The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย/พลอยบุตร). (2554). การศึกษาเชิงสำรวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย - A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand. สารนิพนธ์ของการศึกษา รายวิชาสัมมนา พระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2554

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by raphind, 2022-04-20 20:31:54

A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand

พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย/พลอยบุตร). (2554). การศึกษาเชิงสำรวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย - A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand. สารนิพนธ์ของการศึกษา รายวิชาสัมมนา พระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2554



จินดำ จันทร์แก้ว ให้ทัศนะต่อปรำกฏกำรณ์ของพระพุทธศำสนำท่ีว่ำ คณะสงฆ์
ปัจจุบันมีโครงสร้ำงอ่อนแอในด้ำนปฏิบัติกำร แต่มีควำมแข็งแกร่งในทำงปฏิเสธ คือ ไม่ปฏิบัติกำร
หรือมีท่ำทีวำงเฉยและเฉยเมย แต่เคร่งครัดในประเพณีนิยม ตำมลักษณะน้ีใครจะทำอะไรก็ได้โดยไม่
เป็นปัญหำแก่คณะสงฆ์ แต่ก็เป็นท่ีแน่นอนว่ำ กำรแตกแยกกำลังเกิดขึ้นเรื่อย ๆ และปัญหำท่ีไม่ได้
แก้ไขก็กำลังโถมทับทวีข้ึน ควำมขัดแย้งท่ีสะสมไว้ดูจะรุนแรง โดยเฉพำะปัญหำเรื่องกำรศึกษำของ
คณะสงฆ์ซึง่ เปน็ ปัญหำใหญ่และเป็นตน้ ตอของปัญหำอื่น ๆ ทั้งหมด ดังน้ัน ท่ำมกลำงปัญหำและควำม
ขัดแย้งดังกล่ำวในช่วง ๕๐ ปีที่ผ่ำนมำ ได้เกิดแนวคิดและขบวนกำรใหม่ ๆ ทำงศำสนำหลำยลักษณะ
ข้ึนในสังคมไทย มีท้ังพยำยำมเพิ่มเติมหรือเสริมส่ิงที่หลงเหลือหรือขำดหำยไป เน้นกิจกรรมใหม่
ตลอดจนพยำยำมแยกตนออกจำกกำรควบคุมของคณะสงฆ์เก่ำ ซ่ึงอำจจัดแบ่งขบวนกำร
พระพุทธศำสนำในประเทศไทยออกเป็น ๕ กลุ่ม ในควำมหมำยเพื่อให้คำอธิบำยและง่ำยต่อกำรสร้ำง
ควำมเข้ำใจได้ถูกต้องขึ้น เป็น ( ) กลุ่มศีล ได้แก่สำนักสันติอโศก ( ) กลุ่มสมำธิ ได้แก่สำนักวัด
พระธรรมกำย ( ) กลุ่มปญั ญำ ไดแ้ กส่ ำนักพุทธทำสภิกขุ (๔) กลุ่มสังคม ได้แก่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก
สำนักวดั ยกกระบัตร สำนักจติ ตภำวัน และวัตรทรงธรรมกัลยำณี (๕) กลุ่มพิเศษได้แก่ สำนกั ปสู่ วรรค์

ควำมเปลี่ยนแปลงทำงสังคมท่ีเกิดข้ึน เป็นผลมำจำกควำมเจริญทำงวิทยำศำสตร์
เทคโนโลยี ที่เข้ำมำมีส่วนกระทบกับชีวิตของพุทธบริษัทในดินแดนแถบน้ีอย่ำงมำก ผลจำก
สงครำมและกำรเมืองทำให้พุทธบริษัทเป็นจำนวนไม่น้อยหันเหออกนอกทำงพุทธศำสนำ แม้
พระสงฆ์ในบำงประเทศจะพัฒนำจนหลุดจำกฐำนเดิมของตนเองไปเลย เอ็ดเวิร์ด คอนซ์ (Edward
Conze) ช้ีให้เห็นถึงขนำดว่ำ พระสงฆ์ไทยตำมใจนักกำรเมือง ลงทุนพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่
รถถังอเมริกันสมัยสงครำมเวยี ดนำมทเี ดยี ว

จำกสภำพกำรณ์ดังกล่ำว เปิดเผยให้เห็นถึงกำรไร้ควำมหมำยของคำกล่ำวท่ีว่ำ
พุทธศำสนำเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบน้ี โดยเฉพำะในประเทศไทยปัจจุบัน เพรำะเป็นกำรกล่ำว
อย่ำงผิวเผินโดยพจิ ำรณำจำกภำพวดั วำอำรำมเปน็ จำนวนมำก ซึ่งอันที่จริงเป็น “ผลงำน” ของบรรพ
บรุ ษุ มำกกว่ำ เปน็ ที่ประจกั ษ์กันโดยทั่วไป โดยเฉพำะในประเทศไทย พระสงฆ์ และวัดกำลังสูญสิ้น
บทบำท ฐำนะและควำมหมำยออกไปจำกสังคมมำกทุกที ๔ พระสงฆ์ขำดควำมรู้ที่จะสื่อคำสอน
ไปสู่ประชำชน ปัจจุบันกำรแสดงธรรมจึงมีลักษณะเป็นเพียงพิธีกรรมชนิดไม่มีชีวิตจิตใจ คือเพียง

จินดำ จนั ทรแ์ กว้ , ศาสนาปจั จบุ ัน, (กรงุ เทพมหำนคร : มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๕ ),
หน้ำ - ๙ .

Edward Conze, Buddhism in Asia Handbook, 1969 p.385. อำ้ งใน จินดำ จันทรแ์ กว้ , ศาสนา
ปัจจุบัน, หน้ำ .

๔ จินดำ จนั ทรแ์ กว้ , ศาสนาปจั จบุ นั , หนำ้ .

เพ่ือใหพ้ ิธกี ำรสมบรู ณเ์ ท่ำนนั้ เอง พระสงฆ์เป็นจำนวนมำกจึงหันมำแข่งขันกันสร้ำงโบสถ์วิหำร หำ
ทุนรอนด้วยกรรมวิธีไสยศำสตร์ต่ำง ๆเป็นอเนกประกำร กำรทรงเจ้ำเข้ำผีซ่ึงไม่น่ำจะเป็นกิจกรรม
ของพทุ ธศำสนำกลับเปน็ เร่อื งธรรมดำท่ีพระสงฆเ์ ขำ้ ไปเก่ียวข้องได้อย่ำงไม่ร้สู กึ กระดำกใจ ๕

พระมหำวินัย ผลเจริญ ท่ีศึกษำขบวนกำรประชำสังคมในพระพุทธศำสนำก็ได้สะท้อน
ปรำกฏกำรณ์ของกลุ่มพระพทุ ธศำสนำต่ำง ๆ ที่ปรำกฏในสังคมไทยภำยหลัง พ.ศ. ๕ ๙ ที่รวมตัว
กันท้ังคฤหัสถ์และบรรพชิตในรูปแบบต่ำง ๆ โดยพระมหำวินัย ผลเจริญได้จำแนกตำมบทบำท
ของกล่มุ ต่ำง ๆ ได้ ๘ กลมุ่ คือ ( ) กำรรวมกลุ่มและกำรสร้ำงเครือข่ำย ( ) กำรส่งเสริมกำรพัฒนำ
จติ ใจ ( ) กำรส่งเสริมกำรพึ่งตนเองและพ่ึงพำอำศัยกัน (๔) กำรสร้ำงจิตสำนึกประชำสังคม มอง
ในแงก่ ำรอนุรักษแ์ ละฟน้ื ฟูทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อม (๕) กำรจัดกำรศึกษำเพื่อควำมเป็น
พลเมือง ( ) กำรพัฒนำสตรี ( ) กำรแก้ไขปัญหำสังคม และ (๘) กำรเคลื่อนไหวเพ่ือปฎิรูป
พุทธศำสนำ พร้อมท้ังมีกำรพิจำรณำแนวคิดท่ีอยู่เบ้ืองหลังบทบำทเหล่ำนั้นด้วย เมื่อมองโดย
ภำพรวม พบวำ่ กลมุ่ ประชำสังคมชำวพุทธท่ีได้ศึกษำน้ัน พยำยำมนำเอำหลักพระพุทธศำสนำไปใช้
อย่ำงถูกต้องตำมหลักและวิธีกำรในพระไตรปิฎก พร้อมท้ังมีกำรผสมผสำนกับภูมิปัญญำท้องถิ่น
และจัดกิจกรรมในรูปแบบใหม่ๆ ด้วย เพ่ือให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย และสำมำรถ
สื่อสำรได้อย่ำงมปี ระสิทธิผลในท่ำมกลำงยุคสมยั ที่เปล่ียนแปลงอย่ำงรวดเร็ว

ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวัฒน์ เสนอว่ำ “พุทธศำสนำนิกำยเถรวำทเจริญรุ่งเรืองอยู่ในเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ นิกำยเถรวำทในแต่ละประเทศก็มีอัตลักษณ์เฉพำะตน เช่น เถรวำทในศรีลังกำเน้น
ปัญญำเชิงวิชำกำร เถรวำทในพม่ำเน้นสมำธิโดยไม่เคร่งพระวินัย (เช่น พระสงฆ์ถูกเน้ือต้องตัวผู้หญิง
ได้ เป็นต้น) เถรวำทในประเทศไทยเนน้ พระวนิ ัย ส่วนเถรวำทในลำวและกมั พชู ำคล้ำยคลงึ กับของไทย

เถรวาทในประเทศไทยนั้นยังจำแนกออกเป็นหลำยสำนัก เช่น "สันติอโศก" เน้นศีล สำย
"พุท-โธ" "พอง-ยุบ" และ "ธรรมกำย" เน้นสมำธิแบบหลับตำ สำย "กำรเจริญสติแบบเคล่ือนไหว

๕เร่อื งเดยี วกนั , หนำ้ .
พระมหำวินัย ผลเจริญ, “กำรศึกษำแนวคิดและขบวนกำรประชำสังคมของพุทธศำสนำใน

สังคมไทย (หลังจำกเหตุกำรณ์ ๔ ตุลำคม พ.ศ. ๕ -ปัจจุบัน)”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต,
(คณะศลิ ปะศำสตร์ :มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์, ๕๕๔), หนำ้ บทคัดยอ่ .

ดร.ทวีวัฒน์ ปณุ ฑรกิ วิวัฒน์, “คนหรอื ศำสนำ ใครกันแนท่ ่เี สือ่ ม”, หนงั สอื พมิ พม์ ตชิ นรายวัน,
ฉบบั ประจำวันอำทิตย์ที่ มกรำคม ๕๔๘ ปที ่ี ๘ ฉบับท่ี ๙๘๐๘. คอลมั นห์ นำ้ ต่ำงควำมจรงิ , หน้ำ .

ดร.ทวีวฒั น์ ปณุ ฑริกววิ ฒั น์, “คนหรอื ศาสนา ใครกนั แน่ทเ่ี สอ่ื ม”, [ออนไลน์], แหล่งมำ ;
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=khunz&date=15-11-2009&group=10&gblog=9 ( เมษำยน

๕๕๔).

ของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ" เน้นสมำธิแบบเคล่ือนไหว พุทธทำสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลำรำม
เนน้ ปัญญำในกำรพิจำรณำควำมจริง พระพรหมคณุ ำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เน้นปัญญำเชิงวิชำกำร เป็น
ต้น ทุกสำนักต่ำงก็อ้ำงว่ำครอบครองสัจธรรม แต่เมื่อพิจำรณำในรำยละเอียดแล้ว แต่ละสำนักมี
เน้ือหำและวิธีกำรที่แตกต่ำงกันมำก นักแสวงหำแก่นแท้ของศำสนำจึงเผชิญกับควำมหลำกหลำย
ของกำรตีควำมสัจธรรม แม้ว่ำ พระพุทธเจ้ำจะทรงค้นพบควำมจริงมำนำนกว่ำ ,๕๐๐ ปีแล้ว แต่
ปจั จบุ ันเรำทกุ คนก็ล้วนมสี ถำนะไม่แตกต่ำงไปจำกเจ้ำชำยสิทธัตถะเท่ำใดนัก ที่ต้องด้ันด้นแสวงหำ
จำกสำนักหนึ่งไปยังอีกสำนักหนึ่งเพ่ือค้นหำสัจธรรม โดยที่แต่ละสำนักต่ำงก็อ้ำงว่ำครอบครอง
สัจธรรมของพระพุทธเจ้ำท้ังสิ้น ดังน้ัน สัจธรรมจึงมิใช่ควำมคิดท่ีหยุดน่ิงตำยตัว แต่กลับเป็น
สง่ิ มชี วี ติ ท่ีเรำแต่ละคนจะต้องแสวงหำด้วยตนเอง ศำสนำจึงเปรียบเหมือนสิ่งที่มีชีวิต ท่ีดำรงอยู่ใน
จิตใจของมนุษย์ เป็นเรื่องของโลกทรรศน์และกำรตีควำมสัจธรรมของแต่ละคน ศำสนำจึงมิใช่
พิธีกรรม สัญลักษณ์ หรือลัทธิคำสอน แต่คือควำมหมำยของสิ่งเหล่ำน้ีท่ีมีต่อชีวิตมนุษย์ โดยท่ี
มนุษย์เป็นผ้ทู ่เี ลอื กตคี วำมเอง ศำสนำจึงเป็นพลังสร้ำงสรรค์เฉพำะตัวของแต่ละบุคคล และมนุษย์ก็
มีอิสระท่ีจะเลือกและเป็นส่วนหนึ่งของพลังสร้ำงสรรค์น้ัน ดังน้ัน ศำสนำจึงไม่หยุดน่ิงอยู่กับที่
ศำสนำท่หี ยดุ น่งิ อยกู่ ับท่ีจงึ เป็นศำสนำท่ีตำยแลว้

รองศำสตรำจำรย์มำนพ นักกำรเรียน ๘ ได้มองว่ำ บทบำทของพระพุทธศำสนำใน
ประเทศไทยผ่ำนกำรศึกษำของพระสงฆ์ ที่เรียกว่ำธุระมี อย่ำง คือคันถธุระและวิปัสสนำธุระ
กำรศึกษำคัมภีร์พระพุทธศำสนำจัดเป็นคันถธุระ กำรปฏิบัติกัมมัฏฐำนจัดเป็นวิปัสสนำธุระ ไม่มี
ข้อกำหนดใดระบุว่ำ พระสงฆ์ต้องมีสังคหธุระ คือ หน้ำท่ีสงเครำะห์ชำวโลก และแนวคิดเร่ืองกำร
สงเครำะห์ หรือกำรนำบทบำทของพระสงฆ์เข้ำไปมีส่วนร่วมสัมพันธ์กับชุมชน ทำให้
พระพุทธศำสนำในปจั จบุ ันแบ่งออกเป็น รปู แบบ คือ

. พระพุทธศาสนาแบบวิชาการ (Exoteric or Intellectual Buddhism) เน้นคันถธุระ
เรียนแตต่ ำรำอยำ่ งเดยี ว แปลหรือทอ่ งพระไตรปิฎก บำงครั้งก็หนีสังคมเหมือนอยู่บนหอคอย
งำช้ำง Exoteric Buddhism แปลว่ำ พระพุทธศำสนำตำมคัมภีร์หรือ Intellectual Buddhism
พระพทุ ธศำสนำแบบปัญญำชน เรียนจบอยแู่ ค่นี้ ไมไ่ ด้คดิ ห่วงใยสังคม ห่วงแต่วิชำกำร

. พระพุทธศาสนาแบบประสบการณ์ลึกลับ (Esoteric Buddhism) เน้นวิปัสสนำธุระ
ปฏิบัติกัมมัฏฐำนตำมลำพังเพ่ือเข้ำถึงรหัสยะคือประสบกำรณ์ลึกลับเฉพำะตนชนิดท่ีสื่อให้

๘ รองศำสตรำจำรย์ ดร.มำนพ นกั กำรเรยี น, “พระพทุ ธศาสนากบั สงั คม ตอนที่ ๔ : วัดกับบา้ น-
ศกึ ษาจากพระไตรปฎิ ก”, [ออนไลน์], แหล่งมำ ;
http://www.src.ac.th/web/index.php?option=content&task=view&id=738 (๘ มิ.ย. ๕๕๔).



คนอ่ืนเข้ำใจไม่ได้ ดังคำกลอนที่ว่ำ “เข้ำฌำนนำนต้ังเดือนไม่เขยื้อนเคล่ือนกำยำ ถือศีลกิน
วำตำเปน็ ผำสกุ ทุกคนื วนั ”

. พระพุทธศาสนาเพ่ือสังคม (Engaged Buddhism) เรียกว่ำ สังคหธุระ คือบริกำร
สังคม มหี นำ้ ทส่ี งเครำะหช์ ำวบ้ำนด้วยสังคหวัตถุ ๔ เป็นพระพุทธศำสนำที่ห่วงใยประชำชน
พระพุทธศำสนำแบบที่ ไม่อยู่บนหอคอยงำช้ำงเหมือนแบบที่ และไม่เข้ำถ้ำหลับตำ
ภำวนำ ปลีกตัวหนีสังคมเหมือนแบบที่ แต่เป็นกำรผสมสังคหธุระให้กลมกลืนเข้ำกับ
คนั ถธรุ ะหรอื วปิ สั สนำธรุ ะ เชน่ ...ทพี่ ระสิทธตั ถะออกผนวช ปแี รกเก็บตวั แบบประเภทที่
และที่ เม่ือตรัสรู้แล้วจึงออกเทศนำสั่งสอนตลอดเวลำ ๔๕ พรรษำ ช่วงน้ีเรียกว่ำเป็น
พระพทุ ธศำสนำเพอ่ื สังคม (Engaged Buddhism) ทเ่ี นน้ สังคหธรุ ะ คือ กำรพัฒนำสงั คม

ภัทรพร ศิริกำญจน์ ๙ ได้ทำกำรศึกษำไว้ในงำน “พระพุทธศำสนำในประเทศไทย :
เอกภำพในควำมหลำกหลำย” ในงำนให้ข้อมูลภำพลักษณ์ของพระพุทธศำสนำในลักษณะต่ำง ๆ
โดยผู้เขียนได้จัดกลุ่มของพระพุทธศำสนำผ่ำนปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ท่ีเกิดข้ึน จัดกลุ่ม
พระพุทธศำสนำเป็นแบบจำรีต ๐ (Normative) ปัญญำนิยม (Intellectual) พระพุทธศำสนำใน
แบบพัฒนำสังคม (Social Engaged Buddhism) แบบประชำนิยม และแบบนอกจำรีตด้วย ๔
โดยในแต่ละกลุ่มล้วนเป็นพัฒนำกำรทำงพระพุทธศำสนำที่เกิดขึ้นในสังคมไทยพร้อมกับ
พัฒนำกำรทำงสังคมด้ำนอ่นื ๆ ไมว่ ่ำจะเป็นเศรษฐกจิ สงั คม กำรเมือง และวฒั นธรรม

อภิญญา เฟ่ืองฟูสกุล ๕ ธรรมชำติของกำรแพร่กระจำยของควำมเช่ือทำงศำสนำ ไม่ว่ำ
จะเป็นศำสนำอะไรก็ตำม พุทธ คริสต์ อิสลำม เมื่อแพร่กระจำยออกไปจำกดินแดนต้นกำเนิด
จะต้องเกิดกำรผสมผสำนกับวัฒนธรรมเดิม ในท้องถิ่นที่ศำสนำแพร่ไปถึง อย่ำงในกรณีของไทย
เมือ่ เรำจะศกึ ษำ ก็ต้องจำแนกแยกแยะระหว่ำงควำมเปน็ พุทธตำมทีป่ รำกฏในพระไตรปิฎก กับควำม
เป็นพุทธตำมจำรีตนิยมท่ีเรียกกันว่ำ traditional Buddhism ซ่ึงหมำยถึง ควำมเป็นพุทธตำมจำรีตท่ี

๙ ภัทรพร สิริกำญจน์, พระพุทธศาสนาในประเทศไทย : เอกภาพในความหลากหลาย,
(กรุงเทพมหำนคร: คณะศิลปศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕๕ ).

๐ เร่ืองเดียวกนั , หนำ้ - ๐ .
เรื่องเดียวกนั , หนำ้ ๐๔- ๐.
เรือ่ งเดยี วกนั , หนำ้ ๕- ๔๘.
เร่ืองเดยี วกัน, หนำ้ ๔๙- ๕.
๔ เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้ำ ๘๙- .
๕ อภิญญำ เฟ่ืองฟูสกุล, “สังคมไทย เป็นสังคมพุทธ จริงหรือ” วันที่ ๕ กรกฎำคม ๕๕ ,
[ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมำ : www.thelandfoundation.org/?download=5-06-08%20Apinya.doc, ( ก.ค. ๕๕๔).



ปฏิบัติสืบต่อกันมำ พุทธสองแบบนี้คำบเก่ียวกันอยู่ บำงครั้งก็ขัดแย้งกัน เช่น ในกรณีตัวอย่ำงท่ียก
มำแตแ่ รก ลักษณะเช่นน้เี ป็นธรรมชำติของกำรคลี่คลำยขององค์กรศำสนำ ท่ีมีกำรผสมผสำนกับส่ิง
อื่น ก็เรียกกำรผสมผสำนน้ีว่ำ syncretism ซ่ึงแปลว่ำ กำรผสมผสำนทำงควำมเชื่อและวัฒนธรรม
อย่ำงในเมืองไทย ก็คือ กำรผสมของ พุทธ ผี พรำหมณ์ หลังจำกน้ัน เม่ือมีกำรผสมผสำนกันมำก
ขึ้นๆ มีกำรแปรเปล่ียนจำกเดิมกันมำกข้ึน ก็จะเกิดข้ัวเหว่ียงกลับ คือ เกิดกระแสของกำรพยำยำม
ชำระควำมบริสุทธ์ิแก่ศำสนำท่ีเรียกว่ำ anti-syncretism ซ่ึงทำได้หลำยรูปแบบ เช่น พุทธเถรวำทก็มี
จำรีตของพระมหำกษัตริย์ที่จะอุปถัมภ์กำรทำสังคำยนำพระไตรปิฎก นอกจำกน้ี ถ้ำเรำอ่ำน
ประวัตศิ ำสตรไ์ ทยจะเห็นได้ว่ำ กษัตริย์ไทยหลำยพระองค์ หลังจำกข้ึนครองรำชย์ หน่ึงในกิจกรรม
หนง่ึ ท่จี ะทรงกระทำ คือ จบั พระท่ีทำผดิ พระวินัยสกึ อกี วธิ หี นง่ึ ของกำรชำระควำมบรสิ ทุ ธ์ิ ตัวอย่ำง
ในคริสต์ศำสนำ จะเห็นว่ำในยุคกลำง มีกำรฟ่ันเฝือมำกเข้ำจนทำให้ในยุคต่อมำเกิดนิกำยโปรเตสแตนท์
ส่วนของไทยสมัยรชั กำลท่ี ๔ ท่ำนอ้ำงในเร่ืองกำรชำระควำมบริสุทธ์ิ โดยกำรก่อตั้งธรรมยุต แม้จะ
มีแรงบัลดำลใจทำงกำรเมืองอยู่เบ้ืองหลังก็ตำม เพรำะฉะน้ัน ประวัติศำสตร์ของศำสนำต่ำง ๆ ใน
โลก จะถูกเหวี่ยงไปเหว่ียงมำ ระหว่ำงขั้วทั้งสองตลอดมำ แต่ก็ไม่ใช่ว่ำฝ่ำย anti-syncretism น้ีจะ
ชนะ เช่นพุทธเถรวำทเรำจะเห็นควำมพยำยำมในกำรปฏิรูป มีพระนักปฏิรูปขึ้นมำมำกมำย จะเห็น
ได้ว่ำ แม้จะพยำยำมขจัดกันอย่ำงไร ควำมเช่ือเรื่องผี หรือ ไสย ก็ไม่หมดไปจำกสังคมไทย ในอีก
ดำ้ นหนึง่ ฝ่ำยที่อ้ำงตัวเองว่ำเปน็ anti-syncretism ก็ไมใ่ ชว่ ่ำจะปรำศจำกกำรปนเป้ือน โปรเตสแตนท์
ก็มีกำรผสมผสำนโลกทัศน์ศำสนำกับควำมคิดแบบปัจเจกนิยม และวิธีคิดทำงวิทยำศำสตร์ สอง
อย่ำงนี้เป็นองค์ประกอบทำงวัฒนธรรมสำคัญของเขำ ส่วนพุทธปฏิรูปปัจจุบันก็จะมีวิธีคิดแบบคน
ชนชน้ั กลำง แฝงอยู่ในขอ้ เสนอหลำยอยำ่ ง

๔๐

พระพทุ ธศำสนำ พทุ ธบริษัท ๔

เถรวำทแบบไทย พุทธกระแสหลัก (พ.ร.บ.) ขบวนการพทุ ธใหม่
(New Buddhist Movement)
พุทธเดิม คัมภีรห์ ลัก Individualism,
พ.ร.บ. Feminism, Secularism ปรำกฏกำรณ์(ใหม)่
สงฆห์ ลกั หลกั
พิธีกรรมหลัก ฯ
ผลต่อสงั คมวงกว้ำง
พุทธใหม่
นอกเหนอื จำกภำพลักษณ์เดิม
เปลยี นแปลง. พุทธ
พำณิชย์-ไสยพำณชิ ย์ ฯ ขัดแย้ง-ววิ ำทะ

แผนภำพท่ี . พัฒนำกำรของกำรเกิดพทุ ธใหม่

ดังนั้น “ขบวนกำรพุทธใหม่ในประเทศไทย” เมื่อประมวลโดยรวมแล้ว รวมทั้ง
พิจำรณำจำกแผนภำพ . จะเห็นได้ว่ำ หมำยถึง กลุ่ม หมู่ คณะ ที่ขับเคลื่อนพระพุทธศำสนำ
อย่ำงมีนัยยะที่เกำะเกี่ยวอยู่กับบริบทของสังคม เศรษฐกิจ และกำรเมืองทั้งขึ้นอยู่กับสภำพเกำะ
เก่ียว โดยมีผลต่อสังคมในวำงกว้ำง ซ่ึงเป็นได้ท้ังควำมเหมือน ควำมต่ำง และควำมขัดแย้งวิวำทะ
กำรตีควำมที่แตกต่ำง แต่หมู่ กลุ่ม ขบวนกำรทั้งหมดเกิดขึ้นภำยใต้ร่มเงำ และเกำะเกี่ยวอยู่กับ
ควำมเป็นพระพุทธศำสนำ ซึ่งมีผลก่อให้เกิดปรำกฏกำรณ์ตอบรับกับควำมเปลี่ยนแปลงใน
ภำพรวมของสังคม ไม่อยู่ภำยใต้กำรบังคับบัญชำขององค์กรหรือหน่วยงำนใด แต่เกิดขึ้นภำยใต้
ควำมเป็นปัจเจก เพื่อสนองตอบต่อกำรเปลี่ยนแปลงในด้ำนต่ำง ๆ ทั้งทุน สังคม เศรษฐกิจ และ
กำรเมืองอย่ำงมีนัยยะสำคัญในภำพรวม ซึ่งจะได้จำแนกกลุ่มทำงพระพุทธศำสนำในลักษณะต่ำง
ๆ ที่ปรำกฏในสังคมไทยผ่ำนปรำกฏกำรณ์ที่สำมำรถสัมผัสได้ และมีกระบวนกำรขับเคลื่อน
อย่ำงเป็นระบบ และไม่เป็นระบบ อย่ำงเป็นองค์กรและไม่เป็นองค์กร และเป็นขบวนกำรกลุ่มท่ี
เกิดขึ้นภำยใต้ควำมเป็นพระพุทธศำสนำ

๒.๒ แนวคิดที่สง่ ผลตอ่ การเกดิ ขบวนการพทุ ธใหม่
กำรเกิดข้ึนของกลุ่มพระพุทธศำสนำต่ำง ๆ ในประเทศไทย ล้วนมีแนวคิด ชุดเหตุผล

และลักษณะชุดคิดอันมีผลต่อพฤติกรรมที่นำไปสู่กำรก่อตัว เกิดข้ึน และนำไปสู่กำรขับเคลื่อนจน



เป็นหมู่กลุ่มของขบวนกำรพุทธใหม่ ซ่ึงในกำรศึกษำน้ีจะได้จำแนก และนำชุดเหตุผล แนวคิด
ดงั กลำ่ วมำเพอ่ื แสดงให้เห็นภำพของกำรเกิดขึ้น จนเป็นปรำกฏกำรณ์ทำงพระพุทธศำสนำของกลุ่ม
ตำ่ ง ๆ ในประเทศไทย ดังน้ี

๒.๒.๑ แนวคดิ เร่ืองการเปล่ียนแปลง
พระพุทธศำสนำมีชุดคำสอน อำทิ ไตรลักษณ์ สังขำร โลกธรรม ๘ ทวิลักษณ์ ๙
เปน็ ต้น โดยมคี วำมหมำย ท่ีมุง่ เน้นกำรสร้ำงควำมเขำ้ ใจ ตำมสภำพควำมเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น เรียกว่ำ
“ปัจจุบันขณะ” โดยมีเป้ำหมำยหลักเพื่อสนองตอบต่อกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรู้เท่ำทัน ภำยใต้กำร
เปล่ียนแปลงน้ัน ๆ นอกจำกน้ี ยังมีนักวิชำกำรตะวันตกอย่ำงฟรีดริช เองเกลส์ (Friedrich Engels:
พ.ศ. - ๔ ๘) ท่ีศึกษำและเสนอแนวคิดกำรเปลี่ยนแปลงว่ำ “ทุกส่ิงในโลกนี้ต้อง
เปลี่ยนแปลง ท้ังส่ิงมีชีวิตและไม่มีชีวิต”๔๐ กำรมองนี้ ไม่ได้ถูกมองด้วยปัญญำ แต่ได้ใช้ควำมไม่รู้
(โมหะ) ควำมตระหนกกลัว ตน่ื ตัว ไม่มั่นใจเป็นเครื่องมือในกำรมอง ท้ังยังแสวงหำควำมเชื่ออื่นมำ
ปิดทับตอ่ ควำมไมร่ ู้ และตระหนกกลัวเหล่ำนั้น ทั้งที่ในควำมเป็นจริงพระพุทธศำสนำให้ใช้แนวคิด
กำรเปล่ียนแปลง เพ่ือให้เข้ำใจต่อปรำกฏกำรณ์ท่ีเกิดขึ้นน้ัน ๆ ผ่ำนกระบวนกำรของปัญญำ หรือใช้
ปัญญำเป็นฐำนในกำรคิดและพิจำรณำอย่ำงรอบด้ำน เพ่ือให้เข้ำใจตำมสภำพของควำมเป็นจริงที่
ปรำกฏอย่ใู นปัจจบุ ัน
ดังทัศนะของประเวศ วะสี นักวิชำกำรด้ำนพุทธธรรมเพื่อสังคม ที่พยำยำมประยุกต์
พุทธธรรม มำปรับใช้เพื่อรองรับต่อกำรเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยพิจำรณำตำมควำมเป็นจริงว่ำ

ม.ม. (ไทย) / ๕๘/ ๙๔- ๙ (แนวคิดเรอื่ งไตรลกั ษณ์).
พระพุทธศำสนำมอง “ขันธ์ ว่ำเป็นส่ิงที่มีควำมเปลี่ยนแปลงอย่ำงต่อเน่ือง รูป เวทนำ สัญญำ
สังขำร วิญญำณ กำรมองปรำกฏกำรณ์น้ันอย่ำงเข้ำใจและตอบรับต่อกำรเปลี่ยนเปล่ียนแปลงด้วยมั่นคงทำงจิต
หรือกำรฝึกจิตจนเขำ้ ใจต่อกำรเปล่ียนแปลงน้นั .
๘ โลกธรรม ๘ ประกำร เป็นชุดแนวคิดที่ให้พิจำรณำควำมจริง ตำมสภำพท่ีเป็นจริง และปรับท่ำที
ตอ่ กำรเปลี่ยนแปลงนัน้ อย่ำงเขำ้ ใจผำ่ นชุดคิดทวี่ ่ำ ( ) ไดล้ ำภ ( ) เสื่อมลำภ ( )ไดย้ ศ (๔) เสอื่ มยศ (๕) นนิ ทำ ( )
สรรเสรญิ ( สขุ (๘) ทุกข์ ใน องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) / ๙ / ๙- ๘๐. และ องฺ.จตกุ กฺ .อ. (ไทย) / ๔/ ๐๘.
๙ ส.ข.(ไทย) /๙๐/ - เปน็ แนวคดิ ทีป่ รำกฏในฉนั นสูตร เกีย่ วกบั ( ) ควำมมี และ ( )
ควำมไม่มี ซึง่ นำมำอธิบำยเป็นลักษณะของทวิลักษณ์ถึงควำมไม่เที่ยง และควำมเที่ยง จริงไม่จริง สูญ ไม่สูญ ซึ่ง
ก่อให้เกิดปรำกฏกำรณ์ซึ่งส่งผลเป็นควำมเปลี่ยนแปลง กระท่ังกลำยเป็นควำมเช่ือที่คนหนึ่งคนอำจช่ืออย่ำงใด
อยำ่ งหนงึ่ หรือ ทงั้ อย่ำงหรอื มำกกว่ำนน้ั อันเปน็ ปรำกฏกำรณต์ อ่ ควำมเช่อื ของชำวพทุ ธในปัจจุบนั ได้.
๔๐สภุ ำงค์ จนั ทวำนชิ , ทฤษฎีสังคมวทิ ยา, (กรุงเทพมหำนคร: สำนักพิมพแ์ ห่งจุฬำลงกรณ์
มหำวทิ ยำลยั , ๕๕ ), หนำ้ ๘๔.



