The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

Keywords: หนังสือเรียนสาระความรู้ พื้นฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ (พค31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ฉบับปรับปรุง 2560)

144

แบบฝก หดั ท่ี 4

1. การเลอื กขอ มูลมาใชประกอบการตัดสนิ ใจตอ งอาศัยหลักการใดบา ง
2. ขอมูล ตางกบั สารสนเทศ อยางไร จงอธิบายพรอ มยกตวั อยา งประกอบดว ย

145

บทท่ี 8
ความนาจะเปน

สาระสําคัญ

1. การนบั จํานวนผลลพั ธท งั้ หมดทเ่ี กิดจากการกระทํา หรือการทดลองใดๆ ตองอาศัยกฎเกณฑการ
นับจึงจะทําใหง า ยและสะดวก รวดเร็ว

2. ความนา จะเปน คือ จํานวนท่ีแสดงใหทราบวาเหตุการณใดเหตุการณหนึ่ง มีโอกาสเกิดข้ึนมาก
หรอื นอยเพยี งใด ส่งิ ที่จําเปน ตอ งทราบทาํ ความเขาใจ คอื
- การทดลองสมุ (Random Experiment)
- แซมเปลสเปซ (Sample Space)
- เหตุการณ (Event)

3. ความนาจะเปนของเหตุการณใดๆ เปนการเปรียบเทียบจํานวนสมาชิกของเหตุการณน้ันๆ กับ
จํานวนสมาชกิ ของแซมเปล สเปซ ซง่ึ เปน คาทจ่ี ะชว ยในการพยากรณหรือการตัดสนิ ใจได

ผลการเรยี นรทู ่ีคาดหวัง
1. หาจํานวนผลลัพธที่อาจเกิดข้ึนของเหตุการณ โดยใชกฎเกณฑเบื้องตนเก่ียวกับการนับและ
แผนภาพตนไมอ ยางงายได
2. อธิบายการทดลองสุม เหตุการณ ความนาจะเปนของเหตุการณและหาความนาจะเปนของ
เหตกุ ารณท ก่ี าํ หนดใหได
3. นําความรเู กี่ยวกับความนาจะเปน ไปใชในการคาดการณแ ละชวยในการตัดสนิ ใจ

ขอบขายเนือ้ หา
เร่อื งท่ี 1 กฎเบ้ืองตน เกยี่ วกบั การนบั และแผนภาพตน ไม
เรอ่ื งท่ี 2 ความนา จะเปน ของเหตกุ ารณ
เร่ืองท่ี 3 การนําความนาจะเปน ไปใช

146

1. กฎเบ้อื งตน เก่ียวกบั การนบั และแผนภาพตน ไม

ในชีวติ ประจําวันของคนเรามกี ารกระทาํ หรอื การทดลองหลายอยางที่สามารถมวี ธิ กี ารที่จะเกดิ
ผลลพั ธไ ดหลายวธิ ี การหาจํานวนรปู แบบหรือจาํ นวนวธิ ที ี่อาจเกดิ ขนึ้ ไดจากการนับทงั้ หมด โดยมกี ฎ
เบื้องตน เกีย่ วกับการนบั จากการทาํ งานดังนี้

1. 1. การทํางานท่ีมี 2 อยางหรอื สองขนั้ ตอน

ถา งานอยางแรกมวี ธิ ที าํ ได n1 วธิ ี และในแตละวธิ ที าํ งานอยา งแรกมีวธิ ีที่จะทํางานอยา งทสี่ องได
n2 วธิ ี แลว จํานวนวิธีที่ทาํ งานทง้ั สองอยางเทากบั n1 n2 วิธี

สามารถเขียนแผนผงั การทํางานไดด งั นี้

งานอยา งท่ี 1 งานอยางท่ี 2

นบั ได n1 วิธี × n2 วธิ ี

จํานวนวธิ ที าํ งานท้ังสองอยาง = n1 × n2 วธิ ี

เพ่ือความเขา ใจใหง า ยขึ้นสามารถแจกแจงผลการนบั แตล ะวิธีไดโดยใช แผนภาพตน ไม ดงั ตัวอยาง
ตอไปน้ี

ตัวอยางท่ี 1 โยนเหรยี ญ 2 อนั พรอมกนั 1 คร้ัง เกดิ ผลลัพธไดท งั้ หมดกว่ี ิธี
วธิ ที ํา โยนเหรยี ญ 2 อนั พรอมกนั 1 ครง้ั เปนการทาํ งาน 2 อยาง

เหรยี ญท่ี 1 เหรยี ญที่ 2

จดั ได 2 × 2
งานแรก การเกดิ ของเหรียญที่ 1 เกิดได 2 วิธี คอื อาจเกดิ หวั (H ) หรอื อาจเกดิ กอ ย (T )
กไ็ ด และในแตละวธิ ีท่ีเกิดเหรยี ญท่ี 1 ยงั มวี ิธเี กิดเหรยี ญที่ 2 ไดอีก
งานท่ี 2 การเกดิ ของเหรยี ญท่ี 2 เกดิ ได 2 วิธี คอื อาจเกิดหวั (H) หรืออาจเกดิ กอ ย (T )
ดังนั้น การโยนเหรยี ญ 2 อนั พรอ มกัน 1 ครง้ั เกิดได = 2 ×2 = 4 วิธี

147

การโยนเหรยี ญ 2 เหรยี ญพรอ มกัน เปน การทาํ งานทม่ี ี 2 อยา งหรือ 2 ขนั้ ตอน สามารถแสดง
เหตกุ ารณทเี่ กดิ โดยใชแผนภาพตน ไมไ ดด งั นี้

เหรยี ญที่ 1 เหรยี ญที่ 2 เหตกุ ารณท ่เี กดิ ข้นึ

นั่นคอื โยนเหรยี ญ 2 เหรียญพรอ มกนั 1 ครง้ั เกดิ ได 4 วธิ ี คือ HH, HT, TH, TT ตอบ

ตวั อยางที 2 ชายคนหน่ึงมีเส้อื เช้ิตตา งกนั 5 ตัว

และกางเกงขายาวตา งกนั 3 ตวั

วธิ ที าํ เราสามารถใชแผนภาพตน ไมช ว ยในการหาวธิ ีทัง้ หมดท่ีเปน ไปไดแสดงไดด ังแผนภาพ
ขา งลา งนี้

จากแผนภาพตนไมจะพบวาการแตง กายของชายคนน้ีทแี่ ตกตา งกันนับไดท ้ังหมด 15 วิธี

148

ตวั อยางท่ี 3 โยนลูกเตา 2 ลกู พรอมกนั 1 ครัง้ เกิดไดท ง้ั หมดก่ีวิธี
วธิ ที ํา โยนลกู เตา 2 ลกู พรอมกัน 1 ครั้ง เปน การทํางาน 2 อยาง

ลูกท่ี 1 ลูกท่ี 2

จัดได 6 × 6

งานอยางแรก การเกิดของลูกเตาลกู ที่ 1 ซง่ึ มี 6 หนา เกดิ ได 6 วิธี คอื อาจหงายหนา 1 ,

2, 3 …., หรือ 6 )

 โยนลกู เตา 2 ลูกพรอมกัน 1 ครั้ง เกดิ ได = 6 ×6 = 36 วิธี

สามารถแจกแจงผลลัพธ ไดดังนี้

( 1 , 1) ( 1 , 2 ) (1 , 3 ) ( 1 , 4) ( 1 , 5) ( 1 , 6)

( 2 , 1) ( 2 , 2 ) (2 , 3 ) ( 2 , 4) ( 2 , 5) ( 2 , 6)

( 3 , 1) ( 3 , 2 ) (3 , 3 ) ( 3 , 4) ( 3 , 5) ( 3 , 6)

( 4 , 1) ( 4 , 2 ) (4 , 3 ) ( 4 , 4) ( 4 , 5) ( 4 , 6)

( 5 , 1) ( 5 , 2 ) (5 , 3 ) ( 5 , 4) ( 5 , 5) ( 5 , 6)

( 6 , 1) ( 6 , 2 ) (6 , 3 ) ( 6 , 4) ( 6 , 5) ( 6 , 6) ตอบ 36 วธิ ี

1. 2. การทาํ งานทีม่ ี 3 อยางหรอื สามข้นั ตอน
การนับจะมีแนวคดิ ในทาํ นองเดยี วกนั แตจํานวนขนั้ ตอนในการเขยี นแผนภาพตน ไม หรือ
การหาผลคณู คารท เี ซยี น จะมี 3 งานหรอื 3 ขนั้ ตอนที่ตอ งทําตอ เนื่องกนั ดังตวั อยางตอไปนี้
ตวั อยา งท่ี 4 บรษิ ัทรถยนตแหง หนง่ึ ผลิตตวั ถงั รถยนตออกมา 2 แบบ มเี ครอ่ื งยนต 2 ขนาด และสี
ตา ง ๆ กัน 3 สี ถาตอ งการแสดงรถยนตใหค รบทกุ แบบ ทุกขนาด และทุกสี จะตอ งใชรถยนตอ ยา ง
นอยทสี่ ุดก่ีคนั

วิธีท่ี 1 โดยใชแ ผนภาพตนไม (Tree Diagram ) จะไดผ ลดังนี้ ข้นั ท่ี 3 149
การทาํ งานมี 3 ขั้นคอื สี
ขั้นท่ี 1 ขน้ั ที่ 2 ผลงาน
ตัวถงั เครอ่ื ง

ดังนนั้ จะตอ งมรี ถยนตแสดงอยางนอย 12 คนั จึงจะครบทุกแบบทกุ สีทุกขนาด

วธิ ีท่ี 2 โดยใชผ ลคูณคารท เี ซยี น

ให A เปนเซตของตัวถังรถยนต A = { ถ1 , ถ2 }
B เปน เซตของเครอ่ื งยนต B = { ค1 , ค2 }
C เปน เซตของสีตาง ๆ B = { ส1 , ส2 , ส3 }

นําตัวถังและเคร่อื งยนตม าประกอบกนั ไดด ังนี้

A × B = { (ถ1 , ค1) , (ถ1 , ค2) , (ถ2,ค4) , (ถ2 , ค2)}

n(AxB) = n(A) x n(B) = 4 แบบ

นําตัวถงึ กบั เครอ่ื งท่ีประกอบแลว มาทาสตี าง ๆ

( A × B ) × C = { (ถ1 , ค1, ส1 ), (ถ1 , ค1, ส2 ), (ถ1 , ค1, ส3 ), (ถ1 , ค2, ส1 ), (ถ1 , ค2, ส2 ), (ถ1 , ค2, ส3 ),
(ถ2 , ค1, ส1 ), (ถ2 , ค1, ส2 ), (ถ2 , ค1, ส3 ), (ถ2 , ค2, ส1 ), (ถ2 , ค2, ส2 ), (ถ2 , ค2, ส3 )}

N ( A ×B× C ) = n(AxB) x n(C)

= n(A) x n(B) x n(C)

= 2 x 2 x 3 = 12

ดงั นัน้ ตองใชรถยนตแสดงอยา งนอ ย 12 คนั

150

เม่ือพิจารณาแผนภาพตน ไมและวธิ กี ารของผลคณู คารทเี ซียนแลว พบวา สามารถหาจาํ นวนวิธี
หรอื จํานวนรปู แบบในการทาํ งานไดเชนเดยี วกนั จากหลกั การของทัง้ สองวธิ ี จึงสามารถนาํ มาสรา งเปน
กฎเบอ้ื งตน เกยี่ วกบั การหาจํานวนวธิ ีในการทาํ งานอยา งใดอยา งหน่งึ ได โดยสรุปเปน กฎไดด งั น้ี

