The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

Keywords: หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

194

10) เซตอนนั ต
5. เซตตอไปน้เี ซตใดบางทเ่ี ปน เซตท่ีเทา กนั

1) A = B
2) D = E
3) F  G
4) Q = H

แบบฝก หดั ที่ 2

1) ถา A = { 0,1,2,3,4,5}, และ B { 1,2,3,4 } จงหา

1) A  B = { 0,1,2,3,4,5} 2). B  A = { 0,1,2,3,4 ,5}
4). B  A = { 1,2,3,4 }
3). A  B = { 1,2,3,4 } 6). B – A = 
5). A – B = {0,5}

2). กาํ หนดให U = { 1,2,3,..,10 }

A = { 2,4,6,8,10 }

B = { 1,3,5,7,9}

C = { 3,4,5,6,7 }

จงหา

9. A  B = {  }

10. B  C = { 1,3,4,5,6,7,9}

11. B  C = { 3,5,7}

12. A  C = { 4,6}

13. C = { 1,2,8,9,10}

14. C  A = { 2,8,10 }

15. C  B = {1,9}

16. ( A = { 1,3,5,7,9}

195

แบบฝก หดั ที่ 3
1. จงแรเงาแผนภาพทก่ี าํ หนดใหเพอื่ แสดงเซตตอไปนี้
1) B

2) A  B

3) A

196

4) A  B

5) A  B

2. จากแผนภาพท่ีกาํ หนดให

จงหาคา
1. A ={ 6,7,8}
2. A  B= {1,2,3,6,7,8}
3. AUB = { 4,5,6,7,8}
4. A  B = { 6,7,8}

197

3. จากแผนภาพ

40-6 6 25-6
=34 =19

100-34-6-19 =

กําหนดให U , A, B และ AB41เปนเซตท่มี ีจํานวนสมาชกิ 100 ,40,25, และ 6 ตามลาํ ดบั จงเติม

จาํ นวนสมาชกิ ของเซตตา ง ๆ ลงในตารางตอไปนี้

เซต A - B B - A A  B A B ( A  B

จํานวนสมาชกิ 34 19 6 19 + 41 = 60 34 + 41 = 75 34 + 6 + 19 = 59

4. จากการสอบถามผูเรยี นชอบเลนกีฬา 75 คน พบวา ชอบเลนปง ปอง 27 คน ชอบเลนแบตมินตนั 34 คน
ชอบเลน ฟุตบอล 42 คน ชอบท้ังฟตุ บอลและปงปอง 14 คน ชอบท้ังฟตุ บอลและแบตมนิ ตัน 12 คน ชอบ
ท้ังปงปองและแบดมินตัน 10 คน ชอบทงั้ สามประเภท 7 คน จงหาวา นกั ศกึ ษาท่ีชอบเลน กฬี าประเภทเดียวมี
กีค่ น
วิธีทาํ A = เลน ฟุตบอล 42 คน

B = เลนแบดมินตนั 34 คน
C = เลนปง ปอง 27 คน

ฟุตบอล แบดมินตัน
ปง ปอง

จาํ นวนนกั ศกึ ษาทีช่ อบเลนกฬี าประเภทเดยี ว = 23 + 17 + 12 = 52 คน

198

เฉลย บทท่ี 4
การใหเหตุผล

แบบฝก หัดที่ 1

จงเตมิ คาํ ตอบลงในชอ งวา งตอไปนี้ = 56
6) 1, 4, 9, 16, 25 , 36 , 49 , 64, 81 , 100 + 16 = 72
7) 2, 7, 17, 32 , 52 , 77 , 107
8) 5, 10, 30, 120, 600 , 3,600
9) 36 = 444444444

45 = 555555555

81 = 999999999

10) 2 + 4 + 6 + 8 + 10 = 30

2 + 4 + 6 + 8 + 10 + 12 = 42

2 + 4 + 6 + 8 + 10 + 12 + 14

2 + 4 + 6 + 8 + 10 + 12 + 14

199

แบบฝกหดั ที่ 2
1. จงตรวจสอบผลที่ไดว าสมเหตสุ มผลหรือไม

1) สมเหตุสมผล
2) สมเหตสุ มผล
3) ไมส มเหตสุ มผล
4) ไมส มเหตสุ มผล
5) ไมสมเหตุสมผล

แบบฝกหดั ที่ 3
1. จงตรวจสอบผลทีไ่ ดว าสมเหตสุ มผลหรอื ไม โดยใชแผนภาพเวนน – ออยเลอร

1)

ฝนตก

ไมออกนอกบาน

แคทลียา

จากเหตุท่ี 1 และ 2 สรุปไดวา สมเหตุสมผล

200

2) คนขยันเรยี น

คนขยนั เรยี น สมชาย

สมชาย

คนขยันเรยี น

สมชาย

จากเหตุที่ 1 และ 2 จะเหน็ ไดว า ผลทีจ่ ะเกดิ ขน้ึ มไี ดห ลาย ผลดวยกัน สรุปไดวา ไมสมเหตุสมผล
3)

จะเห็นไดว า จากเหตกุ ารณท ง้ั 3 เหตุ ผลสรุปทไ่ี ดน ัน้ สมเหตสุ มผล

201

4)

จาํ นวนบวก จาํ นวนลบ

จะเหน็ ไดว า จากเหตุท่ี 1 และ 2 ผลทไี่ ดนนั้ สมเหตสุ มผล

5. สตั ว 2 ขา

สัตว 2 ขา

จะเห็นไดว า จากเหตุที่ 1 และ 2 ผลทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ มไี ดห ลาย ผลดว ยกัน สรุปไดว า ไมสมเหตสุ มผล

202

เฉลย บทท่ี 5
ตรโี กณมิติ

แบบฝก หดั ที่ 1

1. จากรปู สามเหลย่ี มมมุ ฉากทก่ี ําหนดใหตอไปนี้ จงเขยี นความสัมพนั ธของความยาวของรปู สามเหล่ยี มมมุ ฉาก
โดยใชทฤษฎีบทปทาโกรสั และหาความยาวของดานที่เหลอื

(1)

วธิ ที ํา a2  252  242
= 625 – 576
= 49

a=7

(2)

วธิ ที าํ c2  122  92
= 144 +81
= 225

a = 15

203

2. กําหนด ABC เปน รูปสามเหลีย่ มมมุ ฉาก มี Cˆ  900 และความยาวของดานทั้งสาม ดังรูป
จงหา 1) sin A , cos A และ tan A

2) sin B , cos B และ tan B
B

sin A = 5 sin B = 12

13 13

cos A = 12 cos B = 5

13 13

tan A = 5 tan B = 12

12 5

3. จงหาวาอัตราสว นตรีโกณมติ ทิ ก่ี าํ หนดใหต อไปนี้ เปน คา ไซน( sin) หรือโคไซน( cos) หรือแทนเจนต( tan) ของ
มมุ ทกี่ ําหนดให

1. sin A

2. 1

tan B

3. cos A
4. cos B

204

4. กาํ หนด ABC เปน รปู สามเหลีย่ มมุมฉาก โดยมีมุม C เปน มมุ ฉาก มดี า น AB = 10 และ AC = 8

