รายงานการศึกษา เรื่อง การจัดท าข้อเสนอว่าด้วยการปฏิบัติตาม ปฏิญญาสากลที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้เสียหาย ในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ จัดท าโดย กองกฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2566
ก กิตติกรรมประกาศ รายงานการศึกษา เรื่อง การจัดทำข้อเสนอว่าด้วยการปฏิบัติตามปฏิญญาสากลที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อผู้เสียหายในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ มุ่งเน้นการศึกษาสิทธิมนุษยชน การคุ้มครอง สิทธิและเสรีภาพ กระบวนการยุติธรรมทางอาญา การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษในสังกัดกรมสอบสวน คดีพิเศษตระหนักและให้ความสำคัญกับผู้เสียหายในคดีพิเศษที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาและ การคุ้มครองจากรัฐ ให้สามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้อย่างเป็น รูปธรรม จึงได้มีการเสนอเรื่องดังกล่าวในการประชุมแผนปฏิบัติราชการรายปี (พ.ศ. 2566) กรมสอบสวน คดีพิเศษ โดยที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กองกฎหมายดำเนินการศึกษา เพื่อให้ได้ข้อมูลและนำมา วิเคราะห์ จัดทำข้อสรุป เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางหรือวิธีการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ ที่สอดคล้องกับปฏิญญาสากล มาตรฐานสากล และ/หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รายงานการศึกษาฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีจากความร่วมมือของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่คดีพิเศษที่ร่วมตอบแบบสอบถามโดยความสมัครใจ ทำให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน มากยิ่งขึ้น สามารถนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป และมีข้อเสนอแนะให้กับกรมสอบสวน คดีพิเศษ ต่อไป ท้ายที่สุดนี้ กองกฎหมายหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการศึกษาฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ ต่อการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษในการสืบสวนสอบสวน คดีพิเศษ และส่งผลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถยกระดับปฏิบัติงานตามภารกิจอำนาจหน้าที่ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ สมดังวิสัยทัศน์กรมสอบสวนคดีพิเศษ คือ “เป็นองค์การหลักในการบังคับใช้ กฎหมายกับอาชญากรรมพิเศษตามมาตรฐานสากล” ผู้จัดทำ ดร.ปริญญา นิราศนภาภัย นายกฤติกร กสิกูรพงศ์และคณะ กันยายน 2566
ข บทสรุปผู้บริหาร รายงานการศึกษา เรื่อง การจัดทำข้อเสนอว่าด้วยการปฏิบัติตามปฏิญญาสากลที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อผู้เสียหายในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ เป็นการศึกษาค้นคว้าเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกับการสอบถามพนักงานสอบสวน คดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งเป็นผู้แทนหน่วยงาน (กองคดี) ในสังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยการใช้แบบสอบถาม จำนวน 10 ข้อ พร้อมให้อธิบายหรือยกตัวอย่างประกอบ ซึ่งมีผู้ตอบ แบบสอบถาม จำนวน 14 ราย จาก 13 หน่วยงาน (กองคดี)ซึ่งผู้ศึกษาได้นำข้อมูลที่ได้รับมาวิเคราะห์และ หาข้อสรุป พร้อมมีข้อเสนอแนะให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติต่อ ผู้เสียหายในคดีพิเศษ และให้สอดคล้องตามหลักมาตรฐานสากลกฎหมายระหว่างประเทศ หรือปฏิญญา อนุสัญญา หรือพิธีสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติต่อผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีที่มาจากแนวความคิดในเรื่อง สิทธิมนุษยชน (Human Rights) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nation) ขึ้น เพื่อทำให้คำกล่าวของ Winston Churchill ที่ว่าจะเทิดทูนสิทธิของมนุษย์ (The Enthronement of Human Rights) สมบูรณ์ขึ้นเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนได้ก่อให้เกิด การร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งในกฎบัตร สหประชาชาติได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้หลายแห่ง อาทิ ในอารัมภบท กล่าวถึงความมุ่งหมายของ สหประชาชาติไว้ว่า “เพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อในสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ในศักดิ์ศรี และคุณค่าของมนุษยชาติ : To Reaffirm Faith in Fundamental Human Rights, in the dignity and worth of the Human Person…” อีกทั้ง คําปรารภของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ว่า “โดยที่การยอมรับนับถือเกียรติศักดิ์ประจําตัวและสิทธิเท่าเทียมกันและโอนมิได้ของบรรดา สมาชิกทั้งหลายแห่งครอบครัวมนุษยชนเป็นหลักการพื้นฐานแห่งอิสรภาพ ความยุติธรรมและสันติ ภาพโลก” นั้น หมายถึง สิ่งจําเป็นสําหรับคนทุกคนที่ต้องได้รับในฐานะที่เป็นคน เพื่อทําให้คน ๆ นั้น มีชีวิตอยู่รอดได้และมีการพัฒนา สิทธิมนุษยชนจึงมี 2 ระดับ ระดับแรก คือ สิทธิที่ติดตัวคนทุกคนมาแต่เกิด ไม่สามารถถ่ายโอนให้แก่กันได้อยู่เหนือ กฎหมายและอํานาจใด ๆ ของรัฐทุกรัฐ สิทธิเหล่านี้ได้แก่ สิทธิในชีวิต ห้ามฆ่าหรือทําร้ายต่อชีวิต ห้ามการค้ามนุษย์ห้ามทรมานอย่างโหดร้าย คนทุกคนมีสิทธิในความเชื่อมโนธรรมหรือลัทธิทางศาสนา ทางการเมืองมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกหรือการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น สิทธิมนุษยชนเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายมารองรับ ระดับที่สอง คือ สิทธิที่จะต้องได้รับการรับรองในรูปของกฎหมาย หรือจะต้องได้รับการคุ้มครอง โดยรัฐบาล ได้แก่ การได้รับสัญชาติการมีงานทํา การได้รับความคุ้มครองแรงงาน ได้รับความเสมอ ภาคของหญิงชาย สิทธิเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและคนพิการ การได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การประกัน การว่างงานการ ได้รับบริการทางด้านสาธารณสุข การสามารถแสดงออกทางด้านวัฒนธรรมอย่างอิสระ สามารถได้รับความเพลิดเพลินจากศิลปะวัฒนธรรมในกลุ่มของตน เป็นต้น สิทธิมนุษยชนระดับที่สองนี้ ต้องเขียนรับรองไว้ในกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐของแต่ละประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าคนทุกคนที่อยู่ในรัฐนั้นจะได้รับความคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ ให้มีความเหมาะสม แก่ความเป็นมนุษย์
ค การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพแต่เดิมจะเป็นเรื่องการคุ้มครองภายในรัฐแต่ละรัฐเท่านั้น แต่ต่อมามีพัฒนาการของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยความร่วมมือระหว่างกันในแต่ละประเทศ องค์การสหประชาชาติได้มีมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติที่ 40/34 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1985 ประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วย หลักการพื้นฐานในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมและการใช้ อำนาจโดยมิชอบ ค.ศ. 1985 (Declaration of Basic Principles of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) โดยมีปรัชญาพื้นฐานส่งเสริมให้ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรม ในคดีอาญาได้รับการยอมรับและได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปฏิญญานี้ ได้วางหลักการให้ความสำคัญกับผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมที่เกิดจากการกระทำความผิดอาญา โดยการกำหนดมาตรฐานการคุ้มครองผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมไว้ 4 ประการ ดังนี้ (1) การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to Justice and Fair Treatment) (2) การได้รับค่าชดเชยความเสียหายโดยผู้กระทำความผิด (Restitution) (3) การได้รับการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมในคดีอาญาโดยรัฐ (Compensation) (4) การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรม (Assistance) ปฏิญญาฯ จึงเป็นการกำหนดกรอบนโยบายให้แต่ละประเทศได้นำไปปฏิบัติโดยการกำหนด กฎหมายและนโยบายคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญา เพราะเห็นว่า เมื่อมีความเสียหาย อันเกิดขึ้นจากการกระทำความผิดอาญา รัฐควรมีส่วนสำคัญในการเยียวยาความเสียหายดังกล่าวให้แก่ ผู้เสียหาย ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปีค.ศ. 1985 มีการประชุมคองเกรสสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและ การบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิด (The United Nation Congress on the prevention of crime and the Treatment of Offenders) ครั้งที่ 7 ณ นครมิลาน ประเทศอิตาลี ในการประชุมครั้งนี้ได้กล่าว ถึงเรื่องของเหยื่ออาชญากรรมอย่างกว้างขวาง และได้มีการประกาศปฏิญญาว่าด้วยหลักการพื้นฐาน เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรม และการใช้อำนาจ โดยมิชอบ (Declaration of Basic Principle of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) และ The European Forum for Victim Services ได้ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิ ของเหยื่ออาชญากรรม 3 ฉบับ ดังนี้ ปี ค.ศ. 1996 ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมในกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา (Statement of victims’ rights in the process of criminal justice) ปี ค.ศ. 1997 ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิทางสังคมของเหยื่ออาชญากรรม (Statement of victims in social right) ปี ค.ศ. 1998 ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมว่าด้วยมาตรฐานการให้ บริการ (Statement of victims right to Standards of Service) เพื่อให้ประเทศสมาชิกนำหลักการเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาที่กำหนด โดยที่ ประชุมองค์การระหว่างประเทศไปสู่การปฏิบัติ ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องสิทธิของ ผู้เสียหายในคดีอาญาหรือเหยื่ออาชญากรรมในนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศต่าง ๆ ใน ภาคพื้นยุโรป และสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวอย่างมาก ดังนั้น ความสำคัญของผู้เสียหายในคดีอาญา
ง หรือเหยื่ออาชญากรรมจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ มีการออกกฎหมายทดแทนแก่เหยื่ออาชญากรรม โดยรัฐในหลายประเทศ และพัฒนาระบบการคุ้มครองเหยื่ออาชญากรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โปรแกรม ให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมถูกจัดขึ้น เพื่อให้บริการแก่เหยื่ออาชญากรรมระบบการคุ้มครอง สิทธิของเหยื่ออาชญากรรมได้รับการพัฒนาขึ้นตามศักยภาพของแต่ละประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ได้มีการศึกษาวิจัยขององค์กรเหยื่ออาชญากรรม (National Center for Victim of Crime) ในเรื่อง ประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของ การศึกษาเพื่อต้องการทราบถึงประสิทธิภาพของการให้ความคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม โดยการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องของการได้รับแจ้งเกี่ยวกับรูปคดีและสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ความพอเพียงของการได้รับแจ้งถึงบริการที่ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและความพอใจของ เหยื่ออาชญากรรมต่อการดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรม พบว่าเหยื่ออาชญากรรมได้จัดลำดับ ความสำคัญของสิทธิเหยื่ออาชญากรรมเรียงตามลำดับ ดังนี้ (1) ได้รับการแจ้งเกี่ยวกับการจับกุมตัวผู้กระทำความผิด (2) การมีส่วนร่วมในการยกฟ้องหรือการยกเลิกคดี (3) การได้รับแจ้งเกี่ยวกับการให้ประกันตัวผู้ต้องหา (4) การได้รับแจ้งเกี่ยวกับวันพ้นโทษของผู้กระทำความผิด (5) การเข้าร่วมรับฟังในการตัดสินใจให้ประกันตัวผู้กระทำความผิด (6) การร่วมวิเคราะห์พูดคุยถึงรูปคดีร่วมกับพนักงานอัยการ (7) การร่วมวิเคราะห์พูดคุยถึงความเหมาะสมในการลดโทษแก่ผู้กระทำความผิด (8) การทำคำแถลงถึงผลกระทบของผู้เสียหายระหว่างพักการลงโทษผู้ทำความผิด (9) การปรากฏตัวต่อคณะลูกขุนในระหว่างการพิจารณาคดี (10) การปรากฏตัวในระหว่างพิจารณาปลดปล่อยผู้กระทำความผิด (11) การได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเลื่อนพิจารณาของคณะลูกขุน (12) การจัดทำคำแถลงถึงผลกระทบต่อเหยื่ออาชญากรรมก่อนการตัดสินคดี (13) การมีส่วนตัดสินใจถึงความเหมาะสมของคำพิพากษา ประเทศไทยคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวไทย โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2560 เป็นกฎหมายสูงสุดที่มีหลักการรับรองการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และกฎหมายอื่น ๆ ที่ได้ตราขึ้นเพื่อรองรับเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและ ค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระบบกฎหมายไทยเป็นระบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) มีหลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติที่มีกฎหมาย รองรับและคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายไว้ เพื่อให้เป็นหลักประกันสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาให้มี ความสอดคล้องกับปฏิญญาสากลและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 4 สิทธิได้แก่ (1) สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (2) สิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหาย (3) สิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม (4) สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย
จ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดตามกฎหมายไทย จะพบว่ากฎหมายไทยได้ให้สิทธิแก่ผู้เสียหายตาม กฎหมาย ดังนี้ (1) สิทธิในการร้องทุกข์และถอนคำร้องทุกข์ (2) สิทธิคัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย (3) สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองและถอนฟ้องคดีอาญา (4) สิทธิในการเป็นโจทก์และถอนฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (5) สิทธิในการเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ (6) สิทธิในการยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว (7) สิทธิในการรับทราบสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหาย รวมทั้งความช่วยเหลือ ตามสมควรในการดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ค่าตอบแทน หรือการช่วยเหลืออย่างอื่นที่จำเป็น (8) สิทธิที่จะยื่นคำร้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ โดยขอให้บังคับจำเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ในกรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องตามมาตรา 44/1 แล้วเมื่อศาลชั้นต้นนัดฟัง คำพิพากษาให้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาไปยังผู้เสียหาย และหากศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญา หรือพิพากษาให้ใช้ค่าเสียหายไม่เต็มตามขอ ให้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์คำร้องในส่วนแพ่งด้วย (9) สิทธิที่จะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้เสียหายกับจำเลย เพื่อให้ ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาความเสียหาย (10) สิทธิที่จะไม่ต้องตอบคำถามซึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม อาจจะทำให้ผู้เสียหายในฐานะ พยานถูกฟ้องในคดีอาญา (11) สิทธิให้จัดหาล่าม (12) สิทธิขอให้ศาลตั้งทนายความ (13) สิทธิในการรับรู้ความคืบหน้าของคดีและผลของคำพิพากษา (14) สิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นและข้อกังวลใจต่อศาล (15) สิทธิขอให้จัดให้มีการยืนยันหรือชี้ตัวผู้กระทำผิดในสถานที่ที่เหมาะสมและมิให้ ผู้เสียหายถูกมองเห็น (16) ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์หรือโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ (17) สิทธิตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นสอบสวนหรือเอกสารประกอบคำให้การ ของตน เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว (18) กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้เสียหายมีสิทธิในการได้รับ คำแนะนำและช่วยเหลือในการดำเนินการเพื่อบังคับคดี (19) สิทธิในการได้รับความคุ้มครองปลอดภัย นอกจากนั้น ผู้เสียหายในบางคดีจะได้รับสิทธิอื่น ๆ เพิ่มเติมตามที่กฎหมายเฉพาะนั้น ๆ กำหนด อาทิ ผู้เสียหายในคดีการค้ามนุษย์ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่ คดีพิเศษ พบว่าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษตระหนักและให้ความสำคัญกับ ผู้เสียหายโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีความเสมอภาคและเท่าเทียม มีการดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียหายอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ เด็ก หญิงมีครรภ์ คนชรา หรือผู้พิการให้ได้รับความสะดวกเท่าเทียมบุคคลธรรมดาหรือมากกว่า ตามแต่กรณีและตระหนักถึงความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยของผู้เสียหาย หรือครอบครัวของ
ฉ ผู้เสียหาย โดยมีการคุ้มครองความปลอดภัยจากการถูกคุกคาม ข่มขู่ หรือการแก้แค้น ในกรณี ที่เจ้าหน้าที่เห็นว่ามีความเสี่ยง โดยมีการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานในคดีพิเศษ ที่ผู้เสียหายหรือพยานที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับ การแจ้งสิทธิของผู้เสียหาย ทั้งในเรื่องสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาตามกฎหมาย โดยให้คำแนะนำ ในการที่ผู้เสียหายจะได้รับความช่วยเหลือในเรื่องค่าตอบแทน ผู้เสียหายตามกฎหมาย/ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง โดยแจ้งหรือประสานงานเบื้องต้นกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หรือในกรณีอยู่ต่างจังหวัดจะแนะนำและประสานงานในเบื้องต้นกับสำนักงานยุติธรรมจังหวัดในพื้นที่ ที่ผู้เสียหายมีภูมิลำเนา นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษมีการแจ้ง ขั้นตอน และวิธีการดำเนินคดีหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมให้ผู้เสียหายทราบ อาทิ ความคืบหน้าทางคดี การสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ การดำเนินงานของพักงานอัยการ หรือ วิธีการหรือขั้นตอนการพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะทราบข้อมูลดังกล่าว สำหรับการปฏิบัติต่อผู้เสียหายโดยงดเว้นการนำตัวผู้เสียหายมาปรากฏตัวหรือให้ข่าว ต่อสื่อมวลชน อันเป็นสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ความสำคัญอย่างมาก โดยจะงดเว้นการนำตัวผู้เสียหายมาปรากฏตัวหรือให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในทุกกรณี เพื่อรักษาความปลอดภัย และรักษาความเป็นส่วนตัว และรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหาย หากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะแถลงข่าวเกี่ยวกับคดี จะมีโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเป็นผู้แถลงข่าวเท่านั้น และจะไม่นำเสนอรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายให้สาธารณชนรับทราบ เว้นแต่ ผู้เสียหาย ไปร้องเรียนต่อสื่อมวลชนด้วยตัวเอง รวมไปถึงการแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวกับการดำเนินการต่อทรัพย์สินของ ผู้เสียหายในคดีพิเศษจะแจ้งให้กับผู้เสียหายโดยตรงเท่านั้น อีกทั้งยังมีมาตรการรักษาความลับในสำนวน ซึ่งเป็นมาตรการที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และยึดถือ เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งองค์กร แนวทางหรือหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ พนักงาน สอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ กฎหมาย/ระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยังไม่ได้มีแนวทางหรือระเบียบเป็นการเฉพาะ แต่ปฏิบัติตาม กฎหมายกลางที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม มีบางความเห็นที่เสนอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดทำแนวทาง หรือกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้ง องค์กรอีกทั้งจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นสอดคล้อง กับมาตรฐานสากล แต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงการที่จะไม่เพิ่มขั้นตอนหรือก่อให้เกิดความยุ่งยากในการ ปฏิบัติงานเกินสมควร ในส่วนของกฎหมาย/ระเบียบ หรือแนวทางที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีอาญามี ความเหมาะสมแล้ว และมีความสอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาว่าด้วยหลัก ความยุติธรรมขั้นพื้นฐานสำหรับผู้เสียหายจากอาชญากรรมและการใช้อำนาจโดยมิชอบ อนุสัญญาหรือ พิธีสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่หลายประเทศยึดถือและนำไปปฏิบัติเป็นกฎหมาย ภายในประเทศ อีกทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้มีบทบัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้ ครอบคลุม เพียงพอ และกฎหมายลำดับรองต่าง ๆ สามารถรองรับการปฏิบัติงานได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ โดยในปัจจุบันการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษอาจมีปัญหาอยู่บ้างในทางฏิบัติ อาทิ ปัญหาผู้เสียหายไม่เข้าใจในเรื่องกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินคดีปัญหาในการสื่อสาร หรือปัญหา ช่องทางการติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาระยะเวลาในการดำเนินคดีปัญหาการสั่งไม่ฟ้องของ
