The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มรายงานปฏิญญาสากล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dr.parinya.dsi, 2023-09-25 02:10:42

เล่มรายงานปฏิญญาสากล

เล่มรายงานปฏิญญาสากล

39 (1) ยุคโบราณ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กฎหมายพบว่าการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย หรือเหยื่ออาชญากรรมในยุคเริ่มแรกนั้น ปรากฏหลักฐาน คือ ในสมัยกษัตริย์ฮัมมูราบีแห่งอาณาจักร บาบิโลเนียนได้จัดทำประมวลกฎหมาย Code of Hammurabi ซึ่งจารึกอยู่บนแท่งหิน ถูกค้นพบเมื่อ ค.ศ. 1901 หลักการของกฎหมายฮัมมูราบี คือ ระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน มีบทลงโทษที่รุนแรงและ กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติถึงความรับผิดชอบของชุมชนที่มีต่อการกระทำผิด ได้แก่ ถ้าผู้ใดถูกปล้น สะดมและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ผู้ถูกปล้นสะดมสามารถประกาศความสูญเสียใน ทรัพย์สินของตนต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าได้และผู้ปกครองดินแดงหรืออำเภอนั้นจะต้องชดใช้ทรัพย์สิน ทดแทนที่เขาสูญเสียไป ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรม บทบัญญัติของกฎหมายได้บัญญัติให้ ผู้ปกครองดินแดนหรืออำเภอนั้นชดใช้เงินหนึ่งเหรียญเงินมีนา (Mena) ให้แก่ทายาทของผู้เสียหายด้วย เมื่อยุคกลางสิ้นสุดลง รัฐมีอำนาจมั่นคงขึ้น ทำให้ผู้เสียหายลดความสำคัญลง การชดใช้ เริ่มลดน้อยลงหลังจากที่อาณาจักร Frankish ถูกแบ่งโดยสนธิสัญญา Verdum การชดใช้ค่าเสียหาย ถูกกลืนกลายเป็นค่าปรับของรัฐ และรัฐก็ผูกขาดการลงโทษ การชดใช้เป็นหนี้ที่ให้จ่ายตอบแทนกัน ในกฎหมายแพ่ง สิ่งนี้เป็นประวัติศาสตร์ของการปฏิรูปอาชญากรรมด้วยการลดความเอาใจใส่ต่อ ผู้เสียหาย และเริ่มหาระบบกฎหมายที่สามารถได้รับการชดใช้เต็มจำนวนได้ยากยิ่ง (2) ยุคการศึกษาเรื่องเหยื่อวิทยา (Victimology) ในราวทศวรรษ 1940 เป็นยุคที่นักคิดทางอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยาหันมาสนใจ ศึกษาศาสตร์ว่าด้วยเหยื่อวิทยา ซึ่งเป็นวิชาแขนงหนึ่งในสาขาอาชญาวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ ตัวผู้เสียหาย (เหยื่ออาชญากรรม) หรือผู้ถูกทำร้ายและอาชญากร สิ่งจูงใจที่ทำให้เกิดอาชญากรรม พฤติกรรมที่เร่งเร้าให้เกิดการกระทำความผิด ตลอดทั้งศึกษาถึงอาชญากรรมที่อาชญากรและเหยื่อ ผู้เสียหายเป็นคน ๆ เดียวกัน หรืออาชญากรรมที่ไม่มีเหยื่อ รวมทั้งผู้เสียหายที่เป็นบริษัท ธุรกิจ องค์การ รัฐวิสาหกิจ Benjamin Mendelsohn ผู้บุกเบิกวิชาเหยื่อวิทยา ได้ให้ความหมายคำว่า Victimology เป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเหยื่อทุกประเภท ไม่ใช่เฉพาะเหยื่ออาชญากรรมเท่านั้น โดย Mendelsohn ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อและเสนอแนวคิดว่าเหยื่อเป็นผลผลิตของ โครงสร้างทางสังคม การเมือง เทคโนโลยีสมัยใหม่ อุบัติภัยต่าง ๆ รวมถึงปัญหาอาชญากรรม Benjamin Mendelsohn ได้จำแนกประเภทของเหยื่ออาชญากรรมโดยพิจารณา ถึงความหนักเบาของความผิดของเหยื่ออาชญากรรม โดยได้แบ่งประเภทเหยื่ออาชญากรรมออกเป็น 6 ประเภท คือ (2.1) เหยื่อที่ไร้เดียงสาอย่างยิ่ง (The Completely innocent victim) เหยื่อชนิดนี้ เป็นเหยื่อในอุดมคติ หมายถึง ผู้ที่เป็นเด็ก หรือผู้ที่ประสบความทุกข์จากอาชญากรรม โดยที่ตนเองมิได้ มีความตั้งใจให้เกิดขึ้น (2.2) เหยื่อที่มีความผิดน้อยกว่าอาชญากร (The victim with minor guilty) และ เหยื่อที่มีความเขลา (The victim due to his ignorance) เช่น ผู้หญิงที่ถูกกระตุ้นให้กระทำในทาง ที่ผิด และตนเองก็ต้องรับกรรมไปจนตลอดชีวิต (2.3) เหยื่อที่มีความผิดเท่ากับอาชญากร (The victim as guilty as the offender) และเหยื่อที่กระทำด้วยความสมัครใจ (The voluntary victim)


40 (2.4) เหยื่อที่มีความผิดมากกว่าอาชญากร (The victim more guilty than the offender) แบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ได้อีก 2 ประเภท คือ (2.4.1) เหยื่อที่กระตุ้นให้คนบางคนประกอบอาชญากรรม เช่น แหย่ให้โกรธ พูดให้เกิดความเข้าใจผิด (2.4.2) เหยื่อที่ยั่วยวนใจให้ประกอบอาชญากรรม เช่น หญิงสาวแต่งตัวยั่วยวนใจ จนเกิดการข่มขืนกระทำชำเรา (2.5) เหยื่อที่มีความผิดมากที่สุด (The most guilty victim) และเหยื่อที่มีความผิด ตามลำพัง (The victim who is guilty alone) หมายถึง เหยื่อที่มีความก้าวร้าว จึงเป็นผู้ที่ผิดเพียง ลำพังในการก่อให้เกิดอาชญากรรม เช่น คนที่รังแกคนอื่นจนต้องถูกฆ่าตายเนื่องจากการป้องกันตนเอง ของผู้ที่เป็นอาชญากร (2.6) เหยื่อปลอม (The Simulating victim) และเหยื่อที่เสแสร้ง (The imaginary victim) เป็นเหยื่อ ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการบริหารงานยุติธรรมได้โดยที่คนพวกนี้มิได้ เป็นเหยื่อจริง ๆ เช่น พวกที่เป็นโรคจิตชนิดต่าง ๆ ตลอดทั้งพวกเด็ก ๆ นอกจากนี้ยังได้มีการแบ่งลักษณะของเหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหาย เป็น 2 ลักษณะ คือ (1) ผู้เสียหาย/เหยื่อโดยตรง (Direct Victims) คือ บุคคลผู้ถูกล่วงละเมิดและได้รับ ความเสียหายโดยตรงจากการกระทำผิดกฎหมายนั้น (2) ผู้เสียหาย/เหยื่อโดยอ้อม (Indirect Victims) คือ บุคคลที่สามที่ได้รับผลกระทบ จากการกระทำผิดกฎหมาย แม้นว่าการกระทำนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาโดยตรง บางตำราใช้คำว่า Survivor การศึกษาเรื่องเหยื่อวิทยาได้ก้าวหน้าเป็นลำาดับ และขยายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มมีการประชุมทางวิชาการว่าด้วยเหยื่อระดับนานาชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ณ กรุงเยรูซาเร็ม ประเทศอิสราเอล เมื่อ ค.ศ. 1973 นำไปสู่การจัดตั้ง The World Society of Victimology ค.ศ. 1979 และได้มีการจัดประชุมในระดับนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องเหยื่อวิทยาเรื่อยมาอีกหลายครั้ง (3) ยุคการกลับมาของระบบการทดแทนความเสียหาย ความพยายามที่จะนำระบบการทดแทนค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายในคดีอาญาโดยรัฐ กลับมาใช้อีกครั้งหลังจากการชดใช้ค่าเสียหายถูกกลืนกลายเป็นค่าปรับของรัฐนั้น เริ่มใน ค.ศ. 1847 Bonneville de Marsangey ได้วางแผนที่จะนำการชดใช้กลับมาใช้ ต่อมามีการประชุมของ Several Internationnal Prisoner Penitintiary Congresses พยายามก่อตั้งสิทธิของผู้เสียหายอีกครั้งใน ค.ศ. 1878 การประชุมราชทัณฑ์ระหว่างประเทศที่สต๊อกโฮม Sir George Arney หัวหน้าศาลยุติธรรม ของนิวซีแลนด์และ William Tallack ได้แสดงเจตนาที่จะนำการชดใช้แบบเก่ามาใช้Garofalo นักอาชญาวิทยาชาวอิตาลีได้ยกปัญหานี้ในการประชุมที่กรุงโรม เมื่อ ค.ศ. 1885 และการชดใช้ ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายในคดีอาญาเป็นที่ถกเถียงในการประชุมที่ St.Petersbury ใน ค.ศ. 1890 และ อีกครั้งที่ Christiania ใน ค.ศ. 1891 ซึ่งได้สรุปว่า 1. กฎหมายปัจจุบันไม่ให้ความสนใจเพียงพอในการบรรเทาความเสียหายของผู้เสียหาย 2. ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ควรที่จะได้รับการชดเชย 3. รายได้ของนักโทษที่สะสมในระหว่างจำคุกอาจเป็นประโยชน์สำหรับเป้าหมายนี้


41 จนกระทั่งในราว ค.ศ. 1940 – 1950 ความสนใจต่อผู้เสียหายได้พัฒนาสูงขึ้นด้วยผลงานของ Han Von Hentig ในหนังสือ The Criminal and His Victim จัดพิมพ์โดย มหาวิทยาลัยเยลใน ค.ศ. 1948 ผูเ้สียหายได้รับการศึกษามากขึ้น นักอาชญาวิทยาได้เริ่มมองเห็นว่าผู้เสียหายก็มีบทบาท อย่างสำคัญในการก่อให้เกิดอาชญากรรม และได้กำเนิดวิชาที่เรียกว่า “ศาสตร์ว่าด้วยเหยื่อ อาชญากรรม” (Science of Victim or Victimology) และนอกจากนี้ยังเห็นว่า การชดใช้เป็น การแก้แค้นอย่างมีเหตุผลที่จะทำผิดรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ระบบความยุติธรรมที่มีอยู่ไม่ให้ ความยุติธรรมแก่ผู้เสียหาย ความคิดในการชดใช้ค่าเสียหายได้เกิดขึ้นอีกครั้งกลางศตวรรษที่ 20 ใน ค.ศ. 1950 ได้มีการเรียกร้องระบบการชดใช้ของรัฐในอังกฤษ Margery Fry เป็นคนแรกที่ก่อ ให้เกิดความสนใจและเรียกร้องให้ยอมรับความคิดดังกล่าวจากบทความ Justice for Vitims ที่แสดง ให้เห็นถึงความบกพร่องของระบบการชดใช้ความเสียหายที่มีอยู่ และจากนั้นการกล่าวถึงและมี พัฒนาการตามลำดับ (4) ยุคความสำคัญของผู้เสียหายในคดีอาญาระดับนานาชาติ จากการศึกษาของ Bonneville de Marsangey และ Han Von Hentig ในราว ทศวรรษ 1940 ปัญหาของเหยื่ออาชญากรรมต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในสังคมและในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น เหยื่ออาชญากรรมจำนวนมากต้องเผชิญกับปัญหา ของการปฏิบัติที่ไม่ตอบสนองต่อเหยื่ออาชญากรรมของตำรวจ อัยการ และศาล เหยื่ออาชญากรรม จึงต้องเจ็บปวดเป็นครั้งที่ 2 จากการเข้าสู่กระบวนยุติธรรมทางอาญา ดังนั้น นานาชาติจึงได้หันมา สนใจเหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายในคดีอาญามากขึ้น มีการจัดประชุมเชิงวิชาการในระดับ นานาชาติอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายในคดีอาญา องค์การระหว่างประเทศเริ่มดำเนินการเพื่อรับรองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาหรือเหยื่ออาชญากรรม ในปี ค.ศ. 1985 มีการประชุมคองเกรสสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และการบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิด (The United Nation Congress on the prevention of crime and the Treatment of Offenders) ครั้งที่ 7 ณ นครมิลาน ประเทศอิตาลีในการประชุมครั้งนี้ได้ กล่าวถึงเรื่องของเหยื่ออาชญากรรมอย่างกว้างขวาง และได้มีการประกาศปฏิญญาว่าด้วยหลักการ พื้นฐานเกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรม และการใช้อำนาจ โดยมิชอบ (Declaration of Basic Principle of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) และ The European Forum for Victim Services ได้ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิ ของเหยื่ออาชญากรรม 3 ฉบับ ดังนี้ ปี ค.ศ. 1996 ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา (Statement of victims’ rights in the process of criminal justice) ปี ค.ศ. 1997 ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิทางสังคมของเหยื่ออาชญากรรม (Statement of victims in social right) ปี ค.ศ. 1998 ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมว่าด้วยมาตรฐาน การให้บริการ (Statement of victims right to Standards of Service) เพื่อให้ประเทศสมาชิกนำหลักการเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาที่กำหนด โดยที่ประชุมองค์การระหว่างประเทศไปสู่การปฏิบัติ ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องสิทธิ ของผู้เสียหายในคดีอาญาหรือเหยื่ออาชญากรรมในนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศต่าง ๆ ในภาคพื้นยุโรป และสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวอย่างมาก ดังนั้น ความสำคัญของผู้เสียหายในคดีอาญา


42 หรือเหยื่ออาชญากรรมจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ มีการออกกฎหมายทดแทนแก่เหยื่ออาชญากรรม โดยรัฐในหลายประเทศ และพัฒนาระบบการคุ้มครองเหยื่ออาชญากรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โปรแกรม ให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมถูกจัดขึ้น เพื่อให้บริการแก่เหยื่ออาชญากรรมระบบการคุ้มครอง สิทธิของเหยื่ออาชญากรรมได้รับการพัฒนาขึ้นตามศักยภาพของแต่ละประเทศ เพราะการจัด บริการให้แก่เหยื่ออาชญากรรมต้องอาศัยเงินทุนจำนวนไม่น้อย 2.1.5 เหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายในคดีอาญา ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาการดำเนินการศึกษาเพื่อพัฒนาการให้บริการตาม ระบบกลไกของรัฐสำหรับการให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายในคดีอาญานั้น เบื้องต้นควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “เหยื่ออาชญากรรม” หรือ “ผู้เสียหายในทางอาญา” ซึ่งจะมีคำนิยาม และความหมายหลายประการด้วยกันโดยคำว่า “เหยื่อ” (Victim) เป็นคำที่มาจากภาษาละตินคำว่า Victima ซึ่งเป็นคำที่ใช้อธิบายถึงสัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องหมาย ในการบูชายัญอันเป็นพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีการให้ความหมายของคำว่าเหยื่อไว้โดยกว้างมากมาย หลายประการด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาไม่ว่าจะเป็นความหมายในทางวิชาการ ความหมายในทางกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice System) อาชญาวิทยา (Criminology) เหยื่อวิทยา (Victimology) ซึ่งการศึกษาความหมายของเหยื่อ อาชญากรรมในรูปแบบนี้จะเป็นจำกัดการให้ความหมายในเชิงของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่โดยทั่วไปมีการให้ความหมายของคำว่าเหยื่อแตกต่างกันมากมาย อาทิ (1) เหยื่อ (Victim) Blacklaw Dictionary อธิบายคำว่า เหยื่อ โดยหมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายจาก อาชญากรรม การกระทำละเมิด หรือการกระทำผิดอื่น ๆ (Victim : person harmed by a crime, tort, or other wrong.) Roger E. Meiners อธิบายความหมายของคำว่า “เหยื่อ” (Victim) หมายถึง เหยื่อ รูปแบบต่าง ๆ เช่น เหยื่อจากภัยธรรมชาติ (Victims of Natural Force) เหยื่อจากอุบัติเหตุ (Victims of Accidents) เหยื่อจากการถูกกระทำละเมิดทางแพ่ง (Victim of Civil Wrongs) เหยื่อที่เกิดจากภัย อาชญากรรมและรวมถึงเหยื่อจากการกระทำผิดสาธารณะ Stephen Schafer อธิบายความหมายของคำว่า “เหยื่ออาชญากรรม” หมายถึง บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากความเบี่ยงเบนทางสังคม หรือการประกอบอาชญากรรมและไม่มี อาชญากรรมใดที่ปราศจาก “เหยื่ออาชญากรรม” The American College Dictionary ให้ความหมายของ “เหยื่อ” ไว้ 4 ความหมาย ด้วยกัน คือ 1) ผู้ได้รับความทุกข์อันเกิดจากการถูกทำลาย ถูกทำร้าย หรือการกระทำอันเป็น ปฏิปักษ์กัน เช่น ผู้ได้รับความทุกข์จากเชื้อโรค หรือการกดขี่ข่มเหง 2) ผู้ถูกล่อลวง เช่น เหยื่อคนโกง 3) บุคคล หรือสัตว์ที่ถูกบูชายัญ เช่น เหยื่อสงคราม 4) สัตว์ที่ถูกนำไปบูชายัญในพิธีกรรมทางศาสนา


43 คณะกรรมการ Task Force on Services for Victim of Crime แห่งมลรัฐนิว เซาธ์เวล ประเทศออสเตรเลีย อธิบายความหมายของคำว่า “เหยื่ออาชญากรรม” หมายถึง บุคคลหรือ คณะบุคคลที่ได้รับอันตรายทางกายและจิตใจ เสียหายต่อทรัพย์สิน เสื่อมเสียสิทธิจากการกระทำหรือ ละเว้นการกระทำอันเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญา รวมตลอดถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วย ปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการพื้นฐานในการสร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียหาย จากอาชญากรรมและการใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง ค.ศ. 1985 (Declaration of Basic Principal of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) ให้คำนิยามคำว่า เหยื่ออาชญากรรม หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับอันตรายจากการประทุษร้ายทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ เกิดความสูญเสีย ทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานจากการกระทำผิดทางอาญาจากการใช้อำนาจรัฐ โดยไม่ถูกต้อง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 อธิบายความหมายของคำว่า “เหยื่อ” หมายถึง อาหารที่ใช้ล่อสัตว์เครื่องล่อ ตัวรับเคราะห์ เช่น เหยื่อกระสุน รองศาสตราจารย์ สุดสงวน สุธีสร อธิบายว่า ในปัจจุบันคำว่า เหยื่อ หมายความคลุม ถึงบุคคลที่ได้รับความเสียหาย ความสูญหาย ความลำบากเดือดร้อนจากการกระทำต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิด จากคนหรือธรรมชาติก็ได้ เช่น เหยื่อจากอุบัติเหตุ เหยื่อจากอุบัติภัยธรรมชาติ เหยื่อจากโรคภัยไข้เจ็บ เหยื่อจากภัยสงคราม เหยื่อจากการเมืองการปกครอง เป็นต้น ศาสตราจารย์ดร. ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ และคณะ อธิบายความหมายของคำว่า “เหยื่อ” หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการก่ออาชญากรรมของผู้กระทำความผิด ซึ่งมิได้ หมายถึง เฉพาะผู้เสียหายเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงบุคคลผู้ที่มีความเกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ จากการกระทำของอาชญากรด้วย รองศาสตราจารย์ พงษ์กฤษณ์ มงคลสินธุ์ ได้จัดระดับของความหมายของเหยื่อ ออกเป็น 5 ระดับตามวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้โดย 4 ระดับแรกเป็นการให้ความหมายผู้เสียหาย ตามนัยทางกฎหมาย คือ 1) บุคคลที่ถูกกระทำโดยพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมายอาญา 2) บุคคลที่ถูกกระทำโดยพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมายอาญาและผู้กระทำผิด ถูกจับกุม 3) บุคคลที่ถูกกระทำโดยพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมายอาญาและถูกฟ้องร้องต่อศาล 4) บุคคลที่ถูกกระทำโดยพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมายอาญาและผู้กระทำถูก พิพากษาลงโทษ โดยความหมายทั้งสี่ระดับนี้ขึ้นอยู่กับระดับของขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรม 5) บุคคลที่ถูกกระทำโดยพฤติกรรมที่ขัดต่อบรรทัดฐานไม่จำเป็นต้องเป็นการ ละเมิดต่อกฎหมายอาญา หรือไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดนั้น เป็นการ ให้ความหมายตามนัยทางสังคมวิทยาหรือด้านพฤติกรรมศาสตร์ (2) เหยื่ออาชญากรรม (Crime victim) ศาสตราจารย์ ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์กล่าวว่า คำว่า เหยื่ออาชญากรรม จัดเป็น ศัพท์ในทางอาชญาวิทยา หมายความถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่ได้รับความเสียหายในด้านชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือทรัพย์สินจากการประกอบอาชญากรรมตามความหมายนี้คำว่า เหยื่ออาชญากรรม จึงครอบคลุมถึงคำว่า ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตลอดจนบุคคลอื่น ๆ


44 หรือนิติบุคคลอื่นที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยที่อาจไม่ใช้ผู้เสียหายตามความหมาย ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอีกด้วย เหยื่ออาชญากรรมแบ่งออกได้เป็น 3กลุ่ม คือ (2.1) เหยื่อปฐมภูมิหมายถึง บุคคลผู้ได้รับผลร้ายโดยตรงจากอาชญากรรม เช่น หญิงที่ถูกข่มขืน เจ้าทรัพย์ที่ถูกลักทรัพย์ บุคคลที่ถูกฆาตกรรม เป็นต้น เหยื่อปฐมภูมิสามารถแบ่ง แยกย่อยออกได้อีก 2 พวกใหญ่ ๆ คือ เหยื่อที่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้กระทำผิด หรือไม่ได้มีส่วนในการ กระทำผิด เช่น เจ้าของบ้านที่ถูกลักทรัพย์ในบ้านขณะนอนหลับ นักเรียนหญิงที่ถูกครูลวงไปข่มขืน ส่วนพวกที่สองจะเป็นเหยื่อที่มีความสัมพันธ์กับผู้กระทำผิด หรือมีส่วนร่วมในการกระทำผิดระดับ ต่าง ๆ เช่น หญิงที่ขาดความระมัดระวังทำให้เกิดการแท้งบุตร เด็กเล่นไม้ขีดไฟจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ หรือหญิงนอกใจสามียั่วยุให้ชายอื่นมีเพศสัมพันธ์กับตนเอง (2.2) เหยื่อทุติยภูมิ หมายถึง ญาติพี่น้องและบุคคลใกล้ชิดของผู้ตกเป็นเหยื่อ ปฐมภูมิเช่น บิดามารดา สามีภรรยา บุตรธิดา เป็นต้น ซึ่งในสภาพสังคมที่มีความผูกพันในลักษณะ เครือญาติอย่างใกล้ชิด เหยื่อทุติยภูมิย่อมได้รับผลของความเสียหายทั้งในรูปธรรมและนามธรรมตาม เหยื่อปฐมภูมิไปด้วยเฉพาะอย่างยิ่งในทางจิตใจย่อมรู้สึกโกรธแค้น อับอาย และเสื่อมเสียชื่อเสียง ร่วมไปด้วย ทั้งบางครั้งยังต้องแบกรับภาระการเลี้ยงดูจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของ เหยื่อปฐมภูมิและครอบครัวด้วย (2.3) เหยื่อตติยภูมิ หมายถึง บุคคลที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือผู้ที่ใกล้ชิดกับ เหยื่อปฐมภูมิโดยตรง แต่มีความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมงานองค์กรเดียวกัน ในฐานะเพื่อนบ้าน ชุมชนเดียวกันข่าวการประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน ร่างกาย ชีวิต ของเหยื่อปฐมภูมิก่อให้เกิดการ กระทบกระเทือนต่อเหยื่อตติยภูมิได้เช่นกัน แต่ระดับความรุนแรงก็อาจแตกต่างไปตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความรุนแรงของอาชญากรรม ความผูกพันในชุมชน ขนาดของชุมชน การเผยแพร่ข่าวสาร เป็นต้น โดยสรุป จากการศึกษาจะเห็นได้ว่ามีผู้ให้คำนิยามคำว่าเหยื่ออาชญากรรมหรือ ผู้เสียหายไว้มากมาย แต่ความหมายโดยรวมแล้วสามารถสรุปได้ว่า “เหยื่ออาชญากรรม” หมายถึง บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้รับอันตรายทางกายหรือจิตใจ เสียหายต่อทรัพย์สิน เสื่อมเสียสิทธิจาก การกระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นความผิดทางอาญารวมไปถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วย โดยผู้ที่ได้รับผลร้ายนั้นไม่มีส่วนในการกระทำความผิด เหยื่อตกอยู่ในความทุกข์จากการไม่ได้รับ การปฏิบัติอย่างเป็นธรรม รวมทั้งได้รับความทุกข์ทรมานจากกระบวนการยุติธรรม การที่เหยื่อได้รับ ผลร้ายจากอาชญากรรมนั้นเกิดจากความล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐในการปกป้องคุ้มครอง ประชาชนให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล (3) ผู้เสียหาย (Injured person) ผู้เสียหายในคดีอาญาเป็นบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำของผู้กระทำความผิด และมีส่วนสำคัญในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่เริ่มการจับกุม การชี้ตัวผู้กระทำผิด การมอบพยาน หลักฐานให้แก่เจ้าพนักงาน จนถึงการเป็นพยานในศาลพิสูจน์ความผิดของผู้กระทำผิด แต่ผู้เสียหาย มักไม่ได้รับความสนใจจากกระบวนการยุติธรรมฝ่ายต่าง ๆ ในการที่จะชดเชยในสิ่งที่สูญเสีย หรือแม้แต่ การยอมรับในสิทธิที่มีอยู่ เรียกว่า “สิทธิของเหยื่ออาชญากรรม” (Victim’s Rights) เป็นผล สืบเนื่องมาจากการให้การยอมรับเกี่ยวกับสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยการยอมรับนับถือศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ สิทธิในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จึงถูกกำหนดขึ้นมา ถือว่าเป็นหลักการซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์มีอยู่ตามธรรมชาติไม่อาจโอน


45 แก่กันได้ กฎหมายรวมถึงองค์กรที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องให้การยอมรับและเคารพ สิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าวด้วย ซึ่งหากเกิดการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจาก การกระทำความผิด ย่อมมีสิทธิได้รับการเยียวยาความเสียหายอย่างชอบธรรม ในทางปฏิบัติกลับตรงกันข้ามในแง่ของมุมมองสำหรับสังคมและกระบวนการยุติธรรม โดยทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้กระทำความผิด โดยพยายามที่จะศึกษาถึง วิธีแก้ไขผู้กระทำความผิด กำหนดบทบัญญัติให้การคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยใน คดีอาญาแต่ละเลยในการให้ความช่วยเหลือหรือคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมให้ได้รับความชอบ ธรรมทั้งที่สิทธิต่าง ๆ ขั้นมูลฐานของบุคคล เมื่อถูกละเมิดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายบุคคลนั้น ย่อมมีสิทธิ ที่จะได้รับการแก้ไขเยียวยาจากกระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกันกับจำเลย จึงอาจกล่าวได้ว่า สิทธิของ ผู้เสียหายในคดีอาญาเป็นการให้ความสำคัญไปที่ตัวของผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งมีฐานะเป็นผู้ทรงสิทธิ หรือเป็นประธานแห่งสิทธิ (Subject of Right) อันถือว่าเป็นบุคคลผู้ที่ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง จากการถูกละเมิดโดยบุคคลอื่น ซึ่งการละเมิดนี้รวมไปถึงการกระทำของรัฐบางประการที่ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อด้วย การที่ผู้เสียหายต้องตกเป็นบุคคลที่มีบทบาท อยู่นอกกรอบการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรม ขาดหลักการคุ้มครองเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ จากรัฐถูกมองข้ามความรู้สึกบอบช้ำทุกข์ทรมานแสดงให้เห็นได้ถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม จึงต้อง แสวงหาความยุติธรรมให้แก่ตนเองและคนในครอบครัวที่ต้องสูญเสียด้วยการกระทำความผิดเพื่อ แก้แค้นทดแทนกลายเป็นปัญหาการกระทำความผิดต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด จากหลักการปัญหาในทาง ปฏิบัติที่เกิดขึ้นทำให้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยหันมาให้ความสนในแก่สิทธิที่ผู้เสียหายควรจะได้รับ จากกระบวนการยุติธรรม ปัจจุบันหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมในทุกประเทศทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายมากขึ้นจึงเกิดหลักประกันสิทธิของบุคคลซึ่งวางหลักไว้ ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อที่ 8 มีใจความว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอันมี ประสิทธิผลจากศาลที่มีอำนาจแห่งรัฐต่อการกระทำอันละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งตนได้รับตาม รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเป็นหลักการที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิจากการ กระทำโดยมิชอบซึ่งบุคคลเหล่านั้นย่อมมีสิทธิได้รับการบำบัดเยียวยาจากกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ในส่วนของสหประชาชาติก็เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว เห็นได้จากในปี ค.ศ. 1985 จึงได้มีมติที่ประชุม ของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิด ครั้งที่ 7 ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลีโดยมติของที่ประชุมใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 40/34 มีมติ เห็นชอบและรับรองสิทธิต่าง ๆ ของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีการบัญญัติ หลักเกณฑ์โดยคำนึงถึงสภาพของสังคมเกี่ยวกับความต้องการของผู้เสียหาย เพื่อกำหนดให้เป็น มาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้เสียหายและเป็นครั้งแรกของการยอมรับในระดับประเทศ จึงประกาศรับรอง ปฏิญญาสากลดังกล่าวอันเป็นมาตรฐานรองรับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม โดยการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติต่อผู้เสียหายด้วยความเห็นอกเห็นใจ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของกระบวนการยุติธรรมไปจนถึง ขั้นตอนภายหลังมีคำพิพากษา เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่เหยื่ออาชญากรรมว่าจะได้รับการคุ้มครอง ช่วยเหลือและการปฏิบัติที่เหมาะสมจากองค์กรต่าง ๆ ของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งมีการ กำหนดเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งรวมไปถึงการได้รับการเยียวยา ดังต่อไปนี้


46 1) ผู้เสียหายจะได้รับการดูแลด้วยความรู้สึกเมตตาและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีสิทธิเข้าสู่กลไกของกระบวนการยุติธรรมและได้รับการเยียวยาตามที่รัฐสมาชิกกำหนด เพื่อบรรเทา ความเสียหายที่ได้รับ 2) กลไกของฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหารควรมีกระบวนการขั้นตอนที่เอื้ออำานวยให้ ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาผ่านกระบวนการต่างๆ ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 3) กระบวนการทางตุลาการควรตอบสนองความต้องการของผู้เสียหาย โดยแจ้งถึงสิทธิ ของผู้เสียหายรวมถึงขั้นตอนในการพิจารณาคดี เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้แสดงทัศนคติเพื่อ ผลประโยชน์ของตนและควรจัดให้มีการช่วยเหลือตามสมควรในทุกกระบวนการทางกฎหมาย 4) หากการเยียวยาความเสียหายนั้นเห็นสมควรว่าต้องมีการไกล่เกลี่ย ให้ดำเนินการจัดให้ มีกลไกการระงับข้อพิพาทแบบไม่เป็นทางการแก่ผู้เสียหาย 5) เมื่อเห็นสมควรสั่งให้จำเลยดำเนินการใด ๆ เพื่อเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ครอบครัว ผู้ที่อยู่ในความดูแลของผู้เสียหาย 6) รัฐต้องดำเนินการเพื่อปรับปรุงแก้ไขแนวปฏิบัติ กฎเกณฑ์ กฎหมายต่างๆ เพื่อจัดให้มี การแก้ไขและเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย 7) ผู้เสียหายควรได้รับสิ่งของ การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูทางจิตใจและการช่วยเหลือ ทางสังคมอื่น ๆ โดยผ่านองค์กรของรัฐหรือชุมชน จากปฏิญญาดังกล่าวส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของ ผู้เสียหาย อาทิ ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม มีการศึกษาวิจัยขององค์กรเหยื่ออาชญากรรม (National Center for Victim of Crime) ในเรื่อง ประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของ การศึกษาเพื่อต้องการทราบถึงประสิทธิภาพของการให้ความคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม โดยการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องของการได้รับแจ้งเกี่ยวกับรูปคดีและสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ความพอเพียงของการได้รับแจ้งถึงบริการที่ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและความพอใจของ เหยื่ออาชญากรรมต่อการดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรม พบว่าเหยื่ออาชญากรรมได้จัดลำดับ ความสำคัญของสิทธิเหยื่ออาชญากรรมเรียงตามลำดับ ดังนี้ 1) ได้รับการแจ้งเกี่ยวกับการจับกุมตัวผู้กระทำความผิด 2) การมีส่วนร่วมในการยกฟ้องหรือการยกเลิกคดี 3) การได้รับแจ้งเกี่ยวกับการให้ประกันตัวผู้ต้องหา 4) การได้รับแจ้งเกี่ยวกับวันพ้นโทษของผู้กระทำความผิด 5) การเข้าร่วมรับฟังในการตัดสินใจให้ประกันตัวผู้กระทำความผิด 6) การร่วมวิเคราะห์พูดคุยถึงรูปคดีร่วมกับพนักงานอัยการ 7) การร่วมวิเคราะห์พูดคุยถึงความเหมาะสมในการลดโทษแก่ผู้กระทำความผิด 8) การทำคำแถลงถึงผลกระทบของผู้เสียหายระหว่างพักการลงโทษผู้ทำความผิด 9) การปรากฏตัวต่อคณะลูกขุนในระหว่างการพิจารณาคดี 10) การปรากฏตัวในระหว่างพิจารณาปลดปล่อยผู้กระทำความผิด 11) การได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเลื่อนพิจารณาของคณะลูกขุน 12) การจัดทำคำแถลงถึงผลกระทบต่อเหยื่ออาชญากรรมก่อนการตัดสินคดี 13) การมีส่วนตัดสินใจถึงความเหมาะสมของคำพิพากษา


47 สำหรับประเทศไทยมีบทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม หรือผู้เสียหายในคดีอาญาถือว่าเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้การรับรองคุ้มครองถือว่าเป็นสิทธิในส่วนของกระบวนการ ยุติธรรมของบุคคลที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมและมีสถานะเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาต้องได้รับการ แก้ไขเยียวยาความเสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ในประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การให้ความคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ของเหยื่ออาชญากรรมในกระบวนการยุติธรรมในส่วนของการให้การ เยียวยาความเสียหายที่เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญา ดังจะได้กล่าวต่อไป 2.2 กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในต่างประเทศและในประเทศ 2.2.1 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) การสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองได้พรากชีวิตมนุษย์ไปไม่น้อยกว่าหกสิบ ล้านคน และยังส่งผลกระทบในด้านอื่น ๆ ต่อความเป็นอยู่และศักดิ์ศรีของมนุษย์ ทั้งในรูปแบบของ ความอดอยาก การทรมานนักโทษ การใช้แรงงานเยี่ยงทาส และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังนั้น หลังจาก ที่ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นภายหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศสมาชิก สหประชาติจึงได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมกันป้องกันมิให้เกิดโศกนาฎกรรมดังกล่าวขึ้นอีก ปฏิญญาสากลว่าด้วย สิทธิมนุษยชนจึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อประกันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของปัจเจกชนทั่วทุกแห่ง โดยได้รับการยกร่างขึ้นในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) โดยคณะกรรมการภายใต้ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวน 8 คน โดยมี นาง Eleanor Roosevelt ภรรยาอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นประธาน และเป็นหนึ่งในบุคคล สำคัญที่ผลักดันให้ประเทศต่างๆ ให้การสนับสนุนและรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 (ค.ศ. 1948) ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ 3 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยการ ลงคะแนนเสียง ซึ่งมีประเทศลงคะแนนเสียงสนับสนุน 48 ประเทศ รวมทั้งไทย งดออกเสียง 8 ประเทศ และไม่มีประเทศใดลงคะแนนเสียงคัดค้าน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ถือเป็นเอกสาร ทางประวัติศาสตร์ในการวางรากฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับแรกของโลก กฎหมาย ระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับในปัจจุบันล้วนมีพื้นฐาน และได้รับการพัฒนาและมาจาก ปฏิญญาสากลฉบับนี้ทั้งสิ้น และกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ก็ได้กลายเป็น พื้นฐานสำหรับการพัฒนากฎหมายภายในประเทศของประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ มนุษยชนของประชาชนในประเทศของตน ทั้งนี้ โดยที่ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของ ปฏิญญาสากลฯ ในฐานะแม่บทของสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจึงได้รับการแปล เป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก โดยที่การยอมรับศักดิ์ศรีแต่กำเนิด และสิทธิที่เท่าเทียมกันและที่ไม่อาจเพิกถอนได้ของ สมาชิกทั้งมวลแห่งครอบครัวมนุษยชาติ เป็นพื้นฐานแห่งอิสรภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพในโลก โดยที่การไม่นำพาและการหมิ่นในคุณค่าของสิทธิมนุษยชน ยังผลให้มีการกระทำอัน ป่าเถื่อนซึ่งเป็นการขัดอย่างร้ายแรงต่อมโนธรรมของมนุษยชาติ และการมาถึงของโลกที่ได้มีการประกาศ


48 ให้ความมีอิสรภาพในการพูดและความเชื่อ และอิสรภาพจากความหวาดกลัวและความต้องการของ มนุษย์ เป็นความปรารถนาสูงสุดของประชาชนทั่วไป โดยที่เป็นการจำเป็นที่สิทธิมนุษยชนควรได้รับความคุ้มครองโดยหลักนิติธรรม ถ้าจะ ไม่บังคับให้คนต้องหันเข้าหาการลุกขึ้นต่อต้านทรราชและการกดขี่เป็นวิถีทางสุดท้าย โดยที่เป็นการจำเป็นที่จะส่งเสริมพัฒนาการแห่งความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างชาติต่าง ๆ โดยที่ประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันอีกครั้งไว้ในกฎบัตรถึงศรัทธาในสิทธิมนุษยชน ขั้นพื้นฐาน ในศักดิ์ศรีและค่าของมนุษย์ และในสิทธิที่เท่าเทียมกันของบรรดาชายและหญิง และได้ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมและมาตรฐานแห่งชีวิตที่ดีขึ้นในอิสรภาพอันกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยที่รัฐสมาชิกต่างปฏิญาณที่จะบรรลุถึงซึ่งการส่งเสริมการเคารพและการยึดถือสิทธิ มนุษยชนและอิสรภาพขั้นพื้นฐานโดยสากล โดยความร่วมมือกับสหประชาชาติ โดยที่ความเข้าใจร่วมกันในสิทธิและอิสรภาพเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ปฏิญาณนี้ สำเร็จผลเต็มบริบูรณ์ ฉะนั้น บัดนี้สมัชชาจึงประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้ ให้เป็นมาตรฐาน ร่วมกัน แห่งความสำเร็จสำหรับประชาชนทั้งมวลและประชาชาติทั้งหลาย เพื่อจุดมุ่งหมายที่ว่าปัจเจก บุคคลทุกคนและทุกส่วนของสังคม โดยการคำนึงถึงปฏิญญานี้เป็นเนืองนิตย์ จะมุ่งมั่นส่งเสริม การเคารพสิทธิและอิสรภาพเหล่านี้ ด้วยการสอนและการศึกษา และให้มีการยอมรับและยึดถือ โดยสากล อย่างมีประสิทธิผล ด้วยมาตรการแห่งชาติและระหว่างประเทศอันก้าวหน้าตามลำดับ ทั้งในบรรดา ประชาชนของรัฐสมาชิกด้วยกันเอง และในบรรดาประชาชนของดินแดนที่อยู่ใต้เขตอำนาจแห่งรัฐนั้น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมีรายละเอียดทั้งหมด 30 ข้อ ดังนี้ ข้อ รายละเอียด คำสำคัญ 1 มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตนมีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณ แห่งภราดรภาพ ทุกคนเกิดมา เท่าเทียม 2 ทุกคนย่อมมีสิทธิและอิสรภาพทั้งปวง ตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญานี้ โดยปราศจากการแบ่งแยกไม่ว่าชนิดใด อาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอื่น พื้นเพทางชาติหรือ สังคม ทรัพย์สิน การเกิดหรือสถานะอื่น นอกเหนือจากนี้ จะไม่มี การแบ่งแยกใดบนพื้นฐานของสถานะทางการเมือง ทางกฎหมาย หรือทางการระหว่างประเทศของประเทศ หรือดินแดนที่บุคคลสังกัด ไม่ว่าดินแดนนี้จะเป็นเอกราช อยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเอง หรืออยู่ภายใต้การจำกัดอธิปไตยอื่นใด ไม่แบ่งแยก 3 ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงแห่งบุคคล สิทธิมีชีวิต 4 บุคคลใดจะตกอยู่ในความเป็นทาส หรือสภาวะจำยอมไม่ได้ ทั้งนี้ ห้ามความเป็นทาสและการค้าทาสทุกรูปแบบ ไม่ตกเป็นทาส 5 บุคคลใดจะถูกกระทำการทรมานหรือ การปฏิบัติหรือการลงโทษ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีไม่ได้ ไม่ถูกทรมาน 6 ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับทุกแห่งหนว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย ได้รับการยอมรับ


49 7 ทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายและ มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง ของกฎหมายเท่าเทียมกันโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด ทุกคนมีสิทธิ ที่จะได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันจากการเลือกปฏิบัติใดอันเป็นการ ล่วงละเมิดปฏิญญานี้และจากการยุยงให้มีการเลือกปฏิบัติดังกล่าว ได้รับการคุ้มครอง จากกฎหมาย 8 ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอันมี ประสิทธิผลจากศาลที่มีอำนาจ แห่งรัฐต่อการกระทำอันล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งตนได้รับตาม รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ได้รับการเยียวยา 9 บุคคลใดจะถูกจับกุม กักขัง หรือเนรเทศตามอำเภอใจไม่ได้ ไม่ถูกจับกุมตามใจ 10 ทุกคนมีสิทธิในความเสมอภาคอย่างเต็มที่ในการได้รับการพิจารณาคดี ที่เป็นธรรมและเปิดเผยจากศาลที่อิสระและไม่ลำเอียงในการพิจารณา กำหนดสิทธิและหน้าที่ของตนและข้อกล่าวหาอาญาใดต่อตน ได้รับการพิจารณา คดีที่เป็นธรรม 11 (1) ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญา มีสิทธิที่จะได้รับ การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตาม กฎหมายในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย ซึ่งตนได้รับหลักประกันที่จำเป็น ทั้งปวงสำหรับการต่อสู้คดี (2) บุคคลใดจะถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาใด อันเนื่องจากการ กระทำหรือละเว้นใดอันมิได้ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมาย แห่งชาติหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ในขณะที่ได้กระทำการนั้นไม่ได้ และจะกำหนดโทษที่หนักกว่าที่บังคับใช้ในขณะที่ได้กระทำความผิด ทางอาญานั้นไม่ได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะ ตัดสิน 12 บุคคลใดจะถูกแทรกแซงตามอำเภอใจในความเป็นส่วนตัว ครอบครัว ที่อยู่อาศัย หรือการสื่อสาร หรือจะถูกลบหลู่เกียรติยศและชื่อเสียงไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของกฎหมายต่อการแทรกแซง สิทธิหรือการลบหลู่ดังกล่าวนั้น สิทธิในความเป็น ส่วนตัว 13 (1) ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งการ เคลื่อนย้ายและการอยู่อาศัย ภายในพรมแดนของแต่ละรัฐ (2) ทุกคนมีสิทธิที่จะออกนอกประเทศใด รวมทั้งประเทศของตนเอง และสิทธิที่จะกลับสู่ประเทศตน เสรีภาพในการ เดินทาง 14 (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหา และที่จะได้ที่ลี้ภัยในประเทศอื่น จากการประหัตประหาร (2) สิทธินี้จะยกขึ้นกล่าวอ้างกับกรณีที่การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นโดยแท้ จากความผิดที่มิใช่ทางการเมืองหรือจากการกระทำอันขัดต่อ วัตถุประสงค์และหลักการของสหประชาชาติไม่ได้ สิทธิที่จะลี้ภัย 15 (1) ทุกคนมีสิทธิในสัญชาติหนึ่ง (2) บุคคลใดจะถูกเพิกถอนสัญชาติของตนตามอำเภอใจ หรือถูกปฏิเสธ สิทธิที่จะเปลี่ยนสัญชาติของตนไม่ได้ สิทธิที่จะมีสัญชาติ 16 (1) บรรดาชายและหญิงที่มีอายุครบบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิที่จะสมรสและ เสรีภาพ


