The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย/พลอยบุตร). (2554). การศึกษาเชิงสำรวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย - A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand. สารนิพนธ์ของการศึกษา รายวิชาสัมมนา พระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2554

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by raphind, 2022-04-20 20:31:54

A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand

พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย/พลอยบุตร). (2554). การศึกษาเชิงสำรวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย - A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand. สารนิพนธ์ของการศึกษา รายวิชาสัมมนา พระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2554

ออกมาเป็นโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการซูเปอร์มาร์เก็ตผู้ยากไร้ โครงการเพ่ือการเกษตรและ
ส่งิ แวดล้อม โครงการสะพานบุญจากผเู้ หลือเจือจานผูข้ าด ในนามมลู นธิ ิวัดสวนแกว้ จานวนมาก เปน็ ตน้

พระอาจารย์พยอม กัลยาโณ นับว่าเป็นพระนักเทศน์ นักพัฒนา โดยท่านได้ปฏิรูป
รปู แบบการเทศน์ ซ่ึงทาให้เข้าถึงประชาชน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา พ่อค้า แม่ค้า คนทางาน
ข้าราชการและประชาชนทั่วไป ท่านได้ริเร่ิมดาเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่
พระพุทธศาสนา และสังคม เช่น โครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ร่มโพธิ์แก้ว ท่ีพักคนชรา
ซุปเปอร์มาร์เกต็ ผ้ยู ากไร้ บอ่ หมักสงิ่ ปฏิกูลตามโครงการพระราชดาริ เปน็ ตน้

บทบาทที่ชัดเจนของพระพยอม กัลยาโณ เป็นผู้ท่ีส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์หลัก
พุทธธรรมกับการดาเนินชีวิต ท่ีผสมทั้งหลักพุทธธรรม และการดาเนินชีวิตผ่านโครงการต่าง ๆ ที่
ท่านเป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดขึ้น เช่น โครงการอาชีพ หรือโครงการส่งเสริมคุณธรรมที่
สอดประสานกับการดาเนินชีวิต ซ่ึงนอกเหนือจากการสอนหลักธรรมแล้ว การลงไปสู่การเป็นผู้
นาพาตอ่ การปฏิบัติด้วย มิใช่สอนแต่ฝ่ายดีเข้าทานอง พาให้นา ทาให้ดู เป็นตัวอย่าง ย่อมเป็นเคร่ือง
แสดงบทบาทของพระสงฆก์ ับภาระงานพุทธศาสนาเพอื่ สงั คม

ในการศึกษานี้จึงนาเสนอบทบาทของวัดสวนแก้วต่อสังคมในภาพรวม ๘ เพ่ือให้เห็น
ภาพเคลื่อนไหวกลุ่มการทางานเพ่ือสังคมตามกรอบของการศึกษาเชิงสารวจนี้ โดยส่ิงที่ปรากฏ
ชดั เจนในความเปน็ วดั สวนแก้ว คือ การประยุกต์หลักพุทธธรรมให้สอดคล้องกับการดาเนินชีวิต ที่
เออื้ ตอ่ การพฒั นาทง้ั คุณภาพชีวิตและคุณธรรมตามหลกั พุทธธรรมด้วย

ผลการดาเนินงานของท่านได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมีผลเป็นการรับรู้ต่อสังคม
ในวงกวา้ งทั้งเปน็ ไปเพ่อื การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของผู้เข่าร่วมโครงการผ่านหลักพุทธธรรมประยุกต์
ที่นามาปฏบิ ัติกับการดาเนินชวี ติ ผ่านโครงการต่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบดงั ทป่ี รากฏในปัจจบุ ัน

๘มีผู้ทาการศึกษาเก่ียวกับประวัติและผลงานขอวัดส่วนแก้วไว้ อาทิ พระมหามาโนช ศึกษา,
“พระพุทธศาสนากบั การพัฒนาสงั คม : ศึกษาความคดิ เหน็ ของพระสังฆาธกิ ารต่อการพัฒนาสงั คมของพระพยอม
กลั ยาโณ”, วทิ ยานพิ นธ์สงั คมสงเคราะหม์ หาบัณฑิต, (คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
,๒ ), หน้า บทคัดย่อ. สุธันนี กี่ศิริ, ผู้นาทางสาธารณประโยชน์และประชาสังคม พระพิศาลธรรมวาที (พระ
พยอม กัลยาโณ), (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร
ศาสตร์, ๒ ๖), ฌมุ พรี เหล่าวเิ ศษกุล, “การศึกษากลไกภาษาเทศนาของพระปัญญานนั ทภกิ ขุและพระพยอม กัล
ยาโณ”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (คณะศิลปศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ) เป็นต้น
หากผูส้ นใจต่อการศึกษาในภาพกว้างและลึกอาจหาคน้ ควา้ จากเอกสารท่นี าเสนอมา.



๓.๔.๒.๒ วัดพระบาทนา้ พุ จงั หวดั ลพบรุ ี
วดั พระบาทนา้ พุ จงั หวัดลพบรุ ี วดั ทท่ี างานบริการสงั คมเชิงพุทธ คือ นาหลักพุทธธรรม
มาประยุกต์ให้บริการท้ังสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ใช้หลักพุทธบาบัดทางจิต และการเยียวยา
ด้วยการแพทย์แก่ผู้ป่วยเอดส์ โดยการนาของพระอุดมประชาทร (อลงกตฺ ผลมุก) ผู้ก่อตั้งวัดพระ
บาทน้าพุ เจา้ ของวลที ่ีว่า "ทกุ ข์ทั้งหลายของสัตว์โลก พระสงฆ์พึงมีหน้าที่บาบัด" ท่ีมีเจตนาทาวัด
ให้เป็นท่ีบริการสังคมรองรับผู้ป่วยเอดส์ ท่านเกิดที่จังหวัดหนองคาย ใน พ.ศ.๒ ๘ จบปริญญา
ตรีและโท ทางวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ๖๐และมหาวิทยาลัยแห่งชาติ
ออสเตรเลยี (Australian National University, Canberra) ได้บวชระยะส้ัน ตามประเพณี แต่ท่านก็มี
ศรัทธาบวชอยู่ต่อไม่ได้ลาสิกขา จนกระทั่ง พ.ศ.๒ ได้ย้ายไปอยู่วัดพระบาทน้าพุ ใน พ.ศ.
๒ มีโอกาสไปท่ีโรงพยาบาลและพบผู้ป่วยท่ีติดเช้ือเอดส์ ทาให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจท่ีจะ
ทางานเพอ่ื สงั คม
จากนั้นท่านได้ริเร่ิมจัดทา โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ ใน พ.ศ. ๒ เพ่ือให้เป็น
บ้านพักผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย ตามแนวพุทธในประเทศไทย ๖ จึงก่อตั้งขึ้นที่วัดพระบาทน้าพุ
เพอื่ สรา้ งจิตสานึกของแผน่ ดนิ ให้มีความเมตตา และมนษุ ยธรรมต่อผู้ป่วยโรคเอดส์ท่ีถูกทอดท้ิงจาก
ครอบครัวและสังคม ให้ได้รับการช่วยเหลือดูแลจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ด้วยการเสียสละ และ
อุทิศอาณาจักรธรรมรักษ์นิเวศน์ ด้วยหยาดเหง่ือแรงกายและกาลังใจของท่าน ด่ังหยดน้าใส เป็น
ความหวัง เป็นที่ช่ืนชูใจแก่ผู้ป่วยโรคเอดส์ทุกคน ดังคาสัมภาษณ์ของท่านท่ีกล่าวไว้ว่า “งานของ
อาตมา คือ ชว่ ยผู้ปว่ ยตดิ ซ้ือให้ตายอยา่ งสงบ” ๖๒
วัดพระบาทน้าพุเป็นท่ีรับรู้แก่ชาวไทย และชาวต่างชาติ ในการรับผู้ป่วยเอดส์ระยะต่าง
ๆ เขา้ มาบาบัด รักษา พักฟน้ื ร่างกาย และฟ้ืนฟูจติ ใจเพื่อการตายอยา่ งสงบ ตามหลักพระพุทธศาสนา
ท่ีสอนเรื่อง “มรณานุสสติ” หรือตายก่อนตายตามแนวของหลวงพ่อ “พุทธทาส” ๖ วัดพระบาท

พระมหาครรชติ วรกวนิ โฺ ท (แสนอบุ ล), “ผลของการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวพุทธศาสตร์
ท่ีมีต่อความมุ่งหวังในชีวิตของผตู้ ิดเชอ้ื เอดส์ วัดพระบาทน้าพุ จังหวัดลพบุรี, วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต,
(บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒ ๖), หน้า ๘ -๘ .

๖๐ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, [ออนไลน์] แหลง่ ท่ีมา : http://www.ku.ac.th/ (๒ ก.พ. ๒ ).
๖ Special, “ครบรอบ ๑๔ ปี โครงการธรรมรักษน์ ิเวศน์”, ในวารสารสร้างสรรค์สันติสุขเพื่อสังคม
ธรรมรักษ์, ฉบับที่ ปที ่ี ๖ (พฤศจิกายน – ธนั วาคม ๒ ) : .
๖๒ [ออนไลน]์ แหล่งท่มี า : http://www.aidstemple.th.org/Alongkot'sbrography.html (ประวัตพิ ระ
อาจารยอ์ ลงกต, ๒๒ กนั ยายน ๒ ).
๖ [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.buddhadasa.org/html/word/poem/handwriting_25.html
(พุทธทาสศกึ ษา), (๒๒ กันยายน ๒ ).

น้าพุจึงเป็น “ที่ตาย” สาหรับผู้ติดเช้ือ ซ่ึงแตกต่างจากการตายของวัดอื่น ๆ ตรงท่ี มุ่งเข้าไปสู่การ
ช่วยแก้ปัญหาสังคม หรือปรับตัวรองรับปัญหาสังคมอย่างมีส่วนร่วมระหว่าง พระพุทธศาสนากับ
สังคม โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ป่วยเอดส์ ดังทัศนะของท่านอลงกตท่ีว่า "ณ วันนี้การต่อสู้เพ่ือเอาชนะ
และการแก้ปญั หาการระบาดของโรคเอดสน์ ัน้ เปน็ หน้าท่ีของคนไทยทกุ ๆ คน โรคเอดส์อยู่ใกล้ตัว
เรามากกว่าท่ีคิด ปีน้ีมีผู้ติดเชื้อกว่า ล้านคน และจะเพ่ิมเป็น . ล้านคนในปี ๒ แสดงว่า
ในจานวนคน ๖๐ คน จะมีคน ติดเชื้อ คน ซ่ึงเราไม่อาจจะรู้เลยว่า คนนั้นเป็นใคร" ๖ และ
ข้อมูลว่า “คนไทย คน ตายเพราะเอดส์ในทุกช่ัวโมง และทุก ๆ ๐๐ คน ติดซื้อ เอช ไอ วี ในทุก
ช่วั โมง และคนไทยจานวนกวา่ ลา้ นคนเปน็ ผตู้ ิดเชอ้ื ” ๑ ๕

ดังนั้นวัดพระบาทน้าพุ จึงเป็นวัดที่บริการสังคม ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับความ
เจ็บป่วยของสังคม ท้ังต่อ ( ) การแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบในงบประมาณแผ่นดินท่ีรัฐจะต้อง
จ่าย เพื่อรองรับผู้ป่วย ในสถานพยาบาลของรัฐ และค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวของผู้ติดเชื้อเอง
(๒) ความตระหนกกลัวตอ่ โรคร้ายของผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคนี้ แม้ผู้น้ันจะเป็นพ่อ พ่ี น้อง ญาติ หรือ
บุตรหลานก็ตาม แต่ความตระหนกกลัวของคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิด ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลาว่า “จะติด
เชอ้ื ไหม” ปญั หาของการนาผูป้ ่วยไปทง้ิ ที่วดั พระบาทนา้ พุ จึงปรากฏเสมอมาจนปัจจุบัน

นอกเหนือจากการให้บริการด้วยการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว ทางวัดยังได้ประยุกต์
หลกั พทุ ธธรรมเขา้ มาชว่ ยในการแก้ปัญหาโรคเอดส์ ด้วยแนวคิดท่วี า่

การสารวมในกาม คือ การป้องกันเอดส์ที่ได้ผลดีท่ีสุด ดังน้ัน จึงเป็นกิจของสงฆ์โดยตรง
ถ้าพระสงฆ์ทาให้คนรักษาและปฏิบัติตามศีล ข้อได้ ปัญหาเอดส์รวมท้ังปัญหาสังคมเร่ือง
อื่น ๆ คงไม่เกิด แต่จะให้พระสงฆ์ คิดทาโครงการต่าง ๆ เพ่ือสังคมน้ันไม่ใช่เร่ืองง่าย เพราะ
การศกึ ษา แนวความคิดของพระแต่ละรูปไม่เหมอื นกนั
คร้ันจะกาหนดเป็นนโยบายของคณะสงฆ์ บังคับให้ทุกวัดทา ก็จะได้ผลระดับหนึ่งเท่าน้ัน
เพราะไม่ได้ทาด้วยมโนสานึก ที่จะแก้ปัญหาสังคมอย่างจริงจัง เว้นเสียว่าพระรูปนั้น ๆ มี
วิญญาณของนกั สังคมสงเคราะหส์ ิงสถติ อยู่ ๖๖

๖ [ออนไลน์] แหล่งท่ีมา : http://www.komchadluek.net/column/pra/2004/07/14/01.php,
(๒๒ มีนาคม ๒ ).

๖ [ออนไลน์], แหล่งทม่ี า : http://www.aidstemple.th.org/Historytemple.html (วัดพระบาทน้าพุ จ.
ลพบุรี, ๒๒ กันยายน ๒ ๒).

๖๖ หนงั สอื พิมพม์ ชัดลกึ [ออนไลน์],แหล่งที่มา : http://www.komchadluek.net/column/pra/๒๐๐ /
๐ / /๐ .php ( กรกฏาคม ๒ ๒).



รวมไปถึงคาสัมภาษณ์ของ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรากฏในวารสารธรรมรักษ์
ของวัดพระบาทน้าพุเอง ให้ขอ้ มูลตอ่ งานเพ่อื สังคมตามแนวทางของวัดไวว้ ่า

เปน็ เรื่องนา่ สรรเสริญมาก เพราะมีไมก่ ่ีคนหรอื มไี มก่ อ่ี งค์กรหรอกที่เข้ามาอุปถัมภ์ค้าชูคน
เหลา่ นี้ เพราะว่าเป็นเรื่องท่ีมีอานิสงค์ยิ่งใหญ่มากกับชีวิต ซ่ึงแทนที่จะถูกซ้าเติมจากสังคมก็
กลับมีคนมาโอบอุ้ม แต่ผมอยากเห็นว่า องค์กรลักษณะนี้จะมีส่วนช่วยจาลองให้สังคมเห็น
ในประเด็นที่ผมเพ่ิงบอกไป คือว่า นี่ไม่ใช่แค่การมาสงเคราะห์เขา เอ้ืออาทรเขา แต่ให้
กระบวนการท่มี าชว่ ยเหลือเขา เราได้เอาสงิ่ ผดิ ปกติที่เหน็ หลายอยา่ งในสงั คมมาบอกเลา่ ๖

ดังนน้ั วดั พระบาทนา้ พุ จึงแสดงให้เหน็ ถึงบทบาทของวดั และพระสงฆ์ต่อการประยุกต์
พทุ ธธรรม ท่ีมีเป้าหมายเพื่อให้บริการแก่สังคมในเชิงพุทธธรรมเพ่ือสังคม ในฐานะผู้ปฏิบัติการใน
พ้ืนที่ของวัดพระบาทน้าพุ เพ่ือบาบัดผู้ป่วย จึงเป็นทั้งการรณรงค์เพ่ือยุติปัญหาเก่ียวกับการติดเชื้อ
ในมุมหนึ่งเป็นบทบาททางด้านสาธารณสุขในองค์รวม ท่ีรักษาท้ังสุขภาพกายและภาพใจ ท่ี
พระสงฆไ์ ด้เขา้ มามบี ทบาทในการแบ่งเบาภาระภาครัฐ รวมไปถึงการแก้ปัญหาตามแนวพุทธธรรม
ท่รี ณรงคใ์ หย้ ุตกิ ารแพร่ระบาดการติดเชือ้ ด้วยเชน่ กัน

๓.๔.๒.๓ กลุ่มสจั จะสะสมทรัพย์
แนวคิด “เงิน” กับการจัดการ “เงิน” ตามหลักพุทธธรรม ภายใต้ยุทธศาสตร์ เงินผสม
ธรรมะ คือ การใช้เงินเป็นเคร่ืองมือให้คนทาดี เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชน ถูกนามา
ประยุกตเ์ พือ่ สง่ เสริมให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน ในการรวมตัวกันเพ่ือให้เกิดระบบสามัคคีธรรม
และแสดงออกในการสงเคราะห์ซ่ึงกันและกันบนพื้นฐานของประโยชน์ ในการรวมกลุ่ม โดยใช้
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “สัจจะ” เป็นเคร่ืองประสาน ท่ีเรียกว่า “สัจจะสะสมทรัพย์” ของ
กลมุ่ ต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในประเทศไทย แต่ในการศึกษาน้ี จะยกกลุ่มท่ีประสบความสาเร็จมา กลุ่มเพ่ือ
เปน็ กรณตี ัวอยา่ งและเพ่ือช้ใี ห้เหน็ ภาพรวมได้ดังนี้
.กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดสงขลา (ครูชบ ยอดแก้ว) ครูชบ ยอดแก้ว หรือที่รู้จัก
กันดีในนาม นักเศรษฐศาสตร์ชุมชน ผู้ก่อต้ังกลุ่มสัจจะออมทรัพย์เพื่อสวัสดิการชาวบ้านใน
เมืองไทย โดยกองทุนชุมชนนี้ เกิดจากการออมเงินของสมาชิกโดยการลดรายจ่ายประจาวัน วันละ
บาทให้มารวมกันจากสมาชิกในชมุ ชน จนเกดิ เครือข่ายทมี่ ่ันคง มคี ณะกรรมการของแต่ละชุมชน
ร่วมกันกาหนด โครงสร้างการบริหารและจดทะเบียนเป็นสมาคมสวัสดิการ ภาคประชาชนในแต่

๖ เอดส์ทีม.“บทสัมภาษณ์ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ,” ใน ธรรมรักษ์ ฉบับที่ ปีท่ี ๖
(พฤษภาคม-มถิ ุนายน ๒ ) : - .

ละจังหวัด กองทุนท่ีได้จาก การออมในแต่ละปีจะแบ่งกองทุนออกเป็น ๒ ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ
การปันผลเช่นเดียวกับสหกรณ์ทั่วไป แต่เปล่ียนวิธีคิดที่ ไม่ยึดจานวนเงินเป็นตัวตั้ง แต่มุ่งหวังต่อ
วินัยในการออมว่า ใครมีความสม่าเสมอแทน ส่วนที่สอง จะนาไปจ่ายเป็นสวัสดิการชุมชน
อย่าง ที่เรียกว่าออมทรัพย์แบบพัฒนาคุณภาพชีวิต ท่ีให้สวัสดิการตั้งแต่การเกิดจนเสียชีวิต เป็น
สวสั ดกิ ารของชาวบา้ นเชน่ เดียวกบั สวัสดิการของขา้ ราชการ

การเกิดขึ้นของกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดสงขลา เกิดข้ึนภายใต้การบริหาร
ประโยชน์ร่วมกันในชุมชน โดยมองถึงปัญหาของชุมชนเป็นตัวต้ังและในเวลาเดียวกันก็สะท้อน
ปัญหาของชุมชน ออกมาเป็นการจัดการทรัพย์สินในชุมชน ท่ีปัจจุบันมีสมาชิกกว่า ,๐๐๐ คน มี
เงินหมนุ เวยี นอย่ใู นกองทุน กว่า ๒๐๐ ลา้ นบาท ท่ีมีเป้าหมายเพื่อการจัดสวัสดิการในชุมชน ผลงาน
ที่สาเร็จคือการนาแนวคิดทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ ในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต แนวคิด
เรือ่ งทุนกับการดารงชีวิตอย่างมคี วามสขุ ภายใต้สวสั ดิการชุมชน ๖๘

ผลงานการดาเนินกิจกรรมชุมชนในแบบน้ี ทาให้มีชุมชนท่ีมาศึกษามาดูงาน เห็น
ความสาคัญ และนาไปพัฒนาเป็นต้นแบบของชุมชน กว่า ,๐๐๐ ชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งรวมทั้ง ๒ กลุ่ม
ทจ่ี ะได้ให้รายละเอียดตอ่ ไป

๒. กลุ่มสจั จะสะสมทรพั ย์จังหวดั ตราด ภายใตก้ ารนาของพระอาจารย์สุบิน ปณีโต แห่ง
วัดไผ่ล้อม จังหวัดตราด ๖ ที่เคยไปศึกษากับกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ของครูชุบ ยอดแก้ว แห่งจังหวัด
สงขลา พรอ้ มนาแนวทางดงั กล่าวมาประยุกต์ปรับดาเนินการเป็นเวลากว่า ปี ที่ก่อต้ังกลุ่มสัจจะ
สะสมทรัพย์ ท้ังพัฒนาปรับแก้ ดาเนินการต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบันมีกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ใน
จังหวัดตราดแล้ว ประมาณ ๖ กล่มุ มสี มาชิกทงั้ จังหวัดตราดอยู่ กว่า ๐,๐๐๐ คนโดยคาดว่าจะมี
เงินหมุนเวียนจนถึงส้ินปี ๒ ๐ ประมาณ ๐๐ ล้านบาท ขณะเดียวกันท่านยังให้คาปรึกษา

๖๘ มผี ถู้ ามเทยี บแนวคิดของ MICRO CREDITE ของมฮู ัมหมดั ยนู ุส (Muhammôd Iunus:ค.ศ 1940)
ชาวบงั คลาเทศ ผไู้ ดร้ บั รางวัลโนเบลสาขาสนั ติภาพ ปี ค.ศ. 2006 ผกู้ ่อต้ังธนาคารคนจน “กรามีนแบงค์ ในบังคลา
เทศ ในทัศนะของครูชบ ยอดแก้ว มองว่าแตกต่างกัน เพราะสัจจะสะสมทรัพย์เกิดขึ้นจากคนทุกคนท่ีมีเป้าหมาย
เพ่ือการจัดสวัสดิการในชุมชนร่วมกัน แต่ของยูนุส เป็นนายธนาคาร ท่ีใช้การจัดการในเชิงชุมชนเพ่ือนาไปสู่
เป้าหมายในเชิงพาณิชย์ [ออนไลน์],แหล่งท่ีมา : http://www.youtube.com/watch?v=REBnXXw5lsU (๒๒
กันยายน ๒ ).

๖ กาธร ออ่ นอินทร์, “พุทธศาสนากับความสาเร็จในการบรหิ ารกล่มุ สจั จะสะสมทรัพย์ : กรณีศึกษา
เฉพาะอาเภอเมือจังหวัดตราด”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยบูรพา,
๒ ), พระมหาวสิ มัญญา ติกขฺ วโี ร, “บทบาทพระสงฆ์ในการส่งเสริมองค์กรชุมชนเพื่อสร้างทุนชุมชน : กลุ่ม
สัจจ ะสะ สมทรัพย์ จั งห วัดต ราด ”, วิทยานิพ นธ์ ศิลป ศาสตร มหาบัณฑิ ต . (คณะศิลปศ าสต ร์ :
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒ ), หน้า ๐๐.



แนะนาแก่ชาวบ้านจากจังหวัดต่าง ๆ ท่ีสนใจเรื่องการตั้งกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ โดยวัตถุประสงค์
หลักของกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ คือการใช้ธรรมะนาเงิน เพ่ือให้เงินเป็นทางผ่านท่ีจะก่อให้เกิดการ
ประสานกลุ่มคนรวมกัน เพอ่ื จัดสวัสดิการชุมชนโดยใช้เงินเป็นตัวทางาน มีธรรมะเป็นเคร่ืองประสาน
ซ่ึงผลก็ประสบความสาเร็จจนกระทั่งมีกลุ่มเครือข่ายและผู้ศึกษางานนาไปเป็นพัฒนาเป็นต้นแบบใน
วงกวา้ ง

.กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรี โดยการนาของพระอธิการมนัส ขนฺติธมฺโม
เจ้าอาวาสวัดโพธ์ิทอง ๐ ผู้จัดต้ังกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จันทบุรี เพื่อการพัฒนาคุณธรรมของชีวิต
แบบครบวงจร ที่มีเงินกองทนุ สะสมมากกวา่ ๐๐ ลา้ นบาท และมีเงินกองทุนสวัสดิการกลุ่มสัจจะ
มากกว่า ๘๐ ล้านบาท โดยแรกเริ่มท่านได้เห็นปัญหาความยากจน และขาดท่ีพ่ึงของชาวสวน
จังหวัดจันทบุรี จึงคิดหาแนวทางแก้ปัญหา ระหว่างนั้น ท่านได้รู้จักกับพระอาจารย์สุบิน ปณีโต
วัดไผ่ล้อม ผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ จังหวัดตราด รวมท้ังได้เรียนรู้เพ่ิมเติมจาก
ครูชบ ยอดแก้ว ๒ ผู้มีประสบการณ์เร่ืองกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ท่านจึงได้นาความรู้ในเร่ืองการ
จัดตั้ง การบริหารจัดการกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ กองทุนธุรกิจชุมชน และกระบวนการส่ือสาร
ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา กระท้ังเกิดเป็นกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์
จันทบุรี ในปี ๒ เพื่อการพัฒนาคุณธรรมครบวงจรของชีวิต เป็นกลุ่มออมทรัพย์ของชาวบ้าน
เป็นกองทุนสวัสดิการชุมชน ให้การดูแลสมาชิกเม่ือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่งเสริมการศึกษา พัฒนา
อาชีพและธุรกิจชุมชน โดยยึดหลักธรรมในพระพุทธศาสนามา และนาแนวพระราชดาริ เศรษฐกิจ
พอเพยี งมาเปน็ แนวทางการพัฒนา

โดยเริ่มจากการบรรยายใหช้ มุ ชนเหน็ ความสาคัญของการออม ออมเพื่อเอาบุญ การออม
เปรียบเสมือนทานบก้ันน้าให้ชุมชน ชุมชนมีน้าไว้ใช้สอย ไม่ต้องไปพ่ึงพิงภายนอก เน้น
กระบวนการเรียนรู้ การบริหารจัดการ กองทุนธุรกิจชุมชน และกระบวนการส่ือสารถ่ายทอดองค์
ความรู้สู่ชุมชน มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในการทาอย่างเป็นรูปธรรม

๐ ทองชาน บญุ ลา, “การศึกษาภาวะผ้นู าพระอธิการมนัส ขนฺติธมฺโม เจ้าอาวาสวัดโพธ์ิทองจังหวัด
จันทบุรี กรณีศึกษาการก่อตั้งกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลัยราชภฏั ราไพพรรณี, ๒ ).

วิสมญั ญา ทยุ ไธสงค์, “บทบาทพระสงฆใ์ นการส่งเสริมองค์กรชุมชน เพ่ือสร้างทุนชุมชนศึกษา
ศึกษาเฉพาะกรณี กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ จังหวัดตราด”, วิทยานิพนธ์พัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต, (คณะสังคม
สังเคราะหศ์ าสตร์ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒ ), หน้า บทคัดย่อ.

๒ กัลยานี ปฏมิ าพรเทพ, ครูชบ ยอดแก้ว : ครภู มู ปิ ัญญาไทย นกั เศรษฐศาสตร์ชมุ ชน,
(กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ตน้ ออ้ จากัด, ๒ ), หน้า - .

