ละองค์ประกอบของสตอรีไลน์
องค์ประกอบ ตัวอย่างลักษณะการจดั กจิ กรรม
1. สถานท/่ี ฉาก 1) กาหนดรายการตา่ งๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับสถานที่ในดา้ นตา่ งๆ ทีจ่ าเป็น
2) แบง่ กลมุ่ ชว่ ยกันสร้างภาพสองมิติหรือสามมิติหรอื ภาพตดั ขวาง (X-RAY) กไ็ ด้
3) รว่ มกนั อภปิ รายถึงการวางผังส่วนอานวยความสะดวกด้านตา่ งๆ ตามข้อตกลง
ร่วมกันเฉพาะทจี่ าเปน็
4) อธบิ ายท่วั ไปเกี่ยวกับสถานทีค่ วรกากบั ดว้ ยเวลา (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) เวลา
ใด ยุคใด สมัยใด
2. คน/ตวั ละคร 1) ช่วยกันเสนอแนะว่ามีใครบ้างท่ีจาเป็นต้องมีอยู่ในเร่ืองนี้ให้ผู้เรียนต่างคนต่าง
ทาตัวละครที่กาหนดข้ึน โดยอาจจะวาดปนั้ ประดษิ ฐก์ ไ็ ด้
2) เขียนหรือเล่าเร่ืองอัตชีวประวัติ ลักษณะนิสัย ลักษณะงานที่ทา โดยส่ิงที่เขยี น
ข้ึนจะต้องนามาใชใ้ นเน้อื เร่ืองลาดับตอ่ มา
3. วถิ ีชวี ิต 1) ร่วมกันอภิปรายถึงวิถีชีวิตของบุคคลต่างๆ ในการดาเนินชีวิตประจาวันตาม
ลกั ษณะความเปน็ อยูท่ ค่ี วรจะเป็นหรอื งานอาชีพน้นั ๆ ว่าเป็นอยา่ งไร
\\//\\//วธิ สี อนท่สี อดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
119
องคป์ ระกอบ ตัวอยา่ งลักษณะการจัดกจิ กรรม
2) กิจวัตรประจาวัน การเดินทาง ผู้ร่วมงาน การนัดหมาย ฯลฯ อาจบันทึกไว้ใน
ลักษณะสมดุ บนั ทกึ ประจาวนั
4. เหตุการณท์ ่ี 1) ผู้เรียนให้ข้อเสนอแนะถึงความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ ผ่านกิจกรรมการ
เกิดขึ้นตามปกติ อภิปรายหรือถกแถลงร่วมกัน (ความเป็นอยู่, อาชีพ, การแสดงบทบาทที่
เหมาะสมกับเหตุการณ์นน้ั ๆ)
2) ผู้เรียนสะท้อนภาพเหตุการณ์ท่เี กดิ ขึ้นและอธิบายถงึ เร่ืองราวเหล่านั้นในแง่มุม
ตา่ งๆ
5. กฎระเบยี บ 1) อภิปรายถึงการกาหนดแนวทางหรือหลักปฏิบัติในการดาเนินวิถีชีวิตร่วมกัน
(ตามเน้อื เรอ่ื ง)
2) แนวทางแผนนโยบายหรือข้อตกลงร่วมกันจะต้องเขียน/พิมพ์ติดประกาศให้
ทราบทว่ั กัน
6. จงั หวะเวลา 1) กาหนดช่วงเวลาทเ่ี ปน็ ระยะเวลาทปี่ กตแิ ละช่วงระยะเวลาที่วนุ่ วายพร้อมท้ังให้
เหตุผลประกอบ เช่น ฤดูกาล ปิด/เปดิ เทอมตามความเหมาะสมของเรอื่ ง
2) แนวคิดต่างๆ พัฒนาได้โดยผ่านการอภิปรายร่วมกัน การปฏิบัติงานร่วมกัน
และการบันทึกข้อมลู
7. เหตุการณ์ 1) ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสร้างสถานการณ์ซ่ึงจะนาไปสู่การสรุปจบเร่ืองเป็น
สาคญั ที่เกิดขึ้น ตอนสาคัญและทาให้ทุกคนมีความสุข เช่น พิธีเปิดกิจการ การเย่ียม ชั้นเรียน
งานเล้ียงอาหาร การไปศกึ ษานอกสถานท่ี ฯลฯ
2) กลุ่มจะต้องวางแผนและกาหนดกิจกรรมต่างๆ ให้สมบูรณ์ เช่น บัตรเชิญ
กาหนดการ จดหมายขอบคณุ การนาเสนอข้อมลู ต่อทป่ี ระชมุ
8. การสะท้อน 1) ผสู้ อนกระต้นุ ให้ผู้เรียนสะทอ้ นหรือวจิ ารณ์ถึงประเด็นสาคญั ๆ การ
ผลการทางาน เปรียบเทียบความเหมือนและความต่าง การสรุปองค์ความรู้โดยจัดทาเป็น
เอกสาร หนงั สอื เลม่ เล็ก แผนภูมิ แผนผังความคดิ แฟ้มสะสมาน ฯลฯ
\\//\\//วิธสี อนที่สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
120
การเขยี นแผนการจัดการเรยี นรูแ้ บบสตอรีไลน์
รูปแบบการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบสตอรีไลน์นั้นจะเป็นแผนจัดการเรียนรู้แบบ
ตาราง ซ่ึงประกอบดว้ ย สดมภ์ (Column) จานวน 7 สดมภ์ ดังรายละเอียดต่อไปน้ี
สดมภท์ ่ี ข้อมูลในสดมภ์
1 ลาดบั การดาเนนิ เรื่อง (Storyline Topic) ซงึ่ จะเป็นลาดับหัวเร่ืองของ
2 เร่ืองราวบทเรียน จะแบ่งออกเปน็ ตอนหรือเป็นขอ้
3 คาถามหลัก (Key Questions) จเป็นคาถามหลักหรือคาถามสาคัญซ่ึง
4 เปน็ ปญั หาทีต่ ้องมีการคน้ หาคาตอบ
กิจกรรม (Activities) กิจกรรมเหล่าน้ีเป็นกิจกรรมที่มีรูปแบบต่างกัน
5 และเปน็ กจิ กรรมท่ีนาไปสู่การตอบปัญหาหรอื ตอบคาถามหลัก
การจัดช้ันเรียน (Class Organization) เป็นการระบุข้อมูลเก่ียวกับ
6 การแบ่งกลุ่มการจัดกิจกรรมในสดมภ์ 3 ว่า ควรจัดเป็นทั้งช้ันเรียน
7 จับคู่กลุม่ ย่อย 3, 4 หรือ 5 คน หรือรายบคุ คล
ส่ือการเรียนการสอน/ แหล่งเรียนรู้ (Resources) เป็นการระบุสื่อ
อุปกรณ์ รวมไปถึงแหล่งการเรียนรู้ที่จะช่วยในการพัฒนาการเรียนรู้
ของผ้เู รียน เชน่ แผนที่ เครื่องบันทึกเสียง โสตทศั นูปกรณต์ ่างๆ สถาน
ประกอบอาชีพต่างๆ เปน็ ต้น
ผลงาน (Outcomes) เป็นการระบุผลงานของการจัดกิจกรรมซึ่งเป็น
ผลงานของผู้เรยี นซง่ึ จะเปน็ ประโยชน์อย่างย่ิงต่อการประเมนิ ผล
จุดประสงค์ของการเรีนยรู้ (Objective/Goals) เป็นการวิเคราะห์ว่า
กิจกรรมนั้นๆ สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้ในวิชาใด และ
จดุ ประสงค์ใด
\\//\\//วิธสี อนทส่ี อดคล้องกับธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
121
ตวั อย่าง แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบสตอรไี ลน์ (นิราศภูเขาทอง)
เสน้ ทาง คาถามหลัก กจิ กรรมของ การจัดชัน้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ ผลงาน
การเดินเร่ือง นกั เรยี น เรียน
เปา้ หมายของ ถ้ า สุ น ท ร ภู่ ไ ม่ ไ ด้ บ ว ช เ ป็ น ระดมสมองโดย กลมุ่ ละ 5 ใบความรู้ เร่ือง การนาเสนอขอ้ สรปุ
การเดินทาง พระจะต้องไปเดินทางไป ใช้เทคนคิ อัศวิน คน เจดยี ภ์ ูเขาทอง ของกลมุ่ ตอ่ ชัน้ เรยี น
เจดียภ์ ูเขาทองหรอื ไม่
โต๊ะกลม
สุนทรภู่ สุนทรภู่มีบุคลกิ อยา่ งไรบ้าง ร่วมกันเรยี นรู้ กลุม่ ละ 8 - นิราศภเู ขาทอง บทบาทสมมตุ ิ
โดยใชเ้ ทคนคิ จกิ คน - แบบบันทกึ ผล ตอน สุนทรภไู่ ปตลาด
การวิเคราหบ์ คุ ลิก
ซอว์
แนวทางการจัดการเรยี นรแู้ บบสตอรีไลน์
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสตอรีไลน์เป็นเทคนิคการสอนที่มีความชัดเจนในเรื่อง
การบูรณาการเนื้อหาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนซ่ึงสอดคล้องกับการจัดกระบวนการ
เรียนรู้ท่ีระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 29 ดังน้ัน เพ่ือให้เกิด
ประโยชนใ์ นทางปฏบิ ตั จิ งึ ขอเสนอแนวทางการนาไปใช้ ดงั นี้
1. ควรจะเริ่มศึกษาเร่ืองวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสตอรีไลน์ด้วยวิธีการต่างๆ
เช่น เข้ารับการอบรม ร่วมการสัมมนา ศึกษาจากตารา ศึกษาจากอินเตอร์เน็ต และการปรึกษาหารือกับ
ผู้มีประสบการณ์ เป็นตน้
2. ศึกษาตัวอยา่ งแผนการสอนแบบบูรณาการทีม่ ลี ักษณะหัวเรื่อง (Theme) ทีใ่ ช้สอนโดย
เทคนิคสตอรีไลน์ แล้วพิจารณาคัดเลือกแผนการสอนท่ีมีความเหมาะสมกับระดับช้ันท่ีรับผิดชอบเพ่อื
ใช้ทดลองสอน
3. หลังจากทดลองสอนแล้ว ถ้าผู้สอนและผู้เรียนเริ่มคุ้นเคยเกิดความคล่องตัว มี
ความถนัดมากข้ึน อาจจะพิจารณาคัดเลือกแผนการสอนอื่นๆ ท่ีมีความยาว มีความสลับซับซ้อนมาก
ข้ึนแต่สามารถปรับเข้ากับระดับชั้น รวมท้ังสอดคล้องกับเน้ือหาในหลักสูตรของชั้นท่ีสอน นามา
ทดลองใช้สอนอีกสัก 2 – 3 แผน ซงึ่ จะทาใหเ้ กิดความชานาญมากขึน้
4. ทดลองเขียนแผนการสอนโดยผู้สอนและผู้เรียนอาจกาหนดหัวเรื่องท่ีน่าสนใจแล้ว
ผูกโยงจุดประสงค์และเน้ือหาวิชาต่างๆ ในหลักสูตร รวมท้ังคิดสร้างคาถามหลักเพ่ือนาไปสู่กิจกรรม
\\//\\//วธิ สี อนทส่ี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
122
การเรียนรู้ตามรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนแบบสตอรีไลน์โดยอาจจะเขียนแผนการสอนที่
ผูกโยงเปน็ เร่อื งสน้ั ๆ กอ่ น
5. วางแผนกาหนดระยะเวลาสอนในแตล่ ะหวั ข้อหรือประเด็นเป็นช่วยงๆ ใหเ้ หมาะกบั ชว่ ง
ความสนใจของผู้เรียนซ่ึงอาจจะไม่จาเป็นต้องสอนทุกวันหรือตลอดเวลา เช่น กาหนดช่วงการสอน
แบบสตอรีไลน์ทุกบ่ายวันศุกร์ (2 – 3 ชั่วโมง) สอนติดต่อกันไปในสัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดเทอมหรือ
สอนวนั เวน้ วัน เปน็ ตน้
6. นาแผนการสอนที่เขียนไปทดลองใช้สอนตามกาหนด รวมท้ังมีการบันทึกหลังสอนเพ่ือ
เปน็ ข้อมลู ในการปรับแผนการสอน
7. ปรับแผนการสอนโดยอาจมีการปรับกิจกรรม ปรับระยะเวลา ปรับเปลี่ยน เพ่ิม/ลด
เนอื้ หาตา่ งๆ ให้เกดิ ความเหมาะสม และสามารถนาไปใชส้ อนรวมทงั้ จัดให้มีการเผยแพรต่ ่อไป
8. ผู้สอนจะต้องเตรียมส่ือ เตรียมแหล่งเรียนรู้ เตรียมวิทยากร เตรียมสถานท่ี เพ่ืออานวย
ความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่ผู้เรียน โดยเน้นสื่อท่ีหาง่าย ประหยัด ส่ือธรรมชาติ
รวมทั้งแหลง่ เรยี นร้ใู นโรงเรียนและในท้องถ่นิ
9. นาผลงานหรอื หลกั ฐานที่เป็นร่องรอยท่ีเกิดจากการเรยี นรู้ของผเู้ รียนมาเป็นข้อมูลหรือ
หลักฐานสาหรบั ประเมินผลการเรยี นรู้ของผู้เรียนด้วยการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
12. วิธสี อนแบบ SQ3R
การจัดการเรียนรู้แบบเอสคิว 3 อาร์ (SQ3R) เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นสอนการเปลี่ยน
หัวข้อให้เป็นประโยคคาถาม โดยการฝึกให้ผู้เรียนกวาดสายตาหาหัวข้อเร่ืองแล้วเปลี่ยนหัวข้อน้ันๆ
เป็นคาถาม สอนและฝึกให้ผู้เรียนบันทึกสิ่งที่จะได้จากการอ่าน เมื่ออ่านจบข้อความแล้ว จึงฝึกให้
ผู้เรียนทบทวนโดยการตรวจสอบบันทึกท่ีเขียนไว้ซ่ึงเป็นรูปแบบการสอนท่ีพัฒนาข้ึน เพื่อใช้ใน
การสอนอ่านโดยเฉพาะ
ขั้นตอนการจัดการเรยี นรู้
1. ข้ัน Survey (S) : เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านอย่างคร่าวๆ โดยการกวาดสายตาไป
ตามหวั ขอ้ ในบทหน่ึงๆ เพือ่ หาข้อมูลหรือจุดสาคญั ของเรือ่ งทเี่ รื่องน้ันจะกล่าวต่อไป ถ้าหากวา่ เรื่องน้ัน
มที บสรุปกอ็ า่ นบทสรปุ ด้วย การอ่านในขน้ั นีไ้ มค่ วรใชเ้ วลาเกนิ 1 นาที และการอา่ นน้ีจะชใ้ี ห้เหน็ หัวข้อ
\\//\\//วิธสี อนท่ีสอดคล้องกับธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
123
สาคัญๆ หรือ แนวคิดที่เป็นหลักของเรื่องประมาณ 3 – 6 หัววข้อ การอ่านคร่าวๆ นี้จะช่วยให้ผู้เรยี น
เรียบเรียงแนวคิดตา่ งๆ ได้เมื่ออา่ นเร่ืองอยา่ งละเอยี ดในภายหลัง
2. ข้ัน Question (Q) : เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนเปลี่ยนหัวข้อเร่ืองทีอ่านเป็นคาถาม การตั้ง
คาถามนจี้ ะทาให้มีความอยากรู้อยากเหน็ มากขน้ึ ดงั น้ันจงึ เพ่ิมความเขา้ ใจได้มากขึน้ คาถามจะชว่ ยให้
นึกย้อนถึงความรเู้ ดมิ ที่มอี ยู่เก่ียวกับเรอ่ื งท่ีอ่านเพื่อชว่ ยให้ผเู้ รยี นเข้าใจเร่ืองได้เรว็ ยงิ่ ขนึ้ และคาถามจะ
ช่วยให้ส่วนสาคัญของเรื่องเด่นชัดมากยิ่งข้ึนในขณะที่อ่านรายละเอียดท่ีอธิบายหัวข้อน้ันๆ เนื่องจาก
ผเู้ รียนพยายามคน้ หาคาตอบในขณะทอี่ ่านเรอื่ งไปดว้ ย
3. ข้ัน Read (R) : เป็นข้นตอนท่ีผู้เรียนจะต้องอ่านเร่ืองเพื่อหาคาตอบ นั่นคืออ่านตั้งแต่
ต้นจนจบตอนของหัวข้อแรก การอ่านน้ีไม่ใช่การค่อยๆ อ่านไปทีละบรรทัดแต่เป็นการอ่านด้วย
ความกระตือรือร้นที่จะคน้ หาคาตอบให้ได้
4. ข้ัน Recite (R) : เมื่อผ้เู รียนอ่านจบตอนท่ีหน่งึ แล้วให้ผู้เรียนพยายามตอบคาถาม อยา่ ง
ย่อๆ โดยใช้สานวนภาของตนเองพร้อมบอกช่ือตัวอย่างในเร่ือง การทาเช่นน้ีจะทาให้รู้ว่าเรื่องท่ีอ่าน
เก่ยี วขอ้ งกบั อะไร ถา้ ตอบคาถามไม่ได้ให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่องใหม่อย่างคร่าวๆ วธิ กี ารบรรยายถึงสิ่งที่
อ่านไปแล้วดีท่ีสุด คือ การจดบันทึกวลีท่ีสาคัญๆ ในรูปของโครงเรื่องอย่างส้ันๆ การจดบันทึกทาให้
ต้องใชก้ ล้ามเน้อื สายตาและต้องคิดโดยใช้ภาษาในการจนิ ตนาการ การใช้ประสาทรับความร้สู ึกยิ่งมาก
ก็ยิ่งทาใหจ้ าได้ดยี ิง่ ข้นึ
จากน้ันใช้กระบวนการในขั้นท่ี 2, 3 และ 4 ในการอ่านแต่ละตอนท่ีเหลือ นั่นคือการเปลี่ยน
หัวข้อเป็นคาถาม ตามด้วยการอ่านเพ่ือตอบคาถาม และจากน้ันใช้การจดบันทึกโดยบันทึกเฉพาะ
วลที ี่สาคัญๆ ในรูปโครงเร่ืองอยา่ งสน้ั
5. ข้ัน Review (R) : เมื่ออานจนจบบทเรียนแล้วให้ผู้เรียนตรวจดูบันทึกที่จดไว้เพื่อให้
มองเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ของคาหรือวลีสาคัญต่างๆ ท่ีบันทึกไว้ จากน้ันตรวจสอบความจา
ของตนเองจากเนื้อเรื่องท่ีอ่าน โดยการระลึกถึงเน้ือหาความสัมพันธ์ต่างๆ ที่สาคัญในเร่ือง แล้วเขียน
สรุปอีกคร้ัง แล้วจึงนาไปตรวจสอบกับบันทึกท่ีจัดทาไวอ้ ีกครั้งว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ โดยอาจ
เพม่ิ การตรวจสอบความเขา้ ใจท่ถี ูกตอ้ งเพ่มิ เติมโดยทบทวนจากเนื้อหาอกี ครั้งหน่ึง
\\//\\//วิธีสอนที่สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
124
13. วธิ ีสอนแบบการใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน
ปัญหาเป็นสิ่งที่ทาให้การเรียนรู้เกิดข้ึน ซ่ึงหมายความว่า ก่อนท่ีผู้เรียนจะเรียนรู้เกี่ยวกับ
ความรู้หรือองค์ความรู้ใดๆ ต้องกาหนดหรือให้ปัญหาแก่ผู้เรียนก่อน เม่ือปัญหาถูกถาม นักเรียนเกิด
การรับรุ้หรือพบว่าจาเป็นต้องเรียนรู้ความรุ้ใหม่ก่อนท่ีจะแก้ปัญหานั้นได้ ตัวอย่างสภาพแวดล้อมใน
การเรียนรู้ด้วยปัญหา เช่น โครงการวิจัย โครงการออกแบบงานที่ต้องใช้ทักษะท่ีสูงกว่าการวิเคราะห์
ข้อมูลท่ีมีอยู่เดิม เป็นต้น หรือกรณีปัญหาท่ีเป็นท่ีรู้จักกันแพร่หลาย การต้ังปัญหาหรือกาหนดปัญหา
สาหรับการจัดการเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ต้องเป็นปัญหาในสถานการณ์จรงิ เป็นปัญหาที่เกิดขึน้
จริงๆ ในสังคมและชีวิต เป็นปัญหาทเ่ี รา้ ความสนใจและจงู ใจผ้เู รยี น เราจะตอ้ งรูว้ ่าทาไมเขาต้องเรียนรู้
ความรู้ใหม่ การเรียนรู้จะเกิดข้ึนในบริบทของความต้องการท่ีจะแก้ปัญหา ดังน้ันทักษะท่ีจาเป็นใน
การเรียนรดู้ ้วยการใช้ปัญหาเป็นฐานก็คือ ทกั ษะในการแกป้ ัญหานน่ั เอง รวมทั้งกระบวนการแก้ปัญหา
ท่ีเป็นระบบ ทักษะการแก้ปัญหาจะเกิดข้ึนก็ต่อเม่ือครูเป็นผู้สอนและให้โอกาสในการฝึกทักษะ
การเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐานจะบรรลุเป้าหมายเมื่อเรียนรเป็นกลุ่มย่อย (Small group)
ผูเ้ รยี นสามารถนาตวั เองได้ (Self-directed) และประเมนิ ผลตัวเองได้ (Self-assessed)
การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning : PBL) เป็นยุทธวิธีใน
การจัดการเรียนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญแบบหน่ึง เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะการคิดอย่าง
มีวิจารณญาณและทักษะการแก้ปัญหา และวิธีการเรียนรู้อย่างมีความหมายอีกวิธีหน่ึง โดยจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นหลักหรือจุดเร่ิมต้น เพ่ือกระตุ้น จูงใจ เร้าความสนใจ เพ่ือเรียนรู้
และสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยปัญหาเป็นฐานสาหรับกิจกรรมการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรนู้ ้นั
ซึ่งปัญหาน้ันจะต้องเป็นปัญหาท่ีมาจากตัวนักเรียน เป็นปัญหาที่นักเรียนสนใจ ต้องการแสวงหา
คน้ คว้าคาตอบและหาเหตผุ ลมาแก้ปัญหา หรือทาให้ปัญหานน้ั ชัดเจนจนมองเห็นแนวทางแก้ไข ซ่งึ จะ
ทาให้เกิดการเรียนรู้ สามารถผสมผสานความรู้น้ันไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สาคัญ
การจดั การเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐานจะส่งเสรมิ การเรยี นรูอ้ ยา่ งกระตือรอื ร้นของนักเรยี น
ขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน
1. ขั้นเข้าสู่ปญั หาและนิยามปัญหา (Encountering and defining the problem) : ผู้เรียน
จะได้รับสถานการณ์ที่เก่ียวข้องกับปัญหาจริงให้อ่านวิเคราะห์ ทาความเข้าใจกับสถานการณ์ท่ีเป็น
ปัญหาน้ัน หรือให้ดูจากภาพ วีดิทัศน์ การจัดสถานการณ์ บทบาทสมมุติ หรือ เร่ืองส้ัน พร้อมทั้งให้ตั้ง
คาถาม เพ่ือถามตนเอง เช่น รู้อะไรบ้างเก่ียวกับปัญหาหรือคาถามน้ี, จาเป็นต้องรู้อะไรบ้างเพื่อจะได้
แก้ปญั หานี้ได,้ ต้องใช้ขอ้ มูลสือ่ การเรยี นรู้อะไรบ้างเพื่อจะได้แนวทางการแกป้ ัญหาหรอื สมมุตฐิ าน โดย
ในขั้นตอนน้ีควรได้คาถามท่ีชัดเจน ถึงแม้ว่าแนวทางการแก้ปัญหานั้นจะต้องใช้ความรู้ใหม่เพ่ือสร้าง
ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั วิธแี กป้ ัญหา
\\//\\//วธิ สี อนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
125
2. ข้ันหาข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Data Clooection) : ประเมินข้อมูลและนาไปใช้
เม่ือผู้เรียนได้ปัญหาท่ีชัดเจนจากข้ันที่ 1 ผู้เรียนจะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ หรือสื่อต่างๆ ท่ีต้องใช้ ซึ่ง