50 ก่อร่างสร้างครอบครัวโดยปราศจากการจำกัดใด อันเนื่องจากเชื้อชาติ สัญชาติ หรือศาสนา ต่างย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการสมรส ระหว่าง การสมรส และในการขาดจากการสมรส (2) การสมรสจะกระทำโดยความยินยอม อย่างอิสระและเต็มที่ของผู้ที่ จะเป็นคู่สมรสเท่านั้น (3) ครอบครัวเป็นหน่วยธรรมชาติและพื้นฐานของสังคม และย่อมมี สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองจากสังคมและรัฐ ในการแต่งงาน 17 (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยตนเอง และโดยร่วมกับผู้อื่น (2) บุคคลใดจะถูกเอาทรัพย์สินไปจากตนตามอำเภอใจไม่ได้ สิทธิการครอบครอง ทรัพย์สิน 18 ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความคิดมโนธรรม และศาสนา ทั้งนี้สิทธินี้ รวมถึงอิสรภาพในการเปลี่ยนศาสนาหรือความเชื่อ และอิสรภาพในการ แสดงออกทางศาสนาหรือความเชื่อถือของตนในการสอนการ ปฏิบัติการสักการบูชาและการประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าจะโดยลำพังหรือ ในชุมชนร่วมกับผู้อื่น และในที่สาธารณะหรือส่วนบุคคล เสรีภาพในการ นับถือศาสนา 19 ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก ทั้งนี้สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจาก การแทรกแซงและที่จะแสวงหา รับ และส่งข้อมูลข่าวสารและ ข้อคิดผ่านสื่อใด และโดยไม่คำนึงถึงพรมแดน เสรีภาพ ในการแสดงออก 20 (1) ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งการชุมนุมและการสมาคมโดยสันติ (2) บุคคลใดไม่อาจถูกบังคับให้สังกัดสมาคมหนึ่งได้ เสรีภาพในการ ชุมนุมอย่างสันติ 21 (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศตนโดยตรง หรือผ่านผู้แทนซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยอิสระ (2) ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณะในประเทศตนโดยเสมอภาค (3) เจตจำนงของประชาชนจะต้องเป็นพื้นฐานแห่งอำนาจการปกครอง ทั้งนี้เจตจำนงนี้จะต้องแสดงออกทางการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา และอย่างแท้จริง ซึ่งต้องเป็นการออกเสียงอย่างทั่วถึงและเสมอภาค และต้องเป็นการลงคะแนนลับ หรือวิธีการลงคะแนนโดยอิสระทำนอง เดียวกัน การมีส่วนร่วม ในการปกครอง ประเทศ 22 ทุกคนในฐานะสมาชิกของสังคม มีสิทธิในหลักประกันทางสังคม และย่อมมีสิทธิในการบรรลุสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อันจำเป็นยิ่งสำหรับศักดิ์ศรีของตน และการพัฒนาบุคลิกภาพ ของตนอย่างอิสระ ผ่านความพยายามของรัฐและความร่วมมือ ระหว่างประเทศ และตามการจัดการและทรัพยากรของแต่ละรัฐ สิทธิที่จะได้รับการ ดูแลและคุ้มครอง จากรัฐ 23 (1) ทุกคนมีสิทธิในการทำงาน ในการเลือกงานโดยอิสระ ในเงื่อนไขที่ ยุติธรรมและเอื้ออำนวยต่อการทำงาน และคุ้มครองต่อการว่างงาน (2) ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน สำหรับงานที่เท่าเทียม โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด สิทธิในการทำงาน


51 (3) ทุกคนที่ทำงานมีสิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรมและเอื้อ อำนวยต่อการประกันความเป็นอยู่อันควรค่าแก่ศักดิ์ศรีของมนุษย์ สำหรับตนเองและครอบครัว และหากจำเป็นก็จะได้รับการคุ้มครอง ทางสังคมในรูปแบบอื่นเพิ่มเติมด้วย (4) ทุกคนมีสิทธิที่จะจัดตั้งและที่จะเข้าร่วมสหภาพแรงงาน เพื่อความคุ้มครองผลประโยชน์ของตน 24 ทุกคนมีสิทธิในการพักผ่อนและการผ่อนคลายยามว่าง รวมทั้งจำกัด เวลาทำงานตามสมควร และวันหยุดเป็นครั้งคราวโดยได้รับค่าจ้าง สิทธิ ในการพักผ่อน 25 (1) ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพอันเพียงพอสำหรับสุขภาพ ความอยู่ดีของตนและของครอบครัว อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการดูแลรักษาทางการแพทย์ และบริการสังคมที่จำเป็นและมีสิทธิ หลักประกันยามว่างงาน เจ็บป่วย พิการ หม้าย วัยชรา หรือปราศจาก การดำรงชีพอื่นในสภาวะแวดล้อมนอกเหนือการควบคุมของตน (2) มารดาและเด็กย่อมมีสิทธิที่จะรับการดูแลรักษาและการช่วยเหลือ เป็นพิเศษ เด็กทั้งปวงไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกสมรส จะต้องได้รับ การคุ้มครองทางสังคมเช่นเดียวกัน สิทธิ ในการมีคุณภาพ ชีวิตที่ดี 26 (1) ทุกคนมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะต้องให้เปล่าอย่างน้อย ในขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับประถมจะต้องเป็น ภาคบังคับ การศึกษาด้านวิชาการและวิชาชีพจะต้องเปิดเป็นการทั่วไป และการศึกษาระดับสูง ขึ้นไปจะต้องเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคสำหรับทุก คนบนพื้นฐานของคุณสมบัติความเหมาะสม (2) การศึกษาจะต้องมุ่งไปสู่การพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่ และการเสริมสร้างความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพขั้น พื้นฐาน การศึกษาจะต้องส่งเสริมความเข้าใจ ขันติธรรม และมิตรภาพ ระหว่างประชาชาติกลุ่มเชื้อชาติหรือศาสนาทั้งมวล และจะต้องส่งเสริม กิจกรรมของสหประชาชาติเพื่อการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ (3) ผู้ปกครองมีสิทธิเบื้องแรกที่จะเลือกประเภทการศึกษาที่จะให้แก่ บุตรของตน สิทธิ ในการศึกษา 27 (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมโดยอิสระ ในชีวิตทางวัฒนธรรมของ ชุมชนที่จะเพลิดเพลินกับศิลปะ และมีส่วนในความรุดหน้า และ คุณประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ (2) ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ทางจิตใจและ ทางวัตถุ อันเป็นผลจากประดิษฐกรรมใดทางวิทยาศาสตร์วรรณกรรม และศิลปกรรมซึ่งตนเป็นผู้สร้าง การมีส่วนร่วม ทางวัฒนธรรม 28 ทุกคนย่อมมีสิทธิในระเบียบทางสังคม และระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็น กรอบให้บรรลุสิทธิและอิสรภาพที่กำหนดไว้ในปฏิญญานี้อย่างเต็มที่ สันติภาพ ระหว่างประเทศ 29 (1) ทุกคนมีหน้าที่ต่อชุมชน ซึ่งการพัฒนาบุคลิกภาพของตนโดยอิสระ เคารพสิทธิผู้อื่น


52 และเต็มที่ จะกระทำได้ก็แต่ในชุมชนเท่านั้น (2) ในการใช้สิทธิและอิสรภาพของตน ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัด เพียงเท่าที่มีกำหนดไว้ตามกฎหมายเท่านั้น เพื่อวัตถุประสงค์ของการ ได้มาซึ่งการยอมรับและการเคารพสิทธิและอิสรภาพอันควรของผู้อื่น และเพื่อให้สอดรับกับความต้องการอันสมควรทางด้านศีลธรรมความ สงบเรียบร้อยของประชาชน และสวัสดิการทั่วไปในสังคมประชาธิปไตย (3) สิทธิและอิสรภาพเหล่านี้ไม่อาจใช้ขัดต่อวัตถุประสงค์ และหลักการ ของสหประชาชาติไม่ว่าในกรณีใด 30 ไม่มีบทใดในปฏิญญานี้ ที่อาจตีความได้ว่า เป็นการให้สิทธิใดแก่รัฐ กลุ่มคน หรือบุคคลใดในการดำเนินกิจกรรมใด หรือกระทำการใด อันมุ่งต่อการทำลายสิทธิและอิสรภาพใดที่กำหนดไว้ณ ที่นี้ ไม่มีใคร เอาสิทธิเหล่านี้ ไปจากเราได้ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งรายละเอียดทั้ง 30 ข้อ นี้ได้เป็นหลักการที่สำคัญสำหรับการ จัดทำกฎหมายภายในประเทศต่าง ๆ และรวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศด้วย ประเภทของสิทธิ สามารถจำแนกได้ ดังนี้ 1. สิทธิพลเมือง (Civil Rights) ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพและความ มั่นคงในชีวิต ไม่ถูกทรมานไม่ถูกทําร้ายหรือฆ่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ สิทธิในความเสมอ ภาคต่อหน้ากฎหมาย สิทธิที่จะได้รับการปกป้องจากการจับกุมหรือคุมขังโดยมิชอบ สิทธิที่จะได้รับ การพิจารณาคดีในศาลอย่างยุติธรรมโดยผู้พิพากษาที่มีอิสระ สิทธิในการได้รับสัญชาติเสรีภาพของ ศาสนิกชนในการเชื่อถือและปฏิบัติตามความเชื่อถือ 2. สิทธิทางการเมือง (Political Rights) ได้แก่ สิทธิในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเสรีภาพใน การแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกสิทธิการมีส่วนร่วมกับรัฐในการดําเนินกิจการที่เป็น ประโยชน์สาธารณะ เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเสรี 3. สิทธิทางเศรษฐกิจ (Economic Rights) ได้แก่ สิทธิในการมีงานทํา ให้เลือกงาน อย่างอิสระและได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรม สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน การได้รับมาตรฐาน การครองชีพอย่างเพียงพอ 4. สิทธิทางสังคม (Social Rights) ได้แก่ สิทธิในการได้รับการศึกษา สิทธิในการได้รับ หลักประกันด้านสุขภาพแม่และเด็กต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างเต็มที่ ได้รับความมั่นคงทางสังคม มีเสรีภาพในการเลือกคู่ครองและสร้างครอบครัว 5. สิทธิทางวัฒนธรรม (Culture Rights) ได้แก่ การมีเสรีภาพในการใช้ภาษาหรือสื่อ ความหมายในภาษาท้องถิ่นตน มีเสรีภาพในการแต่งกายตามวัฒนธรรม การปฏิบัติกิจตามวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นของตน การปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา การพักผ่อนหย่อนใจด้านการแสดงศิลปะ วัฒนธรรม บันเทิงได้โดยไม่มีใครมาบังคับ คุณค่าสากลแห่งสิทธิมนุษยชน (Core Values) ประกอบด้วย 1. หลักการไม่เลือกปฏิบัติ(Non Discrimination) 2. หลักความยุติธรรม (Justice) 3. หลักความเสมอภาคเท่าเทียม (Equity)


53 4. หลักเสรีภาพ (Freedom) 5. หลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์(Human Dignity) 6. หลักการไม่ใช้ความรุนแรง (Nonviolence) 2.2.2 ปฏิญญาว่าด้วยหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับความ เสียหายจากอาชญากรรมและการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ (Declaration of Basic Principle of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) ปฏิญญาฉบับนี้รับรองโดยที่ประชุมสมัชชาทั่วไป โดยมติที่ 40/34 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1985 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ก. ผู้เสียหายจากอาชญากรรม (Victims of Crime) 1. ผู้เสียหายจากอาชญากรรม หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะในด้านการบาดเจ็บทางร่างกายหรือสภาพจิตใจ ความเจ็บปวดทางอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความสูญเสียทางเศรษฐกิจหรือสิทธิขั้นพื้นฐานโดยเป็นผลจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำ ซึ่งเป็น การละเมิดต่อกฎหมายอาญาหรือกฎหมายที่บัญญัติให้การใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้องเป็นความผิด ทางอาญาอันเป็นกฎหมายของประเทศสมาชิกนั้น 2. การพิจารณาว่าบุคคลใดเป็นผู้เสียหายตามความหมายของปฏิญญาฉบับนี้ จะไม่ คำนึงถึงว่าได้มีการพบหรือจับกุม ฟ้องร้อง หรือลงโทษผู้กระทำความผิดหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่า ผู้กระทำความผิดกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์กันอย่างไร นอกจากนี้ในบางกรณี คำว่าผู้เสียหาย ยังอาจ หมายความรวมถึงครอบครัวหรือทายาทของผู้เสียหายตลอดจนบุคคลที่ได้รับความเสียหายจาก การเข้าไปช่วยเหลือผู้เสียหายให้พ้นจากภยันอันตรายหรือเข้าป้องกันการทำร้ายนั้น 3. หลักเกณฑ์ตามปฎิญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติที่อาจเกิด ความแตกต่างกันไม่ว่าในด้านใด ๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ อายุ ภาษา ศาสนา สัญชาติ ความคิด ทางการเมือง หรือความคิดเห็นอื่น ๆ ความเชื่อหรือการปฏิบัติเกี่ยวกับวัฒนธรรม สถานะทางกำเนิด หรือครอบครองทรัพย์สิน แหล่งกำเนิด เผ่าพันธุ์หรือสังคม หรือความพิการก็ตาม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติที่เป็นธรรม (Access to justice and fair treatment) 4. ผู้เสียหายพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจและเคารพในศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ ผู้เสียหายพึงมีสิทธิเรียกร้องผ่านกระบวนการยุติธรรม มีสิทธิได้รับการชดใช้เยียวยา ตามกฎหมายประเทศนั้น ๆ สำหรับความเสียหายที่ตนได้รับ 5. องค์กรศาลและองค์กรของฝ่ายบริหารจะต้องจัดวางมาตรการที่จำเป็นเพื่อ เอื้ออำนวยให้ผู้เสียหายสามารถได้รับการชดใช้เยียวยา โดยผ่านการพิจารณาที่รวดเร็ว เป็นธรรม ประหยัด และเข้าถึงกระบวนการนั้นได้ง่าย ผู้เสียหายยังพึงได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิในการ เรียกร้องการชดใช้เยียวยาผ่านองค์กรดังกล่าวด้วย 6. ความรับผิดชอบขององค์กรศาลและองค์กรฝ่ายบริหารในการคุ้มครองสิทธิของ ผู้เสียหาย ได้แก่ (ก) ให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการ พิจารณาตั้งแต่ บทบาทหน้าที่ ขอบเขต ระยะเวลา ความคืบหน้าของการดำเนินคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เกี่ยวพันกับอาชญากรรมร้ายแรง และกรณีที่ผู้เสียหายต้องการทราบข้อมูลเหล่านั้น


54 (ข) จัดการให้ผู้เสียหายได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึก และให้ข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องมีกระบวนการที่รับฟังผู้เสียหายนั้นเกี่ยวกับความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ โดยเป็นไป ตามระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศนั้น ๆ และโดยไม่เป็นการล่วงเกินสิทธิของ ผู้ถูกกล่าวหา (ค) จัดให้มีความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายตามสมควร โดยผ่านกระบวนการทางกฎหมาย (ง) จัดมาตรการที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียหาย คุ้มครองความเป็นส่วนตัว ของผู้เสียหายตามความจำเป็น ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายรวมทั้งครอบครัวและพยาน ของฝ่ายผู้เสียหายนั้นให้ปลอดภัยจากการข่มขู่หรือการแก้แค้น (จ) จัดการทางคดีและการบังคับตามคำสั่งหรือคำพิพากษา เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับ การชดใช้เยียวยาตามกฎหมายโดยไม่ชักช้า และจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความชักช้าที่ไม่มีเหตุจำเป็นนั้น 7. มาตรการที่ไม่เป็นทางการสำหรับการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การเจรจาปรองดอง และการให้ความยุติธรรมโดยรูปแบบของวัฒนธรรมหรือประเพณีปฏิบัติของ ท้องถิ่น พึงมีการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตามสมควรเพื่อให้มีการเยียวยาและชดใช้แก่ผู้เสียหาย 8. ผู้กระทำความผิดรวมทั้งบุคคลที่สามที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้กระทำ ความผิดนั้นจะชดใช้เยียวยาดังกล่าวแก่ผู้เสียหาย ครอบครัวหรือทายาทของผู้เสียหายอย่างเป็นธรรม และเหมาะสม การชดใช้เยียวยาดังกล่าวรวมถึงการจัดการคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาสำหรับการสูญหาย หรือเสียหายของทรัพย์สินนั้น ตลอดจนการชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายสำหรับค่าเสียหายที่ผู้เสียหายได้ ทดรองจ่ายไปก่อนจากการนั้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และการชดเชยสิทธิของผู้เสียหายที่ต้องเสียไปนั้น 9. รัฐบาลพึงพิจารณาปรับปรุงข้อปฏิบัติต่าง ๆ ตลอดจนกฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการชดใช้เยียวยา เพื่อให้มาตรการชดใช้เยียวยานั้นเป็นทางเลือกเกี่ยวกับ การลงโทษที่มีให้เพิ่มเติมในคดีอาญา 10. ในกรณีของการก่อความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมนั้น คำสั่งให้ชดใช้เยียวยาควร รวมถึงการสั่งให้ฟื้นฟูสภาพของสิ่งแวดล้อมที่เสียไปจากการกระทำนั้นให้กลับคืนดี การจัดทำหรือ ซ่อมแซมใหม่ซึ่งสาธารณูปการ การให้มีสาธารณูปโภคของชุมชนท้องถิ่นเพื่อชดเชยส่วนที่สูญเสียไป และการชดใช้เงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดหาสถานที่ใหม่ให้กับสาธารณูปการของชุมชนท้องถิ่นใน กรณีที่การก่อความเสียหายนั้นมีผลกระทบถึงขนาดทำให้ต้องย้ายที่ตั้งของชุมชนนั้น 11. ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นที่ทำหน้าที่เจ้าหน้าที่หรือกึ่งเจ้าหน้าที่ ได้กระทำความผิดต่อกฎหมายอาญาเกี่ยวด้วยหน้าที่นั้น ผู้เสียหายพึงมีสิทธิได้รับการชดใช้เยียวยา จากรัฐสำหรับการก่อความเสียหายของเจ้าหน้าที่หรือบุคคลดังกล่าวนั้น ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐบาล ที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่ก่อความเสียหาย ดังกล่าวนั้นได้ยุบเลิกไป รัฐหรือหน่วยงานที่รับโอนกิจการต่อควรรับผิดชอบจัดการชดใช้เยียวยา แก่ผู้เสียหายนั้น ค่าสินไหมทดแทน 12. ในกรณีที่ค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากผู้กระทำความผิดหรือโดยทางอื่น ๆ ยังไม่ เพียงพอแก่การชดใช้เยียวยาผู้เสียหาย รัฐพึงใช้ความพยายามในการจัดให้มีมาตรการชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่ (ก) ผู้เสียหายโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการหรือเสียโฉมติดตัว หรือ กรณีผู้เสียหายที่ต้องฟื้นฟูรักษาไม่ว่าด้านร่างกายหรือสภาพจิตใจจากอาชญากรรมที่ร้ายแรง


55 (ข) ครอบครัวโดยเฉพาะทายาทของผู้เสียหายที่ได้ถึงแก่ความตายหรือพิการ ไม่ว่าด้านร่างกายหรือสภาพจิตใจจากการกระทำของผู้กระทำความผิดนั้น 13. การจัดให้มีหรือส่งเสริมหรือขยายกองทุนแห่งชาติเพื่อการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่ผู้เสียหายนั้นถึงได้รับการสนับสนุน นอกจากนี้ กองทุนอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันดังกล่าว ก็ควรได้รับการสนับสนุนตามสมควรเพื่อให้มีการจัดตั้งขึ้น ซึ่งรวมถึงในกรณีที่รัฐที่ผู้เสียหายถือสัญชาติ อยู่ไม่อยู่ในฐานะที่จะดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายด้วย ความช่วยเหลือ 14. ผู้เสียหายพึงได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็นทั้งในด้านวัตถุ การบำบัดรักษาทาง การแพทย์ ตลอดจนความช่วยเหลือในด้านจิตวิทยาและสังคม ทั้งจากรัฐบาล อาสาสมัครและชุมชน ท้องถิ่น 15. ผู้เสียหายพึงได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับหนทางที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ และสังคม ตลอดจนบริการความช่วยเหลืออื่น ๆ และผู้เสียหายควรได้รับความสะดวกในการเข้าถึง บริการดังกล่าว 16. ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม หน่วยงานบริการด้านสังคมหรือ สุขภาพและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพึงได้รับการฝึกอบรมให้เกิดความตระหนักถึงความต้องการของ ผู้เสียหาย และเพื่อให้ได้รับทราบแนวทางของการจัดความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายที่พร้อมและเหมาะสม 17. ในการจัดการบริการและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายนั้น พึงให้ความใส่ใจ แก่ผู้เสียหายที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่สืบเนื่องมาจากโดยสภาพของการบาดเจ็บหรือกรณี ตามข้อ 3 ข้างต้น ข. ผู้เสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ 18. ผู้เสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้อง หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ ได้รับความเสียหายไม่ว่าจะในด้านการบาดเจ็บทางร่างกายหรือสภาพจิตใจ ความเจ็บปวดทางอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ หรือสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเป็นผลมาจากการกระทำหรือ การละเว้นการกระทำ ซึ่งยังไม่ถึงกับเป็นการละเมิดต่อกฎหมายอาญา หากแต่เป็นการปฏิบัติโดยไม่ ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 19. รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายภายในประเทศที่กำหนดถึงการใช้อำนาจหน้าที่โดย ไม่ถูกต้อง กับจัดให้มีมาตรการชดใช้เยียวยาแก่ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่ โดยไม่ถูกต้องดังกล่าว การชดใช้เยียวยานั้นพึงรวมถึงการแก้ไขให้กลับคืนดีและหรือค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนวัตถุที่จำเป็น ความช่วยเหลือด้านการแพทย์ จิตวิทยา และสังคม 20. แต่ละประเทศพึงพิจารณาเจรจากันเกี่ยวกับการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ในระดับพหุภาคีว่าด้วยการคุ้มครองผู้เสียหายดังที่อ้างถึงเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศที่ เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในข้อ 18 21. รัฐพึงดำเนินการอย่างสม่ำเสมอในการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายและข้อปฏิบัติ ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความแน่นอนเกี่ยวกับการสนองตอบต่อพฤติกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงไป โดยหาก จำเป็นก็พึงปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายที่กำหนดถึงลักษณะการกระทำที่จะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้องในระดับร้ายแรงนั้น รวมทั้งส่งเสริมให้มีนโยบายและกลไกใน การป้องกันการใช้อำนาจหน้าที่ที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว ตลอดจนพึงจัดและพัฒนาให้มีการชดใช้เยียวยา และคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้องดังกล่าวนั้น


