The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย/พลอยบุตร). (2554). การศึกษาเชิงสำรวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย - A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand. สารนิพนธ์ของการศึกษา รายวิชาสัมมนา พระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2554

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by raphind, 2022-04-20 20:31:54

A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand

พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย/พลอยบุตร). (2554). การศึกษาเชิงสำรวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย - A Survey Study on New Buddhist Movements in Thailand. สารนิพนธ์ของการศึกษา รายวิชาสัมมนา พระพุทธศาสนากับวิทยาการโลกยุคใหม่ ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2554

บทท่ี ๓

พฒั นาการขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย

ขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทยมีพัฒนาการ ของแต่ละกลุ่มตามเหตุผลและแนว
ปฏิบัติของกล่มุ นั้น ๆ มลี กั ษณะการเกดิ ข้ึนเป็นไปตามบทศึกษาท่ี ๒ อาทิ แนวคิดในเชิงปัจเจก การ
ตีความ ทุน การระดมทุน รวมไปถึงการปรับตัวเพ่ือรองรับกระแสการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่
ละช่วงเวลา โดยมีลกั ษณะสนองตอบความพึงใจของศาสนิกผู้นับถือเฉพาะกลุ่มนั้น ๆ โดยในแต่ละ
กลุ่มขบวนการพุทธในประเทศไทย ล้วนอิงแอบ อาศัยอย่กู ับพระพุทธศาสนา โดยมีผู้ก่อตั้ง หรือเจ้า
สานกั เป็นผกู้ าหนดแนวทางของสานักนั้น ๆ ในบทนี้จะได้ทาการศึกษานี้ ให้นิยามความหมายของ
ขบวนการพุทธใหม่ พร้อมท้ังจัดจาแนกกลุ่ม เพ่ือให้เห็นพัฒนาของแต่ละกลุ่มพระพุทธศาสนาใน
ประเทศไทย เพือ่ ท่ีจะไดเ้ ขา้ ใจและมองเห็นภาพรวม ในพัฒนาการของกลุ่มพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ใน
ประเทศไทย ในมิติท่ีซับซ้อน ต่อเน่ือง เกาะเกี่ยวอยู่กับพระพุทธศาสนาอย่างมีนัยยะสาคัญ ซึ่งอาจ
ใหค้ าอธิบายและจาแนกได้ คือ

๓.๑ ขบวนการพุทธใหม่ในสงั คมไทย

“ขบวนการพุทธใหม่” ท่ีปรากฏในงาน มาเรีย-เลนา เฮกิลา-โฮร์น ใน Buddhism with
Open Eyes : Belief and Practice of Santi Asoke ซ่ึงทาวิจัยเก่ียวกับสันติอโศกและธรรมกาย ซึ่งใน
งานวิจัยดังกล่าว ได้ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการ การก่อตัวของทั้ง ๒ สานัก ที่เกิดข้ึนภายใต้ความขัดแย้ง
ท้ังเป็นเอกเทศ และไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ในทางกลับกันทั้ง ๒ สานักกลับได้รับการ
สนับสนุนจากกลุ่มทุนทางเศรษฐกิจในสังคม สอดรับกับแนวคิดของปีเตอร์ เอ แจคสัน๒ ใน
Buddhist, Legistamation and Conflict, The Political Function of Urban Thai Buddhist ท่ีมองภาพ
ความเคลื่อนไหวของขบวนพุทธใหม่ในประเทศไทยผ่านธรรมกายและสันติอโศกว่า “เป็น
ปรากฏการณ์การเติบโตของชนชั้นกลางใหม่ที่เลือกรับกลุ่มใหม่ มากกว่าท่ีจะรับคณะสงฆ์ท่ีรัฐ

Marja-Leena Heikkilä-Horn, Buddhism with Open Eyes : Belief and Practice of Santi Askok,
(Bangkok : Fah Apai Co.Ltd.1977), p. 46.

๒Peter A. Jackson. Buddhist, Legistamation and Conflict, The Political Functoin of Urban
Thai Buddhist. (Singapore, 1989), pp 9-10.

๘๖

สนบั สนนุ เป็นตวั แทนกล่มุ ชนช้นั สูงและปกครองโดยชนชั้นสูง ในขณะที่คณะสงฆ์ของกลุ่มสามัญชน
คือธรรมกายและสันติอโศกน้ัน สนับสนุนโดยกลุ่มที่อ่อนแอทางด้านการเมือง แต่เข้มแข็งในด้าน
เศรษฐกิจ” ในบทความชื่อ “The New Buddhist Movement in Thailand : An Individualistic
Revolution, Reform and Politic Dissonance ที่เขียนโดยจิม แอล เทเลอร์ ท่ีมองท้ังธรรมกายและ
สันติอโศกคล้าย ๆ กันว่าเป็น “กลุ่มที่วิพากษ์ระบบสังคมไทยอย่างรุนแรง” รวมไปถึงเป็น
“ประดิษฐกรรมส่ิงสร้างของชนชั้นกลาง” อันเนื่องด้วยเหตุผลว่าชนช้ันกลางเป็นสมาชิกของทั้ง ๒
สานัก นอกจากนี้ จิม แอล เทเลอร์ ยังมองเฉพาะในส่วนของสานักสันติอโศกว่า “เป็นกลุ่มท่ี
พยายามเชื่อมต่อระหว่างอดีตและปัจจุบัน เพ่ือหันกลับไปสู่ค่านิยมสังคมแบบชาวพุทธท่ีเคยมีใน
อดีต สู่การอยู่ร่วมกันเป็นหมู่กลุ่มทางศาสนาโดยรักษาสภาวะปัจเจกบุคคล” ทั้งนี้เขายังมองแบบ
จาเพาะอีกว่า “ ขบวนการสันติอโศกมองตนเองเป็นรูปแบบของสังคมแห่งอนาคต“ นอกจากน้ีใน
บทความของ พระมหาสมพงษ์ สนตฺ จติ ฺโต และพุทธิสาโร ได้ให้นิยาม “ขบวนการพุทธใหม่” ที่มี
ลักษณะการเกิดข้ึน ผ่านปรากฏการณ์ “ใหม่” ในประเทศไทยของกลุ่มพระพุทธศาสนาจนกระทั่ง
เกิดผลเป็นมิติลักษณ์ ๆ อย่างใหม่ที่จาเพาะไปจากเดิม ดังในงานของ โรร่ี แม็คเคนซี๖ เร่ือง New
Buddhist Movment in Thailand : Toward an Understand of Wat Phra Dhammakaya and Santi
Asoke และในงานวิจัยระดับปริญญาเอกของ โรเดอริค แม็คเคนซี ได้ให้ความหมายว่า เป็นการ

Jim L.Taylor.“The New Buddhist Movment in Thailand : An Individualistic Revolution, Reform
and Politic Dissonnance, Journal of Southeast Asian Studies , (March 1990).

Ven.Phra Maha Somphong Santacitto. New Buddhist Movement in Thailand : Mainstream
Socially Engage Buddhism ? in Global Recovery The Buddhist Perspective. The 7th International Buddhist
Conference, 23-25 May 2553/2010, Thailand. pp.369-370.

พุทธิสาโร. “การศกึ ษาเชงิ สารวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย” ใน พระพุทธศาสนากับการ
ฟื้นตวั จากวิกฤตโิ ลก, รวมบทความประชมุ วิชาการทางพระพุทธศาสนานานาชาติ ครั้งที่ เนื่องในวันวิสาขบูชา
วันสาคัญสากลของโลก, ๒ -๒ พฤษภาคม ๒ (กรุงเทพมหานคร : เซน็ จรู ี, ๒ ), หน้า ๘๘-๖ .

๖ Rory Mackenzie, “New Budshist Movment in Thailand : Toward an Understand of Wat Phra
Dhammakaya and Santi Asoke”, pp. 105-115.

Roderick Mackenzie. An Analysis of the Wat Phra Dhammakaya and Santi Asoke Movements
and their Approaches to Spiritual Development A Thesis Submitted in partial fulfillment of the requirement of
the University of for the degree of Doctor of Philosophy. 2005.



ขับเคลื่อนขบวนการกลุ่มท่ีมีภาพลักษณ์แตกต่างไปจากเดิม ในทัศนะของ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา๘ ให้
นิยามของกลุ่มพลงั ทางศาสนาอย่าง “ผีบุญ” เป็นกลุ่มเคล่ือนไหวที่มีมิติทางศาสนา ต่อการขับเคล่ือน
ในตัว และคาน้เี คยถกู นามาใช้เรียก สานักสวนโมกข์ของพุทธทาส และกลุม่ สนั ตอิ โศก

เมื่อพิจารณาในภาพรวม แนวคิดของผู้วิจัยอาจให้คาอธิบายโดยสรุปได้ว่า “ขบวนการ
พุทธใหม่ในประเทศไทย” หมายถึง หมู่ กลุ่ม คณะ ท่ีขับเคล่ือนพระพุทธศาสนาอย่างมี
ความสัมพันธ์กับสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งมีผลต่อสังคมในวงกว้าง ซึ่งเป็นท้ังการ
สนบั สนุน ขดั แยง้ ววิ าทะ การตีความ ใหค้ ่า ให้เหตผุ ลทแ่ี ตกตา่ ง แต่ท้งั หมดเกิดขนึ้ ภายใต้ร่มเงาของ
พระพุทธศาสนา ทั้งเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ตอบรับความเปลี่ยนแปลงในสังคม ไม่อยู่ภายใต้การ
บังคับบัญชาขององค์กรหรือหน่วยงานใดได้ แต่เกิดขึ้นภายใต้ความเป็นปัจเจกเชิงกลุ่ม เพ่ือ
สนองตอบต่อการเปล่ียนแปลงในด้านต่าง ๆ ซึ่งในการศึกษานี้จะได้จาแนกกลุ่มทาง
พระพทุ ธศาสนาในลักษณะตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏในสงั คมไทยผ่านปรากฏการณ์ท่ีเหน็ และสัมผสั ได้ โดย
มีกระบวนการขับเคลอ่ื นอยา่ งเปน็ ระบบ และไม่เป็นระบบ อย่างเปน็ องค์กรและไม่เป็นองค์กร เป็น
ขบวนการกลุ่มภายใต้ความเป็นพระพุทธศาสนา และ/หรืออิงแอบอยู่ก็ตาม ซึ่งสามารถจาแนกและ
จัดกลุ่มได้ผ่านปรากฏการณ์ ความเคล่อื นไหว และการนาเสนอต่อสาธารณะได้ คือ

๓.๒ กล่มุ เพศวิถี (Gender Ways)
กลุ่มเพศวิถี หมายถึง กลุ่มชาวพุทธที่มีแนวคิดเรื่อง ความเป็นเพศ มาเป็นเหตุผล กรอบ

คิดและการแสดงออกอย่างมีส่วนร่วมทางพระพุทธศาสนา ทั้งการนับถือ ปฏิบัติ ท่ีมีมุมมองผ่าน
ความเป็น “เพศ” โดยอาศัยแนวคิด แนวปฏิบัติ และเหตุการณ์จากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ใน
การให้คาอธิบาย ร่วมกับแนวคิดว่าด้วยเพศ ตามทฤษฎีตะวันตก ซึ่งผลที่เกิดขึ้น มีกลุ่มบุคคลได้
ศึกษา สร้างคาอธิบาย ปฏิบัติ ทดลอง ด้วยเช่ือว่าจะตอบสนองกระบวนการแห่งเพศได้ เช่น

๘กบฏผู้มีบุญท่ีสาคัญท่ีสุดเกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ.
๒ -๒ . ดูรายละเอยี ดเพิ่มเตมิ ใน พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล, อจั ฉราพร กมทุ พสิ มยั บรรณาธิการ, ความเช่ือพระ
ศรีอาริย์ และกบฏผมู้ บี ุญในสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : สร้างสรรค์, ๒ ๒ ).

พระอนันต์ เสนาขันธ์, คาสอนเดียร์ถีย์, (กรุงเทพมหานคร : องค์การพิทักษ์พุทธศาสน์ อภิธรรม
มลู นิธ,ิ ๒ ๒๒) และ ภิกษุมหาโจร, (กรงุ เทพมหานคร : บูรพาสาสน์ , ๒ ๒๐).

๘๘

นรินทร์ กลึง ๐ ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ พระโพธิวโส พระภิกษุชาวอังกฤษ เจ้าอาวาสวัดป่าท่ี
ออสเตรเลยี ท่ีใหก้ ารสนับสนุนและจัดบวชภิกษุณี ที่ออสเตรเลยี จนกลายเปน็ ข้อขดั แยง้ ในกลุ่มศิษย์
วัดป่าสายหลวงพ่อชา ๒ และอีกกลุ่มใช้แนวคิดเร่ืองเพศมาขับเคล่ือนประหน่ึงเป็นการส่งเสริม
สนับสนุน หรือควรให้เกิดข้ึน เช่น พระมโน เมตตานันโท ลลิตา ยาวังเสน สุวิดา แสงสีหนาท
โดยทุกท่านให้ความสาคัญต่อการบวชภิกษุณีของพระพุทธเจ้าในคร้ังพุทธกาล โดยมองว่าเป็น
ศาสนาแรกในโลกที่เปิดโอกาสให้กับสตรี รวมทั้งมุ่งมองไปถึงศักยภาพสตรีในการศึกษาปฏิบัติ
ธรรม ดังทัศนะท่วี า่

พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศรับรองศักยภาพทางจิตวิญญาณของผู้หญิงว่าเสมอและทัดเทียม
กบั ผชู้ ายจงึ อนญุ าตให้ผ้หู ญงิ สามารถเปน็ นักบวชได้ เพศสรีระ(sex) และจิตมไิ ด้เป็นอุปสรรค
ต่อการบรรลธุ รรม นัยนแี้ สดงวา่ หญิงและชายมศี กั ยภาพในการบรรลุธรรมทเี่ ทา่ เทียม

ดังนั้น แนวคิดเรื่อง “เพศ” ในบริบททางศาสนาถูกนามาเป็นประเด็นทางสังคม ทั้งมี
พัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แนวคิดสตรีนิยม และสิ่งท่ีเคยเกิดข้ึนในครั้งพุทธกาลมาเป็น

๐นรินทร์ ภาษิต, แถลงการณ์เร่ืองสามเณรี วตั ร์นารีวงศ์, ฉลอง สนุ ทวาณชิ ย์ บรรณาธิการ, พิมพค์ รงั้
ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทพ์ ริ้นติ้ง, ๒ ), หน้า ๐๐- ๒๐ แต่ในบทความของนธิ ิ เอียวศรีวงศ์ “แหม่ม
แอนนากับการเกิดใหม่” ในมติชนสุดสัปดาห์ ( - ธ.ค.๒ , ( ) ๖ : ๒๐) ที่มองเผินว่า ๆ “...เธอเอา
ราชสานักไทยเปน็ กรณตี ัวอยา่ งทชี่ ัดเจนของการกดขีผ่ ู้หญงิ ...”

ดรู ายละเอยี ดใน ภกิ ษุณธี ัมมนันทา, การสบื สายภกิ ษุณสี งฆใ์ นศรลี งั กา, (กรงุ เทพมหานคร : สอ่ ง
สยาม, ๒ ), หนา้ -๒๐.

๒ ท่านได้แปลงานเกี่ยวกับภกิ ษุณเี ปน็ ภาษาไทยและพร้อมจัดพิมพ์เผยแผ่ มีแนวคิดท่ีสนับสนุนการ
บวชภิกษุณี เป็นการส่ือสารสาธารณะกับคนในสังคมไทย อาจตีความได้ว่าท่านสนับสนุนการบวชภิกษุณี ดู
รายละเอียดเสริมใน [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.dhammalight.com/th/th-correspondence.html (๒๒
กนั ยายน ๒ ).

พระมโน เมตตานนฺโท, เหตุเกิด พ.ศ.๑ : เล่ม ๒ วิเคราะห์กรณีปฐมสังคายนาและภิกษุณีสงฆ์,
(กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์พระอาทิตย์, ๒ ), หนา้ -๒ ๐.

สุวิดา แสงสหี นาท. นกั บวชสตรีไทยในพระพุทธศาสนา : พลังขับเคลื่อนคุณธรรมสู่สังคมไทย.
(กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) สานักงานบริหารและ
พัฒนาองคค์ วามรู้ (องค์กรมหาชน), ๒ ๒), หน้า - ๒.

ลลิตา ยาวังเสน, การต่อรองเชิงพ้ืนท่ีของนักบวชหญิง: กรณีศึกษาสามเณรีในสานักปฏิบัติธรรม
หนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
๒ ), หน้า บทคัดย่อ.



เหตุผลในการแสวงหาพ้นื ท่ที างศาสนาของสตรี กรณี นรนิ ทร์ กลึง และฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ กลุ่ม
หนึ่งเป็นกลุ่มที่มุ่งต่อการศึกษาปฏิบัติโดยตรง โดยไม่ได้สนใจความเป็นเพศมากนักเมื่อเทียบกับ
กลุ่มแรก โดยเป็นกลุ่มที่ใช้ความเป็นเพศสตรีกับการปฏิบัติธรรมตามจารีตท่ีเคยมี เช่น การเป็น
อุบาสกิ า หรือการบวชชี เช่น แม่ชศี ันสนยี ์ เสถยี รสตุ ก.เขาสวนหลวง เป็นตน้

สาหรบั กลมุ่ ขบวนการเพศวิถี (Gender Ways)๑ หรือกลุ่มที่ขับเคล่ือนด้วยความเป็นเพศ
โดยเจาะจงไปท่ีเพศ “ภิกษุณี” ปรากฏในสังคมไทยโดยนรินทร์ ภาษิต (พ.ศ.๒ -) ภิกษุณีวรมัย
กบิลสิงห์ และภกิ ษุณธี ัมมนันทา และตอ่ เน่ืองมาจนกระทง่ั ปจั จุบัน ซ่ึงอาจจาแนกและอธิบายถึง
ความเปน็ มา และพฒั นาการในแตล่ ะช่วงแต่ละกลุ่มได้ ดังน้ี

.๒.๑ กลุ่มภิกษุณีเพศ คือ กลุ่มที่ใช้เพศแห่งความเป็นภิกษุณี หรือการเรียกร้องการ
บวชภกิ ษุณี เปน็ แนวทางขับเคลื่อน มีแนวคิดเร่ืองสิทธิทางเพศ สิทธิสตรีในการเข้าถึงและปฏิบัติ
ตนตามหลักศาสนา ด้วยการคาดหวัง มุ่งหวัง และจะกระทาให้เกิดมีภิกษุณี ในประเทศ
ไทย ๘ ซ่ึงสามารถแสดงถึงพัฒนาการได้ใน ช่วงด้วยกัน กล่าวคือเป็นประวัติศาสตร์การ
เคล่ือนไหวภิกษุณีในประเทศไทย เพื่อชี้ว่ามีความพยายามในการร้ือฟื้นมาตลอดแต่มิได้รับความ

๖ รศ.วารุณี ภูริสินสิทธิ์ ให้ความหมายของคาว่า Gender (ความเป็นเพศ) หมายถึง องค์ความรู้ที่
สรา้ งความหมายใหก้ บั ความแตกตา่ งทางร่างกาย เป็นความสัมพันธ์ท่ีซับซ้อนในทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
และจติ วทิ ยาระหว่างผูห้ ญิงและผ้ชู าย ความเปน็ เพศเป็นส่วนหนงึ่ ของโครงสร้างสงั คม เปน็ การจัดการทางสังคม
ของความแตกต่างระหว่างเพศในด้านต่าง ๆ ท่ีมา : ฉบับที่ ปีที่ (ธันวาคม ๒ ๘ - มกราคม ๒ ).
[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.semsikkha.org/pacarayasarn/article๐ /woman/pacaarticle_woman_
๐๒.doc. (๒๒ ก.ย. ).

การเรียกร้อง สัมพันธ์ถึงการถอดรื้อความคิดท่ีเป็นกรอบคิดเดิม จาเดิมท่ีเคยสยบยอมต่อชะตา
กรรมทไ่ี มไ่ ดก้ าหนดในฐานะมนษุ ย์นยิ ม การได้รับอิทธิพลทางความคิดของตะวันตก(Westernism) ในเรื่องของ
เหตุผล ปัญญา ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมท่ีไม่ยอมรับต่อชะตากรรมของสิ่งสร้าง ท่ีตนเองในฐานะเป็นมนุษย์ไม่ได้
สร้าง การเรียกร้อง ผ่านแนวคิดสิทธ์ิแห่งความเป็นมนุษย์คนหนึ่งจะพึงกระทาได้ ดูรายละเอียดแนวคิดในมิติที่
หลากหลายไดใ้ น ธรี ยุทธ บุญมี, ความหลากหลายของชวี ติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม, (กรุงเทพมหานคร :
สายธาร, ๒ ), หน้า คานา และ บทท่ี - ๐.

๘ จากการเข้าร่วมฟัง “ประชาพิจารณ์”โดย ณัชชา วาสิงหน, “การแก้ปัญหาความขัดแย้งเร่ืองการ
บวชภิกษุณีในสังคมไทย”, เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒ ห้อง ๒๐ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย ท่าพระจนั ทร์ กทม.ได้ข้อสรุปว่าการบวชภิกษุณียังมีประเด็นข้อขัดแย้งที่ยังต้องหาทางออก และแก้ไข
ท้ังในส่วนของตัวหลักการ แนวทางปฏิบัติ และการสร้างการยอมรับ โดยความหมายภิกษุณีถึงมีในประเทศไทย
แต่ยังมีปัญหาท่ียังต้องแก้ไขหรือหาทางออกร่วมกันต่อประเด็นดังกล่าว [ดูรายละเอียดเพิ่มใน ณัชชา วาสิงหน,
“การแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการบวชภิกษุณีในสังคมไทย”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิต
วิทยาลยั มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒ ), หนา้ บทคดั ย่อ.



สนใจ การเคลื่อนไหวเพ่ือผลักดันให้เกิดภิกษุณีไทย การทดลองไปสู่การบวช การพัฒนากลุ่มเพื่อ
บวชไปสู่การยอมรบั ต่อเพศภิกษุณี ซ่งึ สามารถใหร้ ายละเอยี ดได้ คอื

พัฒนาการระยะที่ ๑ เกิดข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒ ๐ โดยนายนรินทร์ ภาษิต ชาวนนทบุรี ท่ี
รับราชการจนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดและมีบรรดาศักดิ์เป็น “พระพนมสารนรินทร์” ก่อนลาออก
มาเป็นนักการเมืองหัวก้าวหน้า เถรตรง และปากกล้า๒๐ เคยทาหนังสือถึงสมเด็จพระสังฆราช "ทูล
เชิญให้สละทรัพย์สมบัติอันมากจนล้นพระตาหนักออกเสีย เพ่ือเป็นตัวอย่างแก่พุทธศาสนิกชน"
ในขณะท่ีเทศนส์ อนใหช้ าวบ้านบริจาคทาน แต่ตนเองกลับสะสมทรัพย์ที่มีผู้บริจาค ผลนรินทร์โดน
ขอ้ หา "หม่นิ ประมาทสมเดจ็ พระสงั ฆราช" กิตตศิ ัพท์ของนรินทร์จึงเป็นดังหนามยอกใจของประดา
ผู้มีอานาจวาสนาในสมัยนั้น และสิ่งหนึ่งน้ันท่ีนรินทร์สร้างเป็นประวัติศาสตร์ไว้ในเมืองไทยก็คือ
การฟ้ืนวงศภ์ กิ ษณุ ี๒

เจตนารมณ์ของนรินทรท์ ป่ี รากฏผ่าน “แถลงการณ์” นัยหนง่ึ ตอ้ งการให้พุทธศาสนาไทย
ครบพุทธบรษิ ัท โดยยดึ โยงกรอบคดิ ของพระพุทธศาสนาเชน่ ในคร้ังพุทธกาล นรินทร์จึงรณรงค์
ให้ บวชผู้หญิง โดยเริ่มแรกได้ให้บุตรสาว ๒ คน คือสาระและจงดี พร้อมสตรีอีก ๖ คน บวชเป็น
ภิกษุณีและสามเณรี ดังปรากฏเป็นหลักฐานใน แถลงการณ์เร่ืองสามเณรีวัตร์นารีวงศ์”๒๒ เมื่อ พ.ศ.
๒ ผลของความพยายามในครั้งน้ัน นรินทร์ถูกโจมตีจากสื่อโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์อย่าง
หนักว่า “เป็นผู้บ่อนทาลายพระพุทธศาสนา” ในส่วนคณะสงฆ์ได้มีคาสั่งสมเด็จพระสังฆราชกรม
หลวงชินวรสิริวัฒน์ ๒ วัดบวรนิเวศ เรื่อง ห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต ประกาศแต่
วนั ท่ี ๘ มถิ ุนายน ๒ วา่

หญิงซ่ึงจักได้สมมติตนเป็นสามเณรี โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตน้ัน สาเร็จด้วยนาง
ภกิ ษุณใี ห้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนญุ าตให้นางภิกษุณีมีพรรษา ๒ ล่วงแล้วเป็น ปวัตตินี

ดูรายละเอียดแนวคิดใน ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, ชีวประวัติ : นรินทร์ (กลึง) ภาษิต, [ออนไลน์],
แหลง่ ท่มี า http://www.geocities.com/siamintellect/intellects/narintara/biography.htm. ( ๒ พฤศจกิ ายน ๒ ).

๒๐ในทัศนะของ ดร.วีรกร ตรีเศส มองว่าพฤติกรรมของ นรินทร์ ภาษิต เป็นพฤติกรรมแบบ "อารยะขัด
ขืน หรอื Civil Disobedience", ใน อาหารสมอง, มตชิ นรายสัปดาห์ ปที ่ี ๒๖ ฉบบั ที่ , ( เมษายน ๒ ),

๒ พระมหานรินทร์ นรินฺโท, วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา, [ออนไลน์] แหล่งท่ีมา :
www.alittlebuddha.com (๒ สงิ หาคม ๒ ).