ข้อมูลและสอื่ ตา่ งๆ ตอ้ งมีการประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสม ความคุ้มค่ากอ่ นนาไปใชแ้ ก้ปญั หา
3. ข้ันสังเคราะห์ข้อมูลและปฏิบัติ (Synthesis and performance) : เป็นขั้นท่ีผู้เรียนสร้าง
หรือกาหนดแนวทางการแก้ปัญหา อาจมีการสร้างส่ือประกอบหรือจัดการกับสาระความรู้ใหม่
ซึ่งแตกต่างจากการทารายงานธรรมดา แต่เป็นการนาเสนอแนวทาง วิธีการแก้ปัญหาท่ีชัดเจน และ
ดาเนินการแก้ปัญหา สรุปผล หรือหลักการท่ัวไปที่ได้จากการแก้ปัญหาและนาเสนอผลการเรียนรู้
ในช้ันเรียน โดยอาจนาเสนอในรูปแบบของโครงงาน การแสดงนิทรรศการ การแสดงผลงาน และผล
การหาคาตอบของปัญหา จากน้ันจึงร่วมกันประเมินผลการทางานกลุ่มและผลงานกลุ่ม นาเสนอ
ข้อเสนอแนะในการพฒั นาการเรยี นรตู้ ่อไป
แนวทางการวัดประเมินผลการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน
1. ใหเ้ สนอรายงานการดาเนนิ การแก้ปญั หา ทั้งทเ่ี ป็นงานเดย่ี วและงานกลุม่
2. ตรวจการเขยี นบันทกึ ผลการเรียร้ขู องตนเอง ของนกั เรยี นแต่ละคน
3. ใช้แบบประเมินโดยให้เพ่ือนประเมินกันและกัน ซ่ึงต้องกาหนดเกณฑ์การประเมินให้
ชัดเจน
4. ใช้แบบสงั เกตประเมินผลระหว่างการเรยี นรู้
5. ทดสอบด้วยการให้วิเคราะห์ปัญหา คิดหาแนวทางการแก้ปัญหาและดาเนินการแก้ปัญหา
เป็นรายบคุ คลโดยกาหนดปญั หาให้ปฏิบัตติ ามข้นั ตอน
6. สัมภาษณ์เปน็ รายบคุ คล
7. ใช้ขอ้ สอบแบบกาหนดสถานการณ์
ข้อแนะนาสาหรับครใู นการจดั การเรียนร้โู ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
1. ให้เด็กได้รู้จักคุ้นเคยและมีประสบการณ์เก่ียวกับวิธีแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ 5 ข้ัน ซึ่ง
ประกอบด้วย ปัญหาและนิยามปัญหา สมมุติฐานและการตั้งสมมุติฐาน การทดลองและการหาข้อมูล
รวบรวมข้อมลู การวเิ คราะห์ข้อมูลและสรุปเสนอผลงาน นกั เรยี นควรรแู้ ละเขา้ ใจกระบวนการน้ีเปน็ อยา่ งดี
2. เลือกสถานการณท์ จี่ ะนาไปสปู่ ญั หาที่นา่ สนใจและหลากหลาย และทสี่ อดคล้องกบั สาระความรู้
3. เตรียมใบความรูแ้ ละใบกิจกรรมสาหรับนักเรียน
4. เตรยี มพรอ้ มดา้ นส่อื สาระความร้เู พิม่ เติมสาหรบั นกั เรยี น
5. เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีระบุกิจกรรมการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละ
ขนั้ ตอนอย่างชดั เจน
6. กาหนดวธิ กี ารวดั ประเมนิ ผลทหี่ ลากหลายเพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนทกุ ด้าน
\\//\\//วธิ สี อนทส่ี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
126
14. วธิ ีสอนแบบแนวคิดหมวกหกใบ
การรคิดแบบแนวนอนหรอื คดิ นอกกรอบ (Lateral thinking) หรือการคิดอย่างหลากหลาย
เชื่อมโยง เป็นเทคนิคการคดิ ท่ีเน้นระบบการเปลี่ยนความคิดรวบยอดและการรบั รู้ และสร้างแนวคิด
ใหม่ โดยการสารวจความเปน็ ไปได้หลายอย่างหลายวิธแี ทนท่จี ะศึกษาและคิดเพียงวธิ ีเดียว เดอ โบโน
(De Bono) ไดน้ าเสนอเทคนิคในการคดิ แบบต่างๆ ทส่ี ามารถสรุปและนาไปสู่การคิดแบบแนวนอน
หรือคดิ นอกกรอบซึ่งคือการคิดดว้ ยหมวก 6 ใบ 6 สี
วธิ สี อนแบบแนวคดิ หมวกหกใบ (Six Hats Approach) ของ เดอ โบโน เป็นกระบวนการทีม่ ี
โครงสร้างเพอ่ื นาการคดิ แบบแนวนอนไปแก้ปญั หาภายในกลมุ่ เดอ โบโน อธบิ ายว่า หมวก 6 ใบ เป็น
เทคนิคท่ีสาคญั และมปี ระโยชนม์ าก เพราะการใช้เทคนิคหมวก 6 ใบ ชว่ ยใหม้ องการตัดสินใจที่มาจาก
หลายมุมอง ชว่ ยผลักดันให้คิดในแบบอนื่ ๆ จากวิธีคิดทเี่ ป็นนสิ ัยเดิม ชว่ ยให้ไดม้ ุมมองท่ีกระต้นุ การคิด
หลายแนวทาง เทคนิคหมวก 6 ใบ จึงเปน็ แบบการฝกึ คิดประเภทหนงึ่ ในขณะเดียวกนั สามารถ
นาไปใชใ้ นการแกป้ ัญหาต่างๆ ไดอ้ ย่างมีคุณภาพ
หมวกแต่ละใบแต่ละสีแทนมุมมองและวิธีคิด การนาเทคนิคน้ีไปใช้เป็นการสมมุติว่าหมวก
แตล่ ะใบ คือ นักคิดประเภทหน่ึง แทนมมุ มองการคิดแต่ละแบบและแสดงออกด้วยการพูด สวมหมวก
สีใดต้องแสดงออกด้วยการพูดแทนการคิดแบบน้ัน ในการปฏิบัติให้สมาชิกกลุ่มสวมหมวกตามลาดับ
เพื่อช่วยในการแก้ปัญหาและให้มีการสวมหมวกแต่ละสีครบทุกคน เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดทุกแบบ
การใช้หมวก 6 ใบ ฝึกคิด จะช่วยควบคุมไม่ให้คนใดคนหน่ึงยึดติดกับวิธีคิดแบบใดแบบหน่ึง ซ่ึงต้อง
ปฏิบตั ติ ามเงื่อนไขทกี่ าหนด ดงั น้ี
1. หมวกสีขาว : แทนความเยือกเย็น เป็นกลาง ด้วยเหตุ-ผล ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ขณะสวม
หมวกสีขาว ผู้พูดแสดงข้อเท้จจริงของข้อมูล โดยไม่ใส่ใจต่อการเสนอแนะเพิ่มเติมใดๆ วัตถุประสงค์
ของหมวกสีขาวเพื่อให้ตรวจสอบความจริง ภาพ ข้อมูลท่ีมีอยู่ ระบุข้อมูลที่ขาดหายไป และบอกวิธีท่ี
จะได้มา รวมท้ังเสนอข้อมูลท่ีเป็นความจริง (Facts) ตัวอย่างคาถามเพื่อแสดงความจริง หรือ
ข้อเท็จจริง เช่น เรามีข้อมูลอะไรบ้างขณะนี้, ข้อมูลใดที่ขาดหายไป, เราต้องการข้อมูลใดเพ่ิมอีกบ้าง,
เราไดข้ อ้ มูลเพิ่มน้ไี ด้อยา่ งไร, ถ้าให้แก้ปญั หา...ในขน้ั นคี้ ือ พิจารณาปัญหาทม่ี อี ยตู่ ามลาดับของคาถาม
2. หมวกสีแดง : แทนความรู้สึก อารมณ์ สัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์ การสวมหมวกสีแดง
ในขณะฝึกการคิดด้วยหมวก 6 ใบ ผู้ที่สวมหมวกสีแดงสามารถจะพูดตามท่ีรู้สึกต่างๆ ไม่ต้องเกรงใจ
หรอื ขอโทษ หรืออธิบาย หรือแก้ตัวได้ โดยสญั ชาตญาณอาจจะเป็นการตัดสนิ ท่ยี ดึ การมีประสบการณ์
มานานเป็นหลัก การแสดงความรู้สึกจากความคิดเห็นแสดงถึงด้วยการพูดออกมาให้ผู้อื่นรู้ อาจมีค่า
\\//\\//วิธีสอนทส่ี อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
127
ถึงแม้ว่าจะอธิบายไม่ได้ อาจให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นของตัวเองจริงๆ โดยไม่ต้องสมมุติว่าสวม
หมวกสีแดงอยู่ ตวั อยา่ งการแสดงความคดิ เหน็ ตามที่ต้นเองรสู้ ึก เช่น ฉันคดิ ว่าโครงการน.้ี .., ความรสู้ ึก
ลึกๆ บอกฉนั วา่ โครงการนไี้ มป่ ระสบผลสาเรจ็ , ฉนั ไมช่ อบวิธที ่ีทาอยู่..., สัญชาตญาณบอกฉนั วา่ ราคา
...ต้องตกแน่นอน เปน็ ต้น
3. หมวกสีดา : เป็นการแสดงเหตุผลในทางลบ เป็นหมวกที่แสดงถึงการเตือนให้ระวัง และ
การตัดสินใจท่ีสาคัญ หมวกสีดาใช้มากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นหมวกท่ีมีค่ามากท่ีสุด เน่ืองจากเป็น
การคิดพูดเดือนให้ระวัง โดยท่ีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจจะร้ายแรง ขณะเดียวกันเป็นหมวกที่ถ้าใช้
มากจนเกินไป อาจทาลายความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะถ้าหากเริ่มต้นด้วยการพูดทางลบ ตัวอย่าง
การพูดให้ระมัดระวังผลท่ีเกิดขึ้น เช่น กฎหมายไม่เปิดโอกาสให้ทาเช่นน้ัน, เราไปมีความสามารถใน
การผลิตพอกับความต้องการ, ถา้ เมอื่ ไรที่เรข้นึ ราคาปริมาณการขายจะลดลง, เขาไม่มีประสบการณ์ใน
การจัดการเร่อื งการส่งออก เป็นต้น
4. หมวกสีเหลือง : เป็นการมองในแง่ดี ให้เหตุผลทางบวก การให้มุมมองต่างๆ มีความ
ยืดหยุ่น มองหาผลกาไร แต่ต้องอยู่บนฐานของเหตุ-ผล หรืออาจให้พูดในขณะท่ีเป็นตัวเอง ไม่ใช่จาก
เหตุการณ์สมมุติ ตัวอย่างการพูดให้เพ่ือแสดงเหตุผลทางบวก เช่น งานน้ีอาจไปได้ดี ถ้าหากเราย้าย
แหล่งผลิตให้ไปอยู่ใกล้กับลูกค้า, ผลกาไรย่อมมาจากการซ้ือบ่อยๆ, การจ่ายค่าตอบแทนสูง จะทาให้
คนทางานมากขน้ึ และดีขึ้น เปน็ ต้น
5. หมวกสีเขียว : เป็นความคิดสรา้ งสรรค์ ความคิดใหมแ่ ละทางเลอื กใหม่ๆ เพิม่ เตมิ การสวม
หมวกสีเขียวให้เวลาและที่ว่างสาหรับการคิดสรร้างสรรค์ ความคิดท่ีแตกต่างหลากหลายแนวทาง
ตัวอย่างการแสดงความคิดในเชิงสร้างสรรค์หรือกระตุ้นให้แสดงความคิดแปลกใหม่ เช่น เราต้องการ
แนวคิดใหม่ๆ เพิ่มมากข้ึน, มีทางเลือกอื่นๆ อีกหรือไม่, เราสามารถใช้วิธีอื่นได้อีกไหม, ให้คาอธิบาย
เพิ่มเติมหนอ่ ยได้ไหม เป็นตน้
6. หมวกสีน้าเงิน : เป็นการคิดทบทวน หรือกระบวนการควบคุมการใช้หมวกทุกสัทั้งหมด
หมวกสีน้าเงินจึงถูกใช้โดยผู้นากลุ่ม ใช้ในที่มีการประชุม เป็นการกาหนดวาระสาหรับการคิด แนะนา
การคิดขั้นต่อไป เป็นการถามให้ได้ข้อสรุป การสรปุ ความและการตดั สินใจ สามารถฝกึ ทักษะได้โดยใช้
