เรือนจำหลักลายออ่ นชอ้ ยและมนตเ์ สน่หข์ องแมน่ ำ้ จันท์ยงั คงสวยงามเสมอสำหรับเด็กเล็กๆ คน
หนึง่ ซง่ึ บดั นก้ี ลายเป็นผูใ้ หญ่เต็มตวั และเริ่มรว่ งโรยไปตามกาล หากสายใยความทรงจำก็ยังคงงดงาม
และอบอุน่ เสมอ ในเสน้ สายลายไมท้ เี่ ริม่ เก่าคร่ำ บอกถึงเสนห่ ข์ องวนั คืนแตห่ นหลงั ฉนั ได้สดับเสียงของ
ลมหายใจแหง่ วัยเยาวข์ องตนเสมอ ทกุ ครงั้ ทไี่ ด้ไปเย่ียมเยอื น
หากจะนับว่าเป็นนกั เดนิ ทางในความหมายของการท่องเทย่ี ว ฉนั คงไมอ่ าจเรยี กขานตนเอง
เชน่ นน้ั ได้ เพราะการเดินทางสำหรบั ฉนั ดจู ะผูกโยงเปน็ อันหนง่ึ อนั เดยี วกันกับการทำงาน ฉนั เดนิ ทางไป
เหนอื ใต้ ออก ตก บอ่ ยพอสมควร แมฉ้ นั จะมีความสุขกับการเดนิ ทางเพ่อื ไปทำงาน แต่ก็ยังอดอจิ ฉาคน
ทเี่ ดนิ ทางท่องเทยี่ วบอ่ ยๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะพรรคพวกทเี่ ปน็ นกั เขยี นนกั เที่ยวในตวั ดว้ ย น่ันคือความฝนั
ประการหนึ่งของฉันเหมอื นกัน
ถงึ อายุใกล้กึ่งศตวรรษ แต่ฉันในวันนกี้ ย็ ังมีพลังกระปรีก้ ระเปรา่ เสมอกบั การเดนิ ทาง รูส้ ึก
เหมอื นหวั ใจติดปกี แหง่ อิสระ เวลาไดเ้ ดินทางไปเก็บขอ้ มลู ตามลำพังยังตา่ งจงั หวดั เสน่ห์ของการเดนิ ทาง
อยา่ งนีเ้ ป็นเสนห่ เ์ ฉพาะตวั ทค่ี นทำสารคดีซาบซึง้ และหลงใหลใฝ่ฝันราวกับการเดินทางทอ่ งไปใน
ธรรมชาตแิ หง่ ชีวติ ผู้คน นคี่ อื เสนห่ ์ล้ำลกึ ที่ฉันหลงรักไม่เคยรหู้ น่ายคลายจาง คอื การเรยี นรู้ประสบการณ์
ทไ่ี ม่มใี ครเหมอื นใคร ทำให้เราได้เติบโตและเรยี นรจู้ ักรกั เพื่อนมนุษยไ์ ด้มากขนึ้ โดยไมย่ ากเยน็ และไม่
จำกัดว่าเขามีชนชน้ั สถานะอยา่ งใด
ทกุ ผ้คู นท่ไี ดพ้ บสอนการเรยี นรู้ให้แก่ฉนั สอนให้ได้รูจ้ ักคา่ ของมติ รภาพและคุณค่าของชวี ติ มาก
ขน้ึ ตามวันเวลา...น้ำสกั แก้ว ขา้ วสักมอ้ื หรอื ข้อมูลท่ขี อดจากชีวิตจิตใจอันจรงิ แท้ในอนั จะถา่ ยทอด
เร่ืองราวของตนเพื่อเปน็ อทุ าหรณ์และความร้คู ดิ ใหแ้ กช่ ีวิตอนื่ เป็นมติ รไมตรีทีค่ นเขียนสารคดีอย่างฉัน
รำลึกถึงด้วยความรสู้ ำนึกในพระคณุ อนั อุ่นเอ้ืออารเี สมอมา...ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ไม่ใชเ่ พื่อนก็เหมอื น
เพอื่ น...
ฉันชอบเดนิ ทางกลางคืน เมื่อปีกของราตรกี าลหม่ คลุมผืนฟ้า นับเป็นการเดนิ ทางทีไ่ ม่ว้าเหว่
ดว้ ย มดี วงดาวเป็นเพอื่ นรว่ มทางทัง้ อากาศยงั เยน็ สบาย พาหนะประจำทีม่ ักใชบ้ รกิ ารบ่อยๆไม่ว่าจะไป
เหนือ ใต้ ออก ตก คอื รถทวั ร์ การไดเ้ ลือกท่ีนัง่ อยู่รมิ หน้าตา่ งมองผา่ นกระจกรถออกไปเหน็ ดวงดาว
ระยิบระยบั สุกใสเหมือนประกายตา เด็กนอ้ ยช่างซุกซนโผลห่ น้ามาจากฟากฟ้า คุยเล่นทักทายทเี่ บ้ือง
นอกโน้น ทำใหห้ ัวใจเพลิดเพลินนักสำหรับคนหลงรกั ดวงดาว ดึกนกั หลังทักทายเลน่ กบั ดวงดาวกผ็ ล็อย
หลบั เอาแรง ตื่นเชา้ มามองผา่ นกระจกรถออกไป จะเห็นบรรยากาศยามเช้าในตา่ งจังหวดั หากเป็นหน้า
หนาวแถวเมืองเหนอื ภาพสายหมอกละมนุ กบั ไอหนาวทีห่ ่มคลุมทวิ เขา ท้องนา และตน้ ไม้สองฟากฝ่งั ราว
จะโอบกอดยามเช้า เป็นภาพแรกยามอรุณรุ่งที่ได้เห็น ทำให้ฉันนกึ อยากโอบกอดใครสักคน ออกบา่ ยไป
ในอรุณรุง่ อันหนาวเยน็ อย่างนั้นหรอื บางหนอาจเหน็ พระอาทิตยโ์ ผล่มาทกั ทายอรุณรงุ่ ภาพน่ารกั ๆ
อย่างนี้แค่ได้เหน็ กช็ ่นื ใจให้พลังใจแก่หวั ใจให้พร้อมจะลุกขนึ้ ทำงานจนลมื เหนื่อย เป็นการอัดฉีดพลังงาน
ไดอ้ ย่างสุดวเิ ศษมหศั จรรย์แลว้
ถนนแตล่ ะเสน้ ทางสวยงามตา่ งกนั ไปในแต่ละฤดูกาล หากเป็นยามฝนตน้ ไม้สองฟากถนนจะ
ชอุ่มชุ่มชน้ื แตกกิง่ ก้านใบเขียวขจีบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ในขณะทีฤ่ ดูหนาวต้นไม้อาจมีรปู ทรงโปร่ง
ระหง สว่ นหน้ารอ้ นนั้นต้นไม้แตง่ ตัวดว้ ยสีสนั สดใสราวสาวนอ้ ยเริงระบำ เราจึงไดเ้ หน็ ทองกวาวเต็มสอง
ขา้ งทางสเู่ มอื งเหนือหรอื หากเป็นทางสายอืน่ ดอกหางนกยงู คูน กัลปพฤกษอ์ อกดอกสะพร่งั เปน็ รางวัล
ของความสขุ ท่ีธรรมชาติมอบให้แกน่ กั เดนิ ทางทกุ ผเู้ สมอหน้ากัน
ถนนบางช่วงและบางสาย มคี นใจดีปลูกดอกไม้เล็กๆ นา่ รักอยา่ งดาวกระจาย ดาวเรอื ง กระดมุ
ทอง ฯลฯ ไวใ้ นขณะท่ีบางเสน้ ทาง ดอกไมห้ อมจำพวกปบี ลั่นทม ดอกขาวพราวพรา่ ง หากน่ังรถส่วนตัว
หรือรถรบั จ้างเล็กๆ ผ่านไปเหน็ เข้าเมื่อไร หลายหนทคี่ นรกั ดอกไมอ้ ย่างฉนั ตอ้ งขอใหค้ นขบั รถหยดุ รถลง
ไปสูดความหอมหวาน และเก็บดอกไม้ทรี่ ่วงพราวอยโู่ คนต้นพรมพืน้ ถนนใหส้ วยงามหวานหอมราวพรม
ดอกไม้
ชีวติ บอกฉนั ว่า แม้การเดนิ ทางของการงานใชว่ ่าเราจะไมม่ สี ทิ ธิเ์ ก็บเก่ยี วสมั ผสั ความงามของ
ดอกไม้ ธรรมชาติ และสายลม แสงแดด ด้วยความงามเหลา่ นลี้ ว้ นชุบกลอ่ มย้อมหัวใจของเราให้ออ่ นโยน
และเบกิ บานหวานหอม
มันคอื กฎของความโรแมนติกและกฎแหง่ ความสขุ ท่ีคนเดนิ ทางทำงานมีสิทธ์เิ ลือกได้ หากรักจะ
เลือก...ในเมอื่ หนทางขา้ งหนา้ ยงั ต้องพานพบประสบการณใ์ หม่ ผู้คนใหมๆ่ หรืออาจหมายรวมถงึ ปัญหา
ใหม่ๆ ท่รี อการแก้ไข ท้าทาย ในรอบวนั ใหม่ท่กี ำลังเริ่มต้นเผชิญหนา้ คนเดนิ ทางคนหน่ึงอีกคร้งั ...ครงั้ แลว้
คร้ังเล่า เปน็ การเตมิ รสชาติชวี ิตทอ่ี าจหวาน เปร้ียว ขม หรือดุเด็ดเผ็ดมนั แตแ่ น่นอนวา่ ย่อมไม่มจี ืดชืด
เปน็ เดด็ ขาด
การเดนิ ทางของฉันจงึ มีดอกไม้ ดวงดาว ธรรมชาติ ประดามีท่ีฉันรกั เป็นเพือ่ นรว่ มทางท่ีนา่ รกั
เสมอ เดนิ ทางเก็บข้อมลู ยังต่างจงั หวัดครงั้ ไรจึงเหมอื นได้พกั ผอ่ นไปในตวั กระปรกี้ ระเปร่าไมม่ เี หนอื่ ย
แมว้ า่ เม่อื เดนิ ทางถงึ จดุ หมายในยามเช้า เขา้ โรงแรมอาบนำ้ อาบท่าไดส้ ักพกั บางครง้ั กต็ ้องเดนิ ทางต่อน่งั
รถเขียว รถแดง รถส้ม แล้วแต่ละถ่ิน...หวั ฟดู ว้ ยสายลมแรงทพี่ ัดโชยชืน่ ชนดิ สดู ลมได้เต็มปอด เร่รอ่ น
แรมรอนไปหาบุคคลผู้เป็นแหล่งข้อมูล บา้ งอยนู่ อกเมือง ในเมือง เขา้ วัด เข้าศาล เขา้ ซ่อง ฯลฯ สุดแทแ้ ต่
สถานการณ์จะพาไป แต่สองตาของฉนั จะซึมซับกับภาพธรรมชาติรอบตวั เป็นนิจ ฉันเชอื่ วา่ ธรรมชาตทิ ีไ่ ด้
พบ ยอ่ มสง่ ผา่ นพลงั แห่งความสุขแจ่มใสมายงั เนือ้ ตวั และหัวใจ ทำให้ทำงานได้เต็มพลัง
ชีวติ คนทำงานสารคดีท่ีต้องเดินเร่อื ยไปตามแห่งหนตา่ งๆ อยา่ งนแ้ี หละทีฉ่ ันชอบ ไดเ้ หน็ ในส่ิงท่ี
ไมเ่ คยเห็น ไดไ้ ปในสิ่งทไ่ี มเ่ คยไป มสี ่ิงแปลกใหม่เกิดขนึ้ บ่อยๆ ชีวิตไม่ซำ้ ซากจำเจนา่ เบือ่ ได้ผจญภยั
ผจญวิบากต่างๆ นานา เหน็ สุขเหน็ ทกุ ข์ของผู้คน อะไรจะมีเสน่ห์สำหรบั ชวี ิตฉนั ย่งิ ไปกว่านี้
แตใ่ นบางหนบางยามทีช่ พี จรเหนื่อยลา้ ราโรยปรารถนาการพกั สงบ ฉนั ชอบไปพกั ทีต่ าก ไมใ่ ช่
ทีลอซู ทอี่ ้มุ ผาง หรือเทีย่ วแม่สอด ทา่ สองยาง ท่ีคนเขานิยมไปเท่ียวกัน แคไ่ ปพกั ทีใ่ นเมืองก็สบายเย็น
เป็นสขุ แล้วสำหรับฉัน ตวั เมอื งตากมภี มู ทิ ัศน์ท่ีสวยงาม สงบ คนรกั แมน่ ้ำอยา่ งฉนั เทใจให้แมน่ ำ้ ปิงที่นี่
หมดใจ ฉนั รกั แม่น้ำจนั ทด์ ้วยความรู้สกึ แบบหน่งึ ในขณะทีร่ กั แมป่ ิงท่ีน่ีดว้ ยความร้สู ึกอีกแบบ
สำหรบั ฉัน แม่นำ้ จันท์คือสายใยชีวิตแหง่ โลกวยั เยาว์ ฉนั รักเรอื นจำหลกั ลายรมิ นำ้ และวถิ ชี ีวติ
ของผคู้ นทีน่ ัน่ ทด่ี ูคับคัง่ อบอุน่ เหมอื นบนั ทึกแห่งตำนานอดตี ที่ฉันจดจำจับใจ ในขณะทแี่ มน่ ำ้ ปงิ ท่ใี นตวั
เมืองตากให้ความรูส้ กึ ปลอดโปร่ง เบาสบาย ดว้ ยสองฟากฝ่งั ไม่มบี า้ นเรือน หากมสี ภาพเหมอื นปา่ น้อยๆ
เต็มด้วยตน้ ไมส้ ีเขียวครม้ึ ไปทง้ั สองฟากฝ่ัง ถัดจากทิวไม้รายทาง ยังมีทวิ เขาทอดขนานโอบลำนำ้ เป็น
ภาพอันสดชน่ื เบาสบายกายใจ
ยามหน้าหนาวอยา่ งน้ี แมน่ ้ำปงิ สวยใสเต็มฝง่ั หากยามหน้ารอ้ นบริเวณสวนสาธารณะรมิ ปงิ
ดอกหางนกยงู สีแดงจัดแต่งแต้มแมน่ ้ำยามรอ้ นให้ดสู ดใส บ้างทิ้งกง่ิ เรีย่ นำ้ ทำให้แมน่ ้ำปงิ มชี วี ิตและสีสนั
สดใสไปอีกแบบ ยามเชา้ หรอื บ่ายเยน็ เพยี งมหี นังสอื ในมอื หรือสมดุ วาดภาพกับสีน้ำสักกลอ่ ง แค่ได้อ่าน
หนังสือหรือวาดภาพไปตามจินตนาการ โลกกเ็ ปน็ ของฉนั แล้วในยามน้ัน โปสการด์ จากฝมี อื วาดระดับ
เดก็ ชนั้ ประถมของฉัน จะมีบนั ทึกความเปน็ ไปในการเดินทางสง่ ถงึ เพ่ือนและคนร้จู กั คุน้ เคยเสมอ เป็น
ของฝากจากความรกั ระลึกถึงของคนพเนจรร่อนเร.่ ..