๒๒แถลงการณ์เรื่องสามเณรี วัตร์นารีวงศ์ ตีพิมพ์คร้ังแรก พ.ศ. ๒ โดย นรินทร์ กลึง เป็นการ
สะทอ้ นการตอ่ สเู้ พื่อสทิ ธิมนุษยชน สิทธทิ างการเมอื ง สังคม และวัฒนธรรม (นรินทร์ ภาษติ .แถลงการณ์เรื่องสามเณรี
วตั ร์นารีวงศ์), ฉลอง สุนทวาณชิ ย์ บรรณาธิการ, พิมพค์ รง้ั ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทพ์ ริ้นติ้ง, ๒ ),

๒ ประกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ เลม่ ท่ี ๖ หน้า

คอื เป็นอปุ ัชฌาย์ ไมไ่ ดท้ รงอนุญาตให้ภกิ ษเุ ป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสาย
มานานแล้ว เม่ือนางภิกษุณีผ้รู ักษาขนบธรรมเนียมสืบตอ่ สามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบ
ต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี เป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี ผู้น้ันช่ือว่า
บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยน
หนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ฯ เพราะเหตุน้ี ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย บวช
หญงิ เปน็ ภิกษุณี เปน็ สกิ ขมานา และเป็นสามเณรี ตั้งแตน่ ้ไี ป

รฐั บาลในขณะน้ันได้จับสามเณรสี ึกท้ังหมด และพิพากษาลงโทษจาคุกในข้อหา "บ่อน
ทาลายพระพุทธศาสนา" ดังนั้น การแสดงออกต่อความเป็นเพศในมิติทางศาสนาครั้งน้ัน นัยหน่ึง
( ) นรินทร์ได้กลายเป็นต้นแบบในการเรียกร้องต่อสู้เก่ียวกับภิกษุณี นับเป็นจุดเร่ิมต้นของการ
ขับเคล่ือนด้วยเพศวิถี ต่อพ้ืนที่ทางศาสนา “ภิกษุณี” คร้ังแรกในสังคมไทย และชื่อของนรินทร์
ภาษิต ยังถูกนามากล่าวอ้างเปน็ ปูชนยี บคุ คลของกลมุ่ ขับเคลื่อนเพศวถิ ีต่อการบวชเป็นภิกษุณีกระทั่ง
ปัจจุบัน (๒) จากประกาศของสมเด็จพระสังฆราช กลายเป็นมาตรฐานของสังคมไทยมาต้ังแต่อดีต
ตอ่ ข้อห้ามน้นั ซ่ึงเป็นปราการให้กับกล่มุ สตรีเพศ ตอ่ การบวชภกิ ษณุ ใี นสงั คมไทยร่วมกับพระธรรม
วนิ ยั ทั้งเป็นอปุ สรรคตอ่ การเคลอ่ื นไหวภกิ ษุณีในเวลาต่อมา

นอกจากน้ี การแสดงออกของนรินทร์ ภาษิต อาจมองได้ เป็น ๒ กรณี คือ ( ) เป็นการ
กบฏตอ่ รูปแบบของสงฆก์ ระแสหลัก เพอื่ หาพื้นที่ใหก้ บั กล่มุ สตรี หรือเป็นการส่งเสริมสิทธิสตรีต่อ
การถือบวชในพระพุทธศาสนา (๒) อีกความหมายหน่ึงอาจเป็นการต่อต้านอานาจรัฐ โดยใช้การ
แสดงออกในทางมิติศาสนา เป็นตัวเชื่อมต่อและอธิบาย เพราะแต่เดิมนรินทร์รับราชการ พร้อมท้ัง
ลาออกและมีพฤติกรรมต่อต้านอานาจรัฐ ด้วยเหตุผลของการผิดหวังต่อระบบ เม่ือมีโอกาสจึงใช้
ฐานคิดจากศาสนามาเปน็ เครือ่ งมอื ต่อตา้ นอานาจรฐั ผ่านศาสนาทแี่ ยกกนั ไมอ่ อกในขณะน้นั

พัฒนาการระยะที่ ๒ เกิดข้ึนเม่ือปี พ.ศ. ๒ นางวรมัย กบิลสิงห์ (พ.ศ.๒ -
๒ ๖) หรือ พระมหาโพธิธรรมาจารย์ (ภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์) อดีตนักเขียน นักหนังสือพิมพ์๒
ทสี่ นใจพระพุทธศาสนาและศึกษาปฎบิ ัตติ ามสานกั ต่าง ๆ จากคณาจารย์ในสานักต่าง ๆ ในสมัยนั้น
เช่น หลวงพ่อสด จนทฺ สโร วัดปากนา้ หลวงพ่อลี วดั อโศการาม สมุทรปราการ และกรรมฐานแบบ
พม่า ซ่ึงบริกรรมว่า "ยุบหนอ-พองหนอ" ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เป็นต้น แม้กระทั่งยอมเป็น
ศิษย์รับศีล ๘ กับพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) วัดบวรนิเวศ จนในท่ีสุดเดินทางไปประเทศไต้หวัน

๒ ผลงานที่ปรากฏที่เขียน เรียบเรียงโดย วรมัย กบิลสิงห์, ใครฆ่าพระเจ้าตาก. (ธนบุรี : โรงพิมพ์ลูก
กาพร้า,๒ ๖), สีพระพันปีหลวง, (นครปฐม : โรงพิมพ์พระโพธิสัตว์, ๒ ๒ ), ไม่มีคอมมิวนิสต์ในอกแม่,
(นครปฐม : โรงพิมพพ์ ระโพธิสตั ต์, ๒ ), พระธรรมกายนาวา, (ธนบุรี : โรงพมิ พ์ลกู กาพรา้ , ๒ ๐) เป็นตน้



อุปสมบทเป็นพระภิกษุณีในนิกายมหายาน ใน พ.ศ.๒ แล้วกลับมายังประเทศไทย และจัดตั้ง
วัดใหม่ช่ือว่า วัตรทรงธรรมกัลยาณี เลขที่ ถนนเพชรเกษม ตาบลพระประโทน อาเภอเมือง
จงั หวัดนครปฐม

การบวชของภิกษุณีวรมัย เป็นขา่ วใหญ่ท่ีคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ มีทั้งเห็นด้วย และ
คัดค้าน แต่การบวชคร้ังน้ันเป็นการบวชนิกายมหายานแบบจีน (ไต้หวัน) ซ่ึงคนละนิกายกับคณะ
สงฆ์ในประเทศไทย รวมทั้งไม่มีข้อบัญญัติหรือกฎหมายใดห้าม แต่ผลท่ีเกิดข้ึน คือ การไม่ยอมรับ
ถึงการให้มภี ิกษณุ ีในสงั คมไทยกย็ ังคงมอี ยู่เชน่ เดิม ภิกษุณีวรมยั กบลิ สิงห์ ซึง่ ปฏบิ ัตติ นในฐานะผู้ท่ี
ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และถึงแก่การมรณกรรมไปด้วยวัย ๖ ปี เม่ือ พ.ศ.๒ ๖ ก่อนท่ี
บุตรสาวทายาทเพียงคนเดยี วจะสืบทอดเจตนารมณ์ตอ่ มา

การบวชของภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์ ไม่ปรากฏเป็นความเปล่ียนแปลงหรือผลใด ๆ ต่อ
สังคมไทยเสยี ทเี ดียว ซ่ึงปรากฏเพียงปรากฏการณ์และการยอมรับถึงการมีอยู่ในเชิงปัจเจกเสียเป็นด้าน
หลัก กับอีกมุมหน่ึงท่ียอมรับถึงเพศกับการปฏิบัติธรรม รวมไปถึงได้ส่งผลเป็นปรากฏการณ์ในเชิง
เพศ และการขับเคล่อื นด้วยเพศ ซ่ึงมีผลเปน็ การเติบโตของกลมุ่ “เพศวิถี” คอ่ นขา้ งชัดเจนในชั้นต่อมา

พัฒนาการระยะที่ ๓ เป็นพัฒนาการภาคต่อจากระยะที่ ๒ ท่ีรศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิล
สิงห์ ผู้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของวรมัย กบิลสิงห์ ที่ได้ศึกษาจนจบปริญญาเอกทางด้านศาสนา
และทาวิทยานิพนธ์เรื่อง “ภิกษุณีปาติโมกข์”๒ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทางานวิชาการ
ทางด้านศาสนา รวมทัง้ ค้นควา้ หาองคค์ วามรูเ้ กี่ยวกบั บวชภกิ ษุณี มาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี ท้ังในส่วน
ของเหตผุ ล เงือ่ นไข หลักการ หลักปฏบิ ตั ิ จนกระท่งั ตัดสนิ ใจออกบวชเป็นสามเณรี ในสังกัดสยาม
นกิ าย ประเทศศรีลังกา และได้ช่ือว่า “ธัมมนันทา” พ.ศ. ๒ และทาการบวชเป็นภิกษุณีในอีก
๒ ปี (มีนาคม ๒ ๖) ต่อมา ดว้ ยเหตผุ ลทเี่ ป็นนักวชิ าการทางด้านพระพุทธศาสนา จึงมีท้ังยอมรับ
และขดั แย้งต่อการบวชของ “สามเณรีธัมมนันทา” จนกระทั่งกลายเป็นกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ใน
วงกว้าง ทั้งเห็นด้วย สนับสนุน และไม่เห็นด้วย คัดค้าน จนมีการต้ังกระทู้ถามในรัฐสภาเพื่อเสนอ
ต่อรัฐบาล ให้หาทางออกต่อประเดน็ ปัญหาดังกล่าว รวมไปถงึ การเสนอแนวทางทางกฎหมายในเชิง

๒ สามเณรีธัมมนันทา (รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์), คุยกับพระผู้หญิง, (กรุงเทพมหานคร :
สานกั พิมพ์พระอาทติ ย,์ ๒ ), หน้า คานา .

ของการควบคุม๒๖ และการหาทางออก๒
ในความหมายหนึ่งของการบวชของภิกษุณีธัมมนันทา เพื่อเป็นการสืบสานเจตนารมณ์

ของแม่ที่เป็นผู้ริเร่ิมและสร้าง “วัตร” ไว้ เพ่ือกระทาตามเจตนารมณ์ประหนึ่งเป็นต้นแบบทดลอง
ต่อสิ่งที่ศึกษาหาความรู้ตลอดมา เกี่ยวกับภิกษุณีในงานทางวิชาการที่ภิกษุณีธัมมนันทาได้
ทาการศกึ ษา

ส่วน “ภกิ ษุณีธมั มนันทา” ใช้คาอธิบายผ่านปรากฏการณ์ของ “ภิกษุณี” ว่า ต้องการช่วย
รักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาในนามของ “นักบวช” ผู้เป็น “น้องสาว” โดยธัมมนันทาเห็นว่า การ
รื้อฟน้ื ของท่านเอง มีองค์ความรูจ้ ากการศกึ ษาวิจยั อยา่ งเปน็ ระบบมาแล้ว ถึงเหตุผลที่เป็นไปได้ของ
การบวชภกิ ษณุ ี ถึงเหตุผลการต้องมอี ยู่ของนกั บวชสตรี ดังปรากฏแนวคิด ในงานเขียนทางวิชาการ
ต่างกรรมต่างวาระกัน รวมท้ังพยายามเชื่อมโยงกับเครือข่ายสตรีชาวพุทธระดับนานาชาติกลุ่ม
“ศากยธิดา”๒๘ ซง่ึ ได้จัดประชมุ สตรชี าวพทุ ธระดับนานาชาติในประเทศศรีลังกาเมื่อปี พ.ศ. ๒ ๖
ซ่ึงการประชุมคร้ังนี้ได้จุดประกายให้กับสตรีชาวศรีลังกาบวชเป็นจานวนมา กและต่อมามีการ
จัดการบวชระดบั นานาชาตทิ าให้มภี กิ ษณุ ีในประเทศตา่ ง ๆ เพ่ิมขึน้

ขบวนการภิกษุณี ที่นาโดยฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ เป็นความพยายามที่จะให้ได้สิทธิการ
บวชในพระพุทธศาสนาอีกคร้ัง ภาพการเคลื่อนไหว จึงเกิดขึ้นทั้งหลักการ วิธีการ และปฏิบัติการ
ในขณะท่ีคณะสงฆ์กระแสหลักกลับน่ิงเฉย และให้คาอธิบายตอบเพียงว่าไม่มีประเพณี ภิกษุณีสูญ

๒๖ มีแนวคิดในเรื่องการควบคุมหลายวิธีการ ) มีการนาแนวคิดจากกฎหมายมาใช้ผ่าน พรบ.คณะ
สงฆ์ในเร่ืองการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ มาตรา ๒) รวมไปถึงการใช้กรอบคาสั่งเดิมท่ีเร่ืองการห้ามบวช
ภิกษุณีมาใช้ ) การใช้กรอบคิดในเร่ืองของพระธรรมวินัยเร่ืองการบวชภิกษุณี และความขาดตอนของ
กระบวนการภกิ ษณุ ใี นประเทศไทย.

๒ แต่ในส่วนของภิกษุณีได้มีการสัมมนาทางวิชาการเพ่ือเสนอให้มีการแก้กฎหมาย พรบ.สงฆ์เพื่อ
รับรองใหภ้ กิ ษุณจี ดั อย่ใู นคณะสงฆอ์ ่ืน เช่นเดียวกบั คณะสงฆ์จีนนิกาย และอันนัมนิกาย เพื่อได้สิทธิ์ของนักบวช
ตามกฎหมายและอยู่ภายใต้การดูแลด้วยระบบกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ รวมไปถึงการเสนอของ
คณะกรรมาธิการกิจการสตรีสภาผแู้ ทนตอ่ การต้งั ประเด็นคาถามในสภา เพื่อหาทางออกต่อประเด็นการบวช ด้วย
ชุดเหตผุ ลท่ีขับเคลือ่ นผา่ น Feminism ท่มี ุ่งมองไปในเรือ่ งของสตรีกบั การแกป้ ัญหาสังคมในเชิงโครงสรา้ ง.

๒๘ ศากยกธิดา [ออนไลน์], แหลง่ ทมี่ า : http://www.sakyadhita.org/ (๒๒ กนั ยายน ๒ ).

หายและสบื ต่อไมไ่ ด้ในประเทศพุทธศาสนาเถรวาท๒
ลักษณะเด่นประการหนึ่งของกลุ่มเพศวิถีภิกษุณีในระยะนี้ คือ การสร้างชุมชนของ

ตนเอง ใช้ทากิจกรรมร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการเบื้องต้นของการก่อต้ังชุมชนที่ขับเคล่ือนด้วย
ความเปน็ “เพศ” ดาเนินชวี ติ ในฐานะนกั บวช มีคาเรยี กขานกลมุ่ ตัวเองวา่ ชมุ ชนแหง่ ภิกษณุ สี งฆ์

ดงั ปรากฏเปน็ ทศั นะ สะท้อนคดิ ในการขับเคลอื่ นเพศวิถีของ “ภิกษุณี” ไว้ว่า
อาตมาออกบวชเพราะต้องการจะถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนา เพื่อทาหน้าที่เผยแพร่
พระธรรมคาสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาบวชด้วยความศรัทธาจากหัวใจ
จากความมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจอย่างดีท่ีสุด ด้วยความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าได้
ศึกษาแล้วว่า ภิกษุณีสงฆ์น้ันเป็นส่ิงที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้แก่ลูกผู้หญิง และพระ
ศาสนาท่ีมอบให้ไว้น้ันเป็นพระศาสนาที่มอบให้พุทธบริษัท ช่วยกันดูแล อันประกอบไป
ด้วย ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสิกาการบวชของอาตมานั้น มั่นใจว่าได้ทาในส่ิงที่ถูกต้องตาม
พระวินัย ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหาจะอยู่ที่ความไม่เข้าใจมากกว่า บางคนพอเห็นผู้หญิง
ครองจีวรก็ไม่เข้าใจ จะเกิดคาถามว่าทาไมผู้หญิงมาใส่จีวร ท้ังๆ ท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้า ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้” ๓ การบวชของสามเณรีธัมมนันทา ถือว่าเป็นการ
ขบั เคล่อื นพระพทุ ธศาสนาในมติ ิใหม่ ซึง่ จะเป็นการจุดประกายความหวังให้แก่ผู้หญิงที่ตั้งใจ
จะหันหน้าเข้าสู่เส้นทางแห่งการศึกษาปฏิบัติธรรม ได้มีทางเลือกท่ี “งดงามที่พระพุทธองค์
ทรงประทานไวใ้ หแ้ ก่ลูกสาว ๓๑

ดังนั้นในสังคมไทยปัจจุบัน แนวคิดพัฒนาการในระยะท่ี น้ี มุ่งไปท่ีการสร้างวาทะ
กรรมเรื่องเพศ (Gender) เพื่อนาไปสู่การหาทางออกจากปัญหา “การบวชเป็นภิกษุณี” โดยมุ่งไปที่
การส่งเสริมให้ผู้หญิงมีพื้นท่ีในการปฏิบัติธรรม จึงปรากฏผลทานองว่า กลุ่มผู้เรียกร้องไปท่ี

๒ ทองย้อย แสงสินชัย, น.อ. , เหตุเกิด พ.ศ. 2545 : ตอบปัญหาเหตุเกิด พ.ศ. 1 ของพระมโน เมตฺ
ตานฺนโท กรณีปฐมสังคายนา/ภิกษุณีสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒ ๖), หน้า . และใน
เอกสารชแี้ จงของวัดหนองป่าพง กรณีตดั ท่านโพธวิ โส ทอ่ี นุญาตใหม้ ีการบวชภกิ ษุณี ในประเทศออสเตรเลยี ออก
จากสาขาของวัดหนองป่าพง [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://www.dhammalight.com/th/th-correspondence.html
(๒๒ กนั ยายน ๒ ).

๐“วัตรทรงธรรมกัลยาณี”,[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.thaibhikkhunis.org/a๐ /a๐ _
.htm (๒ สิงหาคม ๒ ๒).

“วัตรทรงธรรมกัลยาณี”, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://www.thaibhikkhunis.org/a๐ /a๐
1_4.htm (๒ สิงหาคม ๒ ๒).

การศึกษาและปฏิบตั ิธรรม “ไม่ควรจากัดด้วยเพศ” ชาย หญงิ ภกิ ษณุ ี สามเณรีหรือแม่ชีก็เหมือนกับ
เป็นแม่ แตกต่างกันท่ีชุดท่ีสวมใส่ ปลายทางของการบรรลุธรรมก็มีไม่แตกต่างกันระหว่างภาวะ
ของเพศหญิงเพศชาย ๒

รวมทั้งเปน็ การขบั เคล่ือนภายใตก้ ระแสตอ่ ต้านอันเข้มข้น และในเวลาเดียวกันก็เป็นการยืน
หยัดของกลุ่มภิกษุณีด้วยความมุ่งม่ันต่ออุดมการณ์และเป้าหมายทางศาสนา ในฐานะผู้ปฏิบัติตามหลัก
พระพทุ ธศาสนามากกว่า การตอบโตใ้ นแนววิชาการ จึงไดร้ บั การยอมรับในทางปฏิบัติแม้จะไม่มีผลเป็น
การยอมรับในเชิงกฎหมาย และพระธรรมวินัย ตามระบบโครงสร้างแตป่ ระการใด ซงึ่ แนวทางนจ้ี ะมผี ล
ตอ่ พฒั นาการในระยะต่อไปของกลุ่มภิกษุณี

พัฒนาการระยะท่ี ๔ การบวชภกิ ษุณมี เี พม่ิ มากข้ึน อันเป็นผลเนื่องต่อจากพัฒนาการใน
ระยะท่ี คือ แต่เดิมมีกลุ่มสตรีที่สนใจการปฏิบัติธรรม และหาแนวทางปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ
อยูแ่ ลว้ ทัง้ แม่ชี และผู้หญงิ กบั การปฏบิ ตั ธิ รรมได้ เมื่อมีการบวชภิกษุณีในรูปแบบเถรวาท แม้จะยัง
ไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างทั้งพระธรรมวินัย และกฎหมาย แต่มีปรากฏอยู่ในสังคม จึงเท่ากับเป็น
ช่องทางเลือกให้สตรีกับศาสนาอีกทางหน่ึง ดั้งนั้นการบวชภิกษุณีจึงขยายจานวนขึ้น ท้ังในส่วน
ของมหายาน (ไต้หวัน จีน เวียดนามที่ฝรั่งเศส) และเถรวาท (ศรีลังกา ไทย) เมื่อถือปฏิบัติในสานัก
ครูอาจารย์แล้ว ได้กลับมายังประเทศไทย ก่อสร้างสานัก ท้ังปฏิบัติ เผยแผ่พระพุทธศาสนาในแนว
ของภกิ ษุณีตามแบบทีต่ นไปบวช และปฏบิ ตั มิ า ดังเชน่

๒ดูรายละเอียดใน ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ (ภิกษุณีธรรมนันทา), “ก้าวข้ามพันธกิจทางเพศ”, หน้า
- และ วารณี โภคาพานชิ วงศ์, กุลภา วจนะสาระ (แปล), “พุทธศาสนาและมิติเรื่องเพศในสังคมไทย : วัง
วนวิชาการกับความพยายามทบทวนใหม่”, หน้า ๘ - , ใน อมรา พงศาพิชญ์, เพศสถานะและเพศวิถีใน
สังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒ ๘).

มีความพยายามเพื่อการรณรงค์ให้มีการยอมรับทางกฎหมาย ผ่านแนวคิดเร่ืองการเพ่ิม “คา” ใน
กฎหมายของคณะสงฆ์ เพ่ือให้สิทธิต์ อ่ การเป็นนักบวชของกลุ่มสตรีเพศในฐานะภิกษุณี ซึ่งประเด็นน้ีผู้วิจัยคิดว่า
คงเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้บทสรุป เพราะการยอมรับของคณะสงฆ์หรือให้มีในกฎหมายคณะสงฆ์จะเท่ากับการ
ยอมรับในทางนิตินัย ซึ่งก็ยังคงเป็นประเด็นขัดแย้งท่ียังไม่มีคาตอบ เพราะเมื่อถึงที่สุดผู้มีส่วนเก่ียวข้องก็ต้อง
สอบถามไปยงั หน่วยงาน ท่ีเก่ียวขอ้ งเช่นมหาเถรสมาคม สานักงานพระพุทธศาสนา การอนุญาตหรือยอม ก็เทา่ กับ
ยอมรับและจะไปมผี ลต่อการให้ความหมายต่อ “บัญญัติ” ทางวินัยของการเป็นภิกษุณีในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ดูรายละเอียดต่อประเด็นการ “บรรจุ” คาว่าภิกษุณีในฐานะ “คณะสงฆ์อื่น” ในกฎหมาย พรบ.คณะสงฆ์ ๒ ๐
รายละเอยี ดใน [ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมา : http://www.thaibhikkhunis.info/partitionform.pdf (๒๒ กนั ยายน ).



ท่านภกิ ษุณีนันทญาณี แห่งสานักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม จังหวัดเชียงใหม่ ท่ีมีศรัทธาต่อ
พระพุทธศาสนาอย่างม่ันคง พร้อมทั้งบวชเป็นเพศแห่งแม่ชี ศึกษาปฏิบัติธรรมและเผยแผ่
พระพุทธศาสนามาเปน็ เวลานาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งสานักมี ๒ ประการ คือ .
เพือ่ อนเุ คราะหแ์ กส่ ตรที ตี่ ้ังใจมาดาเนินชวี ติ บนวิถีแหง่ ศลี สมาธิ ปัญญา ตามรอยพระพุทธเจ้า โดยมี
“ท่านภิกษุณีนันทญาณี” เป็นผู้อบรมสั่งสอนตามพระพุทธพจน์ และ ๒. เพ่ือรองรับผู้ปฏิบัติธรรม
จากหนว่ ยงานราชการ เอกชน และผู้สนใจใฝ่ธรรมทั่วไป ท่ีได้ติดต่อขอเข้ารับการอบรมธรรมะ ทั้ง
ในรปู แบบค่ายอบรม และเข้ามาปฏบิ ตั เิ ปน็ การส่วนตวั

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงภิกษุณีพูลศิริวรา ท่ีไปบวชเป็นสามเณรีท่ีศรีลังกาเป็นเวลา
๒ ปี และบวชเป็นภิกษุณี จากนัน้ เดินทางกลับมาตง้ั สานักปฏิบัตธิ รรม “สวนสิริธรรม” บนที่ดินอัน
เป็นมรดก อาเภอบ้านแพ้ว จังหวดั สมทุ รสาคร ภิกษณุ ีสุโพธา จากบุรีรัมย์ ๖ ภิกษุณีธัมมวิชชานี จาก
อุทัยธานี ภกิ ษณุ สี ลี สพุ ัตรา จากตาก เปน็ ต้น

อุปสมบทเป็น พระภิกษุณี เมื่อวันที่ มิถุนายน ๒ ณ ประเทศศรีลังกา รายละเอียดท่ี
[ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://nirotharam.com/index.php?showtopic=210 ( มิถุนายน ๒ ), ปัจจุบัน
ภกิ ษุณี นันทญาณี เป็นหัวหน้าสานักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และสานักปฏิบัติ
ธรรมสทุ ธจิตต์ อาเภอดอยสะเกด็ จงั หวดั เชยี งใหม่ ทาหน้าท่เี ผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอย่างกวา้ งขวาง

ในสานักนโิ รธารามยงั มีภกิ ษุณที เี่ ปน็ ศิษยข์ องพระภิกษณุ ี นนั ทญาณี (รงุ้ เดือน สวุ รรณ) ตั้งแต่คราวบวช
เป็นแมช่ ี และมศี รัทธาบวชในพระพุทธศาสนา อาทิ พระภกิ ษณุ ี สัทธาสิริ (พรทิพย์ หน่อคา) พระภิกษุณี ปันนภารี (สุ
กานดา สุวรรณวิสารท) พระภกิ ษณุ ี ปญั ญาวรี (วิลาวัลย์ คมุ้ สิงหค์ า) พระภิกษุณี วรทินนา (แน่งน้อย พัวพันธ์) เป็นต้น
[ออนไลน์] แหลง่ ท่ีมา : http://nirotharam.com/lofiversion/index.php?t215.html ( ๒ ส.ค. พ.ศ.๒ ).

จากคอลัมน์ “พึ่งตน พ่ึงธรรม” หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ฉบับวันท่ี ๐ ธ.ค.๒ ๒ และ
ภิกษุณีพูลศิริวรา “ต้องฝึกใจให้ม่ันคง” [ออนไลน์] แหล่งท่ีมา : http://www.gotoknow.org/blog/nadrda/319279
( ๒ มิถนุ ายน ๒ ).

๖ภิกษณุ ีสุโพธา (พ.ศ.๒ -) ได้บรรพชาเป็นสามเณรี เม่ือ พ.ศ.๒ ๐ ที่วัด วัดศรีตุสิตารามายา
เมอื ง Eliheyagoda ประเทศศรีลังกา มีพระภิกษุณีสัทธา เป็นอุปัชฌาย์ แล้วกลับมาศึกษาปฏิบัติธรรมในประเทศ
ไทย เดือนมีนาคม พ.ศ.๒ ๒ กลบั ไปอุปสมบทเปน็ พระภกิ ษุณีอกี ครง้ั ปจั จบุ นั จาพรรษาศกึ ษา ปฏิบัตธิ รรมอยู่
ท่ี วั ด ป่ า หิ น ตั ด อ า เ ภ อ บ้ า น ก ร ว ด จั ง ห วั ด บุ รี รั ม ย์ [อ อ น ไ ล น์ ], แ ห ล่ ง ท่ี ม า :
http://www.facebook.com/profile.php?id=100001025867383 ( ๒ มถิ นุ ายน ๒ ).

