94
1.3 การคล่ีรูปเรขาคณติ สามมิติ ภาพทไ่ี ดจะเปนภาพของรปู เรขาคณิตสองมติ ิ เชน การคลรี่ ปู ปรซิ มึ
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก
การคล่รี ปู พรี ะมดิ ฐานสี่เหลีย่ ม
1.4 การตัดขวางรูปเรขาคณติ สามมติ ิ
เมือ่ นาํ รปู เรขาคณติ สองมิตมิ าตัดขวางรปู เรขาคณติ สามมิติในแนวตาง ๆ กนั ภาพท่เี กดิ ขนึ้ จะ
มลี กั ษณะตาง ๆ กนั เชน
กรวยกลม เม่อื ตัดดว ยระนาบในแนวขนานกับฐานกรวย จะไดภ าพสองมติ ิเปน รูปวงกลม
กรวยกลม เมือ่ ตัดดว ยระนาบในแนวตัง้ ฉากกบั ฐานกรวย จะไดภาพเปน รูปพาลาโบลา
กรวยกลม เมือ่ ตดั ดว ยระนาบท่ีไมข นานกบั ฐานและไมต้งั ฉากกับฐาน จะไดภ าพเปนวงรี
95
1.5 มมุ มองของรูปเรขาคณิตสามมิติ
รูปเรขาคณิตทพี่ บเหน็ ในชวี ติ ประจําวันมีรูปรางและส่ิงทมี่ องเหน็ จากการเปลี่ยนมุมมองแตละ
ดานแตกตา งกนั เชน
รปู เรขาคณติ
1.6 รปู เรขาคณิตสามมติ ทิ เ่ี กดิ จากการหมนุ รปู เรขาคณติ สองมิติ
1) รปู สามเหล่ียมหนา จว่ั ABC มีแกน EF เปนแกนสมมาตร ถานํารปู สามเหล่ยี มหนาจัว่
ABC หมนุ รอบแกนสมมาตร EF จะเหน็ เปนรปู เรขาคณติ สามมติ ิ “กรวยกลม”
2) แผน กระดาษแข็งรูปวงกลม เปน รูปเรขาคณติ สองมิติ ถาใชเสน ผา นศูนยก ลาง yy
เปนแกนหมนุ รูปเรขาคณติ สามมิตทิ ี่เกดิ จากการหมุนจะเหน็ เปนลกั ษณะ “ทรงกลม”
96
3) กระดาษรูปสเี่ หลี่ยมผืนผา เปนรปู เรขาคณิตทีม่ ีแกนสมมาตรสองแกน
จะเห็นเปน ทรงกระบอก
จะเห็นเปนทรงกระบอก
1.7 การเขยี นภาพของรปู เรขาคณิตสามมติ ิ
การเขียนภาพของรูปเรขาคณติ สามมิติอยางงา ยอาจใชขน้ั ตอนดงั ในตัวอยางตอไปนี้
1. การเขียนภาพของทรงกระบอก
ขนั้ ท่ี 1 เขยี นวงรแี ทนหนา ตดั ทีเ่ ปนวงกลม และเขยี นสว นของเสนตรงสองเสน แสดงสว นสูงของ
ทรงกระบอก ดังรูป
ขน้ั ที่ 2 เขียนวงรที ี่มขี นาดเทากบั วงรที ใี่ ชใ นขั้นท่ี 1 แทนวงกลมซึง่ เปน ฐานของทรงกระบอกและเขียน
เสน ประแทนเสนทกึ ตรงสว นท่ถี กู บงั
97
2. การเขยี นภาพของปรซิ ึม
ขั้นท่ี 1 เขียนทรงกระบอกตามวธิ ีการขา งตน
ขน้ั ที่ 2 กาํ หนดจดุ บนวงรีดา นบนเพ่ือใชเปน จดุ ยอดของรปู ส่ีเหล่ียมทีเ่ ปนฐานของปริซึมตามตองการ
แลวลากสวนของเสนตรงเชอ่ื มตอจุดเหลานน้ั
ขั้นท่ี 3 เขียนสวนสงู ของปริซึมจากจดุ ยอดของรูปเหลีย่ มที่ไดใ นขน้ั ที่ 2 มาต้งั ฉากกับวงรดี า นลาง
ขน้ั ท่ี 4 เขยี นสว นของเสน ตรงเช่อื มจุดบนวงรีทไ่ี ดใ นขนั้ ท่ี 3 และลบรอยสวนโคง ของวงรี จะไดรูป
หลายเหล่ียมท่เี ปน ฐานของปรซิ มึ แลวเขียนเสนประแทนดานที่ถูกบงั
3. การเขยี นภาพของทรงส่ีเหล่ียมมุมฉาก
ขั้นท่ี 1 เขยี นรูปส่เี หลี่ยมมมุ ฉาก 1 รูป
ขั้นท่ี 2 เขียนรูปส่เี หล่ียมมมุ ฉากขนาดเทา กนั กับรูปในขนั้ ที่ 1 อกี 1 รปู ใหอยใู นลกั ษณะทขี่ นานกนั
และเหลือ่ มกนั ประมาณ 30 องศา ดงั รูป
98
ข้ันท่ี 3 ลากสว นของเสนตรงเชอื่ มตอจดุ ใหไดทรงสเี่ หลีย่ มมมุ ฉาก
ข้ันท่ี 4 เขยี นเสนประแทนดานท่ีถกู บัง
สําหรบั การเขียนภาพของกรวย ทรงกลม และพรี ะมิดกส็ ามารถเขียนไดโดยใชว ธิ กี ารเดยี วกนั
กับขา งตน ซ่งึ มขี ั้นตอนดังนี้
4. การเขยี นภาพของกรวย 5. การเขยี นภาพของทรงกลม
6. การเขียนภาพของพรี ะมิดฐานหกเหลย่ี ม
นอกจากจะใชว ิธีการดังกลาวขา งตน ในการเขยี นภาพของรปู เรขาคณติ สามมติ แิ ลว อาจใช
กระดาษที่มีจดุ เหมือนกระดานตะปู (Geoboard) หรอื กระดาษจดุ ไอโซเมตริก (Isometric dot paper)
ชวยในการเขยี นภาพน้ัน ๆ
กระดาษท่ีมีจดุ เหมือนกระดานตะปู กระดาษจดุ ไอโซเมตริก
99
การเขยี นภาพของรปู เรขาคณติ สองมิติบนกระดาษที่มจี ดุ เหมอื นกระดานตะปู ดงั ตัวอยา ง
นอกจากนี้ยังนยิ มเขียนภาพของรปู เรขาคณติ สามมิติบนกระดาษจดุ ไอโซเมตริก ภาพของรูป
เรขาคณติ สามมิตทิ ่เี ขยี นอยใู นลักษณะนีเ้ รียกวา ภาพแบบไอโซเมตริก
การเขียนภาพแบบไอโซเมตรกิ บนกระดาษจดุ ไอโซเมตรกิ จะเขียนสว นของเสน ตรงท่เี ปน ดา น
กวา ง ดา นยาว ตามแนวของจุดซึ่งเอยี งทํามมุ ขนาด 30 องศา กบั แนวนอนและเขยี นสว นของเสน ตรงที่
เปน สวนสูง ตามแนวของจุดในแนวตัง้ ดงั ตัวอยาง
100
แบบฝกหดั ที่ 1
1. กาํ หนดมุมส่เี หลีย่ มมุมฉากดงั รปู
ก. สีเ่ หลีย่ ม ABCD เปน รูปสเ่ี หลย่ี มชนิดใด
ข. BDˆE มขี นาดกอ่ี งศา
ค. สี่เหลย่ี ม BDEG เกดิ จากการใชระนาบตัดทรงส่เี หลี่ยมมมุ ฉากตามแนวใด
ง. สามเหล่ียม BDE เก่ยี วขอ งกับ สเ่ี หลี่ยม BDEG อยางไร
2. จงเขยี นรูปคลข่ี องทรงสามมติ ิตอ ไปนี้
101
3. จงเขยี นรปู ทรงสามมิตจิ ากมมุ มองภาพดา นบน ภาพดา นหนา ภาพดานขา งที่กําหนดให
102
เรือ่ งท่ี 2 การแปลงทางเรขาคณติ
เปนคําศัพทท ี่ใชเ รยี กการดาํ เนนิ การใด ๆ ทางเรขาคณติ ทั้งในสองมติ แิ ละสามมติ ิ เชน การเลื่อน
ขนาน การหมุน การสะทอน
2.1 การเลอื่ นขนาน ( Translation )
การเลอื่ นขนานตองมรี ูปตน แบบ ทิศทางและระยะทางทต่ี อ งการเลอ่ื นรูป การเล่อื นขนานเปน การ
แปลงที่จับคูจ ดุ แตละจดุ ของรปู ตน แบบกับจดุ แตละจดุ ของรปู ทไี่ ดจ ากการเลื่อนรูปตน แบบไปในทศิ ทาง
ใดทิศทางหนงึ่ ดวยระยะทางท่กี ําหนด จดุ แตละจดุ บนรปู ทไ่ี ดจ ากการเลื่อนขนานจะหางจากจดุ ท่สี มนัย
กันบนรปู ตน แบบเปนระยะทางเทากนั การเลอ่ื นในลกั ษณะนี้เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา “สไลด (slide)” ดงั
ตัวอยา งในภาพที่ 1 และภาพที่ 2
ภาพท่ี 1
ภาพที่ 2
103
2.2 การหมุน (Rotation)
การหมุนจะตอ งมีรปู ตนแบบ จดุ หมนุ และขนาดของมมุ ทตี่ อ งการในรูปนนั้ การหมนุ เปน การ
แปลงทจี่ บั คจู ดุ แตละจดุ ของรูปตน แบบกบั จดุ แตละจดุ ของรปู ท่ไี ดจ ากการหมนุ โดยที่จดุ แตล ะจดุ บนรูป
ตน แบบเคลอื่ นทรี่ อบจุดหมุนดว ยขนาดของมุมท่กี าํ หนด จุดหมุนจะเปน จดุ ทอ่ี ยูนอกรปู หรือบนรูปกไ็ ด
การหมนุ จะหมุนทวนเขม็ นาฬกิ าหรอื ตามเข็มนาฬิกากไ็ ด โดยท่ัวไปเมอื่ ไมระบุไวก ารหมนุ รปู จะเปน การ
หมนุ ทวนเข็มนาฬกิ า
บางครงั้ ถาการหมุนตามเขม็ นาฬกิ า อาจใชสญั ลักษณ -x๐
หรอื ถาการหมุนทวนเขม็ นาฬกิ า อาจใชสัญลักษณ x๐
C B จากรูป เปนการหมนุ รปู สามเหลีย่ ม ABC ใน
ลักษณะทวนเขม็ นาฬิกา โดยมจี ุด O เปนจุดหมุน
B ซงึ่ จุดหมุนเปนจดุ ทอ่ี ยนู อกรปู สามเหลยี่ ม ABC
A รปู ABC เปน รปู ทไี่ ดจ ากการหมนุ 90๐ และ
จะไดว า ขนาดของมุม AOA เทา กับ 90๐
C A O BOB เทากบั 90๐ COC เทากับ 90๐
2.3 การสะทอน ( Reflection )
การสะทอนตองมีรูปตนแบบที่ตองการสะทอนและเสนสะทอน (Reflection line หรือ
Mior line) การสะทอ นรปู ขา มเสนสะทอ นเสมือนกับการพลิกรูปขามเสนสะทอนหรือการดูเงาสะทอน
บนกระจกเงาที่วางบนเสน สะทอ น การสะทอ นเปนการแปลงทมี่ ีการจับคูกันระหวางจุด แตละจุดบนรูป
ตน แบบกับจดุ แตละจดุ บนรปู สะทอ น โดยท่ี
1. รูปที่เกิดจากการสะทอ นมขี นาดและรูปรา งเชนเดิม หรอื กลา ววารปู ทเี่ กิดจากการสะทอ น
เทา กนั ทกุ ประการกับรปู เดิม
2. เสนสะทอ นจะแบงครึ่งและตง้ั ฉากกบั สว นของเสนตรงทเ่ี ชอื่ มระหวางจุดแตล ะจุดบนรูป
ตนแบบกับจดุ แตล ะจุดบนรปู สะทอ นที่สมนัยกนั นน่ั คือระยะระหวา งจดุ ตน แบบและเสนสะทอ นเทากับ
ระยะระหวา งจดุ สะทอ นและเสนสะทอน
104
ตวั อยา ง
A
B
C
จากรูป รูปสามเหลี่ยม ABCเปนรูปสะทอนของรูปสามเหลี่ยม ABC ขามเสนสะทอน m
รปู สามเหลยี่ ม ABC เทากนั ทุกประการกับรปู สามเหล่ียม ABC สวนของเสน ตรง AAต้ังฉากกับเสน
สะทอน m ทจ่ี ุด P และระยะจากจุด A ถงึ เสน m เทา กบั ระยะจากเสน m ถึงจุด A ( AP PA )
105
แบบฝกหดั ที่ 2
1. ใหเขียนภาพทเี่ กิดจากการเลอ่ื นขนานจากรปู ตน แบบและทิศทางทกี่ าํ หนดให
ก. ข.