นาความรู้ไปบริหารจัดการ และบูรณาการหลักพุทธธรรมเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ของชุมชน เพื่อ
สร้างชุมชนเข้มแข็ง หลักธรรมท่ีใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรี
คือ การรักษาสัจจะ การรู้จักข่มใจตนเอง การอดทนอดกล้ัน และการรู้จักละวางความชั่ว และความ
ทุจริต รู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งมีการส่งผ่านการเรียนรู้
จากบคุ คลเดมิ สูบ่ คุ คลใหม่ในการบรหิ ารจัดการ ซงึ่ ผลเป็นความสาเร็จดังท่ปี รากฏตอ่ สาธารณะ

โดยสรุปกลมุ่ สจั จะออมทรัพย์ในแต่ละกลุ่มมีลักษณะร่วมกันคือ ( ) มองเห็นปัญหาใน
เรื่องความยากจน และปัญหาท่ีมาพร้อมกับความยากจน (ทุกข์) มีการนาหลักคิดทาง
พระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ (๒) จัดการภายในชุมชนที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือซ่ึง
สอดคล้องกับแนวคิดในเร่ืองสามัคคีธรรม ( ) เป็นการส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีภายในชุมชน
ระหว่างชุมชนและบ้าน ( ) ส่งเสริมให้ชุมชนช่วยเหลือซ่ึงกันและกันบนหลักการแห่งตน ( )
รวมถงึ เป็นการจดั การชมุ ชนภายใตร้ ะบบศลี ธรรมกับการจัดการทรพั ยากรในครอบครัว ไม่ข้องแวะ
อบายมุข ก้เู งนิ ของกลมุ่ ออมทรัพยป์ ลอดดอกเบยี้ เปน็ ตน้

ดังนั้นพระพุทธศาสนาเพ่ือสังคม ทั้ง ๒ ส่วนท่ีนามาเป็นกรอบในการศึกษาน้ี ( ) นัย
หนึ่งเป็นการย้อนกลับไปสู่หลักการท่ีเรียกว่า “พุทธธรรม” อันเป็นเป้าหมาย และเจตจานงของ
พระพุทธศาสนา (๒) ทั้งให้ยึดถือพระพุทธศาสนาตามหลักพุทธธรรม ลดทอนคุณค่าเทียมเช่น
พธิ ีกรรม หรือส่ิงที่ปลอมปนมากับพระพุทธศาสนา ( ) ออกแบบพระพุทธศาสนาท่ีส่งเสริมให้ยึด
หลักพุทธธรรม ท่ีเน้นการส่ือสารความดีงามของสังคมควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามหลักพุทธธรรม
ซ่ึงผลท่ีเกิดขึ้นคือ การต่ืนตัว แสวงหาชุดคาสอนที่ถูกต้อง แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสม อันเป็นไปตาม
แนวปฏบิ ตั ิ และเจตนารมณ์ของกลมุ่ พระพุทธศาสนาหลักพทุ ธธรรมเพือ่ สงั คม

ในส่วนกลุ่มปฏิบัติการเชิงพุทธ ( ) ท่ีมีเจตจานงร่วมในการประยุกต์หลัก
พระพุทธศาสนาให้สอดคล้องกับการดาเนินชีวิต ท่ีเป็นท้ังหลักคิดและหลักปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน
ดังปรากฏในกลุ่มของวัดสวนแก้ว หรือกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ติดเช้ือเอดส์ อย่างวัดพระบาทน้าพุ
หรือกลุม่ เปา้ หมายสาหรับผู้ติดยาเสพติด อย่างเช่น วัดถ้ากระบอก กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ (๒) เป็น
การออกแบบในการปฏิบัติตามหลักพุทธธรรม ที่มีความหลากหลายเฉพาะมากขึ้น คือท้ังเข้าไปสู่
ปฏบิ ตั ิการร่วมทั้งในเชิงหลักการและหลักปฏิบัติ ในกลุ่มสานักแบบนี้อาจมีจานวนหลายสานักซ่ึง
จากการศึกษานี้อาจไม่ได้นามากล่าวอ้าง เช่น สานักที่เป็นหมอยา เล้ียงเด็กกาพร้า กลุ่มอนุรักษ์
สิ่งแวดล้อม กลุ่มคุณธรรม และ/หรือกลุ่มอ่ืน ๆ ท่ีปรากฏในสังคมไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อการ
เสริมสร้างองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาให้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับสังคม (ดูตามผัง . ) ท้ัง
จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมในองคร์ วม สานกั พระพทุ ธศาสนาเพ่ือสังคม อาจมีบทบาทร่วมในหลาย



ๆ สานัก แต่ที่ยกมาศึกษาในส่วนหนึ่ง เพ่ือสะท้อนภาพที่ปรากฏอยู่แล้ว และเป็นท่ีรับรู้ต่อ
สาธารณะในวงกว้างอยแู่ ลว้ อยา่ งที่ปรากฏอยูใ่ นปจั จุบัน

นอกจากน้ี พระสงฆ์กลุ่มปฏิบัติการเชิงพุทธ ยังนาพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้
ปฏิรูป ให้คาอธบิ ายเพ่มิ รวมทัง้ เข้าไปมสี ่วนต่อการส่งเสริม นาให้กระทา ให้การบริการสังคม ดังท่ี
ปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบัน อาทิ ธนาคารข้าว สหบาลข้าว ธนาคารเวลา ฌาปนกิจสงเคราะห์
พิพธิ ภณั ฑ์หมบู่ า้ น นคิ มเกษตรกรชาวพทุ ธ กองทุนออมทรพั ย์ กลมุ่ เยาวชน กลมุ่ แม่บ้าน กองทนุ ยา

หลกั พทุ ธธรรม เผยแผส่ ่งเสรมิ คุณภาพชวี ิตชาว
ปฏริ ปู / ปรบั -ค่ายพุทธบุตร พุทธตามหลัก
ประยกุ ต์ /วจิ ัย -ธรรมทายาท พุทธธรรม
ปฏบิ ตั ิ /ภาวนา - กลมุ่ สจั จะออมทรพั ย์
- สานกั วดั สวนแกว้ ฯ สานสัมพนั ธ์
กล่มุ ปฏิบัติการเชงิ พทุ ธ
ปอ้ งกันเยียวยา แกไ้ ข แบง่ ปนั /
-เอดส์ วัดพระบาท ลพบรุ ี
เครือขา่ ย
- มะเร็ง ฯ

กลมุ่ อนรุ ักษ์
-อนุรักษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม
-อนุรกั ษว์ ฒั นธรรมท้องถน่ิ

แผนภาพท่ี . แผนผังความสัมพันธข์ องกลุม่ ปฏบิ ัติการเชงิ พทุ ธในสงั คมไทย

นรเศรษฐ์ พิสิฐพนั พร,ศักดิ์ ประสานดี, บรรณาธิการ, ทาเนียบพระสงฆ์นักพัฒนาในภาคอีสาน,
(กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒ ), หน้า - ๖.

ธนาคารเวลา หมายถึง การนาให้ชาวบ้าน จะเป็น หรือชุมชน มาทากิจกรรมกลุ่มร่วมกัน ซึ่ง
สอดคล้องกับแนวคิด “ลงแขก” หรือ “การเอาแรง” กันเพ่ือส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี “ธรรม” ในชุมชนเอ้ือ
อาทรตอ่ กนั ในชมุ ชน.

ซึ่งบทบาทเหล่านี้เป็นการเข้าไปส่งเสริมให้เกิดการกระทาเชิงพุทธ ท่ีจะตอบโจทย์ในเรื่องอาชีพ
รายได้ และการดาเนินชีวิต โดยพระสงฆ์เข้าไปมีบทบาท ริเริ่ม ประสาน รวมทั้งใช้หลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนา เป็นกฎบัตรนา เพื่อให้เกิดการเช่ือมต่อหลอมรวม รวมไปถึงเป็นหลักยึดในการ
ดาเนินกิจกรรมของชาวพุทธ ซึ่งบางกลุ่มอาจไม่ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ต่อสังคมในวงกว้างเมื่อ
เทยี บกับกลุ่มทน่ี ามาศกึ ษา แตก่ ลุ่มพระพทุ ธศาสนาเพ่ือสังคมในแนวปฏิบัติการเชิงพุทธ ก็ได้เข้าไป
เป็นส่วนหน่ึงของสังคมอย่างแนบสนิท และกลายเป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิดพลังทางสังคม ท่ีมีผู้เสนอ
ร่วม และปฏบิ ัติรว่ มกัน จนส่งเสริมให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนตามแบบชาวพุทธ ปรากฏเช่นท่ีนามา
เป็นกรณีศกึ ษา

ดังนั้น เม่ือพิจารณาในภาพรวมของกลุ่มพระพุทธศาสนาเพ่ือสังคม “กลุ่มปฏิบัติการเชิง
พทุ ธ” มคี วามเหมือนกันในโครงสร้างหลักคือ ( ) เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา (๒) นาเสนอ
หลักการเชิงประยุกตเ์ พือ่ ให้เขา้ กับสภาพชีวิตของมนุษย์ในสภาพปัญหาที่เกดิ ขึ้น (ทกุ ข์) พร้อมเสนอ
ทางออกดว้ ยหลักพุทธธรรม (สมทุ ัย) เพื่อนาไปสู่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการอย่างที่วัดน้ัน ๆ
กระทาอยู่ (มรรค) เป้าหมายเพ่ือยุติปัญหาช่วยเหลือสังคมได้ (นิโรธ) ( ) เข้าร่วมปฏิบัติ ลงมือเอง
กระทาให้ดู และหรือมีส่วนร่วมในการส่งเสริม กระตุ้น ให้เกิดการปฏิบัติจริง ( ) มีเป้าหมายเพ่ือ
คุณภาพชีวิต ความคิด คุณธรรมของชาวพุทธผู้นับถือในสานักนั้น ๆ ด้วยวิธีการท่ีแต่ละสานัก
นาเสนอ ซ่ึงจะมีผลเป็นการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของคน การดาเนินชีวิต ตั้งแต่เกิดจนกระท่ังตาย
และคณุ ภาพของสภาพส่ิงแวดลอ้ ม บนฐานรากแหง่ พทุ ธธรรม เปน็ ตน้

. กล่มุ สายปฏิบตั ิธรรม /สานกั ปฏบิ ตั ธิ รรม
กลุ่มสายปฏิบตั ิธรรม หมายถงึ กลุ่มที่ใช้วิธีการปฏิบัติธรรม ภาวนา เจริญกรรมฐานเป็น

ภาพลักษณ์นา โดยยึด อ้างถึง อิงอยู่กับวิธีการปฏิบัติท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกท่ีเรียกว่า
กรรมฐาน ๐ วิธี คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา โดยมีวิธีการปฏิบัติหลัก ๆ อยู่ หลายวิธี ที่เรียกว่า
สมถะ ๖ และวปิ ัสสนากรรมฐาน

แต่เมื่อพิจารณาพัฒนาการของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในอดีต นับตั้งแต่ครั้ง
กรุงสโุ ขทยั อยธุ ยา ได้จาแนกพระเปน็ ๒ กลุ่ม คือ อรัญวาสี และคามวาสี ซ่ึงมีผู้ตีความว่า เป็นการ
จาแนกเพ่ือการปกครอง แต่ภาพลักษณ์เหล่าน้ัน ยังคงสืบทอดและได้รับการปฏิบัติ เนื่องต่อมา

กมั มฏั ฐาน ๐ คือ กสณิ ๐ อนุสสติ ๐ อสุภะ ๐ พรหมวหิ าร ธาตวุ วตั ถาน อาหาเร
ปฏิกูลสัญญา อานาปานสติ ; ส.ส.อ. (ไทย) / / .

๖ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒ / ๐/๒ -๒ ๘ (ยุคนัทธสูตร) แนวปฏิบัติมี แบบ คือ ( ) วิปัสสนานา
(๒) สมถะนา ( ) ปฏิบตั ิพร้อมกันทั้งสมถะและวิปัสสนา ( ) วิธพี ิเศษดว้ ยสภาวะจิตท่มี งุ่ มนั่ เป็นตน้ .

องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒ / ๐/๒ -๒ ๘ (ยุคนทั ธสตู ร).

จนกระท่ังปัจจบุ ัน แม้ “อรัญญวาสี” ที่ในปัจจุบันจะเป็นภาพลักษณ์ของพระป่า ท่ีเน้นการปฏิบัติก็
ตาม โดยในการศึกษาค้นคว้าน้ีต้องการแยกกลุ่ม ศึกษาพัฒนาการ ในแต่ละกลุ่ม เพื่อเป็นการตอบ
คาถามว่า กระบวนการพุทธใหม่กลุ่มสายปฏิบัติ เป็นใคร หรือมีลักษณะอย่างไร ? ซ่ึงในที่นี้จะได้
ยกกลุม่ ท่ีเคยมีผศู้ ึกษาไว้มาเป็นกรอบในเบ้ืองตน้ ดงั นี้

ในงานวิจัยของกรีสุดา เฑียรทอง และคณะ ๘ ได้จัดแบ่งสานักปฏิบัติ โดยอาศัยกรอบ
วิธีการปฏิบัติ คือ ) สายพุทธานุสสติ หรือสาย “พุทโธ” ๒) สายวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ หรือ
สาย “พอง-ยุบ” ) สายอานาปานสติ ๘๐ ) สายสตปิ ฏั ฐาน ๘ ) สายอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ หรือ
สาย “รูปนาม” ๖) สายอภิญญา ) สายโพธิสัตว์ และอ่ืน ๆ โดยในการศึกษานั้นมีการศึกษารูปแบบ
วธิ ีการอนั เฉพาะของแตล่ ะสานัก พร้อมยกกรณีตัวอยา่ งประกอบดว้ ย

ใน “คู่มอื ปฏบิ ัตสิ มถวปิ สั สนากมั มฎั ฐาน ๕ สาย” ไดแ้ บ่งแนวปฏบิ ตั ทิ ีป่ รากฏในสงั คมไทย
และสังคมส่วนใหญ่รับรู้และนาไปปฏิบัติกันอยู่แล้วเป็น แนวปฏิบัติพุทโธ ๘๒ อานาปานสติ ๘

๘ กรสี ุดา เฑียรทอง และคณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์กับการปฏิบัติพระ
กรรมฐานในประเทศไทย, (กรมการฝึกหัดครู : กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒ ).

การจัดกลุ่มแนวปฏิบัติในงานวิจัยของกรีสุดา และคณะ ในส่วนของสายพุทธานุสติ หรือสาย
“พุทโธ” เช่น วัดหินหมากเป้ง วัดอรัญญบรรพต วัดป่าบ้านตาด วัดป่าสาลวัน วัดป่าบ้านค้อ วัดอรัญญวิเวก กรี
สุดา เฑยี รทอง และคณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์กับการปฏิบัติพระกรรมฐานในประเทศ
ไทย, หนา้ ๒- .

๘๐ สาหรับในสายปฏิบัตแิ นว “อานาปานสติ” กรสี ดุ า เฑยี รทอง และคณะ ได้จัดหมวดหมู่ให้ สานัก
สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย วัดบวรนิเวศ กทม .
วดั ปิปผลวิ นาราม จงั หวัดระยอง สานกั เกาะมหามงคล โดยอุบาสิกาบงกช สิทธผิ ล จงั หวัดกาญจนบุรี อยู่ในกลุ่ม
ของการปฏิบตั แิ นว “อานาปานสติ” รายละเอียดใน กรีสุดา เฑียรทอง และคณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของ
พระพทุ ธองค์กบั การปฏบิ ัติพระกรรมฐานในประเทศไทย, หน้า ๖ - ๖.

๘ การจัดแบ่งในงานวิจัยของกรีสุดา เฑียรทอง และคณะ ได้จัดแบ่งแนวปฏิบัติสติปัฎฐานไว้ ได้แก่
วัดไทรงามธรรมาราม จังหวัดสุพรรณบุรี วัดถ้าเสือวิปัสสนา หลวงพ่อจาเนียร สีลเสฎฺโฐ จังหวัดกระบี่ ,
พระอาจารย์วิชัย เขมิโย วัดถ้าผาจม จังหวัดเชียงราย, หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ แห่งสานักทับมิ่งขวัญ ซึ่งต่อมา
ไดม้ าประยุกต์เป็นการปฏิบัติสมาธิแบบเคล่ือนไหว ดูรายละเอียดเพ่ิมใน กรีสุดา เฑียรทอง และคณะ, แนวการ
สอนพระกรรมฐานของพระพทุ ธองค์กับการปฏิบตั ิพระกรรมฐานในประเทศไทย, หน้า ๘-๘๖.

๘๒กองงานสื่อส่ิงพิมพ์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม, คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมมัฎฐาน ๕ สาย,
(ราชบรุ ี : บรษิ ัท เพชรเกษม พร้ินติ้ง กร๊ปุ จากัด, ๒ ), หนา้ / - ๒.

๘ กองงานสือ่ สิ่งพิมพ์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม, คู่มอื ปฏิบตั ิวปิ สั สนากรรมมัฎฐาน ๕ สาย,
หน้า ๒/ - ๘ . (หลวงพอ่ พุทธทาส)

พอง-ยุบ ๘ รปู นาม ๘ และสมั มาอรหงั ๘๖ ซง่ึ ในงานดงั กลา่ วไม่ได้ให้รายละเอียดต่อกลุ่มหรือสานัก
ปฏิบัติโดยตรง แต่เป็นการให้แนว วิธีการต่อการปฏิบัติเพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ปฏิบัติให้เข้าใจต่อ
วธิ ีการปฏบิ ัติในสังคมไทยในองคร์ วม

ในงานวิจัยของวริยา ชินวรรโณ และคณะ ๘ ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “วิวัฒนาการการ
ตีความคาสอนเรื่องสมาธิในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย” ศึกษาในสมัยกรุง
รัตนโกสินทร์ต้ังแต่ พ.ศ.๒ ๐๐ เป็นต้นไป ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การตีความคาสอนเร่ืองสมาธิ
การสอน การปฏิบัติ มีความแตกต่างกันออกไปตามวิธีการ โดยแบ่งออกเป็นสายสาคัญ สาย คือ
( ) สายอานาปานสติ คือ พิจารณาลมหายใจเข้า ออก และบริกรรมภาวนาว่า “พุทโธ” (๒) สาย
ธุดงคก์ รรมฐานอสี าน ๘๘ มพี ื้นฐานจากสายอานาปานสติ แต่มีลักษณะเป็นพระป่าต้องออกธุดงค์ มี
มากในแถบอีสาน ๘ ( ) แนวสติปัฎฐาน หรือสายวัดมหาธาตุ เป็นสายใหญ่สายหน่ึง ๐ ( ) สาย
ธรรมกาย ได้แก่การสอนตามแนวทางหลวงพ่อวัดปากน้าภาษีเจริญ ( .) สายประยุกต์ มีการ
สงั เคราะห์แนวคาสอนในพระพุทธศาสนา มาอธิบายการปฏิบตั แิ ละสอนสมาธิ เป็นต้น

แต่ในงานวิจัยนี้จะไม่จัดแบ่งเช่นงานวิจัยที่ปรากฏมา แต่จะมีเกณฑ์ในการจัดแบ่ง คือ
อาศัย (ก) เกณฑ์จานวนของศิษย์ศาสนิกที่นับถือและปฏิบัติตามในองค์รวม (ข) การสร้าง
ปรากฏการณ์ต่อสังคมในวงกว้าง (ค) อยู่ในสภาพการรับรู้ของสังคม ซึ่งอาจจะด้วยเหตุผลของการ
ปฏิบัตเิ อง และความขัดแย้งจากการปฏบิ ัตกิ ็ตาม ดังกรณีวัดพระธรรมกายเป็นต้น (ง) มีผลต่อความ
เข้าใจของชาวพุทธและสอดรับกับเกณฑ์ในการแบ่งตามคัมภีร์ หรือมีฐานคัมภีร์ในการอ้างอิงด้วย

๘ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ / - สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภะ).
๘ เรื่องเดยี วกัน, หน้า / - พระวกิ รมนุรี (ผล อุปตสิ โฺ ส) ผ้ทู เ่ี ปน็ ตน้ แบบแนวปฏิบตั ดิ งั กลา่ ว.
๘๖ เรอื่ งเดียวกัน, หน้า / - หลวงพอ่ สด วดั ปากน้า เปน็ ต้นธาตุในการปฏิบตั ิ.
๘ วริยา ชินวรรโณ และคณะ, ววิ ัฒนาการการตคี วามคาสอนเร่ืองสมาธิในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถร
วาทในประเทศไทย, พมิ พ์คร้ังท่ี , (กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒ ๘).
๑ ภาวดี พันธรักษ์, “ปัจจัยทางกายภาพและสังคมท่ีมีผลต่อการตัดสินใจไปวัดป่าธรรมยุติ :
กรณีศึกษาวัดในจังหวัดสกลนคร”, วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต (ภูมิศาสตร์), (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒ ), หน้า บทคัดยอ่ .
๘ แม่ชีศิริวรรณ จาเนียรบุญ, “ศึกษารูปแบบและวิธีการปฏิบัติกัมมัฏฐานของพระอธิการสนอง
กตปญุ โฺ ญ วดั สังฆทาน จังหวัดนนทบุรี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ๐).
๐ จฑุ ามาศ วารแี สงทพิ ย์, “ การศกึ ษาพัฒนาการของวปิ สั สนากรรมฐานในประเทศไทย”, สาร
นิพนธพ์ ทุ ธศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ , (บัณฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ๒).



เพ่ือให้เห็นว่าการปฏิบัติของสานักต่าง ๆ หรือวิธีการปฏิบัติเหล่าน้ันเกิดจากการปฏิบัติท่ีมีลักษณะ
เฉพาะตัวแต่อิงอาศัย แนวคดิ จากคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาดว้ ย

เหตุท่จี ัดแบ่งเช่นน้ีเพราะชาวพุทธจะรับรู้บ่อย ๆ ว่า ผู้ปฏิบัติมีใครเป็นอาจารย์ เป็นศิษย์
สานกั ใด ปฏิบตั ิดว้ ยวัตรปฏิบัติแนวไหน ซ่ึงในความหมายหนึ่งก็คือ การปฏิบัติตาม อีกความหมาย
หนึง่ เป็นการสร้างความคิดเห็นต่าง บางครั้งเลยไปถึงขัดแย้งวิวาท ดังนั้น ในการจัดแบ่งตามเกณฑ์
ในการศึกษานี้จะอาศัยเกณฑ์ในการจัดแบ่งของท่านที่ได้ทาการศึกษาไว้แล้วเทียบ และนามา
ประยุกต์เพ่ือชี้ให้เห็น โดยเอาแนวคิดเร่ืองปรากฏการณ์ แนวคิดเร่ืองการรับรู้เข้าถึงในวงกว้าง และ
ก่อใหเ้ กดิ การขับเคลอ่ื นต่อสังคมในองคร์ วมอยา่ งท่ีปรากฏผล ซึง่ ผู้วจิ ยั สามารถแบง่ ได้ดงั น้ี

ก. กลุ่มแนวปฏิบัติอานาปานสติในแบบพระป่า หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต๑ ๒ โดยมีวิธีปฏิบัติ
ในการกาหนดลมหายใจ ใช้คาบริกรรมว่า “พุท-โธ” การปฏิบัติในสายพระป่า ของหลวงปู่ม่ันในครั้ง
อดีต ได้สร้างต้นแบบ และสอนศิษย์จานวนมาก ท้ังได้เกิดสาย “สัมพันธ์” เชิงกลุ่มเครือข่าย ที่
สัมพันธ์กันอย่างหลวม ๆ ตามโครงสร้าง แต่สัมพันธ์ในเชิงจิต เป็นความศรัทธาท่ีศิษย์อาจารย์พึง
ปฏิบัติและแสดงออกต่อกัน และในความเป็นกลุ่มปฏิบัตินี้ ได้กลายเป็นกลุ่มกระบวนการพุทธที่ถูก
นามาเป็นต้นแบบ ปรากฏอยู่ในสังคมไทย และเป็นพัฒนาการร่วมต่อสังคม โดยเฉพาะในภาคอีสาน
สว่ นใหญ่ ท่ีความเปน็ วดั ปา่ ศษิ ยก์ รรมฐานสายหลวงปู่ม่ัน กับภาพของพระผู้ปฏิบัติ ซ่ึงอาจจาเพาะไป
ถึงความเป็นนิกายธรรมยุต และวัดบ้านในส่วนมหานิกาย เป็นต้น หากมองในเชิงลึก ภาพของความ
ต่างน้จี ะลงไปในรายละเอยี ดแยกส่วน ระหว่างคนและชุมชนด้วยเช่นกัน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กาเนิด เมื่อ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒ ที่บ้านคาบง อาเภอ
โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี อุปสมบท ณ วัดเลียบ อาเภอเมืองอุบลราชธานี ในวันที่ ๒

ข้อมูลพบวา่ ในปัจจบุ นั มีสานกั ปฏิบตั ธิ รรมทีข่ น้ึ ทะเบียนโดยสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
และประกาศรบั รองใหเ้ ปน็ สานกั ปฏิบตั ธิ รรมประจาจังหวดั ในแต่ละจังหวัด รวมท่ัวประเทศกว่า ,๒๒ แห่ง ที่
รับรองและออกเป็นมติมหาเถรสมาคม โดยมีรูปแบบการสอนการปฏิบัติในลักษณะที่แตกต่างกัน ตามแต่แนว
ปฏิบตั ขิ องแต่ละสานัก ซงึ่ สรปุ จากกล่มุ แนวปฏิบัติได้ อาทิ แนวปฏิบัติสติปัฎฐาน (ยุบ-พอง) แนวสัมมาอะระหัง
แนวธรรมกาย เป็นต้น ดูรายละเอียดใน แถลงการณ์คณะสงฆ์, “มติมหาเถรสมาคมท่ี ๘ /๒ เรื่องขอ
อนมุ ตั จิ ดั ต้ังสานกั ปฏิบัติธรรมประจาจังหวัดนครนายก (ธรรมยุต)ิ แหง่ ท่ี และจังหวัดพิษณุโลก (ธรรมยุต) แห่ง
ที่ , เลม่ ที่ ๒ ตอนที่ ๘ วันที่ ๒ สิงหาคม พทุ ธศักราช ๒ , หนา้ .

๒ Acariya Boowa Nanasampanno. Venerable Acariya Mun Bhuridatta Thera, (Taiwan : The
Corparate Body of the Buddha Education Foundation. ๒๐๐ ) มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, บูรพาจารย์ :
ท่านพระอาจารยม์ ั่น ภรู ทิ ัตตเถระ, (กรงุ เทพมหานคร : มูลนธิ ิพระอาจารย์มัน่ ภรู ทิ ัตโต,๒ ), หน้า -๖๘.

ธานนิ ทร์ เลศิ นครนิ ทร์, ๑๕ พระอริยสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร : ส.พิจติ รการพมิ พ์, ๒ ),
หนา้ - .

มิถุนายน ๒ ๖ โดยมีพระอริยกวี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้เข้าฝึกปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ในสานัก
พระเสาร์ กันตสีโล ณ วดั เลยี บ ท้งั ศึกษาทง้ั ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ เดินธดุ งค์ในหลาย ๆ ที่

หลวงปู่มั่น เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐานที่มีช่ือเสียง มีผู้เคารพนับถือมาก หลวงปู่
มีศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระเถระ มีวัตรปฏิบัติงดงาม เป็นท่ีเคารพจานวนมาก เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลวงปู่แหวน สจุ ณิ โณ หลวงปฝู่ น้ั อาจาโร ๖ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
วดั เขาสกุ ิม จันทรบรุ ี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน ๘ วดั ป่าบ้านตาด จังหวดั อดุ รธานี หรือหลวง
พ่อวิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล กรุงเทพ ฯ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาทีโป ๒๐๐ เป็นต้น
หลวงปู่ม่ัน ภูริทตฺโต ได้รับความเคารพจากศิษย์ และได้รับการยกย่องเรียกขานจาก กลุ่มศิษย์ว่า
"พระอาจารย์ใหญ่" ท่านเป็นผู้มีประวัติงดงาม เป็นฐานที่พ่ึงอันมั่นคงตลอดจนเป็นที่ยึดเหน่ียวทาง

ดูรายละเอียดเก่ียวกับหลวงปู่ดุล อตุโล (พระราชวุฒาจารย์, ๒ -๒ ๒๖)ใน พระโพธินันท
มุนี (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต), ปฐม นิคมานนท์, อตุโล ไม่มีใดเทียม : ประวัติ ปฏิปทา และคาสอน พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปดู่ ลุ ย์ อตโุ ล) วัดบูรพาราม อาเภอเมือง จงั หวัดสรุ ินทร์, ([ม.ป.ท.] : บริษัทพี.เอ.ลฟี วิ่ง จากัด, ๒ ).