ช พนักงานอัยการในบางคดี ปัญหาการไม่ได้รับความช่วยเหลือเนื่องจากไม่เข้าข่ายหลักเกณฑ์การได้รับ ความช่วยเหลือ เป็นต้น ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงาน ยุติธรรมจังหวัด กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ได้มีความพยายามในการสร้าง ความรู้ความเข้าใจ ช่วยประสานความร่วมมือ สร้างช่องทางในการติดต่อสื่อสาร หรือ พยายามแจ้งข้อมูล ความคืบหน้าในทางคดีผ่านช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้เสียหายเข้าใจและเข้าถึงการดำเนิน กระบวนการยุติธรรมทางอาญามากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะ ผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะการจัดทำข้อเสนอว่าด้วยการปฏิบัติตามปฏิญญาสากลที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ ดังนี้ (1) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษควรจะมีการเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับปฏิญญาสากล แนวคิด กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีอาญา หรืออาจศึกษาจากรายงานการศึกษาฉบับนี้เพิ่มเติม (2) ในการสอบปากคำผู้เสียหายในคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิของผู้เสียหายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และ/หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แม้ในบางคดีจะเห็นว่า ผู้เสียหายในคดีดังกล่าวไม่สามารถได้รับสิทธิบางประการตามที่กฎหมายกำหนด ก็อาจจะแจ้งให้ทราบ เพื่อเป็นความรู้ไว้ด้วย (3) ควรจัดทำแนวทางหรือแบบรายการตรวจสอบ (check list) การแจ้งสิทธิผู้เสียหายในคดีพิเศษ เพื่อเป็นเครื่องมือให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษใช้ในการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ กับผู้เสียหาย ในการสร้างความรู้ความเข้าใจ และเพื่อแจ้งสิทธิผู้เสียหายทราบอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อ แจ้งสิทธิดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ให้ลงลายมือชื่อ ประกอบด้วย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่ คดีพิเศษ (ผู้แจ้งสิทธิ) และผู้เสียหาย เพื่อรับทราบการแจ้งสิทธิดังกล่าว (4) เอกสารแนวทางหรือแบบรายการตรวจสอบ (check list) การแจ้งสิทธิผู้เสียหายในคดีพิเศษ ตามข้อ (3) ควรจัดทำเป็น 2 ฉบับ มอบให้ผู้เสียหาย 1 ฉบับ และนำใส่แฟ้มสรุปสำนวนคดี1 ฉบับ เพื่อเป็นเอกสารหลักฐานในการแจ้งสิทธิให้แก่ผู้เสียหายในคดีพิเศษ (5) การจัดทำแนวทางหรือแบบรายการตรวจสอบ (check list) อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อาจมอบหมายกองกฎหมายดำเนินการ เพื่อเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา และแจ้งเวียน ให้หน่วยงาน (กองคดี) ทราบและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป การดำเนินการตามข้อเสนอแนะแม้จะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ปฏิบัติไว้เป็นการเฉพาะ แต่หาก กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถดำเนินการได้จะเป็นการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้เสียหาย ในคดีพิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับปฏิญญาสากล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และกฎหมาย อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง คือ การดำเนินการดังกล่าวจะไม่เพิ่มขั้นตอน หรือก่อให้เกิดความยุ่งยากในการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ เกินสมควร โดยท้ายที่สุดจะส่งผลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษมีการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ที่กำหนด คือ “เป็นองค์การหลักในการบังคับใช้กฎหมายกับอาชญากรรมพิเศษตามมาตรฐานสากล”
ซ สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทสรุปผู้บริหาร ข สารบัญ ซ ส่วนที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 4 1.3 ขอบเขตการศึกษา 4 1.4 กรอบแนวคิด 4 1.5 วิธีดำเนินการ 5 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 ส่วนที่2 แนวคิด ทฤษฎีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 6 2.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน 6 (1) ความหมายของสิทธิมนุษยชน 7 (2) ขอบเขตของสิทธิมนุษยชน 8 (3) หลักการของสิทธิมนุษยชน 9 2.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ 11 (1) พัฒนาการของสิทธิและเสรีภาพ 11 (2) ความหมายของสิทธิและเสรีภาพ 12 (3) หลักนิติรัฐกับสิทธิและเสรีภาพ 16 (4) หลักนิติธรรมกับสิทธิและเสรีภาพ 25 (5) การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 29 2.1.3 แนวคิดการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 35 (1) การดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 35 (2) แนวคิดแบบดั้งเดิม 37 (3) แนวคิดแบบสมัยใหม่ 37 2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย 38 ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (1) ยุคโบราณ 39 (2) ยุคการศึกษาเรื่องเหยื่อวิทยา 39
ฌ สารบัญ (ต่อ) หน้า (3) ยุคการกลับมาของระบบการทดแทนความเสียหาย 40 (4) ยุคความสำคัญของผู้เสียหายในคดีอาญาระดับนานาชาติ 41 2.1.5 เหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายในคดีอาญา 42 (1) เหยื่อ 42 (2) เหยื่ออาชญากรรม 43 (3) ผู้เสียหาย 44 2.2 กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในต่างประเทศและในประเทศ 47 2.2.1 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 47 2.2.2 ปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการอำนวย 53 ความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรม และการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ 2.2.3 ที่ประชุมเพื่อการบริการเหยื่ออาชญากรรมแห่งยุโรป 57 2.2.4 การคุ้มครองผู้เสียหายในคดีอาญาในต่างประเทศ 58 (1) ประเทศฝรั่งเศส 58 (2) ประเทศสหรัฐอเมริกา 60 (3) ประเทศอังกฤษ 65 2.2.5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 66 2.2.6 ประมวลกฎหมายอาญา 72 2.2.7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 74 2.2.8 พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย 79 แก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 2.2.9 พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย 82 แก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 2.2.10 พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 84 2.2.11 พระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 98 2.2.12 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 99 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 2.2.13 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 102 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
ญ สารบัญ (ต่อ) หน้า 2.3 การดำเนินคดีอาญาและสิทธิของผู้เสียหายในประเทศไทย 102 2.3.1 สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม 103 2.3.2 สิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหาย 106 2.3.3 สิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม 106 2.3.4 สิทธิในการได้รับความคุ้มครองปลอดภัย 109 2.3.5 ข้อสรุปสิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 110 ส่วนที่3 ข้อมูลการปฏิบัติต่อผู้เสียหายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ 3.1 หน่วยงานที่ให้ข้อมูล 115 3.2 ข้อคำถามในแบบสอบถาม 116 3.3 ข้อมูลจากการตอบแบบสอบถาม 116 3.3.1 กองคดีการค้ามนุษย์ 116 3.3.2 กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ 118 ผู้ตอบแบบสอบถาม 1 118 ผู้ตอบแบบสอบถาม 2 119 ผู้ตอบแบบสอบถาม 3 121 3.3.3 กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค 122 3.3.4 กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน 123 3.3.5 กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 125 3.3.6 กองคดีภาษีอากร 127 3.3.7 กองคดีความมั่นคง 127 3.3.8 กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 128 3.3.9 กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค 131 ผู้ตอบแบบสอบถาม 1 131 ผู้ตอบแบบสอบถาม 2 132 3.3.10 กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ 134 3.3.11 กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา 135 3.3.12 กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ 135 3.3.13 กองคดียาเสพติด 137 3.4 สรุปข้อมูลจากการตอบแบบสอบถาม 139 3.4.1 ข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามรายข้อ 139 3.4.2 สรุปผลการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ 150
ฎ สารบัญ (ต่อ) หน้า ส่วนที่ 4 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ 4.1 สรุปผลการศึกษา 151 4.1.1 สิทธิมนุษยชน และการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 151 4.1.2 การดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 153 4.1.3 แนวคิดเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในกระบวนการ 154 ยุติธรรมทางอาญา 4.1.4 การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญาของประเทศไทย 156 4.1.5 การปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ 157 4.2 ข้อเสนอแนะ 159 บรรณานุกรม บรรณานุกรม 160
1 ส่วนที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีผลใช้บังคับ ประเทศไทย ได้มีการพัฒนาและยกระดับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมที่สอดคล้องกับ มาตรฐานขององค์การสหประชาชาติอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมในหลาย ๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม กฎหมายของประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในการเข้าถึงความยุติธรรมและได้รับ การปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและ การแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นนั้น อาจจะยังมีบางประเด็นที่สะท้อน ให้เห็นว่า สิทธิของผู้เสียหายนั้นยังถูกละเลย หรืออาจมีจุดอ่อนบางประการที่ผู้เสียหายได้รับ การคุ้มครองดูแลไม่ทั่วถึง หรือในบางครั้งผู้เสียหายอาจเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งปัญหา หลายประการดังกล่าวนั้นจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องได้รับการเยียวยาและ/หรือแก้ไขให้เหมาะสมกับบริบท ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเกิดการกระทำความผิดอาญาในประเทศไทยและมีผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำ ความผิดดังกล่าวนั้น สิ่งที่ผู้เสียหายจะต้องได้รับ คือ การเยียวยาความเสียหายโดยเร็วที่สุด ซึ่งการเยียวยา ความเสียหายมีได้ในหลายรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ของผู้เสียหายอีกด้วย ระบบกฎหมายของหลาย ๆ ประเทศได้ให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองหรือเยียวยาผู้เสียหาย โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดระบบงานยุติธรรม หรือมีมาตรการในการคุ้มครองหรือ เยียวยาความเสียหาย โดยให้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องจากผู้กระทำความผิดได้โดยสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม รวมถึงกรณีที่ผู้เสียหายไม่ได้รับการชดใช้จากผู้กระทำความผิด ระบบกฎหมายของประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศซีวิลลอว์ (Civil Law) คือ ระบบประมวล กฎหมาย หรือระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบนี้ให้ความสำคัญกับกฎหมายที่มีการบัญญัติ ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร การศึกษากฎหมายต้องเริ่มจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ คำพิพากษาของศาล ไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างในการตีความกฎหมาย สำหรับกระบวนการดำเนิน คดีอาญาของประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นระบบกล่าวหา (Accusatorial System) โดยระบบกล่าวหา เป็นระบบที่การเริ่มต้นคดีจะต้องมีการกล่าวหาเสียก่อน ศาลไม่สามารถจะเริ่มต้นคดีด้วยตนเองได้ ระบบจึงเป็นการดำเนินคดีแบบมีคู่ความ คู่ความมีหน้าที่ในการค้นหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน และนำพยานหลักฐานเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล การดำเนินการพิจารณาระบบนี้เป็นหน้าที่ของ คู่ความที่จะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ระบบกล่าวหาจะแยกอำนาจ “การสอบสวนฟ้องร้อง” ออกจาก “การพิจารณาพิพากษา” โดยมีองค์กรที่ทำหน้าที่ฟ้องร้องคือ “องค์กรอัยการ” และองค์กร ที่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษา คือ “ศาล” ดังนั้น ในชั้นเจ้าพนักงานจึงต้องมีการรวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า “มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงหรือไม่” และ “ผู้ต้องหา หรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่” ศาลมีลักษณะเป็นกลางอย่างแท้จริง การกำหนดให้การสืบพยานต้องกระทำโดยเปิดเผย และต่อหน้าจำเลย โดยปราศจากข้อสงสัย ดังนั้น ในชั้นพนักงานสอบสวนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งปวง
2 เพื่อที่จะเข้าสู่การพิจารณาของศาล และพยานหลักฐานต้องมีความถูกต้องชัดเจนครบถ้วน ศาลจึงจะ สามารถพิจารณาพิพากษาคดีได้โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ สำหรับการดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายไทยนั้นเป็นไปตามหลักการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ อันเป็นหลักการที่ถือว่าการควบคุมและการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของรัฐ และรวมถึงรัฐต้องมีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญา เพราะความผิดอาญา เป็นความผิดต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนในสังคม ดังนั้น เมื่อมีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น รัฐจึงถือเป็นผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม หลักการนี้รัฐไม่ได้ ผูกขาดการดำเนินคดีอาญาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่จำกัดประเภทและฐานความผิดบางลักษณะไว้ จึงไม่ได้ตัดสิทธิผู้เสียหายที่แท้จริง ส่งผลให้ผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีอาญาได้เช่นเดียวกัน โดยในการ เริ่มกระบวนการดำเนินคดีอาญาจะเริ่มจากการดำเนินการของพนักงานสอบสวน แล้วส่งต่อให้พนักงาน อัยการ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งในกระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรมไทย ใช้ระบบกล่าวหา (Accusatorial System) ในการพิจารณาคดีโดยระบบกล่าวหาเป็นระบบที่คู่ความ (โจทก์ จําเลย ทนายโจทก์ ทนายจําเลย) จะดําเนินเรื่องเองทั้งหมดตั้งแต่การยื่นฟ้อง นำพยานหลักฐาน มาพิสูจน์ฯลฯ ศาลมีหน้าที่รับฟังและตัดสินไปตามน้ำหนักพยาน หลักฐานของแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลยุติธรรมไทยใช้ระบบกล่าวหาในการพิจารณาคดีจึงส่งผลให้มีแนวคิดที่ยึดหลักการสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) หลักการสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง 2) จำเลยมีสิทธินำสืบพยานหลักฐานหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ของตน 3) ถือหลักสำคัญว่าโจทก์และจำเลยมีฐานะในศาลเท่าเทียมกัน แม้โจทก์จะเป็นพนักงานอัยการ ซึ่งทำหน้าที่ในนามรัฐแต่ก็มีฐานะเท่ากับจำเลยซึ่งเป็นราษฎร 4) ศาลจะวางตนเป็นกลางโดยเคร่งครัด 5) มีหลักคุ้มครองสิทธิของจำเลยอย่างเคร่งครัด อาทิ การพิจารณาคดีต้องกระทำต่อหน้าจำเลย การให้สิทธิซักค้านพยานโจทก์ การให้สิทธิจำเลยมีทนายความช่วยเหลือในการดำเนินคดี 6) ศาลมีบทบาทให้การค้นหาความจริงน้อยมาก เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของคู่ความในการนำ พยานหลักฐานมาแสดงยืนยันความบริสุทธิ์ของฝ่ายตน อย่างไรก็ตาม ในคดีอาญาศาลอาจเข้าไปค้นหา ความจริงบ้างในบางกรณีเท่าที่จำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น อาทิ การซักถามเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย หรือเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น แม้ว่ากฎหมายไทยได้มีการบัญญัติกฎหมายที่มีลักษณะรับรองสิทธิของผู้เสียหายไว้ใน กฎหมายหลายฉบับ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 และอื่น ๆ แต่จะเห็นได้ว่า มิได้มีการบัญญัติสิทธิของผู้เสียไว้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม อาทิ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ศาล ไม่ได้คำนึงถึง เป็นลำดับแรก การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายจึงอาจถูกละเลยได้อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียด ของกฎหมายแต่ละฉบับที่มีการบัญญัติถึงสิทธิของผู้เสียหาย กฎหมายไทยถือได้ว่าเป็นกฎหมายได้มี
3 การพัฒนาและยกระดับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายซึ่งมีความก้าวหน้าจากแต่เดิมในอดีตไปเป็น อย่างมาก โดยจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ กระบวนการพิจารณาคดีอาญาของไทยตามที่กล่าวในตอนต้นว่ามีการส่งต่อกัน เป็นทอด ๆ เริ่มจากการสืบสวนสอบสวนโดยพนักงานสอบสวน การฟ้องคดีโดยพนักงานอัยการ และ การพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นศาล ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีขั้นตอนและใช้ระยะเวลาดำเนินการ ที่ยาวนาน อาจจะส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้เสียหาย หรือหากได้รับการคุ้มครองสิทธิแต่ไม่ครอบคลุม ทุกขั้นตอน อาทิ ได้รับการคุ้มครองสิทธิในชั้นพนักงานสอบสวน แต่หลังจากนั้นไม่ได้รับการคุ้มครอง ในชั้นพนักงานอัยการ หรือไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิในชั้นศาล จะเป็นผลเสียต่อสิทธิผู้เสียหายได้ หรือ แม้อาจจะไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในชั้นสอบสวนแต่แรก หรือคุ้มครองสิทธิแต่ไม่ครบถ้วน หรือไม่ทราบว่าจะให้การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายตามกฎหมายอย่างไร เหตุเหล่านี้จะส่งผลเสียและ ผลกระทบต่อการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา ซึ่งผู้เสียหายได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงอยู่แล้ว หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เหมาะสม และครบถ้วน จะทำให้ผู้เสียหายได้รับผลกระทบและ เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ร่างกาย ทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง ผู้เสียหายอาจจะไม่ทราบหรือไม่มี ความรู้ว่าตนควรจะได้รับสิทธิอะไรบ้าง หรือกฎหมายจะช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างไร ทำให้ผู้เสียหาย ตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์สาหัส ไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือคุ้มครองใด ๆ หรือไม่ทราบวิธีการต่อสู้ดำเนินคดี กับจำเลย ซึ่งถือว่าเป็นเหตุที่อาจเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นได้แต่ในทางตรงกันข้าม กฎหมายไทยได้ บัญญัติการคุ้มครองสิทธิของจำเลยในคดีอาญาไว้อย่างชัดแจ้ง และหากผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการ ยุติธรรม ซึ่งประกอบด้วย พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ไม่ดำเนินการตามที่กฎหมาย บัญญัติไว้จะได้รับโทษ หรือส่งผลให้การดำเนินการในขั้นตอนนั้นไม่มีผลในทางกฎหมาย ไม่สามารถ ดำเนินคดีกับจำเลยได้ ทำให้ผู้กระทำความผิดไม่ได้รับการลงโทษ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยมีหน้าที่สืบสวนสอบสวน ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาที่มีลักษณะเป็น คดีพิเศษ ซึ่งคดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษนั้น มีหลายลักษณะประเภทคดีอาทิ คดีธุรกิจการเงินนอกระบบ (คดีแชร์ลูกโซ่) คดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คดีคุ้มครองผู้บริโภค คดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน คดีภาษีอากร คดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงาน ของรัฐ คดีการค้ามนุษย์ คดีเทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่น ๆ ซึ่งคดีดังกล่าวนั้นเป็นคดีที่มีผู้เสียหาย ทั้งที่เป็นบุคคลและนิติบุคคล ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งผู้เสียหายดังกล่าวจะได้รับการคุ้มครองสิทธิ เช่นเดียวกับผู้เสียหายในคดีอาญา ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดสภาพปัญหาในการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา อาจจะนำไปสู่การละเลย หรือการไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย มีภารกิจในการป้องกันและปราบปราม สืบสวนสอบสวนคดีความผิด ทางอาญาที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษ ซึ่งมีผู้เสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญาที่เป็นคดีพิเศษ มาร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวนสอบสวน ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการให้ความคุ้มครองเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญา จึงจำเป็นต้องศึกษา ถึงแนวทาง หลักเกณฑ์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย จึงเป็นที่มาของ “โครงการจัดทำข้อเสนอว่าด้วยการปฏิบัติตามปฏิญญาสากลที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในการ สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ” และผลจากการศึกษาจะนำไปสู่การมีข้อเสนอแนะในการคุ้มครองสิทธิ ผู้เสียหายและการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษต่อไป