สังคมมีควำมหลำกหลำย เปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลำ โดยสภำพกำรณ์แบบนี้ บ่อยคร้ังนำไปสู่ควำม
ขัดแย้ง ควำมรุนแรง ดังท่ีปรำกฏต่อกลุ่ม “พุทธใหม่” ทั้งประเด็นทำงสังคม ท้ังควำมรุนแรงต่อ
ควำมเช่ือของกันและกัน ดังทศั นะของนำยแพทย์ประเวศ วะสตี อ่ ประเดน็ ดงั กล่ำวท่วี ่ำ ๔

เพรำะควำมหลำกหลำย ควำมซับซอ้ น และควำมเร็ว มเี กนิ กวำ่ ท่มี นุษยแ์ ละสังคมจะเข้ำใจ
และจดั กำรได้ มีต้ังแต่ควำมเช่ือที่ต่ำงกัน คุณค่ำท่ีต่ำงกัน กำรแย่งชิง ควำมไม่เป็นธรรมทำง
สงั คม กฎหมำย ระบบกำรเมือง และระบบรำชกำรที่ขำดศักยภำพท่ีจะเอื้ออำนวยให้ชีวิตและ
สังคมดำเนนิ ไปด้วยดี ทิศทำงกำรพัฒนำท่ีเน้นเรื่องกำรแข่งขันเสรี และกำรเอำเงินเป็นตัวต้ัง
อันทำให้สภำพศีลธรรมและควำมเครียดในสังคมเพิ่มข้ึน และระบบกำรศึกษำที่ไม่ทำให้
มนุษยส์ ำมำรถเผชญิ กับปัญหำและควำมกดดันใหม่ ๆ ได้...”

ในงำนวิจัยของอภิชัย พันธุเสน ให้แนวคิดท่ีมองกำรเปลี่ยนแปลงว่ำ มีผลต่อควำมไม่รู้
รวมทั้งควำมพยำยำมด้ินรนต่อกำรแสวงหำส่ิงใหม่เพ่ือทดแทนควำมพึงพอใจ ตอบสนองต่อสิ่งเร้ำ
ภำยใน รวมทัง้ เปน็ หลกั ประกันใหก้ บั กำรดำเนนิ ชวี ติ ทว่ี ่ำ

ข้อเท็จจริงจำกประวัติศำสตร์ในอดีตได้ชี้ให้เห็นอย่ำงเด่นชัดว่ำ พลังท่ีมีอิทธิพลต่อกำร
เปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ไปในทำงเสื่อมถอยคือ พลังทำงเศรษฐกิจที่กระตุ้นให้มนุษย์มีควำม
โลภมำกขึ้น พร้อมด้วยควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีท่ีมำกับสัญญำที่ไม่เคยเป็นควำมจริงว่ำ
จะให้ควำมหมำยใหม่แก่ชีวิตมนุษย์ได้ ควำมไม่รู้เท่ำทันส่ิงเหล่ำน้ีอันเกิดจำกควำมไม่รู้ที่
สะสมอยู่ในตัวมนุษย์เน่ืองจำกถูกปิดกั้นด้วยภำพมำยำที่มนุษย์สร้ำงขึ้นในรูปแบบต่ำง ๆ ที่
หลำกหลำยลว้ นเปน็ ปัจจยั ในกำรบัน่ ทอนมนุษย์ในที่สดุ ๔

สอดรับกับทัศนะของสมิทธิพล เนตรนิมิตร ผู้ให้ทัศนะเป็นชุดควำมคิด เพื่อใช้ในกำร
มอง ใหเ้ ขำ้ ใจต่อควำมเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้สอดรบั กับสภำพที่เป็นจริงมำกยิง่ ข้นึ ทว่ี ่ำ

ปรำกฏกำรณ์ในอดีตสะท้อนอนิจลักษณะ ปรำกฏกำรณ์อย่ำงหนึ่งส่งผลไปยัง
ปรำกฏกำรณ์ อย่ำงอ่ืน ไม่ว่ำ เป็นนักวรรณคดี ชำวบ้ำน หรือชำววัด เมื่อตระหนักรู้อนิจจังก็

๔ ดูรำยละเอียดจำก ประเวศ วะสี, คำนิยม ใน วนั ชัย วฒั นศัพท์, ความขัดแย้ง หลักการและเครื่องมือ
แก้ปัญหา. (ขอนแก่น : ศิรภิ ัณฑ์ ออฟเซท็ , ๕๕๐), หนำ้ คำนยิ ม.

๔ อภชิ ยั พนั ธุเสน, พทุ ธเศรษฐศาสตร์: ววิ ัฒนาการ ทฤษฎี และการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขา
ต่าง ๆ, พมิ พค์ รั้งท่ี , (กรุงเทพมหำนคร : อมรนิ ทร์, ๕๔ ), หนำ้ ๕๔.



ต้องพยำยำมควบ คุมกำหนดทิศทำงเอำไว้บ้ำง จะได้ช่วยอนิจจังให้เป็นไปทำงสร้ำงสรรค์
กลำยเปน็ ควำมรงุ่ เรอื งข้นึ มำ ซง่ึ กเ็ ปน็ ลกั ษณะแห่งอนจิ จังด้วยเหมอื นกนั ๔

ในทัศนะของสุเธียร จักรธรำนนท์๔๔ ที่มองควำมเคลื่อนไหวของกลุ่มพระพุทธศำสนำ
ในประเทศไทยเปน็ ดุจกำรปรับตวั เพ่ือทวนกระแสสงั คม และ/หรือเป็นกำรปรับตัวเพ่ือควำมอยู่รอด
ทง้ั เปน็ กำรสะทอ้ นว่ำ กล่มุ ทำงศำสนำกล่มุ หน่งึ มองควำมเปล่ียนแปลงท่ีต้องปรับตัว เพื่อตอบรับต่อ
ปรำกฏกำรณ์ที่เกิดข้ึน และในเวลำเดียวกันก็เป็นกำรเปล่ียนแปลงภำยใต้บริบทของสังคมในองค์
รวมและเป็นไปตำมกลไกของสังคม แม้จะเป็นเพียงกำรมองผ่ำนเพียงกลุ่มองค์กรเดียว แต่ก็
ชใ้ี ห้เหน็ ถึงควำมเปลี่ยนแปลงอยำ่ งมีนยั ยะสำคญั ดังนี้

ในบรรดำควำมเคลื่อนไหวทำงพระพุทธศำสนำในเมืองไทยท่ีผ่ำนมำ สันติอโศกหรือ
ควำมเคล่ือนไหวของชำวอโศกนับว่ำ น่ำสนใจเป็นพิเศษ เพรำะเป็นควำมเคลื่อนไหวท่ี
พยำยำมตอบปัญหำทั้งหมด ซ่ึงสังคมไทยต้องเผชิญด้วยพุทธธรรมตำมควำมเข้ำใจอย่ำง
สุจริตใจของตน ไม่เฉพำะแต่เพียงกำรท้ำท้ำยอำนำจของคณะสงฆ์ไทย หรือไม่แต่เพียงกำร
เผยแพร่หลักคำสอนของตนให้แพรห่ ลำยในสงั คมเท่ำน้ัน

ฉะน้ัน ชำวอโศกจึงจัดตั้งเศรษฐกิจชุมชน “แบบพุทธ” ขึ้นคู่ขนำนไปกับเศรษฐกิจทุน
นิยมท่ีครอบงำสังคม และส่ิงท่ีอำจพูดได้ว่ำประสบควำมสำเร็จอย่ำงย่ิงในกำรดำเนินงำน
เศรษฐกิจชมุ ชนของชำวอโศก ไม่ใช่หลำยสิบและหลำยล้ำนบำท แต่คือกำรจัดกำรทำงสังคม
ที่เออื้ ให้เศรษฐกจิ ชุมชนดำเนินไปอย่ำงรำบรื่นและมคี ุณประโยชน์ต่อสมำชิกและสังคมในวง
กว้ำง โดยเฉพำะเม่ือเอำควำมสำเร็จน้ีไปเทียบกับควำมล้มเหลวของรัฐไทยท่ีพยำยำมจะ
จดั กำรสหกรณใ์ นประเทศไทยมำเกอื บศตวรรษแลว้

ในทัศนะของนธิ ิ เอยี วศรีวงศม์ องปรำกฏกำรณ์ของพระพุทธศำสนำที่กำลงั เกิดขนึ้ ว่ำ

ควำมเสอื่ มโทรมของพระพุทธศำสนำในประเทศไทย (ในฐำนะหลักควำมเช่ือ ที่มีกำรจัด
องค์กร ซงึ่ เจรญิ รุ่งเรอื งได้และเส่ือมโทรมได้ ไม่ได้หมำยถึง หลักธรรมซ่ึงเป็นอกำลิโก) อำจ
ยกสำเหตุ ปัจจัยได้หลำยอย่ำง ซ่ึงล้วนเชื่อมโยงกันเป็นพลังท่ีกระทำต่อพระพุทธศำสนำใน
ลักษณะเดียวกัน เช่นระบบกำรศึกษำท่ีแยกควำมรู้ทำงโลกและทำงธรรมแยกออกอย่ำง

๔ ผศ.ดร.สมทิ ธิพล เนตรนมิ ติ , ''ภาพแห่งความรุ่งเรืองเมืองโบราณและพทุ ธสถานในคัมภรี ์' [ออนไลน์].
แหลง่ ทมี่ ำ : http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=737&articlegroup_id=160, [๕ ก.ย. ๕ ].

๔๔สรุ เธยี ร จกั รธรำนนท์, สันติอโศก : สามทศวรรษท่ีท้าทา้ ย, (กรงุ เทพมหำนคร: มติชน, ๕๕๐),
หน้ำ คำนำ

๔๔

เดด็ ขำด ซ้ำยงั ยกควำมร้ทู ำงโลกเอำไวเ้ หนือควำมรู้ทำงธรรม ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งให้คุณค่ำแก่
ควำมไพบูลย์ทำงวัตถุแต่เพียงอย่ำงเดียว เง่ือนไขทำงสังคมซึ่งถูกครอบงำด้วยลัทธิวัตถุนิยม
และควำมอ่อนแอขององค์กรคณะสงฆท์ ่ีจะปรบั ตวั ใหพ้ ุทธธรรมตอบรบั กำรท้ำทำยใหม่ ๆ๔๕

เม่ือนำแนวคิดของ สุนัย เศรษฐบุญสร้ำง มำอธิบำยปรำกฏกำรณ์ในควำมเปลี่ยนแปลง
ในสังคมไทยดว้ ยสมกำร คือ

ปัญหำหรือควำมทุกข์ (P) = ควำมตอ้ งกำร (D)
สงิ่ ตอบสนองควำมตอ้ งกำร (S)

แผนภำพท่ี . สมกำรทฤษฎีแนวคิดทำงสงั คม

จำกแผนภำพ . อำจนำมำอธิบำยปรำกฏกำรณ์พระพุทธศำสนำในประเทศไทยได้ว่ำ
เม่ือคนส่วนใหญ่มีควำมต้องกำร กำรตอบสนอง ควำมต้องกำรจึงเกิดข้ึน แต่ในเวลำเดียวกัน กำร
ตอบสนองควำมต้องกำรนัน้ นำมำซงึ่ ควำมทุกข์ บทบำททำงศำสนำจึงเข้ำมำเพ่ือออกจำกทุกข์ กำร
แสวงหำวธิ ีกำร หรอื ทำงออกจำกปัญหำโดยอิงอำศัยอยู่กับหลักทำงศำสนำจึงเกิดข้ึน หำกดูเส้นทำง
กำรเดินของศำสดำแต่ละท่ำน ท้ังพุทธ คริสต์ อิสลำม ล้วนให้คำอธิบำยต่อควำม “ยำกลำบำก”
ของศำสนิก โดยมีผู้นำ หรือตัวแทนทำงศำสนำ เป็นผู้หยิบยื่นและปลดควำมทุกข์ยำกให้หมดส้ิน
ไป ดงั ทัศนะของสุนัย เศรษฐบญุ สรำ้ งที่ว่ำ

ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ มีควำมจำเป็นที่จะต้องมีศำสดำ ประกำศก (Prophet) หรือผู้นำทำงศำสนำ ใน
ศำสนำต่ำง ๆ อบุ ตั ิเป็นระยะ ๆ เพ่อื เป็นผ้นู ำทำงจติ วิญญำณในกำรอบรมกล่อมเกลำให้มนุษย์
มีควำมรักควำมเอื้ออำทรต่อกัน ตลอดจนมีควำมเห็นแก่ตัว หรือมีควำมโลภ ควำมโกรธ
ควำมหลง เบำบำงลดน้อยลง (ลดค่ำ D ในสมกำร เพื่อทำให้ค่ำ P ลดลง) รวมทั้งมีผู้ทรง
ควำมรเู้ กดิ มำช่วยพัฒนำศำสตรค์ วำมรู้แขนงต่ำง ๆ อันจะนำไปสู่กำรเพิ่มส่ิงตอบสนองควำม
ต้องกำรของระบบสังคมให้มำกขึ้นด้วย (เพิ่มค่ำ S ในสมกำรเพื่อทำให้ค่ำ P ลดลง) ส่งผลให้
เกิดปรำกฏกำรณ์ของคลนื่ อำรยธรรมใหม่ ๆ ในทกุ กรอบระยะเวลำหนึ่ง ๆ๔

๔๕ นิธิ เอียวศรีวงศ์, คำนิยม ในสุรเธียร จักรธรำนนท์, สันติอโศก : สามทศวรรษที่ท้าท้าย,
(กรงุ เทพมหำนคร: มตชิ น, ๕๕๐), หน้ำ ๘.

๔ สุนยั เศรษฐบ์ ุญสร้ำง, การเปล่ยี นกระบวนทัศน์ของพุทธศาสนาในสงั คมไทย, (กรุงเทพมหำนคร:
ฟำ้ อภัย, ๕๔ ), หนำ้ คำนำ.

๔๕

ในงำนของพระมหำชินวัชร นิลเนตร ในงำนวิจัยเรื่อง “ปรำกฏกำรณ์จตุคำมรำมเทพ
ผลกระทบต่อพระพทุ ธศำสนำกระแสหลัก” ปรำกฏแนวคิดดังนี้

เหตุกำรณ์ดังกล่ำวจะถือว่ำ เป็นควำมล้มเหลวของพระพุทธศำสนำ...ของพระสงฆ์ ผู้ทำ
ห น้ ำ ที่ ใ น ก ำ ร น ำ พ ร ะ ธ ร ร ม ค ำ ส่ั ง ส อ น ข อ ง พ ร ะ สั ม ม ำ สั ม พุ ท ธ เ จ้ ำ ไ ป อ บ ร ม ส่ั ง ส อ น
พุทธศำสนิกชนหรือไม่ ? เพรำะพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ชี้นำ และให้ควำมเข้ำใจเก่ียวกับ
จตุคำมรำมเทพและหลักธรรมท่ีแฝงมำกับจตุคำมรำมเทพแก่ประชำชน ในทำงตรงกันข้ำม
พระสงฆ์กลับตกอยู่ในภำยใต้กระแสสังคม ละเลยกำรปฏิบัติตำมพระธรรมคำส่ังสอนของ
พระพทุ ธศำสนำ ทำใหพ้ ระธรรมคำสงั่ สอนและหลกั กำรของพระพทุ ธศำสนำถูกบิดเบือนไป
กลำยเปน็ สังฆพำณชิ ย์ ซึง่ ลักษณะดังกล่ำวถือได้วำ่ เป็นวกิ ฤติกำรณท์ ่นี ำ่ เปน็ ห่วงอยำ่ งย่งิ ๔

ดังทศั นะทววี ฒั น์ ปุณฑรกิ วัฒน์ ท่ีมองผำ่ นแนวคดิ วิชำกำรดำ้ นศำสนำตะวนั ตก ที่วำ่

มุมมองทำงประวัติศำสตร์ ตำมทัศนะของวิลเฟรด สมิธ (Wilfred Smith) นักวิชำกำร
ศำสนำชำวแคนำดำน้ัน ศำสนำทุกศำสนำล้วนแล้วแต่เกิดและดำเนินไปตำมประวัติศำสตร์
และประวัตศิ ำสตรน์ น้ั ก็เปล่ียนแปลงไปตำมยุคสมัย ศำสนำจึงมีควำมรุ่งเรืองและควำมเส่ือม
มีควำมเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ไม่เคยหยุดน่ิงอยู่กับท่ี ศำสนำเป็นกระบวนกำรทำง
ประวัตศิ ำสตรท์ ี่มชี ีวติ ในตัวของมันเอง ในแงน่ ศ้ี ำสนำจึงมิใชค่ วำมคิดที่ตำยตัว

ดังน้ัน เมื่อกล่ำวโดยสรุป ปัญหำของมนุษย์มีควำมเหมือนกัน ทำให้มนุษย์มีโลกทัศน์
ควำมเชื่อคล้ำยกนั และหำทำงออกจำกปัญหำโดยยึดอยู่กบั ควำมเชอ่ื สิ่งเชอื่ ซง่ึ ถูกกระทำให้เชื่อ อัน
รวมไปถึงศำสนำ แม้จะเป็นไปดว้ ยวธิ ี และควำมพงึ ใจในกำรหยิบจับทแ่ี ตกต่ำงกัน โดยอำศัยกรอบ
ควำมรู้ ควำมเป็นปัจเจก และสิทธิกำรเข้ำถึงในสิ่งที่พึงจะเป็นไปได้ ดังน้ัน ควำมเปล่ียนแปลงที่
เกิดข้ึนจึงก่อให้เกิด “นวัตกรรม” ทำงพระพุทธศำสนำอย่ำงใหม่ เพื่อตอบรับกับปัญหำท่ีเกิดขึ้น
หรือในอกี ควำมหมำยหน่ึง พระพทุ ธศำสนำท่เี กิดขึน้ ในอนิ เดียอำจเกดิ ภำยใต้กำรปฏเิ สธระบบควำม
เชื่อเดิมที่มีอยู่ในสังคมอินเดียโบรำณ จนกลำยเป็น “จริยธรรม” อย่ำงใหม่ ท่ีพระพุทธศำสนำส่ัง
สอน และเผยแผ่ พรอ้ มทั้งส่งต่อไปยังชำวพุทธ ในนำม “พุทธบริษัท” รุ่นต่อ ๆ มำ แต่เมื่อกำลเวลำ
ผ่ำนไป ควำมเข้มแข็งเหล่ำน้ันได้รับกำรท้ำทำยจำกสภำพปัญหำอย่ำงใหม่ กำรให้คำอธิบำยต่อ
หลักกำรทำงพระพุทธศำสนำ หรือวิธีกำรสร้ำงศรัทธำได้รับผลกระทบ จนกลำยเป็นควำมอ่อนแอ

๔ พระมหำชนิ วัชร นลิ เนตร,“ปรำกฏกำรณจ์ ตุคำมรำมเทพ ผลกระทบต่อพระพทุ ธศำสนำกระแส
หลกั ”, วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ , (คณะศลิ ปศำสตร์ : มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕๕ ), หน้ำ .



ดงั ปรำกฏในยคุ หลงั ๆ ต่อมำ ทำให้พระพุทธศำสนำเหมือนกลับไปสู่จุดเดิม กล่ำวคือ ย้อนกลับไป
หำรำกฐำนเดิมเพื่อสร้ำงควำมเข้มแข็งให้กลับคืนมำ หรือกำรย้อนไปหำควำมรู้จำกสิ่งที่ไม่รู้ ซ่ึง
กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จนกลำยเป็นควำมเปลี่ยนแปลงและถูกทวงถำมด้วยคำอธิบำยกำร
เปลยี่ นแปลงที่เกดิ ขึน้ ของควำมเคล่อื นไหวของกลมุ่ พุทธตำ่ ง ๆ อย่ำงที่ปรำกฏอยใู่ นปจั จบุ นั

๒.๒.๒ แนวคิดเรอ่ื งสตรีนิยม (Feminism)
แนวคิดอีกประกำรหนึ่งที่ถูกหยิบยกแ ละนำมำอธิบำยต่อปรำกฏกำรณ์ทำง
พระพุทธศำสนำในประเทศไทยหรือสังคมโลก คือแนวคิดเรื่องสตรีต่อกำรมีส่วนร่วมทำงศำสนำ
หรือ “สตรีกับศำสนำ” โดยมีฐำนคิดจำกแนวคิดสตรีนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดท่ีได้รับอิทธิพลจำก
ตะวนั ตก เข้ำมำมอี ิทธิพลเป็นสำนักควำมคิดและมผี ลเป็นกำรปฏบิ ตั ิในประเทศไทย๔๘
แนวคิดสตรีนิยม คือ กลุ่มสังคม และกลุ่มกำรเมืองท่ีออกมำเคลื่อนไหวเก่ียวกับสิทธิ
สตรี๔๙ มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื เปลี่ยนมุมมองของผคู้ นทมี่ องชำยและหญงิ อย่ำงแตกตำ่ งกนั สตรีนิยมกล่ำว
วำ่ ผูห้ ญิงถูกกระทำโดยสังคมในสงิ่ ท่ีไม่ถกู ต้อง และต้องหยุดเด๋ียวน้ี ผู้ท่ีออกมำเคล่ือนไหวในสังคม
คอื นกั เคลอ่ื นไหวสตรีนยิ ม
แนวคดิ ของกลุ่มสตรนี ยิ มมี กลมุ่ คือ
) กลุ่มแรกเชื่อว่ำ เรำควรทำทุกสิ่งทุกอย่ำงให้เท่ำเทียมกัน ระหว่ำงชำยและหญิง เพรำะ
ผู้คนไม่ควรนำเร่อื งเพศมำแบ่งแยก เพรำะชำยกับหญิงนั้นแทบไม่แตกต่ำงกันเลย วัฒนธรรม
ทใ่ี ห้ผชู้ ำยไปทำงำนและผหู้ ญงิ ทำงำนบ้ำนเลย้ี งลกู เปน็ สง่ิ ที่ผิดอย่ำงส้ินเชงิ
) กลุ่มที่สองเช่ือว่ำ ชำยกับหญิงน้ันแตกต่ำงกัน แต่ควำมแตกต่ำงนั้นก็ไม่ควรนำไปสู่กำร
ปฏบิ ัติเอนเอียง วัฒนธรรมทใ่ี หผ้ ชู้ ำยไปทำงำนและผู้หญิงทำงำนบ้ำนเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่อำจจะ
ถูก แต่รัฐหรือผู้ชำยก็ควรท่ีจะให้ควำมสำคัญกับเรื่องเช่นนี้ เช่น ดูแลผู้หญิงที่ทำงำนอยู่กับ
บำ้ นใหด้ ขี ึ้น
) กลุ่มที่สำมเช่ือว่ำ ผู้หญิงกับผู้ชำยแตกต่ำงกันอย่ำงสิ้นเชิง และสังคมทุกวันนี้จะต้อง
เปล่ียนแปลง กลุ่มนี้เช่ือว่ำสังคมในวันน้ีถูกขับเคลื่อนโดยผู้ชำย ซ่ึงให้ผู้หญิงอยู่ตำมหลัง
ดงั น้นั ควรจะมกี ำรปฏวิ ัตเิ พ่ือใหท้ ้ังสองเพศเท่ำเทยี มกัน

๔๘ ดแู นวคิดทำงตะวนั ออกท่ีได้รับอทิ ธิพลจำกอินเดีย และวฒั นธรรมฮนิ ดู ใน ผศ.ดร.อภญิ ญวฒั น์ -
โพธสิ์ ำน, วิถีคดิ วิถีเชือ่ อสิ ตรี, (มหำสำรคำม : อภชิ ำตกิ ำรพมิ พ,์ ๕๕ ), หน้ำ ๔- ๐.

๔๙ แนวคิดเหล่ำน้ีสัมพันธ์ไปถึงควำมสิทธิ์ และควำมเสมอภำคในฐำนะมนุษย์ที่ไม่ได้จำกัดด้วยเพศ
รำยละเอยี ดเพม่ิ เติมใน สนุ ี ไชยรส, “กำรหลอมรวมอุดมกำรณ์ เฟมินิสต์ ประชำธิปไตยและสทิ ธมิ นษุ ยชน : ศึกษำ
ผ่ำนประสบกำรณ์ สุนี ไชยรส”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (สตรีศึกษา), (สำนักบัณฑิตอำสำสมัคร :
มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕๔ ), หนำ้ ๕ -๕๙.



สตรีนิยมมีแนวคิดน้ีตั้งแต่เร่ืองสิทธิของบุคคล ซึ่งทันสมัยมำกในสมัยนั้น โดยนัก
ปรัชญำในศตวรรษที่ ๘ และศตวรรษที่ ๙ เช่น แมรี่ วูลสโตนครำฟ (Mary Wollstonecraft, ค.ศ.
1759 –1797) จอน สจ็วต มิล (John Stuart Mill, ค.ศ. 1806-1873) หลังจำกนั้น ในศตวรรษที่ ๐ มี
กลุ่มต่ำง ๆ จำนวนมำก ที่เรียกร้องให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ในกำรเลือกตั้ง ในระบอบประชำธิปไตย จนใน
ปจั จุบนั หลำยประเทศมนี ำยกรัฐมนตรี หรือประธำนำธบิ ดที ่เี ป็นผูห้ ญงิ

แนวคิดท่ีปรำกฏต่อพฤติกรรมขบวนกำรพุทธใหม่ในประเทศไทย อำจจำแนกและ
แยกแยะผ่ำนปรำกฏกำรณ์ และพฤติกรรมทำงสังคม ในหลำย ๆ กรณี อันมีผลเป็นบริบทร่วมทำง
พระพุทธศำสนำ ซึ่งในบำงกรณีอำจไม่ได้พูดแนวคิดเรื่องสิทธิสตรีโดยตรง เพียงแต่สะท้อนสิทธิ
ของควำมเป็น “ผ้หู ญงิ ” ในกำรเขำ้ ถึงศำสนำ เชน่ กำรยกเหตุกำรณ์ที่พระพุทธเจ้ำยกเลิกวรรณะด้วย
กำรจัดต้ังชุมชนสังฆะ กำรเปิดโอกำสให้สตรีเข้ำมำบวชในพระพุทธศำสนำในครั้งพุทธกำล แต่
ไมไ่ ดร้ ับกำรยอมรบั ให้มีกำรบวชในปัจจบุ ัน แนวคิดสตรนี ิยมถกู นำมำใช้เป็นเคร่ืองมืออธิบำยร่วม
ต่อปรำกฏกำรณ์ เป็น “ประดิษฐกรรมส่ิงใช้” และสร้ำงพัฒนำกำรทำงสังคมของกลุ่มสตรีต่อพื้นท่ี
ทำงศำสนำ ดังปรำกฏในงำนของนรินทร์ กลึง ภำษิต๕๐ ฉัตรสุมำลย์ กบิลสิงห์๕ หรือในงำน
วรรณกรรมอ่ืน ๆ ที่ส่ือ สะท้อน เชื่อมถึงปรำกฏกำรณ์ของสตรี หรือคำดหวังให้สตรีมีบทบำทร่วม
ในทำงศำสนำ๕ ดังนั้น จึงทำให้เห็นภำพลักษณ์ของพระพุทธศำสนำที่เข้ำไปมีบทบำทต่อ
ปรำกฏกำรณ์ของสตรี๕ แนวคิดสตรีนิยมเคยเกิดขึ้นในสังคมตะวันตกและมีพัฒนำกำรเชิงสังคม

๕๐นรินทร์ ภำษิต, แถลงการณ์เร่ืองสามเณรี วัตร์นารีวงศ์, ฉลอง สุนทวำณิชย์ บรรณำธิกำร,
พมิ พค์ รั้งที่ , (กรุงเทพมหำนคร : อมรนิ ท์พริ้นตง้ิ , ๕๔๔).