บรรพชาเป็นสามเณรี เมื่อ พ.ศ.๒ ๐ ท่ีวัด วัดศรีตุสิตารามายา เมือง Eliheyagoda ประเทศ
ศรีลังกา มีพระภิกษุณีสัทธา เป็นอุปัชฌาย์ แล้วกลับมาศึกษาปฏิบัติธรรมในประเทศไทย เดือนมีนาคม
พ.ศ.๒ ๒ กลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุณีอีกคร้ัง ปัจจุบันจาพรรษาศึกษา ปฏิบัติธรรมอยู่ที่ ธรรมสถาน"
ธัมมวิชชาน"ี อาเภอบ้านไร่ จังหวดั อุทยั ธานี

ในส่วนวัตรทรงธรรมกัลยาณี นครปฐมก็มีการจัดบวชสามเณรี และจัดบวชภิกษุณีใน
จานวนที่เพิม่ มากขึ้นซึง่ ถือเปน็ การพฒั นาอย่างตอ่ เนือ่ งของสานักภกิ ษุณใี นพฒั นาการระยะท่ี

ในส่วนมหายาน ก็มีภิกษุณีนิรามิสา (Sister Niramisa) ภิกษุณีผู้มีศรัทธาและบวชปฏิบัติ
ตามแนวของมหายานนิกายเทียบหิน ของติช นนั ฮนั ห์ แห่งหมบู่ ้านพลมั ประเทศฝร่ังเศส ท่านบวช
เป็นภิกษุณีใน พ.ศ.๒ ได้รับตะเกียงธรรมาจารย์จากหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เม่ือปี ๒
ภิกษุณีนิรามิสาเดินทางกลับมาเยือนไทย เพ่ือนากิจกรรมภาวนา และแลกเปล่ียนธรรมะ
จนกระทั่งได้ริเริ่มและจัดสร้างหมู่บ้านพลัมประเทศไทย อาเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ตาม
หมบู่ ้านต้นแบบท่ีประเทศฝร่งั เศส

แนวคิดท่ีปรากฏในกลุ่มเพศวิถีสตรีเพศต่อการบวชเป็นภิกษุณี มองไปท่ีประเด็นของ
สิทธ์ิตามรัฐธรรมนูญ และพระธรรมวินัย และพื้นที่สาหรับการปฏิบัติธรรมตามหลัก
พระพุทธศาสนาในสถานะของภิกษุณี อีกความหมายหนึ่งเพ่ือเป็นการสร้างเอกภาพแห่งความเป็น
ชาวพุทธตามแนวคิด “พุทธบริษัท ท่ีภิกษุณีธัมมนันทาให้นิยามว่า “น้องสาว” ทางธรรมในการ
ช่วยกันรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา พร้อมทั้งให้นัยยะของการข้ามเว้นจาก “อคติทางเพศ” ๘
ท้ังเป็นการสร้างทางเลือกให้กับกลุ่มผู้หญิง ได้มีส่วนร่วมทางศาสนา รวมทั้งจะช่วยลดปัญหาที่
เกดิ ขน้ึ ตอ่ ผ้หู ญงิ ในสงั คม เพ่ือใหส้ ตรมี พี นื้ ทท่ี ่หี ลากหลายมากขนึ้ ดังมีผู้แสดงทัศนะให้ความหมาย
การเป็น “นักบวช” ของสตรเี พศว่าจะเปน็ วิธกี ารหน่ึงในการลด “โสเภณี” ได้

แนวโน้มของกลุ่มภิกษุณี ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาได้มีการหยิบประเด็นเหล่านี้ขึ้นมา
ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงกว้าง แต่ในทัศนะผู้วิจัยมองว่าปรากฏการณ์ของภิกษุณีที่ปรากฏอยู่
ในสังคมไทยถึงจะมิได้เปน็ ภกิ ษุณีสงฆ์โดยคณะสงฆ์ไทย และกฎหมาย ยอมรับในฐานะนักบวชก็ตาม
แตก่ ลุ่มภิกษณุ เี อง ก็ได้พยายามตอ่ สู้และสร้างพื้นท่ีเหล่านั้นขึ้นมา ซ่ึงเป็นที่ยอมรับถึงบทบาทการมี
อยู่ และหลายฝา่ ยก็เฝา้ มองพัฒนาการทจี่ ะก้าวหน้าไปเร่ือย ๆ อันจะเห็นได้จากบทบาทของนักบวช
หญิงต่อสังคมที่มากขึ้น และสถิติของสตรีที่เข้ามาบวชในเพศของสามเณรี และยืนหยัดต่อไปเป็น

๘ ดรู ายละเอียดใน รทิ ธิ จันสอน (Ritti Janson), ภิกษณุ ีวิกฤติฤาโอกาส, (กรงุ เทพมหานคร : ส่อง
ศยาม, ๒ ), หน้า ๘- ๐.

ส.ศิวรักษ์, สีกากับผ้าเหลือง และพรหมจรรย์ในสังคมบริโภค กับทางออกของคณะสงฆ์ไทย,
(กรุงเทพมหานคร: สหธรรมกิ , ๒ ), หน้า -๒ .



ภิกษุณี ๐ ซึ่งหากมองแนวโน้มในอนาคตย่อมเป็นไปได้ว่าภิกษุณีจะเป็นที่ยอมรับและมีบทบาทต่อ
การทางานเพอ่ื พระพุทธศาสนาในวงกวา้ งมากขึ้นดว้ ยเช่นกัน

๓.๑.๒ แมช่ ี
ในประเทศที่นับถอื พุทธศาสนานกิ ายเถรวาทจะมีกล่มุ สตรีท่ีเข้ามาถอื บวชเป็นแม่ชี อาทิ
พม่าเรียกว่า แมสิละยิน ศรีลังกาเรียก ทสศีลมาตา จีในภาษาเขมร สาหรับสังคมไทย “ชี” แม่ชี
เปน็ กล่มุ สตรเี พศทีเ่ ขา้ มาถอื บวชโกนผม ห่มผา้ ขาวสมาทานถือวตั รปฏบิ ัตติ ามหลักพระพุทธศาสนา
เรียกว่าแม่ชี ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลท่ีอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานดังปรากฏหลักฐานว่า ในสมัย
อยุธยา นายแกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer ค.ศ. 1651 –1716) ๒ แพทย์ชาวเยอรมัน ซ่ึงเดินทาง
เข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ.๒๒ สมัยพระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒ - พ.ศ. ๒๒ ๖) ทั้งได้เล่า
ถึงนางชีในวัด รวมท้ังวัดใหญ่วัดหน่ึงช่ือวัดนางชี มีนางชีอาศัยอยู่มากจนเกิดเร่ืองอื้อฉาวกับ
พระภิกษุในวัดข้ึน และในจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère ค.ศ.1642-1729) ให้
ขอ้ มูลวา่

นางชี (Nang Tchii) นางนุ่งขาวห่มขาวเหมือนอย่างตาปะขาว และไม่มีใครนับถือว่าเป็น
สมณะเต็มตวั นัก อธกิ ารเจา้ วดั ธรรมดา ๆ ก็บวชนางชีได้เหมือน ๆ กับ เณร และมาตรว่าพวก
นางชีจะร่วมเมถุนธรรมกับพวกบุรุษมิได้ก็ตาม แม้กระนั้นพวกนางก็ไม่ต้องโทษให้เผาไฟ
เสยี เชน่ ทก่ี ระทาแก่พระภกิ ษใุ นกรณีทจี่ ับไดว้ ่าประกอบเมถนุ ธรรมกับอิสตรี เป็นแต่ส่งผู้กระทา
ผิดไปใหบ้ ิดามารดาลงโทษเฆี่ยนตี ดว้ ยว่าพระภกิ ษกุ ับนางชนี น้ั จะเฆ่ียนตใี ครมิได้เลย

จากจดหมายเหตุของนิโคลาส แซแวส ไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถึงสถานภาพและบทบาทของแม่
ชีในสมัยอยุธยา ซึ่งในสมัยน้ีผู้หญิงท่ีต้องการบวชต้องมีอายุล่วง ๐ ปีข้ึนไป เพ่ือป้องกันการถูก

๐ มขี ้อมลู วา่ ปจั จบุ ันภิกษุณีที่บวชในแบบเถรวาท จากศรีลังกาท่ัวประเทศจานวน ๘ รูป/องค์ และ
ในส่วนของมหายานที่บวชในแบบจีนนิกาย จากไต้หวัน และอนั นัมนิกายในแบบตชิ นัทฮทั น์ มีจานวนรวมกันทั่ว
ประเทศกวา่ ๒๐๐ รปู .

กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์, พระราชพงศาวดารพมา่ , พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๒,(นนทบรุ ี:ศรปี ญั ญา,๒ ๐),
หน้า ๘ ๘.

๒ Engelbert Kaempfer [ออนไลน์], แหลง่ ทีม่ า : http://en.wikipedia.org/wiki/Engelbert_Kaempfer
(๒ ตุลาคม ๒ ).

รายละเอยี ดเพิ่มใน สมชาย ไมตรแี ละคณะ, “การศึกษาความเป็นไปได้ของการบวชภิกษุณีในประเทศ
ไทย”, รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์, (สถาบนั วจิ ยั พทุ ธศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒ ๖).

มองซเิ ออร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ : ราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท.โกมลบุตร แปล,
(กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พ์ศรปี ัญญา, ๒ ๒), หนา้ .

ครหา นินทา จึงต้องโกนคิ้ว และนุ่งขาวห่มขาว ออกจากครอบครัวมาอยู่รวมกันกลุ่มละ - คน
ในบริเวณใกล้ ๆ วัด เพ่ือสะดวกในการสวดมนต์และเจริญภาวนาและมีการประพฤติตนบาเพ็ญ
ประโยชน์จึงเป็นที่เคารพนับถือ ทาให้คนส่วนใหญ่เรียกว่า “นางชี” ส่วน "ชี" ในภาษาไทย
โบราณแปลวา่ นกั บวช เชน่ รัชกาลท่ี ตรสั เรียกพระภกิ ษวุ ชิรญาณหรอื ภายหลังคือ รัชกาลท่ี ว่า
"ชตี ้น" หรอื นักบวชของพระเจา้ อยู่หัว ดงั นั้น เขาจึงไม่ได้เรยี กผู้หญิงที่โกนหัวถือศีลแปดว่า ชีเฉย ๆ
แต่เรียกตามหลักฐานของฝร่ังท่ีเข้ามาอยุธยาว่า "นางชี" ๖ มงเซเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์ (Jean-Baptiste
Pallegoix, ค.ศ.1805-1862) อดีตสังฆานายกมิชซังโรมันคาทอลิกประจาประเทศสยาม ในสมัย
รัชกาลท่ี ได้ใช้ชีวิตในสยามกว่า ๒ ปี ได้เขียนบันทึกในชื่อ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ใน
พ.ศ.๒ (ค.ศ.1854) ซ่ึงบันทึกเกี่ยวกับชีและสถานะของชีไว้ว่า “ในบริเวณใกล้ ๆ วัด มีสตรีอยู่
ชั้นหน่ึงเรียกว่า นางชี (Nang-Xi) เป็นหญิงม่ายที่ไม่มีอนาคต จึงมารับปฏิบัติพระ เจ้าอาวาสให้นุ่ง
ขาวห่มขาวเพอ่ื ทีจ่ ะไปขอทานได้ มใิ ช่ขอสาหรบั พวกนางเอง แต่เป็นของวดั ท่นี างสังกดั อยู่”

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้มองภาพลักษณ์ของชีว่า “อัตลักษณ์ของนางชีซ่ึงแสดงออกด้วยชุด
นุ่งห่มขาวและโกนศีรษะน้ันคือ เครื่องหมายของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทางกามารมณ์กับใครอีก...อยู่วัด
พระก็ไม่มัวหมอง (ยกเว้นท่านไปทาให้มัวหมองเอง) อยู่เรือนชายอื่นก็ไม่พึงเข้าหา ผู้หญิงเล็ก ๆ ที่
ยากจนและไม่มีอานาจมาปกป้องตัวเองได้ อาจถูกผู้ชายรังแกได้ง่าย ก็อาศัยผ้าขาวและโกนหัว...
คุ้มครองตัวให้พ้นจากชายใจพาลสันดานหยาบได้ ดังปรากฏหลักฐานว่า พระเจ้าหลานเธอของ
รัชกาลท่ี พระองค์หนึ่ง ถูกพม่ากวาดต้อนไปเม่ือตอนเสียกรุง ตกไปอยู่เมืองพม่าแล้วพระองค์ก็
บวชชีเสีย จนกระทั่งกองทัพไทยไปตีเมืองทวายจึงได้พระองค์กลับมา เรียกกันว่าพระองค์เจ้าชี” ๘ ซึ่ง
ประเด็นนี้นิธิ เอียวศรีวงศ์มองว่า เป็นการใช้ผ้าขาวปกป้องคุ้มครองตัวเองจากการคุกคามทางกามารมณ์
(ของพมา่ หรือของเชลยศึกดว้ ยกนั กต็ าม) ในภายหลงั เมอ่ื เสด็จกลับแลว้ ก็ไมไ่ ด้เป็นนางชีอกี ต่อไป

ชีในบริบทของสังคมไทยปัจจุบัน ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ให้
นิยามความหมายของคาว่า ชี ไว้ว่า “นักบวช, หญิงถือบวช, อุบาสิกาท่ีนุ่งขาวห่มขาวโกนผม โกน

โสภา อ่อนโอภาส และคณะ, “สตรีศึกษากลุ่มนอกแรงงาน : แม่ชี วิถีผู้หญิงใต้ร่มเงาพุทธ
ศาสนา”, รายงานวิจัย , (โครงการพัฒนาระบบสวัสดิการสาหรับคนจนและคนด้อยโอกาสในสังคมไทย ,
สนบั สนนุ โดยสานักกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั , ๒ ๖), หนา้ .

๖ นิธิ เอียวศรีวงศ์ “แม่ชีกับภิกษุณี”, มติชนสุดสัปดาห์ ปีท่ี ๒ ฉบับท่ี ๐ , ( ตุลาคม
๒ ): .

ฌัง-บัปติสต์ ปาลเลกัวซ์, เล่าเรื่องกรุงสยาม, พิมพ์ครั้งท่ี , (นนทบุรี : ศรีปัญญา, ๒ ),
หนา้ .

๘ นิธิ เอียวศรีวงศ์, “แม่ชีกับภิกษุณี”,ในมติชนสุดสัปดาห์, ปีที่ ๒ ฉบับท่ี ๐ , ( ต.ค
๒ ): .

๐๐

ค้ิว ถือศีล” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คานิยามของแม่ชีไว้ว่า “ชี แปลว่า น.
นักบวช เช่น ชปี ะขาว คาเรียกหญิงทนี่ ุง่ ขาวหม่ ขาว โกนคิว้ โกนผม ถือศีล แม่ชีก็เรียก” ๐ โดยสรุป
ชี หรือแม่ชี เป็นกลุ่มบุคคลที่เข้ามาถือบวชในพระพุทธศาสนา แต่สถานะของแม่ชีตามกฎหมาย
ไทย ไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นนักบวช เพราะไม่มีกฎหมายฉบับใดให้การรองรับสถานภาพนักบวชหญิง
ของสตรีไทย ในคาว่า "แม่ชี" คาว่าแม่ชีจึงมีความหมายเพียง "อุบาสิกาผู้ถือศีลแปด" เท่าน้ัน ใน
งานวิจยั เร่ือง “แมช่ ี : วิถีผู้หญิงใต้ร่มเงาพุทธศาสนา” ให้คาอธิบายว่า แม่ชี หมายถึง “ผู้หญิงท่ีนุ่งขาว
ห่มขาว โกนคิ้ว โกนผม ถือศีล ๘ ท่ลี ะทงิ้ บา้ นเรือนและพานกั อาศยั ในบรเิ วณวดั หรือสานกั ชี”

ในงานวิจัยของสุขสันต์ จันทะโชโต ได้จัดแบ่งกลุ่มแม่ชีในปัจจุบันท่ีปรากฏใน
ประเทศไทยหลายคณะ คอื

. คณะนุ่งห่มสีกรัก โกนผม โกนคิ้ว สมาทานศีล ๐ ซึ่งเป็นศีลของสามเณรเรียก
ตนเองวา่ ศลี จารณิ ี

๒. คณะทีค่ รองจีวรสนี า้ ตาลเขม้ โกนผม โกนคว้ิ สมาทานศลี ๐ เรยี กตนเองว่า แม่กรัก
แม่เณร หรือสิกขมาตุ

. คณะนุง่ ห่มสีเหลอื ง โกนผม โกนควิ้ สมาทานศีล ๐ เรยี กตนเองว่า สังฆณี
. คณะนงุ่ ขาวห่มขาว ไมโ่ กนผม ไม่โกนคิ้ว เป็นสตรีผู้ถือบวชชั่วคราว สมาทานศีล ๘
ประพฤตพิ รหมจรรย์เรยี กตนเองวา่ ชีพราหมณ์
. คณะนุ่งขาว ห่มขาว โกนผม โกนคิ้ว สมาทานศีล ๘ หรือศีล ๐ ประพฤติ
พรหมจรรยเ์ รียกตนเองวา่ แมช่ ี ๒
สาหรับกลุ่มสตรีในเพศแม่ชีที่อาศัยแนวคิดความเป็นเพศ ได้เข้ามามีบทบาททาง
พระพุทธศาสนามากขึ้นแต่เดิมอาจอาศัยอยู่ในวัด เป็นส่วนหนึ่งของวัด การบริหารงานเป็นไปตาม
เงื่อนไขของคณะสงฆ์ หรือเจ้าอาวาสเป็นผู้รับผิดชอบ จนกระทั่งมีกลุ่มแม่ชีได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม

พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โต). พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์, หนา้ .
๐ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, หน้า ๖ .
โสภา อ่อนโอภาส , อภิชาต ศิวิโรจน์, “แม่ชี : วิถีผู้หญิงใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา”,รายงานวิจัย
ย่อยฉบบั สมบรู ณ์, (กรุงเทพมหานคร : กองทนุ สนับสนนุ การวิจยั , ๒ ๖), หนา้ .
๒ สขุ สันต์ จันทะโชโต, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติคณะแม่ชีไทย : กรณีศึกษาการ
พัฒนาองค์การและการพัฒนาสถานภาพแม่ชีไทยในมิติของพระพุทธศาสนาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร
ดษุ ฎีบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒ ), หน้า ๒ .

โสภา อ่อนโอภาส , อภิชาต ศิวิโรจน์, “แม่ชี : วิถีผู้หญิงใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา”,
หน้า บทคดั ย่อ และ หน้า - .



ดาเนนิ กจิ กรรมร่วมกัน หรือแยกไปดาเนินกิจกรรมในเชิงปัจเจกตามความรู้ความสามารถของท่าน
น้นั ๆ ซึง่ ในการศึกษานี้จะได้ยกมาเป็นกรณีตวั อย่าง เพ่ือบ่งชี้ให้เห็นพัฒนาการของแม่ชีท่ีมีอยู่คู่กับ
สังคมไทยแต่ผสมด้วยแนวคิดเร่ืองสิทธิทางเพศเป็นองค์ประกอบร่วม ดังปรากฏในปัจจุบัน ซึ่งจะ
ได้ศึกษาให้ละเอียด ดังนี้

๓.๑.๒.๑ สถาบันแม่ชไี ทย
สถาบันแม่ชีไทย ก่อต้ังขึ้นด้วยแนวคิด เพ่ือทางานพระพุทธศาสนา สังคม และสิทธิ
สตรีต่อการศึกษา และปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา และกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสตรีกับศาสนา
สถาบันแม่ชีไทย ถือกาเนิดเม่อื ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒ ๒ โดยมีแม่ชีผู้ใหญ่ คณะนักเรียนบาลีรุ่น
แรก โดยการสนับสนุนของคณะสงฆ์ มีแม่ชีประทิน ขวัญอ่อน เป็นประธาน เป้าหมายแรกเพ่ือ
ยกระดับคุณภาพแม่ชีให้สูงขึ้นในด้านต่าง ๆ โดยวางกฎระเบียบสาหรับแม่ชีทุกสานักท่ัวประเทศ
เพ่ือให้แม่ชีมีศักยภาพท่ีจะทางานเพื่อสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การ
สอนหนงั สือแกเ่ ยาวชน การเลี้ยงเด็กกาพรา้ เป็นตน้
สถาบันแม่ชีไทย มีเป้าหมายเพื่อการมีส่วนร่วมกับสังคม ทางานบริการสังคม
ส่งเสรมิ การฝกึ อบรม พัฒนาแม่ชีในฐานะนักบวชหญิง เพ่ือช่วยป้องกัน และแก้ไขปัญหาสังคม ซ่ึง
จาเพาะไปในส่วนของ ปญั หาทีเ่ กยี่ วข้องกบั สตรีและเด็ก โดยมีแนวทางหลากหลายแนวทางในการ
แก้ปัญหา อาทิ การจัดต้ังสถานศึกษาธรรมจารินีวิทยาข้ึน ใน พ.ศ.๒ เพ่ือช่วยเหลือ
เด็กผู้หญิง ท่ีมีปัญหาจากครอบครัว เช่น ครอบครัวยากจน บ้านแตก เด็กกาพร้า เด็กที่มาจากชุมชน
แออัด เป็นต้น มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง โดยทางสถานศึกษา รับภาระในการเลี้ยงดู ให้
การศึกษาอบรม และจดั สรรใหม้ คี วามเป็นอยู่ อยา่ งมีระเบียบวินยั ๖
สถานศึกษาธรรมจารินีวิทยา เปิดรับเยาวสตรีที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากทั่ว
ประเทศ ใหม้ โี อกาสได้รับการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาท้ังตอนต้นและตอนปลาย โดยใช้หลักสูตร
การศึกษานอกโรงเรียน ต่อมามีการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ

สถาบนั แม่ชีไทย ปัจจุบันมีสาขาอยู่ ๒๖ สาขาท่ัวประเทศ และมีแม่ชีจานวนกว่า หม่ืนคน เป็น
สมาชิก รายละเอยี ดเพม่ิ ใน ฉัตรสุมาลย์, สืบสานและเติมเต็ม เรื่องราวของภิกษุณีวันวาน และวันน้ี, (เชียงใหม่ :
วนิดาเพลส, ๒ ), หน้า .

แ ม่ ชี ป ร ะ ทิ น ข วั ญ อ่ อ น ผู้ อ า น ว ย ก า ร ส ถ า น ศึ ก ษ า ธ ร ร ม จ า ริ นี วิ ท ย า
แม่ชอี รุณ เพชรอุไร สถาบันแมช่ ไี ทย, กรุงเทพฯ แม่ชีจันทร์สวย เชิดไชยฤทธ์ิ เชียงใหม่ ที่อยู่ : สาขาสถาบันแม่ชีไทย
อาเภอปากท่อ จงั หวัดราชบุรี ๐ ๐ [ออนไลน์], แหล่งทม่ี า : http://www.thainun.com/ (๒ สิงหาคม ๒ ).

๖[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.thailife.de/wecare/dws/th/about_t.html. (๒๒ สิงหาคม
๒ ๒).

๐๒

พ.ศ. ๒ ๒ ขยายการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ๒ ปี และภาคบงั คบั ปี (มธั ยมศึกษาปีที่ ) สถาบันแม่ชี
ไทยจึงได้ขอจัดตง้ั โรงเรียนธรรมจารินีวิทยา เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทการศึกษาสงเคราะห์แบบ
อยูป่ ระจา เพอื่ ให้เด็กผ้หู ญิงท่ขี าดโอกาส ได้เข้ารับการศึกษาอย่างต่อเนื่องและเท่าเทียม โรงเรียน
จึงเป็นสถาบันท่ีจัดตั้งโดยสถาบันแม่ชีไทย ท่ีเน้นการทางานเชิงสังคม มีกลุ่มเป้าหมายคือสตรีเพศ
ถึงกลุ่มนี้จะไม่ได้เรียกร้องการเป็นภิกษุณีเหมือนกลุ่มแรก แต่ลึก ๆ ก็ต้องการสิทธิ์การเป็น
นักบวช ๘ โรงเรียนธรรมจารินีวิทยานี้อยู่ในรูปแบบของโรงเรียนประจา จัดการศึกษาตามแนววิถี
พุทธ คือ จัดการศึกษาท้ังทางโลก (สายสามัญ) และทางธรรม (ศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนา)
รวมถึงกจิ กรรมในการพัฒนาคุณภาพทางจิตใจโดยใช้ศีล สมาธิ ปัญญา นอกจากน้ัน ยังมีการฝึกฝน
วิชาชีพ เช่น ตัดเย็บเสื้อผ้า เสริมสวย งานฝีมือ การทาอาหาร ซ่ึงดาเนินการโดยแม่ชีที่มีคุณวุฒิท้ัง
ทางโลกและทางธรรม พรอ้ มท้ังคณะครู-อาจารย์ ท่ีมีอุดมการณ์ในการช่วยป้องกันปัญหาของสังคม
ของเด็กหญิง ที่ให้โอกาสเด็กผู้หญิง ท่ีกาลังประสบปัญหา และอยู่ในภาวะยากลาบาก สามารถเข้า
มาเรียนฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โรงเรียนแห่งนี้ จึงเป็นทางเลือกหน่ึงท่ีน่าสนใจในการสร้าง
เดก็ หญงิ ไทยใหเ้ ป็นอนาคตของชาติตอ่ ไป ผู้ท่ีเป็นนกั เรยี นของโรงเรียนนี้จะเรียกว่า "ธรรมจารินี"๕
ไปจนถึงการก่อต้ังมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย (มปถ.)๖๐ เม่ือ พ.ศ. ๒ ๖ โดยมูลนิธิสถาบันแม่ชี
ไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี โดยแม่ชีคุณหญิงกนิษฐา
วิเชียรเจริญ ประธานโครงการ ร่วมกันเสนอให้มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย เข้าสังกัดมหาวิทยาลัย
มหามกุฏราชวิทยาลยั เพ่ือสง่ เสรมิ และสนับสนนุ สตรีทบ่ี วชเป็นแม่ชี หรือสนใจในพระพุทธศาสนา
ใหม้ คี ุณภาพดา้ นการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ ( ) เพื่อเป็นสถานศึกษาและวิจัยในระดับอุดมศึกษา
(๒) ให้การฝึกอบรมแก่แม่ชีไทย สตรีทั่วไปและผู้สนใจในพระพุทธศาสนา ( ) ให้การศึกษาอบรม

[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.buddhistgirls.org/th/home.html. (๒ กนั ยายน ๒ ๒).
๘ มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติคณะแม่ชีไทย เพ่ือให้มีสถานะทางกฎหมายต่อการเป็นนักบวช
รายละเอียดใน สุขสนั ต์ จนั ทะโชโต, “การศกึ ษาเชิงวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติคณะแม่ชีไทย : กรณีศึกษาการ
พัฒนาองคก์ ารและการพัฒนาสถานภาพแมช่ ีไทยในมติ ิของพระพุทธศาสนาเถรวาท”, หน้า ๒ - ๐.
มี ๒ แห่งในประเทศไทย คือสถานศึกษาธรรมจารินีวิทยา อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และสถานศึกษาธรรม
จารินีวิทยา จ.ลาพนู , [ออนไลน์] แหลง่ ที่มา : http://www.buddhistgirls.org/th/shethai.htm (๒๒ สงิ หาคม ๒ ).
๖๐ [ออนไลน์], แหล่งทมี่ า : http://www.pachapati.mbu.ac.th/ (๒ กนั ยายน ๒ ๒).
๖ เปดิ การเรียนการสอนมาได้ ปี จบหลักสูตรไปแล้วกว่า รุ่น ปัจจุบันมีนักศึกษา จานวน ๘๐
คน เป็นแม่ชี ๘ คน และอุบาสิกา ๒ คน หลักสูตรท่ีเปิดสอนแบ่งเป็น ๒ คณะ ได้แก่ หลักสูตรคณะ
ศึกษาศาสตร์ และ หลักสตู รคณะศาสนาและปรชั ญา รายละเอียดเพ่มิ จาก “สรา้ งบณั ฑิต (คน) ดี ตามแนวทางสตรี
วิถีพุทธ” [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20110406/93877/สร้างบัณฑิต(คน)ดีตาม
แนวทางสตรวี ิถพี ุทธ.html (๖ เมษายน ๒๐๐ ).



