The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานวิจัย-PISA-สมบูรณ์ที่สุด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tepnimit_f, 2022-04-07 00:54:55

รายงานวิจัย-PISA-สมบูรณ์ที่สุด

รายงานวิจัย-PISA-สมบูรณ์ที่สุด

195

ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
ระดบั บคุ คล นกั เรยี นตอ้ งมผี ลการเรียนรู้อยา่ งน้อยตัง้ แต่ระดับ ดี ถอื ว่า ผา่ นการประเมนิ
(ประกนั ผลการเรียนรขู้ องนักเรยี น)
ระดบั ชั้นเรยี น มจี าํ นวนนักเรยี นอย่างน้อยรอ้ ยละ 65 ของจํานวนทั้งหมดมีผลการเรียนรู้
อย่างน้อยตงั้ แตร่ ะดับ ดี ถือวา่ การจดั ประสบการณ์เรียนร้บู รรลตุ ามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาํ หนดใน
แผนการจัดการเรียนรู้ (ประกนั การจดั กจิ กรรมการเรียนร้ขู องครู)
ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
ระดบั บคุ คล นักเรียนตอ้ งมผี ลการเรียนรู้อย่างน้อยตั้งแต่ระดับ ดี ถอื วา่ ผา่ นการประเมนิ
(ประกันผลการเรียนรู้ของนักเรียน)
ระดบั ชนั้ เรียน มจี ํานวนนักเรยี นอย่างน้อยรอ้ ยละ 65 ของจํานวนทง้ั หมดมผี ลการเรียนรู้
อย่างน้อยตงั้ แต่ระดบั ดี ถือวา่ การจดั ประสบการณ์เรียนรู้บรรลตุ ามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ทก่ี าํ หนดใน
แผนการจัดการเรียนรู้ (ประกนั การจดั กิจกรรมการเรยี นรูข้ องครู)
2.4 เกณฑ์ประเมินผา่ นสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวของ PISA
มคี ะแนนรบู ริคอย่างนอ้ ยรอ้ ยละ 80 ของคะแนนเต็ม มีผลการเรียนรทู้ ร่ี ะดับ ดมี าก
มีคะแนนรบู รคิ รอ้ ยละ 65 – 79 ของคะแนนเตม็ มผี ลการเรียนรทู้ ร่ี ะดบั ดี
มคี ะแนนรูบริคร้อยละ 50 – 64 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรียนรู้ทร่ี ะดับ พอใช้
มคี ะแนนรบู รคิ น้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม มีผลการเรยี นรทู้ ่รี ะดับ ต้องปรับปรงุ
ระดบั บคุ คล นักเรียนต้องมผี ลการเรยี นรอู้ ยา่ งน้อยตง้ั แตร่ ะดบั ดี ถอื ว่า ผา่ นการประเมิน
(ประกันผลการเรียนรู้ของนกั เรยี น)
ระดับชน้ั เรียน มีจํานวนนกั เรยี นอยา่ งนอ้ ยร้อยละ 65 ของจํานวนทั้งหมดมผี ลการเรียนรู้
อยา่ งน้อยตงั้ แต่ระดับ ดี ถือว่าการจดั ประสบการณ์เรียนรูบ้ รรลตุ ามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรทู้ ก่ี าํ หนดใน
แผนการจดั การเรียนรู้ (ประกนั การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้ขู องครู)

196

บนั ทึกหลังแผน

ผลการประเมนิ จาํ แนกผลการประเมินผลการเรยี นร้เู ป็นรายดา้ นคอื ดา้ นความรู้ ดา้ นทักษะ/
กระบวนการ และดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ดงั น้ี

1. ดา้ นความรู้
ระดับบุคคล จาํ นวนนักเรียนทงั้ หมด ….….. คน มีผลการเรยี นรอู้ ยทู่ ่ีระดับ ดมี าก

จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. ท่ีระดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. ท่ีระดับพอใช้
จํานวน ….….. คน คิดเปน็ รอ้ ยละ ….….. และที่ระดบั ต้องปรับปรุง จาํ นวน ….….. คน คดิ เป็นร้อยละ ….…..

ระดับช้นั เรยี น นักเรยี นท่ีมีผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเป็นรอ้ ยละ
50 และถือว่าผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ และมนี ักเรยี นที่มีผลการเรียนรู้ต่ำกวา่ ระดับ ดี จาํ นวน
….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. และถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ ดังนั้น ถือว่าการจัด
ประสบการเรียนรู้ด้านความรู้ของแผนการจัดการเรียนรู้ ประสบความสําเร็จ ไม่ประสบ
ความสําเรจ็ ตามจุดประสงค์การเรยี นรู้

2. ดา้ นทักษะกระบวนการ
ระดบั บคุ คล จาํ นวนนกั เรียนทง้ั หมด ….….. คน มผี ลการเรยี นรู้อยู่ทีร่ ะดบั ดมี าก จาํ นวน
….….. คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ….….. ทร่ี ะดบั ดี จาํ นวน ….….. คน คดิ เปน็ ร้อยละ ….….. ท่ีระดับพอใช้
จํานวน ….….. คน คดิ เป็นร้อยละ ….….. และทีร่ ะดับตอ้ ง ปรบั ปรงุ จาํ นวน ….….. คน คดิ เป็นร้อยละ
….…..
ระดับช้ันเรียน นักเรียนท่ีมีผลการเรียนรู้ต้ังแต่ระดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ
….….. และถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ และมีนักเรียนที่มีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าระดับ ดี
จาํ นวน ….….. คน คดิ เป็นร้อยละ ….….. และ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรยี นรู้ ดังนั้น ถือ
ว่าการจัดประสบการเรยี นรู้ดา้ นความรขู้ องแผนการจัดการเรยี นรู้ ประสบความสําเร็จ
ไมป่ ระสบความสาํ เร็จตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3. ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

ระดับบุคคล จํานวนนักเรียนท้ังหมด ….….. คน มีผลการเรียนรู้อยู่ที่ระดับ ดีมาก จํานวน
….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. ท่ีระดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. ที่ระดับพอใช้ จํานวน
….….. คน คิดเปน็ ร้อยละ ….….. และทรี่ ะดบั ต้อง ปรบั ปรงุ จาํ นวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….…..

ระดับช้นั เรยี น นักเรียนท่ีมีผลการเรียนรู้ต้ังแตร่ ะดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ
….….. และถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ และมีนักเรียนที่มีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าระดับ ดี
จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. และ ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ ดังน้ัน ถือ
วา่ การจดั ประสบการเรียนรู้ดา้ นความรขู้ องแผนการจดั การเรยี นรู้ ประสบความสําเรจ็

ไมป่ ระสบความสาํ เร็จตามจุดประสงค์การเรยี นรู้

197

ผลการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้
(ช้ใี หเ้ ห็นถงึ ผลที่เกิดกับผู้เรียนตามจดุ ประสงคห์ รือตวั ชว้ี ดั ที่กาํ หนดในแผน)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ปญั หา/อุปสรรค *(คอื ปญั หาท่ีพบจากการจัดการเรยี นรู้)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ข้ันเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข (ครเู สนอแนะแนวทางแกไ้ ขของปญั หาท่ีพบในการจัดการเรียนรู้)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ......................................................ผจู้ ดั ทาํ แผนการจัดการเรยี นรู้
(......................................................)
........./..................../.............

บนั ทึกความเห็นของผู้ตรวจสอบแผนการจดั การเรียนรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื ......................................................(ผ้ตู รวจ)
(......................................................)
ครู/อาจารยพ์ เ่ี ล้ียง
........../..................../..............

198

บนั ทกึ ความเห็นของหวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ......................................................(ผ้ตู รวจ)
(......................................................)

หวั หนา้ กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
........../..................../..............

บันทึกความเห็นของผบู้ ริหาร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื .....................................................
( .......................................... )

ผอู้ ํานวยการโรงเรยี น/ผู้รบั อํานาจมอบหมาย
........../..................../..............

199

แผนการจัดการเรียนรู้

รหสั -ช่ือรายวชิ า วิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 การแยกสารเน้อื ผสม ระดับชน้ั ป.6 ภาคเรยี นที่ 1 จาํ นวน 2 คาบ/สปั ดาห์

แผนการเรยี นรูท้ ่ี 2 เรือ่ ง การแยกสารผสมทเี่ ปน็ ของแข็งออกจากของเหลว เวลา 2 คาบ

ช่ือผสู้ อน นายธนดล อูต่ มุ้ , นางสาวเสาวลกั ษณ์ ภพู ืช, นางสาวพริ ดา แสงศรจี นั ทร์,

นายเทพนมิ ิต วฒั นทรัพยกลุ โรงเรียนเทศบาลวัดหนองผา

วนั ที่....... เดอื น...................พ.ศ.2565 คะแนนเกบ็ ....... คะแนน

มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสารความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคหลักและธรรมชาติของการ
เปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี

ตัวช้วี ดั
ว 2.1 ป. 6/1 อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้
แม่เหลก็ ดงึ ดดู การรินออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์

สาระสําคัญ
1. ด้านเน้อื หา: สารผสมทเี่ ป็นของแข็งกบั ของเหลว เม่อื แยกด้วยเคร่อื งมือท่ีแตกต่างกนั จะไดผ้ ล

ทีแ่ ตกตา่ งกัน
2. ด้านทักษะกระบวนการ: นำสารท่ีเป็นของแข็งกับของเหลวมาแยก ด้วยเคร่ืองมือท่ีต่าง

ชนดิ กนั
3. ด้านลักษณะอันพึงประสงค์: ความเป็นผู้อยากรู้อยากเห็น และมีนิสัยใฝ่เรียนรู้ทําให้

ค้นพบความรู้ใหม่ท่แี ตกตา่ งจากเดิม

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. ด้านความรู้ (Knowledge) เพ่ือใหน้ ักเรยี นสามารถ:
1.1 สามารถออกแบบวิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งออกจากของเหลว

จากเครื่องมือที่ออกแบบให้
1.2 สามารถออกแบบวิธีการแปลงข้อมูล การแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งออกจากของเหลว

ดว้ ยเครือ่ งมอื แยกตา่ งชนดิ กัน

200

1.3 สามารถวิเคราะห์ อภิปราย และลงข้อสรุปข้อมูลการแยกสารผสมที่เป็นของแข็งออก
จากของเหลว ด้วยเครื่องมอื แยกทแ่ี ตกตา่ งกนั

2. ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (Process/Products) เพือ่ ใหน้ กั เรยี นสามารถ:
2.1 สามารถทำการตรวจสอบผลการแยกสารผสมที่เป็นของแข็งออกจากของเหลว ด้วย

เครื่องมือแยกทอ่ี อกแบบให้
2.2 สามารถใช้วสั ดุอุปกรณ์ถกู ต้องตามวธิ ีการทีม่ ี
2.3 สามารถบันทึกข้อมลู การตรวจสอบผลการแยกสารผสมท่ีเปน็ ของแข็งออกจากของเหลว

ตามวธิ กี ารท่ีมี
2.4 สามารถแปลงข้อมูลของการแยกสารผสมที่เป็นของแขง็ ออกจากของเหลว ด้วยเคร่อื งมือแยกต่าง

ชนดิ กัน ตามวิธกี ารจดั และรูปแบบการส่ือความหมายทอ่ี อกแบบ
3. ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Attitude) เพอ่ื ให้นกั เรียนเปน็ :

3.1 ผทู้ ่ีมีความเป็นผอู้ ยากรู้อยากเหน็
3.2 ผทู้ ี่มนี สิ ยั ใฝ่เรยี นรู้

สมรรถนะนกั เรียน
ผลการจัดการเรยี นรตู้ ามแผนท่อี อกแบบนกั เรยี นเกดิ สมรรถนะทางด้าน:
1. การสอ่ื สาร
2. การคดิ
3. การแก้ปญั หา
4. การใชท้ กั ษะชีวติ (เดก็ จะไดต้ อนทาํ งานรว่ มกนั )
5. การใช้เทคโนโลยี

สาระการเรยี นรู้ (เนือ้ หา)
สารผสมทเ่ี ป็นของแขง็ กบั ของเหลว เมอ่ื แยกดว้ ยเคร่อื งมอื ทีแ่ ตกต่างกันจะไดผ้ ลที่แตกตา่ งกัน

วธิ ีการจดั ประสบการเรยี นรู้ (วิธกี ารสอน)
ใชก้ ารจัดการเรียนรแู้ บบ 5E

ลาํ ดบั ขน้ั การจดั ประสบการณ์เรียนรู้
1. ข้นั สร้างความสนใจ จัดกิจกรรมการเรยี นร้จู าํ แนกเปน็ 3 ข้ันยอ่ ยตามลาํ ดับคือ
ขน้ั สังเกต
1.1 ทบทวนความรู้เดิม/ประสบการณ์เดิมเก่ียวกับการแยกสารโดยวิธีการกรองน้ำจาก

คลิปวิดิโอ ผลการทบทวนต้องอธิบายความหมายและลักษณะของสารผสมพร้อมท้ังความหมายของ

201

การแยกของผสม ผลการลงข้อสรุปจากคลิปวิดิโอสรุปได้ 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรก สารผสม
หมายถึง สารที่มีลักษณะเน้ือสารไม่ผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียวกัน เกิดจากสารอย่างน้อย 2 ชนิด
ข้ึนไปมาผสมกัน โดยเน้ือสารจะแยกกันเป็นส่วน ๆ และประเด็นที่สอง ลักษณะของสารผสม เป็น
ของแข็งกับของเหลวที่มีขนาดต่างกัน ดังตัวอย่างในวิดีโอการกรองน้ำ จะเห็นได้ว่า มีสารผสมหลาย
ชนิด ซ่งึ มีลกั ษณะของสารผสมท่แี ตกตา่ งกนั โดยอนุภาคของของแขง็ จะไมส่ ามารถผา่ นกระดาษกรอง
ได้ เช่น ฝุ่น เศษทราย เศษหิน ดิน สว่ นอนุภาคของของเหลวคือ น้ำ จะสามารถผ่านการกรองออกมา
ได้โดยระหว่างการกรองสารผสมจะผ่านตัวกรองหลายชนิดคือ นุ่น ถ่าน ทรายละเอียด กรวดเล็ก
กรวดใหญ่ และทรายหยาบ จนได้นำ้ ใสและสะอาดออกมา

1.2 ครูนําเสนอเหตกุ ารณ์ใหม่/ประสบการณ์ใหม่โดยให้นักเรยี นสังเกตลักษณะและสมบตั ิ
ของสารผสมทีเ่ ป็นของแขง็ ผสมกบั ของเหลว ผลการสงั เกตต้องสามารถระบุขนาดและชนดิ ของของแข็งกับ
ของเหลวท่ที ำใหเ้ กิดสารผสม

1.3 อภิปรายคําถามร่วมกับนักเรียนเพื่อวิเคราะห์ อภิปราย และลงข้อสรุปข้อมูลการ
สังเกต จาก 1.2 เพื่อสร้างประเด็นใหม่ท่ีแตกต่างจากความรู้เดิม/ประสบการณ์เดิม ผลการอภิปราย
ต้องลงข้อสรุปว่า สารผสมที่นำมาให้นักเรียนสังเกตมีลักษณะและสมบัติของสารผสมที่เป็นของแข็ง
ผสมกบั ของเหลว

ข้นั กําหนดปัญหา
1.4 ครูนําผลการวิเคราะห์ อภิปราย และลงข้อสรุปข้อมูลการสังเกตดังกล่าวข้อ 1.3 มา

ให้นักเรียน กําหนดเป็นประเดน็ ของปัญหาท่ีต้องคดิ คน้ หาคาํ ตอบ

2. ขนั้ สํารวจและค้นหา-อธบิ ายและลงข้อสรปุ

ขั้นกาํ หนดสมมติฐาน

ขน้ั รวบรวมขอ้ มลู
2.1 แบง่ นักเรียนออกเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 4 คน โดยจาํ แนกเป็น เกง่ : ปานกลาง: ออ่ น = 1:2:1
2.2 แจกใบกิจกรรมที่ 2 เร่ือง การแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแขง็ ออกจากของเหลว พรอ้ มท้ัง
แจกวสั ดอุ ุปกรณ์การสงั เกตดังรายการในใบกิจกรรมท่ี 2 ใหก้ บั นักเรียนแต่ละกลุม่
2.3 สมาชิกแต่ละกลุ่มออกแบบวิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมที่เป็นของแข็งกับของเหลว
จากเครอ่ื งมือทอี่ อกแบบใหล้ งในใบกจิ กรรมท่ี 2 ตอนที่ 1: การออกแบบวิธกี ารตรวจสอบการแยกสารผสม
ที่เป็นของแขง็ กบั ของเหลว
2.4 อภปิ รายคำถามในใบกจิ กรรมท่ี 2

202

2.5 นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอวิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งกับ
ของเหลว จากเคร่ืองมือท่ีออกแบบให้หน้าช้ันเรียน โดยครูและนักเรียนรว่ มกนั อภปิ ราย เพ่ือหาขอ้ สรุป
วิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งกับของเหลว จากเครื่องมือท่ีออกแบบให้ และประเมิน
วิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมของแต่ละกลุม่ พร้อมทง้ั ใหเ้ หตุผล

2.6 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทําการทดสอบวิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็ง
กบั ของเหลว จากเครื่องมอื ท่อี อกแบบให้ ตามวธิ กี ารและวสั ดุอปุ กรณ์ทีม่ ี

2.7 นักเรยี นบนั ทกึ ขอ้ มูลการตรวจสอบผลการแยกสารผสมทีเ่ ปน็ ของแขง็ กับของเหลว ตาม
วิธกี ารทมี่ ีลงในใบกิจกรรมท่ี 2 ตอนท่ี 2: บันทกึ ข้อมูลการตรวจสอบผล

จดั กระทําและส่อื ความหมายขอ้ มลู
2.8 ให้นักเรียนตอบคำถามในใบกิจกรรมที่ 2 ตอนที่ 3: การออกแบบวิธีการจัดกระทำและ
ส่ือความหมายขอ้ มูล
2.9 อภิปรายคำถามในใบกจิ กรรมท่ี 2 ตอนท่ี 3
2.10 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจตรวจสอบมาจัดกระทำและสื่อ
ความหมายข้อมูลตามวิธกี ารและรูปแบบท่ีออกแบบลงในใบกิจกรรมท่ี 2 ตอนที่ 4: การจัดกระทำและ
สือ่ ความหมายข้อมลู
2.11 นกั เรียนนําเสนอผลการจดั กระทําและส่อื ความหมายข้อมูลหนา้ ชน้ั เรยี น

ข้ันวเิ คราะห์ อภปิ ราย และลงขอ้ สรปุ ข้อมูล
2.12 ให้นักเรียนตอบคําถามในใบกิจกรรมท่ี 2 ตอนท่ี 5: ลงข้อสรุปเป็นสารสนเทศและ
ข้อเท็จจรงิ ทางวิทยาศาสตร์
2.13 อภปิ รายคาํ ถามในใบกิจกรรมท่ี 2 ตอนที่ 5

3. ขน้ั ขยายความรู้
-

4. ข้ันประเมินตนเอง
ใหน้ ักเรยี นประเมินผลการเรียนรขู้ องตนเองโดยการตอบคาํ ถามของครู

5. ขน้ั นาํ เสนอข้อค้นพบ
-

203

ส่ือและแหลง่ การเรียนรู้
1. ใบกจิ กรรมท่ี 2 กลุ่มละ 1 ชุด

2. นำ้ โคลน 150 ml, บกี เกอร์ขนาด 250 ml, กรวยกรองแกว้ 1 อัน, แทง่ แกว้ คนสาร 1 อัน, กระดาษ
กรอง 5 แผ่น

การวัดและประเมนิ ผล
1. กรอบการวัดและประเมินผล กาํ หนดกรอบการวดั และประเมินผลดงั ตาราง

