จัดพมิ พแ์ ละเผยแพรโ่ ดย
สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ
สำ� นกั งานศาลยุตธิ รรม
อาคารศาลอาญา ช้นั 5 ถนนรชั ดาภเิ ษก เขตจตจุ กั ร กรุงเทพฯ 10900
โทร : 02 541 2298 - 9
โทรสาร : 02 541 8434, 02 541 8436
https://tai.coj.go.th
E - mail : [email protected]
พิมพ์ มีนาคม 2562
จำ� นวน 1,000 เลม่
ISBN
ท่ปี รึกษา ภพ เอครพานิช
บรรณาธิการ พรภัทร์ ตนั ตกิ ลุ านนั ท์
กองบรรณาธิการ ศริ ินา กลิ่นขจร
รพพี รรณ บุณยรัตพันธุ์
กรยี าภรณ์ กนกประดษิ ฐ
กษิดิศ ยิง่ ด�ำน่นุ
ศรัณย์ราช พลายเพช็ ร์
อชริ ญา หรุ่นเลิศ
ออกแบบ สายนภา จันทร์ฉาย
สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
คำ� นำ�
หนงั สอื รวมคำ� พพิ ากษาของศาลและกฎหมายทเี่ กย่ี วกบั การอนญุ าโตตลุ าการเลม่ น้ี
พิมพ์คร้ังแรก เม่ือพ.ศ. 2560 ได้รวบรวมค�ำพิพากษาศาลฎีกา ค�ำสั่งศาลปกครองสูงสุด
และค�ำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอ�ำนาจหน้าท่ีระหว่างศาลเก่ียวกับการ
อนุญาโตตุลาการ โดยมีการเพิ่มเติมค�ำพิพากษาปี พ.ศ.2560 และ พ.ศ.2561 บางส่วน
อกี ทั้งกฎหมายและระเบยี บทเี่ กยี่ วขอ้ ง อาทิ พระราชบญั ญัตอิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545
ซงึ่ มกี ารแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ขอ้ บงั คบั สำ� นกั งานศาลยตุ ธิ รรมวา่ ดว้ ยการอนญุ าโตตลุ าการ สถาบนั
อนญุ าโตตลุ าการ อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยการยอมรบั และบงั คบั ตามคำ� ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ
ตา่ งประเทศ ค.ศ.1958 รวมถงึ กฎหมายแมแ่ บบและขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการอนญุ าโตตลุ าการ
ของคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL Model Law and
UNCITRAL Arbitration Rules) ไวใ้ นเล่มโดยมีวตั ถปุ ระสงค์ในการสรา้ งความร้แู ละความ
เข้าใจในหลักกฎหมายท่ีเก่ียวกับการอนุญาโตตุลาการอย่างเป็นระบบ เพ่ือให้สามารถน�ำ
ไปปรับใช้ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและมปี ระสิทธิภาพ
สถาบันอนุญาโตตุลาการ ส�ำนักงานศาลยุติธรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รวมค�ำ
พพิ ากษาของศาลและกฎหมายทเี่ กย่ี วกบั การอนญุ าโตตลุ าการเลม่ นเ้ี ลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชน์
แกผ่ ู้ปฏบิ ัตงิ านเก่ียวกับการอนญุ าโตตลุ าการและผูส้ นใจทวั่ ไป
ดร. พรภัทร์ ตันตกิ ุลานนั ท์
ผูอ้ �ำนวยการบริหารสถาบนั อนุญาโตตุลาการ
บรรณาธิการ
จดั ทำ� โดย
ส่วนพัฒนาระบบและข้อกฎหมาย
ส�ำนกั อนญุ าโตตุลาการ สำ� นักงานศาลยุตธิ รรม
มนี าคม 2562
3
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ
สารบญั
บทท่ี 1 บทท่ัวไป 7
1.1 หลกั ทวั่ ไปของการอนญุ าโตตุลาการ 7
1.2 สัญญาอนญุ าโตตุลาการ 9
บทที่ 2 กระบวนพิจารณาอนุญาโตตลุ าการ 24
2.1 อนญุ าโตตุลาการ 24
2.2 วิธีพิจารณาชัน้ อนญุ าโตตุลาการ 34
2.2.1 วธิ กี ารชว่ั คราวระหว่างพจิ ารณาคดีชัน้ อนุญาโตตลุ าการ 38
2.2.2 การสนิ้ สดุ ของการด�ำเนนิ การทางอนุญาโตตลุ าการ 40
2.2.3 ค�ำช้ขี าด 44
บทท่ี 3 กระบวนพิจารณาของศาลในคดีอนญุ าโตตุลาการ 48
3.1 ศาลทม่ี ีเขตอ�ำนาจ 48
3.2 การเพิกถอนคำ� ชขี้ าด 51
3.3 การบงั คับตามคำ� ชีข้ าด 56
3.4 ค�ำชขี้ าดท่ที �ำข้นึ ในตา่ งประเทศ 66
3.5 การอทุ ธรณค์ �ำพพิ ากษาของศาลในคดอี นญุ าโตตุลาการ 71
บรรณานุกรม 76
4
สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
สารบญั
กฎหมายท่ีเก่ยี วขอ้ ง 78
• พระราชบญั ญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 79
• Arbitration Act B.E. 2545 103
• ขอ้ บังคับสำ� นกั งานศาลยุติธรรม วา่ ด้วยอนญุ าโตตลุ าการ 128
สถาบันอนญุ าโตตุลาการ (พ.ศ.2560) 151
• The Arbitration Rules, the Thai Arbitration Institute, 176
Office of the Judiciary (A.D. 2017) 188
• ขอ้ บงั คับส�ำนกั งานศาลยตุ ธิ รรม วา่ ด้วยอนญุ าโตตลุ าการ 199
สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ (พ.ศ.2546) 207
• Arbitration Rules, the Thai Arbitration Institute,
Office of the Judiciary (A.D. 2003) 213
• ประกาศสำ� นกั งานศาลยตุ ธิ รรม เรอื่ ง การขนึ้ ทะเบยี นอนญุ าโตตลุ าการ 218
ของสถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ ส�ำนักงานศาลยตุ ิธรรม 230
• ประกาศส�ำนกั งานศาลยตุ ธิ รรม เรือ่ ง อัตราคา่ ใช้จา่ ยส�ำหรบั 258
การด�ำเนินการข้อพพิ าทของสถาบันอนญุ าโตตุลาการ
สำ� นักงานศาลยตุ ิธรรม
• ประกาศสำ� นกั งานศาลยตุ ธิ รรม เรอื่ ง อตั ราคา่ ปว่ ยการอนญุ าโตตลุ าการ
ของสถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ สำ� นกั งานศาลยตุ ิธรรม
• Convention on the Recognition and Enforcement
of Foreign Arbitration Awards (New York, 1958)
• UNCITRAL Model Law on International Commercial
Arbitration 1985
• UNCITRAL Arbitration Rules (as revised in 2010)
5
สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
บทท่ี 1
บททั่วไป
1.1 หลกั ทว่ั ไปของการอนุญาโตตุลาการ
การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) เป็นกระบวนการระงับข้อพิพาททางแพ่ง
โดยคู่กรณตี กลงกนั ไวด้ ้วยการทำ� เปน็ สัญญาเรยี กวา่ "สญั ญาอนุญาโตตลุ าการ" มีใจความ
เปน็ การเสนอขอ้ พพิ าทของตนทเี่ กดิ ขนึ้ หรอื จะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตใหอ้ นญุ าโตตลุ าการชข้ี าด
ไมว่ า่ จะมกี ารก�ำหนดตัวผเู้ ป็นอนุญาโตตุลาการไว้ในคราวนน้ั ด้วยหรอื ไมก่ ต็ าม ดว้ ยเหตนุ ้ี
การระงบั ขอ้ พพิ าทโดยอนญุ าโตตลุ าการจงึ เกดิ ขน้ึ ดว้ ยความยนิ ยอมพรอ้ มใจของคกู่ รณที ง้ั
สองฝ่ายโดยการมอบอ�ำนาจให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อพิพาทดังกล่าว ส่วนการมอบ
อำ� นาจนอ้ี าจกระทำ� กนั โดยตกลงกนั เปน็ ขอ้ สญั ญาหนงึ่ ในสญั ญาหลกั นนั้ เลยหรอื ตกลงกนั
เป็นสัญญาต่างหากอีกฉบับหนึ่งก็ได้ โดยจะแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ
การอนญุ าโตตลุ าการในศาล อยภู่ ายใตบ้ งั คบั บทบญั ญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา
ความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้น หมวด 3 เรื่องอนุญาโตตุลาการ
อีกประเภทหน่ึงคือ การอนุญาโตตุลาการนอกศาล ซ่ึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่งมาตรา 221 ก�ำหนดใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตลุ าการ ปจั จบุ นั คอื
พระราชบญั ญตั ิอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
เม่ือเป็นการอนุญาโตตุลาการนอกศาลแล้ว แม้ต่อมาจะมีการอาศัยอ�ำนาจศาล
ในการด�ำเนินกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ เช่น ขอให้ศาลตั้งประธานคณะ
อนุญาโตตุลาการ ก็ไม่ท�ำให้กลายเป็นการอนุญาโตตุลาการในศาลอันจะอยู่ภายใต้บังคับ
ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพ่ง ดคู ำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 502/2522
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 502/2522
ที่ดินของผู้ร้องถูกเวนคืน อนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ร้องและผู้คัดค้านก�ำหนดค่า
ทดแทนราคาทด่ี นิ ซง่ึ ถกู เวนคนื ไมเ่ ทา่ กนั ผรู้ อ้ งจงึ ไดย้ น่ื คำ� รอ้ งตอ่ ศาลใหม้ คี ำ� สงั่ ตง้ั ประธาน
หลักทั่วไปของการอนุญาโตตุลาการ 7
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ
ศาลชนั้ ตน้ ไต่สวนแล้วต้ัง อ. เปน็ ประธานเพอ่ื ชี้ขาดคำ� ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ ตลอด
ระยะเวลาท่ีทั้งสองฝ่ายต้ังอนุญาโตตุลาการจนถึงเวลาท่ีผู้ร้องร้องขอให้ศาลต้ัง อ. เป็น
ประธานต่างฝ่ายต่างไม่มีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น อนุญาโตตุลาการ
ท่ีทั้งสองฝ่ายต้ังข้ึนจึงเป็นการต้ังกันเองโดยศาลมิได้รับรู้มิใช่เป็นการต้ังตามมาตรา 210
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ถือได้ว่าเป็นกรณีท่ีเสนอข้อพิพาทให้
อนญุ าโตตลุ าการชขี้ าดนอกศาล แมต้ อ่ มาศาลชนั้ ตน้ จะไดม้ คี ำ� สง่ั ตง้ั ให้ อ. เปน็ ประธาน
เพอ่ื ชขี้ าด กย็ งั ถอื ไมไ่ ดว้ า่ ไมเ่ ปน็ กรณที เี่ สนอขอ้ พพิ าทใหอ้ นญุ าโตตลุ าการชขี้ าดในศาล
กรณีเชน่ น้ีต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา 221 แหง่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แพง่ เมื่อไม่ปรากฏวา่ ค่กู รณฝี า่ ยใดไมย่ อมปฏบิ ตั ติ ามคำ� ช้ีขาดของ อ. และ อ. มิใชค่ ่กู รณี
อ. จึงไม่มีอ�ำนาจทจี่ ะร้องขอต่อศาลใหม้ คี �ำพพิ ากษาตามค�ำชข้ี าดของ อ. ได้
การดำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาชน้ั อนญุ าโตตลุ าการนน้ั เปน็ คนละเรอ่ื งกบั การดำ� เนนิ
กระบวนพจิ ารณาในชนั้ ศาล แมบ้ างครง้ั การดำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาชน้ั อนญุ าโตตลุ าการ
อาจจะมีกรณีท่ีจะต้องอาศัยอ�ำนาจศาล เช่น ในเร่ืองของการขอให้ศาลต้ังประธานคณะ
อนุญาโตตุลาการ แต่การด�ำเนินกระบวนพิจารณาในช้ันศาลนั้นคู่ความไม่มีหน้าท่ีจะต้อง
มาเลอื กผพู้ พิ ากษามาเปน็ องคค์ ณะในคดขี องตน ดงั เชน่ การเลอื กอนญุ าโตตลุ าการ ศาลจงึ
ไม่อาจเป็นอนญุ าโตตุลาการได้แม้คคู่ วามจะตกลงกนั ใหศ้ าลชี้ขาดขอ้ พพิ าท ในกรณีเช่นน้ี
อาจเป็นกรณีอ้างพยานร่วมกันหรือค�ำท้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เท่านั้น ไม่ใช่การต้ังศาลเป็นอนุญาโตตุลาการ ดูค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1048/2487,
275/2504
ค�ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 1048/2487
กรณที ีไ่ มไ่ ดก้ �ำหนดคา่ จ้างว่าความไว้ แลว้ ค่คู วามขอให้ศาลเปน็ ผูก้ ะน้ันศาลอาจ
ดูส�ำนวนเดิมและยกพฤติการณ์ต่าง ๆ ขึ้นประกอบการก�ำหนดค่าจ้างได้และกรณีเช่นน้ี
ไม่ถือวา่ ต้ังศาลเป็นอนญุ าโตตุลาการ
คำ� พพิ ากษาศาลทฎี่ กี าท่ี 275/2504
โจทก์จ�ำเลยพิพาทกันเร่ืองที่ดิน ช้ันอ�ำเภอเปรียบเทียบโจทก์ จ�ำเลยต่างท้ากัน
ให้เรียกพยานคนกลางมาชี้ขาด ถ้าพยานส่วนมากหรือท้ังหมดให้การว่าเป็นที่ของฝ่ายใด
8 หลกั ท่ัวไปของการอนุญาโตตุลาการ
สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
ก็ให้ท่ีดินเป็นของฝา่ ยนั้น ดังนี้ ไม่ใช่เป็นเร่ืองต้ังอนุญาโตตุลาการนอกศาลให้เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 เพราะเป็นเรื่องอ้าง
พยานร่วมกัน โดยยังไม่ก�ำหนดให้ใครเป็นผู้ชี้ขาด แต่โจทก์มีอ�ำนาจฟ้องขอให้บังคับตาม
ข้อตกลงชั้นอ�ำเภอได้คือให้ศาลพิจารณาตามค�ำพยานที่ตกลงกันไว้น้ัน (ค�ำพิพากษาศาล
ฎกี าท่ี 1292/2522 วินจิ ฉยั ไว้ในทำ� นองเดียวกนั )
การอนุญาโตตุลาการนอกศาล มี 2 รูปแบบคือ การอนุญาโตตุลาการโดยผ่าน
สถาบันหรือศูนย์อนุญาโตตุลาการ (Institutional Arbitration) ซ่ึงวิธีด�ำเนินการทาง
อนุญาโตตุลาการจะอยู่ภายใต้ข้อบังคับและการจัดการของสถาบันน้ัน ๆ ตามพระราช
บญั ญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 6 โดยมีการอ�ำนวยความสะดวกแก่คูพ่ พิ าท
ท่เี ข้ามาใชบ้ รกิ าร เช่น สถานที่สืบพยานพร้อมอปุ กรณจ์ ดคำ� พยาน การติดต่อประสานงาน
ระหว่างคู่พิพาทและอนุญาโตตุลาการ เป็นต้น อีกรูปแบบหนึ่งคือ การอนุญาโตตุลาการ
เฉพาะกิจ (ad hoc Arbitration) คือ ไม่ด�ำเนินการผ่านสถาบันอนุญาโตตุลาการ
แต่คู่พิพาทจะไปด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการกันเอง คู่พิพาทจึงก�ำหนดวิธีการด�ำเนิน
การทางอนุญาโตตุลาการได้ค่อนข้างกว้างขวาง ส่ิงท่ีจะก�ำหนดว่าจะต้องด�ำเนินการโดย
ผ่านสถาบนั หรอื ไม่ต้องพิจารณาจากขอ้ สญั ญาอนุญาโตตลุ าการตามเจตนาของคูพ่ ิพาท
1.2 สญั ญาอนญุ าโตตุลาการ
พระราชบญั ญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 บัญญัติวา่ “สัญญา
อนญุ าโตตุลาการ หมายถึง สัญญาทค่ี สู่ ัญญาตกลงให้ระงบั ขอ้ พิพาทท้ังหมดหรอื บางสว่ น
ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ หรอื ทอี่ าจเกดิ ขน้ึ ในอนาคตไมว่ า่ จะเกดิ จากนติ สิ มั พนั ธท์ างสญั ญาหรอื ไมโ่ ดยวธิ ี
อนญุ าโตตลุ าการ ทงั้ นี้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการอาจเปน็ ขอ้ สญั ญาหนึง่ ในสัญญาหลกั หรอื
เป็นสญั ญาอนญุ าโตตุลาการแยกต่างหากกไ็ ด้
สญั ญาอนุญาโตตลุ าการตอ้ งมหี ลักฐานเป็นหนงั สือลงลายมอื ชอื่ คสู่ ญั ญา เวน้ แต่
ถ้าปรากฏข้อสัญญาในเอกสารท่ีคูส่ ัญญาโต้ตอบทางจดหมาย โทรสาร โทรเลข โทรพิมพ์
การแลกเปล่ียนข้อมูลโดยมีการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือทางอ่ืนซ่ึงมีการบันทึกข้อ
สญั ญานน้ั ไว้ หรอื มกี ารกลา่ วอา้ ง ขอ้ สญั ญาในขอ้ เรยี กรอ้ งหรอื ขอ้ คดั คา้ นและคสู่ ญั ญาฝา่ ย
ท่มี ไิ ดก้ ลา่ วอ้างไม่ปฏิเสธให้ถอื ว่ามีสัญญาอนญุ าโตตลุ าการแล้ว
สญั ญาอนญุ าโตตุลาการ 9
Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ
สัญญาท่ีมีหลักฐานเป็นหนังสืออันได้กล่าวถึงเอกสารใดที่มีข้อตกลงให้ระงับ
ข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ข้อตกลงน้ันเป็นส่วนหนึ่งของ
สัญญาหลัก ให้ถือว่ามสี ญั ญาอนญุ าโตตุลาการแล้ว”
สญั ญาหรอื ขอ้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ (Arbitration Clause) เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้
ของการระงบั ขอ้ พพิ าทโดยการอนญุ าโตตลุ าการ หากไมม่ ขี อ้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการอย,ู่
ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการไม่อาจใช้บังคับได้ หรือข้อสัญญาไม่ครอบคลุมไปถึงข้อพิพาท
ก็ไม่จ�ำต้องผูกพันให้มีการด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ หากมีข้อโต้แย้งอย่างไร
ค่พู พิ าทกช็ อบทีจ่ ะใชส้ ทิ ธิฟ้องร้องต่อศาลกันตามกฎหมายต่อไป ดูค�ำพิพากษาศาลฎกี าที่
11949/2556, 1860/2560
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 11949/2556
จ�ำเลยกล่าวอ้างว่า ข้อพิพาทระหว่างผู้ขายกับจ�ำเลยตามสัญญาซื้อขายเก่ียว
กับการช�ำระเงิน ค่าซื้อสินค้ายางพาราธรรมชาติชนิดแผ่น เกรด RSS 3 โดยจ�ำเลย
สงั่ ซอ้ื สนิ คา้ จากผขู้ ายและใหจ้ ดั สง่ ไปยงั ลกู คา้ ของจำ� เลยโดยมโี จทกเ์ ปน็ ผขู้ นสง่ แตป่ รากฏ
ตามใบตราส่งว่า สินค้าเป็นเกรด RSS 1 ซึ่งไม่ตรงกับเกรดของสินค้าท่ีระบุไว้ข้างหีบห่อ
บรรจสุ ินคา้ ลูกค้าของจำ� เลยจงึ ปฏเิ สธไมร่ บั สินค้า เหตดุ ังกล่าวมิใช่ขอ้ เรยี กร้องเกย่ี วกับ
คณุ ภาพหรือสภาพของสินค้ายางพาราธรรมชาตชิ นดิ แผ่นเกรด RSS 3 ตามสญั ญาที่
จะตอ้ งดำ� เนนิ กระบวนการทางอนญุ าโตตลุ าการกอ่ น แตเ่ ปน็ ขอ้ พพิ าทเกย่ี วกบั การจดั สง่
สนิ คา้ แกล่ กู คา้ ของจำ� เลยซง่ึ มกี ารจดั สง่ ผดิ ไปจากทรี่ ะบไุ ว้ อนั มไิ ดอ้ ยใู่ นขอบขา่ ยทจี่ ะตอ้ ง
ดำ� เนนิ กระบวนการทางอนญุ าโตตลุ าการ ผขู้ ายจงึ ไมผ่ กู พนั ทจี่ ะตอ้ งดำ� เนนิ กระบวนการ
ทางอนญุ าโตตลุ าการแก่จ�ำเลยกอ่ นฟอ้ งคดี
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1860/2560
อนญุ าโตตลุ าการชขี้ าดใหโ้ จทกช์ ำ� ระคา่ สนิ ไหมทดแทนในสว่ นของสนิ คา้ ทเี่ สยี หาย
ให้แกจ่ �ำเลย ยังไมไ่ ดว้ ินิจฉัยเรื่องซากสินค้าที่เสียหายเพราะไม่มขี ้อพพิ าท คดีจึงไม่อยูใ่ น
บังคบั ตามพระราชบัญญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 โจทกจ์ งึ ไม่ถกู จ�ำกดั สทิ ธิทจ่ี ะเสนอ
คดนี ตี้ อ่ ศาลตามพระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว โจทกจ์ งึ มอี ำ� นาจฟอ้ งจำ� เลยใหส้ ง่ มอบซากสนิ คา้