ตลาดนัดยามเช้าใกลโ้ รงแรมทพ่ี ัก มขี า้ วปลาอาหารพน้ื เมืองราคาถกู สม้ ล้ิม หรอื มะมว่ งกวน
แสนอร่อย กับขนมทอฟฟีม่ ะพร้าวหอมมันอุดมแคลอรีทฉ่ี ันชอบ กับขา้ วเหนียวหมยู า่ งห่อใบตองห่อละ
ห้าบาทกก็ ินได้หนงึ่ อ่ิม ฉนั ชอบแวะซื้อกุ้งหอยปูปลาตวั น้อยไปปล่อยลงแมน่ ำ้ ปงิ บางคร้ังกม็ ีเดก็ ๆ กลุ่ม
ใหญ่ทเ่ี ทีย่ วเลน่ อย่แู ถวนน้ั มาร่วมพิธีปล่อยกนั เป็นที่สนุกสนานร่ืนเรงิ
บอ่ ยคร้งั ทีน่ ง่ั ซ้อนมอเตอรไ์ ซค์เพ่อื น พาไปเลาะเลยี บริมปงิ ชมหมบู่ ้านแถวนอกเมอื งออกไป เห็น
เขาปลกู ดอกไม้ดอกไรส่ ีสนั สดใส แลว้ แวะมานัง่ เล่นรมิ น้ำ มรี า้ นอาหารเล็กๆ หน้าตาน่ารักใต้รม่ เงาคร้มึ
ของไมใ้ หญ่ สายลมเยน็ ยามบ่ายโชยชน่ื คอื โมงยามอันร่นื รมย์และชวี ติ เรยี บๆ งา่ ยๆ ที่ไดส้ มั ผสั ในยาม
ราตรีมาเยือนสะพานขา้ มลำน้ำปิงก็เปน็ จุดดูดาวที่สวยจับใจ ดวงดาวนับร้อยพันทอประกายระยบั อย่บู น
ม่านฟ้าราตรี เป็นค่ำคืนทอ่ี ่อนหวานจบั ใจ
จากโรงแรมในเมือง ฉนั มองเห็นแม่น้ำปิงหลับใหลอยูใ่ ต้ผืนฟ้าและดวงดาว เปน็ ภาพสุดท้ายที่
ฉนั ได้เหน็ ก่อนจะหลบั ไปอย่างเปีย่ มสุขในทกุ ค่ำคืนทไี่ ปเยือน เปน็ ความสขุ ชว่ งสั้นๆ อนั เรียบงา่ ยในโลก
ใบเล็กท่ีคนเดินทางอยา่ งฉนั เลือกให้กบั ตนเองในวันเหนือ่ ยล้าและตอ้ งการทพ่ี กั กายพกั ใจอนั สงบเย็น
เพือ่ จะได้มพี ลงั อันสดช่นื เต็มเปยี่ มก่อนคืนกลับสู่โลกใบใหญ่ของการงานและชวี ติ จริงทตี่ อ้ งเผชญิ อย่ทู ุก
เมอื่ เชือ่ วนั
สายนำ้ สองสาย-แมน่ ำ้ จันท์กับแม่น้ำปงิ ไกลห่างกันคนละถ่ินที่ ยงั คงมีบทเพลงเหก่ ล่อมของ
แม่นำ้ ผูอ้ ารีทข่ี ับกลอ่ มหัวใจให้แกฉ่ นั ในทุกยามของชีวิต ไมว่ า่ จะเป็นเสียงกระซิบปลอบประโลมในยาม
รำ่ นำ้ ตาท่เี หน็บหนาวรา้ วลึก หรอื บทเพลงสายน้ำเริงระบำยามสขุ สดใสยิ้มแจ่มในแววตา คอื สายใย
ผูกพนั อนั แสนงามในใจฉันเสมอมา...ตราบชัว่ ชวี ติ
ทม่ี า ถนนคนเดนิ ทาง อรสม สุทธิสาคร – แม่นำ้ สองสาย ลมหายใจแห่งความคิดถงึ
ชื่อหนังสือ ราคา ชอ่ื ผแู้ ต่ง แบบบนั ทึกการอ่าน
สำนกั พิมพ์ สถานทีพ่ มิ พ์ นามปากกา
จำนวนหนา้ บาท อ่านวนั ท่ี เดือน ปที ่ีพิมพ์
พ.ศ. เวลา
๑. สาระสำคัญของเรือ่ ง
๒. วิเคราะห์ขอ้ คิด/ประโยชน์ทไ่ี ด้จากเรื่องทอี่ า่ น
๓. สงิ่ ทส่ี ามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวนั
๔. ข้อเสนอแนะของครู
ลงชอื่ นักเรยี น ลงชอื่ ผู้ปกครอง
( )( )
ลงช่อื ครูผู้สอน
()
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ ๔ คะแนน
ผลงานมคี วามสมบรู ณ์ชัดเจน ให้ ๒ คะแนน
ผลงานมีขอ้ บกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ ๓ คะแนน
ผลงานมีขอ้ บกพรอ่ งเพียงเลก็ น้อย ให้ ๑ คะแนน
ผลงานมีข้อบกพร่องมาก
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 10
กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ท21121 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 โคลงโลกนติ ิ เวลา ๑๐ คาบ
เร่ือง การอา่ นจบั ใจความจากเอกสารทางวชิ าการ เวลา 1 ชว่ั โมง
ผูส้ อน นางสาวณัฐฐนิ นั ท์ สิมพา โรงเรยี นบ้านนาดีสรา้ งบง
หมายเหต…ุ ………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคิดเพอื่ นำไปใช้ตัดสินใจ แกป้ ัญหา
ในการดำเนนิ ชีวิตและมีนสิ ยั รักการอ่าน
ตัวชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๑/๔ ระบุและอธิบายคำเปรียบเทยี บและคำทมี่ ีหลายความหมายในบริบทต่างๆ จาก
การอา่ น
ม.๑/๕ ตีความคำยากในเอกสารวิชาการโดยพิจารณาจากบรบิ ท
สาระสำคัญ
การอ่านเอกสารวิชาการตอ้ งตคี วามคำยากในเอกสารท่ีมคี ำ ประโยค และขอ้ ความที่ตอ้ งใช้บรบิ ท
ชว่ ยพิจารณาความหมาย
จุดประสงค์การเรยี นรู้
๑. สามารถการตีความคำยากในเอกสารวิชาการโดยพิจารณาจากบรบิ ท
๑. สามารถตีความคำยากในเอกสารวชิ าการโดยพิจารณาจากบริบทได้
สมรรถนะหลกั
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซื่อสตั ยส์ จุ ริต
3. มวี ินยั
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มงุ่ มั่นในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจิตสาธารณะ
แนวความคดิ เพื่อการเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21
1. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
2. ทักษะดา้ นการเรยี นรูแ้ ละนวตั กรรม
3. ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี
4. ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
การอา่ นจบั ใจความจากส่อื ต่างๆ เชน่ เอกสารทางวิชาการท่ีมีคำ ประโยคและข้อความทีต่ ้องใช้
บรบิ ทช่วยพจิ ารณาความหมาย
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (ข้นั ตอน/กระบวนการ)
วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการเรยี นความรคู้ วามเขา้ ใจ
ข้นั ที่ ๑ สังเกต
๑. นักเรยี นตอบคำถามกระต้นุ ความคิด
๒. นกั เรยี นอา่ นเอกสารทต่ี ้องแปลความหมายของคำยากจาก ใบงานที่ ๒.๔ เรือ่ ง การอ่านตีความ
เอกสารทางวิชาการ และให้นกั เรยี นต้ังขอ้ สังเกต วิเคราะห์ข้อมูล รวบรวมคำยาก ทำความเข้าใจในคำทีต่ อ้ ง
แปลความหมาย และกำหนดจดุ ประสงค์เพ่ือแสวงหาคำตอบตอ่ ไป
ขนั้ ที่ ๒ วางแผนปฏบิ ัติ
๓. นักเรียนรวมกลมุ่ เดิม (จากแผนการจดั การเรยี นที่ ๑) จากนน้ั ให้นักเรียนแตล่ ะกล่มุ นำคำยาก
จากใบงานท่ี ๒.๔ ท่ตี ้องแปลความหมายมาชว่ ยกนั วางแผนคน้ หาคำตอบ กำหนดแนวทางคน้ หาคำตอบ
๔. นกั เรยี นตอบคำถามกระตนุ้ ความคดิ
ข้ันที่ ๓ ลงมือปฏิบัติ
๕. นักเรียนตอบคำถามกระตุน้ ความคิด
๖. นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ ศกึ ษาความหมายเดมิ ของคำยากจากพจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๔๒
ขน้ั ที่ ๔ พฒั นาความรู้ ความเขา้ ใจ
๗. นักเรยี นตอบคำถามกระตนุ้ ความคิด
๘. นักเรยี นนำความหมายของคำยากที่รวบรวมมาร่วมกันอภิปรายความหมายของคำยากโดยเชือ่ มโยง
กบั ความหมายของคำในบรบิ ท
๙. นกั เรียนบันทึกคำตอบลงในใบงานที่ ๒.๔ เร่ือง การอา่ นตีความเอกสารทางวิชาการ เมอ่ื ทำเสร็จแล้ว
นำสง่ ครูตรวจ
ขั้นที่ ๕ สรุป
๑๐. นักเรยี นแต่ละกลุ่มใหค้ ำจำกดั ความของคำท่ีตคี วาม เพอื่ สรุป เป็นสาระสำคญั ทีค่ วรรู้ และบันทึก
ในสมดุ
๑๑. ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรุปหลักการอา่ นตีความ เพือ่ ใหน้ ักเรยี นมคี วามเข้าใจเพ่มิ มากขน้ึ K
ส่อื (วสั ดุ-อุปกรณ์-สงิ่ พิมพ์) / นวัตกรรม / ICT
๑. พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
๒. ใบงานท่ี ๒.๔ เรือ่ ง การอา่ นตคี วามเอกสารทางวชิ าการ
แหลง่ การเรียนรู้
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ เครือ่ งมือวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารวัด
วธิ ีการวัดผลและการประเมินผล -แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ -ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผ่าน
ทำงานกล่มุ เกณฑ์
ดา้ นความรู้ (K) -สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม - ใบงาน ๒.๔ -รอ้ ยละ ๖๐ ผ่านเกณฑ์
-ตรวจใบงาน ๒.๔ -แบบประเมินการนำเสนอ - ระดับคุณภาพ ๒ ผ่าน
ผลงาน เกณฑ์
ด้านทกั ษะ/ ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
กระบวนการ (P) - แบบประเมินคณุ ลักษณะอัน - ระดับคุณภาพ 2 ผา่ น
พงึ ประสงค์ เกณฑ์
ด้านคณุ ธรรม - สงั เกตการใฝเ่ รยี นรู้ มคี วาม
จริยธรรม และ รับผดิ ชอบ และรกั ความเป็นไทย
ค่านิยม (A)
กิจกรรมเสนอแนะ
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .....................................................ผเู้ ขยี นแผนการจดั การเรียนรู้
................/.................../................
ใบงานท่ี ๒.๔
การอ่านตคี วามเอกสารทางวิชาการ
คำช้แี จง ให้นักเรยี นอา่ นบทความทางวชิ าการแลว้ ค้นหาความหมายของคำศัพท์ยาก โดยใชพ้ จนานกุ รม
ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ค่านยิ มเกยี่ วกับผูท้ บ่ี วชเรียนมีสงู มาก สงั คมถือว่าผบู้ วชเรยี นแล้วเปน็ บัณฑติ ออกเสียงว่า
บนั ดิดหรือเปน็ คนสกุ แล้ว พอ่ แม่สว่ นมากจะไมย่ อมยกบตุ รสาวใหแ้ ต่งงานกบั คนทยี่ งั ไม่ผา่ นการเปน็
บัณฑิตหรอื เป็นคนสกุ เปน็ อันขาด ตอ่ มาคำวา่ บัณหายไปเหลือแตฑ่ ิต ตอ่ มาก็เขยี นเป็นทิดแทน จนบัดน้ี
ใครที่ไมร่ ้คู วามเป็นมาก็ยากจะโยงได้วา่ บณั ฑิตกบั ฑิด-ทดิ เปน็ คำเดยี วกนั
การเขา้ พรรษาเปน็ พิธีกรรมสำหรบั พระภิกษุเทา่ นน้ั สามเณรมีส่วนบา้ งเฉพาะวนั เขา้ พรรษา แต่
ไม่มวี นั ออกพรรษา คฤหสั ถอ์ ยา่ งเราไม่นา่ เกย่ี วขอ้ งด้วย
ท่จี รงิ จะวา่ เก่ยี วกเ็ กีย่ ว ไม่เก่ียวกไ็ มเ่ ก่ยี ว ขึ้นอยู่กบั คำวา่ เกี่ยวน้ันหมายเอาเก่ยี วในระดับใด ถา้
เป็นการเลอื ก ทม่ี งุ ท่ีบงั อันมดิ ชิดปลอดภัย ถึงวนั เข้าพรรษาแลว้ ตงั้ สัจอธิษฐานวา่ “เราจะอยจู่ ำ
พรรษา ณ อาวาสแหง่ นีต้ ลอดสามเดือนใน ฤดูฝนแลว้ กอ็ ยู่ ณ ท่ีน้ันโดยไมไ่ ปคา้ งคืนท่ีไหนตลอดสาม
เดอื น นอกจากมีกิจธรุ ะจำเปน็ ตามที่บญั ญตั ไิ ว้ในพระวนิ ัย ถ้าอยา่ งนคี้ ฤหสั ถ์ไม่เกย่ี วเป็นพธิ ีกรรมสำหรับ
พระภิกษเุ ทา่ นั้น
แตถ่ ้าคิดว่าชาวบ้านทั้งชายและหญิงเปน็ พุทธศาสนิกชนมีหนา้ ท่ีอุปถมั ภ์บำรุงพระสงฆ์ วัดวา
อาราม และพระพุทธศาสนาโดยรวม ชาวบ้านอย่างเรากย็ ่อมเก่ยี วข้องดว้ ยอย่างเลีย่ งไมไ่ ด้ คือชาวบ้านได้
มโี อกาสถวายจตปุ ัจจัยไทยทาน ทำบญุ ตกั บาตร ถวายผ้าอาบน้ำฝน เขา้ วดั ฟงั ธรรมในช่วงเขา้ พรรษา
นบั วา่ ไดท้ ำประโยชนท์ งั้ แก่ตนเองและแก่พระพทุ ธศาสนา
ทม่ี า มาเขา้ พรรษากันเถอะ ของ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก จากหนงั สอื พมิ พ์มติชน ฉบบั วันอาทิตย์ท่ี ๑๗
กรกฎาคมพุทธศกั ราช ๒๕๕๔
คำศพั ท์ ความหมาย
เฉลย ใบงานท่ี ๒.๔
การอ่านตีความเอกสารทางวชิ าการ
คำช้แี จง ให้นักเรียนอา่ นบทความทางวิชาการแลว้ ค้นหาความหมายของคำศพั ทย์ าก โดยใชพ้ จนานกุ รม
ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ค่านยิ มเกย่ี วกับผ้ทู ี่บวชเรยี นมสี ูงมาก สงั คมถอื ว่าผู้บวชเรียนแล้วเปน็ บัณฑิต ออกเสยี งว่า
บนั ดดิ หรือเป็นคนสุกแล้ว พอ่ แม่สว่ นมากจะไม่ยอมยกบตุ รสาวใหแ้ ต่งงานกับคนท่ยี ังไม่ผา่ นการเป็น
บัณฑติ หรือเป็นคนสุกเป็นอนั ขาด ตอ่ มาคำวา่ บัณหายไปเหลอื แต่ฑิต ต่อมาก็เขยี นเปน็ ทดิ แทน จนบัดน้ี
ใครทไี่ มร่ คู้ วามเป็นมากย็ ากจะโยงได้วา่ บณั ฑติ กบั ฑดิ -ทดิ เปน็ คำเดยี วกนั
การเขา้ พรรษาเป็นพิธีกรรมสำหรบั พระภิกษเุ ท่านั้น สามเณรมีส่วนบา้ งเฉพาะวนั เขา้ พรรษา แต่
ไมม่ ีวันออกพรรษา คฤหสั ถ์อยา่ งเราไม่นา่ เกี่ยวขอ้ งดว้ ย
ทีจ่ ริงจะวา่ เกยี่ วกเ็ กี่ยว ไมเ่ ก่ยี วก็ไม่เก่ียว ขน้ึ อย่กู บั คำว่าเกย่ี วนนั้ หมายเอาเก่ียวในระดบั ใด ถา้
เปน็ การเลือก ที่มงุ ทบ่ี ังอันมิดชิดปลอดภัย ถงึ วันเข้าพรรษาแลว้ ตงั้ สัจอธษิ ฐานว่า “เราจะอยู่จำ
พรรษา ณ อาวาสแหง่ นีต้ ลอดสามเดอื นใน ฤดูฝนแลว้ ก็อยู่ ณ ทีน่ น้ั โดยไม่ไปคา้ งคืนท่ีไหนตลอดสาม
เดือน นอกจากมกี ิจธรุ ะจำเป็นตามท่ีบัญญตั ไิ ว้ในพระวนิ ยั ถ้าอยา่ งนีค้ ฤหัสถ์ไม่เก่ยี วเป็นพธิ กี รรมสำหรบั
พระภกิ ษเุ ท่าน้ัน
แตถ่ า้ คิดว่าชาวบ้านทง้ั ชายและหญิงเป็นพุทธศาสนกิ ชนมีหน้าทอี่ ปุ ถมั ภ์บำรุงพระสงฆ์ วัดวา
อาราม และพระพุทธศาสนาโดยรวม ชาวบ้านอย่างเราก็ยอ่ มเกี่ยวข้องดว้ ยอยา่ งเลีย่ งไมไ่ ด้ คือชาวบ้านได้
มีโอกาสถวายจตุปัจจยั ไทยทาน ทำบุญตักบาตร ถวายผา้ อาบน้ำฝน เขา้ วัดฟงั ธรรมในช่วงเข้าพรรษา
นับว่าได้ทำประโยชนท์ งั้ แกต่ นเองและแกพ่ ระพทุ ธศาสนา
ทมี่ า มาเข้าพรรษากันเถอะ ของ เสฐียรพงษ์ วรรณปก จากหนงั สือพิมพม์ ตชิ น ฉบบั วันอาทิตย์ท่ี ๑๗
กรกฎาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๔
(ตวั อยา่ ง)
คำศัพท์ ความหมาย
1. บัณฑิต ผู้ทรงความรู้, ผู้มปี ญั ญา, ผู้สำเร็จการศกึ ษาข้ันปริญญา
2. อธษิ ฐาน ตั้งใจมงุ่ ผลอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง, ต้งั จิตอธษิ ฐาน
3. อปุ ถมั ภ์ การค้ำจนุ , การสนบั สนุน, การเลีย้ งดู
4. คฤหัสถ์ ผ้คู รองเรอื น, ผู้ไม่ใชน่ ักบวช
5. จตปุ ัจจัย เครอ่ื งอาศัยเลย้ี งชวี ติ ของบรรพชติ ในพระพุทธศาสนา
6. อาวาส วดั
(พจิ ารณาตามคำตอบของนกั เรียน โดยให้อยู่ในดลุ ยพินจิ ของครผู ้สู อน)
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 11
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ท21121 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 โคลงโลกนิติ เวลา ๑๐ คาบ
เรื่อง การอา่ นและปฏบิ ัตติ ามเอกสารค่มู ือ เวลา 1 ช่วั โมง
ผูส้ อน นางสาวณฐั ฐินนั ท์ สิมพา โรงเรียนบ้านนาดีสร้างบง
หมายเหตุ…………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรแู้ ละความคดิ เพ่ือนำไปใช้ตดั สินใจ แก้ปญั หา
ในการดำเนินชีวติ และมนี สิ ยั รักการอ่าน
ตัวช้ีวัด
ท ๑.๑ ม.๑/๗ ปฏิบตั ิตามคู่มอื แนะนำวธิ ีการใชง้ านของเครอ่ื งมือหรือเครือ่ งใชใ้ นระดับทย่ี ากขึ้น
สาระสำคญั
การปฏิบัตติ ามคู่มือแนะนำวิธกี ารใช้งานของเคร่ืองมอื หรอื เครอื่ งใช้ ช่วยใหใ้ ชเ้ คร่ืองมือไดถ้ กู วิธี
จุดประสงค์การเรยี นรู้
๑. การปฏิบัติตามค่มู ือแนะนำวธิ กี ารใช้งานของเครอ่ื งมอื หรือเครื่องใช้ในระดับทีย่ ากขน้ึ
2. สามารถปฏิบตั ิตามคู่มอื แนะนำวิธีการใช้งานของเครอื่ งมอื หรือเครื่องใช้ในระดับที่ยากขึน้ ได้
สมรรถนะหลัก
๑. ความสามารถในการสอื่ สาร
๒. ความสามารถในการคิด
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซอื่ สัตยส์ ุจริต
๓. มวี นิ ัย
๔. ใฝเ่ รยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มุ่งมน่ั ในการทำงาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ
แนวความคิดเพอ่ื การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑
๑. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
๒. ทักษะดา้ นการเรียนรู้และนวัตกรรม
๓. ทกั ษะด้านสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี
๔. ทักษะดา้ นชวี ิตและอาชพี
สาระการเรียนรู้
การอ่านและปฏบิ ัตติ ามเอกสารคมู่ อื
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (ขั้นตอน/กระบวนการ)
วิธีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : ๕E)
ข้นั ท่ี ๑ กระตนุ้ ความสนใจ
๑. นักเรยี นตอบคำถามกระต้นุ ความคดิ