ดูรายละเอียดเก่ยี วกบั หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ (พ.ศ.๒ ๐-๒ ๒๘) จาก คณะศิษย์, พระคุณเจ้า
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ พระอรหันต์แห่งดอยแม่ป๋ัง : ชีวประวัติ, ปฏิปทา, พระธรรมเทศนา, (กรุงเทพมหานคร:
บรษิ ัท เอ็น.เจ.โปรโมชัน่ จากัด, ๒ ๐)

๖ดรู ายละเอียดเกย่ี วกบั หลวงปู่ฝน้ั อาจาโร (พ.ศ.๒ ๒-๒ ๒๐) ใน ชมรมพุทธศาสน์,การไฟฟา้
ฝ่ายผลติ แหง่ ประเทศไทย.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร : ชีวประวตั ิ บันทึกหวั ข้อธรรม พระธรรมเทศนา.(นนทบรุ ี :
ชมรมพุทธศาสน์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, ๒ ).

ดรู ายละเอยี ดหลวงปู่ขาว อนาลโย, (พ.ศ.๒ ๒-๒ ๒๖) ใน ไพบูลย์ พงศ์รัตนพิศุทธ์ิ, อนาลโย
วาท : ประวัติ ปฏิปทา และคาเทศนา หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ากลองเพล จังหวัดหนองบัวลาภู ,
(กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัทศิลป์สยามบรรจภุ ณั ฑ์และการพมิ พ์ จากดั , ๒ ).

๘ดูรายละเอยี ดเกีย่ วกบั หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน (พ.ศ.๒ ๖ -๒ ) ใน พระมหาสมบัติ
ปภากโร, “การศึกษาวิเคราะห์เทคนิคการสอนของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)”, วิทยานิพนธ์
ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ , (คณะศิลปศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ), หนา้ บทคัดยอ่ .

พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร: มกราคม ๒ ๖ -ปัจจุบัน) เป็นพระภิกษุ
สงฆ์ ในศาสนาพุทธ มีตาแหน่งเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม และเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ฝ่ายธรรมยุตินิกาย
ปัจจุบันอายุ ปี พรรษา ๐ ดูรายละเอียดใน นิสดารก์ เวชยานนท์, ผู้นาทางสาธารณประโยชน์และประชา
สังคม. พระราชธรรมเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร), (กรุงเทพมหานคร: ศูนย์สาธารณประโยชน์และ
ประชาสังคม สถาบันบณั ฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์, ๒ ๖).

๒๐๐ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป, (พ.ศ.๒ ๖), ใน พระเปลี่ยน ปัญญา
ปทีโป, พระอาจารย์เปล่ยี น ปัญญาปทีโป : ประวตั สิ ่วนตัว การจาพรรษา และการออกธดุ งค์ , (กรงเทพมหานคร :
บริษัทศลิ ป์สยามบรรจภุ ณั ฑแ์ ละการพิมพ์ จากดั , ๒ ๖).



ใจของเหล่าศิษย์ ตลอดเวลาในเพศบรรพชิต หลวงปู่ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างท่ีดี สาหรับศิษย์ของ
ท่านในช้ันหลัง ๆ ถือวา่ เป็นพระเถระท่สี ร้างปรากฏการณ์ด้านตา่ ง ๆ แก่สังคมในวงกวา้ ง

ในกลมุ่ แนวปฏิบัติผู้เป็นศิษย์หลวงปู่ม่ัน คือ หลวงตามหาบัว เป็นอีกท่านหน่ึง ที่สร้าง
ปรากฏการณ์ทางพระพุทธศาสนาในภาพรวม กล่าวคือ เม่ือเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ ท่านเป็น
พระสงฆ์รูปหนึ่งที่อาศัยวัตรปฏิบัติจากการเป็นพระป่า ศิษย์ลูกปู่มั่น และเป็นพระกรรมฐานได้นา
แนววัตรปฏิบัติดังกล่าวมาเป็นส่วนในการระดมทุน “ช่วยชาติ” ซ่ึงทาให้เกิดการต่ืนตัวอย่างย่ิงใน
สังคม และทาใหท้ า่ นสามารถระดมทนุ จนเป็นปรากฏการณ์ตอ่ สาธารณะในวงกว้างต่อบทบาทของ
พระสงฆ์ และในเวลาเดียวกันบทบาทของท่านยังก้าวล่วงไปถึงการเมือง การบริหารประเทศ๒๐
การแต่งตั้งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าท่ีสมเด็จพระสังฆราช การวิพากษ์บริหารกิจการคณะสงฆ์
รวมไปถึงการนาพระสงฆ์มา “คัดค้าน” การแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วย มุมหน่ึงเป็นการ
แสดงออกต่อการบริหารบ้านเมือง และกิจการคณะสงฆ์ ซ่ึงไม่ได้เก่ียวข้องกับการปฏิบัติ แต่ท่ี
ปรากฏชดั คอื ปรากฏการณ์และการตืน่ ตัวต่อบทบาทของพระสงฆ์ ซึ่งมุมหนงึ่ คอื ความเหมาะควรต่อ
บทบาทของพระสงฆต์ ่อการเมอื ง และในเวลาเดยี วกนั ไดก้ ลายเปน็ ข้อขดั แย้ง ในวงกว้างด้วยเช่นกัน
แตบ่ ทบาทของท่านกลับเป็นการเขา้ มามีสว่ นรว่ มในการสอ่ื สารทางการเมอื งเสียเป็นด้านหลัก

ข. กลุ่มแนวปฏิบัติแนวปฏิบัติอานาปานสติในแบบหลวงพ่อชา สุภทฺโท สาหรับหลวง
พ่อชา อาจพิจารณาไปท่านคงเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ผู้มีแนวปฏิบัติอานาปานสติ ผู้เป็น
ต้นแบบของพระป่าในประเทศไทย แต่ท่ีศึกษาท่านเป็นกรณีเฉพาะ เน่ืองด้วยหลวงปู่ชาเป็นคณะ
สงฆ์มหานิกาย มีผลงานท่ีก่อให้เกิดการยอมรับ นับถือ ปฏิบัติในวงกว้าง ทั้งไทยและเทศ ทาให้
พระพุทธศาสนาในแนวปฏิบัติขยายตัวกว้างออกไป ในประเทศต่าง ๆ อาทิ อังกฤษ ออสเตรเลีย
อเมรกิ า เปน็ ต้น

แนวปฏบิ ัติในแบบหลวงพ่อชา๒ ๒ เปน็ ศษิ ยแ์ ละได้รับอิทธิพลจากหลวงปู่ม่ัน ซึ่งท่านก็
ได้นามาปฏิบัติจนสามารถมีผู้ปฏิบัติตาม และสร้าง “เครือข่าย” ระหว่างลูกศิษย์ จนขยายสาขาของ
วดั หนองป่าพงไปยงั จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ และต่างประเทศจานวนมาก ซ่ึงเป็นท่ีสงสัยต่อท่าน
วา่ “หลวงพอ่ ชาไม่รภู้ าษาองั กฤษทาไมจึงสอนฝร่งั ได้”

๒๐ เบญจา มังคละพฤกษ์, “การส่ือสารทางการเมืองของพระสงฆ์ไทย : กรณีศึกษาพระธรรมวิสุทธิ
มงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ) พ.ศ.๒ -๒ ๘”,วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
(สือ่ สารมวลชน), (คณะวารสารศาสตรแ์ ละสอ่ื สารมวลชน :มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ).

๒๐๒ พระมหาวิชาญ สุวิชาโน (บัวบาน). ศึกษากระบวนการฝึกอบรมบุคลากรทางพระพุทธศาสนา
ของพระโพธิญาณเถระ ( ชา สุภทฺโท), วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒ ),

พระโพธิญาณเถระ นามเดิม ชา อุปสมบทเม่ือ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒ ๘๒ ณ วัดก่อใน
จังหวัดอุบลราชธานี๒ ๓ อุปสมบทแล้วท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง ศึกษาปริยัติธรรม
และ วิปสั สนาจากหลายสานัก ทา้ ยสดุ เดินทางจารึกไปพบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดหนองผือนาใน
อาเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เกิดความศรัทธาเล่ือมใส และยึดถือแนวปฏิบัติ ได้ทดลอง
ปฏิบัติ ภาวนาในสถานวิเวกต่างๆ อาทิ ป่าช้า ป่าดงดิบ รวมระยะเวลาการออกธุดงค์เป็นเวลา ๘ ปี
(พ.ศ.๒ ๘ - ๒ ) พ.ศ.๒ จึงออกมาต้งั วดั หนองปา่ พง ซงึ่ เปน็ วัดป่าฝ่ายอรัญวาสีท่ีบ้าน
เกิด โดยมที า่ นเองเปน็ เจา้ อาวาส

ระหว่างท่มี าอยวู่ ัดหนองป่าพง ไดย้ ดึ หลักคาสอนของพระพุทธองค์ท่ีตรัสว่า "ทาตนให้
ตัง้ อยใู่ นคณุ ธรรมเสียก่อน แล้วจงึ สอนคนอ่นื ทีหลัง จึงจะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก" ฉะนั้นไม่ว่าจะทา
กจิ วัตรอันใด เชน่ การกวาดลานวัด จดั ทฉี่ ัน ล้างบาตร น่ังสมาธิ ตักน้า ทาวัตร หลวงพ่อจะลงมือทา
เป็นตัวอย่างของศิษย์โดยยึดหลักว่า "สอนคนด้วยการทาให้ดู ทาเหมือนพูด พูดเหมือนทา" ดังนั้น
ศิษย์และญาติโยมจึงเคารพเลื่อมใสปฏิปทาที่หลวงพ่อดาเนินอยู่ พร้อมทั้งได้เริ่มงานเผยแผ่
พระพุทธศาสนา แก่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ก่อต้ังวัดป่านานาชาติเพ่ือ
เป็นวัดนานาชาติสาหรับชาวต่างชาติที่ต้องการบวชในพระพุทธศาสนา นับแต่นั้นเป็นต้นมา
จนกระท่ังแนวปฏิบัติ และแนววัตรได้รับการยอมรับและมีศิษย์จานวนมาก ดังมีข้อมูลว่า วัดหนอง
ป่าพงมีสาขาของวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย กว่า ๘ สาขา และต่างประเทศเกือบ ๒๐ แห่งมี
ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี แคนาดา และสหรัฐอเมริกา" ๒๐
หลวงปู่ชา นับว่าเป็นพระมหาเถระท่ีมีผลงานทางด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านวิปัสสนาธุระที่
โดดเดน่ ทีส่ ุดรปู หนงึ่ ของสังคมไทย๒๐

โดยแนวปฏิบัติอานาปานสติ สาหรับแนวปฏิบัติน้ีไม่ได้แตกต่างกันกับกลุ่มแรก เพราะ
หลวงพ่อชาก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แต่ส่ิงที่แตกต่างคือสานักหลวงพ่อชา สุภทฺโท เป็น
สานักที่สร้างปรากฏการณ์ต่อสังคมในวงกว้างท้ังในส่วนของแนวคาสอน หลักปฏิบัติ และความ
เข้มแข็งของศิษย์ที่ยังรวมกลุ่มเครือข่าย และสาขาของวัดหนองหลวงป่าพง ซ่ึงเป็นลักษณะพิเศษ
กว่า ศิษย์ในแบบหลวงปู่ม่ัน โดยพัฒนาการคาสอนและแนวปฏิบัติมีผลเป็นการขับเคลื่อนสังคม
สงฆ์ในแบบเถรวาทไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งอาจมีผู้ตั้งข้อสังเกตพระพุทธศาสนากลุ่มนี้มีความเป็น

๒๐ ประวัติหลวงปู่ชา สุภทฺโท ในงานค้นคว้าของ ธานินทิณ เลิศนครินทร์, ๑๕ พระอริยสงฆ์,
(กรุงเทพมหานคร : ส.พิจติ การพมิ พ,์ ๒ ), หน้า ๒ - .

๒๐ [ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมา http://www.phrathai.net/article/detail.php?catid= &ID= ๐๐ (๒ มิ.ย. )
๒๐ [ออนไลน์], แหล่งที่มา http://www.dhammathai.org/watthai/northeast/watnongpahpong.php
(๒ มิ.ย. )



ขบวนการพุทธใหม่อย่างไร ซ่ึงผู้วิจัยให้คานิยามผ่าน ปรากฏการณ์และการปรับตัวภายใต้
สถานการณใ์ หม่ และมพี ฒั นาการเชงิ สงั คมอย่างสูง สาหรับกลุ่มหลวงพ่อชาน้ี เป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิด
การขบั เคล่ือนเป็นนวัติกรรมทางพระพุทธศาสนาด้วยจานวนศิษย์ชาวต่างประเทศจานวนมาก และ
สานักสาขาของหลวงพอ่ ชาโดยตรง และมพี ฒั นาการที่เกาะกลุม่ กันอย่างแนบแน่นในปัจจุบัน

ค. แนวปฏิบัติในแบบวิชชาธรรมกาย (หลวงพ่อสด วัดปากน้า) แนวปฏิบัติธรรม ท่ี
ค้นพบโดยหลวงพ่อสด แห่งวัดปากน้า วิธีการ คือ บริกรรม “สัมมา อะระหัง” กาหนดท่ีศูนย์กลาง
กาย ใช้ดวงไฟ หรอื ลูกแกว้ เปน็ อารมณ์ วธิ ีการปฏบิ ัติดังมีผู้นับถือ และนาไปปฏิบัติอย่างกว้างขวาง
จนศิษย์ในช้ันหลัง ๆ อย่างวัดพระธรรมกาย และวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม นาไปประยุกต์เผย
แผ่จนมผี ูศ้ รัทธาปฏิบตั ติ ามจานวนมาก วธิ กี ารปฏบิ ัติได้กลายเปน็ “วิวาทะ” ข้อขัดแย้งกับสานักอื่น
ๆ ในความเป็น “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” ซ่ึงเป็นความต่าง๒๐๖ แต่การปฏิบัติในแบบหลวงพ่อสดก็
ได้รับการสบื ทอดและปฏิบัตอิ ยา่ งตอ่ เนือ่ งจนกระท่ังปจั จุบนั และเปน็ ความเคล่อื นไหวของกลุ่มชาว
พทุ ธในวงกว้าง ซงึ่ จาแนกได้ดงั นี้

( ) สานักวดั ปากนา้ จดุ เริม่ ต้นของวิชาธรรมกายโดยหลวงพ่อสด ผู้ค้นพบและศิษย์ใน
ช้ันหลังก็ยังคงรักษา สืบทอด และปฏิบัติเรื่อยมา วัดปากน้าถึงจะไม่มีความเด่นดังในการจัดการ
องคก์ ร เมอ่ื เทยี บกบั สานกั “ศิษย์” อยา่ งวัดพระธรรมกาย ที่มีพฒั นาการในการเผยแผ่อยา่ งสงู ย่งิ แต่
วัดปากน้า ก็ยังคงยึดถือการปฏิบัติ ตามแนวสอน ของหลวงพอ่ สดไวจ้ นกระทัง่ ปจั จุบนั

(๒) สานักวัดพระธรรมกาย เป็นสานักท่ีนาหลักคิดและวิธีการปฏิบัติภาวนาในแนว
ปฏิบัติของ “หลวงพ่อสด” ไปสร้างพลวัฒน์ในเชิงสังคมไปได้อย่างกว้างขวาง แต่สานัก
พระธรรมกายก็เป็นประเด็นทางสังคม ต่อแนวการสอน การตีความผ่านแนวคิดที่ว่า“นิพพาน เป็น
อัตตา หรืออนัตตา” ๒๐ จนนาไปสู่ความขัดแย้ง ทางสังคม ความคิด และองค์กรทางศาสนา แต่ใน
เวลาเดียวกันสานักธรรมกาย ก็ยังดารงตน ศาสนิก และการขับเคล่ือนองค์กร อย่างเป็นระบบ
ต่อเนอ่ื ง มาจนกระทง่ั ปจั จบุ นั

(๓) สานกั วดั หลวงพ่อสดธรรมกายาราม เปน็ อีกสานักท่ีมีความเก่ียวเน่ืองและเป็นส่วน
หนงึ่ ของแนวปฏบิ ตั หิ ลวงพอ่ สด ทน่ี าโดย “พระมหาเสริมชัย ชยมงคโล”๒๐๘ ท่ีก่อต้ังสานักวัดหลวง

๒๐๖ ดูเพิม่ ใน พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร), สมถวปิ ัสสนาภาวนา ตามแนวสตปิ ัฎฐาน ๔,
(ราชบรุ ี : บริษทั เพชรเกษม พริ้นตง้ิ กรุ๊ป จากดั , ๒ ), หนา้ -๒๖.

๒๐ รายละเอียดใน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), กรณีธรรมกาย : บทเรียนเพื่อพระพุทธศาสนา
และสรา้ งสรรคส์ ังคมไทย, (กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสาร, ๒ ๒), หนา้ - .

๒๐๘ พระราชญาณวิสฐิ และคณะ, คมู่ อื การศึกษา สมั มาปฏบิ ตั ิไตรสิกขา, (ราชบุรี : บรษิ ทั เพชรเกษม
พรน้ิ ต้ิง กร๊ปุ จากดั , ๒ ), หน้า - ๐๐.

พ่อสดธรรมกายยาราม จงั หวดั ราชบรุ ี โดยผสมผสานกับการจัดการยุคใหม่ และการปฏิบัติ “สมาธิ”

ในแบบหลวงพ่อสด ทั้งยังคงใช้แนวปฏิบัติ “วิชชาธรรมกาย” ในการถ่ายทอดและส่งเสริมให้

ผู้สนใจ ศิษย์ท่ีนับถือได้ไปปฏิบัติ แม้ไม่ได้ช้ีชัดไปว่า “นิพพาน” เป็นอัตตา หรืออนัตตาเช่นวัด

พระธรรมกาย แม้ในภาพรวมจะดูว่าทั้งสองแยกขาดไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ถ้าดูวิธีการปฏิบัติก็จะอาศัย

แนวปฏิบัตแิ บบหลวงพอ่ สด วัดปากนา้ ด้วยเชน่ กนั

ง.กลุ่มแนวปฏิบัติตามแนวสติปัฎฐาน (พอง-ยุบ) เป็นกลุ่มที่ปฏิบัติตามสติปัฏฐาน

ตามคมั ภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา ทีไ่ ดร้ ับอทิ ธพิ ลวิธีการปฏิบัติจากประเทศพม่า วิธีการปฏิบัติใช้หลัก

“สต”ิ ในการกาหนดรู้อริ ยิ าบถใหญ่ มกี ารยนื นัง่ นอน เป็นต้น ขณะน่งั สมาธใิ ช้การกาหนดบริกรรม

วา่ “พอง-ยุบ” แนวปฏบิ ัตสิ ายน้ีเกิดจากการที่ พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ (ป.ธ. พ.ศ.๒ ๖ -

๒ ) ได้ไปศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ สานักศาสนายิสสา ประเทศพม่า เม่ือ พ.ศ.

๒ เม่ือสาเร็จการศึกษา ได้เดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับพระวิปัสสนากรรมฐาน ๒ รูป

คือ ท่านอาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ (พ.ศ.๒ -๒ )๒๐ และท่านอินทวังสะ ธัม

มาจริยะ กัมมัฏฐานาจริยะ๒ ๐ที่รัฐบาลไทยขอจากรัฐบาลพม่า เพื่อมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน

ประจาอยใู่ นประเทศไทย

เมื่อท่านกลับมาประเทศไทย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร พ.ศ.๒ ๖-

๒ ๒) ครั้งดารงสมณศักดิ์ที่ "พระพิมลธรรม" ได้จัดตั้งสานักวิปัสสนากรรมฐานแห่งประเทศ

ไทย ขน้ึ ทีว่ ดั มหาธาต๒ุ และไดแ้ ต่งต้ังพระมหาโชดก ญาณสิทธิ เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา

๒๐ ดร.ภทั ทนั ตะ อาสภะ รวมอายุ ๐๐ พรรษา ๘ ได้อยู่ปฏิบัติศาสนกิจสอน และวางรากฐานการ
ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน แนว “สติปัฎฐาน” ในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ.๒ แม้จะมีปัญหาทางการเมืองต่อ
คณะสงค์ก็ได้วางรากฐานสอนกรรมมัฎฐานที่สานักวิเวกอาศรม วางรากฐานการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนว
สติปัฎฐาน “ยุบหนอ พองหนอ” จนวาระสุดท้ายในประเทศไทย ดูรายละเอียดใน บรรยงค์ บรรเทากุล ,
ปฐมวิปัสสนาวงศใ์ นประเทศไทย, (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ต้ิง, ๒ ), หน้า - .

๒ ๐ ท่านอินทวังสะ กัมมัฏฐานาจริยะ ได้กลับคืนสู่ประเทศพม่า ภายหลังเม่ือพระพิมลธรรม (อาจ
อาสภมหาเถร) ต้องคดถี ูกทางการตารวจจับไปขังในสันติบาล ดูรายละเอียดใน พระพิมลธรรม (อาจ), ผจญมาร :
บันทึกชีวิต ๕ ปีในห้องขังของพระพิมลธรรม (อาสภมหาเถร), (กรุงเทพมหานคร : สานักงานกลาง กองการ
วิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุ, ๒ ๐), หน้า บทคานา. (โดยพระเทพสิทธิมุนี พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
คณะ วดั มหาธาตุ มกราคม ๒ ๐).

๒ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ), “เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร)
กับการส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน”, ใน พระสุธีวรญาณ, “พุทธศาสตรปริทรรศน์ เล่ม ๒” ,
(กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ), หนา้ ๘ - ๐๐.



ธุระ เป็นรูปแรก พร้อมทั้งขยายสานักสาขาไปต้ังในที่ต่าง ๆ ท่ัวประเทศ จัดทาหลักสูตรวิปัสสนา
กรรมฐาน คัดเลอื กพระวิปัสสนาจารยไ์ ปสอนประจาอยู่ตามสานักสาขาท่ตี ้ังข้ึนท่วั ประเทศ

พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักด์ิเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี
ได้อุทิศชีวิตอบรม และเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฎฐาน “ยุบหนอ-พองหนอ” ๒ ๒
เป็นเวลาประมาณ ๐ ปี จนมีศิษย์ผู้นับถือ ยอมรับจานวนมาก ท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทุก
ระดับชั้น ทุกฐานะอาชีพ เช่นครั้งดารงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร๒ ได้เป็นพระอาจารย์ถวาย
วปิ ัสสนากรรมฐาน แด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ซ่ึงได้
เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน ณ พระมณฑป พระบรมธาตุ วัดมหาธาตุ ในปี พ.ศ.๒ ๘ และ
เคยเปน็ อาจารยถ์ วายวปิ สั สนากรรมฐาน แด่พระมงคลเทพมนุ ี (หลวงพอ่ สด จนฺทสโร พ.ศ.๒ ๒ -
๒ ๐๒) วัดปากน้า ซึ่งเป็นพระอาจารย์มีเกียรติคุณในด้านสมถกรรมฐาน (วิชาธรรมกาย)
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงหบุรี พระธรรมมังคลาจารย์ (ทอง สิริมงฺคโล) ๒
วัดพระธาตุศรีจอมทอง หรือดร.สิริ กรินชัย (พ.ศ.๒ ๖๐) แห่งยุวพุทธิสมาคมแห่งประเทศไทย
หรือศิษย์รุน่ หลังของสานักคณะ วัดมหาธาตุ๒ หรอื มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่ี
มีการเรียนการสอนเป็นหลักสูตรก็นาแนวปฏิบัติวิธีปฏิบัติดังกล่าวไปเผยแผ่ต่อสาธารณะเช่นกัน
เป็นต้น สานักปฏิบัติเหล่านี้ จะมองแยกวิธีการปฏิบัติ “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” เป็นคนละส่วนกัน

๒ ๒ ในงานวิจัยของกรีสุดา เฑียรทอง และคณะ ให้ข้อมูลถึงสานักท่ีปฏิบัติแนวยุบหนอ/พองหนอ ไว้
ซ่ึงให้รายละเอียดต่อสานักปฏิบัติท่ีปฏิบัติตามแนวดังกล่าว อาทิ สานักวัดร่าเปิง (ตโปทาราม) ซ่ึงต่อมาหลวงพ่อ
ทอง สิรมิ งฺคโล ได้พัฒนาขยายไปเปน็ วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่ วัดคีรีวงศ์ จังหวัดนครสวรรค์ วัดอัมพวัน
โดยหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งจังหวัดสิงห์บุรี วัดดอนพุด จังหวัดสระบุรี เป็นต้น ดูในกรีสุดา เฑียรทองและ
คณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์กับการปฏิบัติพระกรรมฐานในประเทศไทย ,
(พระนครศรีอยธุ ยา : วทิ ยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา, ๒ ), หน้า -๖ .

๒ พ.ศ. ๒ เป็นพระราชาคณะ ฝา่ ยวิปสั สนาธุระ (วิ.) ที่ “พระอดุ มวชิ าญาณเถร” พ.ศ. ๒ ๐
เป็นพระราชาคณะชั้นราช (วิ.) ที่ “พระราชสิทธิมุนี” พ.ศ. ๒ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ (วิ.) ที่ “พระเทพ
สิทธิมุนี” ๒ ๐ พระราชาคณะช้ันธรรม (วิ.) ที่ “พระธรรมธีรราชมหามุนี” รายละเอียดใน [ออนไลน์],
แหล่งท่ีมา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13026 (๒๒ กนั ยายน ๒ ).

๒ ดูรายละเอียดเพ่ิมใน พระเจริญ วฑฺฒโน (มันจะนา), “การศึกษาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฎ
ฐานของพระราชพรหมาจารย์ (ทอง สิริมงฺคโล)”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย,๒ ๒),หนา้ - ๐.

๒ [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://www.section- .org (๒ กันยายน ๒ , คณะ วัด
มหาธาต)ุ .

อยา่ งชัดเจน จึงทาให้เกิด คาว่า “สาย” ที่เรียกว่า “เจริญสติ” หรือ “สติปัฏฐาน ” ซ่ึงเป็นเป้าหมาย

และปลายทางของการปฏิบัติ

ที่ กลุ่มแนวปฏบิ ตั ิ วธิ ปี ฏิบัติ ภาวนา-กาหนด ความเกี่ยวเนื่อง

ศิษยห์ ลวงป่มู น่ั ภรู ทิ ตฺโต ยืน-นั่ง พุท-โธ สายวัดป่า ธ.

๒ ศษิ ยห์ ลวงปูช่ า สภุ ทโฺ ท เดนิ -น่งั พุท-โธ สายวัดปา่ ม.

สายศษิ ยห์ ลวงพอ่ สด วัดปากน้า นง่ั สัมมา อะระหงั สมถะ

สติปฎั ฐาน “พอง-ยบุ ” อิรยิ าบถ 4 “พองหนอ ยบุ หนอ” วปิ สั สนา

สมาธเิ คลอื่ นไหวหลวงพ่อเทยี น นั่ง-เดิน “รกู้ ารเคลอื่ นไหว” วปิ สั สนา

๖ มโนมยทิ ธิ นั่ง-เดิน มโนมยิทธิ สมถะ

ตารางที่ .๒ เปรียบเทียบวธิ ีการปฏบิ ตั ขิ องกล่มุ สายปฏบิ ตั ิ

จ.กลุ่มแนวปฏบิ ัติเจริญสติแบบเคลือ่ นไหวแนวหลวงพอ่ เทียน๒๑
สมาธิแบบเคลือ่ นไหว เปน็ การปฏิบตั สิ มาธิแนวใหม่ ที่เป็นแนวที่สอดคล้องกับจิตของผู้
ปฏิบัติ ซึ่งทาให้ง่ายต่อการปฏิบัติและเป็นไปได้จริง เพราะไม่ได้เน้นการน่ังสมาธิ แต่เน้นการ
เคล่ือนไหวอย่างมีสติ จึงทาสอดคล้องกับจริตของผู้ปฏิบัติท่ีแสวงหาการปฏิบัติเฉพาะ การปฏิบัติ
ในแนวของการเจรญิ สติเคล่ือนไหว เกิดข้ึนจากหลวงพ่อเทียน จิตตฺ สุโภ
ประวัติของท่านว่าเกิดเม่ือวันที่ กันยายน พ.ศ. ๒ ที่อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
บิดาชื่อจีน มารดาช่ือโสม เม่ืออายุได้ ๐ กว่าปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับน้าชายที่บวช
เป็นพระที่วัดในหมู่บ้าน ได้เรียนหนังสือ พออ่านออกและเขียนได้ และได้เร่ิมฝึกกรรมฐานต้ังแต่
คราวนั้น ท่านได้ปฏิบัติหลายวิธี เช่น วิธีพุทโธ วิธีนับหน่ึง สอง สาม... หลังจากบรรพชาเป็น
สามเณรได้หนึ่งปีหกเดือน ก็ลาสิกขาออกมา เม่ืออายุได้ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุตาม
ประเพณี และลาสิกขาบทออกมา ดาเนินชีวิตเช่นฆราวาสทั่วไป ปี พ.ศ.๒ ๐๐ เมื่ออายุได้ ปี
เศษ ท่านได้ออกจากบา้ นโดยต้งั ใจแนว่ แนว่ า่ จะไม่กลับจนกว่าจะพบธรรมะที่แท้จริง ท่านได้ปฏิบัติ
ธรรมที่วัดรังสีมุกดาราม ตาบลพันพร้าว อาเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันคือ อาเภอศรี

๒ ๖ดูเพ่ิมใน พระมหาวีรพันธ์ ชุติปญฺโญ (สุปัญบุตร), “ศึกษาวิเคราะห์การตีความและวิธีการสอน
ธรรมะของหลวงพอ่ เทยี น จติ ตฺ สุโภ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหา
จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒ ๖) และพระมหานพิ นธ์ มหาธมมฺ รกฺขิโต (แสงแก้ว), “การศกึ ษาเปรยี บเทียบแนว
การปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และพุทธทาสภิกขุ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,
(บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒ ๖).