56 ที่กล่าวมาข้างต้นคือรายละเอียดของปฏิญญาว่าด้วยหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการอำนวย ความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมและการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้อง (Declaration of Basic Principle of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power 1985) ประเทศไทยได้มีการรับรองและยกระดับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาให้สอดคล้องกับ ปฏิญญาว่าด้วยหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจาก อาชญากรรมและการใช้อำนาจไม่ถูกต้อง (Declaration of Basic Principles of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power) ทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการดำเนินคดีอาญาของ ผู้เสียหายและสิทธิที่จะได้รับการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับจากการกระทำผิดอาญา นั้น ๆ ซึ่งได้มีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ มีรายละเอียดสามารถสรุปได้ดังนี้ (1) สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม (Access to Justice and Fair Treatment) เพื่อให้ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมได้รับการปฏิบัติด้วยความ เคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีสิทธิเรียกร้องผ่านกระบวนการยุติธรรม องค์กรศาลและองค์กรของ ฝ่ายบริหารจะต้องวางมาตรการที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมให้ผู้เสียหายได้รับการชดใช้เยียวยาผ่านวิธี พิจารณาที่รวดเร็วและเป็นธรรม ประหยัดและเข้าถึงกระบวนการนั้นได้ง่าย รวมทั้งให้คำแนะนำและ แจ้งให้ผู้เสียหายทราบถึงกระบวนพิจารณาตั้งแต่ บทบาท หน้าที่ ขอบเขต ระยะเวลา ความคืบหน้าของคดี จัดให้ผู้เสียหายได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกและให้ข้อเท็จจริงโดยมีกระบวนการรับฟังผู้เสียหาย เกี่ยวกับความเสียหายที่ได้รับภายใต้ระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของแต่ละประเทศ ตลอดจน จัดให้ผู้เสียหายได้รับบริการช่วยเหลือ (Assistance) อย่างเหมาะสมตามสมควรตั้งแต่เริ่มต้นคดีจน สิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย (2) สิทธิในการได้รับการชดเชยความเสียหายจากผู้กระทำผิด (Restitution) ผู้กระทำผิด ตลอดจนบุคคลที่สาม เช่น บิดา มารดา กรณีผู้เยาว์เป็นผู้กระทำความผิดที่ต้องรับผิดชอบต่อ การกระทำของผู้กระทำผิดจะต้องชดใช้เยียวยาให้กับผู้เสียหายครอบครัวหรือทายาทของผู้เสียหาย อย่างเป็นธรรมและเหมาะสม การชดใช้เยียวยาดังกล่าวหมายความรวมถึงการคืนทรัพย์สินหรือชดใช้ ราคาสำหรับความสูญหายหรือเสียหายของทรัพย์สินนั้น รวมทั้งการชดใช้ค่าเสียหายที่ผู้เสียหายได้ ทดรองจ่ายไปก่อนเนื่องจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และการชดเชย สิทธิของผู้เสียหายที่ต้องเสียไปนั้น นอกจากนี้รัฐพึงพิจารณาปรับปรุงข้อปฏิบัติต่างระเบียบ ตลอดจน ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดให้การชดเชยเยียวยาความเสียหายโดยผู้กระทำผิด (Restitution) เป็นมาตรการทางลงโทษทางเลือกรูปแบบหนึ่งในคดีอาญา (3) สิทธิในการได้รับค่าทดแทนความเสียหายโดยรัฐ (Compensation) รัฐพึงจัดให้มี มาตรการชดเชยเยียวยาค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในกรณีที่ค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจาก ผู้กระทำผิดหรือโดยทางอื่น ๆ ยังไม่เพียงพอแก่การชดใช้เยียวยาผู้เสียหาย รวมทั้งจัดตั้งกองทุน แห่งชาติเพื่อการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย (4) การในการได้รับความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ (Assistance) ผู้เสียหายพึงได้รับความ ช่วยเหลือที่จำเป็น ทั้งในด้านวัตถุ การรักษาพยาบาล ตลอดจนความช่วยเหลือในด้านจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกและความช่วยเหลือทางสังคมทั้งจากรัฐ อาสาสมัครและชุมชน โดยสรุป ปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักการพื้นฐานในการสร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียหาย จากอาชญากรรมและการใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง ค.ศ. 1985 ถือว่าเป็นมาตรฐานสากลที่เป็น


57 หลักประกันสิทธิขั้นต่ำของผู้เสียหายในคดีอาญา ถูกกำหนดขึ้นมาโดยมีลักษณะการดำเนินการด้วยกัน 2 ประการ คือ 1) เป็นการเรียกร้องให้ผู้เสียหายในคดีอาญามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น (Participation) และ 2) เป็นการเรียกร้องให้มีการชดเชยความเสียหาย (Compensation) ให้แก่ผู้เสียหาย ในคดีอาญา 2.2.3 ที่ประชุมเพื่อการบริการเหยื่ออาชญากรรมแห่งยุโรป (The European Forum for Victim Services) การคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมไม่ใช่เรื่องของมนุษยธรรมแต่เพียง อย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของสิทธิอันชอบธรรมในฐานะสิทธิมนุษยชนที่พึงได้รับการรับรองคุ้มครอง จากรัฐซึ่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1948 ข้อ 8 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับ การเยียวยาอย่างได้ผลโดยศาลแห่งชาติซึ่งมีอำนาจเนื่องจากการกระทำใด ๆ อันละเมิดต่อสิทธิขั้นมูล ฐานซึ่งตนได้รับจากรัฐธรรมนูญ” ทั้งนี้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมุ่งให้ความคุ้มครองสิทธิใน กระบวนการยุติธรรมทางอาญาแก่ผู้ถูกกล่าวหา ในส่วนของผู้ต้องหาและจำเลยตลอดจนนักโทษตาม คำพิพากษาเป็นสำคัญ เนื่องจากในอดีตระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศต่าง ๆ ได้ ปฏิบัติต่อผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นเสมือนวัตถุแห่งการดำเนินคดี (object) ดังนั้น องค์การ สหประชาชาติจึงเน้นความสำคัญของการปฏิบัติต่อผู้ต้องหา จำเลย และผู้กระทำผิดเป็นลำดับแรก มากกว่าที่จะคำนึงถึงผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมและผู้เสียหายในคดีอาญาได้ริเริ่มขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา ในปี ค.ศ. 1985 องค์การสหประชาชาติโดยมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่ที่ 40/34 ได้ประกาศรับรองปฏิญญาว่าด้วยหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับ ความเสียหายจากอาชญากรรมและการใช้อำนาจไม่ถูกต้อง (Declaration of Basic Principles of Justice for Victims of Crime and Abuse of Power) มาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติ เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมในข้างต้นเป็นแนวทางให้ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การสหประชาชาตินำไปปฏิบัติโดยสร้างระบบและกลไก ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อพัฒนาและยกระดับการคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมและ ผู้เสียหายให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบททางสังคม และกฎหมายของแต่ละประเทศ องค์กรในระดับนานาชาติอีกหลาย ๆ องค์กรได้ออกหลักการสำคัญเกี่ยวกับการคุ้มครอง เหยื่ออาชญากรรม องค์กรสำคัญ ๆ ที่มีผลการดำเนินการเป็นรูปธรรม ได้แก่ ในปี ค.ศ. 1996 The European Forum for Victim Services โดยที่ประชุมเพื่อการบริการเหยื่ออาชญากรรมแห่งยุโรป ได้ออกแถลงการณ์ว่าด้วยสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Statement of Victims’ Rights in the process of criminal justice) มีหลัการสำคัญในการคุ้มครองสทธิของ เหยื่ออาชญากรรม คือ 1) ได้รับการยอมรับและตระหนักในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 2) ได้รับข้อมูลและคำอธิบายเกี่ยวกับความก้าวหน้าของคดีของตน 3) ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อใช้ในการพิจารณาเกี่ยวกับผู้กระทำความผิด 4) ได้รับคำแนะนำทางกฎหมาย


58 5) ได้รับความคุ้มครองทั้งส่วนบุคคลและความปลอดภัยทางร่างกาย 6) ได้รับการชดเชยจากผู้กระทำความผิดและจากรัฐ จากหลักการขององค์การสหประชาชาติสามารถจัดกลุ่มระบบการคุ้มครองผู้เสียหาย ในคดีอาญาหรือเหยื่ออาชญากรรมได้เป็น 2 ระบบ คือ 1) ระบบการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม (Victim Assistance) 2) ระบบการเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายในคดีอาญาหรือเหยื่ออาชญากรรม (Victim Remedies) 2.2.4 การคุ้มครองผู้เสียหายในคดีอาญาในต่างประเทศ สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายในคดีอาญา มิได้มีบัญญัติไว้แต่ เฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย ในหลายประเทศต่างก็มีหลักการทำนอง เดียวกันบัญญัติไว้เป็นกฎหมายใช้บังคับภายในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นไปที่การคุ้มครอง สิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาเช่นเดียวกับกฎหมายไทย โดยบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในลักษณะที่คล้ายกับการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาของไทย เนื่องจากสิทธิของผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมนับว่าเป็นประเด็นสำคัญ ครอบคลุมกว้างขวางในมุมมอง มนุษยธรรมทางสังคมรวมไปถึงมุมมองในด้านของกฎหมายด้วยมาตรการในการให้ความคุ้มครอง สิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญา ซึ่งหลายประเทศกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ใช้บังคับส่วนใหญ่มาจาก การดำเนินการภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติ โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเยียวยา ความเสียหายไว้เป็นหลักสากลให้ประเทศสมาชิกยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งมาตรการดังกล่าว เป็นแนวทางในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมในสังคม ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมสำหรับเหยื่ออาชญากรรมพึงได้รับความช่วยเหลือ จากรัฐ โดยประเทศฝรั่งเศสและประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหลัก เนื่องจากทั้งสองประเทศ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญา (1) ประเทศฝรั่งเศส ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) และเป็นประเทศที่มีระบบการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรัฐอย่างเคร่งครัด เป็นผลมาจาก แนวคิดในอดีตว่าหากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ความเสียหายที่ได้รับจากการกระทำความผิด ถือเสมือนว่าสังคมส่วนรวมเป็นผู้ได้รับผลกระทบรัฐเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิด รัฐจำเป็น ต้องเข้ามาดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด โดยไม่คำนึงว่าการกระทำความผิดดังกล่าวนั้นผู้เสียหาย มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่ ถือว่าอำนาจดำเนินคดีอาญาเป็นของรัฐการสร้าง ความสงบสุขอันเป็นประโยชน์สาธารณะเป็นภารกิจหลักที่รัฐต้องให้ความสำคัญ และรัฐมอบหมาย อำนาจในการดำเนินคดีอาญาดังกล่าวให้กับพนักงานอัยการเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการแทนรัฐ โดยระบบการดำเนินคดีอาญาของฝรั่งเศสจัดอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า “ระบบไต่สวน” (Inquisitorial System) เป็นระบบที่คำนึงถึงการค้นหาความจริงโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อพิสูจน์ ความผิดของจำเลย ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝรั่งเศส มาตรา 1 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “การดำเนินคดีอาญาเพื่อการลงโทษจะเริ่มขึ้นและดำเนินได้โดยผู้พิพากษาหรือ เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้” เห็นได้ว่ากฎหมายฝรั่งเศสมีการกำหนดอำนาจหน้าที่ การดำเนินคดีอาญาไว้ชัดเจน จำกัดเฉพาะแต่ผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการซึ่งกฎหมายให้อำนาจ


59 ไว้เท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องผู้กระทำความผิดต่อศาล บังคับคดี หรือจัดการให้มีการปฏิบัติตามคำพิพากษา จากหลักการดังกล่าว สิทธิฟ้องคดีอาญาในฝรั่งเศสจึงตกเป็นหน้าที่ของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีอาญาโดยตรง กฎหมายกำหนดให้พนักงานอัยการเป็นผู้มีบทบาทและหน้าที่ หลักในการดำเนินคดีอาญา การดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการในฝรั่งเศสอยู่ในระบบดุลพินิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก ทั้งนี้ พนักงานอัยการมีดุลยพินิจที่จะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ผู้กระทำความผิดต่อศาล หากจะมีคำสั่งฟ้องก็ต่อเมื่อเห็นสมควรและมีพยานหลักฐานในคดีเพียงพอ เท่านั้น ส่วนการบังคับโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมายจะเป็นการดำเนินการโดยผู้พิพากษาและ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ผลจากแนวคิดดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายในฝรั่งเศสไม่มีอำนาจดำเนินคดีอาญากับ ผู้กระทำความผิดต่อศาลได้ด้วยตนเอง กลายเป็นคำเปรียบเปรยว่า การใช้ระบบดำเนินคดีอาญา ในระบบไต่สวนเป็นการลิดรอนสิทธิในการดำเนินคดีอาญาของประชาชน อย่างไรก็ตาม ในประเทศ ฝรั่งเศสแม้กฎหมายจะกำหนดให้เฉพาะพนักงานอัยการเท่านั้นมีสิทธิฟ้องคดีอาญา ในทางกลับกัน กฎหมายก็เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินคดีอาญาได้ โดยการขอเข้ามาเป็น คู่ความฝ่ายแพ่ง เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง (Action Civile) ที่ตนได้รับจากการกระทำความผิดทางอาญา หลักการเรียกค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายในคดีอาญา มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝรั่งเศส มาตรา 1 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า “การดำเนินคดีอาญาอาจเริ่มขึ้นได้ โดยฝ่ายผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด” ประกอบ มาตรา 3 วรรคหนึ่ง และมาตรา 4 วรรคหนึ่ง ให้สิทธิผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง ที่เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญาไปพร้อมกับคดีอาญาต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญา ซึ่งฐานะของผู้เสียหายในคดีอาญาที่ใช้สิทธิดังกล่าวมีฐานะเกือบจะเทียบเท่ากับพนักงานอัยการในการ ดำเนินคดีอาญา การใช้สิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ตามหลักการดำเนิน คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในฝรั่งเศสมีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญ จากการมาตรการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหายในคดีอาญาตามหลักเกณฑ์ ที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นสิทธิที่มีความสำคัญและมีกฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิให้แก่ ผู้เสียหายในคดีอาญาไว้ชัดเจน ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝรั่งเศส (Code de Procédure Pénale) มาตรา 2 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “การฟ้องคดีแพ่งซึ่งเรียกร้องค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดทางอาญาโทษขั้นสูง ความผิดทางอาญาโทษขั้นกลาง หรือความผิด ลหุโทษ เป็นสิทธิของผู้ที่ได้รับความเสียหายเป็นการส่วนตัวและโดยตรงจากการกระทำความผิด” และ มาตรา 3 วรรคสอง กำหนดว่า “บุคคลจะฟ้องคดีอาญาสินไหมได้ต่อเมื่อได้รับความเสียหายทางทรัพย์สิน ทางกาย หรือทางจิตใจ โดยตรงจากการกระทำความผิดอาญานั้น” หากพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า กฎหมายฝรั่งเศสกำหนดให้บุคคลผู้มีสิทธิฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องมาจาก การกระทำความผิดทางอาญาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเป็นการส่วนตัวและโดยตรงจากการ กระทำความผิดเท่านั้น ทำให้เกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในฝรั่งเศสแต่เดิม มีลักษณะการ ตีความนิยามคำว่าผู้เสียหายแคบเกินไปสำหรับผู้จะเข้ามาจัดการแทนกรณีที่ผู้เสียหายแท้จริงไม่ สามารถจัดการเองได้ เพราะต้องพิจารณาก่อนว่าผู้เสียหายนั้นได้รับความเสียหายเป็นส่วนตัวหรือ โดยตรงจากการกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งการตีความดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาของไทย ซึ่งก่อนหน้าก็ยังคงยึดตามหลักเกณฑ์ ที่ว่าผู้เสียหายในคดีอาญาที่จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจะต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย เป็นผลให้


60 ยุคก่อนศาลฎีกาของฝรั่งเศสยอมรับการเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนแต่เฉพาะสิทธิของความเป็นบิดา มารดา บุตร สามีภริยา สำหรับการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวได้รับอันตรายจนถึงแก่ความตายเท่านั้น ต่อมาระบบกฎหมายฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลจากระบบเสรีนิยมและการคุ้มครองสิทธิ มนุษยชน เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาของศาล โดยศาลฎีกา ฝรั่งเศสตีความกลับบรรทัดฐานเดิม โดยไม่ยึดหลักการที่ว่า “ผู้เสียหายต้องมาศาลด้วยมือที่สะอาด” (Nemo auditor suam propriam turpitudinem allegans) ยอมรับในสถานะความเป็นผู้มีอำนาจ จัดการแทนไปถึงสามีภริยาที่อยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน หรือแม้กระทั่งแต่คู่รักร่วมเพศ ที่เป็นเพศเดียวกันอยู่กินกันฉันท์สามีภริยากับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ ถือเป็น การเปิดกว้างเกณฑ์การพิจารณาว่าผู้เสียหายในคดีอาญา ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหายโดยส่วนตัว และโดยตรงจากการกระทำความผิดอีกต่อไป หลักการดังกล่าว ถือเป็นการบริการสาธารณะในการอำนวยความสะดวกให้แก่ เอกชนทั่วไป เป็นมาตรการทางเลือกให้กับผู้เสียหายในคดีอาญา ในฝรั่งเศสจึงแยกคำฟ้องที่จะยื่น ต่อศาลอาญาออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกเป็น “คำฟ้องคดีอาญา” (Action Publique) ซึ่งมีเพียงอัยการเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องและดำเนินคดีตามคำฟ้องดังกล่าว ส่วนคำฟ้องอีกประเภทหนึ่ง เป็นคำฟ้องอาญาที่มีค่าสินไหมทดแทนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือที่เรียกว่า “คำฟ้องคดีอาญาสินไหม” (Action Civile) โดยผู้เสียหายสามารถเลือกฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาหรือศาลแพ่ง ก็ได้คำฟ้องดังกล่าวจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาของไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ประหยัด มีประสิทธิภาพในการรวบรวมพยานหลักฐานและ การตอบสนองความรูสึกแก้แค้นทดแทนของผู้เสียหาย (2) ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America) เป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย คอมมอนลอว์(Common Law) และใช้ระบบการปกครองระบบสหพันธรัฐ (Federalism) ซึ่งกำหนด โดยรัฐธรรมนูญ มีโครงสร้างการแบ่งองค์กรของรัฐที่แตกต่างจากประเทศที่ระบบการปกครองแบบ รัฐเดี่ยว สหรัฐอเมริกาประกอบด้วย มลรัฐ 50 มลรัฐและ 1 เขตการปกครอง โดยมีรัฐบาลกลาง (Federal Government) รัฐสภา (Congress) และศาลสูง (Supreme Court) โดยแต่ละรัฐจะมีสิทธิ ในการปกครองตนเอง สมาชิกรัฐสภาและผู้ว่าการรัฐทุกรัฐจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยมีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครอง การดำเนินคดีอาญาของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในรูปแบบของการดำเนินคดีโดยรัฐ พัฒนามาจากรูปแบบของการดำเนินคดีอาญาโดยเอกชน ซึ่งเป็นไปตามยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญา ที่ตั้งอยู่บนความเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสังคม ส่วนรวม เป็นการยับยั้งและแก้แค้นมากกว่าผลประโยชน์ของปัจเจกชนที่ตกเป็นผู้เสียหาย ประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของ ผู้เสียหายในคดีอาญาและเหยื่อในคดีอาญาอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นกฎหมายเป็นเครื่องมือในการให้ ความคุ้มครองเป็นสำคัญ กฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ กฎหมายสหรัฐ (Federal Law) และกฎหมายของมลรัฐ (State Law) รัฐบาลของ สหรัฐอเมริกาพยายามมุ่งเน้นแก้ไขพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ซึ่งใน