ตาราง: แสดงกรอบการวัดและประเมินผล

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (ขอ้ ท)ี่ ประเดน็ ท่วี ดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารวัดผล เครอ่ื งมอื วัดผล
การตอบคําถาม ใบกิจกรรมที่ 1 ตอนท่ี 1
1.1 (K) การออกแบบวิธีการสงั เกต การตอบคาํ ถาม ใบกจิ กรรมท่ี 1 ตอนท่ี 3
การตอบคาํ ถาม ใบกจิ กรรมที่ 1 ตอนท่ี 3
เลอื กวิธีการจดั กระทำข้อมูล การตอบคําถาม ใบกจิ กรรมท่ี 1 ตอนท่ี 5
1.2 (K) เลือกรปู แบบการสอ่ื ความหมายขอ้ มลู
การสังเกต แบบสังเกต
1.3 (K) การลงข้อสรปุ ข้อมลู การสังเกต แบบสงั เกต
ตรวจผลงาน ใบกจิ กรรมที่ 1 ตอนที่ 2
2.1 (P) สงั เกตตามลำดบั ขั้นวธิ ีการร่วมกับวัสดอุ ปุ กรณ์ท่ีมี ตรวจผลงาน ใบกิจกรรมท่ี 1 ตอนที่ 4
2.2 (P) การใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์การสังเกต การสังเกต แบบสงั เกต
การสงั เกต แบบสงั เกต
2.3 (P) ข้อมูลการสงั เกต

2.4 (P) การจดั กระทำข้อมูล และการส่ือความหมายข้อมูล
3.1 (A) ความอยากรู้อยากเหน็
3.2 (A) มีนสิ ัยใฝ่เรยี นรู้

204

2. เกณฑก์ ารประเมิน
2.1 เกณฑก์ ารประเมินคะแนนรูบริค (Rubric Score) ใช้เกณฑ์ประเมนิ โดย เขยี นตัวรูบริคแบบ
แยกให้คะแนนเป็นรายข้อ (Analytical Rubric Score หรือ Formative Rubric Score) ดังตาราง

ตาราง: แสดงเกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนรูบริคเขียนโดยเขียนตัวรบู ริคแบบแยกใหค้ ะแนนเป็นรายขอ้

จดุ ประสงคท์ ี่ 1.1 (B3) เกณฑ์รูบริคของแตล่ ะประเด็น จาํ นวนคะแนนแต่ละเกณฑ์ของรบู ริค (ด้าน)
ประเดน็ ทที่ ําการประเมิน ออกแบบวิธกี ารการสังเกตอย่างเหมาะสม K คะแนน P คะแนน A คะแนน
/ 10
การออกแบบวิธีการสังเกต

จดุ ประสงค์ที่ 1.2 (C1,C2) เกณฑ์รบู ริคของแตล่ ะประเดน็ จํานวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรูบริค (ดา้ น)
ประเด็นทท่ี าํ การประเมิน
เลือกวิธกี ารจดั กระทำขอ้ มลู เลอื กวิธีการจดั กระทำขอ้ มูลอย่างเหมาะสม K คะแนน P คะแนน A คะแนน
ใหเ้ หตผุ ลของการเลือกวิธีการจัดกระทำขอ้ มูลท่ีกำหนด / 2
เลือกรปู แบบการส่อื ขึน้ /
ความหมายข้อมูล เลือกรปู แบบการสอื่ ความหมายข้อมลู ที่จัดกระทาํ แลว้ 3
อยา่ งเหมาะสม /
2

ให้เหตุผลในการเลือกรปู แบบการสื่อ /3
ความหมายข้อมูลทจ่ี ัดกระทําแลว้ ได้

ออกแบบรปู แบบการส่ือความหมายขอ้ มูลท่จี ัดกระทํา / 5
แลว้ อยา่ งเหมาะสม

205

จุดประสงค์ท่ี 1.3 (C2) เกณฑร์ บู ริคของแตล่ ะประเด็น จํานวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรูบริค (ด้าน)
ประเด็นที่ทาํ การประเมิน K คะแนน P คะแนน A คะแนน

การลงขอ้ สรปุ ข้อมูล ระบอุ งคร์ วมของข้อมลู /2

ระบุจุดประสงค์ของการวิเคราะห์ข้อมลู /3

แยกแยะข้อมูลท้ังหมดเปน็ องคป์ ระกอบยอ่ ย / 2

การตีความโดยการอา้ งอิง อธบิ ายคุณสมบัตเิ ฉพาะของแตล่ ะ /3
สารสนเทศ องคป์ ระกอบย่อย
วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ของแต่ละ /4
รวมคะแนนผลการเรยี นรูด้ ้น (K) องค์ประกอบยอ่ ยตามจดุ ประสงคก์ าร
จดุ ประสงคท์ ี่ 2.1 (B3,B4) วเิ คราะห์ /3
ประเดน็ ท่ที ําการประเมิน ลงข้อสรุปข้อมลู เปน็ สารสนเทศตาม
ความสัมพันธ์ที่พบ /5
สงั เกตตามลําดับข้ันวธิ กี าร
รว่ มกับวสั ดอุ ปุ กรณท์ ่ีมี ตคี วามขอ้ มูลโดยอา้ งอิงสารสนเทศเพอ่ื สรุปเป็นความรู้ทาง 47
วทิ ยาศาสตร์ จาํ นวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรูบริค (ดา้ น)
จุดประสงค์ท่ี 2.2 (B5) K คะแนน P คะแนน A คะแนน
ประเด็นท่ีทาํ การประเมิน เกณฑ์รบู ริคของแต่ละประเด็น
การใช้วสั ดุอุปกรณ์การสงั เกต /5
ทําการสังเกตถกู ตอ้ งตามลาํ ดบั ขนั้ วิธกี าร
จาํ นวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรูบริค (ดา้ น)
เกณฑร์ บู รคิ ของแต่ละประเด็น K คะแนน P คะแนน A คะแนน

ใช้วัสดุอุปกรณก์ ารสังเกตถูกตอ้ งตามวธิ กี าร /5

จุดประสงคท์ ่ี 2.3 (B5) เกณฑร์ บู ริคของแต่ละประเด็น จาํ นวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรบู ริค (ดา้ น)
ประเด็นที่ทําการประเมิน
แสดงจำนวนข้อมูลการสงั เกตครบถ้วน K คะแนน P คะแนน A คะแนน
ข้อมูลการสงั เกต บรรยายคณุ สมบตั ทิ ี่ต้องการสงั เกตของแต่ละวตั ถุหรือ /5
ปรากฏการณค์ รบถ้วน
/5
บรรยายคณุ สมบตั ิทตี่ ้องการสงั เกตของแต่ละวัตถหุ รอื
ปรากฏการณถ์ กู ตอ้ งและครบถ้วน /5

206

จดุ ประสงคท์ ่ี 2.4 (C1,C2) เกณฑ์รูบริคของแตล่ ะประเดน็ จาํ นวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรูบริค (ด้าน)
ประเด็นทท่ี าํ การประเมิน
จดั กระทำข้อมลู ถูกต้องตามวิธกี ารที่กำหนด K คะแนน P คะแนน A คะแนน
การจัดกระทำข้อมูล และ จดั กระทำข้อมูลตรงตามวธิ กี ารท่ีกำหนดครบทุกตัว /5
การสอื่ ความหมายข้อมลู
/5

ส่ือความหมายขอ้ มูลที่จัดกระทำแล้วถกู ต้องตามรปู แบบที่ /5
ออกแบบ

รวมคะแนนผลการเรยี นรู้ดา้ น (P) 40
จุดประสงค์ที่ 3.1
เกณฑร์ บู ริคของแตล่ ะประเด็น จาํ นวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรูบริค (ดา้ น)
ประเดน็ ทที่ ําการประเมิน
มีความเป็นผู้อยากรอู้ ยากเห็น มีความอดทนทจี่ ะเรยี นร้ตู ่อเหตุการณ์ K คะแนน P คะแนน A คะแนน
ใหม่/ประสบการณใ์ หม่ / 4
จดุ ประสงคท์ ่ี 3.2
ประเด็นที่ทําการประเมิน มีมุมมองทหี่ ลากหลายตอ่ แต่ละ /4
ใฝเ่ รยี นรู้ เหตุการณใ์ หม่/ประสบการณใ์ หม่

เกณฑ์รบู ริคของแตล่ ะประเด็น จํานวนคะแนนแตล่ ะเกณฑ์ของรบู ริค (ด้าน)
K คะแนน P คะแนน A คะแนน
มคี วามเพยี รพยายามในการแสวงหา
ความรู้ /4

อยากรูอ้ ยากเห็น สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรม /4
ส่งเสรมิ การเรียนรู้
/4
คน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง /4

แลกเปลยี่ นถา่ ยทอดเผยแพร่ความรู้นาํ
ความรู้ไปประยุกต์ ใชใ้ นชวี ิตประจาํ วัน

บันทกึ วเิ คราะห์ ตรวจสอบสิ่งทเ่ี รยี นรูส้ รุปเป็นองค์ความรู้ /4

ม่งุ ม่ัน ตง้ั ใจเรียนร้เู พอ่ื พัฒนาตนเอง / 4
รวมคะแนนผลการเรียนร้ดู า้ น (A) 47+40+40 = 127 คะแนน 40
รวมคะแนนผลการเรียนรู้ทงั้ 3 ดา้ น

207

2.2 เกณฑ์กาํ หนดระดบั ผลการเรียนรู้ กาํ หนดเกณฑแ์ บบแยกเป็นรายดา้ นคือ ดา้ น
ความรู้ (K) ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) และด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) แต่ละดา้ นกําหนดระดบั
ผลการเรยี นรู้ เป็น 4 ระดับคอื ระดับดมี าก ระดับดี ระดับพอใช้ และระดับต้องปรบั ปรุง แตล่ ะระดับ
กาํ หนด เกณฑ์การประเมนิ จากคะแนนเต็มรบู ริค ดงั น้ี