บทบาทสมมุติหรือการเป็นตัวเองเช่นเดียวกับหมวกสีอ่ืนๆ ตัวอย่างการพูดเพ่ือการหาข้อสรุปร่วมกัน
ของหมวกสีน้าเงิน เช่น เราใช้เวลาอภิปรายกันมามากพอสมควรแล้ว ควรจะสรุปได้แล้ว, เราสรุป
แนวคดิ ของท่านได้หรือยัง, ฉันคดิ วา่ เราควรพจิ ารณาจัดลาดับความสาคญั , ฉันขอแนะนาว่าเราควรใช้
หมวกสีเขียวเพือ่ ใหไ้ ด้แนวคดิ ใหมๆ่ เป็นต้น
\\//\\//วธิ ีสอนทีส่ อดคล้องกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
128
กระบวนการเรยี นรู้ตามแนวคดิ หมวกหกใบ
1. ขั้นเตรยี มความพรอ้ ม : ประกอบดว้ ยกระบวนการ ดงั น้ี
1.1) ครูแจง้ วัตถปุ ระสงค์การเรียนและความสาคัญของทักษะการคดิ
1.2) อธิบายวิธกี ารเรียนดว้ ยหมวก 6 ใบ
1.3) จัดกล่มุ นกั เรยี นกล่มุ ละ 6 คน แตล่ ะกล่มุ เลอื กประธาน/ผู้ดาเนินการ
2. ขั้นสอน : ประกอบดว้ ยกระบวนการ ดังนี้
2.1) กระต้นุ ความสนใจด้วยการถามคถามหลายๆ ประเภท ให้นกั เรยี นตอบ ชี้แจงใหเ้ หน็
ความแตกต่างกนั ของการตอบ
2.2) อธบิ ายชแ้ี จงลักษณะของหมวกหกใบ ทสี่ อดคลอ้ งกับคาตอบของนกั เรียน
2.3) นักเรยี นฝกึ ปฏิบัติ ฝกึ คดิ จากสถานการณ์ที่กาหนด โดยประธานกลุ่มสวมหมวกสีน้า
เงินเป็นผู้ดาเนินการการอภิปรายให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงออกข้อความคิดและการพูดตามสีหมวก
แตล่ ะใบ คอื หมวกสขี าว หมาวกสีอดง หมวกสเี หลอื ง หมวกสีดา หมวกสีเขยี ว และ หมวกสฟี ้า
2.4) แต่ละกลุ่มทบทวนเรียบเรียงสง่ิ ที่คิดสรุปกระบวนการคิด และประโยชน์ของการคิด
แบบหมวกหกใบ
2.5) แต่ละกลมุ่ นาเสนอผลจากการฝึกคดิ ของตนเอง
3. ข้ันประเมินผล : ครูและนักเรียนร่วมกันประเมินผลส่ิงท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมและ
ความรู้ที่ได้ ซ่ึงการวัดและประเมินผลการคิดแบบวิจารณญาณและทักษะการคิดอ่ืนๆ จะต้องมาจาก
การระบุลักษณะของการคิดแต่ละประเภทให้ชัดเจนก่อน จึงจะสามารถกาหนดวิธีการและเคร่ืองมือ
การวัดและประเมินผลได้ ด้วยการสร้างเป็นแบบทดสอบร่วมกับการปฏิบัติงานและการสร้างช้ินงาน
หรือผลงานในลกั ษณะตา่ งๆ
15. วธิ ีสอนแบบร่วมมือกันเรยี นรู้
วิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ (Cooperative Learning) เป็นแนวคิดในการจัดการเรียนรู้
เพื่อให้นักเรียนได้ร่วมกันเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมาย มุ่งเน้น
การร่วมกันปฏิบัติงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพัฒนาทักษะทางสังคม กล่าวได้ว่า เป็นการจัด
การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญแบบหน่ึง ซึ่งแนวคิดในการจัดการเรียนรุ้แบบร่วมมือกันน้ีมาจาก
นักการศึกษาต่างประเทศหลายท่านที่ได้ศึกษาวิจัยและทดลองรูปแบบและวิธีการ จัดกิจ กรรม
การเรียนรู้แบบดังกล่าว และเป็นท่ีรู้จักกันแพร่หลาย เพราะช่วยพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
\\//\\//วิธีสอนทส่ี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
129
ผู้เรียน ทักษะทางสังคม การทางานร่วมกัน การยอมรับเพ่ือนร่วมงาน และลดการแข่งขันกัน
เปน็ บคุ คลด้วย
วิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้มิใช่วธิ ีสอนโดยให้นักเรยี นเข้ากลุ่มกันเรียนรู้แบบปกติอย่างเชน่
ท่ีครูใช้เป็นประจา โดยการให้นักเรียนเข้ากลุ่มกันด้วยความสมัครใจ หากแต่เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน
อยา่ งจรงิ จงั ของสมาชิกกลุ่มทุกคนท่ีครูเปน็ ผจู้ ัดกลุม่ ให้ เปน็ การมุ่งส่งเสรมิ พัฒนาทักษะทางสังคมและ
พฤติกรรมการทางานกลุ่มที่ช่วยเหลือพ่ึงพา แนะนาซ่ึงกันและกันจนงานบรรลุลผลสาเร็จ ครูจึงต้อง
ติดตามดแู ลการเรียนรู้ และการปฏิบัติงานกลุ่มของนักเรยี นตลอดเวลา ใหท้ ุกคนรับผดิ ชอบต่อผลงาน
ของตนเองและของกลุ่ม ทุกคนต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยเหลือพ่ึงพากัน ยอมรับกัน
และกัน รวมทั้งชว่ ยเหลอื เพอ่ื นสมาชิกให้สามารถเรยี นรไู้ ด้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดด้วย
องคป์ ระกอบทีส่ าคญั ของการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ
1. การพึ่งพาอาศัยกันและกันทางบวก (Positive interdependent) : ประกอบด้วย
การดาเนนิ งานของครูที่ครตู ้องปฏบิ ัติ ดงั นี้
1.1) ครูต้องอธบิ ายวิธกี ารเรยี นรู้แลงานทใ่ี ห้นักเรยี นปฏิบตั อิ ยา่ งชัดเจน
1.2) ครตู ้องแจ้งวัตถปุ ระสงค์หรอื เป้าหมายของกลมุ่
1.3) ครตู ้องพยายามทาให้นักเรยี นเขา้ ใจและยอมรบั ว่าความพยายามของตนให้ผลดี
ต่อตนเองและต่อสมาชิกกลุ่มทุกคน การยอมรับและพ่ึงพาอาศัยทางบวกจะช่วยสร้างความผูกพันใน
ภาระหนา้ ท่ตี ่อความสาเร็จของกลุ่มเชน่ เดยี วกับความสาเรจ็ ของตนเอง ซง่ึ เป็นหัวใจของการเรียนแบบ
ร่วมมอื กัน
2. การมีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่ม (Indibidual and group accountability) :
ประกอบดว้ ยการสรา้ งลกั ษณะพฤตกิ รรมใหก้ ับผู้เรยี น ดังนี้
2.1) สมาชิกกลุ่มทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อผลสาเร็จของกลุ่ม มีการร่วมมือ
ร่วมใจกนั ปฏบิ ตั ิงาน โดยไม่เอาเปรียบซง่ึ กนั และกัน
2.2) สมาชิกกลุ่มต้องเข้าใจตรงกันเก่ียวกับเป้าหมายการทางานกลุ่ม รวมถึง
ความก้าวหน้าและความพยายามในการปฏิบัติงานซึ่งวัดผลได้ เพื่อให้ทราบว่าสมาชิกคนใดต้องการ
ความช่วยเหลือ การสนับสนุน การกระตุ้นเสริมแรงเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ประสบ
ความสาเร็จ โดยที่ทุกคนตอ้ งเข้มแขง็ และพัฒนาข้ึน
\\//\\//วิธสี อนทีส่ อดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ องวิชาภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา\\//\\//
130
3. การมีปฏิบัติพันธ์ท่ีดีและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างบุคคลและระหว่าง
สมาชิกทุกคนในกลุ่ม : เนื่องจากนักเรียนต้องปฏิบัติงานร่วมกันอย่างจริงจัง ทุกคนต้องยอมรับกัน
และกัน สนับสนุนช่วยเหลือกัน เพื่อให้ประสบผลสาเร็จในเป้าหมายเดียวกัน โดยแบ่งปันสื่อ วัสดุ
อุปกรณ์กัน ช่วยเหลือ สนับสนุน กระตุ้นและชมเชยในความพยายามของกันและกัน วิธีสอนแบบ
ร่วมมือกันเรียนรู้เป็นระบบการให้การสนับสนุน ทั้งด้านวิชาการและด้านตัวบุคคล จะเห็นได้ว่า
กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน การช่วยเหลือกัน การสนับสนุนพ่ึงพาอาศัยกันจะปรากฏก็ต่อเมื่อนักเรียน
ได้ช่วยเหลือกัน มีการยอมรับวิธีการแก้ปัญหา วิธีปฏิบัติร่วมอภิปราย การระดมความรู้ท่ีได้เรียนมา
มีการสอนหรืออภิปรายเพ่ือเสริมความรู้และความเข้าใจให้แก่เพื่อนด้วย หรือเช่ือมโยงความรู้ใหม่กับ
ความรเู้ ดิม เป็นตน้
4. การสอนทักษะทางสังคม (Social skills) : ทักษะในการช่วยเหลือพ่ึงพาอาศัยกันและ
ทักษะการปฏิบัติงานกลุ่มเป็นส่ิงที่จาเป็นและเป็นเป้าหมายท่ีสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน
เน่ืองจากการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเป็นกิจกรรมที่ซับซ้อนละเอียดมากกวา่ การเรียนแบบแข่งขัน หรือ
เรียนด้วยตนเอง เพราะนักเรียนจะต้องเรียนท้ังสาระความรู้ด้านวิชาการ (Task work) เช่นเดียวกับ
ทักษะทางด้านสังคม การปฏิบัติงานร่วมกันภายในกลุ่ม (Team work) ดังน้ันสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
จะต้องรู้ เข้าใจ และมีความสามารถในการใช้ภาวะผู้นาอย่างมีประสิทธิผล การตัดสินใจ การสร้าง
ความเชื่อถือ การส่ือความหมาย การจัดการ การแก้ไขข้อขัดแย้งในกลุ่ม และ การจูงใจให้ปฏิบัติ
ในเรื่องต่างๆ ดังน้ันครูผู้สอนจึงต้องสอนทักษะการทางานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมให้นักเรียนเข้าใจ
และปฏิบัติได้ถูกต้องเช่นเดียวกับการให้ความรู้และทักษะทางวิชาการต่างๆ เพราะการร่วมมือกับ
ความขดั แยง้ มีความสมั พนั ธ์ซงึ่ กนั และกัน
5. กระบวนการกลุ่ม (Group processing) : การปฏิบัติงานกลุ่มหรือกระบวนการกลุ่ม
เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญองค์ประกอบหน่ึงของการเรียนแบบร่วมมือกัน กระบวนการจะปรากฏเม่ือ
สมาชิกกลุ่มร่วมกันอภิปราย จนบรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยท่ีสมาชิกกลุ่มทุกคน
มีความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ดังนั้นกลุ่มจะต้องอภิปรายให้สมาชิกทุกคนได้เข้าใจการปฏิบัติงานอย่างไร
ที่จะช่วยและไม่ช่วยให้งานกลุ่มประสบผลสาเร็จตามเป้าหมาย รวมท้ังช่วยกันตัดสินใจว่า พฤติกรรม
ใดในกลุ่มท่ีควรปฏิบัติต่อไปหรือพฤติกรรมใดควรเปลี่ยนแปลง ซ่ึงจะทาให้กระบวนการเรียนรู้เกิดข้ึน
อย่างต่อ โดยเป็นผลอันเน่ืองมาจากการวิเคราะห์อย่างละเอียดว่า สมาชิกควรจะปฏิบัติงานร่วมกัน
อย่างไร และ จะพัฒนาประสิทธิภาพการทางานของกลุ่มใหส้ งู ยง่ิ ขึ้นได้อย่างไร
\\//\\//วธิ ีสอนทสี่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
131
ทกั ษะร่วมมือกันเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น
กิจกรรมการส อนแ บบ ร่วม มื อกัน เรีย นรู้ เป็น กิจกรร มที่ ผู้เรี ยน ต้ อง มี ควา มส า มา ร ถ ใ น
การร่วมมือกันเป็นพ้ืนฐานก่อน จึงจะสามารถดาเนินการจัดกิจกรรมการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้
ด้วยเทคนิคต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ซ่ึงทักษะร่วมมือกันท่ีควรฝึกฝนให้กับผู้เรียนเป็นพื้นฐาน
ประกอบดว้ ยกิจกรรมดงั ตอ่ ไปน้ี
1. กิจกรรมการจดบรรยายคู่กนั (Cooperative note – taling pairs) : ใหน้ ักเรียนทีน่ ั่งคู่กัน
หรือใกล้กันจดบรรยายของตนเอง และนาสาระท่ีจดได้มาแลกเปลี่ยนกับเพ่ือนข้างๆ จะช่วยให้แต่ละ
คนจดบันทึกถูกต้องและได้สาระมากท่ีสุดและตรงกัน เน่ืองจากนักเรียนบางคนไม่มีทักษะในการจด
บรรยาย มีความสามารถในการจดจาและเข้าใจเร่ืองต่างๆ อยู่ในระดับต่า การได้แลกเปล่ียนการจด
บรรยายซึ่งกันและกันจะช่วยให้ได้การจดบรรยายที่มีคุณภาพ เข้าใจเร่ืองท่ีจดบรรยายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง
กิจกรรมนี้จะได้ทุก 10 นาที หลงั การบรรยาย
2. กิจกรรมการจับคู่สรุปสาระสาคัญ (Turn – to your neighbor summaries) : ในขณะที่
มีการจัดการเรียนการสอนแบบอภิปรายหรือบรรยายท้ังช้ัน ซึ่งครูอาจจะตั้งคาถามนักเรียนหรือให้
สรุปการเรียนรู้ โดยที่นักเรียนทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน แต่โดยทั่วไปนักเรียน
ส่วนใหญ่จะนั่งฟังไม่มีการโต้ตอบ ในกรณีดังกล่าวครูสามารถจัดกิจกรรมแบบร่วมมือกันง่ายๆ โดย
ให้นักเรียนหันหน้าหาเพ่ือนท่ีนั่งข้างๆ ร่วมกันคิดหาคาตอบ แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกัน ฟัง
การอธิบายจากอีกฝ่ายหนึ่งและร่วมกันสรุปหาคาตอบ โดยที่การตอบคาถามของนักเรียนแต่ละคน
จะมาจากนักเรียนสองคนร่วมกันคิดและสามารถอธิบายเหตุผลได้ ครูเพียงแต่คอยช่วยเหลือดูแลให้
แต่ละคนรับผิดชอบงานของตนเองอยา่ งจริงจัง
3. กิจกรรมการจับคู่อ่านและอธิบาย (Read and Explain pairs) : บ่อยคร้ังการให้นักเรียน
ได้ร่วมกันอ่านเป็นคู่ให้ผลดีกว่าให้อ่านตามลาพัง โดยที่จากการให้ร่วมกันอ่าน พบว่านักเรียนจะ
สามารถอธิบายความหมายของสาระที่อ่านได้ถูกต้องและเข้าใจตรงกัน ตอบคาถามได้ตรงกัน
โดยเฉพาะการจับคูร่ ะหว่างเด็กเก่งกบั เดก็ อ่อน
4. กิจกรรมการจับคู่เขียนและปรับแก้ไขงาน (Cooperative writing and Editing pairs) :
ในการสอนให้เขียนเรียงความ ย่อความ รายงาน แปลหรือเขียนบทประพันธ์แบบต่างๆ หรือ ทบทวน
เร่ืองราวที่ได้อ่านไปแล้ว ควรจัดกิจกรรมโดยการจบั คู่เขียนและปรับแก้ไข โดยท่ีทั้งคู่จะช่วยดูงานของ
\\//\\//วธิ สี อนทสี่ อดคล้องกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
132
เพื่อนให้ได้ตามเกณฑ์ที่กาหนด ครูอาจจะให้คะแนนเป็นกลุ่ม โดยดูจากข้อผิดพลาดของแต่ละคน
รวมกนั โดยให้คะแนนจากทมี่ ีข้อผิดพลาดน้อยท่สี ดุ
5. กิจกรรมการจับคู่ฝึกทบทวน (Drill – Review pairs) : ในระหว่างการเรียนการสอนครู
อาจจะต้องการให้นักเรียนทบทวน สาระความรู้ ทักษะต่างๆ ให้ชานาญ เพ่ือให้แน่ใจว่า นักเรียนรู้
เขา้ ใจ และปฏบิ ตั ิไดจ้ รงิ ครอู าจจะจบั คูใ่ ห้นักเรยี นได้ปฏบิ ตั ิตามขั้นตอน ดงั นี้
5.1) นักเรียนคนแรกคิดและแก้ปัญหาทีละขั้นตอน โดยบอกและอธิบายวิธี
การแก้ปญั หานนั้ ดว้ ย นักเรียนคนทีส่ องตรวจสอบความถูกตอ้ ง พรอ้ มท้ังให้กาลังใจและคอยชว่ ยเหลอื
5.2) นกั เรียนท้งั คู่สับเปลีย่ นหนา้ ทีก่ ันและปฏบิ ตั เิ ชน่ เดมิ เพอ่ื แก้ปญั หาข้อตอ่ ไป
5.3) เมื่อทั้งคู่แก้ปัญหาทั้งสองข้อเสร็จ สามารถตรวจสอบคาตอบกับคู่อื่นๆ อีก 1 คู่
ถ้าหากไม่ตรงกัน อาจมีการอธิบายให้เหตุผล จนกว่าจะได้คาตอบท่ีคล้อยตามกัน ถ้าหากคาตอบ
ต่างกัน ต่างฝา่ ยจะคยุ กันและเร่ิมงานอนื่ ต่อไป
5.4) กระบวนการดาเนินต่อไปจนกว่านักเรียนทุกคนจะได้ปฏิบัติงานท่ีมอบหมาย
ทุกคนเพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง ความรับผิดชอบของแต่ละคน หรือ ครูอาจจะถามนักเรียนให้
อธบิ ายวา่ แกป้ ญั หาน้ันอยา่ งไร
6. กิจกรรมการอภิปรายข้อโต้แย้งทางวิชาการ (Academic controversy) : การอภิปราย
โต้แย้งทางวิชาการเป็นวิธีการเรียนรู้ท่ีสาคัญแบบหน่ึง และมีความสาคัญสาหรับการเรียนการสอน
การให้อภิปรายโต้แย้งทางวิชาการเป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่ใช้ความคิดระดับสูง โดยมี
ขน้ั ตอนการดาเนนิ การ ดังน้ี
6.1) เลือกประเด็นปญั หาทน่ี ักเรียนสามารถจะใหท้ ัง้ การสนับสนุนและโต้แยง้
6.2) เตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ ที่จาเป็นให้สมาชิกกลุ่ม เพื่อให้สมาชิกกลุ่มรู้ว่าตนเอง
อยใู่ นฐานะอะไรในกลมุ่ และจะหาขอ้ มูลมาสนับสนนุ ประเดน็ ทตี่ นเองรับผดิ ชอบอย่างไร
6.3) จัดนักเรียนเข้ากลุ่ม 4 คน แต่ละกลุ่มจับคู่ 2 คู่ หนึ่งคนเป็นฝ่ายสนับสนุน
อีกหน่ึงคนเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งนักเรียนต้องตระหนักว่าในท่ีสุดเป้าหมายการร่วมกัน คือ ข้อสรุปท่ี
สอดคลอ้ งกนั และการเขยี นรายงานกลุ่ม สมาชิกทกุ คนต้องไดร้ ับการประเมิน
6.4) ใหง้ านแตล่ ะคูพ่ ร้อมกับใบความรทู้ ีจ่ าเปน็
6.5) ให้แต่ละคู่นาเสนอบทบาทของตนเอง ให้อภิปราย – ประเมิน, ประเมินฝ่าย
ตรงข้ามใหเ้ หตุผล โดยการระบุจดุ เดน่ และจุดด้อยของทั้งสองฝา่ ย
\\//\\//วธิ สี อนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา\\//\\//
133
6.6) ให้แตล่ ะคู่สบั เปลยี่ นตาแหนง่ หนา้ ที่ โดยเสนอในฐานะทมี่ สี ่วนร่วมอย่างใจรงิ ใจ
6.7) ใหส้ มาชกิ กลุ่มพิจารณาข้อสนับสนุนของตนเองและให้หาข้อตกลงรว่ มกนั เขียน
รายงานใหเ้ หตุผลสนับสนนุ
ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนมีส่วนร่วม ครูอาจจะทดสอบเน้ือหาท่ีแต่ละฝ่ายได้รับมอบหมาย
และใหค้ ะแนนพิเศษแก่กลุม่ ที่ทาคะแนนสอบทีไ่ ด้มากกวา่ ทกี่ าหนด
กจิ กรรมการสอนแบบร่วมมอื กันเรยี นรู้
วิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ (Cooperative Learning) ประกอบด้วยเทคนิคเทคนิควิธีการ
ท่หี ลายและมปี ระสทิ ธิภาพ สาหรบั นาไปจดั กิจกรรมแบบรว่ มมือกันเรยี นรู้ ดังต่อไปน้ี
1. เทคนคิ กลุม่ ผลสัมฤทธ์ิ (Student Teams – Achievement Division : STAD)
เทคนิคนี้ประกอบด้วยกระบวนการส่ีส่วน คือ กระบวนการสอนของครู (Teach),
กระบวนการร่วมมือกันเรียนรู้ (Team study) ของนักเรียน, กระบวนการทดสอบความรุ้ความเข้าใจ
(Test) และ กระบวนการให้รางวัลกลุ่ม (Team recognition) จากคะแนนรวมของกลุ่มทท่ีมาจาก
คะแนนพัฒนาการของกแต่ละคนรวมกันหารด้วยจานวนสมาชิก) ซ่ึงเทคนิคน้ีจะมีประสิทธิภาพ
บรรลุผลสาเร็จได้ก็ต่อเมื่อครูรู้ เข้าใจ เก่ียวกับกิจกรรมการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้ และ
ดาเนินการเก่ียวกับกิจกรรมการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกิจกรรมกลุ่ม
ผลสัมฤทธ์ิประกอบดว้ ยด้วยข้นั ตอน ดังนี้
1.1 ขัน้ นา หรอื ขนั้ เตรยี มความพร้อมให้ผู้เรียน
1) บอกจุดประสงค์การเรียนรู้และความสาคัญของการเรียนรู้ในเรื่องน้ัน และทบทวนวิธี
ร่วมมอื กนั เรียนรู้
2) เร้าความสนใจดว้ ยการต้ังคาถามหรือสาธิต
3) ทบทวนความรู้เดิมหรือทกั ษะเดิมทเี่ รยี นไปแลว้
1.2 ขน้ั สอน ประกอบดว้ ยการดาเนินการ ดังน้ี