วิชาการด้านพุทธศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ( ) นาหลักธรรมของ
พระพทุ ธศาสนาและวชิ าการสมัยใหม่ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์แก่พระศาสนาและสังคม ซึ่งปัจจุบันได้
ทาการเรยี นการสอน ณ มหาปชาบดีเถรวี ทิ ยาลยั อาเภอปักธงชัย จงั หวดั นครราชสมี า ๖๒

นอกจากนี้ สถาบนั แม่ชีไทย ยังมสี ่วนเสนอรา่ งพระราชบัญญัติแม่ชีไทย เพื่อเป็นการยก
สถานะของแม่ชี๖ ให้มีผลทางกฎหมายและเป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะไม่มีผลในทางออกมาเป็น
กฎหมายก็ตาม แต่ก็ชี้ให้เห็นเป็นการเคล่ือนไหว เพื่อขับเคล่ือนภาวะเพศวิถี “แม่ชี” ให้ปรากฏต่อ
สาธารณะ ซ่ึงจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นการนา “เพศ” มาขับเคล่ือนกิจกรรมที่สัมพันธ์
อิงอยู่กับกลมุ่ ของพระพุทธศาสนา๖

โดยสรปุ สถาบันแม่ชีไทย ทางานเชิงพุทธ กับบทบาทเพื่อผู้หญิง ที่ขับเคล่ือนด้วยความ
เป็นเพศ ซึ่งในอนาคตอาจเป็นไปได้ว่า ผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งท่ีอยู่ในวัดคือ แม่ชีจะมีบทบาท และ
สถานภาพสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนช้ันกลางท่ีมีการศึกษาจะเข้ามาบวชชีมากขึ้น อีกส่วนหน่ึง
เป็นเพราะแม่ชีเองก็มีความพยายามท่ีจะพัฒนาคุณภาพตนเองให้สูงขึ้นด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ความสาเร็จของแม่ชหี ากจะเกดิ ขน้ึ ได้ ก็เพราะเป็นการอุปถมั ภ์สนับสนุนของฆราวาสหญิงที่เป็นคน
ช้ันกลาง ซึ่งมีแนวโน้มว่ามีทัศนคติท่ีดีต่อแม่ชีเพิ่มข้ึน ดังน้ัน ภาพลักษณ์ของแม่ชี จากหลักฐาน
ปรากฏคู่กับสังคมไทยมานาน แม้ไม่สามารถระบุที่มาได้ชัดเจน แต่ในสภาพปัจจุบันแม่ชียังไม่มี
สถานะที่ชัดเจนทั้งในทางสังคมและกฎหมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในทางวัฒนธรรมความเช่ือ
นั้น สังคมไทยได้ยกแม่ชีไว้ในฐานะท่ีเหนือกว่าฆราวาสหญิงทั่วไป (หากจะไม่กล่าวถึงสังคมไทย
ทั้งหมดและแม่ชีท้ังหมด) มีไม่น้อยที่ญาติโยมศรัทธาแม่ชีถึงข้ันนิมนต์ไปสวดประกอบพิธีกรรม
เชน่ เดียวกับพระภิกษุ หรือออกรบั บิณฑบาต

๓.๑.๒.๒ เสถียรธรรมสถาน (แม่ชีศนั สนีย์ เสถยี รสุต)
เสถียรธรรมสถาน เป็นศาสนสถานที่ดาเนินการโดยผู้หญิงในเพศสถานะแม่ชี ท้ังยังใช้
เพศภาวะเปน็ ตัวขับเคลื่อน “...ถ้าโลกน้ีมีผู้หญิงทางธรรม ทางศาสนาที่ออกมาทางานเพ่ือช่วยเหลือ
มวลมนุษย์ชาติได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้นเท่าไร ปัญหาในสังคมก็น้อยลง” ๖ ท้ังมุ่งหวังขับเคลื่อน

๖๒“สมาคมส่งเสรมิ สถานภาพสตรี”,[ออนไลน]์ , แหลง่ ท่ีมา : http://www.apsw-
thailand.org/nun_th.htm (๖ เมษายน ๒ ).

๖ เพ่ิมเติมใน สุขสันต์ จันทะโชโต, “การศึกษาวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติคณะแม่ชีไทย :
กรณศี ึกษาการพฒั นาองคก์ รและการพัฒนาสถานภาพแมช่ ีไทยในมติ ิของพระพุทธศาสนาเถรวาท”, หน้า ๖- ๒๐.

๖ ดูรายละเอียดใน มาจอรี มือคะ. “เพศวิถีของผู้หญิง ในวาทกรรมไทยเกี่ยวกับแม่ชี”, ใน อมรา
พงศาพชิ ญ,์ หนา้ ๖ -๘ .

๖ แมช่ ีศนั สนีย์ เถียรสุต, สาวิกา, (กรุงเทพมหานคร : แปลนพร้นิ ท์ต้งิ , ๒ ), หน้า - ๐.



และปรับเปลี่ยนสังคมให้เป็นไปในทางที่ดี๖๖ ฉะนั้น แนวทางของสานักเสถียรธรรมสถานจึงมี
เป้าหมายท่ีมีลักษณะของพระพุทธศาสนาเพ่ือสังคมเสียมากกว่า ผู้ก่อต้ัง คือแม่ชีศันนีย์ เสถียรสุต
(พ.ศ.๒ ) ผู้ก่อตั้งไม่ได้เน้นการทางานโดยใช้แนวคิดเร่ืองความเป็นเพศเสียทีเดียว๖ แต่มี
เป้าหมายหลักอยู่ที่สังคมและชุมชน รวมทั้งการปฏิบัติธรรมตามหลักเป้าหมายสูงสุดในทาง
พระพทุ ธศาสนา๖๘

เสถียรธรรมสถานก่อต้ังข้ึนเม่ือ พ.ศ.๒ ๐ ภายใต้ความอนุเคราะห์จาก “กองทุน
เสถียรธรรม” เพ่อื ส่งเสริมให้มีการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม และเผยแผ่ธรรมะ แก่เพื่อนมนุษย์ ให้
ได้รับความสงบเย็น ความผ่องใสเบิกบาน ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก หนุ่มสาว ในลักษณะรูปแบบที่แตกต่าง
กัน๖ ได้เร่ิมต้นงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะเด็ก สตรี และนักบวช ตั้งแต่
พ.ศ.๒ โดยใช้หลักพุทธธรรมนาสังคม ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐ ปี เสถียรธรรมสถานได้
กลายเป็น แหล่งการเรียนรู้ งานสร้างชีวิตในทุกระดับ นับตั้งแต่ปัจเจกไปจนถึงระดับสากล ใน
ภาระงานและกิจกรรมต่าง ๆ เช่นโครงการบ้านสายสัมพันธ์และป้องกันเชิงรุก ในโครงการ
ประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์ โครงการบ้านสายสัมพันธ์ โครงการศิลปะการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตด้วยอานาปานสติ โครงการอนุสาวรีย์ความดี ความงาม และความจริง โครงการจิตประภัสสร
ตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์ เป็นต้น รวมทั้งร่วมก่อตั้ง The Global : Peace Initiative of Women กับสตรีอีก
๖๐ ประเทศ เพื่อการทางานชว่ ยเหลอื สตรีและเยาวชนเร่ืองสันติภาพโลก รวมท้ังทางานรณรงค์ในการ

๖๖แม่ชีศันสนีย์ เถียรสุต, เพ่ือนนอกเพื่อนใน, (กรุงเทพมหานคร : สามสีการพิมพ์, ๒ ๐),
หนา้ ๐- และ ฐิตริ ตั น์ รักษ์ใจตรง, “ศึกษาการใชอ้ านาปานาสตภิ าวนาเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของเสถียรธรรม
สถาน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒ ๘), หน้า - .

๖ แต่ในอีกความหมายหนึ่งถ้าพิจารณาจากโครงการที่แม่ชีศันสนีย์จัดทาอาทิ โครงการบ้านสาย
สัมพันธ,์ โครงการจติ ประภัสสรตง้ั แต่นอนอยูใ่ นครรภ์ ,โครงการสาวกิ าสกิ ขาลัย เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายหลักล้วน
เปน็ กลมุ่ สตรเี พศ ดูเพิม่ ใน สโรชา คุณาธิปพงษ์, “การศึกษาวิเคราะห์การพัฒนาสตรีตามทัศนะของแม่ชีศันสนีย์
เสถียรสุต”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ),
หนา้ - ๒ .

๖๘ฐติ ิรัตน์ รกั ษ์ใจตรง, “ศึกษาการใชอ้ านาปานาสตภิ าวนาเพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของเสถียรธรรมสถาน”,
หนา้ ๖- .

๖ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๒.



ยุติความรุนแรงเพื่อนาไปสู่สันติภาพ ๐ จนกระทั่งมีนักสารคดีจากต่างประเทศมาถ่ายทาในเรื่อง A
Walk of Wisdom

ด้วยบทบาทการทางานเพ่ือสังคม ทาให้แม่ชีได้รับรางวัล Spiritual Leadership Award
ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้ท่ีทางานเป็นผู้นาทางจิตวิญญาณในฐานะผู้ยุติความรุนแรงใ นเด็กและ
สตรี และการพัฒนาจิตผู้นาทางจิตวิญญาณและสันติภาพโลก พร้อมกับผู้นาท่ีมีคุณูปการต่อโลก
ทา่ นอืน่ ๆ เชน่ องค์ดาไลลามะ เปน็ ต้น

พร้อมกันน้ัน เสถียรธรรมสถาน ยังได้ก่อตั้ง สาวิกาสิกขาลัย เพ่ือให้เป็น
สถาบันการศึกษาสาหรับผู้หญิง นักบวชหญิง และฆราวาสท่ัวไปที่ต้องการ การศึกษาหลักสูตร
เก่ียวกับพระพุทธศาสนา ภายใต้การกากับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยเริ่ม
เปิดโครงการปริญญาโทปีการศึกษา ๒ คือ หลักสูตรพุทธศาสนามหาบัณฑิตสาขาวิชา
พระพทุ ธศาสตร์และศลิ ปะแหง่ ชวี ติ ซึ่งจะใชเ้ วลาในการเรียนประมาณ ๒ ปี เฉพาะวันเสาร์/อาทิตย์
โดยอาจารย์ผู้สอนจะเป็นนักวิชาการ นักบวช พระ แม่ชี ผู้มีประสบการณ์ด้านพระพุทธศาสนาเป็น
อย่างดี หมุนเวียนกันมาถ่ายทอดวิชาความรู้ นอกจากน้ี ยังมีโครงการท่ีจะพัฒนาหลักสูตรท่ีสูงขึ้น
ถงึ ระดบั ปรญิ ญาเอกและหลักสตู รนานาชาติ

ในส่วนกลุ่มสตรีเพศในบทบาทของแม่ชีอาจมีกลุ่มหรือบุคคลอ่ืน ๆ ท่ีสะท้อน
ภาพลักษณข์ องสตรี ท่ีทางานเพื่อพระพุทธศาสนา ดังกรณีคุณหญิงแม่ชีขนิษฐา ศรีวิเชียร หรือสตรี
เพศแม่ชีกับบทบาทการระดมทุน ท่ีแม้จะนาไปทาประโยชน์ ผ่านวิธีทางความเช่ือ อิทธิฤทธ์ิ ดัง
กรณี แมช่ ที ศพร เทวาพิทักษ์ธรรม แหง่ วัดพชิ ยั ญาตกิ าราม แม่ชีมโนรา เขตภูเขียว ทั้ง ๒ ท่าน มุม
หน่ึงเป็นการสะท้อนภาพลักษณ์ของตนบุญผ่านความเป็นแม่ชี ในอีกมุมหน่ึงเป็นการสะท้อน
ภาพลักษณ์เชิงปัจเจก ท่ีสัมพันธ์กับการทาให้เช่ือ หรือศรัทธา โดยมีการบริจาคเป็นเครื่องตอบแทน
แต่ในขณะเดียวกันภาพลักษณ์แม่ชีในแบบของ “ผู้วิเศษ” ก็เกิดขึ้นไม่แตกต่างจากพระสงฆ์ในภาพ
ของผู้ชาย ความหมายหนึ่งอาจแปลได้ว่า “สตรี” กับบทบาททางศาสนาได้รับการยอมรับ ที่ไม่
แตกตา่ งกบั ผชู้ ายแม้จะเปน็ สว่ นนอ้ ยกต็ าม ท้ังยงั สะท้อนภาพลกั ษณ์ของนักบวช หรือผู้ถือศีลในเพศ
ของสตรดี ว้ ย

เมอ่ื กล่าวโดยสรุป ความเป็นเพศทปี่ รากฏในเพศสถานะของแม่ ซึ่งส่วนใหญ่มีแนวโน้ม
ทิศทางทส่ี ่งเสริมให้สตรเี พศได้เข้ามามีพ้ืนที่ทางศาสนา แต่ในเวลาเดียวกัน ภาพลักษณ์ดังกล่าว แม้

๐ ดรู ายละเอยี ดเสรมิ ใน แมลงปอปกี ม่วง. “ตัดวงจรแห่งความรุนแรง”, ในสาวกิ า, ฉบบั ที่ ๖ ปีท่ี
(๒ ) : ๒- .

มงคล เนินอุไร, ชวี ประวตั ิแมช่ ีมโนรา เขตภเู ขียว (อาจารยแ์ ม่), (กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พ์
นติ ยสารโลกทพิ ย,์ ๒ ), หนา้ - .

๐๖

จะได้รับการยอมรับในเชิงสังคม แต่ก็ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ต่อ “สิทธิ” พ้ืนท่ีของความเป็น
นักบวชในพระพุทธศาสนาของกลุ่มแม่ชี แม้จะมีหลายกลุ่มองค์กรพยายามที่จะทาให้แม่ชีเป็น
นักบวชผ่านกระบวนการทางกฎหมายก็ตาม ซ่ึงก็ยงั คงเปน็ ประเด็นท่ีตอ้ งตดิ ตามดกู นั ต่อไป

๓.๑.๓. กลุ่มเพศวิถีสตรี “อุบาสิกา”
สตรีกับการทางานทางด้านพระพุทธศาสนา หรือสตรีกับการมีบทบาททางศาสนา
ปรากฏมอี ยู่ในสงั คมไทย บางท่านเลือกเส้นทางชวี ติ เช่นนักบวช กรณี แม่ชี หรือภิกษุณี บางท่านใช้
การปฏบิ ตั ใิ นฐานะ “อุบาสิกา” ท่ีหมายถึง สตรีท่ีทางานและมีบทบาทร่วมทางศาสนาในสังคมไทย
โดยภาพลักษณ์การทางาน ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความเป็นเพศ แต่การทางานส่งผลโดยรวมต่อ
ศาสนา และมีภาพของ “สตรี” เพศในการทางานเพ่ือพระพุทธศาสนา และเป็นปรากฏการณ์ต่อ
สงั คมในภาพกวา้ ง ๆ ซึง่ ยกเปน็ กรณศี กึ ษา ได้ดังนี้

๓.๑.๓.๑ มหาอบุ าสิกา ดร.บงกช สิทธพิ ล เกาะแดนมหามงคล จงั หวัดกาญจบรุ ี
หากดูพัฒนาทางด้านพระพุทธศาสนาท่ีเป็นกลุ่มท่ีขับเคลื่อนด้วยเพศวิถีในยุคปัจจุบัน
อุบาสกิ าบงกช สิทธิผล หรือท่ีชาวต่างชาติรู้จักกันนามใน มหาอุบาสิกา ดร.บงกช สิทธิผล ๒ เป็น
อีกบุคคลหน่ึง ที่ถึงไม่ได้เน้นด้วยความเป็น “เพศ” เช่นเดียวกับกลุ่มภิกษุณี หรือ กลุ่มของสถาบัน
แม่ชีไทย แต่เพราะภาพลักษณ์ของความเป็นสตรีเพศ ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะ จึงเป็นประหน่ึง
ขับเคล่ือนด้วยเพศ แม้ “เกาะแดนมหามงคล จะอยู่ในความรับรู้ของคนไทยอย่างจากัดก็ตาม แต่
บทบาทและการทางานยังคงดาเนนิ ต่อไป
ในหนังสือ Mahaupasika Dr.Bongkot Sitthipol : The Extraordinary Light of
Peace ให้ข้อมูลไว้ว่า เกิดในเดือนเมษายน พ.ศ.๒ ที่อรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี แต่เดิม
เป็นครูสอนและเจ้าของโรงเรียนเสริมสวย “บงกช” ต่อมาเข้าสู่พระพุทธศาสนา และทางานเพื่อ
พระพุทธศาสนาท้ังปฏบิ ัตเิ อง และในเวลาเดยี วกันก็เป็นผ้ทู ากิจกรรมในนามของหญิงไทย ชาวพุทธ
ไทย และพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

๒Buddha Priya Bhikshu, Mahaupasika Dr.Bongkot Sitthipol The Extraordinary Light of
Peace, (Kolkata, India : Priyanka Printers, 2005).

ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์, “สตรีไทยคนแรกกับรางวัลสันติภาพ ดร.อัมเบดการ์,” ใน คอลัมน์
หน้าต่างความจรงิ , หนงั สือพมิ พม์ ตชิ นรายวนั . ฉบบั ประจาวันอาทติ ย์ (ท่ี ๘ มกราคม ๒ ) : หน้า ๖.

Buddha Priya Bhikshu. Dr.Bongkot Sitthipol : Life dedicated to World Peace. (Kolkata,
India : Priyanka Printers, 2005), p.21.



งานท่แี มช่ บี งกชทาคอื “การศึกษานอกระบบเพ่ือสันติภาพ” (Non-Formal Education for
Peace) ซึ่งเปน็ ที่ยอมรับของชาวตา่ งชาติ และให้รางวัลในฐานะเป็นผู้ทาประโยชน์ต่อสาธารณะ
อย่างกว้างขวาง และนาไปส่กู ารมอบรางวลั ตา่ ง ๆ จานวนมาก ๖ โดยกิจกรรมและภาระงานที่ยกมา
เปน็ กรณีศกึ ษาได้แก่

. ก่อตั้งสานักปฏิบัติธรรมแดนมหามงคล จ.กาญจบุรี โดยมีพระสงฆ์และอุบาสกมา
ปฏิบัติอยู่ที่เกาะพระอาทิตย์ โดยชีและอุบาสิกาจะปฏิบัติอยู่ที่เกาะพระจันทร์ การปฏิบัติคล้าย ๆ
สถานปฏิบัตธิ รรมทว่ั ๆ ไป บรเิ วณรอบ ๆ ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติ เช่น ร่มรื่น สวยงาม เหมาะ
และเออื้ ต่อการปฏิบตั ธิ รรม

๒. ก่อตั้งสานักปฏิบัติธรรมแดนมหามงคล “สวัสดี” ท่ีประเทศอินเดีย โดยอุบาสิกา
บงกชและสานุศิษย์ได้บุกเบิกมาเป็นเวลากว่า ๐ ปี บนผืนดินกว่า ๐ เอเคอร์ รอบ ๆ ซากวัด
พระเชตวันมหาวิหาร ปลูกต้นไทรให้ร่มร่ืน ถึง , ต้น การก่อสร้างพระพุทธรูปปางประทาน
พรชื่อว่า "พระพุทธมหามงคลชัย มหาเมตตาธรรม ประทานพร เพ่ือสันติภาพโลก" ขนาดหน้าตัก
กว้าง . เมตร สูง เมตร ความสูงจากฐานถึงยอดพระมหาเกศ เมตร มีอาคารขนาดใหญ่
สถาปัตยกรรมแบบไทยอันวิจิตรถึง หลัง ภายในอาคาร ปูด้วยหินอ่อนอย่างดี เพื่อเป็นสถานท่ี
บาเพ็ญสมาธิภาวนา ปัจจุบันชาวพุทธนานาชาติ มาจาริกแสวงบุญ ณ "แดนมหามงคลชัย" เมือง
สาวัตถี นับไดก้ วา่ ๐ ล้านคน จากกวา่ ๐๐ ประเทศ

มหาอบุ าสกิ า ดร.บงกช สิทธิผล ได้รับรางวัล “สตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนาแห่งโลก”
เนื่องในโอกาสวันสตรีสากลแห่งสหประชาชาติ ประจาปี พ.ศ.๒ รางวัล "รัตนบงกชมหา
มาตาเมธธรรมาจารย์" จากมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก (World Buddhist University)
และดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (Doctor of Tripitaka) จากสภาคณะสงฆ์แห่งอินเดีย ในปีเดียวกัน และ
ล่าสุดได้รับรางวัล "สันติภาพนานาชาติ ดร.อัมเบดการ์" ประจาปี พ.ศ.๒ ๘ ในฐานะผู้สร้าง

Dr.Buddha Priya Mahathera. Dr.Bongkot Sitthipol : Life dedicated to World Peace.
(Kolkata, India : Priyanka Printers,2005), pp.189-231.

๖(1) World Peace Messenger Award , United States of America (2) Physician of the New
Millennium ,Canada (3) The Noblest Teacher of Mind Development for International Peace and International
Award for Protection of Environment ,Spain (4) Atish Dipankar Peace Award and Bangadesh Samgharaj
Bhikshu Mahasabha Award for Peace, Bangaladesh (5) Mahatma Gandhi Memorial Award for Non-
Violence&Peace,Nigeria [๖] Paix Excellence et Honneur , Ivory Coast (# 7-16), Dr.Buddha Priya Mahathera,
Dr.Bongkot Sitthipol : Life dedicated to World Peace, pp.189-231.

๐๘

สันติภาพแกโ่ ลก โดยการสบื สานเจตนารมณ์ของ ดร.อัมเบดการ์ในการนาพระพุทธศาสนากลับคืน
สอู่ นิ เดยี ณ เมอื งสาวตั ถี ดนิ แดนท่พี ระพทุ ธเจ้าประทับอยูย่ าวนานท่สี ดุ ในพุทธประวตั ิ”

โดยสรุปบทบาทของอุบาสิกาบงกช สิทธิผล สตรีที่มีภาพลักษณ์เช่นนักบวชใน
พระพทุ ธศาสนา ทที่ างานเพือ่ พระพุทธศาสนา สง่ เสริมประชาสมั พนั ธ์ในภาพรวม ในเวลาเดียวกัน
ยังมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกต่อกลุ่มสตรี ที่ทางานเพื่อพระพุทธศาสนา จึงทาให้เกิดการยอมรับและ
นาไปส่กู ารศึกษาและปฏิบัติตามกันในวงกวา้ ง

๓.๑.๓.๒ กลุ่มมูลนิธิศกึ ษาและเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนา
อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในฐานะความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา ตาแหน่ง
ประธานกรรมการมลู นธิ ิศึกษาและเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนา ทม่ี ีเป้าหมายเพอ่ื การเผยแผ่หลักคาสอน
ทางพระพุทธศาสนา ทางสื่อชนิดต่าง ๆ ที่นับเป็นปรากฏการณ์ทางพระพุทธศาสนาที่เด่นชัดกับ
บทบาทของสตรีกบั งานเผยแผ่
อาจารย์สุจนิ ต์ บริหารวนเขตต์ เกิดวันท่ี มกราคม พ.ศ. ๒ ๖ ท่ีจังหวัดอุบลราชธานี
เร่ิมศึกษาพระอภิธรรมที่พุทธสมาคม ในปี พ.ศ. ๒ ๖ กับอาจารย์ แนบ มหานีรานนท์ อาจารย์บุญมี
เมธางกูร คุณพระชาญบรรณกิจ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต จากน้ันก็ได้ศึกษาพระธรรมจาก
พระไตรปฎิ ก และอรรถกถาตลอดมา โดยอาศยั ความอนุเคราะห์ของพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสภา
การศกึ ษามหามกุฏราชวิทยาลยั เปน็ ผูแ้ ปลภาษาบาลีและใหค้ าแนะนา
บทบาทท่ีโดดเด่น คือ การตั้งมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และทาการเผย
แผแ่ นวความรูเ้ ก่ยี วกับอภธิ รรม ทางสอ่ื ชนิดต่าง ๆ เชน่ ส่ือสิง่ พมิ พ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ๘ แม้จะเป็น
การทางานในกลุ่มเล็ก ๆ แต่ในเวลาเดียวกันได้กลายเป็นฐานบ่มเพาะต่อภาระงานทางด้าน

ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์, “สตรีไทยคนแรกกับรางวัลสันติภาพ ดร.อัมเบดการ์,” ใน คอลัมน์
หน้าตา่ งความจริง, หนังสอื พมิ พ์มติชนรายวนั . ฉบบั ประจาวนั อาทติ ย์ (๘ มกราคม ๒ ) : ๖.

๘ปัจจุบันอาจารย์สุจินต์ได้บรรยายพระอภิธรรมเป็นประจาท่ี มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่
พระพุทธศาสนา และมีการบันทึกเทปเพ่ือนาออกอากาศในรายการ “บ้านธัมมะ” ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่ง
ประเทศไทย และสถานีวิทยุในกรุงเทพและต่างจังหวัด [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://www.dhammahome.com/
(๒๒ กันยายน ๒ ).