A
C
B
D C
A B
2. ใหเ ขียนภาพการเล่อื นขนานโดยกาํ หนดภาพตน แบบ ทศิ ทางและระยะทางของการเลื่อน
ขนานเอง
ก. ข.
106
แบบฝกหดั (ตอ)
ขอ 3
ภาพ พกิ ัดของตาํ แหนงที่กําหนดให
C( , )
Y
A(- C(- X
B(- 0 A/(2,-
B/(1,- C
Y A( , )
D B( , )
C C( , )
A
D/(- B X
0
A/(- C/(0,-
B/(-
107
แบบฝก หดั ที่ 3
คําชี้แจง จงพิจารณารูปทกี่ ําหนดใหแ ลว
- เขียนรปู สะทอ น
- เขยี นเสน สะทอ น
- บอกจุดพกิ ดั ของจดุ ยอดของมมุ ของรูปสามเหลี่ยมท่เี กดิ ข้นึ จากการสะทอ น
- บอกจุดพกิ ัดบางจดุ บนเสนสะทอ นท่ีได
108
แบบฝก หัดท่ี 4
1.
Y
B
C ใหเติมรูปสามเหลยี่ ม ABC ท่ี
เกดิ จากการหมนุ สามเหล่ยี ม ABC
A X เพียงอยางเดียว โดยหมุนทวนเขม็
นาฬกิ า 90๐ และใชจ ุด (0 , 0)
0A เปนจดุ หมนุ
2.
Y
Y ใหเติมรปู สี่เหล่ยี ม OXYZ ท่เี กิด
X จากการหมนุ สี่เหลี่ยม OXYZ
X เพยี งอยา งเดียว โดยหมุนทวนเข็ม
Z นาฬิกา 270๐ และใชจ ุด (0 , 0)
เปนจุดหมนุ
O
O
109
3.
Y
B ใหเ ติมสวนของเสน ตรง AB ท่ี
เกิดจากการหมุนสวนของเสนตรง
A AB เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ตาม
X เข็มนาฬกิ า 90๐ และใชจ ุด (-2, -2)
0A เปนจุดหมุน
(-2,-2)
4.
Y
0 B ใหเติมรปู สามเหลีย่ ม ABC ที่
เกดิ จากการหมนุ สามเหลย่ี ม ABC
(-4 , -2) A X เพียงอยางเดยี ว โดยหมุนทวนเข็ม
นาฬิกา 90๐ และใชจุด (-4 , -2)
A เปนจุดหมนุ
C
110
เรื่องที่ 3 การออกแบบเพื่อการสรางสรรคงานศิลปะโดยใชการแปลงทางคณติ ศาสตรและ
ทางเรขาคณติ
ในชวี ติ ประจาํ วัน การออกแบบวัสดุ ครุภณั ฑตาง ๆ เชน ลายพิมพผา จะเกีย่ วขอ งกบั รูปแบบทาง
เรขาคณติ ตวั อยา งเชน
1. การใชร ูปส่เี หลีย่ ม
2. การใชร ูปส่ีเหล่ียมกบั สามเหล่ียม
3. การใชสเี่ หล่ียมกบั วงกลม
111
4. การใชร ูปสเี่ หลย่ี ม สามเหลี่ยม และหกเหลี่ยม
ตัวอยา ง กจิ กรรมทรี่ วมคณิตศาสตรก ับศิลปะไดอยางสวยงาม โดยใชการแปลงทางเรขคณติ เชน การ
หมนุ การสะทอ น หรอื การเลือ่ นขนาน
112
4. การออกแบบโดยใชการแปลงทางเรขาคณิต
การออกแบบผลิตภัณฑแ ละบรรจุภณั ฑข องสินคา มีความจาํ เปนตอ งใหม ีรปู แบบทส่ี วยงาม มี
ความพอเหมาะกับผลติ ภณั ฑ เพอื่ ความประหยัด และการใชป ระโยชนใหเ กิดสูงสดุ ดังตวั อยางตอไปนี้
ตัวอยางที่ 1 ลกู บอลขนาดเสนผานศูนยก ลาง 14 เซนติเมตร จะบรรจใุ นกลองทรงสเ่ี หลีย่ มไดพ อดี เมอ่ื
ใชก ลอ งมคี วามจุเทาใดและใชวัสดทุ ํากลอ งท่ีมีพ้นื ผวิ เทาใด
วธิ ีทาํ
ลูกบอลมีขนาดเสนผานศูนยก ลาง 14 เซนติเมตร
กลอ งทรงสเี่ หล่ยี มตองมีขนาด เปน กลอ งลกู บาศก
ยาวดานละ 14 เซนติเมตร
ปรมิ าตรของกลอ งลูกบาศก = (ความยาวดา น)3
= 14x14x14 ลูกบาศกเ ซนตเิ มตร
= 2,744 ลกู บาศกเซนติเมตร
พืน้ ทีผ่ ิวกลอ งทรงลูกบาศก = 6 x พ้นื ทผ่ี วิ ของกลอ งหนึง่ ดาน
= 6 x (14 x 14)
= 1,176 ตารางเซนติเมตร
ตวั อยางท่ี 2 กระดาษรูปสเ่ี หล่ียมผืนผา กวาง 10 เซนตเิ มตร ยาว 14 เซนตเิ มตร ถา ตัดมมุ ทัง้ สี่ออก เปนรปู
สีเ่ หลี่ยมจัตุรัสยาวดานละ 2 เซนติเมตร จากนนั้ พับตามรอยตดั ใหเปน รูปทรงสีเ่ หลีย่ ม จงหาวา รูปทรงนจี้ ะ
มีความจุเทาไร
วธิ ีทํา
113
ฐานของกลองพบั ไดก วา ง 10 – 2 – 2 = 6 เซนติเมตร
ฐานของกลองมีความยาว 14 – 2 – 2 = 10 เซนติเมตร
มีความสูงของกลอ ง 2 เซนติเมตร
ความจขุ องกลอง = ความยาวดานกวา ง x ความยาวดา นยาว x สว นสูง
= 6 x10 x 2
= 120 ลกู บาศกเซนตเิ มตร
114
บทที่ 7
สถิติเบอ้ื งตน
สาระสาํ คัญ
1. ขอมูลสถิติ หมายถึง ตัวเลขหรอื ขอ ความที่แทนขอเทจ็ จริงของลักษณะท่เี ราสนใจ
2. ระเบียบวิธีการทางสถิติ จะประกอบไปดวย การเก็บรวบรวมขอมูล การนําเสนอขอมูล การ
วเิ คราะหและการตีความของขอมูล
3. การเก็บรวบรวมขอมลู หมายถงึ กระบวนการกระทําเพ่ือจะใหไดขอมูลท่ีตองการศึกษาภายใต
ขอบเขตทก่ี าํ หนด
4. การนาํ เสนอขอมลู ท่ีเกบ็ รวบรวมมา จะมี 2 แบบ คือ การนําเสนออยางเปนแบบแผนและการ
นําเสนออยา งไมเปน แบบแผน
5. การวัดแนวโนมเขาสูสวนกลาง เปนการหาคากลางดวยวิธีตาง ๆ กัน เพ่ือใชเปนตัวแทนของ
ขอ มลู ท้ังชดุ คากลางทน่ี ิยมใชม ี 3 วิธี คาเฉล่ียเลขคณติ คา มธั ยฐานและคา ฐานนิยม
ผลการเรียนรทู ี่คาดหวงั
1. อธบิ ายขน้ั ตอนการวเิ คราะหขอมูลเบ้ืองตน และสามารถนําผลการวิเคราะหขอมูลเบ้ืองตนไปใช
ในการตดั สนิ ใจได
2. เลือกใชคากลางทเ่ี หมาะสมกบั ขอ มลู ทก่ี ําหนดและวตั ถปุ ระสงคที่ตองการได
3. นาํ เสนอขอ มูลในรปู แบบตา งๆรวมทงั้ การอานและตคี วามหมายจากการนาํ เสนอขอมูลได
ขอบขา ยเนือ้ หา
เรอ่ื งท่ี 1 การวิเคราะหข อ มลู เบื้องตน
เร่อื งท่ี 2 การหาคา กลางของขอมลู โดยใชค า เฉล่ยี เลขคณติ มัธยฐานและฐานนิยม
เรือ่ งท่ี 3 การนําเสนอขอมูล
115
เรือ่ งที่ 1 การวิเคราะหขอ มลู เบ้ืองตน
ความหมาย
คําวา “สถติ ”ิ เปนเร่ืองท่ีมีความสาํ คัญและจําเปน อยางย่ิงตอ การตดั สินใจหรอื วางแผน ซ่งึ แตเ ดมิ
เขาใจวา สถิติ หมายถึง ขอมูลหรือขาวสารที่เปนประโยชนตอการบริหารงานของภาครัฐ เชน การ
จัดเก็บภาษี การสํารวจผลผลิต ขอมูลที่เก่ียวของกับประชากร จึงมีรากศัพทมาจากคําวา “State” แต
ปจ จุบนั สถิติ มีความหมายอยู 2 ประการ คือ
1. ตัวเลขท่ีแทนขอเท็จจริงที่มีการแปรเปลี่ยนไปตามปริมาณสิ่งของท่ีวัดเปนคาออกมา เชน
สถติ เิ ก่ียวกับจํานวนนักเรียนในโรงเรียน จํานวนนักเรียนที่มาและขาดการเรียนในรอบเดือน ปริมาณ
น้ําฝนในรอบป จาํ นวนอุบัตเิ หตุการเดนิ ทางในชวงปใหมและสงกรานต เปน ตน
2. สถิติในความหมายของวิชาหรือศาสตรท่ีตรงกับภาษาอังกฤษวา “Statistics” หมายถึง
กระบวนการจดั กระทําของขอมูลตั้งแตก ารเกบ็ รวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล การนําเสนอขอมูล
และการตคี วามหรือแปลความหมายขอ มลู เปนตน
การศึกษาวิชาสถิติจะชวยใหผูเรียนมีความรูความเขาใจในระเบียบวิธีสถิติที่เปนประโยชนใน
ชีวิตประจําวัน ตั้งแตการวางแผน การเลือกใช และการปฏิบัติในการดําเนินงานตาง ๆ รวมทั้งการ