๒. ครซู ักถามนกั เรยี นวา่ เวลานกั เรยี นใชเ้ ครอื่ งมือหรือเคร่อื งใชต้ ่างๆ นกั เรียนเคยอา่ นคู่มือหรอื ไม่
๓. ครูสนทนากับนักเรยี นเกีย่ วกบั ประโยชนข์ องค่มู ือการใชเ้ ครื่องมอื ต่างๆ
๔. ครูอธิบายให้นกั เรียนเขา้ ใจว่า คมู่ อื การใช้เคร่อื งมอื หรอื เคร่ืองใชต้ ่างๆ มีประโยชนม์ าก ทำให้
สามารถใชเ้ ครื่องมือหรือเครือ่ งใชเ้ หล่านน้ั ได้ถูกวิธี
ขัน้ ท่ี ๒ สำรวจค้นหา
๕. นักเรยี นศึกษาความรู้เรอ่ื ง การอ่านตคี วามเอกสารคมู่ อื จากหนงั สือเรียน
๖. ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายสรปุ ใจความสำคัญหลักการอา่ นตีความเอกสารคู่มือ
๗. นกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชน์ทีไ่ ด้จากการอา่ นตีความเอกสารคู่มอื
ขั้นท่ี ๓ อธิบายความรู้
๘. นกั เรียนรวมกลุม่ เดิม (จากแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑) จากน้นั ให้สมาชิกแต่ละคนนำคู่มือแนะนำ
วธิ ีการใช้งานของเคร่อื งมือหรอื เครื่องใช้ชนิดใดชนิดหนึ่ง (ครมู อบหมายให้นักเรยี นจัดเตรยี มมาลว่ งหน้า)
เพ่อื นำมาใชใ้ นการศึกษา
๙. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เลอื กคมู่ อื แนะนำวธิ กี ารใช้งานมากลมุ่ ละ ๑ เร่อื ง และช่วยกันตีความคู่มอื โดยใช้
หลกั การจบั ใจความสำคญั
๑๐.นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ สรุปผลการตีความคมู่ อื แล้วสรุปใจความสำคญั จากนน้ั ส่งตวั แทนกลุ่มออกมา
รายงานผลและอธบิ ายข้อมูลจากค่มู ือแนะนำวิธีการใช้งานของเครือ่ งมอื หรอื เครอ่ื งใชท้ กี่ ลุ่มเลอื ก
ขั้นท่ี ๔ ขยายความเขา้ ใจ
๑๑. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันทำใบงานท่ี ๒.๕ เร่อื ง การปฏิบัตติ ามคูม่ อื แนะนำวธิ กี ารใชง้ านของ
เครอ่ื งใช้ โดยการอา่ นเร่อื งต้งั แต่ตน้ จนจบ หลังจากนั้นทดลองปฏิบตั ิการใชเ้ ครื่องช่ังสปรงิ ตามข้ันตอน เสรจ็
แล้วส่งครตู รวจ (คู่มอื การใช้เคร่อื งชัง่ สปรงิ น้ีเปน็ เพียงการยกตวั อยา่ ง เพื่อการทดลองและปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอน
การใช้งานจริง ครสู ามารถเลอื กหรือเปลย่ี นไดต้ ามความเหมาะสม เช่น คู่มอื แนะนำวธิ กี ารใช้งานของพัดลม
เตารดี ไอน้ำ ช้ันวางทวี ี หรือเคร่อื งปั่นนำ้ ผลไม้ เพ่ือความสะดวกและง่ายตอ่ การศึกษาของนักเรยี น)
ขั้นท่ี ๕ ตรวจสอบผล
๑๒. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ สง่ ตวั แทนนำเสนอผลการทำใบงานที่ ๒.๕ K
๑๓. ครปู ระเมนิ ผลการนำเสนอผลงานของนกั เรยี นแตล่ ะกลุ่ม K
สอื่ (วัสดุ-อปุ กรณ์-ส่งิ พมิ พ์) / นวตั กรรม / ICT
๑) หนงั สือเรียน ภาษาไทย : หลกั ภาษาและการใช้ภาษา ม.๑
๒) คมู่ ือแนะนำวธิ กี ารใชง้ านของเครอ่ื งมอื หรอื เครอื่ งใช้
๓) เครอ่ื งชั่งสปริง
๔) ใบงานที่ ๒.๕ เรอื่ ง การปฏิบัตติ ามคู่มอื แนะนำวิธกี ารใช้งานของเครื่องใช้
แหลง่ การเรียนรู้
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ เครือ่ งมือวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารวัด
วธิ ีการวัดผลและการประเมินผล -แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ -ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผ่าน
ทำงานกล่มุ เกณฑ์
ดา้ นความรู้ (K) -สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม - ใบงาน ๒.๕ -รอ้ ยละ ๖๐ ผ่านเกณฑ์
-ตรวจใบงาน ๒.๕ -แบบประเมินการนำเสนอ - ระดับคุณภาพ ๒ ผ่าน
ผลงาน เกณฑ์
ด้านทกั ษะ/ ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
กระบวนการ (P) - แบบประเมินคณุ ลักษณะอัน - ระดับคุณภาพ ๒ ผา่ น
พงึ ประสงค์ เกณฑ์
ด้านคณุ ธรรม - สงั เกตการใฝเ่ รยี นรู้ มคี วาม
จริยธรรม และ รับผดิ ชอบ และรกั ความเป็นไทย
ค่านิยม (A)
กิจกรรมเสนอแนะ
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .....................................................ผเู้ ขยี นแผนการจดั การเรียนรู้
................/.................../................
ใบงานที่ ๒.๕
การปฏบิ ัติตามคมู่ อื แนะนำวิธกี ารใชง้ านของเครอ่ื งใช้
คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนอ่านและปฏิบัตติ ามคู่มือแนะนำวธิ กี ารใช้งานของเคร่ืองใช้ แลว้ ตอบคำถาม
วธิ ีใชแ้ ละการดูแลรักษาเครอ่ื งชงั่ ชนดิ ท่ี ๖ (เครื่องช่ังสปริง)
เพื่อใหก้ ารใช้เคร่อื งชง่ั ชนิดท่ี ๖ (เครือ่ งชงั่ สปรงิ ) แบบหนา้ ปดั กระจกถูกต้องเที่ยงตรงอยู่เสมอ จงึ แนะนำวธิ ีใช้และ
การดแู ลรักษาเครอ่ื งชัง่ ดังนี้
วิธีใช้
* ต้งั เครอ่ื งชั่งใหไ้ ด้ระดับกับพ้นื ราบ (เครือ่ งชัง่ สองหนา้ หากไม่ได้ระดบั เขม็ จะไม่ตรงกนั )
* ถาดชงั่ ต้องมหี มายเลขตรงกับเครือ่ งชงั่ และสะอาด
* ก่อนชงั่ เขม็ จะตอ้ งตรงศูนย์ (๐) ถา้ ไมต่ รง ให้ปรับให้ตรงด้วยวธิ ใี ช้คมี หมนุ นอ็ ตใต้ถาดชงั่
* อย่าชง่ั น้ำหนักเกินพิกดั กำลงั ของเครือ่ งชง่ั
* การชัง่ ใหว้ างส่งิ ของตรงบรเิ วณกงึ่ กลางของถาดช่งั
* อย่าวางสงิ่ ของลงบนถาดชัง่ ดว้ ยวิธีกระแทก
* ถา้ ชงั่ สงิ่ ทไี่ มส่ ะอาด ควรห่อหมุ้ เสียกอ่ น
การเก็บรักษา
* เมือ่ ไมใ่ ชเ้ คร่ืองช่ัง ไมค่ วรวางสงิ่ ของไวบ้ นถาดช่ัง
* ระวงั อย่าให้นำ้ เขา้ ไปในเคร่ืองช่ัง
* ควรต้งั เครื่องชั่งไวใ้ นที่ไม่มฝี ุ่นผงและความชน้ื
คำเตือน
* การใช้เคร่ืองชง่ั ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง ผ้ใู ชอ้ าจมีความผดิ ทางอาญา
* เมอ่ื สงสัยวา่ เครอื่ งชงั่ ไมถ่ กู ตอ้ ง ใหส้ อบเทยี บกบั ตมุ้ นำ้ หนกั ทม่ี ตี ราเครื่องหมายคำรบั รอง
(ตราครฑุ )
* ถา้ ไม่มตี มุ้ นำ้ หนักให้สอบเทยี บน้ำหนกั ส่งิ ของกับเครอื่ งชง่ั อน่ื ๆ ที่ถกู ตอ้ ง
* เมื่อปรากฏวา่ เครือ่ งช่งั ไมถ่ ูกตอ้ งหรือเกดิ ชำรุดเสียหาย หา้ มใชเ้ ด็ดขาด ให้จัดหาทดแทนใหม่
คำถาม
1. เอกสารคูม่ อื ฉบับนใ้ี หค้ วามรเู้ ก่ียวกับอะไร
2. ถา้ นกั เรียนสงสัยวา่ เครื่องชง่ั สปริงท่ีแม่คา้ ใชข้ ายของในตลาดเมื่อใชช้ ั่งของแล้ว น้ำหนกั ของไม่ตรง
ตามความเป็นจรงิ นกั เรียนจะทำอย่างไร
3. ใหน้ ักเรียนทดลองปฏิบัติจรงิ ตามขน้ั ตอนแลว้ เขยี นสรุปวิธใี ช้เครื่องชงั่ สปรงิ
4. ใหน้ กั เรียนแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับคู่มอื แนะนำวธิ ีการใช้งานของเคร่ืองชัง่ สปรงิ
เฉลย ใบงานที่ ๒.๕
การปฏบิ ัตติ ามคูม่ อื แนะนำวธิ กี ารใช้งานของเครอ่ื งใช้
คำช้แี จง ให้นักเรียนอา่ นและปฏิบตั ิตามค่มู ือแนะนำวธิ กี ารใชง้ านของเครอื่ งใช้ แลว้ ตอบคำถาม
วธิ ีใช้และการดูแลรกั ษาเครื่องชง่ั ชนดิ ท่ี ๖ (เคร่ืองชัง่ สปริง)
เพอ่ื ใหก้ ารใชเ้ ครอ่ื งช่งั ชนดิ ท่ี ๖ (เครือ่ งชั่งสปริง) แบบหนา้ ปัดกระจกถกู ตอ้ งเทย่ี งตรงอยเู่ สมอ จงึ แนะนำวิธใี ชแ้ ละ
การดูแลรักษาเครอื่ งชงั่ ดงั น้ี
วิธีใช้
* ตง้ั เครอื่ งชัง่ ให้ไดร้ ะดับกบั พน้ื ราบ (เครื่องช่ังสองหนา้ หากไม่ได้ระดับเขม็ จะไม่ตรงกนั )
* ถาดชงั่ ต้องมีหมายเลขตรงกับเครือ่ งช่งั และสะอาด
* ก่อนชงั่ เขม็ จะตอ้ งตรงศนู ย์ (๐) ถา้ ไม่ตรง ให้ปรับใหต้ รงด้วยวธิ ีใชค้ มี หมนุ น็อตใต้ถาดชัง่
* อย่าช่ังน้ำหนักเกินพกิ ดั กำลงั ของเคร่อื งชง่ั
* การช่งั ใหว้ างสิ่งของตรงบริเวณกึง่ กลางของถาดช่งั
* อย่าวางส่งิ ของลงบนถาดชง่ั ดว้ ยวิธีกระแทก
* ถา้ ชง่ั สิ่งทไ่ี ม่สะอาด ควรห่อหุ้มเสียก่อน
การเกบ็ รกั ษา
* เมอื่ ไม่ใชเ้ ครอื่ งชั่ง ไม่ควรวางสิ่งของไว้บนถาดชงั่
* ระวังอยา่ ให้น้ำเขา้ ไปในเครอ่ื งชั่ง
* ควรตัง้ เคร่ืองช่ังไว้ในทีไ่ ม่มีฝุ่นผงและความชน้ื
คำเตอื น
* การใชเ้ ครอ่ื งชง่ั ท่ไี ม่ถูกตอ้ ง ผูใ้ ชอ้ าจมีความผดิ ทางอาญา
* เมื่อสงสัยว่าเครือ่ งชงั่ ไมถ่ ูกต้อง ใหส้ อบเทยี บกบั ตุ้มนำ้ หนักทีม่ ตี ราเครอื่ งหมายคำรับรอง
(ตราครุฑ)
* ถ้าไม่มตี มุ้ นำ้ หนักใหส้ อบเทียบนำ้ หนกั ส่ิงของกับเครอ่ื งชง่ั อืน่ ๆ ทถ่ี ูกต้อง
* เมื่อปรากฏว่าเครอื่ งช่งั ไม่ถูกต้องหรอื เกดิ ชำรดุ เสยี หาย หา้ มใช้เด็ดขาด ให้จัดหาทดแทนใหม่
คำถาม
1. เอกสารคูม่ ือฉบับน้ใี ห้ความรเู้ ก่ียวกบั อะไร
การใช้ การเกบ็ รักษา และคำเตอื นในการใชต้ าชั่งสปรงิ
2. ถ้านักเรียนสงสยั วา่ เคร่อื งช่งั สปริงท่แี มค่ ้าใช้ขายของในตลาดเมอ่ื ใช้ช่งั ของแลว้ นำ้ หนักของไม่ตรง
ตามความเป็นจริง นกั เรียนจะทำอย่างไร
๑. ใหส้ อบเทยี บกบั ตมุ้ น้ำหนกั ทม่ี ีตราเครื่องหมายคำรบั รอง (ตราครุฑ)
๒. ถ้าไมม่ ตี มุ้ น้ำหนักใหส้ อบเทียบน้ำหนักสิง่ ของกับเครอ่ื งช่งั อ่ืนๆ ท่ีถกู ต้อง
๓. เมอ่ื ปรากฏวา่ เครือ่ งชั่งไม่ถกู ตอ้ งหรอื เกิดชำรุดเสียหาย หา้ มใช้เด็ดขาดให้จัดหาทดแทนใหม่ ถ้าใช้
เคร่อื งชง่ั ท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง ผ้ใู ช้อาจมคี วามผดิ ทางอาญา
3. ใหน้ ักเรียนทดลองปฏิบตั ิจริงตามข้นั ตอนแลว้ เขยี นสรุปวิธใี ช้เครือ่ งช่ังสปริง
(พจิ ารณาตามคำตอบของนกั เรยี น โดยใหอ้ ยใู่ นดุลยพนิ ิจของครผู ูส้ อน)
4. ใหน้ กั เรียนแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั คู่มอื แนะนำวิธกี ารใชง้ านของเคร่อื งชัง่ สปรงิ
(พจิ ารณาตามคำตอบของนักเรยี น โดยใหอ้ ยใู่ นดลุ ยพนิ จิ ของครผู ้สู อน)
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑2
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ท21121 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 โคลงโลกนติ ิ เวลา ๑๐ คาบ
เรอ่ื ง การอ่านตามความสนใจ เวลา 1 ช่ัวโมง
ผสู้ อน นางสาวณัฐฐินนั ท์ สิมพา โรงเรียนบ้านนาดสี ร้างบง
หมายเหตุ…………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสรา้ งความรแู้ ละความคิดเพื่อนำไปใช้ตดั สนิ ใจ แก้ปญั หา
ในการดำเนินชวี ิตและมนี สิ ยั รักการอา่ น
ตัวช้วี ัด
ท ๑.๑ ม.๑/๘ วเิ คราะห์คณุ คา่ ท่ีไดร้ บั จากการอ่านงานเขยี นอย่างหลากหลายเพ่อื นำไปใช้
แก้ปัญหาในชีวิต
ม.๑/๙ มีมารยาทในการอา่ น
สาระสำคัญ
การอ่านหนงั สอื ทีน่ ักเรยี นสนใจและเหมาะสมกับวัยอย่างมีมารยาท แล้วนำมาวิเคราะหค์ ณุ คา่ ท่ี
ได้รับจากการอา่ น จะช่วยใหส้ ามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๑. การวเิ คราะห์คุณค่าทไ่ี ด้รับจากการอา่ นหนงั สือตามความสนใจและเหมาะสมกับวัย เพ่อื
นำไปใช้แกป้ ัญหาในชวี ิต
2. สามารถวเิ คราะหค์ ณุ ค่าท่ีได้รบั จากการอ่านหนังสือตามความสนใจและเหมาะสมกับวยั
เพือ่ นำไปใช้แกป้ ญั หาในชีวิตได้
3. มมี ารยาทในการอา่ น
สมรรถนะหลัก
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซอื่ สตั ยส์ ุจริต
๓. มวี นิ ยั
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มุ่งม่ันในการทำงาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มีจติ สาธารณะ
แนวความคิดเพื่อการเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21
๑. สาระวิชาหลัก (Core Subjects)
๒. ทักษะดา้ นการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม
๓. ทกั ษะด้านสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี
๔. ทกั ษะด้านชวี ติ และอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
๑. การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่นหนังสือทน่ี กั เรียนสนใจและเหมาะสมกบั วยั
๒. มารยาทในการอ่าน
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (ข้ันตอน/กระบวนการ)
วิธสี อนแบบ SQ๔R
ขนั้ นำเขา้ สู่บทเรยี น
๑. ครจู ัดบรรยากาศส่งเสรมิ การอา่ นในห้องเรียน จากนน้ั ครูเล่าถึงหนังสือทคี่ รสู นใจ ๑ เรอ่ื ง
๒. นักเรยี นเตรียมหนังสอื ทีส่ นใจมาคนละ ๑ เล่ม แล้วให้นักเรยี นพดู แนะนำหนังสือสน้ั ๆ
๓. นกั เรียนศกึ ษาใบความรู้เรื่องการอ่านเชงิ วิเคราะห์ โดยทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์หนงั สอื
๔. นักเรียนตอบคำถามกระตนุ้ ความคิด
ขนั้ สอน
๕. Survey (S) นักเรยี นอา่ นหนังสือเรือ่ งท่เี ตรียมมาอย่างครา่ วๆ เพ่อื หาจุดสำคญั
๖. Question (Q) นักเรียนต้งั คำถามเกี่ยวกบั เร่ืองทอ่ี า่ น
๗. Read (R) อา่ นเรือ่ งนน้ั ซ้ำอยา่ งละเอยี ดและในขณะเดยี วกันก็ค้นหาคำตอบสำหรบั คำถามทไ่ี ด้ต้ังไว้
๘. Record (R) นักเรียนจดบนั ทกึ ขอ้ มลู ในส่วนที่สำคญั และ ส่ิงที่จำเปน็ ท่ไี ด้จากการอ่านในขั้นตอนท่ี
๓ โดยใชข้ อ้ ความอยา่ งรัดกมุ หรอื ยอ่ ตามความเขา้ ใจ
๙. Recite (R) นกั เรียนเขยี นสรุปใจความสำคัญโดยพยายามใช้ภาษาของตนเอง หากนักเรยี นยังไม่
แนใ่ จให้กลับไปอ่านซำ้ ใหม่
๑๐. Reflect (R) นกั เรียนวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ เรื่องที่อ่านแลว้ พจิ ารณาคณุ ค่า ขอ้ คิดจากงานเขยี นใน
ด้านวธิ ีการเขยี น การใช้ภาษา ภาพสะท้อนจากเร่ือง แนวทางปฏิบัติจากเรื่อง แลว้ แสดงความคิดเหน็ ใน
ประเดน็ ท่ผี เู้ รียนมีความคิดเห็นสอดคล้องหรอื มีความคิดเหน็ ไม่สอดคลอ้ ง โดยบันทกึ ลงใน ใบงานที่ ๒.๖
เรอ่ื ง การวเิ คราะห์คุณค่าหนงั สือตาม ความสนใจ
ขัน้ สรุปและประเมนิ ผล
๑๑. นักเรียนนำเสนอผลงานในใบงานท่ี ๒.๖ พร้อมบอกแนวทางหรือวธิ กี ารนำไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์
จากนั้นนำส่งครตู รวจ
๑๒. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ หลักการวิเคราะห์คณุ ค่าหนังสือ
ส่อื (วสั ดุ-อุปกรณ์-ส่งิ พมิ พ)์ / นวตั กรรม / ICT
๑) ใบความรู้ เรื่อง การอ่านเชงิ วิเคราะห์
๒) หนังสือที่นักเรยี นสนใจ
๓) ใบงานที่ ๒.๖ เรอ่ื ง การวิเคราะหค์ ุณคา่ หนังสือตามความสนใจ
แหลง่ การเรยี นรู้
-
การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล เกณฑก์ ารวัด
-แบบสงั เกตพฤติกรรมการ -ระดับคุณภาพ ๒ ผา่ น
วธิ กี ารวัดผลและการประเมินผล ทำงานรายบุคคล เกณฑ์
- ใบงาน ๒.๖ -ร้อยละ ๖๐ ผา่ นเกณฑ์
ด้านความรู้ (K) -สงั เกตพฤติกรรมการทำงาน
รายบุคคล -แบบประเมินการนำเสนอ - ระดับคุณภาพ ๒ ผา่ น
-ตรวจใบงาน ๒.๖ ผลงาน เกณฑ์
ด้านทักษะ/ ประเมนิ การนำเสนอผลงาน - แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั - ระดบั คณุ ภาพ 2 ผา่ น
กระบวนการ (P) พึงประสงค์ เกณฑ์
ดา้ นคุณธรรม - สังเกตการใฝเ่ รยี นรู้ มคี วาม
จริยธรรม และ รับผิดชอบ และรักความเปน็ ไทย
คา่ นยิ ม (A)
กิจกรรมเสนอแนะ
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.....................................................ผู้เขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้
................/.................../................