พระพุทธศาสนาในองค์รวมในวงกว้าง ซ่ึงทาให้เกิดการตื่นตัวต่อการศึกษาอธิธรรมกันมากข้ึน
ท้ังยังได้สะท้อนภาพของสตรีเพศกับการทางานเพ่ือเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือบริษัท ในส่วน
ของอุบาสกิ า สตรเี พศที่ทางานเพ่ือการเผยแผ่ นับเป็นปรากฏการณ์ทางพระพุทธศาสนาอีกประการ
หน่ึงในสังคมไทย ๘๐ ทผ่ี ้หู ญิงเขา้ มามีบทบาทตอ่ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา

โดยสรุป นอกจากกรณีศึกษาที่ยกมา กลุ่มผู้หญิงที่ทางานเพ่ือพระพุทธศาสนานับแต่
ภิกษุณี แม่ชี และอุบาสิกาแล้ว ยังมีบุคคลตัวอย่างที่ไม่ได้นามาศึกษาโดยตรง แต่มีบทบาทในฐานะ
ผู้นากิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างแข็งขัน อาทิ อุบาสิกา รัญจวน อินทรกาแหง, ก.เขาสวนหลวง,
คุณแม่สิริ กรินชัย แม่ชีนันทญาณี ท่านเหล่านี้มีวัตรปฏิบัติงดงามและสอนธรรมะแก่ผู้หญิงและ
บุคคลทั่วไป สิกขมาตุ เป็นนักบวชหญิงของชุมชนอโศก ถือศีล ๐ นุ่งสีน้าตาล ห่มเทา จากัด
จานวนเพียงหนึ่งในส่ีของนักบวชชายหรือสมณะ ภิกษุณี ปัจจุบันมีภิกษุณีชาวไทยที่ไปบวชจาก
ต่างประเทศประมาณ ๐ รูป แต่มิได้อยู่ปฏิบัติเป็นสังฆะร่วมกัน และแม่ชี โดยท่านได้กระทาแล้ว
ในการปฏบิ ตั ิตนสละชีวติ ทางโลกเข้าสู่ทางธรรม บวชเพื่อเกิดใหม่ในบวรพระพุทธศาสนา๘ ถึงจะ
ไม่ได้ขับเคลื่อนกลุ่มของตนเองในนามของเพศภาวะ เพ่ือเรียกร้องการมีอยู่หรือสิทธิการ “เป็น”
ตามเง่ือนไขในเชิงรูปแบบของพระพุทธศาสนา แต่ภาวะแห่งเพศท่ีปรากฏก็ทาให้เกิดความเข้าใจ
ในเชิงของเพศอยู่ ส่วนกล่มุ หลัง เป็นเพียงผทู้ ่ีตอ้ งการแสวงความจริงแทใ้ นทางพทุ ธธรรม ถึงไม่นา
เพศภาวะมาเป็นประเด็นในข้อเรยี กรอ้ ง แต่กใ็ ช้เพศภาวะในการเข้าหาธรรมท่ีสังคมนิยามหรือจากัด
ไว้ให้ ด้วยการปฏิบัติ “บวชใจ” และทาหน้าที่ของอุบาสิกาผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย พร้อมท้ังเป็นผู้
ปฏิบตั ิ และเผยแผ่อยา่ งแข็งขนั

ในมิติทางวัฒนธรรมเชิงสังคม “วิถีพุทธ” น้ัน พระไพศาล วิสาโลมองว่า ผู้หญิงท่ีมี
ภาวะบง่ บอกถงึ ความเป็นเพศสภาพ ได้มีพ้ืนท่ีมากข้ึน ๆ ในฐานะผู้นาทางจิตวิญญาณ เช่น มีผู้หญิง
เป็นหัวหน้าสานักซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เป็นอาจารย์สอนปริยัติและกรรมฐาน ท้ังใน
รูปแบบแมช่ ี และคฤหัสถ์ ท้ังมีแนวโน้มว่า จะมีบทบาทและสถานภาพสูงข้ึน และมีแนวโน้มที่จะมี

ครง้ั หนึ่งผูว้ จิ ยั เคยไปใช้ชีวิตในประเทศกัมพูชา นักเผยแผ่ธรรมที่มีคนฟังธรรมและมีศิษย์จานวน

มาก คือ บุสะวงศ์ ซ่ึงเป็นนักอภิธรรมที่ประกาศตนเป็นศิษย์ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผ่านการฟังรายการ

วิทยุ (ภาษาไทย) ท่ีสามารถรับฟังได้จากชายแดนไทยเข้าไป ท้ังสามารถปฏิบัติและเผยแผ่ได้อย่างกว้างขวาง ดู

รายละเอียดใน Klot Thyda, Buddhism in Cambodia, (Phnom Pehn : Buddhist Institute, 2001), (Khmer

Language).

๘๐พระธนนาถ นิธิปญโฺ ญ (พลกรรณ)์ , บทบาทของอาจารย์สจุ ินต์ บรหิ ารวนเขตต์ ในการเผยแผ่

พทุ ธธรรม, (กรุงเทพมหานคร: มลู นิธศิ กึ ษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา, ๒ ๘), หน้า บทคัดย่อ.

๘ อารยา พยุงพงศ์ “นักบวชหญิงกับสังคมสมัยใหม่” ในเสขิยธรรม ฉบับ [ออนไลน์],

แหลง่ ทม่ี า : http://www.skyd.org/html/sekhi/41/nun.html (๒๒ กันยายน ๒ ).



การผลักดันให้มีภิกษุณีแบบเถรวาทในเมืองไทยอย่างเข้มข้นข้ึน แม้ว่าคณะสงฆ์ไทยจะไม่ยอมรับ

แต่หากสังคมชาวพุทธทั่วไปยอมรับ ภิกษุณีบริษัท (หรือกลุ่มเพศภาวะอ่ืนใดที่ทางานเพ่ือ

พระพุทธศาสนา-ผ้วู ิจยั ) ก็มิใช่สิ่งทจ่ี ะปฏเิ สธไดอ้ ีกตอ่ ไป๘๒

-อัมพิกา

แนวคิดเรื่องความเป็นเพศกับ -นิรามสิ สา
การมสี ว่ นรว่ มในทางศาสนา
ภิกษุณี มหายาน - ฯลฯ

เถรวาท -ธรรมนันทา

-นันทญาณี

กลมุ่ เพศวิถใี น -ฯลฯ
พทุ ธศาสนา
แมช่ ี สถาบันแม่ชีไทย,มหาปชาบดี
โคตรมี และเสถียรธรรมสถาน ฯ

และแมช่ ีอนื่ ๆ ในประเทศไทย

อบุ าสกิ า-ชาวพุทธ บงกช สิทธผิ ล
สมจินต์ บริหารวนเขต ฯลฯ

แผนภาพท่ี . เพศวิถีกบั การมสี ว่ นร่วมทางศาสนาในสังคมไทย

สรุป การแสวงหาพน้ื ที่ หรือร้ือฟื้นสิทธิสตรี ต่อการบวชเป็นภิกษุณีในไทยนั้น มีความ
ซับซ้อนซ่อนหลายกรณี นับต้ังแต่พระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ และรัฐธรรมนูญอันว่าด้วย
สิทธิความเชื่อ และสิทธิสตรี ซ่ึงในความเป็นจริงยากท่ีจะทาให้เกิดเอกภาพ ในการให้สตรีมีสิทธิ
ทัดเทียมกับบุรุษเพศต่อประเด็นการบวชในสังคมไทย แต่เม่ือพิจารณาในภาพรวมตามแผนภาพที่

.๑ จะเหน็ ไดช้ ดั เจน และสะท้อนความจริงเก่ียวกับสตรีกับศาสนาได้ว่า จะยังคงเป็นปรากฏการณ์
ที่ขับเคล่ือนสังคมในภาพรวม ท้ังมีแนวโน้ม ท่ีจะได้รับการยอมรับ ให้การสนับสนุนมากข้ึนของ
กลุ่มสตรีเพศในภาพลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุณี แม่ชี หรืออุบาสิกา ที่จะทางานเพ่ือ
พระพทุ ธศาสนาโดยขา้ มความเปน็ “เพศ” หมายถงึ ใหก้ ารยอมรับต่อตัวหลักการ หลักธรรมคาสอน

๘๒พระไพศาล วิสาโล, แนวโน้มของพุทธศาสนาไทยในศตวรรษท่ี ๒๑, (กรุงเทพมหานคร :
กองทุนรกั ษ์ธรรม, ๒ ), หนา้ ๐- .

และนาไปส่กู ารนาหลักปฏิบตั ิไปปฏบิ ตั อิ ย่างเขา้ ใจ พร้อมท้งั ให้การสนับสนุนโดยไม่มีความเป็นอ่ืน
มองถึงเพยี งความเป็นพระพุทธศาสนาทปี่ รากฏในสังคมไทย

ดังนั้น ความเหมือนของกลุ่มผู้หญิงกับศาสนาคือ ( ) เป็นกลุ่มผู้หญิงหรือแนวคิดที่
สนับสนุนเปิดพ้ืนที่ให้ผู้หญิง (๒) ใช้ความเป็นสตรีในการเข้ามามีส่วนร่วมกับศาสนา ( ) ทางาน
เพื่อพระพุทธศาสนาในลักษณะต่าง ๆ ท่ีแปลก แตกต่างไปจากเดิม ( ) มีแนวคิดเร่ืองผู้หญิง เพศ
หญิง หรือความเป็นผู้หญิง กับความเกี่ยวข้องทางศาสนาอย่างมีนัยยะ จึงอาจกล่าวได้ว่า ความเป็น
พุทธใหมข่ องกลุ่มสตรีเกดิ จากความเป็นเพศและใช้ความเป็นเพศนั้นมีส่วนร่วมและสร้างมิติที่เกาะ
เก่ยี วอยู่กับศาสนาอย่างท่ปี รากฏเป็นกลมุ่ ในกรณศี ึกษาที่กล่าวมา

๓.๓. กลุม่ ตคี วามใหม่
แนวคดิ เกยี่ วกับการตีความเกิดขึน้ นับแตค่ ร้ังพุทธกาล อาจจะด้วยเหตุผลในเรื่องของทิฐิ

ที่แตกต่างกัน พระพุทธศาสนากับการตีความเกิดข้ึนมานาน และมีพัฒนาการมาต่อเน่ืองอย่าง
ยาวนาน และในเวลาเดียวกัน มีบางผู้ บางสานัก มองว่าเป็นเพียงการตีความเพ่ือ ( ) ความเข้าใจใน
เชงิ หลักพุทธธรรมตามเป้าประสงค์ของธรรม (๒) เป็นการตีความ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการ
นามาตอบสนององค์ธรรม และการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความดีงามในการอยู่ร่วมกันในสังคม ( )
เป็นไปเพื่อการสร้างลักษณะเฉพาะของกลุ่มการตีความตามเป้าประสงค์ของกลุ่มนั้น ๆ ทั้งเป็นไป
เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการ ความเขา้ ใจของตวั เอง หรือเจ้าสานักผกู้ ่อตัง้

การตีความหรือการให้คาอธิบายองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าใน
เร่ืองพรหม๘ เร่ืองการแสดงความเคารพต่อทิศ ในสิงคาลกสูตร๘ หรือเร่ืองอ่ืน ๆ ท่ีปรากฏใน
คมั ภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา ในทศั นะผ้วู จิ ัยจัดว่าเป็นตน้ แบบการตีความหรือให้คาอธิบายองค์ความรู้
ในพระพุทธศาสนา หรือล่วงมาในบริบทประเทศไทย การตีความของพญาลิไท (ครองราชย์

๘ แนวคิดทางพุทธศาสนาให้คาอธิบายเกี่ยวกับ “พรหม” ในฐานะเป็นข้อพึงปฏิบัติต่อบุคคลอ่ืน
“ผ่าน” จริยปฏิบัติท่ีเรียกว่า “พรหมวิหารธรรม” คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา” ต่อบุคคลที่มี “คุณ” เช่น
มารดาบดิ าชอ่ื วา่ พรหม เพราะมพี รหมวิหารธรรม ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ช่ือว่า
บุรพาจารย์ เพราะเป็นอาจารย์คนแรกที่สอนลูกให้เรียนรู้การน่ัง การยืน การเดิน การนอน การเคี้ยว การกิน
รวมทง้ั สอนให้รู้จักพูด และรู้จักอะไรควรอะไรมิควร ช่ือว่า อาหุไนยบุคคล เพราะเป็นผู้ควรแก่ปฏิการคุณท่ี
บุตรพึงทาตอบแทน เช่น การปรนนิบัติท่านด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม; องฺ.ติก.อ. ๒/ / - ๒ และดู
รายละเอียดแนวคดิ น้ีใน องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒ /๖ / ๐ (พรหมสูตร).

๘ แนวคิดทางพระพทุ ธศาสนา ใหแ้ สดงความเคารพตามแนวคิดเรื่องทิศ โดยเทียบเคียงกับหลักทิศ
ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยพระพุทธศาสนาตีความและให้คาอธิบายใหม่ ดังปรากฏในบทสนทนาของ
พระพทุ ธเจา้ และสิงคาลกมาณพ ดรู ายละเอยี ดใน ที.ปา. (ไทย) /๒ ๒-๒ / -๒ (สิงคาลกสตู ร).



พ.ศ. ๘ ๐- ) ในเร่ืองกรรมกับนรกสวรรค์๘ ซึ่งจัดว่าเป็นการตีความใหม่ตามความเช่ือ
ในทางพระพุทธศาสนาในช่วงเวลานั้น ท่ีมีเป้าหมายเพื่อการรักษาองค์ธรรมและความรู้ในทาง
พระพุทธศาสนา หรือในอีกมิติหน่ึงเป็นการสร้างความชอบธรรมในการปกครอง เพ่ือควบคุม และ
ขัดเกลาสมาชกิ ของสังคมในภาพรวม๘๖ พร้อมท้ังเป็นการสร้างความชอบธรรม “ในฐานะพระราชา
ผู้ทรงธรรม” ล่วงมาในสมัยอยุธยา ฐานความเชื่อทางการปกครอง ที่พระราชาเป็น “สมมติราชา”
หรือ “สมมติเทพ” ๘ “ทศพิธราชธรรม” ๘๘ รวมไปถึงแนวคิด “พุทธสังคมนิยม” ในสมัย
นายกรัฐมนตรีอูนุ แห่งพม่า๘ (พ.ศ.๒ ๐-๒ ,/ค.ศ.1947-1956) “พุทธราชา” ในสมัย

๘ ไตรภูมิพระร่วง มีหลายชื่อเรียกได้แก่ "ไตรภูมิพระร่วง" "เตภูมิกถา" "ไตรภูมิกถา" "ไตรภูมิโลก
วินิจฉัย" และ "เตภูมิโลกวินิจฉัย" เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาที่แต่งในสมัยสุโขทัยประมาณ พ.ศ. ๘๘๘ โดย
พระราชดารใิ นพระยาลิไท รวบรวมจากคมั ภีรใ์ นพระพุทธศาสนา มีเนือ้ หาเกยี่ วกบั โลกสันฐาน ทแ่ี บง่ เปน็ ส่วน
หรือ ไตรภูมิ ได้แก่ กามภมู ิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ดูรายละเอียดใน พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), ไตรภูมิพระ
ร่วง : อิทธพิ ลต่อสังคมไทย, (กรงุ เทพมหานคร: มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒ ๒ ), หน้า ๐- .

๘๖ แนวคิดเรื่องการตีความเพื่อตอบสนองบริบทปรับใช้ในสังคมปรากฏมีอยู่ในทุกสังคม จะด้วย
เหตผุ ลทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม โดยสาระสาคัญ เพอื่ ตอบสนองชนช้ันปกครอง ท่ีเป็นไปเพ่ือ
การปกครองเสียเป็นด้านหลัก ดังปรากฏในงานค้นคว้าของ Ian Harris, (Buddhism n Extremis : The Case of
Cambodia :pp.54-78) Bruce Matthews, (The Legacy of Tradition and Authority : Buddhism and the Nation in
Myanmar,pp.26-52), Martin Stuart-Fox, (Loas : Buddhist Kingdom to Marxist State), pp 153-172, Donald K.
Swearer, (Centre and Periphery : Buddhism and Politices in Modern Thailand, pp.194-228, Timothy
Figzgerald,(Politics and Ambedkar Buddhism in Maharashtra, pp.79-104) เป็นต้น ดูรายละเอียดเสริมใน Ian
Harris , Edditor, Buddhism and Politics in Twentieth-Century Asia, (New York & London : A Cassell
Imprint, 1999).

๘ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึง
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทาให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอานาจมากที่สุดใน
อาณาจกั ร.

๘๘แนวคิด "ธรรมราชา" หรือ “ทศพิธราชธรรม” ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากท่ี
พระพุทธศาสนาเขา้ มาในประเทศไทย อนั เปน็ แนวคิดที่ว่าพระมหากษตั รยิ ์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม.

๘ ดูรายละเอียดเพ่ิมเติมใน E.Sarkisyanz, Buddhist Backgrounds of The Burmese Revolution,
(The Hague Netherlands : Martinus Hijhoff, 1965), pp.166-179. และ Donald Eugene Smith, Religion and
Politics in Burma, (Princeton , Newjersey : Princeton University Press,1965), pp.125-136.

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๐ (ค.ศ.1181-1220_/1296?) รวมไปถึงแนวคิด “พุทธสังคมนิยม” (Buddhist
Socialism) ในสมัยพระเจ้านโรดม สีหนุ (ค.ศ. 1922-) ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความชอบธรรม
และเปน็ เครอื่ งมอื ในการปกครอง หรอื ลว่ งมาในสมยั ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ี
บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๒ ปี ก็ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องการตีความใหม่ทาง
พระพุทธศาสนาในสังคมไทย ๒ เป็นผู้ก่อต้ังคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย และเมื่อได้ลาสิกขาออกมา
ครองราชย์แลว้ ยังได้ทิ้งมรดกแนวคิดดังกล่าวผ่านสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิญาณวโรรส
(พ.ศ.๒ ๐ -๒ ๖ ) ท่ีมีผลต่อการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ทั้งคาสอน การศึกษา การปกครอง
ในช่วงรัชกาลท่ี -๖ “ซึ่งทาให้พระองค์มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดที่สอดคล้องกับ
พระมหากษตั ริย์และเจ้านายหลายพระองค์ในการสรา้ งอดุ มการณ์แห่งรัฐสยาม ทั้งเรื่อง ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ และความคิดเกี่ยวกับเร่ือง “ความเป็นไทย” และ “ชาติไทย” อันเป็นผลิตผลของ
แนวคิดและการตีความให้สมสมัย ซ่ึงสอดคล้องกับทัศนะของนักวิชาการอย่างสุวินัย ภรณวลัย
และเวทิน ชาติกุล ที่มองเหตุการณ์นี้ว่า “หลังจากท่ีวิทยาศาสตร์เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ได้มีการ
ปฏวิ ตั ทิ างปญั ญาครงั้ ใหญ่ในชุมชนพุทธ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงในชุมชนพุทธขณะน้ัน
ได้แก่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พ.ศ.๒ ๐ -๒ ๖ ) ร่องรอยของ

๐ แนวคิดน้ีผ่านการตีความจากสิ่งก่อสร้างที่พระเจ้าชัยวรมันท่ี ได้สร้างรูปจาลัก หน้าพระองค์ท่ีอยู่
ในฐานะพระราชาผ้ทู รงธรรมทป่ี ระหนงึ่ เปน็ ทง้ั พระราชาและพระพทุ ธเจา้ ท่จี ะทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนในฐานะ
พระราชาและเปน็ ไปโดยธรรมประหน่ึงพระพุทธเจ้า “ทรงถือว่าพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระพุทธเจ้าที่ยังพระ
ชนม์อยู่” แนวคิดเร่ืองพุทธราชาจึงมาพร้อมกันและกลายเป็นรูปแบบการปกครองชนิดหนึ่งในสมัยของพระองค์
ดูรายละเอียดใน เดวิด แชนด์เลอร์, ประวัติศาสตร์กัมพูชา=A History of Cambodia, พรรณงาม เง่าธรรมสาร
บรรณาธิการแปล, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตาราสังคมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศ์ าสตร,์ ๒ ๐), หนา้ ๘๒- ๐ .

ดูเพิ่มใน เดวิด แชนด์เลอร์, ประวัติศาสตร์กัมพูชา=A History of Cambodia, หน้า ๐๖- ๒๐
และ Ian Harris, Cambodain Buddhism : History and Practice, (Honolulu : University of Hawai’i
Press,2005), pp.144-156.

๒พระไพศาล วิสาโล, แนวโน้มของพุทธศาสนาไทยในศตวรรษที่ ๒๑, หนา้ ๑๑-๒๔.
รายละเอียดเพิม่ ใน เนอ้ื ออ่ น ขรวั ทองเขยี ว, “การขยายตวั ของธรรมยตุ กิ นกิ ายในหวั เมือง
ลา้ นนา”, ใน ศลิ ปวฒั นธรรม ปที ี่ ๒ ฉบับท่ี ( กุมภาพันธ์ ๒ ) : - .
ดเู พม่ิ ใน ปฐม คาตะนานนั ท์. คณะสงฆส์ ร้างชาตสิ มยั รชั กาลท่ี ๕, (กรงุ เทพมหานคร : มตชิ น,
๒ ), หนา้ ๐- ๖.

ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ในชมุ ชนพุทธศาสนา คือ “การแยกโลกตุ รธรรมออกจากโลกียธรรมอย่าง
ชัดเจน”

ล่วงมาถึงรฐั บาลสมัยจอมพล ป. พิบลู สงคราม (พ.ศ.๒ ๐-๒ ๐ ) ได้ให้นโยบายต่อ
คณะสงฆ์กระแสหลกั ในเร่อื งการตคี วาม “หลกั ธรรม” บางประการท่ีไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ในระบบ “ทุน” จึงก่อให้เกิดการตีความ แต่พัฒนาการเหล่าน้ันก็มีผลต่อสังคมในภาพรวมในชั่ว
ระยะเวลาหนึ่ง เท่าที่รัฐเข้ามาส่งเสริมให้เกิดการตีความ ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐเท่าน้ัน ๖
โดยในการศึกษาน้ี จะยกกลุ่มกรณีศึกษามา สานัก เพ่ือศึกษาวิธีการ ท้ังช้ีชัดต่อความเป็น
“พทุ ธใหม่” ในแนวคิด และวิธีการตีความ ซ่ึงท้ัง สานัก มีพัฒนาการร่วมกับสังคมไทยมานับแต่
ภายหลงั การเปลยี่ นแปลงการปกครอง ๒ มาจนกระทัง่ ปัจจุบนั พร้อมทงั้ ก่อให้เกิดพลวัฒน์ต่อ
สงั คม และปรากฏการณ์ ท่ดี ู “แปลกแยก” จนกลายเปน็ ประเด็นวพิ ากษ์ ววิ าท ทางสังคมอีกครั้งหนึ่ง
ต่อปรากฏการณ์ของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย บางกรณีนาไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมายใน
นามรัฐ หรือ การเฉยในเชิงรับรู้ถึงการมีอยู่ มุมหนึ่งเท่ากับเข้าไปสนับสนุน จนกลายเป็นองค์กร
ความเคลอ่ื นไหวของกลุ่มตีความที่กว้างขวางทง้ั ศาสนกิ และเครือข่าย อย่างทป่ี รากฏในปัจจบุ นั

ดังนั้นในการศึกษานี้ จะได้ศึกษาพัฒนาการของสานักกลุ่มตีความท่ีปรากฏใน
สังคมไทยและยังคงมีพลวัฒน์ เป็นการขับเคลื่อน หมู่ กลุ่ม อุดมการณ์ แนวคิดข้ึนในสังคมไทย
กลุ่ม/สานกั ในภาพรวม เพือ่ ชใ้ี หเ้ หน็ ถึงปรากฏการณ์และส่ิงที่เกิดข้นึ ในสังคมไทย ดังน้ี

ดร.สุวินัย ภรณวลัย,เวทิน ชาติกุล, ความเชื่อเร้นรับในสังคมไทย : มายาแห่งธรรมในทะเลใจ,
(กรงุ เทพมหานคร : ไอโอนคิ อนิ เตอร์เทรด รซี อสเซส, ๒ ), หนา้ ๐ .

๖ ในประเด็นการเทศนาของพระสงฆ์ ต้องสอดคล้องกับความต้องการของชาติในการปลูกฝังนิสัย
ของพลเมือง (กจช.สร.๐๒๐ . ๐/ เรือ่ งขอความร่วมมือของคณะสงฆใ์ นการสงั่ สอนประชาชน พ.ศ.๒ ๘๒-
๒ ) ซง่ึ มกี รอบและเปา้ หมายคือ ( ) ขยันขันแข็ง ขจัดความเกลยี ดครา้ น (๒) แสวงหาความสุขด้วยการทางาน
ไมใ่ ชด่ ้วยการนอนสบาย ( ) พ่งึ ตนเองไม่แอบอิงอาศัยเบียดเบียนผู้อ่ืน ( ) เห็นสัมมาชีพเป็นการมีเกียรติ ไม่ใช่
นึกอายในการประกอบสัมมาชพี และไมเ่ หน็ การงานเปน็ ของตา่ เลว ( ) พยายามหลีกเลี่ยงและปลดเปล้ืองหน้ีสิน
(๖) ให้คิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ( ) ระลึกถึงกาลไกล ซ่ึงปรากฏในการแสดงพระธรรมเทศนาของธรรม
โกศาจารย์ เจ้าคณะมณฑลพายัพ (กจช.สร.๐๒๐ . ๐/ ๒ เรื่องขอความร่วมมือของคณะสงฆ์ในการสั่งสอน
ประชาชน พ.ศ.๒ ๘๒-๒ ) และพระปทมุ วรนายก เจา้ คณะจังหวดั ปทมุ ธานี (กจช.มท. . / ๘ เทศนาอบรม
ส่ังสอนประชาชน) เปน็ ตน้ ดรู ายละเอียดใน กอ้ งสกุล กวนิ รวกี ลุ , “การสร้างร่างกายพลเมืองไทยในสมัยจอมพล
ป.พิบูลสงคราม พ.ศ.๒ ๘ -๒ ๘ ”, วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต (มานุษยวิทยา),
(คณะสงั คมวิทยาและมานุษยวทิ ยา : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒ ), หน้า ๒ - ๒๘.

๓.๓. สานักสวนโมกข์
สานักสวนโมกข์ มีพัฒนาการด้านการตีความพระพุทธศาสนาแนวใหม่ ซ่ึงมีผลเป็น
ปรากฏการณ์และพัฒนาการต่อสังคมไทยและในวงกว้าง ก่อตั้งโดยพระมหาเงื่อม อินทปญฺโญ
(พ.ศ.๒ -๒ ๘) ในปี พ.ศ.๒ ที่แต่เดิมท่านเข้ามาศึกษาท่ีกรุงเทพ ฯ จนสอบได้
นักธรรมเอก และเปรียญธรรม ประโยค ระหว่างที่เรียน เปรียญธรรม อยู่นั้น ด้วยความที่ท่าน
เป็นผู้รักการศกึ ษา คน้ คว้า จากพระไตรปฎิ ก และศกึ ษา ค้นคว้า ออกไปจากตารา ถึงเรื่อง การปฏิรูป
พระพุทธศาสนา ในประเทศศรลี ังกา อินเดยี และ การเผยแพร่ พระพทุ ธศาสนา ในโลกตะวันตก ทา
ให้ท่าน รู้สึกขัดแย้ง กับ วิธีการสอนธรรมะ ที่ยึดถือ รูปแบบ ตามระเบียบ แบบแผน มากเกินไป
ตลอดจนความเชื่อที่ผิด ๆ ของพุทธศาสนิกชน ในเวลานั้น ทาให้ท่าน มีความเช่ือม่ันว่า
พระพุทธศาสนาท่ีสอน ที่ปฏิบัตกิ นั ในเวลานน้ั คลาดเคล่อื นไปมาก จากท่ีพระพุทธองค์ ทรงช้ีแนะ
ทา่ นจึงตดั สินใจ กลบั ไชยา เพ่ือศกึ ษา และทดลองปฏบิ ตั ิ ตามแนวทางท่ีได้ศึกษามาและ
เชื่อว่าถูกต้อง โดยร่วมกับนายธรรมทาส (พ.ศ.๒ -๒ ) และ คณะธรรมทาน จัดตั้งสถาน
ปฏิบัติธรรม "สวนโมกขพลาราม"ข้ึน เม่ือปี พ.ศ. ๒ จากน้ัน พุทธทาสได้ศึกษา และปฏิบัติ
ธรรมะ อย่างเข้มข้น จนเช่ือว่ามาถูกทาง พร้อมทั้งได้ประกาศ ใช้ช่ือ "พุทธทาส" เพ่ือยืนยันให้เห็น
ถงึ อดุ มคตสิ ูงสดุ ในชีวิต จากบนั ทกึ ของพุทธทาส เม่อื วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒ เขียนไว้ว่า
"...ชีวิตของข้าพเจ้า สละทุกอย่าง ๆ มุ่งหมายต่อความสุขน้ี และประกาศ เผยแผ่ความสุขนี้ เท่านั้น
ไม่มอี ะไรดกี วา่ นี้ ในบรรดามีอยู่ใน พุทธศาสนา..."
วิธีการตคี วามของทา่ น เป็นผลจากการศกึ ษา สังเคราะห์ พร้อมตีความ และให้คาอธิบาย
ใหม่ ดงั ปรากฏในงานค้นคว้า เอกสาร งานเขียน บทบรรยาย ซ่ึงในการตีความของท่านมีเป้าหมาย
เพือ่ ความเขา้ ใจหลกั การแหง่ พระพุทธศาสนาอย่างแท้จรงิ ซึ่งอาจสรุปไดว้ า่
( ) การตีความมีเปา้ หมายเพ่ือการอธิบายธรรมท่ยี ากให้งา่ ย
(๒) เปน็ การทาความเข้าใจของท่านเอง และมงุ่ มองเพื่อการตรวจสอบพุทธธรรมทถ่ี ูกต้อง
( ) เปน็ การสร้างแบบอยา่ ง วธิ ี ในการอธิบายธรรมให้เปน็ ไปตามเจตนารมณ์แห่งพทุ ธธรรม
แนวทางการตีความของท่านพุทธทาสอีกประการหน่ึง คือ การแบ่งระดับของการ
อธิบายธรรม “ภาษาคน-ภาษาธรรม” คือ มองผ่านเทคนิคทางภาษาที่ว่า ภาษาคนอย่างหนึ่ง ภาษา
ธรรมเป็นอย่างหนึ่ง ภาษาคน คือ ภาษาโลก ๆ ของคนที่ไม่รู้ธรรมะ พูดกันอยู่ตามภาษาคนที่ไม่รู้
ธรรมะเรียกว่าภาษาคน ส่วนภาษาธรรมนั้น เป็นภาษาที่คนเหมือนกันพูด แต่ว่าได้เห็นธรรมะใน

รตั น ลม้ิ ตระกุล, “อัตชีวประวัติและแนวคิดทางการศึกษาของท่านอาจารย์พุทธทาส”, วิทยานิพนธ์
การศกึ ษามหาบัณฑิต (บรหิ ารการศกึ ษา), (บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ, ๒ ), หนา้ - .