จงหา 1 ) ความยาวดาน BC

วธิ ีทํา AB2  102  82 A
= 100 - 64

= 36 10 8

a=6

2) sin A = 6 Ba C

10

cos A = 8

10

tan A = 6

8

3) sin B = 8

10

cos B = 6

10

tan B = 8

6

205

5. กําหนดใหร ูปสามเหล่ยี ม ABC โดยมีมมุ C เปน มุมฉาก และ a,b,c เปน ความยาวดานตรงขา มมมุ A, มุม B และ

มมุ C ตามลาํ ดับ

(1) ถา cot A = 3 , a = 5 จงหาคา b,c B

วธิ ที าํ cot A  AC = b c a
C
BC a A
3b b

5

b5 3

จากทฤษฏีบทปท าโกรัส AB2 = AC2 + BC2

c2 = b2 + a2

= ( 5 3 ) 2 5 2

= 75  25
= 100

(2) ถา cos B = 3 และ a = 9 จงหาคา tan A

5

วธิ ีทํา

cos a = a

c
3a


5c

c  a  5 = 15

c

จากทฤษฎีบทปท าโกรสั
AB2 = AC2 + BC2
หรือ c2 = b2 + a2
152 = 62 + 92
b2 = 225 – 81

= 144
b = 12

ดังน้ัน tan A = a  9  3

b 12 4

206

แบบฝกหดั ท่ี 2
1. จงหาคา ตอไปน้ี

1) sin 300 sin 600  cos300 cos600

 1  3    3  1  =0
 2 2 2 2 
3  1  4 1
   2) sin 600 2  cos600 2 44 4

 3  2   1 2 =
2   2

3) 1  tan 450

1 12  0

2. จงหาคาอัตราสวนตรีโกณมติ ติ อไปน้จี ากตาราง
1) sin 200 = 0.342
2) sin 380 = 0.616
3) cos500 = 0.643
4) cos520 = 0.616
5) tan 770 = 4.331
6) tan 890 = 57.290

3. ให ABC เปน รปู สามเหลยี่ มมมุ ฉาก มีมุม C เปนมมุ ฉาก ดงั รูป

วิธีทํา AB2 = AC2 + BC2

= 52 + 122
= 25 + 144
= 169
AB = B

cos B = 12
13

sin B = 5
13

tan B = 5
12

sec B = 13
12

207

cosec B = 13
5

cot B = 12
5

4. จงหาคา a, b หรือ c จากรปู สามเหลย่ี มตอ ไปน้ี

(1)

จาก cos300  2 3

c

32 3
2c

c= 2 32
4

3

จาก sin 300  a

c

1a
24

a  1 4  2
2

ดังนน้ั a = 2 และ c = 4

(2)

208

จาก sin 450  b 2

8

1b


28

8
b 4

2

จาก tan 450  b 2

a

1 4 2
a

a= 4 2
ดงั นนั้ a = 4 2 และ b  4

(3)

จาก  BCˆD มี BCˆD = 900

sin 450  CD
BD

1 CD


232

CD  32 3

2

tan 450  CD
BC

1 3
a

a =3

209

จาก  ABC มี ACˆB = 900

sin 600  BC
AB

33
2c
c  32

3

c2 3

cos 600  AC
AB

1 b
2 23
b  1 2 3

2
b 3

ดังนัน้ a = 3 , b  3 และ c  2 3

210

แบบฝก หดั ท่ี 3

1. ตน ไมตน หน่ึงทอดเงายาว 20 เมตร แนวของเสน ตรงที่ลากผานปลายของเงาตน ไม และยอดตน ไม ทาํ มมุ 30
องศา กบั เงาของตนไม จงหาความสูงของตน ไม

211

2. วินัยตองการหาความสูงของเสาธงโรงเรยี น จงึ ทํามมุ ขนาด 45 องศา เพื่อใชใ นการเล็งไปทีย่ อดเสาธง ถา
ในขณะที่เล็งนน้ั เขามองไปที่ยอดเสาธงไดพอดี เมื่อกา วไปอยทู ่จี ดุ ซงึ่ อยหู า งโคนเสาธง 16 เมตร วินยั มคี วามสูง
160 เซนตเิ มตร จงหาวา เสาธงสูงประมาณกเ่ี มตร

212

3. จุดพลุข้นึ ไปในแนวดิ่ง โดยกาํ หนดจดุ สงั เกตการณบ นพนื้ ดนิ หา งจากตําแหนงทจี่ ุดพลุ 1 กิโลเมตร ในขณะที่
มองเหน็ พลุทํามุม 60 องศา กับพืน้ ดนิ พลขุ น้ึ ไปสงู เทา ใด และอยูหางจากจุดสงั เกตการณเปน ระยะทางเทา ใด

213

เฉลย บทที่ 6
การใชเครอ่ื งมอื และการออกแบบผลติ ภณั ฑ

แบบฝก หดั ท่ี 1
1. กําหนดมุมส่เี หลย่ี มมุมฉากดังรูป

ก. ผนื ผา
ข. 90 องศา
ค. แนวทแยง
ง. สามเหลยี่ ม BDE 2 รปู ประกอบกบั เปน สีเ่ หลี่ยม BDEG

2. จงเขยี นรปู คลี่ของทรงสามมติ ติ อไปน้ี

214

215

3. จงเขยี นรปู ทรงสามมิตจิ ากมมุ มองภาพดา นบน ภาพดา นหนา ภาพดานขา งที่กําหนดให

216

แบบฝกหดั ท่ี 2
1. ใหเ ขียนภาพทเ่ี กดิ จากการเลือ่ นขนานจากรปู ตน แบบและทิศทางทีก่ ําหนดให

ก. ข.

A

C
B

D C
A B

2. ใหเ ขยี นภาพการเลือ่ นขนานโดยกําหนดภาพตนแบบ ทิศทางและระยะทางของการเล่อื นขนานเอง

ก. ข.

217

3.

ภาพ พกิ ดั ของตําแหนงท่ีกาํ หนดให

Y C (5 , - 3)

A(- C X
B(- 0 A/(2,-

B/(1,- C

Y A(-5 , - 3 )
D B(-3 , - 5 )
C(0 , - 2)
C
A

D/(- B X
0

A/ C/

B/

218

แบบฝก หดั ที่ 3
คําชี้แจง จงพิจารณารปู ทก่ี ําหนดใหแลว

- เขียนรูปสะทอ น
- เขยี นเสน สะทอ น
- บอกจุดพกิ ดั ของจดุ ยอดของมุมของรปู สามเหลย่ี มท่เี กิดข้ึนจากการสะทอ น
- บอกจดุ พกิ ัดบางจดุ บนเสนสะทอนทไ่ี ด

Ä

219

แบบฝกหดั ที่ 4

1.

Y ใหเ ติมรปู สามเหลีย่ ม ABC ที่
เกดิ จากการหมุนสามเหลยี่ ม ABC
B X เพียงอยางเดยี ว โดยหมุนทวนเขม็
C นาฬิกา 90๐ และใชจดุ (0 , 0)
เปน จดุ หมนุ
A

0

A  (2,2) B  (-4,6) C  (-5,4)

220

2.
Y

Y ใหเ ตมิ รูปส่เี หลยี่ ม O/X/Y/Z/ ทีเ่ กดิ
X
จากการหมนุ สเี่ หลี่ยม OXYZ
Z
O X เพียงอยางเดียว โดยหมุนทวนเข็ม
นาฬิกา 270๐ และใชจ ดุ (0 , 0)
เปนจดุ หมุน

221

3.