๕ ธมั มนนั ทำสำมเณรี, การสืบสายภิกษุณีสงฆ์ในศรีลังกา, (กรุงเทพมหำนคร : บริษัท ส่องศยำม จำกัด,
๕๔๔), หน้ำ -๔ .

๕ แนวคิดประกำรหนึ่งคือกำรศึกษำข้อเท็จจริง กำรให้เหตุผลในเชิงร้องขอ หักล้ำง และเสนอเลือก
พร้อมทำงออกต่อประเด็นของสตรีต่อศำสนำ ซ่ึงปรำกฏในงำนเอกสำรวิชำกำรลำดับที่ ๙ ของ คณะกรรมำธิกำร
กจิ กำรสตรี เยำวชน และผู้สูงอำยุ วุฒิสภำ, เร่ือง การบวชภิกษุณีในประเทศไทย, (กรุงเทพมหำนคร : กลุ่มงำนกำรพิมพ์
สำนกั งำนเลขำธิกำรวุฒิสภำ, ๕๔ ), หนำ้ - ๕.

๕ ดูรำยละเอียดแนวคิดของสิทธิสตรีตำมหลักพระพุทธศำสนำได้จำก อุดร จันทวัน ,
“พระพุทธศำสนำกับกำรปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนศึกษำกรณีสิทธิสตรีในพระพุทธศำสนำ”, สารนิพนธ์
พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๕๔๔), หน้ำ -
และในงำนวิจัยของ พระศรีวิสุทธิคุณ (สฤษด์ิ ประธำตุ), “กำรศึกษำวิเครำะห์ทัศนะคติเกี่ยวกับสตรี ที่ปรำกฏใน
ชำดก : ศึกษำเฉพำะณุกำลชำดก จันทกินรีชำดก และเวสสันดรชำดก”, สารนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต,
(บัณฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๕๔๕), หนำ้ - .

๔๘

(โลก) อยำ่ งสูงอยำ่ งท่ีปรำกฏในปจั จุบนั แต่ในเวลำเดียวกันได้กลำยเป็นพลังขับเคลื่อนให้กับสังคมอื่น
รวมถึงสงั คมไทยดว้ ย

กำรอธิบำยแนวคิดท่ีปรำกฏในพระพุทธศำสนำครั้งพุทธกำลกรณีสิทธิในกำรบวช๕๔
รวมทง้ั ชุมชนสงั ฆะเดิมต่อพื้นทข่ี องสตรีในกำรเข้ำมำมีส่วนร่วมทำงศำสนำ ของภิกษุณีชำวอังกฤษ
อำทิ เท็ลชนิ พลั โม (Tenzin Palmo,ค.ศ. 1964-) ผู้เป็นเจ้ำของงำนเขียนนี้ และได้สะท้อนมุมมองต่อ
ประเด็นของสิทธิสตรีในกำรบวชไวอ้ ย่ำงนำ่ สนใจวำ่

กอ่ นท่ีเรำจะเริ่มพิจำรณำสถำนะของสตรีในพระพุทธศำสนำนั้น ฉันคิดว่ำเป็นเรื่องสำคัญ
มำกท่ีเรำจะต้องเข้ำใจถึงสภำพสังคมที่เป็นอยู่เมื่อ ,๕๐๐ กว่ำปีมำแล้วของแคว้นมคธ
ตอนกลำงของประเทศอินเดีย เม่ือพระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ถ้ำเรำไม่ศึกษำ
บรบิ ทโดยรวมให้เขำ้ ใจก่อน เรำอำจจะตกหลุมพรำง ไปตัดสินพระทัยของพระพุทธเจ้ำอย่ำง
ผดิ ๆ ในเร่ืองสตรี โดยยดึ จำกมมุ มองของแคลฟิ อร์เนียในยคุ ปลำยศตวรรษที่ ๐ เปน็ หลกั ๕๕

รวมไปถึงแนวคิดของฉัตรสมุ ำลย์ กบลิ สิงห์ ในมุมที่ตอ้ งกำรส่งเสริมให้เกิดกำรยอมรับ
กำรบวชของสตรี “เพศ” หรอื ควำมเป็นสตรีในฐำนะน้องสำวท่ีจะทำงำนเพ่ือพระพุทธศำสนำว่ำ

บดั นส้ี ถำนกำรณ์โลกเปล่ียนไป ฝ่ำยสตรีเองก็มีพัฒนำกำรข้ึนท้ังทำงด้ำนองค์ควำมรู้ ควำม
เข้ำใจในพระพุทธศำสนำ กำรสนับสนุนให้สตรีบวชน่ำจะสอดคล้องกับพระประสงค์ของ
สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำที่ทรงฝำกฝังพระศำสนำไว้กับพุทธบริษัทส่ีอัน หมำยรวมถึง
ภิกษุณีสงฆ์ด้วย กำรสนับสนุนกำรบวชภิกษุณีสงฆ์ตำมพระธรรมวินัย จึงน่ำจะเป็นกำร
แสดงออกถึงควำมเคำรพในพระพทุ ธองค์อยำ่ งยงิ่ ๕

๕๔รำยละเอียดเพ่ิมใน สุขสันต์ จันทะโชโต, “กรณึศึกษำแนวคิดเรื่องสถำนภำพและสิทธิสตรีใน
พระพุทธศำสนำเถรวำทกับหลักกฎหมำยไทย”, สารนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย :
มหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๕๔๕), หน้ำ - .

๕๕ อำนิ เท็ลชิน พัลโม, รูปเงา ขุนเขา ทะเลสาบ : นักบวชสตรีกับการปฏิบัติธรรม, นวรัตน์ ธำระวำนิช
แปล, (กรุงเทพมหำนคร: สวนเงินมีมำ, ๕๔๙), หนำ้ ๙๙.

๕ ฉัตรสุมำลย,์ สบื สานและเตมิ เตม็ เรอ่ื งราวของภิกษณุ วี นั วานและวนั น้ี,(เชียงใหม่ :วนิดำเพลส, ๕๕ ),
หน้ำ ๔.

๔๙

มนตรี สืบด้วง ได้สะท้อนแนวคิดท่ีปรำกฏในงำนวิจัยเร่ือง “แนวพินิจเชิงสตรีนิยมว่ำ
ด้วยผู้หญิงกับพระพุทธศำสนำเถรวำทในประเทศไทย” ๕ ที่สะท้อนแนวคิดเก่ียวกับสตรีกับพื้นที่
ทำงศำสนำ โดยให้แนวคดิ โดยสรปุ ไว้วำ่

สตรีนิยม (Feminism) หมำยถึง เจตคติ แนวคิดและวิธีกำรท่ีเรียกร้องให้ผู้หญิงได้มีสิทธิ
ควำมเสมอภำคเท่ำเทียมกับผู้ชำยในเรื่องต่ำง ๆ เรียกร้องเพ่ือไม่ให้ผู้หญิงถูกเอำเปรียบจำก
ผูช้ ำย และต้องกำรให้สงั คมมีควำมยุติธรรมและเคำรพในสิทธิของผู้หญิงในฐำนะเป็นมนุษย์
อย่ำงเสมอภำคกัน ไม่ให้มีกำรเอำรัดเอำเปรียบกันด้วยอ้ำงว่ำ ผู้หญิงไม่มีศักยภำพและ
ควำมสำมำรถบำงอย่ำง กลุ่มสตรีนิยมได้อธิบำยถึงปัญหำที่ผู้หญิงถูกกดข่ี ถูกเอำเปรียบจำก
ระบบต่ำง ๆ ในสังคม ซง่ึ ถกู ควบคมุ โดยผู้ชำย ทำให้ผูห้ ญงิ ต้องลกุ ข้นึ มำตอ่ สูเ้ พอ่ื ใหไ้ ด้มำซึ่ง
สทิ ธิ เสรภี ำพและควำมเสมอภำคในเร่ืองต่ำง ๆ ท้ังในทำงกำรเมือง ทำงเศรษฐกิจ ทำงสังคม
รวมไปถึงเรื่องศำสนำและควำม เชื่อ ในประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่ นับถือ
พระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำท โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้นำในกำรปฏิบัติและเผยแผ่พระ
ธรรมวนิ ยั กลมุ่ สตรีนยิ มในสงั คมไทยเห็นว่ำ ในสงั คมไทยไมม่ สี ถำบันภิกษุณีสงฆ์อยู่ ทำให้
เกิดปัญหำกำรขำดผู้นำทำงจิตวิญญำณ ไม่มีต้นแบบของผู้หญิงอันเป็นที่เคำรพทำงศำสนำ
นำไปสู่ปัญหำอ่ืน ๆ ไม่ว่ำจะเป็นปัญหำกำรขำดที่พ่ึงในยำมที่ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว
ไม่มีสถำนทป่ี ฏบิ ัติธรรมสำหรับผูห้ ญงิ รวมถงึ หลักธรรมคำสอนทม่ี ีผสู้ อนเปน็ พระภิกษุเพียง
ด้ำนเดียว กลุ่มสตรนี ยิ มจึงเสนอว่ำ เพอ่ื แกป้ ัญหำเหล่ำนี้ ควรท่สี ังคมไทยจะยอมให้มีกำรบวช
ภิกษณุ ขี นึ้ มำได้

ดงั น้นั เมอ่ื พจิ ำรณำในภำพรวม แนว “สตรนี ยิ ม” ถกู นำมำเป็นเง่ือนไขในสังคมไทยด้วย
นัยหนึ่งเพ่ือเป็นกำรสร้ำงพ้ืนท่ีเฉพำะทำงศำสนำ๕๘ จะด้วยเหตุผลของสิทธิอันจะพึงมีหรือจะพึง
กระทำ ท้ังจะด้วยเป้ำหมำยเพ่ือปฏิรูปศำสนำ และ/หรือจะเป็นกำรยกย่องควำมเป็นเพศผ่ำนมิติทำง
ศำสนำ หรือใช้ศำสนำเป็นเคร่ืองมือเพื่อให้เกิดกำรยอมรับต่อควำมเป็นเพศก็ตำม แนวคิดเหล่ำนี้
ปรำกฏในสังคมไทยผ่ำนนกั คิด นักปฏิบัตหิ ลำย ๆ ท่ำน อำทิ นรินทร์ กลึง, ฉัตรสุมำลย์ กบิลสิงห์,

๕ มนตรี สืบดว้ ง, “แนวพนิ จิ เชงิ สตรีนยิ มว่ำด้วยผหู้ ญิงกบั พระพทุ ธศำสนำเถรวำทในประเทศไทย”,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ , (บณั ฑติ วิทยำลยั : มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๕๕ ), หน้ำ บทคดั ยอ่ .

๕๘ ดู กำรขบั เคล่อื นกำรบวชภิกษุณีในสังคมไทยในงำนของ พระมหำกมล ถำวโร (ม่ังคำมี), “กำรศึกษำ
วิเครำะห์เร่ืองกำรบวชภิกษุณีในพระพุทธศำสนำเถรวำท ศึกษำเฉพำะกรณีกำรบวชภิกษุณีในประเทศไทย”, สาร
นิพนธพ์ ทุ ธศาสตรดษุ ฎีบณั ฑติ , (บัณฑติ วทิ ยำลัย : มหำวิทยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๕๔๕), หน้ำ - .

๕๐

พระไพศำล วิสำโล๕๙ พระเมตตำนนฺโท ๐ พระมโนถึงจะออกตัวว่ำไม่ใช่นักเรียกร้องสิทธิสตรีก็
ตำม ในส่วน ท่ำนแรกต่ำงมีวรรณกรรมผ่ำนกำรศึกษำวิจัยและโต้แย้งโดยใช้แนวคิดเร่ือง
สิทธิสตรีต่อพ้ืนที่ทำงศำสนำ และนำไปสู่กำร “ทดลอง” ด้วยตนเองท้ังในส่วนของนรินทร์ กลึง ท่ี
นำบุตรสำวคอื สำระ และจงดีไปสกู่ ำรบวช และฉตั รสมุ ำลย์ กบลิ สิงห์ ทใี่ ชร้ ะบบกำรศกึ ษำในฐำนะ
นักกำรศึกษำที่ผ่ำนกำรวิจัยมำอย่ำงยำวนำน มำเป็นฐำนรองรับกำรบวช ด้วยตัวเองเช่นกัน ใน
ส่วนกำรบวชนำงเม้ียน ปำนจันทร์ ผู้ประกำศลัทธิสัจจโลกุตระ ที่ต่อมำพัฒนำเป็นสำนักสงฆ์
ถ้ำกระบอก ท่ีถือนุ่งห่มแบบพระสงฆ์ สถำปนำตนเองเป็นภิกษุณี โดยอ้ำงแนวคิดว่ำ พระพุทธเจ้ำ
เคยบวชให้ภกิ ษณุ ี หรือกำรบวชสำมเณรีของพระเที่ยง แห่งวัดตะคร้อ จังหวัดกำแพงเพชร ๔ก็ไม่
ปรำกฏหลกั ฐำนวำ่ ใชแ้ นวคิดเร่ืองสตรีนยิ มแตป่ ระกำรใด ซงึ่ อำจจะด้วยเหตุผลของควำมพึงใจ หรือ
ควำมรเู้ ทำ่ ไมถ่ งึ กำรณ์ต่อมิติทำงศำสนำในองค์รวมท่ีสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์ (วินัย) หรือกำรปกครอง
คณะสงฆก์ เ็ ปน็ ได้

นอกจำกน้ี ยังมีงำนของอีกหลำยท่ำนถึงไม่ได้ออกมำขับเคล่ือน หรือจัดวำงตัวตน ใน
ควำมเป็น “เพศ” กับมิติทำงศำสนำโดยตรง แต่ก็ได้ผลิตงำนวิจัย ที่สะท้อนแนวคิดสนับสนุนกำร
บวชในสังคมไทย โดยมีฐำนคิดจำก “สตรีนิยม” หรือ “เพศภำวะ”อยู่ในที ซึ่งเป็นกำรขับเน้นส่ิงท่ี

๕๙พระไพศำล วสิ ำโล ทำ่ นเห็นว่ำ “...กำรมภี ิกษณุ สี งฆ์ในระยะยำวน่ำจะเปน็ ผลดตี อ่ พระพทุ ธศำสนำ
นอกจำกจะชว่ ยส่งเสริมกำรศึกษำปฏิบตั ิทถี่ กู ต้องตำมหลกั พทุ ธศำสนำในหมฆู่ รำวำส โดยเฉพำะผู้หญิง รวมทง้ั ยก
คุณภำพชีวติ และสถำนภำพของผู้หญิงและนักบวชหญิงแล้ว ยังกระตุ้นให้คณะสงฆ์เกิดควำมตื่นตัวและปรับปรุง
ตนเพ่ือมิให้ด้อยกว่ำภิกษุณี..” พระไพศำล วิสำโล, แนวโน้มของพุทธศาสนาไทยในศตวรรษที่ ๒๑,
(กรงุ เทพมหำนคร: มลู นธิ ิสดศรี-สฤษดว์ิ งศ์, ๕๔ ), หน้ำ ๙ .

๐ดูแนววพิ ำกษเ์ กยี่ วสทิ ธิสตรกี บั กำรบวชในพระพทุ ธศำสนำ ตั้งแต่บทท่ี – ๕ ต้ังแต่แต่หน้ำ ๙ -
๐ ท่ีปรำกฏในงำนของพระมโน เมตตำนนฺโท, เหตุเกิด พ.ศ.๑ : เล่ม ๒ วิเคราะห์กรณีปฐมสังคายนาและ
ภกิ ษุณสี งฆ์, (กรงุ เทพมหำนคร : สำนักพมิ พพ์ ระอำทิตย,์ ๕๔๕), หนำ้ ๙ - ๐.

ดูแนวคิดตอ่ ส่ิงที่ท่ำนคดิ ในบทนำ พระมโน เมตตำนนฺโท. เหตุเกิด พ.ศ.๑ : เล่ม ๒ วิเคราะห์กรณี
ปฐมสงั คายนาและภกิ ษณุ สี งฆ์, (กรงุ เทพมหำนคร : สำนกั พิมพ์พระอำทติ ย์, ๕๔๕), หนำ้ .

งำนส่วนใหญ่ของอำจำรย์ในยุคหลัง ๆ จะเน้นหนักไปที่กำรขับเน้นภำพลักษณ์ของ
พระพุทธศำสนำต่อกำรมีส่วนร่วมของสตรีเพศอำทิในงำนวิจัย Chatsumal Kabilsingh, Thai Women in
Buddhism, (Berkly : Pollax Press, 1991).

คณำจำรย์มหำวิทยำลยั มหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลัย, ประวัตพิ ระพทุ ธศาสนา, (กรงุ เทพมหำนคร :
มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๕๕๐), หนำ้ .

๔ รายงานตรวจการคณะสงฆ์ของสมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, (สัมพันธ์
วงศำรำมรำชวรวิหำร พมิ พ์เป็นอนุสรณ์ ในกำรพระรำชทำนเพลิงศพ พระมหำรัชมังคลำจำรย์ (เทศ วิทยำนุกรณ์)
ณ เมรุหนำ้ พลับพลำอสิ รยิ ำภรณว์ ดั เทพศิรินทรำวำส พฤศจิกำยน ๕ ๐), หน้ำ ๘- ๙.



คำดหวัง บนควำมเสมอภำคทำงเพศ (Gender Inequality) ให้มีส่วนร่วมในทำงศำสนำ ดังปรำกฏใน
งำนของระเบยี บรตั น์ พงษพ์ ำณิชย์ ๕ พลเผ่ำ เพ็งวิภำศ พรหมโชติ ไตรเวช สุขใจ พุทธวิเศษ ๘
และประคอง สิงหนำทนิติรักษ์ ๙ สมชำย ไมตรี และคณะ ๐ รวมทั้งชุดเหตุผลในกำรตัดสินใจเข้ำสู่
กระบวนกำรบวชเป็นแม่ชีที่ปรำกฏในงำนประเสรฐิ ทองเกตุ เปน็ ต้น

โดยสรุปเป็นกำรสนับสนุนให้เกิดกำรสร้ำงพื้นที่ทำงศำสนำหรือกำรมีส่วนร่วมทำง
ศำสนำจะดว้ ยเหตุของควำมศรัทธำ กำรสร้ำงทำงเลอื ก และกำรเปิดโอกำสให้สตรีก็ตำม แต่ประเด็น
ทเ่ี กดิ ข้ึนในสงั คมไทยมุมหนึ่งเปน็ กำรสรำ้ งพื้นท่ีเฉพำะเพ่ือเรียกร้อง เลยไปถึงวิวำทกับกฎ ระเบียบ
บญั ญัตทิ ี่คณะสงฆส์ ว่ นใหญ่ “อ้ำง” อยู่ คือ “ธรรมวนิ ัย” ซึง่ ทำใหเ้ ห็นเป็นปรำกฏกำรณ์ทำงศำสนำท่ี

๕ แนวคิดท่ีปรำกฏในงำนวิจัยน้ีผู้วิจัยมองไปถึงควำมขัดแย้งต่อกลุ่มคิด กลุ่ม ) กลุ่มที่มีกำร
ถ่ำยทอดควำมรู้เกี่ยวกับภิกษุณี โดยมีรำกฐำนควำมคิดแบบปิตำธิปไตย ที่ยืนยันในอำนำจท่ีเหนือกว่ำของผู้ชำย
และคัดค้ำนกำรมีของภิกษุณี ) กลุ่มท่ีมีกำรถ่ำยทอดควำมรู้ เก่ียวกับภิกษุณีโดยกำรใช้ควำมรู้แบบสตรีนิยม ที่
เช่ือในศักยภำพที่เท่ำเทียมกันระหว่ำงชำยหญิงในด้ำนต่ำง ๆ และสนับสนุนให้มีภิกษุณี ) กลุ่มที่ไม่มีกำร
ถำ่ ยทอดควำมรู้เก่ยี วกับกำรสถำปนำภกิ ษณุ ีที่ชัดเจนว่ำมีรำกฐำนทำงควำมคิดแบบปิตำธิปไตยหรือสตรีนิยม กำร
ปะทะทำงควำมคิดปรำกฏอยู่ใน ๕ ประเด็น ได้แก่ ( ) พุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้ำ ( ) พระธรรมวินัย ( )
ควำมสำเร็จของกำรบวช (๔) สิทธิเสรีภำพและศักยภำพที่เท่ำเทียมระหว่ำงชำย-หญิง (๕) สภำพสังคมและกำร
ยอมรับของสงั คมไทย ดูรำยละเอยี ดเพ่มิ ใน ระเบียบรัตน์ พงษ์พำณิชย์, “กำรปะทะกันของควำมรู้ระหว่ำงปิตำธิป
ไตยกับสตรีนิยมต่อกำรสถำปนำภิกษุณีในประเทศไทย”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สตรีศึกษา),
(สำนกั บัณฑติ อำสำสมัคร, มหำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕๔ ), หน้ำ บทคดั ย่อ.

พลเผ่ำ เพ็งวิภำศ, “ศึกษำวิเครำะห์ประโยชน์จำกกำรมีภิกษุณีในสังคมไทย”, รายงานการศึกษา
อิสระปริญญาศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลยั ขอนแก่น, ๕๔๘), หน้ำ บทคดั ยอ่ .

พรหมโชติ ไตรเวช, “ทัศนคติต่อบทบำทของตนเอง ในกำรพัฒนำสังคมของแม่ชีไทย : ศึกษำเฉพำะ
กรณีจังหวัดรำชบุรี”, วิทยานิพนธ์สังคมศาสตรมหาบัณฑิต, ( คณะสังคมศำสตร์ : มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์,

๕ ๕).
๘ สุขใจ พุทธวิเศษ, “สถำนภำพและบทบำทของ แม่ชีในสังคมไทย ศึกษำกรณีวัดสร้อยทอง”,

วิทยานิพนธส์ งั คมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.), (บณั ฑิตวทิ ยำลัย : จฬุ ำลงกรณ์มหำวิทยำลยั , ๕ ).
๙ ประคอง สิงหนำทนิติรักษ์, บทบาทของแม่ชีไทยในการพัฒนาสังคม, (กรุงเทพมหำนคร :

คณะสงั คมสงเครำะห์ศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕ ).
๐ สมชำย ไมตรี, พระครูปลัดเช่ียว ชิตินฺทฺริโย, เสรี แก้ววรรณำ, การศึกษาความเป็นไปได้ของการ

บวชภิกษุณีในประเทศไทย : = A Study of feasibility of Bhikkhuni ordination in Thailand, (กรุงเทพมหำนคร
: สถำบันวจิ ยั พุทธศำสตร์ มหำวทิ ยำลัยมหำจฬุ ำลงกรณ์รำชวทิ ยำลัย, ๕๔ ).

ประเสริฐ ทองเกตุ, “เหตุผลของกำรตัดสินใจบวชชีและควำมต้องกำรกำรศึกษำของแม่ชีไทย”,
ปริญญานพิ นธก์ ารศึกษามหาบณั ฑติ , (บัณฑติ วิทยำลยั : มหำวทิ ยำลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๕ ๔).



หลำกหลำยมำกข้ึน กำรบวชของสตรีเพศท่ีไม่สังกัดคณะสงฆ์ไทย แต่อำศัยกำรตีควำมยึดอยู่กับ
หลกั กำรทำงพระพุทธศำสนำ หรือนิกำยนั้น ท้ังใช้แนวคิดควำมเป็นเพศ รวมทั้งหลักกำรที่ผ่ำนกำร
ตีควำมวำ่ กระทำได้ ดังกรณภี กิ ษุณีธรรมนันทำ หรอื กำรบวชในสังกัดมหำยำนของภิกษุณีนิรำมิสสำ
ในแบบมหำยำนเวียดนำมนิกำยเทียบหิน (ซึ่งอำจรวมไปถึงนักบวชหญิง “สิกขมำตุ” แห่ง
สนั ติอโศก และนักบวชหญิงในสถำนะของแม่ชีทีม่ ีอยใู่ นสังคมไทยเดิมด้วย) กำรบวชเหล่ำน้ีจะด้วย
ข้ออ้ำงหรือแนวคิดใดก็ตำม แต่แนวปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทย ก็มองว่ำไม่มี “ธรรมเนียม” ปฏิบัติ
หรือกำรบวช “ของภิกษุณีเถรวำท” ไม่ปรำกฏหลักฐำนถึงควำมสืบต่อของสำยเถรวำทท่ีชัดเจน
คณะสงฆ์ไทย จึงไม่ยอมรับกำรบวชของสตรีกลุ่มนี้ ซึ่งอำจยอมรับเพียงกำรบวชในสำยของ
มหำยำนแต่ก็เป็นคณะสงฆ์ของมหำยำน ไม่ใช่เถรวำท หรือกำรบวชของคณะสงฆ์ศรีลังกำ
กรณีของฉัตรสุมำลย์ กบิลสิงห์ แต่ก็ไม่ใช่คณะสงฆ์ไทยแต่ประกำรใด แม้กำรบวชเหล่ำนี้จะไม่
ปรำกฏเปน็ กำรยอมรบั ในเชงิ หลักกำร และกำรปฏิบัติ แต่ในเชิงสังคม และปรำกฏกำรณ์ทำงสังคม
ได้กลำยเป็นควำมเคล่ือนไหวผ่ำนแนวคิด และพฤติกรรมแห่งเพศในมิติของพระพุทธศำสนำ ดัง
พัฒนำกำรท่ีปรำกฏในงำนของแม่ชีกฤษณำ รักษำโฉมที่ให้ข้อมูลถึงพัฒนำกำรทำงด้ำนภิกษุณีใน
ประเทศไทยไว้อยำ่ งนำ่ สนใจว่ำ ๔

ประเทศไทย ได้มีสตรีไทยไปบวชเป็นภิกษุณีท่ีประเทศศรีลังลำ แล้วกลับมำอยู่ประเทศ
ไทย ๕ กลุ่ม คือ . กล่มุ จังหวัดนครปฐมมี ประมำณ ๔ รูป .กลมุ่ จังหวดั เชยี งใหม่ มีภิกษุณี

๕ รูป . กลุ่มจังหวัดระยองมี รูป ๔. กลุ่มจังหวัดยโสธร มี รูป ๕. กลุ่มจังหวัด
สมุทรสำครมี รูป ผูเ้ ขียนได้เห็นพัฒนำกำรของกลุ่มจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งพัฒนำไปได้อย่ำง
รวดเร็ว ภิกษุณีกลุ่มเชียงใหม่นี้อดีตเป็นแม่ชีมีสำนักของตัวเอง ช่ือว่ำ สำนักนิโรธำรำม

กำรบวชของภกิ ษณุ สี ำยตำ่ ง ๆ ในประเทศไทย ทง้ั จำกศรลี ังกำ จนี ไต้หวัน มีข้อมูลว่ำมีจำนวนถึง
๐๐ รูป เพิ่มเตมิ จำก ฉตั รสุมำลย์, สืบสานและเติมเต็ม เรื่องราวของภิกษุณีวันวาน และวันนี้, (เชียงใหม่ : วนิดำ
เพลส, ๕๕ ), หนำ้ ๕.

ประเด็นนี้ ธรรมนันทำภิกษุณี (ฉัตรสุมำลย์ กบิลสิงห์) กล่ำวอ้ำงเป็นประเด็นโต้แย้งด้วยเช่นกัน
ในกำรไม่ให้อยู่ภำยใต้กำรควบคุมของสำนักงำนพระพุทธศำสนำ กรณีกำรที่สำนักงำนพระพุทธศำสนำเข้ำไป
ควบคมุ โดยองิ อำศัยกฎหมำยคณะสงฆ์ แต่เปน็ กฎหมำยคณะสงฆ์ไม่ใช่ภิกษุณี รวมไปถึงแนวคิดในเรื่องกฎของ
สมเด็จพระสังฆรำชที่ออกตั้งแต่ พ.ศ. ๔ ๔ ก่อนเปล่ียนแปลงกำรปกครอง และเป็นประชำธิปไตยแล้ว พร้อม
กฎนัน้ ออกสำหรับสำระ และจงดี ท่ีไม่ได้เกยี่ วกับปจั จุบัน และกฎหมำยมีกำรเปล่ียนแปลงเป็นประชำธิปไตยแล้ว
ดรู ำยละเอียดใน ฉตั รสมุ ำลย,์ สบื สานและเตมิ เต็ม เรื่องราวของภิกษุณวี นั วาน และวันน้ี, หน้ำ -๘๙.

๔ดร.แม่ชีกฤษณำ รักษำโฉม ( ๕๕ ) ''ร่องรอยภิกษุณีในประเทศไทย'' [ออนไลน์] แหล่งท่ีมำ :
http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1019&articlegroup_id=155, ( พ.ย. ๕๕ ).