61 อดีตมุมมองเกี่ยวกับผู้เสียหายในคดีอาญาตามกฎหมายของรัฐบาล ผู้เสียหายเป็นเพียงพยาน หลักฐานในการพิสูจน์ความผิดและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ ต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นเหยื่ออาชญากรรมส่งผลกระทบต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน รวมทั้งความปลอดภัย ในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมาเป็นเวลายาวนาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลางของสหรัฐมิได้นิ่งเฉย กับปัญหาดังกล่าว โดยได้มีการพัฒนากฎหมายขอบเขตแห่งการให้ความคุ้มครองแก่สิทธิของ เหยื่ออาชญากรรม โดยในปี ค.ศ. 1981 เป็นยุคของประธานาธิบดี โรนัล เรแกน เป็นผู้นำประเทศ ได้ประกาศวัน “สัปดาห์แห่งสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม” ในระดับสหรัฐขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือน เมษายน ต่อมาได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการ ให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรม คณะกรรมการชุดนี้ได้รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับ เหยื่ออาชญากรรมในสหรัฐอเมริกา โดยมีข้อเสนอแนะจำนวน 68 ข้อ เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการ ปรับปรุงการปฏิบัติต่อเหยื่ออาชญากรรมต่อประธานาธิบดี โรนัล เรแกน ในปี ค.ศ. 1982 พร้อมทั้ง มีข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ฉบับที่ 6 โดยการเพิ่มมาตรการให้ หลักประกันแก่สิทธิของเหยื่ออาชญากรรมในการเข้าร่วมและรับรู้เกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอน ในการดำเนินคดีอาญาต่อศาลในทุกขั้นตอน ผลจากการรายงานการศึกษาของคณะกรรมการดังกล่าว เป็นผลให้ในปีเดียวกัน สหรัฐอเมริกาได้บัญญัติกฎหมายคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมและพยาน (The Victim & Witness Protection Act 1982) กฎหมายเกี่ยวกับการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฉบับนี้ ถือว่า เป็นกฎหมายฉบับแรกในระดับสหรัฐอเมริกาที่เป็นบทบัญญัติให้การคุ้มครองบุคคลผู้ซึ่งต้องตกเป็น เหยื่ออาชญากรรมและพยานในคดีอาญา เป็นกฎหมายที่ส่งเสริมและคุ้มครองบทบาทของเหยื่อ อาชญากรรมและพยานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพื่อเป็นการรับรองว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ กับการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและพยานโดยไม่ละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญกำหนด และต่อมา ในปี ค.ศ. 1983 มีการจัดตั้งสำนักงานเหยื่ออาชญากรรมขึ้น โดยกำหนดให้อยู่ในสังกัดความรับผิดชอบ ของกระทรวงยุติธรรม (Office for Victims of Crime : OVC) เพื่อพิจารณานำข้อเสนอแนะที่เคย ศึกษาวิเคราะห์จำนวน 68 ข้อ นั้นไปพัฒนา เพื่อนำไปสู่การนำมาปฏิบัติในสังคมประเทศอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ในยุคของประธานาธิบดี โรนัล เรแกน อย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกามีความพยายามในการดำเนินการ ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรมมาแล้วตั้งแต่ในปีค.ศ. 1965 ที่สหรัฐอเมริกามีการกำหนดโปรแกรมในการให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรม (Victim Assistance Program) โดยการดำเนินการของรัฐ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผล จากการดำเนินการสร้างโปรแกรมให้ความช่วยเหลือนี้ทำให้มลรัฐต่าง ๆ เห็นถึงความสำคัญของ สิทธิผู้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม จึงออกกฎหมายทดแทนค่าเสียหายแก่เหยื่ออาชญากรรมขึ้นมาใช้ บังคับในมลรัฐของตน ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 1970 มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับแนวคิดในการคุ้มครอง สิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง ผลจากการ เคลื่อนไหวครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญา เป็นรากฐานสำคัญให้ผู้เสียหายในคดีอาญาได้กลับมามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา สหรัฐอเมริกามีการกำหนดมาตรการดำเนินการขึ้นมาใหม่ ในปี ค.ศ. 1972 อันเป็น การพัฒนาการดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรมไปอีกขั้นหนึ่ง โดยกำหนดโปรแกรม ให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรมไว้ 3 โปรแกรมด้วยกัน คือ โปรแกรมให้ความช่วยเหลือ


62 เหยื่ออาชญากรรมในเมืองเซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรีโปรแกรมให้ความช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อ อาชญากรรมจากการข่มขืนในเมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และการตั้งศูนย์ให้ความ ช่วยเหลือแก่ผู้ถูกข่มขืนในกรุงวอชิงตันดีซีในปี ค.ศ. 1974 การพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง สิทธิของเหยื่ออาชญากรรมในสหรัฐอเมริกายังได้รับความสนใจจากหน่วยงานของรัฐอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1975 มีการจัดตั้งองค์การให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมแห่งชาติ (National Organization for Victim Assistance : NOVA) ที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อให้ บริการความช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรมในกระบวนการต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนให้สิทธิของ เหยื่ออาชญากรรมขยายออกไปโดยไม่หวังผลกำไรจากการดำเนินการ แต่ได้รับเงินสนับสนุนจาก งบประมาณบางส่วนจากรัฐ จากการดำเนินการในการจัดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่ในการดำเนินการเฉพาะเรื่อง รับผิดชอบเฉพาะกรณีของรัฐบาลสหรัฐ ที่ถือเป็นการให้สวัสดิการแก่พลเมือง เห็นได้ชัดว่า กระบวนการยุติธรรมมีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นเพื่อให้ สิทธิของเหยื่ออาชญากรรมได้รับการยอมรับและให้ความสำคัญจากสังคมมากขึ้น ในปีค.ศ. 1984 รัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาได้บัญญัติกฎหมายเหยื่ออาชญากรรม (The Victims of Crime Act 1984 : VOCA) ผลแห่งการตราพระราชบัญญัติดังกล่าว มีการกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานเหยื่ออาชญากรรม และมีกองทุนเพื่อเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งเงินที่นำมาบริหารงานกองทุนจะเป็นเงินที่ได้มาจากค่าปรับ ของผู้กระทำความผิด ซึ่งจะนำมาใช้ในการดำเนินการตามโปรแกรมการจ่ายค่าทดแทนความเสียหาย ให้แก่เหยื่ออาชญากรรม และโปรแกรมที่กำหนดไว้เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา ในมลรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา เมื่อผลการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิของ ผู้เสียหายในคดีอาญาเป็นไปในทิศทางที่ดีมีการตอบรับและรับรองการใช้สิทธิมากขึ้น เป็นผลให้ มาตรฐานระหว่างประเทศพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับของสหประชาชาติ ต่อมาสหประชาชาติก็ได้ประกาศรับรองปฏิญญาว่าด้วยหลักความความยุติธรรม ขั้นพื้นฐานสำหรับผู้เสียหายในคดีอาญาและใช้อำนาจโดยมิชอบ (Declaration of basic principles of victim of crime and abuse of power) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1985 ซึ่งหลักการของ สหประชาชาติเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ เริ่มดำเนินการเพื่อขยายรูปแบบ และแนวทางในการให้การบริการที่เกี่ยวกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับประชากรของ ตนเอง ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเหยื่ออาชญากรรมจะได้รับการคุ้มครองสิทธิในกระบวนการ ยุติธรรม โดยกำหนดหลักการให้เจ้าหน้าที่พึงปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีอาญา นับแต่เริ่มดำเนินคดี จนถึงการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งในส่วนของตำรวจ อัยการ ทนายความ ศาล และราชทัณฑ์ ในการให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความ ถ่วงดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของผู้กระทำความผิดกับสิทธิของผู้เสียหายอย่างแท้จริง ซึ่งสิทธิ ของผู้เสียหายที่ต้องได้รับการคุ้มครอง ประกอบด้วย การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและได้รับการ ปฏิบัติอย่างเป็นธรรม การได้รับการชดเชยความเสียหายโดยผู้กระทำความผิด การได้รับการชดเชย ความเสียหายโดยรัฐ และการให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อ สำหรับกฎหมายภายในประเทศสหรัฐอเมริกาถือได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในปี ค.ศ. 1982 ระบบการบริหารกระบวนการยุติธรรมได้เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ในเรื่องเกี่ยวกับ การชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย (Compensating Victims of Crime) จากเดิมที่ผู้เสียหายใน คดีอาญาจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดทางอาญา โดยการฟ้องร้อง เป็นคดีต่างหาก ก็มีแนวคิดให้รัฐเข้ามาช่วยดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหาย มีการตรากฎหมายคุ้มครอง


63 สิทธิของเหยื่ออาชญากรรมฉบับแรกในสหรัฐอเมริกา คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองเหยื่อและพยาน ค.ศ. 1982 (Victim and Witness Protection Act 1982 : VWPA) เนื่องจากรัฐสภาลงความเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมควรแก้ไขเยียวยาผู้เสียหายในคดีอาญา เพราะกระบวนการยุติธรรมนั้นไม่สามารถ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้หากขาดการให้ความร่วมมือจากเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งตกเป็น ผู้เคราะห์ร้ายจากการกระทำความผิดของบุคคลอื่น ซึ่งบางกรณีตนมิได้มีส่วน เกี่ยวข้องกับการกระทำ ความผิด จึงต้องบัญญัติกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรการสำหรับการ ปกป้องและป้องกันผู้เสียหายในพยานในคดีอาญา และเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ผู้เสียหายโดยปราศจากการละเมิดสิทธิและการลงโทษตามรัฐธรรมนูญ ต่อมามีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของเหยื่อขึ้นในสหรัฐอเมริกา อีกมากมาย เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยผู้เสียหายในคดีอาญา ค.ศ. 1984 (Victims of Crime Act of 1984) พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิของเหยื่อและการชดใช้ ค.ศ. 1990 (Victims Rights and Restitution Act of 1990) พระราชบัญญัติต่อต้านลัทธิการก่อการร้ายและการใช้โทษประหารชีวิต ค.ศ. 1996 (Antiterrorism and Effective Death Penalty Act of 1996) ซึ่งในกฎหมายของ สหรัฐอเมริกาพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมเหล่านี้ถูกนำ ไปบัญญัติเป็นหมวดหมู่ในกฎหมายสหรัฐอเมริกา United State Code (U.S.C) ในหัวข้อหลัก ๆ คือ หัวข้อที่ 18 (Title 18) และหัวข้อที่ 42 (Title 42) กฎหมายเหล่านี้มีการแก้ไขไปตามความเหมาะสม และสภาวะสังคมกาลเวลาที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การบังคับใช้เกิดประสิทธิภาพเป็นหลักประกันให้กับ ผู้เสียหายว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา หลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในกฎหมายสหรัฐอเมริกาสำหรับ ความหมายของคำว่า “ผู้เสียหาย” หรือ “เหยื่ออาชญากรรม” ตามประมวลกฎหมายของประเทศ สหรัฐอเมริกา (U.S.C.) ได้ให้คำนิยามความหมายของคำว่า “เหยื่อ” หมายถึง บุคคลที่ได้รับความทุกข์ ทรมานโดยตรงทางกาย ความรู้สึก หรือความเสียหายในทางการเงิน อันเป็นผลมาจากการกระทำ ความผิดกฎหมายอาญา และหมายความรวมไปถึงเหยื่อเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีผู้ไร้ความสามารถ ผู้ถูกทำให้ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งต่อไปนี้ 1) คู่สมรส 2) ผู้พิทักษ์ 3) ผู้ปกครอง 4) บุตร 5) ญาติสายโลหิตเดียวกัน 6) สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ 7) บุคคลอื่นที่ได้รับแต่งตั้งจากศาล เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีกฎหมายในระดับของรัฐบาลกลาง และในระดับมลรัฐ หลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาของแต่ละมลรัฐจึงมีลักษณะ แตกต่างกันไป เช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย “เหยื่อ” หมายถึง บุคคลที่ถูกทำร้ายจากกระทำความผิดทาง อาญา หรือในรัฐอาร์คันซอที่เป็นทางตอนใต้ของสหรัฐระบุว่า “เหยื่อ” หมายถึง บุคคลที่ได้รับความ เสียหายในความผิดทางเพศหรือการกระทำผิดต่อผู้เสียหายที่เป็นผู้เยาว์และเหยื่อของอาชญากรรม รุนแรง นอกจากนิยามความหมายของเหยื่ออาชญากรรมแล้วประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหาย ในคดีอาญา ในสหรัฐอเมริกามีการกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของ


64 ผู้เสียหายในคดีอาญาบัญญัติไว้ใน Title 18 U.S.C. § 3771 โดยสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาสหรัฐ (U.S.C.) Code ดังกล่าวมีหลักการสำคัญกำหนด ให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ดังต่อไปนี้ 1) สิทธิจะได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสมจากผู้ถูกกล่าวหา 2) สิทธิที่จะได้รับการแจ้งให้ทราบอย่างเหมาะสมและถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์ เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาล หรือการดำเนินการพิจารณาทางอาญาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำความผิดหรือการหลบหนีของผู้ต้องหา 3) สิทธิที่จะไม่ถูกแยกออกจากกระบวนการพิจารณาใด ๆ ในศาลเว้นแต่ศาลจะได้ รับหลักฐานที่ชัดเจนและเชื่อว่าพยานหลักฐานของเหยื่อนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ อย่างมาก หากผู้เสียหายได้ยื่นคำให้การใด ๆ ระหว่างพิจารณา 4) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอย่างสมเหตุสมผลในที่สาธารณะใด ๆ ในศาลแขวง ที่เกี่ยวกับการปล่อยตัว การร้องขอ การพิจารณาพักการลงโทษ 5) สิทธิในการปรึกษากับพนักงานอัยการของรัฐบาลอย่างเหมาะสม 6) สิทธิที่จะได้รับการชดเชยความเสียหายเต็มจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด 7) สิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยไม่ชักช้า 8) สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมและความเคารพในศักดิ์ศรีและ ความเป็นความเป็นส่วนตัวของผู้ที่ตกเหยื่ออาชญากรรม 9) สิทธิที่จะได้รับการแจ้งในเวลาที่เหมาะสมสำหรับการโต้แย้งข้ออ้างใด ๆ ที่อัยการ เป็นโจทก์ฟ้อง 10) สิทธิที่จะได้รับทราบถึงสิทธิทั้งหลายเหล่านี้ การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องและให้ความสำคัญกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ในสหรัฐอเมริกาโดยสภาคองเกรส (Congress) ยุคดังกล่าวมีการดำเนินการในหลายรูปแบบ กระทั่งรัฐ ดำเนินการแก้ไขบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ผ่านกฎหมายด้านสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม ในส่วนของการชดใช้ความเสียหายแก่ผู้เสียหายใน คดีอาญา (Restitution) โดยผู้กระทำความผิด โดยประกาศใช้พระราชบัญญัติต่อต้านลัทธิการก่อ การร้ายและการใช้โทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ เหยื่ออาชญากรรม (Mandatory Victims Restitution Act : MVRA) มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1996 ซึ่งบัญญัติในหมวด 2 ในหัวข้อ 18 (Title 18) แห่งประมวลกฎหมาย สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นได้ถึงมาตรการในการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวกับการการชดใช้ค่าเสียหาย ในคดีอาญาของรัฐบาลกลางของสหรัฐ โดยหลักการแล้วศาลรัฐบาลกลางอาจไม่สั่งให้จำเลยชำระ ค่าเสียหายให้แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมในเขตอำนาจของตนได้ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติ ของกฎหมายให้อำนาจกระทำได้ จากการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหาย ในคดีอาญาของสหรัฐอเมริกาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหาย มากมายหลายฉบับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับตัวผู้เสียหายที่ต้อง ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรม ซึ่งควรได้รับการแก้ไขเยียวยา โดยความตระหนักว่าหากปราศจาก ความร่วมมือของบุคคลผู้ซึ่งตกเป็นเหยื่อและเป็นผู้รู้เห็นทุกสิ่งเกี่ยวกับการกระทำความผิดแล้ว กระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะไม่สามารถสร้างความยุติธรรมให้กับสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


65 กฎหมายจึงต้องคำนึงถึงความเสมอภาคระหว่างผู้กระทำความผิดและผู้เสียหายให้มาก สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาเป็นลำดับเรื่อยมา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากลขององค์กรสหประชาชาติที่เกี่ยวกับ สิทธิของผู้เสียหายนั่นเอง (3) ประเทศอังกฤษ กฎหมายของประเทศอังกฤษเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาโดยการจัดทำคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรมในกระบวนการชั้นก่อน ฟ้องและชั้นพิจารณาตลอดจนชั้นบังคับโทษ เมื่อพิจารณากฎหมายของประเทศอังกฤษตาม Domestic Violence Crime and Victim Act 2004 มาตรา 33 ประกอบกับ Code of Practice for Victims of Crime 2015 เหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายมีสิทธิที่จะจัดทำคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของ อาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับตน หรือ Victim, Personal Statement (VPS) เพื่อให้ศาลใช้ประกอบการ พิจารณาพิพากษาคดีได้ ทั้งนี้ ตาม Criminal Justice Act 2003 มาตรา 143 (1) ในการวินิจฉัยว่า พฤติการณ์การกระทำผิดมีความร้ายแรงหรือไม่จะต้องพิจารณาจากความชั่วร้ายในตัวผู้กระทำผิด ประกอบกับภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิด หรือที่ผู้กระทำผิดตั้งใจให้เกิดหรือน่าจะเกิดขึ้น จากการกระทำความผิดนั้นซึ่งหมายความรวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเหยื่อหรือผู้เสียหายด้วย ทั้งนี้ กระบวนการจะเริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอธิบายให้ผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อทราบถึง การดำเนินคดีอาญา กระบวนการสอบสวน ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือจากองค์กรช่วยเหลือ เหยื่ออาชญากรรม (Victim Support Services) เมื่อผู้เสียหายให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ (Witness Statement) เจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบถึงสิทธิในการจัดทำคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของ อาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ (Victim Personal Statement) และผู้เสียหายมีสิทธิเลือกว่าจะให้มี การอ่าน (โดยตัวผู้เสียหายเองหรือบุคคลอื่น ๆ เช่น ครอบครัวหรือพนักงานอัยการ) หรือเปิด (กรณี มีการบันทึกเสียง) คำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรมที่ได้จัดทำขึ้นประกอบการพิจารณา ของศาลหรือไม่ก็ได้ในกรณีที่มีพยานหลักฐานชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง อนึ่ง แม้ผู้เสียหาย จะเลือกให้มีการอ่านคำแถลง แต่หากภายหลังไม่ต้องการให้มีการอ่านคำแถลงซึ่งเกี่ยวกับผลกระทบ ของอาชญากรรมของตนในการพิจารณาของศาล ก็สามารถขอยกเลิกการอ่านคำแถลงได้ อย่างไรก็ดี คำแถลงดังกล่าวยังคงถูกรวบรวมเป็นพยานเอกสารชิ้นหนึ่งในสำนวน หากผู้เสียหายไม่ได้จัดทำ คำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรมไว้ในตอนต้นภายหลังการให้ปากคำกับเจ้าพนักงานตำรวจ ผู้เสียหายอาจจัดทำคำแถลงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานตำรวจภายหลังได้ในเวลาใด ๆ ก่อนที่คดีจะเข้าสู่ การพิจารณาของศาล ในกรณีของผู้เสียหายที่พึงได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ 3 ประเภท ได้แก่ ผู้เสียหายในการกระทำผิดอาญาร้ายแรง (Victims of Most Serious Crimes) ผู้เสียหายที่ตกเป็น เหยื่ออย่างต่อเนื่อง (Persistently Targeted Victims) และผู้เสียหายที่เป็นกลุ่มเปราะบาง (Vulnerable or Intimidated Victims) สามารถทำคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรม ต่อเจ้าพนักงานตำรวจได้ ในเวลาใด ๆ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาไม่ว่าจะได้ให้ปากคำในฐานะพยาน ต่อเจ้าพนักงานตำรวจแล้วหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายในกระบวนการการพักการ ลงโทษ ตาม Code of Practice for Victims of Crime 2015 พบว่า รัฐมีกลไกที่เปิดโอกาสให้ ผู้เสียหายซึ่งตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมได้เข้ามามีส่วนร่วม โดยสามารถเสนอความเห็นเกี่ยวกับ การพักการลงโทษโดยจัดทำคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรม Victim Personal


66 Statement (VPS) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาพักการลงโทษได้กล่าวคือ ภายหลังจากที่ ศาลมีคำพิพากษาแล้วผู้เสียหายในคดีความผิดร้ายแรงหรือคดีความผิดเกี่ยวกับเพศที่ผู้กระทำผิด ได้รับโทษจำคุกมากกว่า 12 เดือน จะได้เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม (Victim Contact Scheme: VCS) และเมื่อคณะกรรมการพักการลงโทษ (The Parole Board) พิจารณา ปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาดก่อนครบกำหนดโทษ ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับการแจ้งถึงการพิจารณาพัก การลงโทษดังกล่าวจากหน่วยงานคุมประพฤติ (National Probation Service) และสามารถแจ้งความ ประสงค์ผ่านผู้ประสานงานเหยื่ออาชญากรรม (Victim Laison Officer: VLO) ในการจัดทำคำแถลง Victim Personal Statement (VPS) ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่ออธิบายถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ต่อตนเองหรือครอบครัวจากการปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาดก่อนครบกำหนดโทษ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบ ทางด้านร่างกาย จิตใจอารมณ์ ความรู้สึก เนื้อหาของคำแถลงดังกล่าวจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการ พิจารณาของคณะกรรมการพักการลงโทษ (Paper-Based Hearing) หรือผู้เสียหายอาจแจ้งความ จำนงขอเข้าร่วมการพิจารณาพักการลงโทษแบบแถลงการณ์ด้วยวาจา (Oral Hearing) และยื่นคำ แถลงเกี่ยวกับผลกระทบจากการปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาด (VPS) ในการพิจารณาดังกล่าวก็ได้อนึ่ง คณะกรรมการพักการลงโทษจะต้องเปิดเผยผลการพิจารณาพักการลงโทษพร้อมเหตุผลประกอบ ให้ผู้เสียหายทราบด้วยหากผู้เสียหายร้องขอ เว้นแต่ ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรที่ประธานคณะกรรมการ พักการลงโทษเห็นควรไม่ให้มีการเปิดเผยผลการพิจารณาดังกล่าว ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศอังกฤษมีมาตรการทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียหาย หรือเหยื่ออาชญากรรมได้เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตั้งแต่ กระบวนการในชั้นก่อนฟ้องและชั้นพิจารณาของศาล ไปจนถึงกระบวนการพักการลงโทษโดยสามารถ จัดทำคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ของศาลและการพักการลงโทษขององค์กรผู้มีอำนาจ ทั้งนี้หากมีการนำมาตรการดังกล่าวมาปรับใช้ กับกฎหมายของประเทศไทยจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เสียหายว่าจะไม่ถูกหลงลืม ถูกทอดทิ้ง และเกิดความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยอีกด้วย 2.2.5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 สิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย และของมนุษยชาติ ในฐานะที่เป็นสัตว์โลกที่มีจิตใจสูง ต่างกับระบอบเผด็จการที่ถือว่าคนเป็นทาสของรัฐและผู้มีอำนาจ ดังนั้น สิทธิและเสรีภาพ rights-and-liberties สำคัญต่อประชาชนในฐานเจ้าของอำนาจอธิปไตย ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อย่างไร ในระบอบประชาธิปไตย มีหลักการและแนวคิด เกี่ยวสิทธิและเสรีภาพอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในฐานะองค์กรทางการเมืองกับบุคคลที่อยู่ ภายในรัฐ สถานภาพของบุคคลภายในรัฐมีความแตกต่างกัน แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น ในฐานะเป็นพลเมือง หรือในฐานะต่างด้าว เป็นต้น ในระบอบเสรีประชาธิปไตยให้ความสำคัญกับ เรื่องสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองเป็นอย่างมาก สิทธิของพลเมืองหรือสิทธิในฐานะเป็นพลเมืองย่อมมี ซึ่งเป็นการจำกัดอำนาจของรัฐ แต่สิทธิย่อมไม่สมบูรณ์ที่สุด ทั้งนี้เพราะหากผู้ใดมีสิทธิหรือเสรีภาพ เต็มที่ จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อบุคคลอื่นด้วย คือ จะไปริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนอื่น รัฐจึงมี หน้าที่ในการกำหนดขอบเขต โดยดูแลให้สิทธิของพลเมืองหรือสิทธิในฐานะเป็นพลเมือง แนวคิดว่าด้วย ศักดิ์ความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) ได้รับการพัฒนามากพร้อมกับแนวคิดว่าด้วยสิทธิตาม