เชียงใหม่) โดยทากรรมฐานวิธีง่ายๆ คือ ทาการเคล่ือนไหว แต่ท่านไม่ได้ภาวนาคาว่า “ติง-นิ่ง” (ติง
แปลว่า ไหว) อย่างท่ีคนอ่ืนทากัน ท่านเพียงให้รู้สึกถึงการเคล่ือนไหวของร่างกายและจิตใจเท่านั้น
ทา่ นปฏบิ ตั ิดว้ ยวิธกี ารดงั กลา่ วจนเช่ียวชาญ จึงได้กลับมาเผยแพร่ช้ีแนะสิ่งท่ีท่านได้ประสบมา และ
ใน พ.ศ. ๒ ๐ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่าสะดวกต่อการเผยแผ่
มากขึ้น วิธีการปฏิบัติตามแนวสมาธิเคล่ือนไหวมีผู้สนใจ และปฏิบัติตามจานวนมาก ทั้งมีศิษย์ไป
เปิดสานักสาขาปฏิบัติตามแนวในหลาย ๆ สานัก ท่านดาเนินการอบรมเผยแผ่วิธีการปฏิบัติ
ดังกล่าวเป็นเวลากว่า ปี๒ จนกระท่ังอาพาธเป็นโรคมะเร็งท่ีกระเพาะอาหารเม่ือปี พ.ศ.
๒ ๒ จนได้ละสังขารอย่างสงบ ณ สานักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ ตาบลกุดป่อง อาเภอเมือง
จงั หวดั เลย เมอ่ื วนั ท่ี กนั ยายน พ.ศ. ๒ รวมอายุได้ ปี

วิธีปฏิบัติคือ มีความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ รู้อิริยาบถของร่างกาย และการเคลื่อนไหวเล็กๆ
เช่น กะพริบตา เหลียวซ้ายแลขวาหายใจเข้าและหายใจออก การเคลื่อนไหวทั้งหมดเหล่านี้สามารถ
เห็นได้ด้วยตาแต่เราไม่อาจเห็นความคิดด้วยตาได้ เราเพียงสามารถรู้และเห็นด้วยสมาธิ สติปัญญา
ดังคาสอนทท่ี ่านเคยสอนวา่

สมาธิท่ีข้าพเจ้ากาลังพูดถึงอยู่นี้ มิใช่การน่ังหลับตา สมาธิ หมายถึงการต้ังจิตใจเพื่อให้
รู้สกึ ถึงตวั ของเราเอง เม่ือเรามีความรู้สึกตัว อย่างต่อเน่ืองน้ีเรียกว่าสมาธิ หรืออาจเรียกว่าสติ
เมื่อจิตใจคิดเราจะรู้ความคิดทันที และความคิดจะสั้นเข้าๆ เหมือนดังบวกกับลบ ถ้าหากจะ
พูดก็มีเร่ืองจะต้องพูดอีกมาก แต่ข้าพเจ้าประสงค์ให้พวกเธอทั้งหมดปฏิบัติการเคลื่อนไหว
ปฏิบัตดิ ้วยตัวของเธอเองโดยวธิ ขี องการเคล่อื นไหว ผลจะเกิดขนึ้ ด้วยตัวของมันเอง๒ ๘

แนวปฏบิ ัติเคล่อื นไหวของหลวงพอ่ เทยี น จิตตฺ สโุ ภ มีศิษย์ผู้นับถือปฏิบัติตามแนวสมาธิ
แบบเคลื่อนไหวจานวนมาก จน เป็นปรากฏการณ์ต่อ “วิธีการ” การปฏิบัติที่เป็นส่วนหนึ่งของการ
ขับเคล่ือนในสังคมไทย และเป็นพัฒนาการในแต่ละกลุ่ม เฉพาะกลุ่มไป แต่ก็เห็นความเคลื่อนไหวท่ีมี
มติ ิสัมพนั ธ์กันอยา่ งมนี ัยยะสาคญั และกอ่ ให้เกิดการขับเคลอ่ื นตอ่ พระพุทธศาสนาแนวปฏิบัติธรรมใน
ลกั ษณะตา่ ง ๆ ด้วยเช่นกัน

ดงั นั้น เมอื่ กลา่ วโดยสรุป วิธปี ฏิบัติของแต่ละสานักปฏิบัติท่ีปรากฏมีในสังคมไทย โดย
ส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายปลายทาง เพ่ือการบรรลุมรรคผลนิพพาน ตามฐานความรู้และความเชื่อ

๒ วฒั นา สพุ รหมจักร, คงศักดิ์ ตน้ ไพจติ ร, หลวงพอ่ เทยี น. (กรุงเทพมหานคร: กองทนุ วุฒิธรรมเพ่ือ
การศึกษาและปฏิบัติธรรม, [๒ ๒?]) และดูรายละเอียดชีวประวัติโดยสังเขป ของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ,
[ออนไลน์] แหลง่ ทม่ี า : http://se-ed.net/theeranun/PorTianJittasupo_A4.doc (๒ พฤศจิกายน ๒๐๐ ).

๒ ๘ [ออนไลน์], แหล่งทีม่ า : http://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1129.php (๖ พ.ย. ๒๐๐ ).

ในทางพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว แต่จะแตกต่างกันในรายละเอียดของวัตรปฏิบัติ ซ่ึงอาจรวมไปถึง
การสรา้ งวตั รปฏิบตั แิ ละวิธกี ารอน่ื เพอื่ ประโยชน์ที่จะชว่ ยให้การปฏบิ ตั ิน้ัน ๆ แตใ่ นทุกสานักจะมี
พัฒนาการ ทั้งความเคลือ่ นไหว มีผลต่อชดุ ความคิด และอุดมคติ ความเช่ือในเชิงสังคมท่ีต่างกัน แต่
ปลายทางอาจเป็นไปเพ่ือการบรรลมุ รรคผลนิพพานเหมือนกัน ?

ก ลุ่ ม ส า นั ก ป ฏิ บั ติ ส่ ว น ใ ห ญ่ จ ะ มี ป ร า ก ฏ อ ยู่ ใ น สั ง ค ม ไ ท ย ม า อ ย่ า ง ย า ว น า น แ ล้ ว
นอกเหนือจากท่ีกล่าวมา เช่น การปฏิบัติในแนวมโนมยิทธิ ตามแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดา จังหวัด
อุทัยธานี หลวงพ่อธี จังหวัดเชียงใหม่ สายการปฏิบัติแบบอภิญญา๒ รูปนามแบบอาจารย์แนบ
มหานีรานนท์๒๒๐ ท่ีมีศิษย์อย่างอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต๒๒ สายโพธิสัตว์๒๒๒สานักจาก
ต่างประเทศอย่างโคเอง็ ก้า๒๒ หรอื ในหลาย ๆ สานกั ที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่วาทะกรรม ประการหนึ่งที่

๒ ตามขอ้ มูลท่ปี รากฏในงานของกรีสุดา เฑียรทองและคณะ , สายอภิญญาเป็นสายท่ีมีลักษณะ ( )
ใชส้ มาธิในเบอื้ งต้น (๒) ใช้การบรกิ รรมเปน็ เครอ่ื งหมาย เช่น สมั มาอะระหงั เปน็ ต้น ( ) ผลได้จากการปฏิบัติท่ีมี
ลักษณะเกินจริง ( ) มีการนิรมานกายไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ( ) ทุกสานักมีเป้าหมายเพ่ือนิพพานเหมือนกัน
แต่แตกต่างกันในรายละเอียด, สานักต่าง ๆ ในแนวปฏิบัติน้ีอาทิ แนวปฏิบัติธรรมกาย เช่น วัดพระธรรมกาย วัด
ปากน้า (ภาษีเจริญ) แนวปฏิบัติมโนมยิทธิ เช่น วัดท่าซุง (วัดหลวงพ่อฤาษีลิงดา) จังหวัดอุทัยธานี วัดสะแก
จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา แนวปฏบิ ัติธรรมเปดิ โลก เช่น วัดเขาสมโภชน์ จังหวัดลพบุรี เป็นต้น ดูรายละเอียดใน
กรีสุดา เฑียรทองและคณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์กับการปฏิบัติพระกรรมฐานใน
ประเทศไทย, หนา้ ๐๐- ๘๐.

๒๒๐ กรสี ดุ า เฑยี รทอง และคณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์กับการปฏิบัติพระ
กรรมฐานในประเทศไทย, หน้า ๒- และ หน้า - สาหรับแนวปฏิบัติในแนว รูปนามท่ีปรากฏในงาน
ของกรีสุดา เฑียรทองและคณะ ยังปรากฏมีสานักวัดโพธ์ิเอน จังหวัดอ่างทอง วัดโกโรโกโส และสานักวัฎฎะ
จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา.

๒๒ พระธนนาถ นิธิปญฺโญ, บทบาทของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม
(กรุงเทพมหานคร: มลู นิธิศึกษาและเผยแพร่พระพทุ ธศาสนา, ๒ ๘).

๒๒๒ ในงานวิจัยของกรีสุดา เฑียรและคณะ จัดให้วัดทรงธรรมกัลยาณี ของภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์
“เป็นการปฏิบัติสายโพธิสัตต์” ดูรายละเอียดใน กรีสุดา เฑียรและคณะ, แนวการสอนพระกรรมฐานของพระ
พทุ ธองคก์ บั การปฏบิ ัติพระกรรมฐานในประเทศไทย, หน้า - ๒๐.

๒๒ หรอื Mr Satya Narayan Goenka (ค.ศ.1924) เปน็ ชาวอนิ เดีย ทัง้ ยังเป็นผ้กู อ่ ต้ังสานักปฏิบัติแนว
ปฏิบัติของมหาสีชยาดอ จากพม่า และมีสาขาอยู่ท่ัวโลก รวมทั้งที่จังหวัดปราจีน ประเทศไทยด้วย ดูประวัติโค
เอ็นก้าใน [ออนไลน์] แหล่งท่ีมา : http://en.wikipedia.org/wiki/S._N._Goenka (๒ /๐๖/๒ ) ดูรายละเอียด
แนวการสอนใน Hart, William . The Art of Living: Vipassana Meditation: As Taught by S. N. Goenka.
(Singapore : Vipassana Pub.,1990). Goenka, S.N. . The Discourse Summaries: Talks from a Ten-day Course in
Vipassana Meditation. (United State : Pariyatti Publishing,2000)



ปรากฏอยใู่ นสงั คม มาอยา่ งยาวนานเก่ียวกบั กลุ่มปฏิบัติธรรมน้ันก็คือ ความเป็น “สมถะ-วิปัสสนา”
ซงึ่ สว่ นแนวปฏิบตั ิจะถูกนามากล่าวว่าเป็น “สมถะ” ไม่ใช่ “วิปัสสนา” เป็น “สายตรง/ไม่ตรง” ซ่ึง
ทาให้หลายสานกั กลา่ วถงึ กันและกันในเชิงของการลดทอนความสาคัญในฐานะเป็นสานักปฏิบัติที่
มีเป้าประสงคเ์ ปน็ “นิพพาน” อย่างแท้จรงิ กับวาทะกรรม “สมถ-วิปัสสนา” ในการศึกษาส่วนนี้ มุ่ง
ไปทรี่ ปู แบบและวธิ ีการปฏิบตั ใิ นภาพรวม ๆ เพ่อื ให้เหน็ ความเคล่ือนไหว ของกลุ่มพระพุทธศาสนา
ในประเทศไทยในภาพกว้าง ๆ และไม่ได้ลงละเอียดช้ีชัดเสียทีเดียว ตามกรอบการศึกษาท่ีกาหนด
ไว้ ทั้งเพ่ือให้เห็นเป็นความเคล่ือนไหวของกลุ่มขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทยบนฐานของ
ความเหมอื นท่ีมีความแตกต่างในประเทศไทย

แนวปฏิบตั กิ รรมฐาน สายอานาปนสตหิ ลวงปมู่ ั่น ภรู ทิ ตฺโต

วิธปี ระยกุ ต์ สายวัดปา่ คณะสงคธ์ รรมยตุ นิ ิกาย อานาปานสติ
สติปฎั ฐาน ศษิ ย์ และสานกั สาขา
กรรมฐาน ๐
อานาปานสติ หลวงพ่อชา สภุ ทั โท
วิธปี ฏบิ ัตกิ รรมฐาน ศษิ ย์ และสานกั สาขาไทย/ต่างประเทศ
ในพระไตรปิฎก
สายพอง-ยบุ – สตปิ ัฎฐาน ศิษย์ สาขา
พระพุทธศาสนา
สายวิชชาธรรมกาย / สัมมา อะระหัง ศษิ ย์ สาขา

สานักอน่ื ๆ ต่างประเทศ เคล่ือนไหวแบบหลวงพอ่ เทยี น ศิษย์ สาขา

แนวปฏบิ ตั จิ ากตา่ งประเทศอนตุ รธรรม/โคเอง็ กา้ ศษิ ย์
สาขา
สาขา/ศษิ ย์

แผนภาพท่ี . กลุ่มแนวปฏบิ ตั ใิ นสังคมไทย

จากการศึกษาพบว่า จุดเด่นของแต่ละสานักอยู่ท่ีจุดเริ่มต้นของการกาหนดเพ่ือให้ได้
สมถะ ความสงบ แต่ในข้ันวิปัสสนาซึ่งเป็นหัวใจสาคัญของพระพุทธศาสนาจะไม่แตกต่างกัน ใน

งานวิจัยของกรีสุดา เฑียรทอง และคณะ ได้สรุปต่อความแตกต่างเหล่านี้ไว้ว่า ช่ือเสียงของแต่ละ
สานกั ขน้ึ อยกู่ ับกติ ตคิ ณุ บุคลกิ ภาพ ความเชีย่ วชาญ ประสบการณ์ และญาณทัศนะของเจา้ สานัก

ดังน้ันเม่ือวิเคราะห์ถึงภาพรวม ตามแผนภาพที่ . อาจชี้ชัดได้ว่า รูปแบบ วิธีการ
ปฏิบัติ อาจแตกต่างกันในรายละเอียดแต่เป้าหมายยังคงเดิม มิได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่
สอดคล้องกับแนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์ซง่ึ ปรากฏในพระไตรปิฎก เจ้าสานักทั้ง
พระภิกษุและฆราวาสได้ให้ความสาคัญต่อความเป็นพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่พบความขัดแย้ง
ระหว่างแนวการสอนพระกรรมฐานของพระพุทธองค์ซ่ึงปรากฏในพระไตรปิฎก กับการปฏิบัติจริง
ตามสานักต่าง ๆ อาจมีกรณีของรัฐกับอานาจรัฐกรณีของวัดพระธรรมกายเป็นรายกรณีไป ซ่ึงเป็น
ภาพสะทอ้ นของการจัดวางความสมั พนั ธร์ ะหว่างรัฐในนามองค์กรปกครองสูงสุดกับคณะสงฆ์ แต่
ไม่พบเป็นความขัดกันระหว่างสานักหรือวิธีการการปฏิบัติแต่อย่างใด ท้ังในทางทฤษฎีและการ
ปฏิบัติ นอกจากน้ีเมื่อมองในภาพรวมแนวคิดท่ีสาคัญต่อกลุ่มปฏิบัติ ที่มองว่าเป็นพุทธใหม่ด้วย
เงอื่ นไขของวิธีการใหค้ าอธบิ ายต่อคาสอน การเข้าถึงมวลชน และต่อการขับเคลื่อนไปสู่หมู่กลุ่มใน
วงกว้างด้วยเทคโนโลยีและการสื่อสารอย่างเป็นระบบ ดังปรากฏในส่วนของวัดพระธรรมกาย
วดั ปา่ บ้านตาด และวัดสงั ฆทาน เป็นต้น

๓. กลุ่มไสยองิ พทุ ธ-กล่มุ ทรง
มีคากล่าวว่า พุทธกับไสยย่อมอาศัยกัน พุทธในท่ีน้ีหมายถึงพระพุทธศาสนา ส่วนคา

ว่าไสยในที่น้ี ก็หมายถึงลัทธิอ่ืน ๆ อันเนื่องด้วยเวทย์มนต์คาถา ซ่ึงส่วนใหญ่ได้มาจากลัทธิใน
ประเทศอนิ เดีย ถ้าเป็นตาราว่าด้วยเรื่องเวทย์มนต์คาถานี้ก็จะเรียกว่า ไสยศาสตร์ ซ่ึงหมายถึงความ
เชื่อและความรอู้ ันเน่อื งด้วยสงิ่ ลึกลับท่ีเขา้ ใจวา่ อยเู่ หนือธรรมชาติ ท่ีไม่สามารถจะทราบหรือพิสูจน์
ได้ด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ เช่น เร่ืองผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธ์ิ เครื่องรางของขลัง รวมท้ัง
เร่ืองโชคลาภและเคราะห์กรรมด้วย”๒๒ ดังนั้น สังคมไทยจึงผูกติดอยู่กับไสยศาสตร์ ความเช่ือ
เกย่ี วกบั ผี วิญญาณ โชคลาง และความเชื่อที่ไม่ได้เก่ียวกับพระพุทธศาสนา นับแต่อดีตและสืบเนื่อง
มาจนกระท่งั ปจั จุบัน๒๒ ทีม่ ีความหมายเปน็ กระบวนการควบคมุ ทางสังคม โดยความเช่ือลักษณะน้ี

๒๒ เสถียรโกเศศ, (พระยาอนุมานราชธน), ชีวิตชาวไทยร่วมสมัย (กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วน
จากัด เจ.เอน็ .ที.,๒ ), หน้า (อ้างจากพระมหาปรม โอภาโส (กองคา), “ศึกษาวิเคราะห์ศรัทธาของชาว
พทุ ธไทยในปจั จบุ ัน”, วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย,๒ ), หนา้ ๘.

๒๒ จิตใส อยู่สุขี, “การศึกษาความเช่ือเร่ืองไสยศาสตร์ของคนไทยจากเอกสารสมัยอยุธยา”,
วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย, มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, ๒ ), หน้า บทคดั ยอ่ .



ไม่ได้มีเฉพาะในสังคมไทย ดังจะเห็นได้จากความเชื่อเรื่องอารักษ์นัทในพม่า๒๒๖ แถนในภาค
อีสาน ผีปู่ย่าในสังคมล้านนา๒๒ เน๊ียะตาในเขมร๒๒๘ ปู่ย่าเยอ ในลาว๒๒ ยังคงมีความหมาย
เก่ียวกับความเช่ือ การปกป้องรักษา ควบคุมอยู่ในสังคมเสมอมา เกิดการผสมผสานระหว่างพุทธ
กับผีจนแยกไม่ออก ในปัจจุบันว่าอันใดคือสิ่งใด ดังหลักฐานที่สังฆราชปาลเลอกัวซ์ ฌอง แบปติสต์
(ค.ศ. ๘๐ - ๘๖๒) ผู้เคยเป็นสังฆนายกประจาประเทศสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ ได้ทาการ
บนั ทึกเก่ียวกับความเชื่อในส่วนของไสยศาสตร์ รวมทั้งโชคลางความเช่ือของคนไทยในอดตี ไวว้ ่า

การถือโชคลางในประเทศสยามมิได้เนื่องมาจากพุทธศาสนา เหตุด้วยพระพุทธจ้าได้ทรง
ห้ามพุทธบริษัท (Secateurs) มิให้ปรึกษาหมอทานายทายโชคชะตาอนาคต (devins) เชื่อใน
ลาง และโดยทั่ว ๆ ไปแล้วมิให้กระทาการอย่างใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการหลงเชื่องมงาย
การรักษาความเช่อื อนั ไรส้ าระน้ไี ว้ในประเทศสยาม สืบเนื่องจากประเพณีจีน และโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งจากอินเดีย ซ่ึงพวกพราหมณ์ปฏิบัติกันอยู่อย่างเชี่ยวชาญตามทานองมายาการ
พยากรณโ์ ชคชะตาตามทานองโหราศาสตรท์ ่ีอาศัยดวงดาวจกั รราศี๒ ๐

รวมท้ังหลักฐานของลาลูแบร์๒ ท่ีเข้ามาในช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์แห่งอยุธยา
ไดใ้ หข้ ้อมลู ถึงคนไทยกบั ไสยศาสตร์วา่ สมั พนั ธ์เน่อื งเกี่ยวกนั อย่างแยกไม่ขาด

ในทัศนะของพุทธทาส ภกิ ขุ ใหค้ วามหมายของคาว่าไสยศาสตร์ ท่ีหมายถึง ศาสตร์ของ
คนทห่ี ลบั ไหลอยู่ ไมต่ ืน่ ท่ีตรงกันข้ามกับ “พทุ ธะ” ที่หมายถึง การตื่น รู้ ไสยศาสตร์มีรากฐานอยู่ที่
ความเชื่อ ไม่เก่ียวกับปัญญา พุทธศาสตร์มีรากฐานอยู่ที่ปัญญา ถ้าจะใช้คาว่าความเช่ือ ต้องเป็น

๒๒๖ พวงนิล คาปังส์ุ, ผู้แปล, พม่า, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง, ๒ )
หนา้ ๐.

๒๒ พระพิเชษฐ์ ธีรปญฺโญ (ชัยมูล), “ศึกษาคติความเชื่อล้านนาเรื่องผีปู่ย่าท่ีตรงกับจริยธรรมทาง
พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย,
๒ ), หนา้ บทคดั ยอ่ .

๒๒๘ เดวิด แชนด์เลอร์, ประวัติศาสตร์กัมพูชา = A history of Cambodia, พรรณงาม เง่าธรรมสาร
บรรณาธิการแปล, (กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธโิ ครงการตาราสังคมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์, ๒ ๐), หน้า .

๒๒ ดูรายละเอยี ดใน ธีรวัฒน์ แกว้ แดง, “การช่วงชิงการให้ความหมายพิธีกรรมและความเช่ือ ปู่เยอ
ย่าเยอ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (คณะศิลปศาสตร์ :
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม,่ ๒ ๖).

๒ ๐ ฌงั -บัปตสิ ต์ ปาลเลกัวซ์, เล่าเร่ืองกรงุ สยาม, (นนทบรุ ี : ศรปี ญั ญา, ๒ ), หน้า ๖.
๒ พิมาน แจ่มจรสั , จดหมายเหตลุ าลูแบร์, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา, ๒ ๐ ?),
หน้า ๒๒- ๒ .

ความเชื่อของปัญญา๒ ๒ ซ่ึง ส.ศิวรักษ์ก็ได้นาแนวคิดน้ีไปอ้างในงานของตน และให้ข้อมูลเสริมว่า
“ไสยศาสตร์เป็นเร่ืองอันเนื่องด้วยศาสนาพราหมณ์ ซึ่งให้ความสาคัญกับเวทย์มนต์คาถา”๒ ซึ่ง
ทัศนะดังกล่าวคงน้อมตามพจนานุกรมราชบัณฑิต ฉบับ พ.ศ.๒ ๒ ท่ีอธิบายว่า “ลัทธิอันเน่ือง
ด้วยเวทย์มนต์คาถา ซึ่งมาจากอินเดีย” ๒ นอกจากนี้ ยังปรากฏในงานของริชาร์ด กอร์มบิช
(Richard Grombich) แห่งมหาวทิ ยาลยั ออกฟอร์ด ผทู้ ่ีทาวิจัยภาคสนามในศรีลังกาและเสนองานใน
เรื่อง “Precept and Practice : Traditional Buddhism in the Rural Highland of Cylon” โดยยืนยัน
แนวคิดวา่ ไสยศาสตร์เปน็ ส่วนสาคัญของพทุ ธศาสนต์ ลอดมา แต่สมัยพุทธกาลจนปัจจุบนั ”๒

สมภาร พรมทา ให้ทัศนะว่าไสยศาสตร์สัมพันธ์กับความเช่ือด้ังเดิมท่ีเคยปรากฏมีใน
สังคม เพียงแต่ความเชอ่ื เรื่องไสยศาสตรม์ ีพัฒนาการมาเปน็ ศาสนาและผสมกลมเกลียวอยู่ในมิติทาง
ศาสนาและเชือ่ มต่อมาจนกระทั่งปัจจบุ นั

การทไ่ี สยศาสตรเ์ ก่ยี วขอ้ งกับศาสนาน้ันเป็นเพราะวา่ ศาสนาบางประเภท โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งศาสนาแบบท่ีนับถือพระเจ้า พัฒนามาจากความเช่ือทางไสยศาสตร์ของมนุษย์สมัยดึก
ดาบรรพ...นักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาบางส่วนเช่ือว่าศาสนาเกิดจากความกลัว และ
ความไม่รู้ของมนุษย์ ตามแนวคิดน้ีมนุษย์สมัยโบราณไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์
ทางธรรมชาติท่ีน่าหวาดกลัว เม่ือไม่รู้และหวาดกลัวก็เลยวาดภาพว่ามีเทพเจ้าหรือภูตผีอยู่
เบ้ืองหลังเหตุการณ์เหล่านั้น แล้วทาพิธีเซ่นไหว้เพื่อให้เทพเจ้าหรือภูตผีเหล่าน้ันเมตตา
ในระยะแรก ๆ ความเช่ือเหล่านี้จะยังมีลักษณะเป็นไสยศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ต่อมา
แนวความคิดเหล่านี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาละเอียดข้ึนมีเหตุผลมากขึ้น จนกลายเป็นศาสนาอย่างท่ี
เราจักกนั ในปัจจบุ ัน พระเจา้ ตามทศั นะของนักมานษุ ยวิทยาก็คือแนวความคิดท่ีพัฒนามาจาก
เทพเจา้ หรือภตู ผใี นสมัยดึกดาบรรพ์น่นั เอง๒ ๖

๒ ๒ พทุ ธทาส, พุทธศาสตรก์ ับไสยศาสตร์ โหราศาสตรก์ ับพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : แสงรุ้ง
การพมิ พ,์ ๒ ๒ ), หน้า ๒๒.

๒ ส.ศิวรักษ์, พุทธกบั ไสยในสงั คมไทย, (กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการศาสนาเพ่อื การพัฒนา,
๒ ๘), หนา้ ๒.

๒ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ พ.ศ.๒๕๒๕,
๒ ส.ศวิ รกั ษ์, พุทธกับไสยในสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการศาสนาเพอื่ การพัฒนา,
สถาบันสันตปิ ระชาธรรม, ๒ ๘), หนา้ .
๒ ๖สมภาร พรมทา, มนุษยก์ บั ศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : ศยาม, ๒ ๖), หนา้ ๘๖.

