The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทความและคำบรรยายเกี่ยวอนุญาโตตุลาการ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by taicoj2559, 2022-02-08 22:07:34

รวมบทความและคำบรรยายเกี่ยวอนุญาโตตุลาการ

รวมบทความและคำบรรยายเกี่ยวอนุญาโตตุลาการ

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ

เมื่อมีขอเรียกรองเขามา ปกติอนุญาโตตุลาการจะมีการสั่งขอเรียกรองวา
“รับขอเรียกรอง สําเนาใหค ูพ พิ าทอกี ฝายยนื่ คําคดั คานภายใน ..... วนั นับแตวนั ได
รบั ขอ เรยี กรอ ง” ซงึ่ อาจเขยี นตอ ไปวา “หากไมย นื่ ใหถ อื วา ไมต ดิ ใจคดั คา น” เนอื่ งจาก
คาํ คดั คา นจะตอ งยกขอ ตอ สคู ดี ถงึ แมไ มม คี าํ คดั คา นของอกี ฝา ยหนงึ่ อนญุ าโตตลุ าการ
ก็สามารถดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีท่ีบัญญัติไวในมาตรา 31 (2) ซึ่งบัญญัติวา
ดาํ เนินกระบวนพจิ ารณาตอไป ถาคพู พิ าทฝายทถี่ ูกเรยี กรองไมยืน่ คาํ คดั คา น ตามที่
กําหนดไวในมาตรา 29 วรรคหนึ่ง แตทั้งน้ี มิใหถือวาการไมย่ืนคําคัดคานดังกลาว
เปนการยอมรับตามขอเรียกรองนั้น ซึ่งอนุญาโตตุลาการก็อาจพิจารณาคดี
ไปฝายเดยี วได

หลงั จากอนญุ าโตตลุ าการมคี าํ สงั่ กจ็ ะเกบ็ คาํ รอ งนนั้ รวมเขา สาํ นวน ขอ เรยี กรอ ง
นั้นอาจมีการแนบเอกสารพรอมกันบัญชีพยาน ซึ่งบัญชีพยานน้ันจะย่ืนหรือไมก็ได
เพราะอยางไรก็ตามอนุญาโตตุลาการจะตองเปดโอกาสใหคูพิพาทสืบพยาน
ตามพฤติการณแหงขอพิพาท เวนแตคูพิพาทจะตกลงเปนอยางอ่ืนวาไมตองมี
การสืบพยาน ใหสงเฉพาะเอกสารแลวใหอนุญาโตตุลาการดําเนินการไดเลย แตใน
กรณีนี้ เขาจะไมตกลงกันไวลว งหนา เพราะยังไมเห็นขอเรียกรองหรอื คาํ คดั คา นของ
อกี ฝา ยหนงึ่ กจ็ ะมกี ารยน่ื เอกสารทเี่ กย่ี วขอ งกบั ขอ เรยี กรอ งและบญั ชพี ยาน โดยปกติ
เมอื่ คพู พิ าทเสนอบญั ชพี ยานพรอ มกบั ขอ เรยี กรอ ง อนญุ าโตตลุ าการกจ็ ะสงั่ ในบญั ชวี า
“รวม.....อนั ดบั ” และสงั่ ตอ ไปวา “สาํ เนาใหอ กี ฝา ย” ตามมาตรา 30 บรรดาเอกสารตา ง ๆ
ตองเปดโอกาสใหสง ใหอีกฝา ยหนง่ึ

ทางคพู ิพาทฝา ยตรงขามท่ีถกู เรียกรอ ง เราเรยี กวา “ผูคดั คา น” ซ่งึ ผูคัดคาน
มีหนาที่ตองทําคําคัดคานเขามาภายในกําหนด ถาผูคัดคานไมยื่นคําคัดคานเขามา
นติ กิ รจะรายงานคณะอนญุ าโตตลุ าการวา บดั นค้ี รบกาํ หนด คพู พิ าทฝา ยทถี่ กู เรยี กรอ ง
มไิ ดย นื่ คาํ คดั คา นเขา มาภายในกาํ หนด ขอใหด าํ เนนิ การตอ ไป แตถ า หากผคู ดั คา นได
ยื่นคําคัดคานเขามา นิติกรจะเสนอคําคัดคานตอคณะอนุญาโตตุลาการ
อนญุ าโตตลุ าการกจ็ ะสงั่ วา “รบั คาํ คดั คา น” เหตทุ ต่ี อ งตรวจคาํ คดั คา นเพราะจะทาํ ให
เห็นประเด็นวาทางฝายผูเรียกรองมีประเด็นขอพิพาทวาอยางไร และผูคัดคาน

150 การตรวจและสั่งคาํ คคู วาม/คํารอ ง (ปฏิบตั )ิ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

มีการใหการโตแยงในประเด็นใด ถาประเด็นใดท่ีผูคัดคานไมโตแยงประเด็นนั้นก็จะ
ยตุ ิ เพอ่ื ทอี่ นุญาโตตลุ าการจะไดอ ธบิ ายในวนั ทีน่ ัดพิจารณานดั แรก วันนัดพิจารณา
นัดแรกคูพิพาทเขาก็จะกําหนดวิธีพิจารณาที่เขาจะตกลงกันไวเปนอยางอ่ืน
ถาไมตกลงกันไวเปนอยางอื่น อนุญาโตตุลาการก็ดําเนินการไปตามอํานาจหนาที่
ท่กี ฎหมายบญั ญตั ิไว

ในสวนท่มี คี ําคัดคาน อนญุ าโตตุลาการจะมคี ําสงั่ วา “รับคําคัดคา น” หรือ
“คาํ คดั คานย่นื ภายในกําหนด รบั คาํ คัดคาน สาํ เนาใหอกี ฝา ย” หากผูคัดคานยนื่ เกนิ
กําหนดระยะเวลา ใหถามอีกฝายหน่ึงวาจะคานหรือไม เพ่ือใหขอพิพาทระงับและ
มีโอกาสตอสูคดี หากคูพิพาทอีกฝายหนึ่งไมคาน ใหอนุญาโตตุลาการมีคําสั่งรับ
คําคัดคา นน้นั แตห ากย่นื ภายในกําหนดใหอนญุ าโตตุลาการรับคาํ คัดคา นนัน้ ไดเลย

การดําเนินการตอไปคือ ใหคณะอนุญาโตตุลาการกําหนดนัดพิจารณา
โดยปกติจะมีการกําหนดวันนัดพรอมเพื่อกําหนดวันนัดพิจารณา ในวันนัดพรอม
อนุญาโตตุลาการจะมีโอกาสคุยกับคูพิพาทท้ังสองฝาย ซึ่งอาจตรวจวาผูรับมอบ
อํานาจน้ันมอี ํานาจดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาแทนคพู พิ าทไดห รอื ไม

มาตรา 8 ระบวุ า ในกรณที คี่ สู ญั ญาฝา ยใดรวู า บทบญั ญตั ใิ ดในพระราชบญั ญตั นิ ี้
ซึ่งคูสัญญาอาจตกลงเปนอยางอื่นได หรือคูสัญญาอีกฝายหน่ึงยังมิไดปฏิบัติตาม
เงือ่ นไขทกี่ ําหนดไวในสญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ ถา คูสญั ญาฝายนน้ั ยังดาํ เนนิ กระบวน
พจิ ารณาในชนั้ อนญุ าโตตลุ าการโดยไมค ดั คา นการไมป ฏบิ ตั ขิ องคสู ญั ญาอกี ฝา ยหนง่ึ
ภายในเวลาอนั สมควรหรอื ภายในเวลาทก่ี าํ หนดไว ใหถ อื วา คสู ญั ญาฝา ยนนั้ สละสทิ ธิ
ในการคดั คา น ดงั นน้ั หากคพู พิ าทไมค ดั คา นภายในระยะเวลาอนั ควรกถ็ อื วา สละสทิ ธิ
และหากไปคัดคานตอศาล ศาลก็จะไมรับฟงเพราะไมตองดวยกรณีท่ีจะยกข้ึน
เปนเหตุคัดคานคําช้ีขาดตอศาลได แตหากคูพิพาทยกขอคัดคานเขามา
ใหอนุญาโตตุลาการมีคําส่ัง “รับคํารอง สําเนาใหอีกฝาย” โดยการส่ังในรายงาน
อนญุ าโตตลุ าการ เพราะฉะนน้ั สง่ิ ทอี่ นญุ าโตตลุ าการจะตอ งส่ังไดแ ก 1. คําคคู วาม
2. ภาษาท่ีใชในการดําเนินกระบวนพิจารณา ซึ่งคูพิพาทสามารถตกลงกันไดวา
จะใชภ าษาอะไรในการดําเนินกระบวนพิจารณา

การตรวจและสัง่ คาํ คคู วาม/คาํ รอ ง (ปฏบิ ัติ) 151

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ

กรณีที่พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการกําหนดไวเปนอยางอื่น ไมใชเปน
กรณีท่ีจะดําเนินการในชั้นอนุญาโตตุลาการได โดยขอพิพาทบางอยางตองเสนอ
ตอศาล กรณีแรกคือ วิธกี ารช่ัวคราว ในมาตรา 16 บญั ญัติวา คูส ญั ญาทไ่ี ดทาํ สญั ญา
อนุญาโตตุลาการไว อาจยื่นคํารองยื่นตอศาลที่มีเขตอํานาจใหมีคําส่ังใหใชวิธีการ
ชวั่ คราวเพอื่ คมุ ครองประโยชนข องตนกอ น หรอื ขณะดาํ เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการ
ได ถาศาลเห็นวากระบวนพิจารณาน้ันหากเปนการพิจารณาของศาลแลวศาลทําให
ไดก ็ใหศาลจดั การใหต ามคํารองนน้ั ทัง้ นี้ ใหนําบทบญั ญัตแิ หงกฎหมายวิธพี ิจารณา
ความของศาล ในสวนทเ่ี กยี่ วกบั การนน้ั มาใชบ งั คบั โดยอนุโลม จะเหน็ ไดวา มาตรา
ดังกลาวไดกําหนดใหคูพิพาทย่ืนคํารองนั้นตอศาล ขณะที่กระบวนการ
อนญุ าโตตลุ าการอาจจะเกดิ ขนึ้ หรอื ยงั ไมเ กดิ ขน้ึ กไ็ ด อาจจะยงั ไมไ ดเ สนอขอ เรยี กรอ ง
หรอื อาจจะยงั ไมไ ดด าํ เนนิ การสง ขอ เรยี กรอ งใหอ กี ฝา ยหนงึ่ หรอื ขณะดาํ เนนิ การทาง
อนญุ าโตตลุ าการ เกดิ มกี รณที คี่ พู พิ าทจาํ เปน จะตอ งขอใหก าํ หนดวธิ กี ารเพอื่ คมุ ครอง
ประโยชน เชน ฟอ งเรยี กรอ งคา เสยี หาย บดั นจี้ าํ เลยกาํ ลงั ปด กจิ การ ขนยา ยทรพั ยส นิ
โอนท่ดี นิ อนั เปน ท่ีตั้ง ยักยายถายเททรพั ย หรอื อาจจะฟอ งเร่อื งละเมิดตอสมั ปทาน
บัดนี้ เขาอาจจะกําลังขุดสัมปทานน้ันอยู ซ่ึงบัดนี้เกิดขอพิพาทเกิดขึ้นและจําเปน
จะตอ งใหห ยดุ การกระทําน้นั โดยเรง ดว น มิฉะนน้ั แลว หากตนเปนฝายชนะก็ไมอาจ
บังคับตามขอเรียกรองนั้นได วิธีการน้ีเรียกวา มาตรการในทางแพงเพ่ือคุมครอง
ประโยชน หากเขา หลักเกณฑท ีศ่ าลจะสัง่ ใหได

บทบัญญัติวิธีพิจารณาความแพงที่เก่ียวของและจะนํามาใชนั้น คือมาตรา
264 ซ่งึ ระบุวา ในกรณอี ืน่ นอกจากมาตรา 253 และ 254 คคู วามอาจยนื่ คําขอให
ศาลมีคําสั่งเพื่อคุมครองประโยชนของผูขอในระหวางพิจารณาหรือเพื่อบังคับตาม
คาํ พพิ ากษาหรอื คาํ สงั่ ได เชน 1. ใหน าํ ทรพั ยส นิ ทพี่ พิ าทหรอื เงนิ ทพี่ พิ าทมาวางตอ ศาล
2. กาํ หนดใหต ง้ั ผจู ดั การรา นคา หรอื ทรพั ยส นิ ทพี่ พิ าทเพอื่ ดแู ลกจิ การหรอื รา นคา เชน
วานั้น 3. ตั้งผูปกครองของผูไรความสามารถซึ่งอยูในความดูแลแกบุคคลภายนอก
เปนตน ปกติการยึดหรืออายัดน้ันถาเปนไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง
การคุมครองประโยชนจะทําไมได แตในช้ันของการคุมครองประโยชนตามพระราช
บัญญัติอนุญาโตตุลาการ เพ่ือเปนการคุมครองสิทธิในการท่ีจะบังคับตามคําช้ีขาด

152 การตรวจและส่ังคําคคู วาม/คาํ รอง (ปฏบิ ตั ิ)

สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ในทสี่ ดุ ตนเองเปน ฝา ยชนะยอ มกระทาํ ได ตวั บทใชค าํ วา “โดยอนโุ ลม” เพราะฉะนน้ั
บทบัญญัตินี้การคุมครองคือสิ่งท่ีพิพาทกันใหไดรับความคุมครองไวในระหวาง
พิจารณาหรือเพ่ือการบังคับ ฉะน้ันไมวาจะเปนคูพิพาทในระหวางที่ดําเนินการทาง
อนุญาโตตุลาการไมวาจะเปนฝายผูยื่นขอเรียกรองหรือฝายท่ีถูกเรียกรองก็มีสิทธิ
ขอคมุ ครองได เพราะในตวั บทเขยี นไวใ นขอ 16 นน้ั ไมไ ดเ จาะจงเฉพาะฝา ยทย่ี น่ื ขอ เรยี กรอ ง
ฝายท่ียื่นคําคัดคานก็มีสิทธิท่ีจะขอคุมครองประโยชนไดถาหากประโยชนน้ันเปน
ส่ิงที่พิพาทกันเชน มหาวิทยาลัยแหงหนึ่งจางผูรับเหมามาทําการกอสรางในงบ
ประมาณ 1,000 ลา นบาท ปรากฏวา ในขอ สญั ญาจา งมกี ารระบวุ า หากเกดิ ขอ พพิ าท
เก่ียวกับเร่ืองของการผิดสัญญาใหตั้งอนุญาโตตุลาการ ปรากฏวายังไมมีการตั้ง
อนุญาโตตุลาการ ฝายโจทกซ่ึงเปนผูรับจางไดละท้ิงงานท่ีไดดําเนินการไปแลว
ประมาณ 60 เปอรเ ซน็ ต แตใ นขณะเดยี วกนั กท็ ง้ิ เครอื่ งจกั รรวมถงึ วสั ดกุ อ สรา งไวด ว ย
ปรากฏวา โจทกซ ง่ึ เปน ผรู บั จา ง ฟอ งมหาวทิ ยาลยั กลา วอา งวา มหาวทิ ยาลยั ไมจ า ยคา จา ง
ตามงวดงานท่ีกําหนดไว และเกิดการโตเถียงกันวาอีกฝายหน่ึงผิดสัญญา
ทางมหาวิทยาลัยไดขอคมุ ครองประโยชน ขอใหศ าลต้ังผรู กั ษาทรพั ยสินไว และเงิน
คารักษาทรัพยสินนั้นเปนคาธรรมเนียมรักษาทรัพย ซี่งตัวโจทกก็ไดเถียงวาเร่ืองนี้
โจทกเปนผูฟอง จําเลยไมมีสิทธิย่ืนคํารองขอคุมครองประโยชน เราตองกลับไปดู
สญั ญาการกอ สรา งซงึ่ มขี อ ตกลงเกยี่ วกบั อนญุ าโตตลุ าการ ซงึ่ มขี อ ตกลงวา หากฝา ยหนงึ่
ฝายใดผิดสัญญา ยินยอมใหทรัพยสิน ส่ิงของ รวมตลอดทั้งการกอสรางทั้งหลาย
ทั้งปวงท่ีไดดําเนินการไปแลว ตกลงเปนสมบัติหรือกรรมสิทธิของผูวาจาง ผลที่สุด
แลวถาศาลชี้ขาดวาฝายผูรับจางเปนฝายผิดสัญญา ทรัพยสินท้ังหลายก็ยอมตกเปน
ของผูวาจาง ผูวาจางจึงมีประโยชนเกี่ยวของดวยตัวทรัพย แมไมมีขอเรียกรอง
ศาลกช็ อบทจ่ี ะคมุ ครองประโยชนโ ดยการใหจ ดั หาผรู กั ษาทรพั ยแ ละใหค า รกั ษาทรพั ย
นน้ั เปน คา ธรรมเนยี มทฝี่ า ยแพค ดจี ะตอ งชดใชใ หแ กอ กี ฝา ยหนงึ่ ในสว นนเี้ ปน อาํ นาจ
ของศาลเพราะเปนเรอ่ื งท่ีมีผลกระทบตอทรัพยสินโดยตรง

เรอ่ื งทสี่ อง การขอใหศ าลออกหมายเรยี กพยานหรอื คาํ สง่ั เรยี กเอกสาร หรอื
วตั ถุ ตามมาตรา 33 ถา คพู พิ าทยนื่ มาทอ่ี นญุ าโตตลุ าการ พเิ คราะหแ ลว กรณเี ปน การ
ขอใชว ธิ กี ารชว่ั คราวมไิ ดอ ยใู นอาํ นาจของอนญุ าโตตลุ าการทจี่ ะดาํ เนนิ การได คพู พิ าท

การตรวจและส่ังคาํ คคู วาม/คาํ รอ ง (ปฏบิ ตั ิ) 153

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ

ชอบท่ีจะไปเสนอขอเรียกรองเชนวานั้นตอศาลที่มีเขตอํานาจ ใหยกคํารองนั้นเสีย
แตหากมีคณะอนุญาโตตุลาการจะตองปรึกษากัน โดยอาศัยเสียงขางมากในการทํา
คําสง่ั คําสงั่ ใด ๆ กต็ ามทีส่ ั่งจะตอ งรวมอยูใ นสํานวน และเรื่องนี้เปนกรณที ่ีสามารถ
สัง่ ไดโ ดยตรง ในกรณนี ้สี ามารถมีคาํ สง่ั “ยกคํารอง สาํ เนาใหอกี ฝาย” เพราะฉะน้ัน
เวลามคี าํ ส่งั อนุญาโตตลุ าการตองไมล มื ท้งิ ทายวา “สาํ เนาใหอกี ฝาย” ซง่ึ เปนไปตาม
มาตรา 30

คํารองบางเร่ืองอนุญาโตตุลาการสามารถส่ังไดแตมีขอยกเวน เชน จะตอง
ฟงอีกฝายหนึ่งกอนมีการส่ังคํารอง ถามีขอยกเวนอนุญาโตตุลาการอาจส่ัง “สําเนา
ใหอ กี ฝาย รอไวส ่งั ในวนั นัด” หรือ “สาํ เนาใหอ ีกฝาย รอไวส อบสัง่ ในวนั นดั ” ซึง่ คือ
การใหโอกาสอีกฝายหน่ึงคัดคานคํารองน้ัน แลวอนุญาโตตุลาการจึงนํามาพิจารณา
วา มคี วามจาํ เปน หรอื ไมท จี่ ะตอ งมกี ารไตส วนกอ นจะมคี าํ สง่ั คาํ รอ งนนั้ ถา เปน การเรยี ก
สงิ่ ของหรือเอกสารจะใชค ําวาคําสัง่ เรียก ซึ่งสอดคลองกบั วธิ พี ิจารณาความแพง

ถาเปนการเรียกพยานบุคคลจะใชคําวาหมายเรียก แตการท้ังหลายท้ังปวง
อนุญาโตตุลาการไมสามารถออกหมายเองได ข้ันตอนดังกลาวน้ีจะตองยื่นคําขอ
ตอ ศาล ซง่ึ มาตรา 33 บญั ญัตวิ า

มาตรา 33 คณะอนุญาโตตุลาการหรืออนุญาโตตุลาการคนใดคนหนึ่งหรือ
คูพิพาทฝายใดฝายหนึ่งโดยความยินยอมของคณะอนุญาโตตุลาการเสียงขางมาก
อาจยนื่ คาํ รอ งตอ ศาลทมี่ เี ขตอาํ นาจใหอ อกหมายเรยี กพยานหรอื มคี าํ สงั่ ใหส ง เอกสาร
หรอื วัตถุใดกไ็ ด

ในกรณีทีศ่ าลเห็นวา การดําเนินกระบวนพจิ ารณาตามคํารองตามวรรคหนึง่
ถา เปน การพจิ ารณาของศาลแลว ศาลอาจะทาํ ใหไ ด กใ็ หศ าลจดั การใหต ามคาํ รอ งนน้ั
ท้ังน้ี ใหนําบทบัญญัติแหงกฎหมายวิธีพิจารณาความของศาลในสวนท่ีเก่ียวกับ
การนัน้ มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม

จะเห็นไดวาเหมือนกับวิธีการช่ัวคราว คือ เปนอํานาจของศาล โดยศาล
จะมีคําส่ังเรียกเอกสาร เรียกพยานวัตถุ หรือหมายเรียกพยานบุคคล ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 111 (1) (2)

154 การตรวจและสัง่ คาํ คคู วาม/คาํ รอง (ปฏบิ ัต)ิ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