ด้านความรู้ (K)
มีคะแนนรบู ริคอยา่ งนอ้ ยรอ้ ยละ 80 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรยี นรทู้ ร่ี ะดบั ดมี าก
มคี ะแนนรูบรคิ ร้อยละ 65 – 79 ของคะแนนเต็ม มผี ลการเรยี นรู้ทรี่ ะดับ ดี
มีคะแนนรูบรคิ รอ้ ยละ 50 – 64 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรยี นร้ทู ร่ี ะดับ พอใช้
มคี ะแนนรูบรคิ นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 50 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรยี นรทู้ ่ีระดบั ต้องปรบั ปรงุ
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
มคี ะแนนรบู ริคอยา่ งน้อยรอ้ ยละ 80 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรยี นรทู้ ่รี ะดับ ดีมาก
มคี ะแนนรูบริคร้อยละ 65 – 79 ของคะแนนเตม็ มผี ลการเรียนรู้ทร่ี ะดับ ดี
มคี ะแนนรบู รคิ รอ้ ยละ 50 – 64 ของคะแนนเต็ม มผี ลการเรียนรทู้ รี่ ะดบั พอใช้
มีคะแนนรบู ริคน้อยกวา่ ร้อยละ 50 ของคะแนนเตม็ มผี ลการเรยี นรทู้ ่รี ะดบั ตอ้ งปรับปรุง
ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
มคี ะแนนรบู ริคอย่างน้อยร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรียนรู้ที่ระดบั ดมี าก
มีคะแนนรบู รคิ ร้อยละ 65 – 79 ของคะแนนเต็ม มผี ลการเรยี นรทู้ ร่ี ะดับ ดี
มีคะแนนรูบรคิ ร้อยละ 50 – 64 ของคะแนนเต็ม มผี ลการเรียนร้ทู รี่ ะดบั พอใช้
มคี ะแนนรบู รคิ น้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรยี นรทู้ ่รี ะดบั ตอ้ งปรบั ปรงุ
2.3 เกณฑป์ ระเมินผลผ่านการเรียนรใู้ ชเ้ กณฑ์ประเมนิ แบบแยกเป็นรายดา้ น คือ ดา้ น
ความรู้ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แต่ละด้านกําหนดเกณฑ์ประเมิน
ผ่านผล การเรียนรู้โดยองิ ระดบั มาตรฐานผลการเรียนรู้ ดงั น้ี
ดา้ นความรู้ (K)
ระดับบคุ คล นกั เรียนต้องมผี ลการเรยี นรู้อยา่ งน้อยตงั้ แต่ระดับ ดี ถอื ว่า ผา่ นการประเมนิ
(ประกันผลการเรยี นรขู้ องนกั เรียน)
ระดบั ชัน้ เรยี น มจี ํานวนนักเรียนอยา่ งน้อยรอ้ ยละ 65 ของจาํ นวนทงั้ หมดมีผลการเรยี นรู้
อยา่ งน้อยตงั้ แต่ระดับ ดี ถอื วา่ การจดั ประสบการณเ์ รียนรบู้ รรลตุ ามจุดประสงคก์ ารเรียนรูท้ ี่กาํ หนดใน
แผนการจดั การเรียนรู้ (ประกนั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรขู้ องครู)

208

ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
ระดับบุคคล นกั เรียนต้องมผี ลการเรยี นรู้อยา่ งน้อยต้ังแต่ระดบั ดี ถือวา่ ผา่ นการประเมนิ
(ประกันผลการเรียนรขู้ องนกั เรียน)
ระดับชั้นเรียน มจี าํ นวนนักเรยี นอย่างนอ้ ยร้อยละ 65 ของจํานวนท้งั หมดมีผลการเรยี นรู้
อยา่ งน้อยตัง้ แต่ระดบั ดี ถอื ว่าการจดั ประสบการณ์เรียนรู้บรรลตุ ามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ทก่ี าํ หนดใน
แผนการจดั การเรยี นรู้ (ประกนั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ของครู)
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
ระดบั บุคคล นักเรียนตอ้ งมผี ลการเรียนรู้อยา่ งนอ้ ยตง้ั แต่ระดบั ดี ถอื ว่า ผา่ นการประเมนิ
(ประกนั ผลการเรียนรู้ของนักเรยี น)
ระดับชน้ั เรียน มจี ํานวนนักเรยี นอย่างนอ้ ยรอ้ ยละ 65 ของจํานวนท้ังหมดมผี ลการเรยี นรู้
อยา่ งน้อยตงั้ แตร่ ะดบั ดี ถอื วา่ การจดั ประสบการณเ์ รียนรบู้ รรลตุ ามจุดประสงคก์ ารเรียนรูท้ ก่ี าํ หนดใน
แผนการจัดการเรยี นรู้ (ประกันการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ของครู)
2.4 เกณฑป์ ระเมินผา่ นสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวของ PISA
มีคะแนนรบู ริคอย่างน้อยรอ้ ยละ 80 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรียนรู้ที่ระดบั ดีมาก
มคี ะแนนรบู รคิ รอ้ ยละ 65 – 79 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรียนรูท้ ร่ี ะดบั ดี
มคี ะแนนรูบรคิ ร้อยละ 50 – 64 ของคะแนนเต็ม มีผลการเรยี นร้ทู รี่ ะดบั พอใช้
มีคะแนนรูบริคน้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเตม็ มีผลการเรยี นรทู้ ีร่ ะดบั ตอ้ งปรบั ปรงุ
ระดับบุคคล นักเรียนตอ้ งมีผลการเรียนรู้อย่างน้อยตั้งแต่ระดับ ดี ถอื วา่ ผา่ นการประเมนิ
(ประกนั ผลการเรียนรขู้ องนกั เรยี น)
ระดับชั้นเรียน มีจํานวนนกั เรยี นอยา่ งน้อยร้อยละ 65 ของจาํ นวนทงั้ หมดมผี ลการเรยี นรู้
อย่างน้อยต้งั แต่ระดับ ดี ถือว่าการจดั ประสบการณเ์ รียนรบู้ รรลตุ ามจดุ ประสงค์การเรียนรทู้ ี่กาํ หนดใน
แผนการจัดการเรียนรู้ (ประกนั การจดั กิจกรรมการเรียนร้ขู องครู)

209

บันทกึ หลงั แผน

ผลการประเมิน จาํ แนกผลการประเมนิ ผลการเรยี นรูเ้ ป็นรายด้านคือ ด้านความรู้ ดา้ นทักษะ/
กระบวนการ และดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ดังน้ี
1. ดา้ นความรู้

ระดับบุคคล จาํ นวนนักเรียนทง้ั หมด ….….. คน มีผลการเรียนรู้อยูท่ ่รี ะดบั ดมี าก จาํ นวน ….….. คน
คดิ เปน็ รอ้ ยละ ….….. ท่รี ะดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ….….. ท่ีระดบั พอใช้ จาํ นวน ….….. คน
คิดเปน็ ร้อยละ ….….. และท่รี ะดับต้องปรับปรงุ จาํ นวน ….….. คน คิดเปน็ รอ้ ยละ ….…..

ระดบั ชั้นเรยี น นักเรยี นที่มีผลการเรยี นรตู้ ัง้ แต่ระดบั ดี จาํ นวน ….….. คน คดิ เปน็ ร้อยละ ……… และ
ถือวา่ ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ และมีนักเรียนทีม่ ีผลการเรียนรู้ต่ำกวา่ ระดับ ดี จํานวน ….….. คน
คดิ เปน็ ร้อยละ ….….. และถือว่าไม่ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ ดงั น้นั ถือวา่ การจัดประสบการเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ของแผนการจดั การเรียนรู้ ประสบความสาํ เร็จ ไม่ประสบความสําเร็จตามจุดประสงค์
การเรยี นรู้
2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ

ระดับบุคคล จาํ นวนนักเรียนท้ังหมด ….….. คน มีผลการเรยี นรอู้ ยูท่ ร่ี ะดบั ดีมาก จาํ นวน ….….. คน
คิดเป็นร้อยละ ….….. ท่รี ะดบั ดี จํานวน ….….. คน คดิ เปน็ ร้อยละ ….….. ท่รี ะดับพอใช้ จาํ นวน ….….. คน
คิดเป็นรอ้ ยละ ….….. และทร่ี ะดบั ต้องปรบั ปรุง จาํ นวน ….….. คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ….…..

ระดับช้นั เรียน นักเรียนท่มี ผี ลการเรยี นรูต้ ง้ั แต่ระดับ ดี จํานวน ….….. คน คิดเปน็ ร้อยละ ……… และ
ถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ และมีนักเรียนทม่ี ีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าระดับ ดี จาํ นวน ….….. คน
คิดเปน็ รอ้ ยละ ….….. และถอื ว่าไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดงั นน้ั ถือว่าการจดั ประสบการเรยี นรู้
ด้านความรู้ของแผนการจดั การเรียนรู้ ประสบความสาํ เร็จ ไม่ประสบความสําเร็จตามจุดประสงค์
การเรียนรู้
3. ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

ระดบั บคุ คล จาํ นวนนกั เรยี นทงั้ หมด ….….. คน มีผลการเรยี นรอู้ ยูท่ ีร่ ะดบั ดีมาก จํานวน ….….. คน
คิดเปน็ รอ้ ยละ ….….. ทรี่ ะดบั ดี จํานวน ….….. คน คดิ เปน็ ร้อยละ ….….. ท่ีระดับพอใช้ จาํ นวน ….….. คน
คิดเป็นร้อยละ ….….. และท่ีระดบั ตอ้ งปรับปรงุ จาํ นวน ….….. คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ….…..

ระดับชั้นเรียน นกั เรยี นที่มผี ลการเรียนรตู้ ัง้ แต่ระดบั ดี จาํ นวน ….….. คน คิดเป็นร้อยละ ……… และ
ถอื ว่าผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรยี นรู้ และมีนักเรียนทีม่ ีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าระดบั ดี จํานวน ….….. คน
คดิ เปน็ รอ้ ยละ ….….. และถอื ว่าไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดังนน้ั ถือว่าการจดั ประสบการเรียนรู้
ด้านความรูข้ องแผนการจดั การเรียนรู้ ประสบความสาํ เรจ็ ไม่ประสบความสําเร็จตามจดุ ประสงค์
การเรียนรู้

210

ผลการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้
(ช้ใี ห้เห็นถงึ ผลทีเ่ กิดกับผเู้ รียนตามจดุ ประสงค์หรอื ตวั ชี้วดั ทีก่ าํ หนดในแผน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….………………………

ปัญหา/อุปสรรค *(คือปญั หาที่พบจากการจดั การเรียนรู้)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….………………………

ขนั้ เสนอแนะ / แนวทางแก้ไข (ครเู สนอแนะแนวทางแกไ้ ขของปัญหาทีพ่ บในการจดั การเรียนรู้)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….………………………

ลงชอื่ ......................................................ผู้จดั ทําแผนการจดั การเรยี นรู้
(......................................................)
........./..................../.............

บนั ทกึ ความเห็นของผูต้ รวจสอบแผนการจดั การเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….………………………

ลงชื่อ......................................................(ผตู้ รวจ)
(......................................................)
ครู/อาจารยพ์ ่เี ลยี้ ง
........../..................../..............

211

บันทกึ ความเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….………………………

ลงชือ่ ......................................................(ผู้ตรวจ)
(......................................................)

หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
........../..................../..............

บันทึกความเหน็ ของผู้บริหาร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….………………………

ลงช่อื .....................................................
( .......................................... )

ผอู้ ํานวยการโรงเรียน/ผูร้ ับอาํ นาจมอบหมาย
........../..................../..............

212

ใบกจิ กรรมท่ี 1

เรือ่ ง การแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งขนาดแตกตา่ งกนั

สมาชิก
1. ชือ่ -สกุล..................................................................................ชั้น..................เลขท่.ี .............

2. ชื่อ-สกุล...................................................................................ชั้น..................เลขที่..............

3. ชอื่ -สกุล...................................................................................ชน้ั ..................เลขที่..............

4. ชอ่ื -สกลุ ...................................................................................ชั้น..................เลขท.่ี .............

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
สามารถออกแบบวิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมทเ่ี ป็นของแข็ง จากเครอ่ื งมือที่ออกแบบให้

วสั ดอุ ปุ กรณ์
1. ลูกปดั 15 ลูก
2. แปง้ 5 กรมั
3. กอ้ นหิน 5 ก้อน
4. ข้าวสาร 5 กรัม
5. ลูกแม็ก 1 แถว
6. บกี เกอร์ขนาด 250 ml 1 บีกเกอร์
7. แก้วพลาสตกิ 5 ใบ
8. ถาดใส่สาร 1 ถาด
9. ตะแกรงร่อนสารขนาดตา่ งกัน 3 อัน
10. แทง่ แมเ่ หล็ก 1 คู่

213

คำส่ัง/คำชีแ้ จง
1. ออกแบบวิธกี ารตรวจสอบการแยกสารผสมท่ีเปน็ ของแขง็ จากเครอ่ื งมอื ที่ออกแบบให้ โดย

เขียนเป็นลำดับขั้นตอน ในการใช้เครอื่ งมือใหเ้ หมาะสม
2. เม่ือจัดลำดบั แล้ว อภปิ รายรว่ มกนั เพ่ือสรปุ ผลการจดั ลำดบั ขั้นใหม่

ตอนที่ 1: การออกแบบวธิ กี ารตรวจสอบการแยกสารผสมที่เป็นของแข็ง (10 คะแนน)

ลำดับขน้ั ตอนการทดสอบ

1.………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

2.………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

3.………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

4.………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

214

5.………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

ตอนที่ 2: บันทกึ ข้อมูลการตรวจสอบผล
จดุ ประสงค์การเรียนรู้

สามารถบนั ทกึ ขอ้ มูลการตรวจสอบผลการแยกสารผสมทีเ่ ป็นของแขง็ ตามวิธีการทม่ี ี

คำสงั่ /คำชี้แจง
1. หลังจากท่ีนกั เรียนไดล้ งมือปฏบิ ัตแิ ลว้ ใหน้ กั เรยี นบันทึกขอ้ มูลการตรวจสอบผลว่าเป็น

อย่างไร

บนั ทึกข้อมูลการตรวจสอบผล
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

ตอนที่ 3: การออกแบบวธิ ีการจัดกระทำและส่ือความหมายข้อมลู

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สามารถออกแบบวิธกี ารแปลงขอ้ มูลของการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งดว้ ยเคร่อื งมอื แยก

ตา่ งชนดิ กนั
2. สามารถแปลงขอ้ มลู ของการแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแขง็ ด้วยเคร่ืองมอื แยกต่างชนิดกนั ตาม

วิธีการจดั และรูปแบบการสอ่ื ความหมายทีอ่ อกแบบ

215

คำสง่ั /คำชแ้ี จง
1. จงตอบคำถามในตอนท่ี 3 เพอ่ื ออกแบบวธิ กี ารจดั กระทำและสอ่ื ความหมายข้อมลู
2. เมอื่ ตอบคำถามแลว้ อภิปรายรว่ มกันเก่ียวกับออกแบบการจดั กระทำและสอ่ื ความหมาย

ข้อมูล

ข้อคำถาม
1. ท่านจะเลือกวธิ ีการจดั กระทำขอ้ มูลของการแยกสารผสมท่ีเปน็ ของแข็ง ดว้ ยเครือ่ งมอื แยกตา่ งชนดิ
กัน จงึ จะงา่ ยต่อการเปรยี บเทียบให้เหน็ ถึงความแตกตา่ งของสารดงั กลา่ วเช่น การจดั ลำดบั การจดั กล่มุ
เป็นต้น (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
2. มเี หตผุ ลอยา่ งใดจงึ เลือกวิธีการจดั กระทำข้อมลู ดังกล่าวขอ้ 1 จงอธบิ าย (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
3. ท่านจะเลอื กรปู แบบการสื่อความหมายข้อมูลทจี่ ดั กระทำแลว้ ดงั คำตอบคำถามข้อ 1-2 จึงจะ
เหมาะสม เชน่ กราฟ ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ เปน็ ต้น (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

216

4. มเี หตุผลอย่างใดจงึ เลอื กรูปแบบการสอ่ื ความหมายดังคำตอบคำถามข้อ 3 จงอธิบาย (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
5. จงเขยี นรูปแบบการสอ่ื ความหมายขอ้ มูลดังทที่ า่ นออกแบบ (5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
ตอนท่ี 4: การจดั กระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มลู

คำส่งั /คำชแ้ี จง
ใหท้ ่านนำข้อมูลท่ีไดจ้ ากการสำรวจตรวจสอบมาจัดกระทำและสือ่ ความหมายขอ้ มูลตามวธิ ีการและ

รปู แบบการสื่อความหมายดงั ท่ีทา่ นออกแบบในตอนที่ 3

การจัดกระทำและสื่อความหมายขอ้ มลู (5 คะแนน)

217

ตอนท่ี 5: ลงขอ้ สรปุ เป็นสารสนเทศและขอ้ เท็จจริงทางวทิ ยาศาสตร์

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
สามารถวิเคราะห์ อภปิ ราย และลงข้อสรุปขอ้ มลู การแยกสารผสมทเ่ี ปน็ ของแขง็ ดว้ ยเคร่อื งมือแยกที่

แตกต่างกัน

คำส่ัง/คำชี้แจง
1. ให้นกั เรียนทำความเข้าใจกับขอ้ มูลการแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแข็ง ดว้ ยเครือ่ งมือแยกท่ี

แตกต่างกัน ของสารทจ่ี ดั กระทำและสื่อความหมายแล้วดังตอนท่ี 4
2. จงตอบคำถาม เพ่ือวเิ คราะห์ อภปิ ราย และลงขอ้ สรุปข้อมลู ดงั ตอนท่ี 4
3. เม่อื ตอบคำถามแลว้ อภิปรายคำถามรว่ มกันเก่ียวกับผลการวิเคราะห์ อภปิ ราย และลงข้อสรปุ

ขอ้ มูล

ขอ้ คำถาม
1. จากขอ้ มลู ท่ีนำเสนอเป็นขอ้ มูลเกี่ยวกบั เร่ืองใด (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
2. จุดประสงคท์ ่ขี อ้ มลู ตอ้ งการสือ่ ความหมายคอื อะไร (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

218

3. สารผสมท่นี ำมาใช้ทดสอบมีก่ีชนดิ อะไรบ้าง (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
4. ผลการทดสอบการแยกสารผสมทเี่ ปน็ ของแข็ง ดว้ ยเคร่อื งมือแยกท่ีแตกต่างกนั แต่ละชนดิ เป็นอยา่ ง
(2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
5. ผลการทดสอบการแยกสารผสมทเ่ี ปน็ ของแขง็ ดว้ ยเครอ่ื งมือแยกทีแ่ ตกต่างกนั เปน็ อย่างไร
(4 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
6. ผลการจดั กลุ่มของการแยกสารผสมที่เป็นของแข็ง ด้วยเครื่องมือที่แตกต่างกนั เปน็ อยา่ งไร (3
คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

219

7. ถ้าท่านใชว้ ิธกี ารแยกสารผสมทเี่ ป็นของแข็ง ดว้ ยเครอ่ื งมอื ทีแ่ ตกตา่ งกนั อย่างเดียวกบั วธิ ีการทใ่ี ช้ใน
การทดสอบคร้ังนก้ี ับสารผสมชนดิ อ่ืนจงตอบคำถามย่อย

7.1 จะได้ผลการทดสอบทีเ่ หมอื นกันหรอื แตกต่างกนั (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

7.2 จากผลการทดสอบคร้งั นี้ จะลงข้อสรปุ เปน็ ขอ้ เทจ็ จริงเกยี่ วกบั การแยกสารผสมทีเ่ ป็น
ของแขง็ ดว้ ยเครื่องมอื ที่แตกตา่ งกันในชวี ิตประจำวันอยา่ งไร (5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

220

ใบกจิ กรรมที่ 2

เรอื่ ง การแยกสารผสมทีเ่ ป็นของแข็งออกจากของเหลว

สมาชิก
1. ชอ่ื -สกลุ ..................................................................................ชั้น..................เลขที่..............

2. ช่อื -สกลุ ..................................................................................ชั้น..................เลขท่.ี .............

3. ชอ่ื -สกุล..................................................................................ชน้ั ..................เลขที่..............

4. ชอื่ -สกุล..................................................................................ชั้น..................เลขที่..............