แกป ญหาในเรือ่ งตา ง ๆ ทงั้ ในวงการศกึ ษาวทิ ยาศาสตร การเกษตร การแพทย การทหาร ธุรกิจตาง ๆ
เปนตน กิจการตาง ๆ ตองอาศัยขอมูลสถิติและระเบียบสถิติตาง ๆ มาชวยจัดการ ทั้งนี้เนื่องจากการ
ตัดสินใจหรือการวางแผน และการแกปญหาอยางมีหลักเกณฑจะทําใหโอกาสที่จะตัดสินใจเกิดความ
ผิดพลาดนอ ยท่ีสดุ ได
นอกจากนหี้ ลักวชิ าทางสถติ ิยังสามารถนาํ ไปประยุกตใ ชก บั การจดั เกบ็ รวบรวมขอมูล เพ่ือความ
จําเปนที่ตองนําไปใชงานในดานตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งทําใหทราบขอมูล และทําความเขาใจกับ
ขา วสารและรายงานขอ มลู ทางวชิ าการตาง ๆ ทนี่ าํ เสนอในรปู แบบของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ กราฟ
ซึ่งผูอานหากมีความรูความเขาใจในเร่ืองของสถิติเบ้ืองตนแลว จะทําใหผูอานสามารถรูและเขาใจใน
ขอ มูลและขาวสารไดเ ปนอยางดี
1.1 ชนิดของขอมลู อาจแบงไดเปน ดงั น้ี
1. ขอมูลเชงิ คุณภาพ (Qualitative data) เปนขอมลู ท่แี สดงถึง คณุ สมบตั ิ สภาพ สถานะ
หรือความคดิ เหน็ เชน ความสวย ระดับการศกึ ษา เพศ อาชีพ เปน ตน
2. ขอ มูลเชิงปรมิ าณ (Qualitative data ) เปนขอมูลท่ีเปนตัวเลข เชน ขอมูลที่เกิดจากการ
ชั่ง ตวง หรือ คา ของขอมูลท่นี ําปริมาณมาเปรียบเทียบกันได เชน ความยาว น้ําหนัก สวนสูง สถิติของ
คนงานแยกตามเงนิ เดอื น เปน ตน
116
นอกจากนย้ี งั มีขอ มูลซง่ึ สามารถแยกตามกาลเวลาและสภาพภมู ิศาสตรอ ีกดวย
แหลง ที่มาของขอมลู โดยปกติขอ มูลท่ไี ดมาจะมาจากแหลงตาง ๆ อยู 2 ประเภท คือ
- ขอมลู ปฐมภูมิ ( Primary data ) หมายถงึ ขอมลู ท่รี วบรวมมาจากผใู หหรือแหลงที่
เปน ขอ มูลโดยตรง เชน การสาํ รวจนบั จาํ นวนพนกั งานในบริษัทแหงหน่ึง
- ขอ มูลทตุ ิยภูมิ ( Secondary data ) หมายถงึ ขอมูลท่รี วบรวมหรอื เกบ็ มาจาก
แหลง ขอมลู ท่ีมกี ารรวบรวมไวแ ลว เชน การคดั ลอกจาํ นวนสินคาสงออกที่การทา เรอื ไดรวบรวมไว
1.2 การเกบ็ รวบรวมขอ มูล
การเกบ็ รวบรวมขอ มลู ในทางสถติ จิ ะมวี ิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ มูลได 3 วิธี ตาม
ลักษณะของการปฏบิ ตั ิ กลาวคือ
1) วิธีการเก็บขอมูลจากการสํารวจ การเก็บรวบรวมขอมูลวิธีน้ีเปนที่ใชกันอยาง
แพรห ลาย โดยสามารถทําไดต้ังแตการสํามะโน การสอบถาม / สัมภาษณจากแหลงขอมูลโดยตรง
รวมทง้ั การเกบ็ รวบรวมขอมูลท่ีเกดิ เหตจุ รงิ ๆ เชน การเขา ไปสํารวจผูมีงานทาํ ในตําบล หมบู าน การ
แจงนับนกั ทอ งเทีย่ วที่เขา มาในจงั หวดั หรืออําเภอ การสอบถามขอมูลคนไขท่นี อนอยใู นโรงพยาบาล
เปน ตน วธิ ีการสํารวจนีส้ ามารถกระทาํ ไดหลายกรณี เชน
1.1 การสอบถาม วิธที ีน่ ิยม คือ การสงแบบสํารวจหรือแบบขอ คาํ ถามท่ี
เหมาะสม เขา ใจงา ยใหผ ูอา นตอบ ผตู อบมีอสิ ระในการตอบ แลวกรอกขอ มลู สง คืน วิธีการสอบถามอาจ
ใชส่ือทางไปรษณีย ทางโทรศพั ท เปนตน วิธนี ้ปี ระหยัดคาใชจ า ย
1.2 การสมั ภาษณ เปน วิธกี ารรวบรวมขอ มลู ทีไ่ ดค าํ ตอบทันที ครบถว น
เช่ือถอื ไดด ี แตอ าจเสยี เวลาและคา ใชจายคอ นขา งสูง การสัมภาษณทาํ ไดท ัง้ เปนรายบคุ คลและเปน กลมุ
2) วิธกี ารเก็บขอมูลจากการสังเกต เปน วธิ ีการรวบรวมขอ มลู โดยการบันทกึ สิง่ ท่ี
พบเห็นจรงิ ในขณะนัน้ ขอ มูลจะเชื่อถือไดมากนอยอยูท่ีผูรวบรวมขอมูล สามารถกระทําไดเปนชวง ๆ
และเวลาท่ตี อเนอ่ื งกันได วธิ นี ้ใี ชค วบคูไ ปกับวิธีอ่นื ๆ ไดดว ย
3) วิธกี ารเก็บขอมูลจากการทดลอง เปน การเกบ็ รวบรวมขอมลู ทม่ี กี ารทดลอง
หรอื ปฏบิ ตั อิ ยจู ริงในขณะน้ันขอ ดที ่ีทําใหเ ราทราบขอมลู ขั้นตอน เหตุการณที่ตอเน่ืองที่ถูกตองเช่ือถือได
บางคร้ังตองใชเวลาเก็บขอ มลู ท่นี านมาก ทัง้ นีต้ องอาศัยความชาํ นาญของผูทดลอง หรือผูถูกทดลองดวย
จึงจะทาํ ใหไ ดข อมูลที่มีความคลาดเคล่อื นนอยที่สดุ
อนงึ่ การเกบ็ รวบรวมขอ มูล ถาเราเลอื กมาจากจํานวนหรอื รายการของขอ มูลที่
ตอ งการเก็บมาทัง้ หมดทกุ หนวยจะเรียกวา “ประชากร” ( Population ) แตถาเราเลือกมาเปนบางหนวย
และเปนตวั แทนของประชากรนั้น ๆ เราจะเรยี กวา กลมุ ตวั อยา งหรอื “ ตวั อยา ง” ( Sample )
117
1.3 การวเิ คราะหข อ มูล
การวิเคราะหขอมูล เปนการแยกขอมูลสถิติท่ีไดมาเปนตัวเลขหรือขอความจากการรวบรวม
ขอมูลใหเปนระเบียบพรอมที่จะนําไปใชประโยชนตามความตองการ ท้ังน้ีรวมถึงการคํานวณหรือหา
คาสถติ ใิ นรูปแบบตาง ๆ ดว ย มีวีธกี ารดําเนินงานดงั นี้
1.3.1 การแจกแจงความถ่ี ( Frequency distribution ) เปนวิธีการจัดขอมูลของสถิติท่ีมีอยู หรือ
เกบ็ รวบรวมมาจดั เปนกลมุ เปนพวก เพือ่ ความสะดวกในการทน่ี ํามาวเิ คราะห เชน การวิเคราะหคาเฉลี่ย
คาความแปรปรวนของขอมูล เปนตน การแจกแจงความถีจ่ ะกระทาํ กต็ อ เมอื่ มีความประสงคจะวิเคราะห
ขอมูลที่มีจํานวนมาก ๆ หรือขอมูลที่ซํ้า ๆ กัน เพื่อชวยในการประหยัดเวลา และใหการสรุปผลของ
ขอ มลู มีความรดั กมุ สะดวกตอ การนาํ ไปใชแ ละอา งอิง รวมทงั้ การนําไปใชประโยชนใ นดา นอืน่ ๆ ตอไป
ดวย
สวนคําวา “ตัวแปร” ( Variable ) ในทางสถิติ หมายถึง ลักษณะบางส่ิงบางอยางท่ีเราสนใจจะ
ศกึ ษาโดยลกั ษณะเหลานัน้ สามารถเปลี่ยนคาได ไมวาสิ่งนั้นจะเปนขอมูลเชิงปริมาณหรือคุณภาพ เชน
อายขุ องนกั ศึกษาการศึกษาทางไกลท่ีวัดออกมาเปนตัวเลขที่แตกตางกัน หากเปนเพศมีทั้งเพศชายและ
หญงิ เปนตน
การแจกแจงความถแ่ี บง ออกเปน 4 แบบคือ
1. การแจกแจงความถ่ที วั่ ไป
2. การแจกแจงความถ่ีสะสม
3. การแจกแจงความถสี่ ัมพทั ธ
4. การแจกแจงความถส่ี ะสมสมั พัทธ
1. การแจกแจงความถี่ท่วั ไป จัดแบบเปน ตารางได 2 ลกั ษณะ
1) ตารางการแจกแจงความถี่แบบไมจัดเปน กลมุ เปนการนําขอมูลมาเรียงลําดับจากนอยไปหา
มาก หรือมากไปหานอย แลวดูวาจํานวนในแตละตัวมีตัวซ้ําอยูกี่จํานวน วิธีน้ีขอมูลแตละชวงช้ันจะ
เทา กันโดยตลอด และเหมาะกบั การแจกแจงขอ มลู ท่ไี มม ากนัก
ตวั อยางท่ี 1 คะแนนการสอบวิชาคณติ ศาสตรของนกั ศกึ ษา 25 คน คะแนนเต็ม 15 คะแนน มดี ังนี้