อกี กรณหี นึ่งในมาตรา 46 เขียนไวชัดเจนวา
มาตรา 46 ในกรณที คี่ พู พิ าทมไิ ดต กลงกนั ไวเ ปน อยา งอน่ื คา ธรรมเนยี มและ
คา ใชจ า ยในชน้ั อนญุ าโตตลุ าการ ตลอดจนคา ปว ยการอนญุ าโตตลุ าการ แตไ มร วมถงึ
คาทนายความและคาใชจายของทนายความ ใหเปนไปตามท่ีกําหนดไวในคําช้ีขาด
ของคณะอนุญาโตตลุ าการ
ในกรณที ม่ี ไิ ดก าํ หนดคา ธรรมเนยี มและคา ใชจ า ยในชน้ั อนญุ าโตตลุ าการหรอื
คาปวยการอนุญาโตตุลาการไวในคําช้ีขาด คูพิพาทฝายใดฝายหนึ่งหรือ
คณะอนุญาโตตุลาการอาจยื่นคํารองใหศาลท่ีมีเขตอํานาจมีคําส่ังเรื่องคาธรรมเนียม
และคาใชจายในชั้นอนุญาโตตุลาการและคาปวยการอนุญาโตตุลาการไดตามที่เห็น
สมควร
จากมาตรา 46 นน้ั จะเหน็ ไดวา กรณีดงั กลา วเกีย่ วดว ยในชัน้ พจิ ารณาจะมี
อยู 3 ประการ ท่ีจะตองเสนอตอศาล หากไมมกี ารกาํ หนดไวใ นคาํ ชีข้ าด คอื เร่ือง
คา ธรรมเนยี มและคา ใชจายในชน้ั อนญุ าโตตลุ าการและคาปว ยการอนุญาโตตุลาการ
ตอ ไปคอื เรอื่ งทพี่ ระราชบญั ญตั กิ าํ หนดไวเ ปน อยา งอนื่ จะเรยี งตามลาํ ดบั ของ
กระบวนพิจารณาทจี่ ะตองปฏบิ ัตใิ นชนั้ อนุญาโตตุลาการ
หวั ขอ แรกคอื สถานทใี่ นการดาํ เนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการ คกู รณสี ามารถ
กําหนดสถานทเี่ พอื่ ดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการได ตามมาตรา 26 ซงึ่ บัญญัตวิ า
มาตรา 26 คูพิพาทอาจตกลงกําหนดสถานที่ในการดําเนินการทาง
อนุญาโตตุลาการไวก็ได ในกรณีท่ีไมมีขอตกลงเชนวานั้น ใหคณะอนุญาโตตุลาการ
กาํ หนดสถานทีโ่ ดยคํานึงถึงสภาพแหงขอ พิพาทและความสะดวกของคพู พิ าท
ในกรณีท่ีคูพิพาทมิไดตกลงกันไวเปนอยางอ่ืน คณะอนุญาโตตุลาการอาจ
กาํ หนดสถานทอี่ น่ื ใดนอกเหนอื จากทก่ี าํ หนดไวต ามวรรคหนง่ึ เพอื่ ดาํ เนนิ การปรกึ ษา
หารอื เพ่อื สบื พยานบุคคล ผเู ชยี่ วชาญหรือคพู พิ าท หรอื เพ่ือตรวจสอบวตั ถุ สถานท่ี
หรือเอกสารใด ๆ กไ็ ด

การตรวจและสัง่ คําคูความ/คาํ รอ ง (ปฏบิ ตั )ิ 155

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ

ซง่ึ โดยปกตแิ ลว คพู พิ าทจะตกลงกนั และทาํ คาํ แถลงตอ อนญุ าโตตลุ าการ เชน
การดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการใหไปนั่งพิจารณาดําเนินการที่บริษัทคูพิพาท
ฝายผูเรียกรอง หากคูพิพาทมีการกําหนดสถานที่ไว อนุญาโตตุลาการไมสามารถ
ส่ังเปนอยางอ่ืนได แตอยางไรก็ดี หากคูพิพาทไมไดตกลงกันไวเปนอยางอ่ืน
อนญุ าโตตุลาการมีสิทธใิ นการท่ีจะออกไปเดนิ เผชญิ สบื พยานนอกสถานทไ่ี ด

โดยอนุญาโตตุลาการจะตองระมัดระวังไมใหมีการนําคดีขึ้นสูศาล ซ่ึงตาม
มาตรา 45 จะเปนชองทางท่ีทําใหขอ พิพาทนัน้ เสรจ็ ไดในช้นั อนญุ าโตตุลาการอยา ง
แทจ ริง

มาตรา 28 คูพิพาทอาจตกลงกําหนดภาษาที่จะใชในการดําเนินกระบวน
พจิ ารณาได ในกรณที ไ่ี มม ขี อ ตกตลงเชน วา นน้ั ใหค ณะอนญุ าโตตลุ าการเปน ผกู าํ หนด
และถามิไดกําหนดไวโดยเฉพาะเปนอยางอื่น ขอตกลงหรือขอกําหนดเชนวานี้ใหใช
บังคับถึงขอเรียกรอง คาํ คดั คาน คํารองทท่ี ําเปน หนังสือของคูพ ิพาท การสบื พยาน
คําชข้ี าด คาํ วินิจฉัยหรอื การส่ือสารใด ๆ ทีท่ าํ โดยหรอื ทําตอ คณะอนญุ าโตตลุ าการ
ดวย

คณะอนุญาโตตุลาการอาจมีคําสั่งใหแนบคําแปลเอกสารท่ีคูพิพาทอางเปน
พยาน เปนภาษาตามที่คูพิพาทตกลงกันไวหรือตามท่ีคณะอนุญาโตตุลาการกําหนด
ก็ได

ในสวนของภาษาท่ใี ชน ัน้ มาตรา 28 คคู วามอาจตกลงกําหนดภาษาทจ่ี ะใช
ในการดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาได แตห ากเปน ภาษาตา งประเทศนนั้ อนญุ าโตตลุ าการ
อาจส่ังใหคูพิพาทแปลเปนภาษาไทยได ตามมาตรา 28 วรรคสอง แตหากคูพิพาท
แปลเอกสารมาไมครบถวนนั้น อนุญาโตตุลาการมีอํานาจที่จะสั่งใหคูพิพาทฝายนั้น
แปลเอกสารใหค รบถว นได การแปลเอกสารนน้ั ไมส ามาถคดั คา นการแปลในชนั้ ศาล
และไมเปนเหตุใหศาลเพิกถอนคาํ ชี้ขาดได

มาตรา 29 ภายในระยะเวลาทค่ี พู พิ าทตกลงกนั หรอื ทค่ี ณะอนญุ าโตตลุ าการ
กําหนด ถาคูพิพาทมิไดตกลงกันไวเปนอยางอ่ืน คูพิพาทฝายท่ีเรียกรองตองแสดง

156 การตรวจและสัง่ คําคูความ/คํารอง (ปฏิบตั )ิ

สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ขอเท็จจริงเพ่ือสนับสนุนขอเรียกรอง ประเด็นขอพิพาท และคําขอบังคับของตน
สว นคพู พิ าทฝา ยทถ่ี กู เรยี กรอ งตอ งแสดงในคาํ คดั คา นถงึ ขอ ตอ สขู องตน ทง้ั น้ี คพู พิ าท
อาจแนบเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ งหรอื บญั ชรี ะบพุ ยานทรี่ ะบถุ งึ เอกสารหรอื พยานหลกั ฐาน
อ่ืนที่ประสงคจะอา งเปน พยานมาดว ยก็ได

ในกรณีท่ีคูพิพาทมิไดตกลงกันไวเปนอยางอื่น คูพิพาทฝายใดฝายหน่ึงอาจ
ขอแกไขเพ่ิมเติมขอเรียกรองหรือคําคัดคานในระหวางพิจารณาก็ได เวนแต
คณะอนญุ าโตตลุ าการเหน็ วา การแกไ ขเพม่ิ เตมิ นน้ั ไมส มควร เมอ่ื คาํ นงึ ถงึ ความลา ชา
ท่ีจะเกิดข้นึ

การแกไขขอ เรยี กรองหรือคาํ คัดคา น มาตรา 29 วรรคทาย เปนบทบญั ญตั ิ
ทใี่ หท าํ เปนคาํ รอง วิธปี ฏบิ ัติ เขาจะตองยื่นคาํ แถลง คาํ รอ งเขามา สําเนาใหอกี ฝา ย
สอบแลวก็พิเคราะหสั่ง การส่ังจะส่ังอนุญาตหรือการส่ังจะอยูในอํานาจของ
อนญุ าโตตลุ าการหรอื ไมน น้ั ตอ งดจู ากตวั บทกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ ง เชน กรณตี ามมาตรา 28
คูพิพาทตกลงจะใชภาษาอะไรในการดําเนินกระบวนพิจารณา อนุญาโตตุลาการจะ
ใชด ุลยพินจิ ไปเปลยี่ นภาษาไมไ ด

สวนการสืบพยานหรือการฟงคําแถลงการณดวยวาจาหรือเปนหนังสือ
มีบัญญตั ิไวในมาตรา 30 เปน เร่ืองของการสงสําเนา

การดําเนนิ การของอนญุ าโตตุลาการ คําส่งั ยตุ ติ ามมาตรา 31 กรณีท่ีมคี ําสัง่
ยุติในกรณีที่ฝายที่สั่งใหเขาเสนอขอเรียกรองเปนหนังสือแลวไมดําเนินการภายใน
กําหนด ใหย ุติกระบวนการ สวนคาํ คดั คา นไมส งไมเ ปน ไร มาตรา 31 (2) ใหดําเนิน
การตอไป แตมิใหถือวาการที่ไมย่ืนคําคัดคานน้ันเปนการยอมรับขอเท็จจริงตาม
ขอ เรียกรอ ง มาตรา31 (3) ดําเนนิ กระบวนพิจารณาตอ ไป ถาคูพ ิพาทฝายใดไมม าใน
วนั นดั สบื พยานหรอื ในนดั พจิ ารณาหรอื ไมเ สนอพยานหลกั ฐานใด ๆ และใหม คี าํ ชข้ี าด
ตอไป กใ็ หอา นดูวาจาํ เปนจะตอ งมกี ารสืบพยานหรอื ไม หรืออยางนอ ยนดั พจิ ารณา
เพ่ือตรวจเอกสารและทําความเขาใจเอกสารท่ีคูพิพาทยื่นเขามาเสียกอนวาครบถวน
ถูกตองหรอื ไม สามารถวนิ จิ ฉัยชขี้ าดไดหรือไม

การตรวจและสัง่ คําคคู วาม/คาํ รอง (ปฏิบัติ) 157

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ

ในกรณมี ขี อ สงสยั เกย่ี วกบั การไมม าในวนั นดั ของเขา ในมาตรา 31 วรรคทา ย
บญั ญัติให อนุญาโตตลุ าการมีอาํ นาจไตสวนถงึ เหตทุ ่ีเขาไมมาได ถา ไมม ีเหตอุ นั ควร
ก็จะตองถือวากระบวนการนี้เปนอันจบไป อนุญาโตตุลาการสามารถช้ีขาดไปได
แตถา เหน็ วามีเหตทุ ่ที ําใหเขาไมมา คณะอนุญาโตตุลาการกม็ ีอาํ นาจท่ีจะใหเลื่อนนัด
ดังกลาวออกไปได

มาตรา 21 ของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงจะเปนตัวท่ีกําหนดวิธี
พิจารณาในทางศาล แตจ ะเปน หลักใหส ําหรับอนญุ าโตตุลาการในการทจ่ี ะพจิ ารณา
คาํ รอ งคาํ ขอตาง ๆ ซึ่งสว นทจ่ี ะเกี่ยวขอ งกับอนุญาโตตุลาการนน้ั จะมีดังนี้

มาตรา 21 (1) (2) และ (4) บางเรือ่ งจําเปนตองไตสวน อนญุ าโตตุลาการ
ก็สามารถที่จะไตสวนในเรื่องนั้นได แตในช้ันอนุญาโตตุลาการการไตสวนบรรดา
เหตุตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหวางการพิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการไมคอยพบเห็นนัก
เน่ืองจากจะเปนการทําใหกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการมีความลาชา แตก็
สามารถไตสวนไดเ ทา ทจ่ี าํ เปน

สว นการขอคดั บรรดาถอ ยคาํ ของพยานฝา ยตนในระหวา งกระบวนพจิ ารณา
ชั้นอนญุ าโตตลุ าการนนั้ ไมส ามารถทําได เปน เรือ่ งตองหาม

158 การตรวจและสง่ั คําคคู วาม/คํารอง (ปฏบิ ัติ)

สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

รวมคาํ พพิ ากษาท่ีนาสนใจเกี่ยวกบั อนญุ าโตตลุ าการ

รวมคําพพิ ากษาทีน่ า สนใจเก่ียวกับอนญุ าโตตลุ าการ 159

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตุลาการ

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด ท่ี อ.1287/2560

เรื่อง คดีพิพาทเกย่ี วกับเร่ืองทีม่ ีกฎหมายกาํ หนดใหอยใู นเขตอํานาจศาลปกครอง
(อทุ ธรณคาํ พพิ ากษา)

ขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูรองวาจางผูคัดคานใหทําการกอสรางถนนลงดิน
ลูกรัง และวางทอระบายน้ําพรอมปายประชาสัมพันธโครงการ เปนเงินคาจาง
425,000 บาท แตปรากฏวาผูคัดคานทํางานไมแลวเสร็จภายในกําหนดเวลาตาม
สัญญา ผูรองจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและแจงใหผูคัดคานนําเงินคาปรับมาชําระ
พรอมคา ใชจ า ยท่ีเพมิ่ ข้นึ ในการทาํ งานน้ันตอใหแลวเสรจ็ แตผ คู ัดคานเพกิ เฉย ผูรอ ง
จึงไดเ สนอขอ พพิ าทตอคณะอนุญาโตตุลาการ ซงึ่ คณะอนญุ าโตตุลาการไดพิจารณา
แลว มีคาํ ชี้ขาดใหผ ูคดั คานชาํ ระเงินคาปรับ จํานวน 96,050 บาท นับแตว นั ถดั จาก
วันท่ีผูคัดคานไดรับหนังสือทวงถามจนกวาจะชําระเสร็จใหแกผูรอง และใหชําระ
คาใชจายที่เพิ่มขึ้นในการทํางานดังกลาวใหแลวเสร็จเปนเงิน 152,800 บาทพรอม
ดอกเบ้ียในอัตรา รอยละ 7.5 ตอปของจํานวนเงินคาใชจายที่เพิ่มข้ึน นับแต
วนั ถดั จากวนั ครบกาํ หนด 15 วนั ทไี่ ดร บั หนงั สอื ใหช าํ ระเงนิ ดงั กลา วจนกวา จะชาํ ระเสรจ็
และใหค กู รณอี อกคา ปว ยการคณะอนญุ าโตตลุ าการและคา ใชจ า ยชนั้ อนญุ าโตตลุ าการ
ฝา ยละครง่ึ แตผ คู ดั คานไมปฏบิ ตั ติ ามคาํ ชข้ี าดดงั กลาว ผูรองจึงย่ืนคํารองเพ่อื ขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหบ ังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ

คาํ วนิ จิ ฉัยของศาลปกครองสงู สุด
เม่ือขอเท็จจริงปรากฏตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการวา
คณะอนญุ าโตตลุ าการไดก าํ หนดประเดน็ ขอ พพิ าทวา ผเู รยี กรอ ง (ผรู อ ง) หรอื ผคู ดั คา น
ฝา ยใดเปน ฝายผดิ สัญญา (คูพิพาทฝา ยใดเปนฝา ยผิดสัญญา และตองรบั ผดิ เพยี งใด)
ซงึ่ คณะอนญุ าโตตลุ าการไดว นิ จิ ฉยั ตามประเดน็ ขอ พพิ าทดงั กลา วแลว เหน็ วา สญั ญา
พพิ าทระหวา งผรู อ งกบั ผคู ดั คา นเปน สญั ญาจา งทาํ ของซงึ่ ตอ งเปน ไปตามเจตนารมณ
ของคกู รณที ตี่ กลงกนั เมอ่ื ไมป รากฏขอ สญั ญาวา ใหน าํ วสั ดเุ ดมิ จากถนนมาใชใ นทใี่ หม
(การนาํ ดนิ ของถนนลกู รงั เดมิ ไปถมทาํ ถนนตามแนวทจี่ ะกอ สรา งตามสญั ญา) ผคู ดั คา น

160 รวมคาํ พพิ ากษาทนี่ าสนใจเกี่ยวกบั อนุญาโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

ก็ไมสามารถจะยกเอาประเด็นขอน้ีมาตอสูกับผูเรียกรอง (ผูรอง) ได ดังนั้น เมื่อ
ผูคัดคานมิไดดําเนินการตามสัญญา จึงถือเปนผูผิดสัญญาตามประเด็นที่
คณะอนุญาโตตุลาการไดตั้งไว ผูคัดคานจึงตองรับผิดตอผูรอง เปนคาปรับในอัตรา
วนั ละ 850 บาท นบั แตว นั ถดั จากวนั ครบกาํ หนดในสญั ญา จนถงึ วนั ทผ่ี เู รยี กรอ ง (ผรู อ ง)
ไดม หี นงั สอื บอกเลิกสัญญา รวม 138 วัน คิดเปน เงนิ คาปรบั ทั้งสิน้ 117,300 บาท
โดยผูเรียกรอง (ผูรอง) ไดใชสิทธิหักเอาเงินคาปรับออกจากหลักประกันจํานวน
21,250 บาท ซ่งึ ยังคงเหลอื จํานวนเงนิ คา ปรับที่ผคู ดั คานจะตอ งรับผดิ ตอผูเรียกรอ ง
(ผรู อ ง) เปน เงนิ 96,050 บาท พรอมดอกเบีย้ ในอตั รา รอ ยละ 7.5 ตอ ป ของจํานวน
เงนิ ดงั กลา ว ตงั้ แตว นั ถดั จากวนั ทผี่ คู ดั คา นไดร บั หนงั สอื ทวงถามจนกวา จะชาํ ระเสรจ็
แกผูเ รียกรอง (ผรู อ ง) นอกจากนี้ ผคู ัดคานจะตองชาํ ระเงินคาใชจ า ยทเ่ี พิ่มขึน้ ในการ
ทาํ งานดงั กลา วตอ ใหแ ลว เสรจ็ เปน เงนิ 152,800 บาท พรอ มดอกเบยี้ ในอตั รา รอ ยละ
7.5 ตอป ของจํานวนเงินคาใชจ า ยท่ีเพมิ่ ข้ึน นบั แตวนั ถดั จากวนั ครบกาํ หนด 15 วัน
ท่ีไดรับหนังสือแจงใหชําระเงินดังกลาวจนกวาจะชําระเสร็จ และใหคูกรณีออก
คาปวยการคณะอนุญาโตตุลาการและคาใชจายชั้นอนุญาโตตุลาการฝายละคร่ึง
เห็นไดวา คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกลาวอยูในขอบเขตของสัญญา
อนญุ าโตตลุ าการตามมาตรา 43(4) แหง พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545
และไมมีเหตุท่ีขอพิพาทนี้ไมสามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการหรือถามีการ
บังคับตามคําชี้ขาดน้ี จะเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดี ของ
ประชาชนที่ศาลจะทําคําสั่งปฏิเสธไมรับบังคับตามคําชี้ขาดดังกลาวตามมาตรา 44
แหง พระราชบญั ญัตดิ ังกลาวแตอ ยางใด ดงั นั้น คําชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตุลาการท่ี
พิพาทจึงอยูในหลักเกณฑท่ีศาลจะมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหบังคับตามคําช้ีขาด
ดงั กลา วได ศาลปกครองชน้ั ตน จงึ ไมอ าจพจิ ารณาลดคา ปรบั ซงึ่ มลี กั ษณะเปน การแกไ ข
คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่อยูในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการได
แมผ รู อ งจะมไิ ดอ ทุ ธรณค าํ พพิ ากษาในประเดน็ ดงั กลา วกต็ าม แตเ นอ่ื งจากกรณขี า งตน
ถือเปนปญหาอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัย
เองได ตามขอ 92 แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
วาดว ยวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. 2543

รวมคาํ พิพากษาทน่ี าสนใจเก่ยี วกบั อนุญาโตตุลาการ 161

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ

สาํ หรบั ขอ อทุ ธรณข องผรู อ งในสว นทขี่ อใหผ คู ดั คา นชาํ ระคา ธรรมเนยี มและ
คา ใชจ า ยในชน้ั อนญุ าโตตลุ าการนนั้ เมอ่ื คาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา ว
ไดระบใุ หค า ใชจ า ยในชั้นอนุญาโตตุลาการ และคา ปว ยการคณะอนญุ าโตตุลาการให
เปนไปตามบัญชีแนบทายคําช้ีขาด โดยใหคูพิพาทท้ังสองฝายออกใชฝายละกึ่งหนึ่ง
สําหรับคาปวยการคณะอนุญาโตตุลาการและคาใชจายในการดําเนินกระบวน
พจิ ารณาของสถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ และคา ปว ยการคณะอนญุ าโตตลุ าการทผ่ี รู อ ง
ออกใชแทนผูคัดคานไปกอนหนานั้น ใหถือวาเปนสวนหนึ่งของจํานวนเงินตาม
คําชี้ขาดทผ่ี คู ดั คานตอ งชาํ ระแกผรู อง ดงั น้นั เมอื่ ศาลไดว นิ จิ ฉัยแลว วากรณไี มม ีเหตุ
ทศ่ี าลจะทําคาํ ส่ังปฏเิ สธไมร ับบังคับตามคําชข้ี าดดงั กลา วแลว จึงมผี ลเปน การบังคบั
ตามคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการในสวนทใ่ี หผ คู ดั คา นชําระคาธรรมเนยี มและ
คาใชจายในชั้นอนุญาโตตุลาการดวยแลว กรณีจึงไมจําตองวินิจฉัยประเด็นอุทธรณ
ของผูคัดคานเนื่องจากไมทําใหผลแหงคดีเปล่ียนแปลงไป พิพากษาใหบังคับตาม
คําช้ขี าดของคณะอนุญาโตตลุ าการ