Y

B ใหเ ติมสวนของเสน ตรง AB ท่ี
เกดิ จากการหมุนสว นของเสนตรง
 AB เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ตาม
X เข็มนาฬิกา 90๐ และใชจุด (-2, -2)
0A เปนจุดหมุน

A  (1,-5) B  (4,-8)

222

4.

Y ใหเ ตมิ รูปสามเหลี่ยม ABC ที่
เกดิ จากการหมุนสามเหลีย่ ม ABC
0 เพยี งอยางเดยี ว โดยหมุนทวนเข็ม
X นาฬกิ า 90๐ และใชจ ดุ (-4 , -2)
B เปน จุดหมุน
A

C

223

เฉลย
บทที่ 7 สถติ ิ

แบบฝกหดั ท่ี 1

1. จงเขียนขอ มลู สถิติท่เี กยี่ วของกับบคุ คลในครอบครวั เชน เพศ อายุ สถานภาพ อาชพี

ตอบ อายเุ ฉลย่ี ของคนในครอบครวั 45.2 ป อาชพี : รบั ราชการ, ลูกจาง, ทาํ งานอิสระ

2. จงยกตวั อยางขอ มลู เชงิ คณุ ภาพและเชิงปรมิ าณมาอยางละ 5 ชนิด

ตอบ ขอ มลู เชิงปรมิ าณ 1. จํานวน รถยนตใ นกรุงเทพมหานคร

2. จาํ นวนบตุ รในครอบครวั

3. น้ําหนักเฉลยี่ ของนักศกึ ษา กศน.บานแพว

4. จํานวนคนงานแยกตามเงินเดอื น

5. จํานวนของผูเขา รว มประชมุ ทมี่ อี ายุ 20 ไปขน้ึ ไป

ขอ มูลเชงิ คณุ ภาพ 1. สถานภาพของผเู ขา รว มอบรม

2. รายชอื่ จังหวัดทม่ี ีนกั ศกึ ษาทีเ่ ขาสอบ

3. โรคท่มี ีผปู วยมารกั ษามากทส่ี ดุ ในเดือนมกราคม 54 3 ลาํ ดับ

4. กลุมเลือดของคนในโรงงาน

5. ศาสนาครสิ ตที่คนในประเทศไทยนับถอื

3. จงพิจารณาวา ขอ มลู ตอไปนเ้ี ปน ขอ มูลเชงิ คณุ ภาพ และขอ มูลเชิงปริมาณ

- พนกั งานในรงงานแหง หนึ่งถกู สอบถามถึงสขุ ภาพรา งกายในขณะปฏิบัติงาน

 คณุ ภาพ  ปรมิ าณ

เปน ขอ มูลเชิงคุณภาพ เพราะคําตอบจะไมใ หต อบออกมาเปนตวั เลข

- นกั ศกึ ษาจาํ นวนหน่ึงท่ถี ูกสอบถามถึงคาใชจ ายในการไปพบกลุมทีห่ องสมุด

 คุณภาพ  ปริมาณ

เปน ขอ มูลเชงิ ปรมิ าณ เพราะคา ใชจายเปนขอ มูลทางตัวเลข สามารถนํามาเปรียบเทียบกนั ได

4. ขอมลู ปฐมภูมิตา งจากขอ มูลทุตยิ ภมู ิอยา งไร จงอธบิ ายและยกตัวอยา ง
ตอบ ขอ มูลปฐมภมู ิเปน ขอ มลู ท่เี ราตองเกบ็ หรือสํารวจจากแหลงทีเ่ ปนขอมลู โดยตรง ฯลฯ
ขอ มูลทตุ ยิ ภมู ิเปนขอ มลู เก็บจากแหลง ขอมูลท่ีมีการเกบ็ รวบรวมไวก อนแลว

224

5. ขอมูลตอ ไปน้ีควรใชว ิธใี ดในการรวบรวม (ตอบไดห ลายคาํ ตอบ)
ตอบ
1 สาํ รวจ สมั ภาษณ ใชแ บบสอบถาม
2 สาํ รวจ สมั ภาษณ ใชแ บบสอบถาม
3 ใชแบบสอบถาม ขอ มลู จากสาธารณสุขชมุ ชนไปชัง่ นาํ้ หนกั เดก็ ในหมูบา นทลี ะคน
4. แบบสอบถาม ทดลอง
5 ขอมูลจากสาธารณสขุ

6. จงบอกขอดขี อ เสยี ของการเกบ็ รวบรวมขอมูลโดยวธิ กี ารตา ง ๆ
ตอบ ขอดี 1. ถูกตองแมนยํา
2. ไดข อ มูลเชิงลกึ
3. ความสมบูรณค รบถว นของขอมูล
4. ตรงความตอ งการของผูใช
ขอเสยี
1. ตอ งใชเวลา
2. มีคา ใชจ ายเปนปจจุบนั
3. การเก็บขอ มลู อาจบันทกึ คาดเคล่อื น

7. ขอมลู การสาํ รวจอายุ ( ป ) ของคนงานจํานวน 50 คนในโรงงานอตุ สาหกรรมแหง หนึ่งเปนดงั นี้
27 35 2 49 24 29 22 37 32 49
33 28 30 24 26 45 38 22 40 46
20 31 18 27 25 42 21 30 25 27
26 50 31 19 53 22 28 36 24 23
21 29 37 32 38 31 36 28 27 41

กําหนดความกวางของอันตรภาคชน้ั เปน 8

1. จงสรา งตารางแจกแจงความถ่ี 225

คะแนน รอยขดี ความถ่ี
9
16 – 23 //// //// 22
10
24 – 31 //// //// //// //// // 5
4
32 – 39 //// ////

40 – 47 ////

48 – 55 ////

2. จงหาขดี จํากดั ชนั้ ท่แี ทจริงและจดุ กงึ่ กลางช้นั

คะแนน ความถี่ ขดี จาํ กัดบน ขดี จํากัดลา ง จุดกึ่งกลางช้ัน
15.5 19.5
16 – 23 9 23.5 23.5 27.5
31.5 33.5
24 – 31 22 31.5 40.5 43.5
47.5 51.5
32 – 39 10 39.5

40 – 47 5 47.5

48 – 55 4 55.5

3. จงหาความถีส่ ะสม ความถ่ีสัมพทั ธ และความถส่ี ะสมสัมพทั ธ

คะแนน ความถี่ ความถี่ ความถส่ี ะสม ความถ่ีสะสม
สมั พทั ธ
สมั พัทธ 0.18
0.62
16 – 23 9 0.18 9 0.82
0.92
24 – 31 22 0.44 31 1

32 – 39 10 0.2 41

40 – 47 5 0.1 46

48 – 55 4 0.08 50

4. จงหาพสิ ยั ของขอ มลู ชุดนี้
53 – 18 = 35

5. จงหาจํานวนคนงานทมี่ อี ายุต่ํากวา 45 ป
44 คน

226

แบบฝก หดั ท่ี 2
1. จงหาคา เฉล่ียเลขคณิต มธั ยฐาน และฐานนยิ มของนํ้าหนักเดก็ 20 คน ซึ่งมีน้าํ หนกั เปน กโิ ลกรัม ดังนี้