ใบความรู้
การอา่ นเชงิ วิเคราะห์
การอา่ นเชิงวเิ คราะหเ์ ปน็ การอา่ นหนงั สอื แต่ละเล่มอยา่ งละเอยี ดใหไ้ ด้ความครบถ้วน แลว้ จงึ
แยกแยะให้ได้วา่ สว่ นต่างๆ น้นั มีความหมายและความสำคัญอยา่ งไรบา้ ง แต่ละด้านสัมพนั ธก์ บั ส่วนอ่ืนๆ
อยา่ งไร
วธิ อี ่านแบบวเิ คราะหน์ ี้ อาจใช้วิเคราะห์องคป์ ระกอบของคำและวลี การใช้คำในประโยค วเิ คราะห์
สำนวนภาษา จุดประสงคข์ องผ้แู ตง่ ไปจนถงึ การวิเคราะหน์ ยั หรือเบ้อื งหลังการจดั ทำหนงั สือหรือเอกสาร
นั้น
การวเิ คราะห์เรือ่ งทอี่ ่านทกุ ชนิด ส่ิงทจี่ ะละเลยไม่ได้ คือ การพจิ ารณาถึงการใช้ถอ้ ยคำ สำนวน
ภาษาว่า มคี วามเหมาะสมกับระดับและประเภทของงานเขยี นหรอื ไม่ เชน่ ในบทสนทนาก็ไม่ควรใช้ภาษา
ทเ่ี ปน็ แบบแผน ควรใช้สำนวน ให้เหมาะสมกับสภาพจริงหรือเหมาะแก่กาลสมยั ทเ่ี หตุการณ์ในหนังสอื
นน้ั เกิดขึ้น เปน็ ตน้ ดงั นน้ั การอา่ นวเิ คราะหจ์ ึงตอ้ ง ใช้เวลาอ่านมาก และย่ิงมีเวลาอ่านมากก็ยิง่ มี
โอกาสวเิ คราะหไ์ ดด้ ีมากข้ึน การอ่านในระดบั น้ตี อ้ งร้จู ักตง้ั คำถามและจดั ระเบียบเรื่องราวท่อี า่ นเพือ่ จะได้
เขา้ ใจเรอื่ งและความคดิ ทีผ่ ู้เขยี นต้องการ
กระบวนการวิเคราะห์การอ่าน
๑. พิจารณารูปแบบของงานประพันธว์ า่ ใชร้ ปู แบบใด อาจเป็นนทิ าน บทละคร นวนยิ าย เร่ืองส้ัน
บทรอ้ ยกรอง
หรอื บทความจากหนงั สือพมิ พ์
๒. แยกเนื้อเรอื่ งออกเป็นสว่ นๆ ให้เหน็ ว่าใครทำอะไร ท่ีไหน อยา่ งไร เม่ือไร
๓. แยกพิจารณาแตล่ ะสว่ นให้ละเอยี ดลงไปวา่ ประกอบกันอย่างไร หรอื ประกอบด้วยอะไรบา้ ง
๔. พิจารณาให้เห็นวา่ ผูเ้ ขียนให้กลวิธเี สนอเรือ่ งอย่างไร
ข้ันตอนการอ่านเชิงวิเคราะห์
๑. การอา่ นวิเคราะหค์ ำ
การอา่ นวเิ คราะหค์ ำ เป็นการอา่ นเพอื่ ให้ผอู้ า่ นแยกแยะถ้อยคำในวลี ประโยคหรอื ขอ้ ความต่างๆ
โดยสามารถบอกได้ว่า คำใดใชอ้ ยา่ งไร ใช้ผิดความหมาย ผิดหน้าทไ่ี มเ่ หมาะสม ไมช่ ัดเจนอย่างไร ควร
จะตอ้ งหาทางแก้ไขปรบั ปรงุ อย่างไร เชน่
- อย่าเอาไปใช้ทับกระดาษ
- ท่ีน่รี ับอดั พระ
- เขาท่องเทย่ี วไปทั่วพภิ พ
- เจ้าอาวาสวัดนมี้ รณกรรมเสยี แลว้
๒. การอา่ นวเิ คราะห์ประโยค
การอ่านวิเคราะห์ประโยค เป็นการอา่ นเพอ่ื แยกแยะประโยคต่างๆ วา่ เป็นประโยคทีถ่ ูกตอ้ ง
ชัดเจนหรอื ไม่ ใช้ประโยคผิดไปจากแบบแผนของภาษาอย่างไร เป็นประโยคทีถ่ กู ต้องสมบูรณ์เพยี งใด
หรอื ไม่ มหี นว่ ยความคิดในประโยคขาดเกินหรอื ไม่ เรียงลำดบั ความในประโยคที่ใชไ้ ด้ถกู ตอ้ งชัดเจน
หรอื ไม่ ใชฟ้ มุ่ เฟือยโดยไมจ่ ำเป็นหรือใชร้ ูปประโยคทีส่ ือ่ ความหมายไมช่ ดั เจนหรือไม่ เม่อื พบขอ้ บกพร่อง
ตา่ งๆ แล้วก็สามารถแก้ไขใหถ้ ูกต้องได้ เช่น
- สุขภาพของคนไทยไมด่ สี ่วนใหญ่
- การแก้ปญั หาจราจรในกรุงเทพฯ เกดิ การจลาจล
- ทุกคนย่อมประสบความสำเรจ็ ท่ามกลางความขยันหม่นั เพยี ร
- เขามักจะเป็นหวดั ในทุกครั้งท่ีฝนเริม่ ตก
๓. การอา่ นวิเคราะหท์ ศั นะของผู้แต่ง
ผูอ้ ่านต้องพจิ ารณาไตร่ตรองให้รอบคอบว่า ผู้เขยี นเสนอทัศนะมนี ำ้ หนกั เหตผุ ลประกอบ
ขอ้ เท็จจริงนา่ เชื่อถือเพียงใด เป็นคนมองโลกในแง่ใด เปน็ ต้น
๔. การอ่านวเิ คราะห์รส
การอา่ นวิเคราะหร์ ส หมายถงึ การอ่านอยา่ งพิจารณาถึงความซาบซงึ้ ประทับใจทไี่ ดจ้ ากการอ่าน
วิธีการท่ีจะใหเ้ ข้าถึงรสอย่างลึกซงึ้ คอื การวิเคราะห์รสของเสยี งและรสของภาพ
๔.๑ ดา้ นรสของเสยี ง ผูอ้ ่านจะร้สู ึกได้ชัดจากการอ่านออกเสยี งดังๆ ไมว่ ่าจะเป็นการอา่ นอยา่ ง
ปกติหรอื การอา่ นทำนองเสนาะ จงึ จะชว่ ยให้รสู้ ึกถึงความไพเราะของจงั หวะและความเคล่อื นไหวซง่ึ แฝง
อย่ใู นเสยี ง ทำใหเ้ กดิ ความรู้สกึ ไปตามทว่ งทำนองของเสยี งสงู ตำ่ จากเน้อื เรอื่ งทอ่ี ่าน
๔.๒ ด้านรสของภาพ เมือ่ ผอู้ ่านอ่านแล้วเกิดความเขา้ ใจเรือ่ ง ในขณะเดยี วกันทำให้เหน็ ภาพดว้ ย
เปน็ การสร้างเสริมให้ผู้อา่ นได้เข้าใจความหมาย การเขียนบรรยายความด้วยถอ้ ยคำไพเราะทั้งร้อยแกว้
และร้อยกรอง กอ่ ให้เกิดภาพขึ้นในใจผู้อา่ น ทำให้เกดิ ความเพลิดเพลินและเข้าใจความหมายของเร่อื งไดด้ ี
ย่ิงขนึ้
๕. การอา่ นเพ่อื วเิ คราะหข์ อบเขตของปัญหาและการตีความเน้อื หาของข้อความ
การอา่ นเชิงวเิ คราะห์ ยงั มสี ่งิ ที่ต้องพจิ ารณา คือ การวเิ คราะห์ขอบเขตของปัญหา และการ
ตีความเน้ือหาของหนังสอื มรี ายละเอียดดงั นี้
๕.๑ การวิเคราะหข์ อบเขตของปัญหา มีหลกั ปฏิบัติดงั นี้
๑) จัดประเภทหนังสอื ตามชนิดและเนอื้ หา หนังสอื แต่ละประเภทมีวิธีอ่านต่างกนั ก่อนอ่าน
ตอ้ งวิเคราะห์ใหร้ ู้ว่า หนังสอื เล่มนน้ั อยใู่ นประเภทใด การแบ่งประเภทจะดูแต่ชื่อเรื่องหรือลักษณะ
ภายนอกเพยี งอยา่ งเดยี วไมไ่ ด้ต้องสำรวจเนอ้ื หาด้วย อยา่ งไรก็ตาม ชอื่ เรอื่ งเปน็ ส่งิ แรกทใ่ี ช้เปน็ แนวทางได้
เพราะผเู้ ขียนย่อมตอ้ งพยายามต้งั ช่อื เร่ืองใหต้ รงแนวเขียนหรือจดุ มงุ่ หมายในการเขียนของตนใหม้ ากที่สุด
๒) สรุปให้ส้ันทส่ี ุดว่า หนงั สือน้ันกลา่ วถึงอะไร หนงั สอื ทด่ี ที กุ เล่มตอ้ งมเี อกภาพ มกี ารจัด
องคป์ ระกอบของส่วนยอ่ ยอยา่ งมีระเบยี บ ผูอ้ ่านต้องพยายามสรุปภาพดงั กลา่ วออกมาเพียง ๑-๒
ประโยควา่ หนังสือเล่มน้นั มอี ะไรเปน็ จดุ สำคญั หรอื เป็นแก่นเร่ือง แล้วจึงหาความสัมพนั ธ์กับส่วนสำคญั
ตอ่ ไป ๓) กำหนดโครง
สงั เขปของหนงั สือ เม่อื อา่ นตอ้ งต้งั ประเดน็ ด้วยว่า จากเอกภาพของหนงั สือเล่มน้นั มีส่วนประกอบสำคัญ
อะไรบ้าง ส่วนทส่ี ำคัญๆ สัมพันธ์กนั โดยตลอดหรือไม่ และแตล่ ะสว่ นก็มหี นา้ ท่ีของตนสนับสนนุ ซงึ่ กนั
และกนั หรือไม่
๔) กำหนดปญั หาที่ผเู้ ขยี นตอ้ งการแก้ ผอู้ ่านควรพยายามอ่านและคน้ พบว่าผู้เขยี นเสนอ
ปัญหาอะไร อยา่ งไร มีปญั หายอ่ ยอะไร และใหค้ ำตอบไวต้ รงๆ หรอื ไม่ การตงั้ ปัญหาเปน็ วิธกี ารหนง่ึ ท่จี ะ
ทำใหเ้ ขา้ ใจเรือ่ งแจ่มแจ้ง ยิ่งตั้งปญั หา ไดก้ ว้างขวางลกึ ซึ้งเพียงใด ยงิ่ เขา้ ใจได้เพิม่ ขึ้นเพยี งน้ัน
๕.๒ การตีความเนื้อหาของหนงั สือ การตคี วามเป็นสงิ่ ที่ผอู้ ่านทำความเข้าใจความคิดของผู้เขยี น
พจิ ารณาวตั ถปุ ระสงค์ของผู้เขยี น ซ่งึ บางคร้ังผ้เู ขียนไม่ได้บอกความหมายหรอื นัยของขอ้ ความทเี่ ขียน
ออกมาตรงๆ แต่ผูอ้ ่านต้องอาศัยความรคู้ วามเข้าใจบรบิ ทของเรอ่ื งเป็นอย่างดี จึงจะตีความได้ถูกตอ้ ง
การทำความเข้าใจความคิดของผู้เขยี นน้นั ไมว่ า่ ความคิดจะถูกตอ้ งหรือไม่ เราจะเห็นดว้ ยหรือไม่กต็ าม
แต่การพยายามเข้าใจเช่นน้ันทำให้เราไม่วจิ ารณ์ผเู้ ขียน อยา่ งไมย่ ตุ ธิ รรมแตจ่ ะพจิ ารณาทง้ั ข้อดี
ข้อบกพร่องของงานเขยี นนัน้ อย่างแจม่ แจ้ง การตีความเนื้อหาของหนงั สือมรี ายละเอียดตา่ งๆ ดังนี้
๑) ตคี วามหมายของคำสำคัญ และค้นหาประโยคสำคัญท่ีสดุ ผอู้ ่านตอ้ งพยายามเข้าใจคำ
สำคัญ และเขา้ ใจประเดน็ ท่สี ำคัญที่ผู้เขียนเสนอ เพอื่ เข้าใจความคดิ ของผู้เขยี น
๒) สรุปความคดิ สำคญั ของผ้เู ขียน โดยพจิ ารณาว่าประโยคใดเปน็ เหตุ ประโยคใดเป็นผล
ประโยคใดเป็นข้อสรปุ ซ่งึ บางครง้ั ผู้เขยี นไม่ได้สรุปความคิดออกมาใหเ้ ห็นชัดเจนแต่ผ้อู า่ นต้องพยายาม
สรปุ ออกมาใหไ้ ด้
๓) ตดั สินวา่ อะไร คอื การแก้ปญั หาของผู้เขียน เมื่อผูอ้ ่านตีความสำคัญให้ตรงกับผู้เขยี น
เขา้ ใจความคิดสำคัญของผูเ้ ขียน และสรปุ ความคิดของผู้เขยี นได้แล้ว ผู้อา่ นกจ็ ะวเิ คราะห์หรือตัดสินได้วา่
จากเรื่องราวหรือเหตุผลต่างๆ ที่ผเู้ ขยี นนำมาเสนอน้ันมคี วามสมเหตสุ มผลหนักแน่นน่าเชื่อถอื ได้หรือไม่
เพยี งใด เพ่อื นำไปสู่การวจิ ารณ์หนังสอื เรื่องนัน้ ๆ ตอ่ ไป
การพจิ ารณาหนงั สอื
การพจิ ารณาหนงั สอื เป็นการประเมนิ คุณค่าหนังสอื ด้านต่างๆ ถ้าผูอ้ ่านรหู้ ลักการประเมินจะทำให้
การอา่ นหนังสือ มคี ุณคา่ และความหมายมากย่งิ ขึน้ เมือ่ อ่านแล้วสามารถแสดงความคิดเหน็ เชิงประเมิน
คุณค่าของหนงั สือได้อยา่ งมีหลักเกณฑ์ ผูอ้ ่านจะเขา้ ใจหนงั สือน้ันไดอ้ ย่างลึกซ้งึ และการพิจารณาหนงั สอื
ของตนจะมปี ระโยชน์แก่ผู้อืน่ ดว้ ย หนังสือมีหลายประเภทให้เลอื กอ่าน แต่ละประเภทกม็ ีรายละเอยี ดหรือ
โครงสร้างแตกตา่ งกันไปตามลกั ษณะของหนงั สือประเภทนั้นๆ ในทนี่ จ้ี ะนำเสนอการพิจารณาหรอื
ประเมินคุณค่าของหนงั สอื บทความหรอื เรอ่ื งราวตา่ งๆ ทผ่ี ู้เรยี นจะตอ้ งเรียนหรืออ่าน ในชีวิตประจำวัน
ดงั น้ี
๑. การอ่านพิจารณาคอลัมน์ตา่ งๆ จากหนังสอื พมิ พ์
หนงั สอื พิมพ์เป็นหนังสือท่คี นจำนวนมากอ่านเปน็ ประจำทกุ วัน มคี อลัมน์หลากหลาย การ
อา่ นหนังสือพิมพ์มแี นวการพิจารณาประเดน็ ตา่ งๆ ดงั นี้
๑.๑ การพาดหัวข่าว เปน็ การต้ังชื่อขา่ วให้กะทัดรดั และพิมพ์ดว้ ยตวั อกั ษรใหญ่เป็นพเิ ศษ
เพอื่ ดงึ ดูดความสนใจ การพาดหวั ข่าวที่ดีมีลกั ษณะดังนี้
๑) หัวข่าวตรงกบั สาระของข่าว ผู้เขยี นขา่ วไม่ควรพาดหัวขา่ วไม่ตรงกบั เน้ือหาสาระของข่าว
เพ่ือเรียกรอ้ งความสนใจ
๒) หัวขา่ วใช้ภาษาที่กะทัดรดั เข้าใจงา่ ย ไม่ควรใช้ภาษาทีก่ ่อใหเ้ กิดความเข้าใจผิดและใช้
คำผดิ ความหมายเพียงเพอ่ื ผลประโยชน์ทางการขาย โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าทางภาษา เช่น
- ทพั กฬี าพกิ ารหวงั ๓๐ ทอง
- เปิดตัวกินปุย๋ วดั ใจนายก
- หื่นรุมสังฆกรรมสาวร่นุ
๑.๒ เน้อื หาของขา่ ว มแี นวพจิ ารณาดังน้ี
๑) เน้อื หาข่าวท่ีดี ตอ้ งเปน็ ข่าวจริงตามเหตุการณ์ทเี่ กิดขึ้นไมค่ วรมคี วามคดิ เหน็ หรือเพ่ิม
เนื้อหาตามใจผเู้ ขยี นเพื่อให้ผู้ฟงั ชน่ื ชอบ ข่าวทด่ี ีต้องเปน็ ข่าวทีส่ ง่ ผลกระทบต่อคนหมมู่ ากหรือส่วนรวม
เชน่ ข่าวการเมอื ง การเลอื กต้ัง ขา่ วการปกครอง ขา่ วสงั คม ข่าวเศรษฐกิจ ขา่ วการประกอบอาชีพหรอื
ข่าวเก่ียวกับการอนามัย เปน็ ตน้ ไม่ควรเปน็ ขา่ วของคนใดคนหนึ่งเพ่อื ยกย่องเชดิ ชู โดยมุง่ หวังประโยชน์
สว่ นตนเปน็ ทีต่ ัง้ และตอ้ งเป็นขา่ วที่ไมท่ ำลายความมัน่ คงของชาติ ความสงบสขุ ของประชาชนและ
ศีลธรรมอนั ดงี าม
๒) ภาษาที่ใช้ควรเป็นภาษาสภุ าพ ไมค่ วรใช้ภาษาหยาบคาย