ได้
10 สัญญาอนุญาโตตุลาการ
สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
แต่ถ้ามีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการแล้ว ข้อสัญญาย่อมผูกพันคู่พิพาทให้ต้อง
ดำ� เนนิ การทาง อนญุ าโตตลุ าการ หากคพู่ พิ าทฝา่ ยใดนำ� คดไี ปฟอ้ งตอ่ ศาลโดยพลการ เมอื่ มี
คพู่ พิ าทฝา่ ยใดรอ้ งขอ ศาลชอบทจ่ี ะจำ� หนา่ ยคดอี อกจากสารบบความไดโ้ ดยไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ ง
วินิจฉัยในเน้ือหาแห่งคดี เพื่อให้ไปด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปภายใต้บังคับ
พระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 14 ซง่ึ บญั ญตั วิ า่
“ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงฟ้องคดีเก่ียวกับข้อพิพาทตามสัญญา
อนญุ าโตตลุ าการโดยมไิ ดเ้ สนอขอ้ พพิ าทนนั้ ตอ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการตามสญั ญา คสู่ ญั ญา
ฝ่ายท่ีถูกฟ้อง อาจย่ืนค�ำร้องต่อ ศาลที่มีเขตอ�ำนาจไม่ช้ากว่าวันยื่นค�ำให้การหรือภายใน
ระยะเวลาที่มีสิทธิย่ืนค�ำให้การตามกฎหมาย ให้มีค�ำส่ังจ�ำหน่ายคดี เพ่ือให้คู่สัญญาไป
ด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ และเมื่อศาลท�ำการไต่สวนแล้ว เห็นว่าไม่มีเหตุท่ีท�ำให้
สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการนน้ั เปน็ โมฆะหรอื ใชบ้ งั คบั ไมไ่ ดห้ รอื มเี หตทุ ที่ ำ� ใหไ้ มส่ ามารถปฏบิ ตั ิ
ตามสญั ญานั้นได้ กใ็ หม้ ีคำ� สง่ั จำ� หน่ายคดีน้นั เสยี ” ดูคำ� พิพากษาศาลฎกี าท่ี 4288/2558,
9686/2559
คำ� พิพากษาศาลฎกี าที่ 4288/2558
สัญญากู้ยืมเงินกับสัญญาซื้อขายทองค�ำ มีข้อสัญญาท่ีคู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อ
พพิ าททงั้ หมดหรอื บางสว่ นทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ หรอื เกดิ ขนึ้ ในอนาคต ไมว่ า่ จะเกดิ จากนติ สิ มั พนั ธ์
ทางสญั ญาหรอื ไมโ่ ดยวธิ อี นญุ าโตตลุ าการ จงึ เปน็ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ ตามพระราชบญั ญตั ิ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคหน่ึง
เมื่อจ�ำเลยย่ืนข้อเรียกร้องให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการต่อสถาบัน
อนุญาโตตุลาการลอนดอน และต่อมาจ�ำเลยได้ย่ืนค�ำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบัน
อนุญาโตตุลาการลอนดอน จึงเป็นกรณีที่จ�ำเลยใช้สิทธิเลือกท่ีจะเสนอข้อพิพาทต่อ
อนุญาโตตุลาการแล้ว ท�ำให้การระงับข้อพิพาทต้องใช้กระบวนการของอนุญาโตตุลาการ
ตามทโี่ จทก์และจำ� เลยตกลงกนั ไว้ในสัญญากยู้ มื เงนิ และสัญญาซอื้ ขายทองค�ำ การท่ีโจทก์
ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ
จึงเป็นการกระท�ำท่ีขัดต่อสัญญาอนุญาโตตุลาการ เหตุบกพร่องของสัญญาที่โจทก์อ้าง
ไม่ว่าจะเป็น นิติกรรมอ�ำพรางหรือกลฉ้อฉล หรือข้อตกลงที่จ�ำเลยให้โจทก์ช�ำระหนี้
สัญญาอนญุ าโตตลุ าการ 11
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ
เงินกู้ด้วยทองค�ำโดยก�ำหนดราคาทองค�ำท่ีแน่นอนไว้ล่วงหน้าซ่ึงต�่ำกว่าราคาตลาดขัดต่อ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองและวรรคสาม หรอื การกระทำ�
ของจำ� เลยทใี่ ชอ้ ำ� นาจตอ่ รองสงู กวา่ จดั ทำ� สญั ญาเอาเปรยี บโจทกข์ ดั ตอ่ พระราชบญั ญตั วิ า่
ด้วยขอ้ สญั ญาทีไ่ มเ่ ป็นธรรม พ.ศ. 2540 นั้น เปน็ เร่อื งทตี่ อ้ งพิจารณาเน้ือหา และความ
สมบูรณ์ของสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาซ้ือขายทองค�ำ จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือ
เกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่อง
ความมีอยู่ของสัญญาและการมีผลใช้บังคับของสัญญาซ่ึงอยู่ในอ�ำนาจวินิจฉัยของ
อนุญาโตตุลาการ การฟ้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญาหาใช่มูลละเมิดไม่ ศาลทรัพย์สินทาง
ปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่จ�ำต้องวินิจฉัยในประเด็นท่ีโจทก์กล่าวอ้าง
ในคำ� ฟอ้ งอนั เปน็ เนอื้ หาขอ้ พพิ าทซงึ่ ตอ้ งระงบั โดยวธิ กี ารทางอนญุ าโตตลุ าการ และเมอ่ื
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางท�ำการไต่สวนแล้วเห็นว่า ไม่มี
เหตุท่ีจะท�ำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ หรือมีเหตุที่ท�ำให้
ไมส่ ามารถปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาได้ และมคี ำ� สงั่ ใหจ้ ำ� หนา่ ยคดคี ำ� สงั่ จำ� หนา่ ยคดขี องศาลดงั กลา่ ว
จงึ ชอบดว้ ยพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 14 วรรคหนง่ึ (คำ� พพิ ากษา
ศาลฎีกาที่ 11949/2556, 12703/2555, 8627/2550 วินิจฉยั ไวใ้ นทำ� นองเดียวกัน)
คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 9686/2559
โจทกฟ์ อ้ งจ�ำเลยโดยอาศัยสัญญาเช่าเรือข้อ 21 ท่กี �ำหนดวา่ หากจำ� เลยใชเ้ วลา
ในการน�ำสินค้าบรรทุกลงเรือและขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือเกิน 6 วัน จ�ำเลยจะต้องเสีย
ค่าธรรมเนียมความล่าช้า (Demurrage) แม้ตามสัญญาเช่าเรือข้อ 24 จะมิได้ก�ำหนด
วธิ ีการระงับขอ้ พพิ าทเกี่ยวกับเรอ่ื งดงั กลา่ วไว้โดยเฉพาะ แต่ปัญหาวา่ จ�ำเลยใช้เรอื ล่าช้า
เกินเวลาท่ีก�ำหนดอันเป็นผลให้จ�ำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ต้องพิจารณาจาก
ขอ้ ตกลงในสัญญาเชา่ เรือดังกลา่ ว เมอ่ื สัญญาข้อ 24 กำ� หนดให้ระงบั ขอ้ พิพาทดว้ ยการ
อนุญาโตตลุ าการ โจทกจ์ งึ ตอ้ งเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนญุ าโตตุลาการก่อน
การเขยี นขอ้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการในลกั ษณะทกี่ ำ� หนดใหค้ พู่ พิ าทสามารถตกลง
ทจ่ี ะระงบั ข้อพิพาทด้วยวธิ กี ารอนญุ าโตตลุ าการหรอื นำ� คดีไปฟอ้ งต่อศาลทางใดทางหนง่ึ
กไ็ ด้ การก�ำหนด ข้อสญั ญาเช่นนี้ มีผลผูกพันคู่พิพาทและใชบ้ ังคับเปน็ ขอ้ สัญญาข้อหน่ึงได้
ไมเ่ ปน็ การขัดแย้งกนั เอง แตอ่ ยา่ งใด ดูคำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1115/2560
12 สัญญาอนุญาโตตลุ าการ
สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
ค�ำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1115/2560
ตามสัญญารับเหมาช่วงพร้อมค�ำแปล ข้อ 22.5 ของสัญญาท้ังสองฉบับระบุว่า
"หากการวนิ จิ ฉยั สดุ ทา้ ยของผรู้ บั เหมาไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั จากผรู้ บั เหมาชว่ ง ผรู้ บั เหมาชว่ ง
อาจจะด�ำเนินการตามกลไกการระงับข้อพิพาทที่ระบุไว้ตามความในข้อย่อย 22.7
ของสัญญารับเหมาช่วงน้ี แต่ไม่ผูกพันว่า ต้องท�ำเช่นนี้เสมอไป" เช่นนี้ตามตอนท้าย
ของสัญญาข้อ 22.5 ดังกล่าวหาใช่เป็นการบังคับให้โจทก์จ�ำต้องเสนอข้อพิพาทต่อ
อนญุ าโตตลุ าการกอ่ นเสมอไปไม่ แตม่ คี วามหมายไปในทางใหโ้ อกาสโจทก์ นำ� ขอ้ พพิ าท
ให้อนุญาโตตุลาการช้ีขาดหรือฟ้องต่อศาลทางใดทางหน่ึงก็ได้ ดังนั้น โจทก์มีสิทธิฟ้อง
จำ� เลยที่ 1 ต่อศาลได้โดยไมต่ ้องด�ำเนนิ การทางอนญุ าโตตุลาการกอ่ น
การมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการอยู่ ไม่ได้ตัดสิทธิของคู่พิพาทที่จะน�ำคดีไป
ฟ้องตอ่ ศาลเสมอไป เพยี งแต่เป็นเหตุทีศ่ าลอาจจ�ำหนา่ ยคดตี ามมาตรา 14 แหง่ พระราช
บัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เพ่ือให้ไปด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน
เพราะอาจมเี หตทุ ท่ี ำ� ใหข้ อ้ สัญญาดงั กลา่ วใชบ้ ังคับไมไ่ ด้ หรือ ค่พู พิ าทตกลงสละขอ้ สัญญา
อนญุ าโตตุลาการก็ได้ ดคู ำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 3425/2545, 1425/2542, 11235/2556
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3425/2545
การที่คู่กรณีมีข้อสัญญากันไว้ว่าหากมีข้อพิพาทเกิดข้ึนให้เสนอข้อพิพาทต่อ
อนุญาโตตุลาการ มิได้หมายความว่าจะตัดสิทธิให้คู่กรณีน�ำคดีฟ้องต่อศาลเสียทีเดียว
เพราะอาจมเี หตทุ ที่ ำ� ใหส้ ญั ญาอนญุ าโตตลุ าการนน้ั เปน็ โมฆะหรอื ใชบ้ งั คบั ไมไ่ ดด้ ว้ ยเหตปุ ระการอน่ื
หรอื มเี หตทุ ที่ ำ� ใหไ้ มส่ ามารถปฏบิ ตั ติ ามสญั ญานน้ั ทเ่ี ปน็ เหตใุ หไ้ มส่ ามารถนำ� ขอ้ พพิ าทเสนอ
ตอ่ อนญุ าโตตลุ าการได้ ดงั นัน้ ในกรณีท่ีคสู่ ญั ญาฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ฟอ้ งคดเี กยี่ วกบั ขอ้ พพิ าทที่
ตกลงกนั ใหเ้ สนอตอ่ อนญุ าโตตลุ าการเปน็ ผชู้ ข้ี าดระหวา่ งกนั แลว้ หากคสู่ ญั ญาฝา่ ยทถ่ี กู ฟอ้ ง
เห็นว่าฝ่ายน้ันไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการที่จะต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก็
ชอบทใ่ี หก้ ารโตแ้ ยง้ หรอื ยนื่ คำ� รอ้ งตอ่ ศาลกอ่ นวนั สบื พยานหรอื กอ่ นมคี ำ� พพิ ากษา ในกรณี
ที่ไม่มีการสืบพยาน เมื่อศาลท�ำการไต่สวนแล้วไม่ได้ความว่ามีเหตุดังกล่าวศาลจึงจะมีค�ำ
สั่งจำ� หนา่ ยคดเี พอ่ื ใหค้ สู่ ญั ญาไปดำ� เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการตอ่ ไป ตามพระราชบญั ญตั ิ
สัญญาอนุญาโตตุลาการ 13
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 (ปจั จบุ นั คอื พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 มาตรา 14)
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1425/2542
ระหว่างโจทก์ด�ำเนินการก่อสร้างท�ำนบดินอ่างเก็บน�้ำตามสัญญาจ�ำเลยอ้างว่า
โจทก์ผิดสัญญาและได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญา โดยมิได้เสนอข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาท
ที่เกิดขึ้นให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยก่อนตามสัญญา ส่วนโจทก์เม่ือเห็นว่าตนเอง
ท�ำงานแล้วเสร็จตามสัญญา แต่จ�ำเลยผิดสัญญา ไม่ตรวจรับงานและไม่ช�ำระเงินค่าจ้าง
โจทก์ก็น�ำคดีมาฟ้องโดยไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าวก่อนเช่นกันและเมื่อถูกฟ้องแล้ว
จ�ำเลยก็ไม่ได้ยื่นค�ำร้องต่อศาลช้ันต้นก่อนวันนัดสืบพยานให้มีค�ำส่ังจ�ำหน่ายคดีเพ่ือ
ให้คู่สัญญาด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. 2530 มาตรา 10 (ปจั จบุ นั คอื พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 14)
พฤตกิ ารณด์ งั กลา่ วถอื วา่ โจทกแ์ ละจำ� เลยสละผลบงั คบั ตามสญั ญาดงั กลา่ วโดยปรยิ ายแลว้
จ�ำเลยจึงหาอาจยกเอาข้อสัญญาดังกล่าวมาบังคับให้โจทก์ปฏิบัติอีกได้ไม่ (ค�ำพิพากษา
ศาลฎีกาท่ี 977/2502 วนิ ิจฉัยในทำ� นองเดียวกัน)
การใชส้ ทิ ธติ ามสญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ โตแ้ ยง้ การใชอ้ ำ� นาจตลุ าการโดยพลการ
ของคู่พิพาท อีกฝ่ายหน่ึง ปกติแล้วสามารถท�ำได้โดยท�ำเป็นค�ำร้องยื่นต่อศาลช้ันต้น
ทพ่ี ิจารณาคดนี น้ั อยู่เพือ่ ใหศ้ าลไตส่ วนและมคี ำ� ส่งั แต่อยา่ งไรก็ตาม เพียงแคย่ นื่ คำ� ใหก้ าร
ตอ่ สคู้ ดไี วใ้ นทำ� นองวา่ “ยงั มขี อ้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการอย”ู่ กถ็ อื วา่ คพู่ พิ าทฝา่ ยนน้ั ประสงค์
จะใหศ้ าลไตส่ วนถงึ ความมอี ยขู่ องขอ้ สญั ญา อนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา 14 แหง่ พระราช
บญั ญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 แลว้ แมว้ ่าจะมีการตอ่ สใู้ นประเด็นอื่น ๆ ด้วยก็ตาม
ดูคำ� พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 11235/2556 และ ค�ำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.8/2554
ค�ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 11235/2556
โจทก์ฟอ้ งจ�ำเลยท่ี 1 โดยไม่นำ� ข้อพิพาทใหอ้ นญุ าโตตุลาการช้ขี าดก่อนเปน็ การ
ฝ่าฝืนเง่ือนไข ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญาท่ีตกลงกัน จ�ำเลยท่ี 1 ย่อมมีสิทธิ
ยื่นค�ำร้องต่อศาลที่มีเขตอ�ำนาจ ไม่ช้ากว่าวันย่ืนค�ำให้การหรือภายในระยะเวลาที่มี
14 สัญญาอนญุ าโตตลุ าการ
สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
สิทธิย่ืนค�ำให้การตามกฎหมายให้มีค�ำสั่งจ�ำหน่ายคดี เพ่ือให้คู่สัญญาไปด�ำเนินการทาง
อนุญาโตตุลาการได้ แม้จ�ำเลยท่ี 1 มิได้ท�ำค�ำร้องยื่นต่อศาลให้มีค�ำสั่งจำ� หนา่ ยคดภี ายใน
ก�ำหนดระยะเวลาตามความในพระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 14
แต่ได้ยื่นค�ำให้การโต้แย้งไว้แล้วว่าโจทก์ฟ้องคดีน้ีโดยไม่ด�ำเนินกระบวนการ
อนญุ าโตตลุ าการกอ่ น ถอื ไดว้ า่ จำ� เลยที่ 1 ประสงคใ์ หศ้ าลไตส่ วนและมคี ำ� สง่ั จำ� หนา่ ยคดี
เพราะเหตดุ งั กลา่ ว และแมค้ ำ� ใหก้ ารจำ� เลยที่ 1 จะปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องอ่ืน ๆ
ด้วยและขอใหย้ กฟ้อง ถือไม่ไดว้ า่ จ�ำเลยที่ 1 สละขอ้ ตกลงเกย่ี วกบั การระงบั ขอ้ พิพาทโดย
วิธีอนญุ าโตตุลาการตามท่ีระบไุ ว้ในสัญญา
คำ� พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.8/2554
คกู่ รณใี หถ้ อ้ ยคำ� ในวนั ไตส่ วนทำ� นองเดยี วกนั วา่ สญั ญาดงั กลา่ วมเี งอื่ นไขเกย่ี วกบั
การระงับขอ้ พพิ าทโดยการอนุญาโตตลุ าการ และสญั ญาดงั กล่าวไม่มเี หตทุ เี่ ปน็ โมฆะหรือ
ใช้บังคับไมไ่ ด้ หรอื มเี หตทุ ที่ �ำใหไ้ ม่สามารถปฏบิ ตั ิตามสญั ญาได้ เม่อื พิจารณาประกอบกับ
ค�ำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีและบันทึกถ้อยค�ำชั้นไต่สวน แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะมิได้ใช้ค�ำว่า
ให้จำ� หน่ายคดี แต่ยอ่ มเห็นเจตนาของผูถ้ กู ฟ้องคดไี ดว้ ่าประสงค์ให้จำ� หน่ายคดีเพือ่ ให้
ผฟู้ ้องคดไี ปดำ� เนนิ การทางอนุญาโตตลุ าการกอ่ น
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2039/2550
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 14 วรรคหนง่ึ มไิ ดบ้ ญั ญตั วิ า่
ค�ำขอให้ศาลมีค�ำส่ังจ�ำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาไปด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ
อาจท�ำไดแ้ ต่ฝ่ายเดียว ดังน้นั ก่อนทจี่ ะไตส่ วนหรอื มีคำ� ส่ัง ศาลทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาและ
การค้าระหว่างประเทศกลางชอบท่ีจะให้โอกาสโจทก์คัดค้านค�ำร้องดังกล่าวของจ�ำเลย
ก่อนตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพ่ง มาตรา 21 (2) โดยมีคำ� สง่ั ใหส้ ง่ ส�ำเนา
คำ� ร้องแกโ่ จทก์
สัญญาอนุญาโตตุลาการเกิดจากเจตนาของคู่พิพาทที่ตกลงกัน มอบให้
อนุญาโตตุลาการตัดสิน ช้ีขาดข้อพิพาทท่ีก�ำหนดไว้ ดังนั้น สัญญาอนุญาโตตุลาการ
จึงเป็นส่ิงที่จะบ่งช้ีถึงขอบเขตอ�ำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการว่าจะมีอ�ำนาจในการ
สญั ญาอนญุ าโตตุลาการ 15
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ
วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทหรือไม่ เพียงใด ประเด็นอ่ืนท่ีนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญา
หรือไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาท ย่อมไม่อยู่ในขอบเขตอ�ำนาจของอนุญาโตตุลาการ
ตอ้ งนำ� ขอ้ พพิ าทไปดำ� เนนิ การทางกฎหมายเฉพาะตอ่ ไป เชน่ ยนื่ ฟอ้ งตอ่ ศาลทมี่ เี ขตอำ� นาจ
ดคู �ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 8627/2550 , 8335/2560
ค�ำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 8627/2550
ตามสัญญาให้บริการเป็นที่ปรึกษาระบุใจความว่า "ข้อสัญญาน้ีจะได้รับการ
ตีความภายใต้กฎหมายของอัลเบอร์ต้า ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดแจ้งข้อพิพาทเป็น