162 รวมคําพิพากษาทนี่ าสนใจเกยี่ วกบั อนุญาโตตลุ าการ

สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

คําสง่ั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ 61/2562

เรอ่ื ง คดีพิพาทเก่ียวกับเรื่องท่ีมีกฎหมายกําหนดใหอยูในเขตอํานาจศาล
ปกครอง(คํารองอุทธรณคําส่ังไมรับคํารองขอใหบังคับตามคําชี้ขาดของ
คณะอนญุ าโตตลุ าการไวพิจารณา)
ผรู อ งทาํ สญั ญาจา งกบั ผคู ดั คา นเพอ่ื ขดุ ลอกหนองนา้ํ โดยตอ งทาํ งานใหแ ลว

เสร็จภายในวนั ท่ี 7 สงิ หาคม 2547 และตอมามกี ารตกลงเปล่ยี นแปลงแกไขสญั ญา
ใหมโดยตกลงใหผ ูคัดคานกอ สรางงานใหแ ลว เสรจ็ ภายในวันท่ี 5 ตุลาคม 2547 แต
ผูคดั คานมไิ ดป ฏบิ ตั งิ านใหแลวเสรจ็ ตามกาํ หนดเวลาในสัญญา ตอ มาผรู องมหี นงั สอื
บอกเลกิ สัญญา ริบหลกั ประกนั สญั ญาและเรียกคา ปรบั และดําเนนิ การจา งผรู บั จา ง
รายใหมเขาดําเนินการตอจนแลวเสร็จ และเมื่อผูคัดคานไมชําระเงินคาปรับตามท่ี
ผูเรียกรองใหชําระตามสัญญา ผูรองจึงนําขอพิพาทเขาสูการพิจารณาของ
อนญุ าโตตุลาการเพื่อระงบั ขอพิพาทดังกลาวตามสญั ญาจา ง คณะอนญุ าโตตุลาการ
มีคําชข้ี าดเมอื่ วันที่ 18 สงิ หาคม 2553 ชขี้ าดใหผ ูคัดคา นรว มกันชําระเงนิ แกผ ูรอง

ตอมาผูรองย่ืนคํารองขอใหศาลปกครองพิพากษาหรือบังคับตามคําชี้ขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการ เมอ่ื วันท่ี 22 ธนั วาคม 2559 ศาลปกครองชัน้ ตนเหน็ วา
เปนการย่ืนคํารองเมื่อพนกําหนดระยะเวลาตามตามมาตรา 42 วรรคหน่ึง
แหง พระราชบญั ญตั ิ อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 จงึ มคี าํ สง่ั ไมร บั คาํ รอ งนไี้ วพ จิ ารณา
จําหนา ยคดีออกจากสารบบความ

ผูรองย่ืนอุทธรณคําส่ังของศาลปกครองชั้นตนสรุปไดวา ผูรองไดรับทราบ
คําชขี้ าดเมอ่ื วันที่ 25 ธันวาคม 2558 ผูคดั คา นมไิ ดดําเนนิ การใหเปน ไปตามคาํ ชขี้ าด
ของคณะอนุญาโตตุลาการ แตเพิกเฉยและใชประโยชนจากระยะเวลาเพื่อใหตน
พนจากความรับผิด นอกจากนั้นโครงการขุดลอกหนองนํ้าน้ันมีวัตถุประสงคเพ่ือให
ราษฎรมแี หลง นา้ํ ไวใ ชป ระโยชนแ ละสรา งขน้ึ เพอ่ื ประโยชนส าธารณะโดยตรง จงึ ถอื วา
เปนความเสียหายแกประโยชนสาธารณะท่ีศาลปกครองอาจรับคดีน้ีไวพิจารณาได
ตามมาตรา 52 แหง พระราชบัญญตั จิ ัดตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง
พ.ศ. 2542

รวมคาํ พิพากษาท่ีนาสนใจเกีย่ วกบั อนญุ าโตตลุ าการ 163

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ

คําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. 2545 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญตั ิวา ในกรณที ่ีคูสญั ญาไมไดต กลงกันไวเ ปน
อยา งอนื่ การสง เอกสารตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี ถา ไดส ง ใหแ กบ คุ คลซงึ่ ระบไุ วใ นเอกสาร
นนั้ หรอื ปรากฎทอ่ี ยขู า งตน แมไ ดส บื หาตามสมควรแลว ถา ไดส ง ไปยงั สาํ นกั ทาํ การงาน
หรือภูมิลําเนา หรือที่อยูทางไปรษณียแหงสุดทายที่ทราบ โดยทางไปรษณีย
ลงทะเบยี นหรือไปรษณยี ล งทะเบียนตอบรับ ถาเปน การสงภายในประเทศ หรอื โดย
วธิ อี นื่ ใดทแี่ สดงถึงความพยายามในการจัดสง ใหถือวา บคุ คลซงึ่ ระบไุ วใ นเอกสารนั้น
ไดรบั เอกสารดังกลาวแลว ตามมาตรา 37 วรรคสี่ บญั ญตั วิ า เม่อื ทาํ คาํ ชี้ขาดเสรจ็
แลว ใหค ณะอนญุ าโตตลุ าการสง สาํ เนาคาํ ชขี้ าดนนั้ ใหแ กค พู พิ าททกุ ฝา ย ตามมาตรา
40 วรรคสองบัญญัติวา คูพิพาทฝายใดฝายหน่ึงอาจรองขอใหเพิกถอนคําช้ีขาดได
โดยยนื่ คาํ รอ งตอ ศาลทม่ี เี ขตอาํ นาจภายใน 90 วนั นบั แตว นั ไดร บั สาํ เนาคาํ ชขี้ าด หรอื
ถาเปน กรณมี กี ารขอใหค ณะอนญุ าโตตลุ าการแกไ ขหรอื ตคี วามคาํ ชข้ี าดหรอื ชขี้ าดเพม่ิ
เตมิ นับแตวันท่ีคณะอนุญาโตตุลาการไดแกไขหรือตีความคําชี้ขาดหรือทําคําช้ีขาด
เพมิ่ เติมแลว มาตรา 42 วรรคหน่งึ บญั ญัติวา เมอ่ื คพู พิ าทฝายใดประสงคจ ะใหม กี าร
บังคับตามคาํ ช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ใหคพู พิ าทฝา ยนน้ั ยืน่ คํารอ งตอ ศาลท่ี
มเี ขตอํานาจภายในกาํ หนดเวลาสามปนบั แตวนั ท่ีอาจบงั คับตามคาํ ชีข้ าดได เมอ่ื ศาล
ไดร บั คาํ รอ งดงั กลา ใหร บี ทาํ การไตส วน และมคี าํ พพิ ากษาโดยพลนั ขอ บงั คบั สาํ นกั งาน
ศาลยตุ ิธรรม วาดว ยอนุญาโตตลุ าการ สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2546 ขอ 3
กําหนดวา การสงคาํ คูความ หนงั สอื แจง ความ หรอื เอกสารอืน่ ใด ใหถือวา สมบูรณ
เม่อื ไดส งใหแก คูพพิ าทอีกฝายหนงึ่ ผแู ทนหรอื ทนายความของฝา ยนั้น หรอื ไดมีการ
สง ไปถงึ ภมู ลิ าํ เนาหรอื สถานทป่ี ระกอบธรุ กจิ ของผรู บั หากไมส ามารถสบื หาภมู ลิ าํ เนา
หรอื สถานทป่ี ระกอบธรุ กจิ ทแี่ ทจ รงิ ได ใหส ง ไปยงั ถน่ิ ทอี่ ยหู รอื สถานประกอบธรุ กจิ ท่ี
ทราบคร้งั สดุ ทา ยของบคุ คลนน้ั และขอ 30 วรรคสี่ กําหนดวา เมอื่ ทาํ คําชี้ขาดแลว
ใหรีบสงสําเนาคําช้ีขาดไปถึงคูพิพาทที่เกี่ยวของทุกฝายและใหถือวาคําชี้ขาดมี
ผลผูกพนั คพู พิ าทแลว ตัง้ แตวนั ท่สี ําเนาคาํ ชีข้ าดไปถึงคูพ พิ าทฝา ยนนั้

คดนี ขี้ อ เทจ็ จรงิ รบั ฟง ไดว า คณะอนญุ าโตตลุ าการไดม คี าํ ชขี้ าดขอ พพิ าทเมอื่
วนั ท่ี 18 สงิ หาคม 2553 และไดม กี ารสง สาํ เนาคาํ ชขี้ าดดงั กลา วทางไปรษณยี ต อบรบั

164 รวมคาํ พิพากษาที่นาสนใจเก่ยี วกับอนุญาโตตลุ าการ

สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

โดยปรากฎตามเอกสารไปรษณียตอบรับวา พนักงานรักษาความปลอดภัยของ
สํานักงานของผูรองเปนผูลงลายมือชื่อรับสําเนาคําช้ีขาดดังกลาว เม่ือวันที่ 19
กันยายน 2553 จึงถอื วา ไดม กี ารสงเอกสารใหแ กบุคคลซ่งึ ระบุไวใ นเอกสารนนั้ หรอื
ไดส ง ไปยงั สาํ นกั ทาํ การงานตามภมู ลิ าํ เนา ตามนยั มาตรา 7 วรรคหนงึ่ แหง พระราชบญั ญตั ิ
อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 และ ขอ 3 ของขอบงั คบั สาํ นกั งานศาลยุตธิ รรม วาดว ย
อนุญาโตตลุ าการ สถาบันอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2546 แลว เม่ือผรู ับมอบอาํ นาจ
ผูรองไดรับสําเนาคําช้ีขาดไวทางไปรษณียตอบรับ ณ ภูมิลําเนาของผูรอง เม่ือวันท่ี
19 กนั ยายน 2553 วนั ดงั กลาวจึงเปน วันท่ีคําช้ีขาดมีผลผกู พันคูก รณี ตามนยั ขอ 30
วรรคสี่ ของขอบังคับสํานักงานศาลยุติธรรม วาดวยอนุญาโตตุลาการ สถาบัน
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2546 ดงั นนั้ จงึ ถอื วา วนั ดงั กลา วเปน วนั ทผี่ รู อ งมสี ทิ ธยิ นื่ คาํ รอ ง
ตอศาลท่ีมีเขตอํานาจภายในกําหนดเวลา สามปนับแตวันที่อาจบังคับตามคําช้ีขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการได และเม่ือไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูคัดคานไดมีการยื่น
คาํ รอ งตอ ศาลเพอ่ื ใหเ พกิ ถอนคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการตาม มาตรา 40 แหง
พระราชบัญญตั อิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อันจะทําใหอายคุ วามในการยื่นคาํ รอง
ใหมีการบงั คับตามคาํ ช้ีขาดของคณะอนญุ าโตตลุ าการสะดุดหยุดลง ผรู อ งจงึ ตองย่ืน
คาํ รอ งตอ ศาลเพอ่ื ขอบงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดดงั กลา วภายในวนั ที่ 19 กนั ยายน 2556 ตาม
มาตรา 42 วรรคหนง่ึ แหง พระราชบัญญัติอนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545 การทผี่ ูร อ ง
ยื่นคาํ รอ งขอใหศ าลพิพากษาหรอื มคี ําสัง่ ใหบงั คับตามคําชี้ขาดในคดนี ้ี เมื่อวนั ที่ 22
ธนั วาคม 2559 จงึ เปน การยน่ื คาํ รอ งเมอ่ื พน กาํ หนดระยะเวลาตามมาตรา 42 วรรคหนงึ่
แหง พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา ว การทศี่ าลปกครองชนั้ ตน มคี าํ สงั่ ไมร บั คาํ รอ งขอใหบ งั คบั
ตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการน้ีไวพิจารณา จําหนายคดีออกจากสารบบ
ความน้นั ศาลปกครองสงู สุดเห็นพองดวย

รวมคําพิพากษาทนี่ าสนใจเก่ยี วกับอนญุ าโตตุลาการ 165

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตุลาการ

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. 968/2563

เรอื่ ง คดพี พิ าทเกยี่ วกบั เรอ่ื งทมี่ กี ฎหมายกาํ หนดใหอ ยใู นเขตอาํ นาจศาลปกครอง
(อุทธรณคําพิพากษา)
ผูรองทําสัญญาจางผูคัดคานทําแผนที่ภาษี และทะเบียนทรัพยสินเพ่ือการ

จดั ทาํ ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร (GIS) ซง่ึ กาํ หนดใหผ คู ดั คา นทาํ งานใหเ สรจ็ ภายใน
วนั ที่ 25 กรกฎาคม 2549 คา จา ง 1,500,000 บาท แบง จา ย 3 งวด ในการทาํ งานรบั จา ง
ผคู ดั คานไดส ง มอบงานงวดท่ี 1 และงวดที่ 2 และไดรับคา จางในงวดงานดังกลาวไป
แลว สําหรับงานงวดท่ี 3 ผูคัดคานมีหนังสือขอสงมอบงานแตคณะกรรมการตรวจ
การจา งมมี ตใิ หผ คู ดั คา นปรบั ปรงุ แกไ ขขอ มลู สว นทบ่ี กพรอ งแลว สง มอบงานใหม และ
ตอ มาผคู ดั คา นกไ็ ดส ง มอบงานในครง้ั 2 และครงั้ ที่ 3 แตค ณะกรรมการตรวจการจา ง
ยังไมสามารถตรวจรับงานได เน่ืองจากงานยังบกพรอง และผูคัดคานสงเอกสารมา
ไมค รบ ตอ มาผรู อ งมหี นงั สอื แจง บอกเลกิ สญั ญาไปยงั ผคู ดั คา นและแจง ใหช าํ ระคา ปรบั
ผคู ดั คานเสนอขอพพิ าทใหอ นุญาโตตลุ าการชี้ขาด คณะอนญุ าโตตุลาการวินิจฉัยวา
สัญญาระหวางผูรองและผูคัดคานเปนสัญญาจางทําของซึ่งมีหลักในการบอกเลิก
สัญญาตามมาตรา 605 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย เมือ่ ผูรองบอกเลิก
สัญญาระหวางท่ีการจางยังไมเสร็จสมบูรณยังอยูระหวางการตรวจรับงานจาง โดย
ไมแ จง ความประสงคว า จะชดใชค า เสยี หายหรอื คา สนิ ไหมทดแทนอนั เกดิ แตก ารบอก
เลกิ สญั ญาแตก ลบั อา งวา ผคู ดั คา นผดิ สญั ญาใหน าํ เงนิ คา ปรบั ไปชาํ ระ การกระทาํ ของ
ผูรองจึงไมชอบดวยกฎหมาย ผูรองจึงเปนฝายผิดสัญญา จึงใหผูรองชําระเงิน
จํานวน 600,000 บาท พรอมดอกเบย้ี แกผ ูคดั คาน และใหผ ูรองและผูคัดคานออก
คาธรรมเนียม และคาใชจายช้ันอนุญาโตตุลาการฝายละครึ่ง และคาใชจาย
ช้ันอนุญาโตตุลาการและคาปวยการอนุญาโตตุลาการใหเปนไปตามบัญชีแนบทาย
คาํ สง่ั น้ี

ผูรองนําคดีมาฟองตอศาลปกครองเพื่อใหเพิกถอนคําชี้ขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการ และมีคํารองขอใหศาลมีคําส่ังหรือคําพิพากษาใหผูคัดคาน
ออกคา ใชจ า ยแตเ พยี งฝา ยเดยี วทงั้ หมด ศาลชนั้ ตน พพิ ากษาใหเ พกิ ถอนคาํ ชข้ี าดของ

166 รวมคาํ พิพากษาท่ีนา สนใจเกยี่ วกับอนญุ าโตตลุ าการ

สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

คณะอนุญาโตตุลาการท้ังหมด สวนคําขอดังกลาวมิใชเปนการย่ืนคํารองขอใหศาล
บงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการ เพราะคณะอนญุ าโตตลุ าการมคี าํ ชข้ี าด
ใหผ รู อ งและผคู ดั คา นออกคา ธรรมเนยี มและคา ใชจ า ยชนั้ อนญุ าโตตลุ าการฝา ยละครง่ึ
และคาใชจายชั้นอนุญาโตตุลาการและคาปวยการอนุญาโตตุลาการใหเปนไปตาม
บญั ชแี นบทา ยคาํ ชขี้ าดน้ี ศาลจงึ ไมอ าจบงั คบั ตามคาํ ขอดงั กลา วได ผคู ดั คา นอทุ ธรณ
คําพิพากษาศาลปกครองชนั้ ตน

คําวนิ จิ ฉัยของศาลปกครองสูงสดุ
ศาลปกครองสูงสดุ เห็นวา ผคู ัดคานเสนอขอพพิ าทตอ อนญุ าโตตุลาการเพอ่ื
ใหช้ีขาดวา การบอกเลิกสัญญาของผูรองไมชอบและขอใหชําระเงินคาจางงวดที่ 3
ใหผูคัดคาน สวนผูรองย่ืนคําคัดคานและขอเรียกรองแยงวา ผูคัดคานสงมอบงาน
บกพรองไมสมบูรณ และลวงเลยระยะเวลาตามสัญญาขอใหผูคัดคานชําระคาปรับ
พรอ มดอกเบยี้ ใหผ รู อ ง ประเดน็ ตามคาํ เสนอขอ พพิ าทของผคู ดั คา นทขี่ อใหผ รู อ งชาํ ระ
เงนิ คาจางงวดที่ 3 และประเด็นตามขอเรียกรองแยง ของผรู อ งท่ขี อใหผูคัดคา นชาํ ระ
คา ปรับตามสัญญานน้ั จงึ เปนประเด็นขอ พิพาทเดียวกนั วาคูกรณีฝา ยใดเปน ฝายผิด
สัญญา คณะอนุญาโตตุลาการจึงตองวินิจฉัยในประเด็นน้ีโดยระบุเหตุผลแหงการ
วินิจฉัยทั้งปวงไวโดยชัดแจง ตามมาตรา 37 วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ท้ังนี้ บทบัญญตั แิ หง กฎหมายในกรณีน้ีคือมาตรา 381
และมาตรา 386 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย ทว่ี า ดว ยการบอกเลกิ สญั ญา
และการเรียกคาปรบั การท่คี ณะอนุญาโตตลุ าการวินิจฉัยขอ พิพาทในประเด็นนต้ี าม
มาตรา 605 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยท ก่ี าํ หนดวา ใหผ วู า จา งทป่ี ระสงค
จะบอกเลกิ สญั ญาโดยผรู บั จา งไมไ ดเ ปน ฝา ยผดิ สญั ญาตอ งชาํ ระคา สนิ ไหมทดแทนให
ผรู บั จาง โดยระบเุ หตผุ ลแตเพียงวา ผรู อ งไมแ จงความประสงควาจะชดใชค าเสียหาย
ผูรองจึงเปนฝายผิดสัญญา จึงเปนกรณีท่ีอนุญาโตตุลาการไมไดช้ีขาดขอพิพาทให
เปนไปตามกฎหมาย อันเปนการฝาฝนมาตรา 34 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แหง
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 นอกจากนส้ี ญั ญาพพิ าทไดก าํ หนดสทิ ธิ
และหนาที่ของคูสัญญาและกําหนดกรณีการผิดสัญญาไวแลว การท่ี

รวมคําพิพากษาทนี่ าสนใจเกี่ยวกับอนุญาโตตลุ าการ 167

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ

คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอพิพาทประเด็นน้ีโดยไมไดพิจารณาถึงขอสัญญา
ที่กําหนดใหผูวาจางมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและกําหนดใหผูรับจางชําระคาปรับเมื่อ
ไมไดทํางานใหแลวเสร็จบริบูรณภายในกําหนดระยะเวลาตามสัญญา อันเปนการ
ผิดสัญญา ยอมเปนการไมวินิจฉัยช้ีขาดขอพิพาทตามขอสัญญา อันเปนการฝาฝน
มาตรา 34 วรรคส่ี แหงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อีกดวย
การยอมรบั หรอื บงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา วจงึ เปน การขดั ตอ
ความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชนท่ีศาลตองเพิกถอนคําช้ีขาด
ดงั กลา ว ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2)(ข) แหงพระราชบญั ญตั ิดงั กลา ว สว นการท่ี
คณะอนุญาโตตุลาการมีคําชี้ขาดในเรื่องคาธรรมเนียม คาใชจายและคาปวยการ
อนุญาโตตุลาการ โดยใหผูรองและผูคัดคานออกฝายละครึ่ง จึงเปนคําชี้ขาดท่ีชอบ
ดวยมาตรา 46 แหง พระราชบญั ญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 แลวไมมเี หตุที่ศาล
ตองเพิกถอนคําช้ขี าดในสวนน้ี

ศาลปกครองสงู สดุ พพิ ากษาใหเพิกถอนคําชีข้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ยกเวนคําชี้ขาดในเรอ่ื งคาธรรมเนียม คา ใชจายและคา ปวยการอนญุ าโตตลุ าการ

168 รวมคาํ พิพากษาท่ีนาสนใจเก่ยี วกับอนุญาโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดี ท่ี อ. 978/2563

เรื่อง คดพี พิ าทเกย่ี วกบั เรอ่ื งทม่ี กี ฎหมายกาํ หนดใหอ ยใู นเขตอาํ นาจศาลปกครอง
(อุทธรณคําพพิ ากษา)

ผูรองอุทธรณและแกไขอุทธรณโตแยงคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน
วา คําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามขอพิพาทหมายเลขดําท่ี 70/2552
หมายเลขแดงท่ี 38/2557 ลงวันท่ี 15 พฤษภาคม 2557 อยใู นขอบเขตของสัญญา
อนุญาโตตุลาการหรือคําชี้ขาดวินิจฉัยไมเกินขอบเขตแหงขอตกลงในการเสนอ
ขอพิพาทตอคณะอนุญาโตตุลาการ ทั้งการบังคับตามคําช้ีขาดดังกลาวไมขัดตอ
ความสงบเรยี บรอ ยและศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนแตอ ยา งใด สว นผคู ดั คา นคดั คา นวา
คําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการไมอยูในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือ
คาํ ชข้ี าดวนิ จิ ฉยั เกนิ ขอบเขตแหง ขอ ตกลงในการเสนอขอ พพิ าทคณะอนญุ าโตตลุ าการ
และทศ่ี าลปกครองช้นั ตน พพิ ากษาวา คณะอนุญาโตตุลาการ ปรบั ขอ เทจ็ จรงิ ใหเขา
กบั ขอ กาํ หนดของสญั ญาทไี่ มถ กู ตอ ง คาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการตามขอ พพิ าท
หมายเลขดําท่ี 70/2552 หมายเลขแดงท่ี 38/2557 ลงวนั ท่ี 15 พฤษภาคม 2557
จงึ ไมช อบดว ยกฎหมาย ศาลจงึ พพิ ากษาใหเ พกิ ถอนคาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
ตามขอพิพาทดังกลาวนั้น ผูคัดคานเห็นพองดวย ผูรองจึงไมมีสิทธิขอใหบังคับตาม
คาํ ชีข้ าดของอนญุ าโตตลุ าการดังกลาว