จังหวัดเชียงใหม่ หลังจำกน้ันไปบวชจำกประเทศศรีลังกำเม่ือ ค.ศ. ๐๐๘ บวชท้ังหมด ๕
ท่ำน ปัจจุบันนี้ในสำนักนิโรธำรำม มีภิกษุณี ๕ รูป สำมเณรี ๐ รูป พระสงฆ์ในเชียงใหม่
ยอมรับในกำรบวชเป็นภิกษุณีของกลุ่มภิกษุณีเชียงใหม่ ภิกษุณีท่ีเป็นเจ้ำอำวำสชื่อว่ำ ภิกษุณี
นันทญำณี สอนวิปัสสนำกรรมฐำน มีประชำชนศรัทธำพอสมควร ประเทศไทยเป็น
เถรวำท กำรท่ีจะให้พระสงฆ์ยอมรับกำรบวชเป็นภิกษุณีน้ันยำกมำก สตรีท่ีอยำกจะบวชใน
ประเทศไทยจงึ ต้องบวชเป็นแม่ชี

คำร์ล มำร์ก (Karl Mark พ.ศ. - ๔ ) ผู้เขียนหนังสือชื่อ Communist
Menifesto เร่ิมประโยคแรกในหนังสือของเขำว่ำ “ประวัติศำสตร์ของสังคมมนุษย์ตั้งแต่อดีต จนถึง
ปัจจุบัน เป็นประวัติศำสตร์ของกำรต่อสู้ระหว่ำงชนชั้น” ทุกสมัยต้องมีกำรต่อสู้ระหว่ำงชนช้ัน
เพรำะมผี กู้ ดขีแ่ ละผ้ถู กู กดขี่ ทฤษฎขี องคำร์ล มำร์กจงึ เป็นกำรวเิ ครำะห์ควำมสมั พันธเ์ ชิงลบท่ีขัดแย้ง
กันของคนสองกลมุ่ ในทุกสงั คมในประวตั ิศำสตร์ ๕

หำกนำแนวคิดดังกล่ำวมำอธิบำยปรำกฏกำรณ์ของสตรีในสังคมไทย คงไม่ได้เฉพำะมิติ
ทำงศำสนำ แตค่ งหมำยถงึ ท้ังในส่วนของอำชีพ รำยได้ กำรศึกษำ และกฎหมำย เป็นต้น แต่ผลของ
กำรเรียกร้องหรือแสวงหำน้ัน มุมหนึ่งได้รับกำรตอบรับ ยินยอม แต่อีกมุมหนึ่งเป็นควำมขัดแย้ง ตี
โต้ และวิพำกษ์ในวงกว้ำง แต่ท้ังนั้น บทสรุปของกำรวิพำกษ์จะไปสู่ข้อเรียกร้องเพื่อให้ได้มำ หำก
มองผำ่ นแนวคดิ ของเฟร็ดดรซิ แอเกิล (Fridrich Angle) ว่ำเปน็ “ควำมไม่เสมอภำคทำงเพศ” หรือ
ค่ำนิยม ซึ่งแนวคิดเหล่ำน้ีจึงเป็นเหตุ และผลนำไปสู่ควำมเป็นเพศหรือสตรีนิยมท่ีจะถูกนำมำใช้

๕สภุ ำงค์ จันทวำนิช, ทฤษฎีสงั คมวทิ ยา, (กรงุ เทพมหำนคร: จฬุ ำลงกรณ์มหำวิทยำลัย, ๕๕ ), หน้ำ ๐.
เร่ืองเดียวกนั , หน้ำ ๙๔-๙๕.
แนวคิดเร่ืองค่ำนิยมปรำกฏในงำนของ เคต เมอร์เรย์ (Kate Murray Millett ค.ศ.1934-) นัก
เรยี กรอ้ งสิทธิสตรีชำวอเมรกิ ัน ผู้มีอำชพี เป็นนักเขียนและเป็นประติมำกร ได้เขียนหนังสือชื่อ Sexual Politics ให้
แนวคิดว่ำ ควำมแตกต่ำงทำงร่ำยกำยของหญิงกับชำยนำไปสู่ควำมแตกต่ำงในบทบำททำงเพศ ท่ีผู้ชำยมีควำม
เหนือกว่ำและผู้หญิงมีควำมด้อยกว่ำ แต่ “ควำมเหนือกว่ำของผู้ชำย...ไม่ได้อยู่ท่ีควำมแข็งแรงของผู้ชำย แต่อยู่ที่
กำรยอมรับของระบบค่ำนิยม” รำยละเอียดเพ่ิมใน อภิชำ ภำอำรยพัฒน์, มหากษัตริย์อาณาจักรอียิปต์ : พระนาง
แฮตเซปซุต , (กรุงเทพมหำนคร : บรษิ ัท ครเี อทีฟ คอรเ์ นอร์ จำกัด, ๐๐ ), หนำ้ ๙.

๕๔

ในกำรรื้อปรับ ๘ สร้ำงพื้นท่ี พร้อมคำอธิบำยร่วมต่อปรำกฏกำรณ์ของสตรีต่อศำสนำในอีกมิติหน่ึง
ด้วยเช่นกัน ซ่ึงกรอบคิดน้ีจะใช้มองปรำกฏกำรณ์ของ “ผู้หญิง” ในกำรมีส่วนร่วมต่อศำสนำใน
สังคมไทย ซึง่ จะไดท้ ำกำรศึกษำตอ่ ไป

๒.๒.๓ แนวคิดทฤษฎีปรากฏการณ์ (Phenomenology Theory)
แนวคิดแบบปรำกฏกำรณ์วิทยำ (Phenomenology) หมำยถึง กำรศึกษำโดยวิธีกำรให้
บุคคลอธบิ ำยเรอื่ งรำวและประสบกำรณ์ต่ำง ๆ ท่ีตนเองประสบมำ โดยมีฐำนควำมคิดว่ำ มนุษย์จะรู้
ดีในเร่ืองท่ีตนเองมีประสบกำรณ์มำก่อน โดยกำรรับรู้และรู้ควำมหมำยในขณะที่มีสติสัมปชัญญะ
นักวิจัยจะสนใจศึกษำว่ำ มนุษย์แต่ละคนผ่ำนประสบกำรณ์ชีวิตมำอย่ำงไรบ้ำง และมีปรำกฏกำรณ์
อะไรท่สี ะสมให้เขำสร้ำงโลกของควำมจริงของเขำอยำ่ งไร ซึ่งควำมจริงในที่นี้เป็นเพียงควำมนึกคิด
ของแต่ละบุคคล ส่ิงใดท่ีเขำตีควำมว่ำสำคัญ สิ่งน้ันคือควำมจริงสำหรับเขำ ดังนั้น จึงจำเป็นต้อง
ศึกษำในเนื้อหำว่ำบุคคลเหล่ำน้ันได้รับประสบกำรณ์อะไรและตีควำมกับสภำพกำรณ์น้ันอย่ำงไร
ซึ่งประสบกำรณ์ของบุคคลหน่ึงสำมำรถเป็นประสบกำรณ์ร่วมกันกับบุคคลอ่ืนได้ กำรศึกษำแบบ
ปรำกฏกำรณ์วิทยำสำมำรถจำแนกได้ แนวทำงใหญ่ ๆ ๙คือ ประสบกำรณ์ของบุคคลคืออะไร
และบุคคลน้ันให้ควำมหมำยต่อโลกและประสบกำรณ์ของเขำอย่ำงไร และเรำจะสำมำรถรู้ได้ว่ำ
ประสบกำรณ์ของบคุ คลอ่ืนเป็นประสบกำรณท์ ี่เรำไปรับรู้ได้อย่ำงไร วิธีกำรศึกษำสำมำรถแบ่งออก
ได้ ประเภท คือ๘๐

. ปรำกฏกำรณ์วิทยำในเชิงศำสตร์แห่งกำรตีควำม เป็นกำรศึกษำประสบกำรณ์ตรง
ของบุคคล ให้ควำมสนใจเกี่ยวกับควำมรู้สึกและสิ่งแวดล้อมของบุคคล ค้นหำประเด็นเน้ือหำ
ทำงด้ำนวัฒนธรรมของมนุษย์ ควำมสัมพันธ์ของปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลที่อยู่ในเหตุกำรณ์จะ
สะท้อนควำมรู้สึกในเหตุกำรณ์น้ัน ๆ ออกมำ กำรวิเครำะห์จะมุ่งเจำะหำควำมหมำยและควำมรู้สึก
นึกคดิ ของบคุ คลที่มีตอ่ เหตกุ ำรณ์น้ันเป็นกำรเฉพำะ

๘ แนวคิด Deconstruction หรือแนวคิดในกำรร้ือปรับควำมเช่ือทำงโครงสร้ำงบำงอย่ำง โดยมี
เป้ำหมำย และควำมหมำยเพอ่ื นำไปสู่ควำมจรงิ อันเป็นเปำ้ หมำยสงู สดุ ในทำงพระพุทธศำสนำ ไม่ใช่ถือมำยำคติที่
เจือปนอยู่ในพระพุทธศำสนำ กำรนำเสนอแนวคิดนี้ผู้เสนอพยำยำมท่ีจะมุ่งมองเพื่อให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงไปสู่
ควำมจริง ต่อกำรบวชภิกษุณีในสังคมไทย หรือในควำมหมำยให้สตรีมีศักด์ิศรีแห่งควำมเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่จะ
เขำ้ ถึงธรรมด้วยตนเองไมใ่ ช่กำรร้องขอ หรือกำรแสวงหำผู้อื่น เพศอ่ืน ดูรำยละเอียดแนวคิดจำก ฉัตรสุมำลย์, สืบ
สานและเติมเต็ม เร่ืองราวของภกิ ษุณวี นั วาน และวันนี้, หนำ้ - .

๙กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, การวิจัยเชิงคุณภาพในสวัสดิการสังคม : แนวคิดและวิธีวิจัย,
(กรงุ เทพมหำนคร : สำนักพมิ พม์ หำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕๔ ), หน้ำ ๙.

๘๐เรอื่ งเดียวกนั , หน้ำ .

๕๕

. ปรำกฏกำรณ์วิทยำเชิงประจักษ์ เป็นกำรศึกษำแนวคิดและกระบวนกำรในด้ำน
ควำมรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับมนุษย์ กำรสะท้อนควำมรู้สึก ควำมคิด และประสบกำรณ์ชีวิตที่ผ่ำนมำ เป็น
กำรค้นหำพฤติกรรมของบคุ คลทแี่ สดงออกมำโดยตรง

. ปรำกฏกำรณ์วิทยำแนวกำรสืบค้นด้วยตนเอง เป็นกำรศึกษำเพ่ือหำควำมหมำยใน
ปัญหำท่ีน่ำสนใจ เพ่ืออธิบำยว่ำทำไมมนุษย์จึงมีพฤติกรรมเช่นน้ัน หรือทำไมจึงเกิดปัญหำเช่นนั้น
โดยทั่วไปผวู้ ิจยั จะตอ้ งมคี วำมเกี่ยวข้องใกลช้ ิดกับประสบกำรณ์ของบคุ คลเหล่ำนัน้

ปรำกฏกำรณ์วิทยำ มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ กำรค้นหำประเด็นปัญหำและกำรให้
ควำมหมำย จำกประสบกำรณ์ตรงของบุคคลผู้ให้ข้อมูลหรือผู้มีส่วนร่วมในกำรวิจัยเพ่ือค้นหำส่ิงท่ี
ยังไม่มีใครเคยตอบมำก่อน ไม่ใช่กำรอธิบำยสำเหตุ หรือควำมสัมพันธ์ของตัวแปรต่ำง ๆ ผู้วิจัยต้อง
มีกำรศึกษำหำควำมรู้ในด้ำนต่ำง ๆ เพ่ือให้เข้ำใจองค์ประกอบที่เก่ียวข้องจะทำให้กำรสัมภำษณ์
ครอบคลุมประเด็นต่ำง ๆ มำกท่ีสุด กำรวิเครำะห์ข้อมูลจะทำกำรจัดหมวดหมู่ของข้อมูลเพื่อหำ
ควำมหมำยและคำตอบของสิ่งทตี่ ้องกำรศึกษำ

แนวคิดปรำกฏกำรณ์นิยมเป็นกำรศึกษำที่ว่ำด้วย “สิ่งต่ำง ๆ หรือกำรกระทำต่ำง ๆ ท่ี
มนุษย์เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ตำมหลักของเหตุผลโดยอิงอยู่กับฐำนเกิดคือจิต” ซึ่งเอ็ดมุนด์ ฮัสเสิร์ล
(ค.ศ.1895-1933) ชำวเยอรมันเป็นผู้นำทำงควำมคิดน้ี โดยให้ควำมสำคัญต่อกระบวนกำรทำงจิต
หรือปัญญำของมนุษย์มำกท่ีสุด...คือศึกษำสำระสำคัญหรือควำมหมำย หรือกำรกระทำต่ำง ๆ ท่ี
มนุษย์เป็นผู้ให้ ปรำกฏกำรณ์นิยมไม่ใช่ประจักษ์นิยม แต่เป็นกระบวนกำรพิจำรณำหรือกำรศึกษำ
คน้ ควำ้ ตำมหลักเหตผุ ลถือว่ำ จติ เปน็ ต้นกำเนดิ ของควำมคดิ โดยไม่อำศยั สภำพแวดล้อม...”๘

แนวคิดน้ีเมื่อนำมำเป็นกรอบในกำรมองพัฒนำกำรทำงสังคมและศำสนำ ในประเทศ
ไทยจะมองเห็นพลวัฒน์ของขบวนกำรที่นับเน่ืองต่อพระพุทธศำสนำในสังคมไทย อำทิ
ปรำกฏกำรณ์กำรขับเคลื่อนด้วยเพศวิถี วัตถุมงคลกำรระดมทุนแบบชำวพุทธ รวมไปถึงกำร
แสวงหำคำตอบต่อพระพุทธศำสนำใหม่ที่ละเลยวิถีปฏิบัติตำมแนวจำรีต อย่ำงสวนโมกข์
สันติอโศก และธรรมกำย หรือกลุ่มอ่ืนใด ซ่ึงเหตุกำรณ์เหล่ำนี้เป็นปรำกฏกำรณ์ท่ีสัมผัสได้ด้วย
เหตผุ ลเชิงประจักษท์ ่ปี รำกฏผ่ำนกำรรับรู้ได้ในสังคมไทย

ในหลำย ๆ เหตุกำรณ์ของพระพุทธศำสนำ ที่ปรำกฏขึ้นต่ำงกรรมต่ำงวำระกัน ท้ังยังมี
ผลเป็นกำรขบั เคลอื่ นต่อพระพุทธศำสนำในภำพรวม เป็นปรำกฏกำรณ์ทำงสังคม ที่มีเหตุและปัจจัย

๘ สนธยำ พลศรี, หลักสังคมวิทยา=Principle of Sociology, (กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์,
๕๔๕), หน้ำ ๙ .



เกิดข้นึ ในตัวของมันเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “ปฏิจจสมุปบำท” ๘ ในพระพุทธศำสนำ ที่หมำยถึง
ว่ำปจั จยั ตำ่ ง ๆ มสี ่วนเก้ือหนุนให้เกิดกำรขับเคล่ือนอย่ำงมีนัยยะสัมพันธ์ ต่อเนื่อง เป็นระบบ ไม่มี
สง่ิ ใดทเ่ี กดิ ข้ึนมำลอย ๆ โดยไมม่ ีเหตุมผี ล นับเปน็ ปรำกฏกำรณ์ของสิง่ มชี ีวติ และมนษุ ย์โดยรวม

. .๔ ฆราวาสนิยม (Secularism)

ฆราวาสนิยม (Secularism) คือ แนวปรัชญำที่ว่ำด้วยสถำบันกำรปกครองหรือสถำบัน

กำรเมือง หรอื สถำบันในรูปอ่ืน ท่ีจะเป็นอิสระจำกอำนำจกำรควบคุมของสถำบันศำสนำ และหรือ

ควำมเชือ่ ทำงศำสนำ

ในแงห่ นึง่ สถำบนั ทีด่ ำเนนิ นโยบำย “ฆรำวำสนิยม” ก็จะเป็นสถำบันที่ถือนโยบำยควำม

เปน็ กลำงทำงด้ำนควำมเชื่อทำงศำสนำของประชำชนและ/หรือผู้อยู่ใต้กำรปกครอง ท่ีจะดำเนินกำร

ปกครองทเี่ ปน็ อิสระจำกกฎและคำสอน หรือ ควำมเชื่อทำงศำสนำ, ท่ีจะไม่ใช้อำนำจตำมหลักควำม

เช่ือทำงศำสนำในกำรบังคับประชำชน และท่ีไม่มีกำรมอบสิทธิพิเศษหรือให้กำรช่วยเหลือแก่

สถำบันศำสนำ หรือในอีกแง่หนึ่ง “ฆรำวำสนิยม” หมำยถึง มุมมองที่เกี่ยวกับกิจกรรมและกำร

ตดั สินใจของมนษุ ย์ โดยเฉพำะกิจกรรมและกำรตัดสินใจทำงกำรเมือง ว่ำควรต้ังอยู่บนพ้ืนฐำนของ

ขอ้ เทจ็ จริงโดยปรำศจำกอคติจำกอิทธิพลทำงศำสนำ

ฆรำวำสนิยมในรูปแบบที่แท้จริงแล้ว จะติเตียนควำมอนุรักษ์นิยมของศำสนำและมี

ควำมเห็นว่ำ ศำสนำเป็นอุปสรรคต่อควำมก้ำวหน้ำของมนุษย์ เพรำะเป็นสิ่งท่ีเน้นควำมเชื่องมงำย

และ สิทธันต์ (dogma) เหนือเหตุผลและกระบวนกำรในสิ่งที่พิสูจน์ได้ (scientific method) พ้ืนฐำน

ของปรัชญำฆรำวำสนิยมมำจำกหลักกำรคิดของนักปรัชญำกรีกและโรมัน เช่น มำร์คัส ออเรลิอัส

และ เอพิคำรัส, จำกผู้รู้รอบด้ำนของปรัชญำมุสลิมของยุคกลำง เช่น อิบุน รัชด์ (Ibn Rushd, Averroes),

จำกแนวคิดของยุคเรืองปัญญำเช่น เดอนีส์ ดิเดอโรต์ (Denis Diderot; ค.ศ. 1713 - 1784), วอลแตร์

(Voltaire; พ.ศ. - ), จอห์น ล็อก, เจมส์ แมดิสัน (James Madison),ทอมัส เจฟเฟอร์

สัน (Thomas Jefferson) และทอมัส เพน (Thomas Paine พ.ศ. ๘๐–พ.ศ. ๕ ) และจำกนักคิด

เสรี, นักอไญยนิยม หรือนักอเทวนิยม เช่น เบอร์ทรำนด์ รัสเซิลล์ (Bertrand Russell; พ.ศ. ๔ ๕ -

พ.ศ. ๕ ) เปน็ ตน้

สำหรับแนวคิดน้ีจะทำให้เห็นว่ำ ปรำกฏกำรณ์ทำงพระพุทธศำสนำท่ีเกิดขึ้น ผ่ำนกำร

ตีควำมและให้คำอธิบำยโดยสัมพันธ์กับควำมเป็นมนุษย์แบบฆรำวำส ท่ีอำจไม่ได้มุ่ งไปที่

เจตนำรมณ์หรือเป้ำหมำยทำงศำสนำ แต่ถูกนำมำปรับใช้เพื่อกำรดำเนินชีวิตในแบบฆรำวำส ท่ีอำจ

๘ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ,
(กรุงเทพมหำนคร : บริษัท เอส.อำร์.พร้ินตงิ้ แมส โปรดักส์ จำกัด, ๕๕ ), หนำ้ ๕ - ๕๕.



ต้องกำรข้ำมพ้นควำมเป็นศำสนำไป แต่สัมพันธ์อยู่กับควำมเป็นมนุษย์และคุณค่ำของกำรใช้และ
ดำเนินชวี ิตมำกกวำ่

๒.๒.๕ แนวคดิ ปัจเจกนยิ ม (Individualism)
พระพุทธศำสนำมีแนวคิดควำมเป็น “ปัจเจก”ที่สัมพันธ์กับโลกทัศน์ของ
พระพุทธศำสนำ ท่ีจะเป็นลักษณะในกำรเรียนรู้และศึกษำเพื่อไปสู่เป้ำหมำยทำงพระพุทธศำสนำ
ส่วนในขอบเขตน้ี ต้องกำรศึกษำ นำเสนอควำมเป็นปัจเจกของคณะ บุคคล ที่จะเข้ำมำรับ ควำมรู้
จำกพระพุทธศำสนำ ในสภำพเฉพำะทั้งกำรศึกษำและกำรปฏิบัติ ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ
กฤษณะ มูรติท่ีมองว่ำ “ปัจเจกบุคคลเท่ำน้ันท่ีสำมำรถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่มวลชน”๘ และใน
ควำมหมำยนี้สัมพันธ์กับแนวคิดของกำรแสวงหำอิสรภำพจำกกำร “บีบคั้น” ผ่ำนศำสนำ ควำมเช่ือ
กฎระเบียบ และกำรหล่อหลอมทำงสังคม๘๔ แนวคิดควำมเป็นปัจเจกย่อมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
และกำรกระทำต่อสมำชกิ ในทุก ๆ สงั คมอยำ่ งทปี่ รำกฏ
หำกดูแนวคิดเก่ียวกับชำวพุทธ ''Celeb-Buddhism ๘๕จะพบว่ำ ควำมเป็นปัจเจกท่ีอำศัย
ควำมพึงพอใจเฉพำะ เป็นตัวอธิบำยกำรแสวงหำประโยชน์จำกศำสนำในมุมท่ีตนเองต้องกำร โดย
ยึดอยู่กับแนวคัมภีร์ด้ังเดิมหรอื เป้ำหมำยสูงสุดในพระพุทธศำสนำ มุมหนึ่งชำวพุทธแนวปัจเจกจะมี
กำรแสวงหำ ที่เฉพำะกลุ่ม มีพื้นฐำนของควำมพึงใจเฉพำะเป็นกรอบ เช่น วัดเฉพำะ กลุ่มเฉพำะ
แนวปฏิบัติเฉพำะ หรือกิจกรรมเฉพำะ แต่ในเวลำเดียวกันยังคงเกำะเกี่ยวอยู่กับพระพุทธศำสนำใน
ภำพรวมทอ่ี ำจมีพระสงฆ์ คำสอน แนวปฏิบัติ พิธกี รรม เป็นต้น
ดังทัศนะของพระมหำหรรษำ ธมฺมหำโส ท่ีมองผ่ำนลักษณะเฉพำะท้ังในด้ำนตัวบุคคล
กลุม่ ทำงพระพุทธศำสนำทว่ี ่ำ

กำรแบ่งพระพุทธศำสนำออกเป็นประเภทหรือรูปแบบต่ำง ๆ เช่น แนวคิดกำรแบ่ง
ประเภทของพระพุทธศำสนำแบบ “TIPE” กล่ำวคือ พระพุทธศำสนำแบบคัมภีร์ (T:Textual
Buddhism) พระพุทธศำสนำแบบปัญญำ (I: Intellectual Buddhism) พระพุทธศำสนำแบบ
ปฏิบัติ (P: Practical Buddhism) และพระพุทธศำสนำเพ่ือสังคม (E: Engaged
Buddhism) นอกจำกนี้ ได้มีกำรอธิบำยพระพุทธศำสนำในรูปแบบอ่ืนๆ เช่น

๘ กฤษณะมูรติ, ปัจเจกชนและสังคมเล่ม ๑ : พันธนาการแหง่ การครอบงาข้อความคัดสรรเพื่อการศึกษา
คาสอนของกฤษณะมรู ติ, จำรสั บำรงุ รตั น์ แปล, (กรุงเทพมหำนคร : มูลนธิ อิ นั วีษกณำ, ๕๔ ), หนำ้ ๕ .

๘๔ เรื่องเดียวกัน,หน้ำ ๕ .
๘๕ พระมหำหรรษำ ธมฺมหำโส,ผศ.ดร. ''Celeb-Buddhism: พระพุทธศาสนาเพ่ือชุมชนคนเซเลป''
[ออนไลน์],แหลง่ ทม่ี ำ : http://www.komchadluek.net, ( ๙ มกรำคม ๕๕๕) .

๕๘

พระพุทธศำสนำแบบด้ังเดิม (Early Buddhism) พระพุทธศำสนำแบบชำวบ้ำน (Local
Buddhism) และพระพุทธศำสนำแบบสเี ขยี ว (Green Buddhism)

ในค วำ ม เฉพ ำ ะ เหล่ ำนี้ก ล ำ ย เป็นเงื่ อนไ ขใ นก ำ ร ใ ช้พ ระ พุ ท ธ ศำ ส นำ ใ ห้ เป็ นไ ป ตำ ม
“จรติ ”๘ ท่ีอิงอยู่กับควำมพงึ ใจเฉพำะ ในมมุ ทตี่ วั เองต้องกำร เท่ำกับใช้ควำมเช่ือมำกกว่ำเหตุผลหรือ
ปัญญำ (กำลำมสูตร)๘ ทำให้เกิดกำรปฏิบัติที่ผิดธรรมเนียม หลำกหลำย เช่นพระภิกษุสงฆ์ในครั้ง
พทุ ธกำล ที่ปฏิบัติผิด จนเป็นเหตุให้เกิดกำรบัญญัติวินัย๘๘ ท่ีเกิดขึ้นจำกกำรตีควำม “พระธรรมวินัย”๘๙
ท่ีแตกต่ำงจนนำไปสู่กำรสังคำยนำ๙๐ ในควำมหมำยน้ี สะท้อนให้เห็นว่ำ ควำมเป็นปัจเจก เป็น
เงื่อนไขแห่งกำรปฏิบัติทำงพระพุทธศำสนำ ท่ีผู้ใดกระทำพึงได้แก่ผู้นั้น แต่ในเวลำเดียวกันควำม
เป็น “ปัจเจก” ได้ถูกนำมำนิยำมในกำร “เข้ำถึง” พระพุทธศำสนำ ในแบบที่ต้องกำรไปด้วย ซึ่ง
เปน็ ไปตำมสภำพเง่ือนไขและข้อจำกดั ของแตล่ ะคนไป

ดังน้ันสภำพควำมเป็นปัจเจกเหล่ำนี้ย่อมมีควำมหมำย ที่จะใช้อธิบำยเสริมควำมว่ำ ด้วย
สภำพกำรท่ีเฉพำะทั้งในเชิงบุคคล จริต แนวปฏิบัติ ทำให้ชำวพุทธกลุ่มต่ำง ๆ ศึกษำ
พระพุทธศำสนำ ภำยใต้เงื่อนไขอันเป็นปัจเจกเฉพำะนั้น ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นปรำกฏกำรณ์ที่
หลำกหลำยเฉพำะ ซึ่งจะไดท้ ำกำรศึกษำในบทตอ่ ไปในกลุม่ ของพระพทุ ธศำสนำดงั กลำ่ ว

๒.๒.๖ แนวคดิ ทุนนิยม/นยิ มทุนแนวพุทธ(Buddhist Capitalism)
แนวคิดทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีมีผลิตภัณฑ์ และสินค้ำ มีกำร
จำหน่ำย แลกเปลี่ยนซ้ือขำยโดยทำงเอกชน บริษัท หรือกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้ำงผ ลกำไร ให้กับ
หน่วยงำน โดยกำรแลกเปล่ียนสินค้ำและกำรบริกำร ท่ีมีกำรรองรับทำงกฎหมำย และมีกำรแข่งขัน
ในทำงกำรค้ำเพอื่ ทำกำไรสูงสดุ

๘ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, หน้ำ ๘๘- ๘๙.
๘ องฺ.ทกุ .(ไทย) ๐/ / ๕๕- ๔.
๘๘ วิ.มหำ.(ไทย) / ๙/ (แนวคิดในกำรบัญญตั วิ นิ ัย).
๘๙อนุบัญญัติ มีฐำนเกิดจำกกำรตีควำม และควำมเข้ำใจท่ีคลำดเคลื่อนต่อบัญญัติ จึงนำไปสูเกณฑ์
วินิจฉัยบัญญัติในหลำย ๆ เหตุกำรณ์ท่ีปรำกฏในพระไตรปิฎก รวมถึงกำรตีควำมของพระเทวทัตนำไปสู่กำร
แตกแยกของสงฆ์ [วิ.จู.(ไทย) / ๔ / ๙ ] กำรตีควำมของพระภิกษุชำวโกสัมพี วิ.ม. (ไทย) ๕/๕๕ -๕๕ /
- ๔ เปน็ ต้น.
๙๐ กำรสงั คำยนำทกี่ ระทำโดยพระสำรบี ตุ ร มีเป้ำหมำยเพ่ือรวบรวมคำสอนและป้องกันกำรแตกแยก
โดยดูตัวอย่ำงจำกนิครนนำฎบุตร ท่ีส้ินชีวิตแล้วศิษย์ในชั้นหลังแตกแยกกัน ไม่สำมำรถชี้ชัดได้ว่ำสิ่งใดเป็นคำ
สอนของศำสดำ หรอื ไมใ่ ช่ รำยละเอยี ดใน ที.ปำ. (ไทย) / ๙ - ๔๙/ ๔ - และกำรสังคำยนำภำยหลัง
พุทธปรนิ พิ พำน; วิ.จู. (ไทย) /๕๕๔/ ๙๐.

๕๙

เป็นทฤษฎีท่ีถูกพัฒนำขึ้นในยุคคริสต์ศตวรรษท่ี ๘, ๙ และ ๐ ในสภำพแวดล้อม
ต่ำง ๆ ยกตวั อย่ำงเช่น กำรปฏิวัติอุตสำหกรรมและลัทธิจักรวรรดินิยมของยุโรป (เช่น แอดัม สมิท,
รคิ ำร์โด, มำร์กซ) ภำวะตกต่ำครั้งยง่ิ ใหญ่ หรือ The Great Depression (เช่น เคนส์), และสงครำมเย็น
(เช่น ฮำเย็ค, ฟรีดแมน) นักทฤษฎีเหล่ำน้ีกล่ำวว่ำ ทุนนิยม คือ ระบบที่ให้คุณค่ำกับกำรที่รำคำถูก
ตัดสินในตลำดเสรี คือกำรค้ำที่เป็นผลมำจำกกำรตกลงด้วยควำมสมัครใจของผู้ซ้ือและผู้ขำย
ควำมคิดเชิงตลำด จิตวิญญำณของผู้ประกอบกำร และควำมเข้ำใจเกี่ยวกับทรัพย์สินและสัญญำที่
ชัดเจนและบังคับได้ตำมกฎหมำย ทฤษฎีเหล่ำน้ีโดยท่ัวไปจะพยำยำมอธิบำยว่ำ ทำไมทุนนิยมจึงมี
แนวโน้มท่ีจะสร้ำงกำรเจริญเติบโตทำงเศรษฐกิจ มำกกว่ำในระบบอื่นๆ ที่รัฐบำลเข้ำมำมีบทบำท
จัดกำรในระดับท่ีสูงกว่ำ มีหลำยทฤษฎีเน้นว่ำ สิทธิกำรถือครองส่วนบุคคลของทุน คือ แก่นของ
ระบบทุนนิยม ในขณะท่ีบำงทฤษฎีเน้นให้เห็นถึงควำมสำคัญของตลำดเสรี ที่เป็นกลจักรท่ีทำให้
เกิดกำรเคล่ือนย้ำยและสะสมตัวของทุน บำงทฤษฎี ช้ีว่ำกำรขยำยตัวของระบบกำรค้ำระหว่ำง
ประเทศ และบำงทฤษฎีสนใจผลของตลำดต่อแรงงำนมนุษย์ ทฤษฎีที่กล่ำวมำหลำยทฤษฎีได้
ช้ีให้เห็นถึงแนวปฏิบัติทำงเศรษฐกิจหลำยๆ แนวได้ถูกทำให้เป็นสถำบันในยุโรประหว่ำงช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ ถึง ๙ ที่สำคัญ เช่น สิทธิของบุคคลหรือกลมุ่ บุคคลทจี่ ะสำมำรถทำกำรได้แบบ
"นิติบุคคล" (หรือบรรษัท) ในกำรซ้ือและขำยสินทรัพย์ และท่ีดิน, แรงงำน, เงินตรำ ในตลำดเสรี
และสำมำรถวำงใจได้ว่ำรัฐจะสำมำรถบังคับให้เกิดกำรเคำรพสิทธิทรัพย์สินส่วนบุคคล แทนท่ี
จะต้องพงึ่ กำรคุ้มครองแบบศกั ดินำ

แนวคิดเรื่องทุน กำรแสวงหำทุน และกำรจัดกำรทุนเป็นส่ิงจำเป็นและมีพัฒนำกำรใน
เชิงสังคมไทยอย่ำงสูงด้วย และแนวคิดดังกล่ำวได้เข้ำมำมีอิทธิพลต่อกลุ่มพระพุทธศำสนำด้วย
เพรำะกลุ่มพระพุทธศำสนำส่วนหน่ึงใช้เป็นทุนขับเคลื่อนองค์กร ทั้งก่อให้เกิดกำรขับเคลื่อนต่อ
กลุ่มศำสนำและพัฒนำกำรสังคมในภำพรวม ดังปรำกฏในงำนวิจัยของ บุศรำ สว่ำงศรี๙

๙ บุศรำ สว่ำงศรี, “พุทธพำณิชย์ : พระเครื่อง”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย :
มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร, ๕๕๐),หนำ้ บทคดั ยอ่ .