๓) การเล่าเหตกุ ารณ์ในขา่ วควรเล่าตามลำดบั ตงั้ แต่ตน้ จนจบ ไม่ปิดบงั อำพรางมีเงือ่ นงำ
สลบั ซบั ซ้อน
๔) การเลา่ เหตกุ ารณ์ทุกตอนตอ้ งอ้างอิงหลกั ฐานทม่ี า สถานทเี่ วลา รวมถึงบุคคลที่
เกี่ยวข้องเพ่ือให้ผู้อา่ นทราบรายละเอียดและมคี วามเชอ่ื ถอื ในข่าว การปกปดิ สถานที่ ชือ่ หรอื นามของ
บุคคล ควรเปน็ ไปเพอ่ื ความบริสุทธิ์ใจทีป่ กปอ้ งผู้บริสุทธิ์ ผู้เยาวห์ รือเป็นจรรยาบรรณของหนังสอื พมิ พ์
๑.๓ การพจิ ารณาบทความในวารสารหนังสอื พมิ พ์ มีดงั น้ี
บทความในวารสารและหนงั สอื พิมพ์ ส่วนใหญเ่ กี่ยวข้องกบั คนหมู่มากและแสดงความ
คิดเหน็ ของผเู้ ขยี นอยา่ งเตม็ ที่ บทความท่ดี ีควรมีลักษณะดังนี้
๑) ผูเ้ ขยี นบทความต้องเป็นผู้ท่รี ูเ้ รอ่ื งท่ีเขยี นอย่างถ่องแท้ มีข้อมลู สามารถอ้างอิงได้
๒) ผู้เขียนบทความตอ้ งแสดงความคิดเหน็ โดยอาศัยขอ้ เท็จจรงิ และเหตุผลอืน่ ๆ ประกอบ
อยา่ งกวา้ งขวางการแสดงความคิดเหน็ เป็นไปอย่างบรสิ ุทธ์ใิ จ ไมใ่ ช้ความรู้สกึ ของตนเองเป็นตวั กำหนด
เพียงอยา่ งเดียว การแสดงความคิดเหน็ นัน้ ควรเปน็ ไปในทางสร้างสรรคแ์ ละไม่อคติลำเอียง
๓) การวิจารณ์ของผู้เขยี นบทความ ตอ้ งต้งั อยบู่ นหลกั การ การตำหนิไม่ควรเนน้ ทีต่ วั บคุ คล แต่
เน้นท่ีวธิ กี ารหรือหลกั การ ควรชใี้ ห้เหน็ ปญั หาและเสนอแนวทางแกป้ ญั หาอยา่ งถกู ต้อง นอกจากนร้ี ูปแบบ
การเขยี นและการใชภ้ าษา ควรมีความถกู ตอ้ งเข้าใจงา่ ย ไมใ่ ช้ถ้อยคำที่ส่อเสยี ดหยาบคาย
๑.๔ การพิจารณาคอลมั นอ์ ่ืนๆ มีวธิ ีการพจิ ารณาดังนี้
นอกจากข่าวและบทความแล้ว วารสารหรอื หนังสอื พมิ พ์ยังมอี ีกหลายคอลมั น์ เช่น
บันเทิงคดี ประกาศ โฆษณา ความรู้ต่างๆ การพจิ ารณาคุณค่าในแตล่ ะคอลัมน์ ควรพจิ ารณาเร่ืองการใช้
ภาษาการเขียน และคณุ ค่าทีไ่ ด้รับจากการอา่ น เป็นต้น
๒. การพิจารณาหนงั สอื ประเภทสารคดี
สารคดี ไดแ้ ก่ หนงั สอื ทใ่ี ห้แนวความรูต้ ่างๆ เช่น ด้านปรชั ญา ตรรกวิทยา การศกึ ษา ควร
พิจารณาในด้านต่างๆ ดังน้ี
๒.๑ เนื้อหาสาระ มีความถกู ต้องสมบรู ณ์ตามหลักวชิ าหรือไม่ เรอ่ื งนำมาเขียนมี
สาระประโยชน์เพียงใดเหมาะสำหรบั ผูอ้ ่านระดับใด
๒.๒ วธิ เี สนอหนังสือ อาจเสนอเป็นความเรียงวิชาการ มกี ารค้นคว้าหาความรูอ้ ้างองิ ประกอบ
หรือเสนอเปน็ บันทกึ ของผเู้ ขยี น เล่าประสบการณ์ของตนหรอื เสนอเปน็ จดหมายให้โต้ตอบ ควรพจิ ารณา
ว่าผู้เขียนมีวธิ เี ขยี นท่ชี วนอา่ น เขา้ ใจง่ายหรือไม่ สำนวน ภาษาส่อื ความหมายได้แจม่ แจ้งหรือไม่ เหมาะ
แก่ระดบั ของผู้อา่ นตามความตั้งใจของผู้เขียนหรือไม่ เพยี งใด
๒.๓ การวางเค้าโครงเรอ่ื ง เค้าโครงเรอื่ งทีเ่ ขยี นจะตอ้ งมกี ารจดั ลำดับอยา่ งมรี ะเบยี บ จึงควร
พิจารณาวา่ ผู้เขยี นสามารถทำใหค้ วามสำคญั ๆ เชื่อมโยงต่อเน่อื งกนั ได้ดีเพียงใด มีการเรยี งลำดับความ
ยากง่ายเพื่อชว่ ยความเข้าใจของผอู้ ่านหรอื ไม่
๒.๔ สว่ นประกอบของหนงั สือ ส่วนประกอบต่างๆ ของหนงั สือไดแ้ ก่ คำนำ สารบญั ดัชนี
บรรณานุกรม อภธิ านศพั ท์ สามารถช่วยให้ผู้อ่านเขา้ ใจความสำคญั ของหนังสอื ไดร้ วดเรว็ ควรพิจารณาว่า
หนงั สอื น้นั ๆ มสี ่วนประกอบอำนวยประโยชน์ดงั กล่าวหรอื ไม่
๒.๕ วฒุ แิ ละประสบการณข์ องผูเ้ ขียน หนังสือสารคดบี างเลม่ จะมปี ระวัตยิ ่อ วุฒิและ
ประสบการณข์ อง ผเู้ ขียนบอกไว้ดา้ นหลงั รายละเอยี ดดังกลา่ วจะชว่ ยให้ผู้อ่านสามารถวินิจฉยั ไดด้ ียิ่งขึน้
ว่าเรือ่ งนั้นๆ มีคุณค่าน่าเช่ือถอื หรอื ไม่
๒.๖ คณุ ภาพการพิมพแ์ ละการออกแบบรปู เลม่ ส่ิงที่ช้ใี หเ้ หน็ คุณภาพของหนังสอื เชน่ การจัด
หวั เรอื่ งทำใหส้ อ่ื ความได้ชดั เจน การพสิ จู น์อกั ษรถูกตอ้ ง การออกแบบรปู เลม่ เหมาะสมนา่ อ่าน
๓. การพจิ ารณาหนงั สือประเภทบันเทงิ คดี
หนังสือประเภทบันเทิงคดี อาจมวี ธิ ีการพจิ ารณาในด้านต่างๆ ดังนี้
๓.๑ แกน่ ของเร่อื งหรือแนวเรือ่ ง หมายถงึ แนวคดิ สำคัญของผู้เขยี น ซึ่งเปน็ หัวใจของเรื่อง
๓.๒ การวางโครงเรอ่ื ง หมายถงึ การผกู เรอ่ื งใหม้ ตี ัวละครและเหตุการณ์เช่ือมโยงสมั พนั ธก์ ัน
ตงั้ แตต่ น้ จนจบเรือ่ ง ซง่ึ จะต้องสอดคล้องกับแกนของเร่ืองทีผ่ แู้ ตง่ วางแนวไว้และตอ้ งดำเนนิ ไปอย่าง
สมเหตุสมผล
๓.๓ ตัวละคร ตวั ละครอาจมนี ้อยหรอื มากแลว้ แต่ความประสงคข์ องผ้แู ต่ง การเสนอตัวละครที่
นา่ สนใจตอ้ งเป็นตัวละครทมี่ ีลกั ษณะนสิ ยั และพฤตกิ รรมท่ีมีความสมจริง คอื เปน็ บุคคลทอี่ าจหาได้ใน
ชวี ติ จรงิ มิใชด่ ีหรือเลวจนผิดมนษุ ยธ์ รรมดา นอกจากนั้นพฤติกรรมตา่ งๆ ของตวั ละคร ควรสะทอ้ นภาพ
ชวี ติ จริงของสงั คมตามความเปน็ จรงิ ด้วย
๓.๔ ฉาก เปน็ ส่วนที่ชว่ ยทำให้บรรยากาศของเรื่องเป็นไปอยา่ งสมจริง ซึ่งผเู้ ขียนจะต้อง
บรรยายให้ตรงกับความเปน็ จริงหรอื อยใู่ นวิสยั ท่ีเป็นจรงิ ได้
๓.๕ สำนวนภาษาและลีลาในการเขียน นกั เขียนจะมสี ำนวนหรอื ลีลาการเขยี นเปน็ แบบฉบับ
ของตน ดงั นน้ั ผวู้ จิ ารณจ์ ะตอ้ งพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าผเู้ ขยี นมีลีลาการเขียนอยา่ งไร
๓.๖ สารจากผู้เขียน สารท่ีผู้เขียนให้ หมายถงึ ขอ้ คดิ หรือบางส่ิงบางอย่างทผ่ี ู้เขียนฝากไว้ให้
ซง่ึ ผอู้ า่ นอาจได้รบั แตกตา่ งกันไปตามแต่ประสบการณข์ องผอู้ ่าน ควรฝกึ ทักษะให้ไว ตอ่ การรบั สารของ
ผู้เขียนและตคี วามเข้าใจ เพ่อื ให้การอ่านเรื่องบันเทิงคดมี รี สชาตมิ ากยิง่ ขนึ้
๔. การพจิ ารณาหนงั สอื ประเภทร้อยกรองหรือกวนี พิ นธ์
หนังสอื ประเภทรอ้ ยกรองหรอื กวีนิพนธ์ มวี ิธีการพจิ ารณาดังน้ี
๔.๑ รปู แบบของฉันทลกั ษณ์ คอื ลักษณะบังคบั ของบทร้อยกรองแต่ละประเภทซงึ่ ต่างกนั
ควรพจิ ารณาความถกู ตอ้ งของรปู แบบฉันทลกั ษณ์นั้นๆ เป็นเกณฑ์
๔.๒ ความคิดเหน็ และเนื้อหาสาระในบทกวี บทกวที ่ีดีจะตอ้ งมีเน้อื หาสาระทแี่ สดงความนกึ คดิ
อนั มีคุณคา่ แก่ชีวิต บทกวีบางบทให้ความรสู้ กึ สะเทือนอารมณ์ในด้านตา่ งๆ เชน่ อารมณ์รัก อารมณ์เศรา้
อารมณ์โกรธ ฯลฯ บางบท ใหค้ ติเตือนใจ ให้ความรู้เร่ืองต่างๆ เป็นต้น จึงควรพจิ ารณาใหถ้ ่ีถ้วนว่ากวีให้
ความคดิ อะไรแกผ่ อู้ า่ นบา้ งและมีเนื้อหาสาระอย่างไร
๔.๓ กลวธิ ีการแต่งหรือวรรณศิลป์ กลวิธใี นการแต่งหรอื วรรณศลิ ป์นอ้ี าจพจิ ารณาได้จากการ
เลอื กคำมาใช้ให้เหมาะสมกบั ความ การเลน่ เสียงด้วยสัมผสั สระ พยญั ชนะ การใชโ้ วหารแบบตา่ งๆ การใช้
สญั ลักษณ์ ซ่งึ กวแี ต่ละคนจะมกี ลวธิ แี ตง่ แตกตา่ งกันไปเป็นเฉพาะตน
๔.๔ รสของบทรอ้ ยกรอง หมายถึง ความรู้สกึ ท่ีเกดิ ขน้ึ แกผ่ อู้ ่าน เมอ่ื ถอ้ ยคำสำนวน หรอื
เร่อื งราวในบทรอ้ ยกรองน้นั ๆ มากระทบอารมณผ์ อู้ ่าน อาจให้ความรสู้ กึ ทางดา้ นความรัก ความเศร้า
ความตืน่ เตน้ ฯลฯ แล้วแตล่ กั ษณะของบทร้อยกรองและอารมณ์ของผ้อู า่ นขณะน้ัน
๔.๕ สารจากบทรอ้ ยกรอง บทรอ้ ยกรองกม็ ีสารของผู้แตง่ ฝากไว้เช่นกนั ดังนัน้ จงึ ควรพิจารณา
ใหถ้ ่ถี ว้ น เพอื่ รบั สารจากผ้เู ขียนได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
การประเมินคุณค่าของหนังสอื ไมว่ ่าประเภทใด ผู้ประเมินควรอา่ นหนงั สอื นนั้ ๆ อย่างละเอยี ด
และพจิ ารณาทงั้ จุดดแี ละจดุ ด้อยของหนงั สือด้วยใจเป็นธรรม ปราศจากอคติ ซงึ่ เม่อื ได้อา่ นหนังสอื มากๆ
และฝกึ การวิเคราะห์ตลอดจน มีการประเมินคณุ คา่ ของหนงั สอื อย่เู สมอแล้วกจ็ ะชว่ ยใหม้ วี ญิ ญาณในการ
อ่านหนังสือและอ่านหนงั สอื อย่างมอี รรถรสยิง่ ขนึ้
ทีม่ า กรมวชิ าการ. การจัดสาระการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ตามหลกั สูตรการศึกษาขั้น
พ้นื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๔๔ พ.ศ.๒๕๔๖
ตวั อย่าง การวิเคราะห์วิจารณห์ นังสือ
นวนยิ าย “เขาช่อื กานต์”
ผู้แต่ง สวุ รรณี สคุ นธา (นามปากกา) นามจรงิ สุวรรณี สคุ นธ์เทีย่ ง
ขนาด ๔๔ ตอนจบ ตพี ิมพ์โฆษณาเผยแพรเ่ ป็นคร้งั แรกในนติ ยสาร “สตรสี าร”
รายสัปดาห์ พ.ศ. ๒๕๑๓
โครงเรื่อง
ตวั ละครเอกของเรือ่ งนีค้ ือ กานต์ เปน็ ผูท้ ี่จรงิ จงั ต่อชีวติ ถืออดุ มคติที่จะทำตนให้เปน็
ประโยชน์ตอ่ ผอู้ ่ืน โดยเฉพาะชาวบา้ นท่ีขาดแคลนดา้ นฐานะหรอื ด้านการศึกษา กานต์มาจาก
ครอบครัวทยี่ ากจนมีพ้ืนเพเดิมอยู่ท่ีจงั หวัดห่างไกลแห่งหนง่ึ แต่ได้พยายามจนเล่าเรียนสำเร็จเปน็
นายแพทย์ ขณะท่ีเรยี นอยู่น้นั กานตบ์ งั เอิญไดพ้ บเจอกับหฤทัยในวันฝนตกวนั หนึ่ง เขารู้สึกประทับใจ
ในเธอมาก แต่ไม่มโี อกาสได้ทำความรจู้ ักกนั ต่อมาเม่อื กานต์เรียนสำเร็จและเป็นนายแพทย์ฝกึ หัดอย่ทู ่ี
โรงพยาบาลแหง่ หนึ่ง หมอกานต์ไดม้ ีโอกาสพบหฤทยั อีกคร้งั หนง่ึ เธอมารับการรกั ษาพยาบาล เขาจำ
เธอได้ทนั ที และได้เอาใจใส่เธอระหวา่ งเจบ็ ป่วยเป็นอยา่ งดี ทำให้เขาทง้ั สองร้จู ักสนิทสนมกนั มากขึน้
ส่วนหฤทยั น้ันกำพร้าบดิ าและฐานะไมร่ ำ่ รวย แต่กไ็ ม่ได้รบั ความลำบากเป็นอย่างไร เพราะ
มารดาทำร้านขายอาหาร มีรายได้ส่งเสยี เพียงพอใหเ้ ธอได้รับการศกึ ษาช้นั อดุ มศกึ ษาได้ ขณะทีห่ ฤทัย
เรยี นอย่ใู นมหาวทิ ยาลยั นัน้ เธอมคี วามสมั พนั ธอ์ ยู่กบั เพือ่ นชายร่วมสถาบนั คนหนึง่ ชอ่ื โตมร เป็นผมู้ ี
ฐานะทางครอบครวั เขา้ ขน้ั เศรษฐี โดดเด่นในหม่เู พื่อนฝูงและมีความปราดเปรยี วสนุกสนาน ไมจ่ ริงจัง
ต่อชีวติ ใชช้ วี ติ อย่างบุคคลเจา้ สำราญ แม้หฤทัยกับโตมรจะสนทิ สนมค้นุ เคยกนั มาก แตอ่ ปุ นิสัยและ
การปฏบิ ัติตนของโตมรทำให้หฤทัยไมม่ ัน่ ใจนักวา่ โตมรมีความรูส้ ึกจริงจังต่อเธอเพียงไร คร้ันเม่อื หมอ
กานต์ผู้มีอปุ นิสัยทุกอยา่ งตรงข้ามกับโตมรขอแตง่ งานกบั เธอ เธอจงึ ตดั สินใจแตง่ งานกบั เขาในขณะที่
โตมรท่องเทยี่ วสำราญอยู่ในต่างประเทศ
ภายหลังที่แต่งงานแล้วหมอกานต์ไดพ้ าเจ้าสาวของเขาคือ หฤทัย ไปอย่อู ำเภอ ซงึ่ ทรุ กนั ดารห่างไกล
ความเจริญแหง่ หน่ึง และได้ใช้วิชาความรรู้ ักษาพยาบาลประชาชนในอำเภอนน้ั ตามอุดมคติของเขา แต่
นายอำเภอผูเ้ ป็นเจ้าหน้าท่ีช้ันผู้ใหญข่ องอำเภอนน้ั เป็นผทู้ ่เี หน็ แกป่ ระโยชน์สว่ นตวั มักใช้อิทธิพลในทาง