67 ธรรมชาติของสำนักกฎหมายธรรมชาติ โดยเห็นว่ามนุษย์ที่ถือกำเนิดมาย่อมมีศักดิ์ศรีในความเป็น มนุษย์ทุกคน รัฐหรือบุคคลอื่นใดก็มิอาจละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีหลักการรับรองคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล มีการกำหนดหลักประกันในการตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล กล่าวคือ ฝ่าย นิติบัญญัติ จะตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลได้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น การบัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพไม่ได้ทำให้ประชาชนมี สิทธิและเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ เพราะเมื่อมีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีองค์กร มาทำหน้าที่คุ้มครอง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้มีบทบัญญัติในเรื่องสิทธิเสรีภาพมาตั้งแต่ รัฐธรรมนูญฉบับแรก และได้ขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นเป็นลำดับ นับแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้มี การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและฉบับชั่วคราวมาแล้ว ทั้งสิ้น 20 ฉบับ ซึ่งฉบับที่บังคับใช้ ในปัจจุบัน กล่าวคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 เป็นต้นมา เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ สิ่งหนึ่งที่แสดงความ เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายใด ๆ ที่ใช้บังคับหรือจะใช้บังคับนั้นจะขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นแม่บทนั้นมิได้ เรียกว่า หลักความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหลักการนี้ได้รับรองไว้ ตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 5 แห่งรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของ กฎหมาย กฎหรือข้อบังคับหรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้” ความเป็นกฎหมายสูงสุด หรือ Supremacy of Law หมายถึง สภาวะสูงสุดของ กฎหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นสถานะของกฎหมายนั้น ๆ ว่าอยู่ในลำดับสูงเหนือกฎหมายอื่นใดทั้งปวง ลำดับเช่นนี้อาจเรียกว่าศักดิ์หรือชั้นของกฎหมาย (Hierarchy of Law) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะกำหนดให้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ในทุก ๆ รัฐธรรมนูญต่างก็มีรากฐานแนวคิดหลากหลายด้านด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นย่อม หนีไม่พ้นเรื่องราวของสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งสองเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญในความเป็นมนุษย์และเป็นหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคจึงปรากฏเป็นบทบัญญัติหลัก ๆ ของรัฐธรรมนูญต่าง ๆ เสมอมา ในฐานะแนวความคิดพื้นฐานอันจำเป็นควบคู่มากับการกำเนิดของรัฐธรรมนูญในโลก เพราะอีกด้าน หนึ่งการมีรัฐธรรมนูญนั้นก็เป็นไปเพื่อคุ้มครองประชาชนในสังคมการเมืองหนึ่ง ๆ นั่นเอง อีกทั้งส่งผล ต่อกระบวนการยุติธรรม โดยหลักเป็นกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในเชิงอำนาจรัฐ รวมทั้ง การใช้สำหรับการควบคุมสังคมประการหนึ่งกับใช้ในการบริหารด้านความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิ แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งในด้านของเหยื่ออาชญากรรมผู้กระทำความผิดและชุมชนอีกด้วย หาก กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่ได้เพียงด้านใดด้านหนึ่ง โดยไม่สามารถทำหน้าที่ประการอื่น เพื่อให้เกิด ความสมดุลแก่ทุกฝ่ายอาจก่อให้เกิดวิกฤตในกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้มีการนำมาบัญญัติไว้เป็นครั้งแรกใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 โดยบัญญัติไว้ในหมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของ ชนชาวสยาม ได้วางหลักไว้อย่างกว้างว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธิใด ๆ


68 และมีเสรีภาพในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมของประชาชน” และ “ภายในบังคับแห่ง กฎหมาย บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหสถาน ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม การอาชีพ” แม้ว่าจะวางหลักไว้อย่างกว้าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติแต่ในเมื่อไม่มีกฎหมายมารองรับ ในบางเรื่องจึงมีการละเมิดจนเกิดผลเสีย ต่อการปกครอง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ในการจัดทำรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะคำนึงถึง การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นประการสำคัญเสมอมา เพราะมองว่าสิทธิและเสรีภาพ เป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น หาก ละเลยหรือไม่คุ้มครองเรื่องเหล่านี้แล้ว ย่อมส่งผลต่อเกียรติภูมิของประเทศชาติตามไปด้วยการคุ้มครอง สิทธิและเสรีภาพตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงเป็นหลักการสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ และต่อมามีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงแนวคิด เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยได้รับการปฏิรูป ครั้งใหญ่ เมื่อปีพุทธศักราช 2540 โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 75 วรรคแรก กำหนดให้รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม กฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล จัดระบบงานของกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ และอ านวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างรวดเร็วเท่าเทียมกันเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาจึงอยู่ที่การอำนวยความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างมี ประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเท่าเทียมเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและตอบสนองความต้องการ ของประชาชน และล่าสุดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มีบทบัญญัติ ที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพมากที่สุด โดยได้มีการนำเรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาบัญญัติ ไว้ในหมวด 3 มาตรา 25 – 49 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในภาพรวมของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 จะพบว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญไม่ได้ปรากฏเฉพาะอยู่แต่ในหมวด 3 เท่านั้น แต่เรื่องสิทธิและเสรีภาพได้กระจายอยู่ในหมวดอื่น ๆ ด้วย เช่น หมวดรัฐสภา หมวดศาล หมวดการปกครองท้องถิ่น หมวดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มีการรับรองสิทธิ เสรีภาพไว้อย่างกว้าง มาตรา 25 : การรับรองสิทธิเสรีภาพไว้อย่างกว้าง มาตรา 26 : การตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพ มาตรา 27 : ความเสมอภาค มาตรา 28 : สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย มาตรา 29 : สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง สิทธิที่จะได้รับการ สันนิษฐานในคดีอาญาไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ มาตรา 30 : ห้ามเกณฑ์แรงงาน มาตรา 31 : สิทธิในการนับถือศาสนา รวมถึงเสรีภาพในการไม่นับถือศาสนาด้วย มาตรา 32 : สิทธิส่วนตัวหรือสิทธิส่วนบุคคล มาตรา 33 : เสรีภาพในเคหสถาน มาตรา 34 : เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น มาตรา 35 : สิทธิของสื่อมวลชน


69 มาตรา 36 : เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร มาตรา 37 : สิทธิในทรัพย์สินและสืบมรดก มาตรา 38 : สิทธิการเดินทางและเลือกที่อยู่ มาตรา 39 : การเนรเทศ การห้ามเข้าประเทศไทย การถอนสัญชาติไทย มาตรา 40 : เสรีภาพการประกอบอาชีพ มาตรา 41 : สิทธิทราบข้อมูล ร้องทุกข์และฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ เป็นสิทธิที่หน่วยงาน ของรัฐต้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง มาตรา 42 : สิทธิรวมกันเป็นสมาคม องค์กร หรือหมู่คณะ มาตรา 43 : สิทธิเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิทธิมนุษยชน มาตรา 44 : เสรีภาพในการชุมนุม มาตรา 45 : เสรีภาพการจัดตั้งพรรคการเมือง มาตรา 46 : สิทธิของผู้บริโภค มาตรา 47 : สิทธิได้รับบริการสาธารณสุข มาตรา 48 : สิทธิของมารดา คนชราและผู้ยากไร้ มาตรา 49 : ห้ามใช้สิทธิล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่าสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ นั้น การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนนับเป็นเจตนารมณ์ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมี บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพเอาไว้ แต่การละเมิดสิทธิและเสรีภาพยังมีอยู่เป็นประจำ ทั้งโดย เจตนาและไม่เจตนา และความเข้าใจในเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญยังไม่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นในหมู่ของประชาชนด้วยกัน หรือระหว่างรัฐกับประชาชน ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงได้สร้าง กลไกในการตรวจสอบและเยียวยาเพื่อแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ โดยกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพและส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม บัญญัติให้ “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยกบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้” อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฯ 2560 ไม่ได้บัญญัติสิทธิของบุคคลในกระบวนการพิจารณา ของศาลโดยตรง แต่ถึงอย่างไร หลักการดังกล่าว สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองให้แก่ประชาชนนั้น ถือว่าเป็นคุณค่าสูงสุด ซึ่งองค์กรต่างๆ ของรัฐทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจ ตุลาการก็ตาม ต้องเคารพและให้ความคุ้มครอง อย่าให้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นเพียงคำประกาศ อุดมการณ์ของรัฐเท่านั้น หากแต่เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีผลบังคับใช้โดยตรง (Self - executing) แก่องค์กรของรัฐเหล่านั้น สิทธิและเสรีภาพของบุคคลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ ใช้เพื่อกำหนดวิถีชีวิตของตนของมนุษย์ กล่าวคือ หากมนุษย์ปราศจากสิทธิและเสรีภาพเสียแล้ว การกำหนดวิถีชีวิตของคนย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องถูกแทรกแซงจากผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากผู้ปกครองรัฐ


70 ประเทศไทยมีการปฏิรูประบบกฎหมายและระบบงานยุติธรรม จากยุคอดีตที่เหยื่อ อาชญากรรมในทัศนคติของกระบวนการยุติธรรมถูกมองเป็นแต่เพียงพยานในการดำเนินคดีกับ ผู้กระทำความผิด ให้มีสิทธิการได้รับความช่วยเหลือจากกระบวนการยุติธรรมมากขึ้นโดยการกำหนด มาตรการคุ้มครองช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมให้ได้รับการเยียวยาความเสียหาย ที่ต้องประสบ เคราะห์กรรมจากเหตุอาชญากรรมในสังคม ถือเป็นมาตรการขับเคลื่อนศูนย์กลางกระบวนการยุติธรรม มาสู่การคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่ได้รับ การรับรองโดยกฎหมายว่า “บุคคลย่อมเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย” (Equality of Persons Before the Law) ในอันที่จะได้รับการคุ้มครองให้ความช่วยเหลือตลอดจนอำนวยความยุติธรรม จากศาล หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ ดังกล่าวเป็นภาระหน้าที่หลักที่รัฐจะต้องมอบหมายให้หน่วยงานภายใต้ความดูแลของรัฐรับไปปฏิบัติให้ สัมฤทธิ์ผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับอิทธิพลจาก กระแสแห่งการเรียกร้องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ เพื่อเป็นการพัฒนา มาตรการให้การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา รัฐจึงได้รับเอาหลักการพื้นฐานขององค์การ สหประชาชาติตามปฏิญญาสากลและสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่เป็นสาระสำคัญเข้ามาบัญญัติเป็นส่วนหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะหลักการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายคดีอาญา ซึ่งถือเป็นสิทธิที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญโดยตรง อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2540 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแท้จริงฉบับแรกของไทยที่บัญญัติหลักการคุ้มครองสิทธิ ของผู้เสียหายในคดีอาญาไว้ชัดเจน ทัดเทียมกันกับอารยประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของผู้ตกเป็น เหยื่ออาชญากรรมมาอย่างช้านาน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เห็นถึงความสำคัญ และได้บัญญัติรับรองสิทธิของผู้เสียหายไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยสิทธิของผู้เสียหายในที่นี้ ถือเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง กับกฎหมายอาญา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะฉบับปีพุทธศักราช 2540 จึงถือ ได้ว่าเป็นแกนกลางสำคัญทำให้กระบวนการยุติธรรมต้องปรับเปลี่ยนจากวัตถุประสงค์เดิมที่มุ่งควบคุม อาชญากรรมนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ (Crime Control) และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล (Due Process) หันมาให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้เสียหาย โดยการกำหนดโปรแกรมความ ช่วยเหลือผู้เสียหายในด้านต่าง ๆ และมีการแก้ไขพัฒนามาเป็นลำดับ เพื่อให้ผลแห่งการดำเนินการนั้น สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้กระบวนการยุติธรรมต้องคำนึงถึงความต้องการ ที่แท้จริงของผู้เสียหาย ตลอดจนทัศนะของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย การคุ้มครองสิทธิของ ผู้เสียหายในคดีอาญาจึงถือว่าเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เสียหายที่ควรจะได้รับจาก กระบวนการยุติธรรม ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งหลังจาก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่สิทธิในการได้รับ การชดเชยความเสียหายของผู้เสียหายในคดีอาญายังคงได้รับการรับรอง โดยการนำหลักการดังกล่าว ไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2550 ในส่วนที่ 4 ว่าด้วยสิทธิในกระบวนการยุติธรรม มาตรา 40 เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคดีอาญา (Fundamental Rights) อาจกล่าว ได้ว่า สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิของบุคคลที่ตกอยู่ในสถานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย เมื่อมีการ ดำเนินคดีอาญา มาตรา 40 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้


71 1) สิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง 2) สิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานในเรื่อง การได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจารณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบ เหตุผลประกอบคำวินิจฉัย คำพิพากษา หรือคำสั่ง 3) บุคคลมีสิทธิให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องรวดเร็วเป็นธรรม 4) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดีมีสิทธิได้รับ การปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวน อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง 5) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครองและ ความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ 6) เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครอง ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดี ที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ 7) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยาน หลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัว ชั่วคราว (8) ในคดีแพ่งบุคคลมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากรัฐ สิทธิในกระบวนการยุติธรรมดังกล่าวผูกพันองค์กรของรัฐที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้ความ ช่วยเหลือแก่เหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหายในคดีอาญา โดยเฉพาะมาตรา 40 (5) ที่กำหนดให้ ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่ จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้เป็นไปตามที่ กฎหมายบัญญัติถือเป็นบทบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา ของไทยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมในสังคม ให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เมื่อได้ศึกษาบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญ ของไทยทั้งสามฉบับมาแล้ว จะเห็นได้ว่า บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นแต่เพียงการกำหนดขอบเขต หลักปฏิบัติเพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง สอดคล้องกับเป้าหมาย ของกระบวนการยุติธรรมตามทฤษฎีว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาเท่านั้น หลักการ ต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญจะไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง หากขาดบทบัญญัติกฎหมายลำดับรอง มารองรับการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครอง สิทธิของผู้เสียหายคดีอาญามิได้มีเฉพาะแต่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเท่านั้น ปัจจุบันยังมีบทบัญญัติ เกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญารองรับรัฐธรรมนูญอีกมากมาย อาทิประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา ซึ่งจะได้กล่าวถึงในลำดับต่อไป


72 2.2.6 ประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายอาญา (Criminal Law) เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงการกระทำที่เป็นความผิด และบทลงโทษ สำหรับความผิดนั้น ๆ เนื่องจากรัฐมีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมือง กฎหมาย อาญาจึงกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรซึ่งกระทำความผิดขึ้น กฎหมายอาญาของไทย บัญญัติไว้ในรูปประมวลกฎหมาย ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยได้เริ่มใช้กฎหมายลักษณะอาญา เมื่อร.ศ. 127 ต่อมาสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป ได้มีการปรับปรุงกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ให้เหมาะสมและประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาเมื่อ พ.ศ. 2500 ซึ่งใช้เรื่อยมาจนกระทั่ง ปัจจุบัน กฎหมายอาญามีลักษณะสำคัญ 2 ส่วนคือ 1) ส่วนที่บัญญัติถึงความผิด หมายถึง บทบัญญัติที่ว่าการกระทำและการงดเว้นกระทำการ อย่างใดเป็นความผิดอาญา 2) ส่วนที่บัญญัติถึงโทษ หมายถึง บทบัญญัตินั้น ๆ นอกจากจะได้ระบุว่าการกระทำหรือ งดเว้นการกระทำอย่างใดเป็นความผิดแล้ว ต้องกำหนดโทษอาญาสำหรับความผิดนั้น ๆ ไว้ด้วย โทษอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ 1) ประหารชีวิต 2) จำคุก 3) กักขัง 4) ปรับ 5) ริบทรัพย์สิน หลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายอาญา มีดังนี้ 1) จะไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย หมายความว่า กฎหมายอาญาจะใช้บังคับได้เฉพาะ การกระทำซึ่งกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้นถือว่าเป็นความผิด ถ้ากฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำไม่ถือว่า เป็นความผิดแล้ว จะถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไม่ได้ และจะลงโทษไม่ได้ นอกจากนี้กฎหมาย อาญาจะไม่มีผลย้อนหลัง หลักที่ว่ากฎหมายไม่ให้ย้อนหลังนี้ก็เฉพาะที่จะเป็นผลร้ายแก่ผู้กระทำ ความผิดเท่านั้น หากกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดมากกว่ากฎหมายเก่า กฎหมายก็ให้มี ผลย้อนหลังได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำ ความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณ แก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด...” 2) จะไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย กล่าวคือบุคคลจะต้องรับโทษต่อเมื่อมีกฎหมายที่ใช้อยู่ ในขณะกระทำบัญญัติให้ต้องรับโทษนั้นๆ เช่น การกระทำความผิดที่มีแต่โทษปรับ ศาลก็ลงโทษได้ แต่โทษปรับ ศาลจะลงโทษจำคุกซึ่งไม่ใช่โทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้ 3) จะต้องตีความกฎหมายอาญาโดยเคร่งครัด กล่าวคือ กรณีที่ถ้อยคำของกฎหมายเป็น ที่น่าสงสัย จะตีความโดยขยายความไปลงโทษหรือเพิ่มโทษผู้ต้องหาไม่ได้ แต่อาจตีความโดยขยาย ความให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาได้ ฉะนั้น หลักเกณฑ์ของกฎหมายอาญาจึงเกิดโดยตรงจากตัวบทเท่านั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัดด้วย กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหา ว่าเป็นความผิดนั้น จะต้องอยู่ในความหมายตามปกติธรรมดาของถ้อยคำทั้งหลายที่ใช้ในกฎหมายนั้น จะขยายความคำเหล่านั้นออกไปไม่ได้


73 4) การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ในกรณีที่ประมวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติอื่น ไม่มีบทบัญญัติความผิดและโทษ ซึ่งเรียกสถานการณ์เช่นนี้ว่าช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น ศาลจะอุด ช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้ แต่ศาลอาจอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย เพื่อให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ ความแตกต่างของความประสงค์ระหว่างกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง มีข้อแตกต่าง ดังพอสรุปได้ดังนี้ 1) กฎหมายอาญาเป็นการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดผลเสียหายหรือเกิดความหวาดหวั่น แก่บุคคลทั่วไป จึงถือว่าเป็นความผิดต่อแผ่นดินหรือต่อสังคม ส่วนกฎหมายแพ่งเป็นเรื่องระหว่าง เอกชนต่อเอกชนด้วยกัน ไม่มีผลเสียหายต่อสังคมแต่อย่างใด 2) กฎหมายอาญามีวัตถุประสงค์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิด ดังนั้น หากผู้ทำผิดตายลง การสืบสวนสอบสวน การฟ้องร้อง หรือการลงโทษก็เป็นอันระงับไป ส่วนกฎหมายแพ่งเป็นเรื่องการ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้น เมื่อ ผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดตายลง ผู้เสียหายย่อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกองมรดกของผู้กระทำผิด หรือผู้ละเมิดได้ เว้นแต่จะเป็นหนี้เฉพาะตัว 3) ความรับผิดทางอาญาถือเจตนาเป็นใหญ่ในการกำหนดโทษ เนื่องจากการกระทำผิดดังที่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 บัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดย ประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา ...” ส่วนความรับผิดทางแพ่งนั้น ไม่ว่ากระทำโดยเจตนาหรือประมาทผู้กระทำก็ต้องรับผิด ทั้งนั้น 4) กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด ถ้าไม่มีกฎหมายย่อมไม่มีความผิดและไม่มีโทษ เพราะกฎหมายอาญามีโทษรุนแรง แต่ในกฎหมายแพ่ง หลักเรื่องการตีความโดยเคร่งครัดไม่มี กฎหมายแพ่งต้องตีความตามตัวอักษรหรือตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ดังนั้น ความผิดทางแพ่งศาลอาจตีความขยายได้ 5) ความรับผิดทางอาญานั้น โทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดได้แก่ โทษประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ส่วนกฎหมายแพ่งนั้นไม่มีโทษ เป็นเพียงถูกบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ ค่าสินไหมทดแทน 6) ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่ไม่อาจยอมความได้ เว้นแต่ความผิดต่อส่วนตัวหรือ ที่กฎหมายอาญาบัญญัติไว้ ความผิดอันยอมความได้ ได้แก่ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐาน ยักยอก เป็นต้น เนื่องจากความผิดทางอาญาถือว่าทำความเสียหายให้แก่มหาชน ทำลายความสงบสุข ของบ้านเมือง ผู้เสียหายจึงไม่อาจยกเว้นความรับผิดให้ได้ ส่วนความรับผิดในทางแพ่ง ผู้เสียหายอาจ ยกเว้นความรับผิดให้ได้โดยไม่นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล หรือเรียกร้องหนี้สินแต่อย่างใด 7) ความผิดทางอาญา บุคคลที่ร่วมกระทำผิดอาจมีความผิดมากน้อยต่างกันตามลักษณะ ของการเข้าร่วม เช่น ถ้าเป็นผู้ลงมือกระทำผิดก็ถือเป็นตัวการ ถ้าเพียงแต่ยุยงหรือช่วยเหลือก็อาจผิด เพียงฐานะผู้สนับสนุน ส่วนความผิดในทางแพ่ง ผู้ที่ร่วมกันก่อหนี้ ร่วมกันทำผิดสัญญา หรือร่วมกัน ทำละเมิด จะต้องร่วมกันรับผิดต่อเจ้าหนี้หรือผู้ได้รับความเสียหายเหมือนกันหมด 8) ความผิดทางอาญา การลงโทษผู้กระทำผิดมีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดความเสียหาย ที่เกิดขึ้นแก่ชุมชนเป็นส่วนรวม เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกิดความหลาบจำและกลับตัวกลับใจเป็นคนดีอีกทั้ง เพื่อป้องกันผู้อื่นมิให้เอาเยี่ยงอย่าง ส่วนความรับผิดทางแพ่ง กฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จะบำบัดความ