1) ใช้เทคนคิ วธิ ีสอนแบบต่างๆ ท่เี หมาะสมเพอ่ื ให้บรรลุวัตถุประสงคใ์ นแตล่ ะสาระ
2) กจิ กรรมการสอนและการเรียนรคู้ วรเน้นความเข้าใจมากกว่าการจา
3) สาธิตทักษะ กระบวนการ อธบิ ายสาระความรูใ้ หก้ ระจา่ งพร้อมตวั อย่างใหช้ ดั เจน
4) ตรวจสอบความเขา้ ใจนักเรยี นทุกคนอยา่ งท่วั ถงึ
\\//\\//วธิ สี อนทส่ี อดคล้องกับธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
134
5) อธิบายคาตอบ บอกสาเหตทุ ่ีทาผิดและทบทวนวธิ ที า
6) สอนเพิ่มเตมิ ในเนอ้ื หาอืน่ เม่ือนักเรียนเข้าใจเร่ืองที่สอนไปแล้ว
7) ถามคาถามหลายระดับและถามให้ทวั่ ถงึ ทุกคน
1.3) ขัน้ ฝึกปฏิบัติโดยครคู อยแนะนา ประกอบด้วยการดาเนินการ ดังน้ี
1) ฝกึ จากใบงานหรือใบกจิ กรรมท่ีมอบหมาย
2) ฝึกจากแบบฝึกหดั ทีก่ าหนด
3) ถามคาถามนกั เรยี นเพ่อื ตรวจสอบความเข้าใจ
1.4 ข้ันกิจกรรมกล่มุ ประกอบด้วยการดาเนนิ การ ดังนี้
1) มอบหมายใบงาน ใบกิจกรรม ใบประเมินผลการปฏิบัติงานกลุ่ม (2 ชุด ต่อ 1 กลุ่ม)
ทบทวนวธิ กี ารเรยี นรู้ และการประเมนิ ผลการเรยี นรแู้ ละการประเมนิ ผลงานกลุ่ม
2) ทบทวนบทบาทหน้าทแี่ ละการปฏบิ ัติตนในการทางานกลมุ่ ของสมาชิกกลมุ่
3) คอยตดิ ตามดแู ลการปฏิบตั ิงานกลุ่มและการปฏิบัติงานกลุ่ม
4) ทาข้อสอบย่อยเป็นรายบุคคลเพื่อทดสอบความรู้ โดยให้นักเรียนแต่ละคนทา
แบบทดสอบเอง การตรวจให้คะแนนให้นักเรียนช่วยกันตรวจหรือแลกตรวจกับเพื่อน รวมคะแนน
ทดสอบแต่ละคน รวมคะแนนกลุ่มควรให้เสร็จและแจ้งให้นักเรียนทราบ รวมท้ังให้การยกย่องหรือ
ให้รางวัลกลุ่มทีด่ ีเลศิ ด้วย ซง่ึ ควรดาเนนิ การในคาบถดั ไป (ถ้าคาบนน้ั ไม่ทนั )
การคานวณคะแนนพฒั นาของแตล่ ะคน ควรใหน้ ักเรยี นชว่ ยรวมคะแนนพฒั นาของแตล่ ะกลุ่ม
เฉลี่ยและให้รางวัลกลุ่มที่ได้คะแนนพัฒนาเฉล่ียสูงสุด ควรให้นักเรียนแต่ละกลุ่มบันทึกคะแนนฐาน
และคะแนนพัฒนาการของแต่ละคน และของกลุ่มทุกคร้ัง รวมท้ังการประเมินผลการปฏิบัติงานกลุ่ม
ของสมาชิกและของกลุ่มด้วย ท้ังนี้ทุกกลุ่มอาจได้รับรางวัลถ้าคะแนนพัฒนาเฉล่ียได้ตามเกณฑ์ท่ี
กาหนด เช่น
คะแนนเฉลยี่ ของกลุ่ม การประเมินผล
15 ทีมทอี่ ย่ใู นระดบั ดี
20 ทมี ทอี่ ยู่ในระดบั ดมี าก
25 ทมี ที่อยูใ่ นระดบั ดเี ลศิ
1.5 ขัน้ สรปุ และประเมินผล กระกอบด้วยการดาเนนิ การ ดงั น้ี
1) แจง้ ผลการประเมินผลงานกลุ่มและการปฏบิ ตั งิ านกลมุ่ ใหผ้ ู้เรยี นทราบ
\\//\\//วธิ สี อนทส่ี อดคล้องกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
135
2) ให้รางวลั กลุ่มที่ประสบผลสาเรจ็ สงู สดุ
3) เสนอปญั หา ขอ้ เสนอแนะ เพ่ือปรบั ปรุงการทางานกลมุ่ ตอ่ ไป
2. เทคนิคทมี เกมแข่งขัน (Team Fames – Tournament : TGT)
เทคนิคน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้นักเรียนในกลุ่มได้ร่วมมือกันศึกษาและทาแบบฝึกหัด โดย
กาหนดหน้าท่ีให้คนเก่งคอยช่วยเหลือแนะนาอธิบายให้เพ่ือนสมาชิกที่เรียนด้อยกว่าภายในกลุ่ม ส่วน
สมาชิกท่ีเรียนอ่อนกว่าจะต้องยอมรับการช่วยเหลือแนะนาต่างๆ พร้อมท้ังพยายามถาม-ตอบ ร่วม
เรียนรู้และฝึกปฏิบัติ จนเกิดความรู้ความเข้าใจในสาระเหล่านั้นอย่างแท้จริง นอกจากน้ีสมาชิกทุกคน
ในกลุ่มตอ้ งยอมรับว่าผลงานและผลการเรยี นร้จู ากการทดสอบคอื ผลงานที่ทุกคนมีสว่ นรับผดิ ชอบและ
เป็นผลงานหรอื ผลการปฏิบตั ิของกลมุ่ ซ่ึงประกอบดว้ ยกระบวนการจัดกิจกรรม ดงั น้ี
1. ครสู อนเนื้อหาในบทเรียนด้วยวิธีการตา่ งๆ ทเี่ หมาะสมกับสาระของคาบนัน้ ๆ
2. แบ่งกลุ่มแบบคละความสามารถตามจานวนผู้เรียนกลุ่มละเท่าๆ กัน เพ่ือร่วมกันฝึกปฏิบัติ
ตามใบงานทก่ี าหนดให้
3. จัดการแข่งขันตอบปัญหาระหว่างกลุ่มโดยเรียกหมายเลขประจาตัวสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
เป็นผ้ตู อบปัญหา
4. ให้รางวัลกลุ่มท่ีได้รับการประเมินคะแนนในระดับดีเลิศ โดยคานวณจากคะแนนของ
สมาชิกกลมุ่ ในการแขง่ ขนั ตอบปญั หา
5. สรปุ บทเรียน
3. เทคนิคการรว่ มกนั คดิ หาคาตอบ (Numbered Heads Together : NHT)
เทคนิคการร่วมกันคิดหาคาตอบ (NHT) เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันท่ีง่ายต่อ
การนาไปใชส้ าหรับครูทต่ี อ้ งการให้นักเรียนไดท้ บทวนความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ หรือ ฝกึ คดิ ร่วมกัน
อย่างรวดเร็วเกี่ยวกับหลักการ ข้อเท็จจริงในสาระความรู้ที่ครูสอน ซึ่งมีประโยชน์สาหรับนักเรียน
ทุกระดับช้ันและทุกระดับความสามารถ เนื่องจากช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการศึกษาเรียนรู้ในทุก
เรื่องท่ีซับซ้อนร่วมกันมากข้ึน ซึ่งครูสามารถใช้เทคนิคน้ีได้ในทุกสถานการณ์ของการเรียนการสอน
แตล่ ะครงั้
วิธีการจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม ครูจัดนักเรียนกลุ่มละ 4 คน ให้หมายเลข 1 – 4 แก่สมาชิกแต่ละ
กลุ่มในชัน้ เรียน เม่อื นักเรยี นเขา้ กล่มุ เรียบรอ้ ยแล้วจะเก็บหมายเลขของตนไวใ้ นซองส่ือ หลังจากนั้นครู
\\//\\//วธิ สี อนทีส่ อดคล้องกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
136
จะถามคาถาม คาถามส่วนใหญ่จะเป็นคาถามความรู้ ความจา และ การคิดคานวณ หรือการใช้สูตร
ตา่ งๆ เพือ่ เปน็ การทบทวนและตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ จากนัน้ แต่ละทีมจะร่วมกันคดิ หาคาตอบ
และต้องแน่ใจว่าสมาชิกกลุ่มทุกคนรู้คาตอบ ครูจะให้สัญญาณให้หยุดระดมความคิดกัน สุ่มเรียก
หมายเลขให้ตอบ โดยนักเรียนแต่ละกลุ่มท่ีมีหมายเลขท่ีถูกเรียกจะยกมือหรือยืนข้ึน ครูจะเลือกหรือ
สุ่มให้ตอบบนกระดาน ที่สาคัญตัวแทนทุกกลุ่มควรมีโอกาสตอบเท่าเทียมกัน แล้วคนที่ตอบถูกจะได้
คะแนน เปน็ ตน้
4. เทคนคิ จ๊กิ ซอว์ II (Jigsaw II)
เทคนิคจิ๊กซอว์ II เป็นที่ชื่นชอบของผู้เรียนมากกว่าเทคนิคอื่นๆ เนื่องจากผู้เรียนได้มีโอกาส
เข้ากลุ่มใหม่เพื่อศึกษาเร่ืองท่ีตนเองสนใจมากท่ีสุด ได้แลกเปล่ียนเรียนรู้กับผู้ท่ีได้รับมอบหมายใน
เรือ่ งเดยี วกนั และได้เสนอผลการศึกษาของตนเองให้กับสมาชิกในกลุ่มเดิม นอกจากนัน้ ครยู ังสามารถ
เลอื กเนื้อหามาใหร้ ่วมกันเรยี นหลายเนือ้ หาในเวลาเดียวกันไดอ้ ีกดว้ ย
เทคนิคจ๊ิกซอว์ II เป็นเทคนิคที่ปรับปรุงจากเทคนิคจิ๊กซอว์ I ตามแนวคิดของอารอนสัน
(Aronson) คะแนนจากการทดสอบของนักเรียนแต่ละคนจะไม่นามารวมกัน เป็นคะแนนกลุ่มหรือ
ผลงานของกลุม่ แตเ่ ทคนิคจ๊ิกซอว์ II ของสลาวนิ (Slavin) กาหนดเกณฑ์เพ่ิมขึ้นคือ ผลงานของทุกคน
เฉล่ียรวมกันเป็นผลงานกลุ่ม ซ่ึงเป็นความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่มในเวลาเดียวกัน นั่นคือ
สมาชิกทุคนมีโอกาสได้คะแนนผลสาเร็จเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าคะแนนสอบแต่ละคนจะต่างกันก็ตาม
โดยมีข้ันตอนการจัดกจิ กรรม ดงั นี้
1. ข้ันนา : เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียน เพ่ือสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
แจ้งวัตถุประสงค์ในการเรียน ทบทวนความรุ้เดมิ ท่ีจาเป็นสาหรับเรียนความร้ใู หม่ แนะนาวิธีการเรียน
แบบร่วมมือกัน บทบาทหน้าที่ของสมาชิกกลุ่ม การช่วยเหลือพึ่งพากันและกัน เพ่ือให้กลุ่มประสบ
ผลสาเรจ็ และบรรลเุ ป้าหมายของกลมุ่
2. ขั้นสอน : เป็นการเสนอหัวเร่ืองในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน เตรียมเนื้อหา สื่อท่ีเหมาะสม ให้
เรียนรแู้ ละเข้าใจความคิดรวบยอดของการเรยี นรู้แต่ละด้าน ครอู าจสอนแบบบรรยาย อภิปราย สาธิต
การใช้กรณีตวั อยา่ ง ขา่ ว และ เหตกุ ารณ์สาคัญหรอื ผสมผสานหลายเทคนคิ วธิ สี อน
3. ขั้นศึกษากลุ่มย่อย : ครูแบ่งหัวข้อเร่ืองที่จะให้นักเรียนศึกษาเป็น 4 – 5 ประเด็นย่อย
ใหน้ ักเรยี นรบั รวู้ า่ ตนสนใจหวั ข้อใด ให้สมาชกิ ในกลุ่มแยกกันไปศึกษารว่ มกับสมาชิกกลมุ่ อื่นๆ ทส่ี นใจ
\\//\\//วธิ ีสอนทีส่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
137
ในหัวข้อเดียวกันร่วมกันเป็นกลุ่มผู้เช่ียวชาญและร่วมกันศึกษาให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในหัวเรื่องน้ัน
จนสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้แล้วให้กลับกลุ่มเดิม อธิบายเนื้อหาท่ีตนเองศึกษามาแล้วให้มาชิกกลุ่ม