คาํ วินจิ ฉยั ของศาลปกครองสูงสุด
คดจี งึ มปี ญ หาตอ งวนิ จิ ฉยั กอ นวา คาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา วชอบ
ดวยกฎหมายหรือไม พิเคราะหแลวเห็นวา เม่ือขอเท็จจริงตามคําช้ีขาดของ
อนุญาโตตุลาการดังกลาว ปรากฏวาผูคัดคานวาจางใหผูรองกอสรางท่ีจอดรถผูมา
ติดตอราชการ โดยออกแบบใหใชวัสดุกอ สรา ง เสา โครงหลังคา เปน เหลก็ ขนาดเสน
ผาศนู ยกลาง 4 นิว้ หนา 3.2 มิลลิเมตร จนั ทันและแปเปนเหลก็ ความหนาเลก็ ลงมา
ตามแบบที่กําหนดแนบทายสัญญา แตผูรองใชเหล็กกลมความหนา 2.5 มิลลิเมตร
ในการกอ สรา งเสา และโครงหลังคาซ่ึงไมเปนไปตามแบบท่ีกาํ หนด โดยผูร อ งอา งวา

รวมคาํ พพิ ากษาท่ีนาสนใจเกย่ี วกับอนุญาโตตลุ าการ 169

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ

ไดจ ัดหาวัสดดุ งั กลา วมาใชงาน ผานการอนญุ าตจากผคู วบคุมงานของผคู ัดคา น และ
ผานการรับทราบจากผูมีอํานาจของผูคัดคานแลว ครั้นผูรองสงมอบงานภายใน
กําหนดระยะเวลาตามสัญญา ผูคัดคานปฏิเสธที่จะตรวจรับงาน เน่ืองจากมีการใช
เหลก็ โครงสรา ง เสา หลงั คา และสว นอน่ื ๆ ไมเ ปน ไปตามแบบทก่ี าํ หนดและบอกเลกิ
สญั ญาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552 พรอมเรียกคาปรบั ผูรองจงึ เสนอขอ พิพาทตาม
สัญญาตอคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ตอมาคณะ
อนญุ าโตตลุ าการกาํ หนดประเดน็ วา ผเู รยี กรอ งทาํ การกอ สรา งถกู ตอ งตามแบบสญั ญา
หรอื ไม โดยวนิ จิ ฉยั วา ผเู รยี กรอ งไมส ามารถจดั หาเหลก็ ขนาดความหนา 3.2 มลิ ลเิ มตร
และในจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดขางเคียงมีเหล็กความหนาเพียง 2.5 มิลลิเมตร
จงึ ไดปฏบิ ตั ติ ามสัญญาขอ 14 ทรี่ ะบุวา ผรู ับจางจะตองรับรองวา ไดต รวจสอบและ
ทําความเขาใจในแบบรูปรายการละเอียดโดยถ่ีถวนแลว หากปรากฏวาแบบรูปและ
รายการละเอยี ดนนั้ ผดิ พลาดหรอื คลาดเคลอ่ื นไปจากหลกั การทางวศิ วกรรมหรอื ทาง
เทคนคิ ผรู บั จา งตกลงทจี่ ะปฏบิ ตั ติ ามคาํ วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการตรวจการจา งหรอื
ผูควบคุมงานหรือบริษัทที่ปรึกษาท่ีวาจางแตงตั้ง เพ่ือใหงานแลวเสร็จบริบูรณ โดย
จะคิดคาใชจายใด ๆ เพ่ิมข้ึนจากผูวาจางไมได เม่ือผูเรียกรองไดติดตอกับผูควบคุม
งานโครงการตามสัญญาและไดร บั แจงใหใชเ หล็กความหนา 2.5 มิลลิเมตร ปรากฏ
ตามท่ีผคู วบคุมงานมีบันทกึ แจง ประธานกรรมการตรวจการงานลงวันที่ 29 มีนาคม
2551 และผเู รยี กรอ งไดข อปรบั ลดคา งานลง แตผ คู ดั คา นปฏเิ สธทจี่ ะตรวจรบั งานและ
จายคาจางแกผูเรียกรอง โดยอางวาผูเรียกรองปฏิบัติไมเปนไปตามแบบรูป
รายละเอียดและแจงการใชเหล็กโครงสราง เสาและหลังคาในวันสงมอบงาน
อนั เปน การปฏบิ ตั ไิ มถ กู ตอ งนน้ั เปน กรณที ผี่ เู รยี กรอ งไดป ฏบิ ตั ติ ามคาํ แนะนาํ ของทง้ั
ผคู วบคมุ งานและประธานกรรมการตรวจการจา ง และมวี ศิ วกรโยธารบั รองโครงสรา ง
มีความแข็งแรง ไมกอใหเกิดอันตราย จึงเห็นวาผูเรียกรองไดทําการกอสรางถูกตอง
ตามแบบสัญญาขอ 14 แลว สวนประเด็นวา ผูคดั คานไมม สี ิทธปิ รับและใหป รับลด
คา กอ สรา งตามเนอ้ื งาน จงึ ชข้ี าดใหผ คู ดั คา นชาํ ระเงนิ คา กอ สรา งตามขอ พพิ าทใหแ ก
ผรู ับจางโดยปรบั ลดคากอสรา งหลงั จากมีการปรับเนอ้ื งาน (เหลก็ โครงสราง) พรอ ม
ดอกเบย้ี คาํ ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา วชอบดว ยกฎหมายแลว กรณจี งึ ไมต อ ง

170 รวมคําพพิ ากษาท่นี าสนใจเกย่ี วกับอนุญาโตตุลาการ

สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ดว ยเหตตุ ามมาตรา 43 (4) และ(6) แหง พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
และเม่อื ไมป รากฎวา การบังคบั ตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตลุ าการนี้ เปนขอ พิพาทท่ี
ไมสามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการไดตามกฎหมาย หรือการบังคับตาม
คําช้ีขาดนั้น จะเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ตามมาตรา 44 แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังน้ัน จึงไมมีเหตุท่ีศาลจะไมออก
คาํ บงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการตามขอ พพิ าทหมายเลขดาํ ที่ 70/2552
หมายเลขแดงท่ี 38/2557 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2557

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคําพิพากษาศาลปกครองชั้นตน และให
บงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการตามขอ พพิ าทหมายเลขดาํ ท่ี 70/2552
หมายเลขแดงท่ี 38/2557 ลงวนั ที่ 15 พฤษภาคม 2557

รวมคาํ พพิ ากษาทนี่ าสนใจเกีย่ วกบั อนุญาโตตลุ าการ 171

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตุลาการ

คาํ สั่งศาลปกครองสงู สุดที่ ค.1/2563
คดีนี้ ผูรองยื่นคํารองตอศาลปกครองชั้นตน (ศาลปกครองกลาง) ขอให

กําหนดวิธีการชั่วคราวเพี่อคุมครองประโยชนขณะดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการ
ตามมาตรา 16 แหงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 โดยมีคําขอหาม
มิใหผูคัดคานเรียกรองเงินตามหนังสือค้ําประกันของธนาคารไวจนกวาคณะ
อนญุ าโตตลุ าการจะมคี าํ ชข้ี าด และหา มมใิ หธ นาคารชาํ ระเงนิ ตามหนงั สอื คา้ํ ประกนั
ดังกลาวใหแกผูคัดคานจนกวาคณะอนุญาโตตุลาการจะมีคําชี้ขาด โดยผูรองอางวา
ธนาคารอาจจะชําระเงินตามหนังสือคํ้าประกันดังกลาวใหแกผูคัดคาน ซ่ึงเห็นไดวา
การท่ีธนาคารจะชําระเงินตามหนังสือคํ้าประกันหรือไมเปนเรื่องระหวาความรับผิด
ระหวางผูค้ําประกันกับผูคัดคานซ่ึงเปนเจาหน้ี และการท่ีธนาคารจะชําระเงินตาม
หนังสือคํ้าประกันใหแกผูคัดคานหรือไมเปนความสมัครใจของผูค้ําประกันที่ศาล
ไมอาจมีคาํ ส่ังฝา ฝนความสมคั รใจท่ีจะชาํ ระหน้ขี องผคู าํ้ ประกันได ดงั น้นั คําขอของ
ผูรองที่ขอใหศาลมีคําสั่งหามมิใหผูคัดคานใชสิทธิเรียกรองใหธนาคารชําระเงินตาม
หนังสือค้ําประกันดังกลาวและหามมิใหธนาคารชําระเงินตามหนังสือคํ้าประกัน
ดงั กลา วไวจ นกวา จะมคี าํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการถงึ ทสี่ ดุ จงึ ไมอ ยใู นลกั ษณะทศี่ าล
จะกาํ หนดวธิ กี ารคมุ ครองเพอื่ บรรเทาทกุ ขช ว่ั คราวหรอื วธิ กี ารเพอ่ื คมุ ครองประโยชน
ของผขู อในระหวา งการพจิ ารณาได การทศ่ี าลปกครองชนั้ ตน มคี าํ สง่ั หา มมใิ หผ คู ดั คา น
ใชสิทธิเรียกรองใหธนาคารชําระเงินตามหนังสือคํ้าประกันดังกลาว และหามมิให
ธนาคารชําระเงินตามหนังสือค้ําประกันดังกลาวไวจนกวาจะมีคําชี้ขาดของ
อนุญาโตตลุ าการถงึ ท่สี ุดน้ัน ศาลปกครองสงู สดุ ไมเหน็ พอ งดว ย จึงมคี ําสัง่ กลับคําสั่ง
ของศาลปกครองช้ันตนเปนใหยกคาํ ขอของผูรอ ง
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ค.2/2561

กรณตี ามคาํ รอ งน้ี ผรู อ งขอใหศ าลมคี าํ พพิ ากษาหรอื คาํ สงั่ เพกิ ถอนคาํ วนิ จิ ฉยั
ของคณะอนุญาโตตุลาการ และใหยอมรับตามคํารองคัดคานอนุญาโตตุลาการของ
ผรู อ ง โดยหามมใิ หผ คู ดั คา นที่ 2 ปฏิบตั ิหนา ที่อนุญาโตตลุ าการ กรณผี ูคัดคา นที่ 4
ไดแตงตั้งผูคัดคานท่ี 2 เปนอนุญาโตตุลาการฝายผูคัดคานท่ี 4 ผูรองไดย่ืนคัดคาน

172 รวมคําพิพากษาทีน่ า สนใจเกีย่ วกบั อนุญาโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ผูคัดคานท่ี 2 โดยแสดงเหตุอนั ควรสงสยั ถงึ ความเปนกลางและความเปนอิสระของ
อนญุ าโตตลุ าการตามพระราชบญั ญตั ิอนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 19 และ
มาตรา 20 ขอ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา ถงึ แมผ คู ดั คา นที่ 2 ดาํ รงตาํ แหนง เปน พนกั งานอยั การ
แตมิไดเปนพนักงานอัยการผูรางสัญญาพิพาทหรือตรวจรางสัญญาพิพาทหรือเปน
พนักงานอัยการผูดําเนินคดีในขอพิพาทน้ีแทนผูคัดคานท่ี 4 และมิไดเปนกรรมการ
หรอื ผบู ริหารของผูคัดคานท่ี 4 อกี ท้งั ไมป รากฏขอ เท็จจรงิ วา ผูคัดคานท่ี 2 มคี วาม
สัมพันธกับผูคัดคานที่ 4 หรือพนักงานอัยการซ่ึงเปนผูรับมอบอํานาจใหดําเนินคดี
แทนผคู ดั คา นที่ 4 จนถงึ ขนาดทจ่ี ะทาํ ใหก ารปฏบิ ตั หิ นา ทอี่ นญุ าโตตลุ าการไมม คี วาม
เปน กลางหรอื ความเปน อสิ ระหรอื มพี ฤตกิ ารณอ น่ื ใดทมี่ สี ภาพรา ยแรงอนั อาจกระทบ
ตอ ความเปน กลางหรอื ความเปน อสิ ระ นอกจากน้ี อาํ นาจหนา ทข่ี องพนกั งานอยั การ
ตามทกี่ ฎหมายกาํ หนดเปน การปฏบิ ตั หิ นา ทตี่ ามกฎหมาย การจะพจิ ารณาวา มคี วาม
ไมเปนกลางหรือความเปนอิสระหรือไม จําตองพิจารณาจากขอเท็จจริงและ
พฤตกิ ารณเ ปน รายกรณี ไมอ าจพจิ ารณาจากเพยี งอาํ นาจหนา ทต่ี ามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ไิ ด
กรณีจึงยังไมอาจถือวามีเหตุอันควรสงสัยในความเปนกลางและความเปนอิสระของ
ผูคัดคานท่ี 2 ตามที่ผูรองกลาวอาง สวนขอที่ผูรองกลาวอางวาศาลปกครองชั้นตน
ไมไ ดแสวงหาขอ เทจ็ จรงิ เพิ่มเติมในประเด็นผคู ัดคา นท่ี 2 อาจเคยเปน ผบู งั คบั บญั ชา
หรือเคยปฏิบัติงานรว มกบั ผูรับมอบอํานาจวาตา งแกตางใหแ กผ คู ดั คา นที่ 4 ซงึ่ เปน
กรณีท่ีมีความสัมพันธทางอาชีพ หนาท่ีการงาน ความสัมพันธทางสังคมระหวาง
อนุญาโตตุลาการกับคูพิพาทน้ัน ศาลปกครองชั้นตนไดมีคําสั่งเรียกใหผูคัดคานที่ 2
ทําคําคัดคานคํารองคัดคานอนุญาโตตุลาการ และผูคัดคานท่ี 2 ไดทําคําใหการแก
คาํ รอ งคดั คา นอนญุ าโตตลุ าการยน่ื ตอ ศาลปกครองชน้ั ตน แลว วา ผคู ดั คา นท่ี 2 ไมเ คย
มคี วามสมั พนั ธห รอื มคี วามเกย่ี วพนั กบั ผคู ดั คา นท่ี 4 ไมว า ในดา นการเงนิ ธรุ กจิ อาชพี
หรือความสัมพันธทางครอบครัวและสังคม ไมมีผลประโยชนทางการเงินหรือ
ผลประโยชนอื่นใดไมวาโดยตรงหรือโดยออม ไมเคยเปนบอรดหรือกรรมการของ
ผคู ดั คา นท่ี 4 ไมเ คยเปน ทปี่ รกึ ษากฎหมายหรอื ตรวจรา งสญั ญาพพิ าทใหก บั ผคู ดั คา น
ท่ี 4 อกี ทงั้ ผคู ดั คา นท่ี 2 ไมเ คยเปน ผบู งั คบั บญั ชาหรอื รว มทาํ งานในสาํ นกั งานเดยี วกนั
กบั พนกั งานอยั การซงึ่ เปน ผรู บั มอบอาํ นาจใหด าํ เนนิ คดแี ทนผคู ดั คา นท่ี 4 อนั เปน การ

รวมคําพิพากษาทีน่ าสนใจเกี่ยวกบั อนุญาโตตุลาการ 173

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ

แสวงหาขอ เทจ็ จรงิ โดยใหโ อกาสคกู รณที ง้ั สองฝา ยชแี้ จงและโตแ ยง คดั คา นตามความ
เหมาะสมแลว ขอ กลา วอา งของผรู อ งจงึ มอิ าจรบั ฟง ไดเ ชน เดยี วกนั การทศ่ี าลปกครอง
ชั้นตนมีคําส่ังยกคํารองคัดคานอนุญาโตตุลาการของผูรองน้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดวย จึงมคี าํ สัง่ ยืนตามคาํ สัง่ ของศาลปกครองชั้นตน
คําพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 9477/2558

แมหนี้ตามสัญญาซื้อขายท่ีมีคําช้ีขาดนี้จะเปนหน้ีเงิน ซึ่งกฎหมายใหคิด
ดอกเบี้ยไดนับแตวันที่ผิดนัด แตคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการก็ตองเปนไปตาม
ขอ เรยี กรอ งและคาํ ขอทใ่ี หช ข้ี าดในเรอื่ งนน้ั ๆ ซง่ึ ตามขอ เรยี กรอ งของผรู อ งมไิ ดม คี าํ ขอ
ดอกเบี้ยที่ขาดดวยและอนุญาโตตุลาการก็ช้ีขาดดอกเบี้ยเฉพาะตามท่ีขอ เมื่อผูรอง
มาขอบังคับตามคําชี้ขาด ผูรองจึงไมอาจขอใหบังคับเกินไปกวาการชี้ขาดน้ันได
ดงั นน้ั แมผ รู อ งจะมคี าํ ขอดอกเบยี้ รอ ยละ 7.5 ตอ ปน บั แตว นั รอ งขอเปน ตน ไปจนกวา
จะชําระเสร็จมาทายคํารอ ง ก็เปน การขอบงั คบั เกนิ ไปกวา คําชี้ขาดท่ีกาํ หนดสถานะ
ความรบั ผดิ ของผคู ดั คา นจากการผดิ สญั ญาซอื้ ขายไวโ ดยเฉพาะแลว และตามพระราช
บญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 นนั้ ศาลไมอ าจมคี าํ พพิ ากษาบงั คบั เกนิ คาํ ชขี้ าด
ของอนญุ าโตตลุ าการได
คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 732/2559

บรษิ ทั บ. ทาํ สญั ญาประกนั ภยั รถยนตโ ดยสารไวก บั ผรู อ งเปน ผรู บั ประกนั ภยั
คํ้าจุนคนแรกและบริษัท ส. เปนผูรับประกันภัยคํ้าจุนคนท่ีสอง ดังน้ัน ผูรองตอง
รับผิดเพ่ือความวินาศภัยกอนตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 870
วรรคสาม เม่ือเกดิ วินาศภยั ขึน้ ผูรบั ประโยชนช อบทจ่ี ะไดร บั คา สินไหมทดแทนเพียง
เสมอจาํ นวนวนิ าศจรงิ ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 870 วรรคหนง่ึ
แมบ รษิ ทั ส. จะตอ งจา ยคา เสยี หายเบอื้ งตน แกผ ปู ระสบภยั จากรถตามพระราชบญั ญตั ิ
คุมครองผปู ระสบภยั จากรถ พ.ศ. 2535 มาตรา 28 แตก็ปรากฏวา ผูคดั คานท้ังสอง
ทาํ สญั ญาประนปี ระนอมยอมความกบั บรษิ ทั ส. โดยไมป รากฏวา บรษิ ทั ส. ยอมชดใช
คาสินไหมทดแทนแกผูคัดคานท้ังสองเปนจํานวนเทาใด อยางไรก็ดี การท่ีผูคัดคาน

174 รวมคาํ พพิ ากษาที่นาสนใจเกยี่ วกับอนุญาโตตุลาการ

สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

ทั้งสองซึ่งเปนผูรับประโยชนยอมสละสิทธิอันมีตอผูรับประกันภัยรายหนึ่งยอม
ไมก ระทบกระทงั่ สทิ ธแิ ละหนา ทขี่ องผรู บั ประกนั ภยั รายอน่ื ตามประมวลกฎหมายแพง
และพาณชิ ย มาตรา 871 เมอื่ อนญุ าโตตลุ าการใชด ลุ พนิ จิ กาํ หนดคา เสยี หายทแี่ ทจ รงิ
แกผูคัดคานท้ังสองคนละ 25,000 บาท แตช้ีขาดใหผูรองเพียงรายเดียวตองชําระ
คา สินไหมทดแทนจํานวนดังกลาว โดยไมไดค ํานงึ วาผคู ดั คานท้งั 2 ไดรบั ชาํ ระไดร บั
ชดใชคา สินไหมทดแทนจากบริษทั ส. แลว จาํ นวนเทาใด ทําใหผูคัดคานทั้งสองจะได
รับคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวนวินาศจริงจึงเปนคําชี้ขาดที่ฝาฝนตอกฎหมาย
การยอมรับหรือวาการบังคับตามคําชี้ขาดจะเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือ
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนศาลยอ มมอี าํ นาจเพกิ ถอนคาํ ชข้ี าดไดต ามพระราชบญั ญตั ิ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข)
คําพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 1465/2560

การวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตองพิจารณาจากพยานหลักฐานท้ัง
หลายที่อยูในสํานวนมิใชที่มาจากพยานหลักฐานช้ินใดชิ้นหนึ่งหรือสองชิ้นเทานั้น
คดีน้ีคณะอนุญาโตตุลาการไดพิจารณาพยานหลักฐานของคูพิพาททั้งสองฝาย ท้ัง
พยานเอกสารและพยานบคุ คลแลว วนิ จิ ฉยั ขอ เทจ็ จรงิ คาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการ
ยอมชอบดวยกฎหมาย คําคัดคานของผูคัดคานที่วาคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ขัดแยงตอพยานหลักฐานในสาํ นวน จึงเปน การโตแ ยงดลุ พนิ จิ การวินจิ ฉยั ขอเท็จจรงิ
ของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งไมมีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. 2545 ใหผ ูคดั คานขอเพิกถอนหรือไมป ฏบิ ตั ติ ามคําชข้ี าดได
คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 4750-4751/2561

ศาลจะเพิกถอนคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (1) (ง) ได เมอื่ คพู ิพาทฝา ยท่ี
ขอใหเพิกถอนคําชี้ขาดสามารถพิสูจนไดวาคําชี้ขาดวินิจฉัยขอพิพาทนั้นไมอยูใน
ขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคําช้ีขาดเกินขอบเขตแหงขอตกลงในการ
เสนอขอพิพาทตอคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อสัญญาจางเหมางานกอสรางและ

รวมคาํ พิพากษาที่นาสนใจเกยี่ วกบั อนญุ าโตตลุ าการ 175

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตุลาการ

งานสถาปตยกรรมระบวุ า หากคูสญั ญามขี อ พิพาท ขอขดั แยงหรือขอ เรียกรองใด ๆ
ซ่ึงเกิดข้ึนหรือเกี่ยวของกับสัญญารวมท้ังปญหาการผิดสัญญา การเลิกสัญญา หรือ
ความสมบูรณของสัญญา ใหทําการวินิจฉัยชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ โดยสัญญา
อนุญาโตตุลาการดังกลาวมิไดมีขอกําหนดจํากัดขอบเขตอํานาจของคณะ
อนุญาโตตุลาการเอาไว ดังน้ัน เมื่อผูรองและผูคัดคานมีขอพิพาทเก่ียวกับสัญญา
จางเหมางานโครงสรางและงานสถาปตยกรรม และไดเสนอขอพิพาทใหคณะ
อนุญาโตตุลาการชี้ขาด การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอพิพาทจากพยาน
หลกั ฐานของผูร องและผูค ัดคานทน่ี าํ สบื จึงเปนการวินจิ ฉัยขอ พิพาทภายในขอบเขต
ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ คําพิพากษาของศาลชั้นตนดังกลาวไดกลาวหรือแสดง
เหตุผลแหงคําวินิจฉัยในประเด็นแหงแหงคดีที่ผูคัดคานยกขึ้นโตแยงเปนประเด็น
ขอ พพิ าทไวถ กู ตอ งครบถว นตามบทบญั ญตั แิ หง ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง
มาตรา 141 (4) และ (5) แลว ไมอ าจโตแ ยงวา คาํ พิพากษาศาลช้ันตน ดงั กลาวไมชอบ
ดวยกฎหมายอาจจะทาํ ใหผูคัดคา นมสี ทิ ธอิ ุทธรณตอศาลฎีกาไดวา คาํ พพิ ากษาศาล
ชน้ั ตน ฝา ฝน ตอ บทกฎหมายอนั เกยี่ วดว ยความสงบเรยี บรอ ยของประชาชนแตอ ยา งใด

ศาลจะแทรกแซงกระบวนการอนญุ าโตตลุ าการโดยการเขา มาตรวจสอบการ
ใชดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการหรือแกไขเปลี่ยนแปลงหรือทําลายคําช้ีขาดไมได
เวน แตก ฎหมายใหอ าํ นาจไวอยา งชัดแจง เพราะมิฉะนน้ั แลว ระบบอนญุ าโตตุลาการ
ยอ มไมอาจบรรลุผลสมดงั เจตนารมณของกฎหมาย การท่ีผคู ัดคา นอุทธรณโตแยง วา
อนุญาโตตุลาการเสียงขางมากวนิ จิ ฉัยช้ีขาดวา ผคู ดั คา นกอ สรา งอาคารไมแลวเสรจ็
ตามกาํ หนดเวลา จงึ เปน ฝา ยผดิ สญั ญาและกาํ หนดคา เสยี หายใหผ คู ดั คา นรบั ผดิ ชาํ ระ
แกผูรอง โดยมิไดวินิจฉัยเช่ือตามพยานหลักฐานของผูคัดคานที่นําสืบวา ผูรองมิได
ถอื เอากาํ หนดระยะเวลาตามสญั ญาเปน สาระสาํ คญั ผคู ดั คา นจงึ ไมไ ดท าํ การเปน ฝา ย
ผิดสัญญาและอุทธรณคัดคานในประเด็นการกําหนดคาเสียหายและคาปรับของ
อนญุ าโตตลุ าการนน้ั ลว นเปน อทุ ธรณโ ตแ ยง ดลุ ยพนิ จิ ในการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดขอ เทจ็ จรงิ
ของอนุญาโตตลุ าการเทานั้น หาใชเ ปนการโตแยงวาคณะอนุญาโตตลุ าการพจิ ารณา
วินิจฉัยขอกฎหมายโดยขัดตอหลักเกณฑของกฎหมายเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการไม
เม่ืออนุญาโตตุลาการเสียงขางมากไดวินิจฉัยขอเท็จจริงที่ไดมาจากการรับฟงพยาน

176 รวมคาํ พิพากษาท่นี าสนใจเกย่ี วกับอนุญาโตตุลาการ

สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

หลักฐานของผูคัดคานและผูรองและขอวินิจฉัยชี้ขาดแลววา ผูคัดคานเปนฝาย
ผิดสัญญาและกําหนดคาเสียหายและคาปรับภายใตพยานหลักฐานที่ผูคัดคานและ
ผูรองนําสืบในช้ันอนุญาโตตุลาการโดยไมปรากฏวาไดดําเนินการโดยไมชอบดวย
กฎหมายประการใด กรณจี ึงไมตองดว ยหลกั เกณฑต ามมาตรา 45 (1) แหง พระราช
บัญญัตอิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ที่ผคู ัดคา นจะอุทธรณว า การยอมรับหรอื บงั คบั
ตามคาํ ชขี้ าดนน้ั จะเปน การขดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนได
คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1190/2560

โจทกก ับ บ. และ ว. รวมกันทาํ กจิ การคา ใชช ่อื วา “กิจการรว มคา ซ.” เขา
ทาํ สญั ญาจา งเหมาออกแบบรวมกอ สรางโครงการทางดว นสายบางนา – บางพลี –
บางปะกง กับจําเลย ตอมาเกิดขอพิพาทตามสัญญาจางตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่
7277/2549 ระหวาง บ.กับพวก ผูรอง ก.ผูคัดคาน ศาลฎีกาวินิจฉัยวาสัญญาจาง
เหมาออกแบบรวมกอสรางโครงการทางดวนเกิดจากการกระทําโดยไมชอบดวย
กฎหมายอนั เกย่ี วดว ยความสงบเรยี บรอ ยของประชาชน จงึ ไมม ผี ลผกู พนั จาํ เลย และ
ปฏิเสธไมรบั บงั คบั ใหต ามคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ เมื่อกจิ การรว มคา ซ. ไมไ ด
รับราคาท่ีเพ่ิมเติมจากจําเลย โจทกซ่ึงเปนหุนสวนในกิจการรวมคา ซ. จึงเปนผูมี
สว นไดเ สยี โดยตรงในสญั ญาจา งเหมาดงั กลา วยอ มมอี าํ นาจฟอ งเรยี กคนื เงนิ ราคาคงท่ี
เพมิ่ เตมิ และดอกผลคา ผา นทางดว นจากจาํ เลยในฐานลาภมคิ วรได โดยไมจ าํ เปน ตอ ง
ฟองรวมกับ บ. และ ว. และเมื่อคดีนี้ โจทกและจําเลยตางเปนคูความในคดีตาม
คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 7277/2549 ซ่ึงไดวินิจฉัยขอเท็จจริงไวแลววาโจทกกับ
นิติบุคคลตางประเทศ 2 ราย ดังกลาว ทําสัญญาจางเหมาออกแบบรวมกอสราง
โครงการทางดว นกบั จาํ เลยโดยไมส จุ รติ มาตง้ั แตต น โจทกจ งึ มสี ว นรว มในการกระทาํ
อันมิชอบดวยกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยและประชาชนเปนผลให
สัญญาดังกลาวไมมีผลผูกพันจําเลย แมโจทกกับพวกจะทํางานตามสัญญาจางเหมา
น้ันเสร็จส้ินแลวโดยสงมอบโครงการทางดวนใหจําเลยรับไปและมีราคาคงที่เพ่ิมเติม
ภายหลังก็ตาม ก็ถือไดวาโจทกไดกระทําการเพ่ือชําระหนี้อันเปนการฝาฝนขอหาม
ตามกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดี โจทกจึงไมม สี ิทธิเรยี กราคาคงทเ่ี พ่มิ เติมและคาดอก

รวมคําพิพากษาทน่ี าสนใจเกยี่ วกับอนญุ าโตตลุ าการ 177

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตุลาการ

ผลในคา ผา นทางดว นจากจาํ เลยในฐานะลาภมคิ วรได ตามประมวลกฎหมายแพง และ
พาณิชย มาตรา 411
คาํ วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดอาํ นาจหนา ทรี่ ะหวา งศาลที่ 25/2563

คดที ผ่ี รู อ งยน่ื คาํ รอ งขอใหศ าลปกครองกลางมคี าํ พพิ ากษาหรอื มคี าํ สงั่ ใหก าร
เปนอนญุ าโตตลุ าการสิน้ สดุ ลงน้นั ตามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545
มาตรา 9 ประกอบมาตรา 21 วรรคสอง กาํ หนดใหศ าลทมี่ เี ขตอํานาจวินจิ ฉัยถงึ การ
สนิ้ สดุ ของการเปน อนญุ าโตตลุ าการ คอื ศาลทมี่ เี ขตอาํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาขอ พพิ าท
ซงึ่ ไดเสนอตอ อนุญาโตตลุ าการน้ัน เม่ือขอพพิ าททเ่ี สนอตออนญุ าโตตลุ าการในคดนี ี้
เปนขอพิพาทเก่ียวกับสัญญาจางเหมาออกแบบและกอสรางอาคารเคร่ืองปฏิกรณ
ปรมาณวู จิ ยั พรอ มเครอ่ื งปฏกิ รณร ะบบผลติ ไอโซโทปพรอ มอปุ กรณ ระบบจดั การกาก
กัมมันตรังสีพรอมอุปกรณ ระบบจัดการกากกัมมันตรังสีพรอมอุปกรณ ระหวาง
สํานักงานปรมาณูเพ่ือสันติ กับเอกชน ซ่ึงมีคูสัญญาฝายหนึ่งเปนหนวยงานทาง
ปกครอง และมีลักษณะเปนสัญญาจัดใหมีสิ่งสาธารณูปโภค สัญญาดังกลาวจึงเปน
สญั ญาทางปกครองตามบทนยิ ามในมาตรา 3 แหง พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ศาลปกครองจึงเปนศาลมีเขตอํานาจเหนือ
ขอ พพิ าทดงั กลา ว ตามมาตรา 9 วรรคหนงึ่ (4) แหง พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ขอพิพาทในคดีน้ีจึงอยูในอํานาจพิจารณา
พพิ ากษาของศาลปกครอง
คาํ วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดอาํ นาจหนา ทร่ี ะหวา งศาลท่ี 113/2561

คดที รี่ อ งขอใหเ พกิ ถอนคาํ ชี้ขาดของอนญุ าโตตลุ าการ ตามพระราชบญั ญัติ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 นั้น ตองพิจารณาลักษณะเนือ้ หาของสัญญาทเ่ี ปนเหตุ
แหงการยื่นคํารองขอใหอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดวาเปนสัญญาทางแพงหรือ
สัญญาทางปกครอง จึงจะวินิจฉัยเขตอํานาจศาลเหนือคดีท่ีขอใหเพิกถอนคําช้ีขาด
ของอนญุ าโตตลุ าการนนั้ ได คดนี ี้ คาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการวนิ จิ ฉยั ขอ พพิ าทเกย่ี ว
กับสัญญาจางเหมาออกแบบรวมกอสรางโครงการทางดวนสายบางนา-บางพลี-

178 รวมคาํ พิพากษาทน่ี าสนใจเกีย่ วกับอนญุ าโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

บางปะกง ระหวาง ก. ผูรอ ง ซ่ึงเปนหนว ยงานทางปกครอง กบั ผคู ัดคา นทัง้ สามซ่ึง
เปนเอกชน มีลักษณะเปนสัญญาทางปกครอง ขอพิพาทเก่ียวกับสัญญาดังกลาว
จึงเปนขอพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และการรองขอ ใหปฏิบัติตามหรือ
เพกิ ถอนคาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการเกย่ี วกบั สญั ญาทางปกครอง ควรอยใู นอาํ นาจ
พจิ ารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคหนง่ึ (4) แหง พระราชบญั ญตั ิ
จดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. 2542 แตเ นอื่ งจากวา การระงบั
ขอพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ คูสัญญาไดเคยมอบขอพิพาทให
อนุญาโตตุลาการพิจารณาเมื่อป 2543 ซ่ึงถือวาวิธีพิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการได
เกดิ ขึน้ แลว ตามมาตรา 27 แหง พระราชบัญญตั ิอนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 และ
เกดิ ขน้ึ กอ นศาลปกครองเปด ทาํ การ ทงั้ คกู รณที ง้ั สองฝา ยไดข อใหศ าลแพง ออกหมาย
เรียกพยานซ่ึงศาลแพงไดออกหมายเรียกพยานใหตามคําขอ และผูรองไดย่ืนคํารอง
ตอ ศาลแพง ขอใหม คี าํ สง่ั ใหป ระธานคณะอนญุ าโตตลุ าการพน จากตาํ แหนง ซงึ่ ตอ มา
ศาลฎีกาไดมีคําพิพากษาใหความเปนอนุญาโตตุลาการของบุคคลดังกลาวส้ินสุดลง
จึงถือวา ศาลยุติธรรมเปนศาลท่ีมีการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการตั้งแตเร่ิมตน
กระบวนการชนั้ อนญุ าโตตลุ าการ ตามมาตรา 9 แหง พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 การย่ืนคํารองขอใหเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามมาตรา
40 แหงพระราชบัญญัติดังกลาวในคดีนี้ จึงตองย่ืนตอศาลที่มีเขตอํานาจที่มีการ
พิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการอยูในเขตศาล ซึ่งไดแกศาลยุติธรรม ประกอบกับ
คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหนาที่ระหวางศาลเคยมีคําวินิจฉัยที่ 1/2546
เกี่ยวกับการขอใหบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการอันเน่ืองมาจากสัญญา
ฉบบั นวี้ า เปน คดที อี่ ยใู นอาํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลยตุ ธิ รรม ซง่ึ ตอ มาศาลฎกี า
ไดมีคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 7277/2549 ขอพิพาทในคดีน้ี จึงควรอยูในอํานาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เพื่อใหการตรวจสอบกระบวนพิจารณาช้ัน
อนุญาโตตลุ าการเกยี่ วกบั สญั ญาฉบบั เดยี วกันนอี้ ยภู ายใตเ ขตอาํ นาจศาลเดียวกนั

รวมคาํ พพิ ากษาทีน่ าสนใจเกีย่ วกบั อนญุ าโตตลุ าการ 179

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ

คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 6488/2560
ศาลช้ันตนเปนศาลที่มีอํานาจที่จะรับคํารองขอใหบังคับตามคําชี้ขาดของ

อนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบญั ญตั อิ นุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 9 เพราะ
เปน ศาลทผี่ คู ดั คา นมภี มู ลิ าํ เนาอยใู นเขตศาล ซงึ่ ในขณะทผ่ี รู อ งยน่ื คาํ รอ งนน้ั ผรู อ งยงั
ไมทราบวาคดีจะอยูในอํานาจของศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวาง
ประเทศกลางหรือไม จนกระทั่งผูคัดคานย่ืนคํารองคัดคานขอใหประธาน
ศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั เนอื่ งจากมปี ญ หาวา คดอี ยใู นอาํ นาจของศาลทรพั ยส นิ ทางปญ ญาและ
การคาระหวางประเทศกลางหรือไม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพยสินทาง
ปญญาและการคาระหวางประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพยสินทางปญญาและ
การคา ระหวา งประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 9 (เดมิ ) แลว มคี าํ วนิ จิ ฉยั ของประธานศาลฎกี า
ใหค ดนี อ้ี ยใู นอาํ นาจพจิ ารณาของศาลทรพั ยส นิ ทางปญ ญาและการคา ระหวา งประเทศ
กลางซงึ่ เปน ศาลชาํ นญั พเิ ศษ กรณนี จ้ี งึ เปน เรอ่ื งทค่ี วามปรากฏในภายหลงั วา คดอี ยใู น
เขตอํานาจของศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศกลาง ไมไดอยู
ในอํานาจของศาลชั้นตน การที่ศาลช้ันตนมีคําสั่งใหโอนสํานวนคดีพรอมคาฤชา
ธรรมเนียมไปยังศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศกลาง แลวให
จาํ หนา ยคดอี อกจากสารบบความนนั้ จงึ เปน การส่งั โอนคดไี ปยังศาลยุตธิ รรมอ่นื ที่มี
เขตอาํ นาจ ตามพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม มาตรา 16 วรรคทา ย แลว
คําพิพากษาศาลฎกี าที่ 6296/2562

อนุญาโตตลุ าการนดั พรอ มเพ่อื กาํ หนดประเด็นขอ พพิ าท หนาทนี่ าํ สืบ และ
กาํ หนดกระบวนพิจารณาช้นั อนญุ าโตตลุ าการ โดยกาํ หนดประเด็นขอพิพาท ขอ 1
วา ผูคัดคานท่ี 1 ไมตองรับผิดที่ทํางานที่รับจางไมแลวเสร็จเพราะผูรองไดยกเลิก
สัญญาพพิ าทดังท่ผี คู ัดคานที่ 1 กลา วอางหรือไม 2...3 ผคู ัดคา นท่ี 2 ตอ งรวมรบั ผิด
กับผูคัดคานที่ 1 หรือไม ตอมาในช้ันทําคําช้ีขาด อนุญาโตตุลาการเห็นวา ในการ
กาํ หนดประเดน็ ขอ พพิ าทมกี ารเรยี กผคู ดั คา นทง้ั สองสลบั กนั จงึ ไดว นิ จิ ฉยั ตามประเดน็
ขอพิพาทที่ถูกตอ ง คือ ประเด็นขอ พิพาทขอ (1) ผคู ัดคา นท่ี 2 ไมตอ งรับผิดที่ทํางาน
ทีร่ ับจางไมแลวเสรจ็ เพราะผรู องไดยกเลิกสัญญาพิพาทดังทผี่ ูคดั คา นท่ี 2 กลา วอาง

180 รวมคําพิพากษาที่นาสนใจเกย่ี วกับอนุญาโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

หรือไม (2)...(3) ผูคดั คา นที่ 1 ตองรวมรบั ผิดกับผคู ัดคา นท่ี 2 หรอื ไม ซึง่ การแกไข
ดังกลาวเปนการแกไขโดยเรียกผูคัดคานใหตรงตามท่ีผูรองเสนอขอพิพาทและ
ผูคัดคานย่ืนคําคัดคาน การแกไขและการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงเปนไปตาม
ประเด็นท่ีผูคัดคานย่ืนคําคัดคานและชอบดวยกฎหมายแลว อุทธรณของผูคัดคาน
จงึ ไมต องดว ยกรณที ีจ่ ะอุทธรณไดตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
มาตรา 45
คาํ พิพากษาศาลฎีกาที่ 6251/2562

การที่อนุญาโตตุลาการจะหยิบยกพยานหลักฐานใดข้ึนมาวินิจฉัยภายใน
กรอบของกฎหมายยอมมีอํานาจกระทาํ ไดโดยชอบ ผูรองไมมอี ํานาจโตแ ยง ดลุ พินิจ
ของอนญุ าโตตลุ าการในการรบั ฟง พยานหลกั ฐาน ในชนั้ อนญุ าโตตลุ าการ ผรู อ งและ
ผูคัดคานตกลงกันใหนําประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงมาใชบังคับ ดังน้ัน
การพจิ ารณาของอนญุ าโตตลุ าการจงึ ตอ งนาํ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง
วา ดว ยพยานหลกั ฐาน มาใชบ งั คบั โดยอนโุ ลม เมอื่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ
แพง มาตรา 125 บญั ญัตใิ หค คู วามฝา ยทถ่ี กู คูความอีกฝายอางองิ เอกสารเปน พยาน
หลกั ฐานยนั ตน อาจคดั คา นเอกสารนน้ั โดยคดั คา นกอ นการสบื พยานเอกสารนน้ั เสรจ็
หรือไมว า เวลาใดกอ นศาลพิพากษาโดยไดร ับอนญุ าตจากศาล แตผ รู อ งหาไดค ัดคาน
สําเนาเอกสารท่ีผคู ัดคานนํามาสืบแตอยา งใดไม การท่ีอนุญาโตตลุ าการรบั ฟงสาํ เนา
เอกสารที่ผูคัดคานนํามาสืบเปนพยานหลักฐานจึงชอบดวยประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพง มาตรา 93 (4) การยอมรับหรือการบังคับตามคําช้ีขาดของ
อนญุ าโตตุลาการจึงไมข ัดตอ ความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชน ไม
เขา เกณฑใ หศ าลเพกิ ถอนตามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40
วรรคสาม (2) (ข)
คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี 3427/2562

คดีนโ้ี จทกฟองใหจาํ เลยรบั ผดิ ตามสญั ญารับเหมาชวงฯ อนั เปนการฟอ งให
รบั ผดิ ในมลู สญั ญา มใิ ชร อ งขอใหเ พกิ ถอนคาํ ชข้ี าด หรอื ขอใหบ งั คบั ตามคาํ ชข้ี าดของ

รวมคาํ พิพากษาท่นี า สนใจเกยี่ วกับอนุญาโตตุลาการ 181

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ

อนุญาโตตุลาการตามที่บัญญัติไวในหมวด 6 และหมวด 7 ของพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ทจี่ ะตองอทุ ธรณไ ปยงั ศาลฎกี าหรอื ศาลปกครองสูงสดุ
แลว แตก รณเี ทาน้นั ตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ นพระราชบัญญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
มาตรา 45 วรรคสอง ดงั นน้ั เมอ่ื ศาลชน้ั ตน มคี าํ สงั่ ใหจ าํ หนา ยคดโี ดยเหน็ วา โจทกไ มม ี
อํานาจฟองจําเลยตอศาลช้ันตน โจทกก็ยอมอุทธรณคําส่ังของศาลช้ันตนไปยัง
ศาลอุทธรณภาค 2 ไดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 223
ศาลอุทธรณภาค 2 จงึ มอี าํ นาจทจ่ี ะพิจารณาพพิ ากษาคดีน้ี