มจิ ฉาทิฐิ ให้อภิสิทธ์แิ ก่คนบางกลมุ่ และให้ความไม่เปน็ ธรรมกับบคุ คลส่วนใหญ่ ข้าราชการทุกคนใน
อำเภอตอ้ งยอมอยู่ใตอ้ ทิ ธิพลของเขา ไม่เชน่ นนั้ จะไม่มโี อกาสมีชวี ิตปรกตสิ ขุ อยู่ได้ หมอกานตจ์ ึงถูก
เพ่งเล็งวา่ “แข็ง” กบั ตน แตใ่ นขณะเดยี วกันผลงานของเขากป็ ระจกั ษ์แกป่ ระชาชนพอ่ ค้าและเพอ่ื น
ข้าราชการ ทำให้เขาเป็นทีน่ ับถือของคนเหล่านัน้ พอสมควร
หฤทยั อยู่กับหมอกานต์ชั่วระยะหนง่ึ ก็ขอกลับไปเยย่ี มมารดาทกี่ รุงเทพฯ ในระหวา่ งทห่ี ฤทยั
มาเย่ยี มมารดานัน้ ได้กลับไปมีความสมั พันธเ์ ทย่ี วเตร่กับโตมรอกี ครั้งหนึ่งและได้รับอุบตั เิ หตเุ นอ่ื งจาก
รถยนตช์ นขณะไปเที่ยวกบั โตมรจนสมองได้รบั การกระทบกระเทือนมาก ทำใหค้ วามจำเส่ือมไปชว่ั
ระยะหนงึ่ สว่ นหมอกานต์น้ันเขาต้องเดนิ ทางไปมาระหว่างอำเภอที่เขาทำงานกบั กรุงเทพฯ เพ่อื มา
เยีย่ มหฤทยั ท่ีปว่ ยอย่ทู ่ีโรงพยาบาล ขณะเดียวกันนน้ั กานต์ไดร้ ับความยุง่ ยากในการทำงาน เนอื่ งจาก
การท่เี ขาเป็นคนตรงและเชดิ ชูอุดมคติไมย่ อมออ่ นนอ้ มต่อนายอำเภออทิ ธพิ ลผนู้ นั้ ในทางท่ตี นเหน็ ว่าไม่
สมควร ประจวบกบั ขณะนน้ั หมอกานต์ได้รบั คำสงั่ ย้าย จงึ ทำให้นายอำเภอเข้าใจผดิ วา่ ทกุ อยา่ งที่
เกดิ ข้ึนนนั้ เป็นเพราะหมอกานต์เข้ากรุงเทพบ่อยๆ คงจะนำเร่อื งของตนเสนอเจ้าสังกดั จงึ ได้วางแผนท่ี
จะจำกดั หมอกานต์เสยี ขณะนัน้ โตมรก็มีแผนการท่จี ะแยกหฤทัยจากหมอกานต์โดยพยายามให้หมอ
กานต์ได้รับทุนไปดงู านตา่ งประเทศเสยี ระหว่างทห่ี มอกานตย์ ังตัดสินไม่ได้ว่าจะรบั ทนุ ดีหรือจะ
ลาออกจากราชการน้นั หฤทัยไดแ้ สดงความจำนงท่ีจะกลบั ไปอยกู่ ับเขาที่บา้ นต่างจังหวัดอย่าง
เดมิ แตห่ มอกานตก์ ็โดนลอบยิงตายขณะเดนิ ทางกลับไปยังอำเภอทเี่ ขาทำงานอยู่นนั่ เอง
คุณคา่ ของเรอื่ ง (ประมวลจากความเหน็ ของคณะกรรมการ)
“เขาชื่อกานต”์ มีลกั ษณะเป็นนวนยิ ายสมจริงทม่ี ีเอกภาพเนน้ สารัตถะสำคญั ของเรื่อง คือ
ความเขม้ แข็งที่จะรักษาอดุ มการณใ์ นการปฏิบตั งิ านและการเสียสละความสขุ สว่ นตนของนายแพทย์
ชนบทผู้หนงึ่ มตี วั ละครไม่สู้มากนักแต่ล้วนเปน็ ตัวแทนของกลุ่มชนหลายประเภททมี่ ตี วั จรงิ อยใู่ นสงั คม
กรงุ เทพฯ และในชนบทขณะนี้ เค้าโครงเปน็ เรอื่ งการกลา่ วถงึ สภาพชวี ติ ตวั ละครเหล่านัน้ ทกุ คนทั้ง
เปน็ ผู้มีการศกึ ษาและฐานะพ้ืนเพ มอี าชีพและมที ัศนะแตกตา่ งกนั แตต่ า่ งมบี ทบาทความสมั พนั ธ์
เก่ียวเนอื่ งกัน เร่ืองจบลงด้วยการเสียชีวติ ของนายแพทยท์ ี่มีชอ่ื วา่ “กานต์” ผนู้ ้นั จุดสะเทอื นใจใน
ตอนจบเปน็ เครื่องแสดงวา่ อดุ มคตยิ ังใชไ้ ดอ้ ยู่ สถานทใี่ นเนือ้ เร่ืองมีท้ังในกรงุ เทพมหานครและใน
ชนบทห่างไกลความเจรญิ เป็นการแสดงภาพทำนองชีวติ ในการเทยี บเคียงอยา่ งชดั เจน บทสนทนา
เปน็ ไปอยา่ งเหมาะสมแกฐ่ านะ และพ้ืนฐานนิสัยใจคอของแต่ละบุคคลในเร่ือง จงึ มลี ักษณะสมจรงิ และ
มชี วี ติ ชวี าจงึ อาจกล่าวไดว้ ่า นวนยิ ายเร่อื งนี้เปน็ นวนยิ ายท่ีดเี ยีย่ มในดา้ นองคป์ ระกอบตา่ งๆ ของเน้ือ
เร่อื ง
นวนยิ ายเร่อื งนมี้ คี ณุ คา่ สมบูรณด์ ้านวรรณกรรม คือ วธิ แี สดงเร่อื งตาม ซึ่งประกอบไปด้วย
กลวธิ ีแต่งและสำนวนโวหารอนั เปน็ สำนวนเฉพาะในการแต่ง
ผู้เขียนมคี วามสามารถเดน่ ยง่ิ ในการนำเสนอนวนิยายเรื่องนี้ โดยอาศัยกลวธิ ีแตง่ หลายแบบ
ผสมผสานกันอย่างแนบเนียน วางสว่ นสดั ตรงกบั เน้ือเรื่องอยา่ งสมดลุ กะทดั รัด ไม่ยดื เยื้อ เหตุการณ์ตา่ งๆ
ในเรอ่ื งดำเนนิ เขา้ ส่จู ุดของเร่อื ง เป็นการรักษาเอกภาพของเนอ้ื เรอ่ื งไว้ไดเ้ ป็นอยา่ งดี เป็นการเปลีย่ น
ฉากสนับสนนุ เนอ้ื เรื่องและแทรกบทสนทนาตามที่เหมาะสม ทำให้มีความแปลกเปลี่ยนอยู่
ตลอดเวลา และจากบทสนทนาน้เี องทำให้ผอู้ า่ นรจู้ กั ตวั ละครอีกด้วย ตัวละครมไี มม่ ากนัก ผแู้ ต่งมี
กลวิธีปล่อยตัวอยา่ งรัดกุมไมท่ ำใหเ้ กิดความสบั สน แต่ทำให้บทบาทและบุคลิกภาพของตวั ละคร กระจ่าง
ชดั ข้ึน โดยที่ผู้แต่งไมต่ ้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาแต่อาศยั วธิ กี ารละเมยี ดละไมแนะใหเ้ ห็นภาพบุคคลใน
เรอื่ งในจินตนาการของผอู้ า่ น ตวั ละครแตล่ ะตัวเป็นคนในชวี ติ จริง มที ้ังคนโลภ-ทุจริต คนหนุ่มเจา้
สำราญ พอ่ ค้าผู้มีผลประโยชน์เปน็ ที่ต้งั คณุ นายหัวเมืองกบั ขวดนำ้ ด่มื จุกหุ้มผ้าดอกสีเลอะเทอะ
ชาวบ้านทย่ี ากจนไร้การศกึ ษาแต่มีนำ้ ใจ ซื่อและเอื้อเฟ้อื เหลา่ นีแ้ สดงลกั ษณะตัวละครหลายประเภท
และหลายด้านหลายมมุ โดยเฉพาะหมอกานต์ผมู้ ีปณิธานว่าจะรกั ษาความสุจรติ และอุทิศตนเพ่ือ
ประโยชนส์ ขุ ของเพอื่ นมนษุ ย์ และหฤทยั ภรรยาหมอกานต์ ซง่ึ เป็นแบบอย่างของหญงิ ไทยรุ่นใหมท่ ่ีมี
การศกึ ษาสงู มีความคดิ ความฉลาดในการตัดสินใจ และมีความสามารถในการปรบั ตวั ให้เข้ากับ
สถานการณต์ ่างๆ ในสถานการณ์ของตนได้เปน็ อย่างดี ทงั้ ท่ดี ูผวิ เผนิ แล้วดรู าวกบั เปน็ คนสำรวยรัก
ความสขุ ความสบาย แต่เมอื่ ถงึ คราวท่ีต้องตัดสนิ ใจเลือกเอาระหวา่ งความสบายอยา่ งฉาบฉวยกบั ความ
มัน่ คงและความถกู ตอ้ งแล้ว หฤทัยก็เลอื กอยูข่ ้างหมอกานต์ผู้ยากจน แต่มอี ุดมคตแิ นว่ แนเ่ สมอทุก
คร้ัง ภาพตัวละครเหล่าน้ีปรากฏในบทสนทนาและความนกึ คดิ ของตวั ละครเอง คอ่ ยๆ ประจกั ษ์
ชดั เจนเป็นบุคลิกของตวั ละครแต่ละบคุ คล ใหค้ วามเขา้ ใจแกผ่ ู้อ่านอยา่ งซมึ ซาบ
ผู้ประพันธ์มีกลวธิ ใี นการเปดิ โปงเรอื่ ง โดยสร้างความแตกต่างอย่างตรงกนั ข้าม คือการเปิด
เรือ่ งดว้ ยงานรนื่ เริงฉลองการแตง่ งานระหวา่ งหมอกานตก์ บั หฤทัย และจบลงอยา่ งเศร้าหมองดว้ ย
ความตายของหมอกานต์ ทุกคนรอ้ งไห้เสียดายหมอทช่ี อ่ื กานต์ ในขณะ “ฝนตกพรา่ งพรรู าวกับว่าฟา้
รอ้ งไห้อำลารา่ งทีป่ ราศจากชวี ิตของเขา” สุวรรณี สคุ นธา ยังได้ใหก้ ลวธิ ใี นการเขียนนวนิยายเรอ่ื งนีอ้ กี
หลายแบบ เป็นต้นว่าการกล่าวถึงเร่อื งราวแบบย้อนหลัง การพรรณนาความแบบจิตประหวดั ไดอ้ ย่าง
แนบเนียนและเปิดโอกาสให้ผู้อา่ นไดใ้ ช้วิจารณญาณและจนิ ตนาการรว่ มด้วย โดยใช้วิธีแนะดงั ได้กลา่ ว
แล้ว เหลา่ น้เี ปน็ กลวธิ กี ารแตง่ ดีเดน่ ควรแกก่ ารยกยอ่ ง
สว่ นสำนวนโวหารอันเปน็ แบบเฉพาะตวั ของผปู้ ระพันธน์ ัน้ ในการเขียนนวนิยายเรือ่ งน้ี
สวุ รรณี สุคนธา ได้แสดงคุณสมบัตพิ เิ ศษในฐานะทีเ่ ป็นนกั เขียนอย่างแทจ้ ริง มลี ักษณะทเ่ี ป็นแบบ
เฉพาะตัวในการเลือกใช้ถอ้ ยคำทมี่ คี วามหมายตรง กระชบั สน้ั และรดั กมุ แต่ทำให้ผูอ้ า่ นเกิดความ
เขา้ ใจและความร้สู กึ อย่างลกึ ซึ้ง สำนวนท่ีว่า “อ่านไดร้ ะหวา่ งบรรทัด” อีกดว้ ย และแม้เร่ืองจะจบลง
เสมือนว่าหมอกานตส์ ิ้นชวี ิตลงอยา่ งเปล่าดายไร้รางวลั ตอบแทนใดๆ
ทั้งสน้ิ แตผ่ ูแ้ ตง่ ก็ไดก้ ล่าวแนะโดยนยั ถงึ เหตกุ ารณ์ทแ่ี สดงปัญหาด้านครอบครวั และความรักของหมอ
กานต์นน้ั เรียบรอ้ ยลงแลว้ เพราะหฤทยั แสดงความตง้ั ใจท่จี ะกลับไปอยูก่ บั หมอกานต์ทบ่ี า้ นในชนบท
ต่อไป ความเศร้าโศกอาลยั ของบคุ คลท่ีเห็นหมอกานตต์ าย เป็นรางวลั ของชวี ิตอย่างหน่งึ ทเี่ ปน็
ประจักษพ์ ยานยืนยันความคิดของทุกคนว่า “ความดีไม่สูญเปล่า” ชีวิตท่มี แี ค่ควรแกก่ ารอาลยั น้นั คือ
ชวี ิตที่ซ่ือตรงและเปน็ ประโยชน์ต่อเพอ่ื นมนุษย์ และบคุ คลอยา่ งเขาทชี่ อื่ กานต์นี้แหล่ะ คอื ผู้เชดิ ชูอุดม
คติใหย้ นื ยงมน่ั คงอยู่ในความนกึ คิดของมนุษยชาติตลอดไป จึงนับว่าผปู้ ระพนั ธ์ได้ใช้ โวหารง่ายๆ
ตรงไปตรงมาแต่สร้างความรูส้ ึกตระหนกั ในคุณค่าของอดุ มคติและการเสยี สละได้อยา่ งแนบแนน่ ลึกซึง้
โดยสรปุ แลว้ นวนิยายเร่ืองนี้ มีความดีเด่นหลายประการ ได้แก่ เนอ้ื เร่อื ง กลวิธีการแตง่ และ
สำนวนโวหารการใชถ้ อ้ ยคำ จึงเป็นเร่อื งที่มคี ุณค่าสอดคลอ้ งกับสภาพชวี ติ ในปจั จุบัน ซึง่ ตอ้ งการสร้าง
เสริมและกำลงั ใจสนับสนุนในด้านอุดมคติ ความจรงิ จงั ต่อชีวิต ความซ่ือสัตย์สุจริต และการเสียสละ
เป็นอย่างย่งิ
ท่มี า http://www.thaigoodview.com/library/contest๒๕๕๒/type๒/.../comment_๓.html-
ใบงานท่ี ๒.๖
การวิเคราะหค์ ุณค่าหนังสอื ตามความสนใจ
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนอา่ นหนังสอื ตามความสนใจ แลว้ นำเรื่องที่อา่ นมาวิเคราะห์คณุ คา่
เฉลย ใบงานท่ี ๒.๖
การวเิ คราะหค์ ณุ ค่าหนังสอื ตามความสนใจ
คำช้แี จง ใหน้ ักเรยี นอา่ นหนังสือตามความสนใจ แลว้ นำเรอ่ื งที่อ่านมาวเิ คราะหค์ ุณค่า
(พจิ ารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยใหอ้ ยใู่ นดลุ ยพินจิ ของครผู สู้ อน)
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๑3
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ท21121 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 โคลงโลกนิติ เวลา ๑๐ คาบ
เร่ือง การเขียนบรรยายประสบการณ์ เวลา 1 ชั่วโมง
ผสู้ อน นางสาวณฐั ฐนิ นั ท์ สมิ พา โรงเรียนบ้านนาดสี รา้ งบง
หมายเหต…ุ ………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขยี นสอ่ื สาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขยี นเรอ่ื งราวในรปู แบบ
ต่างๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ
ตวั ชวี้ ัด
ท ๒.๑ ม.๑/๓ เขียนบรรยายประสบการณโ์ ดยระบสุ าระสำคญั และรายละเอียดสนับสนนุ
สาระสำคัญ
การเขียนบรรยายประสบการณ์ จะตอ้ งมีความรู้เร่ืองหลักการเขียนบรรยาย โดยระบสุ าระสำคัญและ
รายละเอยี ดสนับสนนุ ของเรื่องราวจากประสบการณ์
จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. หลกั การเขยี นบรรยายประสบการณ์
๒. สามารถเขยี นบรรยายประสบการณโ์ ดยระบสุ าระสำคญั และรายละเอียดสนับสนนุ ได้
สมรรถนะหลกั
๑. ความสามารถในการส่อื สาร
๒. ความสามารถในการคิด
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซือ่ สตั ยส์ ุจรติ
๓. มวี ินัย
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มุ่งม่นั ในการทำงาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ
แนวความคดิ เพอ่ื การเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