12 9 10 14 6
13 11 7 9 10
7 5 8 6 11
4 10 2 12 8
10 15 9 4 7
118
เมอ่ื นาํ ขอมลู มานบั ซาํ้ โดยทําเปน ตารางมีรอยขดี เปนความถ่ี ไดด ังน้ี
คะแนน รอยขีด ความถี่
1 - 0
2 / 1
3 - 0
4 // 2
5 / 1
6 // 2
7 /// 3
8 // 2
9 /// 3
10 //// 4
11 // 2
12 // 2
13 / 1
14 / 1
15 / 1
รวม 25
หรอื อาจนําเสนอเปน ตารางเฉพาะคะแนนและความถไี่ ดอกี ดงั น้ี รวม
คะแนน ( x ) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 25
ความถี่ ( f ) 0 1 0 2 1 2 3 2 3 4 2 2 1 1 1
2) การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเปนกลุม การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเปนกลุมน้ีเรียกวาจัดเปน
อันตรภาคชนั้ เปนการนาํ ขอ มลู มาจดั ลําดบั จากมากไปหานอ ย หรือนอ ยไปหามากเชน กนั โดยขอมูล
แตละชนั้ จะมีชวงชั้นทเี่ ทากัน การแจกแจงแบบนเี้ หมาะสําหรบั จัดกระทํากบั ขอ มลู ท่มี ีจํานวนมาก
ตัวอยา งท่ี 2 อายขุ องประชากรในหมูบ านหน่ึงจาํ นวน 45 คน เปนดงั น้ี
41 53 61 42 15 39 65 40 64 22
71 62 50 81 43 60 16 63 31 52
47 48 90 73 83 78 56 50 80 45
37 51 49 55 78 60 90 31 44 22
54 36 22 66 46
119
เมอ่ื นาํ ขอ มลู มาทาํ เปนตารางแจกแจงความถี่แบบจดั เปน กลุม ไดดังน้ี
1. การแจกแจงความถี่ทเ่ี ปน อนั ตรภาคชัน้ มีคาํ เรยี กความหมายของคําตา ง ๆ ดังตอไปน้ี
1.1 อนั ตรภาคชัน้ ( Class interval ) หมายถึง ขอมูลท่ีแบงออกเปนชวง ๆ เชน อันตรภาค
ชนั้ 11-20 , 21 -30 ,61–70 ,81-90 เปน ตน
1.2. ขนาดของอนั ตรภาคชัน้ หมายถงึ ความกวา ง 1 ชว งของขอ มลู ในแตละชั้น จาก 11-20
หรอื 61-70 จะมคี า เทากับ 10
1.3 จํานวนของอนั ตรภาคช้ัน หมายถึง จํานวนชวงช้ันทั้งหมดที่ไดแจกแจงไวในท่ีนี้ มี 10
ชน้ั
1.4 ความถ่ี ( Frequency ) หมายถงึ รอยขีดทซ่ี า้ํ กัน หรือจาํ นวนขอ มลู ทีซ่ า้ํ กันในอันตรภาค
ชนั้ น้ัน ๆ เชน อนั ตรภาคชนั้ 41-50 มีความถีเ่ ทา กับ 11 หรือมีผทู มี่ ีอายใุ นชว ง 41-50 มอี ยู 11 คน
1.4 การแจกแจงความถส่ี ะสม
ความถีส่ ะสม ( Commulative frequency ) หมายถงึ ความถี่สะสมของอันตรภาคใด ทเ่ี กดิ
จากผลรวมของความถ่ีของอันตภาคน้ัน ๆ กบั ความถ่ขี องอันตรภาคชนั้ ที่มีชวงคะแนนตํา่ กวา ทงั้ หมด
( หรอื สงู กวา ทง้ั หมด )
ตวั อยางที่ 3 ขอ มูลสวนสูง (เซนตเิ มตร) ของพนกั งานคนงานโรงงานแหง หนงึ่ จํานวน 40 คนมดี งั น้ี
142 145 160 174 146 154 152 157 185 158
164 148 154 166 154 175 144 138 174 168
152 160 141 148 152 145 148 154 178 156
120
166 164 130 158 162 159 180 136 135 172
เมอ่ื นาํ มาแจกแจงความถไี่ ดดงั น้ี
หมายเหตุ ความถส่ี ะสมของอันตรภาคชน้ั สดุ ทายจะเทา กบั ผลรวมของความถีท่ ง้ั หมดและสง่ิ ทคี่ วรทราบ
ตอไปไดแ ก ขดี จาํ กดั ลา ง ขดี จํากัดบนและจดุ กง่ึ กลางชน้ั
1.5 การแจกแจงความถส่ี มั พทั ธ
ความถส่ี มั พัทธ ( Relative frequency ) หมายถึง อัตราสวนระหวา งความถข่ี องอนั ตรภาค
ชัน้ น้นั กบั ผลรวมของความถี่ท้ังหมด ซึง่ สามารถแสดงในรูปจดุ ทศนยิ ม หรือรอยละก็ได
ตัวอยางที่ 4 การแจกแจงความถี่สัมพทั ธข องสวนสูงนกั ศกึ ษา
หมายเหตุ ผลรวมของความถสี่ ัมพทั ธตอ งเทากบั 1 และคารอ ยละความถสี่ มั พัทธตองเทา กับ 100 ดว ย
121
1.6 การแจกแจงความถส่ี ะสมสัมพทั ธ
ความถ่ีสะสมสัมพทั ธ ( Relative commulative frequency ) ของอนั ตภาคใด คอื
อตั ราสวนระหวางความถ่ีสะสมของอันตรภาคชั้นนนั้ กับผลรวมของความถ่ีท้ังหมด
ตวั อยางท่ี 5 การแจกแจงความถ่ีสะสมสัมพัทธข องสวนสูงนักศกึ ษา
1.7 ขดี จาํ กดั ชั้น ( Class limit )
หมายถึง ตวั เลขท่ีปรากฏอยใู นอันตรภาคชั้น แบงเปน ขดี จํากัดบน และขดี จาํ กดั ลาง
( ดูตารางในตัวอยางที่ 5 ประกอบ)
1.1 ขีดจํากัดบนหรอื ขอบบน ( Upper boundary ) คอื คา ก่ึงกลางระหวางคะแนนท่ีมาก
ทสี่ ดุ ในอนั ตรภาคชนั้ นน้ั กับคะแนนนอ ยทีส่ ุดของอนั ตรภาคชั้นท่ีตดิ กนั ในชวงคะแนนที่สูงกวา เชน
อนั ตรภาคชนั้ 140 -149
ขอบบน = 149 150 149.5
2
นั่นคือ ขีดจํากัดบนของอนั ตรภาคขนั้ 140 – 149 คือ 149.5
1.2 ขีดจํากัดลางหรือขอบลาง ( Lower boundary ) คือ คาก่ึงกลางระหวางคะแนนท่ี
นอ ยทส่ี ุดในอนั ตรภาคชนั้ น้นั กบั คะแนนทม่ี ากทีส่ ุดของอันตรภาคช้ันท่ีอยูติดกันในชวงคะแนนที่ตํ่า
กวา เชน ตวั อยา งอันตรภาคช้นั 140 – 149
ขอบลาง = 140 139 139.5
2
น่ันคือ ขดี จาํ กัดลางของอนั ตภาคข้นั 140 – 149 คือ 139.5
122
ตวั อยางท่ี 6 การแจกแจงความถ่ขี องสวนสูงนกั ศกึ ษา
ความสงู (ซม.) ความถ่ี ความถสี่ ะสม ขีดจํากดั ลา ง ขดี จํากดั บน จุดก่ึงกลางชน้ั
189.5 184.5
180 – 189 2 40 179.5 149.5 174.5
169.5 * 164.5
170 – 179 5 38 169.5 159.5 ** 154.5
149.5 * 144.5
160 – 169 8 33 159.5 139.5 134.5
150 – 159 12 25 149.5
140 – 149 9 13 139.5
130 – 139 4 4 129.5
รวม 40
1.8 จดุ กง่ึ กลางชนั้ ( Mid point )
เปนคาหรือคะแนนท่อี ยูร ะหวา งกลางของอนั ตรภาคช้ันนนั้ ๆ เชน อนั ตรภาคชน้ั 150 -159
150 159
จดุ กึ่งกลางของอนั ตรภาคชน้ั ดงั กลา ว 154.5 เปน ตน
2
นอกจากนีย้ ังสามารถแสดงการแจกแจงความถข่ี องขอ มูลโดยใชฮิสโทแกรม (Histogram )
รปู หลายเหลีย่ มของความถ่ี (Frequency polygon ) เสน โคง ของความถ่ี (Frequency curve )
123
แบบฝก หดั ที่ 1
1. จงเขยี นขอ มูลสถติ ทิ ่เี กย่ี วขอ งกับบคุ คลในครอบครัว เชน เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ
2. จงยกตวั อยา งขอ มูลเชิงคุณภาพและเชงิ ปริมาณมาอยางละ 5 ชนิด
3. จงพจิ ารณาวา ขอ มูลตอไปน้เี ปน ขอมูลเชิงคุณภาพ หรือขอ มูลเชงิ ปรมิ าณ
- พนักงานในรงงานแหงหน่งึ ถูกสอบถามถงึ สุขภาพรา งกายในขณะปฏบิ ัติงาน
คุณภาพ ปริมาณ
เพราะวา........................................................................................... ....................