สรปุ ขั้นตอนในการใชกฎการนบั แกโ จทยป ญ หา
1. พิจารณาวางานหรอื เหตกุ ารณท ่โี จทยก าํ หนดมานั้นคอื อะไร จดั แบง ออกเปนกีข่ นั้ ตอนทีต่ อเน่อื งกนั
2. พจิ ารณาเงอื่ นไขตา ง ๆ ที่กําหนดมาในแตละข้ันตอน บนั ทึกไว
3. หาจํานวนวิธที ่ีสามารเลอื กทํางานไดใ นแตละขน้ั โดยตอ งเรม่ิ จากขน้ั ทีม่ เี งอ่ื นไขมากทส่ี ุดกอนแลวจงึ
พิจารณาขั้นอนื่ ๆ ทม่ี ีเงอ่ื นไขรองลงมา ตามความสําคัญ
4. นําจาํ นวนวิธที ี่ไดใ นแตละขนั้ ตอนคณู กัน จะไดจํานวนรปู แบบหรอื จํานวนวิธที ีอ่ าจเกิดขนึ้ ไดท งั้ หมด

ตวั อยางท่ี 4 ในการเลือกตั้งกรรมการชดุ หนึ่งจะประกอบไปดวย ประธาน รองประธาน เหรัญญกิ และ

เลขา โดยกรรมการแตล ะคนจะดาํ รงตําแหนงไดเ พยี งตาํ แหนง เดยี วเทา นนั้ ถา มีผสู มคั รทั้งหมด 6 คน

เปนชาย 2 คน เปนหญิง 4 คน ผลการเลอื กตัง้ กรรมการชดุ น้จี ะมีไดท้งั หมดกี่แบบตางกนั โดยที่

1. ไมม ีเงอ่ื นไขเพม่ิ เติม

2. กาํ หนดใหประธานเปน ชาย และเลขาตอ งเปนหญงิ

3. กรรมการตอ งเปน หญิงลว น ๆ

วิธที ํา มีผูสมัคร 6 คน เปนชาย 2 คน เปนหญงิ 4 คน ใหเ ลอื กกรรมการ 4 ตาํ แหนง ประธาน รอง

ประธาน เหรัญญกิ เลขา

1) ไมมเี งือ่ นไขเพ่ิมเตมิ แตล ะคนเปนไดต าํ แหนงเดยี ว

ตําแหนง ประธาน เลอื กได 6 วิธี

ตําแหนง รองประธาน เลือกได 5 วิธี

ตําแหนง เหรญั ญิก เลือกได 4 วิธี

ตําแหนงเลขา เลือกได 3 วิธี

ดังนัน้ จํานวนวธิ ีในการเลอื กกรรมการมี = 6 × 5 × 4 × 3 = 360 วธิ ี

2) กาํ หนดประธานเปนชาย และเลขาตองเปนหญิง

ตาํ แหนง ประธานเปน ชาย เลือกได 2 วิธี

ตําแหนง เลขาท่ีเปน หญงิ เลือกได 4 วิธี

ตําแหนง เหรญั ญกิ (คนที่เหลือ) เลอื กได 4 วธิ ี

ตําแหนง รองประธาน เลือกได 3 วิธี (คนท่เี หลือสุดทา ย )

ดังนน้ั จํานวนวิธใี นการเลอื กกรรมการมี = 2 × 4 × 3 × 4 = 96 วธิ ี

151

3) กรรมการตอ งเปนผหู ญงิ ลวน ๆ

ตําแหนงประธานเปนชาย เลอื กได 2 วธิ ี

ตาํ แหนง เลขาเปนหญงิ เลือกได 4 วิธี

ตําแหนงรองประธาน เลือกได 4 วิธี ( เฉพาะหญงิ ทเี่ หลอื )

ตําแหนง เหรัญญกิ เลือกได 3 วิธี ( เฉพาะหญิงท่ีเหลือ )

ดงั นั้น จาํ นวนวิธใี นการเลือกกรรมการมี = 2 × 4 × 3 × 4 = 96 วธิ ี

ตัวอยางที่ 5 จากอกั ษรในคาํ วา “ PHYSIC” นํามาสรางคาํ ใหมประกอบดว ย 3 อกั ษร ตา งกนั
( ไมสนใจความหมายของคําเหลา นนั้ ) โดยท่ี

1. ไมม ีเงือ่ นไขเพิ่มเตมิ
2. ตองเปนพยญั ชนะทงั้ หมด
วิธที ํา อกั ษรในคําวา PHYSIC เปน สระ 1 ตวั และพยญั ชนะ 5 ตวั รวมทง้ั หมด 6 ตัวอกั ษร

อักษรตวั ที่ 1 2 3

1. สรางคาํ ประกอบดว ย 3 ตวั อักษร สรา งได = 6 × 5 × 4 = 120 วิธี
2. มีเงอ่ื นไขวา ตองเปนพยญั ชนะทัง้ หมด สรา งได = 5 × 4 × 3 = 60 วธิ ี

ตวั อยางที่ 6
หองประชุมแหง หนึ่งมี 3 ประตู จงหาวธิ ใี นการเดนิ เขา - ออกหอ งประชมุ โดยมีเงอื่ นไขตางกนั

ดังน้ี
1. จาํ นวนวธิ ใี นการเดนิ เขา
2. จาํ นวนวธิ ใี นการเดนิ เขา - ออก
3. จาํ นวนวธิ ีในการเดนิ เขา - ออก โดยไมซ ํา้ ประตูกนั
4. จํานวนวิธใี นการเดนิ เขา - ออก โดยใชประตูเดิม

วิธีทํา ประตูหอ งประชุมมี 3 ประตู หมายเลข 1 2 และ 3

การเดิน เขา ออก

1. จาํ นวนวธิ เี ดินเขา หอ งประชุม = 3 วิธี

2. จาํ นวนวิธกี ารเดนิ เขา - ออก =3 ×3 = 9 วิธี ( ใชประตซู ้ําได)
= 6 วธิ ี
3. จาํ นวนวธิ กี ารเดนิ เขา - ออก โดยไมซ า้ํ ประตกู นั = 3 × 2

152

4. จํานวนวิธีการเดนิ เขา - ออก โดยใชป ระตเู ดมิ = 3 × 1 = 3 วิธี
ตวั อยางท่ี 7

ครมู ีหนงั สอื 5 เลมแตกตา งกนั ตอ งการแจกใหน กั เรยี น 4 คน จงหาจํานวนวีธแี จกหนงั สอื โดยท่ี
1. ไมมีเงื่อนไขเพ่มิ เติม
2. ไมมใี ครไดห นังสอื เกนิ 1 เลม
วิธที ํา การแจกหนงั สือตองพจิ ารณาการแจกทีละเลม

หนังสอื เลมที่

1234

1. ไมมเี งอื่ นไข (แจกซ้ําได ) ดังนนั้ แจกได = 5 × 5 × 5 × 5 = 625 วธิ ี
2. ไมม ใี ครไดเ กนิ 1 เลม แปลวา ไมมใี ครไดซ ้าํ ไดแ ลวจะไมแ จกใหอกี

ดังนน้ั จะมีวธิ แี จกหนังสอื = 5 × 4 × 3 ×2 = 120 วธิ ี

153

แบบฝก หดั ที่ 1

1. โยนเหรยี ญ 1 เหรยี ญ 3 ครง้ั จงหาจาํ นวนทเ่ี หรียญจะขึ้นหนา ตางๆ โดยวิธีเขยี นแผนภมู ติ น ไม

2. ในการทดสอบวชิ าคณิตศาสตร ประกอบดว ย โจทยแ บบปรนัย 4 ตัวเลือก จํานวน 5 ขอ

โจทยแตล ะขอ มคี ําตอบทถี่ กู ตองเพยี งหนง่ึ ตวั เลอื กเทา น้ัน แลวจํานวนวิธกี ารตอบคาํ ถามที่เปน ไปได

ท้งั หมดมกี ีว่ ิธี

3. มนี ักเรยี น 5 คน ยนื เขา แถวเพ่อื ซ้อื อาหารกลางวันของรานหนง่ึ จงหาวา จํานวนวิธที ี่ยืนเขา แถวท่ี

แตกตางกัน มีทัง้ หมดกี่วธิ ี

4. มีชาย 6 คน หญงิ 5 คน ตอ งการจัดคแู ขง ขนั ระหวา งชาย 1 คน หญิง 1 คนในการแขง ขนั กฬี า

เทนนสิ มีจํานวนท้ังหมดกวี่ ิธี

5. เพอ่ื น 3 คน นกั กนั ไปรับประทานอาหารเย็นท่ภี ัตตาคารและ ซ้อื ของทหี่ า งสรรพสนิ คา โดยเลอื กท่ี

จะไปรบั ประทานอาหารและซือ้ ของ ซ่ึงมีภตั ตาคาร 5 แหง และมีหา งสรรพสนิ คา 4 แหง ท้ังสาม

คนนจี้ ะมีวิธเี ลอื กกระทาํ ดังกลาวไดท ้งั หมดกี่วธิ ี

6. บรษิ ทั แหง หน่ึงเปด รับสมัครพนกั งานเขา ทํางาน โดยพจิ ารณาจากเง่ือนไขคือ เพศชาย หญงิ ระดบั อายุ

มี 6 ระดับ และมีสาขาวิชาชีพ 10 ประเภท แลว บริษทั นจ้ี ะมวี ิธกี ารจําแนกผูสมัครไดทงั้ หมดกว่ี ิธี

7. จากการสัมภาษณรับคนเขา ทํางานจํานวน 8 คน จะมวี ธิ จี ะคัดเลือกไดพนักงานหน่งึ คนจากผเู ขา

สัมภาษณท ้งั หมด

8. จงเขียนแผนภาพตนไมเ พอ่ื แสดงผลท่ีเกดิ ขน้ึ จากการโยนเหรยี ญ 1 เหรยี ญ 4 คร้งั จงหาจาํ นวนวิธีที่

แตกตา งกนั ในการโยนเหรยี ญครัง้ นี้ โดยที่

1. ไมม หี นาหัวเลย 2. มหี นาหัวเพียง 1 ครง้ั

3. มหี นา ทงั้ 2 ครง้ั 4. มีหนาหัวเพยี ง 3 คร้ัง

5. มีหนา หวั 4 คร้ัง

154

2. ความนาจะเปนของเหตุการณ

ในชีวิตประจําวันมักพบกับการคาดคะเน หรือการประมาณเหตุการณ หรือโอกาส เพ่ือใชในการ
ตดั สินใจ โอกาสที่เหตุการณนัน้ จะเกดิ ไดม มี ากนอยเพียงใด ขึ้นอยูกับอัตราสวนระหวางจํานวนสมาชิก
ของเหตกุ ารณน้ัน กบั จํานวนคร้ังของการทาํ งานผูเ รยี นจึงตอ งทราบ และทาํ ความเขา ใจ กบั คาํ เหลา น้ี
1. การทดลองสุม (Random Experiment) คอื การทดลองทไี่ มส ามารถระบผุ ลลัพธไดอยางแนนอน แต
บอกไดว าผลลัพธข องการทดลองนนั้ มีโอกาสเกิดอะไรข้ึนไดบาง
ตัวอยางที่ 1 การทดลองโยนลูกเตา 1 ลูก 1 ครั้ง แตมที่จะเกิดขึ้นได คือ แตม 1, 2, 3, 4, 5 หรือ 6
ซงึ่ ไมส ามารถบอกไดว าจะเปน แตมอะไรใน 6 แตม นี้

ดังนนั้ ผลลัพธทงั้ หมดทีจ่ ะเกดิ ขึ้นคือแตม 1, 2, 3, 4, 5, 6

ตัวอยา งท่ี 2 การหยิบลกู ปงปอง 1 ลกู จากกลอ ง ซงึ่ มี 5 ลกู 5 สี ลูกปง ปองท่ีหยบิ ไดอ าจจะเปน ลูกปง ปอง
สีขาว ฟา แดง เขียว หรอื สม

ดงั น้นั ผลลัพธทงั้ หมดทีจ่ ะเกดิ ขึน้ คือ ลกู ปงปองสีขาว ฟา แดง เขียว หรือสม

ตวั อยา งที่ 3 จงเขยี นผลที่อาจจะเกดิ ข้นึ ไดท ้งั หมดในการโยนเหรยี ญบาท 1 เหรยี ญ และเหรยี ญหาสบิ
สตางค 1 เหรยี ญ
วธิ ที าํ

ในการโยนเหรียญบาท 1 เหรียญ ผลทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ คอื หัวหรอื กอย ถา ให H แทน หัว และ
ให T แทน กอย