4 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 1.2.2 ศึกษาแนวทาง หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา 1.2.3 เพื่อให้ทราบถึงวิธีปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ 1.2.4 เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะการคุ้มครองสิทธิและวิธีการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ 1.3 ขอบเขตการศึกษา 13.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ประกอบด้วย แนวคิด ทฤษฎีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ ผู้เสียหายในคดีอาญาทั้งในประเทศและต่างประเทศ 1.3.2 ขอบเขตด้านเวลา ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี (ตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566) 1.4 กรอบแนวคิด แนวคิด ทฤษฎีกฎหมาย เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย ในคดีอาญาในประเทศและต่างประเทศ แนวทาง/หลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย ในคดีอาญา ข้อเสนอแนะการคุ้มครองสิทธิ และวิธีการปฏิบัติต่อผู้เสียหาย ในคดีพิเศษ การเพิ่มประสิทธิภาพ การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ คดีพิเศษ วิธีการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ
5 1.5 วิธีดำเนินการ การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร กล่าวคือ ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกับการสอบถามข้อมูลการดำเนินงานของหน่วยงานคดีพิเศษในสังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล นำข้อมูลมาวิเคราะห์พร้อมมีข้อเสนอแนะให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษในการ คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายและการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นไปตาม ปฏิญญาสากล 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 ได้ทราบถึงแนวคิด ทฤษฎี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 1.6.2 ได้ทราบแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา 1.6.3 ได้ทราบวิธีปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่ คดีพิเศษ 1.6.4 ได้ข้อเสนอแนะการคุ้มครองสิทธิและวิธีการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีพิเศษ
6 ส่วนที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ในช่วงศตวรรษที่ 19 แนวความคิดในเรื่องสิทธิมนุษยชน (Human Rights) และกฎหมาย ธรรมชาติ (Natural Law) จะเสื่อมความนิยมลงไปก็ตาม แต่แนวความคิดดังกล่าวก็ได้รับความสนใจ ขึ้นมาอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่20 เนื่องจากในช่วงนี้มีวิกฤติการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลัทธินาซี (Nazism) ฟาสซีส (Facism)การเกิดสงครามและลัทธิชาตินิยมประกอบกับความเชื่อที่ว่ามนุษย์ควรมี ความเท่าเทียมกัน (Equality among Men)ดังนั้น ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงได้มีการก่อตั้ง องค์การสหประชาชาติ(United Nation) ขึ้น เพื่อทำให้คำกล่าวของ Winston Churchill ที่ว่าจะเทิดทูน สิทธิของมนุษย์ (The Enthronement of Human Rights) สมบูรณ์ขึ้นเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วน ได้ก่อให้เกิดการร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติ สิทธิมนุษยชนที่ระบุในปฏิญญาฯ เป็นแต่เพียงการยอมรับร่วมกันของบรรดาประเทศ สมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศ ต่าง ๆ และกำหนดมาตรฐานกลางสำหรับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ปฏิญญาฯ มิได้มีลักษณะ เป็นอนุสัญญาหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ จึงไม่ก่อให้เกิดพันธะทางกฎหมายโดยตรงแก่บรรดา ประเทศที่ได้ร่วมลงมติรับรองเอกสารฉบับนี้ ดังนั้น จึงต้องเข้าใจว่าปฏิญญาฯ ไม่ใช่ประมวลกฎหมาย สิทธิมนุษยชนเพราะตัวเองไม่ก่อให้เกิดพันธะทางกฎหมาย ทั้งถ้อยคำในปฏิญญาฯ ก็ไม่ใช่กฎหมาย เป็นเพียงข้อความแนะแนวทางคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่บรรดาประเทศต่าง ๆ เท่านั้น โลกยุคปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องไปตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป พลเมืองหรือประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ความหลากหลายทางความคิดมีมากขึ้นตามไปด้วย การอยู่ รวมกันในสังคมได้อย่างสงบสุขจึงจำเป็นต้องมีกฎ กติกา ซึ่งอาจปรากฏอยู่ในรูปแบบของกฎหมาย ระเบียบ จารีตประเพณี วัฒนธรรม มารยาททางสังคม หรืออื่น ๆ และเมื่อจำนวนพลเมืองหรือประชากร มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นย่อมจะเกิดการกระทบกระทั่ง เกิดการละเมิด หรือเกิดการกระทำที่ขัดหรือผิด ต่อกฎหมาย ระเบียบ จารีตประเพณี วัฒนธรรม รัฐจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดแนวทางหรือ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้น เพื่อให้ทราบว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง และการละเมิดสิทธิของผู้อื่นย่อมผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้เอง สิทธิมนุษยชนจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคม กระแสความคิดด้านสิทธิมนุษยชนได้กลายเป็นกระแสที่แผ่ขยายไปทั่วโลกควบคู่ไปกับกระแส การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ เพื่อปกป้องคุ้มครอง ขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมการพัฒนาสิทธิมนุษยชนอันเป็นหลักการพื้นฐาน นับตั้งแต่ มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติสิทธิมนุษยชนจึงกลายเป็นเรื่องที่ประชาคมระหว่างประเทศให้ ความสําคัญและมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนขึ้น ต่อมามีการประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วย สิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2491 และการรับรองกติกาของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หลายฉบับ รวมทั้งมีการประชุมนานาชาติว่าด้วยปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
7 (1) ความหมายของสิทธิมนุษยชน “สิทธิมนุษยชน” คือ สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เป็นของพลเมืองประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะมีความเชื่อหรือใช้ชีวิตแบบใดก็ตาม สิทธิมนุษยชน ไม่สามารถถูกพรากไปได้ แต่บางครั้งสิทธิมนุษยชนอาจถูกจำกัดในบางเรื่อง เช่น การกระทำที่ผิดกฎหมาย ต้องห้ามกระทำการ ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าความเป็นมนุษย์ เช่น ความมี ศักดิ์ศรี ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความเคารพ และความเป็นอิสระ นอกจากนี้ สิทธิมนุษยชนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดที่เป็นนามธรรมเท่านั้น เพราะสิทธิมนุษยชนคือแนวคิดที่ได้รับการนิยาม และ ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย “สิทธิมนุษยชน” คือ ชุดหลักการและมาตรฐานพื้นฐานซึ่งมีเป้าหมายที่จะรับประกัน ศักดิ์ศรีเสรีภาพและความเท่าเทียมให้กับมนุษย์ทุกคน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1948 ระบุสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน 30 ประการ ประกอบกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights ย่อว่า ICESCR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) และพิธีสารเลือกรับ (Optional Protocol) อีกสองฉบับรวมกันเป็น “ตราสารสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” (International Bill of Human Rights) สิทธิมนุษยชน (Human Right) เป็นสิทธิที่ถือว่าผู้ทรงสิทธิคือ มนุษย์ทุกคน การเกิดขึ้น ของสิทธิมนุษยชนนั้นเริ่มจากแนวคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิทธิโดยกําเนิดที่เหมือนกัน ถูกสร้างมาอย่างเท่าเทียมกัน สิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ที่ติดตัวมนุษย์แต่ละคนมานั้นเป็นสิ่งที่เป็นสากล ไม่สามารถจําหน่ายจ่ายโอน และไม่อาจแบ่งแยกได้ โดยทั่วไปแล้ว สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิป้องกัน หมายความว่า สิทธิมนุษยชนเป็น สิทธิที่บุคคลใช้ในการป้องกันแดนแห่งเสรีภาพของตนจากอํานาจรัฐ นอกจากสิทธิมนุษยชนอาจถูก ล่วงละเมิดจากรัฐได้แล้ว ยังอาจมีกรณีที่ถูกล่วงละเมิดจากบุคคลที่สามได้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้สิทธิมนุษยชน มีผลบังคับได้อย่างสมบูรณ์จึงมีการกําหนดให้รัฐมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วย ในอดีตคําว่า “สิทธิมนุษยชน” ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย จนกระทั่งมีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ จึงได้ถูกนํามาใช้อย่างแพร่หลายทั้งระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติซึ่งในกฎบัตรสหประชาชาติได้ กล่าวถึงสิทธิมนุษยชน ไว้หลายแห่ง อาทิในอารัมภบท กล่าวถึงความมุ่งหมายของสหประชาชาติไว้ว่า “เพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อในสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของ มนุษยชาติ: To Reaffirm Faith in Fundamental Human Rights, in the dignity and worth of the Human Person…” ในตัวกฎบัตรสหประชาชาติได้เพียงกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้ในที่ต่าง ๆ เช่น ในอารัมภบท แต่มิได้มีคํานิยามหรือคําอธิบายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด โดยในทางวิชาการ มักไม่มีการให้คํานิยามความหมายของสิทธิมนุษยชน นอกจากมีการพยายามอธิบายคําปรารภ ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ว่า “โดยที่การยอมรับนับถือเกียรติศักดิ์ประจําตัวและ สิทธิเท่าเทียมกันและโอนมิได้ของบรรดาสมาชิกทั้งหลายแห่งครอบครัวมนุษยชนเป็นหลักการพื้นฐาน แห่งอิสรภาพ ความยุติธรรมและสันติภาพโลก” นั้น หมายถึง สิ่งจําเป็นสําหรับคนทุกคนที่ต้องได้รับ ในฐานะที่เป็นคน เพื่อทําให้คน ๆ นั้น มีชีวิตอยู่รอดได้และมีการพัฒนา สิทธิมนุษยชนจึงมี 2 ระดับ
8 ระดับแรก คือ สิทธิที่ติดตัวคนทุกคนมาแต่เกิด ไม่สามารถถ่ายโอนให้แก่กันได้ อยู่เหนือกฎหมายและอํานาจใด ๆ ของรัฐทุกรัฐ สิทธิเหล่านี้ได้แก่ สิทธิในชีวิต ห้ามฆ่าหรือทําร้าย ต่อชีวิต ห้ามการค้ามนุษย์ห้ามทรมานอย่างโหดร้าย คนทุกคนมีสิทธิในความเชื่อมโนธรรมหรือลัทธิ ทางศาสนา ทางการเมืองมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกหรือการสื่อความหมาย โดยวิธีอื่น สิทธิมนุษยชนเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายมารองรับ สิทธิเหล่านี้ก็ดํารงอยู่ ซึ่งอย่างน้อย อยู่ในมโนธรรมสํานึกถึงบาปบุญคุณโทษที่อยู่ในตัวของแต่ละคน เช่น แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า การฆ่าคนเป็นความผิดตามกฎหมายแต่คนทุกคนมีสํานึกรู้ได้เองว่าการฆ่าคนนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นบาปในทางศาสนา เป็นต้น ระดับที่สอง คือ สิทธิที่จะต้องได้รับการรับรองในรูปของกฎหมาย หรือจะต้องได้รับ การคุ้มครองโดยรัฐบาล ได้แก่ การได้รับสัญชาติการมีงานทํา การได้รับความคุ้มครองแรงงาน ความเสมอภาคของหญิงชาย สิทธิเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและคนพิการ การได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การประกันการว่างงานการได้รับบริการทางด้านสาธารณสุข การสามารถแสดงออกทางด้านวัฒนธรรม อย่างอิสระ สามารถได้รับความเพลิดเพลินจากศิลปะ วัฒนธรรมในกลุ่มของตน เป็นต้น สิทธิมนุษยชนระดับที่สองนี้ต้องเขียนรับรองไว้ในกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือ แนวนโยบายพื้นฐานของรัฐของแต่ละประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าคนทุกคนที่อยู่ในรัฐนั้นจะได้รับ ความคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ ให้มีความเหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์ (2) ขอบเขตของสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนมีความหมายกว้างกว่าสิทธิตามกฎหมาย นักกฎหมายทั่วไปจึงอธิบายว่า สิทธิคือ ประโยชน์ที่กฎหมายรับรอง ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายในขอบเขตที่แคบ ในแง่ที่ว่าคนจะมี สิทธิได้ต้องมีกฎหมายรับรองไว้เท่านั้น ถ้ากฎหมายไม่เขียนรับรองไว้ย่อมไม่มีสิทธิหรือไม่ได้รับสิทธิ แต่ในแง่ของสิทธิมนุษยชนนั้น ขอบเขตของสิทธิมนุษยชนกว้างกว่าสิ่งที่กฎหมายรับรองดังกล่าวข้างต้น สิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองทั่วโลก ว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติต่อมนุษย์นั้น สามารถ จําแนกได้ครอบคลุมสิทธิ 5 ประเภท ได้แก่ (2.1) สิทธิพลเมือง ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพและความมั่นคงในชีวิต ไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกทําร้ายหรือฆ่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ สิทธิในความเสมอภาคต่อหน้า กฎหมาย สิทธิที่จะได้รับการปกป้องจากการจับกุมหรือคุมขังโดยมิชอบ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณา คดีในศาลอย่างยุติธรรม โดยผู้พิพากษาที่มีอิสระ สิทธิในการได้รับสัญชาติเสรีภาพของศาสนิกชน ในการเชื่อถือและปฏิบัติตามความเชื่อถือ (2.2) สิทธิทางการเมือง ได้แก่ สิทธิในการเลือกวิถีชีวิตของตนเองทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออก สิทธิการมีส่วนร่วมกับรัฐในการดําเนินกิจการที่เป็นประโยชน์สาธารณะ เสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเสรี (2.3) สิทธิทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สิทธิในการมีงานทํา ให้เลือกงานอย่างอิสระและได้รับ ค่าจ้างอย่างเป็นธรรม สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน การได้รับมาตรฐานการครองชีพอย่างเพียงพอ (2.4) สิทธิทางสังคม ได้แก่ สิทธิในการได้รับการศึกษา สิทธิในการได้รับหลักประกัน ด้านสุขภาพแม่และเด็กต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างเต็มที่ ได้รับ ความมั่นคงทางสังคมมีเสรีภาพในการเลือกคู่ครองและสร้างครอบครัว
9 (2.5) สิทธิทางวัฒนธรรม ได้แก่ การมีเสรีภาพในการใช้ภาษาหรือสื่อความหมาย ในภาษาท้องถิ่นตน มีเสรีภาพในการแต่งกายตามวัฒนธรรม การปฏิบัติกิจตามวัฒนธรรม ประเพณี ท้องถิ่นของตน การปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา การพักผ่อนหย่อนใจด้านการแสดงศิลปะ วัฒนธรรม บันเทิงได้โดยไม่มีใครมาบังคับ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า สิทธิตามกฎหมายทุกอย่างไม่ใช่เรื่องสิทธิมนุษยชน มีสิทธิ บางอย่างเท่านั้น ถือเป็นสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด ไม่สามารถโอนไปให้ คนอื่น หรือไม่มีใครมาพรากไปจากมนุษย์แต่ละคนได้และสิทธิที่เป็นสิทธิมนุษยชนนั้นถือเป็นมาตรฐาน ขั้นต่ำของการปฏิบัติระหว่างมนุษย์เช่น การฆ่าหรือทําร้ายกัน แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า การทําร้าย หรือการฆ่าเป็นความผิดคนทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นความผิด แต่การที่คนในชาติไม่ได้รับอาหาร ที่เพียงพอแก่การยังชีพ ไม่ถือว่ามีใครทําผิดกฎหมาย แต่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง ที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการให้คนในชาติได้รับอาหารอย่างเพียงพอแก่การมีชีวิตอยู่รอด (3) หลักการของสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นอกจากระบุขอบเขตของสิทธิมนุษยชน ว่าครอบคลุมสิทธิอะไรแล้ว ตัวปฏิญญาฯ เองยังได้นําเสนอหลักการสําคัญของสิทธิมนุษยชนไว้ด้วย หลักการนี้ถือเป็นสาระสําคัญที่ใช้อ้างอิงความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชน และใช้เป็นเครื่องมือชี้วัดว่า สังคมใดมีการเคารพและปฏิบัติตามหลักการสิทธิมนุษยชนหรือไม่สําหรับหลักการสําคัญของสิทธิ มนุษยชน ประกอบด้วย (3.1) เป็นสิทธิธรรมชาติติดตัวมนุษย์มาแต่เกิด (Natural Rights) หมายความว่า มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีประจําตัวตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) นี้ ไม่มีใครมอบให้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้กําหนดขึ้นในมนุษย์ทุกคน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงหมายถึงคุณค่าของคนในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ (3.1.1) คุณค่าที่ถูกกําหนดขึ้นโดยสังคม เป็นการให้คุณค่าของมนุษย์ในฐานะ การดํารงตําแหน่งทางสังคม ซึ่งมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการมีอํานาจหรือการยึดครองทรัพยากร ของสังคม (3.1.2) คุณค่าที่ถูกกําหนดขึ้นโดยธรรมชาติเป็นการให้คุณค่าของมนุษย์ในฐานะ ที่เป็นมนุษย์ซึ่งมีความเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยก การกําหนดคุณค่าที่แตกต่างกันนํามาซึ่งการลดทอนคุณค่าความเป็น มนุษย์ผู้คนในสังคมโดยทั่วไปมักให้คุณค่าทางสังคม เช่น ฐานะตําแหน่งหรือเงินตรามากกว่า ซึ่งการให้ คุณค่าแบบนี้นํามาซึ่งการเลือกปฏิบัติจึงต้องปรับวิธีคิดและเน้นให้มีการปฏิบัติโดยการให้คุณค่าของ ความเป็นคน ในฐานะความเป็นมนุษย์ไม่ใช่ให้คุณค่าคนตามสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม (3.2) สิทธิมนุษยชนเป็นสากล ไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ (Universality & Inalienability) หมายความว่า สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นของคนทุกคน ไม่มีพรมแดน คนทุกคนมีสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เช่นเดียวกัน เพราะโดยหลักการแล้วถือว่า คนทุกคนย่อมถือว่าเป็นคน ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติหรือศาสนา ใดก็ตาม ย่อมมีสิทธิมนุษยชนประจําตัวทุกคนไป จึงเรียกได้ว่าสิทธิมนุษยชนเป็นของคนทุกคน กรณีสิทธิมนุษยชนไม่สามารถถ่ายโอนให้แก่กันได้หมายความว่า ในเมื่อสิทธิ มนุษยชนเป็นสิทธิประจําตัวของมนุษย์มนุษย์แต่ละคนย่อมไม่สามารถมอบอํานาจ หรือสิทธิมนุษยชน ของตนให้แก่ผู้ใดได้ไม่มีการครอบครองสิทธิแทนกัน แตกต่างจากการครอบครองที่ดินหรือทรัพย์สิน
10 เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ธรรมชาติกําหนดขึ้น เป็นหลักการที่ทุกคนต้องปฏิบัติแต่หากจะถามว่า ในเมื่อสิทธิมนุษยชนเป็นของคนทุกคนเช่นนี้แล้ว สามารถมีสิทธิมนุษยชนเฉพาะกลุ่มได้หรือไม่ ในทางสากลได้มีการจัดหมวดหมู่และกลุ่มของสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิของกลุ่มเฉพาะและสิทธิตาม ประเด็นปัญหา เช่น สิทธิสตรีสิทธิเด็ก สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิของผู้ลี้ภัย เป็นต้น (3.3) สิทธิมนุษยชนไม่สามารถแยกเป็นส่วน ๆ ว่า สิทธิใดมีความสําคัญกว่าอีกสิทธิหนึ่ง (Indivisibility) กล่าวคือ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ไม่สามารถแบ่งแยกว่ามีความสําคัญกว่า สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม สิทธิทั้งสองประการนี้ต่างมีความสําคัญเท่าเทียมกัน ดังนั้น รัฐบาลใดจะมาอ้างว่าต้องพัฒนาประเทศให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ หรือต้องแก้ปัญหา ปากท้องแล้วจึงค่อยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง ย่อมขัดต่อหลักการนี้ (3.4) ความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ (Equality and Non-Discrimination) การเลือกปฏิบัติเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานในทุกสังคม และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะเหตุว่าในฐานะที่เราเกิดเป็นคน ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ความเสมอภาค คือ การที่ทุกคนควรได้รับจากส่วนที่ควรได้ในฐานะเป็นคน ส่วนหลักความเสมอภาค คือ ต้องมีการเปรียบเทียบกับของ 2 สิ่ง หรือ 2 เรื่อง และดูว่าอะไรคือ สาระสําคัญของเรื่องนั้น หากสาระสําคัญของประเด็นได้รับการพิจารณาแล้ว ถือว่ามีความเสมอภาคกัน ส่วนการเลือกปฏิบัตินั้น เป็นเหตุให้เกิดความไม่เสมอภาค เช่น การรักษาพยาบาล หรือการเข้าถึงบริการสาธารณะของรัฐเป็นไปไม่ทั่วถึง และไม่เท่าเทียมกัน เพราะมีความแตกต่าง ของบุคคลในเรื่องเชื้อชาติ (3.5) การมีส่วนร่วมและการเป็นส่วนหนึ่งของสิทธินั้น (Participation & Inclusion) หมายความว่า ประชาชนแต่ละคนและกลุ่มของประชาชนหรือประชาสังคมย่อมมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ในการเข้าถึงและได้รับประโยชน์จากสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง และสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรม (3.6) ตรวจสอบได้และใช้หลักนิติธรรม (Accountability & The Rule of Law) หมายถึง รัฐและองค์กรที่มีหน้าที่ในการก่อให้เกิดสิทธิมนุษยชน ต้องมีหน้าที่ตอบคําถามให้ได้ว่า สิทธิมนุษยชนได้รับการปฏิบัติให้เกิดผลจริงในประเทศของตน ส่วนสิทธิใดยังไม่ได้ดําเนินการให้เป็น ไปตามหลักการสากลก็ต้องอธิบายต่อสังคมได้ว่าจะมีขั้นตอนดําเนินการอย่างไร โดยเฉพาะรัฐต้อง มีมาตรการปกครองประเทศโดยใช้หลักนิติธรรมหรือปกครองโดยอาศัยหลักการที่ใช้กฎหมาย อย่างเที่ยงธรรม ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย มีกระบวนการไม่ซับซ้อนเป็นไป ตามหลักกฎหมายและมีความเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎหมาย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ อย่างไรก็ตาม แม้ปฏิญญาฯ จะไม่มีฐานะเป็นกฎหมายและไม่มีเครื่องมือที่ใช้ใน การคุ้มครอง แต่ปฏิญญาฯ ก็มีหลักการทำให้รัฐทั้งหลายต้องการเคารพและรับรองว่าจะนำไปบัญญัติ เป็นกฎหมายภายใน รวมทั้งการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศก็ต้องให้สอดคล้องกับปฏิญญาฯ ด้วย สำหรับกฎหมายภายใน ปฏิญญาฯ จึงมีผลให้นักกฎหมายไม่อาจคัดค้านกฎหมายในอนาคต ซึ่งร่างขึ้น ตามหลักการของปฏิญญาฯ เพราะหลักดังกล่าวเป็นหลักสากล และถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายสุดท้าย ที่จะต้องทำให้สำเร็จตามกระบวนการของกฎหมาย แนวความคิดเรื่องการคุ้มครองสิทธิของพลเมือง (สิทธิมนุษยชน) ยังคงยึดถือว่า เป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศนั้น ๆ กล่าวคือ การที่รัฐอื่นใดจะเข้าไปแทรกแซงหรือคุ้มครอง สิทธิของพลเมืองในรัฐอื่นนั้นไม่สามารถกระทำได้เพราะเท่ากับว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อหลักกฎหมาย