ลายลกั ษณอ์ กั ษรใหค้ สู่ ญั ญาอกี ฝา่ ยหนง่ึ อนญุ าโตตลุ าการอสิ ระหนงึ่ คนจะไดร้ บั การแตง่ ตง้ั
โดยการตกลงรว่ มกนั ของทง้ั สองฝา่ ยภายในสามสิบวนั นบั แตแ่ จ้งขอ้ พิพาท" กรณีดังกล่าว
จึงเป็นการตกลงที่จะให้มีอนุญาโตตุลาการหน่ึงคนเป็น ผู้ระงับข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญา
โดยตคี วามตามกฎหมายของอลั เบอรต์ า้ ประเทศแคนาดา ขอ้ สญั ญาดงั กลา่ วเปน็ สว่ นหนง่ึ
ของสัญญาให้บริการเป็นท่ีปรึกษา การท่ีจะต้องแต่งต้ังอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ระงับ
ขอ้ พพิ าท จงึ ตอ้ งเปน็ ขอ้ พพิ าทเกยี่ วกบั สญั ญาใหบ้ รกิ ารเปน็ ทป่ี รกึ ษาซงึ่ หากมปี ญั หาเกย่ี ว
กบั การตคี วามสญั ญากจ็ ะตอ้ งเปน็ ไปภายใตก้ ฎหมายของอลั เบอรต์ า้ ประเทศแคนาดา และ
เปน็ ผลใหค้ สู่ ญั ญาฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ จะนำ� ขอ้ พพิ าทดงั กลา่ วไปฟอ้ งตอ่ ศาลแรงงานกลางกอ่ นที่
จะใชอ้ นญุ าโตตลุ าการชขี้ าดไมไ่ ดต้ ามทพ่ี ระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา
14 บญั ญตั ิไว้ เว้นแตจ่ ะเปน็ กรณที ม่ี เี หตุที่ทำ� ให้สญั ญาอนุญาโตตุลาการน้นั เปน็ โมฆะหรอื
ใช้บังคับไม่ได้ หรือมีเหตุท่ีท�ำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ แต่ตามค�ำฟ้องโจทก์
สว่ นทอ่ี า้ งวา่ จำ� เลยเลกิ จา้ งโจทกโ์ ดยไมไ่ ดบ้ อกกลา่ วลว่ งหนา้ ตามกฎหมาย โจทกท์ ำ� งานตดิ ตอ่
กนั เกนิ กวา่ สามปจี งึ มสี ทิ ธไิ ดร้ บั คา่ ชดเชยไมน่ อ้ ยกวา่ คา่ จา้ งอตั ราสดุ ทา้ ยหนง่ึ รอ้ ยแปดสบิ วนั
และจ�ำเลยคา้ งจา่ ยค่าจ้างโจทกโ์ ดยจงใจหรอื โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จึงขอให้
จ�ำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมเงินเพิ่มและ
คา่ ชดเชย อนั เปน็ การใช้สทิ ธติ ามพระราชบัญญตั คิ ้มุ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา
9, 17, 70 และมาตรา 118 และขอใหจ้ ำ� เลยจ่ายคา่ เสยี หายจากการเลกิ จา้ งที่ไมเ่ ปน็ ธรรม
ตามพระราชบญั ญัตจิ ัดตัง้ ศาลแรงงานและวิธีพจิ ารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49
จงึ มใิ ชเ่ ปน็ การฟอ้ งเกยี่ วกบั กรณพี พิ าทซง่ึ เกดิ จากสญั ญาใหบ้ รกิ ารเปน็ ทปี่ รกึ ษาแตอ่ ยา่ งใด
โจทก์จึงมีสิทธินำ� คดสี ่วนน้ีมาฟอ้ งต่อศาลแรงงานได้
16 สัญญาอนุญาโตตุลาการ
สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
สำ� หรบั คำ� ฟอ้ งโจทกส์ ว่ นทโ่ี จทกข์ อเรยี กคา่ ขาดประโยชนจ์ ากการทำ� งานทเ่ี หลอื
อยู่ตามสัญญาจึงเป็นการฟ้องเกี่ยวกับกรณีพิพาทตามสัญญาให้บริการเป็นที่ปรึกษา
จงึ ตอ้ งเปน็ ไปตาม ข้อสญั ญาท่ีจะตอ้ งใหอ้ นุญาโตตุลาการอิสระหน่งึ คนทไ่ี ด้รบั การแต่งต้ัง
โดยการตกลงรว่ มกนั ระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยไดช้ ขี้ าดกอ่ นตามขน้ั ตอนของพระราชบญั ญตั ิ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 โจทก์จงึ ยังไม่มีสิทธนิ �ำคดสี ว่ นนม้ี าฟอ้ งตอ่ ศาลแรงงานกลาง
ได้ (คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3530/2549, 35/2513, 182/2522 วนิ จิ ฉยั ในทำ� นองเดยี วกนั )
ค�ำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 8335/2560
สัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 8 ระบุว่าให้ใช้กฎหมายประเทศไทย
บังคบั กับสัญญาฉบับน้ี ขอ้ พิพาทใด ๆ ท่เี กดิ ข้นึ อนั เก่ยี วข้องกบั สัญญาฉบบั น้ี ให้ระงบั โดย
วิธีอนญุ าโตตุลาการตามกฎหมายประเทศไทย และสญั ญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.3
ข้อ 9 ระบวุ า่ ใหใ้ ช้กฎหมายประเทศสวีเดน บงั คบั กบั สัญญาฉบบั นี้ขอ้ พิพาทใด ๆ ท่เี กิดขึน้
อันเก่ียวข้องกับสัญญาฉบับน้ี ให้ระงับโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการตามกฎหมายประเทศ
สวีเดน แสดงว่าโจทก์และจ�ำเลยประสงค์จะให้มีการระงับข้อพิพาทระหว่างกันโดยวิธี
อนุญาโตตลุ าการสำ� หรบั ข้อโต้แยง้ ทเ่ี กดิ จากสิทธติ ามสัญญาจา้ งแรงงาน แตโ่ จทก์ฟอ้ งให้
จ�ำเลยจ่ายคา่ ชดเชยและค่าเสยี หายจากการเลกิ จ้างทไี่ ม่เป็นธรรม ซ่งึ เป็นการใช้สิทธิท่ี
เกิดข้ึนภายหลังจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจ�ำเลยเลิกกันอันเป็นไปตาม
พระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 และ พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 รวมทั้งที่ให้จ�ำเลยจ่าย
คา่ เสยี หายเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยในการกลบั ภมู ลิ ำ� เนากเ็ กดิ ขนึ้ ภายหลงั จากทจี่ ำ� เลยเลกิ จา้ งโจทกแ์ ลว้
ไม่ใช่เป็นการฟ้องเก่ียวกับกรณีพิพาทซ่ึงเกิดจากสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นผลให้
ไม่ต้องน�ำกฎหมายของประเทศสวีเดนมาใช้บังคับตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงมี
อ�ำนาจฟ้องจ�ำเลยต่อศาลแรงงานกลางได้โดยไม่ต้องเสนอต่ออนุญาโตตุลาการเพ่ือให้
วินจิ ฉัยชข้ี าดกอ่ น
สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการเปน็ สัญญาที่แยกต่างหากจากสัญญาหลัก แม้จะเขยี นไว้
ในสญั ญาเดยี วกนั กต็ าม และถงึ แมม้ เี หตปุ ระการใดทที่ ำ� ใหส้ ญั ญาหลกั เปน็ อนั ใชบ้ งั คบั ไมไ่ ด้
เปน็ โมฆะ หรอื มกี ารบอกเลกิ สญั ญา ถา้ เปน็ ขอ้ พพิ าททอี่ ยภู่ ายใตค้ วามผกู พนั ของขอ้ สญั ญา
สัญญาอนุญาโตตุลาการ 17
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ
อนุญาโตตุลาการแล้ว และไม่ปรากฏว่ามีเหตุอื่นใดที่ท�ำให้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการใช้
บังคับไม่ได้อย่างไร ข้อตกลงให้ระงับข้อพิพาทด้วยการอนุญาโตตุลาการก็ไม่ระงับไปตาม
สญั ญาหลกั ดูคำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3894/2559, 990/2551
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3894/2559
สญั ญาวา่ จา้ งกอ่ สรา้ งชว่ งระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยตกลงใหน้ ำ� สญั ญาหลกั ระหวา่ ง
จำ� เลยกบั บริษทั อ. เจ้าของงานมาใชบ้ ังคบั สญั ญาหลกั มขี อ้ ตกลงวา่ หากมีกรณีพพิ าทอนั
เนื่องมาจากการปฏิบัติตามสัญญา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้
วนิ จิ ฉยั จงึ ถอื วา่ สญั ญาวา่ จา้ งกอ่ สรา้ งชว่ งระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยมสี ญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ
แลว้ ตามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคทา้ ย แมต้ อ่ มาโจทก์
กบั จำ� เลยตกลงเลกิ สญั ญาตอ่ กนั แตก่ ม็ ใิ ชก่ รณมี เี หตทุ ที่ ำ� ให้ ขอ้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ
น้นั เป็นโมฆะหรอื ใช้บงั คับไมไ่ ด้ดว้ ยเหตุประการอ่นื หรอื มีเหตุทำ� ให้ ไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิ
ตามสญั ญานนั้ ได้ ตามพระราชบัญญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 14 วรรคหน่งึ
โจทกแ์ ละจำ� เลยยงั มหี นา้ ทปี่ ฏบิ ตั ติ ามเงอ่ื นไขในขอ้ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการเมอ่ื มขี อ้ พพิ าท
เกดิ ขน้ึ (ในประเดน็ นม้ี คี ำ� สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ที่ ร.681/2557 และ 667/2557 วนิ จิ ฉยั ไวใ้ น
ทำ� นองเดยี วกนั )
ส่วนกรณีสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงท่ีมีข้อก�ำหนดให้จ�ำเลยเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
เม่ือมีข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างช่วงนั้น หาได้ขัดหรือ
แยง้ กบั ขอ้ ตกลงใหร้ ะงบั ขอ้ พพิ าทโดยวธิ กี ารอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา่ วไม่ เพราะขอ้ วนิ จิ ฉยั
ชีข้ าดของจำ� เลยไมม่ ผี ลบังคบั ตามกฎหมาย หากโจทก์ไม่ยินยอมปฏบิ ัติตาม ขอ้ พิพาทดงั
กล่าวย่อมต้องใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการตามที่ก�ำหนดไว้
ในสัญญาหลักอยู่ดี ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ระงับข้อ
พิพาทโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าวในคดีนี้ก่อนจึงเป็นการไม่ชอบด้วย
บทบัญญตั ิของกฎหมายดังกล่าว
18 สัญญาอนุญาโตตลุ าการ
สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2551
ตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัย
บทสง่ ทา้ ย ขอ้ 35 ทผี่ รู้ อ้ งและผคู้ ดั คา้ นไดร้ ว่ มกนั ทำ� ขนึ้ ระบวุ า่ "คสู่ ญั ญามสี ทิ ธถิ อนตวั ออก
จากความผกู พนั ตามสญั ญานไ้ี ดโ้ ดยการมหี นงั สอื แจง้ การถอนตวั สง่ ถงึ นายกสมาคมประกนั
วินาศภยั ลว่ งหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 60 วนั ก่อนวนั ทกี่ ารบอกเลิกมผี ลบงั คับ และผลแหง่
การบอกเลิกสัญญาน้ีไม่กระทบถึงเรื่องท่ีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
และเรอ่ื งทเี่ กดิ ขนึ้ กอ่ นการบอกกลา่ วถอนตวั จะมผี ล" เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ มลู เหตแุ หง่
ข้อพิพาทตามค�ำเสนอข้อพิพาทที่ผู้ร้องเสนอต่ออนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัย
เป็นเรอื่ งที่เกิดขึ้นกอ่ นการบอกกล่าวถอนตวั ของผู้คดั ค้านจะมีผล ดงั นั้น ผลแหง่ การบอก
เลกิ สญั ญาของผคู้ ดั คา้ นจงึ ไมม่ ผี ลกระทบถงึ เรอื่ งดงั กลา่ ว ผรู้ อ้ งและผคู้ ดั คา้ นยงั คงมหี นา้ ท่ี
ต้องปฏิบัติต่อกันตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการสมาคมประกัน
วินาศภัยต่อไป แม้ผู้ร้องจะย่ืนค�ำเสนอข้อพิพาทหลังจากการบอกเลิกสัญญามีผลแล้ว
อนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัย ก็ยังมีอ�ำนาจพิจารณาและชี้ขาดค�ำเสนอ
ข้อพิพาทของผู้ร้องได้ (ค�ำสั่งศาลปกครองสงู สุดที่ 383/2551 วนิ ิจฉัยในท�ำนองเดยี วกัน)
แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือต่างฝ่ายต่างมีความสามารถและ
อ�ำนาจตามกฎหมายที่จะท�ำสัญญากัน หากสัญญาอนุญาโตตุลาการไม่อาจเกิดขึ้นได้
แล้ว สัญญาหลักจึงไม่อาจใช้การระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการได้ ส่งผลให้
กระบวนพิจารณาชน้ั อนุญาโตตลุ าการตั้งแต่ ย่ืนคำ� เสนอจนไปถึงการท�ำค�ำช้ีขาด ไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมาย ดูคำ� พิพากษาศาลฎกี าที่ 2503/2552
ค�ำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 2503/2552
กิจการจ�ำหน่ายและจ่ายรางวัลสลากบ�ำรุงการกุศลแบบอัตโนมัติ เป็นกิจการท่ี
สำ� นกั งานสลากกนิ แบง่ รฐั บาล ซง่ึ เปน็ "รฐั วสิ าหกจิ " และเปน็ "หนว่ ยงานเจา้ ของโครงการ"
มอี ำ� นาจหนา้ ทที่ จ่ี ะกระทำ� ไดต้ ามพระราชบญั ญตั สิ ำ� นกั งานสลากกนิ แบง่ รฐั บาล พ.ศ. 2517
มาตรา 5 (3) เพราะเป็นการกระทำ� ทเ่ี ก่ียวเน่ืองหรอื ที่เปน็ ประโยชน์แก่การด�ำเนินกิจการ
ของสำ� นักงานสลากกนิ แบ่งรัฐบาล จงึ เขา้ ลักษณะเปน็ "กจิ การของรฐั " และเป็นกิจการท่มี ี
เงนิ ลงทนุ หรอื ทรพั ยส์ นิ ตง้ั แตห่ นงึ่ พนั ลา้ นบาทขน้ึ ไป ซงึ่ เขา้ เกณฑเ์ ปน็ "โครงการ" ในกจิ การ
สัญญาอนุญาโตตุลาการ 19
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ
ของรฐั ตามนยั ของบทนยิ ามความหมายตา่ ง ๆ ทบี่ ญั ญตั ไิ วใ้ นพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยการให้
เอกชนเขา้ รว่ มงานหรอื ดำ� เนนิ การในกจิ การของรฐั พ.ศ. 2535 และตามขอ้ ตกลงในสญั ญา
แตง่ ตง้ั ผแู้ ทนจำ� หนา่ ยและจา่ ยรางวลั สลากบำ� รงุ การกศุ ลแบบอตั โนมตั กิ ม็ ขี อ้ ตกลงในสาระ
สำ� คญั วา่ ผคู้ ดั คา้ นไดม้ อบหมายใหผ้ รู้ อ้ งซงึ่ เปน็ เอกชนลงทนุ แตฝ่ า่ ยเดยี วโดยวธิ กี ารอนญุ าต
หรอื ใหส้ ทิ ธทิ จ่ี ะดำ� เนนิ กจิ การแทนผคู้ ดั คา้ นในการดำ� เนนิ การเกยี่ วกบั กจิ การของรฐั ซง่ึ เขา้
บทนิยามความหมายของคำ� วา่ "รว่ มงานหรือดำ� เนนิ การ" ตามที่บัญญัตไิ วใ้ นมาตรา 5 แหง่
พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยการใหเ้ อกชนเขา้ รว่ มงานหรอื ดำ� เนนิ การในกจิ การของรฐั พ.ศ. 2535
ดว้ ย สญั ญาแตง่ ตงั้ ผแู้ ทนจ�ำหน่ายและจา่ ยรางวัลสลากบำ� รุงการกุศลแบบอตั โนมัติจงึ เปน็
สัญญาที่คู่สัญญาคือ ผู้ร้องและผู้คัดค้านจะต้องกระท�ำภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ
ว่าดว้ ยการใหเ้ อกชนเขา้ ร่วมงานหรือดำ� เนินการในกิจการของรฐั พ.ศ. 2535 เมอื่ การทำ�
สัญญาฉบับนี้มิได้ปฏบิ ัตใิ ห้ถูกต้องตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการทก่ี ฎหมาย บญั ญตั ไิ ว้ ทง้ั
ขั้นตอนการเสนอโครงการให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
ให้ความเห็นชอบตามท่ีบัญญัติไว้ในหมวด 2 มาตรา 6 ถึงมาตรา 11 ตลอดจนขั้นตอน
ในส่วนของวิธีการด�ำเนินโครงการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วตาม
ความในหมวด 3 ต้ังแต่มาตรา 12 ถึงมาตรา 21 สัญญาแต่งต้ังผู้แทนจ�ำหน่ายและจ่าย
รางวัลสลากบ�ำรุงการกุศลแบบอัตโนมัติจึงกระท�ำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่า
ดว้ ยการให้เอกชนเข้ารว่ มงานหรือดำ� เนนิ การในกจิ การของรัฐ พ.ศ. 2535 จงึ เป็นสัญญา
ท่ไี มม่ ผี ลผูกพันผรู้ อ้ งและผคู้ ดั ค้านซ่งึ เปน็ คู่สัญญา และย่อมสง่ ผลทำ� ใหส้ ญั ญาขอ้ 26
ซง่ึ เปน็ ขอ้ ตกลงสว่ นหนงึ่ ในสญั ญาแตง่ ตงั้ ผแู้ ทนจำ� หนา่ ยและจา่ ยรางวลั สลากบำ� รงุ การกศุ ล
แบบอัตโนมัติอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยเสนอข้อพิพาทให้
อนญุ าโตตลุ าการเพอื่ ชขี้ าดไมม่ ผี ลบงั คบั ใชไ้ ปดว้ ย ดงั นน้ั คำ� ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการ
ฉบับลงวันที่ 4 ธันวาคม 2543 ผู้ร้องยื่นค�ำร้องขอให้ศาลพิพากษาตามค�ำช้ีขาดจึงเป็น
คำ� ชขี้ าดทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั แกข่ อ้ พพิ าทนน้ั กรณยี อ่ มเขา้ เกณฑต์ ามมาตรา 24
วรรคหนึ่ง แหง่ พระราชบัญญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 (ปจั จุบนั คือ มาตรา 44 แหง่
พระราชบญั ญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545) ทีศ่ าลมอี �ำนาจทำ� คำ� สัง่ ปฏเิ สธไม่รบั บังคบั
ตามค�ำชข้ี าดนั้นได้ (คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 7277/2549 วนิ จิ ฉัยไวใ้ นทำ� นองเดยี วกัน)
20 สัญญาอนุญาโตตุลาการ
สถาบันอนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
สัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่เกิดจากเจตนาของคู่สัญญาท่ีมี
ค�ำเสนอสนองตรงกันแม้ไม่เป็นเอกเทศสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ 3 ก็มผี ลผูกพนั คูส่ ัญญา แตไ่ มม่ ีผลถงึ บุคคลภายนอกดว้ ย ดคู �ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี
18978/2556
คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 18978/2556
ขอ้ ตกลงเรอ่ื งอนญุ าโตตลุ าการและในสญั ญาระบวุ า่ หากมขี อ้ พพิ าทเกย่ี วกบั ความ
ตกลงน้ี และไม่อาจหาข้อยุติได้ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการ เป็น
ข้อตกลงทมี่ ีผลบังคบั ใชก้ บั คู่สญั ญา ได้แก่ โจทก์กบั บริษัท อ. เท่านนั้ ไมม่ ีผลใช้บังคับ
กับจ�ำเลยท้ังสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ฟ้องจ�ำเลยท้ังสองในฐานะผู้ค้�ำประกันหนี้
ของบริษัท อ. ศาลมอี �ำนาจพจิ ารณาพิพากษาคดีได้ (ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2531
วนิ จิ ฉัยในท�ำนองเดยี วกัน)
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2265/2560
สัญญาร่วมลงทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น เป็นสัญญาที่ท�ำข้ึนระหว่างผู้ร้อง