ในการหาผลที่อาจเกิดขึน้ ไดท ง้ั หมดจากการโยนเหรยี ญบาทและเหรยี ญหา สิบสตางคอยา งละ 1
เหรียญ อาจใชแ ผนภาพชว ยไดด งั นี้

155

ฉะนั้น ถา เราใชค ูอนั ดับเขยี นผลท้งั หมดทีอ่ าจเกิดขนึ้ ไดโ ดยใหสมาชกิ ตวั หนึง่ ของคูอันดับแทนผล
ทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ จากเหรยี ญบาท สมาชกิ ตัวทส่ี องของคูอ ันดบั แทนผลทอ่ี าจเกิดข้ึนจากเหรยี ญหา สิบ
สตางค จะได

ผลทัง้ หมดที่อาจจะเกดิ ข้ึนได คอื (H, H), (H, T), (T, H) และ (T, T)

2. แซมเปล สเปซ (Sample Space ) เปน เซตทมี่ สี มาชิกประกอบดวยสง่ิ ที่ตองการ ท้งั หมด จากการ
ทดลองอยางใดอยา งหนึ่ง ( บางคร้งั เรียกวา Universal Set ) เขียนแทนดว ย S
เชน ตัวอยา งที่ 4 ในการโยนลกู เตา ถา ตองการดวู าหนา อะไรจะขนึ้ มาจะได

ผลลัพธท่อี าจจะเกิดขนึ้ ไดค อื ลูกเตา ขึ้นแตม 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 หรอื 5 หรือ 6
ดงั น้นั แซมเปลสเปซทไ่ี ด คอื S =  1, 2, 3, 4, 5, 6 
ตัวอยางที่ 5 จากการทดลองสมุ โดยการทดลองทอดลกู เตา 2 ลกู

1. จงหาแซมเปลสเปซของแตมของลกู เตา ทีห่ งายขนึ้
วธิ ที าํ 1. เน่อื งจากโจทยสนใจแตมของลกู เตาทีห่ งายขน้ึ ดงั นนั้ เราตอ งเขยี นแตมของลกู เตาที่มโี อกาส
ท่ีจะหงายข้นึ มาท้งั หมด และเพอื่ ความสะดวกให (a , b) แทนผลลัพธท ีอ่ าจจะเกดิ ขน้ึ โดยท่ี

a แทนแตมทห่ี งายขนึ้ ของลูกเตา ลกู แรก
b แทนแตม ทีห่ งายขนึ้ ของลูกเตา ลกู ที่สอง
ดังนั้นแซมเปล สเปซของการทดลองสมุ คอื
S = {(1,1),(1,2),(1,3),(1,4),(1,5),(1,6),

(2,1),(2,2),(2,3),(2,4),(2,5),(2,6),
(3,1),(3,2),(3,3),(3,4),(3,5),(3,6),
(4,1),(4,2),(4,3),(4,4),(4,5),(4,6),
(5,1),(5,2),(5,3),(5,4),(5,5),(5,6),
(6,1),(6,2),(6,3),(6,4),(6,5),(6,6)}

156

3. เหตกุ ารณ (event) คือ เซตที่เปน สบั เซตของ Sample Space หรือเหตุการณท ี่เราสนใจ จากการทดลองสุม

ตวั อยางที่ 7 ในการโยนลกู เตา 1 ลูก 1 ครงั้ ถา ผลลพั ธท ี่สนใจคอื จาํ นวนแตม ทีไ่ ด จะได

S = {1, 2, 3, 4, 5, 6}

ถาให E1 เปนเหตุการณท ่ไี ดแ ตมซง่ึ หารดว ย 3 ลงตวั จะได E1 = {3, 6}

E2 เปน เหตกุ ารณทไ่ี ดแ ตมมากกวา 2 จะได E2 = {3, 4, 5, 6}

ตัวอยางที่ 8 ถงุ ใบหนง่ึ มีลกู บอลสขี าว 3 ลกู สแี ดง 2 ลูก หยบิ ลกู บอลออกจากถงุ 2 ลูก จงหา

1. แซมเปลสเปซของสขี องลูกบอล และเหตกุ ารณทีจ่ ะไดล กู บอลสีขาว

2. แซมเปล สเปซของลกู บอลที่หยบิ มาได และเหตกุ ารณทจี่ ะไดลูกบอลเปนสีขาว 1 ลกู สีแดง

1 ลูก

วธิ ที ํา 1. เนอ่ื งจากเราสนใจเก่ยี วกบั สขี องลกู บอล และลูกบอลมีอยสู องสคี ือสขี าวและสีแดง

ดังน้นั แซมเปลสเปซ S = {ขาว, แดง}

สมมติให B เปนเหตกุ ารณท จี่ ะไดลกู บอลสขี าว

ดังนน้ั B = {ขาว}

2. เนือ่ งจากเราสนใจแซมเปลสเปซของลกู บอลแตล ะลูกท่ีถูกหยิบข้ึนมา

ดงั นัน้ แซมเปล สเปซ S คือ

S = {ข1ข2,ข1ข3,ข1ด1,ข1ด2,ข2ด3,ข2ด1,ข2ด2,ข3ด1,ข3ด2,ด1ด2}
ให C เปน เหตุการณทีผ่ ลลพั ธเปน ลกู บอลสขี าว 1 ลูก และ สีแดง 1 ลูก

ดังนัน้ เหตกุ ารณ C คอื

C = {ข1ด1,ข1ด2,ข2ด1,ข2ด2,ข3ด1,ข3ด2}
หมายเหตุ ข แทน ขาว และ ด แทน แดง

ตัวอยา งท่ี 10 โยนเหรียญบาท 1 เหรียญ 2 คร้ัง จงหาผลลัพธของเหตุการณท จี่ ะออกหัวอยา งนอ ย

1 ครั้ง การหาผลลพั ธท้ังหมดที่อาจจะเกดิ ขน้ึ จากการโยนเหรยี ญบาท 1 เหรียญ 2 ครงั้

โดยใชแผนภาพตน ไม ดงั น้ี

157

ผลลพั ธทั้งหมดท่อี าจจะเกิดข้นึ จากการทดลองสมุ มี 4 แบบ คือ HH, HT, TH และ TT
นนั่ คือผลลพั ธข อง เหตกุ ารณท จี่ ะออกหัวอยางนอย 1 คร้งั มี 3 แบบ คือ HH, HT และ TH
4. ความนา จะเปน ของเหตุการณ

ความนาจะเปน ของเหตกุ ารณ คือ จํานวนท่แี สดงใหท ราบวา เหตุการณใ ดเหตกุ ารณห นงึ่ มโี อกาส
เกดิ ขนึ้ มากหรอื นอยเพียงใด

ความนาจะเปน ของเหตกุ ารณใ ด ๆ เทา กับอตั ราสว นของจํานวนเหตุการณท่ีเราสนใจ (จะใหเกิดขน้ึ
หรือไมเกดิ ขึน้ กไ็ ด) ตอ จํานวนผลลัพธท ั้งหมดทีอ่ าจจะเกดิ ขึ้นได ซ่งึ มสี ูตรในการคดิ คํานวณดงั น้ี

ความนาจะเปน ของเหตกุ ารณ = จํานวนผลลัพธของเหตุการณท่เี ราสนใจ
จาํ นวนผลลพั ธท ั้งหมดท่ีอาจจะเกิดขนึ้ ได

เมอ่ื ผลทง้ั หมดทีอ่ าจจะเกิดขน้ึ จากทดลองสุมแตละตวั มโี อกาสเกดิ ขนึ้ ไดเ ทา ๆ กนั
กําหนดให E แทน เหตุการณท ี่เราสนใจ
P(E) แทน ความนา จะเปน ของเหตกุ ารณ
n(E) แทน จาํ นวนสมาชกิ ของเหตกุ ารณ
n(S) แทน จาํ นวนสมาชิกของผลลัพธทง้ั หมดทอี่ าจจะเกดิ ขึน้ ได

ดงั นัน้ P( E ) = n(E)

n(S)

ตวั อยางท่ี 1 มลี กู ปงปอง 4 ลูก เขยี นหมายเลขกํากับไวด งั น้ีคอื 0, 1, 2, 3 ถาสุมหยิบมา 2 ลกู จงหาความ

นาจะเปน ที่จะไดผลรวมของตวั เลขมากกวา 3

วิธีทํา ให S เปน แซมเปลสเปซ

S = {(0, 1),(0, 2),(0, 3),(1, 2),(1, 3),(2, 3) }

จะได n(S) = 6

E เปนเหตุการณห รือส่งิ ที่โจทยอ ยากทราบ

E = {(1, 3),(2, 3)}

จะได n (E) = 2

นน่ั คอื จากสูตรขางบนคอื p(E)  nE แทนคา ได PE  2  1
nS 
63

ความนาจะเปนทีจ่ ะไดผลรวมของตวั เลขมากกวา 3 เทา กบั 1

3

158

ขอ สงั เกต
1. สมาชกิ ทกุ ตวั ในเหตกุ ารณ E ตองเปนสมาชกิ ในอยูใ นแซมเปล สเปซ S
ดังนน้ั 0 ≤ n(E)≤n(S)
2. ถา E เปนเหตกุ ารณใด ๆ ในแซมเปล สเปซ S จะไดว า
2.1 0≤P(E)≤1
2.2 ถา P(E)=1 หมายถงึ เหตกุ ารณน นั้ ตอ งเกิดขน้ึ แนนอน
ถา P(E)=0 หมายถงึ เหตกุ ารณน น้ั ตองไมเ กดิ
2.3 ถา S เปน แซมเปล สเปซ จะไดว า P(S)=1

159

แบบฝก หัดที่ 2

1. จากการทดลองสมุ ตอไปนี้ จงเขยี นแซมเปลสเปซและเหตุการณที่สนใจในการทดลองนน้ั ๆ
(1) ไดหวั สองเหรียญจากการโยนเหรยี ญสองอนั หน่งึ ครั้ง
(2) ไดผ ลรวมของแตมบนหนา ลูกเตาทั้งสองเปน 2 หรอื 6 จากการโยนลกู เตา สองลูกหนงึ่
คร้งั
(3) หยบิ ไดสลากหมายเลข 5 หรือ 6 หรอื 7 หรือ 8 จากสลาก 10 ใบซึ่งเขียนหมายเลข 1 ถึง
10 กํากับไว
(4) ไดนักเรยี นท่ถี นดั มือซา ยในหองเรียนท่ที า นเรยี นอยู
(5) ไดสลากท่มี รี างวลั จากการจบั สลากท่ปี ระกอบดวยสลากทมี่ รี างวลั 3 ใบ และไมม ี
รางวัล 7 ใบ
(6) ไดคําตอบจากครอบครวั 3 ครอบครวั วามจี ักรเย็บผาใชทง้ั สามครอบครวั
(7) ไดล ูกบอลสีขาว 2 ลูก สดี ํา 1 ลูก ในการหยิบลูกบอล 3 ลูก จากกลอ งซ่ึงบรรจลุ ูกบอลสี
ขาว 3 ลูก และสีดาํ 2 ลกู
(8) ไดแ ตม ทเ่ี หมือนกนั หรือไดแ ตม 2 จากลูกเตาลูกใดลกู หน่งึ ในการทอดลกู เตาพรอมกนั
สองลูก
(9) ไดหัวและแตมท่มี ากกวา 4 จากการโยนเหรยี ญหนง่ึ เหรียญและทอดลกู เตา หน่ึงลกู
หน่งึ ครัง้
(10) ไดส ที ี่ชอบคือ สฟี า หรือสชี มพจู ากการสอบถามนางสาวสชุ าดาถงึ สขี องกระดาษ
เช็ดหนา ท่ชี อบสองสีจากสีท้ังหมด 5 สี คอื ขาว ฟา ชมพู เขยี ว และเหลอื ง

1. ถา S = {0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 }

1 = { 0, 2, 4, 6, 8 }

2 = {1, 3 ,5 ,7 ,9 }
3 ={ 2, 3, 4, 5 }
และ 4 = { 1, 6, 7 }
จงหาสมาชกิ ของ S ที่อยใู นเหตกุ ารณต อไปน้ี