ส่วนลึก หรือเห็นธรรมะนั้น เป็นภาษาที่แท้จริง แล้วพูดไปด้วยความรู้สึกอันนั้น จึงเกิดเป็นภาษา

ธรรมะข้นึ มา ไม่เหมือนภาษาคนน้ีเรียกวา่ ภาษาธรรมะ

ภาษาจึงมีอยู่เป็น ๒ ภาษา คือ ภาษาธรรมอย่างหนึ่ง เป็นภาษาคนอย่างหน่ึง ภาษาคน

นั้นเอาไปตามทางของวัตถุ ตามทางท่ีรู้สึกได้ ตามคนธรรมดารู้สึก และอาศัยวัตถุเป็นพื้นฐาน

ไม่ได้อาศัยธรรมะเป็นพ้ืนฐาน จึงพูดแต่เรื่องวัตถุ พูดแต่เร่ืองโลก พูดแต่เร่ืองท่ีเห็นได้ด้วยตาตาม

ธรรมดาสามัญชน ส่วนภาษาธรรมน้ัน เปน็ ไปในทางนามธรรมท่ไี ม่เหน็ ตัว ไม่เน่ืองด้วยวัตถุ ต้องมี

ปญั ญาเห็นนามธรรมเหล่านั้นแล้ว จึงจะพูดเป็นและให้ความหมายเป็น จึงพูดกันอยู่แต่ในหมู่ผู้เห็น

ธรรม น้ีเป็นภาษาธรรมะ ภาษานามธรรมท่เี หนือไปจากวตั ถุ ๘

แนวทางการตีความของหลวงพ่อพุทธทาส

คาภาษา ภาษาคน ภาษาธรรม

พระพุทธเจ้า องคพ์ ระพุทธเจา้ ตวั ธรรมะที่พระพุทธเจา้ ทรงสอน

พระธรรม คมั ภรี ์ ตวั ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน

พระสงฆ์ นกั บวช คณุ ธรรมท่ีอยใู่ นตวั คน(พระสงฆ์)

พระศาสนา วดั โบสถ์ นักบวช วหิ าร ธรรมะทีพ่ ึงของมนุษย์

การงาน อาชพี กมั มัฏฐาน

ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ตารางท่ี . ตารางแสดงวิธีการตีความของหลวงพ่อพุทธทาส

พุทธทาสเห็นว่าวิธีท่ีจะเสนอคาอธิบายชุดใหม่ ให้เป็นที่เข้าใจสาหรับคนสมัยใหม่ได้
มากกวา่ ทป่ี ราชญ์แตเ่ ดิมทา่ นไดท้ ามาแลว้ เราจึงเหน็ ชุดความคดิ ที่เกย่ี วกบั ธรรมชาตผิ า่ นการตีความ
ของทา่ นไดเ้ ป็น ความหมายเกย่ี วกบั “ธรรมะ” ดงั นี้

(ก) ธรรม หมายถึง สิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลน้ี ซึ่งน่าจะตรงกับคาว่า
Natural Things เปน็ ส่ิงที่เราสามารถมองเหน็ ไดอ้ ย่รู อบตวั เรา และมีอยกู่ วา้ งออกไปอย่างไม่จากัดแม้
ในห้วงอวกาศและจกั รวาล ธรรมในความหมายน้ที า่ นพุทธทาสอธิบายว่า หมายเอาทุกส่ิงทุกอย่างที่
มอี ยู่ตามคานยิ ามนี้ ไมม่ ีอะไรในจกั รวาลนี้ไม่ใช่ธรรม

๘ พทุ ธทาสภิกขุ, “ภาษาคน-ภาษาธรรม”, ในรวมบทความทางศาสนา, พินิจ รัตนกุล บรรณาธิการ,
(คณะศิลปศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ๖), หน้า .

รายละเอียดใน สมภาร พรมทา, รศ., ศาสนาเพ่ือการพัฒนาคุณภาพชีวิต, (กรุงเทพมหานคร :
สานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา, ๒ ), หน้า .

(ข) ธรรม หมายถงึ กฎธรรมชาติ ซึ่งตรงกับส่ิงท่ีวงการปรัชญาและวิทยาศาสตร์เรียกว่า
Natural Laws ท่านพุทธทาสอธิบายว่าสิ่งต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะมี
“วิถีทางเป็นไป” อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ต้นไม้สามารถออกผลได้ แต่ก้อนหินทา
ไม่ได้ ๐๐ การท่ีสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็เพราะสิ่งเหล่าน้ันถูกควบคุมดูแลโดยธรรมบาง
ชนิด ท่านพุทธทาสเรียกธรรมเหล่าน้ีว่ากฎธรรมชาติ กฎธรรมชาติท่ีพุทธศาสนาสอนนั้นมีอยู่
อยา่ ง (อุตนุ ยิ าม พีชนิยาม จติ นยิ าม กรรมนยิ าม และธรรมนยิ าม)

ท่านพุทธทาสกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนเรื่องส่ิงธรรมชาติและกฎธรรมชาติเพื่อ
อธิบายว่ามีอะไรอยู่บ้างในจักรวาลนี้ ส่ิงเหล่านั้นมีสภาพเป็นอย่างไร และที่มีสภาพเช่นนั้นเพราะ
อะไรบังคับโดยท่ีคาอธิบายท้ังหมด พระพุทธศาสนากระทาในนามของ “ธรรม” อันหมายถึง
กระบวนการท่ีดาเนนิ ไปตามธรรมชาติ คอื เปน็ ไปอยา่ งน้นั เอง ไมม่ ผี สู้ รา้ ง มีเพียงสองสิ่ง คือ สิ่งที่มี
อย่เู องและใหส้ ง่ิ ที่กากับดูแลกบั ส่งิ ท่ีมีอยู่เองเช่นกัน แต่ทาหน้าท่ีกากับดูแลส่ิงท่ีมีอยู่ประเภทแรก นี่
คอื ภาพจกั รวาลแห่งธรรม หรือจักรวาลแห่งธรรมชาตติ ามทัศนะของพระพุทธศาสนา ๐

(ค) ธรรม หมายถึง หน้าที่ท่ีเราจะพึงปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ กฎ
ธรรมชาติตามทัศนะของพระพทุ ธศาสนาน้ัน มนษุ ย์เราไมไ่ ด้จดั วางข้ึน มันเป็นของมันอย่างน้ันเมื่อ
มนษุ ย์ปรากฏตนขน้ึ ในจักรวาล เราก็พบว่า ทุกอย่างถูกกาหนดเอาไว้เป็นอย่างน้ีอย่างนั้น เรียบร้อย
แลว้ แม้แตเ่ ราเองก็ถูกกาหนดไวโ้ ดยกฎธรรมชาติ ๐๒

แนวทางของการตคี วามของท่าน เช่น ตถตา (เป็นเช่นนั้นเอง) อิทัปปัจยตา (เป็นเหตุเป็นผล
กนั ) ๐ นิพพาน (ที่นี่เด๋ียวน้ี) ตายก่อนตาย หรืออีกหลายกรณี ซึ่งการตีความของท่านจะมีลักษณะเพื่อ
ความง่ายต่อการเข้าใจพุทธธรรมและพุทธพจน์ แต่ในเวลาเดียวกัน การตีความของท่านก็มีผู้เห็นด้วย
และสนับสนุนท่านจานวนมาก แต่ก็มีไม่น้อยท่ีมองพัฒนาการการตีความของท่านเป็นการบิดเบือน
หรือไมก่ เ็ ป็นการจาบจ้วงพระธรรมวินยั ๐ เชน่ คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช และอนนั ต์ เสนาขันธ์ ๐ เป็นต้น

๐๐ สมภาร พรมทา, ศาสนาเพอ่ื การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ , หน้า ๖.
๐ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๖.
๐๒ เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๘- .
๐ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโศก, (กรงุ เทพมหานคร : หมอชาวบา้ น, ๒ ๐),หน้า .
๑ ๔[ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://www.pantip.com/~buddhadasa/history/budprofile2.html (๒๒
กนั ยายน ๒ ).
๐ ดูรายละเอียดใน พระอนันต์ เสนาขันธ์. คาสอนเดียร์ถีย์. (กรุงเทพมหานคร : องค์การพิทักษ์
พทุ ธศาสน์ อภธิ รรมมูลนิธิ, ๒ ๒๒) และ ภิกษมุ หาโจร, (กรงุ เทพมหานคร : บรู พาสาส์น, ๒ ๒๐).



วธิ ีการตีความของทา่ น ถึงไมม่ ีผเู้ หน็ ดว้ ยทั้งหมด แต่ด้วยเจตนารมณ์ท่ีม่ันคงและผลของ
การตีความ ท้งั แนวปฏิบัติของสานักสวนโมกข์ มีผลต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภาพกว้างสืบ
ต่อเนื่องมาจนกระท่ังปัจจุบัน ๐๖ รวมทั้งได้รับการยอมรับจากวงการคณะสงฆ์ไทย การศึกษาและ
วงการศึกษาธรรมะของโลก ท้ังยกยอ่ งให้ท่านเป็นเสนาบดีแห่งกองทัพธรรมในยุคหลังกึ่งพุทธกาล
ดงั ทศั นะของประเวศ วะสี ท่วี ่า “ท่านพุทธทาสได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทยและ
แก่โลก คาสอนของท่านเช่ือมโยงเรื่องต่าง ๆ ท้ังทางโลกและทางธรรม ทั้งทางศาสนาและ
วิทยาศาสตร์ เรียกว่า ทาให้หมดข้อสงสัย...ควรจะถือโอกาสศึกษาคาสอนของท่านให้เข้าใจเพ่ือ
สรา้ งสันตขิ ึ้นในตนเอง ในชาติ และในโลก” ๐

ในงานวิจัยน้ีจะไม่ศึกษาในรายละเอียดวิธีการตีความของท่าน เพราะมีผู้ศึกษาไว้
จานวนมาก ในการศึกษาน้ีประสงค์นาเสนอในภาพกว้าง ๆ ของสานักสวนโมกข์ในฐานะที่เป็น
พัฒนาการหนึ่งของสังคม ด้านการตีความพระพุทธศาสนาในประเทศไทย อันด้วยเหตุผลว่าตลอด
ระยะเวลาท่ีผ่านมาน้ัน “พุทธทาส” สามารถยืนยันถึงเจตนารมณ์ในการตีความของท่าน เพื่อ
ตอบสนองกลุ่มปัญญาชนสยามในช่วงแรก และตอบสนองแนวทางพระพุทธศาสนา ในการมีส่วน
ร่วมต่อสังคมอย่างเป็นระบบ

๓.๓.๒ สานกั สนั ตอิ โศก
สานักสันติอโศก นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ต่อสังคมไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ในช่วงหลัง
พทุ ธศักราช ๒ ๐๐ ปี ท่ีไดก้ ่อให้เกดิ ปรากฏการณต์ ่อสังคมในวงกว้าง ทั้งด้านวัตรปฏิบัติท่ีแตกต่าง
โดยมงุ่ ย้อนกลับไปหาคณุ คา่ เดมิ ตามคัมภีร์ รวมท้ังการให้คาอธิบายที่เป็นไปเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติ
ในชุมชนที่จัดตัง้ ข้นึ
ผกู้ ่อต้ังสานกั สนั ติอโศก คือ สมณะโพธิรักษ์ (พ.ศ.๒ -) ที่แต่เดิมเคยบวชใน คณะ
สงฆ์มหานิกาย และคณะธรรมยุติกนิกาย มีฉายาว่า “พุทธรกฺขิตฺโต” ต่อมาเมื่อ วันท่ี ๖ สิงหาคม
๒ ๘ ดาเนนิ การประกาศไม่ข้นึ ต่อคณะสงฆไ์ ทย หรอื ทเ่ี รียกวา่ นานาสังวาส ท่ีวัดหนองกระทุ่ม ตาบล
ทงุ่ ลูกนก อาเภอกาแพงแสน จังหวดั นครปฐม และได้ดาเนินการปฏิบตั ธิ รรมเผยแพร่ธรรมตลอดจนมีวัตร
ปฏิบตั ิในหลายลักษณะที่แตกต่างจากคณะสงฆ์ไทย เปน็ ต้นวา่ สมาทานฉันมงั สวิรตั อิ ย่างเขม้ ขน้ ไม่โกน
คิ้ว ไม่บูชาด้วยไฟ (คือจุดธูปเทียน) ไม่บูชาพระพุทธรูป ประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์ พระอริยบุคคล
พระสารีบุตรกลบั ชาตมิ าเกิด ร้พู ระธรรมและพระไตรปิฎกได้ด้วยตนเอง เปน็ ต้น

๐๖รายละเอียดใน ส.ศิวรักษ์, อทิ ธพิ ล พุทธทาส ตอ่ สงั คม, (กรุงเทพมหานคร : สวนเงินมมี า, ๒ ).
๐ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สนั ติอโศก, (กรุงเทพมหานคร : หมอชาวบา้ น, ๒ ๐), หนา้ ๒ .

เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม ของสานักสันติอโศก ผู้วิจัยมีทัศนะว่า อยู่ในกลุ่มการตีความ
ใหม่ เน่ืองจากผู้วิจัยเคยเข้าพบขอสัมภาษณ์ สมณะโพธิรักษ์ ท่านได้ให้คานิยามการได้มาซ่ึง
ความรู้ว่า “รู้ได้ด้วยตนเอง ๐๘ พร้อมประกาศแนวคิดนี้ต่อสาธารณะ จนเป็นพัฒนาการของสานัก
สันติอโศก กล่าวคือ เกิดการปฏิบัติที่ย้อนกลับไปหาแนวทางเดิมของพระธรรมวินัยซึ่งมีหลายท่าน
เห็นว่า วัตรปฏิบัติของสันติอโศกเป็นแบบอนุรักษ์นิยม โดยภัทรพร สิริกาญจน์ได้ให้นิยามของ
สานักสันติโศกว่าเป็นกลุ่ม “พระพุทธศาสนานอกแนวจารีต (Unorthodoxed Buddhism)” ซ่ึง
หมายถึง พระพุทธศาสนาแนวที่ไม่มีแนวคิดและการปฏิบัติตามจารีตนิยม มีคาสอนและประเพณี
พิธีกรรมของตนเอง และไม่ยอมรับอานาจปกครองของคณะสงฆ์ไทย ๐ ส่วนผู้วิจัยจัดว่าเป็นกลุ่ม
ตีความ ด้วยเหตุผลท่ีเคยเข้าพบสัมภาษณ์ และจากเอกสารท่ีพิมพ์เผยแผ่ สะท้อนแนวคิดเป็น
หลักฐานจากพระไตรปิฎก พร้อมตีความและให้คาอธิบายเพิ่ม เพื่อการปฏิบัติของศาสนิกในกลุ่ม
ชาวอโศก ในเวลาเดียวกันภาพการไม่ยอมรับอานาจปกครองมหาเถรสมาคม องค์กรจัดตั้งภายใต้
กฎหมายรัฐ เป็นดุจการปฏิเสธอานาจควบคุมของรัฐต่อศาสนา ทาให้เกิดข้อพิพาทฟ้องร้องทาง
กฎหมาย แมว้ ัตรปฏบิ ัตจิ ะยังคงเดิม แต่ไมม่ ีสถานะทางกฎหมายในนามนักบวช

การตีความของสานักสันติอโศกเป็นประเด็นหลักของคณะสงฆ์ไทย รวมทั้งเป็นการ
ปรากฏตัว สร้างการรับรู้ต่อสาธารณะของสานักสันติอโศกด้วย แต่ผลท่ีเกิดต่อเน่ืองคือ ข้อขัดแย้ง
วิวาท ระหวา่ งสนั ตอิ โศกกับรัฐในนามคณะสงฆไ์ ทย ภายใต้ พรบ.คณะสงฆ์ ซ่ึงประเด็นการตีความ
ท่ีเป็นข้อขดั แย้งอาจสรปุ ได้ ดงั นี้

ประเด็นการตีความของสานกั สนั ตอิ โศก
. ศีล ตีความศีลอย่างเคร่งครัดตามแบบฉบับของวินัย ดังปรากฏในจุลศีล มัชฌิมศีล
และอืน่ ใด ซึ่งจะเป็นประโยชนต์ อ่ การปฏิบัติของสานกั สนั ติอโศกเอง

๐๘ ในทศั นะผ้วู จิ ยั มองกรณนี ้ีว่าเป็นการรู้เอง (ปจจฺ ตตฺ ) ของท่านท่เี กดิ จากกระบวนการตรึกตรองเสีย
มากกว่า ไม่ได้เป็นการรู้ในลักษณะของปัญญาญาณ เพราะการรู้ผ่านกระบวนการคิด ตรึกตรอง และได้สาเร็จ
ออกมาเป็นแนวคิดหรือทฤษฎี ประหนึ่งเป็นประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติ หรือการคิดไตร่ตรองแล้วได้
บทสรุป คาว่า “รู้เอง” น่าจะเป็นความรู้ในรับญาณทัศนะเสียมากกว่าปัญญาญาณ สัมภาษณ์ สมณะโพธิรักษณ์
(อายุ ๒), ณ พุทธสถานสนั ติอโศก ถนนนวมนิ ทร์ กรงุ เทพฯ, เม่ือ กรกฎาคม ๒ .

๐ ภัทรพร สิริกาญจน์, พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เอกภาพในความหลากหลาย,
(กรงุ เทพมหานคร: บริษทั มสิ เตอรก์ อ๊ ปป้ี (ประเทศไทย) จากัด, ๒ ), หน้า ๘ .

๒๐

๒. บุญนิยม ชาวอโศกเสนอเร่ืองบุญนิยม ๐ โดยชาวอโศกถือเรื่องการลดกิเลสให้กิน
น้อยใช้น้อย ขยันทางาน ให้มาก เหลือแบ่งปันผู้อ่ืน ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจกิเลสนิยมท่ีพูดถึง
รายได้อันเป็นเงินและดอกเบี้ย ชาวสันติอโศกกาลังพูดถึงดอกบุญ ถ้าถือว่าบุญเป็นรายได้ก็เป็น
รายได้ทที่ าใหผ้ ไู้ ดเ้ ปน็ สขุ อิ่มเอบิ และผ้อู ่ืนก็เปน็ สขุ ด้วย บุญเปน็ รายไดท้ ี่ไมม่ ผี ูเ้ สีย มีแต่ไดด้ ้วยกัน

. การบริโภคมังสวิรัติ เมอื่ สนั ติอโศกตีความเกี่ยวเรื่องการทานเน้ือไม่เนื้อ และนาไปสู่การ
สร้างเศรษฐศาสตร์แบบพง่ึ พาตนเอง ซึ่งในช่วงท่ีผ่านมาสันติอโศกได้ยืนยันเจตนารมณ์ต่อสาธารณะใน
เรื่องการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ และจัดตั้งชุมชนที่ผลิต และทาเกษตรครบวงจร เพ่ือการเล้ียงชีพในเบื้องต้น
จนหลาย ๆ ชมุ ชน เปน็ ต้นแบบของเศรษฐกจิ แบบพอเพยี งซึง่ กาลังเปน็ ทนี่ ิยมกันอยู่ในปัจจุบัน

. การตคี วามเรอ่ื งศาสนากบั การเมอื ง เป็นการตคี วามผ่านแนวคดิ ศาสนานาการเมือง ที่
นักการเมืองต้องมี “หลักศาสนา” โดยให้คาอธิบายพร้อมเสนอทางเลือกที่เรียกว่า การเมืองแบบ
“อริยะ” ท้งั กอ่ ต้งั พรรคการเมอื งข้นึ มาเพื่อเป็นฐานในการดาเนินกิจกรรมทางการเมือง พร้อมท้ังเข้า
ไปมีส่วนร่วมในการรณรงคท์ างการเมืองในหลาย ๆ เหตกุ ารณ์ เปน็ ตน้ ๒

ภาพลักษณ์ของการครองผ้าสีหม่น จนถึงดา ศาสนิกท่ีแต่งตัวด้วยเส้ือผ้าม่อฮ่อม ของ
ศิษย์ในสานัก ทานมังสวิรัติ ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และมีความเคล่ือนไหวในเชิงกลุ่มอยู่ตลอดเวลา
ภาพลักษณ์เหล่านี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ที่มีเป้าหมาย เพื่อการขับเคล่ือนสังคมและ
ชุมชนจัดตั้งท่ีมีอยู่ในหลายที่สัมพันธ์กันเป็นเครือข่าย กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ท่ัวประเทศ
ท้ังขบั เคล่ือนชมุ ชนไปด้วย “บุญนยิ ม-ศลี นิยม”

๐ “โลกแตกเพราะ “ทุนนิยม “แน่ ๆ ถ้า “บุญนิยม” เกิดไม่ได้”, ในหนังสือพิมพ์รายปักษ์ เราคิด
อะไร ปีที่ ฉบบั ที่ ๘ ปกั ษห์ ลัง (มนี าคม ๒ ) : .

ดูเพิ่มใน ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ สวนโมกข์ สนั ติอโศก, หน้า ๘ - .
๒ ทัศนะน้ีเป็นประเด็นถกเถียงกันในวงกว้าง พระสงฆ์กับการเข้าไปมีบทบาททางการเมือง มีไม่
น้อยถามหาหลักเดิมว่ามีบทอย่างไร และเรียกร้องให้ปฏิบัติ บ้างว่าควรมีและส่ิงที่สานักสันติอโศกกระทาอยู่
ถูกตอ้ ง เปน็ ตน้ .
ดูรายละเอียดสาขาของสานักสนั ติอโศกในแต่และพืน้ ท่ี เช่น เชียงใหม่ อุบลราชธานี นครสวรรค์
ศรีษะเกษ เป็นตน้ [ออนไลน์], แหลง่ ทมี่ า : www.asoke.info/ (๒๒ กนั ยายน ๒ ).
สมั ภาษณ์ สมณะโพธิรกั ษณ์ (อายุ ๒), ณ พทุ ธสถานสนั ติอโศก กรกฎาคม ๒ .



การตีความของสานักสันติอโศกน้ัน มีผู้ทาการศึกษา วิพากษ์ไว้จานวนมาก อาทิ งาน
ของสนุ ัย เศรษฐบญุ สรา้ ง ปิยนาถ วรศิริ ๖ อัคคี ศรที ราชัยกุล ซ่ึงแต่ละท่านได้ทาการศึกษาไว้
ในองค์รวมเป็นอย่างดี แต่วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ผ่านการตีความ
ทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ เปน็ ข้อพิพาท และนาไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมายในนามของรัฐ (คณะสงฆ์) และมีการ
ขับออกจากหมู่คณะเป็นนิกายใหม่ของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย ในเวลาเดียวกัน แม้บทบาท
ของสันติอโศกจะถูกสะกดด้วยกฎหมายไทย แต่ไม่สามารถสะกดความมุ่งม่ันและตั้งใจเพื่อเข้าใกล้
ต่อเสน้ ทางหลกั และอดุ มการณท์ างศาสนาตามทีท่ างสานกั กลา่ วอ้างแต่ประการใด เพราะการตีความ
ยงั คงมผี ลเปน็ การขบั เคล่ือนอยา่ งตอ่ เนอ่ื งในหมู่ศษิ ยแ์ ละผนู้ บั ถอื ดังปรากฏอยใู่ นปจั จบุ ัน

๓.๓.๓ สานักวัดพระธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร; พ.ศ.๒ ๒ - ๒ ๐๒) ๘ หรือหลวงพ่อวัดปากน้า
ผู้ให้กาเนิดวิชชาธรรมกายและถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ ซึ่งหน่ึงในน้ัน คือ อุบาสิกาจันทร์ ขน
นกยูง ได้เข้าเรียนวิชชาธรรมกาย ประสบความสาเร็จและช่วยหลวงพ่อสอนวิชาธรรมกายอีก
ช้ันหน่ึง รวมท้งั สอนศิษย์ พระธมฺมชโย และ พระทตฺตชีโว คนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาสูงในแผน
ปัจจุบัน ต่อมาท้ังสองท่านได้เป็นผู้นาในการสร้างวัดพระธรรมกาย ปทุมธานี และทาวัดให้เป็น
ศูนย์กลางในการเผยแผ่วิชาธรรมกาย จนได้รับความสนใจและการเข้าร่วมจากผู้คนจานวนมาก ซ่ึง
ประเวศ วะสี ได้สะท้อนทัศนะเพ่ือให้เห็นชัดต่อการจัดการของวัดพระธรรมกายไว้ว่า ( ) ธมฺมชโย
และ ทตฺตชีโว เป็นคนสมัยใหม่ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย จึงเข้าใจและส่ือกับคนสมัยใหม่ได้
ง่าย (๒) วัดพระธรรมกายเน้นที่ความสะอาด ความเรียบร้อย ท้ังในเร่ืองอาคารสถานท่ี บริเวณ
พิธีกรรม และความประพฤติ ซ่ึงแตกต่างจากวัดท่ัว ๆ ไป เม่ือ (คน) เด็ก ๆ หรือคนหนุ่มสาวไปวัด

สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง, “อุดมการณ์ทางการเมืองในพุทธศาสนา : ศึกษากรณีแนวคิดของสานัก
สนั ติอโศก”, วทิ ยานพิ นธ์รฐั ศาสตรมหาบัณฑติ , (คณะรัฐศาสตร์ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒ ).