(กองทนุ รวม) ผู้คดั ค้านที่ 1 (บรษิ ทั ) และผู้คดั ค้านท่ี 2 ถึงที่ 4 (ผู้ถอื หุ้นหลัก) ขอ้ 6.6 ระบุ
วา่ ในกรณีท่ี "บรษิ ทั " ไมส่ ามารถระดมทนุ โดยเสนอขายหนุ้ สามญั ตอ่ ประชาชน และ/หรือ
ไมส่ ามารถน�ำห้นุ สามัญของ "บรษิ ทั " เขา้ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยแ์ ห่งประเทศไทย
หรือตลาดหลักทรัพย์ใหม่หรือตลาดหลักทรัพย์อ่ืนใดตามที่ก�ำหนดไว้ในข้อ 6.4 คู่สัญญา
ตกลงจะปฏิบตั ิตามเงื่อนไขดังตอ่ ไปน้ี คือ "ผถู้ ือห้นุ หลกั " จะซอ้ื หุน้ สามัญของ "บริษัท" ที่
"กองทุนรวม" ถืออยู่ทั้งหมดจาก "กองทุนรวม" แสดงว่าผู้คัดค้านท่ี 1 เป็นคู่สัญญาใน
สัญญาน้ี เมื่อผ้คู ัดค้านที่ 1 ไม่สามารถระดมทนุ ตามสัญญาข้อ 6.6 คูส่ ัญญาซง่ึ หมายความ
รวมท้งั ผรู้ ้อง ผูค้ ดั ค้านท่ี 1 และผูค้ ัดค้านท่ี 2 ถงึ ท่ี 4 ตกลงจะปฏบิ ัตดิ ังนคี้ ือ ผูค้ ดั ค้านท่ี
2 ถึงที่ 4 จะซ้ือคืนหุ้นสามญั จากผ้รู ้อง เม่ือผู้คดั คา้ นที่ 2 ถึงท่ี 4 ไม่ซอ้ื คืนหุ้นสามัญจาก
ผรู้ อ้ งเปน็ การผิดสญั ญา ผคู้ ัดคา้ นท่ี 1 ซ่ึงเป็นคูส่ ญั ญาและยอมตกลงตามข้อ 6.6 ด้วย
ยอ่ มมคี วามรบั ผดิ ตามสญั ญาตอ่ ผรู้ อ้ ง ทอี่ นญุ าโตตลุ าการชข้ี าดใหผ้ คู้ ดั คา้ นที่ 1 ตอ้ งรว่ ม
กันหรอื แทนกนั กบั ผู้คดั คา้ นท่ี 2 ถึงที่ 4 จงึ ไมอ่ ยนู่ อกขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตลุ าการ
ค�ำช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการยอ่ มไมข่ ดั ต่อกฎหมาย
สญั ญาอนญุ าโตตุลาการ 21
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตุลาการ
แม้ค�ำร้องของผู้ร้องขอให้ศาลมีค�ำพิพากษาตามค�ำช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ
ถือเป็นค�ำร้องขอให้มีการบังคับตามค�ำช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ตาม
พระราชบัญญตั อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 42 นน่ั เอง ซ่ึงศาลเพียงพพิ ากษาให้
บงั คบั ตามคำ� ชี้ขาดไปเท่านั้น ไม่ตอ้ งพิพากษาตามข้อความในค�ำช้ีขาด
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 714/2561
บันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาร่วมทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ข้อ 12
เปน็ เรอ่ื งคำ� รบั รองของผถู้ อื หนุ้ หลกั อนั ไดแ้ ก่ ผคู้ ดั คา้ นท่ี 2 ถงึ ที่ 4 และขอ้ ตกลงซอื้ หนุ้ คนื
เป็นขอ้ ตกลงระหวา่ งผู้คัดค้านท่ี 2 ถงึ ที่ 4 กบั ผู้รอ้ งโดยตรง ผู้คดั คา้ นท่ี 1 หาไดเ้ กยี่ วขอ้ ง
หรือรับที่จะซ้ือหุ้นคืนจากผู้ร้องไม่ การท่ีอนุญาโตตุลาการมีค�ำช้ีขาดให้ผู้คัดค้านท่ี 1
รว่ มรบั ผดิ กบั ผคู้ ดั คา้ นท่ี 2 ถงึ ที่ 4 ดว้ ย จงึ เปน็ คำ� ชข้ี าดวนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าท ซง่ึ ไมอ่ ยใู่ นขอบเขต
ของสญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ แตศ่ าลชนั้ ตน้ กลบั ไมท่ ำ� คำ� สง่ั ปฏเิ สธไมร่ บั บงั คบั ตามคำ� ชข้ี าด
ในส่วนน้ตี าม พ.ร.บ.อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 43 (4) ย่อมเป็นการไมช่ อบ
การระงบั ขอ้ พพิ าทโดยการอนญุ าโตตลุ าการนนั้ หากไมใ่ ชข่ อ้ พพิ าททไ่ี มอ่ าจระงบั
โดยการอนญุ าโตตลุ าการไดต้ ามกฎหมาย (Arbitrability) กลา่ วคอื ขอ้ พพิ าททจี่ ะตอ้ งไดร้ บั
การวินิจฉัยชี้ขาดโดยอ�ำนาจตุลาการเท่าน้ัน เช่น สถานะหรือความสามารถของบุคคล
ยอ่ มสามารถกำ� หนดข้อสญั ญาอนุญาโตตลุ าการ (Arbitration Clause) ไดท้ ั้งสิ้น เทา่ ท่ีไม่
ขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน เชน่ ละเมดิ ผดิ สญั ญา ทรพั ยส์ นิ
ทางปัญญา คดีปกครอง หรือแม้กระทั่งคดีเฉพาะทางของแต่ละวิชาชีพ ดูค�ำพิพากษา
ศาลฎีกาที่ 3913/2549
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 3913/2549
ค�ำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการท่ีผู้คัดค้านอ้างเป็นกรณีพิพาทกันเก่ียวกับสิทธิ
ในเคร่ืองหมายการคา้ ระหว่างผ้รู ้องกบั ผู้คดั คา้ นว่าใครมีสทิ ธิในเครอ่ื งหมายการค้าพพิ าท
ดีกว่ากัน เม่ือคณะอนุญาโตตุลาการเห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่า
ผคู้ ดั คา้ นกไ็ ดม้ คี ำ� ชขี้ าดตามคำ� ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการ ขอ้ 5 (1) โดยใหผ้ คู้ ดั คา้ นดำ� เนนิ การ
ตามความจ�ำเป็นในการยกเลิกทะเบียนเคร่ืองหมายการค้าพิพาทหรือโอนทะเบียน
22 สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ
สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
เครอื่ งหมายการค้าพพิ าทให้แก่ผูร้ อ้ งแลว้ แตผ่ คู้ ดั คา้ นจะเลือก อนั เป็นคำ� ชี้ขาดให้คู่สญั ญา
กระท�ำการตามสัญญาหรืองดเว้นจากการกระท�ำตามสัญญาต่อไป จึงไม่ใช่ข้อพิพาทท่ี
ไมอ่ าจระงับได้โดยวธิ ีอนุญาโตตุลาการ
การที่ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการก�ำหนดให้คณะอนุญาโตตุลาการใช้กฎหมาย
ของต่างประเทศมาปรับใช้แก่ข้อพิพาทและช้ีขาดตามหลักกฎหมายของต่างประเทศน้ัน
สามารถท�ำได้ตามมาตรา 34 แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 ถอื ว่าอยู่
ภายในขอบเขตอำ� นาจของคณะอนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา 37 ทงั้ ไมเ่ ปน็ เหตทุ ำ� ใหส้ ญั ญา
อนญุ าโตตลุ าการเปน็ โมฆะ หรอื ขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 150 ดคู ำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 3368/2552
คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3368/2552
การที่โจทก์และจ�ำเลยตกลงกันให้เสนอข้อพิพาทท่ีอาจเกิดขึ้นในอนาคตต่อ
อนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสิงคโปร์และน�ำกฎหมายของประเทศสิงคโปร์มาใช้
บังคับ ข้อตกลงดังกล่าวหาได้ท�ำให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน
แต่อย่างใดไม่ อีกทั้งจ�ำเลยก็มิได้เป็นผู้ก�ำหนดข้อตกลงดังกล่าวด้วยตนเอง ข้อตกลงเร่ือง
อนญุ าโตตลุ าการจงึ สมบรู ณแ์ ละสามารถบงั คบั ได้ หาใช่ ขอ้ สญั ญาทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรมหรอื ขดั ตอ่
ความสงบเรยี บรอ้ ยและศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนดงั ทโ่ี จทก์ กลา่ วอา้ งไม่ และทโี่ จทกอ์ า้ งวา่
การเสนอขอ้ พพิ าทตอ่ อนญุ าโตตลุ าการแหง่ ประเทศสงิ คโปรก์ อ่ ใหเ้ กดิ ภาระและทำ� ใหโ้ จทก์
ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจ�ำนวนสูง ก็มิใช่เหตุท่ีท�ำให้โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้
คดไี มม่ เี หตทุ ที่ ำ� ใหส้ ญั ญาอนญุ าโตตลุ าการนนั้ เปน็ โมฆะหรอื ใชบ้ งั คบั ไมไ่ ด้ หรอื มเี หตทุ ที่ ำ� ให้
ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาน้ันได้ (ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1958/2548, 1772/2542,
2562/2540, 698/2521 วนิ จิ ฉยั ในทำ� นองเดยี วกนั )
สญั ญาอนุญาโตตุลาการ 23
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ
บทที่ 2
กระบวนพจิ ารณาอนุญาโตตลุ าการ
2.1 อนุญาโตตลุ าการ
พระราชบญั ญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 18 บัญญตั วิ า่ “ในกรณี
ท่ีคู่พิพาทมิได้ก�ำหนดวิธีการต้ังคณะอนุญาโตตุลาการไว้เป็นอย่างอื่น ให้ด�ำเนินการดังต่อ
ไปนี้
(1) ในกรณีที่ก�ำหนดให้คณะอนุญาโตตุลาการประกอบด้วยอนุญาโตตุลาการ
เพียงคนเดียวถ้าคู่พิพาทไม่อาจตกลงกันได้ ให้คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นค�ำร้องต่อศาลท่ี
มเี ขตอ�ำนาจให้มคี �ำส่งั ตัง้ คณะอนุญาโตตลุ าการแทน
(2) ในกรณีที่ก�ำหนดให้คณะอนุญาโตตุลาการประกอบด้วยอนุญาโตตุลาการ
มากกว่าหน่ึงคนให้คู่พิพาทตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายละเท่ากันและให้อนุญาโตตุลาการดัง
กลา่ วรว่ มกนั ตงั้ อนญุ าโตตุลาการอีกคนหนง่ึ แต่ถา้ คู่พพิ าทฝ่ายใดมิได้ตง้ั อนญุ าโตตลุ าการ
ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้งจากคู่พิพาทอีกฝ่ายหน่ึงให้ต้ังอนุญาโตตุลาการ
หรือถ้าอนุญาโตตุลาการทั้งสองฝ่ายไม่อาจร่วมกันตั้งประธานคณะอนุญาโตตุลาการได้
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รับการต้ังให้เป็นอนุญาโตตุลาการ ให้คู่พิพาทฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งย่ืนค�ำร้องต่อศาลที่มีเขตอ�ำนาจให้มีค�ำส่ังตั้งอนุญาโตตุลาการหรือประธานคณะ
อนญุ าโตตุลาการแทน
ในกรณีที่การต้ังอนุญาโตตุลาการตามวรรคหน่ึงมิได้ก�ำหนดวิธีการอ่ืนใดท่ีท�ำให้
สามารถตัง้ อนญุ าโตตุลาการได้ ใหค้ ู่พพิ าทฝา่ ยใดฝ่ายหน่ึงยื่นค�ำรอ้ งตอ่ ศาลทมี่ ีเขตอ�ำนาจ
ใหด้ �ำเนนิ การต้งั อนุญาโตตลุ าการตามท่ีศาลเห็นสมควรได้ หากปรากฏวา่
(1) คู่พพิ าทฝา่ ยใดฝา่ ยหน่ึงมไิ ดด้ �ำเนินการตามวิธีการท่กี �ำหนดไว้
(2) คพู่ พิ าทหรอื อนญุ าโตตลุ าการไมอ่ าจตกลงกนั ตามวธิ กี ารทกี่ ำ� หนดไวไ้ ด้ หรอื
24 อนญุ าโตตุลาการ
สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
(3) บุคคลท่ีสามหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหน่ึงมิได้ด�ำเนินการตามวิธีการท่ี
ก�ำหนดไว้”
วิธกี ารตั้งคณะอนุญาโตตลุ าการ
โดยปกติ ในสัญญาอนุญาโตตุลาการจะก�ำหนดวิธีการต้ังคณะอนุญาโตตุลาการ
เอาไว้ต่างหากนอกเหนือจากตามที่ก�ำหนดไว้ในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.
2545 ขนึ้ อยกู่ บั ปจั จยั หลาย ๆ สง่ิ ไมว่ า่ จะเปน็ ระบบของการตงั้ อนญุ าโตตลุ าการ เชน่ ระบบ
การเสนอชอื่ (Nomination) หรอื ระบบการแตง่ ตง้ั (Appointment) เปน็ ตน้ หรอื จำ� นวน
อนญุ าโตตลุ าการ ซงึ่ การกำ� หนดวธิ กี ารเหลา่ นกี้ ฎหมายรบั รองใหส้ ามารถกำ� หนดแตกตา่ งไป
จากทก่ี ำ� หนดไวใ้ นพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 ได้ ไมเ่ ปน็ การขดั ตอ่ มาตรา
18 แตอ่ ยา่ งใด แตห่ ากคพู่ พิ าทมไิ ดต้ กลงกนั เกย่ี วกบั วธิ กี ารตง้ั คณะอนญุ าโตตลุ าการ กต็ อ้ ง
ด�ำเนนิ การต้ังอนญุ าโตตลุ าการ ตามทีม่ าตรา 18 บัญญตั ไิ ว้
อย่างไรก็ดี การท่ีคู่พิพาทได้ตกลงกันให้ใช้กฎข้อบังคับของสถาบัน
อนุญาโตตุลาการ สถาบันใดสถาบันหน่ึงในการระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ
ถือได้ว่าคู่พิพาทได้ตกลงให้ใช้วิธีการต้ังคณะอนุญาโตตุลาการตามท่ีก�ำหนดไว้ในกฎ
ขอ้ บงั คบั ของสถาบนั อนญุ าโตตลุ าการนน้ั ๆ แลว้ กรณจี งึ ตอ้ งบงั คบั ตามวธิ กี ารทกี่ ำ� หนดใน
กฎขอ้ บงั คบั ดงั กลา่ ว โดยถอื วา่ กฎขอ้ บงั คบั ดงั กลา่ วเปน็ สว่ นหนง่ึ ของสญั ญา ดคู ำ� พพิ ากษา
ศาลฎกี าที่ 2562/2540
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2562/2540
ตามสญั ญาซ้อื ขา้ วเอกสารหมาย จ.4 และ ร.5 ได้วางขอ้ กำ� หนดและเง่อื นไขไว้
ว่า สัญญาน้ี ท�ำข้ึนโดยให้ใช้ข้อก�ำหนดและเง่ือนไขท่ัวไปตามท่ีระบุในสัญญาของสมาคม
กาฟต้าเลขที่ 119 ยกเว้น ในส่วนท่ีได้ก�ำหนดไว้ในสัญญานี้เป็นอย่างอื่นทั้งผู้ซื้อ (ผู้ร้อง)
และผขู้ าย (ผคู้ ดั คา้ น) ไดย้ อมรบั โดย ชดั แจง้ ซงึ่ ขอ้ กำ� หนดเรอ่ื งการประนปี ระนอมยอมความ
รวมทั้งข้อบังคับอนุญาโตตุลาการเลขที่ 125 ของสมาคมกาฟต้าด้วยผู้คัดค้านได้รับ
สัญญาเอกสารหมาย ร.4 และ ร.5 จากผู้ร้องก่อนจะส่งมอบข้าวที่ขายให้แก่ผู้ร้อง
แสดงว่าผู้คัดค้านได้ทราบและยอมรับจะปฏิบัติตามข้อก�ำหนดและเง่ือนไขของสัญญา
อนญุ าโตตุลาการ 25
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ
ท้ังสองฉบับแล้วและตามข้อก�ำหนดท่ัวไปของสัญญาซื้อขายของสมาคมกาฟต้าเอกสาร
หมาย ร.6 ข้อ 29 มีใจความว่าหากมีข้อพิพาทหรอื ขอ้ โต้แย้งใด ๆ ซ่งึ เกดิ จากหรือภายใต้
สญั ญาดงั กลา่ วให้ระงบั ขอ้ พพิ าทโดยอนญุ าโตตลุ าการตามนัยกฎข้อบังคับเลขที่ 125 ของ
สมาคมกาฟต้าฉบับท่ีใช้อยู่ในวันท�ำสัญญา กฎขอ้ บงั คบั ดงั กลา่ วเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสญั ญา
และเปน็ กฎขอ้ บงั คบั ทถี่ อื วา่ คกู่ รณี ทงั้ สองฝา่ ยรบั ทราบอยแู่ ลว้ นอกจากนั้นทางสมาคม
กาฟตา้ ก็เคยรบั รองกับผรู้ ้องวา่ กฎข้อบงั คบั ของสมาคมเลขท่ี 125 สามารถใชบ้ งั คบั ตาม
สญั ญาระหวา่ งผรู้ อ้ งกบั ผคู้ ดั คา้ นได้ เมอื่ มขี อ้ พพิ าทตามสญั ญาเอกสารหมาย ร.4 และ ร.5
เกิดขึ้น ผู้ร้องได้แจ้งให้ผู้คัดค้านทราบว่าจะเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
ช้ีขาดโดยผู้ร้องเสนอ อ. เป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ร้องแต่ผู้เดียวผู้คัดค้านจะยอมรับ
หรือไม่ หรือจะแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการอีกคนแต่ผู้คัดค้านไม่ได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้อง
จงึ รอ้ งขอใหส้ มาคมกาฟตา้ แตง่ ตงั้ อนญุ าโตตลุ าการแทนฝา่ ยผคู้ ดั คา้ นทางสมาคมไดแ้ ตง่ ตง้ั
อ. เป็นอนุญาโตตุลาการแทนฝ่ายผู้คัดค้านซ่ึงเป็นการแต่งต้ังตามเง่ือนไขของข้อบังคับ
อนุญาโตตุลาการเลขที่ 125 ข้อ 3.7 และทางสมาคมได้แจ้งให้ผู้คัดค้านทราบแล้ว
การแต่งตัง้ อ. เปน็ อนญุ าโตตุลาการฝ่ายผู้คดั ค้านจึงชอบแล้ว และไมเ่ ปน็ การฝ่าฝืนต่อ
พระราชบญั ญตั อิ นุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2530
การขอให้ศาลต้ังอนุญาโตตุลาการ ตามท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 ตามมาตรา 18 วรรคสองนั้น ตอ้ งเปน็ กรณที มี่ กี ารดำ� เนนิ
การตั้งคณะอนุญาโตตุลาการตามที่ก�ำหนดในสัญญาหรือตามมาตรา 18 วรรคแรก
แต่ไม่สามารถท่ีจะต้ังคณะอนุญาโตตุลาการได้ คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงจะมีสิทธิ์
ยน่ื คำ� รอ้ งขอตอ่ ศาลทมี่ เี ขตอำ� นาจใหด้ ำ� เนนิ การตง้ั อนญุ าโตตลุ าการไดต้ ามเหตทุ ก่ี ำ� หนดไว้
ในมาตรา 18 วรรคสอง ดคู ำ� สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ 685/2550 และ ค�ำสัง่ ศาลปกครอง
สูงสดุ ที่ ร.507/2552
คำ� ส่ังศาลปกครองสงู สดุ ที่ 685/2550
การที่ผู้ร้องได้เสนอข้อพิพาทในฐานะผู้เรียกร้องต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ส�ำนักระงับข้อพิพาท ส�ำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้อนุญาโตตุลาการมีค�ำช้ีขาดข้อพิพาท
เก่ียวกับการปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นกรณีท่ีผู้ร้องเสนอให้ระงับข้อพิพาทด้วยวิธีทาง
26 อนุญาโตตลุ าการ
สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
อนญุ าโตตลุ าการ ตามมาตรา 15 แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 และเมอ่ื
ผรู้ ้องด�ำเนนิ การตง้ั อนญุ าโตตุลาการฝ่ายตนแลว้ จึงมีหนงั สอื แจง้ การตัง้ อนญุ าโตตลุ าการ
ฝา่ ยตนเพอ่ื ใหผ้ คู้ ดั คา้ นดำ� เนนิ การตงั้ อนญุ าโตตลุ าการฝา่ ยผคู้ ดั คา้ นภายในสามสบิ วนั นบั แต่
วันท่ีไดร้ บั แจง้ แตผ่ ู้คดั ค้านมไิ ด้ดำ� เนินการตามวธิ กี ารทกี่ ำ� หนดไว้ จงึ เป็นกรณที ี่ผูค้ ัดคา้ น
ไม่ประสงคท์ จี่ ะใช้สิทธติ ง้ั อนุญาโตตุลาการฝา่ ยตน ดังนนั้ ผ้รู อ้ งจึงมีสทิ ธิ ยน่ื ค�ำร้องตอ่
ศาลที่มเี ขตอ�ำนาจ คอื ศาลปกครอง เนอ่ื งจากขอ้ พิพาทระหวา่ งคู่สญั ญาน้เี ป็นขอ้ พพิ าท
เก่ียวกบั สัญญาเขา้ ร่วมงานและด�ำเนนิ การวทิ ยุโทรทศั น์ ระบบ ยู เอช เอฟ อันมลี ักษณะ
เป็นสญั ญาทางปกครองตามมาตรา 3 และเปน็ คดีพพิ าทเกี่ยวกบั เร่อื งที่มีกฎหมายกำ� หนด
ใหอ้ ยูใ่ นเขตอ�ำนาจศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหน่งึ (6) แหง่ พระราชบญั ญตั ิจัดตัง้
ศาลปกครองฯ ประกอบมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญตั ิอนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