๒. ทักษะดา้ นการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม
๓. ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี
๔. ทกั ษะด้านชวี ิตและอาชพี
สาระการเรยี นรู้
การเขยี นบรรยายประสบการณ์
กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ขั้นตอน/กระบวนการ)
วธิ ีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : ๕E)
ข้นั ท่ี ๑ กระตุ้นความสนใจ
๑. นักเรียนตอบคำถามกระตนุ้ ความคิด
๒. นกั เรยี นรวมกลุ่มเดิม (จากแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑) จากน้ันครใู หส้ มาชกิ ในแต่ละกลมุ่ เล่า
เรอ่ื งราวเก่ียวกับประสบการณท์ ี่นกั เรียนประทับใจท่ีสุดใหเ้ พอื่ นฟัง
๓. ครูถามนกั เรยี นว่า สมาชิกคนใดในกลมุ่ เล่าประสบการณ์ได้น่าฟังทีส่ ุด พรอ้ มอธิบายเหตุผล
ประกอบ
๔. ครูอธบิ ายใหน้ กั เรยี นเข้าใจว่า การเล่าหรอื การเขียนบรรยายเกี่ยวกบั ประสบการณ์จะต้องอาศัย
การระบสุ าระสำคญั และรายละเอียดต่างๆ ด้วย จึงจะทำใหม้ ีความนา่ สนใจ
ขนั้ ที่ ๒ สำรวจคน้ หา
๕. ครใู ห้นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ศึกษาความรู้เรื่อง การเขียนบรรยาย จากหนงั สอื เรียน
ขน้ั ท่ี ๓ อธิบายความรู้
๖. สมาชิกในแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั อธิบายลักษณะของการเขียนบรรยายประสบการณ์เรอ่ื ง ล่องแพแม่
วัง จากหนงั สอื เรยี น ตามประเด็นที่ครกู ำหนด ดังนี้
๑) การเขยี นบรรยายเป็นการบอกเล่าเรอื่ งราวของใคร ทำอะไร ทีไ่ หน เมื่อไร อยา่ งไร และ
เกิดผลอะไร
๒) ลักษณะของการใชค้ ำในการเขียนบรรยาย
๓) เทคนคิ ท่ีผูเ้ ขียนนำมาใชใ้ นการเขียนเล่าเรอื่ ง
๗. สมาชิกในแตล่ ะกลุ่มผลดั กันอธิบายลักษณะของการเขยี นบรรยายประสบการณ์ในแตล่ ะประเด็น
แลว้ สรุปผล K
๘. ครูส่มุ เรยี กตวั แทนนกั เรียน ๒-๓ กลุ่ม อธิบายประเด็นความรู้ที่เป็นข้อสรุปของกลุ่ม
๙. นักเรียนรว่ มกนั สรุปลักษณะของการเขยี นบรรยายประสบการณ์
ข้นั ที่ ๔ ขยายความเขา้ ใจ
๑๐. นกั เรียนทำใบงานท่ี ๔.๘ เรื่อง การเขียนบรรยายประสบการณ์ เปน็ รายบุคคล เมื่อทำเสร็จแลว้
ใหต้ รวจความเรียบรอ้ ยและแกไ้ ขให้สมบูรณ์
ขน้ั ที่ ๕ ตรวจสอบผล
๑๑. นกั เรียนทำใบงานที่ ๔.๘ เรือ่ ง การเขียนบรรยายประสบการณ์ เปน็ รายบคุ คล เมือ่ ทำเสรจ็ แล้ว
ใหต้ รวจความเรยี บรอ้ ยและแก้ไขใหส้ มบรู ณ์
สอื่ (วสั ดุ-อปุ กรณ์-สงิ่ พิมพ์) / นวัตกรรม / ICT
๑) หนังสอื เรยี น ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.๑
๒) ใบงานที่ ๔.๘ เรือ่ ง การเขยี นบรรยายประสบการณ์
แหลง่ การเรยี นรู้ เคร่ืองมือวัดและประเมินผล เกณฑ์การวัด
- -แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ -ระดับคณุ ภาพ ๒ ผา่ น
ทำงานรายบคุ คล เกณฑ์
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ -แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ -ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผา่ น
วิธกี ารวัดผลและการประเมนิ ผล ทำงานกล่มุ เกณฑ์
- ใบงาน ๒.๖ -ร้อยละ ๖๐ ผ่านเกณฑ์
ด้านความรู้ (K) -สังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน
รายบคุ คล -แบบประเมินการนำเสนอ - ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผ่าน
-สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่ ผลงาน เกณฑ์
-ตรวจใบงาน ๒.๖ - แบบประเมนิ คุณลักษณะอัน - ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ น
พงึ ประสงค์ เกณฑ์
ด้านทกั ษะ/ ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
กระบวนการ (P)
ดา้ นคุณธรรม - สังเกตการใฝ่เรยี นรู้ มีความ
จรยิ ธรรม และ รับผดิ ชอบ และรกั ความเป็นไทย
คา่ นยิ ม (A)
กิจกรรมเสนอแนะ
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชื่อ.....................................................ผู้เขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้
................/.................../................
ใบงานที่ ๔.๘
การเขยี นบรรยายประสบการณ์
คำช้แี จง ให้นกั เรยี นเขยี นบรรยายประสบการณ์ทีป่ ระทับใจมากที่สุด ๑ เร่อื ง
เฉลย ใบงานท่ี ๔.๘
การเขยี นบรรยายประสบการณ์
คำช้แี จง ใหน้ กั เรยี นเขียนบรรยายประสบการณท์ ป่ี ระทับใจมากท่สี ุด ๑ เรอ่ื ง
(พิจารณาตามคำตอบของนกั เรยี น โดยให้อย่ใู นดลุ ยพินจิ ของครูผ้สู อน)
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑4
กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ท21121 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 โคลงโลกนติ ิ เวลา ๑๐ คาบ
เร่ือง การเขียนรายงาน เวลา 1 ชัว่ โมง
ผสู้ อน นางสาวณฐั ฐนิ นั ท์ สมิ พา โรงเรยี นบ้านนาดีสร้างบง
หมายเหตุ…………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขียนส่อื สาร เขยี นเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวใน
รูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า
อย่างมีประสิทธิภาพ
ตวั ชี้วัด
ท ๒.๑ ม.๑/๘ เขียนรายงานการศึกษาคน้ ควา้ และโครงงาน
ม.๑/๙ มีมารยาทในการเขียน
สาระสำคัญ
การเขียนบรรยายประสบการณ์ จะต้องมีความรเู้ รื่องหลักการเขียนบรรยาย โดยระบุสาระสำคญั และ
รายละเอยี ดสนบั สนนุ ของเรือ่ งราวจากประสบการณ์
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๑. สามารถอธบิ ายหลกั การเขียนรายงานโครงงานได้
2. สามารถเขียนรายงานโครงการได้
3. มมี ารยาทในการเขียน
สมรรถนะหลัก
๑. ความสามารถในการส่ือสาร
๒. ความสามารถในการคิด
๓. ความสามารถในการแก้ปญั หา
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
๒. ซ่อื สตั ย์สจุ รติ
๓. มีวินยั
๔. ใฝเ่ รยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มงุ่ ม่ันในการทำงาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มีจิตสาธารณะ
แนวความคิดเพ่อื การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวิชาหลกั (Core Subjects)
๒. ทักษะด้านการเรียนร้แู ละนวัตกรรม
๓. ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
๔. ทักษะด้านชวี ติ และอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
การเขียนรายงาน ไดแ้ ก่การเขียนรายงานโครงงาน
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (ขั้นตอน/กระบวนการ)
วธิ สี อนโดยการจัดการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือ : เทคนิคการต่อเรื่องราว (Jigsaw)
ขน้ั นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น
๑. นักเรยี นตอบคำถามกระตนุ้ ความคิด
๒. ครสู นทนากับนักเรยี นเก่ียวกับโครงงานตา่ งๆ ทเ่ี ป็นประโยชนต์ อ่ นักเรียน แล้วใหน้ กั เรยี นช่วยกนั
อธบิ ายความหมายของคำว่า “โครงงาน”
๓. ครูอธิบายความหมายของโครงงาน และประโยชน์ของการจดั ทำโครงงาน เพ่อื ให้นักเรยี นมี
ความรู้ ความเข้าใจ และกระตุ้นใหเ้ กดิ ความสนใจอยากลงมอื ปฏิบตั ิ
ขนั้ สอน
๔. นกั เรียนรวมกลุ่มเดิม (จากแผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑) ซึง่ เรียกวา่ กลมุ่ บา้ น แลว้ กำหนดหมายเลข
ประจำตัวให้สมาชิกกลุ่มเปน็ หมายเลข ๑-๔ จากนัน้ ใหน้ ักเรียนทม่ี ีหมายเลขเดียวกนั มานัง่ รวมกนั เรยี กว่า
กลุ่มผเู้ ชยี่ วชาญ เพื่อร่วมกนั ศกึ ษาความรเู้ รอ่ื ง การเขียนโครงงาน จากหนังสือเรียน และแหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ
ตามประเดน็ ทีค่ รกู ำหนด ดงั น้ี
- กล่มุ หมายเลข ๑ ศกึ ษาองคป์ ระกอบของโครงงาน
- กลุ่มหมายเลข ๒ ศกึ ษาข้ันตอนการทำโครงงาน
- กลุ่มหมายเลข ๓ ศึกษาการเขยี นรายงานโครงงาน
๕. สมาชกิ กลุม่ ผู้เชีย่ วชาญร่วมกันอภปิ รายการเขียนโครงงานตามทร่ี บั ผิดชอบจนมีความเข้าใจ
กระจา่ งชดั เป็นอย่างดี
๖. สมาชิกกลมุ่ ผูเ้ ช่ียวชาญกลบั ไปยงั กลมุ่ เดิม แลว้ ผลดั กันอธิบายความรู้ท่ีตนไดไ้ ปศึกษาตามลำดับ
หมายเลข ๑-๓ หรือตามความสมัครใจจนครบทุกหมายเลข
๗. นักเรียนตอบคำถามกระตนุ้ ความคดิ
๘. นักเรียนแต่ละคนทำแบบวดั ฯ ตอนที่ ๒ (การเขยี นเพื่อการส่ือสาร) กิจกรรมตามตัวชวี้ ดั :
กจิ กรรมท่ี ๒.๖ เม่อื ทำเสรจ็ แลว้ ใหน้ ำส่งครตู รวจ
ขนั้ สรปุ
๙. นกั เรียนและครูร่วมกันสรุปประเด็นความรเู้ ก่ยี วกับองค์ประกอบของโครงงาน ขน้ั ตอนการทำโครงงาน
และการเขยี นรายงานโครงงาน
ส่ือ(วสั ดุ-อุปกรณ์-สง่ิ พิมพ)์ / นวัตกรรม / ICT
๑) หนงั สือเรยี น ภาษาไทย : หลักภาษาและการใชภ้ าษา ม.๑
๒) แบบวดั และบนั ทกึ ผลการเรียนรู้ ภาษาไทย ม.๑
แหลง่ การเรยี นรู้
แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ
- http://www.scienceproject.makewebeasy.com/customize-การเขยี นรายงานโครงงาน-
๓๙๕๘๖-๑.html
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เคร่อื งมอื วัดและประเมนิ ผล เกณฑก์ ารวัด
วิธกี ารวัดผลและการประเมินผล -แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ -ระดบั คุณภาพ ๒ ผา่ น
ทำงานกล่มุ เกณฑ์
ดา้ นความรู้ (K) -สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม - ใบงาน ๒.๖ -ร้อยละ ๖๐ ผา่ นเกณฑ์
-ตรวจใบงาน ๒.๖ -แบบประเมินการนำเสนอ - ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผา่ น
ผลงาน เกณฑ์
ด้านทักษะ/ ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
กระบวนการ (P) - แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั - ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ น
พึงประสงค์ เกณฑ์
ดา้ นคณุ ธรรม - สงั เกตการใฝ่เรียนรู้ มคี วาม
จรยิ ธรรม และ รบั ผิดชอบ และรักความเป็นไทย
ค่านิยม (A)
กิจกรรมเสนอแนะ
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงชือ่ .....................................................ผเู้ ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
................/.................../................