32 60 54 48 60 52 46 35 60 38
44 48 49 54 47 48 44 48 60 32

คาเฉลยี่ x  959  47.95
20

มัธยฐาน 32 32 35 38 44 44 46 47 48 48 48 48 49 52 54 54 60 60 60 60

ตาํ แหนง ของมัธยฐาน = N 1
 10.5

= 48 2

ฐานนยิ ม 48 และ 60

2. ตารางแสดงรายไดพเิ ศษตอวันของลูกจา งในสํานกั งานแหงหนึ่ง ความถีส่ ะสม
1
รายได (บาท) จาํ นวน (f) จุดกลาง (x) fx 3
140 – 144 1 142 142 37
145 – 149 2 147 294 62
150 – 154 34 152 5168 72
155 – 159 25 157 3925 77
160 – 164 10 162 1620 80
165 - 169 5 167 835
170 – 174 3 172 516

 f  80  fx  12 , 500

1. คา เฉลี่ยเลขคณติ ( x ) =  fx
f

= 12 , 500

80

= 156.25

รายไดพเิ ศษตอ วันเฉล่ีย 156.25 บาท

227

2. มัธยฐาน : N  80  40  มธั ยฐานอยใู นขนั้ 155 – 159

22

อนั ตรภาคชนั้ ที่มมี ัธยฐานอยูค ือ 155 – 159

 N  fl 
 2 
จากสูตร Md  Lo  i  
 
 fm 

 

เมอื่ N = 80 , i = 50, Lo = 154.5 ,  f l  37 , fm = 25

 Md  154.6  5  40  37   155.10
 
 25 

มธั ยฐานของรายไดพิเศษตอวันมคี า เปน 155.10 บาท

3. ฐานนยิ ม : ฐานนยิ มอยใู นชัน้ 150 – 154

จากสตู ร Mo  Lo i  d1 
 
 d 1  d 2 

เม่ือ Lo = 149.5, d1 = 34 – 25 = 9, d2 = 34 – 2 = 32, I = 5

 Mo  149.5  5  9   150.5
9  32

ฐานนยิ มของรายไดพเิ ศษตอวัน มีคาเปน 150.5 บาท

228

แบบฝกหดั ท่ี 3

1. กําหนดใหวา จาํ นวนคนไข (คนไขใน) ของโรงพยาบาลอําเภอแหงหน่ึงในป 2545 และ 2546 ซ่ึงไดม าก
จากการสาํ รวจของโรงพยาบาลเปนดงั น้ี พ.ศ. 2545 มีเพศชาย 4,571 คน หญงิ 3,820 คน ป 2546 มเี พศ
ชาย 5,830 หญิง 4,259 คน จงนาํ เสนอขอ มูล

ก. ในรูปบทความ
ผลจากการสํารวจจาํ นวนคนไขในโรงพยาบาลแหงหนึง่ ในป 2545 และ 2546 มดี งั น้ี
ป 2545 มีจํานวนคนไข ทง้ั หมด 8,391 แบง เปน ชาย 4,571 คน หญงิ 3,820 คน และในป 2546 มจี าํ นวน
ทง้ั หมด 10,089 คน แบง เปน ชาย 5,830 หญงิ 4,259 คน

ข. ในรปู บทความ / ขอความกงึ่ ตาราง

ผลจากการสํารวจจาํ นวนคนไขในโรงพยาบาลแหงหนึ่ง ในป 2545 และ 2546 มีดงั น้ี

พ.ศ. 2545 มีเพศชาย 4,571 คน หญงิ 3,820 คน

พ.ศ. 2546 มเี พศชาย 5,830 หญงิ 4,259 คน

2. จากขอ มลู ท่นี ําเสนอในรปู ตาราง รอยละของนกั ศกึ ษาระดบั มัธยมศึกษาตอนตน ของสถาบนั การศกึ ษาแหง

หน่ึง ไดผ ลการเรียนใน 4 วิชาหลกั ในป 2546 มีดังนี้

หมวดวิชา ระดับผลการเรียน
4 3 2 10

คณิตศาสตร 4.49 9.51 22.88 43.58 16.28

ภาษาไทย 5.82 12.14 26.55 41.18 13.10

วิทยาศาสตร 4.82 11.23 23.50 39.81 19.91

สังคมศกึ ษา 9.04 16.60 29.10 34.75 9.09

รวม 84.55 13.67

จากตารางจงตอบคําถามตอไปน้ี
1. หมวดวชิ าใดทน่ี กั ศกึ ษาไดร ะดับผลการเรยี น 4 มากทส่ี ุดและไดระดับ 0 นอยท่สี ดุ และคดิ เปน

รอ ยละเทาไร
ตอบ วชิ าท่ไี ดร ะดับผลการเรยี น 4 มากท่สี ดุ คอื วิชาสงั คมศกึ ษา คิดเปน รอ ยละ 9.04 และไดระดับ 0

นอ ยที่สดุ คือวิชาสังคมศกึ ษา คดิ เปน รอยละ 9.09

229

2. นกั ศกึ ษาสว นใหญไดร ะดับผลการเรยี นใด ตอบ ผลการเรยี น 1
3. ระดบั ผลการเรียนที่นกั ศึกษามีจาํ นวนมากทส่ี ุดไดร บั ตอบ ผลการเรยี น 1 วิชาคณติ ศาสตร
4. ระดบั ผลการเรยี นท่นี กั ศกึ ษามจี าํ นวนนอ ยทส่ี ุดไดรับตอบ ผลการเรยี น 4 วชิ าคณติ ศาสตร
5. กลาวโดยสรุปถึงผลการเรียนของสถาบนั แหง น้ีเปน อยา งไร

ตอบ สถาบันแหงน้นี กั ศึกษาสวนใหญจ ะมรี ะดบั ผลการเรียนอยทู ่ี เกรด 1 และเกรด 2 ทกุ วิชา วิชาท่มี ี
นักศกึ ษาสอบไมผา น (ไดเกรด 0) มากท่ีสุด คอื คณิตศาสตร รองลงมาเปนวิทยาศาสตร ภาษาไทย และสงั คม
ศกึ ษา
6. ตารางแสดงปริมาณผลิตยางพาราของประเภทตา ง ๆ ในป พ.ศ. 2544 และป พ.ศ. 2545 ดงั น้ี

ประเทศ ปรมิ าณการผลติ ( ลานตนั )
ป 2544 ป 2545
มาเลเซีย
อนิ โดนเี ซีย 2.5 3.0
3.0 4.0
ไทย 2.0 3.5
เวียดนาม 1.5 2.0
1.0 1.5
ลาว

จงเขียน
1. แผนภูมิแทง แสดงการเปรียบเทียบการผลติ ยางพาราของประเทศตาง ๆ ในป 2544

3 ยางพารา
2.5
ไทย เวยี ดนาม ลาว
2
1.5

1
0.5

0
มาเลเซยี อนิ โดนเ่ี ซยี

230

2. แผนภมู ิแทง แสดงการเปรยี บเทียบการผลิตยางพาราของประเทศตา ง ๆ ในป 2544 และในป 2545

4 พ.ศ.2544
3.5 พ.ศ.2545

3 ไทย เวยี ดนาม ลาว
2.5

2
1.5

1
0.5

0
มาเลเซยี อนิ โดนเี ซยี

3. แผนภูมิวงกลมแสดงการเปรียบเทียบการผลิตยางพาราของแตละประเทศในป 2544

มาเลเซีย
อินโดนเี ซยี
ไทย
เวยี ดนาม
ลาว

4. จงเขียนกราฟแสดงการเปรยี บเทยี บปริมาณสัตวน ํ้าจดื และสัตวนาํ้ เค็มทจ่ี ับไดต้งั แต พ.ศ. 2540 ถงึ พ.ศ.