โจทกจ าํ เลยในฐานะคสู ญั ญาตกลงทจี่ ะระงบั ขอ พพิ าททเี่ กดิ ขนึ้ โดยการเจรจา
และกระบวนการอนญุ าโตตลุ าการ การทท่ี งั้ สองฝา ยตกลงกนั ไวด งั กลา วเปน การแสดง
อยูในตัววาไมประสงคที่จะระงับขอพิพาทท่ีเกิดข้ึนหรือเก่ียวของกับสัญญารับเหมา
ชวงฯ โดยทางศาล คําวา “May” จงึ ไมน าจะมคี วามหมายในทางใหสทิ ธคิ สู ญั ญาท่ี
จะเลอื กฟอ งคดตี อ ศาลดงั ทโ่ี จทกก ลา วอา งมาในคาํ คดั คา น เมอื่ ขอ เทจ็ จรงิ รบั ฟง ไดว า
คาํ วา “May” ในสญั ญาขอ 19.2.1 มคี วามหมายในทางกาํ หนดใหค สู ญั ญาตอ งดาํ เนนิ
กระบวนการทางอนญุ าโตตลุ าการ โจทกจ งึ ไมม อี ํานาจฟอ งคดีน้ีตอศาลชน้ั ตน
คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2082/2562

ขอวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการที่วาผูรองมิไดสงมอบสินคาลาชา
ขอเท็จจรงิ ก็ปรากฏวาผคู ดั คา นรบั มอบสินคาไว จึงตอ งถือวาผูร อ งสงมอบสินคาตาม
สญั ญาและตามใบสง่ั ซอื้ สนิ คา ใหแ กผ คู ดั คา นครบถว นเรยี บรอ ยแลว ทง้ั ในการประชมุ
เจรจาระหวา งผรู อ งกบั ผคู ดั คา น ยงั ถกเถยี งกนั เรอื่ งตวั เลขคา ปรบั และการเรมิ่ คาํ นวณ
ดอกเบ้ีย ยังไมเปนท่ียุติการโตตอบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกสระหวางผูรองกับ
ผูคัดคานก็ไมมีขอความใดแสดงวาเปนการรับสภาพหน้ี ขอวินิจฉัยของคณะ
อนุญาโตตุลาการดังกลาวเปนการวินิจฉัยปญหาขอเท็จจริงตามพยานหลักฐานใน
สาํ นวน ไมใ ชข อ อา งทผี่ รู อ งจะยกขนึ้ ขอใหเ พกิ ถอนคาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
ไดต ามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 เมอื่ ผรู อ งกบั ผคู ดั คา น
ยงั โตแ ยง กนั เรอ่ื งคา ปรบั และดอกเบย้ี โดยยงั ไมไ ดข อ ยตุ ิ ขอ ความในการประชมุ เจรจา
และในจดหมายโตตอบจึงไมอาจถือวาผูคัดคานยอมรับสภาพหนี้ ไมเปนเหตุใหอายุ

182 รวมคาํ พิพากษาที่นาสนใจเก่ียวกับอนญุ าโตตลุ าการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 193/14 (1) ทง้ั
การทผ่ี รู อ งเคยนาํ ขอ พพิ าทนย้ี นื่ ฟอ งผคู ดั คา นตอ ศาลแพง ซงึ่ พน กาํ หนดอายคุ วาม 5 ป
ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1)
แตศ าลแพง มคี าํ สงั่ จาํ หนา ยคดเี พราะเหตตุ อ งเสนอขอ พพิ าทตอ คณะอนญุ าโตตลุ าการ
ผูรองก็มิอาจอางวาไดฟองคดีเพ่ือต้ังหลักฐานสิทธิเรียกรองหรือเพื่อใหชําระหนี้อัน
เปนเหตุใหอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา
193/14 (2) เพราะเปนขอพิพาทท่ีตองเสนอตอคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา
193/14 (4) ดังน้ัน ผูรองย่ืนคําเสนอขอพิพาทตอสถาบันอนุญาโตตุลาการ สํานัก
อนุญาโตตุลาการ สํานักงานศาลยุติธรรม เรียกเอาคาสินคาที่ไดสงมอบพนกําหนด
อายคุ วาม 5 ป ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 193/33 (5) ประกอบ
มาตรา 193/34 (1) ทคี่ ณะอนญุ าโตตลุ าการมคี าํ ชข้ี าดวา สทิ ธเิ รยี กรอ งของผรู อ งขาด
อายุความจึงชอบดวยกฎหมายแลวการยอมรับหรือการบังคับตามคําชี้ขาดนั้น
ไมเ ปนการขดั ตอ ความสงบเรยี บรอยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน ไมมีเหตุท่ีศาล
จะเพกิ ถอนคาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการตามพระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข)
คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 8516/2561

แมมาตรา 46 บัญญัติวา “ในการพิพากษาคดีสวนแพง ศาลจําตองถือ
ขอ เทจ็ จริงตามทีป่ รากฏในคําพพิ ากษาคดีสว นอาญา” อยา งไรกด็ ี หากผลคดีอาญา
ยังไมปรากฏขอเท็จจริงเปนประการใด ศาลในคดีสวนแพงยอมมีดุลพินิจดําเนิน
กระบวนพิจารณาและพิพากษาไปไดตามพยานหลักฐานท่ีปรากฏในสํานวนโดย
ไมตองรอคําพิพากษาคดีสวนอาญา การใชดุลพินิจดังกลาวไมเปนการตองหามตาม
กฎหมาย และไมขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คํารอง
ของผูรองเปนการโตแยงการใชดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ การยอมรับหรือการ
บังคับตามคําช้ีขาดไมเปนการขัดตอกฎหมายและความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชน ขออุทธรณประการอื่นที่วา อนุญาโตตุลาการไตสวนพยาน
ผคู ดั คา นเพยี งปากเดยี ว ไมไ ตส วนพยานอนื่ กเ็ ปน การโตแ ยง ดลุ พนิ จิ การรบั ฟง พยาน

รวมคําพพิ ากษาที่นาสนใจเกย่ี วกับอนุญาโตตลุ าการ 183

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ

หลกั ฐานและวนิ จิ ฉัยขอเทจ็ จริงเชน กนั ซง่ึ ไมเปนเหตุทศี่ าลจะเพิกถอนคาํ ช้ขี าดของ
อนญุ าโตตลุ าการไดตามพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40
คําพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 6292/2561

ผรู อ งยนื่ คาํ รอ งตอ ศาลชน้ั ตน ขอใหบ งั คบั ตามคาํ ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ
ตา งประเทศ ผรู อ งจงึ ไมอ าจมคี าํ ขอใหบ งั คบั เกนิ ไปกวา คาํ ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ
และตามพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 นนั้ ศาลไมอ าจมคี ําพิพากษา
บงั คบั เกนิ คาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการได ผรู อ งจงึ ไมม สี ทิ ธขิ อใหศ าลชนั้ ตน กาํ หนด
ในเร่ืองดอกเบ้ยี แตกตางไปจากคําชีข้ าดของอนุญาโตตุลาการ

อุทธรณข องผูคดั คานทัง้ สองที่วา ตามพยานหลักฐานท่ีผูร องนํามาสบื ยังรบั
ฟงไมไดวาผูรองเปนนิติบุคคลตามกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี ผูรองจึงไมอาจ
รองขอตอศาลใหบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการไดน้ัน เปนการโตแยง
ดลุ พนิ จิ ในการวนิ จิ ฉยั ขอ เทจ็ จรงิ และรบั ฟง พยานหลกั ฐานของศาลชนั้ ตน จงึ ไมอ ยใู น
หลักเกณฑขอยกเวนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45
สวนที่ผูคัดคานทั้งสองอุทธรณวา ตามคําคัดคานของผูคัดคานท้ังสองมิไดขอให
ศาลมคี าํ สั่งเพกิ ถอนคําชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ แตเปนการขอใหศาลปฏิเสธการ
บังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตลุ าการ หรือทอี่ ทุ ธรณว า อนุญาโตตลุ าการวนิ จิ ฉยั
เกินขอบเขตแหงขอตกลงในการเสนอขอพิพาทตออนุญาโตตุลาการก็ดี ขออุทธรณ
ของผคู ดั คา นทงั้ สองดงั กลา วนเี้ ทา กบั เปน การกลา วอา งวา คาํ สง่ั หรอื คาํ พพิ ากษาของ
ศาลชั้นตนที่บังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจะเปนการขัดตอความสงบ
เรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนรวมทง้ั ฝา ฝน ตอ กฎหมายอนั เกยี่ วกบั ความ
สงบเรยี บรอ ยของประชาชนตามมาตรา 45 (1) และ (2) ผคู ดั คา นจงึ มอี าํ นาจอทุ ธรณไ ด

ผูรองย่ืนคํารองขอใหบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตางประเทศ
ตามพระราชบญั ญัตอิ นุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 42 ผูคัดคานในฐานะผถู ูก
บงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดจงึ อาจยนื่ คาํ คดั คา นขอใหศ าลชน้ั ตน ปฏเิ สธการบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าด
ของอนุญาโตตุลาการไดตามมาตรา 43 ซ่ึงศาลช้ันตนจะตองวินิจฉัยวามีเหตุตาม
มาตรา 43 (1) ถงึ (6) ทจ่ี ะไมบ งั คบั ตามคาํ ชข้ี าดหรอื ไม การทศี่ าลชนั้ ตน ไปวนิ จิ ฉยั วา

184 รวมคาํ พิพากษาทีน่ าสนใจเก่ยี วกบั อนุญาโตตลุ าการ

สถาบันอนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

กรณีไมมีเหตุท่ีจะเพิกถอนคําวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ จึงเปนการวินิจฉัยนอก
ประเด็น ไมช อบดวยประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง มาตรา 142 วรรคหนงึ่
ขอเทจ็ จรงิ ไดค วามจากสญั ญา ขอ 9.10 ของสัญญาซือ้ ขายหนุ วา คูสัญญาตกลงให
ขอพิพาท ขอขัดแยงและขอ เรียกรองใด ๆ ที่เกดิ ข้นึ จากหรอื เก่ียวกับสญั ญาซือ้ ขาย
หุนหรือการกระทําผิดสัญญา การบอกเลิกสัญญาหรือความไมสมบูรณของสัญญา
ดังกลาวใหระงับ โดยกระบวนการอนุญาโตตุลาการตามขอบังคับอนุญาโตตุลาการ
ของคณะกรรมาธิการวาดวยกฎหมายการคาระหวางประเทศแหง สหประชาชาติ
(UNCITRAL ARBITRATION RULES) ที่ใชบังคับ และขอสัญญา ขอ 8.01 (ก) ก็
กาํ หนดใหผูแ ทน ของผูขายแตละคนรวมกนั และแทนกนั รบั ผดิ และชดใชค าเสียหาย
แกผูซื้อ แสดงวามีการตกลงเร่ืองความรับผิดของคูสัญญาไวโดยชัดแจงแลว ดังน้ัน
การทอ่ี นญุ าโตตลุ าการมคี าํ ชขี้ าดใหผ คู ดั คา นทง้ั สองซงึ่ เปน ผแู ทนของผขู ายรบั ผดิ ตาม
ทผี่ รู อ งเรยี กรอ ง จงึ หาใชเ ปน คาํ ชขี้ าดทว่ี นิ จิ ฉยั เกนิ ขอบเขตแหง สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการ
หรอื คาํ ขอของผรู องตามท่ีผคู ัดคานทง้ั สองกลา วอางไม

สวนท่ีผูคัดคานท้ังสองกลาวอางวา คําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเปน
คาํ ชข้ี าดทข่ี ดั แยง กบั บทบญั ญตั แิ หง ประมวลรษั ฎากร อนั เปน กฎหมายเกย่ี วกบั ความ
สงบเรียบรอ ยและศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนนน้ั เห็นวา เม่ือตามสัญญาซอื้ ขายหุน
ไดก าํ หนดเรอื่ งการชดใชค า เสยี หายและขอ จาํ กดั ความรบั ผดิ ไวใ นขอ สญั ญา ขอ 8.01 (ก)
โดยกาํ หนดไววา “ใหผ แู ทนของผูข ายแตล ะคน (และไมใ ชฝา ยผูขายรายอ่ืน) รว มกัน
และแทนกนั รบั ผดิ และชดใชค า เสยี หายและใหผ ซู อ้ื ปราศจากความสญู เสยี , ความรบั ผดิ ,
ขอ เรียกรอ ง, ความเสยี หาย, คาใชจาย หรือ รายจา ยใด (รวมถงึ แตไมจาํ กัดเฉพาะ
การสูญเสียกําไรและการลดลงของมูลคา) รวมถึงคาธรรมเนียมและคาใชจายทาง
กฎหมายใน จํานวนที่เหมาะสม (เรียกรวมกันวา “คาเสียหาย”) ของผูซ้ือหรือที่
เกดิ ขนึ้ กบั ผซู อ้ื ทเี่ กดิ ขน้ึ จากทเ่ี กย่ี วพนั กบั หรอื เกยี่ วขอ งโดย ประการอน่ื กบั (1)... (3)
คาเสียหายใด ๆ และทัง้ หมด (รวมถึงภาษีตา ง ๆ) ทเ่ี กดิ ข้นึ กับบริษัทฯ ทเ่ี กดิ ข้ึนจาก
ท่ีเกี่ยวพันกับ หรือ เกี่ยวของโดยประการอื่นกับการซ้ือท่ีดินและทรัพยสินที่มิใช
สนิ ทรพั ยห ลกั ของผขู ายจากบรษิ ทั ฯ ตามทร่ี ะบไุ วใ นขอ 5.07 ทง้ั นคี้ า เสยี หายดงั กลา ว
จะไมรวมการขาดทนุ ทางบญั ชี (accounting loss) ทเี่ กิดขึ้นโดยบรษิ ัทฯ อนั เปนผล

รวมคาํ พพิ ากษาที่นา สนใจเก่ยี วกบั อนญุ าโตตลุ าการ 185

Thai Arbitration Institute สถาบันอนญุ าโตตุลาการ

มาจากการขายทีด่ ินและทรัพยส นิ ที่ มิใชส ินทรพั ยห ลักตามขอ 5.07 หรือ...” จากขอ
สญั ญาแสดงใหเ หน็ วา ผรู อ งและผคู ดั คา นทง้ั สองในฐานะคสู ญั ญาในสญั ญาซอื้ ขายหนุ
ไดตกลงกันไวตั้งแตขณะทําสัญญาแลววา ใหผูคัดคานทั้งสองเปนผูรับผิดชอบใน
เรอื่ งคาใชจ า ยทเ่ี กดิ ข้นึ กับบริษทั ท. จาํ กดั (มหาชน) อนั เนือ่ งมาจากการทผี่ ขู ายหุน
ของบรษิ ทั ท. จาํ กดั (มหาชน) ใหแ กผ รู อ งซอื้ ทดี่ นิ และทรพั ยส นิ ทไี่ มใ ชส นิ ทรพั ยห ลกั
จากบรษิ ทั ดงั กลา ว ซง่ึ ผรู อ งและผคู ดั คา นทงั้ สองในฐานะคสู ญั ญาชอบทจี่ ะตกลงเชน
น้ันได ขอตกลงดังกลาวจึงหาใชขอตกลงท่ีขัดตอบทบัญญัติแหงประมวลรัษฎากร
ดังที่ผูคัดคานท้ังสองกลาวอางไม สวนประเด็นวาผูคัดคานท้ังสองมี ฐานะเปนผูซ้ือ
ท่ีดินและทรัพยสินที่ไมใชสินทรัพยหลักหรือไมน้ัน ผูคัดคานท้ังสองมิไดโตแยงเปน
อยา งอนื่ จงึ ตอ งฟง วา ผคู ดั คา นทงั้ สองเปน ผซู อ้ื กรณจี งึ ไมม เี หตทุ จ่ี ะปฏเิ สธการบงั คบั
ตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ

สัญญาซื้อขายหุนมีขอสัญญา ขอ 9.09 กําหนดไววา ความสมบูรณ การ
ตีความ และการดําเนินการตามสัญญาน้ีใหใชบังคับตามกฎหมายไทยการวินิจฉัย
ชข้ี าดขอ พพิ าทตามสญั ญาซอ้ื ขายหนุ ของอนญุ าโตตลุ าการจงึ ตอ งเปน ไปตามประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 224
การทอี่ นญุ าโตตลุ าการชขี้ าดใหผ คู ดั คา นทง้ั สองรบั ผดิ ชาํ ระดอกเบย้ี ทบตน รายวนั ซง่ึ
ก็คือใหผูรองคิดดอกเบ้ียซอนดอกเบ้ียไดนั้น ยอมเปนการไมชอบดวยบทบัญญัติ
มาตรา 224 วรรคสอง และเขา เกณฑเปน กรณที ก่ี ารยอมรับหรอื บังคบั ตามคําช้ีขาด
ของอนุญาโตตุลาการเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน กรณีจงึ ไมอ าจบังคับตามคาํ ชขี้ าดในสวนนขี้ องอนุญาโตตลุ าการได
คําสง่ั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ ค.1/2564

สํานักอนุญาโตตุลาการ สํานักงานศาลยุติธรรม ไดมีหนังสือ ลับ ท่ี ศย
026(ส)/500 ลงวันที่ 2 กันยายน 2562 สงสําเนาคาํ ชขี้ าดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ใหพ นักงานอัยการผูร ับมอบอาํ นาจจากผรู อ งทราบ ผรู ับมอบอํานาจจากผูร อ งไดร ับ
หนังสือดังกลาวพรอมกับสําเนาคําชี้ขาดเมื่อวันท่ี 3 กันยายน 2562 กรณีจึงถือวา
ผูรองไดรับสําเนาคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเม่ือวันที่ 3 กันยายน 2562

186 รวมคาํ พิพากษาท่ีนาสนใจเกย่ี วกับอนญุ าโตตุลาการ

สถาบันอนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ตามนัยขอ 4 วรรคหนึ่ง (1) ของขอบังคับสํานักงานศาลยุติธรรม วาดวย
อนญุ าโตตุลาการ สถาบนั อนญุ าโตตุลาการ ซ่ึงผูร องจะตอ งยน่ื คาํ รอ งตอ ศาลเพ่อื ขอ
ใหเพิกถอนคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว
คอื ภายในวนั ท่ี 2 ธนั วาคม 2562 การทผี่ รู อ งยนื่ คาํ รอ งตอ ศาลขอใหเ พกิ ถอนคาํ ชข้ี าด
ดงั กลา วเมอ่ื วนั ที่ 16 ธนั วาคม 2562 จงึ เปน การยนื่ คาํ รอ งขอใหเ พกิ ถอนคาํ ชข้ี าดของ
คณะอนุญาโตตุลาการเมื่อพนกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 40 วรรคสอง แหง
พระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.44/2561

คณะอนญุ าโตตลุ าการวนิ จิ ฉยั วา ผเู รยี กรอ งทาํ การกอ สรา งถกู ตอ งตามแบบ
สญั ญาแลว ตามขอ 14 ของสญั ญาซงึ่ ระบถุ งึ รายละเอยี ดทผ่ี ดิ พลาดหรอื คลาดเคลอ่ื น
ไปจากหลักการทางวิศวกรรมหรือเทคนิค ผูรับจางตกลงที่จะปฏิบัติตามคําวินิจฉัย
ของคณะกรรมการตรวจการจางหรือผูควบคุมงาน เม่ือผูเรียกรองจัดหาเหล็ก
โครงสรา งขนาดความหนา 3.2 มลิ เิ มตร ไมไ ด จงึ ขอใชเ หลก็ ความหนา 2.5 มลิ ลเิ มตร
แทน และไดหารือกับนาย ค. ชา งผคู วบคมุ งาน และนาย ค. ไดป รึกษารวมท้งั แจง ให
ประธานกรรมการตรวจการจางทราบเร่ืองดังกลาวแลว ผูเรียกรองจึงไดจัดซื้อวัสดุ
ขนาดดงั กลา วมาใชใ นงานจา งตามสญั ญาแลว นนั้ เหน็ วา การทคี่ ณะอนญุ าโตตลุ าการ
วินิจฉัยวา การที่ผูคัดคานแจงชางผูควบคุมงานกรณีจัดหาเหล็กที่มีความหนาตาม
สญั ญาไมไ ด และไดร บั แจง จากผคู วบคมุ งานซงึ่ ไดส อบถามผมู อี าํ นาจแลว วา หากไมม ี
เหล็กความหนา 3.2 มิลลิเมตร ใหใชเหล็กความหนาสูงสุดท่ีมีขายได เปนกรณีที่
ผคู ดั คา นไดด าํ เนนิ การตามคาํ แนะนาํ ของชา งควบคมุ และประธานกรรมการตรวจการ
จา งตามสญั ญาขอ 14 แลว การวนิ จิ ฉยั ของคณะอนญุ าโตตลุ าการจงึ ไมเ ปน การวนิ จิ ฉยั
นอกเหนือไปจากขอบเขตของสัญญา และไมเ ปนการฝา ฝน มาตรา 34 วรรคสี่ แหง
พระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545

เมอื่ คณะอนญุ าโตตลุ าการไดช ขี้ าดวา ผคู ดั คา นไดท าํ การกอ สรา งถกู ตอ งตาม
แบบในสญั ญาแลว ผรู อ งจงึ ตอ งชาํ ระเงนิ คา จา งแกผ คู ดั คา นตามคาํ ชขี้ าดดงั กลา ว สว น
การงานทผ่ี คู ดั คา นไดท าํ ไวน นั้ แมผ รู อ งจะเหน็ วา อาจจะกอ ใหเ กดิ อนั ตรายดา นความ