พระมหำมนตรี วลลฺ โภ๙ ชำยนำ ภำววมิ ล๙ ชนดิ ำ ดังก้อง๙๔กฤษฎำ พิณศรี๙๕ อภิรกั ษ์ จุฬำศินนท์๙
ไพศำล เอกบุญเขต๙ อรรถพันธ์ุ สงวนเสริมศรี๙๘ อัชรำ ม่ันคง๙๙ วีระพงษ์ ภูมูล ๐๐ เจษฎำ วิวัฒน์
ภัทรกุล ๐ สุชำติ จันทรมณี ๐ โดยในงำนวิจัยล้วนให้คำอธิบำยเก่ียวกับแรงจูงใจ ควำมเชื่อเชิง
ปัจเจก รวมไปถึงผลคำดหวัง จึงแสวงหำทุน สะสม และบริโภค “วัตถุมงคล” ที่ผลิตในเชิงพำณิชย์
ในฐำนะเป็นสินค้ำที่สัมพันธ์กับควำมเช่ือ ซึ่งภำพเหล่ำนี้มีผลต่อกำรขับเคล่ือนทั้งในส่วนของกำร
ผลิต กำรโฆษณำประชำสัมพันธ์ และกำรใช้จ่ำยต่อ “วัตถุ” ที่ถูกจัดทำขึ้น โดยมีช่องทำงกำรตลำด
เข้ำมำมีสว่ นในกำรขับเคล่อื น

๙ พระมหำมนตรี วลฺลโภ,“อิทธิพลของวัตถมุ งคลท่ีมีต่อสงั คมไทยในปจั จบุ นั ”,วิทยานพิ นธ์พุทธศาสตร
มหาบณั ฑติ (พระพุทธศาสนา),(บณั ฑิตวิทยำลยั : มหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๕๔ ),หน้ำบทคดั ยอ่ .

๙ ชำยนำ ภำววิมล, “พุทธพำณิชย์ ผลกระทบจำกกำรใช้ส่ือสำนมวลชนในกำรโฆษณำประชำสัมพันธ์
เพอ่ื จำหน่ำยพระเครอ่ื งทีม่ ตี อ่ ทัศนคติ และควำมเชอ่ื ของพทุ ธศำสนกิ ชน ในเรอ่ื งสัญลักษณ์ของศำสนำ”, วิทยานิพนธ์
นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยำลยั :จฬุ ำลงกรณม์ หำวทิ ยำลัย, ๕ ),หน้ำบทคดั ยอ่ .

๙๔ชนิดำ ดังก้อง, “ปัจจัยภำยนอกท่ีมีอิทธิพลต่อกำรบูชำวัตถุมงคลจตุคำมรำมเทพในจังหวัดร้อยเอ็ด”,
ปริญญานพิ นธบ์ ริหารธุรกิจมหาบณั ฑติ ,(บัณฑิตวิทยำลยั :มหำวทิ ยำลยั ขอนแก่น, ๕๕ ),หน้ำบทคัดย่อ.

๙๕ กฤษฎำ พิณศรี, “จตคุ ำมรำมเทพ กำรถอื กำเนิดของเทพเจำ้ องคใ์ หม่ในสังคมไทย”, วารสารศลิ ปะ
และวัฒนธรรมลมุ่ แมน่ า้ มูล มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, ปที ี่ ฉบับที่ , ประจำปกี ำรศกึ ษำ ๕๕๐: ๙-๔๔.

๙ อภิรักษ์ จุฬำศินนท์, “แรงจูงใจในกำรบูชำวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุตตมะ จังหวัดกำญจนบุรี”,
วทิ ยานิพนธบ์ ริหารธุรกจิ มหาบณั ฑิต, (บัณฑิตวทิ ยำลยั : มหำวิทยำลยั รำชภฏั สวนดสุ ิต, ๕๔๙), หน้ำ บทคดั ย่อ.

๙ ไพศำล เอกบุญเขต, “ปัจจยั ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมกำรเช่ำพระเครอ่ื งของผบู้ ริโภคท่ีศูนย์พระเคร่ือง
ตลำดนัดจตุจักร”, วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ,

๕๔ ), หนำ้ บทคดั ยอ่ .
๙๘ อรรถพันธ์ุ สงวนเสริมศรี, “ปัจจัยท่ีมีผลต่อควำมนิยมพระเคร่ือง”, วิทยานิพนธ์พัฒนบริหาร

ศาสตรม์ หาบณั ฑติ , (คณะบรหิ ำรธรุ กจิ : สถำบนั บัณฑิตพัฒนบริหำรศำสตร์, ๕๔๐), หน้ำ บทคดั ย่อ.
๙๙อัชรำ ม่ันคง, “กำรศึกษำเจตคติและควำมสนใจพระเคร่ืองในฐำนะท่ีเป็นสื่อของชำว

กรุงเทพมหำนคร”, วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลัยสยำม, ๕ ),
หน้ำ บทคดั ยอ่ .

๐๐ วรี ะพงษ์ ภมู ูล, “ปัจจัยท่ีผลต่อพฤตกิ รรมกำรเช่ำพระเคร่อื งของผู้บรโิ ภคในกรงุ เทพมหำนคร” ,
สารนพิ นธ์บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต, (บณั ฑติ วิทยำลัย : มหำวทิ ยำลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ, ๕๕ ), หน้ำ บทคดั ยอ่ .

๐ เจษฎำ วิวัฒน์ภัทรกุล, “ปัจจัยสู่ควำมสำเร็จของผู้ประกอบกำรพระเคร่ืองย่ำนเยำวรำช”,
สารนพิ นธ์บริหารธุรกจิ มหาบัณฑติ , (บัณฑิตวทิ ยำลัย : มหำวิทยำลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, ๕๔๘), หน้ำ บทคัดย่อ.

๐ สชุ ำติ จันทรมณี, “ทศั นคตแิ ละพฤติกรรมของผบู้ ริโภคทีม่ ตี ่อกำรเช่ำบูชำองค์จตคุ ำมรำมเทพ” ,
สารนพิ นธบ์ ริหารธรุ กิจมหาบณั ฑติ , (บณั ฑิตวทิ ยำลยั : มหำวทิ ยำลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๕๕ ), หนำ้ บทคัดย่อ.

เม่ือกล่ำวโดยสรุป ทุน ได้เข้ำมีบทบำท กำกับ ชี้นำ ทำให้พระสงฆ์ และองค์กร
พระพทุ ธศำสนำ ขำดควำมเข้ำใจเจตนำรมณ์ทำงพระพทุ ธศำสนำ จึงมองวัตถุประสงคข์ องกำรระดม
ทุนผ่ำนพิธีกรรมทำงศำสนำ เช่น กำรจัดสร้ำงวัตถุมงคล ปรำกฏกำรณ์ผ่ำนจตุครำมรำมเทพ
กุมำรทอง และชูชก เป็นต้น เพ่ือให้ได้เงินมำกระทำกำรอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง เช่น กำรก่อสร้ำง
ศำสนสถำนภำยในอำรำม ซ่ึงมีผลต่อกำรขอสมณศักด์ิช้ันยศในภำยหลังโดยสงเครำะห์เข้ำกับคำว่ำ
“สำธำรณูปกำร” จึงทำให้เจตนำรมณ์กำรระดมทุน มีควำมซับซ้อนและลึกซึ้ง ผ่ำนเครื่องรำงของ
ขลัง วัตถุมงคล “กฐิน/ผ่ำป้ำ” ๐ กันอย่ำงแข็งขัน สะท้อนให้เห็นค่ำนิยม “กำรระดมทุน” ที่เข้ำมำ
แทรกแซงอยูใ่ นมิติทำงศำสนำ ยังไมร่ วมวัดใหญ่ ๆ ท่ีมีวตั ถุสมบตั ิ เกบ็ งำไว้จำนวนมำก เปิดโอกำส
ให้องค์กรทำงธุรกิจนำไปออกผล มีผลตอบแทนต่อวัดในรูปของหุ้นกู้ พันธบัตรและดอกเบี้ย แต่
ในทำงกลบั กันสถำบนั กำรเงินเหล่ำน้นั ไดน้ ำเงนิ จำกองค์กรทำงศำสนำไปก่อให้เกิดรำยได้ในระบบ
ทุนและเชิงพำณิชย์อย่ำงเอำเปรียบ ซ่ึงมองมุมหน่ึงขัดหลักกำรทำงพระพุทธศำสนำในเรื่องของ
เมตตำ ไมเ่ อำรัดเอำเปรียบ และอำชีพที่ไมไ่ ด้ส่งเสรมิ คุณธรรม

ดังนั้น แนวคิดเร่ืองทุนนิยมหรือกำรระดมตำมแนวพุทธ เป็นปัจจัยหน่ึง ที่ขับเคล่ือน
ภำพของพระพุทธศำสนำในสงั คมไทย ใหเ้ กิดควำมเคล่อื นไหวผ่ำนกลุ่ม “วัตถุมีฤทธ์ิ” ท่ีมีเป้ำหมำย
เพ่อื กำรระดมทนุ ดว้ ยเหตปุ จั จัยตำ่ ง ๆ กนั ไป ยงั ไมน่ ับรวมองค์กรอย่ำงวัดใหญ่ ๆ ที่มีควำมสำมำรถ

๐ แนวคิดกฐินและผ้ำปำ่ เป็นไปเพ่อื กำรสงเครำะห์พระภกิ ษุสงฆ์ตำมพระวินยั ว่ำด้วยเรอ่ื งของผ้ำ หรือส่ิง
ใช้ แต่ในปัจจบุ ันไดก้ ลำยเปน็ ชอ่ งทำงในกำรระดมทนุ ผำ่ นแนวคิดดังกลำ่ วซง่ึ มมุ หนง่ึ มองเป็นเร่อื งทนุ “หำเงินเขำ้ วดั ให้
มำก ๆ” กลำยเปน็ พิธีกรรมของกำรระดมทุนซ่ึงไม่ถูกต้องตำมพระธรรมวินัย ดูรำยละเอียดและแนวคิดเก่ียวกับกฐินได้
จำก พรรณรำย รัตนไพฑูรย์,“กำรศึกษำแนวคิดเร่ือง “กฐิน”ในบริบทสังคมไทย”, สารนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต,
(บัณฑติ วิทยำลยั : มหำจฬุ ำลงกรณรำชวิทยำลัย, ๕๔ ), หน้ำ - .

ซับซ้อนในกำรระดมทุนอย่ำงเป็นระบบ ท้ัง ๆ ท่ีพระพุทธศำสนำมีทุนทำงสังคม ๐๔ ที่จะเก้ือหนุน
ต่อพระพุทธศำสนำและวัดอย่ำงเป็นระบบอยู่แล้ว ด้ังน้ัน จะด้วยเจตนำดี หรือเพ่ือกำรบุญในทำง
ศำสนำก็ตำม แต่เป้ำหมำยกลับเป็นไปเพ่ือกำรระดมทุน ซ่ึงปรำกฏกำรณ์เหล่ำน้ีจะนำไปสู่กำร
อธิบำยวิธกี ำรระดมทนุ แนวพทุ ธทไ่ี ปในรูปของวัตถุมงคล วัตถุมีฤทธ์ิและเหรียญเกจิคณำจำรย์ที่จะ
ได้ทำกำรศึกษำในบทต่อไป

๒.๒.๗ แนวคิดพหุลกั ษณ์/ทวินิยม
แนวคิดเรื่องพหุลักษณ์ ทวินิยม อำจสัมพันธ์กับแนวคิด Secularism ในควำมหมำยของ
กำรนบั ถอื หรือปฏิบัติอยำ่ งใดก็ได้ แตใ่ ห้สอดคล้องกบั เปำ้ หมำยหลักของชีวิต จึงเห็นว่ำคนไทยกลุ่ม
ใหญ่เข้ำได้กับทุกศำสนำไม่ว่ำจะเป็นฮินดู พุทธ พรำหมณ์ ไสย หรือแนวคิดอื่นใดท่ีสัมพันธ์กับ
ศำสนำ ๐๕ ดังนน้ั ในปัจจบุ นั จึงเหน็ ชำวพุทธกลมุ่ ใหญ่ไม่เคอะเขิน ทจ่ี ะนบั ถือเทพเจ้ำหลำยองค์ กำร
ไหวพ้ ระพิฆเนศ กำรเคำรพสักกำระเจ้ำแม่กวนอิม หรือเครื่องรำงของขลังกันอย่ำงออกหน้ำออกตำ
แนวคิดเหล่ำน้ีเกิดจำกบุคลิกภำพของชำวพุทธ แนวคิดทำงพระพุทธศำสนำที่มีลักษณะ
ประนีประนอมกับแนวคิดอ่ืน ๆ หรือในอีกควำมหมำยหนึ่ง ก็ย่อมหมำยควำมว่ำ ชำวพุทธส่วน
ใหญไ่ มม่ ่นั คง หรือขำดควำมเข้ำใจต่อหลักกำรพระพุทธศำสนำในภำพรวม จนแยกไม่ออกว่ำอะไร
คอื หลักกำร หลักคิด และหลักปฏิบัตแิ ห่งควำมเปน็ ชำวพทุ ธ

๐๔ แนวคิดเรื่องทุนทำงสังคม (Social Capital) ได้แพร่หลำยมำกข้ึนหลังจำกที่ได้มีกำรถกเถียง
เกี่ยวกับเร่อื ง “ประชำสังคม” Civil Society จำกแนวคิดของนักรัฐศำสตร์ชื่อ (Robert Putnam) และนักวิชำกำรคน
อื่นท่ีต้องกำรอธิบำยถึงกำรนำวิถีชีวิตท่ีเหมำะสมกลับคืนมำ (Reclaim Public Life) และธนำคำรโลก (World
Bank) ได้มีกำรนำคำว่ำ ทุนทำงสังคม ไปใช้อย่ำงกว้ำงขวำงในด้ำนเศรษฐกิจและกำรพัฒนำสังคม รวมท้ังกำร
จัดกำรที่เป็นแนวทำงกำรพัฒนำองค์กร ดังน้ัน แนวคิดน้ี ในทำงสังคมตะวันตก ได้ทำกำรศึกษำโดยมีเป้ำหมำย
เพ่อื กำรขับเคล่อื นในเชงิ เศรษฐกจิ สังคม และวฒั นธรรม ในส่วนของทุนทำงสงั คมในวฒั นธรรมไทยอำจมองไปท่ี
เรอ่ื งของน้ำใจ กำรเกอื้ กูล ผำ่ นวถิ ชี วี ติ เช่น กำรลงแขก เปน็ ตน้ ในสว่ นแนวคดิ ทำงศำสนำ ผูว้ จิ ยั มองไปทเ่ี ร่ืองของ
“ศรัทธำ” ควำมเชอ่ื อันเป็นฐำนรำกในสงั คมไทย ไม่วำ่ จะเป็นควำมเชอ่ื ตอ่ สิง่ เชือ่ กำรทำใหเ้ ชือ่ หรอื กำรเช่ือเพรำะ
เปน็ ส่วนหนึ่งของชวี ิต แต่ “ศรทั ธำ” เหลำ่ น้ไี ดก้ ลำยเปน็ ต้นทุนใหเ้ กิดกำรขับเคลอื่ นพลงั แห่งควำมเชอ่ื ผ่ำนศำสนำ
ใหม่ ผ่ำนปรำกฏกำรณ์ขบวนกำรทำงพระพทุ ธศำสนำใหม่ในประเทศไทย ดรู ำยละเอียดแนวคิด “ทุนทำงสังคม “
ใน ร.ศ.ดร.วรวุฒิ โรมรัตนพันธ์, ทุนทางสังคม กระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการสิ่งแวดล้อม, (โครงกำรส่งเสริม
กำรสรำ้ งตำรำ มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์, ๕๕ ), หน้ำ ๙ - ๐.

๐๕ อำจเทียบเคียงกับแนวคิดในเร่ืองพหุนิยมทำงศำสนำผ่ำนแนวคิดของของท่ำนติช นัท ฮันห์ ที่
มองวำ่ ศำสนำแตล่ ะศำสนำไม่ได้แยกออกจำกกนั ในเวลำเดยี วกนั ยงั มองไปวำ่ “ทุกสิ่งคอื หนึ่ง และหนึ่งคือทุกสิ่ง”
ซึ่งปรำกฏในงำนของ หิมพรรณ รักแต่งำม, ติช นัท ฮันห์ : ว่ำด้วยพหุนิยมทำงศำสนำ”, สารนิพนธ์พุทธศาสตร
ดษุ ฎีบณั ฑิต, (บัณฑติ วทิ ยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๕๔๘), หน้ำ ก-ข.

แนวคิดในฉันนสูตร ๐ เก่ียวกับ ( ) ควำมมี และ ( ) ควำมไม่มี ซ่ึงในทัศนะ
ผู้วิจัยอำจนำมำตีควำมอธิบำยเกี่ยวกับปรำกฏกำรณ์ควำมเชื่ออันเป็นลักษณะเฉพำะที่เจำ ะจงไปใน
องคป์ ระกอบของพระพทุ ธศำสนำ ควำมไม่เทีย่ ง และควำมเท่ียง จริงไม่จริง สูญ ไม่สูญ เหล่ำน้ีล้วน
ก่อให้เกิดหลักปฏิบัติ ควำมเชื่อที่มำชดเชยควำมมั่นใจต่อควำมเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึน จนกลำยเป็น
ควำมเชื่อ ซ่ึงแนวคิดทวิลักษณ์ หรือพหุนิยมของชำวพุทธ คน เกิดข้ึนบนควำมหลำกหลำย ซึ่ง
ผู้วิจัยตีควำมว่ำเป็นเพรำะควำมอ่อนแอของพระพุทธศำสนำเชิงโครงสร้ำง ต่อกำรสร้ำงศรัทธำท่ี
ถูกต้องของชำวพุทธ ? และอีกประเด็นหนึ่ง คือ ในควำมจริงตำมธรรมชำติ “ทวิลักษณ์” ท่ีมีใน
มนุษย์คนหน่ึง ๆ ที่เขำเหลำนั้นย่อมมีสิทธิท่ีจะนับถือ ปฏิบัติ เชื่อ ในหลำย ๆ สิ่งได้ โดยมีเจตนำ
หวังปิดทับควำม “มีและไม่มี” หรือควำมไม่มั่นคง ท่ีจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลำในตัวมนุษย์น้ัน ๆ ดัง
ปรำกฏว่ำคนหนึ่งคน อำจนับถือต่อเทพเจ้ำ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ แต่หลำยองค์ในคนคนเดียว โดยมี
ควำมมงุ่ หวังว่ำจะทำใหด้ ี ไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นต้น จำกประสบกำรณ์ท่ีผู้วิจัยเคยเข้ำร่วมในฐำนะผู้
ประกอบพธี ี ไดพ้ บวำ่ “เขำ” เหล่ำนน้ั อำจเปน็ ชำวพทุ ธในแง่ของทำน ศีล บุญพิธี ทำน ตำมพิธีกรรม
ทำงศำสนำ แต่เมื่อเสร็จกิจกรรมเหล่ำน้ันควำมเช่ือต่อเทพเจ้ำท้ังในฮินดู เช่น พระพรหม พระ
นำรำยณ์ เจ้ำแม่กำลี กวนอู หรือเทพเจ้ำแบบไทย เช่น พระเจ้ำตำก เสด็จพ่อ ร. ๕ ล้วนแสดงออก
ร่วมกับกิจกรรมทำงศำสนำอย่ำงไม่เคอะเขิน ประหนึ่งเป็นกำรทำงำนร่วมกันระหว่ำง “ผี-พุทธ”
ตำมรูปแบบที่ปรำกฏในสังคมไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ว่ำควำมเชื่อเหล่ำน้ีไมได้จำกัดอยู่ตำมคติ
ทำงพระพุทธศำสนำแต่เกิดจำกกำรผสมผสำน จนเป็นควำมหลำกหลำยในมิติของควำมเช่ือและสิ่ง
เช่ือนนั้ ๆ

ดงั นัน้ แนวคดิ พหนุ ิยม จึงมีควำมหมำยถงึ ควำมหลำกหลำยในควำมเชื่อ หรือกำรนับถือ
ปฏบิ ตั ิโดยมแี นวคดิ ที่ผสมอยู่ในเรื่องของควำมมั่นคง ควำมไม่ม่ันใจต่อควำมเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึน
ควำมเปน็ พหุนิยม พหลุ ักษณ์ทำงศำสนำจงึ เกิดขึน้ ตอ่ ศำสนิกผนู้ ับถอื ตลอดเวลำ

๒.๒. แนวคดิ พระพทุ ธศาสนากับการเข้าไปรับใชส้ ังคม/พุทธศาสนาเพือ่ สังคม
แนวคิดพุทธศำสนำกับกำรเข้ำไปรับใช้สังคม เป็นแนวคิดที่เกิดข้ึนในครำวท่ี
พระพุทธเจ้ำทรงส่งสำวก ๐ รูปไปประกำศศำสนำในครั้งแรก “ภิกษุท้ังหลำย จงจำริกไปเพ่ือ
ประโยชน์สุขแห่งมหำชนหมู่มำก” อำจตีควำมได้ว่ำ เป็นกำรแสดงเจตจำนงของพระพุทธศำสนำต่อ
กำรจัดวำงบทบำท ศำสนำต่อสังคม เจตนำรมณ์ของคำว่ำมหำชนหมู่มำก ย่อมเป็นเคร่ืองแสดงว่ำ
บทบำทของพระพุทธศำสนำ ในกำรเข้ำไปรับใช้สังคมอย่ำงมีเงื่อนไข เป็นกำรจัดวำงบทบำทของ
พระพุทธศำสนำต่อสังคม ผ่ำน “สังฆะ” และ “พุทธบริษัท” ท่ีก่อให้เกิดกำรเกื้อกูลกันในเชิงสังคม

๐ ส.ข. (ไทย) /๙๐/ - .



กลำยเป็น “ธรรมิกสังคม” ในพระพุทธศำสนำ หรือกำรท่ีพุทธทำสภิกขุ ได้นำแนวคิดธรรมิกสังคม มำ
อธิบำยเป็นแนวคิดในสังคมไทย ซ่ึงอำจตีควำมได้ว่ำ พระพุทธศำสนำมีบทบำทท่ีต้องเข้ำไปรับใช้
สงั คม ประหนึ่งเปน็ กำรขำนรับแนวคดิ แตค่ รงั้ พทุ ธกำล และส่งตอ่ จนมผี ลตอ่ สังคมอยำ่ งมีเงือ่ นไข

ในส่วนของ “พุทธศำสนำเพื่อสังคม” เป็นแนวคิดที่ให้นำพระพุทธศำสนำเข้ำไปผูกพัน
กับสงั คมอย่ำงมีเงอ่ื นไข นอกเหนือจำกกำรนำพระพุทธศำสนำในเชงิ หลักกำรแล้ว พระพุทธศำสนำ
ยังเข้ำไปรับรองและให้ควำมสำคัญกับกำรรับผิดชอบต่อกำรดำเนินชีวิตในฐำนะมนุษย์คนหน่ึงจะ
พึงกระทำได้ แนวคิดดังกล่ำวเป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพล ติช นัท ฮันท์ ซึ่งได้เสนอแนวคิด
พระพุทธศำสนำต่อสังคมในระดับนำนำชำติ ดังปรำกฏในงำนของพระมหำสมบูรณ์ วุฒิกโร ๐
ต่อทศั นะของพระพทุ ธศำสนำเพอ่ื สังคมทว่ี ่ำ

ประเทศที่เกิดภำวะวิกฤตทำงสังคมจำกภัยสงครำมและควำมขัดแย้งทำงกำรเมือง
โดยเฉพำะในประเทศท่ีเคยตกเป็นอำณำนิคมของตะวันตกมำก่อน เช่น อินเดีย ศรีลังกำ
เวียดนำม ไม่ว่ำจะเป็น ( ) ขบวนกำรชำวพุทธเพ่ือสังคมในอินเดียที่นำโดย เอ็มเบ็ดกำร์
(B.R.Ambedkar) ผูต้ อ่ สู้เพื่อให้ยกเลกิ ระบบวรรณะในสังคมอนิ เดีย โดยชักชวนชนชั้นต่ำต้อย
(ศูทร/อธิศูทร)ให้หันมำนับถือพระพุทธศำสนำในฐำนะเป็นศำสนำท่ีให้ควำมเสมอภำคทำง
สังคม ( ) ขบวนกำรชำวพทุ ธเพอ่ื สงั คมในเวยี ดนำมทีน่ ำโดยพระนิกำยเซนช่ือ ติช นัท ฮันห์
(Thich Nhat Hanh) ผู้ต่อสู้เพ่ือชำวเวียดนำมที่อพยพลี้ภัยสงครำม ( ) ขบวนกำรสรรโวทัย
(Sarvodaya) นำโดยอริยรัตนะ (Ariyaratne) ในประเทศศรีลังกำ ๐๘ ท่ีพยำยำมประยุกต์หลัก
พุทธธรรมมำแก้ปัญหำสังคมตั้งแต่สังคมระดับรำกหญ้ำจนถึงสังคมระดับประเทศ และ
(๔) ขบวนกำรชำวพุทธเพื่อสงั คมในธิเบตที่นำโดยองคท์ ะไล ลำมะ ผูน้ ำรฐั บำลผลัดถิ่นของธิ
เบตที่พยำยำมต่อสู่เพื่อเอกรำชของทิเบตบนฐำนของอหิงสธรรม (non-violence) และเป็นผู้
เสนอแนวคิดเรื่องควำมรับผิดชอบระดับสำกล (universal responsibility) บนฐำนของจิตใจท่ี
มุ่งหวังประโยชน์สุขเพื่อผู้อื่น (altruistic mind) เหล่ำน้ีคือตัวอย่ำงของขบวนกำร
พระพทุ ธศำสนำเพื่อสังคมในต่ำงประเทศที่พยำยำมนำเอำพระพุทธศำสนำเข้ำไปมีส่วนร่วม
ในกำรแก้ปญั หำสังคม

๐ พระมหำสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร, ( ๕๔๘) ,”ขบวนการพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่ :
พร ะ พุ ทธ ศ าสน าเพื่ อ สั ง คม (Socially Engaged Buddhism)” . [อ อ น ไลน์ ],แ ห ล่ ง ที่ มำ :
http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=437&articlegroup_id=102 ,( ๐ พฤศจิกำยน ๕๕ ).

๐๘ อุทัย สตมิ ั่น, “พระพุทธศำสนำเพ่ือสังคม : กรณีศึกษำขบวนกำรสรรโวทัย”, ในวารสารบณั ฑิตศึกษา
ปริทรรศน์, ปที ่ี ๔ ฉบบั ที่ กรกฎำคม-กนั ยำยน ๕๕ . หนำ้ - ๔.