(1) 1  3 (2) 1  2
(3) 3 (4) 3  4)  2
(6) 1 2)  3
(5) S  3 

160

2. จากเหตุการณ 1 , 2 , 3 ในขอ 2 จงเขียนแผนภาพของเวนน – ออยเลอรแสดงเหตุการณต อ ไปน้ี

(1) 1  2 (3) 1 3)  2

(2) 1 2) (4) 1 2)  3

3. ในการสํารวจอายขุ องผปู ว ยแผนกเด็ก (อายไุ มเกนิ 15 ป ) ของโรงพยาบาลแหงหนึ่ง

ถา 1 เปน เหตุการณท ีผ่ ปู วยมอี ายตุ ั้งแต 1 ถงึ 9 ป

2 เปน เหตกุ ารณท ี่ผปู ว ยมอี ายนุ อ ยกวา 5 ป

และ 3 เปนเหตกุ ารณท ่ีผูปวยมอี ายุมากกวา 9 ป

จงหา (1) 1  2 (3) 1 3  2

(2) 1  2 (4) 2  3

4 ในการจับสลาก 1 ใบ จากสลาก 10 ใบ ซึ่งมีเลข 0 ถงึ 9 กํากบั อยู ถาสนใจเลขทเ่ี ขยี นกํากบั ไวใ นสลากใบ

ท่จี บั ได โดยให

1 เปนเหตุการณทเ่ี ลขทีเ่ ขยี นกํากบั ไวเ ปนจํานวนคู
2 เปน เหตุการณท่ีเลขทเ่ี ขียนกํากับไวเ ปน จาํ นวนคี่
3 เปนเหตกุ ารณท ี่เลขท่เี ขียนกํากบั ไวเปน จาํ นวนเฉพาะ
4 เปนเหตกุ ารณท ่เี ลขทีเ่ ขียนกาํ กบั ไวเ ปนจํานวนท่ีหารดวย 3 ลงตัว
จงเขยี นเหตกุ ารณต อไปนี้ในรปู 1 , 2 , 3 หรอื 4 พรอมทัง้ แจกแจงสมาชิกเมือ่

(1) เลขทเ่ี ขียนกาํ กับไวเปน จาํ นวนคหู รือค่หี รอื จํานวนเฉพาะ

(2) เลขทเ่ี ขียนกํากบั ไวเปน จํานวนเฉพาะท่ีหารดวย 3 ลงตวั

(3) เลขทีเ่ ขียนกาํ กบั ไวไ มเ ปน จาํ นวนคี่ และไมเ ปนจํานวนที่หารดว ย 3 ลงตัว

(4) เลขทเี่ ขียนกํากบั ไวเ ปน จาํ นวนคทู ่เี ปน จาํ นวนเฉพาะ

161

4. การนําความนาจะเปน ไปใช

การนาํ ความนา จะเปนไปใช ตองการใหผทู ่ศี กึ ษาทราบวาเหตกุ ารณต างๆน้ันมีโอกาสจะเกิดขึ้น
มาก หรือนอ ยเพียงใด เพ่ือชว ยในการประกอบการตดั สินใจ เชน

ตวั อยางที่ 1 ไพส ํารับหนึ่งมี 52 ใบ แบง เปน 2 สี 4 ชนิด คือ สีแดง ไดแ กโ พแดงกับขา วหลามตดั

สีดํา ไดแ ก โพดํากับดอกจกิ แตละชนิดมี 13 ใบ จงหาความนา จะเปน ท่หี ยบิ มา 1 ใบแลวไดโ พดําหรือสี

แดง

วธิ ีทาํ S = ไพท ั้งหมดมี 52 ใบ หยบิ มาทลี ะ 1 ใบจะได 52 วธิ ี

ดงั นั้น n(S) = 52

E = ไพโพดํามี 13 ใบ และไพส ีแดงมี 26 ใบ

ดังนน้ั n(E) = 13 + 26 = 39

จากสูตร p(E)  nE แทนคา ได PE   39  3
nS 
52 4

ความนาจะเปน ทีห่ ยบิ ไพ 1 ใบแลว ไดโพดําหรอื สีแดง เทา กบั 3

4

สรปุ ไดว า ไพ 1 ใบ แลว ไดไ พโพดํา หรือโพแดงมีโอกาสเกิดขนึ้ 75 % ถือวา มโี อกาสเปนไปไดส ูง

ตัวอยา งที่ 2 ในการหยบิ สลาก 1 ใบจากสลาก 10 ใบ ซ่ึงมเี ลข 0 - 9 กํากบั อยู จงหาความนาจะเปน ท่จี ะ
หยิบไดเปน จํานวนเฉพาะสลากมีเลข 2 เลข 3 เลข 5 เลข 7
วิธีทาํ S = สลากมี 10 ใบ หยิบมาทีละ 1 ใบ จึงหยิบได 10 วธิ ี

S = {0,1,2,3,4,5,6,7,8,9,}
n(S)=10
E = สลากทเ่ี ปนจํานวนเฉพาะ
E ={2,3,5,7,}

n(E)=4

จากสตู ร p(E)  nE แทนคาได PE  4  2
nS 
10 5

ความนา จะเปนทจี่ ะหยิบไดเ ปน จํานวนจาํ เพาะ เทา กบั 2

5

สรุปไดวา ความนา จะเปน ทจี่ ะหยิบไดเ ปน จาํ นวนจําเพาะ มีโอกาสเกดิ ขนึ้ 40 % ถือวามีโอกาส

เกิดขน้ึ นอ ย

162

ตวั อยา งที่ 3 ในการทอดลกู เตา 2 ลูก พรอ มกนั 1 คร้ัง จงหาโอกาสท่ผี ลรวมของแตม เปน 13
วธิ ที ํา ลูกเตา 2 ลกู จะมผี ลรวมสูงสดุ คอื 6 + 6 = 12

โจทยต องการทราบผลรวมของแตมทจี่ ะเปน 13 จงึ เปน เหตุการณทเ่ี ปน ไปไมไ ด
โอกาสทผี่ ลรวมของแตมเปน 13 เทา กับ 0

สรุปไดวา โอกาสที่จะทอดลกู เตา 2 ลกู แลว ผลรวมของแตม เปน 13 นั้น ไมม โี อกาสเกิดขนึ้ เลย

163

แบบฝกหดั ท่ี 3

1. ในการโยนลกู เตา 1 ลกู 1 คร้งั จงหาความนาจะเปนของเหตุการณ และสรุปถงึ โอกาสทจี่ ะเกดิ ข้นึ วา
มีมากหรอื นอยเพยี งใด

1) ไดแ ตม 4
2) ไดแ ตม คู
3) ไดแตม มากกวา 4
4) ไดแตม นอยกวา 7
5) ไดแตม มากกวา 0
6) ไดแตมมากกวา 6 หรอื เปน แตมค่ี
7) ไดแตมมากกวา 3 และเปนแตม ค่ี
............................................................................................ ................................................................
.................................................................................................... ........................................................
2. ทอดลูกเตา 2 ลกู สองครัง้ ความนาจะเปนทจี่ ะไดแตมรวมเปน 7 ในครั้งแรกและไดแตม รวมเปน 10
ในครัง้ ท่ี 2 เทา กบั เทาใด
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
3. ชางกอสรา งกลมุ หนึง่ มี 10 คน ประกอบดว ย ชา งปนู 6 คน และชางไม 4 คน ถา ตอ งการเลอื กชาง
7 คน จากกลมุ นี้ ความนา จะเปนทจ่ี ะไดช างปนู 4 คน และชางไม 3 คน เทา กบั เทาใด
.................................................................................................... ........................................................
..................................................................................................... .......................................................
4. กลอ งใบหนง่ึ บรรจหุ ลอดไฟสแี ดง 6 หลอดซึ่งเปนหลอดดี 4 หลอดและหลอดไฟสนี ํ้าเงิน 4 หลอด
ซึ่งเปนหลอดดี 2 หลอด ในการสุม หยิบหลอดไฟครัง้ ละ 1 หลอด 2 ครงั้ แบบไมใสค ืน ความนาจะ
เปน ที่จะไดหลอดไฟสีเดียวกนั และเปน หลอดดีทงั้ สองครง้ั มีคาเทา กับเทาใด
............................................................................................... .............................................................
.................................................................................................... ........................................................
....................................................................................................................................... .....................
5. กลอ งใบหนึง่ มลี ูกบอลสแี ดง 3 ลูก และสขี าวจาํ นวนหน่งึ โดยท่ีจาํ นวนวิธีการหยิบลกู บอล 2 ลูก
เปนลูกบอลสีเหมือนกัน เทา กับ 9 ถาสุม หยบิ ลูกบอลพรอ มพนั 2 ลกู แลว ความนา จะเปนทจ่ี ะไดลูก
บอลสขี าวท้งั 2 ลูกเทากบั เทาใด
.................................................................................................... ........................................................
........................................................................................................ ....................................................
.................................................................................................... ........................................................

164

บทท่ี 9
การใชท กั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตรใ นงานอาชีพ

สาระสําคัญ
การประกอบอาชีพในสงั คมและในกลุมประชาคมอาเซียนน้นั มหี ลากหลายสาขาอาชีพท้งั ในดาน

อตุ สาหกรรม เกษตรกรรม พณิชยกรรม ความคิดสรา งสรรค และการบรหิ ารจดั การ อาชพี ในวงการ
ดงั กลาวลวนมกี ารใชท กั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตรเขา ไปเกย่ี วของเกือบทุกกลมุ อาชีพ ซงึ่ ผเู รยี น
สามารถนําความรแู ละทกั ษะท่ีไดเ รยี นคณิตศาสตรใ นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายมาประยกุ ตใ ช

ผลการเรียนรูท ่คี าดหวัง
1. สามารถวเิ คราะหง านอาชีพในสังคมและกลุม ประชาคมอาเซยี นทีใ่ ชทักษะทางคณิตศาสตร
2. มีความสามารถในการเชือ่ มโยงความรตู าง ๆ ทางคณิตศาสตรก ับงานอาชีพได

ขอบขายเนื้อหา ลกั ษณะ ประเภทของงานอาชพี ที่ใชทกั ษะทางคณติ ศาสตร
เรือ่ งท่ี 1 การนาํ ความรูท างคณติ ศาสตรไ ปเชือ่ มโยงกับงานอาชพี ในสงั คมและ
เร่ืองที่ 2 ประชาคมอาเซียน

165

เรือ่ งท่ี 1 ลักษณะ ประเภทของงานอาชีพทใี่ ชทกั ษะทางคณติ ศาสตร
1.1 กลมุ อาชพี เกษตรกรรม ไดแก อาชพี การทํานา ทําไร การปลกู ผัก การเล้ียงสัตว ประมง ฯลฯ

(1) ลกั ษณะงานเบอื้ งตน ทใ่ี ชท ักษะทางคณติ ศาสตร
1. การสํารวจของตลาดที่จะปลกู พชื เกษตรกรรม
2. การเตรยี มพนื้ ท่ดี ิน ซึง่ ขน้ึ อยกู ับความกวา ง ความยาวของพืน้ ทว่ี า
ผปู ระกอบการใชพ ้ืนทก่ี ีไ่ ร ก่ีงาน กต่ี ารางวา ในการทําแปลง ขดุ รอง
เพื่อใชเ ปน พน้ื ที่นา 1 สว น พ้ืนทป่ี ลกู ผกั 1 สว น บอนํ้า 1 สว น
การเล้ยี งสตั ว 1 สว น พนื้ ทอ่ี ยูอาศัย 1 สวน เปนตน
3. การเตรียมเมล็ดพนั ธขุ าว ผกั และพืชพันธุอ ่ืน ๆ
4. การเตรยี มปุยวา ใชข นาดกก่ี โิ ลกรมั ตอไร
5. การรดน้าํ พรวนดิน ซงึ่ ตองกาํ หนดวา รดน้าํ วนั ละ 2 ครงั้ ในปรมิ าณมากนอย
เทาไร
6. การฉดี ยาฆา แมลงโดยใชสารกําจดั ศัตรูพืชทางชวี ภาพ เชน สะเดา และ
สมุนไพรอื่น ๆ เปนตน ใชค วามรเู รอื่ งอตั ราสวน สัดสว น เพอ่ื ผสมยากาํ จดั
ศัตรูพืชกับนา้ํ กอนฉดี พน
7. การเกบ็ เกีย่ วผลผลติ ซึ่งตอ งใชท กั ษะการคาํ นวณระยะเวลาตั้งแตก ารปลกู
จนถึงระยะการเก็บเกีย่ วผลผลิต
- การตรวจสอบความชื้นของวัสดแุ ละสถานที่เก็บผลผลิต