2546

พ.ศ. ปริมาณทจ่ี บั ได ( พันตัน )

สตั วน ้ําจืด สตั วน ํ้าเคม็

2540 1,550 130

2541 1,529 141

2542 1,395 159

2543 2,068 161

2544 1,538 122

2545 1,352 147

2546 1,958 145

231
กราฟแสดงการเปรยี บเทยี บปริมาณสัตวน าํ้ จดื และสัตวน ้ําเค็มที่จบั ไดต ้ังแตพ .ศ. 2540 – 2546

2,500 สตั วน ํา จดื
2,000 สตั วน ํา เค็ม
1,500
1,000

500
0
2540 2541 2542 2543 2544 2545 2546

แบบฝก หดั ท่ี 4

1. การเลือกขอมลู มาใชประกอบการตดั สนิ ใจตอ งอาศยั หลักการใดบาง
1. เช่อื ถือได
2. ครบถว น
3. ทนั สมัย

2. ขอมลู ตางกบั สารสนเทศ อยางไร จงอธิบายพรอมยกตัวอยางประกอบดว ย
ขอมูล หมายถงึ ขอ เท็จจริง หรือเหตกุ ารณทีเ่ กีย่ วของกับสิ่งตา ง ๆ เชน บุคคล ส่งิ ของ

สถานท่ี ฯลฯ ขอมลู เปนเร่อื งเกยี่ วกับเหตกุ ารณทเ่ี กดิ ขึน้ อยา งตอ เนอ่ื ง ขอมูลตองถกู ตอ งแมนยํา ครบถว นขนึ้ อยู
กับผดู าํ เนนิ การทใี่ หความสําคญั ของความรวดเร็วของการเก็บขอมูล

สารสนเทศ เกิดจากการนําขอมลู ผานระบบการประมวลผล คํานวณ วิเคราะหและแปลความหมายเปน
ขอความทส่ี ามารถนาํ ไปใชประโยชนได

232

เฉลย บทท่ี 8
ความนา จะเปน

แบบฝกหดั ท่ี 1

1. โยนเหรียญ 1 เหรียญ 3 ครัง้ จงหาจํานวนทเ่ี หรียญจะขึน้ หนาตา งๆ โดยวิธเี ขียนแผนภมู ิตน ไม

2. ในการทดสอบวชิ าคณติ ศาสตร ประกอบดว ย โจทยแ บบปรนยั 4 ตวั เลอื ก จาํ นวน 5 ขอ โจทยแตล ะขอ มี
คาํ ตอบทถี่ ูกตองเพียงหนงึ่ ตวั เลือกเทานน้ั แลว จํานวนวิธีการตอบคําถามทเ่ี ปนไปไดทงั้ หมดมกี ่วี ธิ ี
มี 4 4 4 4 4 = 1,024 วิธี
3. มีนกั เรยี น 5 คน ยนื เขาแถวเพือ่ ซอื้ อาหารกลางวนั ของรานหนึ่ง จงหาวาจาํ นวนวธิ ีทย่ี ืนเขาแถวทแ่ี ตกตางกนั
มีท้ังหมดก่วี ธิ ี
ตอบ 5  4  3  2  1 = 120 วิธี
4. มชี าย 6 คน หญงิ 5 คน ตองการจดั คแู ขง ขันระหวา งชาย 1 คน หญิง 1 คนในการแขงขนั กฬี าแทนนิสมี
จาํ นวนทั้งหมดกวี่ ธิ ี
ตอบ 6  5 = 30 วิธี
5. เพ่อื น 3 คน นดั กันไปรบั ประทานอาหารเยน็ ทภ่ี ตั ตาคารและ ซอ้ื ของท่หี างสรรพสินคา โดยเลือกทจี่ ะไป
รับประทานอาหารและซอื้ ของ ซึง่ มภี ตั ตาคาร 5 แหง และมีหา งสรรพสินคา 4 แหง ทงั้ สามคนนจ้ี ะมวี ธิ ีเลอื ก
กระทาํ ดงั กลาวไดทั้งหมดกว่ี ธิ ี
ตอบ 5  4 = 20 วิธี

233

6. บริษทั แหง หนึง่ เปดรบั สมคั รพนกั งานเขาทาํ งาน โดยพจิ ารณาจากเงือ่ นไขคือ เพศชาย หญิงระดบั อายมุ ี 6

ระดบั และมีสาขาวชิ าชีพ 10 ประเภท แลว บรษิ ทั น้จี ะมวี ธิ ีการจาํ แนกผสู มัครไดท ั้งหมดกว่ี ิธี

ตอบ มี 2 X 6 X 10 = 60 วธิ ี

7. จากการสัมภาษณรับคนเขา ทาํ งานจํานวน 8 คน จะมวี ธิ จี ะคดั เลือกไดพนกั งานหน่งึ คนจากผูเขา สัมภาษณ

ทั้งหมด

ตอบ 8 วิธี

8. จงเขียนแผนภาพตน ไมเ พื่อแสดงผลทเ่ี กิดขนึ้ จากการโยนเหรียญ 1 เหรยี ญ 4 คร้ัง จงหาจาํ นวนวธิ ีท่ี

แตกตา งกันในการโยนเหรียญครั้งนี้ โดยท่ี

1. ไมมีหนา หวั เลย 2. มหี นาหัวเพยี ง 1 ครง้ั

3. มหี นา ทั้ง 2 ครั้ง 4. มหี นา หัวเพยี ง 3 ครงั้

5. มหี นา หัว 4 ครง้ั

ตอบ

คร้งั ที่ 1 ครั้งท่ี 2 คร้ังท่ี 3 ครง้ั ที่ 4 เหตกุ ารณ

1 (T,T,T,T) = 1 วิธี
2. (H,T,T,T),(T,H,T,T),(T,T,H,T),(T,T,T,H) = 4 วธิ ี
3. (H,H,T,T),(H,T,H,T),(H,T,T,H),(T,H,H,T)(T,H,T,H) (T,T,H,H) = 6 วิธี
4. (H,H,H,T)(H,H,T,H) (H,T,H,H) (T,H,H,H) = 4 วธิ ี
5. (H,H,H,H) = 1 วธิ ี

234

แบบฝก หดั ท่ี 2
2. จากการทดลองสมุ ตอ ไปน้ี จงเขยี นแซมเปลสเปซและเหตกุ ารณที่สนใจในการทดลองนั้นๆ
(1) ไดห ัวสองเหรยี ญจากการโยนเหรยี ญสองอนั หน่ึงครง้ั
ผลที่เกิดขน้ึ ทง้ั หมด (H,H) , (H,T) ,(T,H) ,(T,T)