11 ระหว่างประเทศที่ถือว่า รัฐแต่ละรัฐต่างมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง การที่รัฐอื่นใดจะไปแทรกแซง กิจการภายในของประเทศอื่น ๆ นั้น ไม่สามารถกระทำได้จวบจนกระทั่งภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ได้ยุติลง บรรดาประเทศต่าง ๆ มีความกังวลและตระหนักถึงความร่วมมือซึ่งกันและกัน ในอันที่จะพิทักษ์ปกป้องสิทธิพลเมือง โดยให้เปลี่ยนจากสิทธิภายในของแต่ละประเทศเป็นสิทธิ ระหว่างประเทศ กล่าวคือ ได้มีการยอมรับให้สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิสากล (Universal Rights) ที่ไม่มีประเทศใดจะกล่าวอ้างได้ว่าเป็นเรื่องของภายในประเทศหรือกิจการภายในประเทศของตน การยอมรับดังกล่าวนี้จึงเท่ากับเป็นการลดกำแพงอาณาเขตแห่งดินแดนลง และเท่ากับเป็นการยืนยัน ที่ชัดเจนและหนักแน่นว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้มีความเท่าเทียมกัน จึงได้มีความพยายามร่วมมือกัน ในระดับภูมิภาคไปจนกระทั่งถึงระดับระหว่างประเทศที่จะวางกรอบกติกากลางเพื่อให้บรรดาประเทศ ต่าง ๆ ได้รับรองและใช้เพื่อเป็นหลักแห่งการให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานแก่พลเมืองของตน 2.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ ความสำคัญของสิทธิและเสรีภาพนั้น เริ่มมีนับแต่เมื่อมีการกล่าวถึงทฤษฎีกฎหมาย ธรรมชาติว่า เป็นเรื่องที่ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ของการใช้บังคับและที่สำคัญคือ รัฐจะออกกฎหมาย มาขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติไม่ได้ ล้วนแต่เป็นการกล่าวอ้างถึงสิทธิตามธรรมชาติเพื่อนำไป ใช้เป็นข้อต่อสู้กับผู้มีอำนาจ และยืนยันถึงเกียรติภูมิศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ต่อมาได้มีการทำให้ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น (1) พัฒนาการของสิทธิและเสรีภาพ ในอดีตนั้นอาจกล่าวได้ว่าความรู้และศิลปะวิทยาการ และศาสตร์สาขาต่าง ๆ เริ่มต้น ขึ้นมาตั้งแต่สมัยนครรัฐกรีก เนื่องจากในขณะนั้นกรีกเป็นเมืองเล็ก ๆ ซึ่งมีรูปแบบการปกครอง แบบนครรัฐ (City state) โดยเป็นเมืองท่าติดชายทะเลจึงถือว่าเป็นศูนย์กลางสําหรับการพาณิชยกรรม และการคมนาคมที่สะดวกสบายเป็นอย่างมาก ในยุคสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นชุมชนหรือเมืองซึ่งมีผู้คน จากแดนต่างๆ เข้ามาอาศัยอยู่ทั้งการศึกษาศิลปะวิทยาการและการค้าขาย ด้วยความเหมาะสม ทั้งทางด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ เศรษฐกิจ สังคมและการศึกษาในขณะนั้น ทําให้เกิดการแลกเปลี่ยน ความรู้ศาสตร์สาขาต่าง ๆ และประสบการณ์ต่าง ๆ จากประชากรที่มาจากต่างถิ่นมาอยู่อาศัย อันเป็นไปอย่างกว้างขวาง จึงพอสรุปได้ในเบื้องต้นว่า แนวความคิดเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพเกิดขึ้น ในยุคนี้เอง นักปราชญ์คนสําคัญในสมัยนครรัฐกรีกโบราณที่มีชื่อเสียงอย่างมากในขณะนั้น คือ อริสโตเติล (384-322 ปี ก่อน ค.ศ.) ได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล ย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการเลือก และด้วยเหตุผลที่ถูกต้องย่อมช่วยให้เขาเข้าถึงกฎธรรมชาติได้และ ณ จุดนี้เองคือ เสรีภาพ ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์” คํากล่าวของอริสโตเติลดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่า สิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่ง ที่ดํารงอยู่และมีมาพร้อมกับมนุษย์อยู่แล้วตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ภายใต้แนวความคิดนี้ จึงอาจ กล่าวได้ว่า สิทธิและเสรีภาพเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติหรือเป็นสิทธิตามธรรมชาตินั่นเอง ต่อมาในยุคกลาง (ช่วง ค.ศ.1000 – 1600) มีพัฒนาการเรื่องสิทธิและเสรีภาพ อย่างต่อเนื่อง จุดกำเนิดของพัฒนาการเกิดขึ้นจากการที่ฝ่ายพระมหากษัตริย์และบรรดาขุนนางชั้นสูง ใช้อํานาจกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชน โดยเฉพาะพวกพ่อค้า ชาวนา ชาวไร่ อย่างต่อเนื่องยาวนาน นับหลายร้อยปีเป็นเหตุให้พวกพ่อค้าซี่งเป็นชนชั้นกลางพากันปลุกเร้าชาวนา ชาวไร่ ซึ่งเป็นชนชั้นล่าง ให้ลุกฮือขึ้นต่อสู้เรียกร้อง สิทธิและเสรีภาพบางประการที่พวกตนอยากจะได้อยากจะมีและคิดว่า
12 พวกตนเองควรจะมี การเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว ทําให้ฝ่ายปกครอง คือ พระมหากษัตริย์ และขุนนางชั้นสูงจําเป็นต้องให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของเอกสาร ข้อตกลงลายลักษณ์อักษรตามที่ฝ่ายชนชั้นกลางเรียกร้อง ค.ศ.1215 พระเจ้าจอห์น กษัตริย์ประเทศอังกฤษเป็นกษัตริย์ที่โหดร้าย ใช้อํานาจ ปกครองอย่างไม่มีขอบเขต จึงทําให้บรรดาเหล่าขุนนางและพระราชาคณะไม่พอใจ จึงได้ทําการต่อสู้ กับฝ่ายพระเจ้าจอห์น ปรากฏว่าฝ่ายพระเจ้าจอห์นเป็นฝ่ายแพ้ จึงถูกบรรดาขุนนางและพระราชาคณะ จํานวน 25 คน บังคับให้พระเจ้าจอห์นลงนามในเอกสารสําคัญฉบับหนึ่งที่เรียกว่ามหากฎบัตร (The Great Charter, Magna Carta) ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างพระมหากษัตริย์กับขุนนางและพระราชาคณะ จํานวน 63 ข้อ โดยในมหากฎบัตรนั้น ได้กำหนดถึงองค์กรและอํานาจของสภาใหญ่ (Magnum Concillium) มีสาระสําคัญประการหนึ่งว่า พระมหากษัตริย์จะเก็บภาษีบางอย่างตามที่กําหนดไว้ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาใหญ่ไม่ได้นอกจากนี้แล้ว เพื่อป้องกันมิให้พระมหากษัตริย์ใช้ศาล เป็นเครื่องมือในการใช้อํานาจโดยมิชอบ จึงมีการระบุไว้ในมาตรา 39 แห่งมหากฎบัตรว่า “เสรีชน ไม่อาจจะถูกจับกุมคุมขัง ประหารชีวิต หรือถูกเนรเทศ หรือถูกกระทําโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เว้นแต่ โดยอาศัยพื้นฐานจากคําวินิจฉัยตามบทบัญญัติของกฎหมาย” พัฒนาการในยุคต่อมา (ค.ศ.1600 – 1700 ) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงของรัฐตาม นิยามของรัฐสมัยใหม่ มีพัฒนาการที่โดดเด่น ปี ค.ศ. 1628 ในประเทศอังกฤษ สภาขุนนางและ สภาสามัญได้รวมตัวกันยื่นเอกสารฉบับหนึ่ง เรียกว่า “Petition of Right” ต่อพระเจ้าชาร์ลส์ซึ่งเป็น พระมหากษัตริย์อังกฤษในขณะนั้น เพื่อให้พระองค์ยอมรับการกำหนดสถานะแห่งสิทธิตามกฎหมาย ระหว่างพระองค์กับรัฐสภา เอกสารฉบับนี้มีความสําคัญต่อความหมายของเสรีภาพที่มีมาตั้งแต่เดิม ให้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก อันส่งผลให้ประชาชนของพระองค์สามารถอ้างสิทธิต่าง ๆ โดยชอบ จากพระบรมราชโองการที่ยืนยันความคงอยู่แห่งสิทธินั่นเอง จอห์น ล็อค (John Lock ,ค.ศ.1632 - 1704) ผู้จุดประกายทฤษฎีสัญญาประชาคม เชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่รักสงบ มีจิตใจอันดีงาม ช่วยเหลือกัน แต่ความที่มนุษย์เราแต่ละคนมีเสรีภาพ ตามธรรมชาติอันเท่าเทียมกันนั่นเอง ทําให้ไม่มีสภาพบังคับระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน จึงเกิด ความขัดแย้งและไม่มั่นคงปลอดภัย มนุษย์จึงควรสละสิทธิตามธรรมชาติที่จะบังคับซึ่งกันและกันให้แก่ สังคม ดังนั้น เมื่อเกิดการละเมิดสิทธิจึงควรมีการโอนสิทธิในการบังคับกันให้แก่สังคม เพื่อให้สังคม เป็นผู้ใช้อํานาจแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม การสละเสรีภาพดังกล่าวเป็นการสละเสรีภาพบางส่วน เพื่อความสงบสุขร่วมกันของคนในสังคมเท่านั้น แต่มนุษย์ยังคงมีสิทธิเสรีภาพด้านอื่น ๆ อยู่ หลักการ ของสิทธิและเสรีภาพโดยเจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชนนั้นพัฒนามาสู่ปัจจุบัน การกำหนดวางหลัก ของสิทธิและเสรีภาพ เงื่อนไขและหลักการจํากดสิทธิของประชาชนนั้น อยู่ในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดหรือเป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนในรัฐ โดยถือว่าการที่ราษฎรต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็เพราะประสงค์จะให้คนมีสิทธิและเสรีภาพ (2) ความหมายของสิทธิและเสรีภาพ (2.1) สิทธิ ฝ่ายสังคมนิยมให้ความหมาย “สิทธิ” แตกต่างไปจากฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย เป็นอย่างมากสิทธิ โดยนักปรัชญาฝ่ายสังคมนิยมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง คือ คาร์ลมาร์กซ์ (Karl Marx, ค.ศ.1818-1883) ให้ความหมาย “สิทธิ” ว่า หมายถึง การที่บุคคลสามารถเลือกกระทํา การใด ๆ ได้ทั้งสิ้น เพื่อประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ นอกจากนี้ฝ่ายสังคมนิยมยังมีทัศนคติอีกว่า
13 สิทธิอันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ คือ สิทธิที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทุกอย่างของรัฐเพื่อผลประโยชน์ ร่วมกันของคนในรัฐ หาใช่ผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ นักกฎหมายไทยได้ให้ความหมายของ “สิทธิ” ไว้หลายท่าน ดังนี้ ศาสตราจารย์ปรีดีเกษมทรัพย์ให้ความหมายของ “สิทธิ” ว่า เป็นอํานาจอัน ชอบธรรมหรือความชอบธรรมที่บุคคลสามารถใช้ยันต่อผู้อื่น เพื่อคุ้มครองหรือรักษาผลประโยชน์อัน เป็นสิ่งที่พึงมีพึงได้ของบุคคลนั้น ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย ให้ความหมายของ “สิทธิ” ซึ่งเป็นความหมายของ คําว่าสิทธิในหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งสามารถปรับใช้ได้ทั้งกับกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนไว้ว่า มีสองความหมาย ได้แก่ การมองจากอํานาจของผู้ทรงสิทธิ คือ “อํานาจที่กฎหมายออกให้แก่บุคคล ในอันที่จะมีเจตจํานง” และการมองจากวัตถุประสงค์ของสิทธิคือ “ประโยชน์ที่กฎหมายคุ้มครองให้” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤตและคณะ มีความเห็นเกี่ยวกับ “สิทธิ” ว่า หมายถึง “อํานาจที่กฎหมายรับรองให้แก่บุคคลในอันที่จะกระทําการเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและบุคคล อื่นหรือเรียกร้องให้บุคคลอื่นหรือหลายคนกระทําการหรืองดเว้นกระทําการบางอย่างเพื่อให้เกิด ประโยชน์แก่ตน” เมื่อพิจารณาจากทั้งหลักการและแนวความคิดในเรื่องสิทธิข้างต้นเข้าด้วยกันอาจ กล่าวได้ว่า สิทธิมีลักษณะสําคัญที่ตรงกันอยู่ 3 ประการ ดังนี้1) สิทธินั้นย่อมมีประโยชน์ต่อเจ้าของ สิทธิที่จะเลือกใช้ สิทธิกล่าวคือเป็นการรับรองว่า เจ้าของสิทธิย่อมมี“อํานาจ” ที่สามารถ “ใช้” สิทธิ นั้นได้ทั้งนี้เจ้าของสิทธิอาจเลือกที่จะใช้สิทธิหรือไม่ใช้สิทธิหรืออาจให้บุคคลอื่นใช้สิทธิแทนตนเอง ก็ได้2) สิทธินั้นเรียกร้องให้บุคคลอื่นมีหน้าที่ที่จะต้องเคารพสิทธิของเจ้าของสิทธิในทางแพ่ง สามารถ เรียกร้องให้บุคคลอื่นมีหน้าที่ที่จะต้องเคารพสิทธิและไม่ละเมิดสิทธิในทรัพย์อันบุคคลอื่นมีสิทธิ (ทรัพยสิทธิ) หรือเรียกร้องให้บุคคลอื่น ๆ ต้องดําเนินการหรือไม่ดําเนินการใด ๆ (บุคคลสิทธิ) ในทาง มหาชน สิทธินั้นย่อมเรียกร้องเอาต่อรัฐ โดยให้รัฐ หน่วยงานของรัฐ กระทําการหรือไม่กระทําการใด ๆ เพื่อเจ้าของสิทธิได้ทุกเมื่อ เห็นได้ว่าในทุกกรณี แสดงถึงภาระของบุคคลอื่นที่มีต่อเจ้าของสิทธิเสมอ ซึ่งได้แก่ “หน้าที่” นั่นเอง 3) สิทธิจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยกฎหมายเท่านั้น ด้วยเหตุว่า สิทธิและหน้าที่ เป็นเรื่องของอํานาจที่จะบังคับเอาแก่บุคคลอื่นหรือรัฐได้ก็ต่อเมื่อ มีกฎหมายรับรองสิทธิของบุคคล และกำหนดหน้าที่ให้แก่บุคคลอื่นเท่านั้น แม้ว่าบุคคลจะมีอิสระในการทําสัญญาแพ่งตามหลักประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม นิติกรรมนั้นก็จะต้องชอบด้วยเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด จึงเห็น ได้ชัดว่า สิทธิจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยกฎหมายเท่านั้น ทั้งนี้กฎหมายอาจจะกำหนดสิทธิไว้โดยชัดเจน หรือ ให้อํานาจแก่ปัจเจกชนไปกำหนดการก่อตั้งสิทธิและหน้าที่ต่อกันได้โดยเสรีตราบเท่าที่นิติกรรมหรือ ข้อตกลงนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ส่วนสิทธิที่บุคคลมีต่อรัฐก็เป็น ไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ (2.2) เสรีภาพ เสรีภาพ (Liberty) มีนักกฎหมายไทยให้ความหมายไว้หลายท่าน ดังนี้ ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย ให้ความหมายของ “เสรีภาพ” ว่า หมายถึง สิ่งที่ บุคคลอาจกระทําการได้โดยไม่ถูกบังคับ ศาสตราจารย์ ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ให้ความหมายของ “เสรีภาพ” ว่า หมายถึง “ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้อื่น มีอิสระที่จะกระทําการ หรืองดเว้นกระทําการ”
14 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤตและคณะ ให้ความหมายของ “เสรีภาพ” ว่าหมายถึง “สภาวการณ์ของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงําของบุคคลอื่น หรือปราศจากการหน่วง เหนี่ยว ขัดขวางบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมมีเสรีภาพอยู่เท่าที่บุคคลนั้นไม่ถูกบังคับให้ต้องกระทําในสิ่งที่ ไม่ประสงค์จะกระทําหรือไม่ถูกหน่วงเหนี่ยวขัดขวางไม่ให้กระทําในสิ่งที่บุคคลนั้นประสงค์ที่จะกระทํา” ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ให้ความหมายของ “เสรีภาพ” ว่าหมายถึง อํานาจในการ กำหนดตนเองโดยอิสระของบุคคล จากความหมายโดยสรุปแล้ว เสรีภาพจึงหมายถึงการที่บุคคลจะกระทําการใด หรือไม่กระทําการใด โดยใจสมัครอันปราศจากการบังคับหรืออยู่ภายใต้อาณัติของบุคคลอื่นหรือรัฐ จึงเห็นได้ว่า “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” ย่อมมีความหมายแตกต่างกันตรงที่ว่า “สิทธิ” เป็นประโยชน์ในเรื่องที่บุคคลสามารถเรียกร้องเอาจากบุคคลอื่น โดยที่การเรียกร้องนั้น ถ้าเรียกร้องเอาแก่บุคคลทั่วไป หรือปัจเจกชน ก็เป็นสิทธิในทางเอกชน เช่น สิทธิในทางแพ่ง แต่ถ้าเป็น การเรียกร้องเอาจากรัฐ สิทธินั้นก็เป็นสิทธิตามกฎหมายมหาชนหรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้า พิจารณาถึงวิธีการ สิทธินั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้ เช่น การใช้สิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินในทางแพ่ง หรือ สิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นต้น ย่อมเป็นเรื่องที่จะเห็นว่าผู้ทรงสิทธินั้นจะต้อง ดําเนินการบางประการเพื่อใช้สิทธินั้น ในขณะที่ “เสรีภาพ” คือ ประโยชน์ในลักษณะที่บุคคลจะกระทําการใด ๆ โดยไม่ถูกบังคับหรืออยู่ภายใต้อาณัติอันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเรียกร้องหรือดําเนินการเพื่อใช้ แต่เสรีภาพนั้น จะส่งผลให้บุคคลผู้ทรงเสรีภาพนั้น ปลอดจากการถูกบังคับให้กระทํา หรือไม่กระทําการอยู่แล้ว ตลอดเวลาที่ยังมีเสรีภาพนั้นคุ้มครองอยู่ อย่างไรก็ตาม เสรีภาพนั้นก็ก่อให้เกิดสิทธิเช่นกัน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สิทธิ ในเสรีภาพ” กล่าวคือ เสรีภาพนั้นทําให้เกิดสิทธิในการเรียกร้องต่อ “บุคคลอื่น” มิให้บุคคลอื่นหรือ รัฐกระทําการใด ๆ อันเป็นการลิดรอนเสรีภาพ หากมีการลิดรอนเสรีภาพ ผู้ทรงสิทธิในเสรีภาพ ย่อมมีสิทธิร้องขอหรือเยียวยาเพื่อให้ยุติการลิดรอนเสรีภาพนั้น เช่น เสรีภาพในการประกอบอาชีพ บุคคลไม่จําเป็นต้องดําเนินการหรือเรียกร้องหรือกระทําการใด ๆ ก็ชอบที่จะเลือกประกอบอาชีพ ได้ตามความถนัด ตามความสนใจและประสบการณ์ที่มีได้เพียงเท่าที่การประกอบอาชีพนั้น ไม่เป็น ปฏิปักษ์ต่อการทําหน้าที่ของพลเมือง และไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชน นอกจากนี้แล้ว เสรีภาพยังก่อให้เกิดหน้าที่แก่ผู้อื่นในอันที่จะต้องเคารพในเสรีภาพ อีกด้วย โดยบุคคลอื่นย่อมมีหน้าที่ในการที่จะต้องไม่กระทําการใด ๆ ที่จะละเมิดเสรีภาพในการ ประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังได้รับการเคารพและคุ้มครองจากรัฐมิให้รัฐกระทําการใด ๆ อันเป็นการ ลิดรอน ขัดขวาง หรือทําให้เสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของผู้ทรงเสรีภาพ ด้วยเหตุที่ประกอบอาชีพ แตกต่างจากบุคคลอื่น ๆ และถ้าหากเจ้าของสิทธิในเสรีภาพหรือผู้ทรงสิทธิในเสรีภาพถูกละเมิด ย่อม ใช้สิทธิขอรับการเยียวยาได้ กล่าวโดยสรุปแล้ว เมื่อสิทธิและเสรีภาพมีความเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด เช่นนี้ เมื่อพิจารณาหรือศึกษาสิทธิและเสรีภาพแล้ว มักจะทําไปพร้อมกันหรือเรียกรวมกัน เป็นคํา เดียวกันว่า “สิทธิและเสรีภาพ” และจากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคำว่า “สิทธิมนุษยชน” และ “สิทธิเสรีภาพ” หากมองในภาพรวมแล้วจึงมีความหมายไม่แตกต่างกัน เนื่องจากมีพื้นฐานความคิด ในแนวทางเดียวกัน
15 (2.3)การจำแนกสิทธิเสรีภาพ การจำแนกสิทธิเสรีภาพ อาจจำแนกได้ ดังนี้ (2.3.1) สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นสิทธิที่ประชาชนแต่ละคนจะได้รับความ คุ้มครองความปลอดภัยจากการใช้อํานาจของรัฐและบุคคลที่สาม เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ในชีวิตและร่างกาย เช่น - ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย ได้แก่ การที่รัฐจะใช้อํานาจ บังคับลงโทษบุคคลได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่บุคคลกำลังกระทําความผิด และมีบท กำหนดโทษไว้ด้วย สําหรับการลงโทษนั้น รัฐจะลงโทษหนักกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ได้ - สิทธิในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียงและความเป็นอยู่ส่วนตัว - เสรีภาพในเคหสถาน - เสรีภาพในการสื่อสารโดยทางที่ชอบด้วยกฎหมาย - เสรีภาพในการเดินทางและเลือกถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (2.3.2) สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดและการแสดงความคิดเห็น - เสรีภาพในการนับถือศาสนา นิกายศาสนา หรือลัทธินิยมทางศาสนา และเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนพิธีหรือพิธีกรรมตามความเชื่อของตน โดยที่การปฏิบัตินั้นไม่เป็น ปฏิปักษ์ต่อหน้าที่พลเมือง และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน - เสรีภาพทางวิชาการ เพียงเท่าที่ไม่ขัดกับหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรม อันดีงามของประชาชน - เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น - เสรีภาพของหนังสือพิมพ์ เสรีภาพการกระจายเสียงทางวิทยุกระจายเสียง และเสรีภาพการกระจายเสียงและภาพโดยทางวิทยุโทรทัศน์ (2.3.3) สิทธิในทางสังคมและเศรษฐกิจ - สิทธิในทรัพย์สินและสิทธิในการสืบมรดก - สิทธิในการได้รับค่าทดแทนที่เป็นธรรม กรณีการเวนคือสังหาริมทรัพย์ - สิทธิที่จะได้รับค่าทดแทน กรณีกิจการของตนถูกโอนเป็นของชาติ - เสรีภาพในการทําสัญญาก่อตั้งนิติสัมพันธ์กับบุคคลอื่น - สิทธิในการประกอบกิจการ หรือการประกอบอาชีพและการแข่งขัน โดยเสรีอยางเป็นธรรม (2.3.4) สิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่ม ได้แก่ เสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชนหรือหมู่คณะอื่น (2.3.5) สิทธิเสรีภาพในทางการเมือง - เสรีภาพในรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครอง - สิทธิเลือกตั้ง ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา - เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ - สิทธิในการเข้าชื่ออันที่จะร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมาย - สิทธิในการที่จะออกเสียงประชามติในกิจการเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อาจจะ กระทบต่อผลประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือประชาชน
16 (2.3.6) สิทธิในการตรวจสอบการกระทําของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ - สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ - สิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติราชการทางปกครองที่อาจมีผล หรือมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของตน -สิทธิของบุคคลที่จะฟ้องหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล ให้รับผิดเนื่องจากกระทําการหรือการละเว้น กระทําการของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น (2.3.7) สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน เช่น - ความเท่าเทียมเสมอกันในทางกฎหมาย การได้รับความคุ้มครองโดย กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน - ความเท่าเทียมกันของชายและหญิง -ความเท่าเทียมกันแม้มิได้นับถือศาสนา นิกาย หรือความเชื่อทางศาสนา เดียวกัน (2.3.8) สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองหรือเยียวยากระบวนการยุติธรรม - สิทธิจากการเป็นจำเลย - สิทธิจากการเป็นผู้เสียหาย - สิทธิจากการเป็นพยาน (2.4)ข้อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน สิทธิเสรีภาพนั้นมิได้เป็นแต่เพียงประโยชน์หรือความมีอิสรภาพโดยไม่มีขอบเขต จํากัด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว สิทธิเสรีภาพต้องมีข้อจํากัดเสมอ ซึ่งมีได้ทั้งข้อจํากัดโดยเงื่อนไข ของสิทธิและเสรีภาพ และข้อจํากัดสิทธิเสรีภาพโดยบทกฎหมาย โดยในที่นี้จะขอกล่าวถึง ข้อจํากัด สิทธิเสรีภาพโดยบทกฎหมาย ดังนี้ (3) หลักนิติรัฐกับสิทธิและเสรีภาพ (3.1) พัฒนาการของหลักนิติรัฐ กฎหมายเป็นข้อตกลงร่วมกันของประชาชนในแต่ละรัฐ ถือเป็นกติการ่วมกันที่จะ ทําให้สังคมแต่ละรัฐสงบสุขและยังเป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดวิธีการใช้อํานาจรัฐแต่ละรัฐโดยองค์กร ผู้ใช้อํานาจรัฐของแต่ละรัฐด้วย โดยที่กฎหมายมหาชนเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐกับเอกชน โดยมีหลักการที่สําคัญว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐจะสามารถใช้อํานาจรัฐซึ่งเป็นอํานาจที่ประชาชนทุกคน มอบให้แก่รัฐได้อย่างไร มีขอบอํานาจมากน้อยเพียงใด และประชาชนจะถูกจํากัดสิทธิเสรีภาพ อะไรบ้าง อันเป็นผลจากการใช้อํานาจเช่นว่านั้น โดยรัฐมีหน้าที่ต้องเคารพหลักการสําคัญที่ว่ารัฐ ต้องใช้อํานาจภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายและต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่ รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ด้วย ที่เราเรียกว่า “หลักนิติรัฐ (Legal State)” นั่นเอง หลักนิติรัฐ (Legal State) เป็นหลักที่ถือเกิดขึ้นในประเทศเยอรมัน เป็นข้อคิด ว่าด้วยการปกครองโดยกฎหมาย รัฐจึงต้องดำเนินการปกครองภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย และมีองค์กรที่มีความเป็นอิสระคอยตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของรัฐ สำหรับนักคิดที่ได้นำคำว่า “นิติรัฐ” มาอธิบายถึงความหมายอย่างชัดเจนคนแรก คือ นักคิดชาวเยอรมันชื่อ Robert von Mohl (ค.ศ.1799 - 1875) ได้อธิบายไว้ในปี 1829 โดยอธิบาย ว่า “นิติรัฐ” ว่าหมายถึง รัฐแห่งความมีเหตุผล อันเป็นรูปแบบที่ปกครองตามเจตจำนงโดยรวมที่มี