๖๐

ในสภาพการณ์ปัจจุบันเกิดมี “สานัก” ต่าง ๆ ข้ึนมาก โดยอิสระหรือไม่เกี่ยวข้องกับ
รัฐ คณะสงฆ์ หรือพุทธศาสนาโดยตรง อาทิ สานักเจ้าแม่กวนอิม (ซ่ึงมีอยู่มากมายหลายแนว) ...
ชมรมสวดพระคาถาชินบัญชร จ้ีกง โคเอ็งก้า โยเร (เซไคคิวเซเคียว) ชมรมนิชิเร็นโซซู เป็นต้น บาง
แนวบางสานักก็เป็นสาขาจากต่างประเทศโดยสังกัดมหายาน หากมีอิทธิพลของเถรวาทและผีแบบ
ไทยเข้าไปมาก (เช่นสานักกวนอิมต่าง ๆ)๒ ซ่ึงสานักทรงเหล่านี้หากดูพัฒนาการแล้ว สามารถ
สร้างศาสนิกให้กับสานักของตัวเองได้อย่างไม่ขัดเขิน และในเวลาเดียวกันแม้จะต่างกั นโดย
เปา้ หมาย แตก่ ็ไม่ได้แยกขาดจากกลุ่มพทุ ธกระแสหลกั เพราะยงั มกี ารผสานระหว่างผี ไสย พุทธใน
รปู แบบ และวธิ ีการอนื่ ใด ท่ีมเี ป้าหมายเพอื่ สรา้ งความศรัทธาใหก้ ับศาสนิกของตนเอง

แต่เมื่อเทียบพุทธศาสนากับความเชื่อเหล่าน้ี จะเห็นทัศนะท่าทีท่ีชัดเจน ตามข้อวัตร
ปฏิบัติของพระสงฆ์ ดังปรากฏในมหาศีล พระไตรปิฎก เล่มท่ี เป็นข้อห้าม ที่ให้มิให้พระภิกษุ
ประพฤติตอ่ การเลี้ยงชพี ดว้ ยวธิ กี ารท่ีผิด เพราะเป็นเดรัจฉานวิชา ดังมีหลักฐานว่า “พระสมณโคดม
เว้นขาดจากการเลีย้ งชีพผิดทางดว้ ยเดรัจฉานวิชา...ร่ายมนต์ทาให้ลิ้นแข็ง ทาให้มือสั่น...ใช้หญิงสาว
เป็นคนทรง ใชห้ ญิงประจาเทวาลัยเป็นคนทรง บวงสรวงดวงอาทิตย์ และท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์
พน่ ไฟ ทาพิธเี รียกขวัญ”๒ ๘ หรือหลักฐานในพระไตรปิฎกแหล่งเดียวกันว่า “ภิกษุเว้นขาดจากการ
เล้ียงชีพผิดทาง ด้วยเดรัจฉานวิชา...ใช้หญิงสาวเป็นคนทรง ใช้หญิงประจาเทวาลัยเป็นคนทรง
บวงสรวงดวงอาทติ ย์ และทา้ วมหาพรหม ร่ายมนต์ พน่ ไฟ ทาพธิ ีเรียกขวัญ”๒

ดังนั้น จึงจะเห็นได้วา่ พระพุทธศาสนามีท่าทีปฏิเสธความเช่ืออ่ืน นอกจากพระรัตนตรัย
แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน “ไสย-ทรง-พุทธ” ประหน่ึงเป็นเรื่องเดียวกัน ผู้วิจัยจึงได้นามาเป็น
กรณีศึกษา เพ่ือชี้ให้เห็นความเป็นพุทธใหม่ ภายใต้การขับเคล่ือนใหม่ ท่ีสัมพันธ์กับทุนการจัดการ
ขบวนการกลุ่ม การประชาสัมพันธ์ และการเข้าหาส่ือเป็นต้น ที่แม้ยังสัมพันธ์กับรูปแบบและ
พธิ กี รรมของพทุ ธ แตก่ ็ยังมีพฒั นาการของ “ไสย-พราหมณ์-ผี-ทรง-พุทธ”๒ ๐ หรือ “พุทธ-ไสย” ซึ่ง
จะได้ทาการศึกษาและใหร้ ายละเอยี ดต่อไป

๒ พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤติ ,
(กรงุ เทพมหานคร : กองทุนรกั ษธ์ รรม, ๒ ), หน้า ๘.

๒ ๘ ท.ี ส.ี (ไทย) /๒๖/ ๐.
๒ ท.ี สี. (ไทย) /๒ ๐/ .
๒ ๐ หากพิจารณาในภาพรวม ไสยจะมีลักษณะที่ชัดเจนในเร่ืองความเช่ือต่อวิญญาณและส่ิงท่ีอยู่
เหนือการพิสูจน์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ปนกันอย่างคลุม ๆ ท้ังในส่วนของพุทธศาสนา และไสยศาสตร์ เช่นการ
เขา้ ทรง กมุ ารทอง ลกู กรอก เป็นต้น ดรู ายละเอียดใน ราชนั ย์ บันลังทอง, ไสยเวทย์วิถีมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร :
นวสาสน์ การพิมพ,์ ๒ ๘), หนา้ ๖- และหนา้ - .



ดงั ปรากฏในงานของพระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต (โอชาวัฒน์) ที่ศึกษาเก่ียวกับความเช่ือ
และพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาของร่างทรง๒ ซ่ึงผู้วิจัยจัดว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มไสยอิงพุทธที่
ผสมผสานพทุ ธเข้ากบั ผี โดยในงานวิจัยของพระเฑียรวิทย์ ไดจ้ าแนกรา่ งทรงไว้หลายกลุ่ม คือ

. การเข้าทรงแบบเต็มตัว / ลงเต็ม เป็นร่างถูกครอบงาอาศัยจากวิญญาณ ซ่ึงเป็นอานาจ
ภายนอก ร่างทรงถูกประทับเต็มตัว ขณะประทับทรง ร่างทรงไม่รู้สึกตัวอยู่ในภาวะภวังค์ ถูกองค์
ควบคุมอย่างเต็มที่ ท้ังจากน้าเสียงและท่าทางที่เปลี่ยนไปจากปกติเป็นเสียงและกิริยาขององค์โดยตรง
ซงึ่ แต่ละทา่ นจะมีลักษณะอาการเฉพาะตน เป็นการเสอ่ื สารกบั สงิ่ ที่ตอ้ งการสื่อสารโดยตรง

๒. การเข้าทรงแบบผ่าน ร่างเป็นส่ือ ทางผ่าน ไม่ทรงประจา ร่างทรงที่เข้าทรงแบบน้ี
จะถกู เรียกวา่ “ร่างผ่าน” เปน็ การผ่านขา่ วสาร ข้อมูลท่ีได้ยิน และเห็นมาถ่ายทอดต่อผู้อ่ืนที่สนใจอีก
ต่อหนึ่ง คือเปน็ เพยี งรับสารพเิ ศษบางอย่างในชว่ งเวลาหน่ึง แลว้ นาประสบการณ์น้นั มาบอกตอ่

. การเข้าทรงแบบแฝง เป็นรา่ งแบบถูกแฝงหรอื กระซิบบอกความเหมือนบอกบท ผิด-
ถูก การเข้าทรงแบบน้ี จิตของร่างทรงจะรู้ตัวเต็มที่ ร่างทรงท่ีเข้าทรงแบบนี้เรียกว่า “ร่างแฝง”
ในขณะท่ปี ระทบั ทรง เสียงและกริ ิยาท่าทางของรา่ งทรงไมเ่ ปล่ียนแปลง

. การเข้าทรงแบบกึ่งแฝง เป็นร่างท่ีสาคัญตนว่า ตนเป็นอวตารของเทพ ผู้วิเศษมาเกิด
การเข้าทรงแบบนจ้ี ิตของรา่ งทรงจะกึง่ รตู้ วั รา่ งทรงที่เขา้ ทรงแบบนเี้ รยี กวา่ “รา่ งกึง่ แฝง”

ในงานวิจัยของพระเฑียรวิทย์ ได้อ้างถึงการแบ่งกลุ่มทรงของ Stven Upton ได้แยก
ประเภทของการทรงเจา้ ออกเป็น ชนิด คือการเข้าทรงทางจิต (Mental Mediumship) การเข้าทรง
ทางกายภาพ (Physical Mediumships) และการเข้าทรงเพ่ือบาบัด (Healing Mediumships)๒ ๒

. การเข้าทรงทางจิต เป็นปรากฏการณ์ทางจิตของร่างทรง ขณะอยู่ในภวังค์ ร่างทรง
ถูกสงิ ด้วยวิญญาณและพูดออกมาโดยตรง แบง่ เป็น ประเภท คือ พวกตาทิพย์ (Claivoyance) เห็น
ภาพนิมิตและสัญลักษณ์ พวกหูทิพย์ (Clairaudience) ได้ยินเสียงพวกวิญญาณ และพวกสัมผัสทิพย์
(Claisentience) รูว้ า่ วิญญาณที่สมั ผัสน้นั คิดอะไร เปน็ การใช้ความรู้สึกทางจติ ติดต่อระหวา่ งสองโลก

๒. การเข้าทรงทางกายภาพ แสดงผ่านปรากฏการณ์ท่ีมองเห็นได้ เฉพาะผู้ท่ีนั่งล้อมวง
กับร่างทรง สามารถได้ยินเสียงหรือรูปวัตถุที่วิญญาณทาข้ึน หรือบอกเล่าชีวิตหลังความตาย เช่น

๒ พระเฑยี รวทิ ย์ อตฺตสนโฺ ต (โอชาวัฒน์), “การศกึ ษาความเช่อื และพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
ของร่างทรง : กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒ ๘).

๒ ๒ พระเทียรวทิ ย์ อตฺตสนฺโต, (โอชาวัฒน์), “การศึกษาความเช่ือและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
ของรา่ งทรง : กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร”, หน้า ๒๖.

๖๒

ไอควัน (Ectoplasm) เสียงทรัมเปต (Voice Trumpets) ผีปรากฏตัว (Meterialisation) และเคลื่อนย้าย
วัตถุ๒

สาหรับกลุ่มท่ีทรงในสังคมไทยจะใช้เกณฑ์แบ่งอย่างที่กล่าวมา โดยภาวะ แต่โดยเป็น
เหตผุ ลนิยมสว่ นใหญก่ จ็ ะแบง่ เป็นกลุม่ ท่ีทรงทม่ี ีลกั ษณะของการทรงเปน็ ตัวอธิบาย

. กลมุ่ ทรงบูรพกษัตริย์ เช่น เสดจ็ พอ่ ร. ๒ พระนเรศวร พระเจา้ ตาก เป็นต้น
๒. กลมุ่ ทรงเทพเจ้าในฮินดศู าสนาเจ้าแม่ตา่ ง ๆ เชน่ เจ้าแมก่ าลี เจ้าแม่อมุ า เจา้ แม่
เทวี เจา้ แมล่ ักษมี เป็นตน้ ซง่ึ เป็นกลุ่มท่ีอิงอย่กู ับแนวคิดและความเช่อื ในทางศาสนา

พึงประสงค์ ลกั ษณะ สานักทรง การทรง องิ พทุ ธ
สานักทรง ประทบั ทรง หลวงพ่อทวด สมาทานศีล
พยากรณ์ หลวงพ่อโต การทาบุญ
รบั ขนั
ถอนคณุ ไสย

รกั ษาโรค ครอบครู กวนอิม-โพธสิ ัตว์ การสวดมนต์

ความมนั่ คงชวี ิต ต้งั สานัก เทพ-ฤาษี ฯ ปฏบิ ตั ิธรรม

ปรกึ ษา ไม่ตั้งสานึก กษตั รยิ -์ คนดัง ทาประโยชน์

แผนภาพที่ .๖ ความสมั พันธข์ องสานักทรง-พทุ ธ
ที่มา : ดดั แปลงจากกรอบคดิ พระเทียรวิทย์ อตตฺ สนฺโต.

. กลุม่ ทรงพระเกจิอาจารย์ เช่น สมเด็จพุฒาจารย์โต-หรือชมรมสวดชินบัณชร หลวงปู่
ทวด เปน็ ต้น

. กลมุ่ ทรงเจ้าแม่ เชน่ เจ้าแมก่ วนอมิ ฯ

๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๒ .
๒ พระมหาพิมล คาเคร่อื ง, “อิทธปิ าฎหิ ารยใ์ นพระพุทธศาสนา : กรณีลัทธิ ร. ”, วทิ ยานิพนธ์
อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหดิ ล, ๒ ๒), หนา้ ๖ - ๐ .



. กล่มุ ทรงเทพเจ้าหรือผใี นท้องถิน่ ของผู้อาศยั ในท้องถ่นิ น้นั ๆ
จุดมงุ่ หมายของการทรงในสังคมไทย จะดว้ ยเหตผุ ลที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะ
มีลกั ษณะทีเ่ ปา้ หมายเพ่ือการเขา้ ถึงกลมุ่ คนในรปู แบบตา่ ง ๆ กัน
. การทรงเพอ่ื รักษาโรค
๒. การทรงเพ่อื เปน็ ผู้พยากรณ์
. การทรงเพื่อเสริมความมงั่ มี
ในความเห็นของ อี.บี.ไทเลอร์ (Edward Burnerr Tylor) ร่างทรงและการทรงเจ้าจัดเป็น
ความเชื่อทางศาสนาอย่างหน่ึง (วิญญาณนิยม) จึงมีบทบาทและอิทธิพลต่อสังคมเช่นเดียวกับ
สถาบันทางศาสนาอน่ื ๆ ความเชื่อและพธิ ีกรรมของร่างทรงจึงเป็นปรากฏการณ์ทางศาสนาด้วย๒
โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ มุ่งสนองความตอ้ งการทางอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ในขณะตกอยู่ภายใต้
ภาวะแหง่ ความเครยี ดและวกิ ฤตกิ ารณ์ทัง้ หลาย หน้าท่ีทางสังคมของศาสนา คือ ช่วยประสานสังคม
ให้เป็นปึกแผน่ ชว่ ยกาหนดสถานภาพของสมาชิก ชว่ ยในการอบรมให้มีการเรียนรู้ทางสังคม เป็นสื่อ
ในการควบคุมสังคมและเป็นสถาบันสวัสดิการสังคม และหน้าท่ีทางลบของศาสนา (Negative) คือ
ข้อจากดั ขอบเขตความสามารถของบุคคล ทาให้คนเกลยี ดชงั กันและตอ่ สูท้ าลายซ่ึงกนั และกัน๒ ๖
ในงานวิจัยของสุริยา สมุทคุปต์ิและคณะ๒ ให้ข้อมูลว่า ร่างทรง เป็นกลุ่มที่ไม่มี
สถานภาพท่ีถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ไสยศาสตร์เป็นกระแสหลัก ส่วนใหญ่จะมีหญิงเป็นผู้นาพิธี
เมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาโดยหลักการจะเป็นวิธีการที่ยืนกันคนละฝั่งอย่างชัดเจน มีการ
เซ่นสรวง และสวดออ้ นวอน พร้อมทั้งมีแนวของไสยศาสตร์ ท่ีช้ีบ่งร่วมกับพุทธพาณิชย์ โดยบูรณา
การเข้ากับวิธีการทางพระพุทธศาสนา เม่ือพิจารณาโดยภาพรวมลัทธินี้เข้ากันได้กับลัทธิบริโภค
นยิ มในสงั คมไทย ๒ ๘

๒ สนิท สมัครการ, ความเช่ือและศาสนาในสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร :โอเดียนสโตร์,
๒ ), หนา้ .

๒ ๖ พระเฑียรวิทย์ อตฺตสนฺโต (โอชาวฒั น์), “การศกึ ษาความเช่อื และพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
ของรา่ งทรง : กรณศี กึ ษาในเขตกรุงเทพมหานคร”, หนา้ .

๒ สุริยา สมุทคุปต์ิและคณะ, ทรงเจ้าเข้าผี : วาทกรรมของลัทธิพิธีและวิกฤติการณ์ของความ
ทันสมัยในสังคมไทย, (นครราชสีมา : สานักวิชาเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลสุรนารี, ๒ ๒ ),
หนา้ ๒ ๐-๒ .

๒ ๘ พิจารณาจากเงินหมุนเวียน ไม่น้อยกว่าปีละ ๒๐,๐๐๐.- ล้านบาท, จากสานักทรง ประมาณ
๐๐,๐๐๐ สานัก ท่วั ประเทศไทย ท่ปี รากฏในงานวจิ ัยของ บรษิ ทั ศนู ย์วจิ ยั ธนาคาร กสกิ รไทย จากัด รายละเอียด
ใน มงคล กริชติทายาวุธ,[ประธานชมรมศาสนาและการกุศล], สิ่งจอมปลอมและพฤติกรรมลวงโลก ในประเทศ
ไทย, [ออนไลน์] แหลง่ ท่ีมา : http://www.watnai.org/doubt/phony_st_thailand.html (๒๒ สงิ หาคม ๒ ).



ในบทความเกี่ยว “ชุมนุมร่างทรงกับคนมีองค์” ได้ให้ทัศนะไว้ว่า “ผู้ประกอบพิธีกรรม
ทกุ คนเปน็ ผ้ทู ใ่ี ห้ความเคารพบูชาพระสงฆ์องค์เจ้าและเป็นชาวพุทธท่ีม่ันคงทั้งสิ้น การประทับร่าง
ทรงมีสาระสาคัญท่ีเปน็ จดุ เน้นคือ ให้มนษุ ยท์ ุกคนละเวน้ จากกิเลส สงิ่ ชั่วร้ายทัง้ หลาย เพ่ือขจัดความ
สับสนวุ่นวาย ความเสอ่ื มของสงั คมให้หมดไป เพอ่ื มนุษย์จะไดอ้ ยู่อย่างสงบสุข ให้ทุกคนทาความดี
ช่วยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ศรทั ธาในศาสนาเพ่อื ความสุขในชวี ิต”๒

การทรงเจ้าเข้าผี๒ ๐ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมความเช่ือทางศาสนาของชาวบ้านใน
เมืองทั่วไป เป็นการเช่ือมต่อระหว่างความเชื่อดั้งเดิมท่ีผสมระหว่างลัทธิผี พราหมณ์กับ
พระพุทธศาสนา กับความเช่ือสมัยใหม่ที่เป็นวัตถุนิยม (พุทธพาณิชย์)...ลัทธิทรงเจ้าเข้าผีเป็นส่วนหนึ่ง
ของบรบิ ทของความเชอ่ื และพธิ กี รรมทางศาสนา ความเชือ่ เรือ่ งผี จึงเปน็ องค์ประกอบยอ่ ยของศาสนา๒

ในมุมมองของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ มองว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่จาเป็นต้อง
หมายถึงความเส่ือมโทรมของพุทธศาสนา หรือของชุมชนเสมอไป เพราะในความเป็นจริง (อย่าง
น้อยก็ในสมัยก่อน) พุทธศาสนากับผีก็พ่ึงพาอาศัยกันอยู่มาก กล่าวคือ "ในทางศีลธรรมส่วนบุคคล
พุทธศาสนาเป็นผู้รับผิดชอบ ในทางศีลธรรมส่วนสังคม ผีเป็นผู้รับผิดชอบ สองอย่างนี้จึงขาดจาก
กนั ไมไ่ ด้"

นอกจากน้ี ผีกับพุทธยังแบ่งบทบาทหน้าที่กันในอีกลักษณะหนึ่ง คือในขณะที่จุดหมาย
สูงสุดของพุทธศาสนาอยู่พ้นโลกหรือเหนือโลก ผีช่วยให้คนท่ัวไปรู้สึกว่า "สิ่งศักดิ์สิทธ์ิ" นั้นมิได้
อยู่ไกลเกินเอ้ือม หากอยู่ใกล้ชิดกับตน และสามารถขอความช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความอุ่นใจได้ใน
โลกน้ี แตท่ ง้ั นก้ี ต็ อ้ งมีเง่อื นไขว่าตอ้ งอยใู่ นศีลในธรรม ในแง่หน่ึงพุทธจึงอาศัยผีเป็นสื่อนาคนเข้าหา
ธรรม ขณะเดียวกันผีก็ต้องอาศัยการค้าจุนจากพุทธศาสนา "ฉะนั้น ไสยศาสตร์ไทย จึงเป็น

๒ ไตรเทพ ไกรงู, “ชุมนุมรา่ งทรงกบั คนมีองค์ : ในพิธี...นวราตรีพระพฆิ เนศวร ท่ี อ.เมอื ง
ระยอง”, หนงั สอื พมิ พ์รายวนั คมชดั ลึก ปที ่ี ๐ ฉบับที่ , (๒ มนี าคม ๒ ) : ๐.

๒ ๐ ผี กับแนวคดิ เรอื่ งกับการจัดการเชิงสังคม ในความหมายคือผีเป็นโลกทัศน์ความเชื่อท่ีมีอยู่มาแต่เดิม
ในสังคมไทย ที่มีมาก่อนพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน แต่ผีกับพุทธก็ต่างทาหน้าที่ในการถ่วงดุล ตรวจสอบสังคม
ร่วมกัน กล่าวคือพุทธทาหน้าในการควบคุมมาตรฐานทางจริยธรรมทางสังคม แต่ในเวลาเดียวกันความเช่ือเกี่ยวกับผีก็
ได้มีสว่ นในการควบคุมพฤติกรรมต่อการกระทาตามหลักจริยธรรมทางสังคมนั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน พระพิเชษฐ์
ธีรปญฺโญ (ชัยมูล), “ศึกษาคติความเช่ือล้านนาเร่ืองผีปู่ย่าที่ตรงกับจริยธรรมทางพระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์ศาสน
ศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒ ), หนา้ บทคัดยอ่ .

๒ ดร.พัฒนา กิตติอาษา, “ทรงเจ้าเข้าผี : วาทกรรมของลัทธิ พิธี และวิกฤตการณ์ของความ
ทนั สมยั ในสงั คมไทย” , ใน X-Cite ไทยโพสต์, (๒๘ เมษายน ๒ ) : -๒.



เทคโนโลยีท่ีมศี ีลธรรมของพทุ ธศาสนากากับตลอดมา ไม่ใช่หนทางที่จะบรรลุความสาเร็จทางโลก
ล้วน ๆ"๒ ๒

รัชกาลที่ (พ.ศ. ๘๒- ๘ ๐) ไม่ทรงเห็นด้วยท่ีคนเชื่อในโหราศาสตร์และนับถือผี
มากเกนิ ไป ไดท้ รงมีพระราชโองการฉบับหนง่ึ วา่ (พระองคเ์ จา้ ธานีนิวัติ)

ทุกวันน้ีคนเป็นจานวนมากเหินห่างจากพระรัตนตรัย และเดินสู่ความเสื่อม พระบรม
ศาสดาตรัสไว้ว่า ที่พ่ึงสามประการน้ี เป็นจุดยอดของศีลธรรม ท้ังหมดแต่ยากที่จะรักษาให้
บริสุทธ์ิได้ เพราะจะคงความบริสุทธ์ิไว้ได้ก็ต่อเมื่อคนเห็นค่าท่ีแท้จริงของพระรัตนตรัยนี้
เราต้องไม่มีจิตใจฝกั ไฝ่หาท่ีพ่ึงอื่น...เช่น ผี ปีศาจ บางคนที่มีความคิดเป็นอิสระอาจจะเชื่อใน
วิญญาณท่ีปกป้องต่าง ๆ ซ่ึงไม่มีในศาสนาพุทธโดยถือว่าเจ้าและผีเหล่าน้ันเป็นส่ิงท่ีมีความ
กรุณาช่วยปดั เป่าโชครา้ ย แตเ่ ขากจ็ ะไม่เทิดทูนสิ่งเหล่านี้ไว้เหนือพระรัตนตรัย พวกท่ีรู้น้อย
เม่ือประสบโชคร้าย เนื่องจากผลกรรมท่ีทาไว้ในอดีต ก็มักจะกลับคิดว่าพระรัตนตรัยไม่
สามารถจะชว่ ยเขาได้ และก็จะละความเช่ือน้ี ไปเชื่อทางไสยศาสตร์แทน เหตุน้ีเขาเหล่านั้น
กจ็ ะเดนิ ไปสคู่ วามเลือ่ ม๒

ดังนั้น หากนาแนวคิดที่ยกมาแต่ต้น มาอธิบายปรากฏการณ์เก่ียวกับการนับถือไสย ท่ี
สัมพันธก์ ับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ระหว่าง “พุทธอย่างใหม่” กับปรากฏการณ์ความเช่ือที่
มีอยู่ในสังคมไทยแต่เดิม แล้วเกิดการหลอมรวมเพ่ือรักษาตัวตน และศาสนิกไว้เท่าน้ัน แต่แนววัตร
ปฏิบัติท่ีเกิดข้ึนของกลุ่มไสย อิงพุทธ ยังคงมีจานวนมากและเป็นปรากฏการณ์ที่อยู่คู่กับสังคมไทย
ในเวลาเดยี วกนั ผู้วจิ ัยมีประสบการณ์เข้าร่วมเป็นผู้ประกอบพิธี สังเกตการณ์ และการพบเห็น เมื่อ
ได้ศกึ ษาตามวธิ ีวิทยาจงึ ทาให้เหน็ ได้ชดั เจนวา่ ไสยอิงพทุ ธ เป็นปรากฏการณ์ของการสร้างความเช่ือ

๒ ๒พระไพศาล วิสาโล, บทความพิเศษ “นิธิ เอียวศรีวงศ์ กับคุณูปการต่อพุทธศาสนา”, [ออนไลน์],
แหล่งทมี่ า : http://www.midnightuniv.org/miduniv2001/newpage17.html (๒๒ สิงหาคม ๒ ๒).

๒ ไฮนซ์ เบเชอท์, “แนวความคิดและนโยบายทางวัฒนธรรมของพุทธศาสนิกชนในประเทศ
ไทย”, ในเยอรมันมองไทย, (กรุงเทพมหานคร : เคล็ดไทย, ๒ ๒๐), หนา้ ๒ -๒ .

๖๖

ท่ีสัมพันธ์กบั ทนุ และการให้ได้มาซง่ึ ทนุ ๒ การทาให้เช่อื ไปจนถงึ มอมเมาหลง๒ ซ่ึงตรงกันข้าม
กับพระพุทธศาสนา แต่มีพระพุทธศาสนาหรือกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบร่วม
ท้ังมีผลขับเคลื่อนระดับหน่ึงในสังคมไทย ผ่านวิธีการทาให้เช่ือ ภายใต้กรอบของศาสนา หรือเป็น
บคุ ลากรทางศาสนาทเ่ี ป็นผสู้ ร้างความเชอ่ื เหลา่ นี้ขึ้นมา

๓. กลุ่มพุทธพาณชิ ย์ (วัตถมุ ฤี ทธิ์ /วตั ถุมงคล / พระเครอ่ื ง)
การสรา้ งสงิ่ เคารพ สิง่ เชอ่ื ท่เี กย่ี วขอ้ งกับศาสนา ปรากฏในสังคมไทยมาแต่อดีต ปรากฏ

หลักฐานในสมัยอยุธยาท่ีฝร่ังชาติฝร่ังเศสเข้ามาและบันทึกเป็นหลักฐานไว้ว่า “บูชาพระอิฐพระ
ปนู ”๒ ๖ หรอื บันทึกของฟานฟลตี (วนั วลติ / Jeremias van Vliet, ค.ศ. 1602 - ค.ศ. 1663) เจ้าหน้าท่ี
ฮอลันดาที่บรษิ ัทอินเดยี ตะวนั ออกส่งเข้ามาประจาสถานีการค้าท่ีกรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ.๒ ๖
ถงึ พ.ศ.๒ ๘ ในรชั สมยั พระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒ - พ.ศ. ๒ )ได้บันทึกไวว้ า่

ประชาชนชาวสยามเป็นพวกนอกศาสนา และเป็นข้าผู้หลงงมงายในรูปเคารพท้ังหลาย
ดงั นน้ั ทั่วประเทศจึงมวี ดั วาอารามน้อยใหญ่อยูเ่ ปน็ จานวนมาก ซ่ึงสร้างอย่างแพงและดูเข้าท่า
เข้าทางไม่เหมือนท่ีใด ๆ ก่อด้วยหิน ปูนขาวและไม้ วัดเหล่านี้ปรากฏว่าสวยงามมากกว่า
โบสถ์ในทวีปยโุ รป๒

๒ บริษัท ศูนย์วิจัย ธนาคาร กสิกรไทย จากัด เคยตีพิมพ์ผลงานวิจัยว่า ไทย มีร่างทรง ประมาณ
๐๐,๐๐๐ สานัก และมีเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละสานัก ท่ีเกิดจากประชาชนเข้าไปใช้บริการ ไม่น้อยกว่าปีละ
๒๐,๐๐๐.- ลา้ นบาท, รายละเอยี ดใน มงคล กริชติทายาวุธ,[ประธานชมรมศาสนาและการกุศล],สิ่งจอมปลอมและ
พ ฤ ติ ก ร ร ม ล ว ง โ ล ก ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย , [อ อ น ไ ล น์ ] แ ห ล่ ง ที่ ม า :
http://www.watnai.org/doubt/phony_st_thailand.html (๒ มกราคม ๒ ).