เหตุการณท ี่สนใจ = (H,H) = 1

4

(2) ไดผ ลรวมของแตมบนหนาลูกเตาท้ังสองเปน 2 หรอื 6 จากการโยนลกู เตา สองลกู หนงึ่ ครั้ง
ผลท่ีเกิดขน้ึ ท้ังหมด {(1,1),(1,2),(1,3),(1,4),(1,5),(1,6),
(2,1),(2,2),(2,3),(2,4),(2,5),(2,6),
(3,1),(3,2),(3,3),(3,4),(3,5),(3,6),
(4,1),(4,2),(4,3),(4,4),(4,5),(4,6),
(5,1),(5,2),(5,3),(5,4),(5,5),(5,6),
(6,1),(6,2),(6,3),(6,4),(6,5),(6,6)}
เหตุการณท ีส่ นใจ = (1,1) (1,5), (2,4), (3,3), (4,2) ,(5,1)

(3) หยิบไดส ลากหมายเลข 5 หรือ 6 หรือ 7 หรอื 8 จากสลาก 10 ใบซงึ่ เขยี นหมายเลข 1 ถงึ 10
กาํ กับไว
ผลที่เกดิ ขึ้นทงั้ หมด 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10
เหตกุ ารณท ่ีสนใจ = 5, 6, 7, 8

(4) ไดนักเรยี นทถ่ี นัดมือซายในหองเรยี นที่ทานเรยี นอยู
ตอบ อยูใ นดุลยพนิ จิ ของผูส อน

(5) ไดสลากท่ีมรี างวลั จากการจับสลากทปี่ ระกอบดวยสลากทม่ี รี างวลั 3 ใบ และไมมรี างวัล 7 ใบ
ผลทเ่ี กิดข้นึ ทงั้ หมด รางวลั ท่ี ถ1, ถ2, ถ3, ผ1, ผ2, ผ3, ผ4, ผ5, ผ6, ผ7
เหตุการณท ส่ี นใจ คือโอกาสทถ่ี กู รางวลั = ถ1, ถ2, ถ3

(6) ไดคําตอบจากครอบครัว 3 ครอบครวั วา มจี กั รเย็บผา ใชทั้งสามครอบครัว
ผลท่ีเกิดขน้ึ ทงั้ หมด มีมมี ,ี มีมไี ม, มีไมม,ี มไี มไม, ไมม มี ,ี ไมม ไี ม, ไมไมม,ี ไมไมไ ม
เหตุการณท ี่สนใจ คือมเี ครือ่ งซักผาทง้ั 3 ครอบครัว มีมีมี

(7) ไดลกู บอลสขี าว 2 ลกู สีดาํ 1 ลูก ในการหยบิ ลกู บอลทลี ะลกู แบบไมใ สค นื 3 ลกู จากกลอ งซ่งึ
บรรจลุ กู บอลสขี าว 3 ลกู และสดี ํา 2 ลูก ให ข แทนบอลสขี าว และ ด แทนบอลสีดํา
ผลที่เกดิ ขึ้นทง้ั หมด คือ ขคข, ขขค, ขคข, ขคค, คขข, ดขด, ดดข
เหตุการณท ีส่ นใจ คือ ขคข, ขขค, ขคข, คขข

(8) ไดแตมท่ีเหมอื นกนั หรอื ไดแตม 2 จากลกู เตา ลกู ใดลูกหน่ึงในการทอดลกู เตา พรอมกนั สองลกู

235

ผลทเ่ี กิดขน้ึ ทัง้ หมด {(1,1),(1,2),(1,3),(1,4),(1,5),(1,6),
(2,1),(2,2),(2,3),(2,4),(2,5),(2,6),
(3,1),(3,2),(3,3),(3,4),(3,5),(3,6),
(4,1),(4,2),(4,3),(4,4),(4,5),(4,6),
(5,1),(5,2),(5,3),(5,4),(5,5),(5,6),
(6,1),(6,2),(6,3),(6,4),(6,5),(6,6)}

เหตกุ ารณท ่สี นใจ = (1,1) (2,2), (3,3), (4,4), (5,5) ,(6,6)

(9) ไดห วั และแตมท่มี ากกวา 4 จากการโยนเหรยี ญหนึ่งเหรียญและทอดลูกเตา หนึ่งลกู หนึง่ คร้ัง
ผลท่ีเกดิ ขึ้นทั้งหมด (H,1) ,(H,2), (H,3),(H,4),(H,5),(H,6)
(T,1) ,(T,2), (T,3),(T,4),(T,5),(T,6)
เหตุการณท่ีสนใจ = (H,5),(H,6)

(10) ไดสีทชี่ อบคอื สฟี าหรือสีชมพูจากการสอบถามนางสาวสุชาดาถึงสขี องกระดาษเชด็ หนาที่
ชอบสองสจี ากสที งั้ หมด 5 สี คือ ขาว ฟา ชมพู เขียว และเหลอื ง
ผลทีเ่ กิดข้ึน ขาว, ฟา , ชมพ,ู เขยี ว, เหลอื ง
เหตุการณท ีส่ นใจ ฟา, ชมพู

1. ถา S = {0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 }

1 = { 0, 2, 4, 6, 8 }
2 = {1, 3 ,5 ,7 ,9 }
3 ={ 2, 3, 4, 5 }
และ 4 = { 1, 6, 7 }

จงหาสมาชกิ ของ S ทีอ่ ยใู นเหตกุ ารณต อไปนี้

(2) 1  3 = {0, 2, 3, 4, 5, 6, 8,} (2) 1  2 = { }
(3) 3 = {0, 1, 6, 7, 8, 9} (4) 3  4  2 = {1}

(5) S  3  = {0, 1, 6, 7, 8} (6) 1  2  3 = { }
2. จากเหตกุ ารณ 1 , 2 , 3 ในขอ 2 จงเขยี นแผนภาพของเวนน – ออยเลอรแ สดงเหตุการณตอ ไปนี้
(1)1  2 = {0, 2, 4, 6, 8}

(2) 1  2  = {0, 1, 2, 3, 4, 5, 6}

(3) 1  3  2

236

3. ในการสาํ รวจอายขุ องผปู ว ยแผนกเดก็ (อายไุ มเกนิ 15 ป ) ของโรงพยาบาลแหงหนง่ึ

ถา 1 เปน เหตกุ ารณท่ผี ปู ว ยมอี ายตุ ัง้ แต 1 ถงึ 9 ป
2 เปน เหตกุ ารณท่ผี ูปว ยมีอายุนอ ยกวา 5 ป
และ 3 เปนเหตกุ ารณท ผี่ ูป วยมอี ายมุ ากกวา 9 ป
จงหา (1)1  2 เปนเหตกุ ารณท ีผ่ ปู ว ยมอี ายนุ อยกวา 9 ป

(2) 1  2 เปนเหตุการณท่ีผูปวยท่อี ายตุ ั้งแต 1 ป ถงึ อายุนอยกวา 5 ป
(3) 1  3  2 เปน เหตุการณทผี่ ูปวยมอี ายตุ ั้งแตเกดิ จนตาย
(4) 2  3 เปนเหตุการณท ่ผี ูปวยอายนุ อ ยกวา 5 ป และอายมุ ากกวา 9 ป