74 เสียหายที่เกิดขึ้นแก่เอกชนคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ ซึ่งอาจได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน เมื่อความเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างใด กฎหมายก็ต้องการที่จะให้เขา ได้รับการชดใช้ในความเสียหายอย่างนั้น ถ้าทำให้คืนสภาพเดิมไม่ได้ก็พยายามจะให้ใกล้เคียงมากที่สุด จะเห็นได้ว่าจากกล่าวมาข้างต้นประมวลกฎหมายอาญาจะมีบทบัญญัติเรื่องการคุ้มครอง สิทธิและเสรีภาพสอดแทรกอยู่ภายใน ซึ่งเป็นการอนุวัติเรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้เป็นไป ตามกฎหมายหรือปฏิญญาหรือมาตรฐานสากล 2.2.7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยกระบวนการร่างเสร็จสิ้นในวันที่ 21 สิงหาคม 2475 โดยมีนายเรอเน่ กียอง (René Guyon) ทำบันทึกถึงรัฐบาลไทยเพื่อขอทราบนโยบาย เกี่ยวกับการร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากระทั่งการร่างเสร็จสิ้น จึงถือได้ว่า นักกฎหมายชาวฝรั่งเศสมีบทบาทต่อการร่างประมวลกฎหมายของไทยเป็นอย่างมาก ในส่วนของ การคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เพื่อให้ ผู้เสียหายในคดีอาญาได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปพร้อมกับการดำเนินคดีอาญา ทั้งในคดีอาญา ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และคดีอาญาที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเอง แต่ในคดีอาญาที่พนักงาน อัยการเป็นโจทก์ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายถูกจำกัดให้ทำเฉพาะในคดีที่เป็น ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เพียง 9 ฐานความผิด กล่าวคือ ความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชกทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก และรับของโจร และค่าสินไหมทดแทนที่เรียกได้มี แต่เพียงการขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญามาตรา 43 หากเป็นการกระทำความผิดอาญาฐานอื่น เช่น ความผิดฐานฆ่า ข่มขืนกระทำ ชำเรา หรือทำร้ายร่างกาย หรือแม้จะเป็นความผิดเกี่ยวกับการได้รับอันตรายต่อจิตใจ กรณีเหล่านี้ ผู้เสียหายไม่อาจยื่นคำร้องเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาที่รัฐเป็นโจทก์ฟ้องได้ ผู้เสียหาย จะต้องไปฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนด้วยตนเอง โดยในการเรียกค่าสินไหมทดแทนนี้ผู้เสียหายจะต้อง เสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหมือนคดีแพ่งทั่วไป ซึ่งก่อให้เกิดภาระและความยุ่งยาก แก่ผู้เสียหายในภายหลัง แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาโดยรัฐ ต่อมาในปีพ.ศ. 2548 จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เพื่อให้ผู้เสียหายได้มีทางเลือกในการได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เจตนารมณ์ของการเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้ผู้เสียหายในคดีอาญาที่พนักงาน อัยการเป็นโจทก์ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้อย่างครบถ้วน โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2548 ได้เพิ่มเติมหลักการใหม่กำหนด ให้ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้อง เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายทุกฐานความผิดนอกเหนือ จากที่พนักงานอัยการเรียกร้องให้ตามมาตรา 43 เข้าไปในคดีที่รัฐเป็นโจทก์ได้ โดยใช้วิธีพิจารณา ที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม และไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินคดีอาญา เพื่อให้ผู้เสียหาย ที่เป็นเหยื่ออาชญากรรมได้รับการเยียวยาความเสียหายโดยสะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม ทั้งยัง ส่งผลให้คดีต่าง ๆ ที่เกิดจากมูลกรณีเดียวกันได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดไปในคราวเดียวกัน โดยไม่ต้อง ไปฟ้องร้องกันใหม่ อันเป็นการลดภาระของคู่ความและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานของศาล รวมทั้งช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพให้แก่ระบบอำนวยความยุติธรรมทางอาญาได้ดียิ่งขึ้น


75 "ผู้เสียหาย" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) หมายถึง "บุคคล ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่ง..." มีหลักเกณฑ์ในการ พิจารณา ดังนี้ 1) มีการกระทำความผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่งขึ้น 2) เป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น 3) ไม่เป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ผู้เสียหายในคดีอาญา หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการก่ออาชญากรรม หรือการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายได้ ผู้เสียหายตามกฎหมาย จำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ผู้เสียหายโดยตรง คือ ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือผลกระทบโดยตรงจาก การกระทำความผิดอาญานั้น ประเภทที่ 2 ผู้เสียหายโดยปริยาย หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่กฎหมาย กำหนดให้มีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนผู้เสียหายโดยตรงได้ เนื่องจากผู้เสียหายโดยตรงไม่สามารถ ดำเนินคดีได้ด้วยตัวเอง เช่น บิดา มารดา หรือผู้ปกครองซึ่งมีอำนาจจัดการแทนผู้เยาว์ ผู้อนุบาลซึ่งมี อำนาจจัดการแทนบุคคลวิกลจริตที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ ผู้แทนของนิติบุคคล เป็นต้น ประเภทที่ 3 ผู้เสียหายในกรณีพิเศษ คือ บุคคลที่กฎหมายกำหนดให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย เช่น บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทที่ได้เสียชีวิตไปก่อนที่ ผู้เสียหายจะได้ร้องทุกข์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญาให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย สามารถ ฟ้องร้องดำเนินคดีในฐานะผู้เสียหายได้ จากสถานการณ์อาชญากรรมในปัจจุบันที่มีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้เสียหาย มีเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเห็นได้จากรายงานสถานการณ์อาชญากรรมและสถิติฐานความผิดคดีอาญา 4 กลุ่ม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1) กลุ่มคดีข้อหาฐานความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ 2) กลุ่มข้อหาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 3) กลุ่มข้อหาความผิดพิเศษ เช่น ความผิดฐานค้ามนุษย์ และ ความผิดฐานฟอกเงิน และ 4) กลุ่มคดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิด เกี่ยวกับการพนัน ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอาญาของประเทศไทยในปัจจุบันใช้ระบบ กล่าวหา ซึ่งโดยหลักกำหนดให้พนักงานอัยการซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้มีอำนาจในการฟ้องคดี แต่ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถฟ้องคดีด้วยตนเองได้ หากผู้นั้นเป็น “ผู้เสียหาย” ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญา หรือเป็นผู้ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจ จัดการแทนผู้เสียหาย โดยที่ผู้ได้รับความเสียหายนั้นจะต้องไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด หรือ ยินยอมให้มีการกระทำความผิด หรือการกระทำความผิดนั้นจะต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ผู้ได้รับ ความเสียหายมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของสังคม และเมื่อผู้นั้น มีฐานะเป็นผู้เสียหายแล้วย่อมมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน มีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง หรือขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ มีสิทธิในการยุติคดีในคดีความผิดต่อส่วนตัว มีสิทธิ เรียกร้องทางแพ่งในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และมีสิทธิที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐในกรณี ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ซึ่งทำให้ตนได้รับความเสียหายถึง แก่ชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ


76 เมื่อได้ศึกษาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะพบว่า ผู้เสียหายมีสิทธิ ดังต่อไปนี้ 1) ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน การร้องทุกข์ถือเป็นสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาที่จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงาน สอบสวน ซึ่งการร้องทุกข์เปรียบเสมือนการไปแจ้งความประสงค์ว่าตนต้องการดำเนินคดีอาญากับ ผู้กระทำความผิด ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินคดีอาญา โดยเฉพาะคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวที่ต้องรอให้ ผู้เสียหายไปร้องทุกข์เสียก่อน ตำรวจจึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ และในขณะเดียวกัน ผู้เสียหายอาจจะไม่ใช้สิทธินั้นก็ได้ ซึ่งการไม่ไปร้องทุกข์ของผู้เสียหายจะส่งผลต่อการดำเนินคดีอาญา ต่อส่วนตัวเท่านั้น ส่วนคดีอาญาแผ่นดินจะไม่มีผลต่อการดำเนินคดีอาญาของตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 พนักงานสอบสวนมีอำนาจ สอบสวนคดีอาญาทั้งปวง แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้อง ทุกข์ตามระเบียบ "คำร้องทุกข์" หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิด ความเสีย หายแก่ผู้เสียหายและการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ 2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการก่อนศาล ชั้นต้นมีคำพิพากษา สิทธิในการฟ้องคดีเอง โดยหลักแล้วการดำเนินคดีอาญาในประเทศไทยเป็นการ ดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ มีกลไกของรัฐที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล ซึ่งกว่าจะมีการฟ้องร้องคดีต่อศาลได้ ต้องผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน มีการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงในคดี จนเป็นที่เชื่อได้ว่าน่าจะกระทำความผิดจริง พนักงานอัยการจึงจะฟ้องคดีจำเลย ต่อศาล แต่การดำเนินคดีอาญาของไทยก็ให้สิทธิผู้เสียหายมีสิทธิในการฟ้องคดีอาญาด้วยตนเองได้ด้วย ตามมาตรา 28 บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล คือ พนักงานอัยการ และผู้เสียหาย 3) เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากจำเลย 4) ถอนฟ้องในคดีที่ได้เป็นโจทก์ฟ้องต่อศาล 5) ยอมความหรือถอนคำร้องทุกข์ ในคดีความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด สิทธิในการยุติคดี ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้เสียหายมีสิทธิร้องทุกข์คดีอาญาเพื่อ แสดงความประสงค์ในการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิด ในขณะเดียวกันผู้เสียหายก็มีสิทธิที่จะ ยุติการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็มีเงื่อนไขในการยุติคดีตาม มาตรา 39 ที่ว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้ (2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคำร้อง ทุกข์ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย 6) ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้อง ต่อศาล สิทธิเรียกร้องร้องทางแพ่งในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มาตรา 44/1 ในคดีที่ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตราย แก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหาย ในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่


77 พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้ โดยยื่นคำร้องก่อนมีการสืบพยาน หรือในกรณีที่ไม่มีการสืบพยานต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา 7) ขอให้พนักงานอัยการมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลย เอาไป 8) สิทธิในการคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย สิทธิข้อนี้มักจะได้ยินจากสื่อว่า “พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว” โดยที่ ผู้เสียหายอาจจะไม่ทราบเลยว่าการคัดค้านการประกันตัวนั้น สามารถทำได้โดยผู้เสียหายเช่นกัน โดยอาจมาจากเหตุผลที่แตกต่างกันไป เช่น หวาดกลัวผู้กระทำผิด เกรงว่าผู้กระทำผิดจะหลบหนี เป็นต้น 9) ผู้เสียหายจะยินยอมให้ตรวจตัวเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานหรือไม่ก็ได้ ถ้ายินยอม ให้ตรวจ ผู้เสียหายที่เป็นหญิงมีสิทธิที่จะได้รับการตรวจตัวโดยเจ้าพนักงานหญิง ทั้งนี้ในบางครั้งความผิดอาญานั้นเกิดกับร่างกายของผู้เสียหาย แต่หากตัว ผู้เสียหายเองไม่มีความสะดวกใจที่จะให้ตรวจร่างกายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามที พนักงาน สอบสวน พนักงานอัยการ หรือแม้แต่ศาลก็ไม่มีสิทธิให้ผู้เสียหายเข้ารับการตรวจร่างกายแต่อย่างใด 10) ในการชี้ตัวผู้ต้องหา ต้องจัดให้มีสถานที่เหมาะสมและป้องกันมิให้ผู้กระทำ ความผิดหรือผู้ต้องหาเห็นตัวผู้เสียหาย ในข้อนี้อาจจะกล่าวได้ว่าล้อกับสิทธิในเรื่องการคัดค้านการประกันตัวผู้กระทำผิด เพราะตามหลักการด้านงานกระบวนการยุติธรรมนั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และสวัสดิภาพ ของผู้เสียหายเป็นประการแรก เพราะหากความปลอดภัย และสวัสดิภาพของผู้เสียหายนั้นรัฐยังรักษา ไม่ได้ ก็คงไม่จำเป็นต้องถามหาความยุติธรรมให้เสียเวลาแต่อย่างใด 11) ผู้เสียหายที่เป็นเด็กมีสิทธิที่จะให้ปากคำและการสอบสวนในสถานที่ที่เหมาะสม รวมถึงมีบุคลากรที่เหมาะสมร่วมในการเข้าฟัง สิทธิข้อนี้เป็นการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นเล็งเห็นถึงสภาพจิตใจของ เด็กที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามแนวคิดสังคมสงเคราะห์ โดยเจ้าพนักงานมีหน้าที่จะต้องจัดหา นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่ผู้เสียหาย ร้องขอ รวมถึงพนักงานอัยการร่วมในการสอบสวน ให้ปากคำด้วยเพื่อคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้ให้ปากคำเป็นประเด็นสำคัญ 12) คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ผู้เสียหายที่เป็นหญิงมีสิทธิได้รับการสอบสวนโดย พนักงานสอบสวนที่เป็นหญิง กรณีนี้จะเห็นได้ว่ากฎหมายเล็งเห็นถึงผลกระทบทางจิตใจในการสอบสวน ผู้เสียหายจากความผิดเกี่ยวกับเพศที่เป็นหญิง จึงจัดให้ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องพนักงานสอบสวน ที่เป็นหญิงได้เพราะเห็นว่ารูปแบบการสอบซักถามจะเป็นไปอย่างเห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน มากกว่าพนักงานสอบสวนที่เป็นชาย เช่น การถามว่า “แต่งตัวโป๊หละสิถึงถูกข่มขืน” เป็นต้น 13) คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ผู้เสียหายมีสิทธิไม่ถูกถามด้วยคำถามอันเกี่ยวกับ พฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายกับบุคคลอื่นนอกจากจำเลย เช่นเดียวกับข้อ 12 ที่เป็นสิทธิเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่สิทธิข้อนี้หมายรวมถึงผู้ชาย ด้วย กล่าวคือหากเราเป็นผู้เสียหายในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศนั้น พนักงานสอบสวนบางท่านที่ ไม่เชี่ยวชาญด้านหลักจิตวิทยาหรือสังคมสงเคราะห์ อาจจะมีการซักถามที่เกินเลยไปถึง “พฤติกรรม ทางเพศ” “รสนิยมทางเพศ” ในชีวิตประจำวันของผู้เสียหาย เพียงเพราะเล็งเห็นประโยชน์ในทางคดี


78 โดยลืมนึกถึงผลกระทบทางจิตใจของผู้เสียหาย ซึ่งโดยพื้นฐานจะได้รับผลกระทบอยู่แล้วในกรณีคดี ประเภทดังกล่าว 14) มีสิทธิถามคำให้การของผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวน โดยปกติหากเกิดข้อพิพาทกันทางอาญาต้องมีการสอบสวนให้การกับเจ้าพนักงาน สอบสวนเพื่อประโยชน์ในการค้นหาความจริง และดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ซึ่งในจุดจุดนี้ผู้เสียหายเอง ในฐานะผู้ได้รับความเสียหายอาจทั้งทางกาย และจิตใจ รัฐจึงให้สิทธิที่ผู้เสียหายจะซักถามคำให้การ ของผู้ต้องหาได้เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวผู้เสียหายเอง ทั้งในการเตรียมการของทนายความของ ผู้เสียหาย ในการต่อสู้ในชั้นศาล และความโปร่งใสของพนักงานสอบสวน 15) มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องร้องต่อศาลขอให้สืบพยานไว้ ล่วงหน้า 16) ยื่นอุทธรณ์ ฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีที่เป็นโจทก์ หรือคดีที่ เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ 17) มีสิทธิที่จะขอทราบข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และตรวจสอบเอกสารตลอดจนพยาน หลักฐานของตน สืบเนื่องจากข้อก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่ารัฐนั้นได้บัญญัติกฎหมายไว้เพื่อพิทักษ์ สิทธิแก่ผู้เสียหาย ไว้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในหลายขั้นตอน เช่นข้อนี้ ผู้เสียหายสามารถให้ที่ ปรึกษาทางกฎหมายเข้าร่วมตรวจสอบพยานหลักฐาน และเอกสารในทางคดีว่าครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร เพื่อประโยชน์สูงสุดในทางการผดุงไว้เพื่อความถูกต้องของคดีความนั่นเอง 18) มีสิทธิขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายจากรัฐ โดยขอรับจากกรมคุ้มครองสิทธิและ เสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม คู่มือกระบวนคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญา พบว่า สิทธิของผู้เสียหายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีดังนี้ 1) สิทธิในการร้องทุกข์และถอนคำร้องทุกข์ (มาตรา 3, 124, 126) 2) สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองและถอนฟ้องคดีอาญา (มาตรา 3, 35) 3) สิทธิในการเป็นโจทก์ฟ้องและถอนฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (มาตรา 3, 40, มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175) 4) สิทธิในการเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ (มาตรา 30) 5) สิทธิในการยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว (มาตรา 35) 6) สิทธิที่จะยื่นคำร้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์โดยขอให้บังคับจำเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ (มาตรา 41/1) ในกรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องตามมาตรา 41/1แล้ว เมื่อศาล ชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาให้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาไปยังผู้เสียหายด้วย และหากศาลพิพากษา ยกฟ้องคดีอาญา หรือพิพากษาให้ค่าเสียหายไม่เต็มตามคำขอ ให้แจ้งถึงสิทธิในการอุทธรณ์คำร้องใน ส่วนแพ่งด้วย 7) สิทธิที่จะไม่ต้องตอบคำถามซึ่งโดยตรงหรืออ้อมอาจจะทำให้ผู้เสียหายในฐานะ พยานถูกฟ้องคดีอาญา (มาตรา 234) 8) สิทธิให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือ (มาตรา 13)


79 9) ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์หรือเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการมีสิทธิอุทธรณ์หรือ ฎีกาได้ (มาตรา 193, 216) 10) สิทธิตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นสอบสวนหรือเอกสารประกอบ คำให้การของตนเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว (มาตรา 8) 11) สิทธิคัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย (มาตรา 108/2) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นสิทธิที่ผู้เสียหายจะได้รับจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา หากแต่ผู้เสียหายบางรายอาจไม่ทราบถึงสิทธิของตนเอง และเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้แจ้งให้ ผู้เสียหายทราบ จึงส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิ หรือชดใช้เยียวในระหว่างการต่อสู้คดี ซึ่งอาจเป็นส่วนที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไม่เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล เท่าที่ควร 2.2.8 พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 สิทธิของผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย แก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 เกิดขึ้นตามหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยในส่วนสิทธิในทางอาญาของประชาชนก็ได้มีบทบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นเป็น จำนวนมาก เป็นผลให้ต้องแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะผลจากมาตรา 245 และมาตรา 246 ที่บัญญัติรองรับสิทธิในการได้รับความช่วยเหลือของบุคคลที่ได้รับความเสียหาย จากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่นโดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น และไม่มีโอกาสได้รับรองสิทธิในการได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่น รวมทั้งการรับรองสิทธิ ในการได้รับค่าทดแทนในกรณีของบุคคลซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีอาญาแล้วถูกคุมขังระหว่าง การพิจารณาคดีหากปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลย มิได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีการบัญญัติ พระราชบัญญัติฯ ขึ้น สาระสำคัญในการจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ 1) ต้องได้ความว่า ผู้เสียหาย คือ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น 2) บุคคลนั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าว 3) ผู้เสียหายที่จะขอรับค่าตอบแทนได้ต้องได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ในความผิด ก. ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา 276 ถึงมาตรา 287 ข. ลักษณะ 10 ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย หมวด 1 ความผิดต่อชีวิต มาตรา 288 ถึงมาตรา 294 หมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย มาตรา 295 ถึงมาตรา 300 หมวด 3 ความผิดฐานทำให้แท้งลูก มาตรา 301 ถึงมาตรา 305 หมวด 4 ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา มาตรา 306 ถึงมาตรา 308


80 อย่างไรก็ตามในการยื่นคำขอค่าตอบแทนของผู้เสียหาย ตัวผู้เสียหายหรือทายาทต้องยื่น คำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายแทนผู้เสียหายภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหาย ได้รู้ถึงการกระทำความผิด รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำ ความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ รวมทั้งจำเลยในคดีอาญาที่ถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาและมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่ได้ เป็นผู้กระทำความผิดมีสิทธิได้รับค่าทดแทน จึงมีการตราพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและ ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ซึ่งบัญญัติให้ผู้เสียหายในคดีอาญาสำหรับ ความผิดบางประเภทมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน และให้จำเลยในคดีอาญามีสิทธิได้รับค่าทดแทนและ ค่าใช้จ่าย โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ ผู้เสียหายในคดีอาญา ผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเข้าลักษณะดังต่อไปนี้ 1) เป็นบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำ ความผิดอาญาของผู้อื่น 2) การกระทำความผิดอาญาของผู้อื่นนั้นต้องเป็นความผิดตามที่กำหนดไว้ในท้าย พระราชบัญญัตินี้คือ 2.1 ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาตน ความผิดฐานกระทำ ชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีความผิดฐานกระทำอนาจารผู้อื่น ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารของผู้อื่นหรือของตนเอง ความผิดฐานค้าวัตถุลามก ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 276 ถึงมาตรา 287 2.2 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ความผิดฐานกระทำ ทารุณบุคคลซึ่งต้องพึ่งตนในการดำรงชีพ หรือการอื่นใดให้ฆ่าตนเอง ความผิดฐานช่วยหรือยุยงส่งเสริม เด็กอายุไม่เกิน 16 ปีให้ฆ่าตนเอง ความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ถึงมาตรา 294 2.3 ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้จน เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ความผิดฐานกระทำโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย สาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ถึงมาตรา 300 2.4 ความผิดฐานทำให้แท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ถึงมาตรา 305 ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 ถึงมาตรา 308 3) เป็นบุคคลซึ่งไม่มีส่วนที่ก่อให้เกิดหรือเข้าร่วมหรือสนับสนุนในการกระทำความผิด ดังกล่าว จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ นั้นมีความแตกต่างกัน เพราะผู้เสียหายตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญานั้นเป็นการให้ความหมายผู้เสียหายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิในการดำเนินคดี ซึ่งยัง หมายความรวมถึงบุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนด้วย แต่ความหมายผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติ


81 ค่าตอบแทนผู้เสียหายเป็นการกำหนดความหมายสำหรับบุคคลผู้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนที่รัฐจ่ายให้ เพื่อเยียวยาความเสียหาย ดังนั้น ความหมายจึงแคบกว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะผู้เสียหายที่จะได้รับการค่าตอบแทนต้องเป็นผู้เสียหายถึงชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ สำหรับ “ค่าตอบแทน” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ผู้เสียหายมี สิทธิได้รับเพื่อตอบแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือเนื่องจากมีการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น มาตรา 5 การเรียกร้องหรือการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็น การตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ผู้เสียหายหรือจำเลยพึงได้ตามกฎหมายอื่น มาตรา 6 ในกรณีที่ผู้เสียหายหรือจำเลยถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่าย แล้วแต่กรณี ให้สิทธิในการเรียกร้องและการรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่ายตกแก่ทายาทซึ่งได้รับความ เสียหายของผู้เสียหายหรือจำเลยนั้น ทั้งนี้ ตามระเบียบ ที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา 17 ความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหาย อันอาจขอรับค่าตอบแทนได้ต้องเป็นความผิด ตามรายการที่ระบุไว้ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหายซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจขอรับค่าตอบแทนได้ตามมาตรา 17 ได้แก่ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิดลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา 276 ถึง มาตรา 287 ลักษณะ 10 ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย หมวด 1 ความผิดต่อชีวิต มาตรา 288 ถึง มาตรา 294 หมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย มาตรา 295 ถึง มาตรา 300 หมวด 3 ความผิดฐาน ทำให้แท้งลูก มาตรา 301 ถึง มาตรา 305 หมวด 4 ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือชรา มาตรา 306 ถึง มาตรา 308 มาตรา 18 ค่าตอบแทนตามมาตรา 17 ได้แก่ 1) ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล รวมทั้งค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย และจิตใจ 2) ค่าตอบแทนในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย จำนวนไม่เกินที่กำหนดในกฎกระทรวง 3) ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ 4) ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง คณะกรรมการจะ กำหนดให้ผู้เสียหายได้รับค่าตอบแทนเพียงใดหรือไม่ก็ได้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของ การกระทำความผิด และสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ รวมทั้งโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับการ บรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย อัตราการจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย กรณีทั่วไป 1. ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท 2. ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท 3. ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ให้จ่ายอัตราวันละไม่เกิน 200 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงาน ได้ตามปกติ


82 4. ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นนอกจากข้อ 1-3 ให้จ่ายเป็นเงินตามที่คณะกรรมการฯ เห็นสมควรแต่ไม่เกิน 30,000 บาท ค่าตอบแทนตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ ค่าห้องและค่าอาหารในอัตราวันละไม่เกิน 600 บาท กรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย 1. ค่าตอบแทน ให้จ่ายเป็นเงินตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 2. ค่าจัดการศพ ให้จ่ายเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท 3. ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ให้จ่ายเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 30,000 บาท 4. ค่าเสียหายอื่นนอกจากข้อ 1-3 ให้จ่ายเป็นเงินตามที่คณะกรรมการฯ เห็นสมควร แต่ไม่เกิน 30,000 บาท โดยจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ให้ความสำคัญกับการเยียวยาการจ่ายค่าทดแทน ให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งต้องได้ความว่า ผู้เสียหาย คือบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือ จิตใจเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น บุคคลนั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ดังกล่าว และผู้เสียหายที่จะขอรับค่าตอบแทนได้ต้องได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 เช่น ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย ความผิด ฐานทำให้แท้งลูก ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา มีการกำหนดอัตราระเบียบ การจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหายไว้ แต่ในแง่ของผู้เสียหายนอกจากรัฐเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทน ความเสียหายดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายแล้ว ผู้กระทำความผิดหรือจำเลยในคดีกลับไม่มีการชดเชย ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และไม่สามารถบังคับคดีได้ตาม คำพิพากษา จึงอาจจะยังคงมีช่องว่างในส่วนของสิทธิของผู้เสียหายอยู่บ้าง 2.2.9 พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยใน คดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 โดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ผู้เสียหาย ดังนี้ (1) ให้เพิ่มความดังต่อไปนี้ มาตรา 6/1 ในคดีที่มีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้เสียหายหรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหายที่มา ร้องทุกข์ดังกล่าวทราบถึงสิทธิการได้รับค่าตอบแทนตามพระราชบัญญัตินี้ ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง หรือศาลมี คําพิพากษา ยกฟ้องและจําเลยถูกคุมขังอยู่ ให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปล่อยตัวจําเลยในคดีดังกล่าว แจ้งให้จําเลยทราบถึงสิทธิการได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในกรณีที่ศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง หรือศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่าจําเลยมิได้เป็นผู้กระทําความผิดหรือการกระทําของจําเลยไม่เป็น ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อได้มีการแจ้งตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้ว ให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงาน ผู้มีหน้าที่ปล่อยตัวจําเลย บันทึกรายละเอียดการแจ้งนั้นไว้ในสํานวนคดีหรือทะเบียนประวัติของ จําเลยซึ่งตนรับผิดชอบด้วยแล้วแต่กรณี”


83 (2) ให้ยกเลิกความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 22 ให้ผู้เสียหาย จําเลย หรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหายที่มีสิทธิขอรับ ค่าตอบแทนค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่ายตามพระราชบัญญัตินี้ ยื่นคําขอต่อคณะกรรมการหรือ คณะอนุกรรมการตามมาตรา 14/1 ตามแบบที่สํานักงานกําหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายได้รู้ ถึงการกระทําความผิดหรือวันที่ศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง เพราะปรากฏหลักฐานว่าจําเลยมิได้ เป็นผู้กระทําความผิด หรือวันที่มีคําพิพากษาอันถึงที่สุด ว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจําเลยมิได้เป็น ผู้กระทําความผิดหรือการกระทําของจําเลยไม่เป็นความผิด แล้วแต่กรณี การยื่นคําขอตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย จําเลย หรือทายาทดังกล่าวจะยื่นต่อหน่วยงาน อื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกําหนดก็ได้ และให้ถือว่าเป็นการยื่นคําขอต่อคณะกรรมการหรือ คณะอนุกรรมการตามมาตรา 14/1 แล้วแต่กรณี” (3) ให้ยกเลิกความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 25 ในกรณีที่ผู้ยื่นคําขอไม่เห็นด้วยกับคําวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการตาม มาตรา 14/1 ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัย ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการยื่นอุทธรณ์ และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกําหนด ในกรณีที่ผู้ยื่นคําขอไม่เห็นด้วยกับคําวินิจฉัยของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง หรือ ตามมาตรา 8 (1) ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัย คําวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด การยื่นอุทธรณ์ตามวรรคสอง ผู้อุทธรณ์จะยื่นต่อสํานักงานหรือศาลจังหวัดที่ผู้นั้น มีภูมิลําเนาอยู่ในเขตเพื่อส่งให้แก่ศาลอุทธรณ์ก็ได้ และให้ถือว่าเป็นการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ตามวรรคสองแล้ว ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคสอง ศาลอุทธรณ์มีอํานาจไต่สวนหลักฐานเพิ่มเติม โดยสืบพยานเองหรืออาจให้ศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควรทําแทนก็ได้” (4) ให้ยกเลิกรายการท้ายพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและ ค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และให้ใช้รายการท้ายพระราชบัญญัตินี้แทน ดังนี้ รายการท้ายพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ความผิดที่กระทําต่อผู้เสียหายซึ่งทําให้ผู้เสียหายอาจขอรับค่าตอบแทนได้ตามมาตรา 17 ได้แก่ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ดังต่อไปนี้ ลักษณะ 6 ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน มาตรา 224 มาตรา 238 ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา 276 ถึงมาตรา 287 ลักษณะ 10 ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย หมวด 1 ความผิดต่อชีวิต มาตรา 288 ถึงมาตรา 294 หมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย มาตรา 295 ถึงมาตรา 300 หมวด 3 ความผิดฐานทําให้แท้งลูก มาตรา 301 ถึงมาตรา 305 หมวด 4ความผิดฐานทอดทิ้งเด็กคนป่วยเจ็บ หรือคนชรา มาตรา 306ถึงมาตรา 308


84 ลักษณะ 11 ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด 1ความผิดต่อเสรีภาพ มาตรา 309 มาตรา 310 มาตรา 311 มาตรา 312 ทวิ มาตรา 313 ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หมวด 1 ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์มาตรา 336 หมวด 2ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์มาตรา 337 มาตรา 339 มาตรา 339 ทวิมาตรา 340 มาตรา 340 ทวิ หมวด 8 ความผิดฐานบุกรุก มาตรา 365 สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติฯ นี้ มีเหตุผลดังนี้ โดยที่พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน สมควร แก้ไขเพิ่มเติมโดยให้มีการแจ้งสิทธิการได้รับค่าตอบแทน หรือค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายตาม พระราชบัญญัตินี้แก่ผู้เสียหายหรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหาย หรือแก่จําเลยที่ศาลมีคําสั่งอนุญาต ให้ถอนฟ้อง หรือศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่าจําเลยมิได้เป็นผู้กระทําความผิดหรือการกระทําของ จําเลยไม่เป็นความผิด ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา และเพิ่มอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการในการ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลย ในคดีอาญาตามความเหมาะสม รวมถึงกําหนดอํานาจหน้าที่และการดําเนินการของคณะอนุกรรมการ รวมทั้ง การใช้สิทธิอุทธรณ์คําวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ตลอดจนกําหนดวิธีการยื่นคําขอ รับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่าย และปรับปรุงรายการท้ายพระราชบัญญัติ ทั้งนี้เพื่อให้การ จ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาสามารถกระทําได้รวดเร็ว ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีการอนุวัติกฎหมายภายในให้สอดคล้อง ตามมาตรฐานสากลในการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับ มาตรฐานของการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา และเป็นการให้ความคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายใน คดีอาญาอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 2.2.10 พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในปี พ.ศ. 2545 ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานใหม่ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และได้มีการตราพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดภารกิจ อำนาจ หน้าที่ วิธีการสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับคดีพิเศษ และ กำหนดลักษณะของการกระทำความผิดที่จะอยู่ในประเภทของคดีพิเศษ รวมทั้งกำหนดมาตรการ สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษไว้สำหรับการดำเนินคดีพิเศษโดยเฉพาะ เช่น อำนาจค้นโดยไม่มีหมายค้น การดักฟัง การแฝงตัวในองค์กร เป็นต้น การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการโดยพนักงาน สอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งมีรูปแบบการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมาย ว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนั้นมีความเหมือนและมีความแตกต่างจาก การสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องจากการค้น การจับเป็นมาตรการ ทางกฎหมายที่กระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จ การสรุปสำนวนการ


85 สอบสวนและการทำความเห็นสั่งคดีเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ แนวคิดที่ต้องการให้ มีวิธีการสืบสวนสอบสวนพิเศษสำหรับคดีอาชญากรรมที่สำคัญ ๆ เช่น คดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ อาชญากรรมที่กระทบต่อความมั่นคง คดีอาชญากรรมที่ยุ่งยาก ซับซ้อน คดีความผิดทางอาญาที่มีหรือ อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของ ประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ หรือมีลักษณะ ที่เป็นองค์กรอาชญากรรมและข้ามชาติคดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สําคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ซึ่งรายละเอียดจะเป็นไปตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน คดีพิเศษ การกระทำความผิดทางอาญา หรืออาจเรียกว่า อาชญากรรม ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนแปลง ไปอย่างมาก ในอดีตอาชญากรรมส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการปล้นทรัพย์ ขโมยของ ย่องเบา ทะเลาะ วิวาท ชกต่อย ข่มขืน ฆ่าคนตาย การกระทำความผิดกลุ่มนี้เป็นการกระทำความผิดทางอาญา เป็นการ ก่ออาชญากรรมที่มีลักษณะใช้ความรุนแรง ประสงค์ต่อบุคคลและ/หรือทรัพย์สิน และมีโอกาสเกิดขึ้น ได้กับบุคคลทั่วไปในสังคม เป็นอาชญากรรมที่พบได้บนท้องถนน จึงมีการเรียกการกระทำความผิดใน กลุ่มนี้ว่า อาชญากรรมที่พบเห็นกันทั่วไป (street crime) หากแต่ในปัจจุบันผลของการพัฒนาทาง เทคโนโลยีดังกล่าวกลับเป็นเหตุให้อาชญากรได้มีการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในการกระทำ ความผิด ทำให้โลกต้องเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมที่รุนแรงยิ่งขึ้นทั้งในด้านรูปแบบและปริมาณ รูปแบบอาชญากรรมได้เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นอาชญากรรมที่มีความซับซ้อน อาชญากรรมที่ไม่ได้ใช้ ความรุนแรงด้านร่างกาย อาชญากรรมที่กระทำกันเป็นองค์กร (Organized Crime) อาชญากรรมที่ กระทำข้ามชาติข้ามประเทศ (Transnational Crime) อาชญากรรมที่มุ่งต่อระบบเศรษฐกิจ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ อาชญากรรมที่กระทำโดยผู้ที่มีการศึกษา มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อาศัยตำแหน่งหน้าที่และวิธีการอันแยบยล ล่อลวง อาศัยความไว้วางใจหรือความเชื่อถือของประชาชน ในทางวิชาอาชญาวิทยา จึงเรียกเหล่าการกระทำผิดนี้ว่า “อาชญากรรมคอปกขาว (White Collar Crimes) อาชญากรรมคอปกขาวมีมากมาย หลายหลาก แทรกซึมอยู่ในแทบทุกวงการ เช่น ระบบ การศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบบทางการแพทย์ ตลาดทุน ตลาดหุ้น ระบบการเมือง เป็นต้น โดยที่พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ มีลักษณะเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยขั้นตอน และกระบวนการในการดำเนินคดีอาญาที่เป็นคดีพิเศษ และได้เพิ่มเติมเครื่องมือในการสืบสวน และสอบสวนจากที่มีอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหลายประการ โดยมีมิติเป็น กฎหมายในลักษณะเป็นกฎหมายเชิงบริหารงานคดี ซึ่งก็คือ เป็นกฎหมายกลางที่จะเป็นเครื่องมือใน การสนธิกำลังและบูรณาการความร่วมมือทั้งภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานบังคับใช้ กฏหมายอื่น ๆ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นองค์กรสหวิชาชีพที่ประกอบด้วยบุคลากรผู้มีความรู้ ความสามารถจากสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เข้ามาทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการเพื่อปฏิบัติการเชิงรุก ต่ออาชญากรรมที่เป็นคดีพิเศษ ที่มีการกระทำความผิดที่หลากหลาย จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มี ความรู้ความสามารถในหลาย ๆ ด้าน มาร่วมปฏิบัติงาน อาทิ ผู้ที่มีความรู้ด้านภาษีอากร การเงินการ ธนาคาร การต่างประเทศ การบัญชี การคลัง เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ดิน เป็นต้น เพื่อร่วมกันวิเคราะห์วางแผน ตรวจสอบ และเข้าถึงกลไกการกระทำความผิดเรื่องต่าง ๆ เพื่อ


86 ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมลักษณะดังกล่าวได้ตามเจตนารมย์ในการจัดตั้งกรมสอบสวน คดีพิเศษ (1) คดีพิเศษ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 3 บัญญัติว่า คดีพิเศษ หมายความว่า คดีความผิดทางอาญาตามที่กำหนดในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวน คดีพิเศษ ซึ่งคดีพิเศษจะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ คดีความผิด ทางอาญาดังต่อไปนี้ (1.1) คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กําหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ และที่กําหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยคดีความผิด ทางอาญาตามกฎหมายดังกล่าว จะต้องมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (ก) คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ (ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบ เรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือ ระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ (ค) คดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะเป็นการกระทำความผิดข้ามชาติที่สำคัญ หรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม หรือ (ง) คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สำคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน (จ) คดีความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมิใช่ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะ ได้กระทำความผิดอาญาหรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา ทั้งนี้ ตามรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่ กคพ. กำหนด (2) คดีความผิดทางอาญาอื่นนอกจาก (1.1) ตามที่ กคพ. มีมติด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ในคดีที่มีการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและบทใดบทหนึ่ง จะต้องดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้ หรือคดีที่มีการกระทำความผิด หลายเรื่องต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน และความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะต้องดำเนินการโดยพนักงาน สอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสืบสวนสอบสวน สำหรับความผิดบทอื่นหรือ เรื่องอื่นด้วย และให้ถือว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ บรรดาคดีใดที่ได้ทำการสอบสวนเสร็จแล้วโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้ถือว่า การสอบสวนนั้นเป็นการสอบสวนในคดีพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว จะเห็นได้ว่าคดีพิเศษจะมีลักษณะความผิดที่สลับซับซ้อนมากกว่าคดีอาญาทั่วไป รูปแบบอาชญากรรม มีความหลากหลายซับซ้อนก่อให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในหลาย ประเทศ รวมถึงความเสียหายต่อระบบอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนและประเทศอย่างมาก (2) วิธีการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 ได้กำหนดวิธีการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและได้กำหนด วิธีการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเพิ่มเติม โดยสรุปได้ดังนี้


87 (2.1) คณะกรรมการคดีพิเศษมีอำนาจออกข้อบังคับการปฏิบัติหน้าที่ในคดีพิเศษ ระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 22 (2.2) สามารถขอให้หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วม ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม โดยหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับ ค่าใช้จ่ายหรือค่าตอบแทน สำหรับการช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้การ ดำเนินงานมีประสิทธิภาพตามมาตรา 22/1 (2.3) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ และเป็น พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาตามมาตรา 23 (2.4) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะ เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 23/1 (2.5) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจ ตามมาตรา 24 ดังนี้ 1) เข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น เมื่อมีเหตุสงสัยตามสมควร ประกอบกับเชื่อว่าหากเอาหมายค้นมาได้บุคคลอาจเกิดการหลบหนี ทรัพย์สินอาจถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย ทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม โดยต้องดำเนินการค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา และต้องแสดงความบริสุทธิ์ รายงานเหตุและผลการตรวจค้นต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป และให้มอบหนังสือบันทึกเหตุสงสัยในการเข้าค้นให้กับผู้ครอบครองเคหสถานหรือสถานที่ค้น ในกรณี เข้าค้นภายหลังพระอาทิตย์ตกพนักงานสอบสวนคดีพิเศษผู้เป็นหัวหน้าในการเข้าค้นต้องเป็น ข้าราชการพลเรือนระดับ 7 ขึ้นไป 2) ค้นบุคคลหรือยานพาหนะที่มีเหตุสงสัยตามสมควร ซึ่งอาจใช้เป็นพยาน หลักฐานได้ 3) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้สถาบันการเงิน ส่วนราชการ องค์การ หรือ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจส่งเจ้าหน้าที่มาให้ถ้อยคำ หรือส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ มาตรวจสอบหรือเพื่อประกอบการพิจารณา 4) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใด ๆ มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็น หนังสือ หรือส่งบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ มาตรวจสอบหรือเพื่อประกอบการพิจารณา 5) ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ หรือที่ส่งมาตามข้อ (1) – (4) 6) การได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า เอกสารหรือข้อมูล ข่าวสารอื่นใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ สื่อสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใดถูกใช้หรืออาจถูกใช้ในการกระทำ ความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 25 7) การจัดทำเอกสารหรือหลักฐานใดเพื่อเข้าไปแฝงตัวในองค์กรหรือกลุ่มคนใด เพื่อประโยชน์ ในการสืบสวนสอบสวน เป็นการกระทำโดยชอบ ตามมาตรา 27 8) แต่งตั้งที่ปรึกษาคดีพิเศษได้ในคดีพิเศษที่มีเหตุจำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นพิเศษ ตามมาตรา 30 9) การมีพนักงานอัยการหรืออัยการทหารมาสอบสวนร่วมหรือปฏิบัติหน้าที่ ร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้คำแนะนำและตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ชั้นเริ่มการ สอบสวน ตามมาตรา 32


88 10) การให้เจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อช่วยเหลือการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ โดยการเสนอของรัฐมนตรีต่อนายกรัฐมนตรี ตามาตรา 33 11) การทำความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ในกรณีที่พนักงานอัยการหรืออัยการทหารมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีตามมาตรา 34 (3) รายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 (3.1) ประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะ ของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวน คดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ให้คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และคดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กำหนดเพิ่มเติม โดย กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน คดีพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 ซึ่งมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) (ข) (ค) (ง) หรือ (จ) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 เฉพาะความผิดซึ่งมีรายละเอียดตามที่ กำหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศนี้ ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่งให้ทำการสอบสวนเป็น คดีพิเศษที่จะต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 รวม 25 คดีความผิด ดังนี้ 1. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน คดีความผิดที่มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 12 มาตรา 15 แห่งพระราชกําหนด การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีหรือมีมูลค่าน่าเชื่อว่ามี จํานวนผู้เสียหายตั้งแต่สามร้อยคนขึ้นไป หรือมีจํานวนเงินที่กู้ยืมรวมกันตั้งแต่หนึ่งร้อยล้านบาทขึ้นไป 2. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน คดีความผิดที่มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 8 และมาตรา 8 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่า มีราคาหรือมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศตั้งแต่ห้าสิบล้านบาทขึ้นไป 3. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ หน่วยงานของรัฐ คดีความผิดที่มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีการกระทําความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคา เพื่อเป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีวงเงินหรือมูลค่าตั้งแต่ สามสิบล้านบาทขึ้นไป 4. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค คดีความผิดที่มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 47 และมาตรา 48 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีมูลค่าสินค้า หรือบริการ ตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป หรือมีจํานวนผู้เสียหายตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไป ทั้งนี้ไม่รวมถึง


Click to View FlipBook Version