๒ ประคอง เตกฉัตร ( ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสงขลา ) “กฎหมายตราสามดวง,” ใน “เราคิด
อะไร” ฉบับที่ ๘๖ (มกราคม ๒ ) และ http://www.asoke.info/๐ Communication/DharmaPublicize/Kid/k ๘๖/
๐ ๖.html. (๒ มกราคม ๒ ).

๒ ๖ มีบันทึกไว้ว่า “...เราฝรั่งเศสจะต้องเข้ามาช่วยยกระดับทาง “จิตวิญญาณ” ของพวกคนเจ้าเล่ห์
พวก “บชู าพระอฐิ พระปูน” อย่างพวกสยามนี่ เพือ่ จะ “ขนื ใจ” ใหเ้ ข้าเขาไดก้ า้ วล่วงสอู่ าณาจกั รของ “พระเป็นเจ้าท่ี
แท้” โดยบังคับเอาด้วยกาลังทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ ชาวคริสต์โดยมากในสมัยน้ันคิดเชื่อเอาจริงเอาจังว่า
พวกนอกศาสนา(คริสต์)น่ี จะต้องถูกเพลิงนรกเผาผลาญไปชั่วกัปช่ัวกัลป์การช่วยพวกเขาจึงเป็นกิจอัน
“คริสตศ์ าสนกิ ชนทีด่ ี” จะพงึ กระทา...” รายละเอียดเพิม่ ใน มอการก์ าน สปอร์แตช , รุกสยามในนามของพระเจ้า,
พมิ พค์ รัง้ ท่ี , กรรณิกา จรรย์ ผูแ้ ปล, (กรงุ เทพมหานคร : มตชิ น, ๒ ), หนา้ ๒.

๒ กรมศิลปากร, รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต), (กรุงเทพมหานคร :
หจก.โชติวงศ์ ปรนิ้ ตงิ้ , ๒ ๖), หน้า ๒- .



ความเชื่อเกย่ี วกบั วตั ถทุ างศาสนาที่จัดสร้างข้ึน เดิมเป็นการแสดงความเคารพศรัทธาต่อ
ศาสนา แต่ดว้ ยพฒั นาการทางสังคมที่มีความซบั ซ้อนมาก วตั ถทุ างศาสนากลายส่วนหนึ่งของระบบ
เศรษฐกิจที่เข้าเป็นส่วนหน่ึงของการผลิต และการบริโภค ท้ังมีพัฒนาการอย่างมาก เพราะกลุ่มชาว
พุทธกลุ่มน้ี ตอบสนองความซับซ้อนของสังคมได้ดีกว่ากลุ่มใด ๆ เพราะสัมพันธ์กับทุน และ
ผลประโยชน์ในเชงิ วตั ถุ ไดด้ กี วา่ กลุ่มอื่น ๆ จึงทาให้กลายเป็นว่า วัดต่าง ๆ แม้แต่คณะสงฆ์กระแส
หลักก็ยงั องิ แอบต่อกลุ่มผลประโยชนเ์ หลา่ น้ี จะเหน็ ไดว้ ่าคณะสงฆใ์ นองค์กรบริการระดับสูง ได้เข้า
ไปมสี ่วนรว่ มในพธิ ีกรรม อาทิ เป็นประธานจดุ เทียนชยั – ดับเทยี นชยั ในพธิ ีกรรมทจี่ ดั ทาขึ้นในต่าง
กรรมต่างวาระกนั เสมอมา

ในทศั นะของพระมหาชนิ วัชร นลิ เนตร ในงานวิจัยเร่ือง “ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ
ผลกระทบต่อพระพุทธศาสนากระแสหลัก” ที่ว่า

ปรากฏการณ์กระแสนยิ มในจตคุ ามรามเทพในช่วงระยะเวลาหลายปีท่ีผ่านมานี้ทาให้มีคาถาม
ต่างๆ เกิดขนึ้ มากมายว่า เกิดอะไรข้ึนในสังคมไทย เกิดอะไรข้ึนกับพระพุทธศาสนา ในสังคมไทย
ที่เป็นที่พึ่งทางใจทส่ี าคัญท่ีสดุ ทาไมประชาชนจานวนมาก จงึ หันไปพึ่งจตคุ ามรามเทพ

พระพุทธศาสนามีท่าทีต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว และต่อจตุคามอย่างไร และจะมีทางออก
ในการแก้ปัญหาเหล่าน้ีอย่างไร ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อ
พระพุทธศาสนาและผลกระทบน้ันมีผลดี และผลเสียต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่อย่างไร
เพราะกวา่ กระแสความนิยมในจตุคามรามเทพนั้นต่างจากความนับถือวัตถุมงคลอ่ืน ๆ ท่ีมีมา
แต่อดีตของประชาชนชาวไทยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไปเท่าน้ันที่ให้
ความสาคัญและนิยมแขวนเหรียญจตุคามรามเทพ พระสงฆ์ในวัดต่างๆ ก็เช่นกันท่ีตกอยู่
ภายใตก้ ระแสจตุคามรามเทพ เห็นได้จากพระสงฆ์หลายรูปที่เป็นเจ้าพิธีในการจัดสร้าง และ
เป็นผ้โู ฆษณาชวนเชือ่ เสียเอง....”๒ ๘

สาหรับ “กลุ่มวัตถมุ ฤี ทธ์ิ” อาจมผี ตู้ ีความว่า เป็นวิธีการอธิบายพุทธธรรมแนวใหม่ ที่ให้
คนยึด “พุทธานุสรณ์” เพ่ือไปให้ถึง “พุทธานุสติ”๒ หรือยึดเถราจารย์เกจิ เป็น “สังฆานุสติ” เมื่อมี
พระอยู่กับตัวก็จะทาให้ระลึกนึกถึงและทาแต่ความเป็นดี เป็นการระลึกนึกถึงธรรม เป็น “ธรรมานุสติ”

๒ ๘ พระมหาชินวัชร นิลเนตร, “ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา
กระแสหลัก”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (คณะศิลปศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ๒),
หนา้ ๒- .

๒ รอบทิศ ไวยสุศรี, “การศึกษาวิเคราะห์พระเคร่ืองในฐานะเป็นกุศโลบายในการปฏิบัติธรรม“,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ),
หน้า บทคดั ยอ่ .

๖๘

เป็นการอธิบายท่ีสามารถรับฟังได้และมีสติปัญญาญาณตามที่อธิบาย แต่ในเวลาเดียวกันกระบวนการ
ของกลุ่มอิทธิฤทธิ์นิยมเหล่านี้ อิงแอบอยู่กับรูปแบบและวิธีการในการระดมทุน (พุทธทุนนิยม) ก้อน
ใหญ่ที่มีผลต่อสภาพรวมของเศรษฐกิจระดับมหภาค ท่ีนักการตลาดมองว่า เป็นความเติบโตของการ
บรโิ ภค ที่เป็นไปอย่างไม่มีขอบเขตจากัด

นอกจากนี้ เทคนิคทางการตลาดถูกนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการค้า ดังปรากฏใน
คอลัมน์ เหนอื ฟา้ ใต้บาดาล ไดร้ ายละเอียดในเร่ืองการสร้าง “วัตถมุ ฤี ทธ์ิ” ของวัดใหม่ป่ินเกลียวทีว่ า่

เป็นความเฉลียวฉลาดของเจ้าอาวาสวัดใหม่ป่ินเกลียว ท่ีสร้างและเรียกศรัทธาเข้าวัดโดย
การเอาชูชกเป็นตัวนา ซึ่งได้ท้ังปริศนาธรรมและปรัชญาสอนใจแก่พุทธศาสนิกชน....ใน
ทศชาติชาดกนน้ั ชชู กถอื ว่าเป็นกาลังสาคัญท่ีทาให้ทานบารมีของพระเวสสันดรมีพลังสูงส่ง
บรรลุผลไดป้ ระสตู เิ ปน็ พระพทุ ธเจ้า ๒๖๐

ดังนน้ั จะเหน็ ไดว้ า่ กลมุ่ พทุ ธพาณิชย์ล้วนสัมพันธ์ และเก่ียวเน่ืองกับทัศนะพุทธแบบอิง
แอบ เช่นว่า เป็นเทคนิคการสอนธรรม โดยใช้ “วัตถุมีฤทธิ์” เป็นเคร่ืองมือในการสอนหรืออธิบาย
ธรรม หรือเพื่อแสวงหาความชอบธรรมให้แก่วัตถุส่ิงสร้างน้ันก็ตาม๒๖ แต่สะท้อนให้เห็นว่า
ปรากฏการณ์เหล่าน้ีเป็น “การเคล่ือนไหวในรูปแบบใหม่ของชาวพุทธ ในส่วนของ “กลุ่มวัตถุมี
ฤทธ์ิ” กลายเป็นคาตอบให้กับสังคม ท่ีแม้จะพอฟังได้ แต่ในภาพรวมส่ิงเหล่าน้ีเป็นปรากฏการณ์
ของสังคม เพราะเม่อื ตรวจสอบตามหนา้ หนงั สือพมิ พ์ หรือวารสาร การโฆษณาชวนให้เช่ือ เช่า บูชา
สั่งจอง มีให้เห็นกันวันต่อวัน ซ่ึงเท่ากับเป็นพัฒนาการเชิงพุทธ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
พระพทุ ธศาสนา แต่มีภาพความเปน็ พุทธ ซง่ึ เทา่ กับวา่ เปน็ “พุทธทุนนิยม” กระแสใหม่ที่มีเป้าหมาย
เพื่อการ “ระดมทุน” ๒๖๒ มี “วัตถุมีฤทธ์ิ” เป็นส่ิงค้าโดยตรง แต่ก็มิอาจปฏิเสธว่าไม่ใช่พุทธ เพราะ
ทุกส่ิงท่ีโฆษณาและประชาสัมพันธ์ อาจจะมีคาว่า “พุทธบูชา” “พุทธานุสสติ” เก่ียวข้องกับวัด

๒๖๐ ก้อง กังฟู “ชูชกวัดใหม่ป่ินเกลียว : รับสังเวยอาหารจากท่ัวมุมโลก” ใน เหนือฟ้าใต้บาดาล
หนงั สือพิมพ์ไทยรัฐ, (๖ สิงหาคม ๒ ) : .

๒๖ มีผใู้ ห้ทัศนะพรอ้ มคาอธิบายถึงประโยชน์ของพระเคร่ืองท่ีว่า “พระเคร่ืองสามารถนาไปเผยแผ่
พุทธธรรมเป็นเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจของพุทธศาสนิกชน มุ่งทาประโยชน์เป็นกาลังใจในการเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนา และทะนุบารุงพระศาสนา ให้มีความสอดคล้องสมั พนั ธ์กับหลักธรรมคาสอน และตั้งเจตนาหวัง
ให้เป็นพทุ ธศาสนาอยคู่ ู่กบั สังคมไทยตลอดไป” รายละเอียดใน พระสุรศักดิ์ กิตฺติปญฺโญ (จันทราภรณ์), “ศึกษา
พระเครื่องในฐานะส่ือเผยแผ่พุทธธรรมในสังคมไทยปัจจุบัน ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,
(บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒ ๒), หน้า ข.

๒๖๒พลตารวจเอก เอก อังสนานนท์, พระตารวจสรา้ ง, (กรุงเทพมหานคร: มตชิ น, ๒ ), หน้า ๒ - ๐.



พระสงฆ์เจ้าพิธี เกจิ คณาจารย์ รวมไปถึงการระดมทุนในการก่อสร้าง พัฒนา ที่มีเป้าหมายตามคา
กล่าวอ้างวา่ เพ่อื ส่งเสรมิ อปุ ถมั ภ์กิจการพระพุทธศาสนา

ปรากฏการณ์หนึง่ ทีเ่ กดิ ข้ึนคอื สนิ คา้ ทถี่ ูกโฆษณามากท่ีสุด และก่อให้เกิดการหมุนเวียน
รายได้มากท่ีสุดอันดับต้น ๆ กับสื่อโฆษณาก็คือ “วัตถุมีฤทธิ์” มีผลสารวจเป็นงานวิจัยออกมาว่า
รายไดห้ มุนเวยี นของกลุ่ม “วัตถมุ ีฤทธ์ิ” ในแต่ละปี มมี ลู กวา่ หม่ืนล้านบาท ดังมีข้อมูลจากบริษัท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จากัด (ข้อมูล ณ วันที่ ธันวาคม ๒ ๖) คาดว่าเม็ดเงินในธุรกิจพระเคร่ือง
และธุรกิจท่ีเกี่ยวเนื่องในปี ๒ ๖ นี้สูงถึงเกือบ ๐,๐๐๐ ล้านบาท เม่ือเทียบกับในช่วงวิกฤต
เศรษฐกิจแล้วเพ่ิมข้ึนถึงร้อยละ ๐ และธุรกิจเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเน่ืองตามภาวะ
เศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะยังมีอัตราขยายตัวเฉล่ียสูงถึงร้อยละ ๐-๒๐ ต่อปี๒๖ นอกจากน้ี ในช่วงปี
ต่อมาศูนย์ยังคาดว่าเม็ดเงินในธุรกิจพระเคร่ืองและธุรกิจที่เกี่ยวเน่ืองในปี ๒ ๘ น้ีสูงถึงเกือบ
๒๐,๐๐๐ ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันท่ี ม.ค. ๒ ๘) และธุรกิจเหล่าน้ียังมีโอกาสเติบโตอย่าง
ต่อเน่อื งตามภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะยงั มอี ตั ราขยายตวั เฉลีย่ สงู ถงึ ร้อยละ ๐-๒๐ ตอ่ ปี ๒๖

สอดคล้องกบั ทัศนะของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโลว่า

ในระยะหลังธุรกิจอีกประเภทหนึ่งซ่ึงทารายได้ให้แก่วัดจานวนไม่น้อย ก็คือ การขายวัตถุ
มงคลและเครื่องรางของขลัง พระเคร่ืองนั้นแต่เดิมมีไว้แจก แรก ๆ ก็เฉพาะลูกศิษย์ลูกหา
ต่อมาก็แจกทหารตารวจที่ไปสู้รบนับแต่สงครามอินโดจีนถึงสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์๒๖
จากน้ัน ก็กลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย จนกล่าวได้ว่าเป็นธุรกิจหรือ
อุตสาหกรรมไปแล้ว ที่เคยขายตามริมทางเดิน ก็ขยับขยายมาเปิดร้านหรูหราใน
หา้ งสรรพสินค้าหลายแหง่ กลางใจเมือง หรอื ระบบธนาคาร ไปรษณีย์ รวมไปถึงร้านชุปเปอร์
มาเกต็ ทกี่ ระจายอยุท่ กุ ซอกทกุ มมุ ทั่วประเทศ แต่ถึงอยา่ งไร แหล่งซ้อื ขายพระเคร่อื งทส่ี าคัญก็
ยังหนีไม่พ้นวัด โดยเฉพาะวัดท่ีเก่ียวข้องกับเกจิอาจารย์ไม่ทางใดก็ทางหน่ึง ในระยะหลัง
การซื้อขายก็ขยายคลุมไปถึงวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังอย่างอ่ืน ๆ ด้วย เช่น ยันต์
ตะกรุด ปลัดขิก ภาพถ่ายและลอกเก็ตนานาประเภท ซึ่งมักจะแยกไม่ออกจากพิธีปลุกเสก

๒๖ ศูนยว์ จิ ัย บรษิ ทั กสกิ รไทย จากัด [ออนไลน]์ แหลง่ ทม่ี า :
http://www.kasikornresearch.com/kr/search_detail.jsp?id= ๒ &cid= ๖. (๒๒ กันยายน ๒ ๒).

๒๖ ศนู ย์วิจัย บรษิ ัท กสิกรไทย จากดั [ออนไลน]์ แหล่งท่ีมา :
http://www.kasikornresearch.com/kr/search_detail.jsp?id= ๖๖&cid= (๒๒ กันยายน ๒ ๒).

๒๖ พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโนม้ และทางออกจากวิกฤต,ิ
(กรุงเทพมหานคร : กองทนุ รักษธ์ รรม, ๒ ), หน้า ๒ .



และงานฉลองสารพัดรูปแบบ เช่น งานผกู พัทธสมี า วางลูกนมิ ิต อนั เปน็ แหลง่ รายไดท้ ่ีสาคัญ
ไมน่ ้อยสาหรับวัด๒๖๖

การท่ีวัดหันมาทากิจการด้านน้ีอย่างเป็นล่าเป็นสัน ไม่เพียงแต่จะบ่งช้ีถึงความแนบแน่น
ระหว่างวัดกับเศรษฐกิจแบบเงินตราเท่านั้น หากยังชี้ให้เห็นถึงบทบาทของวัดและสถานะ
ของพุทธศาสนาที่กาลังเปล่ียนไป ในขณะที่วัดกลายเป็นส่วนหน่ึงของธุรกิจในระบบ
ทุนนิยม พุทธศาสนาก็กาลังถูกกลืนให้กลายเป็นส่วนหน่ึงของระบบบริโภคนิยมไป๒๖
และถูกนกั ธรุ กจิ กลมุ่ หน่ึง “ฉกฉวยไปสร้างเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจจากความเชื่อ”๒๖๘ ใน
เรือ่ งวัตถุมงคลไป

การจัดสร้างวัตถุ (มงคล) ในเชิงพาณิชย์ ที่ปรากฏต่อสาธารณะมีหลายลักษณะ ซ่ึงอาจ
จาแนกไดด้ ังน้ี

๑. พระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิ หมายถึง พระที่จาลองจากพระพุทธรูป หรือเป็นรูปเคารพท่ี
สัมพันธ์กับพระพุทธเจ้า เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อพุทธชินราช หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวง
พอ่ บ้านแหลม พระแกว้ มรกต เปน็ ตน้

๒. พระเถระผู้เป็นเกจิคณาจารย์ หมายถึง รูปที่เก่ียวกับเกจิเจ้าของรูปน้ัน ๆ โดยจะเป็น
รูปตวั ท่าน หรอื ส่ิงของท่ีนบั เนอ่ื งเกย่ี วกบั ตัวพระผู้เป็นเกจิ เกจินิรมิตให้ เช่น หลวงพ่อคูณ แห่งวัดบ้าน
ไร่ หลวงพ่อพนู สารพดั เกจทิ ี่ปรากฏทางสื่อกับ “วตั ถุ” ส่ิงคา้ ท่ีมอี ยูเ่ กือบทกุ ตาบลในประเทศไทย

. วตั ถุมงคล/ของขลัง หมายถงึ วัตถุมฤี ทธจิ์ ะออกในนามของเกจิ หรอื เจา้ สานักใด ออก
เองแลว้ ไปนมิ นต์พระเกจิ ชว่ ยพทุ ธาภเิ ษกให้ ทส่ี ัมพันธก์ ันเพือ่ การระดมทนุ

ฉะนั้นจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ผู้วิจัยมองว่า เป็นเทคนิควิธีการในการระดมทุน ซ่ึงใน
ปัจจุบันกระแสของกลุ่ม “วัตถุมงคล” ได้กลายเป็นกระแสนิยมที่ว่าใครอยากระดมทุนและหาเงินก็
จะใช้วิธีการนี้ในการหาเงิน ซ่ึงเป็นเทคนิคในการระดมทุนที่ลงทุนไม่สูง แต่ผลท่ีตอบกลับมาให้
ความสมั พันธ์ในเชิงผลประโยชนอ์ ย่างสงู

๒๖๖พระไพศาล วสิ าโล, พทุ ธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤติ, หนา้ ๒ . ),
๒๖ เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๒ .
๒๖๘ชัยวัฒน์ คุประตกุล, วิถีแห่งปัญญา, (กรุงเทพมหานคร : สถาบันวิถีทรรศน์, ๒
หน้า ๒๒ .

วัตถมุ ฤี ทธิ์/วตั ถุมงคล วดั /องค์กร/เอกชน/บุคคล/คณะบคุ คล

พระพุทธรูป การระดมทนุ สร้าง/กอ่ สร้าง/

พระ/เกจิ สงเคราะห์/การค้าเชิง
พุทธรูป
เคร่ืองราง/ของขลัง สอนธรรม พาณชิ ย์ / ค้ากาไร /
พระ/เกจยิ ์พุทธรูป เผยแผ่ ศาสนา สินค้า / ผลประโยชน์

ส่งิ สรา้ ง แผนภาพที่ รกั ษาศษสนา

. ผงั ความสมั พนั ธข์ องกลมุ่ วัตถุมีฤทธ์ิ

พฒั นาการของ “วัตถุมงคล” มีหลายกรณี เช่น เกจิสร้างเอง ทาเองปลุกเอง หรือกรณีที่
วัด หรือสานกั งาน หน่วยงานราชการ หรือเอกชน หรอื บุคคล จัดทาแล้วให้เกจิไปปลุกเสก อธิษฐาน
จิตให้ แต่ผลของการทาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ล้วนเก่ียวข้องกับการแสวงหาทุน “เพ่ือ” หรือ
รายได้ “ส่วนหนึ่ง” มอบใหก้ ับ.... ซึ่งจะมีลกั ษณะแบบน้ีท้ังสนิ้

จากแผนภาพท่ี . จะเห็นถึงพัฒนาการของการสร้างวัตถุเพ่ือระดมทุนของกลุ่มชาว
พุทธทเ่ี รียกวา่ “วัตถุมงคล” ทม่ี ที ง้ั ในส่วนของพระทีเ่ ป็นพระพทุ ธรปู มีความเก่ียวข้องกับความศักดิ์
สทิ ธ์ มีกลมุ่ ทนุ เขา้ ไปสนบั สนนุ หรือขอความช่วยเหลืออุปถัมภ์ มีเกจิคณาจารย์ที่ได้รับการยอมรับ
วา่ เป็นผมู้ ีวชิ าอาคม และมีความเกี่ยวเน่ืองกับเกจิคณาจารย์ที่มีประสบการณ์ในรุ่นก่อน เป็นผู้ทาพิธี
หรอื ดาเนนิ การให้ หรืออนุญาตให้กระทา โดยมีกระบวนการผลิตจากโรงงาน แต่ในเวลาเดียวกันก็
มีวิธีการในการให้คาอธิบายว่าเป็นการเผยแผ่ธรรม หรือพระพุทธศาสนาอยู่ในตัวด้วย มีวิธีการท่ี
เรยี กว่าการจัดจาหน่าย หรือช่องทางการตลาดที่เป็นตามกลไกทางการตลาดทั้งในส่วนของสถานท่ี
จัดจาหน่าย ผลได้ และมีสินค้าท่ีหลากชนิดในการผลิตในแต่ละคร้ัง ดังน้ันกระบวนการระดมทุน
ด้วยวิธกี ารดงั กลา่ วเป็นจึงมีการขับเคลอื่ นในภาพกวา้ งในสังคมไทยดังปรากฏอยู่ในปจั จุบนั

โดยสรุป กลุ่มวัตถุมงคลอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดในส่วนของวัด หรือหน่วยใด แต่
นาเสนอในภาพรวม เพ่ือให้เห็นความเหมือนและความต่าง กลุ่มน้ีซึ่งถือว่า เป็นกลุ่มใหญ่และมีผล
ต่อสังคมในภาพรวมอย่างสูง เพราะแทรกซึมอยู่ในทุกสถานที่ และกลายเป็นการยอมรับกันอย่าง
กว้างขวางในสงั คมไทย เปน็ เครื่องมือในการระดมทนุ “พทุ ธทุนนิยม” การหาเงินในแบบชาวพุทธ
อย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน เม่ือพิจารณาจากแผนภาพที่ . จะเห็นได้ว่าพลังการขับเคล่ือนใน
ภาพรวมของกลุ่มขบวนการพุทธใหม่ มุมหน่ึงได้ก่อให้เกิดผลเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ คือวัตถุและ



เงินตรา แต่ในเวลาเดียวกันหากพิจารณาถึงแก่นแท้ ข้ออ้างในการเผยแผ่ธรรม จึงเป็นส่วนร่วมต่อ
วัตถุ ส่ิงสร้างท่ีเรียกว่า “วัตถุมงคล” มุมหน่ึงอาจเป็นเทคนิควิธีการในการระดมทุน แต่ในอีกมุม
หน่ึงอาจเป็นการกัดเซาะพระพุทธศาสนา ท่ีเรียกว่า ศาสนาของ “ผู้ต่ืนรู้” กับคาว่า “ไสย” ที่แปลว่า
ศาสนาของผู้หลับ ท่ีสัมพันธ์กับกลุ่มพุทธพาณิชย์ ดังน้ันในการศึกษานี้เป็นการศึกษาเพ่ือดู
ภาพรวมและพัฒนาการของกลุ่มดังกล่าว ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นเป็นปรากฏการณ์ของกลุ่ม
พระพุทธศาสนา ท่มี ุมหนง่ึ คลา้ ยเปน็ ส่วนหนงึ่ ของพระพุทธศาสนา ดังกรณีของพระพิฆเนศท่ีใหญ่
ท่ีสุดในประเทศไทย แต่ต้ังอยู่ในวัด๒๖ หรือพระพรหม ที่สะท้อนถึงความไม่รู้ต่อภาพลักษณ์ท่ี
แท้จริงของพระพุทธศาสนา หรือด้วยท่าทีที่ประนีประนอมในแบบชาวพุทธ จึงทาให้ภาพของการ
หลอมรวมกันทางศาสนาที่เน้นวัตถุ กระทาโดยพระภิกษุที่ได้ชื่อว่ าเป็นศาสนทายาท ของ
พระพุทธศาสนา ท่ีเป็นท้ังผู้ผลิต สร้าง กระทาพิธีกรรม และจาหน่ายเสียเอง ซ่ึงในการศึกษาน้ีได้
สะท้อนให้เห็นในภาพรวม เพ่ือสะท้อนปรากฏการณ์ของกลุ่มพระพุทธศาสนาในลักษณะดังกล่าว
ในสังคมไทยทมี่ ีปรากฏการณใ์ นเชิงสังคมอยา่ งสงู อีกกลุม่ หนง่ึ

โดยสรุป ขบวนการพุทธใหม่ กลุ่มต่าง ๆ ท่ีปรากฏในสังคมไทย และถูกยกมาเป็น
กรณีศึกษาในบทน้ี ภาพรวมที่เกิดข้ึนแสดงให้เห็นว่า เป็นการตอบสนองต่อบริบทสังคม ความ
เปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาโดยมีฐานของความพึงใจเชิงปัจเจกและกลุ่มเป็นเคร่ืองรองรับต่อ
สถานการณ์พระพุทธศาสนานั้น ๆ จนกระทาให้พระพุทธศาสนากลุ่มต่าง ๆ ที่พัฒนาการมาอย่าง
ต่อเนื่องมีความก้าวหน้าและเจริญเติบโตสร้างพัฒนาการเชิงสังคมเป็น “ปรากฏการณ์” ในวงกว้างได้
เป็นอย่างดี แต่ในอีกมุมหน่ึง กลุ่มพระพุทธศาสนาเหล่าน้ี ได้มีประเด็นโต้แย้งต่อแนวทางของกันและ
ในความถูก ผิด แท้ ไม่แท้ หรือกรณีอ่ืนที่มีความหมายเป็นการตรวจสอบ วิพากษ์และร้องหาความ
เหมาะควรตอ่ กรณที ี่เกิดข้นึ จนกลายเป็นผลต่อสงั คมในภาพรวมซ่ึง จะได้ทาการศึกษาในบทต่อไป

๒๖ พระพิฆเนศทรงนอนทีใ่ หญ่ทส่ี ดุ ในประเทศไทย วัดสมานรตั นาราม จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา
[ออนไลน]์ , แหล่งท่มี า : http://www.thaifusionfoods.com/2010/04/blog-post_9062.html ( กนั ยายน ๒ ).