5 ในการจับสลาก 1 ใบ จากสลาก 10 ใบ ซึ่งมีเลข 0 ถงึ 9 กาํ กับอยู ถา สนใจเลขท่เี ขยี นกํากบั ไวใ นสลากใบทีจ่ บั

ได โดยให

1 เปน เหตกุ ารณที่เลขที่เขยี นกาํ กบั ไวเปน จํานวนคู
2 เปน เหตุการณที่เลขท่ีเขียนกาํ กับไวเปน จาํ นวนค่ี
3 เปนเหตกุ ารณทเี่ ลขทีเ่ ขียนกาํ กับไวเปนจํานวนเฉพาะ
4 เปนเหตกุ ารณท่เี ลขท่เี ขยี นกาํ กับไวเ ปน จาํ นวนทห่ี ารดว ย 3 ลงตัว
จงเขยี นเหตกุ ารณต อ ไปนใี้ นรปู 1 , 2 , 3 หรือ 4 พรอมท้ังแจกแจงสมาชิกเมอื่

(5) เลขที่เขยี นกํากับไวเ ปน จํานวนคหู รือค่ีหรอื จํานวนเฉพาะ

 = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9}

(6) เลขทเ่ี ขยี นกาํ กบั ไวเ ปน จาํ นวนเฉพาะที่หารดวย 3 ลงตวั

 ={3}

(7) เลขท่เี ขียนกาํ กับไวไมเ ปน จํานวนค่ี และไมเ ปน จํานวนทห่ี ารดวย 3 ลงตัว

 = {0, 2, 4, 6, 8}  {1, 2, 4, 5, 7, 8}

(8) เลขทเ่ี ขยี นกาํ กบั ไวเ ปน จาํ นวนคูที่เปน จาํ นวนเฉพาะหรือจาํ นวน

 ={ }

237

แบบฝกหดั ที่ 3

1. ในการโยนลกู เตา 1 ลกู 1 ครัง้ จงหาความนา จะเปนของเหตุการณ และสรปุ ถึงโอกาสทีจ่ ะเกดิ ข้นึ วา มมี าก

หรอื นอ ยเพียงใด

1. ไดแ ตม 4

E แทนเหตกุ ารณท โ่ี ยนลูกเตา 1 ลกู หงายแตม 4

1
P ( E )   0.167

6

เหตุการณน มี้ โี อกาสเกดิ ขึ้นนอยมาก

4. ไดแ ตมคู

E แทนเหตกุ ารณท โ่ี ยนลูกเตา 1 ลกู ไดแตม คู

31
P ( E ) 

62

เหตุการณน ี้มโี อกาสเกดิ ข้ึนและไมเกดิ ขน้ึ เทา ๆ กัน หรอื มโี อกาสเกิดรอ ยละ 50%

5. ไดแตม มากกวา 4

E แทนเหตุการณท โ่ี ยนลูกเตา 1 ลกู ไดแ ตมมากกวา 4

21
P ( E )    0.33

63

เหตุการณน ี้มโี อกาสเกดิ นอย

6. ไดแตม นอ ยกวา 7

E แทนเหตกุ ารณท ่โี ยนลูกเตา 1 ลูก ไดแ ตมนอ ยกวา 7

6
P ( E ) 1

6

เหตุการณน ี้มโี อกาสเกดิ ขึ้นแนน อน

7. ไดแตมมากกวา 0

E แทนเหตุการณที่โยนลกู เตา 1 ลกู ไดแ ตมมากกวา 0

6
P ( E ) 1

6

8. ไดแตมมากกวา 6 หรอื เปนแตมคี่

E1 แทนเหตุการณทโี่ ยนลูกเตา 1 ลกู ไดแตม มากกวา 6 หรอื แตม ค่ี

E2 แทนเหตุการณทโี่ ยนลูกเตา 1 ลูก ไดแตม ค่ี

P ( E1 E 2 31
)    0.5

62
เหตุการณน ้มี โี อกาสเกดิ ขนึ้ 50%

238

7. ไดแ ตม มากกวา 3 และเปน แตมคี่

E1 แทนเหตุการณทโี่ ยนลกู เตา 1 ลูก ไดแ ตม > 3
E2 แทนเหตุการณท โ่ี ยนลูกเตา 1 ลกู ไดแตม ค่ี

P ( E1 E 2 1
)   0.166

6
เหตกุ ารณน ีม้ โี อกาสเกดิ ขน้ึ นอ ยมาก

2. ทอดลกู เตา 2 ลกู สองคร้ัง ความนาจะเปนทจ่ี ะไดแ ตมรวมเปน 7 ในครง้ั แรกและไดแตม รวมเปน 10 ใน

คร้งั ที่ 2 เทากบั เทา ใด

E1 แทนการทอดลูกเตา 2 ลกู ไดแ ตม รวมเปน 7
E2 แทนการทอดลูกเตา 2 ลกู ไดแ ตม รวมเปน 10

P ( E1 E 2 321
)     0.166

36 36 6
เหตกุ ารณน ้ีมีโอกาสเกดิ นอยมาก

3. ชางกอสรา งกลมุ หนึ่งมี 10 คน ประกอบดว ย ชางปนู 6 คน และชางไม 4 คน ถา ตอ งการเลอื กชา ง 7 คน
จากกลุมน้ี ความนา จะเปน ทจ่ี ะไดชางปนู 4 คน และชา งไม 3 คน เทากบั เทาใด

4. กลอ งใบหนง่ึ บรรจุหลอดไฟสแี ดง 6 หลอดซึ่งเปน หลอดดี 4 หลอและหลอดไฟสีน้ําเงิน 4 หลอด ซง่ึ เปน
หลอดดี 2 หลอด ในการสมุ หยบิ หลอดไฟคร้ังละ 1 หลอด 2 ครง้ั แบบไมใสคนื ความนาจะเปน ท่ีจะได
หลอดไฟสีเดยี วกัน และเปนหลอดดที ้ังสองครง้ั มีคาเทากบั เทาใด

5. กลอ งใบหน่ึงมลี กู บอลสแี ดง 3 ลกู และสีขาวจาํ นวนหน่ึง โดยทีจ่ ํานวนวธิ ีการหยบิ ลกู บอล 2 ลกู เปนลกู
บอลสเี หมือนกัน เทา กบั 9 ถา สมุ หยบิ ลกู บอลพรอมพัน 2 ลกู แลว ความนา จะเปน ทจ่ี ะไดล กู บอลสขี าวทงั้ 2
ลกู เทา กบั เทา ใด

239

เฉลย บทที่ 9

การใชทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตรใ นงานอาชีพ

แบบฝกหดั ท่ี 1

1. ศภุ างคไ ดร บั เงนิ เดอื น ๆ ละ 9,000 บาท

กําหนดเวลาทํางานตามปกตวิ ันละ 8 ชวั่ โมง

ดังน้ัน ศภุ างคจ ะมรี ายไดว ันละ 9,000 = 300 บาท
30
300
และศภุ างคมรี ายไดชวั่ โมงละ 8 = 37.50 บาท

2.
เดือนธนั วาคม

อาทิตย จนั ทร อังคาร พธุ พฤหัส ศกุ ร เสาร
1234567
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31

เดือนธันวาคม สุภาพไดรบั คา จางในวันทาํ งาน 19 วนั

และมสี ิทธไิ ดร ับคาจางในวนั หยดุ ตามปกติ 3 วัน

และไดคาจา งวนั ละ 370 บาท

ดงั น้ัน สุภาพไดร บั คาจา งเดือนธันวาคม = (19 + 3)  370

= 8,140 บาท

240
3.