ค�ำสง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ ร.507/2552
การท่ผี ู้ฟอ้ งคดมี ิได้แจง้ ใหผ้ ถู้ กู ฟ้องคดีด�ำเนินการแตง่ ตงั้ อนญุ าโตตุลาการ ท้งั
มิได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ขอให้มีค�ำชี้ขาดข้อพิพาทเก่ียวกับเงิน
ค่าทดแทนการใช้ท่ีดินในการวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ตามข้ันตอนและวิธีการท่ี
ก�ำหนดไว้ในระเบียบของสถาบันอนุญาโตตุลาการ กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่ผู้ฟ้องคดีจะน�ำ
คดมี าฟอ้ งตอ่ ศาลเพอื่ ขอใหศ้ าลมคี ำ� สง่ั ตง้ั อนญุ าโตตลุ าการไดต้ ามมาตรา 18 แหง่ พระ
ราชบญั ญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
การคัดคา้ นอนญุ าโตตลุ าการ
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 บญั ญัติว่า “ในกรณี
ท่คี ่พู พิ าทมิได้ตกลงกันไวเ้ ป็นอยา่ งอ่นื คพู่ ิพาทฝ่ายท่ีประสงคจ์ ะคัดคา้ นอนญุ าโตตุลาการ
จะตอ้ งยนื่ หนงั สอื แสดงเหตแุ หง่ การคดั คา้ นตอ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการภายในสบิ หา้ วนั นบั แต่
วนั ทไ่ี ดร้ ถู้ งึ การตง้ั อนญุ าโตตลุ าการ หรอื รถู้ งึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 19 วรรค
สาม และหากอนญุ าโตตลุ าการซงึ่ ถกู คดั คา้ นไมถ่ อนตวั จากการเปน็ อนญุ าโตตลุ าการ หรอื
คู่พิพาทอีกฝ่ายหน่ึงไม่เห็นด้วยกับข้อคัดค้านน้ัน ให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัย
ค�ำคัดคา้ นนั้น
อนญุ าโตตุลาการ 27
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ
ถ้าการคัดค้านโดยวิธีตามท่ีคู่พิพาทตกลงกันหรือตามวิธีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง
ไมบ่ รรลผุ ลหรอื ในกรณมี อี นญุ าโตตลุ าการเพยี งคนเดยี ว คพู่ พิ าทฝา่ ยทค่ี ดั คา้ นอาจยนื่ คำ� รอ้ ง
คัดค้านต่อศาลท่ีมีเขตอ�ำนาจภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งค�ำวินิจฉัย
คำ� คดั คา้ นนน้ั หรอื นบั แตว่ นั ทร่ี ถู้ งึ การตง้ั อนญุ าโตตลุ าการ หรอื รถู้ งึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทบ่ี ญั ญตั ิ
ไวใ้ นมาตรา 19 วรรคสาม แลว้ แตก่ รณแี ละเมอื่ ศาล ไตส่ วนคำ� คดั คา้ นนน้ั แลว้ ใหม้ คี ำ� สง่ั ยอมรบั
หรอื ยกเสยี ซงึ่ คำ� คดั คา้ นนนั้ และในระหวา่ งการพจิ ารณาของศาล คณะอนุญาโตตลุ าการซึ่ง
รวมถงึ อนญุ าโตตลุ าการซง่ึ ถกู คดั คา้ นอาจดำ� เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการตอ่ ไปจนกระทงั่
มีคำ� ชีข้ าดได้ ทัง้ นี้ เว้นแต่ศาลจะมีค�ำสง่ั เปน็ อย่างอ่ืน
ในกรณีท่ีมีเหตุจ�ำเป็น คณะอนุญาโตตุลาการอาจขยายระยะเวลาการคัดค้าน
อนญุ าโตตลุ าการตามวรรคหน่งึ ออกไปไดอ้ ีกไม่เกินสบิ หา้ วนั ”
วิธีการคัดค้านอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 น้นั หากค่พู พิ าทไม่ไดต้ กลงไว้เป็นอยา่ งอนื่ นอกเหนอื จากท่ี
มกี ำ� หนดไวใ้ นมาตราดงั กลา่ ว การทค่ี พู่ พิ าทจะรอ้ งขอตอ่ ศาลเพอ่ื ใหถ้ อนอนญุ าโตตลุ าการ
ออกจากคณะอนุญาโตตุลาการได้น้ัน จะต้องน�ำเหตุดังกล่าวให้คณะอนุญาโตตุลาการ
วนิ ิจฉยั ชข้ี าดเหตคุ ัดค้านนน้ั เสยี ก่อน หากมีขอ้ ขัดข้องอย่างไร จงึ จะมีสทิ ธิน�ำเหตคุ ดั ค้าน
มาร้องขอต่อศาลที่มีเขตอ�ำนาจ มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 20 วรรคสอง
ศาลชอบท่ีจะมคี �ำส่งั ยกค�ำรอ้ งดงั กลา่ ว ดคู �ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 15010/2558
ค�ำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 15010/2558
สัญญาประกันภัยระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านมีข้อก�ำหนดการระงับข้อพิพาทโดย
อนญุ าโตตลุ าการวา่ หากคคู่ วามมขี อ้ พพิ าทใด ๆ เกย่ี วขอ้ งกบั สญั ญาน้ี ใหเ้ สนอขอ้ พพิ าทนนั้
ตอ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการ (an arbitration tribunal) ซง่ึ มาตรา 20 วรรคหนงึ่ แหง่ พระราชบญั ญตั ิ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 บัญญัติว่า ในกรณีที่คู่พิพาทมิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอ่ืน
คู่พิพาทฝ่ายท่ีประสงค์จะคัดค้านอนุญาโตตุลาการจะต้องยื่นหนังสือแสดงเหตุแห่งการ
คดั คา้ นตอ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการภายในสบิ หา้ วนั นบั แตว่ นั ทไ่ี ดร้ ถู้ งึ การตง้ั อนญุ าโตตลุ าการ
หรอื รขู้ อ้ เทจ็ จรงิ ตามทบี่ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 19 วรรคสาม เมอ่ื ผคู้ ดั คา้ นแจง้ การแตง่ ตง้ั จ. เปน็
อนญุ าโตตลุ าการฝา่ ยผคู้ ดั คา้ น ผรู้ อ้ งแจง้ คดั คา้ นการแตง่ ตงั้ อนญุ าโตตลุ าการฝา่ ยผคู้ ดั คา้ น
28 อนญุ าโตตลุ าการ
สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
โดยไมป่ รากฏวา่ ผรู้ อ้ งไดแ้ ตง่ ตงั้ อนญุ าโตตลุ าการฝา่ ยผรู้ อ้ งแลว้ รว่ มกนั ตงั้ อนญุ าโตตลุ าการ
เพม่ิ อกี หนงึ่ คนเปน็ ประธานคณะอนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา 17 วรรคหนง่ึ และวรรคสอง
เพื่อประกอบกันเป็นคณะอนุญาโตตุลาการ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลง
วธิ คี ดั ค้านอนญุ าโตตุลาการไวเ้ ป็นอยา่ งอน่ื จึงเปน็ กรณที ่ีผู้รอ้ งยงั ไมไ่ ด้ปฏิบัตติ ามมาตรา
20 วรรคหน่ึง คือไม่ได้ยื่นหนังสือแสดงเหตุแห่งการคัดค้านต่อคณะอนุญาโตตุลาการ
ผรู้ อ้ งย่อมไม่มีสทิ ธยิ ่ืนค�ำรอ้ งขอใหศ้ าล เพกิ ถอนการแตง่ ตั้ง จ. เป็นอนุญาโตตุลาการ
ฝ่ายผู้คดั คา้ น
การร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการเป็นคนละเรื่องกับการร้องขอให้เพิกถอน
ค�ำชข้ี าด หากอนญุ าโตตุลาการเขียนค�ำชี้ขาดไมช่ อบดว้ ยกฎหมายอย่างไร คพู่ พิ าทตอ้ งใช้
สทิ ธริ อ้ งขอให้ ศาลเพกิ ถอนคำ� ชขี้ าด ตามมาตรา 40 แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
ไม่ใช่ฟ้องบังคับให้อนุญาโตตุลาการเพิกถอนค�ำช้ีขาดของตนเอง ทั้งการด�ำเนินการทาง
อนุญาโตตุลาการในฐานะอนุญาโตตุลาการโดยปกติไม่ต้องรับผิดในทางแพ่ง เว้นแต่จะ
กระท�ำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง (มาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545) จึงไม่ใช่กรณีท่ีเป็นการโต้แย้งสิทธิตามมาตรา 55 ตาม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ ด้วย ดคู �ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18217/2557
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 18217/2557
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติ
ว่า "การคัดค้าน ค�ำช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอาจท�ำได้โดยการขอให้ศาลท่ีมีเขต
อ�ำนาจเพิกถอนค�ำชี้ขาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้" วรรคสอง บัญญัติว่า "คู่พิพาทฝ่าย
ใดฝ่ายหน่ึงอาจขอให้เพิกถอนค�ำช้ีขาดได้ โดยย่ืนค�ำร้องต่อศาลท่ีมีเขตอ�ำนาจภายในเก้า
สิบวันนบั แต่วันไดร้ ับส�ำเนาคำ� ชีข้ าด..." วรรคสาม บัญญัติว่า "ให้ศาลเพิกถอนค�ำชขี้ าดได้
ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) คู่พิพาทฝ่ายที่ขอให้เพิกถอนค�ำชี้ขาดสามารถพิสูจน์ได้ว่า... (ง)
ค�ำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือค�ำช้ีขาด
วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ... (จ)...
กระบวนพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการมิได้เป็นไปตามที่คู่พิพาทได้ตกลงกันไว้..."
ดังนั้น หากโจทก์ซึ่งเป็นคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงประสงค์จะคัดค้านค�ำชี้ขาดของ
อนุญาโตตลุ าการ 29
Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ
คณะอนญุ าโตตลุ าการสามารถกระทำ� ไดโ้ ดยการขอใหศ้ าลเพกิ ถอนคำ� ชขี้ าดตามมาตรา 40
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งตามค�ำฟ้องของโจทก์บรรยายโดยแจ้งชัดถึง
สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าค�ำวินิจฉัยชี้ขาดของจ�ำเลยใน
ฐานะคณะอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ท้ังไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือค�ำชี้ขาดวินิจฉัยเกินขอบเขตแห่ง
ข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ และกระบวนพิจารณาของ
คณะอนญุ าโตตุลาการมิไดเ้ ป็นไปตามทค่ี ่พู พิ าทไดต้ กลงกนั ไวต้ ามมาตรา 40 วรรคสาม (1)
(ง) (จ) แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ทงั้ มคี ำ� ขอบงั คบั ใหเ้ พกิ ถอนค�ำช้ีขาดของจ�ำเลยในฐานะ
คณะอนุญาโตตุลาการ ค�ำฟ้องของโจทก์จึงเป็นเรื่องขอให้เพิกถอนค�ำช้ีขาดของ
คณะอนญุ าโตตลุ าการ โจทกต์ อ้ งยนื่ คำ� รอ้ งตอ่ ศาลตามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสอง หาใช่ฟ้องจ�ำเลยเพ่ือขอเพิกถอนค�ำช้ีขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการ ทั้งการกระท�ำท่ีโจทก์บรรยายฟ้องถึงสภาพแห่งข้อหาดังกล่าว
จ�ำเลยไม่ว่าจะ ในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะคณะอนุญาโตตุลาการหาได้โต้แย้งสิทธิหรือ
หนา้ ทข่ี องโจทกไ์ มแ่ ละกรณหี าใชเ่ ปน็ การเสนอคดมี ี ขอ้ พพิ าทหรอื คดไี มม่ ขี อ้ พพิ าทตอ่ ศาล
ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา 55 หรอื กรณคี วรคนื คำ� ฟอ้ งนนั้ ไปให้
โจทกท์ ำ� มาใหมต่ ามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ไม่ (ค�ำพิพากษา
ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.276/2556 วนิ ิจฉยั ไวใ้ นท�ำนองเดยี วกัน)
การมผี ลประโยชนข์ ัดกันในมูลความแหง่ คดี (Conflict of Interest) เป็นปัญหา
เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ส่งผลกระทบต่อคู่พิพาท
และกระบวนการอนุญาโตตุลาการ การเปิดเผยข้อเท็จจริงซ่ึงอาจเป็นเหตุอันควรสงสัย
ว่าอนุญาโตตุลาการที่ถูกแต่งตั้งมาน้ันมีความอิสระและเป็นกลางหรือไม่ ตามมาตรา 19
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ จึงเป็นข้อส�ำคัญที่อนุญาโตตุลาการต้องค�ำนึงถึง
หากด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไป ก็จะถูกคัดค้านและเพิกถอนการเป็น
อนุญาโตตลุ าการในคดนี ัน้ ดคู ำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 2231 - 2233/2553
30 อนญุ าโตตลุ าการ
สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231-2233/2553
ความเปน็ กลางและเปน็ อสิ ระของอนญุ าโตตลุ าการถอื เปน็ คณุ สมบตั ทิ สี่ ำ� คญั ที่
จะเปน็ หลกั ประกนั ความยตุ ธิ รรมใหแ้ กค่ พู่ พิ าท หากอนญุ าโตตลุ าการปราศจากเสยี ซง่ึ
ความเปน็ กลางและเปน็ อสิ ระแลว้ คพู่ พิ าทกจ็ ะไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมและกระบวนการ
อนญุ าโตตลุ าการกจ็ ะไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั บทบญั ญตั นิ จ้ี งึ เปน็ บทกฎหมายเกย่ี วกบั ความ
สงบเรียบร้อย เม่ือศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผคู้ ดั คา้ นท่ี 1 ไมใ่ ชผ่ ถู้ อื หนุ้ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของผคู้ ดั คา้ น
ท่ี 3 และที่ 5 จงึ ไมม่ เี หตอุ นั ควรสงสยั ถงึ ความ เปน็ กลางและเป็นอิสระของผู้คัดค้านที่ 1
ในการปฏิบัติหน้าท่ีอนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาข้อพิพาทระหว่างผรู้ อ้ งกบั ผคู้ ดั คา้ นที่ 3
และที่ 5 ดงั นน้ั การทผ่ี รู้ อ้ งทง้ั สามสำ� นวนอทุ ธรณค์ ดั คา้ นวา่ ผคู้ ดั คา้ นท่ี 1 ซง่ึ ไดร้ บั เลอื กเป็น
ประธานอนญุ าโตตลุ าการขาดความเปน็ กลางและเปน็ อสิ ระจงึ เปน็ การกลา่ วอา้ งคดั คา้ นวา่
คำ� สง่ั ศาลชน้ั ตน้ ขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน ไมต่ อ้ งหา้ มอทุ ธรณต์ ามมาตรา 45
(2) แหง่ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545
ผ้คู ดั ค้านท่ี 1 เป็นผูล้ งชือ่ โอนหุ้นใหแ้ กผ่ ู้ใต้บังคับบญั ชาย่อมต้องรอู้ ยู่ก่อนแล้ววา่
หนุ้ ของ ผู้คดั ค้านที่ 3 และท่ี 5 ออกในนามของตนเอง แมผ้ คู้ ัดคา้ นท่ี 1 จะเหน็ ว่าตนไม่มี
สว่ นไดเ้ สียในการซ้อื หนุ้ ของผูค้ ดั คา้ นท่ี 3 และท่ี 5 แต่ผ้คู ดั ค้านที่ 1 ก็มหี นา้ ท่ตี ้องเปดิ เผย
ขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กลา่ วซงึ่ อาจเปน็ เหตอุ นั ควรสงสยั ถงึ ความเปน็ กลางหรอื ความเปน็ อสิ ระของ
ตนใหค้ พู่ พิ าททราบ การทผ่ี คู้ ดั คา้ นไมเ่ ปดิ เผยขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กลา่ วเปน็ การขดั ตอ่ หนา้ ทขี่ อง
อนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา 19 แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 ผคู้ ดั คา้ น
ที่ 1 จงึ ไม่อาจท�ำหนา้ ทเ่ี ป็นอนญุ าโตตุลาการรวมทั้งเป็นประธานอนุญาโตตุลาการได้
ปญั หาทม่ี กั จะเกดิ ขนึ้ ในขอ้ พพิ าททางปกครอง คอื พนกั งานอยั การมคี วามอสิ ระ
และเปน็ กลาง สามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ปน็ อนญุ าโตตลุ าการไดห้ รอื ไม่ ปญั หาน้ี ศาลปกครอง
สงู สดุ ไดว้ างบรรทดั ฐานเอาไวว้ า่ ใหพ้ จิ ารณาจากมูลความแห่งคดเี พียงวา่ พนักงานอัยการ
ผนู้ นั้ เปน็ ผทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ งหรอื มคี วามสมั พนั ธอ์ นั ใกลช้ ดิ อยา่ งไรในมลู ความแหง่ คดพี พิ าท โดย
ไมต่ อ้ งคำ� นงึ ถงึ การดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ พนกั งานอยั การ หากพนกั งานอยั การผนู้ นั้ มไิ ดม้ สี ว่ น
เกย่ี วขอ้ งอยา่ งใดในมลู ความแหง่ คดที พ่ี พิ าทกนั อยู่ กพ็ อทจี่ ะถอื ไดว้ า่ พนกั งานอยั การผนู้ นั้
ไม่มีเหตุอันควรสงสัยในเร่ืองของความอิสระและเป็นกลาง สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็น
อนญุ าโตตลุ าการ 31
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตุลาการ
อนุญาโตตลุ าการในขอ้ พพิ าทนนั้ ๆ ได้ ซึง่ ขอ้ เทจ็ จริงทีจ่ ะเป็นเหตุอันควรสงสัยว่ามีความ
อสิ ระและเปน็ กลางหรอื ไมน่ น้ั เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ของแตล่ ะบคุ คลไป ดคู ำ� สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ
ท่ี ค.4/2554, ค.8/2554, ร.4/2557, ค.9/2557 และ ค.1/2560
ค�ำส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ที่ ค.1/2560
การท่ีจะพิจารณาว่าอนุญาโตตุลาการผู้ใดจะมีความเป็นกลางและเป็นอิสระ
ในการท�ำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการหรือไม่น้ัน ต้องพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่าง
อนญุ าโตตลุ าการผนู้ นั้ กบั คกู่ รณใี นขอ้ พพิ าทวา่ มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั เพยี งใด เพราะการ
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงอาจท�ำให้การท�ำหน้าท่ีอนุญาโตตุลาการ
เปน็ ไปโดยไมม่ คี วามเปน็ กลางและเปน็ อสิ ระจากคกู่ รณไี ด้ คดนี แ้ี มว้ า่ ผคู้ ดั คา้ นท่ี 2 จะดำ� รง
ตำ� แหนง่ เปน็ พนกั งานอยั การในขณะทที่ ำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ อนญุ าโตตลุ าการ กไ็ มม่ บี ทบญั ญตั ิ
ของกฎหมายหา้ มตงั้ พนกั งานอยั การเปน็ อนญุ าโตตลุ าการ ซงึ่ นอกจากจะไมม่ กี ฎหมาย
หา้ มแลว้ ตามข้อ 68 ของระเบียบส�ำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการด�ำเนินคดีแพ่งของ
พนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ยังกำ� หนดหลกั เกณฑ์เกย่ี วกบั การแตง่ ต้ังพนกั งานอยั การเปน็
อนญุ าโตตลุ าการเอาไว้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ตวั ความหรอื คกู่ รณใี นขอ้ พพิ าทไมว่ า่ จะเปน็ ฝา่ ยรฐั