166

- การคํานวณพนื้ ทใี่ นการเกบ็ รกั ษาผลผลติ
8. การจําหนายผลผลติ ซ่ึงตองใชทกั ษะการจดั ทาํ บญั ชรี ับ – จาย

การจดบนั ทกึ จํานวนผลผลิตทไี่ ด
9. การคาํ นวณภาษเี งนิ ไดบคุ คลธรรมดา
(2) เคร่ืองมอื และเทคโนโลยีทใี่ ช
1. เคร่ืองคดิ เลข
2. สมุดบันทกึ รายรบั รายจายหรือคอมพิวเตอรโ นต บคุ
3. สมดุ จดบันทกึ ระยะเวลาการเจรญิ เตบิ โตตงั้ แตก ารปลกู จนถึง

การเก็บเกีย่ วผลผลติ
(3) ความรูทางคณิตศาสตรท ใี่ ช

1. การวดั ความยาว การหาพนื้ ท่ี
2. อัตราสวนในการผสมปุยตอความกวางความยาวของพื้นทด่ี ิน
3. การช่งั ผลผลิตทีไ่ ด
4. การกาํ หนดราคาขายตอกโิ ลกรัม
5. การบวก ลบ คูณ หาร เร่อื ง คา จางแรงงานและอ่นื ๆ
6. การทําบัญชีรายรบั รายจา ยประจําวนั
7. การคํานวณภาษีเงนิ ไดบ คุ คลธรรมดา
1.2 กลมุ อาชีพอุตสาหกรรม ไดแก อาชพี พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมตางๆ ไดแ ก อุตสาหกรรม
หองเย็น ถว ยชามอุปกรณเซรามคิ ผา ขนหนู กระดาษและสิง่ พิมพ สแตนเลส เหลก็ พลาสตกิ ปนู ซีเมนต ฯลฯ

167

(1) ลกั ษณะงานเบอ้ื งตน ทใ่ี ชทักษะคณิตศาสตร
1. การคาํ นวณเงนิ รายไดป ระจาํ วนั
2. การคาํ นวณเงนิ คาทํางานลว งเวลา
3. การคาํ นวณเงนิ กูและดอกเบยี้ คงทหี่ รือดอกเบย้ี ทบตน
4. การทําบญั ชรี ายรับ – รายจา ยประจําวนั
5. การจดั ทําบญั ชพี สั ดุ (การจดั ซ้ือ การเบกิ จา ยพัสด)ุ
6. การสํารวจและวจิ ัยการตลาด
7. การคาํ นวณภาษเี งนิ ไดบคุ คลธรรมดา

(2) เครอ่ื งมอื และเทคโนโลยที ใี่ ช
1. เคร่อื งคดิ เลข
2. เคร่ืองคอมพวิ เตอร
3. เครื่องจกั รอตุ สาหกรรมในแตล ะสาขาอตุ สาหกรรม
4. เครื่องบรรจภุ ณั ฑลงกลอ งหรอื แพ็คเปนพลาสติกหอหมุ

(3) ความรแู ละทกั ษะทางคณติ ศาสตรที่ใช
1. การคํานวณเงนิ รายไดประจาํ สปั ดาห ประจาํ เดอื นโดยหักวันลาหยุด
2. การคํานวณเงนิ คา ทํางานลว งเวลาเปนจํานวนชว่ั โมงตอคาจางรายชวั่ โมง
3. การคํานวณเงนิ กูและดอกเบีย้ (ดอกเบ้ียคงท,่ี ดอกเบย้ี ทบตน )
4. การทําบญั ชีรับ – จา ยประจาํ วนั
5. การคํานวณภาษเี งนิ ไดบคุ คลธรรมดา

1.3 กลมุ อาชพี พาณชิ ยกรรม ไดแก อาชพี คา ขาย ผูประกอบการรา นอาหารและเครอื่ งดื่ม
ผปู ระกอบการขายปลีกและขายสง ธุรกจิ การซ้ือขายอสงั หาริมทรพั ย ธุรกิจการซ้ือขายหนุ ในตลาด
หลกั ทรัพย อาชีพการทําบญั ชี การตลาด เปน ตน

168

(1) ลกั ษณะงานเบอ้ื งตน ทใ่ี ชท กั ษะคณิตศาสตร
1. การจัดเตรยี มสถานท่ี การคาํ นวณการจดั วางโตะ เกาอ้ี หรือวัสดุอปุ กรณใ น
การขาย
2. การจดั ซื้อวตั ถุดิบในการคา ขายปลกี หรือขายสง
3. การจําหนายสนิ คา การคาํ นวณราคาสินคา ตอหนวย การทอนเงิน
4. การจัดทําบัญชพี สั ดุ (การจดั ซื้อ การเบิกจา ยพัสด)ุ
5. การจดั ทาํ บัญชีรับ – จายประจาํ วนั
6. การฝากเงนิ การถอนเงนิ การออมเงนิ
7. การประชาสมั พันธใ นงานธรุ กิจคา ขายหรือพาณชิ ยกรรม ซง่ึ ตองใชท ักษะใน
การคํานวณขนาดของปา ยโฆษณา ขนาดตวั อักษร ขนาดและจํานวนแผน พบั
หรือใบปลวิ โฆษณา
8. การคํานวณภาษีเงนิ ไดบคุ คลธรรมดา

(2) เครื่องมอื และเทคโนโลยีทใี่ ช
1. เครื่องคิดเลข
2. เครื่องเก็บเงิน – ทอนเงนิ
3. เครื่องคอมพิวเตอร
4. เครอ่ื งไมโครเวฟ
5. เครอื่ งปน นา้ํ ผลไม

(3) ความรูและทกั ษะทางคณติ ศาสตรท่ใี ช
1. การคาํ นวณขนาดของพืน้ ท่ีใชส อยเพอื่ จัดวาง โตะ เกาอ้หี รือวสั ดุ อปุ กรณในการขาย
2. การคํานวณปรมิ าณการจดั ซื้อวัตถุดบิ ในแตล ะวัน
3. การคาํ นวณในการจัดซื้อพสั ดุ
4. การจดั ทาํ บัญชีรับ – จา ยประจําวนั
5. การคํานวณขนาดของปายโฆษณา ประชาสมั พนั ธหรอื แผน พับ แผนปลิวโฆษณา
6. การคาํ นวณภาษเี งนิ ไดบคุ คลธรรมดา

1.4 กลมุ อาชีพดานความคดิ สรางสรรค ไดแก ธรุ กจิ โฆษณา ธุรกิจการออกแบบตกแตงทอี่ ยอู าศัย
สํานกั งานและสวนหยอม การจดั ดอกไมแ ละแจกนั ประดับ ธรุ กิจการทาํ พวงหรดี การจดั กระเชา ของขวญั เปนตน

169

(1) ลกั ษณะงานเบอื้ งตน ทใี่ ชท ักษะคณติ ศาสตร
1. การจดั เตรียมขนาด ปริมาตร รูปทรงของพนื้ ทีห่ รอื ช้ินงานในการจดั ทําธรุ กจิ
ซงึ่ ตอ งใชก ารวดั ความกวาง ความยาว ความสงู ของพ้นื ทห่ี รือช้นิ งาน
การออกแบบรูปทรงโดยใชร ปู เรขาคณติ สามมิติ
2. การคาํ นวณปริมาณของวสั ดุอุปกรณในการใชประดิษฐส รางสรรคชน้ิ งาน
หรอื การจัดตกแตงสวนหยอม
3. การคํานวณเพอ่ื กําหนดราคาขายสนิ คา
4. การจดั ทําบัญชีพัสดุ (การจดั ซื้อ การเบกิ จา ยพัสด)ุ
5. การจดั ทําบัญชรี บั – จาย ประจําวัน
6. การประชาสมั พนั ธใ นอาชีพธรุ กจิ ทกุ ประเภท ซ่ึงตองใชท ักษะในการคํานวณ
เปนพื้นฐานในการจัดทาํ แผน ปายประชาสัมพันธหรือแผน พบั แผนปลิว
7. การคํานวณภาษเี งนิ ไดบคุ คลธรรมดา

(2) เครอ่ื งมอื และเทคโนโลยที ใี่ ช
1. เครอ่ื งคิดเลข
2. เครือ่ งคอมพิวเตอร
3. โปรแกรมสําเรจ็ รูปในการออกแบบสินคา

(3) ความรูและทกั ษะทางคณติ ศาสตรท ่ใี ช
1. การคํานวณพ้นื ท่ผี วิ ปรมิ าตรของพน้ื ที่หรือออกแบบรูปทรงทใี่ ชใน
การทํางานอาชีพ
2. การคํานวณปริมาณของวสั ดุ อปุ กรณท ใ่ี ชประดษิ ฐ สรา งสรรค ชิ้นงาน
3. การคาํ นวณตน ทนุ และกําไร เพือ่ กําหนดราคาขายสนิ คา
4. การจัดทําบญั ชีพัสดุ (การจดั ซอ้ื การเบกิ จายพสั ด)ุ
5. การจัดทําบัญชรี ับ – จายประจาํ วัน
6. การคํานวณภาษเี งนิ ไดบคุ คลธรรมดา

170

1.5 กลมุ อาชพี บริหารจดั การและการบรกิ าร ไดแ ก อาชพี กลุม งานบริการและการทองเท่ียว
งานบริการรักษาความปลอดภยั บรกิ ารดแู ลทารกและเดก็ บริการดแู ลผูสงู อายุ บริการสันทนาการและ
การกฬี า เปนตน

(1) ลกั ษณะงานเบอ้ื งตน ทใี่ ชทกั ษะคณิตศาสตร
1. การสํารวจพน้ื ทใ่ี นการใหบ รกิ าร การคํานวณระยะทางในการใหบรกิ าร
2. การจัดซอื้ วัสดุ อปุ กรณใ นการใหบริการ
3. การรบั สมคั รและกาํ หนดเงินเดือนตามตาํ แหนงงานของเจาหนาทใี่ น
การใหบรกิ าร
4. การจัดทาํ ตารางเวลา การอยูเ วร - ยามของเจาหนาทปี่ ระจาํ สํานักงาน
5. การจดั ทาํ กําหนดการทอ งเท่ยี วและการใหบริการ รวมทง้ั กําหนดราคาขาย
บรกิ ารในแตละพ้นื ที่
6. การคํานวณการใชนาํ้ มนั เช้ือเพลงิ ของยานพาหนะท่ีใหบ ริการ
7. การจัดทําบญั ชีพัสดุ และการเบกิ จา ยพสั ดุ
8. การจัดทาํ บัญชีรบั – จายประจําวนั
9. การจดั ทาํ แผนปายโฆษณา ประชาสมั พันธก ารใหบรกิ าร
10. การจัดทาํ สรุปรายงานและการนาํ เสนอขอ มลู
11. การคํานวณภาษีเงนิ ไดบ คุ คลธรรมดา

(2) เคร่ืองมือและเทคโนโลยีทใ่ี ช
1. เครือ่ งคิดเลข
2. เคร่อื งคอมพวิ เตอร
3. เครอ่ื งออกกาํ ลงั กาย
4. อปุ กรณใ นการเตรียมอาหาร น้าํ ด่มื นมแกท ารกเดก็ และผสู ูงอายุ
5. ยานพาหนะในการใหบ รกิ าร
6. แผนทีข่ องสถานท่ีหรอื จดุ ท่ใี หบรกิ าร

171

(3) ความรูและทกั ษะทางคณิตศาสตรท่ีใช
1. การคาํ นวณพ้ืนท่ีและการวัดระยะทาง
2. การคํานวณปรมิ าณของวัสดุ อปุ กรณท่จี ําเปน ตอ งจดั ซือ้ จัดหาเพ่อื ใหบรกิ าร
3. การคํานวณเงนิ เดอื นและกําหนดตําแหนง งานของเจา หนา ท่ี
4. การจัดทาํ ตารางการปฏบิ ตั ิงาน
5. การคาํ นวณการใชเช้อื เพลงิ รถยนตตอระยะทางทใ่ี หบรกิ าร
6. การจัดทําบญั ชเี บอ้ื งตน
7. การใชส ถิตใิ นการจัดทาํ สรปุ รายงานหรอื นําเสนอขอมูล
8. การคาํ นวณภาษีเงนิ ไดบ คุ คลธรรมดา