รวมคาํ พิพากษาทน่ี า สนใจเกย่ี วกบั อนุญาโตตุลาการ 187

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตุลาการ

มัง่ คงแข็งแรงของโครงสรางอาคารท่ีจอดรถตอ ผมู าใชบ รกิ าร น้นั ผูรอ งยอ มมีหนา ท่ี
จะตองดาํ เนนิ การใด ๆ เพอ่ื ความปลอดภัยจากการใชอาคารทจ่ี อดรถดังกลา ว การท่ี
ผูรองจะตองยอมรับเอาการงานท่ีผูคัดคานไดทําไปน้ัน หากจะมีผลตอการจัดทํา
บริการสาธารณะของผูรองดังอาง ผูรองอาจหาตัวผูรับผิดจากความบกพรองในการ
บรหิ ารสญั ญา การควบคมุ งาน ใหต อ งรบั ผดิ เพราะเหตทุ ม่ี ไิ ดป ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายและ
ระเบียบที่เกี่ยวของ จึงเห็นวา การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการไดวินิจฉัยช้ีขาดใหผูรอง
ตองชําระเงินคาจางตามสัญญาแกผูคัดคานโดยปรับลดราคาคาจางตามขนาดของ
เหลก็ โครงสรา งพรอ มดอกเบยี้ ในอตั รารอ ยละ 7.5 ตอ ป จากตน เงนิ ทป่ี รบั ลดแลว นบั
จากวันทไ่ี ดสงมอบงานจนกวา จะชําระเสรจ็ การบังคับตามคาํ ชีข้ าดดงั กลาวจึงไมขดั
ตอความสงบเรยี บรอยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชนตามนยั มาตรา 40 วรรคสาม
(2)(ข) แหง พระราชบัญญตั อิ นุญาโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 แตอยางใด กรณีจึงไมม เี หตุ
ท่ีศาลจะเพิกถอนคาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการ
คาํ พิพากษาศาลฎกี าท่ี 7635/2562

ผูร อ งยื่นคาํ รอ งขอใหศาลเพิกถอนคําชีข้ าดของอนุญาโตตลุ าการโดยอา งวา
การยอมรบั หรือการบงั คบั ตามคาํ ชี้ขาดนน้ั จะเปนการขดั ตอ ความสงบเรยี บรอยหรอื
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน ตาม พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา
40 วรรคสาม (2) (ข) ปญ หาวนิ จิ ฉัยจงึ มวี าการยอมรับหรือการบงั คบั ตามคาํ ชข้ี าด
ของอนญุ าโตตลุ าการทช่ี ขี้ าดวา ขอ พพิ าทของผรู อ งขาดอายคุ วามโดยถอื วนั ทผ่ี รู อ งนาํ
รถยนตไ ปใหเ ชา เปน วนั วนิ าศภยั นนั้ จะเปน การขดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรม
อันดีของประชาชนหรือไม แตศาลชั้นตนตั้งประเด็นวินิจฉัยวา คําชี้ขาดของ
อนุญาโตตลุ าการขัดตอ กฎหมายหรือไม ซง่ึ ไมตรงกับประเด็นขอ พิพาทแหง คดี แลว
วินิจฉัยวาพยานหลักฐานท่ีผูรองนําเขาไตสวนไมมีน้ําหนักรับฟงไดวาคําชี้ขาดของ
อนญุ าโตตลุ าการเปน ไปตาม พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 40
โดยไมไ ดว นิ จิ ฉยั วา การยอมรบั หรอื การบงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการทว่ี า
วนั วนิ าศภยั หรอื วนั ทผ่ี รู อ งสง มอบรถยนตใ หแ ก บ. ผหู ลอกลวงอนั นาํ ไปสกู ารวนิ จิ ฉยั
วา การเสนอขอ พพิ าทของผรู อ งขาดอายคุ วามนนั้ จะเปน การขดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ย

188 รวมคาํ พพิ ากษาท่ีนา สนใจเกย่ี วกบั อนุญาโตตุลาการ

สถาบนั อนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

หรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนหรือไมแตอ ยางใด จึงเปนการไมช อบดว ย ประมวล
กฎหมายวิธพี ิจารณาความแพง มาตรา 142 วรรคหนึง่

เมอื่ อนญุ าโตตลุ าการมคี าํ ชข้ี าดวา การกระทาํ ความผดิ ของ บ. เปน ความผดิ
ฐานลักทรพั ยโ ดยใชก ลอุบาย ดังนี้ ในวันที่ 13 มกราคม 2558 ทีผ่ ูร องสงมอบรถยนต
คันดงั กลา วใหแ ก บ. กับพวก แมจะเปน สวนหนง่ึ ของอุบายที่ บ. กับพวกวางแผนไว
เพอ่ื ประสงคจ ะลกั ทรพั ยต ามทอี่ นญุ าโตตลุ าการมคี าํ ชข้ี าด แตใ นขณะนน้ั บ. กบั พวก
ยังมิไดลงมือแยงการครอบครองหรือเอารถยนตไปจากผูรอง ไมอาจถือไดวาวัน
ดงั กลา วเปน วนั ทล่ี กั ทรพั ยส าํ เรจ็ ตอ มาเมอ่ื บ. กบั พวกไมช าํ ระคา เชา แลว พากนั หลบหนี
ไปพรอมรถยนตคันดังกลาว ถือไดวา บ. กับพวกเอารถยนตคันดังกลาวไปจากการ
ครอบครองของผูรองแลว ผูร องไมอาจตามหาตัว บ. กบั พวกไดและเขา รองทกุ ขต อ
เจาพนักงานตํารวจเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2558 จึงถอื ไดว า วนั ทรี่ อ งทกุ ขเ ปน วันท่ี
ผรู อ งถกู บ. กบั พวกลกั รถยนตไ ปอนั เปน วนั วนิ าศภยั ตามประมวลกฎหมายแพง และ
พาณิชย มาตรา 882 วรรคหน่ึง เม่ือผูรองเสนอขอพิพาทตออนุญาโตตุลาการเม่ือ
วนั ท่ี 21 มีนาคม 2560 จึงยงั ไมพน กาํ หนด 2 ป คดขี องผรู องยงั ไมข าดอายคุ วาม
ดังนั้น ที่อนุญาโตตุลาการมีคําช้ีขาดวา วันท่ีผูรองสงมอบรถยนตเปนวันวินาศภัย
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาตรา 882 จึงเปนการปรับบทกฎหมาย
ไมถ กู ตอ ง ไมใ ชเ พยี งการวนิ จิ ฉยั อายคุ วามเทา นน้ั การยอมรบั หรอื บงั คบั ตามคาํ ชข้ี าด
ดังกลาวจึงเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม
พระราชบัญญตั อิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข)
คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี 6741/2562

การท่ีผูรองทั้งสองสงมอบรถยนตใหแกหางหุนสวนจํากัด ส. ในวันท่ี 18
ธนั วาคม 2557 และในวนั ท่ี 22 ธนั วาคม 2557 โดยในระยะแรกผูรองทัง้ สองไดรับ
คา เชา รถยนตต ามสญั ญา ตอ มาเมอ่ื ผรู อ งทงั้ สองไมไ ดร บั คา เชา ผรู อ งทง้ั สองจงึ ทราบ
วา ผรู อ งทงั้ สองถกู ฉอ โกง ตอ มามกี ารดาํ เนนิ คดอี าญาแกผ กู ระทาํ ความผดิ ศาลชนั้ ตน
พพิ ากษาลงโทษผกู ระทาํ ผดิ ฐานฉอ โกง กรณไี มอ าจถอื วา ในวนั ทผี่ รู อ งทงั้ สองสง มอบ
รถยนตเปนวันท่ีความผิดสําเร็จอันจะถือเปนวันวินาศภัยซ่ึงจะสงผลวาผูรองทั้งสอง

รวมคาํ พพิ ากษาทน่ี าสนใจเก่ียวกับอนญุ าโตตลุ าการ 189

Thai Arbitration Institute สถาบันอนุญาโตตลุ าการ

ยน่ื คาํ เสนอขอ พพิ าทเมอื่ พน กาํ หนดสองป ตามคาํ ชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการซง่ึ หาก
มีการยอมรับหรือบงั คบั ตามคําชข้ี าดของอนุญาโตตุลาการ ซ่ึงหากมกี ารยอมรับหรอื
บงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดดงั กลา วยอ มเปน ผลใหผ รู อ งทง้ั สองเสยี ประโยชน เพราะขอ เทจ็ จรงิ
ยอมเปนการยากตอวิญูชนคนท่ัวไปที่จะทราบวาถูกฉอโกงมาต้ังแตวันที่มีการ
สง มอบรถยนตไปตามสญั ญา กรณจี ึงไมอ าจถอื ไดวา วันวนิ าศภัยใหนับตัง้ แตวันที่มี
การสงมอบรถยนตตามสัญญา การช้ขี าดของอนญุ าโตตุลาการยอมขัดตอความสงบ
เรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเห็นไดวา กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอน
คาํ ช้ขี าดของอนุญาโตตลุ าการตามมาตรา 40 แหงพระราชบญั ญตั ิอนญุ าโตตลุ าการ
พ.ศ.2545
คําพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 6252/2562

พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 บญั ญตั วิ า “หา มมใิ ห
อุทธรณคาํ สั่งหรือคําพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญตั ิน้ี เวนแต (1) การยอมรบั
หรอื การบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดนนั้ จะเปน การขดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดี
ของประชาชน (2) คาํ สง่ั หรอื คาํ พพิ ากษานนั้ ฝา ฝน ตอ บทกฎหมายอนั เกย่ี วดว ยความ
สงบเรยี บรอยของประชาชน...” สําหรับกรมธรรมป ระกนั ภยั ภาคสมคั รใจมีลักษณะ
เปนสัญญาประกันภัยค้ําจุน ผูคัดคานจะรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกบุคคล
ภายนอกตอเม่อื ผเู อาประกันภยั ตองรบั ผดิ ในวนิ าศภัยนนั้ อนญุ าโตตลุ าการจงึ มีสทิ ธิ
วนิ จิ ฉยั ความรบั ผดิ ของผเู อาประกนั ภยั ตอ ผรู อ งได สว นกรมธรรมป ระกนั ภยั คมุ ครอง
ผูประสบภัยจากรถ ผูคัดคานตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนตามกฎกระทรวง
กําหนดจํานวนเงินเอาประกันภัย ตามชนิด ประเภท และขนาดของรถ พ.ศ.2554
ขอ 3 (3) ทอ่ี อกตามความในมาตรา 5 แหง พระราชบญั ญตั คิ มุ ครองผปู ระสบภยั จากรถ
พ.ศ.2535 ใหแกทายาทโดยธรรมของผูตาย ในกรณีมีทายาทโดยธรรมหลายคน
ก็ตองแบงชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกทายาทโดยธรรมครบทุกคน ดังน้ัน
คาํ พพิ ากษาศาลชัน้ ตน ที่วินจิ ฉยั วา คําชี้ขาดของอนญุ าโตตลุ าการชอบดว ยกฎหมาย
แลว และยกคาํ รอ งของผรู อ ง จงึ ไมใ ชค าํ พพิ ากษาทฝ่ี า ฝน ตอ บทกฎหมายอนั เกยี่ วดว ย
ความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน และการยอมรับหรือการบงั คบั

190 รวมคําพพิ ากษาที่นาสนใจเกยี่ วกับอนุญาโตตลุ าการ

สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

ตามคําชี้ขาดนั้นก็ไมเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน กรณจี งึ ไมเ ขา หลกั เกณฑต าม พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545
มาตรา 45 วรรคหนงึ่ (1) (2) ท่ีผูรอ งจะอทุ ธรณไ ด ศาลฎีกาจึงไมร บั วินิจฉัยอทุ ธรณ
ของผรู อง
คําพิพากษาศาลฎกี าที่ 5310/2562

ผูคัดคานรับประกันภัยรถยนตโดยสารประจําทางซ่ึงเปนสัญญาประกันภัย
ค้ําจุน เม่ือ ว. ผูขับข่ีรถยนตโดยสารประจําทางที่เอาประกันภัยไวกับผูคัดคานตอง
รบั ผดิ ฐานละเมดิ ตอ ผรู อ งทงั้ สามเพราะขบั รถยนตโ ดยสารประจาํ ทางโดยประมาทไปทบั
จ. ถึงแกความตายตามคําพิพากษาคดีสวนอาญา แมในคดีอาญาผูคัดคานจะไมได
ถกู ฟอ งเปน จาํ เลยจงึ ไมถ กู ผกู พนั ในการพพิ ากษาคดสี ว นแพง ทศี่ าลจาํ ตอ งถอื ขอ เทจ็ จรงิ
ตามท่ีปรากฏในคําพิพากษาคดีสวนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 46 ก็ตาม แตผูคัดคานเปนผูรับประกันภัย ตกลงวาจะใชคาสินไหม
ทดแทนในนามของผเู อาประกนั ภยั เพอื่ ความวนิ าศภยั อนั เกดิ ขนึ้ แกบ คุ คลอกี คนหนงึ่
และซึ่งผูเอาประกันภัยจะตองรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 887 วรรคหนึง่ ซงึ่ ผคู ัดคานก็ไมไดโตแ ยง วา ผเู อาประกันภัยไมตองรวมรับผิด
กบั ว. ผคู ดั คา นไมอ าจนาํ สบื เปลยี่ นแปลงใหผ ดิ ไปจากความรบั ผดิ ของ ว. ได ผคู ดั คา น
จึงตองรับผิดตอผูรองทั้งสามตามสัญญาประกันภัย ที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยวา
คาํ พพิ ากษาของศาลอาญาทว่ี นิ จิ ฉยั วา ว. กระทาํ โดยประมาทไมผ กู พนั ผคู ดั คา นเพราะ
ผคู ดั คา นมไิ ดเ ปน คคู วามในคดี แลว วนิ จิ ฉยั ฟง ขอ เทจ็ จรงิ วา ว. มไิ ดเ ปน ฝา ยขบั รถโดย
ประมาท เปนคําชข้ี าดท่ไี มช อบดว ยกฎหมาย การยอมรับหรอื บงั คับตามคาํ ชี้ขาดจะ
เปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลมีอํานาจ
เพิกถอนคําช้ีขาดได ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40
วรรคสาม (2) (ข)

รวมคาํ พพิ ากษาทีน่ า สนใจเกย่ี วกบั อนุญาโตตลุ าการ 191

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตุลาการ

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.321 -322/2560
ผูรองไดทําหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกรองใหธนาคารกรุงไทย จํากัด

(มหาชน) และไดมีหนังสือบอกกลาวใหผูคัดคานทราบถึงการโอนสิทธิเรียกรอง
ดังกลาวแลว ซึ่งทําใหการโอนหน้ีอันเปนสิทธิเรียกรองนี้สมบูรณและยกขึ้นเปน
ขอ ตอ สลู กู หนแ้ี ละบคุ คลภายนอกไดต ามมาตรา 306 วรรคหนง่ึ แหง ประมวลกฎหมาย
แพง และพาณชิ ย และมีสภาพแหง สิทธทิ ่ีเปด ชองใหโอนกนั ไดต ามมาตรา 303 วรรค
หนงึ่ แหงประมวลกฎหมายดงั กลา ว กต็ าม แตคําช้ขี าดของคณะอนุญาโตตลุ าการก็
ยงั หาเปนทรพั ยซงึ่ เปน วัตถแุ หงหน้ีตามมาตรา 195 แหง ประมวลกฎหมายเดียวกัน
ทผ่ี รู บั โอนพงึ ทราบจาํ นวนทแ่ี นน อน เนอื่ งจากตามเอกสารแนบทา ยสญั ญาพพิ าทและ
สตู รการปรบั ราคากาํ หนดวา “การจา ยเงนิ แตล ะงวดใหจ า ยคา จา งงานทผ่ี รู บั จา งทาํ ได
แตละงวดตามสัญญาไปกอน สวนคางานเพิ่มหรือคางานลดลงซ่ึงจะคํานวณไดเมื่อ
ทราบดชั นรี าคาวสั ดกุ อ สรา งซงึ่ นาํ มาคาํ นวณหาคา K ของเดอื นทส่ี ง มอบงานในเดอื น
นน้ั ๆ เปน ทแี่ นน อนแลว เม่ือคํานวณเงินเพ่ิมไดใ หข อทําความตกลงเร่ืองการเงนิ กบั
สํานักงบประมาณ” กรณีจึงไมตัดสิทธิของผูรองในการนําขอพิพาทเขาสูการช้ีขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการเพ่ือใหกําหนดจํานวนเงินในสวนดังกลาวใหเปนจํานวนท่ี
แนนอนกอน อีกท้ังในการโอนสิทธิเรียกรองของผูรองใหกับธนาคารกรุงไทย จํากัด
(มหาชน) ผูคัดคานก็ไมเคยยกเปนขอตอสูในชั้นวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการ
ดงั นนั้ เมอ่ื คาํ วนิ จิ ฉยั ของคณะอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา วไมม ลี กั ษณะอยา งหนง่ึ อยา งใด
อันเปนขอท่ีไมสามารถระงับโดยการอนุญาโตตุลาการไดตามกฎหมายหรือถาการ
บังคับตามคําช้ีขาดน้ันจะเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน ศาลจึงไมอาจทําคําปฏิเสธการขอบังคับตามคําชี้ขาดของคณะ
อนญุ าโตตลุ าการไดต ามมาตรา 44 แหง พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545
ท้ังน้ี คําวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการน้ีไมกระทบตอหนังสือโอนสิทธิเรียกรอง
ระหวางผูโอนกับผูรับโอน เม่ือมีการโอนสิทธิเรียกรองหรือความรับผิดใด สัญญา
อนุญาโตตุลาการที่มีอยูเก่ียวกับสิทธิเรียกรองหรือความผิดน้ันยอมผูกพันผูรับโอน
ดว ยตามมาตรา 13 แหง พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา ว พพิ ากษาใหบ งั คบั ตามคาํ ชขี้ าดของ
คณะอนญุ าโตตลุ าการ

192 รวมคําพพิ ากษาที่นา สนใจเกี่ยวกับอนญุ าโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตลุ าการ Thai Arbitration Institute

คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ 366-367/2558
ขอเท็จจริงปรากฏวาคําวินิจฉัยช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามขอ

พิพาทหมายเลขดําท่ี 118/2549 ขอพิพาทหมายเลขแดงที่ 52/2554 ลงวันที่ 18
พฤษภาคม 2554 คณะอนญุ าโตตลุ าการไดแ ยกปญ หาทจ่ี ะวนิ จิ ฉยั โดยความเหน็ ชอบ
ของคพู ิพาททงั้ สองฝายออกเปน 4 ประเด็น ดังนี้ (1) ผรู องสง มอบพน้ื ทก่ี อสรา งให
แกผูคัดคานท่ี 1 กอนเร่ิมทําการกอสรางหรือไม (2) เหตุการณไมสงบในพ้ืนที่สาม
จังหวดั ชายแดนภาคใตมีผลกระทบทําใหผูคัดคานท่ี 1 ไมส ามารถกอสรา งทางหลวง
หมายเลข 418 สายบา นคลองขุด – บานทา สาป ตอน 1 ไดหรอื ไม (3) ผรู อ งบอกเลกิ
สญั ญาชอบหรอื ไม และ (4) ผรู อ งเรยี กรอ งคา เสยี หายในสว นทเ่ี ปน เงนิ คา จา งลว งหนา
ท่ีเหลือจํานวน 42,832,806.77 บาท และคาเสียหายในสวนคาใชจายท่ีเพิ่มขึ้น
ในการทํางานใหแลวเสร็จตามสัญญาไดหรือไม เพียงใด หลังจากน้ันคณะ
อนุญาโตตุลาการไดมีคาํ วินจิ ฉยั ช้ขี าดขอ พิพาทใหผ ูร อ งสงมอบหนงั สอื ค้าํ ประกันคนื
แกผูคัดคานที่ 1 และใหผูคัดคานท่ี 1 คืนเงินคาจางลวงหนาที่เหลือจํานวน
42,832,806.77 บาท แกผ รู อง สาํ หรบั คา เสียหายในสวนคา ใชจายท่ีเพม่ิ ขึน้ ในการ
ทํางานใหแลว เสรจ็ ตามสัญญา นัน้ ผูรอ งไมอ าจเรยี กรองจากผูค ดั คา นท่ี 1 ได เพราะ
เปนการตกลงเลิกสัญญาโดยปริยายจึงไมมีฝายใดเปนฝายผิดสัญญา ตอมา
ศาลปกครองชน้ั ตน มคี าํ พพิ ากษาตามคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา ว โดย
พพิ ากษายกคาํ รอ งของผรู อ งทขี่ อใหศ าลเพกิ ถอนคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
และใหบังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามขอพิพาทหมายเลขดําท่ี
118/2549 ขอพิพาทหมายเลขแดงท่ี 52/2554 ลงวันท่ี 18 พฤษภาคม 2554 โดย
ใหผูรองสงมอบหนังสือคํ้าประกันของธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) เลขท่ี
C 058/2100220060 ลงวนั ท่ี 4 มถิ นุ ายน 2545 คนื ผคู ดั คา นที่ 1 และใหผ คู ดั คา นที่ 1
คนื เงนิ คา จางลวงหนา ท่ีเหลือจํานวน 42,832,806.77 บาท แกผูร องในเวลาเดยี วกัน
โดยใหคกู รณีปฏบิ ตั กิ ารชําระหนด้ี ังกลา วใหแ ลว เสรจ็ ภายใน 30 วัน นับแตวันท่ีคดี
ถงึ ทสี่ ดุ หากคกู รณฝี า ยใดไมป ฏบิ ตั กิ ารชาํ ระหนภ้ี ายในกาํ หนด ใหร บั ผดิ ชาํ ระดอกเบย้ี
ในอัตรารอ ยละ 7.5 ตอ ป นับแตวนั พน กาํ หนดระยะเวลา 30 วันดังกลาวเปน ตนไป
คําขออ่ืนนอกจากน้ีใหยก โดยใหคืนคาธรรมเนียมศาลตามสวนของการชนะคดีแก