ไดเ้ ขา้ ใจโดยผลัดกันเป็นผู้อธิบาย
4. ข้นั ทอสอบยอ่ ย : ครูจะให้นักเรียนทาแบบทดสอบเป็นรายบุคคล ซง่ึ นกั เรยี นจะต้องนาเอา
คะแนนที่ได้จากแบบทดสอบมาคิดคะแนนพัฒนาของตนเอง จากคะแนนฐานแต่ละคน นักเรียนจะได้
คะแนนก้าวหน้าหรือคะแนนพฒั นาซึ่งจะรวมกันเป็นคะแนนพัฒนาเฉล่ยี ของกลุ่ม เพอื่ ตัดสินวา่ กลุ่มใด
จะเป็นกลุ่มดีเลิศ ซึ่งคะแนนส่วนน้ีจะมาจากการช่วยเหลือกันมากข้ึน ซ่ึงจะช่วยให้ทาคะแนนได้
พัฒนาข้ึน น่ันคือทุกคนมีส่วนท่ีจะทาให้คะแนนกลุ่มสูงขึ้นเท่าๆ กัน หรืออาจทาคะแนนพัฒนาไม่ได้
เลยถา้ คะแนนท่ีได้น้อยกว่าคะแนนฐานทก่ี าหนดมาก
5. เทคนคิ กลุ่มรว่ มมือกันเรยี นรู้ (Group Investigation : GI)
เทคนิคกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้ (GI) น้ีเป็นการศึกษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มร่วมมือ
กันเรียนรู้ จัดเป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วสมมือกันอีกรูปแบบหนึ่งท่ีแตกต่างจากเทคนิคอื่นๆ
เนื่องจากมุ่งเนน้ ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้เป็ฯกลุ่มโดยละเอียดลึกซ้ึงจากเรื่องทีต่ นเองสนใจเป็นหลัก
ดังน้ันนักเรียนจะเรียนรู้เก่ียวกับกระบวนการและวิธีการแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงต่างๆ เช่น
หลักสูตรกาหนดให้เรียนเร่ืองประวัติศาสตร์ทั้งขั้น นักเรียนก็จะได้รับโอกาสท่ีเลือกศึกษาโดยละเอียด
ในหน่วยที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามสิ่งท่ีสาคัญคือ วิธีการท่ีนักเรียนจะได้มาซ่ึงความรู้
รายละเอียดต่างๆ เหล่าน้ัน มีหลายวิธี เช่น อาจจะได้มาโดยการร่วมกันวิเคราะห์วรรณกรรมท่ี
เกี่ยวข้อง จากวรรณกรรมประเภทต่างๆ เป็นต้น โดยใช้การคิดอย่างมีเหตุผลเชิงตรรกะและการ
สังเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จึงเป็นองค์ประกอบที่สาคัญของการแสวงหาความรู้แบบกล่มุ
(GI) แตส่ าหรบั เนือ้ หาที่จะตอ้ งเรียนร้นู น้ั นกั เรียนจะเป็นผู้เลือกตามความสนใจ
การสรา้ งสรรค์ของนักเรยี นจากการศึกษาความรู้แบบกลุ่ม (GI) ขน้ึ อยกู่ บั ทักษะในการทางาน
กลุ่มและกระบวนการกลุ่มของสมาชิกในกลุ่ม เนื่องจากเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบอื่นๆ
สาระความรู้และทักษะที่เกิดข้ึนกับนักเรียนถูกกาหนดโดยครู กิจกรรมการเรียนรู้ข้ึนอยู่กับเน้ือหาที่
กาหนดหรือท่ีคาดหวังไว้ งานที่กาหนดให้กลุ่มก็ต้องใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกลุ่ม ในทางตรงกัน
ข้าม ในการเรยี นรู้แบบ GI ผลสาเรจ็ จะขนึ้ อยกู่ ับนักเรียน ว่านกั เรียนแตล่ ะคนรับฟังยอมรบั กันและกัน
สนับสนุนงานที่ทาร่วมกันอย่างไร ให้ความสาคัญกับการช่วยเหลือร่วมมือกันของทุกคนหรือไม่
\\//\\//วิธีสอนทสี่ อดคล้องกบั ธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
138
เนื่องจากงานกลุ่มเป็นงานท่ีละเอียดซับซ้อน ต้องทางานร่วมกันหลายคน ดังน้ันเทคนิคการร่วมศึกษา
หาความรู้แบบ GI จะประสบความสาเร็จสูงสุด เมื่อนักเรียนในกลุ่มได้มีการฝึกการทางานร่วมกันเปน็
ทีม แสดงออกซึ่งความสามารถและความพึงพอใจท่ีจะทางานเป็นกลุ่ม การพัฒนาทักษะกระบวนการ
กลมุ่ ให้เขม้ แขง็ เปน็ ส่วนหน่ึงทสี าคญั ของการวางแผนผลลัพธท์ ี่ต้องการ โดยมขี ั้นตอนในการสอน ดังน้ี
1. ขั้นการเลือกเรื่องที่สนใจ : โดยปกติจะเป็นการนาเสนอสาระ เน้ือหา วัตถุประสงค์ท่ี
นกั เรยี นสามารถจะเลือกได้ตามความสนใจ เช่น อาจจะเสนอหัวเร่อื งเหตุการณ์สาคัญในประวตั ิศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และพลเมืองของประเทศ เป็นต้น หลังจากน้ันครูอธิบายพอสังเขปเกี่ยวกับเรื่องที่เสนอ
ครูจะให้นักเรียนต้ังคาถามท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองต่างๆ ที่เขียนบนกระดานให้นักเรียนับคู่หรือเข้ากลุ่ม
เปรียบเทียบคาถามตนเองรวมกันเป็นรายการคาถามที่แตกต่างกันมากมายหลายข้อ ให้แต่ละคู่หรือ
กลุ่มอ่านรายการคาถามให้จาแนกคาถามเปน็ เรอื่ งๆ โดยครูคอยช่วยเหลือ เช่น ในกลุ่มประวัติศาสตร์
อาจจะจดั กลุ่มเรอ่ื งตา่ งๆ ดังนี้ คอื ประเภทของงาน การสารวจ สถาปัตยกรรม เครอ่ื งแตง่ กาย อาหาร
ศิลปะ เกม โรงเรยี น และ การกสิกรรม ซ่ึงกลุ่มเหลา่ นี้ก็จะเก่ียวขอ้ งและอยใู่ นเรอื่ งทนี่ าเสนอตอนแรก
2. ข้ันการจัดทีมเพ่ือทาการศึกษาแบบกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้ : แต่ละทีมจะประกอบด้วย
สมาชกิ 4 หรอื 5 คน ทม่ี ีความสนใจในเร่ืองเดียวกนั และมีความหลากหลายระหว่างสมาชิกในทีมด้วย
แต่ลางเรื่องอาจจะไม่เป็นที่สนใจของนักเรียนเลยก็ได้ ครูอาจจะตัดเรื่องนั้นออก แต่ถ้ามีเร่ืองใดท่ี
สมาชิกให้ความสนใจเป็นจานวนมาก ครูสามารถจะจาแนกเป็นหัวข้อย่อยๆ เพ่ือให้แต่ละทีมสามารถ
ศึกษาในเรื่องย่อยท่ีแตกต่างกัน เช่น ทีมแรกอาจจะอภิปรายกันเกี่ยวกับเร่ืองท่เี ลอื กอย่างกว้างๆ และ
ตอบคาถาม เช่น เขาต้องการศึกษาอะไรบ้าง สมาชิกจะร่วมกันเขียนปัญหาท่ีเก่ียวข้องกัน แล้วตัดสิน
วา่ ใครจะรับผิดชอบเรอ่ื งใด อยา่ งไร เพอ่ื วตั ถุประสงคอ์ ะไร เปน็ ตน้ ขณะเดียวกันก็จะรว่ มกันพิจารณา
สือ่ ทรัพยากรทมี่ ีประโยชน์ กาหนดเวลาทป่ี ฏบิ ัตใิ หเ้ สรจ็ สิ้น แล้วพูดคยุ เพอื่ เสนอแผนปฏบิ ัติ
3. ขั้นการดาเนินการศึกษาสารวจเรื่องที่ได้เลือกแล้ว : นักเรียนแต่ละคนจะปฏิบัติงานตามที่
ได้วางแผน โดยครูคอยช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตัดสินใจพิจารณาประโยชน์ของข้อมูล
ร่วมกับสมาชิกในทีม บางครั้งครูอาจจะช่วยนักเรียนโดยการเตรียมใบงานให้ เช่น ทาแบบฟอร์มท่ี
ประกอบด้วยประเด็นตา่ งๆ ใหน้ ักเรียนก่อน เชน่
เร่อื งทีศ่ ึกษา/ปญั หาทจ่ี ะทาการสืบค้น : ____________________________
รายช่ือสมาชิกกลุ่ม : 1.______________2. ______________3. ______________
เรื่องย่อยต่างๆ ตามหัวเรอ่ื งใหญ่ทท่ี ีมงานเลอื ก :
1. ________________________________________________2.___________________________________________
3. ________________________________________________4.___________________________________________
ส่อื และแหลง่ ข้อมลู ทจ่ี าเปน็ :
1. ___________________2._____________________________3._______________________4._________________
ข\อ\บ/ข/า่ \ย\งา/น/หวรธิ อื กสี1จิ.อก_รน_ร_มท_ข_่ีสอ__งอส_ดม__าค_ช_กิล_ทอ้_ีม_งแ_ตก_ล่_ับะ_ค2ธน._ร_:ร_ม__ช__า_ต__ิข_อ__ง_ว__ิช_า__ภ_า__ษ__า_ไ_ท__ย_ร3.ะ__ด_บั__ป__ร__ะ_ถ__ม_ศ__กึ __ษ__า_\_\_/_/4\._\_/_/______________
139
4. ข้ันเตรียมเสนอผลงาน : นักเรียนจะเตรียมผลงานการศึกษาค้นคว้าหรือคาตอบของกลุ่ม
ตนเองนาเสนอหน้าชั้นเรียน โดยครูจะเป็นผู้ประสานงานการเสนอรายงานท้ังหมดทุกทีม สมาชิกทีม
แต่ละทีมจะร่วมกันพิจารณาว่าจะเสนอรายงานอะไรบ้าง อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สมาชิกจะ
เลือกวิธีเสนองาน เตรียมสื่อที่เหมาะสม รวมท้ังการสนับสนุนการนาเสนอ แต่ละทีมควรร่วมกัน
กาหนดเกณฑ์การนาเสนอ ผลงานของทมี ตนเองด้วย
5. ข้ันการนาเสนอผลงานในชั้นเรียน : นักเรียนจะเสนอรายงานจากผลการศึกษาของทีม
ตนเองให้ทุกคนในชั้น โดยพยายามเช่ือมโยงกับเร่ืองต่างๆ ทีมอ่ืนๆ ได้ทาการศึกษาและกาลังจะ
นาเสนอผลงานหรือเสนอผลงานแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางท่ีได้กาหนดร่วมกันโดยให้ผู้ฟังมีส่วน
รว่ มในการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั
6. ข้ันการประเมินผลงาน : การประเมินผลงานกลุ่มยึดเกณฑ์ที่เหมาะสมกับงานท่ีให้เรียนรู้
เช่น งานท่ใี ห้ทา เน้นความรู้ความเข้าใจ ครคู วรมกี ารทดสอบความรู้ความเข้าใจด้วย ขอ้ ทดสอบท่ีอาจ
ได้มาจากนักเรียนได้ร่วมกันออกข้อสอบ แล้วครูนามาเลือกภายหลัง หรืออาจให้ประเมินผลด้วย
ตนเอง หรือกลุ่มเพื่อน หรือดูจากผลงานที่แต่ละคนปฏิบัติ ท่ีสาคัญควรเป็นการพัฒนาความคิด
ระดบั สูง (Higher-order-thinking)
6. เทคนิคกลุม่ ช่วยเหลือเป็นรายบคุ คล (Team Assisted Individualization : TAI)
เทคนิคกลุ่มช่วยเหลือเป็นรายบุคคล หรือ TAI น้ี มีความแตกต่างจากเทคนิคอ่ืนๆ ที่กล่าว