เรอ่ื งที่ 2 การนําความรทู างคณติ ศาสตรไ ปเชอ่ื มโยงกบั งานอาชีพในสังคมและประชาคมอาเซยี น
ในการนําความรคู ณิตศาสตรไ ปเชอื่ มโยงกบั งานอาชพี ท้งั 5 กลุม งานอาชพี ท้ังกลุมงานอาชพี

เกษตรกรรม กลมุ งานอาชพี อตุ สาหกรรม กลุมงานอาชีพพาณิชยกรรม กลมุ งานอาชีพความคดิ สรางสรรค
และกลมุ งานอาชพี ดา นบรหิ ารจดั การและบรกิ ารทตี่ อ งนําทักษะความรูทางคณติ ศาสตรม าใชท กุ กลมุ
อาชีพ เชน การจัดทําบญั ชีรายรับ – รายจา ยประจาํ วนั ประจาํ เดอื น การคํานวณเงนิ คา จา ง การคํานวณ
ภาษเี งินไดบ คุ คลธรรมดา เปนตน กลุมอาชีพทกุ กลมุ อาชีพอาจจะใชทกั ษะความรูคณิตศาสตรต า งกัน
ออกไป ดงั น้นั ในบทนจ้ี ะนําเสนอตวั อยางทเ่ี ปนทักษะทางคณิตศาสตรท ใี่ ชก นั มากเทา นน้ั

2.1 ทักษะการจดั ทําบญั ชีรบั - จายประจําวัน

ตวั อยา งที่ 1 การจดั ทําบัญชรี ายรบั – รายจา ยประจาํ วนั ของเกษตรกรปลกู ผัก
วันที่ 10 ตุลาคม 2554 จายคาเมล็ดพันธุและปุย 2,000 บาท คานํา้ คาไฟ 480 บาท
จา ยคา อาหาร 200 บาท ไดรบั เงนิ จากการขายผัก 1,500 บาท
วนั ที่ 12 ตุลาคม 2554 จายคา อาหาร 280 บาท จา ยคา โทรศพั ท 590 บาท
จา ยคา นาํ้ มนั รถยนต 1,100 บาท ไดรับเงนิ จากการขายผกั 3,600 บาท
วันท่ี 15 ตลุ าคม 2554 จา ยคาหนังสอื 300 บาท จา ยคาอาหาร 500 บาท จายคา น้าํ ดมื่ 250 บาท
จายคาเสอ้ื ผา 1,800 บาท ไดรบั เงินจากการขายผกั 2,200 บาท
วนั ที่ 16 ตลุ าคม 2554 จายคาอาหาร 300 บาท จายคา บัตรชมภาพยนตร 400 บาท
จายคา ถงุ พลาตกิ 480 บาท ไดร บั เงนิ จากการขายผกั 3,000 บาท

172

วัน เดอื น ป รายการรบั จาํ นวนเงนิ วัน เดือน ป รายการจา ย จํานวนเงนิ
10 ต.ค. 54 รับเงนิ จากการขายผกั บาท สต. บาท สต.
12 ต.ค. 54 รับเงนิ จากการขายผัก 2,000 -
15 ต.ค. 54 รบั เงนิ จากการขายผัก 1,500 - 10 ต.ค. 54 คา เมล็ดพันธุแ ละปุย
480 -
16 ต.ค. 54 รับเงนิ จากการขายผกั คาน้ํา คาไฟฟา 200 -
รวม 280 -
คาอาหาร 590 -
1,100 -
3,600 - 12 ต.ค. 54 คา อาหาร 300 -
500 -
คาโทรศพั ท 250 -
1,800 -
คา นา้ํ มันรถยนต 300 -
400 -
2,200 - 15 ต.ค. 54 คา หนังสอื 480 -
8,680 -
คา อาหาร 1,620 -

คา นํา้ ดม่ื

คาเสื้อผา

3,000 - 16 ต.ค. 54 คา อาหาร

คา บัตรชมภาพยนตร

คา ถุงพลาสติก

10,300 - รวม

ยอดคงเหลอื ยกไป

2.2 ทักษะการคํานวณเงนิ คา จาง

ตัวอยางที่ 2 พเยาวเปนพนกั งานทําความสะอาดของบรษิ ัทแหง หนง่ึ ซึ่งกําหนดเวลาทํางานวันจันทร
ถึงวันเสารไดรบั คา จางเปนรายวนั ๆ ละ 320 บาท พเยาวม สี ิทธไิ ดร บั คาจา งในวนั หยดุ
ตามประเพณแี ละวันหยดุ พกั ผอนประจําปโดยไมต อ งทํางาน ในเดือนตุลาคม พเยาวมา
ทาํ งานทุกวนั ในวันทาํ งานตามเวลาทาํ งานปกติ และวนั ท่ี 1 ตุลาคมตรงกบั วันจนั ทรใ น
เดือนนีม้ วี ันหยดุ ตามประเพณี 1 วนั คอื วนั ที่ 23 ตลุ าคม อยากทราบวา ในเดอื นน้ีพเยาว
ไดร บั คา จางเทา ไร

173

วิธที าํ
เดือนตลุ าคม

อาทิตย จันทร องั คาร พธุ พฤหัส ศุกร เสาร
123456

7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31

เดือนตลุ าคม พเยาวไดร ับคา จางในวันทํางาน 26 วนั และมสี ทิ ธิไดร ับคาจางในวนั หยดุ ตาม
ประเพณี 1 วัน และไดร ับคา จา งวนั ละ 320 บาท

ดังนั้น พเยาวไ ดรับคาจางในเดอื นตุลาคม = (26 + 1)  320
= 8,640 บาท

2.3 ทกั ษะการคาํ นวณเงนิ คานายหนาและเงนิ ปนผล

ตัวอยางที่ 3 นายสัญชัยเปน ตวั แทนขายเครอื่ งไฟฟา ซึ่งมีราคา 4,500 บาทใหกับบรษิ ทั แหงหนึ่ง
วธิ ที าํ
บรษิ ทั คดิ คานายหนา 10% อยากทราบวา สญั ชยั ตอ งสงเงนิ ใหบ รษิ ัทเทา ไร

บําเหนจ็ ตวั แทนในการขาย = 10  4,500 = 450 บาท
100
ดังนั้น สัญชัยตอ งสงเงินใหบริษทั = 4,500 – 450 = 4,050 บาท

ตวั อยา งท่ี 4 ภทั รามหี นุ ปรุ มิ สทิ ธิของบริษัทจําหนายเครอ่ื งใชไฟฟา แหงหน่ึง จํานวน 150 หุน มูลคา
วิธีทาํ
หนุ ละ 100 บาท อัตราเงนิ ปนผล 10% ส้ินปเ ขาจะไดร บั เงนิ ปน ผลทงั้ สน้ิ เทาไร

เงนิ ปนผลตอ หุนของหุน ปรุ มิ สทิ ธิ = อัตราเงินปน ผล  มลู คา หุนปรุ มิ สิทธิ

= 10%  100

= 10  100
100
= 10 บาท

ภัทรามหี ุนปุรมิ สิทธจิ ํานวน 150 หนุ

ดงั น้ัน ภทั ราจะไดรบั เงินปน ผลทั้งส้นิ = 150  10

= 1,500 บาท

174

2.4 ทักษะการใชสถิตใิ นการสรุปรายงานหรอื นําเสนอขอ มลู

ตวั อยางที่ 4 การสรุปรายงานการดาํ เนนิ งานโครงการอบรมคอมพวิ เตอรส าํ หรบั พนกั งาน

ผลการดําเนินงาน

บริษทั นา้ํ มนั แหงหนึ่งไดจ ดั ทาํ โครงการอบรมคอมพิวเตอรส ําหรับพนักงาน โดยดาํ เนนิ การเปน

3 รุน ดงั น้ี

รุนท่ี โปรแกรมอบรม วันทีอ่ บรม จํานวนผูเ ขาอบรม

1 การใชโ ปรแกรมไมโครซอฟท Excel 5 – 9 ก.ย. 54 10

2 การใชโ ปรแกรม PhotoShop 12 – 16 ก.ย. 54 10

3 การใชโ ปรแกรมไมโครซอฟท Access 19 – 23 ก.ย. 54 10

เมอื่ ดําเนินการอบรมและมกี ารประเมนิ ผลการอบรมโดยผจู ัดการอบรมไดด าํ เนนิ การทดสอบ
ความรู ความเขา ใจแกพ นกั งาน โดยใชแบบทดสอบกอนและหลังการอบรม เพอื่ ตรวจสอบความกา วหนา
วา ภายหลังการอบรมพนักงานไดร บั ความรูเพมิ่ ข้ึนจากชวงกอ นเขารบั การอบรมมากนอ ยเพยี งใด โดย
พจิ ารณาจากคะแนนเฉล่ยี ของผเู ขารับการอบรมในแตล ะรนุ ซง่ึ สรปุ ข้ันตอนการคาํ นวณและผลการ
ดําเนนิ การไดดังน้ี

1. นําแบบทดสอบวัดความรู ความเขา ใจในเน้ือหาการอบรมใหผูเขา อบรมทั้ง 10 คน
ตรวจใหคะแนนของผูเขาอบรมแตละคนวา ไดค นละกค่ี ะแนน ซ่ึงแตละรุน แบบทดสอบจะมคี ะแนนเตม็
20 คะแนน เทา กนั ทง้ั 3 รนุ แลว นํามากรอกคะแนนเปนรายบุคคลตั้งแตค นที่ 1 – 10 ลงในแบบบันทกึ
คะแนน เพ่ือคาํ นวณคา เฉลี่ยของคะแนน ( x ) ในแตล ะรนุ ดงั น้ี

คะแนนกอ นการอบรม คะแนนหลงั การอบรม

คนที่ (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) (คะแนนเตม็ 20 คะแนน)

โปรแกรมรุน โปรแกรมรนุ โปรแกรมรนุ โปรแกรมรุน โปรแกรมรุน โปรแกรมรุน

ที่ 1 ท่ี 2 ท่ี 3 ท่ี 1 ที่ 2 ท่ี 3

1 8 9 7 15 14 14

2 7 6 8 14 13 13

3 9 5 9 17 12 15

4 10 7 8 16 15 12

5 7 5 7 15 11 16

6 8 8 6 14 13 14

7 6 7 10 16 12 13

175

8 11 10 9 18 14 15
6 8 13 12 13
99 5 7 14 13 12
68 79 152 129 137
10 10

คะแนนรวม 85
ของทงั้ 10 คน

คาํ นวณคะแนน ( x ) = 85  10 ( x ) = 68  10 ( x ) = 79  10 ( x ) = 152  10 ( x ) = 129  10 ( x ) = 137  10

เฉลีย่ โดยนาํ = 8.5 = 6.8 = 7.9 = 15.2 = 12.9 = 13.7

คะแนนรวม  คะแนน  คะแนน  คะแนน  คะแนน  คะแนน  คะแนน

หารดว ยจาํ นวน เฉลี่ย = เฉลย่ี = เฉลย่ี = เฉลีย่ = เฉลีย่ = เฉลย่ี =
6.8 คะแนน 7.9 คะแนน 15.2 คะแนน 12.9 คะแนน 13.7 คะแนน
คนท้ังหมด คือ 8.5 คะแนน

10 คน

คํานวณรอยละ = 8.5100 = 6.8100 = 7.9100 = 15.2100 = 12.9100 = 13.7100
ของคะแนน 20 20 20 20 20 20
เต็ม 20 คะแนน = 42.50 % = 34.00 % = 39.50 % = 76.00 % = 64.50 % = 68.50 %

2. นาํ คะแนนเฉลี่ยท่ีคาํ นวณไดและผลการคาํ นวณวา คะแนนเฉลี่ยนนั้ คิดเปนรอ ยละเทา ไรของคะแนนเตม็