นอกจำกน้ีพระมหำสมบูรณ์ วุฒิกโร ๐๙ยังได้เสนอ พร้อมให้ควำมหมำยต่อเร่ืองแนวคิด
พุทธศำสนำเพ่อื สงั คมไวว้ ำ่

พระพุทธศำสนำเพ่ือสังคม (Socially Engaged Buddhism) เป็นชื่อสำหรับใช้เรียก
ขบวนกำรพระพุทธศำสนำแนวใหม่ท่ีเกิดข้ึนเพื่อตอบสนองปัญหำสังคมโลกยุคใหม่
หมำยถงึ ทศั นะท่ีว่ำพระพุทธศำสนำกับสังคมต้องผูกพัน (must be engaged) เป็นอันหน่ึงอัน
เดียวกนั ไมม่ กี ำรแยกเรอ่ื งศำสนำกบั สงั คมออกจำกกนั รวมทง้ั ควำมพยำยำมทจ่ี ะตีควำมพุทธ
ธรรมใหค้ รอบคลุมปญั หำใหม่ ๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมปัจจุบัน เพรำะเห็นว่ำกำรสอนแบบจำรีต
ที่เน้นกำรแก้ปัญหำของปัจเจกบุคคล ไม่เพียงพอต่อกำรตอบปัญหำสังคมยุคใหม่ท่ีเต็มไป
ด้วยควำมสลับซับซ้อนได้ กำรแก้ปัญหำควำมทุกข์ของปัจเจกบุคคลและสังคมสำมำรถ
ดำเนินควบคู่กันไปได้ อีกควำมหมำยหนึ่ง พระพุทธศำสนำเพ่ือสังคม หมำยถึง ขบวนกำร
หรอื กลุ่มนักกจิ กรรมชำวพุทธเพ่ือสังคม (Engaged Buddhists) ท่ีพยำยำมนำพระพุทธศำสนำ
เข้ำไปมีส่วนร่วมในกำรแก้ปัญหำสังคม เช่น ปัญหำควำมอยุติธรรมทำงสังคม ปัญหำ
สิ่งแวดลอ้ ม ปัญหำควำมรนุ แรง ปัญหำทำงเศรษฐกิจ ปญั หำทำงกำรเมอื ง

ดังน้ันโดยสรุปแนวคิดเร่ืองพุทธศำสนำเพ่ือสังคมจึงหมำยถึงกำรนำหลักกำรทำง
พระพุทธศำสนำเข้ำไปพัวพันกับสังคมอย่ำงมีเงื่อนไข คือเข้ำไปส่งเสริมให้มีกำรนำหลักกำรทำง
พระพุทธศำสนำ ไปใช้ให้ครอบคลุมทั้งหลักกำร และกำรปฏิบัติจริงในกำรดำเนินชีวิต กล่ำวคือ
(ก) พุทธธรรมต้องเป็นไปเพ่ือสังคม ท่ีจะนำหลักธรรมไปเป็นเข็มทิศช้ีทำงให้สังคม ให้ศำสนิกมี
ทำงก้ำวเดินต่อไปข้ำงหน้ำอย่ำงมีจุดหมำย โดยมีคณะบุคคลในกลุ่มดังกล่ำวอำทิ ท่ำนพุทธทำส
พระพรหมคณุ ำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พระไพศำล วสิ ำโล นพ. ประเวศ วสี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เครือข่ำย
พุทธศำสนกิ เพ่อื สังคมนำนำชำติ (พ.พ.ส.) เปน็ ต้น และในเวลำเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกิดกำร เข้ำถึง
ทั้งในส่วนกำรปฏิบัติ คือ นำหลักพุทธธรรมไปสู่กำรปฏิบัติในชีวิตจริง ท่ีเรียกว่ำ (ข) ปฏิบัติกำร
พทุ ธเพ่อื สังคม ที่มีกำรนำหลักธรรมไปสอดประสำนกับกำรดำเนินชีวิตอย่ำงเป็นระบบ ดังปรำกฏ
ในงำนของพระอุดมประชำนำถ (อลงกต) แห่งวดั พระบำทน้ำพุ กำรนำหลกั ธรรมเข้ำไปสู่กำรปฏิบัติ
ในฐำนะเป็นชีวิตที่ต้องก้ำวไปข้ำงหน้ำของมนุษย์ของพระรำชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยำโณ)
ย่อมมีควำมหมำยถึงกำรขับเคลื่อนชีวิตให้เกิดกำรจัดวำงอย่ำงเหมำะสมในสังคม รวมไปถึงกลุ่ม

๐๙พระมหำสมบูรณ์ วุฑฒฺ ิกโร.(2548) .ขบวนกำรพระพุทธศำสนำในสังคมยคุ ใหม่ :พระพทุ ธศำสนำเพื่อ
สงั คม (Socially Engaged Buddhism). (ออนไลน์) แหลง่ ทม่ี ำ :
http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=437&articlegroup_id=102 ( ๐ พฤศจกิ ำยน ๕๕ )

สัจจะออมทรพั ย์ ธนำคำรข้ำว ธนำคำรโค เป็นกำรนำหลักพุทธธรรม ประยุกต์ให้สอดคล้องกับกำร
ดำเนนิ ชวี ติ

ดังนั้นกลุ่มพระพุทธศำสนำเพื่อสังคม มีจุดยืนในกำรให้หลักคิดเพื่อตอบสนอง ควำมรู้
ควำมเข้ำใจท่ีถูกต้องต่อพระพุทธศำสนำ เหมำะแก่กำรปฏิบัติมำกขึ้นรวมท้ังตอบสนองควำมเป็น
ชีวติ ในฐำนะทีเ่ ป็นชีวิตมำกข้ึน ท้ังสองกลุ่มจะได้ถูกนำมำอธิบำยเป็นปรำกฏกำรณ์พระพุทธศำสนำ
ใหก้ ว้ำงขวำงขึ้นในบทศึกษำต่อไป เพ่ือใหเ้ ห็นพฒั นำกำรของพระพทุ ธศำสนำในประเทศไทยอย่ำง
เป็นระบบและก่อให้เกดิ กำรขับเคล่ือนในภำพรวม

๒.๒. แนวคิดเร่ืองศรทั ธาและการสร้างศรัทธา
พระพุทธศำสนำสอนเรื่องศรัทธำ ๐ ท่ีหมำยถึง ควำมเชื่อมั่นในควำมดี เป็นควำมเชื่อท่ี
มีเหตุผลสนับสนุน เป็นศรัทธำท่ีมีปัญญำกำกับ ชักนำให้อยู่ในลักษณะท่ีเชื่อตำมควำมเป็น
จรงิ โดยมองให้เหน็ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุผลของส่ิงต่ำง ๆ พระพุทธศำสนำสอน ไม่ให้ตัดสิน
หรือลงควำมเห็นในเร่ืองใด จนกว่ำจะได้รับกำรพิสูจน์ด้วยประสบกำรณ์ตรง และปลงใจเชื่อ
ศรัทธำ โดยหลัก “กำลำมสูตร” เป็นเกณฑ์วินิจฉัย เพ่ือให้ได้ศรัทธำท่ีมีเหตุมีผล ในส่วน
ศำสนำอนื่ ๆ กม็ ีคำสอนเก่ียวกับศรัทธำ เพ่ือนำไปสู่กระบวนกำรให้เช่ือต่อคำส่ังหรือแนวปฏิบัติ
ตำมหลักศำสนำนั้น ๆ แต่ในพระพุทธศำสนำเมื่อคำสอนใด ๆ เริ่มด้วยควำมเช่ือ หรือให้เชื่อจะไป
จบดว้ ยคำสอนหรอื แนวคดิ ทีส่ นับสนนุ ใหใ้ ช้ปญั ญำ ๔

๐พระพรหมคณุ ำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม,
(กรงุ เทพมหำนคร : พุทธธรรม, ๕๕ ), หน้ำ ๘ - ๘ .

พระมหำภำณุ ภำนโุ ก (กลน่ิ ปรำชญ)์ , “กำรศกึ ษำเปรียบเทียบแนวคิดเร่ืองศรัทธำในพุทธปรัชญำ
เถรวำทกับเซนต์ออกัสติน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลัยมหำจุฬำ
ลงกรณรำชวิทยำลยั , ๕๔๘), หน้ำ บทคดั ย่อ.

องฺ.ทกุ . (ไทย) ๐/ / ๕๕- .
ท้ังในศำสนำคริสต์ อิสลำม หรือศำสนำอื่น ๆ จะสอนเรื่องศรัทธำ ทั้งสิ้น เช่น ในอิสลำมสอน
หลกั ศรัทธำ รวมไปถงึ หลักศรัทธำในพระเจ้ำอยำ่ งสูงสุดของศำสนำคริสต์ ในควำมหมำยคือศรัทธำส่งเสริมให้
เกิดควำมเชื่อและนำไปส่กู ำรปฏบิ ัติตำมในหลักศำสนำนั้น ๆ ดูเพิ่มใน สุเมธ เมธำวิทยกูล, ศาสนาเปรียบเทียบ =
Comparative religion, (กรงุ เทพมหำนคร : โอเดยี นสโตร์, ๕ ).
๔พระพรหมคุณภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม,
(กรงุ เทพมหำนคร : บรษิ ทั เอส.อำร์.พริน้ ตง้ิ แมส โปรดกั ส์ จำกัด), หนำ้ ๙ .

ดังน้ันปลำยทำงของควำมเช่ือ ท่ีถูกทำให้เช่ือจึงปรำกฏเป็นควำมเช่ือที่ซ้อนทับอยู่กับ
กำรทำให้เชื่อหรือส่ิงเชื่อดังปรำกฏในหลำย ๆ ครั้งทำงพระพุทธศำสนำ ทั้งก่อให้เกิดเป็นพลัง
ขับเคลอ่ื นตอ่ กล่มุ พระพุทธศำสนำตำ่ ง ๆ ในองค์รวมอย่ำงท่ปี รำกฏอยู่ในปจั จุบนั ดว้ ย

ศรัทธำ

ศำสนกิ
ผู้นบั ถอื

เจ้ำ ศษิ ย์

ท่ีตงั้ รูปแบบ
สถำนที่ สำนกั กำรสอน

ผูน้ ำ พธิ กี รรม คคำำสสออนน

หนงั สือ/สง่ิ พิมพ์

แผนภำพที่ . ปิรำมิดวธิ กี ำรสร้ำงศรัทธำ ของขบวนกำรพุทธใหมใ่ นประเทศไทย

เมื่อพิจำรณำจำกแผนภำพที่ . จะเห็นได้ว่ำกระบวนกำรสร้ำงศรัทธำ และกำรใช้
แสวงหำ คุณค่ำจำกควำมเช่ือ จึงเป็นสิ่งท่ีตำมมำ หำกนำกรอบคิดเหตุกำรณ์เกิดศำสนำ หรือ
องค์ประกอบของศำสนำมำพิจำรณำร่วมต่อกระบวนกำรเกิดขึ้นของขบวนกำรพุทธใหม่ ส่ิงหน่ึงท่ี
เกิดขึ้นจะมีควำมคล้ำยกันคอื มผี นู้ ำทีเ่ ป็นอำจำรยห์ รอื ผ้นู ำ เปน็ ผูส้ ร้ำง ผลิตวำทะกรรม คำสอน หรือ
ชุดคิดที่สอดคล้องกับ พื้นฐำนทำงควำมเชื่อนั้น ๆ มีรูปแบบ เช่น วัดพระธรรมกำยมีรูปแบบท่ีเน้น
ควำมวิจิตร ประณีต รูปแบบของสันติอโศกท่ีเรียบง่ำยสอดคล้องกับชุดคิด “พอเพียง” หรือสำนัก
ทรงที่เน้นสิ่งเชื่อเชิงจิตวิญญำณอำนำจของกำรร้องขอ รวมไปถึงกลุ่มวัตถุมงคล เครื่องรำง กำรระ
ดุมทุนแบบพุทธ จะเน้นปรำกฏกำรณ์เหนือธรรมชำติ ซ่ึงชุดคิดเหล่ำนี้ ได้กลำยเป็น “ส่ิงท่ีถูกทำให้
เช่ือ” สถำนที่สะอำด สงบ เป็นป่ำไม้ร่มร่ืน ล้วนมีผลต่อกำรสร้ำงศรัทธำทำให้เกิดกำรยอมรับ และ
นำไปสูก่ ำรปฏิบตั ิทงั้ สน้ิ ส่วนหนึง่ มคี วำมหมำยวำ่ เปน็ กระบวนกำรที่ทำใหเ้ กดิ และขับเคล่ือนควำม
เช่ือที่จะนำไปสู่ควำมเป็นพุทธใหม่ แนวคิดเรื่องควำมศรัทธำและควำมเชื่อ ได้กลำยเป็นเป้ำหมำย
หลักในกำรช้นี ำผู้ศรัทธำ และในเวลำเดียวกันศรัทธำเหล่ำน้ันก็ได้กลำยเป็นเป้ำหมำยของศิษย์ผู้นับ
ถือในภำยหลัง และทำให้เกดิ พฤติกรรมศรัทธำตอ่ ควำมเปน็ พระพทุ ธศำสนำ

หำกพิจำรณำขบวนกำรพุทธใหม่ในประเทศไทย ควำมเป็นจริงอำจไม่ครบ
องค์ประกอบอย่ำงใด อย่ำงหน่ึง แต่ในภำพรวมปรำกฏกำรณ์เหล่ำนี้ได้ก่อให้เกิดภำพลักษณ์ต่อ
พระพุทธศำสนำใหม่ เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของพระพุทธศำสนำในประเทศไทย อำจมีเจ้ำสำนักที่



ผลิตวำทะกรรมคำสอนขึน้ มำ ซึง่ ยงั คงอยใู่ นกรอบพระพุทธศำสนำในองคร์ วม กรณีสันติอโศกท่ีมีผู้
กอ่ ตง้ั กย็ งั คงมีกรอบคดิ ตีควำม อธิบำยพระพุทธศำสนำในมิติของเจ้ำสำนกั และศษิ ย์ตอ้ งกำร

เม่อื กลำ่ วโดยสรุปจะพิจำรณำตำมกรอบของกำรเกิดศำสนำ แผนภำพท่ี . จะเห็นได้
วำ่ เจำ้ สำนัก/ผกู้ ่อตง้ั จะมวี ธิ กี ำร ผ่ำนแนวคิด คำสอน ท่นี ำไปสู่กำรสร้ำงควำมเชื่อ หรือทำให้เช่ือต่อ
แนวคดิ วัตรปฏบิ ตั ิทผี่ ลิตออกมำ จนทำให้มีศำสนิก ผู้นับถือในจำนวนมำก โดยอำจนิยำมร่วมได้ว่ำ
เปน็ แนวทำง หรอื วิธกี ำรไปสคู่ วำมเปน็ พทุ ธใหม่ในประเทศไทยได้

ยทุ ธวธิ ี /วิธกี ำร

แนวคำสอน /ปฏบิ ัติ ภำวะขบั เคลื่อน ? ปรำกฏกำรณ์พุทธใหม่

เจำ้ สำนัก ศำสนิก/ช่อื เสียง/ วตั ถพุ งึ ได้/ ผลต่อศำสนำในภำพรวม
ผู้กอ่ ตงั้

แผนภำพที่ .๔ ปรำกฏกำรณ์เกยี่ วกบั ควำมเชอื่ ทม่ี ีผลตอ่ กำรสรำ้ งขบวนกำรพทุ ธใหม่

ดังน้ันโดยสรุปแนวคิดควำมศรัทธำ และกระบวนกำรสร้ำงศรัทธำ จึงเป็นวิธีกำรร่วม
หนึง่ ทน่ี ำไปสู่กำรขับเคล่ือนในกลุ่มศำสนิกผู้นบั ถือ ที่จะนำไปสู่กำรให้เชื่อ กำรสร้ำงองค์ควำมเชื่อ
ใหม่ ศำสนำอย่ำงใหม่ หรือรูปแบบใหม่ท่ีปรำกฏอยู่ในทุกสังคมไม่ว่ำจะเป็นศำสนำ แนวคิดหรือ
ชดุ เหตผุ ลใด ๆ ก็ตำม

๒.๒.๑ แนวคิดการตีความหลักคาสอน
กำรตีควำมหรือกำรให้คำอธิบำยอย่ำงใหม่ปรำกฏในคัมภีร์ทำงพระพุทธศำสนำ ท่ี
ปรำกฏในคัมภีร์ อำทิ กำรตีควำมเร่ืองทิศที่ปรำกฏในสิงคำลกสูตร ๕ น้ำล้ำงบำปตำมคติฮินดูโดย
เปรียบเทียบกบ เต่ำ งู จระเข้อยู่ในน้ำคงไปสวรรค์เพรำะน้ำล้ำงบำป และแนวทำงกำรล้ำงบำปตำม
หลักพุทธ เรื่องพรำหมณ์ต่อแนวคิดควำมดีเลวไม่ได้อยู่ชำติกำเนิดหรือตระกูล ชำติพันธุ์ ๘

๕ ท.ี ปำ. (ไทย) / ๔ - ๔/ ๙๙- ๘.
ข.ุ เถรี. (ไทย) / - ๕ /๕๙๔-๕๙๕.
ม.ม. (ไทย) /๔๔ /๕๕ -๕๕ . และ ส.ส. (ไทย) ๕/ ๙๕/ ๕.
๘ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๕/ ๕๕- / ๕ - ๕๕ (วำเสฏฐสูตร ว่ำด้วยวำเสฏฐมำณพทูลถำมปญั หำ).



ควำมเป็นเพศต่อกำรบรรลุธรรมในครำวท่ีพระนำงมหำปชำบดีไปขอบวช ๙แนวคิดต่อควำม
ตำย ๐ รวมไปถึงกำรสร้ำงคำอธิบำยใหม่ของพระเทวทัตท่ีทูลขอวัตถุ ๕ ประกำรจำก
พระพุทธเจ้ำ เป็นต้น ล่วงมำในสมัยหลังกำรตีควำมหรือให้ควำมหมำยใหม่จึงนำไปสู่กำร
สังคำยนำตั้งแต่คร้ังท่ี เป็นต้นมำ จนกระท่ังเป็นปัจจัยหน่ึงทำให้แตกแยกเป็นนิกำยต่ำง ๆ ถึง
๘ นกิ ำย หรือกำรแตกเป็นนิกำยของพระพุทธศำสนำในประเทศต่ำง ๆ ล้วนเกิดจำกพัฒนำกำร
กำรตีควำมและกำรให้คำอธิบำยท่ีแตกต่ำงกันท้ังสิ้น ระบบพุทธสังคมนิยม (Buddhist Socialism)
ในพม่ำ สมัยนำยกรัฐมนตรีอูนุ ภำยหลังได้รับเอกรำชจำกอังกฤษใน พ.ศ. ๔๙ (ค.ศ.1948) ๔
แนวคิด “พทุ ธรำชำ” ในสมยั พระเจำ้ ชยั วรมนั ที่ ๕ และระบบ “พุทธสังคมนิยม” ในสมัยพระเจ้ำ
สีหนุ “ธรรมยุติกนิกำย” ท่ีก่อตั้งโดย วชิรญำณภิกขุ ล้วนผ่ำนกระบวนกำรของกำรตีควำม
และให้คำอธบิ ำยใหม่ต่อคำสอนในทำงพระพุทธศำสนำ ดังนั้น ในทัศนะผู้วิจัยพฤติกำรณ์เหล่ำนั้น
ล้วนจัดเป็นกำรตคี วำมในทำงพระพุทธศำสนำ ซึ่งเป็นไปตำมบริบททำงสังคมในช่วงเวลำนั้น กำร
ให้คำอธิบำยและกำรตีควำมเหล่ำนี้ย่อมเป็นกำรสะท้อนให้เห็นพัฒนำกำรทำงพระพุทธศำสนำใน

๙วิ.จู. (ไทย) /๔๐ / - (มหำปชำปติโคตมีวตั ถุ วำ่ ดว้ ยเร่อื งพระนำงมหำปชำบดีโคตมี).
๐ วิ.จู. (ไทย) /๔๐ / - .
วิ.จู. (ไทย) / ๔๔/ ๐ - ๐๔.

วิ.จู. (ไทย) / - ๔๐/ ๕- ๘๐ (สงั คตี ินทิ ำน วำ่ ด้วยมูลเหตกุ ำรทำสงั คำยนำครั้งท่ี ).
ลงั กำกุมำร(พระมหำพจน์ สุวโจ), กรณีพระสงฆ์ศรีลงั กาเล่นการเมอื ง, (นครปฐม : สำนกั พิมพ์
สำละ, ๕๕ ), หน้ำ - . ดูรำยละเอียดเสริมเกี่ยวกับนิกำยและกำรแตกเป็นนิกำยใน Etienne
LAMOTTE,Translate from French by Sara WEBB-BOIN, Hostory of Inddian Buddhism : From the Origins to
the Saka Era. Universite CATHOLIQUE DE LOUVAIN : INSTITUT ORIENTALISTE LOUVAIN-LA-
NEUVE.1988),pp.517-548. Malinaksha Dutt, Buddhist Sect in India, (Delhi : Motilal Banarsidass Pubishers
Privivate Limited,1998), pp.2-120.
๔ ดูรำยละเอียดเพิ่มเติมใน E.Sarkisyanz, Buddhist Backgrounds of The Burmese Revolution,
(The Hague Netherlands : Martinus Hijhoff,1965), pp.166-179. และ Donald Eugene Smith, Religion and
Politics in Burma, (Princeton Newjersey : Princeton University Press,1965), pp.125-136.
๕ เดวิด แชนด์เลอร์, ประวัติศาสตร์กัมพูชา = A history of Cambodia, พรรณงำม เง่ำธรรมสำร
บรรณำธิกำรแปล, (กรุงเทพมหำนคร : มูลนิธิโครงกำรตำรำสังคมศำสตร์และมนุษยศำสตร์, ๕๔๐),
หนำ้ ๘ - ๐๐.
ดูรำยละเอียดใน ชุมพล เลิศรัฐกำร, กัมพูชาในการเมืองโลก : บทบาทเจ้าสีหนุกับสงครามและ
สันติภาพ, (กรุงเทพมหำนคร : ธัญญำ พับลิเคช่ัน, ๕ ). หน้ำ ๕- . และ Ian Harris, Cambodain
Buddhism : History and Practice, (Honolulu : University of Hawai’i Press,2005), pp.144-156.
พระไพศำล วิสำโล, พทุ ธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤติ, หน้ำ - ๔.



ส่วนของกำรตคี วำม กำรใหค้ ำอธิบำย เสนอมมุ มอง วธิ ีกำรใหม่ บนฐำนควำมรู้ ควำมพึงใจ ของเจ้ำ
สำนกั ผูก้ อ่ ต้งั นั้น ๆ

ดังนั้น กำรตีควำมของพุทธทำส ๘ ผ่ำน “ภำษำคนภำษำธรรม” ๙และธรรมิกสังคม ๐
กำรตีควำมของสำนักโพธิรักษ์โดยกุมเกำะอยู่กับกำรปฏิบัติ “บุญนิยม-ศีลนิยม” หรือเป็นกำร
ตีควำมเพื่อนำไปสู่ภำคปฏิบัติก็ตำม รวมไปถึงกำรตีควำมของสำนักธรรมกำย “อัตตำ-อนัตตำ”
ลว้ นเป็นกำรอธิบำยผำ่ นโลกทัศน์และเจตนำรมณ์ต่อกำรปฏิบตั ิ ทีม่ มี ติของเจ้ำสำนกั หรือผู้ก่อตั้งเสีย
เป็นดำ้ นหลกั และมีผลต่อกำรขับเคล่อื นองค์กรจัดตงั้ ของสำนกั น้นั ๆ ด้วย

๒.๓ สาเหตทุ นี่ าไปส่กู ารเกดิ พทุ ธใหมใ่ นสังคมไทย
ในสภำพสังคมท่ีมีกำรเปลี่ยนแปลง และมีควำมซับซ้อนเชิงโครงสร้ำงมำกข้ึน เหตุผล

หลำย ๆ กรณีท่ีมีผลผลักดัน และขับเคล่ือนให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงในสภำพต่ำง ๆ แตกต่ำงกันไป
ตำมเหตปุ ัจจยั ซึง่ นธิ ิ เอยี วศรีวงศ์ ให้เหตผุ ลเชงิ ทศั นะอธิบำยถงึ ปรำกฏกำรณน์ ี้ไวว้ ่ำ

ปัญหำหลำยต่อหลำยอย่ำงท่ีเกิดข้ึนในสังคมไทยปัจจุบัน ไม่ว่ำจะเป็นปัญหำทำงกำรเมือง
เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม ล้วนเป็นผลมำจำกควำมเปล่ียนแปลงอย่ำงมโหฬำร ทำงด้ำนเศรษฐกิจ
สังคมทเี่ กดิ แก่สงั คมไทยมำกกวำ่ สำมทศวรรษแล้ว ควำมพยำยำมจะแก้ปัญหำโดยกำรปรับสถำบัน
ด้วยกำรเปลี่ยนวธิ กี ำร บคุ ลำกร ประชำสมั พนั ธ์ หรอื รำยละเอียดปลีกย่อยต่ำง ๆ โดยไม่ปรับเปลี่ยน

๘ ศกึ ษำแนวคดิ และเจตนำรมณ์ในกำรตคี วำมของหลวงพ่อพุทธทำส ใน อำนวย ยสั โยธำ, การนา
ทางสูเ่ น้อื ธรรมของทา่ นพทุ ธทาส, (กรงุ เทพมหำนคร: สำนักงำนกองทุนสนับสนนุ กำรวจิ ัย (สกว.), ๕๔ ),
หน้ำ บทคดั ยอ่ .

๙พทุ ธทำสภิกขุ, ภาษาคน ภาษาธรรม, (กรุงเทพมหำนคร : ธรรมสภำ, ๕๔๘).
๐พุทธทำสภกิ ขุ, ธัมมกิ สังคมนยิ ม, (กรุงเทพมหำนคร : มลู นิธโิ กมลคมี ทอง, ๕ ๙).
ธรี วสั บำเพ็ญบุญบำรม,ี โครงการธรรมศึกษาวิจัย มังสวิรัติของสานักสันติอโศก - นิพพานเป็น
อัตตาของสานักวัดพระธรรมกาย ศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาตลอดจนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
พร้อมบทวิเคราะห์ธรรมของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), (ธรรมศึกษำวิจัย, ตำมหลักสูตรวิจัยคัมภีร์
พระพุทธศำสนำ, มูลนิธเิ บญจนกิ ำย มหำวทิ ยำลยั มหำมกุฏรำชวทิ ยำลัย, ๕๕๐), หนำ้ -๕๐.

รำยละเอียดใน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), กรณีธรรมกาย : บทเรียนเพื่อพระพุทธศาสนา
และสรา้ งสรรค์สงั คมไทย, (กรุงเทพมหำนคร : ธรรมสำร, ๕๔ ), หน้ำ -๔๔.

ถงึ ระดับโครงสร้ำงจะไม่สำมำรถแก้ปัญหำที่เกิดขึ้นได้จริง ทั้งนี้เพรำะควำมเปลี่ยนแปลงในระดับ
รำยละเอยี ดปลีกย่อยจึงไม่เปน็ หนทำงใหเ้ ผชิญกับปญั หำใหม่ ๆ ที่เกดิ ขึ้นได้

ดังนั้นในควำมเปลี่ยนต่ำง ๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมไทยปัจจุบัน ทำให้ชำวพุทธกลุ่มหน่ึง ๆ
หรือหลำย ๆ กลุ่มได้เป็นผู้สร้ำง (Creation) หรือรวมไปถึงเชื่อว่ำมี “ส่ิงสร้ำง” หรือ “ฟ้ำสร้ำง”
(Creationism) ๔ ดังปรำกฏในกลุ่มสำนักทรง หรือวัตถุมีฤทธิ์ โดยมีควำมพยำยำมท่ีจะสร้ำงควำม
เป็นพุทธในลักษณะเฉพำะตำมท่ีต้องกำร และในเวลำเดียวกัน ควำมเปล่ียนแปลงเหล่ำน้ีได้ส่งผล
เป็นควำมแตกต่ำง ซ่ึงผู้วิจัยพยำยำมแสวงหำเหตุผลท่ีผลักดันให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงภำยใน และ
ภำยนอก เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยต่ำง ๆ ที่จะมำเป็นตัวเร่ง และเป็นตัวสนับสนุน รวมทั้งเอ้ือให้
เกดิ กระบวนกำรพทุ ธใหม่อย่ำงต่อเน่อื ง ซ่งึ สำมำรถอธิบำยถึงสำเหตุนำไปสู่กำรเปลยี่ นแปลงได้ ดังน้ี

ก. สาเหตุจากการเปล่ียนแปลง
ถ้ำนำทฤษฎีเรื่องหน้ำที่ ๕ สเปนเซอร์ (Herbert Spencer ค.ศ.1820–1903) นักสังคม
วิทยำ ที่มองสังคมว่ำ มีลักษณะเหมือนอินทรีย์ ซึ่งประกอบส่วนต่ำง ๆ เข้ำด้วยกัน ทำหน้ำที่เพื่อให้
อนิ ทรยี น์ ัน้ ดำรงชวี ิตอย่ไู ด้ แต่ละสว่ นแยกจำกกนั ได้ และมหี นำ้ ทเ่ี ฉพำะของมัน กำรดำรงอยู่ของ
สังคมจึงข้ึนอยู่กับกำรทำหน้ำท่ีของส่วนต่ำง ๆ ท่ีต้องสอดประสำนกัน แนวกำรศึกษำสังคมตำม
ทฤษฎีน้ีคือพิจำรณำส่วนต่ำง ๆ ของสังคมแต่ละส่วน เช่น ศำสนำ กำรเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ แล้ว
ศึกษำถึงหน้ำท่ีส่วนต่ำง ๆ น้ัน และพิจำรณำว่ำส่วนต่ำง ๆ มีควำมสัมพันธ์ซ่ึงกันและกันเป็นสังคม
ท้ังหมดอย่ำงไร กล่ำวโดยสรุป สังคมเป็นระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่ำง ๆ ประสำนรวมกัน โดยมี
กลไกควบคุมเพ่ือให้ระบบต่ำง ๆ ที่อำจมีหน้ำที่ทำงลบให้สังคมดำรงอยู่ได้ กำรเปลี่ยนแปลงของ
สังคมจะเป็นไปทีละเล็กทีละน้อย และควำมเป็นเอกภำพจะเกิดจำกสมำชิกในสังคมมีค่ำนิยม
ร่วมกนั อนั จะทำให้สังคมดำรงอยอู่ ย่ำงม่ันคง ซ่ึงในกำรศึกษำนี้ จะได้จำแนกให้เห็นถึงปัจจัยต่ำง ๆ
เมื่อแยกส่วนกันแล้วจะมีผลต่อกำรขับเคลื่อนและเป็นสิ่งเร้ำให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงอย่ำงท่ีปรำกฏ
ต่อพระพทุ ธศำสนำในภำพรวมปจั จบุ นั ได้

นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์. “อนำคตองค์กรสงฆ์,” ใน ศรศี กั ด์ิ วัลลิโภดม, มองอนาคต : บทวิเคราะห์เพื่อ
ปรับเปล่ยี นทศิ ทางสังคมไทย, พิมพค์ ร้งั ที่ ๕, (กรงุ เทพมหำนคร : มลู นิธิภมู ิปัญญำ, ๕๕ ), หน้ำ .

๔ อนุช อำภำภริ ม, เทคโนโลยปี ฏวิ ตั โิ ลก : สู่สงั คมความรแู้ ละย่งั ยืน, (กรุงเทพมหำนคร : โครงกำร
วิถที รรศน์, ๕๔ ), หนำ้ ๙.

๕จำนง อดวิ ัฒนสิทธิ์ และคณะ. สังคมวทิ ยา, พิมพค์ รัง้ ที่ ๘, (กรงุ เทพมหำนคร:
มหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์, ๕๔๐), หนำ้ ๘.