- นักศกึ ษาจาํ นวนหนง่ึ ท่ีถกู สอบถามถึงคาใชจ ายในการไปพบกลมุ ทห่ี องสมดุ
คณุ ภาพ ปริมาณ
เพราะวา ...............................................................................................................
4. ขอ มลู ปฐมภมู ิตา งจากขอมูลทตุ ิยภมู อิ ยา งไร จงอธิบายและยกตวั อยาง
5. ขอมลู ตอไปน้ีควรใชว ิธใี ดในการรวบรวม (ตอบไดหลายคาํ ตอบ)
5.1 การใชเวลาวา งของนกั ศึกษา
5.2 รายไดของคนงานในสถานประกอบการ
5.3 น้ําหนักของเดก็ อายุ 3-6 ป ในหมูบาน
5.4 ผลของการใชสื่อการเรยี นการสอน 2 ชนดิ ทแี่ ตกตาง
5.5 การระบาดของโรคทเ่ี ปนอนั ตรายตอ มนษุ ย
6. จงบอกขอ ดขี อ เสียของการเกบ็ รวบรวมขอมลู โดยวธิ ีการสมั ภาษณ
7. ขอ มลู การสาํ รวจอายุ ( ป ) ของคนงานจาํ นวน 50 คนในโรงงานอุตสาหกรรมแหงหน่งึ เปน ดงั น้ี
27 35 21 49 24 29 22 37 32 49
33 28 30 24 26 45 38 22 40 46
20 31 18 27 25 42 21 30 25 27
26 50 31 19 53 22 28 36 24 23
21 29 37 32 38 31 36 28 27 41
กําหนดความกวางของอันตรภาคชัน้ เปน 8
1. จงสรางตารางแจกแจงความถ่ี
2. จงหาขีดจาํ กัดชน้ั ทีแ่ ทจ รงิ และจดุ กง่ึ กลางช้นั
3. จงหาความถี่สะสม ความถี่สมั พทั ธ และความถีส่ ะสมสัมพัทธ
4. จงหาพสิ ัยของขอมลู ชดุ นี้
5. จงหาจํานวนคนงานท่ีมอี ายุตํา่ กวา 45 ป
124
เร่ืองท่ี 2 การหาคา กลางของขอ มลู โดยใชค าเฉลีย่ เลขคณิต มัธยฐาน และฐานนยิ ม
การหาคา กลางของขอมูลที่เปน ตัวแทนของขอมูลทั้งหมดเพ่ือความสะดวกในการสรุปเร่ืองราว
เกย่ี วกับขอมลู น้นั ๆ จะชว ยทําใหเ กดิ การวิเคราะหข อ มลู ถูกตองดีข้ึน การหาคากลางของขอมูลมีวิธีหา
หลายวิธี แตละวิธีมีขอดีและขอเสีย และมีความเหมาะสมในการนําไปใชไมเหมือนกัน ขึ้นอยูกับ
ลกั ษณะขอ มลู และวัตถุประสงคของผูใ ชข อมูลนนั้ ๆ คา กลางของขอมลู ทส่ี าํ คญั มี 3 ชนดิ คอื
1. คาเฉล่ยี เลขคณติ (Arithmetic mean)
2. มธั ยฐาน (Median)
3. ฐานนยิ ม (Mode)
การหาคากลางของขอ มลู ทาํ ไดท ง้ั ขอ มูลทไี่ มไดแ จกแจงความถ่แี ละขอ มลู ท่ีแจกแจงความถ่ี
2.1. คาเฉลีย่ เลขคณติ (Arithmetic mean)
คา เฉลี่ยเลขคณติ ของขอมูลไดจ ากการหารผลบวกของขอ มลู ทั้งหมดดว ยจาํ นวนขอ มลู แทนดว ย
สัญลักษณ x
การหาคา เฉลยี่ เลขคณติ ของขอ มูลทไี่ มแ จกแจงความถี่
ให x1 , x2 , x3 , …, xn เปนขอ มูล N คา
หรือ x x
n
ตวั อยา ง จากการสอบถามอายขุ องนกั เรยี นกลมุ หน่งึ เปน ดงั น้ี 14 , 16 , 14 , 17 , 16 , 14 , 18 , 17
1) จงหาคา เฉลี่ยเลขคณิตของอายนุ กั เรียนกลมุ นี้
2) เมอ่ื 3 ปท ี่แลว คาเฉลยี่ เลขคณติ ของอายุนกั เรียนกลมุ น้ีเปนเทา ใด
1) วธิ ที ํา
คาเฉลี่ยเลขคณติ ของนกั เรยี นกลมุ น้ี คือ 15.75 ป
125
2) วิธีทาํ
เมื่อ 3 ปทแ่ี ลว 11 13 11 14 13 11 15 14
อายปุ จจบุ ัน 14 16 14 17 16 14 18 17
เมอ่ื 3 ปท แ่ี ลว คา เฉลยี่ เลขคณิตของอายขุ องนักเรยี นกลมุ นี้ คอื 12.75 ป
การหาคา เฉล่ยี เลขคณติ ของขอ มลู ทีแ่ จกแจงความถ่ี
ถา f1 , f2 , f3 , … , fk เปนความถี่ของคา จากการสังเกต x1 , x2 , x3 ,…. , xk
ตวั อยาง จากตารางแจกแจงความถ่ขี องคะแนนสอบของนกั เรียน 40 คน ดังน้ี จงหาคาเฉลีย่ เลขคณติ
คะแนน จํานวนนักเรยี น (f) x fx
11 – 20 7 15.5 108.5
21 – 30 6 25.5 153
31 – 40 8 35.5 284
41 – 50 15 45.5 682.5
51 - 60 4 55.5 222
f N 40 fx 1450
126
วิธีทํา
x fx
x
= 1450
40
= 36.25
คาเฉล่ยี เลขคณติ = 36.25
สมบัติที่สําคญั ของคา เฉลีย่ เลขคณิต
1. =
2. = 0
3.N มีคานอยทีส่ ดุ เม่อื M = x หรอื N xi N M ) 2
( x i M ) 2 ( x ) 2 ≤ ( x i
i1 i1 i1
เมอื่ M เปนจาํ นวนจรงิ ใดๆ
4. x min x x min
5. ถา yi = axi + b , I = 1, 2, 3, ……., N เมื่อ a , b เปน คา คงตวั ใดๆแลว
y =ax +b
คาเฉลีย่ เลขคณติ รวม (Combined Mean)
ถา เปน คาเฉลี่ยเลขคณติ ของขอ มูลชดุ ท่ี 1 , 2 , … , k ตามลาํ ดบั
ถา N1 , N2 , … , Nk เปน จาํ นวนคา จากการสังเกตในขอมลู ชุดที่ 1 , 2 ,… , k ตามลาํ ดบั
=
127
ตัวอยาง ในการสอบวชิ าสถติ ขิ องนกั เรยี นโรงเรยี นปราณีวิทยา ปรากฏวานักเรียนชั้น ม.6/1 จํานวน 40
คน ไดคาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 70 คะแนน นักเรียนชั้น ม.6/2 จํานวน 35 คน ได
คาเฉล่ียเลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 68 คะแนน นักเรียนชั้น ม.6/3 จํานวน 38 คน ไดคาเฉล่ียเลข
คณติ ของคะแนนสอบเทา กบั 72 คะแนน จงหาคาเฉลยี่ เลขคณติ ของคะแนนสอบของนักเรียนทั้ง 3 หอง
รวมกัน
วธิ ที าํ x รวม = N x
N
= (40)(70) (35)(68) (38)(72)
40 35 38
= 70.05
2.2. มัธยฐาน (Median)
มธั ยฐาน คือ คาท่ีมีตาํ แหนง อยกู ึ่งกลางของขอ มูลทั้งหมด เม่ือไดเรยี งขอ มลู ตามลําดับ ไมว า จาก
นอยไปมาก หรือจากมากไปนอย แทนดว ยสัญลกั ษณ Md
การหามัธยฐานของขอ มลู ที่ไมไ ดแ จกแจงความถี่
หลักการคดิ
1) เรยี งขอมลู ทม่ี ีอยทู ั้งหมดจากนอ ยไปมาก หรอื มากไปนอ ยกไ็ ด
2) ตาํ แหนงมธั ยฐาน คอื ตําแหนงก่งึ กลางขอมลู ท้ังหมด ดังน้นั ตําแหนงของมธั ยฐาน = N 1
2
เมือ่ N คือ จํานวนขอมลู ทง้ั หมด
3) มธั ยฐาน คือ คาท่ีมีตําแหนง อยกู ึง่ กลางของขอ มลู ทง้ั หมด
ตวั อยาง กาํ หนดใหค าจากการสังเกตในขอมลู ชุดหนง่ึ มดี งั น้ี
5, 9, 16, 15, 2, 6, 1, 4, 3, 4, 12, 20, 14, 10, 9, 8, 6, 4, 5, 13 จงหามัธยฐาน
วธิ ีทํา เรียงลําดบั ขอมูล 1 , 2 , 3 , 4 , 4 , 4 , 5 , 5 , 6 , 6 , 8 , 9 , 9 , 10 , 12 , 13 , 14 , 15 , 16 , 20
ตําแหนงมัธยฐาน = N 1
2
= 20 1
2
= 10.5
คา มัธยฐานอยูระหวา งตําแหนงท่ี 10 และ 11
128
คา ของขอ มลู ตาํ แหนงท่ี 10 คอื 6 และตาํ แหนงที่ 11 คอื 8
ดงั น้ัน คามัธยฐาน = 6 8 = 7
2
การหามัธยฐานของขอมลู ท่ีจัดเปน อนั ตรภาคชน้ั
ขน้ั ตอนในการหามัธยฐานมีดังน้ี
(1) สรางตารางความถ่ีสะสม
(2) หาตาํ แหนง ของมัธยฐาน คอื N เมือ่ N เปน จํานวนของขอมลู ทัง้ หมด
2