หรอื ฝา่ ยเอกชน กส็ ามารถตง้ั พนกั งานอยั การเปน็ อนญุ าโตตลุ าการฝา่ ยตนไดส้ อดคลอ้ งกบั
อำ� นาจหนา้ ทท่ี ว่ั ไปของพนกั งานอยั การทต่ี อ้ งรกั ษาผลประโยชนข์ องรฐั และในขณะเดยี วกนั
ก็ตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลือทางกฎหมายแกป่ ระชาชน
การที่ผู้คัดค้านท่ี 2 เคยเป็นทนายความให้แก่ผู้คัดค้านที่ 4 ในช้ัน
อนุญาโตตุลาการในคดีก่อน แล้วมาปฏิบัติหน้าท่ีเป็นอนุญาโตตุลาการในคดีน้ี แม้
ข้อพิพาทในคดีก่อนจะสืบเน่ืองมาจากสัญญาร่วมการงานและร่วมทุนขยายบริการทาง
โทรศัพท์ เช่นเดียวกับข้อพิพาทในคดีน้ี แต่อย่างไรก็ดี ประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนเป็น
ประเดน็ ขอ้ พพิ าทเกยี่ วกบั สว่ นแบง่ รายไดต้ ามสญั ญาอนั สบื เนอื่ งมาจากการประกาศใชภ้ าษี
มูลค่าเพ่มิ (VAT) ของรัฐบาล ผลการวินิจฉัยของอนญุ าโตตุลาการก�ำหนดให้คู่พพิ าทรับผิด
ชอบภาษีมลู คา่ เพ่มิ ทตี่ ้องรบั ภาระแทนผู้ใช้บรกิ ารคนละเทา่ ๆ กนั ซึ่งเป็นคนละประเด็น
กบั ขอ้ พพิ าทในคดนี ี้ โดยคดนี ม้ี ปี ระเดน็ วา่ ผคู้ ดั คา้ นที่ 4 ยงั มอี ำ� นาจและสามารถใชอ้ ำ� นาจ
หน้าที่ตามสัญญาร่วมการงานและร่วมทุนระหว่างผู้คัดค้านที่ 4 กับผู้ร้องต่อไปได้หรือไม่
32 อนุญาโตตุลาการ
สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
ประเด็นข้อพิพาทในคดีน้ีไม่มีส่วนเกี่ยวเน่ืองหรือเกี่ยวพันกับประเด็นข้อพิพาทในคดี
ก่อนแต่อย่างใด ท้งั ผคู้ ดั คา้ นท่ี 2 ก็มิไดเ้ กยี่ วขอ้ งหรือด�ำเนนิ การใด ๆ กบั คู่ความในคดี
ก่อนอกี เลยเป็นระยะเวลากวา่ 15 ปี นอกจากน้ี ผูค้ ัดค้านที่ 2 กเ็ ปน็ พนกั งานอยั การ ซ่ึง
โดยกฎหมายทเ่ี กีย่ วข้องแล้ว พนักงานอยั การมีอิสระในการพจิ ารณาส่ังคดีและการปฏิบตั ิ
หน้าที่ให้เป็นไปโดยเท่ียงธรรม จึงเป็นหลักประกันถึงความเป็นกลางและเป็นอิสระของ
พนกั งานอัยการในการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีแล้ว
คำ� ส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ ร.4/2557
เมื่อพิจารณาตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการส�ำนักงานอัยการสูงสุด
พ.ศ.2540ซง่ึ กำ� หนดใหอ้ งคก์ รอยั การมภี ารกจิ หนา้ ทที่ ห่ี ลากหลายมใิ ชแ่ ตก่ ารรกั ษาผลประโยชน์
ของรฐั เพยี งอยา่ งเดยี ว แตข่ น้ึ อยกู่ บั บทบาทของพนกั งานอยั การในแตล่ ะดา้ นดว้ ย ประกอบ
กบั การรกั ษาผลประโยชนข์ องรฐั ยอ่ มหมายถงึ การรกั ษาผลประโยชนท์ รี่ ฐั พงึ มโี ดยชอบดว้ ย
กฎหมาย มใิ ชก่ ารเอาเปรยี บหรอื เอาประโยชนท์ เี่ อกชนพงึ มโี ดยชอบดว้ ยกฎหมายมาเปน็
ของรฐั แตอ่ ยา่ งใด ดงั นนั้ พนกั งานอยั การทเ่ี ปน็ อนญุ าโตตลุ าการจงึ มหี นา้ ทใี่ นการปกปอ้ ง
ผลประโยชนข์ องรฐั ขณะเดยี วกนั ก็ตอ้ งคุม้ ครองสิทธขิ องเอกชนดว้ ยเชน่ เดยี วกนั โดย
ในการพจิ ารณาถงึ เหตอุ นั ควรสงสยั ถงึ ความเปน็ กลางและความเปน็ อสิ ระของพนกั งานอยั การ
ทเ่ี ปน็ อนญุ าโตตลุ าการจะตอ้ งพจิ ารณาถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ และเหตผุ ลเฉพาะตวั เปน็ รายกรณไี ป
เมอ่ื ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ พนกั งานอยั การซงึ่ ถกู รอ้ งคดั คา้ นเคยไดร้ บั มอบอำ� นาจใหว้ า่ ตา่ ง
แกต้ า่ งทางคดแี ทนผคู้ ดั คา้ น หรอื เปน็ ผตู้ รวจหรอื มสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การตรวจรา่ งสญั ญาท่ี
พพิ าท หรอื ใหค้ ำ� ปรกึ ษาเกย่ี วกบั สญั ญาทพี่ พิ าทกนั ในชน้ั อนญุ าโตตลุ าการมากอ่ น และมไิ ด้
เป็นผู้รับมอบอ�ำนาจในการต่อสู้คดีกับผู้ร้อง หรือเป็นหรือเคยเป็นกรรมการของผู้คัดค้าน
มาก่อน ประกอบกับไม่เคยเป็นลูกจ้างของคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงหรือเคยเป็นที่ปรึกษา
ผรู้ บั มอบอำ� นาจ ทนายความ หรอื ผรู้ บั จา้ งแกค่ พู่ พิ าท เหน็ ไดว้ า่ กรณไี มป่ รากฏเหตเุ ฉพาะ
ตวั ของพนกั งานอยั การผถู้ กู คดั คา้ นทอ่ี าจกระทบถงึ ความเปน็ กลางและความเปน็ อสิ ระใน
การท�ำหน้าท่ีอนุญาโตตุลาการ การเป็นอนุญาโตตุลาการของพนักงานอัยการจึงไม่มีเหตุ
อนั ควรสงสัยถงึ ความเป็นกลางและความอิสระแต่อยา่ งใด
อนุญาโตตลุ าการ 33
Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ
คำ� สัง่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ค.4/2554
ในเร่ืองความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการนั้น นอกจากต้องพิจารณาจาก
การไม่มีส่วน ได้เสียหรือผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับคู่พิพาทหรือบุคคลหน่ึงบุคคลใดที่
เกย่ี วขอ้ งกบั คพู่ พิ าทแลว้ จะตอ้ งพจิ ารณาจากความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอนญุ าโตตลุ าการกบั
คพู่ พิ าทหรอื บคุ คลหนง่ึ บคุ คลใดทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั คพู่ พิ าทวา่ มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั หรอื
ไม่ สว่ นความอสิ ระนนั้ ตอ้ งพจิ ารณาจากการทอ่ี นญุ าโตตลุ าการตอ้ งไมอ่ ยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ
หรอื อยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของคพู่ พิ าทหรอื บคุ คลหนงึ่ บคุ คลใดทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั คพู่ พิ าท หรอื ตอ้ ง
ไมพ่ งึ่ พาอาศยั หรือมกี ารตดิ ต่อสมั พันธก์ บั ค่พู พิ าทหรือบคุ คลหน่งึ บคุ คลใดทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับ
คพู่ พิ าทอยเู่ ป็นประจ�ำ
คดีน้ี ผู้คัดค้านมอบอ�ำนาจให้ร้อยเอก ฉ. พนักงานอยั การ สำ� นักงานคดีปกครอง
สำ� นกั งานอยั การสงู สดุ เปน็ ผรู้ บั มอบอำ� นาจใหด้ ำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาชนั้ อนญุ าโตตลุ าการ
แทนผคู้ ดั คา้ น โดยเปน็ การมอบอำ� นาจภายหลงั จากทน่ี าย ป. ไดด้ ำ� รงตำ� แหนง่ อธบิ ดอี ยั การ
ฝา่ ยคดปี กครองแลว้ และรอ้ ยเอก ฉ. ในฐานะผรู้ บั มอบอำ� นาจผคู้ ดั คา้ นไดม้ หี นงั สอื ขอแตง่ ตงั้
นาย ป. ซ่ึงในขณะนั้นด�ำรงต�ำแหน่งอธิบดีอัยการฝ่ายคดีปกครอง เป็นอนุญาโตตุลาการ
ฝ่ายผ้คู ัดคา้ นในข้อพพิ าทดังกลา่ ว กรณจี ึงเห็นไดว้ ่าขณะแตง่ ตัง้ นาย ป. มอี ำ� นาจหน้าที่
ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การดำ� เนนิ คดชี น้ั อนญุ าโตตลุ าการตามขอ้ พพิ าทหมายเลขดำ� ที่ 63/2548
อกี ทง้ั นาย ป. ยงั ปฏบิ ตั งิ านในสำ� นกั งานคดปี กครอง สำ� นกั งานอยั การสงู สดุ เชน่ เดยี วกนั กบั
ร้อยเอก ฉ. พนกั งานอยั การผรู้ ับมอบอำ� นาจจากผู้คดั ค้าน จึงตอ้ งมีการปฏิบตั งิ านร่วมกัน
หรือเกี่ยวข้องกัน อันอาจจะน�ำไปสู่การแนะน�ำหรือน�ำข้อมูลเกี่ยวกับข้อพิพาทต่อกัน
ซ่ึงอาจจะมีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีน้�ำหนักเพียง
พอท่ีจะเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางและความอิสระของนาย ป. ได้ การเป็น
อนุญาโตตลุ าการของนาย ป. ในขอ้ พพิ าทหมายเลขดำ� ท่ี 63/2548 จึงขดั ตอ่ มาตรา 19
วรรคหนง่ึ แหง่ พระราชบญั ญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
2.2 วิธีพิจารณาชน้ั อนญุ าโตตุลาการ
การด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการตามปกติจะเป็นไปตามที่คู่พิพาทตกลง
กัน อย่างไรก็ดี หากเป็นการอนุญาโตตุลาการแบบสถาบัน ทุกสถาบันก็จะมีข้อบังคับให้
34 วิธพี ิจารณาช้นั อนุญาโตตลุ าการ
สถาบันอนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
คพู่ พิ าทไดเ้ ลอื กใช้ ซง่ึ จะระบถุ งึ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ ทจี่ ำ� เปน็ ในกระบวนการอนญุ าโตตลุ าการ
ไว้ท้ังหมด รวมถึงระยะเวลาท่ีใช้ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ แต่ข้อบังคับของ
สถาบันอนุญาโตตุลาการเพียงแนวทางในการบริหารจัดการคดีอนุญาโตตุลาการให้เสร็จ
ส้ินไปด้วยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาช้ัน
อนญุ าโตตุลาการแตอ่ ย่างใด ดคู �ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 4896/2557
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 4896/2557
การทผ่ี คู้ ดั คา้ นอทุ ธรณท์ ำ� นองวา่ อนญุ าโตตลุ าการทำ� คำ� วนิ จิ ฉยั ชขี้ าดคดนี นี้ านถงึ
หนง่ึ ปี ยอ่ มขดั ตอ่ ข้อบงั คบั ส�ำนกั งานศาลยุติธรรม ว่าด้วยอนญุ าโตตุลาการ ขอ้ 27 ที่ต้อง
ทำ� คำ� ชข้ี าดใหเ้ สรจ็ ภายในกำ� หนดเวลาหนงึ่ รอ้ ยแปดสบิ วนั นบั แตว่ นั ทตี่ งั้ อนญุ าโตตลุ าการ
นั้น ข้อบังคับดังกล่าวเป็นเพียงกรอบเวลาที่ได้ก�ำหนดให้ด�ำเนินการเท่าน้ัน การที่
อนุญาโตตุลาการไม่อาจท�ำค�ำชี้ขาดได้เสร็จภายในก�ำหนดเวลาตามข้อบังคับไม่ถึงกับ
ทำ� ให้กระบวนพิจารณาในชนั้ อนุญาโตตลุ าการไมช่ อบด้วยกฎหมายแตอ่ ย่างใด ดงั นั้น
การบังคับตามค�ำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนตาม พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 (1)
การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการอยู่บนหลักพื้นฐานที่ว่า ต้องให้คู่พิพาท
ทั้งสองฝ่ายได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม (aequalitatem) และให้โอกาสคู่พิพาทใน
การนำ� สบื พยานหลกั ฐานและ เสนอขอ้ อา้ งไดต้ ามพฤตกิ ารณแ์ หง่ ขอ้ พพิ าท (ตามพระราชบญั ญตั ิ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 25 วรรคแรก) มิใช่ด�ำเนินกระบวนพิจารณาตาม
ความอ�ำเภอใจแตอ่ ย่างเดียว ดคู �ำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1465/2560
คำ� พิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2560
การวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการตอ้ งพจิ ารณาจากพยานหลกั ฐาน
ท้ังหลายที่อยู่ในส�ำนวน มิใช่พิจารณาจากพยานหลักฐานช้ินใดช้ินหน่ึงหรือสองชิ้น
เทา่ นน้ั คดนี คี้ ณะอนญุ าโตตลุ าการไดพ้ จิ ารณาพยานหลกั ฐานของคพู่ พิ าททง้ั สองฝา่ ย
ทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริง ค�ำช้ีขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการย่อมชอบด้วยกฎหมาย ค�ำคัดค้านของผู้คัดค้านท่ีว่า ค�ำช้ีขาด
วิธีพจิ ารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ 35
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตุลาการ
ของคณะอนุญาโตตุลาการขัดแย้งต่อพยานหลักฐานในส�ำนวน จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจ
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ใหผ้ ้คู ัดคา้ นขอเพิกถอนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามค�ำชีข้ าดได้
ในกรณีท่ีคู่พิพาทมิได้ก�ำหนดไว้เป็นอย่างอ่ืน คณะอนุญาโตตุลาการย่อมมี
อ�ำนาจในการบริหารจัดการคดีของตนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 บญั ญตั ไิ ว้ เชน่ การงดสบื พยานเมอื่ เหน็ วา่ ขอ้ พพิ าทมขี อ้ เทจ็ จรงิ
เพียงพอที่จะวนิ ิจฉัยได้ เปน็ ตน้ ดูค�ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 842/2561
ค�ำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 842/2561
ผรู้ อ้ งทง้ั สามเขา้ รว่ มประชมุ และทราบถงึ การดำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาตา่ ง ๆ ของ
คณะอนุญาโตตุลาการมาโดยตลอด การประชมุ ในวันท่ี 27 มีนาคม 2558 ผู้รอ้ งท้งั สาม
แถลงรับข้อเท็จจริงและแถลงไม่คัดค้านที่คณะอนุญาโตตุลาการมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า
ขอ้ พพิ าทในคดนี ม้ี ขี อ้ เทจ็ จรงิ ตา่ งๆเพยี งพอทจี่ ะวนิ จิ ฉยั ไดใ้ หง้ ดสบื พยานนอกจากน้ีคพู่ พิ าท
มไิ ดต้ กลงกนั กำ� หนดอำ� นาจคณะอนญุ าโตตลุ าการไวเ้ ปน็ อยา่ งอน่ื คณะอนญุ าโตตลุ าการ
จึงมีอ�ำนาจด�ำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ได้ตามที่เห็นสมควรตามท่ีพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 25 และ 30 ใหอ้ ำ� นาจไว้ การวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดขอ้ พพิ าท
ของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงท่ีคู่พิพาทแถลงรับ
ไม่ปรากฏว่าการยอมรับหรือการบังคับตามค�ำช้ีขาดน้ันจะเป็นการขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด ส่วนการที่คณะอนุญาโตตุลาการ
มีค�ำสั่งชี้ขาดเก่ียวกับข้อพิพาทเสร็จเด็ดขาดโดยให้ยุติกระบวนพิจารณาตาม
พระราชบญั ญตั ิอนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 38 วรรคสอง (3) กเ็ ปน็ อำ� นาจ
ของคณะอนญุ าโตตลุ าการทเี่ หน็ วา่ สามารถดำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาตอ่ ไปจนมคี ำ� ชขี้ าด
เกยี่ วกบั ขอ้ พพิ าทได้ ดงั นนั้ การดำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาตา่ ง ๆ ของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
จนกระท่ังมีค�ำช้ีขาดเก่ียวกับข้อพิพาทจึงเป็นไปตามขอบเขตของกฎหมาย ค�ำร้องของ
ผรู้ อ้ งทงั้ สามไมต่ อ้ งดว้ ย พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม
(1) (ค) และ (2) (ก) (ข) ท่ีศาลจะเพิกถอนค�ำชข้ี าดได้
36 วธิ ีพิจารณาชั้นอนุญาโตตลุ าการ
สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
ในกรณีที่คู่พิพาทถูกศาลล้มละลายกลางพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและมีค�ำส่ังให้
คพู่ พิ าทฝา่ ยนน้ั เปน็ บคุ คลลม้ ละลาย เจา้ พนกั งานพทิ กั ษท์ รพั ยย์ งั คงมอี ำ� นาจทจี่ ะพจิ ารณา
และสอบสวนค�ำของรบั ช�ำระหนี้ของเจา้ หนที้ ง้ั หลายตามมาตรา 105 แห่งพระราชบญั ญัติ
ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ต่อไปได้แม้คดีจะอยู่ในระหว่างด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ
กต็ าม เพราะการดำ� เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการมใิ ชบ่ ทบญั ญตั ยิ กเวน้ หลกั ของการขอรบั
ช�ำระหนต้ี ามกฎหมายล้มละลาย เป็นการดำ� เนนิ การคนละส่วนกนั ดคู �ำพพิ ากษาศาลฎกี า
ที่ 7082 - 7083/2558
คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 7082/2558
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้คัดค้าน (เจ้าพนักงาน
พิทักษ์ทรัพย์) ต้องงดสอบสวนค�ำขอรับช�ำระหน้ีของผู้ร้องเพ่ือรอค�ำชี้ขาดของคณะ
อนญุ าโตตลุ าการเสยี กอ่ นหรอื ไม่ เม่อื ลกู หนถ้ี ูกศาลมีค�ำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เดด็ ขาด เจ้าหนี้
ของลูกหนี้ที่ต้องการได้รับช�ำระหน้ีจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ จะต้องปฏิบัติตาม
พระราชบญั ญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27 กล่าวคอื จะต้องขอรับช�ำระหนต้ี ามวธิ ี
การทก่ี ลา่ วไวใ้ นพระราชบญั ญตั ลิ ม้ ละลาย พ.ศ.2483 เมอ่ื ผรู้ อ้ งอา้ งวา่ เปน็ เจา้ หนขี้ องลกู หน้ี
และย่ืนค�ำขอรับช�ำระหน้ีต่อผู้คัดค้านแล้ว พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา
105 บัญญัติใหผ้ ูค้ ัดค้านมอี �ำนาจสอบสวนในเรอ่ื งหนส้ี ินท่ีขอรับชำ� ระหนีแ้ ลว้ ทำ� ความเหน็
สง่ สำ� นวน เรอ่ื งหนส้ี นิ ตอ่ ศาล ผคู้ ดั คา้ นจงึ มหี นา้ ทต่ี ามกฎหมายทจ่ี ะตอ้ งสอบสวนคำ� ขอรบั
ชำ� ระหนดี้ งั กลา่ วและในการสอบสวนคำ� ขอรบั ชำ� ระหนนี้ น้ั บทบาทของผคู้ ดั คา้ นมไิ ดอ้ ยใู่ น
สถานะเป็นตัวลูกหนี้ แต่เป็นเพียงคนกลางในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานหา
ขอ้ เทจ็ จรงิ ในเรอื่ งหนท้ี งั้ จากฝา่ ยของเจา้ หนแ้ี ละลกู หน้ี แลว้ ทำ� ความเหน็ เสนอศาล เพอ่ื ให้
ศาลเป็นผู้พิจารณาส่ังค�ำขอรับช�ำระหนี้ของเจ้าหน้ีต่อไป ดังน้ัน ล�ำพังการสอบสวนและ
ความเหน็ ของเจ้าพนกั งานพิทกั ษ์ทรพั ยจ์ งึ ยงั ไมม่ ผี ลผูกพันเจ้าหนี้ ส่วนการดำ� เนินการทาง