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
สามารถออกแบบวธิ ีการตรวจสอบการแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแข็งออกจากของเหลว จากเครื่องมือท่ี

ออกแบบให้

วสั ดุอุปกรณ์
1. น้ำโคลน 150 ml.
2. บีกเกอร์ขนาด 250 ml.
3. แทง่ แกว้ คนสาร
4. กระดากรอง
5. กรวยกรองแก้ว

คำสั่ง/คำช้แี จง
1. ออกแบบวธิ กี ารตรวจสอบการแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแขง็ ออกจากของเหลว จากเครอื่ งมือท่ี

ออกแบบให้ โดยเขยี นเป็นลำดับขั้นตอน ในการใช้เคร่อื งมอื ใหเ้ หมาะสม
2. เม่ือจัดลำดบั แล้ว อภปิ รายรว่ มกนั เพื่อสรปุ ผลการจดั ลำดับขัน้ ใหม่

221

ตอนท่ี 1: การออกแบบวิธีการตรวจสอบการแยกสารผสมทเ่ี ปน็ ของแขง็ กบั ของเหลว (10 คะแนน)

ลำดับขั้นตอนการทดสอบ

1……………………………………………………………………………………………….………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

2……………………………………………………………………………………………….………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

3……………………………………………………………………………………………….………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

4……………………………………………………………………………………………….………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

5……………………………………………………………………………………………….………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

222

ตอนที่ 2: บันทึกข้อมูลการตรวจสอบผล

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
สามารถบันทกึ ข้อมลู การตรวจสอบผลการแยกสารผสมทเ่ี ปน็ ของแข็งออกจากของเหลว ตามวธิ ีการ

ท่ีมี

คำสงั่ /คำชแ้ี จง
1. หลงั จากที่นักเรียนไดล้ งมือปฏิบัตแิ ล้ว ให้นักเรยี นบนั ทึกข้อมูลการตรวจสอบผลว่าเปน็

อยา่ งไร

บันทกึ ขอ้ มูลการตรวจสอบผล
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

ตอนท่ี 3: การออกแบบวธิ ีการจดั กระทำและส่ือความหมายขอ้ มลู

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. สามารถออกแบบวิธีการแปลงขอ้ มูล การแยกสารผสมทเ่ี ป็นของแข็งออกจากของเหลว ด้วย

เคร่ืองมือแยกต่างชนิดกนั
2. สามารถแปลงข้อมลู ของการแยกสารผสมทเ่ี ปน็ ของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ยเคร่ืองมอื แยก

ตา่ งชนดิ กัน ตามวิธกี ารจดั และรปู แบบการสือ่ ความหมายที่ออกแบบ

คำส่งั /คำชแ้ี จง
1. จงตอบคำถามในตอนท่ี 3 เพื่อออกแบบวธิ กี ารจัดกระทำและสอื่ ความหมายขอ้ มูล
2. เม่อื ตอบคำถามแล้ว อภปิ รายร่วมกันเก่ียวกับออกแบบการจดั กระทำและสือ่ ความหมาย

ข้อมูล

223

ข้อคำถาม
1. ท่านจะเลอื กวิธกี ารจดั กระทำข้อมูลของการแยกสารผสมท่เี ป็นของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ยเครอื่ งมอื
แยกต่างชนิดกนั จงึ จะงา่ ยต่อการเปรียบเทยี บให้เห็นถงึ ความแตกต่างของสารดังกลา่ วเช่น การจัดลำดบั การ
จัดกลุ่ม เปน็ ต้น (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
2. มเี หตผุ ลอยา่ งใดจงึ เลือกวิธีการจัดกระทำข้อมลู ดงั กลา่ วข้อ 1 จงอธิบาย (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
3. ท่านจะเลอื กรปู แบบการสื่อความหมายข้อมลู ทจี่ ัดกระทำแล้วดังคำตอบคำถามขอ้ 1-2 จึงจะ
เหมาะสม เช่น กราฟ ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ เปน็ ตน้ (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
4. มเี หตุผลอยา่ งใดจงึ เลอื กรูปแบบการส่อื ความหมายดงั คำตอบคำถามขอ้ 3 จงอธบิ าย (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

224

5. จงเขยี นรูปแบบการสอื่ ความหมายข้อมลู ดังทที่ า่ นออกแบบ (5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
ตอนท่ี 4: การจดั กระทำและส่อื ความหมายขอ้ มลู

คำสั่ง/คำชแ้ี จง
ใหท้ ่านนำข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสำรวจตรวจสอบมาจดั กระทำและสื่อความหมายข้อมลู ตามวธิ ีการและ

รปู แบบการสื่อความหมายดงั ที่ท่านออกแบบในตอนท่ี 3

การจดั กระทำและสื่อความหมายขอ้ มลู (5 คะแนน)

225

ตอนท่ี 5: ลงข้อสรุปเปน็ สารสนเทศและข้อเทจ็ จริงทางวทิ ยาศาสตร์

จุดประสงค์การเรียนรู้
สามารถวเิ คราะห์ อภปิ ราย และลงข้อสรปุ ขอ้ มูลการแยกสารผสมที่เปน็ ของแขง็ ด้วยเครือ่ งมือแยกที่

แตกต่างกัน

คำส่ัง/คำชี้แจง
1. ให้นกั เรยี นทำความเขา้ ใจกับข้อมูลการแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ย

เคร่ืองมอื แยกทแ่ี ตกตา่ งกนั ของสารทจ่ี ดั กระทำและสอื่ ความหมายแล้วดงั ตอนท่ี 4
2. จงตอบคำถาม เพื่อวิเคราะห์ อภปิ ราย และลงข้อสรปุ ข้อมลู ดังตอนที่ 4
3. เมอื่ ตอบคำถามแล้วอภปิ รายคำถามรว่ มกันเกีย่ วกับผลการวิเคราะห์ อภิปราย และลงข้อสรปุ

ขอ้ มูล

ข้อคำถาม
1. จากขอ้ มลู ทนี่ ำเสนอเปน็ ข้อมลู เก่ยี วกับเร่อื งใด (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
2. จุดประสงคท์ ่ีข้อมูลตอ้ งการสื่อความหมายคอื อะไร (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

226

3. สารผสมที่นำมาใชท้ ดสอบมีกช่ี นิด อะไรบา้ ง (2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
4. ผลการทดสอบการแยกสารผสมที่เป็นของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ยเคร่ืองมอื แยกท่แี ตกตา่ งกัน แตล่ ะ
ชนดิ เปน็ อยา่ ง
(2 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแกไ้ ข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
5. ผลการทดสอบการแยกสารผสมทีเ่ ป็นของแข็งออกจากของเหลว ดว้ ยเคร่ืองมือแยกทแี่ ตกตา่ งกนั เป็น
อย่างไร (4 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
6. ผลการจดั กลุม่ ของการแยกสารผสมท่เี ป็นของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ยเคร่ืองมือทีแ่ ตกตา่ งกนั เป็น
อยา่ งไร (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

227

7. ถา้ ท่านใชว้ ธิ กี ารแยกสารผสมท่เี ปน็ ของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ยเครื่องมือทีแ่ ตกต่างกนั อยา่ ง
เดยี วกับวธิ กี ารทใ่ี ช้ในการทดสอบคร้ังน้ีกับสารผสมชนิดอื่นจงตอบคำถามย่อย

7.1 จะได้ผลการทดสอบท่ีเหมือนกนั หรอื แตกตา่ งกนั (3 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ขอ้ แก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

7.2 จากผลการทดสอบคร้งั น้ี จะลงขอ้ สรุปเปน็ ข้อเท็จจรงิ เกีย่ วกบั การแยกสารผสมทเี่ ป็น
ของแขง็ ออกจากของเหลว ดว้ ยเคร่อื งมอื ที่แตกตา่ งกนั ในชีวติ ประจำวนั อยา่ งไร (5 คะแนน)
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………
……………………………………………………………………………………………….……………………………………………

ข้อแก้ไข………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

228

แบบทดสอบวัดทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการใชท้ ักษะกระบวนการ
วตั ถปุ ระสงค์

เพอื่ วัดและประเมนิ ความรู้ ความเขา้ ใจ และทักษะการใชท้ กั ษะกระบวนการ
1. แบบทดสอบใช้สำหรบั โครงการ “นกั ศึกษาครวู ิทยาศาสตร์ คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั

ราชภัฏอตุ รดิตถ์ให้เปน็ ครวู ิทยาศาสตร์มอื อาชพี ”
2. ขอ้ สอบเป็นแบบเลือกตอบ ให้ทำทุกขอ้
3. ให้ทำเครอ่ื งหมาย X ทบั ข้อตวั เลอื กในกระดาษคำตอบที่เหน็ ว่าถูกเพยี งข้อเดียว
4. หา้ มทำเครือ่ งหมายใด ๆ ในแบบทดสอบ

1. ผลของการสงั เกตคอื สิง่ ใดในเชงิ วิทยาศาสตร์

ก. ความรสู้ กึ ข. ความคดิ เหน็

ค. ขอ้ มูล ง. ความรู้

2. ขอ้ ใดตรงกับความหมายของการสังเกต

ก. ส้มผลนีม้ สี เี ขียวน่าจะมรี สเปร้ียว

ข. วันนีอ้ ากาศรอ้ นอบอา้ ว ฝนคงจะตกในไม่ช้า

ค. น้ำในแกว้ มีลักษณะสดี ำ กลน่ิ เหมน็ เป็นน้ำสกปรก

ง. วันน้แี ดดชดั แต่ฉันต้องเดนิ ตากมนั จนตวั ดำหมดแล้ว

229

3. จากการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพอ่ื ศกึ ษาความสูงของนักเรยี นชน้ั ป. 6 จำนวน 24 คน สามารถบันทกึ ผล
การวัดซึ่งเปน็ ค่าสมติโดยกำหนดหน่วยวัดเป็นเซนตเิ มตรดังน้ี

126 125 129 130 126 125
124 125 124 125 131 129
125 126 124 128 130 126
131 125 127 126 127 124
จากข้อมูลทก่ี ำหนดให้จะ “จัดกระทำและสื่อความหมายขอ้ มลู ” ขอ้ ใดจงึ จะเหมาะสม
ก. จัดกระทำโดย “เรยี งลำดับ” และ สอ่ื ความหมายดว้ ย “กราฟ”
ข. จัดกระทำโดย “แจกแจงความถ่”ี และ สื่อความหมายด้วย “ตาราง”
ค. จดั กระทำโดย “หาคา่ รอ้ ยละ” และ สือ่ ความหมายดว้ ย “แผนภูมวิ งกลม”
ง. จัดกระทำโดย “หาค่าเฉล่ีย” และ ส่อื ความหมายด้วย “แผนภูมแิ ทง่ ”

230

เมอื่ ขอ้ มูลท่ีจัดกระทำและสื่อความหมายแลว้ เป็นดงั กราฟ จงตอบคำถามขอ้ ท่ี 4-5
กราฟ: เปรียบเทียบอตั ราการเจรญิ เตบิ โตระหวา่ งตน้ ถ่ัวเขียวและตน้ ถ่วั ลนั เตานบั แต่เริ่มงอก

จากเมล็ด 10 วัน โดยใชร้ ะยะความสูงทเ่ี ปลย่ี นแปลงทุกระยะเวลา 2 วัน เปน็ เกณฑ์
อตั ราการเจรญิ เตบิ โด (มลิ ลิเมตร/2 วนั )