๖ ปิยนาถ วรศิริ , “การเมืองเร่ืองศาสนา : บทบาทและการดาเนินการของมหาเถรสมาคม ต่อกรณี
สนั ติอโศก”, วิทยานิพนธร์ ัฐศาสตรม์ หาบณั ฑติ , (คณะรัฐศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ).

อัคคี ศรีทราชัยกุล, “ความยึดม่ันผูกพันในศาสนาของชาวพุทธ : ศึกษาเฉพาะกรณีชาวพุทธใน
กลมุ่ วดั พระธรรมกาย พทุ ธสถานสันตอิ โศก”, วทิ ยานพิ นธ์สงั คมวิทยาและมานษุ ยวทิ ยามหาบัณฑิต, (คณะสังคม
วิทยาและมานุษยวทิ ยา : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒ ๐).

๘ธานนิ ทร์ เลศิ นครนิ ทร์, ๑๕ อรยิ สงฆ์, (กรงุ เทพมหานคร : ส.พจิ ติ รการพิมพ,์ ๒ ),
หน้า ๒-๘ .

รณยุทธ์ จิตรดอน, ดร., แผนที่ความสุข – ๑ สถานท่ีปฏิบัติธรรมท่ัวไทย ๑, (กรุงเทพธุรกิจ
Bizbook,๒ ), หน้า ๐- .

๒๒

พระธรรมกาย แลว้ ไปอยู่ในบรรยากาศทีง่ าม เรียบรอ้ ย ถอื ศีล ไหว้พระสวดมนต์ ทาสมาธิ พ่อแม่พี่
น้องย่อมเกิดความคลายใจ หายห่วงและสนับสนุน ( ) กระบวนการ “ธรรมกาย” เน้นท่ีการทา
สมาธิ ทุกคนทาสมาธิหมด สมาธิทาให้ผู้ปฏิบัติได้รับความสุขอย่างท่ีไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จึง
ทาให้เกิดความพงึ พอใจและเกิดความสุข ( ) เนน้ การบริหารจัดการหรือการตลาด (Marketing) ที่มี
การประชาสัมพันธ์และการจัดตงั้ อย่างเป็นระบบ จงึ ทาให้ประสบความสาเร็จอยา่ งสูง

ในประเด็นการตีความของวัดพระธรรมกาย ที่ปรากฏ อาทิ เรื่อง “อัตตา-อนัตตา” ๒๐
จนกลายเป็นข้อขัดแย้งทางสังคมระหว่างคณะสงฆ์กระแสหลักที่ยึดกุมโครงสร้างทางการปกครอง
และใกล้ชิดกับกลุ่มอานาจรัฐกว่า ท่ีมุ่งมองการตีความ “นิพพานในมิติใหม่” ๒ ของสานัก
ธรรมกายท่ีขัดแย้งกับคาสอนดั้งเดิมโดยพุทธกระแสหลัก ท่ียึดอยู่กับคัมภีร์พระไตรปิฎก ๒๒ ใน
ประเดน็ “อตั ตา อนตั ตา” ๒

สานกั วัดพระธรรมกาย มีวิธีการตีความซ่ึงสนับสนุนการปฏิบัติ มีระบบการขับเคล่ือน
องค์กร และมเี ป้าหมายทช่ี ัดเจน “โดยใช้ระบบทุน” มาเป็นฐานการดาเนินงาน พร้อมทั้งมีการสร้าง
เครือข่ายอย่างเป็นระบบ ทาให้การบริหารงานในเชิงโครงสร้างองค์กรกลุ่มของสานักธรรมกาย
ขยายเครือขา่ ยไปไดอ้ ยา่ งกว้างขวาง เช่น มีสาขายังประเทศต่าง ๆ จานวนมาก และมีมหาวิทยาลัยที่
เปิดในนามของวัดพระธรรมกายว่า Dhammakaya Open University (DOU) ที่ให้มีการเรียนใน
ระบบมหาวทิ ยาลัยเปิด

ดังนั้น ในกลุ่มการตีความไม่ว่าจะมีเป้าหมายหรือการตีความประการใด แต่ผลของการ
ตีความ ได้ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนในเชิงกลุ่มของผู้ตีความ และในเวลาเดียวกันก็ก่อให้เกิดการ
ปฏิบตั ิ และความแตกตา่ งในทางความคดิ และความเช่ือในทางสังคม เหมือนคาว่า “ตนบุญ” และ “ผีบุญ”
ถูกนามาใช้กับหลวงพ่อพุทธทาส ๒ และสมณโพธิรักษ์ เหล่านี้เป็นภาพสะท้อนความต่าง ท้ังเห็น
ด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตีความ แต่ในเวลาเดียวกันความเข้มแข็งของกลุ่มตีความ มีลักษณะมุ่ง

๒๐ ธีรวัส บาเพ็ญบุญบารมี, “มังสวิรัติของสานักสันติอโศก – นิพพานเป็นอัตตาของสานักวัด
พระธรรมกาย ศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาตลอดจนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา พร้อมบทวิเคราะห์
ธรรมของพระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)”, โครงการธรรมศึกษาวิจัย, (มหาบณั ฑติ สาขาวิชาพทุ ธศาสน์ศึกษา
: มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒ ๐), หนา้ - ๐๐.

๒ รายละเอยี ดใน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), กรณธี รรมกาย : บทเรียนเพอ่ื พระพทุ ธศาสนาและ
สรา้ งสรรคส์ ังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสาร.๒ ๒), หนา้ - .

๒๒ เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า - .
๒ เร่ืองเดยี วกนั , หน้า - ๖๐.
๒ ดูรายละเอียดใน พระอนันต์ เสนาขันธ์, คาสอนเดียร์ถีย์, (กรุงเทพมหานคร : องค์การพิทักษ์
พทุ ธศาสน์ อภธิ รรมมูลนธิ ิ, ๒ ๒๒) และ ภิกษมุ หาโจร, (กรุงเทพมหานคร : บรู พาสาสน์ , ๒ ๒๐).



ตรงต่อตวั หลกั ธรรมที่ยาก แม้ยากก็นาไปสู่การเขา้ ใจได้ ท้งั ยังสอดคล้องกับสภาพความเป็นปัจจุบัน
และปฏิบัติไดจ้ ริง จงึ ทาใหก้ ารตีความ มีกลุ่มศาสนิกที่พอใจและยินดีกับความเป็นรูปแบบของการ
ตีความนั้น จึงเป็นโจทก์ท่ีตอบคาถามได้ในระดับท่ีว่า กลุ่มชาวพุทธใหม่ก็แสวงหาวิธีการในการ
นบั ถือพระพทุ ธศาสนาใหมท่ สี่ อดคล้องกับโลกทัศน์ และความพึงใจของตนเองเป็นที่ตั้ง ดังทัศนะ
ของพระไพศาลวา่

ปรากฏการณ์...การนับถือพระพุทธศาสนานับวันจะกลายเป็นเร่ืองของปัจเจกบุคคลมาก
ข้ึนทุกที มีข้อดีตรงท่ีทาให้แต่ละคนสามารถเลือกได้มากขึ้น ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ถึงจะ
เหมาะสมกับจริตนิสัยและเงื่อนไขของตนเองได้อย่างดีท่ีสุด...แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทาให้
พระพทุ ธศาสนาถกู ตีความไปตามใจชอบได้งา่ ยขึน้ และมีโอกาสมากขึ้นท่ีจะผิดเพี้ยนไปจาก
หลักการดงั้ เดมิ ๒

จากทัศนะของพระไพศาลให้น้าหนักไปที่ ความเป็นปัจเจกในเชิงบุคคลท่ีมีผลต่อการ
กาหนดทา่ ทีทางศาสนาตอ่ สงั คมส่วนรวม รวมทงั้ ความพงึ พอใจต่อผู้นบั ถือและปฏิบัติตามแนวการ
ปฏบิ ัติของกลุม่ ตีความดว้ ยเช่นกัน ซ่ึงท่านแสดงความห่วงใยว่าการตีความอาจเป็นสาเหตุทาให้เกิด
ความผดิ เพย้ี นออกจากหลกั การดัง้ เดิมในพระพุทธศาสนาด้วย

กลมุ่ การตีความใหม่ กลุ่มตีความใหม่ ผลทเี่ กิดข้นึ

ลักษณะการตคี วาม

สวนโมกข์ / สนั ตอิ โศก อธิบายธรรม แตกแยก /วิวาทะ / การฟอ้ งร้อง
ธรรมกาย/ อื่น ๆ (วดั เพื่อนาไปปฏบิ ตั ติ ่อ ทางกฏหมาย/ ความเข้าใจที่
สามแยก / ถ้ากระบอก / ศาสนกิ / การย้อนกลบั
ไปหาองคค์ วามรู้เดมิ ฯ คลาดเคลอื่ น / สทั ธรรมปฏริ ปู /
สวนสนั ตธิ รรม ฯ ความเข้าใจต่อหลกั ธรรม

แผนภาพที่ .๒ ผงั ความสัมพันธข์ องกลมุ่ ตคี วาม

๒ พระไพศาล วิลาโล, แนวโน้มของพุทธศาสนาไทยในศตวรรษที่ ๒๑, (กรุงเทพมหานคร :
กองทุนรกั ษ์ธรรม, ๒ ), หนา้ ๖ .



ดังน้ัน เมื่อพิจารณาตามแผนภาพท่ี .๒ ภาพการตีความของแต่ละสานักล้วนมี
เป้าหมายเพื่อการเข้าใจต่อหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของแต่ละ
สานกั บนฐานของภูมปิ ัญญาความรู้ของเจ้าสานักเปน็ ท่ตี ั้ง ในเวลาเดียวกัน แนวทางของการตีความ
ทง้ั ในอดีตของท้ัง สานัก หรือในปัจจุบันดังที่เกิดขึ้นกับการตีความของสานักสงฆ์ถ้ากระบอก ๒๖
การตีความของวัดสามแยก จังหวัดเพชรบูรณ์ เรื่องการรับเงินและทอง การเคารพพระพุทธรูป ๒
รวมไปถึงการตีความเร่ืองการสวดปาฏิโมกข์เพียง ๐ ข้อ ของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
วัดป่านาพง จังหวัดปทุมธานี ๒๘ หรือการตีความของท่านปราโมช ปาโมชฺโช แห่งสานักสวนสันติ
ธรรม จังหวัดชลบุรี ๒ ผ่านวิธีการดูจิต ซ่ึงผลจากพฤติการณ์เหล่านั้น ล้วนนาไปสู่ความคิดต่าง
แตกแยก และเลยไปถึงการฟ้องร้องทางกฎหมายทั้งในส่วนของสานักวัดพระธรรมกาย สันติอโศก
และวัดสามแยกก็ตาม แต่สิ่งที่สาคัญคือ การอธิบายบนฐานของการยึดติดกับคัมภีร์เดิม คือ
พระไตรปิฎก แต่เป็นไปตามสภาพความรู้ ความเข้าใจ พึงใจของผู้ตีความ ซ่ึงการตีความนั้น ๆ
ก่อให้เกิดมิติใหม่ในการศึกษาพระพุทธศาสนา และอีกด้านหนึ่งเป็นการขับเคลื่อนต่อความเป็น
พระพุทธศาสนาในองคร์ วมทมี่ ีลักษณะเฉพาะมากขึน้ ในสังคมไทยอยา่ งท่ีปรากฏอยูใ่ นปัจจบุ นั

๓.๔ กลุม่ พุทธศาสนาเพอ่ื สงั คม (Engage Buddhism)
บทบาทพระพุทธศาสนาตอ่ การเข้าไปมีส่วนร่วม หรือรับใช้สังคมผ่านการให้คาอธิบาย

และตคี วามจากหลักฐานเป็นพุทธพจน์ที่ว่า “...ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์
และความสุขของคนหมมู่ าก เพือ่ อนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพ
และมนุษย์ท้ังหลาย...” ๐ และ “...ให้บรรพชิตพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเป็นอยู่ของเราเนื่องด้วย
ผู้อนื่ วนั คนื ล่วงไป ๆ บดั น้เี รากาลังทาอะไรอยู่...” และในงานของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ทใ่ี ห้ทัศนะถึงบทบาทของพระสงฆ์ตอ่ สังคมไวว้ ่า

๒๖ สานักสงฆ์ถ้ากระบอก, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.thamkrabok.org/ (๒๒ ก.ย. ).
๒ วัดสามแยก จงั หวดั เพชรบูรณ์, [ออนไลน์], แหลง่ ทีม่ า : http://www.samyaek.com/, (๒๒ ก.ย. ).
๒๘ วัดป่านาพง จงั หวดั ปทมุ ธานี, [ออนไลน]์ , แหล่งท่มี า :
http://www.watnapahpong.org/index.aspx (๒๒ ก.ย. ).
๒ สานักสวนสันติธรรม จังหวัดชลบรุ ี, [ออนไลน]์ , แหล่งทมี่ า : http://www.wimutti.net/pramote/
(๒๒ ก.ย. ).
๐ วิ.มหา.(ไทย) / ๒/ ๐ (มหาขนั ธกะ) และ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ ปยุตฺโต). สถาบันสงฆ์กับ
สงั คมไทย, (กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ โิ กมลคีมทอง.พมิ พ์คร้ังที่ , ๒ ๒ ), หนา้ - ๘.

องฺ.ทสก.(ไทย) ๒ / ๘/ ๐ (ปัพพชิตอภิณหสูตร) และ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ ปยุตฺโต),
สถาบนั สงฆก์ ับสังคมไทย, (กรงุ เทพมหานคร : มลู นธิ ิโกมลคมี ทอง, ๒ ๒ ), หนา้ - ๘.



หน้าที่โดยตรงของพระสงฆ์นั้นมีบัญญัติไว้ว่า เป็นผู้ให้ธรรมทาน ธรรมทาน คือ การให้
ธรรมะ แจงความหมายออกไปวา่ เป็นการชี้แจงแนะนาในเรื่องหลักความดีงาม หรือหลักการ
ที่จะช่วยให้มนุษย์ได้ประสบแต่สิ่งท่ีดีงาม ซ่ึงมีความหมายกว้างขวาง เราต้องการให้สังคม
ประสบสงิ่ ทดี่ งี าม สามารถแก้ไขปัญหาท่เี ป็นความทกุ ข์ความขัดข้องต่าง ๆ จึงนับว่าเป็นเรื่อง
ท่ีเกี่ยวข้องกับธรรมะอยู่ด้วย สถาบันสงฆ์เป็นสถาบันใหญ่หนึ่งในสังคมไทย ในฐานะเป็น
สถาบันเช่นนี้ ย่อมมคี วามเก่ยี วข้องกบั สังคมอยใู่ นตัว หรือจะวา่ เกีย่ วข้องอยู่ตลอดเวลาก็ว่าได้
โดยมีบทบาทในทางสังคมเองบ้าง พฤติกรรมกิจกรรมและกิจการต่าง ๆ ที่พระสงฆ์กระทามี
ผลกระทบกระเทือนต่อสังคมไปด้วยบ้าง ความเป็นไปในสังคมมีผลต่อสถาบันสงฆ์บ้าง
เพราะฉะนน้ั จงึ เป็นการหลีกเล่ียงไมพ่ ้นที่พระพทุ ธศาสนาไม่ว่าจะเป็นพระธรรมคาส่ังสอนก็
ตาม หรือพระสงฆ์ในรปู สถาบนั ก็ตาม จะตอ้ งเกีย่ วข้องกับสังคม ๒

สอดรับกับแนวคิด ของพระ มหาสมบูรณ์ วุฒิกโร ท่ีมองผ่านกรอบคิด
พระพทุ ธศาสนาเพือ่ สังคม ทง้ั นยิ ามตอ่ ไปวา่ พระพุทธศาสนา ควรเข้าไปมีสว่ นร่วมกบั สังคมอย่างมี
นยั และเง่ือนไขทีว่ ่า

แนวคิดและขบวนการพระพุทธศาสนาแบบหนึ่งที่มองว่า พระพุทธศาสนากับสังคมต้อง
ผูกพันเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน (Must be engaged) ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทางโลกกับทาง
ธรรมหรือระหว่างเรื่องปัจเจกกับเร่ืองสังคมออกจากกัน สนใจแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง
มากกว่าเชิงปัจเจก และพยายามตีความและประยุกต์พุทธวิธีไปแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสังคม
เช่น ปัญหาความอยุติธรรมทางสังคมปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความรุนแรง ปัญหาทาง
เศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมือง เป็นต้น หากมองผ่านแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ใน

๒ พระราชวรมุนี (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), สถาบันสงฆ์กบั สงั คมไทย, หน้า .
พระมหาสมบูรณ์ วุฒิกโร, “แนวคิดพระพุทธศาสนาเพื่อสังคมในประเทศไทย” ใน
พระพุทธศาสนากับการฟ้ืนตัวจากวิกฤติโลก. รวมบทความประชุมวิชาการทางพระพุทธศาสนานานาชาติ คร้ังท่ี
เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสาคัญสากลของโลก, ๒ -๒ พฤษภาคม ๒ (กรุงเทพมหานคร : เซ็นจูรี,
๒ ), หน้า ๐๖ และ Somboon Vutthikaro. “The Concept of Socially Engaged Buddhism in Thailand”, in
Global Recovery The Buddhist Perspective. The 7th International Buddhist Conference, 23-25 May 2553/
๒๐ ๐, (Bangkok : Thairaiwanprinting, 2010), p.364.
พระมหาสมบูรณ์ วุฒิกโร, “แนวคิดพระพทุ ธศาสนาเพ่อื สังคมในประเทศไทย”, หน้า ๐๖. อ้าง
ใน Damien Keown, A Dictionary of Buddhism, (New York : Oxford University Press), 2003), p.86.

๒๖

งานวิจัยของ Donald Rothberg ว่า ท่านติช นัท ฮันห์ เลือกใช้คาๆ น้ี เพื่อต้องการให้
ครอบคลุมแนวคิดแบบเวียดนาม ประการ ได้แก่ ) ความตระหนักรู้อย่างแท้จริงท่ีเกิดขึ้น
ในชีวิตประจาวัน (awareness in daily life) ๒) การรับใช้ / บริการสังคม (social service) และ

) ปฏิบัตกิ ารทางสงั คม (social activism)

ดังน้ันหากพิจารณาจากแนวคิดที่ยกมา อาจนิยามเพื่อใช้เป็นกรอบคิดในการศึกษาวิจัย
ผูว้ จิ ัยอาจให้คานยิ ามเสรมิ เพ่อื กระชบั และง่ายต่อการศึกษาวจิ ยั คือ กลุ่มพระพุทธศาสนาท่ีมีมิติเกาะ
เก่ยี วอย่กู ับสงั คมทง้ั ในส่วนหลักการและปฏบิ ตั ิการ ซงึ่ สามารถจาแนกได้เป็น ๒ กลุม่ ดงั นี้

(ก) กลุ่มพุทธธรรมเพ่ือสังคม หมายถึง กลุ่มที่สะท้อนหลักธรรม ความคิดทาง
พระพุทธศาสนา ให้เป็นหลักคิด ท่ีถูกต้อง ปฏิบัติได้ ในเชิงวิชาการ เป็นไปเพื่อความดีงามของสังคม
อาทิ พุทธทาส พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พระไพศาล วิสาโล พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
ส.ศิวรักษ์ หรือกรณีกลุ่มอ่ืน ๆ ที่มิได้นามาเป็นกรณีศึกษาก็ตาม เป็นต้น แต่ที่ยกมาเป็นกลุ่มที่มี
ความชัดเจนและส่งผลเป็นปรากฏการณก์ ารยอมรบั กลา่ วอา้ งและนาไปปฏิบตั ใิ นวงกว้าง

(ข) กลุ่มปฏิบัติการเชิงพุทธเพื่อสังคม (รับใช้/บริการสังคม) หมายถึง เป็นกลุ่มที่
นอกเหนือจากการนาหลักคิดทางพระพุทธศาสนาไปขับเคลื่อนสังคมแล้ว ยังเข้าไปมีส่วนร่วมกับ
สังคมมากขึ้น ชาร์ล คายส์ (Charl Keyes) ให้คาอธิบายผ่าน แนวคิด มุมมองในทางมานุษยวิทยา ท่ี
ศึกษาพระพุทธศาสนาผ่านชีวิตมนุษย์ในแบบวิถีชาวบ้าน ในงานของเขาให้คาอธิบายว่าเป็น
“พุทธศาสนาเชิงปฏิบัติการ” (Practical Buddhism) ๖ โดยในงานวิจัยน้ี แต่ละกลุ่มรูปแบบ วิธีการ
อาจไม่เหมือนกัน แต่ส่ิงท่ีชัดเจนเหมือนกัน คือ การนาหลักการทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ให้
สอดประสานกบั การดาเนินชีวิตในสภาพขณะน้ัน ๆ ทั้งในส่วนการเรียนรู้ และการปฏิบัติ อาทิ สานัก

Donald Rothberg, "Responding to the Cries of the World: Socially Engaged Buddhism in
North America" in The Faces of Buddhism in America, Edited by Charles S. Prebish and Kenneth K. Tanaka
(Berkeley and Los Angeles, California: University of California Press, 1998), p. 273. และ Charles S. Prebish
and Damien Keown, Introducing Buddhism, (London and New York: Rutledge Curzon, 2006), p. 209.

๖ พฒั นา กติ ิอาษา. ความเป็นอนิจจังของพทุ ธไทย :จากสง่ิ ตกทอดผูกพันจากอดีต ถึงความทันสมัย
แตกตัวออกเป็นเส่ียง” ใน วารสารสังคมศาสตร์ฉบับพิเศษ มานุษยวิทยา อุษาคเนย์ และชาร์ ลส์ คายส์ :
Anthropology, Southeast Asia and Charles Keyes, วารสารสังคมศาสตร์ ปีท่ี ฉบับที่ (๒ ๐) :
(อา้ งจาก Keyes : : ).



วัดสวนแก้วของพระราชธรรมวิเทศ (พยอม กัลยาโณ) วัดพระบาทน้าพุ กับการรับผู้ป่วยเอดส์เข้ามา
ดูแลสงเคราะห์ด้วยแนวคดิ ตายอย่าง “สงบ” วัดคาประมงกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะต่าง ๆ ๘
กลุ่มพระสงฆ์นักอนุรักษ์ ท้ังในส่วนของการอนุรักษ์ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม ๐ ถาวรวัตถุทางศาสนา
กลุ่มพระสงฆ์เพื่อการออมอาทิ กลุ่มธนาคารชีวิตของพระครูพิพัฒนโชติ (ทอง ผ่องสุวรรณ) แห่ง
วัดอู่ตะเภา จังหวัดสงขลา ๒ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ของพระอธิการมนัส ขนฺติธมโม แห่งจังหวัด

พุทฺธิสาโร, “เอดส์ : การพัฒนาจิตก่อนตายเพื่อตายให้เป็น”, ในวารสารวิจัย มหาวิทยาลัย
ราชภฎั พระนคร, ปีที่ ๒ ฉบบั ท่ี , (มกราคม-มิถนุ ายน, ๒ ๐) : -๖๐.

๘ การใชว้ ธิ กี ารทางพุทธศาสนาเชน่ การปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ร่วมกับเทคนิคทางการแพทย์แผน
ไทย เพ่ือบาบัด ดูแล รักษาผู้ป่วยมะเร็งท่ีวัดคาประมง จังหวัดสกลนคร [ออนไลน์] แหล่งที่มา :
http://khampramong.org/ (๒ กนั ยายน ๒ ).

การอนุรักษ์อาจเป็นท้ังอนุรักษาส่ิงแวดล้อม ป่าไม้ กรณีบทบาทของพระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษณ์
วัดพระธาตุเจดีย์ จังหวัดเชียงราย ท่ีใช้แนวทางพระพุทธศาสนาคือการเทศน์บรรยาย สอดแทรกแนวคิดเก่ียวกับการ
อนุรักษ์ป่าไม้ รวมทั้งช้ีให้เห็นโทษของการทาลายป่าไม้ การจัดตั้งกองทุนเพื่อการอนุรักษ์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อชาวบ้าน
เข้าใจและมองเหน็ ความสาคัญ ก็เข้ามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าไม้ด้วยเช่นกัน ศึกษารายละเอียดใน พระปลัดชูศักด์ิ
สทุ ธฺ จติ โต (เขตกัน), “บทบาทพระสงฆใ์ นการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรปา่ ไม้ : ศึกษาเฉพาะกรณีพระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษ์
วัดพระธาตุแม่เจดีย์ ตาบลแม่เจดีย์ใหม่ อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย”, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต,
(บัณฑติ วทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลยั ,๒ ), หนา้ บทคัดยอ่ .

๐ ดูรายละเอียดใน สานักเสริมศึกษาและบริการสังคม, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, การอบรม
สัมมนาทางวิชาการ เรื่อง พระสงฆ์ผู้นาสังคมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ, (สานักเสริม
ศึกษาและบรกิ ารสังคม : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์,๒ ), หนา้ - ๐๐.

พระวัชระ ปุญูญาธโร (อุทัยแทน), “บทบาทของพระสงฆ์ในการอนุรักษศ์ าสนวตั ถุ : ศกึ ษาเฉพาะ
กรณีการอนุรักษ์อุโบสถ (สิม) ในอาเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด”, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต,
(บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลยั , ๒ ๘), หน้า บทคัดยอ่ .

๒ กลุ่มออมทรัพย์ในประเทศไทยมีจานวนมากกลุ่มด้วยกัน เช่น กลุ่มจังหวัดสงขลา ท่ีเรียกกลุ่ม
การออมว่า “ธนาคารชีวิต” ทีด่ าเนินการโดยพระครูพิพฒั นโชติ (ทอง ผ่องสุวรรณ) ท่ีวัดอู่ตะเกา จังหวัดสงขลา ที่
ก่อต้ังนับต้ังแต่ พ.ศ.๒ ๒ จนกระทั่งปัจจุบัน ดูรายละเอียดใน พระมหาสุธรรม แก่นเจริญ, “ปรัชญา
เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธกับบทบาทของธนาคารชีวิตในการพัฒนาชุมชน”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
(ปรชั ญาการเมอื งและเศรษฐศาสตร์), (บัณฑิตวทิ ยาลยั ,มหาวทิ ยาลยั เกริก, ๒ ), หน้า ๘.