บทท่ี ๔

ผลของขบวนการพทุ ธใหม่ต่อสงั คมไทย

ปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ท่ีปรากฏต่อกลุ่มพระพุทธศาสนาในสังคมไทย มีบางทัศนะจัดว่า
เป็นพฒั นาการของพระพทุ ธศาสนาทเี่ กิดขึ้นภายใต้การปรบั ตัว เพ่อื รองรบั ความเปล่ียนแปลง คล้าย
ภาพฉายซา้ สะท้อนถึงความอ่อนแอ ถึงภาพใหญ่ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย แต่นัยหนึ่ง
คือปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนภายใต้สถานการณ์อย่างใหม่หรือปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ของ
พระพุทธศาสนาโดยมีกรอบคิดชุดเหตุผลเรื่องการ “ปรับตัว” (บทท่ี ๒ ) กระทั่งเป็นเหตุให้เกิด
ขบวนการพุทธใหม่ (ในบทที่ ๓) และมีพัฒนาการปรากฏในสังคมไทย โดยในบทนี้ จะได้ศึกษา
ผลกระทบ หรือผลอันเกิดจากพัฒนาการของกลุ่มขบวนการพุทธใหม่ ในแต่ละกลุ่ม เพื่อให้เห็นผล
ที่เกดิ ข้นึ ในภาพรวม ท้ังสว่ นดี มีประโยชน์ และขอ้ บกพร่อง ที่เปน็ ความผิดแผกไปจากหลักการทาง
พระพุทธศาสนา ซ่ึงสามารถจ้าแนกผลการเกิดขึ้น และแนวโน้มในอนาคต ของ “ขบวนการพุทธ
ใหม่” ดงั นี้

๔.๑ ผลของ “ขบวนการพุทธใหม่” ตอ่ สงั คม
ขบวนการพุทธใหม่ในสังคมไทย มผี ลต่อสงั คมในภาพรวม ท้ังยงั เปน็ เงือ่ นไขขับเคล่ือน

มีพลวัฒน์ ซึ่งสามารถจ้าแนกได้ ดังน้ี
๔.๑.๑ ผลต่อสงั คมใกล้ หมายถงึ ผลตอ่ สงั คมในองค์รวม หรือกลุ่มศาสนาตั้งอยู่ ด้ารงอยู่

เพราะการท่ีกลุ่มทางพระพุทธศาสนากระท้ากิจกรรมหรือ ส่ังสอนแนววัตรปฏิบัติใด ๆ ย่อมมีผล
ขับเคล่ือนการปฏิบัติตามแนวทางนั้น ๆ ในกลุ่มของตัวเอง เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ที่เริ่มจาก
สมาชิกภายในชุมชนท่ีจัดต้ังขึ้นค่อย ๆ พัฒนา ขยายจ้านวนเพ่ิมขึ้น เช่น ส้านักปฏิบัติธรรมท่ีมีศิษย์
สาขาจ้านวนมาก ดังกรณีศิษย์หลวงปู่ชา สุภทฺโท และวัดสาขา ส้านักวัดพระธรรมกาย หรือส้านัก
สันตอิ โศก เป็นต้น ชมุ ชน สังคมที่อยู่ใกล้กลุ่มศาสนานั้น ๆ ย่อมได้รับผลจากการปฏิบัตินั้น ทั้งใน
ระดับปัจเจก ชุมชน และสังคมท่ีกว้างข้ึน เช่น ชุมชนการสงเคราะห์ในแบบวัดพระบาทน้าพุ วัด
สวนแก้ว วัดค้าประมง ส้านักสงฆ์ถ้ากระบอก ชุมชนการศึกษาในแบบวัดญาณเวศกวัน ชุมชนของ
การปฏิบัติธรรม เปน็ ต้น

๔.๑.๒ ผลต่อสังคมไกล หมายถึง การรับรู้ต่อสังคมในองค์รวม ท่ีแม้จะไม่ได้อยู่ใน
บรเิ วณหรือชมุ ชนใกล้ แต่ได้รับผล จากพระพทุ ธศาสนานนั้ ๆ ด้วยผลของการสื่อสารสมัยใหม่ เช่น
กลุ่มวัตถุมงคล ส้านักวัดพระธรรมกาย ที่มีผลต่อการระดมทุน/เผยแผ่ จากฟากหน่ึงอาจเข้าไป

๑๗๔

ระดมทุนจากอีกฟากฝั่งหน่ึง เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ หรือตามวัตถุประสงค์ของหมู่กลุ่มที่
ต้องการ พฤติการณ์เหล่าน้ีส่งผลต่อสังคมในวงกว้าง และในเวลาเดียวกันด้วยเทคนิคการส่ือสาร
พฤติการณ์ของขบวนการพุทธใหม่ ท่ีปรากฏในสังคมไทย ถ้าเป็นหลักการหรือหลักปฏิบัติ ก็จะ
ส่งผลต่อหมู่กลุ่มในความเข้าใจท่ีถูกต้อง ต่อพระพุทธศาสนา ท้าให้เกิดการศึกษาในเชิงประจักษ์
เปรียบเทียบต่อความเป็นพระพุทธศาสนามากยิ่งข้ึน ท้าให้เกิดผลร่วมกันระหว่างสังคมใกล้และ
สงั คมไกลด้วยเชน่ กัน

๔.๒ ผลต่อความเปน็ ปัจเจก
ลกั ษณะเฉพาะของแตล่ ะสา้ นกั มผี ลเปน็ ปรากฏการณ์ และในเวลาเดียวกันก่อให้เกิดพลัง

ขบั เคลือ่ นต่อพระพทุ ธศาสนาในภาพรวม มลี กั ษณะต่าง ๆ ท่ีพอจ้าแนกได้ดังน้ี
(๑) ลักษณะเฉพาะของชาวพทุ ธ หมายถึง การเลอื กนบั ถือ ปฏิบัติ ศึกษาเรียนรู้ ในกรอบ

เฉพาะท่ีตนเองสนใจ มากยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มทรง กลุ่มไสย กลุ่มปฏิบัติที่ใช้ครูอาจารย์ รูปแบบการ
ปฏิบัติ กลุ่มพุทธศาสนาแบบปัญญาชนท่ีใช้ความเป็นเหตุเป็นผลในการนับถือปฏิบัติ
พระพทุ ธศาสนา ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับผู้นบั ถอื หรอื ปฏิบตั ิตาม ทัง้ อายุ การศึกษา และความสนใจ เป็นต้น

(๒) เกิดความอ่อนแอในการเป็นชาวพุทธ หมายถึง การที่ชาวพุทธเช่ือ และการปฏิบัติ
ต่อหลักความเช่ือทางพระพุทธศาสนาผิด เช่น เช่ือไสย ฤทธ์ิที่มากับวัตถุมงคล ซึ่งเป็นความเชื่อที่
ไม่สอดคล้องกบั หลกั พระพทุ ธศาสนา กลายเป็นการพึ่งพาอา้ นาจสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ มีวุฒิภาวะในการร้อง
ขอ อ้อนวอน พึ่งพาตนเองตามหลักพุทธธรรมไม่ได้ ขาดเกณฑ์วินิจฉัยท่ีถูกต้องตามหลักพุทธ
ธรรม ในระยะยาวเท่ากับว่าชาวพุทธเหล่านี้อ่อนแอ ขาดเป้าหมาย และไม่สามารถรักษาและสืบ
ทอดอายุพระพุทธศาสนาได้ และเป็นการขัดแย้งต่อหลักค้าสอนที่ถูกต้องในทางพระพุทธศาสนา
ด้วย

๔.๓ ผลต่อหลักการ
ผลท่ีเกิดขึ้นของกลุ่มขบวนการพุทธใหม่ ได้สะท้อนปรากฏการณ์ของพระพุทธศาสนา

ในดา้ นต่าง ๆ ทง้ั ด้านหลกั การ แนวคดิ คา้ สอนทางพระพุทธศาสนา ซ่ึงอาจจา้ แนกได้ ดงั น้ี
๔.๓.๑ การรักษาแนวคิดเดิมไว้ คือ การย้อนกลับไปหาค้าสอนดั้งเดิมตามคัมภีร์ทาง

พระพุทธศาสนาในลักษณะของการหาคุณค่าแท้ ตรวจสอบถึงความถูกต้อง เช่น พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ.ปยุตฺโต) เม่ือเกิดกรณีพิพาทหรือข้อโต้แย้งใด ๆ เกี่ยวกับข้อมูลหลักฐาน ท่านจะเป็นผู้อธิบาย
ให้ความหมาย โดยยึดตามหลักคัมภีร์พระไตรปิฎกจนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ท่านจัดอยู่ในกลุ่ม
Dogmatism ที่คิดอย่ใู นกรอบ เป็นแบบอนรุ กั ษ์นิยม (Conservative) แต่ในเวลาเดียวกัน ส้านักต่าง ๆ

๑๗๕

ต่างก็อ้าง “คัมภีร์” แหล่งท่ีมาเดิมเป็นฐานในการให้ค้าอธิบายตีความด้วยเช่นกัน ท้ัง
วัดพระธรรมกาย สนั ตอิ โศก วดั สามแยก พระมโน เมตตานนฺโท โดยอาศัยแนวคิดและการปฏิบัติ
ท่ียงั อาศัยอยูก่ บั หลกั คิดในทางพระพุทธศาสนา ประหนึ่งย้อนกลับไปสู่แนววัตรปฏิบัติเดิมดังที่เคย
ปรากฏในครงั้ พุทธกาล แตเ่ มือ่ พิจารณาในภาพรวม การใช้กรอบของ “พระไตรปิฎก” เป็นเกณฑ์ใน
การให้ค้าอธิบายนั้น ๆ เป็นไปตามกรอบคิด และมติของแต่ละฝ่าย เป็นไปตามอัตตวิสัยการตีความ
ของแต่ละท่าน แต่ละส้านักในที่สุดด้วยเช่นกัน ซ่ึงไม่เฉพาะแต่การตีความ แต่บางครั้งถูกน้าไป
อธิบายเสริมต่อปรากฏการณ์ของกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะ “อ้าง” จากหลักฐาน
คา้ สอนดง้ั เดมิ ท้ังสิน้

๔.๓.๒ การผสมผสาน หมายถึง เกิดการผสมผสานแนวคิดทางพระพุทธศาสนา และ
แนวคิดอื่นที่เจ้าส้านักประดิษฐ์คิดข้ึน ซ่ึงอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นไปเพื่อ
เปา้ หมายและอดุ มการณข์ องส้านกั น้ัน ๆ ดงั กรณวี ดั พระธรรมกาย ส้านักสันติอโศก และสวนโมกข์
ที่ใช้แนวคิดอ่ืน ๆ มาเป็นส่วนผสมในการอธิบายพระพุทธศาสนา เช่น การตีความ หรือกลุ่มส้านัก
อ่ืน ๆ ทั้งไสยศาสตร์ ความเชื่อนอกพระพุทธศาสนามาเป็นองค์ประกอบ เช่น การตีความสนับสนุน
ความม่ังคั่งย่ิงขึ้น เม่ือท้าบุญกับวัดพระธรรมกาย การตีความเรื่องการเมืองกับการเข้าไปสนับสนุน/
คัดค้าน ของสันติอโศก การบัญญัติศัพท์ที่เป็นการสื่อความพระพุทธศาสนาในแบบส้านักสวนโมกข์
รวมไปถงึ ไสยกบั พุทธ ทนุ นยิ มกับพุทธที่แนบเป็นเนื้อเดียวกัน โดยท้ังหมดใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร
ทเ่ี ป็นระบบในการสอ่ื เหตผุ ล ชุดคิด ที่ผ่านการผสมผสานจนแยกไม่ออกว่าอันใดพุทธ หรือไม่ใช่พุทธ
จนสง่ ผลแพร่หลายได้รับการยอมรับแมจ้ ะเป็นพุทธศาสนาท่เี จือปนก็ตาม

๔.๓.๓ การตคี วามใหม่/คาสอนใหม่ หมายถึง เกิดการสรา้ งคา้ อธบิ ายใหม่เพ่ือให้เป็นไป
ตามเจตนารมณ์ของผู้ก่อตังส้านัก อาจรวมไปถึงการเกิดค้าสอนใหม่ ๆ ท่ีเหมือนเป็นค้าสอนใน
พระพุทธศาสนา แม้การตีความ จะเป็นไปด้วยเจตนาเพ่ือให้เข้าใจค้าสอนได้ง่ายข้ึน ลดหล่ันกันไป
เป็นล้าดบั ก็ตาม ดังปรากฏในวธิ ีการตีความ ภาษาคนภาษาธรรมของหลวงพ่อพุทธทาส การตีความ
เพื่อน้าไปสู่กระบวนการปฏิบัติ ทั้งในส่วนสันติอโศก และธรรมกาย ซ่ึงเป็นการตีความที่ส่งผลให้
เกิดการขับเคล่ือนสังคมในองค์รวมวงกว้าง แต่ในเวลาเดียวกันค้าสอนใหม่ท่ีเกิดขึ้นภายใต้การ
ตีความใหม่ ส่งผลเป็นความแตกแยกเป็นคณะสงฆ์อ่ืนเช่นสันติอโศก ความแตกแยกต่อมโนทัศน์
ค้าสอนของพุทธทาสต่อ “นิพพานท่ีนี่เดี๋ยวน้ี” หรือการมุ่งมองว่า “ทุน” ในแบบวัดพระธรรมกาย
ผ่านแนวคิดเรื่อง “บุญ” ไม่จัดเป็นบุญในทางพระพุทธศาสนา สภาพเหล่านี้เกิดข้ึนภายใต้เงื่อนไข
ของการตีความ/ค้าสอนใหม่ ที่เป็นเคร่ืองมืออันหน่ึงในการอธิบายความตามหลักการทาง
พระพทุ ธศาสนา ดังท่ีปรากฏในสังคมไทย

๑๗๖

๔.๔ ผลต่อวัตรปฏิบัติ

ปรากฏการณ์ต่อวัตรปฏิบัติท่ีเกิดข้ึน กลายเป็นการออกแบบพระพุทธศาสนาแนวใหม่
ท่ีมีผลต่อการถือปฏิบัติเฉพาะ ซ่ึงก่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ และมีความหมายเป็น
ความเก่ยี วเน่อื งกับพระพทุ ธศาสนา ซ่งึ อาจจ้าแนกได้ดังนี้

๔.๔.๑ การรักษาแนวปฏิบัติเดิมไว้
ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง กลุ่ม
ทางศาสนาท่ีพยายามปรับเพื่อไปหาของเดิม เช่น กลุ่มของภิกษุณีท่ีพยายามย้อนกลับไปสู่แนวคิด
เร่ืองการมีสาวกครบบริษัท ๔๑ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีผู้ที่พยายามให้ค้าอธิบายต่อแนวทางอันเป็น
แนวคิดเดิมในพระพุทธศาสนา๒ กระทั่งกลายเป็นข้อโต้แย้ง เพ่ือย้อนกลับไปหาความหมายจริงแท้
ดงั้ เดมิ หรือยอ้ นกลับมาท่ีแนวคดิ อดุ มการณเ์ ดมิ ในเวลาเดียวกันกม็ ีความเคลอื่ นไหวเป็นพลวัฒน์อยู่
ในตัว เช่น ส้านักสันติอโศก ที่เรียกร้องให้มีการรักษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ซ่ึง
เป็นการตีความจากคมั ภีร์ เพอ่ื ย้อนกลบั ไปหาค้าสอนดัง้ เดมิ ตามคัมภีรใ์ นทางพระพุทธศาสนา

๔.๔.๒ การผสมผสาน
ลัทธิพิธีต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น จัดเป็นภาพลักษณ์ใหม่ท่ีปนกับพระพุทธศาสนาในประเทศ
ไทย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงพระพุทธศาสนาไปสู่ภาพลักษณ์ใหม่ จากประสบการณ์ที่ผู้วิจัยเคย
เข้าร่วมพิธีในฐานะผู้ประกอบพิธีในส้านักทรงหลาย ๆ แห่ง ท่ีนิมนต์พระสงฆ์เข้าไปร่วมใน
พิธีกรรม รวมท้ังส้านักอนุตรธรรม ในแต่ละแห่งมีลักษณะร่วมเหมือนกันคือ การน้าลักษณะทาง
พระพุทธศาสนามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม พิธีกรรม เช่น การนิมนต์พระไปท้าบุญประจ้าปี
เชิญชวนศาสนกิ ผูน้ บั ถอื มารว่ ม แสดงธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรม น่ังสมาธิ ในเวลาเดียวกันก็มีเร่ืองเกี่ยวกับ
การทรง การดหู มอ และอิทธปิ าฏิหารยิ ใ์ นลกั ษณะรอ้ งขอ เพ่ือประโยชนแ์ ละความส้าเร็จด้วยเช่นกัน
ในส่วนของส้านักอนุตรธรรม ที่ผู้วิจัยเคยเข้าร่วมสังเกตการณ์จะมีการน้าหลักค้าสอนทาง
พระพทุ ธศาสนามหายาน เรือ่ งการบ้าเพ็ญบารมเี พ่อื เป็นโพธสิ ัตว์ การสร้างบารมีหรือส่ังสมบุญตาม
คติเถรวาท ส่ิงท่ีปรากฏชัดคือการผสมผสานแนวคิด แนวปฏิบัติ ในหลาย ๆ กรณีจนก่อให้เกิดการ
ขบั เคลือ่ นและมผี ลเป็นการปฏิบตั ทิ ี่มีลักษณะเฉพาะมากยงิ่ ขึ้น

๑พิมพ์พัณธ์ หาญสกุล, บุญขนิษฐ์ วรวิทยานนท์, ชัยวัฒน์ เปรมจันทร์, ผู้ฟื้นภิกษุณีสงฆ์ พลิก
ประวัตศิ าสตรพ์ ุทธศาสนาไทย รศ.ดร.ฉตั รสุมาลย์ กบิลสงิ ห์, (กรุงเทพมหานคร: พระอาทิตย,์ ๒๕๔๔).

๒ดเู พม่ิ ใน ทองยอ้ ย แสงสนิ ชยั , น.อ., เหตเุ กดิ พ.ศ. ๒๕๔๕ : ตอบปัญหาเหตุเกิด พ.ศ. ๑ ของพระ
มโน เมตฺตานนฺ โท กรณปี ฐมสังคายนา/ภิกษณุ สี งฆ,์ (กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธิพทุ ธธรรม, ๒๕๔๖).

๑๗๗

๔.๔.๓ การออกแบบวตั รปฏิบตั ใิ หม่
การตีความของส้านักวัดนาป่าพง ที่ว่าปาฎิโมกข์เป็นสิ่งเสริมเข้ามาในวินัยท่ีเรียกว่า
เสขิยวัตรจริง ๆ แล้วถูกเพ่ิมมาในภายหลัง และส่งเสริมให้สวดมาปฏิโมกข์เพียง ๑๕๐ ข้อไม่ใช่
๒๗๗ ข้อ๓ การตคี วามของส้านกั สนั ตอิ โศกน้าไปสู่การปฏิบัติในมุมท่ีสอดคล้องกับการตีความเช่น
การถือปฏิบัติในส่วนของมังสวิรัติ การตีความเร่ืองการไปด้วยยานของส้านักถ้ากระบอก การให้
ค้าอธิบายต่อ “วัตถุอนามาส” ของวัดสามแยกและกล่าวโจมตีกลุ่มอื่น น้าไปสู่การถือปฏิบัติอย่าง
เคร่งครัด๔ ภาพลักษณ์เหล่าน้ีสัมพันธ์กับการให้ค้าอธิบายและน้าไปสู่การถือปฏิบัติตามกรอบและ
ขอบเขตทต่ี นเอง หรือกลมุ่ พอใจและพร้อมน้อมรับไปปฏบิ ัติ
นอกจากนี้วัตรปฏิบัติของแต่ละส้านักหรือรูปแบบ ยังเกาะเก่ียวเป็นบางส่วนและมี
ลักษณะเฉพาะในแต่ละส้านัก ท่ีให้คุณค่าและความหมายท่ีแตกต่างกันไป รวมไปถึงสัมพันธ์กับ
ฐานหลกั ของคัมภีรแ์ ละคา้ สอนทางพระพทุ ธศาสนาเสียเปน็ ส่วนใหญ่ ในเวลาเดียวกันก็กระท้าให้มี
ลักษณะของตน ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มปฏิบัติ” ที่แต่ละกลุ่มก็มีวัตรปฏิบัติและวิธีการปฏิบัติที่แตกต่าง
กันโดยวิธีการ แต่บทจบเป้าหมายจะมีความเหมือนกัน รวมไปถึงกลุ่มวัตถุมีฤทธิ์ ส่วนส้านักทรง
แมจ้ ะมรี ปู แบบวิธกี ารแตกตา่ งกนั แตท่ กุ กลุ่มจะองิ อาศัยอยกู่ บั พระพุทธศาสนากระแสหลกั

๔.๔.๔ วิวาท-ขดั แย้ง
ค้าสอนท่ีแตกต่าง จากการตีความให้ความหมายใหม่ส่งผลเป็นความขัดแย้ง และ
บ่อยครั้ง เป็นประเด็นทางสังคมศาสนา โดยเฉาะกรณีธรรมกาย สันติอโศก สวนโมกข์ รวมไปถึง
กลุ่มวัตถุมีฤทธิ์ หรือกรณีล่าสุดของส้านักสวนสันติธรรมของพระปราโมช ปราโมชโช กับคณะ

๓แนวคิดของพระอธกิ ารคึกฤทธ์ิ โสตถิผโล เจ้าอาวาส วัดนาปา่ พง ต.ล้าลูกกา อ.ลา้ ลูกกา จ.ปทุมธานี
ทตี่ ีความผา่ นการปฏิบัติโดยยึดโยงอยู่กับคัมภีร์ ซึ่งมีผู้แย้งแนวปฏิบัติว่าเป็นการตีความตามอรรถาจารย์ที่บัญญัติ
ภายหลังซ่ึงไม่ใช่ต้นฉบับด้ังเดิมประการใด ซ่ึงแม้จะมีคณะสงฆ์ในสายหลวงพ่อชา ท้วงติงก็ไม่มีผลเป็นการ
เปล่ียนแนวการตีความหรือปฏิบัติ จึงมีผลให้เป็นการขับออกจากหมู่กลุ่มในสายวัดหลวงพ่อชา ดูรายละเอียดใน
[ออนไลน์] แหลง่ ท่มี า : http://www.watnapahpong.org/index.aspx (๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔).

๔ แนวคิดการตีความของวัดสามแยกเท่าที่สังเกตจะพบว่า เป็นแนวคิดท่ีต้องการเป็นอิสระจากรัฐ
(ในความหมายของการควบคมุ จากรัฐบาลสงฆท์ ่มี าพรอ้ มกฎหมาย ท่ีเรียกว่า พ.ร.บ.สงฆ์) และมาพร้อมกับทุน ซ่ึง
หมายถึงการรับเงินรับทอง หรือการน้าเงินทองไปใช้ รวมไปถึงการระดมทุนผ่านรูปแบบต่าง ๆ ที่ท้าให้ระบบ
คณะสงฆเ์ ปลีย่ นไปและเจตนารมณ์บางอย่างต่อความเป็นพระพุทธศาสนาเปลี่ยนไป การตีความโดยยึดยืนอยู่กับ
ฐานคิดของคัมภีร์เป็นเครื่องรองรับการคิด การตีความนั้น และมีนัยยะของการต่อต้านต่อวั ฒนธรรมทาง
พระพุทธศาสนาที่เปล่ียนไปจึงเป็นแนวคิดของการตีความท่ีความหมายถึงการต่อต้านรัฐ ดูใน [ออนไลน์]
แหลง่ ที่มา : http://www.samyaek.com/ (๘ มิ.ย. ๒๕๕๔).

๑๗๘

ชาวพทุ ธที่ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบท้ังในส่วนของข้อวัตรและหลักค้าสอนท่ีนัยหนึ่งอาจ
ให้ค้าอธิบายและตีความท่ีแตกกัน วัดสามแยก วัดนาป่าพง วัดพระธรรมกาย วัดถ้ากระบอก
สันติอโศก ล้วนเป็นภาพความขัดแย้งในเชิงหลักการทางพระธรรมวินัย ข้อกฎหมาย การตีความ
วัตรปฏิบตั ิ และทศั นะในการปฏบิ ัติตาม “มติ ทิ างพระพุทธศาสนา” ภาพของความขัดแย้งเหล่าน้ี นัย
หนึ่งเป็นการตรวจสอบหรือกระบวนการตรวจสอบในฐานะพุทธบริษัทพึงเข้าถึงและเข้าใจต่อ
ประเด็นทางศาสนา ในเวลาเดียวกันภาพความขัดแย้งนี้ กลายเป็นการบั่นทอนพระพุทธศาสนาใน
องค์รวมด้วย ดังนั้นภาพเหล่าน้ี จึงเป็นความขัดกันของรัฐในฐานะผู้ปกครอง กับศาสนา หรือกลุ่ม
ทางศาสนาที่เป็นความเคล่ือนไหว ท่ีมีมิติของรัฐต่อศาสนา หรือรัฐในฐานะผู้อุปถัมภ์คุ้มครอง
ศาสนาในตัวด้วย

ก) ความขัดแย้งระหวา่ งรฐั ตอ่ การปฏิบัตแิ ละไมป่ ฏบิ ตั ิตามหลกั ศาสนา
หมายถึงการที่รัฐ หรือผู้มีอ้านาจในรัฐ มองปรากฏการณ์ทางศาสนา จากฐานะของชน
ช้ันปกครอง ที่มองปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม ที่จะเป็นการสนับสนุน และ/หรือห้ามปรามไม่
สง่ เสรมิ โดยมีเป้าหมายเพอ่ื “สันตสิ ุข” ในสงั คมองค์รวม ที่ไมเ่ ฉพาะกลุม่ ศาสนาเทา่ น้ัน ดังกรณีใน
อดีต เมื่อองค์กรคณะสงฆ์อ่อนแอ พระสงฆ์ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เกิดการปฏิบัติผิดศีล
ตีความผดิ ส่งผลเป็นความไม่ม่ันคงต่อรัฐ อันจะเป็นสาเหตุน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลง เม่ือเป็นดังนั้น
รัฐในฐานะเป็นผู้ปกครอง จะเข้าไปมีบทบาทในการจัดการ ก้ากับ ควบคุม ส่งเสริมให้เกิดการ
ปฏิบัติท่ีสอดคล้องกับพระธรรมวินัย ดังกรณีท่ีรัฐไทยในสมัยพระนารายณ์ เข้าไปควบคุม
สนับสนุนส่งเสริมพระสงฆ์จนได้ชื่อว่า เป็นพระราชาผู้อุปถัมภ์สนับสนุนพระพุทธศาสนาอีกท่าน
หน่ึงในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไทย๕ พระเจ้าตากสิน กับบทบาทของ “ผู้ปกป้องและ
อุปถัมภ์” และพระพุทธศาสนา การตรากฎหมายในสมัยรัชกาลท่ี ๑ ท่ีมีความหมายร่วมในการ

๕เหตุการณ์ภายนอก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ดังมีเหตุการณ์ในสมัย
พระนารายณ์ ท่ีมีนโยบายเปิดกว้างและส่งเสริมทุกศาสนา แต่มุมหน่ึงถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักร และ
พระพุทธศาสนา ดังนั้นการท่ีพระเพทราชา ปฏิวัติยึดอ้านาจต่อพระนารายณ์จึงไม่มีผู้ใดคัดค้าน ท้ังจากฝ่ายพระ
และขุนนาง ซึ่งเพราะความรู้สึกมนั่ คง “ท้ังการเมือง และการศาสนา” ท่ไี ด้รบั หลงั การยึดอ้านาจนั้น ดังปรากฏข้อมูล
ว่า “...พระภิกษุสงฆ์จะมองดูพระเพทราชาว่า เป็นผู้มากอบกู้พระศาสนา ในสายตาของบรรดาขุนนาง เขาได้
กลายเป็นผู้จงรักภักดีต่อบ้านเมือง ผู้ปลดปล่อย ให้ประเทศเป็นไทจากชาวต่างชาติ และประชาชนจ้านวนมากก็
พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงเพ่ือส่ิงใหม่...” ดูรายละเอียดใน นันทนา ตันติเวสส, “ภาคผนวก จ : ประวัติของคอน
สแตนติน : History of Constantin Phualcon”, ใน เซอร์จอห์น เบาร์ริง, ราชอาณาจักรและราษฏร์สยาม : The
Kingdom and People of Siam, (กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ ิโครงการตา้ ราสังคมศาสตรแ์ ละมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๗),
หน้า ๓๘๒.