17 เหตุมีผล และมีวัตถุประสงค์เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคมเป็นการทั่วไป จากการให้ความหมายดังกล่าว อาจสรุปได้ว่า นิติรัฐ คือ รัฐที่ปกครองตามหลักแห่งเหตุผล เพื่อให้การอาศัยอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เป็นไปด้วยความสงบสุข แนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐได้อุบัติขึ้น ในฐานะที่เป็นปฏิกิริยาต่อการปกครอง ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในการปกป้องบุคคลจากการกระทำตามอำเภอใจของรัฐหรือ ผู้ปกครองในยุคที่ผู้ปกครองมีอำนาจอย่างเด็ดขาดล้นพ้น แนวความคิดนี้เชื่อมโยงกับแนวคิดของ กฎหมายธรรมชาติที่ว่าด้วยสิทธิธรรมชาติ(Natural Rights) และเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในตอน ปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อรัฐสมัยใหม่ในยุโรปพัฒนาจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ความเป็นรัฐ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถูกเรียกร้องมากขึ้นในแง่ของเหตุผล กล่าวคือ ถึงแม้ว่าประชาชนยังคงยอมรับ ระบบที่อำนาจเด็ดขาดอยู่ที่กษัตริย์ก็ตาม แต่ให้กษัตริย์จะใช้อำนาจใดก็ต้องคำนึงถึงเหตุผลด้วย ในช่วง ศตวรรษที่ 18 แนวความคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติได้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง นักคิดสำนักนี้เชื่อว่า มนุษย์ ได้รับประกาย (Spark) แห่งเหตุผลจากเหตุผลสากล มนุษย์ทุกคนจึงเกิดมามีศักดิ์ศรีเหมือนกัน มีความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ด้วยตนเอง กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงกฎหมาย ธรรมชาติหรือกฎหมายแห่งเหตุผลได้โดยที่ไม่ต้องมีใครช่วยตีความให้ ความคิดที่นิยมยกย่องเหตุผล ดังกล่าว มีอิทธิพลอย่างยิ่งในอาณาจักรโรมัน ทำให้ชาวโรมันสามารถพัฒนาวิชานิติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ บนรากฐานของเหตุผลอย่างเป็นระบบขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม แนวความคิดที่นิยมยกย่องเหตุผล ของมนุษย์อ่อนแรงลงในสมัยกลาง ซึ่งเป็นสมัยที่นิติปรัชญาแนวคริสต์ครอบงำยุโรป จวบจนกระทั่ง นักคิดชื่อว่า Samuel Pufendorf (ค.ศ.1632 - 1694) และChristian Wolff (ค.ศ.1679 - 1754) ได้รื้อฟื้นแนวความคิดดังกล่าวขึ้นมาพัฒนาต่อ ความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติจึงกลับฟื้นตัวขึ้น โดยนักคิดในยุคสมัยนั้นได้เชื่อมโยงความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติกับสิทธิตามธรรมชาติเข้าด้วยกัน ตามคำสอนของนักคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นตัวนี้ สิทธิตามธรรมชาติคือ สิทธิที่มนุษย์ แต่ละคนมีติดตัวมาตามธรรมชาติเช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิดังกล่าวนี้มนุษย์แต่ละคนมีอยู่ โดยไม่ขึ้นอยู่กับรัฐและไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายบ้านเมือง กล่าวคือ เป็นสิทธิที่มีอยู่ก่อนมีรัฐ การเริ่ม ตระหนักรู้ถึงสิทธิที่กล่าวมานี้ทำให้ในราวปลายศตวรรษที่ 18 ต่อเนื่องมาจนต้นศตวรรษที่ 19 ราษฎร ได้เรียกร้องให้รัฐปกป้องคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินตลอดจนเสรีภาพของตนมากขึ้น อันนำไปสู่การเกิด หลักสิทธิมนุษยชน (Human Rights) สิทธิขั้นพื้นฐาน (Fundamental Rights) และขยายตัวรวมไปถึง สิทธิในทางทรัพย์สินด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นเวลาที่แนวความคิดของสำนัก กฎหมายบ้านเมือง (Positive Law) ได้มีบทบาทสูง โดยมีแนวความคิดในการสร้างความชัดเจน และความมั่นคงแน่นอนให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย โดยเน้นที่จะสร้างความสงบสุขเรียบร้อยให้เกิดขึ้น ในบ้านเมือง สำนักกฎหมายบ้านเมืองปฏิเสธกฎหมายที่อยู่สูงกว่า (Higher Law) หรือกฎหมาย ธรรมชาติ (Natural Law) รัฐจึงปกครองโดยมีอำนาจจะกระทำอย่างไรก็ได้ภายใต้กฎหมายที่รัฐตราขึ้น ส่งผลให้กฎหมายแทนที่จะเป็นเรื่องของเหตุผล กลับกลายเป็นเจตจำนง (will) ของรัฏฐาธิปัตย์ไป หลักนิติรัฐจึงถูกเน้นไปในเชิงรูปแบบ (Form) มิได้มุ่งไปในทางเนื้อหา (Substance) ส่งผลให้ หลักนิติรัฐถูกลดขอบเขตลง และมีปัญหาในการโยงเข้าสู่ความยุติธรรม หลักนิติรัฐในเวลานั้นจึงถูก การพัฒนาไปเป็นการปกครองโดย “ตัวบทกฎหมาย” แม้ภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 จะได้อธิบาย หลักนิติรัฐในทางเนื้อหามากขึ้น แต่การที่หลักนิติรัฐในทางรูปแบบถูกหยิบยกขึ้นเป็นเครื่องมือทาง การเมือง จนในที่สุดการเข้าสู่ยุคเรืองอำนาจของพรรคนาซี(Nazi) โดยการขึ้นครองอำนาจของฮิตเลอร์
18 (Adolf Hitler ค.ศ.1889 - 1945) ทำให้พัฒนาการของแนวคิดเกี่ยวกับนิติรัฐในทางเนื้อหาต้องสะดุด หยุดลง ต่อมาเมื่อผ่านหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 แล้ว ประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้น จากการอาศัยตัวบทกฎหมายที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความยุติธรรมในทางเนื้อหา จึงได้มีเสนอแนวคิดว่า หลักนิติรัฐมิใช่การปกครองโดยกฎหมายในทางรูปแบบเท่านั้น แต่ยังต้องมีหลักทั่วไปที่สอดคล้องกับ ความคิดพื้นฐานด้วย ดังนั้น จึงได้มีการพยายามที่จะนำข้อเรียกร้องทั้งหลายของหลักนิติรัฐ ที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ศตวรษที่ 19 มารวบรวมไว้ทั้งหมดและได้มีการอธิบายถึงหลักนิติรัฐว่า ประกอบด้วยองค์ประกอบใดบ้าง เช่น การอธิบายถึงหลักย่อยของหลักนิติรัฐโดย Hartmut Maurer และ Theodor Maunz Hartmut Maurer เห็นว่า หลักนิติรัฐประกอบด้วยหลักการย่อย ได้แก่ 1) หลักคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน 2) หลักการแบ่งแยกอำนาจ 3) หลักความผูกพันต่อกฎหมายขององค์กรของรัฐ 4) หลักเงื่อนไขการกระทำของฝ่ายปกครอง 5) หลักการคุ้มครองสิทธิโดยองค์กรศาล 6) หลักความรับผิดของรัฐ 7) หลักพื้นฐานในทางกฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 8) หลักความมั่นคงในทางกฎหมาย 9) หลักความได้สัดส่วน ส่วน Theodor Maunz เห็นว่า หลักนิติรัฐประกอบด้วยหลักการย่อย ได้แก่ 1) หลักการแบ่งแยกอำนาจ 2) หลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 3) หลักความชอบดว้ยกฎหมายของฝ่ายตุลาการและฝ่ายปกครอง 4) หลักความชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา 5) หลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา 6) หลัก “ไม่มีความผิด และไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย” 7) หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ (3.2) ความหมายของหลักนิติรัฐ หลักนิติรัฐ มีแนวคิดมาจากเรื่องการจำกัดตนเองของรัฐ ซึ่งตามแนวความคิดนี้ รัฐจะจำกัดตนเองในทางกฎหมายได้ก็แต่ด้วยความยินยอมของรัฐเอง กล่าวคือ การจำกัดนี้เป็นไป เพราะมีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญที่กำหนดรูปแบบและเงื่อนไขของการใช้อำนาจ ภายในรัฐ ซึ่งเท่ากับเป็นการจำกัดการกระทำของรัฐให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์นั้น ๆ หรืออีกนัยคือ ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐจะไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดอื่นใดนอกเหนือไปจากข้อจำกัด กฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่รัฐได้สร้างขึ้น และกฎเกณฑ์ทางกฎหมายเช่นว่านี้จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ ของรัฐเอง เพราะหากรัฐไม่เคารพกฎหมาย สภาพอนาธิปไตย (Anarchy) จะเกิดขึ้นและจะทำลาย กฎหมายของรัฐนั้นเอง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเคารพกฎหมายที่รัฐตราขึ้นเป็นการจำกัด อำนาจของรัฐเอง แต่เป็นการจำกัดอำนาจรัฐที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดของรัฐ โดยสรุป อำนาจอธิปไตย ของรัฐนั้นถูกจำกัดโดยข้อจำกัดตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่รัฐตราขึ้น ดังนั้น รัฐต้องเคารพสิทธิหน้าที่
19 ที่กฎหมายกำหนดให้เอกชน และเมื่อใดก็ตามที่รัฐจะทำการกระทบกระเทือนต่อสิทธิหน้าที่ของ ประชาชน รัฐต้องอาศัยกฎหมายให้กระทำการได้ หากกล่าวถึงผู้ที่อธิบายหลักนิติรัฐให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด คือ Raymond Carré de Malberg (ค.ศ. 1861 – 1935) นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวว่า หลักนิติรัฐเป็นหลักที่ว่าด้วย การที่รัฐต้องยอมตนอยู่ใต้ระบบกฎหมายในความสัมพันธ์กับปัจเจกชนและเพื่อคุ้มครองสถานะของ ปัจเจกชน โดยรัฐยอมตนอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดการกระทำของรัฐอยู่สองประการ คือ กฎเกณฑ์ที่ รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และกฎเกณฑ์ที่กำหนดวิธีการหรือมาตรการซึ่งรัฐสามารถใช้เพื่อ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด ทั้งสองกฎเกณฑ์รวมเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นการจำกัดอำนาจรัฐ สำหรับในประเทศไทยนั้นได้มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของคำว่า “นิติรัฐ” ไว้ดังนี้ ศาสตราจารย์ดร.หยุด แสงอุทัย ได้ให้ความหมายคำว่า นิติรัฐ ไว้ว่า “รัฐตาม รัฐธรรมนูญสมัยใหม่ย่อมเป็นนิติรัฐ คือ เป็นรัฐที่ยอมตนอยู่ใต้บังคับแห่งกฎหมายซึ่งรัฐเป็นผู้ตราขึ้นเอง หรือยอมใช้บังคับ” ศาสตราจารย์ดร.วิษณุ เครืองาม ได้ให้ความหมายคำว่า นิติรัฐ ไว้ว่า “นิติรัฐ” มิได้ หมายความถึงรัฐตามกฎหมายเพราะอย่างไรเรียกว่ารัฐนั้นมีคำอธิบายในกฎหมายระหว่างประเทศและ หลักวิชาทางรัฐศาสตร์อยู่แล้ว หากแต่หมายความถึงรัฐที่นับถือกฎหมายหรือยกย่องกฎหมายเป็นใหญ่ คำว่ากฎหมายในที่นี้หมายความรวม ๆ ถึงบรรดากฎหมายและระเบียบแบบแผนทางการเมืองทั้งหลาย บางครั้งเรียกว่า เป็นรัฐที่ยึดมั่นในระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutionalism) บ้าง รัฐที่เคารพในหลัก นิติธรรม (rule of law) บ้าง ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ได้ให้ความหมายคำว่า นิติรัฐ ไว้ว่า “ระบบนิติรัฐ (System of Legal State) คือ ระบบซึ่งฝ่ายปกครองอยู่ใต้กฎหมายเช่นเดียวกับ พลเมืองซึ่งเป็นเอกชน และอยู่ภายใต้การควบคุมในทางกฎหมายของศาล ดังนั้น ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครองกระทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายพลเมือง ซึ่งได้รับความเสียหายก็มีทาง ที่จะได้รับการเยียวยาในทางกฎหมาย เพราะศาลมีอำนาจควบคุมการกระทำของฝ่ายปกครอง” จากความหมายดังกล่าวข้างต้น จึงพอสรุปได้ว่า นิติรัฐ เป็นรัฐที่ตกอยู่ภายใต้กฎหมาย โดยรัฐยอมตนอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดการกระทำของรัฐต่อปัจเจกชนเป็นสองประการ กล่าวคือ ประการแรก กำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และประการที่สอง กำหนดวิธีการและมาตรการ ซึ่งรัฐและหน่วยงานสามารถใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด รวมเป็นกฎเกณฑ์สองชนิดที่มี ผลร่วมกัน คือ จำกัดอำนาจรัฐภายใต้กฎหมายซึ่งลักษณะเฉพาะของนิติรัฐ คือ ฝ่ายปกครองไม่สามารถ ใช้วิธีการอื่น นอกไปจากที่กฎหมายกำหนดให้กระทำต่อปัจเจกชนได้กฎหมายจึงเป็นแหล่งที่มา และข้อจำกัดอำนาจในเวลาเดียวกัน ในนิติรัฐฝ่ายปกครองจะกระทำการที่ขัดแย้งหรือละเว้นไม่ปฏิบัติ ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ไม่ได้ และการที่ฝ่ายปกครองจะวางข้อกำหนดหรือออกคำสั่ง ต่อผู้ที่อยู่ภายใต้ปกครองจะต้องอาศัยอำนาจของกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ดังนั้น หลักนิติรัฐ คือ หลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน หลักนิติรัฐ มีลักษณะสําคัญ 3 ประการ ดังนี้ 1) ในประเทศแต่ละประเทศนั้น กฎหมายมีความสําคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น การกระทํา ใด ๆ ของฝ่ายบริหารฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย กล่าวคือต้องมี บทบัญญัติตามกฎหมายให้อํานาจไว้และการกระทํานั้นต้องชอบด้วยกฎหมาย มีบทบัญญัติของกฎหมาย
20 รับรอง และให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนมีบทบัญญัติให้อํานาจแก่องค์กร รัฐต่าง ๆ ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพนั้น ๆ ด้วย 2) การใช้อํานาจขององค์กรฝ่ายต่าง ๆ ของรัฐ ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและ องค์กรที่แบ่งแยกตามอํานาจอธิปไตย ต่างต้องมีการคานและถ่วงดุลอํานาจซึ่งกันและกัน และสามารถ ตรวจสอบการใช้อํานาจซึ่งกันและกันได้ 3) ต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาหรือ การจํากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลา ที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อหลักนิติรัฐเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจตาม อำเภอใจขององค์กรต่างๆ ของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดรัฐธรรมนูญของรัฐที่เป็นเสรีประชาธิปไตย จึงมีหลักนิติรัฐเป็นเบื้องหลังบทบัญญัติต่าง ๆ โดยเฉพาะประการที่สำคัญถึงสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชน ซึ่งรัฐจะต้องเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพต่าง ๆ ของประชาชน โดยยอมตนให้อยู่ภายใต้บังคับ แห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด และตราบใดที่กฎหมายยังบังคับใช้อยู่ กฎหมายนั้นก็ผูกมัดรัฐอยู่เสมอ การที่รัฐจะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ก็ต้องด้วยความยินยอมของราษฎรให้รัฐจำกัด สิทธิและเสรีภาพเอง รัฐที่เป็นนิติรัฐจึงเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (3.3) องค์ประกอบของหลักนิติรัฐ ประเทศที่ปกครองด้วยหลักนิติรัฐได้นำหลักนิติรัฐมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยตรง ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้นเอง แต่เนื่องจากหลักนิติรัฐยังมี พลวัตร จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าหลักการย่อยของนิติรัฐทั้งหมดจะปรากฏในรัฐธรรมนูญ เมื่อได้พิจารณา หลักนิติรัฐในภาพรวมแล้ว อาจมีหลักนิติรัฐที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญและที่ได้จากการตีความหลักนิติรัฐ ทั่วไปด้วย (3.3.1) หลักนิติรัฐในทางรูปแบบ 1) หลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) ผู้ที่อธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจได้ชัดเจนและมีอิทธิพลต่อ การจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐเสรีประชาธิปไตยอย่างมาก คือ มองเตสกิเออ เป็นให้ความหมายหลักการ แบ่งแยกอำนาจในความหมายปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีนักคิดอื่นที่ให้ข้อความคิดเกี่ยวกับ การแบ่งอำนาจของรัฐไว้หลายท่าน แต่เป็นเพียงการจำแนกออกให้เห็นว่าอำนาจของรัฐจัดแบ่งออก ไปอย่างไร มองเตสกินเออได้อธิบายว่ารัฐแต่ละรัฐใช้อำนาจอธิปไตยของตนกระทำการต่าง ๆ 3 ประเภทด้วยกัน คือ 1) อำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายขึ้นใช้บังคับภายในรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ในลักษณะที่มีผลใช้บังคับเป็นการชั่วคราว หรือในลักษณะที่มีผลใช้บังคับอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หรือในลักษณะที่มีผลเป็นการยกเลิกกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่แต่เดิม 2) อำนาจบริหาร ซึ่งขึ้นอยู่ กับสิทธิของชาติคือ อำนาจในการดูแลความปลอดภัยภายในและภายนอกประเทศ และใช้กำลังเพื่อให้ ประชาชนเคารพกฎหมาย ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย และ 3) อำนาจบริหาร ขึ้นอยู่กับสิทธิของเอกชน คือ อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างประชาชน ด้วยกันเอง หรือระหว่างประชาชนกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เป็นไปตามทบัญญัติแห่งกฎหมาย
21 หลักการแบ่งแยกอำนาจจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญของหลักนิติรัฐ เพราะหลักการนิติรัฐไม่สามารถจะสถาปนาขึ้นมาได้ในระบบการปกครองที่ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจ ไม่มีการควบคุมตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างอำนาจ ภายใต้หลักการแบ่งแยกอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ โดยหลักแล้วต้องสามารถควบคุมตรวจสอบและยับยั้งซึ่งกันและกันได้ ทั้งนี้ เพราะอำนาจทั้งสามมิได้แบ่งแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด หากแต่มีการถ่วงดุลกัน (Check and balance) เพื่อให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้รับความคุ้มครอง ด้วยเหตุนี้จะต้องไม่มีอำนาจใด อำนาจหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกอำนาจหนึ่งอย่างเด็ดขาด หรือจะต้องไม่มีอำนาจใดอำนาจหนึ่งที่รับ ภาระหน้าที่ของรัฐทั้งหมดและดำเนินการเพื่อให้บรรลุภารกิจดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น หลักการแบ่งแยกอำนาจจึงเป็นหลักที่แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของการแบ่งแยกอำนาจการ ตรวจสอบอำนาจและการถ่วงดุลอำนาจ 2) หลักความชอบด้วยกฎหมาย เป็นหลักการที่สะท้อนความเป็น หลักนิติรัฐได้เป็นอย่างดี เพราะหลักนิติรัฐนั้น การใช้อำนาจใด ๆ ขององค์กรของรัฐย่อมผูกพันต่อ ตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าองค์กรนั้นจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร หรือ แม้กระทั่งองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการก็ตาม กล่าวคือ องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติจะตรากฎหมายขึ้น จะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่ให้อำนาจแก่องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร เข้าไปกระทำการใดที่มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ส่วนองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารจะ กระทำการใด ๆ จะต้องชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติการที่องค์กร ของรัฐฝ่ายบริหารจะสั่งการให้ประชาชนกระทำหรือละเว้นไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ต่อเมื่อมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้งและใช้อำนาจภายในกรอบที่กฎหมายกำหนด 3) หลักคุ้มครองเสรีภาพโดยองค์กรตุลาการ การควบคุมไม่ให้องค์กร ของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายก็ดีหรือการควบคุมมิให้ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารการกระทำการที่ขัดต่อกฎหมายก็ดีจะต้องเป็นหน้าที่ขององค์กรตุลาการ ที่เป็นอิสระจากองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติและองค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร โดยองค์กรที่มีหน้าที่ควบคุม ความชอบในการตรากฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติและการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายในการกระทำ ขององค์กรของรัฐฝ่ายปกครอง อาจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คดีแพ่ง และคดีอาญา หรือจะจัดตั้งองคก์รตุลาการในระบบศาลคู่ก็ได้ การคุ้มครองเสรีภาพโดยองค์กรตุลาการที่เป็นอิสระนี้ ถือเป็นสิทธิ ขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของประชาชนเลยทีเดียว เนื่องจากแม้จะมีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายให้การรับรอง และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนดีเลิศเพียงใดก็ตาม แต่หากไม่สามารถนำการละเมิดกฎหมาย ขององค์กรผู้ใช้อำนาจดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลได้ ก็เท่ากับประชาชนไม่มีทางที่จะได้รับการเยียวยา 4) หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ หลักการนี้ได้รับ การรับรองอย่างเป็นทางการในหลักการโดยศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาในคดีMarbury V. Madison ในปีค.ศ. 1801 ปัจจุบันสามารถอธิบายหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญโดยเหตุผล หลายประการ กล่าวคือ หากพิจารณาจากเกณฑ์องค์กรจะพบว่า รัฐธรรมนูญเป็นเจตนารมณ์ร่วมกัน อันสูงสุดของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย รัฐธรรมนูญจึงมีลำดับชั้นสูงสุดตามฐานะของ ผู้ก่อตั้งรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรนิติบัญญัติองค์กรบริหาร องค์กรตุลาการ หรือ องค์กรใด ๆ ดังนั้น กฎหมายที่ออกโดยองค์กรเหล่านี้จึงต้องมีลำดับชั้นต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ หาก พิจารณาจากเกณฑ์กฎหมายแม่บทจะพบว่า รัฐธรรมนูญมีเนื้อหาในเรื่องการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย
22 การประกันคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเป็นหลัก กฎหมายธรรมชาติรัฐธรรมนูญ จึงควรค่าแก่การเป็นกฎหมายสูงสุด และยังทำให้หลักความชอบด้วย กฎหมาย (Gesetzmaessigkeitsgrundsatz) มีความชัดเจนมากขึ้นเป็นพิเศษ หลักความเป็นกฎหมาย สูงสุดของรัฐธรรมนูญจึงถือว่าเป็นหลักที่เป็นสาระสำคัญของหลักนิติรัฐ (3.3.2) หลักนิติรัฐในทางเนื้อหา 1) หลักประกันในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หลักนิติรัฐมีความเกี่ยวพันเป็นอย่างยิ่งกับสิทธิในเสรีภาพของบุคคล (Freiheitsrecht) และสิทธิในความเสมอภาค (Gleichheitsrecth) สิทธิทั้งสองประการนื้ถือว่าเป็น พื้นฐานของ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ในรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะยอมรับ หลักความเป็นอิสระของประชาชนในการที่จะพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง และเพื่อให้ประชาชน มีอิสระในการพัฒนาบุคลิกภาพของแต่ละคน รัฐจึงต้องให้ความเคารพต่อขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชนแต่ละคน การแทรกแซงในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รัฐจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ มีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชนตามหลักความชอบธรรมในทางประชาธิปไตย แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลให้มีผล ในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงได้มีการนำหลักการแบ่งแยกอำนาจมาใช้ เพื่อความมุ่งหมายจะให้อำนาจ แต่ละอำนาจควบคุมตรวจสอบซึ่งกันและกัน เพื่อให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้รับการรับรอง คุ้มครอง หลักประกันการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงเป็นหลักการพื้นฐาน ที่สำคัญของหลักนิติรัฐ ทั้งนี้ เพราะศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นหลักการสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การกระทำของรัฐทั้งหลายจึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับคุณค่าอันสูงสุดของรัฐธรรมนูญ เพราะ มนุษย์เป็นเป้าหมายในการดำเนินการของรัฐ มิใช่เป็นเพียงเครื่องมือในการดำเนินการของรัฐ การดำรง อยู่ของรัฐย่อมดำรงอยู่เพื่อมนุษย์มิใช่มนุษย์ดำรงอยู่เพื่อรัฐ ด้วยเหตุนี้สิทธิและเสรีภาพจึงเป็นรากฐาน ที่สำคัญของรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดถือในระบบนิติรัฐ 2) หลักความแน่นอนและชัดเจนของกฎหมาย หลักนี้เรียกร้องให้กฎหมายต้องมีความแน่นอน กล่าวคือ กฎหมาย ต้องบัญญัติกำหนดไว้ให้ชัดแจ้งว่า ประสงค์จะบังคับหรือห้ามมิให้บุคคลให้กระทำการใด ในกรณีใด และเพื่อประโยชน์ใด หรือให้อำนาจฝ่ายบริหารออกคำสั่งบังคับ หรือห้ามมิให้บุคคลประเภทใดกระทำ การใดในกรณีใด และเพื่อประโยชน์อะไร เพื่อให้ประชาชนสามารถวางตัวกับข้อเรียกร้องในกฎหมาย ได้ความแน่นอน และชัดเจนของกฎหมาย จึงเป็นหลักประกันให้กับความมั่นคงในนิติฐานะ กฎหมาย ที่แน่นอนและชัดเจนจึงต้องเป็นกฎหมายที่ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถรับรู้ได้ถึงเป้าหมายหรือ เจตนารมณ์ของกฎหมาย ตลอดจนขอบเขตในการใช้บังคับของหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติของกฎหมาย นอกจากนี้หลักกฎหมายว่าด้วยความแน่นอนและชัดเจนของกฎหมาย ยังเรียกร้องให้รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องคำนึงถึงเรื่องระยะเวลาของการบังคับใช้กฎหมายด้วย กล่าวคือ กฎหมายต้องมีความสม่ำเสมอ การที่จะให้ประชาชนโดยทั่วไปยึดถือหลักเกณฑ์หรือบทบัญญัติ ของกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เพียงชั่วขณะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หากแต่จะต้องให้ประชาชนโดยทั่วไป สามารถเข้าใจและคาดการณ์ได้ว่า หลักเกณฑ์หรือบทบัญญัติของกฎหมายที่จะมีผลใช้บังคับนั้น เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป และหลักเกณฑ์หรือบทบัญญัติ ของกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้เรื่อยไป
23 3) หลักการคุ้มครอง ความเชื่อถือหรือความไว้วางใจโดยสุจริตในบท บัญญัติของกฎหมาย หลักการคุ้มครองความเชื่อถือและไว้วางใจ เป็นหลักในทางกฎหมาย ที่กำหนดว่าปัจเจกชน ผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐย่อมสามารถที่จะเชื่อมั่นในความคงอยู่สำหรับการตัดสินใจ ใดๆ ขององค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ และความเชื่อถือดังกล่าวนั้นจะต้องได้รับการคุ้มครอง หลักการดังกล่าว นี้มีรากฐานมาจากหลักกฎหมายว่าด้วยความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย หลักการคุ้มครองความเชื่อถือ หรือความไว้วางใจโดยสุจริตในบทบัญญัติของกฎหมาย เข้ามามีส่วนเกี่ยวพันหรือเป็นส่วนหนึ่งของ หลักกฎหมายว่าด้วยความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเชื่อถือ และไว้วางใจได้ว่า หลักเกณฑ์หรือข้อกำหนดหรือบทบัญญัติของกฎหมายที่รัฐตราขึ้นหรือออกมาใช้บังคับ มีผลบังคับผูกพันกับความคาดหวังหรือฐานะของเขานั้นมีความแน่นอนชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง 4) หลักห้ามมิให้กฎหมายมีผลย้อนหลัง หลักการนี้เรียกร้องไม่ให้กฎหมายมีผลใช้บังคับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้อนหลังไปเป็นโทษต่อเหตุการณ์ที่สิ้นสุดไปแล้ว การมีผลย้อนหลัง แบ่งออกได้สองกรณีคือ กรณีแรก การมีผลย้อนหลักโดยแท้ของกฎหมาย (die echte Rueckwirkung) หรือเรียกว่ามีผลย้อนหลังในผลของกฎหมาย (Rueckwirkung von Rechtsfolgen) กรณีนี้ได้แก่ กรณี ที่ข้อเท็จจริงอันใดอันหนึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้วโดยสมบูรณ์ และกฎหมายได้ย้อนไปมีผลกับข้อเท็จจริง ที่สิ้นสุดไปแล้ว และกรณีที่สอง คือ การมีผลย้อนหลังมิใช่โดยแท้(die unechte Rueckwirkung) หมายถึง กรณีที่กฎหมายได้เชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในอดีตแต่ข้อเท็จจริงนั้นยังมิได้ สิ้นสุดลงในขณะที่กฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้ และกฎหมายได้กำหนดให้มีผลสำหรับข้อเท็จจริงนั้น ในอนาคต รูปแบบของการย้อนหลังทั้งสองกรณี หากมีผลไปในทางที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้เกี่ยวข้องในกรณีนี้ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด แต่หากเป็นกรณีที่ก่อให้เกิดภาระหรือก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อผู้เกี่ยวข้อง การมีผลย้อนหลังในกรณีนี้ย่อมมีขอบเขตตามหลักความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย และหลักการคุ้มครองความเชื่อถือหรือความไว้วางใจโดยสุจริตในบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งหลักทั้งสอง ก็มิได้จำกัดการมีผลย้อนหลังโดยสิ้นเชิง แต่หากเป็นการย้อนหลังไปเป็นโทษในทางกฎหมายอาญา ถือว่า ต้องห้ามโดยเด็ดขาด ส่วนในขอบเขตของกฎหมายอื่น ๆ นั้น ในกรณีของการมีผลย้อนหลังโดยแท้ จำเป็นต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างหลักความแน่นอนชัดเจนของกฎหมายกับเหตุผลความจำเป็นของ ประโยชน์สาธารณะ ในการให้มีผลย้อนหลังดังกล่าว และสำหรับการมีผลย้อนหลังมิใช่โดยแท้ จะต้อง พิจาราณาชั่งน้ำหนักระหว่างขอบเขตของการคุ้มครองความเชื่อถือ หรือความไว้วางใจโดยสุจริตของ ประชาชนที่มีต่อกฎหมายกับความสำคัญของประโยชน์สาธารณะซึ่งเป็นความประสงค์ของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มุ่งประสงค์จะคุ้มครอง 5) หลักความพอสมควรแก่เหตุ หลักความพอสมควรแก่เหตุ หรือหลักความได้สัดส่วน ในกฎหมาย เยอรมันถือว่าเป็นหลักกฎหมายมหาชนทั่วไป ที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ได้รับ การยอมรับว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป และในระบบกฎหมายไทยเองก็ถือว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป ในกฎหมายมหาชน หลักการนี้ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรป โดยเป็นหลักการที่คำนึงถึงความยุติธรรม ทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลและความยุติธรรมต่อสังคมโดยรวม ทั้งนี้ เนื่องจากการอาศัยอยู่ร่วมกัน
24 ในสังคม ผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลก็ดีผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่แตกต่างกันก็ดีรวมทั้ง ผลประโยชน์ของมหาชนก็ดีย่อมมีผลกระทบต่อกันและกันเสมอ การคลี่คลายความขัดแย้งในเชิง ผลประโยชน์ดังกล่าวของประเทศในทางตะวันตกได้อาศัยหลักการนี้เป็นหลักในการแก้ปัญหาซึ่งส่งผลให้ การแก้ปัญหานั้นเป็นไปอย่างสันติบนหลักการของกฎหมายที่คำนึงถึงความยุติธรรมของทุกฝ่าย หลักความพอสมควรแก่เหตุ เรียกร้องว่ารัฐจะต้องคำนึงถึงในการใช้ อำนาจรัฐความพอเหมาะพอสมควรโดยมีการชั่งน้ำหนักผลกระทบระหว่างประโยชน์โดยรวมและ ประโยชน์ของปัจเจกชน แม้องค์กรของรัฐนั้นจะมีกฎหมายให้อำนาจกระทำการใดๆ ที่มีผลเป็นการจำกัด สิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยในการพิจารณาว่าองค์กรของรัฐใช้อำนาจรัฐอย่างอำเภอใจ หรือมาตรการ ของรัฐมีผลจำกัดสิทธิและเสรีภาพ หรือเป็นการสร้างภาระให้กับบุคคลเกินกว่าความจำเป็นหรือไม่นั้น จะต้องนำสาระสำคัญของหลักความพอสมควรแก่เหตุมาเป็นหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัย ซึ่งสาระสำคัญ ของหลักความพอสมควรแก่เหตุ ประกอบด้วย หลักเกณฑ์ 3 ประการ ได้แก่ (1) หลักความสัมฤทธิ์ผล (2) หลักความจำเป็น (3) หลักความพอสมควรแก่เหตุในความหมายอย่างแคบ อธิบายได้ ดังนี้ (ก) หลักความสัมฤทธิ์ผล (Principle of Suitability) หมายถึ ง หลักการที่เรียกร้องว่า มาตรการที่องค์กรของรัฐกำหนดขึ้น อันมีผลจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล หรือก่อให้เกิดภาระหน้าที่แก่บุคคลนั้น จะต้องเป็นมาตรการที่ทำให้วัตถุประสงค์ของรัฐในการใช้บังคับ มาตรการดังกล่าวบรรลุผลได้หรือเป็นมาตรการที่ก่อให้เกิดผลตามที่องค์กรของรัฐมุ่งประสงค์ได้จริง หากมาตรการใดเห็นได้ชัดเจนว่าไม่สามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้มาตรการนั้นย่อม ขัดต่อหลักความสัมฤทธิ์ผล (ข) หลักความจำเป็น (Principle of Necessity) หมายถึง หลักการที่ กำหนดว่า มาตรการของรัฐอันมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลนั้น จะต้องเป็นมาตรการ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือสร้างภาระให้แก่บุคคลน้อยที่สุด ดังนั้น เมื่อองค์กรของรัฐจะนำมาตรการ ใดๆ มาบังคับใช้กับบุคคล และมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่ชอบด้วยหลักความสัมฤทธิ์ผล กล่าวคือ เป็นมาตรการที่ทำให้วัตถุประสงค์ของรัฐสำเร็จลุล่วงได้หากมาตรการดังกล่าวมีมากกว่าหนึ่งมาตรการ และในบรรดามาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลมากน้อยแตกต่างกัน องค์กรของรัฐจะต้องเปรียบเทียบผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพที่เกิดจากบรรดามาตรการเหล่านั้น ว่ามาตรการใดก่อให้เกิดความรุนแรงต่อสิทธิและเสรีภาพน้อยที่สุด และต้องเลือกใช้บังคับมาตรการ ที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพน้อยที่สุด มาตรการดังกล่าวจึงจะถือได้ว่าเป็นมาตรการที่จำเป็น อย่างไร ก็ตาม หากปรากฏว่ามาตรการที่รัฐจะนำมาใช้บังคับกับบุคคลนั้นมีเพียงมาตรการเดียวที่ทำให้ บรรลุวัตถุประสงค์ของรัฐได้ มาตรการดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นมาตรการที่จำเป็น เพราะไม่มีกรณี ที่ต้องเปรียบเทียบผลกระทบของมาตรการต่าง ๆ ต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล เพื่อเลือกใช้ มาตรการใดมาตรการหนึ่งที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด (ค) หลักความพอสมควรแก่เหตุในความหมายอย่างแคบ (Principle of Proportionality stricto sensu) หมายถึง หลักการซึ่งกำหนดให้องค์กรของรัฐที่จะใช้มาตรการ ใด ๆ อันอาจเกิดผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ สาธารณะที่จะได้รับจากการบังคับใช้มาตรการนั้นกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลหรือ ผลประโยชน์ที่บุคคลต้องสูญเสียไปว่าประโยชน์สาธารณะที่จะได้รับนั้นมีน้ำหนักมากกว่าความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้น กับปัจเจกบุคคลหรือไม่ หากมาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลมากกว่า ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณะแล้ว แม้ว่ามาตรการนั้นจะมีประโยชน์ต่อสาธารณะอยู่บ้าง หรือเป็น
25 มาตรการที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการและก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลน้อยที่สุด แต่มาตรการ ดังกล่าวย่อมขัดต่อหลักความพอสมควรแก่เหตุในความหมายอย่างแคบ เพราะเป็นมาตรการที่ก่อให้ เกิดผลร้ายมากกว่าผลดีองค์กรของรัฐย่อมไม่สามารถใช้บังคับมาตรการดังกล่าวกับบุคคลได้ โดยสรุป หลักนิติรัฐจึงเป็นแนวคิดที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยมี วัตถุประสงค์สําคัญ คือ การคุ้มครองประชาชนจากการใช้อํานาจตามอําเภอใจของฝ่ายปกครองนั่นเอง การจํากัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต้องกระทําโดยกฎหมายซึ่งเป็นบทบัญญัติ ที่ตราขึ้นมาจากตัวแทนของประชาชน หรือกล่าวอีกอย่างว่า บุคคลอาจจะถูกจํากัดสิทธิเสรีภาพได้ จึงต้องแปลความว่า กฎหมายจึงเป็นข้อตกลงร่วมกันของประชาชนแต่ละคนในรัฐนั้น ๆ ที่จะยอม ลดหรือจํากัดสิทธิเสรีภาพของตนโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั่นเอง อันเป็นไปอย่างสอดคล้อง กับหลักการจํากัดสิทธิเสรีภาพตามแนวความคิดของทฤษฎีสัญญาประชาคม สําหรับประเทศไทยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยอมรับ หลักการจํากัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยกฎหมาย โดยยึดหลักการที่ว่า การจํากัดสิทธิเสรีภาพของ บุคคลตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทําได้แต่โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะ เพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้ และเท่าที่จําเป็นเท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสําคัญ แห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้และกฎหมายนั้นจะต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไป มิได้มุ่งหมายใช้บังคับ แก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อันเป็นไปตามหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับ เช่นกัน สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยมากมักจะกำหนดให้จํากัดได้โดยเงื่อนไขของกฎหมาย เท่านั้น หรือในกรณีที่เป็นสิทธิเสรีภาพประเภทที่ประชาชนจะเรียกร้องให้รัฐกระทําการอย่างใด อย่างหนึ่งให้รัฐธรรมนูญก็มักจะวางหลักโดยกำหนดให้ต้องมีการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใหม่เพื่อกำหนด หลักการและวิธีการที่ประชาชนจะใช้สิทธิเรียกร้องเช่นว่านั้น โดยมักสังเกตพบถ้อยคําว่า “...... ตามที่ กฎหมายบัญญัติ....” หรือ “..... ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” เป็นการกำหนดเงื่อนไขไว้ในตัวบทว่า การใช้หรือการจํากัดสิทธิเสรีภาพนั้นให้เป็นไปตามที่มีเงื่อนไขระบุไว้ในบทมาตรานั้น ๆ (4) หลักนิติธรรมกับสิทธิและเสรีภาพ หลักนิติธรรมเป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ถูกอธิบายในเชิงหลักการปกครอง ประเทศโดยใช้กฎหมายที่เป็นธรรม และทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย รวมถึงถูกอธิบายในเชิงคุณค่า หรืออุดมการณ์ทางกฎหมาย ในลักษณะหลักการปกครองเพื่ออิสรภาพส่วนบุคคลและความเสมอภาคของ กฎหมายต่อบุคคลทุกหมู่เหล่า และมีความหมายตรงข้ามกับกฎเกณฑ์ที่ออกโดยตามอำเภอใจของผู้ปกครอง ที่กดขี่ทั้งหลาย หลักนิติธรรมในปัจจุบันถูกนำมาอธิบายการจัดระเบียบทางสังคมการจัดความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐกับประชาชน ระบบกฎหมายและกฎระเบียบ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนความเสมอภาค การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมตัดสินใจ เพื่อการบรรลุหลักการ ประชาธิปไตยและการพัฒนาที่ยั่งยืน ความหมายของ “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” ได้อธิบายไว้ว่าความหมาย พื้นฐานของหลักนิติธรรม คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนที่อยู่ภายใต้กฎหมายคำว่า “หลักนิติธรรม” เป็นวลีหรือถ้อยคำของอุดมการณ์ทางกฎหมาย คำว่า “ธรรม”แสดงนัยความศักดิ์สิทธิ์ หรือภาวะอุดมคติที่แฝงอยู่ในความหมายของคำว่า หลักนิติธรรม และมีความหมายที่แฝงอุดมการณ์ การจัดความสัมพันธ์การใช้อำนาจระหว่างรัฐกับประชาชนให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ก่อปัญหา การข่มขู่คุกคาม หรือกระทำตามอำเภอใจของรัฐ โดยนัยหนึ่งหลักนิติธรรมมีความหมายเป็นหลักธรรม ศักดิ์สิทธิ์ทางกฎหมายที่ถูกยกเชิดชูขึ้นเป็นบรรทัดฐานเรื่องความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมของ การใช้อำนาจรัฐที่กระทบต่อสิทธิของประชาชน ในยุคสมัยกลางของยุโรป หลักนิติธรรมเป็นเรื่อง
26 หลักความสูงสุดของกฎหมาย (Supremacy of law) หรือกฎหมายเป็นใหญ่ เกี่ยวเนื่องกับลัทธิ ความเชื่อที่ว่ากษัตริย์หรือผู้มีอำนาจปกครอง มิใช่ผู้สร้างกฎหมาย แต่เป็นผู้สามารถประกาศหรือ ค้นพบกฎหมายและมีเพียงพระเจ้า (God) ที่ทรงสร้างกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นประชาชนหรือผู้ถูก ปกครองต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติของพระเจ้าและกฎหมาย แต่เมื่อใกล้สิ้นสุดยุคกลางแนวคิด หลักความสูงสุดของกฎหมายคลายลงและแปรเปลี่ยนมาเป็นการบัญญัติกฎหมายในฐานะเครื่องมือ การผลักดันนโยบายของรัฐ เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หลักนิติธรรมกลายเป็นแนวคิดที่ถูกอธิบาย อย่างแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น โดยคำอธิบายหลักมาจากนักกฎหมายชาวอังกฤษชื่อว่า A.V. Dicey จากหนังสือ “Law of the Constitution” ซึ่งอธิบายหลักการสำคัญของหลักนิติธรรม 3 ประการ คือ 1) ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจลงโทษบุคคลใดได้ตามอำเภอใจ เว้นเพียงในกรณีที่มีการ ละเมิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง และการลงโทษที่อาจกระทำได้นั้นจะต้องกระทำตามกระบวนการปกติของ กฎหมายต่อหน้าศาลปกติของกฎหมาย 2) ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งหรือเงื่อนไขประการใด ทุก ๆ คนล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน 3) หลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นผลจาก คำวินิจฉัยของศาลหรือกฎหมายธรรมดา มิใช่เกิดขึ้นจากการรับรองค้ำประกันเป็นพิเศษโดยรัฐธรรมนูญ ดังกรณีของรัฐธรรมนูญประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลักนิติธรรมของ Dicey จะได้รับการอธิบายอย่างแพร่หลาย แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อจำกัดของหลักนิติธรรมภายใต้แนวคิดของ Dicey ที่ว่าเป็นคำอธิบาย ที่ใช้ได้ภายในบริบทของประเทศอังกฤษ ทั้งยังเน้นหลักนิติธรรมในเชิงกระบวนการทางกฎหมาย มุ่งปกป้องสิทธิของปัจเจกบุคคลมากกว่าประชาชนทั่วไป เน้นรูปแบบภายนอกของกฎหมายที่ดี ให้ความสำคัญต่อบรรทัดฐานในกระบวนการทางกฎหมาย แต่หย่อนการคำนึงถึงเป้าหมายของ หลักนิติธรรม คำอธิบายของ Dicey จึงเป็นคำอธิบายที่ไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาความไม่ เสมอภาคและความเป็นธรรมของสังคม ขณะเดียวกันเป้าหมายของหลักนิติธรรมหรือหลักนิติธรรม ในเชิงคุณค่า ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีลักษณะนามธรรมหรืออุดมคติมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของความยุติธรรม ความเป็นธรรมความเสมอภาค ดังนั้น หลักนิติธรรมในยุคสมัยต่อมา โดยเฉพาะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการจึงเสนอให้วางหลักนิติธรรมที่เน้นเชิงคุณค่าให้มีความเป็นรูปธรรม และทำให้มีผลผูกพันต่อรัฐให้ชัดเจนมากขึ้น หลักนิติธรรมหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถูกขยายความให้เป็นมากกว่าหลักการ ปกครองและหลักกฎหมาย แต่เป็นหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความสงบสุขของสังคมและมีความสำคัญ ต่อการพัฒนาประเทศ รวมถึงการเชื่อมโยงการใช้หลักกฎหมายกับหลักศีลธรรม เช่น Lon L. Fuller นักวิชาการด้านกฎหมายชาวสหรัฐอเมริกาเสนอให้การใช้กฎหมายต้องมีการยึดหลักศีลธรรมไว้ภายใน กฎหมายนั้น ๆ อีกชั้น ซึ่งศีลธรรมภายในกฎหมายนี้มีองค์ประกอบ 8 ประการ คือ 1) เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปที่เหมาะสม 2) มีการประกาศให้ทราบทั่วไป 3) การไม่ใช้บังคับย้อนหลัง 4) มีบทบัญญัติที่กระจ่างชัดเจน 5) ไม่มีการวางหลักที่ขัดแย้งกับกฎหมายอื่น 6) ไม่บังคับให้กระทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
27 7) ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเกินควร 8) มีความสอดคล้องระหว่างการกระทำของเจ้าหน้าที่กับบทบัญญัติของกฎหมาย ภายใต้ระบบกฎหมายและระบบการเมืองการปกครองที่ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรม หน่วยงาน ของรัฐและองค์กรต่างๆ ต้องให้ความเคารพต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งยังขยายบทบาทของตัว แสดงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการหลักนิติธรรมจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาค ประชาชน ตลอดจนขยายให้เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบทุกระดับทั้งระดับท้องถิ่น ระดับรัฐ และระดับ ระหว่างประเทศ นอกจากนี้ หลักนิติธรรมยังถูกนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างความ ยุติธรรมทางสังคม การเสริมสร้างความเข้มแข็งการตรวจสอบอำนาจรัฐและการถ่วงดุลอำนาจการส่งเสริม การจัดบริการสาธารณะให้เป็นไปอย่างยุติธรรม การมีส่วนร่วมตัดสินใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน การกระจายอำนาจและทรัพยากร และการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ หลัก นิติธรรมได้ถูกบัญญัติไว้ในกติกาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อวางหลักการให้รัฐสมาชิก ได้นำไปเป็นแนวปฏิบัติสำหรับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในประเทศรวมถึงประเทศไทย นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม (Thailand Development Research Institute) ให้ความหมาย หลักนิติธรรมในความหมายทั่วไปว่า หมายถึง หลักพื้นฐานแห่งกฎหมายที่กฎหมายกระบวนการ ยุติธรรมหรือการกระทำใดๆ จะต้องไม่ฝ่าฝืน ขัด หรือแย้งต่อหลักนิติธรรม โดยหลักนิติธรรม หรือหลักพื้นฐานแห่งกฎหมายนี้จะถูกล่วงละเมิดไม่ได้ หากกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม หรือ การกระทำใด ๆ ฝ่าฝืน ขัด หรือแย้งต่อหลักนิติธรรมย่อมไม่มีผลบังคับใช้ การให้ความหมายหลักนิติธรรมในยุคสมัยปัจจุบันได้ครอบคลุมถึงเรื่องหลักนิติธรรมที่มี การพัฒนาประชาธิปไตย หลักธรรมาภิบาล การเป็นมาตรฐานและบรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชนการพัฒนา ที่ยั่งยืน ตลอดถึงการเป็นหลักกฎหมายที่ดีแห่งการคุ้มครองสิทธิของประชาชน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการ อิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมให้ความหมายหลักนิติ ธรรมในความหมายกว้างว่าหมายถึง กฎหมายที่ดีที่มีความชัดเจน นำไปสู่ความเป็นธรรม คุ้มครองสิทธิ มนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ วัฒนธรรม กฎหมายมีบทลงโทษ มีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพมีกระบวนการนิติบัญญัติที่เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้มีกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงโดยสะดวกตลอดจน มีนักกฎหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่รัฐที่ซื่อสัตย์ สุจริต ยึดหลักคุณธรรมเมตตาธรรม และสันติธรรม Kofi Annan ให้ความหมาย หลักนิติธรรมที่สัมพันธ์กับหลักสิทธิมนุษยชนธรรมาภิบาล และประชาธิปไตย กล่าวคือ หลักนิติธรรม คือ หลักการธรรมาภิบาลที่บุคคลทุกคน สถาบัน และ องค์กรต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงประเทศนั้นๆ มีหน้าที่รับผิดชอบต่อกฎหมาย ที่ประกาศบังคับใช้อย่างเท่าเทียม สอดคล้องกับบรรทัดฐานและมาตรฐานด้านสิทธิมนุษ ยชน การเสริมสร้างประชาธิปไตย และการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้กฎเกณฑ์เป็นไปตามอำเภอใจของรัฐ ให้ความหมายหลักนิติธรรม หมายถึง หลักการปกครองที่รัฐ เอกชน ประชาชน ภายในรัฐต้องปฏิบัติ ตามกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนประชาธิปไตย ความเสมอภาค หลักความถูกต้องของ กฎหมายความยุติธรรม หลักการแบ่งแยกอำนาจ และการมีส่วนร่วมตัดสินใจของประชาชน หลักนิติธรรมยังเป็นการส่งเสริมขีดความสามารถของประชาชนในการทำงานร่วมกับ ภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ ทั้งระดับท้องถิ่น ชาติและนานาชาติ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในนโยบาย สาธารณะ การจัดบริการสาธารณะ รวมถึงการพัฒนาประเทศทุกมิติ