๒.๓.๑ ปัจจยั ภายในองค์การพทุ ธกระแสหลกั
๑. พทุ ธบรษิ ัท ๔

องค์ประกอบทำงพระพุทธศำสนำคือ ชำวพุทธ ที่หมำยถึง “พุทธบริษัท ๔” ที่จะมีส่วน
รองรับกำรเปล่ียนแปลงในเชิงสร้ำงสรรค์ พัฒนำ หรือในควำมเส่ือม ล้มเหลวขององค์กรศำสนำ
หำกพิจำรณำจำกเจตนำรมณ์ของพระพุทธองค์ คือส่งเสริมให้ชำวพุทธ รู้ เข้ำใจ นำไปปฏิบัติต่อ
หลักกำรในทำงพระพุทธศำสนำอย่ำงแท้จริงตำมแนวคิดท่ีปรำกฏในปรินิพพำนสูตร ในครำวที่
พญำมำรทูลขอให้พระพุทธเจ้ำปรินิพพำน โดยพระพุทธเจ้ำตรัสตอบไปว่ำ จะปรินิพพำนเมื่อ
“พทุ ธบรษิ ัท รแู้ ละเข้ำใจพระพุทธศำสนำ” หำกพิจำรณำจะเห็นว่ำพระพุทธเจ้ำให้ควำมสำคัญไปท่ี
บริษัท ๔ ที่จะช่วยกันรักษำและสืบทอดอำยุพระพุทธศำสนำ กำรท่ีพระองค์ส่งเสริมให้ชำวพุทธ
“รู้” เข้ำใจ ปฏิบัติได้อย่ำงถูกต้องตำมหลักพระพุทธศำสนำย่อมเป็นเป้ำหมำยท้ังในคร้ังพุทธกำล
และสืบเน่ืองมำจนกระทั่งปัจจุบัน ในทำงกลับกัน ถ้ำพุทธบริษัทอ่อนแอ ไม่รู้ในส่ิงที่พึงรู้ในฐำนะ
เป็นชำวพทุ ธ (บรษิ ัท ๔) ตอบสนองไม่ทันต่อกำรเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นวันต่อวัน ทั้งปรับตัวรองรับ
ตอ่ กำรเปลยี่ นแปลงอย่ำงเหมำะควร สมเหตุสมผลต่อควำมเป็นชำวพุทธ

แนวคิดประกำรหน่ึงที่พระพุทธเจ้ำตรัสแก่พญำมำร ครำวที่มำทูลให้พระพุทธองค์
ปรินิพพำน โดยตรสั ตอบพญำมำรไปว่ำ จะปรินพิ พำน กต็ อ่ เมอ่ื “พทุ ธบรษิ ัท” หรือชำวพุทธ รู้อรรถ
รู้ธรรม และเข้ำใจเก่ียวกับควำมรู้ในพระพุทธศำสนำ แนวคิดนี้ย่อมสะท้อนได้ประกำรหนึ่งว่ำชำว
พุทธ ยังไม่พร้อมในกำรที่จะรักษำพระพุทธศำสนำ ทั้งยังเป็นสำเหตุต่อควำมอ่อนแอในองค์รวม
เมื่อชำวพุทธไม่รู้ ไม่เข้ำใจหลักกำรที่แท้จริง ทำให้เกิดกำรศึกษำท่ีผิดพลำดได้ จนเป็นเหตุให้เกิด
พฤติกรรมต่ำง ๆ ที่แตกต่ำงจำกคำสอนของพระพุทธศำสนำได้ ซ่ึงสำมำรถจำแนกสำเหตุอันเป็น
ปจั จัยภำยในได้ ดังน้ี

.การขาดความรู้ของชาวพุทธ (พุทธบริษัท ๔) ซึ่งในควำมหมำยนี้ ไม่ได้จำกัด หรือ
จำเพำะต่อใคร แต่ในควำมหมำยรวมคือชำวพุทธ เมื่อขำดควำมรู้ควำมเข้ำใจ ในองค์ควำมรู้ทำง
พระพุทธศำสนำ ทำให้เกิดภำวะควำมพร่องในองค์รวม ทั้งได้ก่อให้เกิดกำรขับเคล่ือนอย่ำงไม่เป็น
ระบบ ดังปรำกฏเป็นทศั นะของหลวงพอ่ พทุ ธทำสที่วำ่

น่ีแหละคือ สถำนะอันแท้จริง ของกำรศึกษำ และปฏิบัติ พุทธศำสนำในประเทศไทย มีผล
ทำให้ พุทธบริษัทชำวไทย กลำยเป็นชำวต่ำงศำสนำของตนไป ฉะน้ัน เรำควรต้ังต้นศึกษำ
และปฏิบัติ หลักพระศำสนำ ของเรำเสียใหม่ อย่ำมัวหลง สำคัญผิดว่ำ เรำรู้พุทธศำสนำดีกว่ำ
ชำวต่ำงประเทศ เพรำะนึกว่ำ เรำได้อยู่กับ พุทธศำสนำ มำนำนแล้ว มีผู้เขียน มีผู้แต่งตำรำ
เกี่ยวกับพุทธศำสนำ มำกพอแล้ว เรำไปค้นคว้ำ เอำตัวพุทธศำสนำ ผิดๆ หรือไปคว้ำเอำแต่

เพียงกระพ้ี ของพุทธศำสนำ ไปคว้ำเอำพุทธศำสนำเน้ืองอก ใหม่ ๆ มำอวดอ้ำง ยืนยันกันว่ำ
น่ีเป็นพุทธศำสนำแท้ ฉะนั้น หนังสือพุทธศำสนำ ที่เขียนข้ึนมำ จึงมีส่ิงที่ ยังมิใช่ตัวแท้ ของ
พุทธศำสนำ รวมอยู่ดว้ ย ๔๐-๕๐% เพรำะ ร้เู ทำ่ ไมถ่ งึ กำรณ์ นำเอำพระพุทธศำสนำ ไปปนกับ
ลัทธิอ่ืนๆ ซึ่งมีอยู่ในประเทศอินเดีย ซ่ึงบำงอย่ำง ก็คล้ำยคลึงกันมำก จนถึงกับ มีผู้ที่ไม่
แตกฉำน เพียงพอ อำจจะนำไป สับเปล่ียน หรือ ใช้แทนกันได้โดยไม่รู้ เช่น คำตู่ต่ำงๆ ของ
พวกบำทหลวง ท่มี ใี จเกลยี ดพทุ ธศำสนำ เมอื่ บำทหลวงผูน้ ั้น เป็นผู้มีช่ือเสียง และมีคนนับถือ
กวำ้ งขวำง หนงั สอื เล่มนนั้ ก็กลำยเปน็ ทเี่ ช่อื ถือ ของผู้อ่ำนไปตำม ๆ กัน

. ความเปน็ เอกภาพในนามขององค์กรชาวพุทธ ปฏสิ มั พันธ์ในนำมพุทธบริษทั ตอ่ ชำว
พทุ ธไมก่ ่อให้เกดิ ควำมเข้ำใจต่อพระพทุ ธศำสนำในองค์รวม ทำให้ควำมเปน็ พระพทุ ธศำสนำไมไ่ ด้
รับกำรศึกษำจนกระทงั่ เข้ำใจ เม่อื มีเหตุกำรณใ์ ด ๆ อันมีผลกระทบต่อหลกั กำรทำงพระพทุ ธศำสนำ
จึงไมไ่ ดร้ ับควำมร่วมมือ แก้ไขและปฏิบัติอยำ่ งสอดคล้องทั้งหลักกำร หลกั ปฏบิ ัติ โดยมีผลมุง่ หวัง
เปน็ ควำมถกู ต้องท่ีเป็นเอกภำพของชำวพทุ ธในองค์รวม

. ชาวพทุ ธไมไ่ ดม้ องเหน็ ความสาคญั ต่อการรกั ษาปกป้องพระพุทธศาสนา กลำ่ วคือชุด
คดิ ช่ัวช่างชี ดีช่างสงฆ์ ทำให้พระพุทธศำสนำ ในองค์รวมที่มีพระสงฆ์เป็นหน่วยนำ ไม่ได้รับกำร
ดูแล เป็นดุจพระสงฆเ์ ปน็ เจ้ำของพระพุทธศำสนำแต่ผูเ้ ดียว จะด้วยเหตุผลของระบบโครงสร้ำงที่มำ
พร้อมกฎหมำยท่ีแยกปฏิสัมพันธ์ของพระสงฆ์กับชุมชนออกจำกกัน กลำยเป็นพระสงฆ์ของรัฐไป
ควำมเข้ำใจท่ีคลำดเคล่ือนและช่องว่ำงดังกล่ำว ดังน้ันเมื่อเกิดเหตุกำรณ์ใด ๆ อันมีผลกระทบต่อ
หลักธรรม หรือหลกั กำรทำงพระพุทธศำสนำ จึงถูกวำงเฉยและไม่ได้รับกำรเข้ำมำมีส่วนร่วมแก้ไข
อยำ่ งทนั ท่วงที ในนำมของพุทธบรษิ ัท ๔

ดังนัน้ หำกหำกนำแนวคิดนม้ี ำอธิบำยอำจทำใหเ้ หน็ ภำพลกั ษณ์ตอ่ ควำมเปน็ ชำวพุทธใน
ปัจจุบัน ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงควำมไม่ม่ันคง ท้ังต่อหลักกำร กำรขำดควำมรู้ ควำมเข้ำใจ
พระพทุ ธศำสนำในองค์รวม จึงทำให้ชำวพุทธท้ังหมด มีกำรศึกษำและปฏิบัติพระพุทธศำสนำท่ีไม่
ครบตำมองค์รวม เป็นผู้ออกแบบพระพุทธศำสนำในแบบท่ีตัวเองต้องกำร หรือไม่ก็แสวงหำ
แนวทำงซง่ึ สอดคลอ้ งกบั รูปแบบ ควำมพงึ พอใจและชนื่ ชมเป็นหลัก ซึ่งภำพกำรณ์ดังกล่ำวได้ส่งผล
เป็นควำมเปลย่ี นแปลงตอ่ พระพุทธศำสนำดังที่ปรำกฏอยู่ในปัจจุบนั

คดั จำก หนงั สอื ตัวกู-ของกู พุทธทำสภกิ ขุ ฉบบั ยอ่ , ย่อโดย คุณปนุ่ จงประเสริฐ (เรียบเรียงจำก
คำบรรยำยเรื่อง ตวั ก-ู ของกู (ฉบบั สมบูรณ)์ ของท่ำนพทุ ธทำส),[ออนไลน]์ , แหลง่ ท่ีมำ
http://www.buddhadasa.com/self/self_๐1.html ( กันยำยน ๕๕ ).



๒. องค์การปกครองคณะสงฆ์
มหำเถรสมำคม ในฐำนะเป็นผู้บริหำรองค์กรภิกษุบริษัท และพุทธศำสนำในประเทศ
ไทยโดยรวม ไม่มีควำมพร้อม ท้ังขำดควำมรู้ควำมเข้ำใจต่อกำรตอบรับ กับกำรเปล่ียนแปลงท่ีถำ
โถม และกำลังเกิดข้ึนได้อย่ำงรู้เท่ำทัน ดังทัศนะของพระมหำจรรยำ สุทฺธิญำโณ ท่ีกล่ำวไว้ว่ำ
“องคก์ รคณะสงฆต์ อบสนองไม่ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลง” ซึ่งรับกับข้อมูลของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่
เสนอทัศนะไว้ว่ำ “มหำเถรสมำคมนั้นไม่เคยสำมำรถตอบสนองควำมเปลี่ยนแปลงของสังคมใน
ระยะเวลำประมำณ ๐-๔๐ ปีท่ีผ่ำนมำนี้ได้เลย สักเร่ืองเดียว...และเหตุผลที่ไม่สำมำรถตอบสนอง
สังคมได้ คงมีปัจจัยหลำยอย่ำงด้วยกันที่ทำให้เถรสมำคม ไม่สำมำรถตอบสนองต่อควำม
เปลยี่ นแปลงของสงั คมได้ ๘...โครงสร้ำงของมหำเถรสมำคมที่ทำให้พระเหล่ำน้ี และบริษัทบริวำร
พระเหล่ำนี้ท่ีไม่ได้อยู่ในมหำเถรสมำคมด้วย มันได้ประโยชน์ยึดโยงกันท่ัวทั้งสังคมกว้ำงมำก
จนกระทั่งว่ำกำรปรับเปลี่ยนแต่เพียงเร่ืองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ถ้ำมหำเถรสมำคมเป็นผู้นำในกำร
ต่อต้ำนส่ิงที่อำจำรย์สุลักษณ์ชอบพูดเอำไว้เสมอ คือบริโภคนิยม เช่นบอกให้พระช่วยเทศน์ให้คน
เลิกด่ืมโค๊ก (Coke) ทีได้ไหม ในระยะยำว มันจะไปกระทบต่อโครงสร้ำงผลประโยชน์และอำนำจ
ของตวั มหำเถรสมำคมดว้ ยสำหรับกำรไปต่อต้ำนบริโภคนิยม..” นอกจำกน้ี นธิ ิ เอียวศรีวงศ์ ยังเสนอ
ว่ำ จำต้องมีกำรปรับเปลี่ยน “ไม่แต่เพียงแค่บทบำทของตนในระบบควำมสัมพันธ์แบบเดิมเท่ำน้ัน
แต่ต้องปรับเปลี่ยนตัวระบบควำมสัมพันธ์กับชำวบ้ำนใหม่ท้ังหมดทีเดียว " โดยที่ระบบ
ควำมสัมพันธ์นั้นต้องสอดคล้องกับโครงสร้ำงของสังคมปัจจุบันด้วย ๙ พร้อมกันนั้นกำรที่คณะ
สงฆ์ มีกำรปรับตัวไม่ทันต่อควำมเปลี่ยนแปลงต่ำง ๆ ซ่ึงส่วนหน่ึงได้กลำยเป็นปัญหำขององค์กร
คณะสงฆไ์ ป ดังปรำกฏในงำนของวรัญญู ชำยเกตุ ๔๐ พูนศักด์ิ ชูตำภำ ๔ ท่ีมองถึงปัญหำกำรบริกำร
จัดกำรองค์คณะสงฆ์ผ่ำนมหำเถรสมำคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ำองค์คณะสงฆ์เองเป็นองค์กรท่ี

พระมหำจรรยำ สุทธิญำโณ, ปฏิรูปการสงฆ์, (กรงุ เทพมหำนคร: สถำบันปัญญำนนั ทะ, ๕ ๙),
หน้ำ - .

๘ บทควำม “ภกิ ษุณี คติหรืออคต"ิ ณ มหำวทิ ยำลยั เท่ยี งคนื วทิ ยำเขตวัดอุโมงค์ จ.เชยี งใหม่
[ออนไลน]์ .แหลง่ ท่ีมำ : http://www.midnightuniv.org/finearts/2544/newpage01.html" [ ก.ย.๕ ]

๙ พระไพศำล วิสำโล“นิธิ เอียวศรีวงศ์ คุณูปกำรต่อพุทธศำสนำ” มหำวิทยำลัยเที่ยงคืน
จ.เชียงใหม่ [ออนไลน์].แหลง่ ที่มำ : http://www.midnightuniv.org/miduniv2001/newpage17.html (๕ ก.ย.๕ ).

๔๐ วรัญญู ชำยเกตุ, “องค์กรสงฆ์กับกำรปัญหำควำมขัดแย้งในพุทธศำสนำ : ศึกษำเฉพำะกรณีวัด
พระธรรมกำย”, วิทยานิพนธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ , (บัณฑิตวทิ ยำลัย : มหำวิทยำลัยรำมคำแหง, ๕๔๔).

๔ พนู ศกั ดิ์ ชูตำภำ, “ปญั หำกำรบรหิ ำรงำนของมหำเถรสมำคม ศกึ ษำปัญหำดำ้ นกำรจดั โครงสรำ้ ง
องคก์ ำร”, ภาคนพิ นธร์ ฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ ,(คณะรฐั ศำสตร์ : : มหำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร,์ ๕๔ ), หน้ำ -๔.



กลำยเป็นปัญหำในตัวเอง และก่อให้เกิดนวัติกรรมทำงพระพุทธศำสนำใหม่ท่ีตอบสนองควำม
อ่อนแอ และไม่สำมำรถจัดกำรสง่ิ ใด ๆ ได้ขององค์กรปกครองสงฆ์

ดังนั้นเมอื่ พิจำรณำประเด็นกำรไม่ตอบสนองต่อกำรเปลี่ยนแปลง ของคณะสงฆ์กระแส
หลักตำมทัศนะของอำจำรย์นิธิก็หมำยควำมว่ำ ระบบกำรบริหำรคณะสงฆ์ไม่สำมำรถตอบสนอง
กระแสพลวฒั น์ในสงั คมไดอ้ ยำ่ งทันทว่ งที จงึ ทำให้เกดิ กระบวนกำรแสวงหำทำงออกใหม่ ๔

๓. พุทธกระแสหลกั ขาดการนาทางดา้ นจิตวญิ ญาณ
ในสภำพกำรณ์ปัจจุบัน กำรที่สงั คมพระพทุ ธศำสนำ ขำดภำวะกำรนำทำงจิตวิญญำณ จึง
เปน็ เหตุปัจจัย ที่ทำให้ชำวพุทธหลำกหลำยกลุ่ม เกิดข้ึนมำพร้อมแสวงหำแนวทำงใหม่ในบรบิ ทของ
ควำมพึงพอใจเป็นหลัก ซ่งึ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่ำนมองว่ำเป็นเพรำะมนุษย์ตอ้ งกำรที่
พงึ่ จำกศำสนำทช่ี ่วยเหน่ยี วนำจติ ใจ เป็นเครื่องปลอบประโลม บำรุงขวัญ ทำให้สบำยใจ แต่จุดน้ีเป็น
จดุ อนั ตรำยดว้ ย เพรำะฉะนั้นท่ีว่ำศำสนำ เป็นที่พ่ึงยึดเหนยี่ วจิตใจ นั้นต้องแบ่งเป็น แบบ คือ
แบบหน่งึ เปน็ ท่พี งึ่ ยดึ เหนีย่ วจติ ใจ ชนิดทเ่ี หนีย่ วแลว้ ดึงลง หมำยควำมว่ำดึงให้หมกให้จม
อยกู่ ับกำรหวังพงึ่ พงิ ส่ิงเหล่ำน้ันเร่ือยไป เลยเกำะเพลินอยู่นั่นเอง ไม่ต้องคิดเพียรพยำยำมทำ
อะไร กว็ นเวียนอยูแ่ ค่นัน้ พฤติกรรมจิตใจ และปญั ญำก็ไมเ่ จรญิ ไม่ได้ฝึกปรือพัฒนำตนเอง
อีกแบบหนึ่ง เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เหน่ียวแล้วดึงข้ึน คือเหนี่ยวพอให้เป็นท่ีเกำะ
ผ่ำนเท่ำนั้น ในเม่ือคนเขำยังไม่เข้มแข็ง ไม่แข็งแรง เหมือนยังว่ำยน้ำไม่เป็น พอได้ท่ีเกำะ
เอำไว้ก่อน แต่ตัวศำสนำเองอยู่เลยจำกนั้นไป ต่อจำกน้ันต้องช่วยให้เขำเข้มแข็งข้ึนแล้ว
เดนิ หนำ้ ต่อไปสูต่ ัวศำสนำท่แี ทจ้ ริง ไมใ่ ชจ่ มวน อย่แู ค่นั้น ๔

๔ [ออนไลน์], แหล่งท่ีมำ : http://www.midnightuniv.org/finearts2544/newpage๐1.html (มหำลัย
เทย่ี งคนื จ.เชยี งใหม)่ ( กนั ยำยน ๕๕ ).

๔ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ถ้าอยากพัฒนาวิกฤต ต้องเลิกติดไสยศาสตร์ ,
(กรุงเทพมหำนคร: พมิ พ์สวย, ๕๕ ), หนำ้ ๙- ๐.

ไสยศำสตร์/ ยึดถอื แล้ว ปลอบใจ สบำยใจอ่นุ ใจ ผล ทำงตัน-
วัตถุมฤี ทธ์ิ นอนใจ รอให้ท่ำนบันดำลให้ มโี ทษมำก

ยดึ ถอื แลว้ รวมใจได้ เกดิ กำลงั ใจ ผล มีทำงเดินต่อ
ม่ันใจ ทำกำรอย่ำงเข้มแข็งยิ่งขนึ้ ไป พอรับได้

แผนภำพท่ี .๕ ผังแสดงผลตอ่ ควำมเช่อื ในวัตถุมีฤทธ์ิและไสยศำสตร์
ท่ีมำ พระพรหมคณุ ำภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), ถ้าพน้ วิกฤติตอ้ งเลิกตดิ ไสยศาสตร์, หนำ้ ๐.

โดยสรปุ แนวคิดของพระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ตำมผังท่ี .๕ ท่ำนให้พิจำรณำ
ที่ประโยชนก์ บั เปำ้ หมำยปลำยทำงว่ำ มีผลต่อกำรขับเคลื่อนผู้ยึดถือย่ำงไร และแนวคิดโดยรวมของ
ท่ำนมองไปท่ีว่ำ “คนนับถือแบบไสยศำสตร์ เพื่อขอช่วยให้ดลบันดำล ให้มีโชคดีหนีเครำะห์ร้ำย
เวลำมำนับถือพระพุทธศำสนำก็เลยจะนับถือแบบนั้น เอำแค่นั้นเรียกว่ำไม่พัฒนำกำรนับถือศำสนำ
กำรเช่ือถือวุ่นวำยกับส่ิงเหล่ำน้ี ทำให้คนหลงเพลิน คอยรอและก็อำจจะงอมืองอเท้ำไม่ทำอะไร ทำ
ใหป้ ลอ่ ยปละละเลยกิจที่ควรทำ ชวี ิตและสังคมแบบน้ี จะเสี่ยงตอ่ ควำมเสอื่ มและภัยอนั ตรำย ๔๔

ในทัศนะของ ส.ศิวรักษ์ ในประเด็นของควำมไม่เท่ำทันต่อควำมเปล่ียนแปลง และกำร
ขำดกำรนำไว้คล้ำยกนั ที่ว่ำ

เรำมีพระสงฆ์ท่ีม่ันคงในศีลสิกขำ รวมทั้งมีควำมรู้ทำงปริยัติศึกษำอย่ำงแยบคำย แต่มัก
ขำดจิตสิกขำ ท่ำนท่มี งุ่ ทำงจิตสกิ ขำก็มี และบำงทำ่ นพวกนีก้ เ็ ครง่ ครัดในทำงศีลจริยำวัตรด้วย
แต่มักขำดควำมเข้ำใจในเร่ืองของสังคมเมืองหรือควำมเป็นไปของโลกสมัยใหม่ ซ่ึงเต็มไป
ด้วยโครงสร้ำงทำงสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรง ย่ิงชนช้ันกลำงที่เป็นคนรุ่นใหม่ด้วยแล้ว
จะหำเจ้ำกูท่ีรู้เท่ำทันคนพวกน้ี โดยใช้ธรรมะเป็นตัวเกื้อกูลให้เขำ นับว่ำหำได้ยำกย่ิง จะเห็น
ได้ว่ำสำนักซึ่งมีอิทธิพลกับคนรุ่นใหม่น้ัน มักเป็นไปในทำงสัทธรรมปฏิรูป หำไม่ก็เป็นไป
ถึงขนำดมิจฉำทิฐิเอำเลย ท่ีลองลงมำก็ใช้ไสยเวทวิทยำมอมเมำคน ย่ิงกว่ำใช้วิทยำกำรนั้น ๆ

๔๔พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ถ้าอยากพัฒนาวิกฤต ต้องเลิกติดไสยศาสตร์ ,
(กรงุ เทพมหำนคร: พมิ พส์ วย, ๕๕ ), หน้ำ - ๐.

นำผู้คนให้เข้ำถึงรัตนตยำธิคุณ ทั้งนี้ไม่ได้หมำยควำมว่ำพระดีและวัดดีไม่มี แต่มีน้อย และ
พระจำนวนนอ้ ยเหล่ำนก้ี ถ็ ูกสมี และอลชั ชโี จมตเี อำอย่ำงจงั ๆ ๔๕

สภ ำพ กำ รณ์ ท่ีพ ระ สง ฆ์ไ ม่ส ำม ำรถตอบ สนอง คว ำม เป ลี่ย นแ ปล งต่อสั งค มไ ด้อย่ำ ง
ทนั ทว่ งที กำรปรับตัว และกำรปรับองค์กรเพ่ือสนองตอบต่อบริบททำงสังคม ได้กลำยเป็นเง่ือนไข
ปัจจัยหน่ึง ท่ีนำไปสู่กำรเดินออกจำกหลักพุทธศำสนำตำมแบบท่ีตัวเองต้องกำรมำกข้ึน สอดคล้อง
กับแนวคิดของ จำนงค์ ทองประเสริฐ ท่ีให้ทัศนะไว้ในบทควำมเร่ือง “เมื่อข้ำพเจ้ำไปร่วมผ่ำตัด
พระพุทธศำสนำ” ๔ โดยสะท้อนทัศนะว่ำ “เมืองไทยยังเป็นพุทธไม่จริง” นัยหน่ึงเป็นกำรสะท้อน
มุ ม ม อ ง ภ ำ พ ร ว ม ก ำ ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ว ง ก ำ ร พ ร ะ พุ ท ธ ศ ำ ส น ำ แ ล้ ว ค ณ ะ ส ง ฆ์ แ ล ะ อ ง ค์ ก ร
พระพุทธศำสนำปรับตัวไม่ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงภำยใน รวมทั้งขำดกำรนำอย่ำงเป็นระบบและ
ตอบรบั ตอ่ สภำพที่เปน็ จรงิ

๓.๒.๑ ปจั จยั ภายนอกองค์กรพุทธกระแสหลกั
กำรที่สังคมมีควำมเปลี่ยนแปลง ซับซ้อน ผู้คนส่วนหน่ึง จึงเริ่มตระหนักและมองหำ
คุณคำ่ ในเชิงปัจเจกที่จะหำได้จำกพระพุทธศำสนำ ในรูปแบบที่แตกต่ำงกันไป ย่ิงควำมซับซ้อนใน
เชิงสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมมีควำมซับซ้อนมำกเท่ำใด คนก็จะยิ่งไม่ม่ันใจกับควำม
เปล่ียนแปลงท่ีเกดิ ข้นึ ทัง้ พยำยำมแสวงหำ สิง่ ใด ๆ มำทดแทนควำมไม่ม่นั คงเหลำ่ นนั้
ในเมื่อสงั คมไทยพยำยำมกำ้ วไปสสู่ ังคมในแบบ “ทุน” (Capitalism) กำรแสวงหำเพื่อให้
ไดม้ ำ สะสม และอยำกรกั ษำควำมมั่นคงเหล่ำน้ีไว้ กำรแสวงหำวิธกี ำรรักษำสิ่งที่หำได้มำ จึงเกิดข้ึน
อย่ำงเปน็ ระบบ พระพทุ ธศำสนำถูกตีควำมใหม่ ทงั้ เพอ่ื ให้ง่ำยต่อกำรเข้ำใจ สนองควำมพึงพอใจเชิง
ปัจเจก ถูกตีควำมเพือ่ ประโยชน์ต่อกำรศึกษำและรกั ษำพระพุทธศำสนำ ในรูปแบบต่ำง ๆ ๔ อำทิ

( ) การต้องการความมัน่ คงในรปู แบบที่ตอบสนองควำมพึงใจในเชิงวตั ถุ ซึง่
หมำยถึงกำรสะสมและเม่อื ได้มำแล้วกไ็ ม่อยำกสญู เสียไป ซง่ึ กรอบคิดน้ีหมำยถงึ จะทำอยำ่ งไร ที่จะ

๔๕ทัศนะ ศ.สิวลักษณ์, “คำนยิ ม”, ใน มโนเมตตำนันโท ภิกขุ, เหตเุ กิด พ.ศ. ๑ : เลม่ ๑ วิเคราะห์กรณี
พทุ ธปรินิพพาน, (กรงุ เทพ : สำนักพิมพพ์ ระอำทิตย,์ ๕๔๕), หนำ้ ๔.

๔ จำนงค์ ทองประเสริฐ, พระพุทธศาสนากับสังคมและการเมือง, (กรุงเทพมหำนคร :
คอมแพค็ ท์พรนิ้ ท์, ๕ ๙), หน้ำ ๕- .

๔ พระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต (โอชำวัฒน์), “กำรศึกษำควำมเชื่อและพิธีกรรมทำง
พระพุทธศำสนำของร่ำงทรง : กรณีศึกษำในเขตกรุงเทพมหำนคร”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,
(บณั ฑิตวทิ ยำลัย : มหำวทิ ยำลยั มหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๕๔๘), หนำ้ .