จากขอ 1 มากรอกลงในตารางสรุปรายงาน ดังน้ี

คะแนนเฉลยี่ (x ) คะแนนเฉลย่ี (x )

โปรแกรมการอบรม จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน

กอนการอบรม คดิ เปน รอยละ หลงั การอบรม คิดเปน รอยละ
ของคะแนนเต็ม ของคะแนนเต็ม

รนุ ที่ 1 การใชโปรแกรม 8.50 42.50 15.20 76.00

ไมโครซอฟท Excel

รนุ ท่ี 2 การใชโ ปรแกรม 6.80 34.00 12.90 64.50

PhotoShop

รนุ ที่ 3 การใชโ ปรแกรม 7.90 39.50 13.70 68.50

ไมโครซอฟท Access

จากตาราง พบวา เมอื่ พจิ ารณาจากคะแนนเฉลยี่ ของผเู ขา รบั การอบรมหลงั การอบรมท้งั 3 รนุ
จะเห็นไดวา มคี ะแนนเฉลี่ยเพม่ิ ข้ึนจากคะแนนเฉล่ยี กอ นการอบรมทกุ รุน กลา วคอื แสดงวา ผเู ขา รับการ
อบรมสว นใหญไ ดรบั ความรู ความเขา ใจเพมิ่ มากขนึ้ ในเน้ือหาท่ีบรษิ ัทไดจดั อบรมใหพนักงาน และพบวา
รนุ ท่ี 1 ไดค ะแนนเฉลี่ยมากท่ีสุด คอื ไดค ะแนนเฉล่ยี 15.20 คะแนน คดิ เปน รอยละ 76.00 ของคะแนนเต็ม
รองลงมา คอื รนุ ที่ 3 ไดคะแนนเฉล่ยี 13.70 คะแนน คิดเปน รอยละ 68.50 ของคะแนนเต็ม สวนรนุ ท่ี 2 นนั้
ไดค ะแนนเฉลย่ี นอ ยทส่ี ดุ คอื ไดค ะแนนเฉลี่ย 12.90 คะแนน คิดเปนรอ ยละ 64.50 ของคะแนนเต็ม

176

2.5 ทกั ษะการคํานวณภาษเี งินไดบ คุ คลธรรมดา

ตวั อยาง นายโชคไดร ับเงินเดอื น ๆ ละ 28,000 บาท ส้นิ ปสามารถหักคาใชจายไดร อ ยละ 40 ของเงินได

พงึ ประเมนิ แตไ มเ กนิ 60,000 บาท หักคา ลดหยอนผูมีเงินได 30,000 บาท หกั คาเบี้ยประกนั ชีวติ

25,000 บาท หักดอกเบยี้ เงินกยู ืมเพอ่ื ซ้อื บา น 36,450 บาท ส้นิ ปนายโชคยนื่ แบบแสดงรายการ

ภาษเี งนิ ไดบ ุคคลธรรมตองชาํ ระภาษีหรอื ไม ถา ชาํ ระตอ งชาํ ระภาษเี ปน เงินเทา ไร

วธิ ที าํ

เงินไดพ งึ ประเมนิ ของนายโชค = 28,000  12 = 336,000 บาท

หัก คาใชจา ย รอยละ 40 ของเงินไดพงึ ประเมิน แตไมเกนิ 60,000 บาท

คาใชจ าย 40  336,000 = 134,400 บาท
100
แตคา ใชจ ายของนายโชคคาํ นวณได 134,400 บาท แตส ามารถหักไดแค 60,000 บาทเทา นัน้

หกั คา ลดหยอ นผมู ีเงนิ ได 30,000 บาท

คา เบี้ยประกนั ชวี ิต 25,000 บาท

ดอกเบย้ี เงินกูยมื เพื่อซอ้ื บาน 36,450 บาท

รวมหักคาลดหยอ นได = 30,000 + 25,000 + 36,450 = 91,450 บาท

เงนิ ไดสุทธขิ องนายโชค = เงินไดพงึ ประเมิน – (คา ใชจ า ย + หักคาลดหยอน)

= 336,000 – (60,000 + 91,450)

= 184,550 บาท

ตามตารางอัตราการเสียภาษเี งินไดบคุ คลธรรมดา เงินไดสทุ ธิ 0 – 150,000 บาท ไมตองเสยี ภาษี

สว นท่ีเกนิ 150,000 – 500,000 บาท เสียภาษี 10%

นายโชคมเี งินไดส ทุ ธทิ ่ตี อ งเสยี ภาษี = 184,550 – 150,000 =34,550 บาท

= 34,550 10 = 3,455 บาท
 100
 นายโชคเสียภาษี 3,455 บาท

ตารางอัตราภาษเี งินไดบคุ คลธรรมดา

ขัน้ เงินไดสทุ ธิตงั้ แต เงนิ ไดสุทธิ เงนิ ไดสทุ ธิ อตั ราภาษี ภาษเี งินได ภาษใี นแตละ ภาษีสะสม
จาํ นวนสงู สุด แตล ะข้ัน รอ ยละ ข้นั เงินได สงู สดุ ของขน้ั

ของขั้น

0 ถึง 100,000 100,000 .......... .... 5 .............. .... ยกเวน 0

เกิน 100,000 ถงึ 150,000 50,000 .......... .... 10 .............. .... ยกเวน 0

เกิน 150,000 ถงึ 500,000 350,000 .......... .... 10 .............. .... 35,000 35,000

เกิน 500,000 ถึง 1,000,000 500,000 .......... … 20 .............. … 100,000 135,000

เกิน 1,000,000 ถึง 4,000,000 3,000,000 .......... … 30 .............. … 900,000 1,035,000

เกิน 4,000,000 บาทข้นึ ไป .......... … 37 .............. …

รวม 

177

2.6 การคํานวณในการจัดทาํ แผน ปายโฆษณาเพือ่ ประชาสัมพันธก ารใหบ รกิ าร

ตัวอยา งทําแผน โฆษณาเชญิ ชวนการทอ งเทย่ี วในจังหวดั โดยมขี นาดแผน โฆษณาทท่ี ําดว ยแผน ไวนลิ

มขี นาดกวาง 1.2 เมตร ยาว 1.5 เมตร ทางรา นคดิ คา ออกแบบ 400 บาท คา จดั ทําตารางเมตรละ

250 บาท จะตอ งจา ยเงนิ ทั้งหมดเทา ไร

วธิ ีทํา พ้นื ท่แี ผนไวนิลที่ใชโ ฆษณา = กวา ง  ยาว

= 1.2  1.5 = 1.8 ตารางเมตร

คาจัดทาํ = 1.8  250 = 450 บาท

 จะตอ งจา ยเงนิ ท้งั หมด = คาจดั ทํา + คา ออกแบบ

= 450 + 400 = 850 บาท

178

แบบฝก หดั ที่ 1
1. ศภุ างคเ ปน พนกั งานของโรงงานเย็บเสอ้ื ผาสําเร็จรปู แหง หนงึ่ ซึ่งกําหนดเวลาทาํ งานตามปกตวิ ันละ

8 ชัว่ โมง ไดร ับเงินเดือน ๆ ละ 9,000 บาท จงหาวา ศุภางคมรี ายไดว ันละเทาไร และศุภางคม รี ายได
ชว่ั โมงละเทา ไร
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
2. สุภาพเปนพนกั งานของโรงงานผลิตเคร่อื งปรบั อากาศแหงหนง่ึ ซ่ึงกาํ หนดเวลาทํางานวันจนั ทรถึง
วันศกุ รไ ดร บั คาจางเปนรายวนั ๆ ละ 370 บาท สภุ าพมีสทิ ธิไดรับคาจา งในวนั หยุดตามประเพณแี ละ
วนั หยุดพกั ผอนประจําปโ ดยไมต องทํางานในเดอื นธันวาคม สุภาพมาทํางานทกุ วนั ในวันทาํ งานตาม
เวลาทาํ งานปกติและวนั ที่ 1 ธันวาคม ตรงกับวนั อาทิตยใ นเดอื นนี้มวี นั หยดุ ตามประเพณี 3 วัน คือ
วันที่ 5, 10 และ 31 จงหาวาในเดือนธนั วาคมนี้ สภุ าพไดรบั คา จา งเทา ไร
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________

179

3. ธดิ าเปน พนักงานของบรษิ ทั แหง หน่งึ ซึ่งกําหนดเวลาทาํ งานวนั จนั ทรถ ึงวนั ศกุ ร เวลาทาํ งานปกตติ ัง้ แต

เวลา 08.00 – 17.00 น. หยุดพกั ระหวางเวลา 12.00 – 13.00 น. ธดิ ามรี ายไดเดอื นละ 12,000 บาท

ในเดอื นสิงหาคม วนั ที่ 1 ตรงกับวนั จันทรแ ละในเดือนน้มี ีวนั หยดุ ตามประเพณี 1 วัน คือ วันที่ 12

สงิ หาคม ธดิ ามสี ทิ ธไิ ดร บั คาจา งในวนั หยดุ ทกุ ประเภทโดยไมตองทาํ งาน ในเดอื นน้ธี ิดามาทาํ งาน

ทุกวัน ทาํ งานตามเวลาทาํ งานปกติ ถานายจางใหธิดามาทาํ งานในวนั หยดุ ตามประเพณี 1 วัน ไดร ับ

คา จา งอีก 1 เทา และทํางานในวนั เสารไ ดร บั คาจางเพม่ิ เปน 2 เทา ของคาจา งปกตอิ กี 4 วนั ระหวาง

เวลา 09.00 – 12.00 น. จงหาคาทํางานในวนั หยุดทั้งหมดและรายไดท้งั หมดของธิดาในเดอื นสงิ หาคมนี้

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

___________________________________________________________________________________

4. จงทาํ บญั ชีรายรับ – จายของตวั เองใน 1 สัปดาห

บัญชรี ายรับ – จายของ ...................................................

วนั เดือน ป รายการรบั จาํ นวนเงนิ วัน เดอื น ป รายการจา ย จํานวนเงนิ
บาท สต. บาท สต.

5. นางอญั ชลีเปนตัวแทนขายเครอื่ งครัวทีม่ ีราคา 45,000 บาท ใหก ับบรษิ ัทแหง หนึ่ง บรษิ ทั คดิ คานายหนา
30% อยากทราบวานางอญั ชลไี ดเ งินคานายหนา เทาไร

180

___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
6. พจมานถือหนุ ปุริมสทิ ธขิ องบริษทั ผลติ กระเบ้อื งแหงหนง่ึ จาํ นวน 1,500 หนุ มลู คา หุน ละ 160 บาท

อัตราเงนิ ปน ผล 5% เมื่อสิน้ ปพจมานจะไดเงนิ ปน ผลทงั้ หมดเทาไร
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________

181

7. สภุ ทั ราเปน พนักงานบรษิ ทั ผลติ แชมพูสระผมแหงหน่งึ ไดร ับมอบหมายจากบริษัทใหทําการสาํ รวจ
ความนยิ มของสีขวดทใี่ ชบรรจแุ ชมพสู ําหรับกลุมเปาหมายวัยรุน จาํ นวน 50 คน สภุ ทั ราจะดาํ เนินการ
อยา งไรตงั้ แตก ารสํารวจจนถงึ การนาํ เสนอขอ มลู

___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
8. ศกั ดมิ์ ีรายไดเ ดือนละ 25,000 บาท สิน้ ปสามารถหกั คา ใชจา ยไดร อยละ 40 ของเงินไดพึงประเมนิ แต

ไมเกิน 60,000 บาท สามารถหักคาลดหยอ นผูมเี งนิ ได 30,000 บาท หักคาเบ้ยี ประกนั ชวี ติ 50,000 บาท
หักคา เบยี้ ประกนั สุขภาพของมารดาของนายศกั ด์ิ 20,000 บาท ส้นิ ปนายศกั ดยิ์ น่ื แบบแสดงรายการ
ภาษีเงินไดบคุ คลธรรมดาตองชาํ ระภาษีหรือไม ถาชําระภาษเี ปนเงินเทาไร
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________

182

9. แผน ไวนลิ โฆษณาเชญิ ชวนการบรจิ าคชว ยเหลอื ผปู ระสบภัย มขี นาดกวาง 0.90 เมตร ยาว 1.8 เมตร
ทางรานคิดคาออกแบบ 500 บาท คา จัดทาํ ตารางเมตรละ 250 บาท จะตองจา ยเงินท้ังหมดเทา ไร

___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________

183

เฉลยแบบฝกหดั

184

เฉลย บทที่ 1
ระบบจาํ นวนจริง

แบบฝกหัดที่ 1

1.จาํ นวนทกี่ ําหนดใหตอไปนี้จํานวนใดเปน จํานวนนับ จาํ นวนเต็ม จาํ นวนตรรกยะ หรอื จํานวนอตรรก

ยะ

ขอ จํานวนจริง จาํ นวนนับ จํานวนเตม็ จํานวนตรรกยะ จาํ นวนอตรรกยะ

1  9, 7 ,5 2 , 2,0,1 1 0, 1, -9 -9,  7 , 5 2 ,0 ,1 2
23 3, 12 23 2
3 , 12 -13
2 5,7 7 ,3,12, 5  7 7 ,3 ,12 , 5
34 34

3 2.01,0.666...,-13 2.01, 0.666, …,-13

4 2.3030030003... 2.3030030003...