อาทิตย จันทร เดือนสิงหาคม ศุกร เสาร
1 5 6
7 8 อังคาร พุธ พฤหัส 12 13
14 15 234 19 20
21 22 9 10 11 26 27
28 29 16 17 18
23 24 25
30 31

ธิดามรี ายไดเดือนละ 12,000 บาท ทํางานวันละ 8 ชั่วโมง

คาจางที่ไดร ับชวั่ โมงละ = 12,000 = 50 บาท
8  30

ธิดามีสิทธิไดรบั คา จา งในวนั หยดุ ทกุ ประเภท จึงไดร บั คา จา ง เมื่อมาทาํ งานในวนั หยุดตามประเพณี

อีก 1 เทา ทํางานในวนั หยดุ ตามประเพณี 1 วนั ๆ ละ 8 ชัว่ โมง

ดังนัน้ ทาํ งานในวันหยดุ คดิ เปน 8 ชว่ั โมง

ธิดาไดร ับคาจา งในวันหยดุ = 1 50  8

= 400 บาท

ทาํ งานวนั เสาร ซง่ึ เปนวันหยดุ ประจําสัปดาห จะไดร บั คาทาํ งานในวนั หยดุ 2 เทา ของคาจางใน

วนั ทํางาน

ทาํ งานวนั เสาร 4 วนั ๆละ 3 ชว่ั โมง = 4  3

= 12 ชว่ั โมง

ดงั นั้น จะไดร บั คาจา งในวนั เสาร = 2 50 12

= 1,200 บาท

จะไดร บั คา ทาํ งานในวนั หยดุ ทัง้ ส้นิ = 400 + 1,200

= 1,600 บาท

และจะไดร บั คา จางทัง้ หมดของเดือนสงิ หาคม = 12,000 + 1,600

= 13,600 บาท

241

4.

บญั ชแี สดงรายรบั – รายจา ยของ...................................

ใน 1 สัปดาห

วนั เดอื น ป รายการรบั จาํ นวนเงนิ วัน เดอื น ป รายการจา ย จํานวนเงนิ
บาท สต. บาท สต.

6 พ.ย. 54 รับเงนิ คาจางจากการ 2,100 - 6 พ.ย. 54 คารถประจาํ ทาง 44 -

ทํางาน 1 สปั ดาห คาอาหาร 120 -

วนั ละ 300 บาท เปน เงนิ 7 พ.ย. 54 คารถ 44 -

คา อาหาร 120 -

คา โทรศพั ท 100 -

8 พ.ย. 54 คา รถ 44 -

คา อาหาร 120 -

คา นํา้ คา ไฟฟา 150 -

9 พ.ย. 54 คารถ 44 -

คาอาหาร 100 -

10 พ.ย. 54 คา รถ 44 -

คา อาหาร 110 -

คา หนังสือ 50 -

11 พ.ย. 54 คารถ 44 -

คา อาหาร 150 -

คาเสือ้ ผา 299 -

12 พ.ย. 54 คารถ 44 -

คาอาหาร 115 -

คาโทรศัพท 50 -

รวมรายรับ 2,100 - รวมรายจา ย 1,792 -

ยอดคงเหลอื ยกไป 308 -

242

5. คา นายหนาในการขาย = 30  45,000
100
= 13,500 บาท

ดงั น้นั อญั ชลไี ดเ งนิ คานายหนา 13,500 บาท

6. เงินปนผลตอหุนของหุน ปุริมสิทธิ = อตั ราเงินปนผล  มลู คา หุน ปุรมิ สทิ ธิ

= 5%  160

= 5 160
100
= 8 บาท

แตพ จมานมหี นุ ปุริมสทิ ธทิ ้ังหมด 1,500 หนุ

ดังนน้ั พจมานจะไดเ งนิ ปน ผลทั้งสน้ิ = 8  1,500 = 12,000 บาท

7. สภุ ัทราไดด ําเนนิ การ ดงั นี้
1. สุมกลมุ ตวั อยา งวัยรนุ จํานวน 50 คน
2. สอบถามกลมุ ตัวอยางทงั้ 50 คน เรอื่ งสีของขวดบรรจแุ ชมพูไดขอสรุปดังนี้

สี ความถี่
สีฟา 15
สชี มพู 32
สขี าว 3

รวม 50
3. เนื่องจากเปน การสํารวจความนิยมของกลุมตัวอยาง ถาเปน คา สถติ ิทใ่ี ช คือ คา ฐานนิยม (Mode)

จากแบบฝก หดั คา ฐานนิยม คอื สีชมพู เพราะกลมุ ตวั อยา งนิยมมากทส่ี ดุ (ความถี่ = 32)
4. นําขอ มูลจากขอ 2 มานําเสนอโดยใชแผนภมู แิ ทง

35 สีฟา
30 สชี มพู
25 สีขาว
20
15 สีชมพู สขี าว
10

5
0

สีฟา

243

8. วธิ ีทํา นายศกั ด์มิ เี งนิ ไดพงึ ประเมนิ = 25,000  12 = 300,000 บาท

หกั คาใชจ ายไดร อ ยละ 40 ของเงนิ ไดพงึ ประเมินแตไ มเ กนิ 60,000 บาท

คาใชจา ย 40  300,000 = 120,000 บาท
100
แตคา ใชจ ายของนายศกั ดค์ิ ํานวณได 120,000 บาท แตสามารถหักไดแค 60,000 บาทเทา นน้ั

หัก คา ลดหยอ น

ผูม เี งนิ ได 30,000 บาท

คา เบ้ียประกนั ชวี ิต 50,000 บาท

คา เบี้ยประกนั สุขภาพของมารดานายศกั ด์ิ 20,000 บาท

รวมหกั คาลดหยอนได = 30,000 + 50,000 + 20,000 = 100,000 บาท

เงินไดส ุทธิของนายศักด์ิ = เงนิ ไดพ ึงประเมนิ – (หกั คา ใชจ าย + หกั คา ลดหยอ น)

= 300,000 – (60,000 + 100,000)

= 140,000 บาท

ตามตารางอัตราการเสยี ภาษีเงนิ ไดบคุ คลธรรมดา

เงินได 0 – 150,000 บาท ไมตองเสียภาษีเงินได

 นายศักดไิ์ มตองเสียภาษี เพราะมเี งนิ ไดส ุทธิ 140,000 บาท ไดรบั การยกเวน ภาษี แตต อ งย่นื แบบ

แสดงรายการภาษีเงนิ ไดบ คุ คลธรรมดา (ภ.ง.ด. 91)

9. วิธที าํ พ้นื ทแี่ ผน ไวทลิ ท่ใี ชโ ฆษณา = กวาง  ยาว

= 0.9  1.8 = 1.62 ตารางเมตร

คาจัดทํา = 1.62  250 = 405 บาท

 จะตอ งจา ยเงินทั้งหมด = คา จัดทํา + คา ออกแบบ

= 405 + 500 = 905 บาท


Click to View FlipBook Version