๒๘

จันทบุรี กลุ่มของอาจารย์สุบิน ปณโี ต แหง่ วดั ไผล่ ้อม จังหวดั ตราด เปน็ ตน้ โดยเป็นการศึกษา
ถึงความเคล่ือนไหวเชิงกลุ่มองค์กรเหล่าน้ีในภาพรวมเพ่ือสะท้อนความเคล่ือนไหวของชาวพุทธ
กลุ่มดังกล่าว เพ่ือให้เห็นภาพพัฒนาการของกลุ่มพุทธศาสนาเพื่อสังคมในแบบนาไปสู่ภาคปฏิบัติ
ในสงั คมไทยใหไ้ ด้

ด้วยจานวนของกลุ่มพระพุทธศาสนาเพื่อสังคมหลากหลายกลุ่มกิจกรรม คงจะเป็นการ
ยากที่จะนามาศึกษาได้ทั้งหมด ดังนั้น ในการศึกษานี้จึงนามาเป็นกรณีศึกษา ๒- กลุ่มโดยเป็น
การศึกษาในภาพรวม พร้อมยกตัวอย่างในบางกลุ่มกรณีที่มีความโดดเด่นชัดเจน และมีการ
ขับเคล่ือนต่อสังคมในวงกว้างมาประกอบ เพื่อให้ภาพชัดต่อวิธีการและแนวปฏิบัติของแต่ละกลุ่ม
พระพุทธศาสนาเพ่ือสังคม โดยนาลักษณะการทางานมาเป็นข้อมูลในการจัดกลุ่ม โดยสามารถ
จาแนกเปน็ ๒ กล่มุ ดงั นี้

๓.๔.๑ กลุ่มหลกั การพุทธธรรมเพอื่ สังคม
หลักการพุทธธรรมเพ่ือสังคม หมายถึง กลุ่มที่พยายามสื่อสารต่อสาธารณะด้วย
หลักการทางพระพุทธศาสนา สอนตามหลักพุทธธรรม หรือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็น
เคร่ืองมือ อธิบาย สื่อความ และยืนยันเจตนารมณ์ทางพระพุทธศาสนาต่อสาธารณะ เช่น พุทธทาส
กับการจัดตั้งสวนโมกข์และทางานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในวงกว้าง หลวงพ่อปัญญานันทะ
พระเถระนักพูด นักวิจารณ์ นักเทศน์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) รจนาจารย์ที่มีผลงานต่อ

ยุทธพงษ์ แสงโสดา, “บทบาทพระสงฆ์กับการแก้ปัญหาสังคมไทย ศึกษาเฉพาะกรณีกลุ่มสัจจะ
สะสมทรัพย์ จังหวัดจันทบุรี”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล,
๒ ), หน้า บทคัดย่อ; ในการศึกษานี้ให้แนวคิดไว้ว่า พระสงฆ์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหา
ระดบั พืน้ ฐานโดยการนาหลกั ธรรมสังหควัตถุ คือ ธรรมยึดเหน่ียวนาใจผู้อื่นไว้ได้ ผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ ย่อม
เป็นที่รกั ทพ่ี อใจของกนั และกันได้ เป็นอย่างดยี ่ิง การสะสมทรพั ยท์ เ่ี กดิ จากการสมัครใจ กจ็ ะนาไปสะสมใหท้ รพั ย์
เพิ่มพูนมากข้ึนโดยนาดอกผลไปช่วยเหลือบุคคลในกลุ่มต่อไป การทาอย่างนั้นได้เพราะในกลุ่มมีความชื่อสัตย์
เช่อื ม่ัน และจรงิ ใจตอ่ กัน.

วสิ มญั ญา ทยุ ไธสงค์, “บทบาทพระสงฆใ์ นการสง่ เสริมองค์กรชุมชน เพื่อสร้างทุนชุมชนศึกษา
ศึกษาเฉพาะกรณี กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ จังหวัดตราด”, วิทยานิพนธ์พัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต, (คณะสังคม
สังเคราะห์ศาสตร์,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒ ), หน้า บทคัดย่อ; ในการศึกษานี้ให้แนวคิดว่า กลุ่มสัจจะ
ออมทรัพยซ์ ง่ึ เกิดขึ้นไดเ้ พราะพระสงฆช์ ว่ ยแกป้ ญั หาต่าง ๆ ของชาวบ้านโดยการนาหลักธรรมมาประยุกต์ให้ขาว
บา้ นเขา้ ใจในการดาเนนิ ชีวิตให้ไดร้ บั ความสุข จงึ จดั ตัง้ กลมุ่ สจั จะออมทรพั ยเ์ ปน็ การรวมทนุ ทรัพย์ให้สมาชิกกู้ยืม
แล้วจัดสวสั ดิการให้แกส่ มาชกิ จนสามารถพึ่งตนเองได้.

พระสบุ ณิ ปณีโต, “เอกสารประกอบการอบรมการจดั ตั้งกลมุ่ สจั จะสะสมทรัพย์เพอ่ื พัฒนาคุณธรรม
ครบวงจรของชีวติ วดั ไผ่ล้อม อาเภอเมอื ง จงั หวัดตราด”, ๒ .



สงั คมอย่างสูง พระไพศาล วิสาโล กบั บทบาทพระนกั วชิ าการทางด้านพระพุทธศาสนาอีกท่านหน่ึง
และส. ศวิ รักษ์ กับกลุ่มเสขิยธรรม ท่ีทางานหลักการพุทธต่อสาธารณะมาอย่างยาวนาน เป็นต้น
แต่ในการศึกษาน้ี จะยกกรณีศึกษามาบางส่วน เพ่ือส่ือไปถึงกลุ่มพุทธธรรมเพื่อสังคม ท่ีหมายถึง
การตคี วาม ใหค้ าอธบิ าย และนาหลักพทุ ธธรรมไปประยกุ ตใ์ ชต้ อ่ การบรกิ ารสังคมเชิงพทุ ธได้แก่

๓.๔.๑.๑ พระหมหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) รจนาจารย์ที่มีผลงานการส่ือ อธิบาย ตีความ และ
ปกป้องพระพุทธศาสนาที่มบี ทบาทอยา่ งสาคัญ เป็นแบบของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันที่อิงอยู่กับ
พระไตรปฎิ ก และถอื ว่าเปน็ สญั ลักษณ์ของนกั คดิ นกั เขียน นักวชิ าการทางด้านพระพุทธศาสนาเพื่อ
สังคมในปัจจบุ ัน
บทบาทของท่าน คือการอุทิศตนให้กับการเผยแผ่พระศาสนา ทั้งด้านการบรรยาย การ
แสดงพระธรรมเทศนา ตลอดจนงานด้านนิพนธ์ เอกสารวิชาการ และตาราต่าง ๆ จานวนมาก ทั้ง
ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือ หนังสือ "พุทธธรรม" ๖ ซ่ึงได้รับการยก
ย่องวา่ เปน็ "มรดกธรรมอนั ล้าค่าแห่งยคุ " ท่ีควรคา่ แก่การศึกษาย่งิ จากการทางานด้านพุทธธรรมต่อ
สังคม จนได้รับการยอมรับในวงกว้าง จนได้รับการเชิดชูเกียรติต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น รางวัล
"สังข์เงิน" สาขาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ปี พ.ศ.๒ รางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพปี
พ.ศ.๒ จากยูเนสโก นับเป็นคนไทยคนแรก ที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลน้ี ซึ่งนับเป็นการสร้าง
เกยี รติประวตั ิ และชอ่ื เสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างมาก
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่านดารงชีวิตแบบ เรียบง่าย มีวัตรปฏิบัติที่อ่อน
น้อมถ่อมตน ให้ความสาคัญ และความสนใจแก่ผู้ที่เข้าพบโดยไม่เลือกชาติ ศาสนา ผิวพรรณ และ
เพศ เป็นพระสงฆ์ท่ีทาคุณประโยชน์ต่อวงการพระพุทธศาสนา และสังคมวงกว้างแม้ในระดับ
นานาชาติ บทบาทของท่านกบั การอธิบายความเก่ียวกับพระพุทธศาสนาเพ่ือสนองตอบรับใช้สังคม
ในด้านต่าง ๆ โดยการประยุกต์หลักคิดทางพระพุทธศาสนาเพื่อส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจต่อ

พระมหาจรูญโรจน์ กวิวโส, “การประยุกต์ใช้พุทธธรรมกับการทากิจกรรมในชุมชนของ
พระสงฆ์ กลุ่มเสขิยธรรม”, วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์มหาบัณฑิต, (คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ :
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ ๒ ), หนา้ บทคดั ยอ่ .

๖พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, (กรุงเทพมหานคร :
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ๖), หนา้ - .



พระพทุ ธศาสนากับศาสตร์นั้น ๆอาทิ ด้านการศึกษา การเมือง ๘สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
วิทยาศาสตร์ ๐การแพทย์ เปน็ ต้น

ผลต่อสังคม งานนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนาของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มี
ผลตอ่ การพัฒนาความรู้ทั้งในส่วนของพระพุทธศาสนา และการนาไปประยุกต์ใช้ในสังคม แวดวง
วิชาการและการศึกษา ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทาให้เห็นการ
ขับเคล่ือนของพุทธธรรมต่อสังคมในภาพรวม จนกระท่ังได้รับรางวัลการศึกษาเพ่ือสันติภาพ แต่
ทั้งนี้ท้ังนั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม ในเชิงหลักการ หรือ
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ผ่านการรจนา ให้คาอธิบายเพิ่มต่อหลักการทางพระพุทธศาสนา
จนมอี ทิ ธพิ ลต่อระบบต่าง ๆ ในสังคมไทย และสังคมโลกอยา่ งทป่ี รากฏ

๓.๔.๑.๒. พระไพศาล วสิ าโล (พ.ศ.๒ ๐๐-)
พระไพศาล วิสาโล (พ.ศ.๒ ๐๐-) พระนักกิจกรรม ปฏิบัติธรรม และบรรยายธรรม
นักวิชาการ นักคิดนักเขียนพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ ท่ีผลิตผลงานออกมาในรูปสื่อชนิดต่าง ๆ ทั้ง
ทางโทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาอย่างสม่าเสมอ ที่มีผลต่อการให้คาอธิบายพระพุทธศาสนา
เพ่ือการปฏบิ ัติหรอื นาสู่การปฏบิ ตั ิตามความประสงค์
อุปสมบท เมื่อ พ.ศ.๒ ๒๖ ณ วัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร และได้เข้าเรียน
กรรมฐานจากหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ วัดสนามใน ก่อนไปจาพรรษาแรก ณ วัดป่าสุคะโต อาเภอ
แกง้ ครอ้ จังหวดั ชัยภูมิ โดยศึกษาธรรมกับหลวงพ่อคาเขียน สุวัณโณ ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัด

งานการศกึ ษาซึง่ ถอื ว่าเปน็ สว่ นสาคัญที่ทาใหท้ ่านไดร้ บั รางวลั การศกึ ษาเพื่อสันตภิ าพจากองค์กร
ยูเนสโก อาทิ การศึกษา : พัฒนาการหรือบูรณาการ, การศึกษา : เครื่องมือพัฒนาท่ียังต้องพัฒนา, การศึกษากับ
การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์, การศึกษากบั การวิจัย เพือ่ อนาคตของประเทศไทย การศึกษากบั เศรษฐกจิ ฝา่ ยไหนจะ
รับใชฝ้ า่ ยไหนการศึกษาของคณะสงฆ์ : ปญั หาท่ีรอทางออก การศกึ ษาฉบับง่าย-Education Made Easy เป็นต้น

๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), กระบวนการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคนสู่ประชาธิปไตย,
(กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒ ).

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ, พิมพ์คร้ังที่ , (กรุงเทพมหานคร :
๒ ๘).

๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ,
(กรงุ เทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒ ).

พระธรรมปิฎก,(ป.อ.ปยตุ โฺ ต), การแพทย์ยคุ ใหม่ในพุทธทศั น์, (กรงุ เทพมหานคร : กองทนุ วฒุ ิ
ธรรมเพ่ือการศึกษาและปฏบิ ตั ธิ รรม, ๒ ๒).

ป่าสุคะโต แต่ส่วนใหญ่พานักอยู่ที่วัดป่ามหาวัน อาเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยจาพรรษาสลับกัน
ระหว่างวดั ปา่ สุคะโต กับวดั ป่ามหาวัน

ผลงานท่ีปรากฏ นอกจากการจัดอบรมปฏิบัติธรรมและการพัฒนาจริยธรรมแล้ว พระ
ไพศาล วิสาโล ยังเปน็ ประธานเครือข่ายพทุ ธิกา กรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง ๒ กรรมการมูลนิธิ
สุขภาพไทย กรรมการมลู นธิ สิ นั ตวิ ถิ ี กรรมการสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และกรรมการสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ใน
ปัจจุบัน พระไพศาล วิสาโล ยังคงมีบทบาทในการเขียนหนังสือและบทความ ที่สะท้อนถึงปัญหา
และข้อเท็จจริงทางสังคมบนกรอบคิดทางพระพุทธศาสนาเป็นประจา โดยเฉพาะผลงานที่ผ่านมา
ไดแ้ ก่ งานเขียนและงานบรรยายจานวน ๐๐ เล่ม งานเขียนร่วม เล่ม งานแปลและงานแปลร่วม

เล่มงานบรรณาธิกรและบรรณาธิกรร่วม เลม่
ผลต่อสังคมในวงกว้าง การที่ท่านเป็นพระนักวิชาการและนาหลักพระพุทธธรรม

ประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหา ทั้งในเชิงโครงสร้าง และเชิงระบบ ทาให้มีผลงานออกมาโดดเด่น ทั้ง
งานเขียน และการบรรยาย จนได้รับการยอมรับในวงกว้าง เป็นที่ยอมรับและนาไปปฏิบัติอย่างเป็น
ระบบต่อการขับเคลือ่ นแนวคดิ และอุดมการณท์ างพระพุทธศาสนา

๓.๔.๑.๓ พระมหาวุฒิชยั วชิรเมธี (พ.ศ.๒๕๑ )
พระมหาวุฒชิ ัย วชิรเิ มธี (๒ มกราคม พ.ศ.๒ ๖-) เป็นยุวงสงฆ์รุ่นใหม่ท่ีเป็นทั้งนัก
คิด นักเขียน และเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกว้าง หรือรู้จักกันดีในนามปากกา ว.วชิรเมธี
ชื่อเสียงว่าเป็นพระนักวิชาการ บรรยายธรรม นักคิดนักเขียน และมีผลงานท้ังวิพากษ์และแนะนา
สงั คมหลายเร่อื ง ๖
ผลงานทีโ่ ดดเด่นคอื ท่านเขียนหนังสอื ออกมาจานวนมาก มีทั้งอธิบายธรรม สื่อความให้
สอดคล้องกับยคุ สมัย รวมท้ังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย (Vimuttayalaya Institute) ที่ศึกษา วิจัย
ภาวนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาทางพระพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก ภายใต้หลักการ "พุทธศาสนา
เพื่อสันติภาพโลก" เป็นผู้บรรยายความรู้ทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย สถาบันและองค์กร
ต่าง ๆ รวมทั้งผลิตสื่อส่ิงพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์จานวนมาก ซ่ึงภาพสะท้อนเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์

๒มูลนิธโิ กมลคมี ทอง, [ออนไลน์], แหล่งท่มี า : http://www.komol.com/ ( สงิ หาคม ๒ ).
มลู นธิ สิ ขุ ภาพไทย, [ออนไลน]์ , แหล่งที่มา : http://www.thaihof.org/ ( สงิ หาคม ๒ ).
มลู นธิ สิ นั ตวิ ิถี, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://www.thaigiving.org/node/158 ( ส.ค. ๒ ).
สถาบนั สนั ติศกึ ษา, [ออนไลน์],แหล่งทม่ี า : http://peacestudies.psu.ac.th/ ( ส.ค. ๒ ).
๖สถาบันวมิ ตุ ตยาลยั [ออนไลน]์ , แหลง่ ที่มา : http://www.dhammatoday.com/ (๒๒ กนั ยายน
๒ ).



ต่อพระพุทธศาสนาในกลุ่มต่าง ๆ ในวงกว้าง เช่น ละครทีวีนาผลงานมาผลิตเป็นละคร ทาให้
เยาวชนคนหนุ่มสาวสนใจพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมมากข้ึน โดยแนวคิด คาสอน จะมี
ผลตอ่ การช้ีนาสังคมเพอ่ื การเรียนรู้และเขา้ ใจพระพุทธศาสนา

ผลงานท่ีโดดเด่น การท่ีท่านผลิตผลงาน หนังสือ ส่ือส่ิงพิมพ์ ท่ีสารวจพบไม่ต่ากว่า
๒๐๐ เร่ือง/เล่ม ยังไม่นับการปรากฏตัวในฐานะนักเทศน์ นักบรรยายในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง
มหาวิทยาลัย องค์กรของรัฐ และเอกชน รวมไปถึงการเผยแผ่แนวคิดผ่านการเขียนบทความ บท
วิจารณ์ทางสื่อสิ่งพิมพ์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งทาให้บทบาทในการปักธงธรรมในส่ือนานาชนิด มีอิทธิพล
และผลตอ่ สงั คมในวงกว้างดว้ ยเชน่ กนั

ผลต่อสังคมวงกว้าง นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่มี
พระสงฆ์ “หนุ่ม” ที่มีความรู้ท้ังภูมิโลกภูมิธรรม ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างกว้างขว้าง
ด้วยความที่ท่านเป็นพระรุ่นใหม่ที่ใช้สื่อชนิดต่าง ๆ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังแนวคิดที่ว่า
“เผยแผ่ทางส่ือ” เช่น ทีวี หนังสือ สื่อส่ิงพิมพ์ และวิทยุ รวมไปถึงสื่อออนไลน์ จึงทาให้ภาพของ
พระพุทธศาสนาแพร่ขยายและมีผลตอ่ สงั คมในวงกว้าง พุทธธรรมหลักความรู้ทางพระพุทธศาสนา
จงึ เกิดขนึ้ อย่างมนี ัยและเงื่อนไข สอดประสานกับสงั คม

๓.๔.๑.๔ ส.ศิวรักษ์ “ปญั ญาชนสยาม”
สลุ ักษณ์ ศิวรกั ษ์ หรอื ทร่ี จู้ กั กนั ในนามปากกาว่า ส. ศิวรักษ์ เป็นนักคิด นักเขียนชั้นแนว
หน้าของสังคมไทย จนได้รับการเรียกขานว่า ปัญญาชนสยาม มีความโดดเด่นในการวิจารณ์อย่าง
ตรงไปตรงมา รางวัลอัลเทอเนทีฟโนเบล ในปี พ.ศ. ๒ ๘ มีผลงานการเขียนมากมายครอบคลุม
หลายดา้ น เช่น พทุ ธศาสนา สังคม การเมือง รูปแบบการปกครอง เปน็ ต้น
ผลงานที่โดดเด่นของ ส.ศิวรักษ์ คือการที่ประยุกต์แนวคิดทางพระพุทธศาสนาและ
นาเสนอออกมาในรูปแบบของการเขียน บรรยาย และกิจกรรมท่ีมีเป้าหมายเพ่ือการนาหลักพุทธ
ธรรมมาใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ รวมไปถงึ การนาหลักพทุ ธธรรมมาเปน็ ฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ของคนในสงั คมผ่านกิจกรรมเชิงสงั คมจานวนมาก

พระพุทธศาสนา ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ นาเสนอผ่าน คดิ
เรยี นรู้ พูด เขยี น เผยแผ่
การพัฒนากาย ตีความ
จิ ต ค ว า ม คิ ด อธิบาย พมิ พ์ –สือ่ ชนดิ ต่าง
และปญั ญา ตาม สง่ิ พมิ พ์/ทวี ี ฯ
หลกั พุทธธรรม สังคมในองค์
รวมปฏิบัติ สรา้ งกลุ่มนา
พาปฏิบัติ

แผนภาพที่ . กรอบการปฏบิ ัตขิ องกล่มุ พุทธธรรมเพ่อื สงั คม

เมื่อกล่าวโดยสรุป (ตามแผนภาพที่ . .) กลุ่มพุทธธรรมเพ่ือสังคม ปรากฏอยู่ใน
สังคมไทยจานวนมาก ไม่เฉพาะแต่กลุ่มท่ีกล่าวมาโดยมีลักษณะร่วมกันหลายประการคือ ( )
ส่งเสริมการเข้าไปมีส่วนร่วมต่อสังคมด้วยหลักพุทธธรรม (๒) แม้ไม่ได้ลงมือปฏิบัติหรือนาให้
ปฏิบัติโดยตรง แต่ก็มีผลเป็นการขับเคลื่อนท่ีมีผลเป็นการปฏิบัติ ( ) ภาพของพระหรือปัญญาชน
ผู้นาทางด้านหลักพุทธธรรมทางสังคม ส่วนใหญ่เป็นผู้ท่ีได้รับการศึกษาจากระบบมหาวิทยาลัย จึง
ทาให้มองความซับซ้อนทางสังคม และการวิเคราะห์หลักพุทธธรรมตอบสนองต่อประเด็นทาง
สังคมได้อย่างชัดเจน ตรงไป ตรงมา และมีผลในทางปฏิบัติในวงกว้าง ดังน้ันในการศึกษานี้อาจ
ไม่ได้ลงรายละเอียด แต่เป็นการสารวจนาเสนอในภาพรวม เพ่ือให้ภาพกรณีตัวอย่าง ต่อกลุ่ม
การศึกษาดังกล่าว ซ่ึงอาจมีกลุ่มบุคคลอ่ืน คณะอื่น ที่ทางานจรรโลง เผยแผ่ เพ่ือพระพุทธศาสนา
อย่างแข็งขันอยู่กต็ าม แต่กย็ ังมีภาพ หรือบทบาทอื่น ๆ เกาะเกย่ี วรว่ มอย่ดู ว้ ย เช่น เสถียรธรรมสถาน
สตรีที่ทางานเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างได้ผล กลุ่มยุวพุทธิกสมาคม ที่มีเป้าหมายเพ่ือการอธิบาย
ธรรมพระพุทธศาสนาในนามของพุทธบริษัท หรือกลุ่มสานักปฏิบัติท่ีมีเจตนาเพ่ือการเผยแผ่
หลักการทางพระพทุ ธศาสนาอย่างสาคญั ก็มบี ทบาทร่วมอื่น ๆ ไมน่ อ้ ยไปกวา่ กลุ่มอ่ืน ๆ แต่อย่างใด
เหตุผลที่นามาจาแนกกลุ่มก็เป็นไปตามสภาพของความเด่นเฉพาะ แต่ก็มีมิติเกาะเกี่ยวเนื่องกันใน
ภาพรวม

๓.๔.๒ กล่มุ ปฏิบัตกิ ารเชงิ พทุ ธเพื่อสังคม
ปฏิบตั กิ ารเชงิ พทุ ธเพ่อื สังคม หมายถงึ กลมุ่ ทีป่ ระยกุ ตห์ ลกั พุทธธรรม แล้วนาพาปฏิบัติ
ร่วมปฏิบัติ บริการสังคมโดยตรง โดยเสนอชุดคิดในแบบชาวพุทธ หรือพระสงฆ์ใน
พระพุทธศาสนา ซ่งึ มอี ยู่จานวนไม่น้อยในสังคมไทย โดยมีลักษณะที่เห็นชัดคือ ( ) มีการประยุกต์
หลักพุทธธรรมใช้ในการอธิบายกิจกรรมที่ดาเนินการอยู่ (๒) เกิดข้ึนในชุมชนชาวพุทธ หรือในวัด
ทางพระพุทธศาสนาที่มีพระสงฆ์หรือผู้นาชุมชนเป็นผู้ริเริ่ม ( ) ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนต่อสังคม
หมู่ใหญ่ หรือรับรู้ถึงกิจกรรมทางสังคมที่เกิดข้ึน รวมไปถึง ( ) มีเป้าหมายเพ่ือส่งเสริมคุณภาพ
ชีวิตของผศู้ รัทธาในแนวทางดังกลา่ ว ให้มคี ุณภาพชีวติ ทดี่ ขี น้ึ ท้ังทางดา้ น กาย จิต และการดารงชีวิต
เป็นต้น ซ่ึงสานักของกลุ่มปฏิบัติการเชิงพุทธท่ีปรากฏ อาทิ วัดสวนแก้ว กับกิจกรรมพัฒนาอาชีพ
และการดาเนินชีวิต วัดพระบาทน้าพุ ท่ีดูแลผู้ป่วยเอดส์ สานักสงฆ์ถ้ากระบอกท่ีช่วยบาบัดผู้ติดยา
เสพติดจนเจ้าสานักได้รับรางวัลแมกไซไซ หรือล่วงมาในยุคสมัยปัจจุบันของกลุ่มสัจจะสะสม
ทรพั ย์ในจงั หวัดต่าง ๆ อาทิ พระอาจารย์สบุ ิน ปณโี ต แห่งจงั หวัดตราดกับการส่งเสริมการออมของ
ชาวบ้านในนามของกลมุ่ สจั จะออมทรพั ย์ทม่ี เี งนิ หมุนเวยี นในกลุ่มกว่าร้อยลา้ นบาท หรืออีกหลาย ๆ
กลุ่ม ที่ทางานเพ่ือชุมชม สังคม ในด้านต่าง ๆ เช่น สังคมสงเคราะห์ การออม การอนุรักษ์
ส่ิงแวดล้อม หรือกลุ่มอ่ืน ๆ ท่ีเป็นไปเพ่ือการดาเนินชีวิตท่ีดีงาม และมีประโยชน์ต่อชาวพุทธ โดย
การจาลองแบบและลงมือปฏิบัติตามเป้าหมายท่ีได้วางไว้ ซ่ึงในการศึกษานี้ จะได้ยกบางกลุ่มกรณี
มาเพือ่ อธบิ ายให้เหน็ กลมุ่ ปฏิบัตกิ ารเชงิ พุทธได้ดงั นี้

๓.๔.๒.๑ สานกั วดั สวนแก้ว
วดั สวนแกว้ แตเ่ ดิมเปน็ วัดร้าง จนกระท่ังใน พ.ศ. ๒ ๒๒ พระพยอม กัลยาโณ พร้อม
เพื่อนพระภิกษุ ได้เข้ามาดูแลพร้อมจัดตั้งให้เป็นวัด และได้จัดต้ัง "มูลนิธิสวนแก้ว" ข้ึน โดยมี
วัตถปุ ระสงค์ หลัก ประการ คอื

. เพ่ือเผยแผ่ศลี ธรรมในศาสนา
๒. เพอ่ื สนบั สนุนใหก้ าลังใจแกผ่ ูก้ ระทาความดี

. เพอื่ ส่งเสริมสนับสนนุ ให้คนดีมีสัมมาชพี
วัดสวนแก้ว โดยพระพยอม กัลยาโณ ได้ประยุกต์หลักธรรมกับการบริหารจัดการชีวิต
ตามอย่างหลวงพ่อพุทธทาส แต่ปลายทางมีเป้าหมายเพื่อการมีส่วนร่วมกับสังคม โดยเน้นย้าถึง
รูปแบบการเผยแผ่ท่ีมุ่งการมีส่วนร่วมกับชีวิตอย่างเป็นระบบ และในเวลาเดียวกันส่ิงเหล่านี้ได้สะท้อน

หลวงพอ่ จารูญ ปานจนั ทร์ เจ้าของรางวลั แมกไซไซ ผกู้ อ่ ตั้งสถานบาบัดผู้ติดยาเสพตดิ สานกั
สงฆ์ถ้ากระบอก.


Click to View FlipBook Version