40

ถ่วั เขียว

ตน้ ถว่ั ลนั เตา

30

20

10

0 2 4 6 8 10 12 ระยะเวลา (วัน)
4. “การตคี วาม”ข้อใดทไ่ี มป่ รากฏในขอ้ มูล

ก. ต้นถัว่ เขยี วและต้นถ่ัวลนั เตามรี ูปแบบการเจริญเตบิ โตเหมือนกนั ในระยะเวลา 10 วัน
ข. อัตราการเจรญิ เติบโตของตน้ ถ่วั เขยี วและตน้ ถ่วั ลันเตาสงู สุดชว่ งระยะเวลา 4 วนั แรก
ค. อตั ราการเจริญเตบิ โตของต้นถวั่ เขยี วช้ากว่าของตน้ ถ่วั ลนั เตา
ง. ในรยะเวลา 10 วนั แรกตน้ ถว่ั ลันเตาสูงมากกวา่ ตน้ ถ่ัวเขียว

231

5. ขอ้ ใดคอื “หลักการ” ทอ่ี า้ องิ จากสารสนเทศของขอ้ มูล

ก. ตน้ ถั่วเขียวและต้นถ่ัวลันเตามอี ตั ราการเจริญเติบโตท่ีแตกตา่ งกัน

ข. อัตราการเจรญิ ของต้นถัว่ จะสงู สดุ ในระยะ 4 แรกแล้วจึงเรมิ่ ลดลง

ค. ในวันที่ 4 ตน้ ถ่วั เขียวมีอตั ราการเจรญิ เตบิ โต 35 ม.ม./2วัน ของถวั่ ลันเตา 30 ม.ม./2 วนั

ง. ในวันที่ 2 อตั ราการเจรญิ เตบิ โตของต้นถัว่ เขียวและตน้ ถว่ั ลันเตาเท่ากัน

เมือ่ ขอ้ มลู ทีจ่ ัดกระทำและส่อื ความหมายแลว้ เปน็ ดังตาราง จงตอบคำถามข้อที่ 6-8

ตาราง : แสดงชนดิ ของสีท่ปี รากฏในใบของพชื ท่ีแตกตา่ งกนั 3 ชนดิ เมื่อใช้วธิ กี ารแยกสที ่ี
แตกตา่ งกัน 2 วิธี

ชนดิ ของสีท่ปี รากฏจากวธิ ีการแยกสที แี่ ตกตา่ งกัน

ชนิดของใบพชื หยดน้ำค้นั ลงบนกระดาษ จ่มุ แทง่ ชอล์กลงในนำ้ คั้น

ใบมะมว่ งอ่อน กรอง
โกสน
เหลือง เขยี ว แสด เหลือง เขยี ว
หัวใจสมี ว่ ง
เหลอื ง เขยี ว นำ้ ตาล เหลอื ง เขยี ว สม้

มว่ ง เขยี ว แดง มว่ ง เขียว

6. ขอ้ ใดคอื “ขอ้ มูล”

ก. ใบมะมว่ งอ่อน โกสน และหัวใจสมี ่วงมสี ีแตกต่างกันแตม่ สี ีเขยี วเป็นส่วนรว่ ม

ข. ใบมะมว่ งออ่ นมีสีเหลอื ง เขียว และแสดเมอ่ื แยกสีด้วยกระดาษกรอง

ค. ใบของพชื ท่มี สี เี ขียวเทา่ นั้นที่ทำหนา้ ที่ในการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง

ง. ชนิดของใบพชื ทม่ี สี ีอน่ื จะมสี เี ขยี วเปน็ สว่ นประกอบอยู่ด้วย

232

7. ข้อใดคือ “สารสนเทศ” ของขอ้ มูล
ก. ใบมะมว่ งออ่ น โกสน และหวั ใจสีม่วงมีสีแตกตา่ งกนั แต่มีสเี ขยี วเป็นสว่ นร่วม
ข. ใบมะม่วงอ่อนมีสเี หลอื ง เขยี ว และแสดเมอื่ แยกสีดว้ ยกระดาษกรอง
ค. ใบของพืชทมี่ สี ีเขียวเท่านนั้ ท่ที ำหนา้ ทีใ่ นการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
ง. ชนดิ ของใบพชื ทมี่ ีสีอ่นื จะมีสเี ขียวเปน็ สว่ นประกอบอยู่ดว้ ย

8. ข้อใดคอื “ข้อเท็จจรงิ ” ทีอ่ า้ งอิงจากสารสนเทศของข้อมูล
ก. ใบมะม่วงอ่อน โกสน และหวั ใจสีมว่ งมีสีแตกต่างกนั แตม่ ีสีเขยี วเป็นส่วนรว่ ม
ข. ใบมะมว่ งออ่ นมีสีเหลอื ง เขยี ว และแสดเม่อื แยกสีด้วยกระดาษกรอง
ค. ใบของพชื ท่มี สี ีเขียวเทา่ นั้นทท่ี ำหน้าทใ่ี นการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง
ง. ชนดิ ของใบพืชที่มสี ีอื่นจะมีสีเขยี วเป็นส่วนประกอบอยดู่ ้วย

เม่อื ขอ้ มลู ทีจ่ ดั กระทำแลว้ คอื
ปลากินหนอน ลูกนำ้ และข้าวสุก
ไก่กินหนอน ขา้ วสุก และลูกนำ้
หนอนกนิ ใบไม้
กบกนิ หนอน

จากขอ้ มูลทีก่ ำหนดใหด้ งั กลา่ ว จงใชต้ อบคำถามขอ้ ท่ี 9-10

233

9. ขอ้ ใดคือ “สารสนเทศของข้อมลู ”
ก. สงิ่ มชี ีวติ ตา่ งชนิดกัน ชนดิ ของอาหารทกี่ นิ แตกตา่ งกนั
ข. ชนิดของอาหารท่ปี ลา ไก่ หนอน และกบกินแตกต่างกนั
ค. ชนิดของอาหารทส่ี ิ่งมชี วี ติ ตา่ งชนดิ กนั กินอาจแตกต่างหรือเหมอื นกนั
ง. อาหารของปลา ไก่ หนอน และกบบางชนดิ เหมอื นกนั หรอื แตกตา่ งกัน

10. ข้อใดคือ “ขอ้ เทจ็ จรงิ ” ที่เกดิ จากการใช้สารสนเทศของข้อมูลทำการตีความ
ก. ส่งิ มีชวี ติ ตา่ งชนดิ กัน ชนดิ ของอาหารทกี่ นิ แตกตา่ งกนั
ข. ชนิดของอาหารที่ปลา ไก่ หนอน และกบกนิ แตกต่างกนั
ค. ชนดิ ของอาหารที่สิ่งมชี ีวติ ต่างชนดิ กันกินอาจแตกตา่ งหรือเหมือนกัน
ง. อาหารของปลา ไก่ หนอน และกบบางชนิดเหมอื นกนั หรือแตกตา่ งกัน

จากการทดลองเพ่ือทดสอบสมมติฐาน ลูกปิงปองต่างย่ีห้อกันการกระดอนจะแตกต่างกันโดยทดลองกับ
ลูกปิงปองที่แตกตา่ งกัน 3 ยี่หอ้ คอื ตราเพชร ตราสามห่วง ตราโลช่ นะ เมื่อส้นิ สุดการทดลอง บนั ทึกความ
สงู สมมติการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองแต่ละยี่ห้อจำนวน 3 ครั้งดังน้ี ของตราเพชรคือ 250, 245
และ 255 มิลลิเมตรตามลำดับ ของตราสามห่วงคือ 300, 280 และ 275 มิลลิเมตรตามลำดับ ของตรา
โล่ชนะ คอื 240, 235 และ 240 มลิ ลเิ มตรตามลำดับ
11. วิธีการเปรียบเทียบระยะความสูงของการกระดอนครั้งแรกของลูกปิงปองแต่ละยี่ห้อจะเลือกวิธีการ
นำเสนอขอ้ มูลรูปแบบใดจงึ จะเหมาะสม

ก. การนําเสนอดว้ ยการใชก้ ราฟ
ข. การนําเสนอด้วยตาราง
ค. การนาํ เสนอดว้ ยแผนภูมิวงกลม
ง. การนาํ เสนอด้วยแผนภมู แิ ท่ง

234

12. จะออกแบบตารางท่ีใช้นำเสนอผลการเปรียบเทียบระยะความสูงของการกระดอนครั้งแรกของลูก
ปิงปองแต่ละยี่หอ้ อย่างไรจึงจะเหมาะสม

ก. ระยะความสูงในการกระดอนคร้งั แรก (มม.)
ยหี่ ้อของลูกปิงปอง ครัง้ ที่ 1 คร้งั ที่ 2 ครัง้ ที่ 3 ค่าเฉลีย่

ตราเพชร
ตราสามหว่ ง
ตราโลช่ นะ

ข. ระยะความสูงในการ
กระดอนครัง้ แรก (มม.)
คร้ังที่ 1 คร้งั ท่ี 2 ครงั้ ท่ี 3 คา่ เฉล่ีย

ความสูง

ค. ยห่ี ้อของลูก ระยะความสงู ในการกระดอนคร้ังแรก (มม.)
ปิงปอง ครัง้ ท่ี 1 ครัง้ ที่ 2 คร้ังท่ี 3

ง. ยี่หอ้ ของลูกปิงปอง
ระยะความสูงในการ
กระดอนครัง้ แรก (มม.)