(3) ถา N เทา กับความถ่สี ะสมของอนั ตรภาคชนั้ ใด อันตรภาคชัน้ นน้ั เปน ชัน้ มธั ยฐาน และ
2
มีมัธยฐานเทา กบั ขอบบน ของอันตรภาคช้นั นนั้ ถา N ไมเทาความถี่สะสมของอนั ตรภาคชั้นใดเลย
2
อันตรภาคชน้ั แรกที่มคี วามถ่ีสะสมมากกวา N เปน ช้ันของมธั ยฐาน และหามัธยฐานไดจากการเทยี บ
2
บัญญัติไตรยางค หรอื ใชสูตรดังน้ี จากขอมูลทงั้ หมด N จาํ นวน ตาํ แหนง ของมธั ยฐานอยทู ่ี N
2
N f l
2
Md =
Lo i
fm
เม่ือ Lo คือ ขีดจํากดั ลางของอนั ตรภาคชน้ั ทมี่ มี ัธยฐานอยู
f l คือ ความถสี่ ะสมกอนถงึ ชั้นทีม่ ีมธั ยฐานอยขู องคะแนนต่ํากวาทอี่ ยูชน้ั ตดิ กนั
fm คือ ความถข่ี องช้ันท่ีมีมธั ยฐานอยู
i คือ ความกวา งของอนั ตรภาคช้ันท่มี ีมธั ยฐานอยู
N คือ จํานวนขอมูลท้งั หมด
129
2.3 ฐานนยิ ม (Mode)
การหาฐานนิยมของขอ มลู ทไี่ มแจกแจงความถี่
ใชส ญั ลักษณ Mo คือคาของขอมูลท่ีมีความถ่ีสงู สุด หรือคาที่มีจํานวนซ้ํา ๆ กันมากที่สุด แทน
ดว ยสัญลักษณ Mo
หลักการคดิ
- ใหดูวาขอมูลใดในขอมูลท่ีมีอยูท้ังหมด มีการซํ้ากันมากที่สุด (ความถ่ีสูงสุด) ขอมูลน้ันเปน
ฐานนยิ มของขอมูลชดุ นน้ั
หมายเหตุ
- ฐานนยิ มอาจจะไมมี หรือ มมี ากกวา 1 คาก็ได
130
สงิ่ ทตี่ อ งรู
1. ถาขอมูลแตล ะคา ท่แี ตกตา งกนั มคี วามถเ่ี ทากนั หมด เชน ขอมูลทีป่ ระกอบดวย 2 , 7 , 9 ,
11 , 13 จะพบวา แตละคาของขอมลู ท่แี ตกตา งกัน จะมคี วามถ่ีเทา กบั 1 เหมือนกนั หมด ในทนี่ แ้ี สดงวา
ไมน ยิ มคา ของขอ มลู ตัวใดตวั หนึ่งเปน พเิ ศษ ดังนนั้ เราถอื วา ขอ มูลในลักษณะดังกลาวนี้ ไมมีฐานนยิ ม
2. ถา ขอมลู แตล ะคาทแี่ ตกตา งกนั มคี วามถ่ีสงู สดุ เทา กนั 2 คา เชน ขอ มูลทปี่ ระกอบดว ย
2, 4, 4, 7, 7, 9, 8, 5 จะพบวา 4 และ 7 เปน ขอมลู ทม่ี ีความถี่สูงสดุ เทา กับ 2 เทากนั ในลกั ษณะ
เชนน้ี เราถือวา ขอมลู ดงั กลา วมฐี านนยิ ม 2 คา คือ 4 และ 7
3. จากขอ 1, 2, และตวั อยา ง แสดงวา ฐานนยิ มของขอ มลู อาจจะมหี รือไมมกี ็ไดถ า มอี าจจะ
มมี ากกวา 1 คา กไ็ ด
การหาฐานนิยมของขอ มูลทม่ี กี ารแจกแจงความถี่
กรณขี อมลู ทมี่ ีการแจกแจงความถแี่ ลว
การหาฐานนิยมจากขอ มูลทแี่ จกแจงความถ่ีแลว อาจนาํ คาของจุดก่งึ กลางอันตรภาคชนั้ ของขอ มูล
ทีม่ ีความถ่มี ากท่สี ุดมาหาจดุ กงึ่ กลางช้นั ท่ีหาคา ได จะเปนฐานนยิ มทนั ที แตค าที่ไดจ ะเปน คา โดยประมาณ
เทา นนั้ หากใหไดข อมลู ทเ่ี ปนจรงิ มากท่สี ดุ ตองใชวิธีการคํานวณจากสตู ร
Mo Lo d1 d1
i d2
เมอ่ื Mo = ฐานนิยม
Lo = ขีดจํากัดลา งจริงของคะแนนที่มฐี านนยิ มอยู
d1 ผลตา งของความถีร่ ะหวา งอันตรภาคช้ันทม่ี คี วามถี่สงู สุดกับความถข่ี องชน้ั ทีม่ ีคะแนนต่ํากวา ท่ี
อยตู ดิ กัน
d2 ผลตา งของความถ่ีระหวางอันตรภาคชนั้ ทม่ี คี วามถ่ีสงู สุดกบั ความถข่ี องชั้นที่มคี ะแนนสูงกวา ที่
อยตู ดิ กัน
i = ความกวางของอนั ตรภาคช้นั ที่มฐี านนยิ มอยู
131
ตวั อยาง จากตารางคะแนนสอบวิชาวทิ ยาศาสตรของนักศึกษา 120 คน จงหาคา ฐานนิยม
จากสตู ร Mo Lo i d1
d
d1 2
Lo = 69.5 , d1 45 – 22 = 23 , d2 45 – 30 = 15 และ i = 79.5 – 69.5 = 10
จะได Mo 69.5 10 23 75.55
23 15
ฐานนยิ มของคะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตร มีคาเปน 75.55
ความสมั พนั ธร ะหวางคา เฉล่ยี เลขคณติ มธั ยฐาน และฐานนยิ ม
นกั สถติ พิ ยายามหาความสัมพนั ธระหวางคากลางท้ังสาม
ฐานนยิ ม = ตวั กลางเลขคณติ – 3 (ตัวกลางเลขคณติ – มธั ยฐาน ) หรือ
Mo = x 3x Md
ถา แสดงดว ยเสน โคงความสมั พันธระหวางการแจกแจงความถค่ี า กลาง และการกระจายของ
ขอ มูล ไดด ังน้ี
ขอมลู มีการแจกแจงเปนโคง ปกติ ขอ มูลมกี ารแจกแจงเบข วา ขอมลู มีการแจกแจงเบซาย
132
แบบฝก หดั ที่ 2
1. จงหาคา เฉล่ียเลขคณติ มัธยฐาน และฐานนิยมของนํ้าหนักเดก็ 20 คน ซ่งึ มนี าํ้ หนักเปน กิโลกรัมดังนี้
32 60 54 48 60 52 46 35 60 38
44 48 49 54 47 48 44 48 60 32
2. รายไดพเิ ศษตอ เดอื นของพนกั งานในโรงงานแหง หนง่ึ เปน ดังน้ี
รายได (บาท) ความถี่ (f)
140 – 144 1
145 – 149 2
150 – 154 34
155 – 159 25
160 – 164 10
165 - 169 5
170 – 174 3
จงหาคาเฉลย่ี เลขคณิต มธั ยฐาน ฐานนยิ ม
133
เร่ืองท่ี 3 การนําเสนอขอ มูลสถิติ
การนําเสนอขอมลู สถติ สิ ามารถกระทําได 2 ลกั ษณะใหญ ๆ ดังน้ี
3.1. การนําเสนออยางไมเปนแบบแผน ( Informal presentation ) เปนการนําเสนอขอมูลท่ีไม
จําเปนตอ งมกี ฎเกณฑอะไรมากนัก มีการนาํ เสนอในลักษณะนอ้ี ยู 2 วธิ ี คือ การนาํ เสนอในรูปขอความ
หรือบทความและการนําเสนอในรปู ขอ ความกึ่งตาราง ดงั ตัวอยาง
ตวั อยาง การนาํ เสนอในรปู ขอความ / บทความ
จากการสาํ รวจการใชโทรศัพทผานดาวเทยี มไทยคมทั่วประเทศในป 2546 พบวา มอี ยูต ามหองสมุด
ประชาชนจํานวน 960 แหง มีอยูตามบานผูเรียนจํานวน 540 แหง และมีอยูที่ศูนยการเรียนชุมชนอีก
1,500 แหง รวมทง้ั ส้นิ มโี ทรศัพทผ านดาวเทยี มทัง้ หมด 3,020 แหง
ตัวอยาง การนาํ เสนอในรปู ขอ ความกงึ่ ตาราง
จากการสํารวจสาํ มะโนประชากรทีว่ างงานตลอดทัว่ ประเทศในป 2543 ปรากฏวามผี วู างงานดังนี้
ภาคกลาง 65,364 คน
ภาคเหนือ 32,413 คน
ภาคใต 23,537 คน
ภาคตะวนั ออก 12,547 คน
ภาคตะวนั ตก 9,064 คน
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 132,541 คน
รวมทั้งสนิ้ 275,466 คน
3.2. การนําเสนออยางเปนแบบแผน ( Formal presentation ) เปนการนําเสนอขอมูลท่ีมี
กฎเกณฑและตอ งปฏบิ ตั ิตามมาตรฐานที่กําหนดไวเปนแบบแผน การนําเสนอวิธีการน้ีเปนลักษณะ
ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ และกราฟตาง ๆ
3.2.1 การนาํ เสนอโดยใชต าราง
เปนการนําขอมูลมาจัดเรียงใหอยูในรูปของแถวหรือหลัก ตามลักษณะที่สัมพันธกัน อยูใน
ตําแหนง ท่เี กย่ี วของกนั ทําใหสะดวกในการเปรียบเทียบ รวบรัดตอการนําเสนอ องคประกอบท่ัวไป
ของตารางจะมีดังน้ี
134
องคประกอบตารางสถิติ ตารางสถิติโดยทว่ั ไปประกอบดว ย
1. หมายเลขตาราง (table number) ชอ่ื เรอื่ ง (title)