อนุญาโตตุลาการน้ัน แมต้ ามพระราชบัญญตั อิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 12
จะบญั ญตั วิ า่ "ความสมบรู ณแ์ หง่ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการและการตง้ั อนญุ าโตตลุ าการ
ย่อมไม่เสียไปแม้ในภายหลังคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงตายหรือส้ินสุดสภาพความเป็น
นิติบคุ คลถูกพิทกั ษท์ รัพย์เดด็ ขาดหรือถกู ศาลสั่งใหเ้ ปน็ คนไร้ความสามารถหรือเสมือน
ไรค้ วามสามารถ" บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วมใิ ชบ่ ทยกเวน้ หลกั การในการขอรบั ชำ� ระหนต้ี าม
วธิ พี จิ ารณาช้นั อนญุ าโตตุลาการ 37
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ
กฎหมายลม้ ละลาย แตเ่ ปน็ บทบญั ญตั ถิ งึ ความสมบรู ณแ์ หง่ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการและ
การตั้งอนุญาโตตุลาการว่าไม่เสียไปแม้ภายหลังคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงจะถูกพิทักษ์
ทรัพย์เด็ดขาดเท่านั้น ผู้คัดค้านจึงยังคงมีหน้าท่ีในการด�ำเนินการตามพระราชบัญญัติ
ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 105 ขณะเดียวกนั คณะอนญุ าโตตุลาการก็ยงั คงดำ� เนิน
กระบวนพจิ ารณาตอ่ ไปไดแ้ ละการดำ� เนนิ กระบวนพจิ ารณาในชนั้ อนญุ าโตตลุ าการของ
ผคู้ ดั คา้ นเปน็ คนละสว่ นกบั การดำ� เนนิ การสอบสวนคำ� ขอรบั ชำ� ระหนี้ ตามพระราชบญั ญตั ิ
ลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 105 ทผี่ คู้ ดั คา้ นจะตอ้ งดำ� เนนิ การโดยดว่ น การสอบสวนของ
ผู้คัดค้านจึงไม่ท�ำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หรือมีผลกับการด�ำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ
แตอ่ ยา่ งใดไม่ ผคู้ ดั คา้ นจงึ ไมม่ คี วามจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งงดสอบสวนคำ� ขอรบั ชำ� ระหนข้ี องผรู้ อ้ ง
เพอื่ รอผลการพิจารณาของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
2.2.1 วธิ ีการชว่ั คราวระหวา่ งพจิ ารณาคดชี ้ันอนญุ าโตตุลาการ
ในระหว่างท่ีมอบขอ้ พพิ าทให้อนญุ าโตตุลาการวนิ ิจฉยั ชข้ี าด หากค่พู พิ าทฝา่ ยใด
เสียหายเพราะการกระท�ำของคู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่ง คู่พิพาทฝ่ายที่เสียหายมีสิทธิที่จะย่ืน
ค�ำร้องขอต่อศาลท่ีมีเขตอ�ำนาจ ขอให้มีค�ำส่ังคุ้มครองช่ัวคราวในระหว่างพิจารณาคดี
อนญุ าโตตลุ าการได้ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 หรอื 264
ประกอบพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ มาตรา 16 กไ็ ด้ แตศ่ าลมอี ำ� นาจวนิ จิ ฉยั เพยี งวา่
เข้าเหตุตามหลักเกณฑ์การขอคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่เท่านั้น ส่วนเน้ือหาของข้อพิพาท
เป็นอ�ำนาจของคณะอนุญาโตตลุ าการ ดูคำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3883 - 3884/2559
ค�ำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 3883 - 3884/2559
ผู้ร้องท้ังหกได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ส�ำนักระงับข้อพิพาท
(เดิม) สำ� นักงานศาลยุติธรรม โดยยกข้ออ้างทอ่ี าศัยเปน็ หลกั แห่งขอ้ หาว่า ผู้รอ้ งทัง้ หกเป็น
ผมู้ สี ทิ ธคิ รอบครองในทดี่ นิ และบา้ นพพิ าททไ่ี ดร้ ว่ มกนั เชา่ จากผคู้ ดั คา้ นท่ี 2 ตอ่ มาผคู้ ดั คา้ น
ท้ังสองกับพวกได้ร่วมกันเข้าไปในที่ดินและบ้านพิพาทที่อยู่ในความครอบครองของผู้ร้อง
ทั้งหก เพ่ือถือการครอบครองท้ังหมดหรือแต่บางส่วนอันเป็นการรบกวนการครอบครอง
อสงั หารมิ ทรพั ยข์ องผรู้ อ้ งทง้ั หกโดยปกตสิ ขุ และไดเ้ ปลยี่ นกญุ แจบา้ น ประตหู อ้ งนอน ประตู
ร้ัวบ้าน ตัดนำ้� ตัดไฟ ขบั ไลบ่ ริวารของผู้รอ้ งทั้งหกออกจากบ้าน ซงึ่ ไมม่ ีสทิ ธิกระทำ� ไดโ้ ดย
38 วธิ ีการชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดชี น้ั อนญุ าโตตลุ าการ
สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
ขอให้อนุญาโตตุลาการมีค�ำส่ังขับไล่ผู้คัดค้านทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้าน
พพิ าท ใหส้ ง่ มอบทดี่ นิ และบา้ นในสภาพคงเดมิ และใหผ้ คู้ ดั คา้ นทง้ั สองรว่ มกนั ชำ� ระคา่ เสยี หาย
และผู้ร้องท้ังหกได้ยื่นค�ำร้องขอคุ้มครองช่ัวคราวต่อศาลก่อนท่ีอนุญาโตตุลาการจะมี
คำ� วนิ จิ ฉยั ชข้ี าด โดยขอใหม้ คี ำ� สง่ั หา้ มผคู้ ดั คา้ นทงั้ สองเขา้ ไปในทดี่ นิ และบา้ นพพิ าทอนั เปน็
การรบกวนการครอบครองโดยปกตสิ ขุ ของผรู้ อ้ งทง้ั หก ใหด้ ำ� เนนิ การแกไ้ ข เพอื่ ใหผ้ รู้ อ้ งทงั้ หก
สามารถเข้าอยู่อาศัยในท่ีดินและบ้านพิพาทได้เป็นการช่ัวคราวก่อนที่อนุญาโตตุลาการ
จะมคี ำ� สงั่ วนิ จิ ฉยั ชข้ี าด ซง่ึ เปน็ การขอใหศ้ าลมคี ำ� สง่ั ในอนั ทจ่ี ะบรรเทาความเดอื ดรอ้ น
เสยี หายท่ีผ้รู อ้ งทงั้ หกอาจได้รบั ตอ่ ไป เนื่องจากการกระท�ำของผูค้ ดั ค้านทัง้ สองจนกว่า
คดจี ะถงึ ทส่ี ดุ หรอื ศาลจะมคี ำ� สง่ั เปน็ อยา่ งอน่ื ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่
มาตรา 254 (2) เมอื่ ขอ้ เรียกรอ้ งของผรู้ ้องทง้ั หกมมี ลู และมีเหตุผลเพียงพอ ผู้ร้องทั้งหก
จงึ ร้องขอคุ้มครองชัว่ คราวก่อนมคี ำ� วนิ ิจฉัยชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการได้
ปญั หาวา่ การจดทะเบยี นการเชา่ ทด่ี นิ พพิ าทชอบหรอื ไม่ เปน็ กรณมี ขี อ้ พพิ าทหรอื
ขอ้ ขดั แยง้ เกดิ ขนึ้ ระหวา่ งผคู้ ดั คา้ นทง้ั สองกบั ผรู้ อ้ งทง้ั หก ซง่ึ เปน็ คสู่ ญั ญาตามสญั ญาเชา่ ทด่ี นิ
ข้อ 15.5 ระบวุ า่ ในกรณมี ีข้อพิพาทหรือขอ้ โต้แย้งใด ๆ เกิดขน้ึ ระหว่างคูส่ ัญญาหรือเกดิ ขนึ้
จากสญั ญาน้ี ไมส่ ามารถตกลงกนั ได้โดยคู่สญั ญาด้วยกนั คูส่ ญั ญาตกลงเสนอขอ้ พิพาทต่อ
สถาบันอนุญาโตตุลาการ ส�ำนักระงับข้อพิพาท (เดิม) ส�ำนักงานศาลยุติธรรมผู้คัดค้าน
ท้ังสองชอบที่จะเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ส�ำนักระงับข้อพิพาท (เดิม)
ส�ำนักงานศาลยตุ ธิ รรม ตามข้อสญั ญา ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นท่ีศาลจะต้องวนิ จิ ฉยั
ชข้ี าดในชน้ั ขอค้มุ ครองช่วั คราวก่อนพิพากษาแต่อยา่ งใด
ปัญหาว่ามีเหตุสมควรให้เพิกถอนการจดทะเบียนการเช่าที่ดินพิพาทไว้ช่ัวคราว
ก่อนมคี ำ� วนิ จิ ฉยั ชขี้ าดของอนุญาโตตุลาการ ตามคำ� รอ้ งขอคมุ้ ครองชวั่ คราวของผู้คัดคา้ น
ท่ี 2 หรอื ไม่ คำ� รอ้ งขอคมุ้ ครองชวั่ คราวของผคู้ ดั คา้ นท่ี 2 เปน็ การขอตามประมวลกฎหมาย
วิธพี ิจารณาความแพ่งมาตรา 254 (3) ในการพจิ ารณาตามค�ำร้องขอต้องเป็นทพี่ อใจของ
ศาลว่า ผรู้ ้องท้งั หกจะดำ� เนินการใหม้ กี ารจดทะเบยี นแก้ไขเปลย่ี นแปลงหรือเพิกถอนการ
จดทะเบยี น ซ่งึ ท�ำใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่ผ้คู ัดคา้ นท่ี 2 ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณา
ความแพ่ง มาตรา 254 (3) (ก) แต่ตามค�ำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของผู้คัดค้านท่ี 2
อา้ งเหตใุ นคำ� รอ้ งขอแตเ่ พยี งวา่ การจดทะเบยี นการเชา่ ทดี่ นิ พพิ าทไมช่ อบ โดยไมป่ รากฏเหตวุ า่
วธิ กี ารชวั่ คราวระหวา่ งพจิ ารณาคดีชัน้ อนุญาโตตลุ าการ 39
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตุลาการ
ผรู้ อ้ งทง้ั หกจะไปด�ำเนินการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนหรือเพิกถอนการ
จดทะเบยี นในทด่ี นิ พพิ าทแตอ่ ยา่ งใด ไมม่ เี หตสุ มควรทจี่ ะใชว้ ธิ คี มุ้ ครองชวั่ คราวตามคำ� รอ้ ง
ขอของผู้คัดค้านท่ี 2
อย่างไรกด็ ี คำ� ส่ังคุม้ ครองชัว่ คราวของศาลระหว่างพจิ ารณาชน้ั อนุญาโตตลุ าการ
ถือว่าเป็นค�ำสั่งคุ้มครองช่ัวคราวอย่างหนึ่งตามกฎหมายวิธีสบัญญัติ การอุทธรณ์เก่ียวกับ
ค�ำสั่งคุ้มครองช่ัวคราวเช่นนี้ จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายวิธีสบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
คำ� ส่งั ดังกล่าวของศาลทมี่ ีเขตอำ� นาจดว้ ย ตามพระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการมาตรา 45
ประกอบมาตรา 16 (ดหู วั ขอ้ 3.1 ศาลทมี่ เี ขตอำ� นาจ) ดคู ำ� สงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่ ค.5/2554
คำ� สงั่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ ค.5/2554
ศาลปกครองชนั้ ตน้ มคี ำ� สงั่ ไมร่ บั คำ� ขอใหใ้ ชว้ ธิ กี ารชว่ั คราวเพอื่ คมุ้ ครองประโยชน์
ในขณะดำ� เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการไวพ้ จิ ารณา คำ� สงั่ ของศาลปกครองชนั้ ตน้ ดงั กลา่ ว
จงึ เปน็ คำ� สงั่ ไมร่ บั หรอื ยกคำ� ขอเกย่ี วกบั การบรรเทาทกุ ขช์ วั่ คราว ตามขอ้ 76 วรรคสอง
แห่งระเบียบของท่ีประชุมใหญ่ ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดี
ปกครอง ท่ีก�ำหนดให้ค�ำส่ังไม่รับหรือยกค�ำขอเกี่ยวกับการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวเป็น
ท่ีสุด เมื่อค�ำร้องอุทธรณ์ค�ำสั่งของผู้ร้องเป็นที่สุด ศาลปกครองชั้นต้นจึงชอบที่จะมีค�ำส่ัง
ไม่รบั ค�ำรอ้ งอทุ ธรณ์
2.2.2 การสน้ิ สดุ ของการดำ� เนินการทางอนุญาโตตลุ าการ
การดำ� เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการจะสนิ้ สดุ ลงเมอ่ื มคี ำ� ชข้ี าดเสรจ็ เดด็ ขาด กลา่ ว
คอื ไมม่ กี ารเพกิ ถอนจากศาลและสามารถใชบ้ งั คบั ไดห้ รอื คณะอนญุ าโตตลุ าการมคี ำ� สงั่ ยตุ ิ
กระบวนพจิ ารณาตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 และ
เม่ือมีค�ำช้ีขาดแล้ว ค�ำช้ีขาดย่อมผูกพันคู่พิพาทให้ต้องปฏิบัติตามมิใช่ผูกพันตามสัญญา
เดมิ การทน่ี ำ� ขอ้ พพิ าทเดมิ มาใหค้ ณะอนญุ าโตตลุ าการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดอกี เปน็ การไมช่ อบดว้ ย
กฎหมาย ดูค�ำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 22/2554, 5525/2552
40 การส้ินสุดของการดำ�เนนิ การทางอนญุ าโตตุลาการ
สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
ค�ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 22/2554
คณะอนญุ าโตตลุ าการชดุ กอ่ นไดม้ คี ำ� ชขี้ าดขอ้ พพิ าทระหวา่ งผรู้ อ้ งกนั ผคู้ ดั คา้ นวา่
การที่ผู้คัดคา้ นในฐานะผไู้ ดร้ บั สัมปทานทางด่วนขน้ั ที่ 2 เรียกเกบ็ ค่าผ่านทางเพิม่ เติมตาม
ประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้น เปน็ การไมส่ อดคล้องกบั สัญญาสัมปทาน ตอ่ มา ผ้รู อ้ งได้
เสนอขอ้ พพิ าทตอ่ สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการขอใหผ้ คู้ ดั คา้ นคนื เงนิ คา่ ผา่ นทางเพม่ิ เตมิ พรอ้ ม
ดอกเบย้ี ทไ่ี ดร้ บั จากประชาชนผใู้ ชท้ างใหแ้ กผ่ รู้ อ้ งซงึ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการชดุ หลงั มคี ำ� ชข้ี าด
ว่า ผู้คัดค้านมีสิทธิได้รับเงินค่าผ่านทางระหว่างการปรับเพ่ิมอัตราค่าผ่านทาง เพราะ
ชอบดว้ ยสญั ญาและกฎหมาย และใหผ้ รู้ อ้ งใชค้ า่ เสยี หายแกผ่ คู้ ดั คา้ น ผรู้ อ้ งจงึ ยน่ื คำ� รอ้ งตอ่
ศาลขอใหเ้ พกิ ถอนคำ� ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการชดุ หลงั แตศ่ าลฎกี าเคยวนิ จิ ฉยั ในคดี
ทผี่ คู้ ดั คา้ นเปน็ ผรู้ อ้ งยนื่ ฟอ้ งผรู้ อ้ งเปน็ ผคู้ ดั คา้ นโดยมลู คดเี ดยี วกบั คดนี ข้ี อใหพ้ พิ ากษาบงั คบั
ใหเ้ ป็นไปตามคำ� ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการซ่ึงวนิ ิจฉยั ว่า ผู้รอ้ งในคดีนีไ้ ม่มสี ิทธิเรยี ก
ร้องเงินส่วนแบ่งค่าผ่านทางอัตราที่เพ่ิมข้ึนในช่วงเวลาท่ีมีการปรับอัตราค่าผ่านทางเพิ่ม
พร้อมดอกเบ้ียจากผู้คัดค้านในคดีน้ี และให้ผู้ร้องในคดีนี้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้านใน
คดีนี้ตามค�ำเรียกร้องแย้ง โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค�ำช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ชดุ กอ่ นยอ่ มเปน็ ทส่ี ดุ และผกู พนั คกู่ รณตี ามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการฯ มาตรา 22
วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา 21 วรรคสี่ (วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. 2530 ปจั จบุ นั คอื พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 41) ไมอ่ าจนำ�
ขอ้ โตแ้ ยง้ ขน้ึ สกู่ ระบวนการอนญุ าโตตลุ าการไดอ้ กี การทผี่ คู้ ดั คา้ นนำ� ขอ้ พพิ าทเรอ่ื งเดยี วกนั
มายน่ื เรยี กรอ้ งแย้งตอ่ คณะอนญุ าโตตุลาการชดุ หลัง เพื่อให้ช้ีขาดซำ้� อีก ย่อมไม่ชอบดว้ ย
กฎหมาย เพราะท�ำลายหลกั การสำ� คัญของมาตรา 23 วรรคหน่ึงทบี่ ญั ญตั ิให้คำ� ชข้ี าดเป็น
ท่ีสุดและผูกพันคู่กรณีโดยส้ินเชิงไร้ประสิทธิผลโดยปริยาย การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการ
ชดุ หลงั มคี ำ� ชขี้ าดขอ้ พพิ าทเดยี วกนั ใหมจ่ งึ ไมช่ อบตามบทกฎหมายดงั กลา่ ว ซงึ่ ใชบ้ งั คบั อยู่
ขณะชข้ี าดและศาลฎกี าในคดดี งั กล่าวพิพากษาใหย้ กค�ำรอ้ งของผคู้ ดั คา้ นในคดนี ้ี และเมือ่
คำ� ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการชดุ กอ่ นยอ่ มเปน็ ทสี่ ดุ และผกู พนั คกู่ รณตี ามพระราชบญั ญตั ิ
อนุญาโตตุลาการ ฯ มาตรา 22 วรรคหนึง่ และคำ� ชขี้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการชดุ หลัง
ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบญั ญตั ิอนญุ าโตตุลาการฯ มาตรา 23 วรรคหน่งึ กรณี
หาจำ� ตอ้ งมคี ำ� สงั่ ศาลฎกี าเพกิ ถอนคำ� ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการชดุ หลงั อกี ไม่ ทง้ั
การสน้ิ สดุ ของการดำ�เนนิ การทางอนุญาโตตลุ าการ 41
Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ
ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพ่งมาตรา 144 มีบทบญั ญัติหา้ มมิให้ด�ำเนนิ กระบวน
พจิ ารณาซำ�้ กรณจี งึ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งมคี ำ� สงั่ เพกิ ถอนคำ� สง่ั ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการชดุ
หลังตามค�ำขอของผู้ร้องอีกการท่ีศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังยกค�ำร้องของผู้ร้องเป็นการชอบแล้ว
คดไี มจ่ ำ� ตอ้ งวนิ จิ ฉยั วา่ ผรู้ อ้ งนำ� คดมี าฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนคำ� ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
ภายในระยะเวลาทก่ี ฎหมายกำ� หนดหรอื ไมอ่ กี ตอ่ ไปเพราะไมท่ ำ� ใหผ้ ลคำ� วนิ จิ ฉยั ทง้ั มวลใน
คดีนีเ้ ปลยี่ นแปลงไป (คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 11102/2551 (โดยมตทิ ่ีประชุมใหญฯ่ ครง้ั ที่
6/2551) วนิ จิ ฉยั ในท�ำนองเดียวกัน)
คำ� พิพากษาศาลฎีกาที่ 5525/2552
โจทก์และจ�ำเลยพิพาทกันตามสัญญาให้สิทธิด�ำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อ
(THANI) ซึ่งเดิมเป็นสัญญาที่ท�ำขึ้นระหว่างบริษัท ด. กับจ�ำเลยและต่อมาได้โอนสิทธิให้
โจทก์ มีข้อสัญญาเก่ียวกับอนุญาโตตุลาการไว้ในข้อ 9 ว่า หากมีข้อโต้แย้งใด ๆ เกิดขึ้น
จากการตคี วามหรอื เกย่ี วกบั หนา้ ทหี่ รอื ความรบั ผดิ ชอบตามสญั ญานี้ จะพยายามทำ� ความ
เข้าใจและแก้ไขปัญหาระหว่างกันเองก่อน หากข้อโต้แย้งน้ันยังไม่อาจตกลงกันได้ ก็ให้
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดน�ำเสนอต่อสภาอนุญาโตตุลาการของ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
เพ่ือตัดสินชี้ขาดจึงเป็นกรณีที่โจทก์จ�ำเลยตกลงกันใช้วิธีระงับข้อพิพาทตามสัญญาโดยให้
อนุญาโตตลุ าการช้ขี าดตามพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 และโจทก์ได้นำ�
ขอ้ พพิ าทเสนอตอ่ สภาอนญุ าโตตลุ าการของสภาหอการคา้ แหง่ ประเทศไทยเพอื่ ตดั สนิ ชข้ี าด
แล้ว ถ้าคณะอนญุ าโตตุลาการมีค�ำช้ีขาดขอ้ พพิ าทอยา่ งไรก็จะมีผลผกู พนั โจทก์จำ� เลย
ไปตามคำ� ชขี้ าดนัน้ ตามพระราชบญั ญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 41 วรรค
หนง่ึ มใิ ชผ่ กู พนั กนั ตามสญั ญาทพี่ พิ าทกนั อยู่ ดงั นนั้ ตราบใดทค่ี ณะอนญุ าโตตลุ าการไมม่ ี
ค�ำชี้ขาดย่อมไม่อาจถือได้ว่าหน้ีที่โจทก์น�ำมาฟ้องคดีน้ีเป็นหนี้ท่ีอาจก�ำหนดจ�ำนวนได้
โดยแนน่ อน ในระหวา่ งนโ้ี จทกย์ งั ฟอ้ งจำ� เลยใหล้ ม้ ละลายไมไ่ ดต้ ามพระราชบญั ญตั ลิ ม้ ละลาย
พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3)
แต่อยา่ งไรก็ดี ผลของค�ำชี้ขาดที่เปน็ ทสี่ ุดและผกู พันคกู่ รณนี น้ั ย่อมผกู พันเฉพาะ
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของข้อพิพาทที่อนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดเท่าน้ัน
ประเดน็ ขอ้ พพิ าทขอ้ อนื่ ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหมภ่ ายหลงั หรอื เปน็ ขอ้ พพิ าททตี่ า่ งเหตกุ ารณก์ นั ยอ่ ม
42 การส้ินสุดของการดำ�เนนิ การทางอนญุ าโตตุลาการ
สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
ไมห่ า้ มคพู่ พิ าททจ่ี ะนำ� ขอ้ พพิ าทไปเสนอตอ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการเพอ่ื ชขี้ าดในประเดน็ อน่ื ๆ
ตอ่ ไป ดูค�ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 8664/2558
ค�ำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 8664/2558
อนุญาโตตุลาการชุดแรกมีค�ำชี้ขาดให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านปฏิบัติตามสัญญา
ซื้อขายติดต้ังเครื่องฝึกบินจนแล้วเสร็จ และ ให้เวลาแก่ผู้ร้องปฏิบัติและส่งมอบงานตาม
สญั ญาแกผ่ คู้ ดั คา้ นเปน็ ระยะเวลา 9 เดอื น นบั แตว่ นั ทำ� คำ� ชขี้ าด และใหผ้ รู้ อ้ งตดิ ตง้ั อปุ กรณ์
ส�ำหรับควบคุมกระแสไฟฟ้าแก่ผคู้ ดั คา้ นโดยไมค่ ดิ มลู คา่ ตามทผ่ี รู้ อ้ งแสดงความประสงค์ และ
ภายหลงั จากทผ่ี รู้ อ้ งปฏบิ ตั ถิ กู ตอ้ งตามคำ� ชข้ี าดแลว้ ใหผ้ คู้ ดั ค้านชำ� ระเงนิ สว่ นทเี่ หลอื ตามสญั ญา
อีกร้อยละ 10 ของมูลค่างานตามสัญญาแก่ผู้ร้อง โดยสิทธิและหน้าท่ีของทั้งสองฝ่าย
นอกจากทช่ี ข้ี าดไวเ้ ปน็ อยา่ งอนื่ ในคำ� ชข้ี าดใหเ้ ปน็ ไปตามทตี่ กลงกนั ในสญั ญาเมอ่ื ผรู้ อ้ งตดิ ตง้ั
เครอื่ งฝกึ บนิ แลว้ เสรจ็ ใหผ้ คู้ ดั คา้ นคนื เงนิ คา่ ประกนั การปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาจำ� นวน 228,850
ดอลลารส์ หรฐั และเงนิ หลกั ประกนั คา่ ชำ� ระราคาลว่ งหนา้ จำ� นวน 1,144,250 ดอลลารส์ หรฐั
แกผ่ รู้ อ้ ง เหน็ ไดว้ า่ เปน็ การชข้ี าดใหค้ สู่ ญั ญายงั คงมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทตี่ ามสญั ญาซอ้ื ขายตดิ ตงั้
เครอื่ งฝกึ บนิ ตอ่ ไปตามเดมิ โดยเพยี งแตก่ ำ� หนดระยะเวลาในการปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาของผรู้ อ้ ง
ข้ึนใหม่ ต่อมาเม่ือการปฏิบัติตามสัญญาหลังจากท่ีอนุญาโตตุลาการชุดแรกมีค�ำชี้ขาดนั้น
เกิดปัญหาพิพาทระหว่างกันอีกเกี่ยวกับเร่ืองค่าปรับตามสัญญา ซึ่งเม่ือข้อเท็จจริง
ปรากฏว่าในการปฏิบัติตามค�ำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชุดแรก ผู้ร้องส่งมอบเคร่ือง
ฝึกบินและอุปกรณ์ให้แก่ผู้คัดค้านล่าช้า จึงเกิดปัญหาข้อพิพาทขึ้นใหม่ในเร่ืองค่าปรั
บตามสัญญาซ่ึงมิใช่ข้อพิพาทท่ีอนุญาโตตุลาการชุดแรกได้วินิจฉัยช้ีขาดไว้ แต่เป็น
ข้อพิพาทที่เก่ียวด้วยสิทธิและหน้าท่ีของผู้ร้องและผู้คัดค้านนอกจากท่ีอนุญาโตตุลาการ
ชุดแรกชี้ขาดไว้เป็นอย่างอื่นในค�ำชี้ขาด การระงับข้อพิพาทจึงต้องเป็นไปตามที่ผู้ร้อง
และผู้คัดค้านตกลงกันในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิอาศัยสัญญาซ้ือขายติดตั้ง
เคร่ืองฝึกบินเสนอข้อพิพาทนี้ให้อนุญาโตตุลาการชุดหลังวินิจฉัยช้ีขาดได้
อนญุ าโตตลุ าการชดุ หลงั จงึ มอี ำ� นาจวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดขอ้ พพิ าททเี่ กดิ ขน้ึ ใหมเ่ กยี่ วกบั การคนื เงนิ
ค่าปรบั จ�ำนวน 315,813 ดอลลารส์ หรัฐ ตามสญั ญาได้ หาใชเ่ ปน็ การทอ่ี นุญาโตตลุ าการ
ชุดหลังมีค�ำช้ีขาดอันมีผลเป็นการแก้ไขเพ่ิมเติมหรือขยายระยะเวลาตามค�ำช้ีขาดของ
อนญุ าโตตุลาการชุดแรกไม่
การสน้ิ สุดของการดำ�เนนิ การทางอนุญาโตตลุ าการ 43
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ
2.2.3 ค�ำชีข้ าด
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 บญั ญตั วิ า่ “ใหค้ ณะ
อนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาทไปตามกฎหมายที่คู่พิพาทก�ำหนดให้น�ำมาใช้บังคับกับ
ขอ้ พพิ าท ในกรณที มี่ กี ารกำ� หนดถงึ กฎหมายหรอื ระบบกฎหมายของประเทศใด หากขอ้ ความ
มิได้ก�ำหนดไว้โดยชัดแจ้งให้หมายความถึงกฎหมายสารบัญญัติ มิใช่กฎหมายว่าด้วยการ
ขัดกันแหง่ กฎหมายของประเทศนน้ั
ในกรณีที่คู่พิพาทมิได้ก�ำหนดถึงกฎหมายที่จะน�ำมาใช้บังคับกับข้อพิพาทไว้
ใหค้ ณะอนญุ าโตตลุ าการชขี้ าดขอ้ พพิ าทไปตามกฎหมายไทย เวน้ แตเ่ ปน็ กรณที ม่ี กี ารขดั กนั
แหง่ กฎหมาย กใ็ หพ้ จิ ารณาจากหลกั วา่ ดว้ ยการขดั กนั แหง่ กฎหมายทค่ี ณะอนญุ าโตตลุ าการ
เหน็ สมควรน�ำมาปรบั ใช้
คพู่ พิ าทอาจกำ� หนดไวโ้ ดยชดั แจง้ ใหค้ ณะอนญุ าโตตลุ าการมอี ำ� นาจชข้ี าดขอ้ พพิ าท
โดยใช้หลกั แหง่ ความสจุ รติ และเปน็ ธรรม
การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องเป็นไปตามข้อสัญญา และหาก
เปน็ ขอ้ พพิ าททางการค้าให้คำ� นงึ ถงึ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิทางการค้าทใ่ี ชก้ ับธุรกรรมน้ันดว้ ย”
พระราชบญั ญัตอิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 37 วรรคสอง บญั ญัติ
ว่า “ในกรณีที่คู่พิพาทมิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอ่ืน ค�ำชี้ขาดต้องระบุเหตุผลแห่งการ
วินิจฉัยทั้งปวงไว้โดยชัดแจ้ง แต่จะก�ำหนดหรือช้ีขาดการใดให้เกินขอบเขตแห่งสัญญา
อนุญาโตตุลาการหรือค�ำขอของคู่พิพาทไม่ได้ เว้นแต่จะเป็นค�ำช้ีขาดตามข้อตกลง
ประนีประนอมยอมความตามมาตรา 36 หรอื เป็นการก�ำหนดคา่ ธรรมเนยี มและค่าใช้จา่ ย
ในชั้นอนุญาโตตลุ าการหรือค่าปว่ ยการอนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา 46”
กระบวนการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการมีความคล้ายคลึงกับกระบวนการ
พจิ ารณาในชนั้ ศาล เพราะคำ� ชขี้ าดมผี ลผกู พนั คพู่ พิ าทใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ติ าม นอกจากน้ี อำ� นาจ
ในการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการนน้ั เกดิ จากเจตนาของคสู่ ญั ญาทปี่ ระสงคจ์ ะระงบั
ข้อพิพาทเฉพาะในข้อพิพาทตกลงกันเท่านั้น มาตรา 37 วรรคสองจึงบัญญัติถึงเร่ืองการ
หา้ มชข้ี าดเกินค�ำขอหรือเกินขอบเขตในสัญญา หากคณะอนุญาโตตลุ าการวนิ จิ ฉยั วนิ ิจฉัย
44 คำ�ชขี้ าด
สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute
เกนิ ขอบเขตดงั กลา่ ว ยอ่ มเปน็ การไมช่ อบศาลมอี ำ� นาจ ทจี่ ะเพกิ ถอนคำ� ชข้ี าดไดต้ ามมาตรา
40 ดูค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 732/2559, 1677/2557, 13570/2556, 8664/2558
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 732/2559
บริษัท บ. ท�ำสัญญาประกันภัยรถยนต์โดยสารไว้กับผู้ร้องเป็นผู้รับประกันภัย
คำ้� จนุ คนแรก และบรษิ ทั ส. เปน็ ผรู้ บั ประกนั ภยั คำ�้ จนุ คนทส่ี อง ดงั นน้ั ผรู้ อ้ งตอ้ งรบั ผดิ เพอื่
ความวนิ าศภยั กอ่ น ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 870 วรรคสาม เมอ่ื เกดิ
วินาศภัยขึน้ ผู้รับประโยชน์ ชอบท่จี ะได้รบั ค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจ�ำนวนวินาศจริง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 870 วรรคหนึ่ง แมบ้ รษิ ัท ส. จะตอ้ งจา่ ย
ค่าเสียหายเบ้ืองต้นแก่ผู้ประสบภัยจากรถ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจาก
รถ พ.ศ. 2535 มาตรา 28 แต่ก็ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสองท�ำสัญญาประนีประนอม
ยอมความกบั บรษิ ทั ส. โดยไมป่ รากฏวา่ บรษิ ทั ส. ยอมชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนแกผ่ คู้ ดั คา้ น
ท้ังสองเป็นจ�ำนวนเท่าใด อย่างไรก็ดี การท่ีผู้คัดค้านท้ังสองซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ยอม
สละสิทธิอันมีต่อผู้รับประกันภัยรายหน่ึงย่อมไม่กระทบกระท่ังถึงสิทธิและหน้าท่ีของผู้รับ
ประกนั ภยั รายอน่ื ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 871 เมอื่ อนญุ าโตตลุ าการ
ใชด้ ลุ พนิ ิจกำ� หนดคา่ เสียหายทแี่ ท้จรงิ แก่ผูค้ ัดคา้ นท้งั สองคนละ 25,000 บาท แตช่ ้ขี าดให้
ผรู้ อ้ งเพยี งรายเดยี วตอ้ งชำ� ระคา่ สนิ ไหมทดแทนจำ� นวนดงั กลา่ วโดยไมไ่ ดค้ ำ� นงึ วา่ ผคู้ ดั คา้ น
ทง้ั สองไดร้ บั ชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนจากบรษิ ทั ส. แลว้ จำ� นวนเทา่ ใด ทำ� ใหผ้ คู้ ดั คา้ นทง้ั สอง
จะไดร้ บั คา่ สนิ ไหมทดแทนเกนิ กวา่ จำ� นวนวนิ าศจรงิ จงึ เปน็ คำ� ชข้ี าดทฝ่ี า่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย
การยอมรบั หรอื การบงั คบั ตามคำ� ชข้ี าดจะเปน็ การขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดี
ของประชาชน ศาลยอ่ มมอี ำ� นาจเพกิ ถอนคำ� ชขี้ าดไดต้ ามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข)
คำ� พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1677/2557
คณะอนุญาโตตุลาการวนิ จิ ฉัยว่าสัญญาจา้ งเหมาคดีนีไ้ ม่ใชแ่ บบ Turn - Key แต่
เป็นสญั ญา Design Built จึงจำ� เป็นตอ้ งวินิจฉยั ตอ่ ไปว่า แม้ไมใ่ ชส่ ญั ญาจ้างเหมาแบบ
Turn - Key ผรู้ อ้ งกระทำ� ผดิ สญั ญาหรอื ไม่ เพราะขอ้ อา้ งหลกั ของคำ� เสนอขอ้ พพิ าท คอื
ผรู้ อ้ งกระท�ำผิดสัญญา มใิ ช่วา่ เมอ่ื สญั ญาจา้ งเหมากอ่ สรา้ งไมใ่ ชส่ ญั ญาแบบ Turn - Key
คำ�ชข้ี าด 45
Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตุลาการ
เสยี แลว้ จะตอ้ งตดั ประเดน็ อน่ื ๆ ไปเสยี ทง้ั หมดซ่ึงจะท�ำให้ฝ่ายท่ีผิดสัญญาไม่ต้องรับผิด
ในความเสยี หายทต่ี นกอ่ อนั จะเกดิ ความไมเ่ ปน็ ธรรมขน้ึ และการทคี่ ำ� เสนอขอ้ พพิ าทอา้ งวา่
ผรู้ อ้ งทำ� งานลา่ ชา้ ตอกเสาเขม็ ไมถ่ กู ตอ้ งตามหลกั เกณฑแ์ ละมาตรฐานวชิ าชา่ ง แลว้ ขนยา้ ย
คนงานและวสั ดอุ อกไปจากสถานทก่ี อ่ สรา้ งอนั เปน็ การผดิ สญั ญากห็ มายความวา่ ผรู้ อ้ งละทงิ้ งาน
นนั่ เอง ดงั นนั้ ทค่ี ณะอนญุ าโตตลุ าการเสยี งขา้ งมากวนิ จิ ฉยั วา่ ผรู้ อ้ งผดิ สญั ญาเพราะละทง้ิ งาน
จึงอยู่ในประเด็นท่ีคณะอนุญาโตตุลาการก�ำหนดไว้ ไม่เป็นการวินิจฉัยเกินขอบเขต
แห่งขอ้ ตกลงในการเสนอข้อพพิ าท
คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 13570/2556
การท่ีอนุญาโตตุลาการตีความว่าคู่สัญญามีเจตนาที่แท้จริงและแน่นอนว่าจะให้
มีการใช้อนุญาโตตุลาการภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายไทยในการระงับข้อพิพาท และ
ตีความให้ใช้พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่
ในปัจจุบันบังคับน้ันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบของอนุญาโตตุลาการและมิใช่เป็นการ
ใช้อ�ำนาจนอกขอบเขตอ�ำนาจ ท้ังไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน (คำ� พิพากษาศาลฎกี าที่ 10688/2553 วินิจฉยั ในทำ� นองเดยี วกนั )
เนอ่ื งจากมีพระราชกฤษฎกี าฉบับท่ี 374 ออกมายกเวน้ รษั ฎากรส�ำหรับค�ำชขี้ าด
อนุญาโตตุลาการ ดังน้ัน ค�ำช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
ดูคำ� พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 5514/2552
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5514/2552
แม้ว่าบทบัญญัติตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ หมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร
มขี อ้ กำ� หนดวา่ คำ� ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการใหป้ ดิ อากรแสตมปใ์ นอตั ราอากรแสตมป์ 1 บาท
ตอ่ ทกุ จำ� นวนเงนิ 1,000 บาท หรือ เศษของ 1,000 บาท แตไ่ ด้มพี ระราชกฤษฎีกาออกตาม
ความในประมวลรษั ฎากรวา่ ดว้ ยการยกเวน้ รษั ฎากร (ฉบบั ที่ 10) พ.ศ. 2500 มาตรา 6 (33)
ใหย้ กเวน้ อากรแสตมปใ์ นตราสารคำ� ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการ ทแ่ี กไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราช
กฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับท่ี 374)
พ.ศ. 2543 มาตรา 3 ซ่ึงบญั ญตั วิ า่ "ใหย้ กเวน้ อากรแสตมป์ ตามหมวด 6 ลักษณะ 2 แหง่
46 คำ�ช้ขี าด
สถาบันอนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute
ประมวลรษั ฎากรแก.่ ..(33) อนญุ าโตตลุ าการเฉพาะตราสารคำ� ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ"
กรณจี งึ ทำ� ใหค้ ำ� วนิ จิ ฉยั ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการไมต่ อ้ งปดิ อากรแสตมปต์ ามบทกฎหมาย
ดังกลา่ ว
คำ�ชข้ี าด 47
Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ
บทที่ 3
กระบวนพิจารณาของศาลในคดอี นุญาโตตุลาการ
3.1 ศาลที่มเี ขตอ�ำนาจ
พระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 9 บัญญตั ิวา่ “ใหศ้ าล
ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ
การค้าระหว่างประเทศภาค หรือศาลที่มีการพิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการอยู่ในเขตศาล
หรอื ศาลทค่ี พู่ พิ าทฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ มภี มู ลิ ำ� เนาอยใู่ นเขตศาล หรอื ศาลทม่ี เี ขตอำ� นาจพจิ ารณา
พพิ ากษาขอ้ พพิ าทซง่ึ ไดเ้ สนอตอ่ อนญุ าโตตลุ าการนน้ั เปน็ ศาลทมี่ เี ขตอำ� นาจตามพระราชบญั ญตั ิ
น”้ี
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในทางปฏิบัติก็คือ ศาลใดคือ “ศาลท่ีมีเขตอ�ำนาจ” ที่จะมี
อ�ำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทซ่ึงได้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการตามมาตรา 9 แห่ง
พระราชบญั ญัตอิ นุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 เหตเุ พราะว่าการระงบั ขอ้ พพิ าทโดยวธิ ีการ
อนญุ าโตตลุ าการนน้ั ไมว่ า่ จะเปน็ คดแี พง่ หรอื คดปี กครองกส็ ามารถดำ� เนนิ การระงบั ขอ้ พพิ าท
โดยการอนุญาโตตุลาการไดท้ ง้ั สิ้น (มาตรา 15) จงึ ท�ำให้คดีหลาย ๆ ประเภทท่ีใช้วธิ ีการ
ระงับขอ้ พิพาทโดยการอนญุ าโตตุลาการอยใู่ นเขตอ�ำนาจศาลทีต่ า่ งกนั ข้นึ อยู่กบั กฎหมาย
เฉพาะของแตล่ ะคดี
ศาลที่มีเขตอ�ำนาจต้องพิจารณาจากเนือ้ หาของข้อพพิ าทในช้นั อนญุ าโตตุลาการ
วา่ เปน็ คดปี ระเภทใด แมว้ า่ คสู่ ญั ญาจะกำ� หนดศาลทม่ี เี ขตอำ� นาจไวใ้ นขอ้ สญั ญาแลว้ กต็ าม
(เทยี บค�ำสั่ง ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ร.920/2548) หากเนื้อหาของขอ้ พพิ าทนั้นมีลักษณะท่ี
เปน็ การจดั ทำ� บรกิ ารสาธารณะกลา่ วคอื สญั ญาทางปกครอง ตามมาตรา 9 แหง่ พระราชบญั ญตั ิ
จดั ตง้ั ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ข้อพิพาทดังกลา่ วย่อมเปน็ คดี
ปกครอง อยู่ในอ�ำนาจของศาลปกครอง แต่หากไม่ใช่คดีปกครอง คดีดังกล่าวย่อมอยู่ใน
อำ� นาจของศาลยตุ ธิ รรม ดคู ำ� วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดอำ� นาจหนา้ ทร่ี ะหวา่ ง
ศาลที่ 31/2548, 2/2555, 66/2555
48 ศาลทีม่ ีเขตอำ�นาจ