๑๗๙

“ป้องกันขอบขัณฑ์สีมา” พระพุทธศาสนาด้วย การมองวชิรญาณภิกขุของรัชกาลท่ี ๓ ต่อ
ปรากฏการณ์ของธรรมยุติกนิกาย รวมไปถึงการล้อมปราบ “กบฏผีบุญ” ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ท้ัง
สัมพันธ์ไปถึงการติดคุกของครูบาศรีวิชัยที่มีพฤติกรรมเสมือนคุกคามรัฐผ่านพฤติกรรมความเชื่อ
ทางศาสนา การทร่ี ฐั มองพุทธทาส กับยคุ สมัยที่ตอ้ งเผชญิ หน้ากันทางอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ การที่
รัฐเข้าไปมีส่วนในการฟ้องร้องทางกฎหมาย หรือการท่ีรัฐสร้างกฎหมายท่ีเปิดช่องให้ฟ้องร้องด้วย
กฎหมาย ต่อส้านกั สนั ตอิ โศก และธรรมกาย พฤติการณเ์ หล่านจี้ ดั เป็นความขัดกันในอุดมการณ์ของ
รัฐ กับกลุ่มขบวนการทางศาสนา ซ่ึงเป็นได้ทั้งความผิด/หรือไม่ใช่ แต่ผลที่ปรากฏก็คือ รัฐกับ
ศาสนาไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นในการก้ากับ ถ่วงดุลกันและกัน หรืออาจมีความหมายของการเข้าไปควบคุม
กลุม่ เคลอ่ื นไหวทางพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน

ข) ความขัดกันระหว่างการปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ัยกับกฎหมาย
เหตุการณ์ที่ส้านักสันติอโศก ถูกฟ้องร้องทางกฎหมายในนามของรัฐ ผ่าน กฎหมาย
พ.ร.บ.สงฆ์ ๒๕๐๕ ฉบบั แก้ไข ๒๕๓๕ ในวตั รปฏิบตั ิทางศาสนาที่เกิดขน้ึ ภายใต้การตีความ ทั้งใน
เร่ืองวตั รปฏิบัติ และการตีความค้าสอน ประเด็นคือวัตรปฏิบัติท่ีแตกต่างจาก “ศาสนา” ที่ได้รับการ
ยอมรับโดยรัฐ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายต่อระบบสมณศักด์ิ ที่ในทางพระธรรมวินัยใช้ระบบ
อาวโุ สโดยพรรษา แต่มิใชใ่ นทางกฎหมาย๖ ซ่ึงกรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดข้อขัดแย้งของคณะสงฆ์
ดงั เช่นพระปา่ ศษิ ยห์ ลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโณ น้าคณะมาคัดค้านการแต่งต้ัง ประธานผู้ปฏิบัติ
หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ผู้อาวุโสโดยระบบสมณศักด์ิ๗ ท่ีเป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่อาวุโสโดย
อายุพรรษาตามพระธรรมวินัย เป็นต้น สะท้อนความขัดกันของกฎหมายกับ พระธรรมวินัย อันเป็น
ผลเนือ่ งตอ่ ของกลมุ่ ทางพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยด้วย

ค) เกณฑ์ในการบังคบั พระธรรมวินัยอย่างเป็นระบบ
ความขัดกนั ประการหนง่ึ ทีเ่ กิดข้ึน คอื แนว เกณฑ์ วิธกี ารให้การตีความหลักค้าสอนทาง
พระพุทธศาสนา ซึ่งอาจต้ังอยู่บนภาวะอัตตวิสัยของผู้ก่อตั้ง (ก) เกณฑ์มาตรฐานพระธรรมวินัย
กลา่ วคือ เมื่อคราวพระพทุ ธศาสนาถูกตีความผ่านความเป็นปัจเจกของเจ้าส้านัก /ผู้ก่อตั้ง ซ่ึงเป็นไป
ตามสภาพพื้นความรู้ของผู้ตีความ และศิษย์ผู้สนับสนุนหรือนับถือ เม่ือเกิดกรณีพิพาทในการ
ตีความ จึงเกิดความสับสนวา่ ใครผดิ ใครถกู ซงึ่ ต่างฝา่ ยต่างมผี นู้ บั ถือตามแนวของตน

๖ “เสวนาเร่ืองเจาะลึก...พ.ร.บ.สงฆ์ ทธี่ รรมศาสตร”์ , [ออนไลน]์ ,แหลง่ ทม่ี า :
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/004957.htm (๒๒ กันยายน ๒๕๕๔).

๗ พระศรีปรยิ ตั โิ มลี (สมชัย กุสลจติ โฺ ต), พทุ ธศาสตรร์ ว่ มสมัย, (กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗), หน้า ๙-๙๙.

๑๘๐

๔.๕ ผลตอ่ คณะสงฆ์
ปรากฏการณ์ต่อคณะสงฆ์ในภาพรวม ของกลุ่มพระพุทธศาสนาใหม่ หรือใน

ความหมายคือพระพุทธศาสนากลุ่มต่าง ๆ ได้ก่อให้เกิดภาพลักษณ์และพัฒนาการในการ
ปรบั เปลี่ยนต่อพระพุทธศาสนา และองคก์ รพระพุทธศาสนาในภาพรวม ซึง่ จ้าแนกได้ดงั น้ี

๔.๕.๑ องค์กรปกครองคณะสงฆ์
คณะสงฆ์หรือองค์กรไร้ความสามารถในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามเป้าหมายได้
ท้าให้เกิดปัญหา และก่อให้เกิดข้อโต้แย้ง รวมไปถึงการปฏิบัติต่างจากหลักพระศาสนา อาทิ ส้านัก
ตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ข้ึนและมีเอกลักษณ์พิธีของตัวเองจนก่อให้เกิดความแปลกแยกแตกต่างอย่างปรากฏได้
ชัดเจนยิ่งขึ้น ท้าให้เกิดปัญหาในการปกครอง การควบคุม พัฒนาและตรวจสอบ กรณีส้านัก
สนั ติอโศกท่ีประกาศแยกตัวออกจากการควบคุมของคณะสงฆ์ไทยและกฎหมายคณะสงฆ์ ในส่วน
สา้ นักธรรมกายแมไ้ ม่ได้ประกาศแยกตัวอยา่ งชัดเจน แต่ความเปน็ เอกภาพของกลุ่ม การขับเคล่ือนที่
ไดท้ งั้ เชิงลึก และกว้าง ทงั้ ยงั มีผลตอ่ การขับเคล่ือนอยา่ งเป็นระบบกว่า ยงั คงมีพลังและพัฒนาการใน
เชงิ สังคมอยา่ งสูง ในความหมายหน่งึ องค์กรการปกครองคณะสงฆ์จึงเป็นเพียงต้าแหน่งแห่งที่ ที่ไม่
สามารถเข้าไปจัดการอะไรได้ การโต้แย้งของกลุ่มเพศวิถีภิกษุณีท่ียังหาบทสรุปไม่ได้ ในเชิงการ
บริหาร ไม่นับรวมส้านักอื่น ๆ ท่ีมีลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับพระธรรมวินัย แต่กลไก และ
เครื่องมือของคณะสงฆ์ก็ไม่สามารถที่จะน้าไปสู่การตรวจสอบ ถ่วงดุล หรือแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน
ดงั กรณกี ารระดมทนุ แบบพุทธที่ไมไ่ ด้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ซ่ึงมีให้เห็นจ้านวนมาก หรือ
ใหค้ า้ อธิบายเพมิ่ ต่อปรากฏการณใ์ นทางพระพุทธศาสนาในภาพรวมได้ การปกครองคณะสงฆ์ จึง
เป็นท้ังความอ่อนแอ และปรับตัวไม่ทันต่อพัฒนาการทางสังคม ท่ีมีพลวัฒน์อย่างต่อเนื่องและก้าว
ไปขา้ งหนา้ ตลอดเวลา

๔.๕.๒ ความเปน็ ปัจเจก
การเป็นองค์กรเล็กในองค์กรใหญ่เกิดข้ึนจ้านวนมาก ดังทัศนะของพระไพศาล วิสาโล
และนิธิ เอียวศรีวงศ์ ท่ีมองว่า การเกิดข้ึนของกลุ่มพระพุทธศาสนาต่าง ๆ จ้านวนมาก ได้ส่งผลเป็น
ความแตกตา่ งทง้ั ในวตั รปฏิบตั ิ คา้ สอน ท่ไี ม่ขดั เฉพาะองค์กรปกครองคณะสงค์เท่านั้น แต่ยังขัดแย้ง
กับพระธรรมวินัยด้วย ท่ีภาพลักษณ์ประหน่ึงอยู่ภายใต้องค์กรปกครองคณะสงฆ์เชิงโครงสร้าง
ภายใต้การครอบง้าโดยรัฐผ่านระบบกฎหมาย แต่มีความเป็นปัจเจกมากข้ึน เช่น ธรรมกาย
สวนโมกข์ ส้านักสงฆถ์ ้ากระบอก และเกจิคณาจารย์อีกหลายท่าน ที่ภาพหน่ึงเหมือนอยู่ภายใต้คณะ
สงฆ์ด้วยรปู ทรง สบงจีวร แต่ในเวลาเดยี วก็มีการตคี วามหลักการทางพระพุทธศาสนาที่ผิดแปลกไป
มีการให้ค้านิยามต่อทัศนะทางพระพุทธศาสนาที่ต่างไป กรณีวัดสามแยกต่อการตีความเรื่อง

๑๘๑

พระพุทธรูปและการถวายเงิน การตีความเร่ือง “สัจจะ” ของส้านักสงฆ์ถ้ากระบอก การปรากฏตัว
ของสันติอโศกท่ีภัทรพร สิริกาญจน์ มองว่าเป็น “กลุ่มพระพุทธศาสนานอกจารีต”๘ ท่ีมีแนวคิดต่อ
การขับเคลือ่ นท้ังระบบเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรม รวมท้ังการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่าง
เปิดเผย การให้ค้าอธิบายต่อปรากฏการณ์ของการปรากฏตัวต่อสาธารณะของวัดผู้ดูแลเอดส์๙ ท่ี
ท้างานในเชิงปจั เจก มไิ ด้มีภาพลักษณ์ขององค์คณะสงฆแ์ ต่ประการใด เปน็ ตน้

๔.๕.๓ ความแตกแยก
ปรากฏการณ์ทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอันเน่ืองต่อจากความเป็ นพุทธที่
หลากหลายได้ก่อให้เกิดความแตกแยก เห็นต่าง และบ่อยครั้งเป็นการวิวาทะ สอดคล้องกับทัศนะ
ของสมภาร พรมทา ท่ีมองว่า บ่อยครั้ง “ส้านักต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาก็เห็นไม่ตรงกัน และ
บางครั้งอาจก่อการวิวาทกันระหว่างคนที่นับถือศาสนา”๑๐ และในความแตกแยกน้ี กลายเป็นการ
แสดงออกทางศาสนาในภาพลักษณ์ที่ตนเองพึงใจ ที่เห็นได้ชัด เช่น กรณีของส้านักสวนโมกข์ ท่ี
ก่อให้เกิดความเห็นท่ีหลากหลายและการให้ค้าอธิบายต่อการให้ธรรมะท่ีแตกต่างกัน กระทั่งมีการ
โต้แย้ง วิวาทะและกล่าวหาในภายหลัง ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าส้านักสันติอโศก ที่ต้องคดีความและ
การแตกแยกทางสังคมคณะสงฆ์น้าไปสู่การประกาศแยกตัวจากการปกครองคณะสงฆ์ ธรรมกาย
ถงึ ไม่ได้แยกเป็นนิกาย แต่ท้าให้เกิดกระแสวิพากษ์ในวงกว้าง ในแนวค้าสอน การตีความและวัตร
ปฏิบัติอื่น ๆ จนกระทั่งน้าไปสู่การด้าเนินคดีทางกฎหมายบ้านเมืองในเวลาต่อมา หรือการตีความ
ของพระมโน เมตตานนฺโท ถึงจะเป็นเพียงงานวิชาการที่สะท้อนทัศนะทางวิชาการแต่ก็ได้ก่อให้เกิด
ความแตกแยกและวิวาทะ จนเป็นเหตุร่วมท่ีท้าให้ท่านมโนต้องลาสิกขาจากเพศบรรพชิตไป หรือ
แม้กระทั่งการตีความหรืออธิบายธรรมของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จะเป็นการตีความ
ภายใตต้ วั บทในทางพระพุทธศาสนาท่ีปราชญ์และท่านผู้รู้ให้การยอมรับ ก็เป็นกรณีโต้แย้งกับส้านัก
ท่ีได้รับการวิพากษ์จากท่าน ท้ังสันติอโศก ธรรมกายและกลุ่มเพศวิถีก็ตาม ส้าหรับกลุ่มเพศวิถี
ภาพลักษณ์ของภิกษุณีท่ีปรากฏในสังคมไทย กรณีของนรินทร์ ภาษิตกับบุตรสาวท้ังสอง ภิกษุณี
ธรรมนันทา และท่านพรหมว้โส พระชาวต่างชาติศิษย์หลวงพ่อชา ซึ่งเป็นกรณีล่าสุดแต่ประเด็นของ
ความแตกแยกทางความคดิ ตอ่ ประเด็นของการตีความพระธรรมวินัยต่อกรณขี องกลุ่มเพศวิถโี ดยตรง

๘ ภัทรพร สิริกาญจน์. พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เอกภาพในความหลากหลาย ,
(กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท มิสเตอร์ก๊อปปี้ (ประเทศไทย) จา้ กัด, , ๒๕๕๓), หนา้ ๕๑-๙๙.

๙วดั พระบาทนาพ,ุ [ออนไลน]์ ,แหลง่ ทีม่ า : http://phrabatnampu.org/, (๒๒ กันยายน ๒๕๕๔).
๑๐ สมภาร พรมทา, “คนของเส้นขอบฟา้ ”, สานแสงอรณุ , ปีที่ ๑๓, ฉบบั ท่ี ๑ : ม.ค-ก.พ. ๒๕๕๒
[ออนไลน]์ ,แหลง่ ท่มี า http://www.oknation.net/blog/sarnsaeng-arun/2009/04/30/entry-1: [๑๒ พ.ค. ๕๓].

๑๘๒

ในการระดมทนุ แบบพุทธ หรือกลมุ่ ไสยอิงค์พทุ ธ ดเู หมือนจะแนบสนิทกับสังคมไทยที่
ภัทรพร สิริกาญจน์ ให้ค้านิยามว่าเป็นศาสนาแบบประชานิยม ที่คนส่วนใหญ่นิยมและตอบสนอง
ความพึงใจในภาพรวมได้ดี แต่เมื่อมีการน้าหลักการทางพระพุทธศาสนามาอธิบาย ก็จะเห็น
ความหมายที่แตกต่างไป ดังปรากฏในงานของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
พระธรรมโกศาจารย์ (ปญั ญานนั ทะ) ฯลฯ รวมไปถงึ ทศั นะของ บญุ ทัน ดอกไธสง๑๑ ท่ีมองการสร้าง
ถาวรวัตถุที่ไปสัมพันธก์ ับการระดมทุนของกลุ่มวตั ถมุ ฤี ทธ์ิอยา่ งมนี ัยทว่ี า่

การสร้างโบสถ์ วิหาร หรือฝังลูกนิมิต ซึ่งสมัยโบราณเรียกว่าเสมานั้น เป็นการกระท้าที่เกิน
กว่าเหตุ เพราะทุกข์เร่ืองของการท้าบุญนั้น เป็นการสร้างเกินขอบเขต บางวัดสนใจ ตัวโบสถ์
วิหาร เจดีย์ ก้าแพงวัดมากมากกว่าการพัฒนาชีวิตจิตใจของคน จนมีหลายท่านกล่าวว่า การ
กระทา้ ดงั กล่าวพระภิกษุได้กลายเปน็ นกั วตั ถุนิยมไป

โดยสรุปวัตถุนิยม ได้เข้ามามีผลต่อการก้ากับชาวพุทธกลุ่มหนึ่งในการระดมทุน ด้วย
วิธีการต่าง ๆ ที่ประหน่ึงฉาบทาด้วยพุทธสัญลักษณ์ของการตื่นรู้ แต่สอดไส้ด้วย “ไสย” ที่เป็น
ลกั ษณะของการหลับไมร่ ้ตู นื่ ดังนัน้ ความแตกแยกทางความคิดในลักษณะต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นและเป็น
พัฒนาการในวงกว้าง ท้ังการแตกแยกทางความคิด นิกาย และการตีความ รวมท้ังวัตรปฏิบัติใน
ฐานะศิษยม์ ีอาจารย์ หรือเปน็ ไปตามวตั รปฏบิ ัติของครูอาจารย์ในส้านกั นน้ั ๆ

๔.๖ ผลตอ่ สังคมในภาพรวมของปรากฏการณ์ของขบวนการพทุ ธใหม่
พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยในสภาพปจั จบุ ัน จะมีสภาพที่เกิดขึ้นหลากหลาย ปรากฏ

ต่อสาธารณะในวงกว้าง ด้วยการขับเคล่ือนของแต่ละหมู่กลุ่มในเชิงปัจเจกของกลุ่มอย่างเป็นเอกภาพ
ในเวลาเดยี วกันการขับเคล่อื นนน้ั กไ็ ด้ส่งผล ท่ีอาจจ้าแนกได้ดังนี้

(๑) เกิดววิ าทะ-ขอ้ ขดั แยง้ ทางสงั คม เช่นกรณี สันติอโศกไม่เป็นพระ (ตามพระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์ และภายใต้สังกัดมหาเถรสมาคม-ผู้เขียน) ธรรมกาย “นิพพาน อัตตา-อนัตตา” วัตถุมงคล
พุทธพาณิชยไ์ ม่ใช่พระพุทธศาสนา ปฏิบัติแนวสติปัฎฐาน ๔ เป็นกรรมฐาน แนวปฏิบัติวัดปากน้าเป็น
สมถะ ไสยศาสตร์ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ผีไม่ใช่พุทธ เคร่งไม่เคร่ง สรุปก็คือประเด็นของความแปลก
แยก กลายเป็นข้อพิพาท วิวาทะโต้แย้งบ่อยคร้ัง ถึงแม้จะไม่มีผลการเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยตรง แต่ก็
กลายเป็นความขัดแย้งท่ีมอี ยลู่ ึก ๆ ในจติ ใจ จนเป็นเหตุและผลของความแตกแยก อย่างท่ีปรากฏให้เห็น
อย่ใู นวงกวา้ ง

๑๑ บุญทนั ดอกไธสง, การบริหารเชิงพทุ ธ (กระบวนการทางพฤติกรรม), (กรงุ เทพมหานคร :
บพธิ การพิมพ,์ ๒๕๒๘), หน้า ๓๓๑.

๑๘๓

การโต้แยง้ เกดิ ขึ้น ในเงอื่ นไขตา่ งกรรมตา่ งวาระกัน เปน็ การโต้แย้งผ่านแนวคิด พฤติกรรม
และคา้ สอน เชน่ การโต้แยง้ วิธีการอธบิ ายธรรม ของพุทธทาส ของคึกฤทธิ์ ปราโมช บญุ มี เมธางกูร๑๒
อนันต์ เสนาขันธ์ เปน็ ตน้

งานเขียนแนวท่ีก่อให้เกิดการโต้แย้ง หรือขัดแย้งต่อหลักการ อาทิ ผลงานของ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ในการช้ีแจงในประเด็นทางพระธรรมวินัย ข้อเท็จจริง หลักการ
ความคิด และชดุ เหตุผลตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ในสังคม ดังปรากฏในกรณีของธรรมกาย สันติอโศก และกรณี
เหตุเกิดของพระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยอะไรของท่านมโน เมตฺตานนฺโท เหตุการณ์เหล่านี้ล้วน
สะท้อนความขัดแย้งท่ีเกิดท้ังในส่วนของการตีความ แนวคิด หลักปฏิบัติ และอุดมการณ์ต่อการ
ปฏิบัติในสังคมไทย รวมไปถึงงานแนวสตรีศึกษาท่ีนัยหนึ่งเป็นการโต้แย้งต่อหลักปฏิบัติในทาง
พระพุทธศาสนา อีกความหมายหน่ึงเป็นการแสวงหาพ้ืนที่ท่ีสัมพันธ์กับแนวคิดสิทธิทางเพศ การ
ยอมรบั รวมไปถึงการแสดงทัศนะค้าอธิบายทางพระพุทธศาสนา เช่น แนวคิดพุทธบริษัท ๔ จึงเป็น
เหตุผลที่ส้าคัญต่อการมีสตรีเพศในฐานะที่จะท้าบริษัทให้เต็ม ดังปรากฏในงานของระเบียบรัตน์
พงษ์พาณิชย์ (การปะทะกันของความรู้ระหว่างปิตาธิปไตยกับสตรีนิยมต่อการสถาปนาภิกษุณี
ในประเทศไทย)๑๓ ของพลเผ่า เพ็งวิภาศ (ศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์จากการมีภิกษุณีใน
สังคมไทย)๑๔ พรหมโชติ ไตรเวช (ทัศนคติต่อบทบาทของตนเอง ในการพัฒนาสังคมของแม่ชี

๑๒ บุญมี เมธางกูร. โต้ท่านพุทธทาส เรื่องจิตว่าง เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร : สุทธิสารการพิมพ์,
๒๕๒๒).หน้า ๔-๘ ประเด็นการโต้แย้งต่อวิธีการตีความของหลวงพ่อพุทธทาส อาทิ (ก) อภิธรรมไม่ใช่
พุทธพจน์ (ข) แนวคดิ เรื่องจติ ว่าง (ค) วปิ สั สนาของพุทธทาส กับวิปัสสนึก (ง) แนวคิดและธรรมะส่วนใหญ่ตรง
ขา้ มกับพระไตรปิฎก เปน็ ตน้ .

๑๓ แนวคิดที่ปรากฏในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยมองไปถึงความขัดแย้งต่อกลุ่มคิด ๓ กลุ่ม ๑). กลุ่มที่มีการ
ถา่ ยทอดความรเู้ กยี่ วกบั ภกิ ษุณี โดยมฐี านความคิดแบบปิตาธิปไตย ทย่ี ืนยนั ในอ้านาจทีเ่ หนอื กวา่ ของผชู้ ายและคัด
คัดค้านการมีของภิกษุณี ๒). กลุ่มท่มี ีการถา่ ยทอดความรู้ เกยี่ วกบั ภกิ ษุณีโดยการใช้ความรู้แบบสตรีนิยม ที่เช่ือใน
ศักยภาพที่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงในด้านต่าง ๆ และสนับสนุนให้มีภิกษุณี ๓). กลุ่มท่ีไม่มีการถ่ายทอด
ความรู้เก่ียวกับการสถาปนาภิกษุณีท่ีชัดเจนว่ามีรากฐานทางความคิดแบบปิตาธิปไตยหรือสตรีนิยม การปะทะ
ทางความคิดปรากฏอยู่ใน ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) พุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า (๒) พระธรรมวินัย (๓)
ความส้าเร็จของการบวช (๔) สิทธิเสรีภาพและศักยภาพท่ีเท่าเทียมระหว่างชาย-หญิง (๕) สภาพสังคมและการ
ยอมรับของสังคมไทย ดูรายละเอียดเพ่ิมใน ระเบียบรัตน์ พงษ์พาณิชย์, “การปะทะกันของความรู้ระหว่าง
ปิตาธิปไตยกับสตรีนิยมต่อการสถาปนาภิกษุณีในประเทศไทย”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สตรี
ศึกษา), (ส้านักบัณฑติ อาสาสมคั ร, มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์,๒๕๔๖), หน้า บทคดั ย่อ.

๑๔ พลเผ่า เพ็งวิภาศ, “ศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์จากการมีภิกษุณีในสังคมไทย”, รายงานการศึกษา
อิสระศิลปศาสตรมหาบัณฑติ (ปรัชญา), (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยขอนแก่น,๒๕๔๘).

๑๘๔

ไทย)๑๕ สุขใจ พุทธวิเศษ๑๖ (สถานภาพและบทบาทของ แม่ชีในสังคมไทย ศึกษากรณีวัดสร้อยทอง)
และประคอง สิงหนาทนิติรักษ์๑๗ (บทบาทของแม่ชีไทยในการพัฒนาสังคม) สมชาย ไมตรี และ
คณะ๑๘ รวมท้ังเหตุผลในการตัดสินใจท่ีจะบวชเป็นแม่ชีท่ีปรากฏในงานประเสริฐ ทองเกตุ ๑๙(เหตุผล
ของการตัดสนิ ใจบวชชแี ละความต้องการการศึกษาของแม่ชีไทย) โดยงานวิจัยท่ีน้ามากล่าวอ้าง ถึงแม้
จะเป็นการวิจัยในเชิงวิชาการแต่สิ่งหนึ่งท่ีสะท้อนให้เห็นคือทัศนะความจริงที่ บ่งบอกถึงความเป็น
ฝักฝ่าย โดยมีผลคาดหวังในการขับเคล่ือนอยู่กลาย ๆ และในอีกความหมายหนึ่งเป็นการขัดแย้ง ใน
ทัศนะการให้ค้าอธิบายและตีความต่อประเด็นเพศวิถีอยู่ ทัศนะเหล่าน้ีนัยหน่ึงเป็นการเห็นด้วย อีกนัย
หนึ่งเป็นการโต้แย้ง หรืออธิบายแย้งให้เห็นข้อเท็จจริง แต่ในเวลาเดียวกันพฤติการณ์เหล่านี้ได้ส่งผล
เป็นความเห็นต่าง และการอธิบายรวมท้ังน้าไปสู่การปฏิบัติต่าง จนก่อให้เกิดภาพลักษณ์ท่ีขัดกันใน
สังคมเช่นข้อโต้แย้งเรื่อง “ผิดศีล-แต่ไม่ผิดธรรม” หรือผิดกฎหมายมหาเถรสมาคม แต่ไม่ผิดบัญญัติ
วินัย” เปน็ ตน้

(๒) เกิดการสร้างความเชื่อนอกคาสอนพระพุทธศาสนา๒๐ การสอนให้เช่ือในการร้องขอ
อ้อนวอน และอ้านาจแฝงจากวัตถุมีฤทธิ์ เช่น เช่ืออิทธิฤทธ์ิจากวัตถุมีฤทธ์ิ การสอนให้เช่ือจากส่ิงที่อยู่
นอกเหนอื ตน อิทธฤิ ทธิป์ าฏหิ าริย์ ครอู าจารย์ เจ้าส้านกั เปน็ ตน้

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ไดส้ ะทอ้ นทัศนะในประเด็นน้ีวา่ การนบั ถอื อ้านาจเร้น
ลับดลบันดาลน้ัน ท้าให้คนหวังพึ่งส่ิงภายนอก ไม่เพียรพยายามท้าการด้วยตนเอง มัวแต่คิดอ้อนวอน

๑๕พรหมโชติ ไตรเวช, “ทัศนคติต่อบทบาทของตนเอง ในการพัฒนาสังคมของแม่ชีไทย : ศึกษา
เฉพาะกรณีจังหวัดราชบุรี”, วิทยานิพนธ์สังคมสังเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, (คณะสังคมศาสตร์ :
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๓๕).

๑๖ สุขใจ พุทธวิเศษ, “สถานภาพและบทบาทของ แม่ชีในสังคมไทย ศึกษากรณีวัดสร้อยทอง”,
วิทยานพิ นธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบณั ฑติ (สค.ม.), (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๗).

๑๗ ประคอง สิงหนาทนิติรักษ์, “บทบาทของแม่ชีไทยในการพัฒนาสังคม”, วิทยานิพนธ์สังคม
สงเคราะหม์ หาบณั ฑติ , (คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๑๖), หนา้ บทน้า.

๑๘ สมชาย ไมตรี, พระครูปลัดเชี่ยว ชิตินฺทฺริโย, เสรี แก้ววรรณา, การศึกษาความเป็นไปได้ของการ
บวชภิกษุณีในประเทศไทย : = A Study of feasibility of Bhikkhuni ordination in Thailand, (กรุงเทพมหานคร
: สถาบนั วจิ ยั พุทธศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณร์ าชวิทยาลยั , ๒๕๔๖).

๑๙ ประเสริฐ ทองเกตุ, เหตุผลของการตัดสินใจบวชชีและความต้องการการศึกษาของแม่ชีไทย”,
วิทยานพิ นธ์การศึกษามหาบณั ฑติ (บริหารการศกึ ษา), (บัณฑิตวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๔).

๒๐ หลักพระพุทธศาสนาสอนให้เช่ือในเร่ืองของ (๑) กรรม (๒) ผลของกรรม (๓) กรรมเป็นสัตว์
และมนษุ ย์ (๔) การสอนให้เชอ่ื ในเรอ่ื งกรรมเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพิ่มเติมใน พระธรรมปิฏก (ป.อ.
ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมศพั ท์พุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๒).


Click to View FlipBook Version