28 หลักนิติธรรมในขอบข่ายการคุ้มครองสิทธิของประชาชน ยังมีความสัมพันธ์กับการ พัฒนาประชาธิปไตย เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ กล่าวคือ 1) การใช้อำนาจอธิปไตยของ ประชาชน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยกำหนดให้ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตยอย่าง เสมอภาคภายใต้กฎหมาย 2) การตรากฎหมาย จำเป็นต้องเคารพหลักนิติธรรมและสิทธิของประชาชน และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และ 3) การใช้อำนาจปกครองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย สิ่งสำคัญ คือ องค์กรที่ใช้อำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไปละเมิดและลิดรอนสิทธิของประชาชนมิได้ หากมีการใช้อำนาจตามอำเภอใจแล้ว ก็มิอาจเรียก การปกครองนั้นว่าเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งหลักนิติธรรมกำหนดให้อย่างน้อยต้องมี การแบ่งการใช้อำนาจระหว่างองค์กรต่าง ๆ และระหว่างรัฐกับประชาชน รวมถึงการรับรองสิทธิ ของประชาชน เช่น การวิพากษ์ วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม การตรวจสอบอำนาจรัฐ การฟ้องคดีทางการปกครอง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือให้ประชาชนได้ใช้ต่อรอง ถ่วงดุล ควบคุม การใช้อำนาจรัฐ และกำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจโดยเคารพต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับ หลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เมื่อพิจารณาย้อนกลับไปถึงพัฒนาการของแนวคิดหลักนิติธรรมในขอบข่ายการคุ้มครอง สิทธิของประชาชนในยุคกรีกโบราณ Aristotle ได้กล่าวถึงหลักนิติธรรมไว้ในหนังสือ“Politics” ว่า “มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมมากกว่าที่จะให้กฎหมายแก่ประชาชนคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปกครอง” และบุคคลผู้ถือครองอำนาจสูงสุดควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเพียง “ผู้พิทักษ์ และผู้รับใช้ของกฎหมาย” ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวเป็นที่มาของวลีหลักนิติธรรมในสมัยต่อมา คือ “รัฐบาลโดยกฎหมาย มิใช่โดยบุคคล” ทั้งยังสะท้อนถึงการปกครองโดยกฎหมายที่เป็นธรรมเพื่อให้การคุ้มครองประชาชนได้อย่างเป็นธรรม เช่นกันต่อมาในยุคสมัยโรมัน กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Laws of the twelve tables) ได้ตรากฎหมาย เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ และเผยแพร่กฎหมายให้ประชาชนทั่วไปรับรู้และปฏิบัติตามได้ รวมทั้งมีข้อบัญญัติในกฎหมายของโต๊ะที่ 9 ว่าด้วยสิทธิพิเศษ (Privileges) หรือกฎข้อบังคับใด ๆ ที่ไม่อาจ ถูกตราขึ้นได้เพื่อเอกชนคนใดคนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อคนอื่น ๆ อันเป็นการขัดต่อ กฎหมายที่ใช้กับประชาชนทั้งหมด หลักการของกฎหมายโต๊ะที่ 9 นอกจากมุ่งปกป้องสิทธิของประชาชน ทั่วไปแล้วยังกำหนดคุณลักษณะสำคัญของกฎหมาย นั่นคือ การวางหลักกว้าง ๆ ความแน่นอนของ กฎหมายที่ทำให้ผู้คนเข้าใจคาดหมาย และถือประโยชน์จากกฎหมายได้เสมอภาคกัน กฎหมายจึงมี บทบาทในการเอื้อประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิของประชาชน กล่าวโดยสรุป หลักนิติธรรมในขอบข่ายการคุ้มครองสิทธิของประชาชนเป็นการให้ ความสำคัญทั้งในเชิงคุณค่าและกระบวนการของหลักนิติธรรม ธรรมในที่นี้ คือ หลักธรรมศักดิ์สิทธิ์ ทางกฎหมายที่เป็นบรรทัดฐานการใช้อำนาจรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชน การไม่ใช้อำนาจรัฐ ตามอำเภอใจในการละเมิดสิทธิของประชาชน หลักนิติธรรมในขอบข่ายการคุ้มครองสิทธิของ ประชาชนยังเน้นการอธิบายในความหมายกว้าง หลักนิติธรรมเป็นการจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ กับประชาชนโดยยึดหลักการปกครองด้วยกฎหมายที่ดีเพื่อบรรลุการพัฒนาประชาธิปไตยและ การพัฒนาที่ยั่งยืนหลักนิติธรรมในแง่นี้จึงเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนครอบคลุมทั้งสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิการพัฒนา ในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และการมีกฎหมายที่ดีเพื่อนำไปสู่ความเป็นธรรมและ การคุ้มครองสิทธิของประชาชน โดยที่หลักนิติธรรมในขอบข่ายการคุ้มครองสิทธิของประชาชน มีพัฒนาการมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ แต่ถูกทำให้ชัดเจนมากขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย
29 กำหนดให้หลักนิติธรรมเป็นหลักการ บรรทัดฐาน และมาตรฐานสำหรับการส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเพื่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะประชาชน กลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางตลอดจนถึงกลุ่มผู้ถูกละเมิดสิทธิจากกิจกรรมของภาครัฐและ/หรือ ภาคเอกชน (5) การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ด้านสิทธิและเสรีภาพได้มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน เริ่มตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 16 ในช่วงนี้เป็นยุคของเสรีภาพในทางศาสนา ไม่ปรากฏการเรียกร้องเสรีภาพในทางความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในทางวิชาการ ช่วงศตวรรษที่ 16 เข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 17 มีความเข้าใจ ในสิทธิและเสรีภาพตามความหมายของสมัยใหม่ และเกิดทฤษฎีสัญญาประชาคม มีการพัฒนาสิทธิ และเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ เสรีภาพในการทำสัญญา และเสรีภาพในการประกอบอาชีพ การแทรกแซง ในเสรีภาพของบุคคลจะต้องกระทำได้โดยกฎหมายที่ออกโดยที่ประชุมของตัวแทนประชาชน บุคคล ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ คือ John Locke โดย Locke เห็นว่าชีวิต เสรีภาพ และ กรรมสิทธิ์เป็นสิทธิที่ติดตัวปัจเจกบุคคลมาตั้งแต่เกิด โดยสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิที่มีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน อย่างอิสระของปัจเจกบุคคลในสภาวะธรรมชาติและเพื่อให้เกิดหลักประกันต่อสิทธิและเสรีภาพของ บุคคล Locke ได้เรียกร้องให้มีการแยกอำนาจนิติบัญญัติออกจากอำนาจบริหาร แนวความคิดของ Locke ได้รับการพัฒนาโดยนักปรัชญาเรื่อยมาจนในศตวรรษที่ 18 แนวความคิดดังกล่าวในข้างต้น ได้นำไปสู่การประกาศสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสหรัฐอเมริกาและในฝรั่งเศส ประกาศดังกล่าว ได้กล่าวถึงเสรีภาพและหลักการที่สำคัญรวมทั้งแนวคิดในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพอาจกระทำได้ โดยบทบัญญัติของกฎหมาย คำประกาศทั้งสองฉบับต่างมีอิทธิพลต่อหลักการสิทธิและเสรีภาพ อย่างสำคัญ ต่อมาในศตวรรษที่ 19 เกิดพัฒนาการของสิทธิและเสรีภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการดำรงชีพหรือเรียกว่า “สิทธิขั้นพื้นฐานทางสังคม” สิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตเกี่ยวกับ ผลประโยชน์โดยรวมของสังคม เช่น การมีงานทำ การให้หลักประกันสำหรับอนาคตการให้ความดูแล ทางด้านสุขภาพ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การศึกษาเป็นต้น เพื่อให้ผลประโยชน์ โดยรวมของสังคม สามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายได้ จำเป็นต้องอาศัยกฎหมายเป็นมาตรการบังคับ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพแต่เดิมจะเป็นเรื่องการคุ้มครองภายในรัฐแต่ละรัฐเท่านั้น แต่ในปัจจุบันพัฒนาการของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพนั้นพัฒนาและเดินไปในทิศทางเดียวกัน มากขึ้น โดยความร่วมมือระหว่างกันในแต่ละประเทศ จนกระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 องค์การสหประชาชาติได้ประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขึ้น ปฏิญญาฉบับนี้ได้กำหนด สิทธิต่าง ๆ ที่ประชาชนควรได้รับการคุ้มครอง การใช้สิทธิดังกล่าวต้องไม่ล่วงละเมิดต่อสิทธิของ บุคคลอื่น รวมทั้งการใช้อำนาจของรัฐมิให้ไปกระทบกระเทือนถึงสิทธิดังกล่าว ปฏิญญานี้จึงเป็นพื้นฐาน ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยสิทธิที่สำคัญที่จะขอกล่าวถึง ประกอบด้วย 4 ประการ ประกอบด้วย (5.1) สิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหาย (5.2) สิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม (5.3) สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองความปลอดภัย (5.4) สิทธิที่ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม มีรายละเอียด ดังนี้
30 (5.1) สิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหาย สิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหาย เป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับ การบรรเทาหรือเยียวยาความเสียหายที่ได้รับจากการกระทำความผิดอาญาจัดเป็นสิทธิมนุษยชน ขั้นพื้นฐานตามปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการพื้นฐานในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ได้รับ ความเสียหายจากอาชญากรรมและการใช้อำนาจโดยมิชอบ ค.ศ. 1985 (Declaration of Basic Principles of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) องค์การสหประชาชาติ ได้มีมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 40/34 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1985 ประกาศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการพื้นฐานในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายจาก อาชญากรรมและการใช้อำนาจโดยมิชอบ ค.ศ. 1985 (Declaration of Basic Principles of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) โดยมีปรัชญาพื้นฐานส่งเสริมให้ผู้เสียหายหรือ เหยื่ออาชญากรรมในคดีอาญาได้รับการยอมรับและได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ปฏิญญานี้ได้วางหลักการให้ความสำคัญกับผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมที่เกิดจากการ กระทำความผิดอาญา โดยการกำหนดมาตรฐานการคุ้มครองผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมไว้ 4 ประการ ดังนี้ 1) การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to Justice and Fair Treatment) 2) การได้รับค่าชดเชยความเสียหายโดยผู้กระทำความผิด (Restitution) 3) การได้รับการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมใน คดีอาญาโดยรัฐ (Compensation) 4) การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรม (Assistance) จะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป ปฏิญญาดังกล่าวจึงเป็นการกำหนดกรอบนโยบายให้แต่ละประเทศได้นำไปปฏิบัติ ด้วยการกำหนดกฎหมายและนโยบายคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญา เพราะเห็นว่า เมื่อมีความ เสียหายอันเกิดขึ้นจากการกระทำความผิดอาญา รัฐควรมีส่วนสำคัญในการเยียวยาความเสียหาย ดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศไทย สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งของผู้เสียหายจากการกระทำความผิดอาญาตามกฎหมายไทย ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (ระบบเยียวยาโดยรัฐ) และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 (ระบบเยียวยาโดยจำเลยในคดีอาญาซึ่งมีพนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดี) (5.2) สิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้น ถือเป็นเรื่อง ที่มีความสำคัญมาก ทั้งนี้เพราะกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะทางอาญาเป็นเรื่องที่จะต้องมี ความชัดเจนและความโปร่งใสในการลงโทษผู้กระทำความผิด และการลงโทษทางอาญานั้นก็จะต้อง เป็นการได้ความจริงว่าบุคคลนั้นเป็นผู้กระทำความผิด ด้วยเหตุนี้การให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะมีผลทำให้ประชาชนทั่วไปมีความเข้าใจถึงกระบวนการยุติธรรม และมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของตนว่ามีความเป็นธรรมอย่างแท้จริง สำหรับประเทศไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม จึงมีการบัญญัติ หลักการสำคัญไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
31 โดยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ส่วนที่ 5 มาตรา 81 ได้บัญญัติถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมไว้ดังนี้ 1) ดูแลให้การปฏิบัติและการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และทั่วถึง ส่งเสริมการให้ความช่วยเหลือและให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน และจัดระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอื่นในกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โดยให้ ประชาชนและให้องค์กรวิชาชีพมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมและการช่วยเหลือประชาชน ทางกฎหมาย 2) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิด ทั้งโดย เจ้าหน้าที่ของรัฐและโดยบุคคลอื่น และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน 3) จัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการ เป็นอิสระเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญโดยต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนั้นประกอบด้วย 4) จัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ ดำเนินการเป็นอิสระ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ ยุติธรรม 5) สนับสนุนการดำเนินการขององค์กรภาคเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว จากข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 ซึ่งมี เจตนารมณ์กำหนดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากฎหมายและการยุติธรรม โดยที่รัฐบาล ต้องดำเนินการ ดังนี้ 1) ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง เป็นธรรม มีประสิทธิภาพและไม่เลือกปฏิบัติ 2) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้พ้นจากการกระทำละเมิด และให้ หมายความรวมถึง การถูกกระทำรุนแรงไม่ว่าทางใดๆ 3) ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมและเข้าถึงได้สะดวก 4) จัดให้มีการช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้องค์กรภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการ ช่วยเหลือทางกฎหมายทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครองแก่ประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับ ผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว 5) จัดให้มีองค์กรอิสระในการพัฒนาและปฏิรูปกฎหมาย และตรวจสอบกฎหมาย ต่าง ๆ ว่าขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยให้นักกฎหมายหรือบุคคลจากภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วม อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการกำหนดให้รัฐต้องมี การจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ในมาตราต่อไปนี้ มาตรา 68 รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มี ประสิทธิภาพเป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำใด ๆ
32 มาตรา 258 ให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล ดังนี้ ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (1) ให้มีการกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า และมีกลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลน ทุนทรัพย์ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ รวมตลอดทั้งการสร้างกลไกเพื่อให้มีการบังคับการตาม กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม (2) ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่าง พนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม กำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ชัดเจนเพื่อมิให้คดีขาดอายุความ และสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติ หน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการสอบสวนคดีอาญา รวมทั้งกำหนดให้การ สอบสวนต้องใช้ประโยชน์จากนิติวิทยาศาสตร์ และจัดให้มีบริการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์มากกว่า หนึ่งหน่วยงานที่มีอิสระจากกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างมีทางเลือก (3) เสริมสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรขององค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องใน กระบวนการยุติธรรมให้มุ่งอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยสะดวกและรวดเร็ว (4) ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการ ตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง และโยกย้าย และการพิจารณา บำเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึง อาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมี อิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน มาตรา 260 ในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามมาตรา ๒๕๘ ง. ด้านกระบวนการ ยุติธรรม (4) ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ประกอบด้วย (1) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์ และไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน เป็นประธาน (2) ผู้เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการตำรวจซึ่งอย่างน้อยต้องมีผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติรวมอยู่ด้วยมีจำนวนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เป็นกรรมการ (3) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์ และไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน มีจำนวนเท่ากับกรรมการตาม (2) เป็นกรรมการ (4) ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ ให้คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เมื่อครบกำหนดเวลาตามวรรคสองแล้ว ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจดำเนินการตามหลักอาวุโสตาม หลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
33 (5.3) สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย Abraham Maslow นักจิตวิทยา กล่าวว่าความปลอดภัยเป็นแรงจูงใจที่ส่งผล ต่อพฤติกรรมและบุคลิกภาพ โดยแรงจูงใจด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตน (Safely Need) เมื่อความต้องการอันดับแรกได้รับการตอบสนอง ต่อมาก็เกิดความต้องการจะรักษา ชีวิตและทรัพย์สินของตนให้มีความปลอดภัย แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบสนอง มนุษย์จะเกิดความกลัว หลาย ๆ อย่าง ตั้งแต่ระดับสามัญถึงระดับผิดปกตินั้น มนุษย์จึงต้องการความปลอดภัย Thomus และ Znamiecki กล่าวถึงความต้องการความปลอดภัยว่า เป็นความ ต้องการของมนุษย์ ซึ่งเป็นความสำคัญนอกเหนือจากความต้องการทางร่างกาย รวมทั้งหลักจิตวิทยา ยอมรับว่าคำให้การพยานบุคคลมักมีความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และไม่ถูกต้องเกิดขึ้นเสมอ ๆ ทั้งที่ พยานบุคคลผู้ให้ถ้อยคำนั้นจะมีความต้องการอย่างแรงกล้าในการให้ความจริง บางครั้งถึงกับมี การกล่าวว่า ไม่มีคำให้การของบุคคลใดที่ถูกต้องสมบูรณ์แม้พยานจะรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกต้อง และจดจำได้แม่นยำก็อาจมีปัจจัยที่มีผลกระทบทำให้พยานถ่ายทอด (เบิกความ) ข้อเท็จจริงไม่ตรง ความจริงที่ตนรู้เห็นมาปัจจัยที่สำคัญ คือ อคติส่วนตัว เช่น พยานมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยหรือ จำเลยติดสินบน หรือพยานมีส่วนได้เสียในผลของคดีอยู่ด้วย ในการที่รัฐจะทำให้การมีอยู่ซึ่งพยานบุคคลและให้พยานนั้นมีคุณค่าต่อ การพิจารณาคดีในเบื้องต้น รัฐต้องจัดการให้บุคคลที่มาเป็นพยานได้รับความปลอดภัยจึงจะได้มา ซึ่งพยานหลักฐานที่ดีที่สุด (Best Evidence) หรือพยานสำคัญในคดี (Material Witness) อันส่งผล ต่อประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมและยังเป็นการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องความปลอดภัย อีกด้วย การรักษาไว้ซึ่งพยานสำคัญในคดีเป็นเครื่องมือในการปราบปรามอาชญากรรม เนื่องจากพยาน บุคคลหรือบางครั้งจำเป็นต้องใช้ผู้กระทำผิด หรือผู้ร่วมขบวนการมาเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ความผิด ในการนำผู้กระทำผิดหรือผู้ร่วมกระบวนการมาลงโทษ พยานสำคัญในคดีที่เบิกความจึงมีความสำคัญ ต่อกระบวนการพิจารณาอย่างยิ่ง รัฐจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการมาปรากฏตัวของพยาน จนกระทั่งเบิกความเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยรัฐต้องมีการคุ้มครองพยานที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ที่ทำให้พยานหันมาให้ความร่วมมือและเป็นพยานให้รัฐ ดังนั้น การคุกคาม ข่มขู่ การทำร้าย หรือ ขัดขวางด้วยวิธีใด ๆ ต่อพยาน จึงเป็นการขัดขวางการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรม ถือว่าเป็น ความผิดอาญาและยังเป็นความผิดต่อกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย นอกจากการคุ้มครองพยานบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญา โดยเฉพาะคดีที่มีการกระทำผิดเกี่ยวเนื่องกับรัฐต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐผู้เสียหายหรือไม่ โดยรัฐนั้น ๆ พยายามหามาตรการต่าง ๆ ในการให้ความคุ้มครองพยานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการส่งเสริม ความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญาในกรณีที่รัฐตนตกเป็นผู้เสียหาย หากการใช้มาตรการ คุ้มครองพยานของรัฐตนไม่มีประสิทธิภาพ รัฐที่มีพยานรู้เห็นถึงการกระทำหรือมีถิ่นที่อยู่ หรือรัฐ เจ้าของสัญชาติของพยาน ก็อาจไม่ส่งพยานเข้ามาเบิกความในรัฐนั้น ๆ แต่ถ้าหากรัฐผู้เสียหาย มีมาตรการคุ้มครองพยานที่มีประสิทธิภาพรัฐที่มีพยานรู้เห็นในการกระทำหรือมีถิ่นที่อยู่ หรือรัฐ เจ้าของสัญชาติของพยานก็คงไม่ขัดข้องในการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญาและ ยินยอมให้พยานนั้น ๆ มาเบิกความในรัฐผู้เสียหายนั้น (5.4) สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การเข้าถึงความยุติธรรม (Access to Justice) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง อย่างหนึ่งของมนุษย์การเข้าถึงความยุติธรรม เช่น การได้รับหลักประกันความเสมอภาคตามกฎหมาย