มาแล้ว หลายประการ ดังนี้
1. กิจกรรมการเรียนรูป้ ระกอบด้วย กิจกรรมกลมุ่ รว่ มมอื กนั เรยี นรู้และกิจกรรมการสอนเสริม
เปน็ รายบุคคล
2. การจัดกล่มุ แบบคละความสามารถ สมาชิกกลมุ่ กลุ่มละ 4 – 5 คน
3. การเตรียมข้อสอบย่อยแตล่ ะหน่วย หรือแต่ละแผน เพ่ือทดสอบความรู้ความเข้าใจให้ผา่ น
เกณฑ์ร้อยละ 75 และเตรียมกิจกรรมเสริมสาหรับนกั เรียนที่สอบผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 75 แลว้
4. การสอนเสรมิ นกั เรียนท่ีไมผ่ ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 โดยครูหรือนกั เรยี นทเี่ รยี นเก่งเพ่ือช่วยให้
ทาขอ้ สอบยอ่ ยเดิมให้ผ่าน
5. การเตรยี มขอ้ สอบหลังเรียนแตล่ ะแผนเพอ่ื ประเมินเปน็ ผลงานกลุ่ม
\\//\\//วธิ ีสอนทส่ี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวชิ าภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา\\//\\//
140
6. การให้นักเรียนทาข้อสอบย่อยเป็นรายบุคคล คานวณคะแนนพัฒนา และคะแนนพัฒนา
เฉล่ียให้รางวัลกลุ่มที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด ทั้งนี้ข้อสอบย่อยแต่ละหน่วยการเรียนรุ้ใช้เพื่อวัดผล
นักเรยี นทไ่ี มผ่ า่ นเกณฑ์ และสอนเสรมิ กอ่ นให้กบั กลมุ่ เดมิ
เทคนิคการช่วยเหลือเปน็ รายบุคคล มีขน้ั ตอนการจัดกจิ กรรมการสอน ดังน้ี
1. ข้นั นา : ครทู บทวนความรเู้ ดิม วิธีการเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค TAI และการร่วมมือกันเรยี นรู้
2. ข้ันสอน : ครูสอนโดยการอธิบาย ให้ตัวอย่าง ซักถาม ให้นักเรียนเข้ากลุ่มร่วมกันปฏิบัติ
กจิ กรรม
3. ขัน้ กจิ กรรมกลุ่ม : นกั เรยี นรว่ มมอื กนั เรียนรแู้ ละฝกึ ปฏิบตั ิ รวมทัง้ ทาข้อทดสอบยอ่ ย ตรวจ
ใหค้ ะแนน
4. ข้ันสอนเสริม : จัดการสอนเสริมใหแ้ ก่นักเรยี นท่ีไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบร้อยละ 75 ส่วน
นักเรยี นทผี่ า่ นแล้วให้ฝึกกจิ กรรมอ่นื หรือช่วยอธิบายใหเ้ พื่อนจนเขา้ ใจ
5. ข้ันกิจกรรมกลุ่ม : นักเรียนท่ีได้รับการสอนเสริมกลับกลุ่มเดิม เพื่อนช่วยทบทวนอีกครั้ง
และทาแบบทดสอบเปน็ รายบคุ คล เพือ่ ประเมนิ ผลการเรียนเปน็ กลุ่ม
6. ข้ันวัดและประเมินผล : ตรวจให้คะแนน งคะแนนในแบบฟอร์มร่วมกันคิดคะแนนพัฒนา
แต่ละคน และคะแนนพฒั นาเฉล่ยี ของกล่มุ
7. ข้ันสรุปประเมินผลงานกลุ่ม : ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการปฏิบัติงานกลุ่ม ผลงาน
กลุ่มที่ยอดเย่ยี มและให้รางวัล
\\//\\//วิธสี อนท่ีสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวิชาภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา\\//\\//
141
บทท่ี 4
ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวชิ าภาษาไทย
ศิลปะการจัดกิจกรรมประกอบหรือเทคนิคการสอนวิชาภาษาไทยเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ท่ี
ผู้สอนจาเป็นต้องฝึกฝนเรียนรู้ให้เกิดความชานาญ และเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทเนื้อหาของ
การจัดการเรยี นรู้ในคาบเรยี นนน้ั ๆ ตลอดจนบริบทของผู้เรียนและบรบิ ทของผสู้ อนดว้ ย เพ่ือช่วยสร้าง
สีสัน เพิ่มเติมความน่าสนใจในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนกระตุ้นความตื่นตัว และ
ส่งเสริมให้วิธีการสอนประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งศิลปะการจัด
กิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทยท่ีนาเสนอไว้ในบทเรียนนี้ ประกอบด้วย เทคนิคการเล่าเรื่อง
หรือเล่านิทาน, เทคนิคการใช้แผนผังมโนทัศน์, เทคนิคการใช้เพลง, เทคนิคการเล่นกับภาษาใน
สังคมไทย และ เทคนคิ การรว่ มคิด โดยมีรายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี
1. การเล่าเรือ่ ง/เล่านิทาน
นิทานเป็นเร่ืองที่เล่าต่อกันมาโดยไม่ทราบแน่ชัดว่า เริ่มต้นเล่ากันมาตั้งแต่เมื่อใด เพราะไม่
มีหลักฐานยืนยันแน่นอน และก็ไม่สามารถหาผู้เร่ิมต้นเล่านิทานข้ึนก่อนได้ การเล่านิทานและการเล่า
เรื่องนั้นเป็นกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินพร้อมกับสอดแทรกเรื่องสอนใจ ช่วยพัฒนา
ความรู้ความคิดให้ผู้ฟังเป็นคนดีและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
การเล่านิทานและการเล่าเรื่องเป็นที่ชื่นชอบของเด็กทุกคนทุกสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เด็กระดับอนุบาลศึกษาและระดับประถมศึกษา นอกจากนี้นิทานถือว่าเป็นเครื่องมือสาคัญที่ช่วย
พัฒนาทักษะทางภาษาได้อย่างหลากหลาย เช่น ทักษะการฟัง ทักษะการพูด พัฒนาการจดจา
เร่ืองราว การติดตามแนวคิด การเรียนรู้คาศัพท์ใหม่ และช่วยเพ่ิมพูนประสบการณ์ชีวิตท่ีหลากหลาย
ได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อสร้างผลสาเร็จในการนานิทานมาใชเ้ ป็นกิจกรรมประกอบการสอนในวิชา
ภาษาไทย ผู้สอนจึงจาเป็นต้องมีความเข้าใจในหลักการท่ีสาคัญ ดังต่อไปน้ี
1) ลักษณะของหนังสือนิทานที่ดีสาหรับเด็ก : ในปัจจุบันนีหนังสือนิทานสาหรับเด็กมี
จาหน่ายแพร่หลายในท้องตลาด สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่อ่านออกเขียนได้แล้ว ครูอาจจะ
กาหนดให้อ่านหนังสือนิทานด้วยตนเอง หลังจากที่ทางานเสร็จแล้วหรืออ่านในเวลาว่าง เพื่อที่จะได้
\\//\\//ศิลปะการจดั กจิ กรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//
142
รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยเลือกนิทานที่ดี มีความเหมาะสม และเป็นประโยชน์ ซึ่งควรมี
ลักษณะท่ีสาคัญ ดังนี้
1.1) เป็นหนังสือที่มีภาพเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กรู้จักและเคยเห็นทั่วๆ ไป และควรมี
รูปภาพครบถ้วนไม่ตัดขาดหายไป
1.2) ภาพมีสีสันสวยสดงดงาม เนื่องจากเด็กๆ มักชอบรูปภาพที่มีสีสวยงาม
มากกว่าภาพขาวดา และภาพควรเป็นสีที่ชัดเจนไม่พร่มัวเลือะเทอะ เพราะรูปภาพจะช่วยให้เด็ก
เข้าใจเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้น
1.3) ภาพประกอบมีความเหมาะสมกับเรื่องและถูกสัดส่วน เช่น หน้าตาน่ารัก
สวยงามไม่พิการหัวโต หรือ ตัวเล็ก เป็นต้น และควรเป็นภาพที่ดูแล้วมีชีวิตชีวาเหมือนความเป็นจริง
1.4) รูปเล่มเปิดออกอ่านได้เดต็มที่ และสันหนังสือควรหุ้มด้วยผ้ากระดาษที่ใช้
เขียน ไม่ควรเป็นกระดาษมัน และไม่ควรขาวกระจ่างจนสะท้อนแสงได้
1.5) ปกหนังสือไม่ควรห่อปก เพราะต้องการให้เด็กดูรูปภาพหนา้ ปกเพื่อจะได้
ทราบว่าเป็นเรื่องเก่ียวกับอะไร
1.6) ควรเลือกหนังสือนิทานที่มีตัวอักษรโตพอสมควร ไม่ใหญ่มากหรือเล็กเกินไป
ตัวอักษรและภาษาต้องเขียนอย่างถูกต้อง เพื่อเด็กจะได้เอาแบบอย่างและเข้าใจได้ง่าย ช่องว่าง
ระหว่างบรรทัดจะต้องมีขนาดพอดี ริมกระดาษเว้นไว้ประมาณ 1 น้ิว
2) การเลือกเรื่องและนิทาน : เร่ืองเล่าหรือนิทานท่ีเหมาะสมสาหรับเด็ก ควรมีลักษณะ ดังนี้
2.1) เป็นเรื่องที่ง่าย ใจความสมบูรณ์ในตัว เน้นเหตุการณ์อย่างเดียวให้เด็กพอ
คาดคะเนเรื่องได้บ้าง อาจสอดแทรกเกรด็ ที่ชวนให้เด็กสงสยั ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปเพื่อทาให้เร่ืองมี
รสชาติน่าต่ืนเต้น
2.2) เป็นเรื่องที่เด็กมีความสนใจ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเด็กๆ และสัตว์
ต่างๆ ก็ได้
2.3) ควรมีบทสนทนามากๆ เพราะเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถฟังเรื่องท่ีเป็นความเรียง
ได้ดี และภาษาที่ใช้ต้องสละสลวยเหมาะสมกับวัยเด็ก ไม่ควรใช้ศัพท์สแลง
2.4) ควรมีการกล่าวซ้าคาหรือประโยค วลี เพื่อเด็กจะจาได้ง่ายและรวดเร็ว
2.5) ควรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวและเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตประจาวัน
ของเด็กส่วนรวม แต่ระวังอย่าให้กระทบกระเทือนปมด้อยของเด็กหรือเปน็ เรื่องที่เดก็ จะเกิด
จินตนาการตามได้ อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของพ่อแม่ท่ีมีต่อลูก พี่รักน้อง พ่อรักลูก เป็นต้น
2.6) เนื้อเรื่องถึงจุดสุดยอดง่ายและน่าพึงพอใจ เมื่อเล่าจบเด็กควรมีความสุขหรือ
ถ้ามีความทุกข์ก็ต้องมีคติสอนใจด้วย
\\//\\//ศลิ ปะการจัดกิจกรรมประกอบการสอนวิชาภาษาไทย\\//\\//