5   , 1 , 6 , 2 ,7.5 25, 3 , 12 6 , -7, 5 1 , 6 , -7.5 , 2
33 2 3 33 2
25, -17, 12
6 25,17, 12 , 9,3,12, 1  25, -17, 3 1
52 12, 9 5 2
9 , 3, 12

2. จงพิจารณาวาขอ ความตอ ไปนเ้ี ปนจริงหรือเทจ็

1) จริง
2) จรงิ
3) เท็จ
4) จรงิ
5) จรงิ
6) เทจ็

185

แบบฝก หัดท่ี 2

1. ใหผเู รยี นเติมชอ งวา งโดยใชสมบตั กิ ารเทา กัน
9. ถา a = b แลว a +5 = b + 5

10. ถา a = b แลว -3a = -3b

11. ถา a + 4 = b + 4 แลว a = b

12. ถา a +1 = b +2 และ b + 2 = c - 5 แลว a +1 = c + 5

13. ถา x2  2x  1  x  12 แลว x  12  x2  2x  1

14. ถา x  3 y แลว 2x = 3y

2

15. ถา x2  1  2x แลว x 12 = x2  2x  1

16. ถา ab  a  b แลว 1 ab = 1 (a  b)

22

2. กําหนดให a , b และ c เปนจาํ นวนจริงใดๆ จงบอกวา ขอความในแตละขอตอไปนี้เปน จรงิ ตามสมบตั ใิ ด

1) 3 + 5 = 5 + 3 สมบัตกิ ารสลับทขี่ องการบวก

2) (1+2)+3 = 1+(2+3) สมบัตกิ ารเปล่ียนกลมุ ของการบวก
3) (-9)+5 = 5 +(-9) สมบัตกิ ารสลับทข่ี องการบวก
4) (8  9) เปนจาํ นวนจริง สมบตั ิปดของการคณู
5) 5  3 = 15 = 3  5 สมบัตกิ ารสลับทข่ี องการคูณ
6) 2(a+b) = 2a +2b การแจกแจง
7) (a + b) + c = a+( b + c) สมบัตกิ ารเปลี่ยนกลุมของการบวก
8) 9a +2a = 11 a = 2a + 9a สมบัตกิ ารสลับทข่ี องการบวก
9) 4  (5 + 6) = (4  5) + (4  6) การแจกแจง
10) c(a +b) = ac +bc การแจกแจง

3 . เซตทกี่ าํ หนดใหใ นแตล ะขอตอ ไปน้ี มหี รอื ไมมสี มบตั ปิ ดของการบวกหรอื สมบตั ิปด ของการคณู

1) { 1 , 3 , 5 } มีสมบัติปด การบวก, การคณู

2) { 0 } มสี มบตั ิปด การบวก

3) เซตของจํานวนจรงิ มี

4) เซตของจาํ นวนตรรกยะ มี

5) เซตของจาํ นวนที่หารดว ย 3 ลงตัว มี

186

4. จงหาอินเวอรส การบวกของจาํ นวนในแตละขอ
1) อนิ เวอรสการบวกของ 8 คอื -8
2) อนิ เวอรสการบวกของ - 5 คือ 5
3) อินเวอรส การบวกของ - 0.567 คือ 0.567
4) อินเวอรส การคูณของ 3  2 คอื 1

3 2

5) อินเวอรสการคณู ของ 1 คอื 5  3

5 3

แบบฝก หัดที่ 3

1. ใหผเู รยี นบอกสมบัตกิ ารไมเทากนั (เมอื่ ตัวแปรเปน จํานวนจริงใดๆ)
9. ถา x  3 แลว 2x 6 สมบตั กิ ารคณู ดวยจาํ นวนเทากบั ทไี่ มเทา กบั ศนู ย
10. ถา y7 แลว -2y -14 สมบตั กิ ารคณู ดว ยจํานวนเทากบั ทไ่ี มเทากับศูนย
11. ถา x+1  6 แลว x+2  7 สมบตั กิ ารบวกดว ยจาํ นวนทเ่ี ทา กนั
12. ถา y+3  5 แลว y 2 สมบตั กิ ารตัดออกสาํ หรับการบวก
13. ถา x 7 และ 7 y แลว xy สมบตั กิ ารถา ยทอด
14. ถา a  0 แลว a+1  0 +1 สมบัติการบวกดว ยจํานวนทเี่ ทา กัน
15. ถา b 0 แลว b + (-2)  0+(-2) สมบตั กิ ารบวกดว ยจํานวนที่เทา กนั
16. ถา c -2 แลว (-1)c  (-1)(-2) สมบัตกิ ารคณู ดวยจํานวนเทากันท่ไี มเ ทา กับศนู ย

2. จงใชเ สนจํานวนแสดงลักษณะของชว งของจํานวนจรงิ ตอ ไปน้ี
1) (2,7)

2) [3,6]
3) [-1,5)

187

4) (-1,4]
5) (2, )
6) (- ,4)
7) (0,8)
8) [-5,4)

แบบฝกหดั ท่ี 4

เซตคําตอบคาํ ตอบของอสมการ คอื { x | x  -2 หรอื x  2}

-3 < x < 3

เซตคาํ ตอบคําตอบของอสมการ คอื { x | -3 < x <3}

188

เซตคําตอบคาํ ตอบของอสมการ คอื { x |1< x <7}

 X  5 หรอื  X  1
X  5 หรือ X  1

เซตคาํ ตอบคําตอบของอสมการ คือ {x|x  5 หรือ x  -1}

5 – x < 0 หรือ 5 – x > 0 0 5–x 0
-5  -x  -5
-x < -5 -x > -5 5x5
x>5 x<5
-8 < 3x – 4 < 8
-1  2x – 9  1 - 8 +4 < 3x < 8 +4
-1 + 9  2x  1 + 9 -4 < 3x < 12
8  2x  10 4 < x<4
4 x 5 3

0  6 – 3x  0 |2 – 4x < 0 หรือ 12 – 4x > 0
-6  -3x  -6 -4x < -12 หรือ – 4x > -12
2 x  0 x > 3 หรอื x < 3

189

เฉลย บทท่ี 2
เลขยกกําลงั

แบบฝกหดั ที่ 1

1. จงบอกฐานและเลขชก้ี ําลงั ของเลขยกกําลงั ตอ ไปน้ี

1) ฐานคอื 6 เลขช้ีกาํ ลงั คอื 3
2) ฐานคือ 1.2 เลขช้กี าํ ลงั คือ -5
3) ฐานคือ -5 เลขช้กี ําลังคอื 0

4) ฐานคือ 1 เลขชีก้ าํ ลงั คอื 3

2

2. จงหาคา ของเลขยกกาํ ลังตอ ไปน้ี

1) - 1,024

2) 1
625

3) 1.728

4) 27

3. จงทําใหอ ยูในรูปอยางงายและเลขชก้ี ําลงั เปน จาํ นวนเตม็

1. a8

2. 12  56  15,625

5

3.  2 20

3

4. 1.115

5. x10

190

แบบฝก หดั ที่ 2
1. จงหาคาของรากที่ n ของจาํ นวนจรงิ ตอไปนี้

1) 5
2) 8
3) -3
4) -5

5) 2

3

6) 2
7) 5
8)  64  8 ไมเ ปน จํานวนจริง
9) -2
10) 4 16  2 ไมเ ปนจํานวนจริง

2. จงเขยี นจาํ นวนตอไปนใ้ี หอยใู นรปู อยางาย โดยใชส มบตั ิของ รากที่ n

1) 52 = 5 2) 3 23 = 2
3) 3 (2)3 = (-2) 4) 5 (2)5 = (-2)
5) (3)2 = (-3) 5) 4 (2)4 = (-2)
6) 200 = 10 2 7) 75 = 5 3
8) 3 240 = 23 30 9) 45 = 3 5
10) 5 15 = 75  5 3 11) 3 81 3 32 = 63 12

12) 4 = 4 = 2 13) 5 = 35

9 93 3

82

191

แบบฝก หดั ที่ 3 3 50  65

1. จงทําจํานวนตอไปนีใ้ หอ ยใู นรูปอยางงา ย 15 2  30
1) 2x 2
2) 4
3) 2y 2
4) (-2)
5) 6 2  2  4 2  9 2

6) 3 5 10 3 52 5 =

=
7) 3 8a3  2a
8) 33 2  3 4  33 8  6

แบบฝก หดั ที่ 4
1. จงทาํ จาํ นวนตอไปนใ้ี หอยูในรปู อยา งงา ย

1) 8x2

วธิ ที ํา 8x2 = 222xx
= 2x 2

2) 3 =3
3  3 3 3
3  27

วธิ ที าํ 3

3  27

= 3 = -1

 3

3) ( 2  8  18  32)2

วธิ ที าํ ( 2  8  18  32)2  =
2

22 23 24 2

= 10 2

2

= 1002  200

192

4) 5 32  26
3 27
3

(64) 2

วธิ ีทํา 5 32  26 =  2  64
3 27 3
3  3
82 2
(64) 2

=  2  64
3 83

=  2  1

38

= 16  3  13

24 24 24

21

5) 8 3 18 2

4 144 6

21  2

วิธที ํา 8 3 18 2 = 23 3 18
 
4 144 6 4 144 6

= 43

24 9

= 23

49

1

6) 3 125  32
3 (8)2
1

(27) 2

1

วธิ ีทาํ 3 125  32 =  5  1
3 (8)2
1 49

(27) 2

=  45  4   49 = 113
 36 36 36

193

เฉลย แบบฝกหดั

บทท่ี 3 เซต

แบบฝกหดั ที่ 1
1. จงเขียนเซตตอไปนีแ้ บบแจกแจงสมาชกิ

1) { สมทุ รสาคร,สมุทรสงคราม,สุพรรณบรุ ี,สุรินทร,สรุ าษฏรธ าน,ี สมุทรปราการ,สงขลา,สระแกว ,
สระบุรี,สิงหบรุ }ี
2) { a,e,i,o,u }
3) { 100,101,…,999}
4) {2,4,6,8,10,12,14,16,18}
5) { -121,-122,-123,….}
6) { 6,7,8,9,10,11,12,13,14}
7) {  }
2. จงบอกจํานวนสมาชิกของเซตตอไปนี้

1) 1
2) 6
3) 24
4) 8
3. จงเขียนเซตตอ ไปนแี้ บบบอกเง่อื นไข
1) { x | x เปนจาํ นวนเตม็ คูและ 2  x  8 }
2) { x | x เปน จาํ นวนเตม็ บวก }
3) { x | x = x2 เปน จํานวนเต็มซงึ่ x = 1,2,3,… }
4. จงพจิ ารณาเซตตอ ไปนี้ เปน เซตวางเรอื เซตจาํ กดั หรือเซตอนันต
1) เซตจํากัด
2) เซตจํากดั
3) เซตอนันต
4) เซตวาง
5) เซตวาง
6) เซตวาง
7) เซตจาํ กดั
8) เซตวา ง
9) เซตจํากัด


Click to View FlipBook Version