34 และการไม่ถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติในลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งการขจัดอุปสรรคอื่น ๆ ในการเข้าถึง ความยุติธรรม ย่อมเป็นการส่งเสริมการพัฒนามนุษย์อย่างสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในแง่ของการที่จะ ไม่ถูกปิดกั้นโอกาสและทางเลือกต่าง ๆ ในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ นอกจากนี้ มีการอธิบายแนวคิดของการเข้าถึงความยุติธรรมควบคู่กับคำว่า “ความเสมอภาคตามกฎหมาย” (Equality Before the Law) ซึ่งหมายความว่าบุคคลทุกผู้ทุกนาม ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกระบวนของกฎหมายอย่างเป็นธรรม ในทำนองเดียวกับการเข้าถึง ความยุติธรรม อย่างไรก็ดี ความเสมอภาคตามกฎหมายนั้นมีความหมายที่เป็นสากลมากกว่า ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมตามกฎหมาย หรือการไม่ถูกกีดกัน หรือเลือกปฏิบัติ (Non-discrimination) นักวิชาการบางคนมองว่า การปกป้องความเสมอภาค ตามกฎหมายจำเป็นต้องขจัดอุปสรรคในเรื่องการเข้าถึงความยุติธรรม ซึ่งหมายถึงการขจัดอุปสรรค ใด ๆ ที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถบังคับใช้สิทธิของตนเองได้ หรืออาจกล่าวได้ว่าการเข้าถึงความ ยุติธรรมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความเสมอภาคตามกฎหมายนั่นเอง ศาลฎีกาของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลียให้ความหมายของความเสมอภาคตามกฎหมายไว้ว่า “ประชาชนทุกคนซึ่งต้อง เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางศาล (ไม่ว่าจะโดยผ่านตัวแทนหรือด้วยตนเอง) ไม่เพียงต้องได้รับ การปฏิบัติอย่างยุติธรรมโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติแต่ยังต้องทำให้พวกเขาเชื่อถือด้วยว่าจะได้รับ การปฏิบัติอย่างยุติธรรมโดยปราศจากอคติหรือการเลือกปฏิบัติใด ๆ มิฉะนั้น ความไว้วางใจของ สาธารณะต่อระบบยุติธรรมย่อมถูกสั่นคลอน” อุปสรรคในการทำความเข้าใจแนวคิดของการเข้าถึงความยุติธรรมนั้นเกิดจาก การไม่มีคำนิยามสากลที่ชัดเจนว่าสิ่งใดช่วยให้เกิดการเข้าถึง และสิ่งใดคือความยุติธรรม ซึ่งถือเป็น องค์ประกอบหลักของการเข้าถึงความยุติธรรม ได้แก่ การเข้าถึง (Access) และความยุติธรรม (Justice) การเข้าถึงนั้น หมายถึง ความสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากความจำเป็น การเข้าถึง คือการที่ประชาชนสามารถเข้าหาและใช้ระบบกระบวนการยุติธรรมเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ข้อพิจารณาอีกประการหนึ่งในเรื่องความสามารถในการเข้าหาและใช้ระบบ กระบวนการยุติธรรมคือ การขาดความเท่าเทียมและความเสมอภาคด้านความสามารถดังกล่าว โดยเฉพาะในแง่ของการเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างไม่เสมอภาค การที่ ประชาชนเผชิญอุปสรรคอย่างไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงความยุติธรรมถือว่าเป็นการขาดความ เสมอภาคอย่างหนึ่ง เป็นที่ประจักษ์ชัดแม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วว่า ผู้มีฐานะด้านสังคมและเศรษฐกิจ สูงในสังคมมักมีโอกาสและความสามารถในการเข้าถึงความยุติธรรมได้มากกว่าผู้มีฐานะที่ต่ำกว่า อุปสรรคต่อการเข้าถึงความยุติธรรมในที่นี้จำเป็นต้องย้ำอีกครั้งว่า “ความยุติธรรม” ตามที่ได้กล่าวข้างต้น เป็นสิ่งที่ผู้คนพยายามเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้มา ความหมายของความยุติธรรม นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ การรับรู้ถึงความยุติธรรมนั้นอาจเข้าใจได้ง่ายกว่าการหาความหมายให้กับ ความยุติธรรม โดยปกติแล้วความยุติธรรมแสดงถึงการบริหารจัดการกฎหมายตามหลักการที่ กำหนดและเป็นที่ยอมรับกัน การเข้าถึงความยุติธรรม หมายถึง บุคคลทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน ในการบังคับใช้ตามสิทธิต่าง ๆ ของตน โดยการเข้าถึงความยุติธรรม จะต้องพิจารณาจาก 1) “ใคร” สามารถที่จะเข้าถึงความยุติธรรมได้การเข้าถึงความยุติธรรม เป็นแนวคิดซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความยุติธรรมไม่ควรจะเป็นเรื่องสิทธิพิเศษของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
35 โดยเฉพาะ แต่ความยุติธรรมควรต้องเข้าถึงประชาชนทุกคนในสังคมและต้องเป็นไปตามหลัก ความเท่าเทียมความเสมอภาค และความยุติธรรม 2) “สิ่งใด” ที่ควรจะได้รับการจัดหาให้โดยที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยเสมอภาคกัน โดยทั่วไปแล้ว สิ่งนั้นคือกระบวนการยุติธรรมที่มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเป็นแนวคิดในเรื่องสิทธิของปัจเจกชนในการได้รับความยุติธรรม และความสามารถของปัจเจกชน ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมหรือได้รับการเยียวยาทางกฎหมาย โดยสรุป แนวคิดและหลักการพื้นฐานในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมีมาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 16 จากเดิมคุ้มครองภายในรัฐแต่ละรัฐเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการขยายการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของ บุคคลองค์กรสหประชาชาติได้ประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่กำหนดสิทธิต่าง ๆ ที่ ประชาชนควรได้รับการคุ้มครอง รวมถึงการใช้อำนาจของรัฐที่มิให้กระทบกระเทือนสิทธิของประชาชน ซึ่งปัจจุบันพัฒนาการของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพนั้น พัฒนาและเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น โดยความร่วมมือระหว่างกันในแต่ละประเทศ สิทธิของผู้เสียหายที่ควรได้รับการคุ้มครองในการศึกษา ครั้งนี้ ประกอบด้วย 4 สิทธิ ตามที่ได้กล่าวแล้ว เพื่อให้เกิด “ความเสมอภาคตามกฎหมาย” (Equality Before the Law) ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกระบวนการของกฎหมาย อย่างเป็นธรรม ทำนองเดียวกับการเข้าถึงความยุติธรรมภายใต้หลักนิติธรรม เพื่อยกระดับความคุ้มครอง สิทธิของผู้เสียหายให้เข้าถึงการเยียวยา และให้ผู้เสียหายเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม 2.1.3 แนวคิดการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (1) การดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เมื่อมีการกระทำความผิดกฎหมายอาญาเกิดขึ้นโดยเฉพาะการกระทำที่ฝ่าฝืน กฎหมายอาญา ผู้กระทำผิดต้องถูกดำเนินคดีภายใต้ระบบการลงโทษที่เป็นทางการของรัฐ หรือที่ เรียกกันทั่วไปว่า “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” (Criminal Justice System) ซึ่งเป็นระบบ การลงโทษและเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายที่ว่าด้วยการสืบสวน การสอบสวน การจับกุมผู้ต้องหาและการฟ้องร้องเพื่อให้มีการพิจารณาคดีในศาลยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม ในศาลจะยุติลงเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องหรือศาล ได้มีคำพิพากษาปล่อยตัวจำเลยไป หากว่าเป็นที่ศาลพิพากษาลงโทษเพราะปรากฏว่าจำเลยได้กระทำ ผิดตามกฎหมาย จำเลยก็ต้องถูกลงโทษตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้นั้น (Nullum crimen, nulla poemasine lege) เช่น ถูกลงโทษประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน หรือใช้วิธีการ เพื่อความปลอดภัย หรือศาลอาจใช้วิธีการรอการลงโทษโดยการกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติจำเลย หรือไม่ก็ได้ กระบวนการทั้งหมดที่ได้กล่าวเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรม ซึ่งการอำนวยความยุติธรรมภายใต้แนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยนั้น กระบวนการดังกล่าวจะต้อง ยึดหลักการปกครองโดยกฎหมาย (The Rule of Law) กล่าวคือ 1) รัฐธรรมนูญเป็นหลักในแง่ที่ให้ประกันสิทธิและเสรีภาพของบุคคล 2) กฎหมายอาญารวมทั้งพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่มีโทษทางอาญา เป็นหลักในแง่ ที่กำหนดกฎเกณฑ์ องค์ประกอบของความผิดและโทษที่จะลงแก่บุคคลที่กระทำความผิด และ
36 3) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลักในแง่ที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนำ ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และในขณะเดียวกันก็กำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ตามรัฐธรรมนูญไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนโดยไม่ชอบธรรม การกระทำผิดที่กระทบกระเทือนต่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม เช่น ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา รัฐในฐานะที่เป็นผู้ดูแลรักษาความสงบของสังคมและเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการ บังคับใช้กฎหมายดังที่ปรากฏในประเทศต่างๆ นั้นได้กลายมาเป็นผู้ที่ผูกขาดอำนาจหรือเกือบจะ ผูกขาดแต่ผู้เดียวในการดำเนินการกับผู้กระทำผิดผ่าน “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” ที่รัฐสร้างขึ้น อันทำให้การกระทำความผิดอาญาส่วนใหญ่ได้กลายมาเป็นการกระทำความผิดต่อรัฐ หรือในบาง ประเทศรัฐเป็นผู้ผูกขาดแต่ผู้เดียว ดังนั้น รัฐเท่านั้นที่จะเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา ต่อผู้กระทำความผิดซึ่งเท่ากับว่ารัฐเท่านั้นจึงเป็นผู้เสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับ ผู้กระทำความผิดในนามของสังคม สมาชิกของสังคมที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น หรือผู้เสียหาย เป็นเพียงผู้ที่จะต้องร้องทุกข์เพื่อให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อไปเท่านั้น การฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาเพื่อระงับข้อพิพาทโดยอาศัยระบบกระบวนการยุติธรรมทาง อาญาในระดับหนึ่งและในเวลาใดเวลาหนึ่งแสดงให้เห็นมาตรฐาน ความมีประสิทธิภาพและความ สะดวกในการที่ผู้เสียหายในคดีอาญาหรือสังคมจะดำเนินการต่อผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีอาญาร้ายแรง เพราะองค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีเมื่อสังคมพัฒนาขึ้นและมีความหลากหลายและสลับซับซ้อนมากขึ้น การกระทำความผิดอาญาก็มีการพัฒนาตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นเดียวกันจนยากที่รัฐหรือ องค์กรที่บังคับใช้กฎหมายจะสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพดังที่ผ่านมา และเมื่อ สังคมมีซับซ้อนมากขึ้น รัฐพยายามที่จะแก้ปัญหาการควบคุมสังคมโดยการบัญญัติกฎหมายของรัฐ โดยเฉพาะกฎหมายที่มีการกำหนดบทลงโทษในทางอาญานั้นมีมากขึ้น (Overcriminalization) เช่น ความผิดเกี่ยวกับจราจร ความผิดเกี่ยวกับการค้า การจ้างงานอุตสาหกรรม หรือเทศบัญญัติต่าง ๆ ซึ่งมี บทลงโทษทางอาญาทั้งสิ้น กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในฐานะที่ทำหน้าควบคุมสังคม หรือเรียกว่า “การควบคุมสังคมอย่างเป็นทางการ” (Formal system of social control) นั้นกำลังประสบปัญหา และมีข้อโต้แย้งว่าทำให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมตามมามากมาย ทั้งในส่วนของผู้ที่ต้องเกี่ยวข้อง และตัวผู้กระทำความผิด ผู้เสียหายรวมทั้งญาติของผู้เสียหายและชุมชน เช่น ประสิทธิภาพของ การควบคุมสังคมที่แท้จริงคืออะไร กล่าวคือ หมายถึงการที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำความผิด ได้มาก หรือทำให้อัยการฟ้องคดีได้มากและศาลสามารถพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดได้เป็นจำนวนมาก ใช่หรือไม่ หรือหมายถึงการที่ผู้เสียหายได้รับการชดเชยและดูแลหรือไม่ ในขณะเดียวกันปัญหา คดีล้นศาล นักโทษล้นเรือนจำจะทำอย่างไร และเมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วผู้ที่เคยต้องโทษจะสามารถ กลับคืนสู่สังคมได้หรือไม่ เพียงใด ทั้งผู้เสียหายและผู้กระทำผิดจะสามารถกลับคืนสู่สังคมร่วมกัน ได้อีกหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งปัญหาต่าง ๆ นี้จะกลายเป็นปัญหาของสังคมที่ยากแก่การแก้ไข ซึ่งปัญหา ทั้งหมดนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามย้อนกลับไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งสถาบันและผู้มีหน้าที่ในการ กำหนดนโยบายในทางอาญาและสังคม เพื่อหาหนทางในการแก้ไขปัญหา ด้วยเหตุนี้การปฏิรูป กระบวนการยุติธรรมทางอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นและควรทบทวนเพื่อค้นหาคำตอบว่า การใช้ กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในสังคมหรือไม่ ภายใต้สภาพของสังคมปัจจุบัน ซึ่งในการที่จะตอบคำถามนี้ทำให้ต้องศึกษาถึงปรัชญาและแนวคิด ในการดำเนินคดีอาญาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
37 (2) แนวคิดแบบดั้งเดิม การแก้แค้นทดแทน (Retributive Justice) การแก้แค้นทดแทนเป็นการตอบโต้ ต่อผู้กระทำผิดสำหรับการกระทำความผิดของเขา เพื่อทำให้ผู้กระทำผิดได้รับความเจ็บปวดเป็นการ ตอบแทน ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลยต่อตัวผู้กระทำผิดหรือบุคคลอื่น การแก้แค้นทดแทนการกระทำความผิดเป็นแนวความคิดแรกเริ่มที่สุดในระบบการลงโทษในทาง กฎหมาย ซึ่งในอดีตนั้นการแก้แค้น เป็นมาตรการที่ดำเนินการโดยผู้เสียหาย เพื่อทำให้ปัจเจกชน ผู้เสียหายพึงพอใจ หรือญาติของผู้เสียหายพอใจในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ชีวิต ซึ่งในเวลาต่อมาสิทธิใน การตอบโต้แก้แค้นผู้กระทำผิดได้กลายมาเป็นของรัฐ โดยสมมุติฐานนี้ทำให้กล่าวได้ว่าการแก้แค้น ทดแทนผู้กระทำผิดมีบทบาทสำคัญในการเริ่มตนของกฎหมายอาญา ในยุคต้นของกฎหมายอาญา วิธีการในการแก้แค้นผู้กระทำผิดมีความรุนแรง ในลักษณะ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (lex talionis) ดังที่ ปรากฏในประมวลกฎหมายฮัมบูราบี (Code of Hummurabi) ภายใต้หลักการนี้บุคคลที่ฝ่าฝืน กฎหมายของสังคม ต้องได้รับการตอบแทนเช่นเดียวกับสิ่งที่ผู้เสียหายหรือเหยื่อได้รับ จึงกล่าวได้ว่า การลงโทษโดยการแสดงออกเพื่อเป็นการแก้แค้นทดแทนผู้กระทำผิดเป็นการแสดงออกของ สัญชาตญาณเพื่อการแก้แค้นของมนุษย์และเป็นวัตถุประสงค์ของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่จะ หักเหและป้องกันการแก้แค้นระหว่างเอกชนด้วยกันเอง รัฐจึงจำเป็นต้องมีช่องทางที่ถูกต้องเหมาะสม สำหรับเรื่องนี้ในฐานะที่รัฐเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย และเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม หากแต่ กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา แนวคิดในการลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อเป็นการแก้แค้นทดแทนด้วย วิธีการลงโทษที่โหดร้ายและทารุณนั้นได้เสื่อมลงไป ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่ากฎหมายอาญาต้องมี จุดมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยใช้เพื่อป้องกันและควบคุมการกระทำที่ไม่พึง ประสงค์จึงควรที่จะใช้รูปแบบการแก้แค้นตอบแทนที่เหมาะสมกับความผิดหรือทฤษฎีที่เรียกว่า “ทฤษฎีการลงโทษเพราะผู้กระทำผิดสมควรได้รับโทษ” (Just Desert or Justice Theory) การลงโทษ ไม่ใช่เพื่อเป็นการส่งเสริมความดีไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อผู้กระทำผิด หรือเพื่อสังคม แต่จะต้องลงโทษ เพราะว่าบุคคลนั้นได้ประกอบอาชญากรรม อันเป็นแนวความคิดในการแก้แค้นทดแทนที่มี ความสัมพันธ์กับเรื่อง “สัญญาประชาคม” (Social Contract) และหลักการเรื่อง “สิทธิตาม ธรรมชาติ” (Natural Rights Doctrines) กล่าวคือ อาชญากรสมควรได้รับการลงโทษเพราะว่า เขาได้ละเมิดระบบกฎหมาย ซึ่งคุ้มครองผลประโยชน์ของทุก ๆ คน ในปัจจุบันนี้มีแนวโน้มว่าการ ลงโทษตามแนวความคิดนี้จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากว่าการลงโทษเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ไม่สามารถป้องกันอาชญากรรมได้ดังที่ควรจะเป็น (3) แนวคิดแบบสมัยใหม่ กระบวนการยุติธรรมแนวสันติ (Restorative Justice) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับ อาชญากรรมและการลงโทษ ซึ่งมีหลักการว่า การกระทำความผิดอาญาหรืออาชญากรรมนั้นเป็น การกระทำที่กระทบต่อตัวบุคคล และความสัมพันธ์ของบุคคลมากกว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายธรรมดา ดังนั้น ค่านิยมและความเชื่อของแนวความคิดนี้ให้ความสำคัญกับความต้องการให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ กระเทือนโดยตรงจากอาชญากรรมมากที่สุด ซึ่งได้แก่ ผู้เสียหาย ชุมชน และผู้กระท ำผิด ให้มี โอกาสได้มีส่วนร่วมโดยตรงในการแก้ไขผลกระทบจากอาชญากรรมและความสูญเสียที่เกิดแก่เหยื่อ ซึ่งกระบวนการ ยุติธรรมแนวสันตินอกจากให้ความสำคัญกับบทบาทที่สำคัญของเหยื่ออาชญากรรม และสมาชิกในชุมชนแล้วยังคงให้ความสำคัญกับผู้กระทำความผิดซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียหาย ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความเสียหายทั้งทางความรู้สึกและการสูญเสียที่เป็นตัวเงิน โดยการจัดให้
38 คู่กรณีมีโอกาสในการพบปะพูดคุยเจรจาตกลง เพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อโอกาสอำนวยให้ซึ่งทั้งหมดที่กล่าว มานั้นจะเป็นการทำให้ชุมชนมีความรู้สึกปลอดภัย เพราะทำให้ข้อขัดแย้งได้รับการแก้ไข อีกทั้ง สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วม กระบวนการยุติธรรมแนวสันติจึงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นแนวความคิดที่เป็นพื้นฐาน ในการเสนอแนว “ทางเลือก” ในการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดเพื่อเป็นการสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง และป้องกันอาชญากรรมในอนาคตมากกว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของกระบวนการ ยุติธรรมและชุมชนมีความเข้มแข็ง เพราะทุกฝ่ายต่างก็ร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรม ปัญหา อาชญากรรมย่อมลดลง ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนยุติธรรมมีชุมชนเป็นพื้นฐานและมีวิธีการที่ให้ทุกฝ่าย เข้ามามีส่วนร่วมอย่างยุติธรรมจึงทำให้การแก้ไขปัญหากระทำได้ลึกและกว้างกว่าการใช้ทางเลือกใน การระงับข้อพิพาทในทางอาญาทั่ว ๆ ไป กระบวนการยุติธรรมแนวสันติทำให้เกิดการคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับอาชญากร และผู้เสียหาย กล่าวคือ รัฐต้องหันมาให้ความสนใจกับเหยื่อและผู้เสียหายในคดีอาญา ไม่เพียงแต่ว่า ผู้เสียหายจะได้รับการชดเชยเท่านั้น แต่ผู้สียหายจะต้องกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทอันสำคัญในการดำเนิน กระบวนการยุติธรรมตามแนวทางสันตินี้เพราะว่ากระบวนการยุติธรรมตามแนวทางสันติยอมรับว่า อาชญากรรมเป็นการกระทำที่ส่งผลโดยตรงต่อปัจเจกบุคคล ดังนั้น ภายใต้สมมุติฐานนี้ผู้ที่ได้รับ ผลโดยตรงจากอาชญากรรม (ผู้เสียหาย ผู้กระทำผิด และชุมชน) จึงต้องมีโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ในการแก้ไขข้อขัดแย้งนั้นอย่างกระตือรือร้น การทำให้ความสูญเสียกลับคืนสู่สภาพเดิมทำให้ผู้กระทำ ผิดรับผิดชอบโดยตรงต่อการกระทำของตนเอง ภายใต้ตัวแบบของกระบวนการยุติธรรมแนวใหม่นี้หรือการดำเนินกระบวนการ ยุติธรรมตามโครงการแนวสันติวัตถุประสงค์อันดับแรกของกฎหมายอาญา คือ การบรรเทาความ เจ็บปวดที่ผู้เสียหายได้รับ (To heal the injury) ชดเชยความเสียหาย (repair the harm) ทดแทน ความสูญเสีย และป้องกันการตกเป็นผู้เสียหายอีกในอนาคต (compensate the lost and prevent further victimization) เมื่อเปรียบเทียบแนวคิดกระบวนการยุติธรรมแนวสันติกับแนวคิดแบบเดิม การดำเนิน กระบวนการยุติธรรมทางอาญาภายใต้แนวความคิดแบบเดิม หรือแบบแก้แค้นทดแทนการกระทำผิด กับการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามแนวทางสันติมีวิธีการมองปัญหาอาชญากรรม แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้น จึงทำให้การดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจำเป็นต้องให้ความสำคัญ ต่อบทบาท หน้าที่ และการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทางอาญาเปลี่ยนไปจากการดำเนินกระบวนการยุติธรรมตามแนวคิดเดิม อีกทั้ง ยังให้ความสำคัญกับ ทั้งผู้กระทำความผิด ผู้เสียหาย และชุมชนอีกด้วย 2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อาชญากรรมเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่มนุษย์รวมตัวกัน เป็นกลุ่มสังคม จากสังคมเล็ก ๆ ขยายตัวเป็นสังคมเผ่า จนพัฒนากลายเป็นรัฐ อาชญากรรม เปลี่ยนแปลงแบบวิธีการไปตลอดเวลาเช่นกัน ในแต่ละยุคสมัยก็มีวิธีการจัดการกับปัญหาอาชญากรรม ต่าง ๆ กัน แต่วัตถุประสงค์หลักที่สำคัญที่ยังคงอยู่ คือ การนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ พัฒนาการ แนวคิดของการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา มีดังนี้