ใหส้ ่งิ เหล่ำนี้ มีอยู่ ดำรงอยู่ แม้จะเป็นเพียงชวั่ ระยะส้ันแตก่ อ็ ยำกให้สงิ่ เหลำ่ น้ีคงอยู่ กำรแสวงหำ
วธิ ีกำรเพือ่ รกั ษำควำมม่ันคงนั้นไวจ้ ึงเกิดขึ้น

ดงั ทัศนะของพระสมหุ ส์ ุรำงค์ สจุ ิณฺโณ ไดส้ ะทอ้ นคิดไว้ในงำนวจิ ยั เรอื่ ง “สมชีวติ ำกับ
กำรแกป้ ญั หำบริโภคนยิ มในสังคมไทย” วำ่ ๔๘

ในท่ำมกลำงกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม หรือกระแสตะวันตกนิยม ท่ีกำลังเป็นส่วน
หนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทยปัจจุบัน และได้แผ่วงกว้ำงออกไปจำกสังคมเมือง ไม่ว่ำจะเป็น
นกั ธุรกิจ ขำ้ รำชกำร ประชำชนทว่ั ไป รวมไปถึงนกั เรยี นนักศกึ ษำ ซง่ึ ทำใหพ้ ฤตกิ รรมของคน
ไทยตกอยู่ภำยใต้สภำวะควำมอยำกและควำมปรำรถนำเพิ่มเร็วกว่ำขีดควำมสำมำรถในกำร
หำรำยได้และกำรผลิต ควำมรู้สึกอึดอัดขัดข้องจึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลำ ต้องด้ินรนหำวัตถุ
ปัจจัยต่ำง ๆ มำปรนเปรอตนอย่ำงไม่ส้ินสุดและทุกรูปแบบ ซ่ึงกำรแสวงหำในบำงวิธีกำร
นำไปสู่กำรทำผดิ กฎหมำย และทำลำยสังคม

จำกขอ้ มูลของพระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต (โอชำวัฒน์) กำรศึกษำควำมเชื่อและพิธีกรรม
ทำงพระพุทธศำสนำของร่ำงทรง : กรณีศึกษำในเขตกรุงเทพมหำนคร ท่ีมองว่ำ ในสังคม
วฒั นธรรมทีเ่ ปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเรว็ เกิดควำมกดดัน กำรแข่งขัน ธุรกิจ และกำรศึกษำ... ๔๙ทำให้
ต้องแสวงหำที่พึ่งอื่น เพื่อสร้ำงควำมมั่นใจ ภูมิคุ้มกันทำงควำมคิด และในเวลำเดียวเป็นกำรบำบัด
ควำมไมม่ ั่นคงทำงจิตด้วย ซึ่งทำ่ นมองวำ่ เหตุผลหนึ่งท่ีคนมำพึ่งกำรเข้ำทรงที่ปรำกฏในงำนวิจัยของ
ทำ่ น ท่ำนเสนอวำ่ เพรำะตอ้ งกำรอำนำจบำงอยำ่ ง ทจี่ ะช่วยให้เขำเหล่ำนัน้ มีควำมม่ันใจและ หลีกหนี
ควำมกลัวดังท่ีกล่ำวมำ นอกจำกนี้ในงำนวิจัยยังสรุปว่ำ “ร่ำงทรงช่วยตอบสนองควำมต้องกำรและ
ช่วยเหลือผ้คู นในสภำพเศรษฐกิจและสังคมแบบใหม่ได้ส่วนหน่ึง ซึ่งจำกกำรที่ร่ำงทรงเป็นเสมือน
ผเู้ ชย่ี วชำญเฉพำะดำ้ น ในชมุ ชนทีม่ ลี กั ษณะควำมเปน็ สังคมสมัยใหม่ และกำรที่สำมำรถตอบสนอง

๔๘ พระสมุห์สุรำงค์ สุจิณฺโณ(จันทร์งำม), “สมชีวิตำกับกำรแก้ปัญหำบริโภคนิยมในสังคมไทย”,
ในรวมบทความทางวิชาการ โครงการสัมมนาวิชาการ ผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่น, (บัณฑิตวิทยำลัย :
มหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลัย วันอำทติ ย์ที่ กันยำยน พ.ศ. ๕๕ ), หนำ้ ๙- .

๔๙พระเฑยี รวทิ ย์ อตฺตสนโฺ ต (โอชำวัฒน์), “การศกึ ษาความเช่อื และพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
ของร่างทรง : กรณศี ึกษาในเขตกรงุ เทพมหานคร”, หน้ำ ๔. (อ้ำงใน รตพร ปัทมเจริญ , “กระบวนกำรเข้ำสู่กำร
เป็นร่ำงทรง : กรณีศึกษำร่ำงทรงในเขต อ.เมือง จ.นครปฐม”, วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาบณั ฑติ , (คณะสังคมวทิ ยำและมำนุษยวิทยำ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์, ๕๔ ), หนำ้ - .)



ผูค้ นในสงั คมปัจจบุ นั ไดด้ นี ่เี อง ทำใหร้ ่ำงทรงยังคงควำมสำมำรถดำรงอยใู่ นสังคมและมีแนวโน้มว่ำ
จะเพ่ิมมำกขน้ึ ในปัจจุบัน ๕๐

สอดคล้องกับแนวคิดของนักมำนุษยวิทยำท่ีมองว่ำ กำรทรงเจ้ำเข้ำผีเป็นเรื่องของคนที่
ด้อยอำนำจทั้งทำงเศรษฐกิจ ข้อมูลข่ำวสำร กำรเมือง คนท่ีตำมไม่ทันควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม
ก็จะหันเข้ำหำคนทรงเพื่อสร้ำงฐำนอำนำจจำกสิ่งเหนือธรรมชำตินี้ให้แก่ตน เท่ำกับว่ำท้ำยที่สุด
ปัญหำชีวิตตนจะคลี่คลำยด้วยอำนำจศักดิ์สิทธ์ิของ “เจ้ำ”...คนทรงเจ้ำนั้นเป็นวงกำรที่มีกำรเติบโต
และกำรเติบโตนั้นดำเนินไปพร้อม ๆ กับควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม...ตรำบใดที่กำรทรงเจ้ำยัง
ดำรงอยู่ ตรำบน้นั มันก็ยังคงทำหนำ้ ท่ใี นตวั ของมนั ๕

มุมมองของอภิญญำ เฟื่องฟูสกุล ๕ ท่ใี ห้ควำมสำคญั กับควำมเช่อื ท่ีอิงอย่กู ับกำรควบคุม
ทำงสงั คมทตี่ ่ำงมหี น้ำท่ีของกันและกนั ว่ำ

นักสังคมวิทยำนักมำนุษยวิทยำ พยำยำมจะตอบโจทย์ที่ว่ำผีหรือ ไสย อยู่ยงคงกระพัน
อยำ่ งไร วธิ ตี อบโจทย์ตรงนี้ มีหลำยอย่ำง อย่ำงหนึ่ง คือ อธิบำยตำมแนวคิดโครงสร้ำงหน้ำที่
ตัวอย่ำงเช่น งำนคลำสสิคของอำจำรย์ โธมัส เคิร์ช (Thomas Kirsch) ท่ีวิเครำะห์กำรอยู่
รว่ มกันของพทุ ธ ผี พรำหมณ์ และงำนของทำ่ นอำจำรยแ์ ทมบำยห์ (Stanley J. Tambiah) ท่ีไป
สำรวจชำวบำ้ นในภำคตะวันออกเฉยี งเหนอื เพ่ือตรวจสอบวิธีคิดเร่ืองบุญดังกล่ำวไปแล้ว ท้ัง
สองท่ำนมองระบบคิดของชำวบ้ำนเป็นระบบที่ปิด และภำยในโครงสร้ำงดังกล่ำว พุทธ ผี
พรำหมณ์แม้จะมีควำมตำ่ งกัน แตก่ ็อยดู่ ว้ ยกนั ได้อยำ่ งสันติเพรำะว่ำ มันมีหน้ำที่ที่แตกต่ำงกัน
คอื ผีหรือไสยนต่ี อบควำมต้องกำรทำงโลก ในขณะที่พุทธไปพ้นโลก

( ) การติดกบั พธิ ีกรรมและรูปแบบ หมำยถงึ กำรทชี่ ำวพทุ ธในนำม “พุทธบริษัท”
ไม่ได้ให้ควำมสำคัญกับแก่นแท้พระพุทธศำสนำ ต้ังอยู่เพียงแค่รูปแบบและพิธีกรรม ดังทัศนะของ
โยฮัน กำลตุงท่ีวำ่ “...พิธกี รรมนยิ ม อันเป็นท่ำทีของฐำนะแห่งกฏเกณฑ์ทำงสังคม เม่ือเน้นหนักไป

๕๐ อัมพร จิรัฐติกร, “คนทรงเจ้ำ ที่น่ีรับแก้ปัญหำใจ”, ศิลปวัฒนธรรม, ปีท่ี ฉบับท่ี ๐
(สิงหำคม ๕ ๙) : ๔- ๕.

๕ พระเฑยี รวิทย์ อตตฺ สนโฺ ต (โอชำวัฒน์), “กำรศกึ ษำควำมเช่ือและพธิ ีกรรมทำงพระพุทธศำสนำ
ของรำ่ งทรง : กรณศี ึกษำในเขตกรุงเทพมหำนคร”, หน้ำ ๕.

๕ เป็นบทบรรยำยของ อภิญญำ เฟื่องฟูสกุล, สังคมไทย เป็นสังคมพุทธจริงหรือ,[ออนไลน์]
แหล่งทีม่ ำ : www.thelandfoundation.org/?download=5-06-08%20Apinya.doc ( ตลุ ำคม ๕๕ ).

๘๐

ในพิธีกรรมปฏิบัติบูชำภำยนอก เช่น กำรไปวัด พิธีกำรไหว้ ศำสนิกก็อำจจะละเลยควำมหมำยที่
แทจ้ ริงภำยใน...” ๕

( ) เปน็ ผทู้ ี่คาดหวงั กบั ศาสนาและลกุ ขึน้ มำเปน็ ผู้สรรสรำ้ งเอง ซ่ึงอำจจะหมำยถึง
สำนักตีควำมใหม่ สำนักปฏิบัติ หรือกลุ่มเพศวิถี ที่รูปแบบศำสนำกระแสหลักไม่ตอบสนองต่อ
ควำมตอ้ งกำร จงึ ไดล้ กุ ข้นึ มำออกแบบพระพุทธศำสนำในแบบท่ีตอ้ งกำร พระพุทธศำสนำในแบบน้ี
จึงส่งเสริมควำมเป็นปัจเจก หรือกลุ่มปัจเจกที่มีลักษณะเฉพำะอย่ำงย่ิง และมองระบบโครงสร้ำง
เปน็ ควำมลม้ เหลวจึงออกมำแสวงหำพันธกิจและตอบสนองควำมพึงพอใจใหม่ และแสวงหำคุณค่ำ
แท้ในทำงศำสนำ เพื่อทำให้เกิดควำมม่ันคงต่อพระพุทธศำสนำอย่ำงท่ีไม่เคยปรำกฏมำก่อน ดัง
ทัศนะของนำยแพทย์ประเวศ วะสี ที่มองคณะสงฆ์ไทยผ่ำนกรณีกำรเกิดขึ้นของวัดพระธรรมกำยว่ำ
ไม่สนองตอบต่อกำรเปล่ียนแปลงอย่ำงเพียงพอ “แม้เรำจะมีวัดประมำณ ๐,๐๐๐ วัด มีพระกว่ำ

๐๐,๐๐๐ รปู ส่วนใหญเ่ ปน็ ผูม้ ีกำรศกึ ษำน้อย และมักเป็นแบบสมัยเก่ำ เรียนเปรียญธรรมก็เป็นแต่
เรอ่ื งแปลบำลีเปน็ ไทย ฉะนนั้ จึงไม่เข้ำใจชวี ติ และสังคมสมัยใหม่ เมื่อไม่เข้ำใจก็ส่ือสำรไม่ได้ ทำให้
คนสมัยใหม่ไม่สนใจพระสงฆ์และสังคมไทยขำดประโยชน์จำกพุทธธรรม” ๕๔ ซ่ึงสอดคล้องกับ
ทัศนะของ Dr.Donald K.Swearer ในกำรปำฐกถำพิเศษ ณ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย ได้พูดถึงกำร
เปลี่ยนแปลงทำงเศรษฐกิจ กำรเมือง สังคม และวัฒนธรรม ตลอดระยะเวลำ ๕๐ ปีที่ผ่ำนมำซ่ึง
เกี่ยวกับกระแสโลกำภิวัตน์มีผลกระทบต่อประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อย่ำงมหำศำล บทบำท
ของพระพุทธศำสนำในสงั คมและวัฒนธรรมไทย กำลงั ถูกทำ้ ทำยโดยกระแสโลกำภิวตั น์ ๕๕

(๔) การตอบสนองกลุ่มทุนของพระพุทธศาสนา ซึ่งในท่ีน้ี หมำยถึงกำรออกแบบ
องค์กรที่เป็นไปเพ่ือกำรสนองต่อทุน กำรเติบโตของระบบพุทธทุนนิยม ถือว่ำเป็นกำรสนองต่อ
ระบบทุนนิยมอยำ่ งแทจ้ รงิ กำรสรำ้ งวัตถุ เพือ่ สร้ำงวตั ถุ และในเวลำเดยี วกัน เพรำะในทุก “เหตุผล”
ซึ่งอำจหมำยถึงข้ออ้ำงด้วย จะมีคำว่ำ “เพ่ือ” และในคำว่ำเพื่อเหล่ำน้ันจะมุ่งมองไปที่กำรสร้ำงวัตถุ
อย่ำงชัดเจน ปลำยทำงของระบบ “พุทธทุนนิยม” จึงเป็นกำรระดมทุนเพ่ือตอบสนองทุน ดัง
ปรำกฏอยูใ่ นกลุ่มกำรระดมทุนผำ่ นพระเครอ่ื ง วตั ถุมงคล เปน็ ตน้

๕ โยฮัน กำลตุงและไดซำกุ อิเคดะ. บทสนทนาระหว่างโยฮัน กาลตุงและไดซากุ อิเคดะ.
(กรงุ เทพมหำนคร : ศยำม, ๕๔๐), หน้ำ .

๕๔ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ สันติอโศก ธรรมกาย, (กรุงเทพมหำนคร : หมอชำวบ้ำน, ๕ ๐),
หนำ้ .

๕๕ Dr.Donald K.Swearer, Buddhism and The Challenges of the Modern World =
พระพุทธศาสนากับการท้าทายโลกสมัยใหม่, เอกสำรประกอบกำรบรรยำย ๐ สิงหำคม ๕๔๙ ณ หอประชุม
ใหญ่ จฬุ ำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั .



๔) ความเคล่ือนไหวที่ก่อให้เกิดปรากกฎการณ์ ควำมเคลื่อนไหวของกลุ่ม
ขบวนกำรพุทธใหม่ส่ิงหนึ่งที่ชัดเจน คือ กำรก่อตัวของปรำกฏกำรณ์ใหม่ที่ก่อให้เกิดกำร
เปลีย่ นแปลง ดังมีผใู้ ห้ทศั นะวำ่

ผมสนใจสันติอโศกมำนำน สนใจในฐำนะที่เป็นขบวนกำรอย่ำงใหม่เป็นขบวนกำรซึ่ง
ควรจับตำมอง แล้วผมมองในประวัติศำสตร์ด้วย คล้ำย ๆ กับว่ำน้ีเป็นกำรปฏิรูปศำสนำซึ่ง
ผมเห็นว่ำทุกศำสนำจะต้องมีกำรปฏิรูปเสมอ โดยเฉพำะศำสนำนั้น ๆ เม่ือถึงครำวที่รักษำ
รูปแบบย่ิงกวำ่ แก่นหรือเนื้อหำสำระ ๕

โดยสรุปกระบวนพุทธใหม่ ที่ปรำกฏอยู่ในปัจจุบัน ล้วนถูกออกแบบมำเพื่อตอบสนอง
ควำมต้องกำรของกลุ่มชำวพุทธท่ีมีควำมหลำกหลำย เน้นควำมพึงใจเชิงปัจเจกเป็นหลัก กระทั่ง
พัฒนำไปเป็นหมู่ กลุ่ม และองค์กร ท่ีพยำยำม หำเอกลักษณ์และลักษณะเฉพำะของกลุ่มเพ่ือสร้ำง
กำรยอมรับ กำรนับถือและกำรปฏิบัติ ในกลุ่มท่ีมีควำมเป็นปัจเจกเชิงกลุ่มของตนเอง และในเวลำ
เดียวกันก็นำควำมเป็นปัจเจกมำกลบทับหมู่ใหญ่ ที่ควำมหมำยหนึ่ง หมำยถึง ควำมเสื่อมถอย กำร
ขำดบคุ คลำกรทีม่ ีศรทั ธำ เขำ้ ใจพระพุทธศำสนำทัง้ หลักกำร และปฏบิ ัติทถ่ี ูกต้องได้

พรอ้ มกนั น้ัน เมอ่ื กระแสโลกได้ส่งเสริมให้เกิดพื้นที่ของกลุ่มต่ำง ๆ กันมำกข้ึน รวมไป
ถึงกำรที่กฎหมำยเปิดเสรีในเรื่องควำมเชื่อและศำสนำ ๕ จึงเกิดกำรแสวงหำพ้ืนที่ทำงศำสนำกัน

๕ ส.ศิวรักษ์, ปัญหาและทางออกกรณีสันติอโศก ตามทัศนะของ ส.ศิวลักษณ์, (กรุงเทพมหำนคร:
คณะกรรมกำรศำสนำเพือ่ กำรพฒั นำ, ๕ ), หน้ำ ๘.

๕ ดังปรำกฏในกฎหมำยรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๕๕๐ มำตรำ ๐ และ
มำตรำ ในเร่ืองสิทธิเสรีภำพในกำรแสดงออกและปฏิบัติตำมหลักทำงศำสนำ หรือลัทธิทำงศำสนำ ดู
รำยละเอียดใน [ออนไลน์], แหล่งท่ีมำ : http://www.ombudsman.go.th/10/documents/law/Constitution2550.pdf
( มถิ ุนำยน ๕๕๔).



มำกขึ้น “สตรกี ับสิทธิทำงศำสนำ” ๕๘ ท่ีมีแนวคิดว่ำด้วยควำมเป็นเพศ ๕๙เจือปนอยู่ หรือกลุ่มอื่น ๆ
ท่ีปฏิบัติกันอยู่ ไม่ขัดกับกฎ หรือแนวทำงของคณะสงฆ์กระแสหลักก็ทำกันไป ทำให้เกิดกลุ่ม
ขบวนกำรพุทธใหม่ ท่ีบำงส่วนยังคงเป็นพุทธท่ีมีปลำยทำงเพ่ือพระพุทธศำสนำอย่ำงแท้จริง บำง
กลุ่มอิงแอบอยู่กับพุทธกระแสหลัก แต่ก็มีแนวทำงที่ผสมผสำนกันอยู่ รวมไปถึงกลุ่มใด ๆ ท่ียังคง
ปฏิสัมพันธ์กับศำสนำพุทธ แต่ก็มิได้ส่งเสริมหลักคำสอนในทำงพระพุทธศำสนำแต่ประกำรใด ดัง
กรณีกลมุ่ ไสย หรือวัตถมุ ีฤทธ์อิ ย่ำงที่ปรำกฏอยู่ แตใ่ นเวลำเดียวกันพัฒนำกำรของชำวพุทธเหล่ำน้ียังคง
เป็นเฉพำะกลุ่ม และมีพลวัฒน์ในเชิงสังคมอยู่ รวมไปถึงกำรไปส่งเสริมระบบทุนกรณีกำรระดมทุน
ผ่ำนวัตถทุ เ่ี รียกว่ำ “พำณิชย์” ทง้ั เกือ้ หนุนกับระบบตำมโครงสร้ำงเป็นหลกั

เมื่อสรุปรวมเก่ียวกับขบวนกำรพุทธใหม่ อำจนำแนวคิดเก่ียวกับ “ศำสนำแบบใหม่” หรือ
new religion movements ท่ีเกิดข้ึนมำมำกกว่ำ ๕ ทศวรรษแล้วในสังคมประเทศตะวันตกโดยเฉพำะใน
สหรัฐอเมรกิ ำ มำเทยี บเคยี งสรุปรวม โดยแนวคิดศำสนำแบบใหม่ มีนักวิชำกำรได้ให้คำนิยำม และจัด
ประเภทหรือลักษณะของขบวนกำรศำสนำแบบใหม่ในแง่ของกรอบแนวคิดและข้อถกเถียงเชิงทฤษฎี
โดยนักวิชำกำรมำกข้ึน นักสังคมวิทยำศำสนำ Lorne Dawson ได้สรุปข้อถกเถียงว่ำด้วยกำร
เปลย่ี นแปลงและลกั ษณะท่ีสำคัญของขบวนกำรศำสนำแบบใหม่ไว้ ประกำรด้วยกนั ดงั น้ี

. ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่น้ันมีจุดเน้นไปท่ีกำรเป็นศำสนำ ตอบสนองต่อปัจเจกชน
(religious individualism) มอี ัตลกั ษณ์และอุดมคตใิ นกำรดำเนินชีวิตท่ีหลำกหลำยมำกข้ึนในสังคม กำร
เข้ำร่วมหรือเป็นส่วนหน่ึงของขบวนกำรศำสนำแบบใหม่นั้นเป็นผลมำจำกกำรท่ีขบวนกำรศำสนำ
ใหม่ๆ เหล่ำน้ันสำมำรถตอบสนองต่อควำมสนใจของปัจเจกชนที่มีควำมต้องกำรในกำรดำเนิน

๕๘มีแนวคิดในเรื่องสิทธิ์ทำงศำสนำของกลุ่มนักบวชสตรีตำมแนวกฎหมำย โดยมีกำรเสวนำกลุ่ม
ภิกษุณี กับกำรเติมเต็มพุทธบริษัทส่ี เม่ือวันศุกร์ท่ี ๙ ตุลำคม ๕๕ ณ ห้องประชุมคณะกรรมำธิกำร ช้ัน
อำคำรรัฐสภำ และได้มีกำรเสนอแนวคิดในเรื่องกำรเพิ่มคำว่ำ “ภิกษุณีสงฆ์” ในพระรำชบัญญัติคณะสงฆ์ ใส่
มำตรำ ๕ ทวิ ท่ีนิยำมคำว่ำคณะสงฆ์อ่ืน หมำยถึง จีนนิกำย และอนัมนิกำย ให้บัญญัติคำว่ำ ภิกษุณีเข้ำไปด้วย
ภิกษุณีสงฆ์ก็จะเป็นนักบวชท่ีได้รับกำรคุ้มครองโดยกฎหมำย “ขอเพิ่มคำเดียว “ภิกษุณีสงฆ์” ดูรำยละเอียดใน
จดหมายข่าว พุทธสาวกิ า, ฉบบั วนั ท่ี , (ตุลำคม-ธนั วำคม ๕๕ ) : ๘-๙.

๕๙ จำกกำรเข้ำรบั ฟงั ทศั นะของผ้เู สวนำ ท่ำน ในหัวข้อ “พุทธสาวิกาในประเทศไทย” (Buddhist
Women of Thailand)” คือ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อต้ังเสถียรธรรมสถำน และสำวิกำสิกขำลัย ท่ำนแม่ชี
ประทิน ขวัญอ่อน ประธำนสถำบันแม่ชีไทย แม่ชีอำรีย์ เกียรติทับทิว สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเขำภูหลวงในงำน
ประชุมศำกยธิดำ เมื่อวันที่ มิถุนำยน ๕๕ ที่เสถียรธรรมสถำน กรุงเทพมหำนคร, ท่ีผู้วิจัยได้ร่วมฟัง และ
สงั เกตกำรณ์ แนวคิดทศั นะของทุกท่ำนถูกขับเคลื่อนผ่ำนภำพลักษณ์ของเพศสภำพ และเพศวิถีต่อมิติทำงศำสนำ
ศึกษำรำยละเอียดเพ่ิมจำก “มรรคำสู่กำรหลุดพ้น” กำรประชุมศำกยธิดำนำนำชำติ เพ่ือพุทธสำวิกำ คร้ังท่ี ณ
เสถยี รธรรมสถำน กรงุ เทพมหำนคร วันที่ - ๘ มถิ ุนำยน ๕๕๔.



ชีวิตประจำวันท่ีแตกต่ำงกันออกไป และควำมศักดิ์สิทธ์ิของคำสอนและกิจกรรมทำงศำสนำนั้นก็
เป็น ๐ เรื่องของกำรรับรู้ทำงจิตวิญญำณที่อยู่ภำยในของแต่ละปัจเจก มำกกว่ำที่จะเป็นเรื่องของกำร
ตอบสนองต่อสงั คมโดยกวำ้ ง

. ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่เน้นไปที่ประสบกำรณ์และควำมศรัทธำมำกกว่ำคำสอน
อันเคร่งครัดตำยตัวและควำมเช่ือที่ยึดถือตำมๆ กันมำ (experience and faith rather than doctrine and
belief) ผู้ร่วมขบวนกำรศำสนำแบบใหม่สำมำรถรับรู้และเข้ำใจคำสอนและกระบวนกำรต่ำงๆ ใน
ศำสนกิจได้โดยตรงตำมประสงคท์ ี่แต่ละคนมี กำรท่ีขบวนกำรศำสนำแบบใหม่ตอบสนองต่อผู้เข้ำร่วม
ผ่ำนประสบกำรณ์โดยตรงนี้ ส่วนหน่ึงเป็นผลมำจำกกำรที่ผู้เข้ำร่วมนั้นได้มีโอกำสในกำรปฏิบัติและ
เข้ำถึงคำสอนผ่ำนกำรปฏิบัติด้วยตนเองมำกข้ึน ซึ่งปัจจัยดังกล่ำวน้ีเองก็เป็นลักษณะอีกประกำรหน่ึง
ของขบวนกำรศำสนำแบบใหม่

. ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่เน้นหนักไปในวัจนปฏิบัติโดยเฉพำะต่อกำรปฏิบัติ
ศำสนกิจและต่อควำมเล่ือมใสในผู้นำขบวนกำรพุทธใหม่ (more pragmatic attitude to questions of
religious authority and practice) กำรปฏิบัติทำให้ผู้เข้ำร่วมท่ีมีพ้ืนฐำนท่ีมำและควำมต้องกำรท่ี
หลำกหลำยนี้สำมำรถดำเนินกิจกรรมไปได้ในระดับ โอกำส และลักษณะที่แตกต่ำงกันไป และควำม
ศรัทธำท่ีมีต่อผู้นำขบวนกำรศำสนำน้ันก็เป็นควำมศรัทธำท่ีเกิดจำกกำรพิจำรณำวัตรปฏิบัติของผู้ นำ
และผอู้ น่ื ที่รว่ มปฏิบตั ิศำสนกิจดว้ ยกัน

๔. ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่เน้นเรื่องของกำรผสมผสำนควำมเช่ือ วิธีคิด หลักคำสอน
และอุดมคติท่ีหลำกหลำยเข้ำไว้ด้วยกัน (more syncretistic, relativism, and tolerant of other religious
perspectives and systems) น่ันคือ มีกำรผสมผสำนแนวคิดท้ังจำกคำสอนในศำสนำนั้นเอง ศำสนำอื่น
และควำมคิด ควำมเชอื่ และอดุ มคตทิ ำงโลกตำ่ ง ๆ เชน่ แนวคิดเร่ืองนเิ วศน์ เพศสภำวะ แนวคิดเกี่ยวกับ
สงั คม ชุมชน สิทธมิ นษุ ยชน สนั ติภำพและควำมขัดแย้งรวมเข้ำไว้ด้วยกันกับคำสอนทำงศำสนำ ทำให้
ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่ในบำงครั้งก็มองว่ำ เป็นขบวนกำรเคล่ือนไหวทำงสังคมแบบหน่ึงที่ใช้
ศำสนำเปน็ พน้ื ฐำนทำงควำมคิดและวิถที ำงในกำรดำเนนิ กำรดว้ ย

๐ ดู Stone, D. 1978. “New Religious Movements and Personal Religious Experinces”
Sociological Analysis, 39: 123-134., Westley, F. 1978. “The Cult of Man: Durkheim‖s Predictions and the
New Religious Movement” Sociological Analysis, 39: 135-145. และ Cambell, C. 1978. “The Secret Religion of
the Educated Class” Sociological Analysis, 39: 146-156. Dawson, Lorne L. 1998. “Anti-Modernism,
Modernism, and Postmodernism: Struggling with the Cultural Significance of New Religious Movements”
Sociology of Religion, 59(2): 131-156.

๘๔

๕. ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่เน้นโลกทัศน์แบบองค์รวม (Holistic worldview) คำสอน
และวิถปี ฏบิ ัติทำงศำสนำ ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่มักไม่แบ่งแยกศำสนำออกจำกสังคม ไม่แบ่งแยก
กำรปฏบิ ตั ิธรรมออกจำกกำรใชช้ วี ิตประจำวัน ไม่แยกศำสนมณฑลออกจำกพ้ืนท่ีทำงสังคมอื่นๆ ท่ัวไป
แตม่ องว่ำศำสนำกับบรบิ ทอ่นื ๆ ทร่ี ำยรอบศำสนำนั้นเป็นส่วนหน่ึงของกันและกัน ดังน้ันกำรพิจำรณำ
คำสอน กำรสื่อสำร และกำรปฏบิ ัติธรรมจงึ เปน็ ไปพร้อม ๆ กบั กำรพิจำรณำบรบิ ทรอบกำยของผู้ปฏิบัติ
ธรรมด้วย

. ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่มีลักษณะองค์กรแบบเปิดกว้ำง (organizational openness)
เน่ืองจำกว่ำผู้ท่ีเข้ำร่วมขบวนกำรศำสนำแบบใหม่นั้นมีที่มำ พื้นฐำนของชีวิต วิถีกำรดำรงชีวิต และ
เป้ำหมำยของกำรเข้ำร่วมกิจกรรมท่ีแตกต่ำงกันไปท้ังในเชิงกำยภำพและจิตวิญำณ รูปแบบกำรจัด
องค์กรขบวนกำรศำสนำแบบใหม่จึงต้องมีควำมเปิดกว้ำง มีควำมยืดหยุ่น และมีกำรปรับตัวเพื่อเปิด
ช่องทำงใหม่ ๆ ให้กับผู้คนได้เข้ำมำแสวงหำคำสอน มีช่องทำงกำรส่ือสำรและกำรปฏิบัติธรรมท่ี
สอดคล้องไปกับควำมหลำกหลำยและควำมต้องกำรของชีวิต ขบวนกำรศำสนำแบบใหม่หลำย
ขบวนกำรอำศัยควำมทันสมัยทำงเทคโนโลยี นวัตกรรมกำรส่ือสำร และควำมรู้ควำมสำมำรถของ
ทรัพยำกรบุคคลท่ีมีมำกข้ึนมำช่วยในกำรพัฒนำขบวนกำรเพ่ือให้เป็นพ้ืนที่สำมำรถรองรับควำม
ตอ้ งกำรในกำรเขำ้ ถึงศำสนำของผ้คู นท่ีมำกขนึ้ ได้

ดังนัน้ กรอบคิดศำสนำใหม่ มีควำมคำบเกี่ยว เป็นลักษณะร่วมหลำยประกำร ซ่ึงสำมำรถ
นำมำอธิบำยเป็นปรำกฏกำรณ์ต่อพระพุทธศำสนำใหม่ในสังคมไทยได้ ซึ่งลักษณะร่วมเหล่ำนี้จะช่วย
เปน็ กรอบในกำรใหค้ ำอธบิ ำยตอ่ กลุ่มย่อยของกล่มุ ขบวนกำรพทุ ธใหม่ ท่ีจะทำกำรศึกษำในบทตอ่ ไป

๒.๔ สรุป
แนวคิดท่ีเป็นปัจจัยให้เกิดกลุ่มพระพุทธศำสนำในประเทศไทยในลักษณะของขบวนกำร
พทุ ธใหมไ่ ดส้ ะทอ้ นใหเ้ ห็นว่ำเม่ือถึงท่สี ุด


Click to View FlipBook Version