รวมคาํ พพิ ากษาท่นี า สนใจเกยี่ วกบั อนุญาโตตลุ าการ 193

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนุญาโตตลุ าการ

ผูรอง และใหคืนคาธรรมเนียมศาลทั้งหมดแกผูคัดคานท่ี 1 สําหรับคาธรรมเนียม
คาใชจา ยในช้นั อนุญาโตตุลาการและคา ปว ยการของคณะอนุญาโตตลุ าการยอมตอง
เปน ไปตามคาํ ชขี้ าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการทกุ ประการ หลงั จากนน้ั ผรู อ งอทุ ธรณ
คาํ พพิ ากษาของศาลปกครองชนั้ ตน ศาลปกครองชน้ั ตน พจิ ารณาคาํ อทุ ธรณข องผรู อ ง
แลวมีคําสั่งไมรับคําอุทธรณดังกลาว เน่ืองจากคําอุทธรณของผูรองตองหามมิให
อุทธรณคําพิพากษาของศาลตามมาตรา 45 วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 ผรู อ งอทุ ธรณค าํ สงั่ ของศาลปกครองชนั้ ตน วา ผคู ดั คา น
ท่ี 1 ไมมีสทิ ธิตามขอกฎหมายและขอ สัญญาในการบอกเลกิ สัญญา ซึง่ สทิ ธิดงั กลาว
เปนเอกสิทธขิ์ องผูรองเทา นนั้ และเมอื่ ผคู ัดคานท่ี 1 เปนฝา ยผิดสญั ญา เมือ่ ผูรองได
ใชสิทธิบอกเลิกสัญญาแลว ผูคัดคานที่ 1 จึงตองรับผิดชดใชคาเสียหายอันเกิดจาก
การผดิ สญั ญา คาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตลุ าการในประเดน็ ทวี่ า คพู พิ าทแตล ะฝา ย
จะเรียกรองคาเสียหายตอกันไมได จึงไมชอบดวยกฎหมายและขัดตอความสงบ
เรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนตอ งหา มตามมาตรา 40(2)(ข) แหง พระราช
บัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เห็นวาคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่
วินิจฉัยขอพิพาทอยูในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ และหาไดเปนคําชี้ขาด
ทวี่ นิ จิ ฉยั เกนิ ขอบเขตแหง ขอ ตกลงในการเสนอขอ พพิ าทตอ คณะอนญุ าโตตลุ าการทงั้
4 ประเดน็ แตอ ยา งใด การยอมรบั หรอื การบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดจงึ หาไดเ ปน การขดั ตอ
ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน หรอื คาํ พพิ ากษานนั้ ฝา ฝน ตอ บท
กฎหมายอนั เก่ียวดวยความสงบเรียบรอ ยของประชาชน หรือไมตรงกับคาํ ชีข้ าดของ
คณะอนญุ าโตตลุ าการ กรณจี งึ เปน การตอ งหา มมใิ หอ ทุ ธรณค าํ พพิ ากษาของศาลตาม
มาตรา 45 วรรคหนึ่ง แหงพระราชบญั ญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. 2545 การท่ีศาล
ปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับอุทธรณไวพิจารณาน้ัน ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย
จึงมคี ําสงั่ ยนื ตามคาํ สงั่ ของศาลปกครองช้นั ตน

194 รวมคําพพิ ากษาท่ีนาสนใจเกยี่ วกับอนุญาโตตลุ าการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

คาํ พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 6741/2562
การท่ีผูรองท้ังสองสงมอบรถยนตใหแกหางหุนสวนจํากัด ส. ในวันที่ 18

ธันวาคม 2557 และในวันที่ 22 ธันวาคม 2557 โดยในระยะแรกผรู องทงั้ สองไดร บั
คา เชา รถยนตต ามสญั ญา ตอ มาเมอ่ื ผรู อ งทง้ั สองไมไ ดร บั คา เชา ผรู อ งทงั้ สองจงึ ทราบ
วา ผรู อ งทงั้ สองถกู ฉอ โกง ตอ มามกี ารดาํ เนนิ คดอี าญาแกผ กู ระทาํ ความผดิ ศาลชน้ั ตน
พพิ ากษาลงโทษผกู ระทาํ ผดิ ฐานฉอ โกง กรณไี มอ าจถอื วา ในวนั ทผ่ี รู อ งทงั้ สองสง มอบ
รถยนตเปนวันท่ีความผิดสําเร็จอันจะถือเปนวันวินาศภัยซึ่งจะสงผลวาผูรองท้ังสอง
ยน่ื คาํ เสนอขอ พพิ าทเมอื่ พน กาํ หนดสองป ตามคาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการซงึ่ หาก
มกี ารยอมรับหรอื บังคบั ตามคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ ซงึ่ หากมีการยอมรับหรือ
บังคับตามคําช้ีขาดดังกลาวยอมเปนผลใหผูรองท้ังสองเสียประโยชน เพราะขอเท็จ
จริงยอมเปนการยากตอวิญูชนคนทั่วไปที่จะทราบวาถูกฉอโกงมาต้ังแตวันที่มีการ
สงมอบรถยนตไปตามสัญญา กรณจี งึ ไมอ าจถอื ไดวา วนั วนิ าศภัยใหน ับตงั้ แตวนั ท่ีมี
การสงมอบรถยนตตามสัญญา การชีข้ าดของอนญุ าโตตุลาการยอ มขัดตอความสงบ
เรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเห็นไดวา กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอน
คําช้ีขาดของอนญุ าโตตุลาการตามมาตรา 40 แหง พระราชบัญญัติอนญุ าโตตุลาการ
พ.ศ. 2545

คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี 6551/2562
ผูรองย่ืนคําเสนอขอพิพาทตออนุญาโตตุลาการสํานักงานคณะกรรมการ

กาํ กบั และสง เสรมิ การประกอบธรุ กจิ ประกนั ภยั ขอใหว นิ จิ ฉยั ชข้ี าดใหผ คู ดั คา นซง่ึ เปน
ผูรับประกันภัยคํ้าจุนชําระคาสินไหมทดแทน 1,000,000 บาท พรอมดอกเบี้ยแก
ผรู อ ง ผคู ดั คา นยน่ื คาํ คดั คา น อนุญาโตตุลาการพจิ ารณาแลว มีคําชี้ขาดใหผ ูค ัดคา น
ชําระคาสินไหมทดแทน 124,970 บาท พรอมดอกเบี้ยแกผูรอง การยอมรับหรือ
การบงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการดงั กลา วไมข ดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื
ศีลธรรมอันดีของประชาชน ไมเขาเกณฑใหศาลเพิกถอนตามพระราชบัญญัติ

รวมคาํ พพิ ากษาทน่ี า สนใจเกยี่ วกับอนญุ าโตตลุ าการ 195

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตุลาการ

อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) เน่อื งจาก พระราชบญั ญตั ิ
อนุญาโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 25 วรรคสอง บญั ญตั วิ า “ในกรณีท่ีคูพิพาทมิได
ตกลงกนั หรอื กฎหมายนม้ี ไิ ดบ ญั ญตั ไิ วเ ปน อยา งอนื่ ใหค ณะอนญุ าโตตลุ าการมอี าํ นาจ
ดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาใด ๆ ไดต ามทเี่ หน็ สมควร อาํ นาจของคณะอนญุ าโตตลุ าการ
นี้ใหรวมถึงอํานาจวินิจฉัยในเร่ืองการรับฟงพยานหลักฐานและการชั่งน้ําหนักพยาน
หลกั ฐานทั้งปวงดวย” และมาตรา 30 วรรคหนงึ่ บัญญัติวา “ในกรณีที่คูพิพาทมไิ ด
ตกลงกันไวเปนอยางอ่ืน ใหคณะอนุญาโตตุลาการเปนผูกําหนดวาจะสืบพยานหรือ
ฟง คาํ แถลงการณด วยวาจาหรือเปน หนงั สือ หรอื จะดาํ เนินกระบวนพจิ ารณาโดยรับ
ฟงเพียงเอกสารหรือพยานหลักฐานอื่นใดก็ได” บทบัญญัติดังกลาวใหอํานาจ
อนญุ าโตตลุ าการใชด ลุ พนิ จิ ในการรบั ฟง พยานหลกั ฐานและชง่ั นา้ํ หนกั พยานหลกั ฐาน
ทง้ั ปวง การทอ่ี นญุ าโตตลุ าการจะหยบิ ยกพยานหลกั ฐานใดขน้ึ มาวนิ จิ ฉยั ภายในกรอบ
ของกฎหมายยอมมีอํานาจกระทําไดโดยชอบ ผูรองไมมีอํานาจโตแยงดุลพินิจของ
อนญุ าโตตลุ าการในการรบั ฟง พยานหลกั ฐาน และแมว า ขอ เทจ็ จรงิ รบั ฟง ไดด งั ทผ่ี รู อ ง
อทุ ธรณว า ในชนั้ อนญุ าโตตลุ าการผรู อ งและผคู ดั คา นตกลงกนั ใหน าํ ประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพงมาใชบังคับ ดังน้ัน การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการจึงตอง
นําประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงวาดวยพยานหลักฐานมาใชบังคับโดย
อนโุ ลม เมอ่ื ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง มาตรา 125 บญั ญตั ใิ หค คู วาม
ฝา ยทถ่ี กู คคู วามอกี ฝา ยอา งองิ เอกสารเปน พยานหลกั ฐานยนั ตนอาจคดั คา นเอกสารนน้ั
โดยคัดคานกอนการสืบพยานเอกสารน้ันเสร็จ หรือไมวาเวลาใดกอนศาลพิพากษา
โดยไดรับอนุญาตจากศาล แตผูรองหาไดคัดคานสําเนาเอกสารท่ีผูคัดคานนํามาสืบ
แตอยางใดไม การท่ีอนุญาโตตุลาการรับฟงสําเนาเอกสารท่ีผูคัดคานนํามาสืบเปน
พยานหลกั ฐาน จงึ ชอบดว ยประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง มาตรา 93 (4) แลว

การกลา วอา งวา คาํ พพิ ากษาของศาลชนั้ ตน ฝา ฝน ตอ บทบญั ญตั แิ หง ประมวล
กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง มาตรา 142 ซ่ึงเปน กฎหมายอนั เกยี่ วดวยความสงบ
เรียบรอยของประชาชน แมไมมีฝายใดรองขอ ผูรองมีอํานาจยกขึ้นอุทธรณไดตาม
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (2) อีกทง้ั ประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพง มาตรา 167 วรรคหน่ึง บญั ญัตใิ หศาลมคี าํ สง่ั ในเรอื่ งคาฤชา

196 รวมคําพพิ ากษาที่นา สนใจเก่ียวกบั อนญุ าโตตุลาการ

สถาบันอนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ธรรมเนียมลงไวในคําพิพากษาไมวาคูความจะมีคําขอหรือไมก็ตาม ดังนี้ การท่ี
ศาลช้ันตนกําหนดใหผูรองใชคาฤชาธรรมเนียมแทนผูคัดคาน จึงเปนการกําหนด
คาฤชาธรรมเนียมใหแกฝายท่ีชนะคดีตามบทบัญญัติดังกลาว หาไดเกินคําขอหรือ
นอกคาํ รอ งนอกคําคดั คาน

คําพิพากษาศาลฎกี าที่ 5560 - 5563/2562
พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มวี ตั ถปุ ระสงคเ พอื่ ใหก ารระงบั

ขอ พพิ าทโดยการอนญุ าโตตลุ าการเปน ไปดว ยความรวดเรว็ สมดงั เจตนาของคพู พิ าท
ทเ่ี ลอื กใชว ธิ รี ะงบั ขอ พพิ าทโดยการอนญุ าโตตลุ าการแทนการนาํ ขอ พพิ าทไปฟอ งคดี
ตอศาล จึงบัญญัติใหคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจะไดรับการพิจารณาจาก
ศาลเพยี งชนั้ เดยี ว ยกเวนเปน คาํ สั่งหรอื คําพิพากษาตามกรณมี าตรา 45 (1) ถึง (5)
จงึ จะอทุ ธรณต อ ศาลฎกี าได ทผ่ี คู ดั คา นอทุ ธรณแ ละแกไ ขอทุ ธรณค าํ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน
โดยอาศัยสิทธิตามมาตรา 45 (1) และ (2) เพื่อใหศาลฎีกาเพิกถอนคําช้ีขาดและ
ปฏิเสธไมรับบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจึงเปนอุทธรณเก่ียวกับ
การยอมรบั หรอื การบงั คบั ตามคาํ ชขี้ าดนนั้ จะเปน การขดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื
ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือคําส่ังหรือคําพิพากษาน้ันฝาฝนตอบทกฎหมาย
อันเกย่ี วดว ยความสงบเรยี บรอ ยของประชาชน หลกั ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรม
อนั ดขี องประชาชนไมม บี ทนยิ ามหรอื วเิ คราะหศ พั ทข องกฎหมายบญั ญตั ไิ วจ งึ เปน เรอื่ ง
ท่ีศาลจะตองใชวิจารณญาณตามพฤติการณของขอพิพาทและกาลสมัยของคุณคา
สังคม โดยคํานึงถึงหลักการคุมครองประโยชนสาธารณะ บริการสาธารณะ
ผลประโยชนข องประชาชนสว นรวมโดยตรง มใิ ชผ ลประโยชนข องคพู พิ าทโดยเฉพาะ
หรือการดําเนินกระบวนพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการชอบดวยกฎหมายหรือ
ไมเ ปน ตน ดงั นนั้ การทจ่ี ะนาํ หลกั ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน
มาปรบั ใชก บั การยอมรบั หรอื การบงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดหรอื คาํ สง่ั หรอื คาํ พพิ ากษาฝา ฝน
ตอบทกฎหมายตองพิจารณาลักษณะขอพิพาทใหสอดคลองกับหลักดังกลาวขางตน
เปนรายกรณไี ป

รวมคาํ พพิ ากษาทนี่ า สนใจเก่ียวกับอนญุ าโตตลุ าการ 197

Thai Arbitration Institute สถาบนั อนญุ าโตตลุ าการ

การที่ผูรองไดทําสัญญาโอนสิทธิเรียกรองเงินคาวาจางตามสัญญาจางเหมา
กอ สรา งใหแ กธ นาคาร ท. มผี ลใหส ทิ ธเิ รยี กรอ งเงนิ คา วา จา งดงั กลา วโอนไปยงั ธนาคาร
ท. แลว เปนเหตุใหผูรองไมมีสิทธิเรียกรองใหผูคัดคานชําระเงินตามสัญญาอีกตาม
ป.พ.พ. มาตรา 306 หรอื สัญญาโอนสิทธเิ รยี กรองระหวา งผูร อ งกับธนาคาร ท. ไมใช
การโอนสิทธิเรียกรองตามมาตรา 306 แตเปนเพียงสัญญาที่เปนหลักประกันหนี้ที่
ผูรองเบิกเงินไปจากธนาคาร ท. เทาน้ันเปนเหตุใหหนี้ตามสัญญาจางเหมากอสราง
ระหวางผูรอ งกบั ผูค ดั คา นยังไมระงบั น้ัน ตองพิจารณาจากการแสดงเจตนาท่แี ทจรงิ
ของคูสญั ญาระหวางผรู อ งกบั ธนาคาร ท. ในการทาํ สัญญาโอนสทิ ธิเรียกรอ ง ตามขอ
เทจ็ จรงิ ทป่ี รากฏในพยานหลกั ฐานตา ง ๆ ของผรู อ งกบั ผคู ดั คา นทงั้ ปวง เมอ่ื ทางปฏบิ ตั ิ
หลังจากทําสัญญาโอนสิทธิเรียกรองกันแลว ผูรองยังคงเปนผูเรียกเก็บเงินจาก
ผคู ดั คา น หากผคู ดั คา นไดรับใบเรียกเกบ็ เงนิ จากผรู อ ง ผคู ัดคานจะส่งั จา ยเชค็ ใหแ ก
ผรู อ งไมใ ชธ นาคาร ท. โดยผรู อ งและธนาคารดงั กลา วจะไปรบั เชค็ พรอ มกนั เพอ่ื นาํ เขา
บญั ชขี องผูรอง แลว ธนาคารจะหกั เงินจากบญั ชีของผูรอ งบางสวนเพ่อื ชําระหน้ีเงนิ กู
ของธนาคารโดยจะคนื สว นทเี่ หลอื ใหแ กผ รู อ ง กบั ผรู อ งเปน ผอู อกใบเสรจ็ รบั เงนิ ใหแ ก
ผูคัดคาน แสดงวาหลังจากทําสัญญาโอนสิทธิเรียกรองกันแลว ผูคัดคานยังคงชําระ
เงนิ คาวาจางตามสัญญาพพิ าทใหแ กผ ูรองมาโดยตลอดไมเคยชาํ ระใหแกธ นาคาร ท.
และธนาคารก็ไมเคยทักทวงไปยังผูรองหรือผูคัดคาน ซ่ึงคณะอนุญาโตตุลาการใช
อํานาจวินิจฉัยในเรื่องการรับฟงขอเท็จจริงตามพยานหลักฐานและการชั่งนํ้าหนัก
พยานหลกั ฐานทง้ั ปวง แลว นาํ ไปปรบั ใชก บั ขอ กาํ หนดในสญั ญาหรอื ขอ กฎหมายแลว
มีคําวินิจฉัยวา การโอนสิทธิเรียกรองดังกลาวไมใชการโอนสิทธิเรียกรองตามมาตรา
306 แตเปนเพียงสัญญาที่เปนหลักประกันหนี้ที่ผูรองเบิกเงินไปจากธนาคาร ท.
ซง่ึ ขอ พพิ าทน้ีเกยี่ วขอ งกับผลประโยชนข องคพู ิพาทโดยเฉพาะเทาน้ัน จงึ ไมเปน การ
ขดั ตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน เมอื่ ไมป รากฏวา คาํ วนิ จิ ฉยั
ของคณะอนญุ าโตตลุ าการฝา ฝน ตอ บทบญั ญตั กิ ฎหมาย ศาลไมอ าจตรวจสอบการใช
ดุลพินิจรับฟงพยานหลักฐานและการช่ังนํ้าหนักพยานหลักฐานของคณะ
อนุญาโตตุลาการในเร่ืองการโอนสิทธิเรียกรองดังกลาวน้ีซ้ําอีก การยอมรับหรือการ
บังคับตามคําช้ีขาดไมเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของ

198 รวมคาํ พิพากษาทน่ี า สนใจเกีย่ วกับอนญุ าโตตลุ าการ

สถาบนั อนญุ าโตตุลาการ Thai Arbitration Institute

ประชาชน หรอื คาํ พพิ ากษาของศาลชนั้ ตน ไมฝ า ฝน ตอ บทกฎหมายอนั เกย่ี วดว ยความ
สงบเรียบรอยของประชาชน

คา ฤชาธรรมเนยี มเปน เรอื่ งทก่ี ฎหมายบงั คบั ใหศ าลตอ งมคี าํ สง่ั ไมว า ผรู อ งจะ
มคี าํ ขอหรอื ไมก ต็ าม เปน ดลุ พนิ จิ ของศาลโดยแท คดนี ผี้ คู ดั คา นยน่ื คาํ รอ งขอวางหลกั
ประกนั การงดการบงั คบั คดจี นตอ มาศาลชน้ั ตน มคี าํ สง่ั วา หลกั ประกนั เพยี งพอตอ การ
ปฏบิ ตั ติ ามคาํ พพิ ากษาแลว ใหงดการบงั คับคดตี าม ป.วิ.พ. มาตรา 289 (2) จึงเปน
กรณที ผ่ี คู ดั คา นมาขอใหง ดการบงั คบั คดที ศ่ี าลชน้ั ตน ไดพ พิ ากษาใหบ งั คบั ตามคาํ ชข้ี าด
ของคณะอนุญาโตตุลาการไวกอน ถือไดวาเปนกรณีขอใหงดการบังคับคดีทั่วไปซ่ึง
เปนอํานาจของศาลชั้นตนท่ีจะมีคําสั่งงดการบังคับคดีหรือไมก็ได เม่ือศาลช้ันตนมี
คําส่ังใหงดการบังคับคดีแลว ยอมไมอาจบังคับคดีกันอีกไดในหน้ีท้ังหมดตาม
บทบัญญัติในภาค 4 ลักษณะ 2 แหงประมวลกฎหมายดังกลาว อีกท้ังการงดการ
บงั คบั คดใี นกรณตี ามบทบญั ญตั นิ ม้ี ไิ ดบ ญั ญตั หิ ลกั เกณฑห รอื เงอ่ื นไขการงดการบงั คบั
คดไี ว หากศาลชน้ั ตน เหน็ วา เปน กรณมี เี หตอุ นั สมควรและหลกั ประกนั เพยี งพอตอ การ
ปฏิบัตติ ามคําพิพากษา ยอมใชดลุ พนิ จิ มคี ําส่ังใหง ดการบังคบั คดีได คําสัง่ ศาลชัน้ ตน
ทยี่ กคาํ รอ งขอออกหมายบงั คบั คดี (ในสว นทศ่ี าลสง่ั คนื หนงั สอื คา้ํ ประกนั ) ของผรู อ งชอบ
ดว ยกฎหมายแลว

คําพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 5052/2562
คําวินจิ ฉัยของ คชก. จงั หวัดถือวาเปน คาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตุลาการ และ

การพจิ ารณาพพิ ากษาตามคาํ วนิ จิ ฉยั ของ คชก. จงั หวดั ใหเ ปน ไปตามกฎหมายวา ดว ย
อนญุ าโตตลุ าการ ศาลจงึ มอี าํ นาจทาํ คาํ สั่งปฏเิ สธการขอบงั คับตามคําชีข้ าดน้นั ไดถ า
การบังคับจะเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม
พระราชบญั ญัติอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ.2545 มาตรา 41 และมาตรา 44

รวมคาํ พพิ ากษาทนี่ าสนใจเกย่ี วกับอนุญาโตตุลาการ 199


Click to View FlipBook Version