หมายเหตุคาํ นาํ (prefatory note)
หัวขั้ว หวั สดมภ
(Stub head) (Column head)
ตวั ขวั้ ตวั เรือ่ ง
(stub entries) (body)
หมายเหตุลา ง (footnote)
หมายเหตุแหลง ทีม่ า ( source note)
1. หมายเลขตาราง เปน ตัวเลขท่ีแสดงลาํ ดับทข่ี องตาราง ใชในกรณีท่ีมีตารางมากกวาหน่ึงตารางท่ีตอง
นําเสนอ
2. ชอื่ เรอ่ื ง เปนขอความทอ่ี ยตู อจากหมายเลขตาราง ชอื่ เร่อื งที่ใช แสดงวา เปน เรื่องเก่ียวกับอะไร ท่ีไหน
เมอ่ื ไร
3. หมายเหตุคํานํา เปนขอความที่อยูใตช่ือเรื่อง เปนสวนที่ชวยใหรายละเอียดในตารางมีความชัดเจน
ยง่ิ ข้ึน
4. ตน ขัว้ ประกอบดว ย หวั ขั้ว และตน ขัว้ ซึง่ หัวข้วั จะอธบิ ายเก่ียวกับ ตัวข้ัว สว นตัวข้ัว จะแสดงขอมูล
ที่อยใู นแนวนอน
5. หัวเร่ือง ประกอบดวย หวั สดมภ และตัวเรื่อง ซึ่งหัวสดมภใชอธิบายขอมูลแตละสดมภ ตามแนวตั้ง
ตัวเรื่อง ประกอบดว ย ขอ มูลทเ่ี ปนตวั เลขโดยสวนใหญ
6. หมายเหตุแหลงท่ีมา บอกใหทราบวา ขอ มูลในตารางมาจากทีใ่ ด ชวยใหผอู า นไดค น ควา เพิ่มเติม
ตัวอยาง ตารางแสดงจํานวนประชากรของประเทศไทยปตาง ๆ จําแนกตามเพศ ( สํานักงานสถิติ
แหงชาติ )
พ.ศ. จํานวนประชากร
ชาย หญงิ รวม
2480 7,313,584 1,150,521 14,464,105
2490 8,722,155 8,720,534 17,442,689
2503 13,154,149 13,103,767 26,257,916
2513 17,123,862 17,273,512 34,397,374
2523 22,008,063 22,170,074 44,278,137
135
3.2.2 แผนภูมริ ูปภาพ ( Pictogram) เปนแผนภูมิท่ีใชรูปภาพแทนตัวเลขของขอมูล เชนรูปภาพ
คน 1 คน แทนจาํ นวนคน 100 คน ถามีคน 550 คน จะมีรปู ภาพคน 5 รปู และภาพคนท่ีไมส มบรู ณอีกคร่ึง
รูปการนําเสนอขอมูลในรูปภาพทําใหดงึ ดดู ความสนใจมากขึ้น
ตัวอยาง ตอ ไปน้ีเปนตัวอยา งแผนภมู ิรูปภาพ ซงึ่ แสดงปรมิ าณท่ไี ทยสง สินคาออกไปขายยังประเทศบรไู น
ระหวางป 2526-2531
= 100 ลานบาท
2526 250
2527 234
2528 360
2529 360
2530 450
2531 550
ทม่ี า : กรมศุลกากร
จากขอมูลขางตน แสดงวาในป 2526 ไทยสงสินคาไปขายยังประเทศบรูไน 250 ลานบาท ในป
2531 สงสินคาไปขาย 550 ลานบาท เปนตน
3.2.3 แผนภูมิรูปวงกลม คือ แผนภูมิท่ีแสดงใหเห็นถึงรายละเอียดสวนยอย ๆ ของขอมูลที่นํามา
เสนอ การนําเสนอขอมูลในลักษณะน้ีจะเสนอในรูปของวงกลมโดยคํานวณสวนยอย ๆ ของขอมูลท่ีจะ
แสดงท้ังหมด หลังจากน้นั แบง พ้ืนที่ของรปู วงกลมทั้งหมดออกเปน 100 สวน หลังจากนั้นก็หาพื้นท่ีของ
แตละสว นยอ ย ๆ ที่จะแสดง
136
ตัวอยาง แผนภูมริ ปู วงกลมแสดงการเปรียบเทยี บงบประมาณดานตา ง ๆ ทใ่ี ชใ นสถานศกึ ษา
( ยกเวน เงินเดอื น – คาจาง )
%
%
%
3.2.4 แผนภมู แิ ทง (Bar chart) การนําเสนอขอมูลโดยใชแผนภูมิแทง เปนการนําเสนอขอมูล
โดยใชรปู ส่ีเหล่ียมผนื ผา รูปส่ีเหล่ียมผืนผา อาจเรยี งในแนวตั้ง หรือแนวนอนก็ได ซ่ึงสี่เหล่ียมผืนผาแตละ
รูปจะมคี วามกวา งเทา ๆกันทุกรปู สวนความยาวของส่เี หล่ียมผนื ผาข้นึ อยกู บั ขนาดของขอมูล นิยมเรียกรูป
สี่เหล่ยี มผืนผา ในแตละรปู วา “แทง” (bar) ระยะหางระหวา งแทง ใหพ องาม และเพ่ือใหจําแนกลักษณะท่ี
แตกตางกันของขอ มูลในแตละแทง ใหช ัดเจน และสวยงามจึงไดมีการแรเงา หรือระบายสี และเขียนตัวเลข
กํากับไวบนตอนปลายของแตล ะแทง ดวยก็ได
3.2.4. 1 แผนภมู ิแทง เชงิ เดยี่ ว (Simple bar chart)
ตัวอยา ง การเสนอขอ มลู โดยใชแผนภมู แิ ทงเชิงเดย่ี ว
แผนภูมแิ สดงจํานวนทอี่ ยอู าศยั เปด ตัวใหมใ นเขตกทม. และปริมณฑล
จํานวนทีอ่ ยอู าศัย 253,159
300000
250000
200000
150000 142,053
46,909 41,300
113,150
100000 81,657
58,497
50000
0
2534 2535 2536 2537 2538 2539 2540
137
3.2.4.2แผนภมู แิ ทง เชงิ ซอ น (Multiple bar chart) ขอ มลู สถิตทิ จ่ี ะนาํ เสนอดว ยแผนภูมิแทงตอง
เปน ขอ มลู ประเภทเดียวกันและหนว ยของตวั เลขเปนหนว ยเดียวกนั และควรใชเ ปรียบเทยี บขอ มลู 2 ชุด
หรือมากกวา 2 ชดุ ก็ได ซ่งึ อาจเปน แผนภูมใิ นแนวตั้งหรือแนวนอน กไ็ ดส่งิ ทสี่ าํ คัญตองมกี ุญแจ (Key)
อธิบายวาแทง ใดหมายถึงขอมูลชุดใดไวท ดี่ วย ดตู วั อยางจากรูปที่ 3
แผนภูมแิ ทงแสดงสินทรัพย หนสี้ ินและทุนของสหกรณอ อมทรพั ยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
3.2.5 การนําเสนอขอมลู โดยใชก ราฟเสน
การนําเสนอขอมลู ท่มี ีลักษณะเปน กราฟเสน น้นั ลกั ษณะของกราฟอาจจะเปนเสนตรงหรอื ไมก ไ็ ด
จดุ สาํ คญั ของการนําเสนอโดยใชกราฟเสน กเ็ พ่ือจะใหผูอานมองเห็นแนวโนมการเพ่ิมข้ึนหรือลดลงของ
ขอมูล เชนขอมูลที่เกี่ยวกับเวลา ถาเรานําเสนอโดยใชกราฟเสน เราก็สามารถจะมองเห็นลักษณะของ
ขอ มลู ในชว งเวลาตา ง ๆ วา มีการเปลี่ยนแปลงในลกั ษณะท่เี พ่ิมข้ึนหรือลดลงมากนอยเพียงใด นอกจากนี้
กราฟเสนยังทาํ ใหเ รามองเหน็ ความสัมพนั ธระหวางขอมูล(ถามีขอมูลหลาย ๆ ชุด) และสามารถนําไปใช
ในการคาดคะเน หรือพยากรณข อมลู นั้นไดอ กี ดวย
โดยท่วั ไป การนาํ เสนอขอ มูลโดยใชก ราฟเสนกจ็ ะมลี กั ษณะเชน เดียวกบั ตาราง กลาวคือ เราตอง
บอก หมายเลขภาพ ช่อื ภาพ แหลงท่มี าของขอมูล และทสี่ ําคัญตองบอกใหทราบวาแกนนอนและแกนต้ัง
ใชแทนขอ มูลอะไรและมหี นว ยเปนอยางไร
( ลานบาท) 138
3.2.5.1 กราฟเชิงเด่ียว คือ กราฟท่ีแสดงลักษณะของขอมูลเพียงชุดเดียว เชน ขอมูล
เกี่ยวกับปริมาณสินคาที่นําเขาจากประเทศสิงคโปร ขอมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ําฝนประจําเดือนตาง ๆ ป
พ.ศ. 2543 เปนตน
ตัวอยา ง ตารางแสดงปรมิ าณสนิ คาที่นําเขา จากประเทศสิงคโปร
ป ปรมิ าณสินคานําเขา (ลานบาท)
2526 14,623
2527 19,373
2528 18,746
2529 15,845
2530 26,030
2531 34,034
ท่ีมา : กรมศลุ กากร
จงเสนอขอมลู ดงั กลา วโดยใชก ราฟเชงิ เดี่ยว
วิธีทาํ จากขอ มลู ดงั กลา วเราสามารถนาํ มาเขียนเปนกราฟเสน ไดดงั นี้
ปรมิ าณสินคาที่นาํ เขา จากประเทศสิงคโปร ปพ .ศ. 2526 – 2531
40000
35000
30000
25000
20000
15000
10000
5000
0
2526 2527 2528 2529 2530 2531
ปพ.ศ.