ครง้ั ที่ 1
ครง้ั ที่ 2
คร้ังท่ี 3
ค่าเฉลย่ี

235

13. จากข้อมูลการทดลองที่มีอยู่ จะมีวิธีการจัดการกับลูกปิงปองแต่ละย่ีห้ออย่างไรจึงจะง่ายต่อการ
เปรียบเทียบให้เหน็ ความแตกตา่ งระยะความสูงการกระดอนครง้ั แรกของลกู ปงิ ปองแต่ละยหี่ อ้

ก. เรยี งลำดบั ระยะความสงู เฉล่ียการกระดอนคร้งั แรกของลูกปิงปองแตล่ ะย่หี อ้

ข. แบง่ กลุ่มความสูงเฉลี่ยการกระดอนคร้ังแรกของลกู ปิงปองแตล่ ะยห่ี ้อ

ค. แบ่งยหี่ อ้ ของลกู ปงิ ปอง

ง. เรยี งลำดบั ระยะความสูงเฉลย่ี การกระดอนของลูกปงิ ปองยหี่ ้อตราเพชร
14. จากผลการอภิปรายคำถามข้อที่ 13 จงแสดงวิธีการเรียงลำดับระยะความสูงการกระดอนคร้ังแรก
ของลูกปิงปองแตล่ ะยห่ี อ้

ก. ระยะความสูงเฉลี่ยของการกระดอนครง้ั แรกของลกู ปิงปองตราสามห่วงคือ 285 มิลลเิ มตร ,
ระยะความสูงเฉล่ียของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราเพชรคือ 250 มิลลิเมตร ,ระยะความสูง
เฉลีย่ ของการกระดอนครง้ั แรกของลกู ปงิ ปองตราสามห่วงคือ 238 มิลลิเมตร

ข. ระยะความสูงเฉล่ียของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราสามหว่ งคือ 285 มิลลิเมตร ,
ระยะความสูงเฉลี่ยของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราสามห่วงคือ 238 มิลลิเมตร ,ระยะความ
สูงเฉล่ียของการกระดอนครง้ั แรกของลกู ปิงปองตราเพชรคอื 250 มิลลเิ มตร

ค. ระยะความสูงเฉลย่ี ของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราสามห่วงคือ 238 มิลลิเมตร ,
ระยะความสูงเฉล่ียของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราสามห่วงคือ 285 มิลลิเมตร ,ระยะความ
สูงเฉลย่ี ของการกระดอนครงั้ แรกของลูกปงิ ปองตราเพชรคอื 250 มลิ ลิเมตร

ง. ระยะความสูงเฉล่ียของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราเพชรคือ 250 มิลลิเมตร ,
ระยะความสูงเฉล่ยี ของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราสามห่วงคือ 285 มิลลิเมตร ,ระยะความ
สงู เฉลยี่ ของการกระดอนคร้ังแรกของลูกปิงปองตราสามห่วงคือ 238 มลิ ลิเมตร

236

15. ข้อมูลใดท่ีมคี วามเหมาะสมในการจดั กระทำและส่ือความหมายด้วย “เรยี งลำดับและแผนภูมแิ ท่ง”

ก. จากการศึกษาส่วนประกอบของดินในที่ดินแปลงหน่ึง ผลจากการสุ่มตัวอย่างโดยการขุดดิน
จากผิวหน้าให้มีระดับความลึก 3000 มิลลิเมตรเมตรด้วยเคร่ืองขุดโลหะทรงกระบอกพ้ืนท่ีหน้าตัด 400
ตารางมิลลิเมตร พบว่าโดยเฉล่ียเน้ือดินที่มีน้ำหนัก 6050 กรัมของท่ีดินแปลงดังกล่าวมีส่วนประกอบที่
สำคัญโดยน้ำหนักดังนี้ อนุภาคทรายหยาบ 2500 กรัมอนุภาคทรายละเอียด 1500 กรัม อนุภาคดิน
เหนยี ว 900 กรัม ความชื้น 250 กรัม อนิ ทรียวตั ถุ 600 กรัม และสง่ิ มีชีวิตในดนิ 300 กรมั

ข. จากการสำรวจปริมาณการส่งออกของสตั วน์ ้ำแช่แข็งของประเทศไทยระหว่างปพี .ศ. 2536 –
พ.ศ. 2540 พบว่าในแต่ละปี ขอ้ มูลสมมตมิ ีปรมิ าณการส่งออกดงั นี้ พ.ศ.2536 จำนวน 5.2 ลา้ นตัน พ.ศ.
2537 จำนวน 4 ล้านตัน พ.ศ. 2538 จำนวน 5.2 ล้านตัน พ.ศ. 2539 จำนวน 6ล้านตัน และ พ.ศ.
2540 จำนวน 3.2 ลา้ นตัน

ค. การศึกษาเพอื่ เปรียบเทียบอัตราการเจรญิ เตบิ โตของต้นถวั่ เขยี วและต้นถว่ั ลันเตาทม่ี ีอายคุ รบ
10 วันนบั แตเ่ ร่มิ งอกจากเมล็ดโดยใชค้ วามสงู ของลำตน้ ท่ีเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ ทกุ ระยะเวลา 2 วันเป็น
เกณฑ์ในการเปรียบเทยี บ บันทกึ ผลการศึกษาซึ่งเปน็ ข้อมูลสมมติได้ดังนต้ี น้ ถวั่ เขียวท่มี ีอายุ 2,4,6,8 และ
10 วัน อัตราการเจรญิ เติบโตเปน็ มิลลเิ มตร /2 วัน คอื 5,30,25,20 และ 15 ตามลำดบั และในระยะเวลา
เดียวกัน อัตราการเจริญเติบโตเป็นมิลลิเมตร/2 วันของลำต้นถ่ัวลันเตาคือ 7, 2520, 10 และ 5
ตามลำดับ

ง. จากการศึกษาการเจริญเติบโตของผีเส้ือไหม ผลการศึกษาซ่ึงเป็นข้อมูลสมมติพบวา่ หลังจาก
ผเี ส้ือไหมโตเต็มที่แล้วประมาณ 2-3 วนั จะวางไข่ ประมาณ 3-4 วันไข่จะถูกฟักเป็นตัวหนอน 35-42 วัน
ตอ่ มา ตัวหนอนจะกลายเป็นดักแด้ ดกั แด้จะมีอายปุ ระมาณ 7-13 วันจึงจะเจรญิ ไปเป็นตวั ผีเส้ือเต็มวัย

237

แบบวดั ระดับความพึงพอใจ

คำช้แี จง
1. แบบวัดระดับความพึงพอใจมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือวัดระดบั ความพึงพอใจของนักเรียนระดับช้ัน

ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเทศบาลวัดหนองผา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรม
เพือ่ พฒั นาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนวคดิ PISA โดยการใช้การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้

2. ความพึงพอใจแต่ละด้านที่วัด ประกอบด้วยข้อคำถามย่อย ๆ แต่ละข้อคำถามแบ่งความพึง
พอใจเป็น 5 ระดับจากมากสุด-น้อยสุด ดงั นี้

5 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจมากที่สดุ
4 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจคอ่ นขา้ งมาก
3 หมายถงึ มีความพึงพอใจปานกลาง
2 หมายถึง มีความพงึ พอใจคอ่ นขา้ งน้อย
1 หมายถงึ มีความพึงพอใจนอ้ ยที่สุด
3. ให้นักเรียนอ่านข้อคำถามของแต่ละด้านที่วัดความพึงพอใจ แล้วทำเครื่องหมาย ลงใน
ชอ่ งแสดงระดบั ความพงึ พอใจให้ตรงกับความคิดเห็นของตนเองมากทสี่ ุด

ตาราง: แสดงระดบั ความพึงพอใจแต่ละด้านท่นี ักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนเทศบาลวดั

หนองผา อำเภอเมือง จังหวดั อุตรดติ ถ์ ท่ีมตี อ่ การทดลองใช้การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ จัด

กิจกรรม เพ่ือพฒั นาสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวคิด PISA

ด้านความพงึ พอใจ รายการท่ีวัดความพึงพอใจ ระดบั ความพงึ พอใจ
54321

1. ครูมีการเตรียมการสอนล่วงหน้า

ดา้ นบทบาทครู 2. ครูมคี วามสามารถในการถา่ ยทอดความรู้
ชว่ ยใหน้ กั เรยี นเกิดการเรยี นรู้ในเนือ้ หาวิชา
3. ครูใหน้ ักเรยี นมีสว่ นรว่ มในการคดิ วเิ คราะห์
แปลผลและสรปุ ผล

4. ครูมกี ารตั้งคำถามใหน้ กั เรียนคิดหาคำตอบได้
ดว้ ยตนเอง

238

ตาราง: แสดงระดับความพงึ พอใจแต่ละดา้ นทน่ี กั เรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นเทศบาลวดั

หนองผา อำเภอเมอื ง จังหวัดอุตรดิตถ์ ทมี่ ตี ่อการทดลองใช้การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ จัด

กิจกรรม เพื่อพฒั นาสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตร์ตามแนวคดิ PISA

ดา้ นความพึงพอใจ รายการทีว่ ดั ความพึงพอใจ ระดบั ความพงึ พอใจ
54321

ดา้ นบทบาทครู 5. ครูใหค้ ำแนะนำและรบั ฟังความคิดเห็นของ
(ตอ่ ) นกั เรยี น
1. นักเรยี นมีสว่ นรว่ มในการทำการทดลอง
ดา้ นบทบาท 2. นกั เรียนมีส่วนรว่ มในการอภปิ รายและ
นกั เรยี น แลกเปลีย่ นความคดิ เห็นกับผู้อืน่
3. นกั เรยี นสามารถนำความรไู้ ปเชอ่ื มโยงกับ
ด้านการจัดการ ชีวติ ประจำวนั ได้
เรียนการสอน 1. ครูใชว้ ิธกี ารสอนท่ีหลากหลายเหมาะสมกบั
เนอื้ หาท่ีเรียน
ด้านการวัดและ 2. ครูมีความเปน็ กนั เอง และใหโ้ อกาสนกั เรยี น
ประเมนิ ผล ในการแสดงความคดิ เหน็ เทา่ เทยี มกนั
3. ครมู กี ารใชส้ อื่ การสอนและรูปแบบการจัดการ
เรยี นการสอนทนี่ ่าสนใจส่งเสริมการเรียนรใู้ หแ้ ก่
นักเรียน
1. ครูใช้วิธกี ารวดั และประเมนิ ผลอย่างหลากหลาย
2. ครมู กี ารประเมนิ ผลทส่ี อดคลอ้ งกับกจิ กรรม
การเรียนรู้
3. ครูเปดิ เผยคะแนนที่ไดจ้ ากการวัดผล ทำให้
นักเรยี นทราบขอ้ ผดิ พลาดของตนเองหรอื กลมุ่
และนำไปปรบั ปรุงในคร้ังตอ่ ไป

ขอขอบใจนกั เรยี นทุกคนทร่ี ่วมแสดงความพงึ พอใจต่อกิจกรรมการเรียนครงั้ น้ี

239

ภาคผนวก ฉ

ภาพประกอบ

240

241

242

243

244


Click to View FlipBook Version