139
3.2.5.2 กราฟเชิงซอน กราฟเชิงซอนเปนการนําเสนอขอมูลในลักษณะเดียวกับแผนภูมิแทง
เชงิ ซอน กลา วคือเปนการนําเสนอเพอ่ื เปรียบเทียบใหเห็นถึงความแตกตางระหวางขอมูลต้ังแต 2 ชุดขึ้น
ไป เชนการเปรยี บเทียบระหวาง จํานวนอุบัติเหตุทางอากาศ กบั จาํ นวนอบุ ัตเิ หตุทางเรอื จํานวนคนเกิดกับ
จาํ นวนคนตาย เปน ตน
ตวั อยา งท่ี 24 ตารางแสดงราคาขาวสาลี และราคาแปงขาวสาลีท่ีประเทศไทยสั่งเขามาตั้งแตป 2517 –
2523
ป ราคาขาวสาล(ี บาท/ตัน) ราคาแปง ขา วสาล(ี บาท/ตนั )
2517 4,501 5,811
518 4,796 6,695
2519 3,806 6,521
2520 2,892 5,142
2521 3,112 5,010
2522 3,957 5,538
2523 2,288 5,605
ท่มี า : วารสารเศรษฐกจิ ธนาคารกรุงเทพ จํากดั ฉบบั เดอื นมถิ นุ ายน 2515 ปท ี่ 14 เลมท่ี 6
วธิ ีทํา จากขอ มูลดังกลาวสามารถนํามาเขยี นกราฟเสนไดดงั นี้
กราฟแสดงราคาขาวสาลี และราคาแปง ขา วสาลีทปี่ ระเทศไทยสัง่ เขามาต้งั แตป 2517 – 2523
8000 ขา วสาลี
7000 แป งสาลี
6000
5000
4000
3000
2000
1000
0
2517 2519 2521 2523
140
แบบฝกหดั ท่ี 3
1. กําหนดใหวา จาํ นวนคนไข (คนไขใน) ของโรงพยาบาลอาํ เภอแหง หน่ึงในป 2545 และ 2546 ซงึ่
ไดม ากจากการสาํ รวจของโรงพยาบาลเปน ดงั น้ี พ.ศ. 2545 มเี พศชาย 4,571 คน หญงิ 3,820 คน ป
2546 มเี พศชาย 5,830 หญงิ 4,259 คน จงนาํ เสนอขอมลู
ก. ในรปู บทความ
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
ข. ในรปู บทความ / ขอความกงึ่ ตาราง
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
2. จากขอ มลู ท่ีนาํ เสนอในรูปตาราง รอยละของนกั ศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน ของสถาบันการศกึ ษา
แหงหน่ึง ไดผลการเรยี นใน 4 วชิ าหลกั ในป 2546 มดี งั น้ี
หมวดวชิ า รอ ยละของระดับผลการเรยี น
4 3 2 10
คณติ ศาสตร 4.49 9.51 22.88 43.58 16.28
ภาษาไทย 5.82 12.14 26.55 41.18 13.10
วิทยาศาสตร 4.82 11.23 23.50 39.81 19.91
สังคมศึกษา 9.04 16.60 29.10 34.75 9.09
รวม 84.55 13.67
จากตารางจงตอบคําถามตอไปน้ี
1. หมวดวชิ าใดทน่ี กั ศกึ ษาไดระดับผลการเรยี น 4 มากทสี่ ุดและไดระดบั 0 นอ ยท่ีสดุ และคดิ เปน
รอยละเทาไร
2. นักศกึ ษาสว นใหญไดร ะดบั ผลการเรยี นใด
3. ระดับผลการเรียนทีน่ กั ศกึ ษาจาํ นวนมากที่สดุ ไดรบั
4. ระดบั ผลการเรียนท่ีนกั ศึกษาจํานวนนอยทีส่ ุดไดร ับ
5. กลา วโดยสรุปถึงผลการเรยี นของสถาบันแหง นีเ้ ปน อยางไร
141
6. ตารางแสดงปรมิ าณผลติ ยางพาราของประเภทตาง ๆ ในป พ.ศ. 2544 และป พ.ศ. 2545 ดงั น้ี
ประเทศ ปรมิ าณการผลติ ( ลา นตัน )
มาเลเซีย ป 2544 ป 2545
อนิ โดนเี ซีย 2.5 3.0
3.0 4.0
ไทย 2.0 3.5
เวยี ดนาม 1.5 2.0
1.0 1.5
ลาว
จงเขียน
1. แผนภูมแิ ทง แสดงการผลติ ยางพาราของประเทศตา ง ๆในป 2544
2. แผนภมู ิแทงและการเปรียบเทยี บการผลติ ยางพาราของประเทศตาง ๆในป 2544 และในป 2545
3. แผนภูมวิ งกลมแสดงการเปรยี บเทียบการผลติ ยางพาราของประเทศตา ง ๆ ในป 2544
4. จงเขียนกราฟแสดงการเปรยี บเทียบปริมาณสตั วน ํ้าจดื และสตั วน ้ําเค็มท่ีจบั ไดต้ังแต พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ.
2546
พ.ศ. ปรมิ าณทจี่ บั ได ( พันตนั )
สตั วน ํา้ จดื สัตวน ้ําเค็ม
2540 1,550 130
2541 1,529 141
2542 1,395 159
2543 2,068 161
2544 1,538 122
2545 1,352 147
2546 1,958 145
142
3.3 สถิติกบั การตดั สนิ ใจ
ในชีวติ ประจําวันของแตล ะบคุ คล จะมกี ารตดั สนิ ใจเกยี่ วกับการดําเนินชีวิตในแตละเรื่อง แตละ
เหตุการณอยูต ลอดเวลา การเลอื กหรอื การตดั สินใจทจ่ี ะเลอื กวธิ กี ารตางๆ ยอมตองอาศัยความเชื่อ ความรู
และประสบการณ สามัญสํานึก ขาวสาร ขอมูลตางๆ มาประกอบการเลือกหรือการตัดสินใจดังกลาว
เพื่อใหส ามารถดาํ รงชวี ติ อยางถูกตอง และมีโอกาสผิดพลาดนอยทสี่ ุด
ตัวอยางเชน การตัดสินใจท่ีเกดิ จากการเลอื กในสิง่ ตาง ๆ ที่เกดิ ขึ้น
จะเห็นไดวา การเลือกตัดสนิ ใจจะทําเรื่องใดๆ จําเปนตองมีขอมูลในการตัดสินใจในการเลือกทํา
ส่งิ นนั้ ๆ ใหดีท่สี ดุ ขอ มูลท่มี ีอยหู รือหามาได หรอื ขอ มลู ท่ีวเิ คราะหเบ้ืองตนแลว ยังเรียกวา “ สารสนเทศ
หรือขา วสาร” (Information) จะชว ยใหก ารตดั สินใจดยี ง่ิ ขึน้
หลักในการเลือกขอ มลู มาใชประกอบการตัดสนิ ใจ จะตอ ง
- เชอ่ื ถอื ได
- ครบถวน
- ทันสมัย
ถา ขอมูลทีม่ อี ยูไมส ามารถนาํ มาประกอบการตัดสินใจได อาจทําใหเปนสารสนเทศเสียกอน ซ่ึง
ผูใชจะตองเลือกวิธีวิเคราะหขอมูลที่เหมาะสมกับคําตอบท่ีตองการไดรับเสียกอน น่ันคือ วิธีวิเคราะห
ขอ มูลและเปน ตัวกาํ หนดขอมลู ที่จําเปนตอ งใช
143
ตัวอยาง ขอ มลู และสารสนเทศ
ทุกวนั นส้ี ถิตถิ กู นาํ มาใชประโยชนหลายๆดาน หลายสาขา และมสี วนเก่ยี วของกบั ชีวิตประจําวัน
ของมนุษยมากขึน้ ทกุ วงการ ท้งั สว นทีเ่ ปนขอความ ตาราง รูปภาพ ปา ยประกาศ และเอกสารทางวิชาการ
ตา งๆ เปนตน โดยเฉพาะหนวยงานท่ีทํางานดานนโยบายและการวางแผน จะตองใชสถิติทั้งขอมูล และ
สารสนเทศเพ่ือจัดทํา นโยบาย วางแผนงาน เพ่ือใชเปนเคร่ืองมือสนับสนุนในการตัดสินใจตางๆ ของ
หนวยงานท้งั ภาครัฐและเอกชน
ในสวนของภาครฐั บาลตองอาศัยสถติ ิในการวดั ภาพรวมทางดานเศรษฐกจิ เชน การหาผลิตภัณฑ
มวลรวมของประเทศ การบริโภค การออม การลงทนุ ตลอดจนการวดั การเปล่ียนแปลงคาของเงินเปนตน
นอกจากนี้ยังอาศัยวิธีการทางสถิติชวยอธิบายเก่ียวกับทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร การทดสอบสมมติฐาน
ตา งๆโดยพยายามพยากรณแ ละคาดคะเนแนวโนมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
ในดา นธุรกิจการคาตวั เลขสถิตมิ ปี ระโยชนเปนเครอื่ งมอื ชว ยรักษาและปรบั ปรุงคุณภาพการผลิต
ใชเปน เคร่ืองมือในการคัดเลือกและยกฐานะของคนงาน หรือใชเปนเคร่ืองมือในการควบคุมเพื่อใหใช
วตั ถดุ บิ อยางประหยัด มีการคาดคะเนความตองการของลูกคาในอนาคต ซ่ึงการตัดสินใจเก่ียวกับการคา
การขายตองอาศัยสถติ ทิ ั้งส้นิ
สําหรับในดานสังคมและการศึกษา ในวงการสาธารณสุขตองใชขอมูลสถิติเพ่ือการดูแลรักษา
สุขภาพ การประมวลผล และคาดการณแนวโนม การระวังสขุ ภาพ ตองอาศัยขอมูลทางสถิติประกอบการ
ตัดสนิ ใจ สว นในดานการศึกษาสถติ จิ ะชวยในการวางนโยบายและแผนการจัดการศึกษาท้ังในระดับชาติ
และระดับทอ งถ่ิน นอกจากนี้สถติ ิยังชวยติดตาม วัดผลและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนและการ
บรหิ ารจัดการอกี ดว ย