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี ๑
กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ท21121 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 สภุ าษติ พระร่วง เวลา ๑๐ คาบ
เร่ือง การอ่าน เวลา 4 ช่ัวโมง
ผสู้ อน นางสาวณัฐฐินนั ท์ สิมพา โรงเรยี นบ้านนาดสี ร้างบง
หมายเหต…ุ ………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสรา้ งความรแู้ ละความคิดเพ่อื นำไปใช้ตดั สนิ ใจ แก้ปัญหา ใน
การดำเนินชีวติ และมนี สิ ยั รักการอ่าน
ตัวช้วี ัด
ท ๑.๑.๑ อ่านออกเสยี งบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสมกบั เรอื่ งทีอ่ า่ น
ท ๑.๑.๒ จบั ใจความสำคญั จากเรอ่ื งทอ่ี ่าน
ท ๑.๑.๔ ระบแุ ละอธิบายคำเปรยี บเทียบและคำที่มีหลายความหมายในบรบิ ทต่างๆ
จากการอ่าน
ท ๑.๑.๕ ตคี วามคำยากในเอกสารวชิ าการโดยพจิ ารณาจากบริบท
ท ๑.๑.๘ วิเคราะห์คณุ ค่าท่ไี ด้รบั จากการอ่านงานเขียนอย่างหลากหลาย เพ่อื นำไปใช้
แกป้ ญั หาในชีวติ
ท ๑.๑.๙ มมี ารยาทในการอา่ น
สาระสำคัญ
การอา่ นเป็นการรับร้ขู ้อมูลขา่ วสาร ความรู้ ความบนั เทงิ ซึ่งส่งผลใหผ้ อู้ ่านมีความฉลาดรอบรู้
และทนั ตอ่ เหตุการณ์ มีนิสัยรักการอา่ น สามารถเลือกอา่ นหนังสอื ท่มี คี ุณคา่ และนาไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิต
จริง ตลอดจนมมี ารยาทในการอา่ น
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกวธิ ีการอา่ นออกเสียงรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองทถ่ี ูกตอ้ งได้
2. สรปุ ความจากเร่อื งทีอ่ ่านได้
3. อ่านออกเสยี งรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองได้ถูกตอ้ งตามหลักการอา่ น
4. มมี ารยาทในการอา่ นและนสิ ัยรักการอา่ น
สมรรถนะหลัก
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซ่ือสัตย์สุจรติ
3. มวี ินยั
4. ใฝเ่ รียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. ม่งุ ม่ันในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจิตสาธารณะ
แนวความคิดเพ่ือการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21
1. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
2. ทกั ษะด้านการเรียนรู้และนวตั กรรม
3. ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
4. ทกั ษะดา้ นชวี ิตและอาชพี
สาระการเรียนรู้
๑. การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรอง
๒. การอา่ นจบั ใจความ/ตีความ/สรปุ ความ
๓. การสรปุ เน้ือหาวรรณคดีและวรรณกรรมท่อี ่าน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ข้นั ตอน/กระบวนการ)
ชั่วโมงท่ี ๑
๑. ครูเลอื กตัวแทนนักเรยี น ๔-๕ คน ออกมาบอกสภุ าษติ ประจำใจของตนเอง พรอ้ มบอกความหมาย
และความประทับใจในสภุ าษิตใหเ้ พ่อื นฟงั หนา้ ช้ันเรยี น (A K)
๒. ใหน้ กั เรยี นอ่านบทนำเรอื่ ง สภุ าษติ พระร่วง รว่ มกนั สนทนาแล้วบันทกึ สาระสำคัญ (A R)
๓. ครูทำตารางบนกระดานให้นักเรียนเลน่ เกมปริศนาอกั ษรไขว้ คำศพั ท์สภุ าษติ พระรว่ ง พรอ้ มอธบิ าย
ความหมายของคำศัพท์ (V A R K)
๔. นักเรยี นและครรู ว่ มกันสรปุ ความรู้ ดังน้ี การศึกษาความหมายของคำศัพท์ในวรรณคดที ำให้ เข้าใจ
เนอ้ื ความของวรรณคดีเรือ่ งน้ันไดช้ ดั เจนยิ่งขึน้ (A)
๕. ครตู ดิ บัตรคำศพั ท์ท่พี ้องความหมายกนั บนกระดาน ให้นักเรยี นอา่ นและจับคคู่ ำซอ้ นท่ีมีความหมาย
พ้องกนั (R)
ชั่วโมงท่ี ๒
๖. ครูนำกระดาษกจิ กรรมคำศัพท์ทมี่ ีความหมายตรงข้ามกัน ให้นักเรยี นอา่ นและจบั คู่ คำซ้อนทม่ี ี
ความหมายตรงข้ามกนั (A)
๗. ให้นักเรียนทำใบงานเร่อื งสุภาษติ แลว้ ร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง (R)
๘. ให้นกั เรยี นและครรู ่วมกนั สรุปขอ้ คดิ ที่ได้จากสุภาษิตพระร่วง (A)
๙. ใหน้ กั เรียนอ่านแถบขอ้ ความท่ีครูติดบนกระดาน แล้วชว่ ยกันอธบิ ายความหมายคำที่ขดี เสน้ ใต้โดย
ใชบ้ รบิ ท (A R)
๑๐. ใหน้ กั เรยี นแบ่งกลุ่ม เลอื กอา่ นบทความจากหนงั สือพิมพก์ ลุ่มละ ๑ เร่ือง บนั ทกึ คำยาก
ตีความหมายจากบริบทแลว้ นำเสนอหน้าช้นั เรยี น (A R)
ชัว่ โมงท่ี ๓
๑๑. ให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ แขง่ ขันตคี วามสภุ าษติ พระร่วงโดยครยู กแถบประโยค (V A R K)
๑๒. ใหน้ ักเรยี นและครูร่วมกันสรุปความรู้ ดังนค้ี ำต่าง ๆ ท่อี ย่ใู นเรื่องหรือขอ้ ความ เรยี กว่า บรบิ ท
บริบทจะช่วยอธิบายให้เขา้ ใจคำยากบางคำได้ ทำใหผ้ อู้ ่านเข้าใจเนือ้ ความจากเร่อื งไดช้ ัดเจนข้นึ (A)
๑๓. ใหน้ กั เรยี น ๓-๔ คน ออกมาเล่าถึงแนวทางการประพฤติปฏบิ ตั ติ อ่ ตนเองและบุคคลอน่ื ให้เพ่ือน ฟงั
วา่ ใชแ้ นวทางอย่างไรในการดำเนินชีวติ ประจำวัน (A)
๑๔. ครนู ำสำนวนสุภาษติ ไทยหรอื พทุ ธศาสนสุภาษิตท่ีมีเนอ้ื ความเก่ียวกับการปฏบิ ัติตอ่ ตนเอง และการ
ปฏบิ ัติตอ่ บุคคลต่างๆ ใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ นำเสนอ (A R)
ชัว่ โมงท่ี ๔
๑๕. ใหน้ ักเรียนแต่ละกลมุ่ ค้นหาบทสุภาษิตพระร่วงท่ีมเี นอื้ ความสอดคล้องกบั หลกั คำสอนการปฏิบัติตอ่
ตนเองและการปฏิบตั ิตอ่ บคุ คลตา่ ง ๆ รวบรวมแล้วนำเสนอหนา้ ช้นั เรยี น (A R K)
๑๖. ใหน้ ักเรยี นฝกึ อ่านออกเสียงสภุ าษติ พระรว่ งจากแถบบนั ทกึ เสยี งหรือฟังจากครูอา่ นทงั้ การอ่านออก
เสียงรอ้ ยแกว้ และร้อยกรอง จากนัน้ ใหน้ กั เรยี นมาทดสอบอา่ นรายบคุ คลในช่ัวโมงวา่ ง (A)
๑๗. ใหน้ กั เรยี นและครูร่วมกนั สรุปสุภาษิตพระร่วงมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่ือเสนอแนวทางการประพฤติ ปฏบิ ตั ิ
ตนที่สามารถนำมาประยกุ ต์ใช้ในการดำเนนิ ชวี ิตได้อย่างไร (A)
๑๘. ทำแบบทดสอบหลังเรยี น
ส่อื (วสั ดุ-อุปกรณ์-สิง่ พิมพ)์ / นวตั กรรม / ICT
๑. ตารางเล่นเกมปริศนาอกั ษรไขว้
๒. บัตรคำ
๓. แถบประโยค แถบขอ้ ความ
๔. ฉลาก
๕. หนังสือพิมพ์
๖. แบบทดสอบหลังเรยี น
๗. แถบบันทกึ เสียง
๘. ตัวอยา่ งงานเขยี นแสดงความคิดเห็น
๙. แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ
๑๐. ใบงานที่
แหลง่ การเรยี นรู้
๑. ห้องสมดุ โรงเรยี น
๒. ห้องคอมพิวเตอร์
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
วธิ ีการวัดผลและการประเมนิ ผล เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล เกณฑก์ ารวัด
ด้านความรู้ (K) ๑. ทำแบบทดสอบหลังเรยี น ๑. แบบทดสอบหลังเรียน ๑. ผา่ นรอ้ ยละ ๕๐
ดา้ นทักษะ/ ๑. ทำแบบฝึกหดั ๑. แบบฝึกหัด ๑. ผ่านร้อยละ ๖๐
กระบวนการ (P) ๒. เล่นเกม ๒. เกม ๒. ผา่ นร้อยละ ๗๐
ดา้ นคุณธรรม ๑. สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ ๑. แบบสังเกตพฤติกรรมกลมุ่ ๑. ผา่ นร้อยละ ๗๐
จรยิ ธรรม และ ๒. สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ๒. ผา่ นรอ้ ยละ ๗๐
ค่านิยม (A) ๓. สังเกตมารยาทในการอ่าน ๒. แบบสงั เกตพฤติกรรม ๓. ผา่ นร้อยละ ๗๐
รายบุคคล
๓. แบบสังเกตมารยาทการอ่าน
กิจกรรมเสนอแนะ
ศึกษาวรรณคดีเร่ืองอนื่ ๆ ที่เก่ียวขอ้ งกับสุภาษิต สำนวน คำพงั เพย
ลงชอ่ื .....................................................ผูเ้ ขยี นแผนการจดั การเรียนรู้
................/.................../................
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 2
กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ท21121 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 สุภาษติ พระร่วง เวลา ๑๐ คาบ
เร่อื ง ความรู้เบื้องตน้ เกีย่ วกับการเขยี น เวลา 1 ชว่ั โมง
ผู้สอน นางสาวณัฐฐินนั ท์ สิมพา โรงเรียนบ้านนาดีสร้างบง
หมายเหต…ุ ………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขยี นสื่อสาร เขยี นเรียงความ ย่อความ และเขียน
เร่ืองราวในรปู แบบตา่ งๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการ
ศกึ ษาคน้ ควา้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
ตวั ชี้วัด
ท ๒.๑.๒ เขยี นสือ่ สารโดยใช้ถ้อยคำถกู ตอ้ ง ชดั เจน เหมาะสม และสละสลวย
ท ๒.๑.๓ เขียนบรรยายประสบการณโ์ ดยระบสุ าระสำคัญและรายละเอยี ดสนับสนนุ
ท ๒.๑.๘ มีมารยาทในการเขียน
สาระสำคัญ
การเขยี น เป็นทักษะทางภาษาท่ียากและมคี วามซับซ้อน ผูท้ จ่ี ะสามารถเขยี นไดด้ แี ละสอื่ สารให้ผอู้ า่ น
เขา้ ใจไดน้ นั้ จำเป็นจะต้องมคี วามรู้เกี่ยวกับทกั ษะการเขียน ซึง่ ประกอบด้วยประเภทของการเขยี น หลักการ
เขยี น กระบวนการเขยี น การเขยี นรปู แบบตา่ ง ๆ การใช้สำนวนภาษาในการเขยี น และการเขยี นเชงิ สร้างสรรค์
ท้ังทฤษฎแี ละตวั อยา่ งท่ีสามารถเรียนร้แู ละฝกึ ฝนควบคูก่ ันไป เพ่ือจะไดเ้ กิดความชำนาญ สามารถลงมอื เขยี น
ไดจ้ ริง เขยี นไดด้ ี และสือ่ สารไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายกระบวนการเขยี นและวางแผนการเขียนงานได้
๒. สามารถเขียนและวางแผนการเขียนงานได้
สมรรถนะหลัก
๑. ความสามารถในการสอื่ สาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
๒. ซ่ือสัตยส์ ุจริต
๓. มวี นิ ัย
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มีจติ สาธารณะ
แนวความคิดเพ่อื การเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects)
๒. ทักษะดา้ นการเรยี นร้แู ละนวตั กรรม
๓. ทกั ษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
๔. ทักษะดา้ นชวี ิตและอาชีพ
สาระการเรียนรู้
ความร้เู บอ้ื งต้นเก่ียวกบั การเขยี น
๑. ความหมายและความสำคญั ของการเขียน
๒. จดุ ประสงคข์ องการเขยี น
๓. กระบวนการเขยี น
๔. หลกั การเขยี นและมารยาทในการเขยี น
กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ขั้นตอน/กระบวนการ)
ชว่ั โมงที่ ๑
๑. นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
๒. ครูสนทนากบั นักเรียนเกย่ี วกับความหมายและความสำคญั ของการเขียน และซักถามนักเรยี นวา่
รู้จกั การเขยี นประเภทใดบ้าง มีวิธกี ารเขียนอยา่ งไร (A)
๓. แบ่งนักเรียนออกเปน็ กลุ่มย่อย ใหแ้ ต่ละกลุ่มรว่ มกนั อภิปรายตามประเดน็ ต่อไปน้ี (A K)
๑) การเขยี นงานเขียนต่าง ๆ เพ่ือจุดประสงค์ใดบ้าง
๒) การเขียนเรอื่ งใดเร่ืองหนึ่ง มกี ระบวนการเขียนอยา่ งไรบา้ ง
๓) ในการเขียนงานเขียนต่าง ๆ ให้ไดด้ นี ัน้ มีวิธีการหรอื หลกั การอยา่ งไรบ้าง
๔) มารยาททดี่ ีในการเขยี นมีอะไรบา้ ง และการมมี ารยาททีไ่ ม่ดีในการเขียนจะเกิด
ผลกระทบตอ่ ใคร และอยา่ งไร
๔. ให้แต่ละกลุม่ สรปุ ผลการอภปิ รายของกลุ่มตน แล้วนำไปอภิปรายกลุ่มใหญห่ น้าชั้นเรียน โดยส่ง
ตวั แทนกลมุ่ ละ ๑ คน นำเสนอแนวคดิ ของกลุ่ม (A K)
๕. นกั เรียนศึกษาเรอ่ื ง ความหมายและความสำคัญของการเขยี น จดุ ประสงค์ของการเขยี น
กระบวนการเขยี น หลักการเขียนและมารยาทในการเขียน จากหนังสือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน ภาษาไทย ชั้น
มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ แลว้ ชว่ ยกันรวบรวมเน้อื หา เขียนเปน็ แผนภาพความคิด (A R)
๖. นักเรียนทำกิจกรรมท่ีเกย่ี วกบั ความรูเ้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกบั การเขียน แลว้ ช่วยกนั เฉลยคำตอบ (A R)
๗. นกั เรยี นสงั เกตการเขียนในชวี ิตประจำวันเปน็ เวลา ๑ วนั แลว้ บันทกึ เก่ยี วกับการเขยี นที่
สัมฤทธ์ิผลและไมส่ มั ฤทธ์ผิ ล (R)
๘. นักเรยี นนำความรู้เบอื้ งต้นเกี่ยวกบั การเขียนไปปรับประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวนั (K)
๙. นักเรยี นรว่ มกันสรุปผลการอภิปราย บันทึกลงสมดุ (A R)
สื่อ (วัสดุ-อปุ กรณ์-สิ่งพมิ พ)์ / นวัตกรรม / ICT
๑. แบบทดสอบก่อนและหลังเรยี น
๒. หนังสอื เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน ภาษาไทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑
๓. แบบฝึกทกั ษะ รายวชิ าพื้นฐาน ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๑
แหล่งการเรยี นรู้ เขยี นแผนภาพความคิดเกย่ี วกับความหมายและความสำคัญ
ห้องสมดุ โรงเรียน จดุ ประสงค์ กระบวนการ หลักการและมารยาทในการเขยี น
หอ้ งคอมพวิ เตอร์ ออกแบบตกแตง่ และจดั ปา้ ยนเิ ทศ
บูรณาการ
คณติ ศาสตร์
ศิลปะ
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
วธิ ีการวดั ผลและการประเมินผล เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล เกณฑ์การวัด
ด้านควา๑ม.รู้ ๑. สงั เกตการตอบคำถาม ๑. แบบสังเกตการตอบคำถามและการ ๑. ผา่ นร้อยละ ๗๐
(K) ๒.
และการแสดงความ แสดงความคิดเห็น ๒. ผ่านร้อยละ ๗๐
๓. คิดเหน็
๒. ตรวจผลการทำกิจกรรม ๒. แบบบนั ทึกคะแนนการทำกิจกรรม ๓. ผ่านรอ้ ยละ ๗๐
๓. ตรวจแบบทดสอบ ๓. แบบทดสอบก่อนเรียน
ก่อนเรยี น
ด้านทักษะ/ ๑. ประเมนิ ทักษะการเขยี น ๑. แบบประเมินทกั ษะการเขยี น ๑. ผ่านรอ้ ยละ ๗๐
๒. ผ่านร้อยละ ๗๐
กระบวนการ ๒. ประเมินทกั ษะการแสวงหา ๒. แบบประเมินทักษะการแสวงหา ๓. ผา่ นรอ้ ยละ ๗๐
๔. ผา่ นร้อยละ ๗๐
(P) ความรู้ ความรู้
๑. ผ่านร้อยละ ๗๐
๓. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการคิด ๓. แบบประเมินทกั ษะกระบวน ๒. ผา่ นรอ้ ยละ ๗๐
๔. ประเมนิ ทักษะกระบวนการ การคดิ
กล่มุ ๔. แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการ
กลมุ่
ด้านคุณธรรม ๑.ประเมินพฤตกิ รรมในการ ๑. แบบประเมนิ พฤติกรรมในการ
จริยธรรม ทำงานเป็นรายบุคคลในด้านความ ทำงานเปน็ รายบคุ คลในดา้ นความ
และคา่ นยิ ม สนใจและต้งั ใจเรยี น ความ สนใจและตงั้ ใจเรยี น ความรับผิดชอบ
(A) รับผิดชอบ ในการทำกจิ กรรม ในการทำกิจกรรม ความมรี ะเบยี บ
ความมี ระเบียบวินัยในการทำงาน วนิ ัยในการทำงาน ฯลฯ
ฯลฯ ๒. แบบประเมนิ มารยาทในการ เขียน
๒. ประเมนิ มารยาทในการเขียน และนสิ ัยรกั การเขียน
และนิสัยรักการเขยี น
กจิ กรรมเสนอแนะ
๑. นักเรยี นจัดทำปา้ ยความร้เู กีย่ วกับความรเู้ บื้องต้นเก่ียวกับการเขียน ออกแบบตกแตง่ ให้สวยงาม
แล้วนำไปจดั แสดงทป่ี า้ ยนิเทศหน้าชัน้ เรียน
๒. นักเรยี นเลือกงานเขียนท่ีดมี หี ลักการและมมี ารยาทในการเขียนมาศึกษารูปแบบ และวิธกี ารเขยี น
ลงชอ่ื ...........................................................ผู้เขียนแผนการจัดการเรียนรู้
............./................/...............
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ท21121 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 สุภาษติ พระร่วง เวลา ๑๐ คาบ
เรอื่ ง การเขยี นเรยี งความ เวลา 2 ช่วั โมง
ผสู้ อน นางสาวณฐั ฐนิ นั ท์ สิมพา โรงเรียนบา้ นนาดีสรา้ งบง
หมายเหตุ…………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียนเขยี นสอื่ สาร เขยี นเรียงความ ยอ่ ความ และเขียน
เรื่องราวในรปู แบบต่างๆ เขยี นรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงาน
การศกึ ษาคน้ คว้าอยา่ งมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัด
ท ๒.๑.๔ เขียนเรียงความ
ท ๒.๑.๙ มีมารยาทในการเขยี น
สาระสำคัญ
เรียงความ เป็นเรือ่ งทีเ่ รียบเรียงข้ึนเพ่ือแสดงข้อเท็จจรงิ ขอ้ คดิ เหน็ หรอื อารมณ์ความรู้สึก ประกอบ
ด้วยส่วนที่สำคญั มี ๓ สว่ น คอื คำนำ เนื้อเรอื่ ง และสรุป ส่วนทเี่ ป็นคำนำ และสรปุ มเี นื้อหา อย่าง
ละ ๑ ยอ่ หนา้ ส่วนเน้ือเรือ่ งอาจมีได้มากกวา่ ๑ ย่อหน้า ดงั นนั้ เรียงความเร่ืองหน่ึง ๆ จะประกอบ ด้วย
ขอ้ ความ ๓ ยอ่ หน้าเป็นอย่างนอ้ ย
จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. บอกความหมายและสว่ นประกอบของการเขียนเรยี งความได้
๒. อธบิ ายกลวิธกี ารเขียนเรยี งความได้
3. สามารถเขียนเรียงความไดถ้ ูกต้องตามหลกั การเขยี น
สมรรถนะหลัก
๑. ความสามารถในการส่ือสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
๔. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซอ่ื สัตย์สุจรติ
๓. มีวนิ ยั
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยู่อยา่ งพอเพียง
๖. มุ่งม่นั ในการทำงาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มีจิตสาธารณะ
แนวความคิดเพอ่ื การเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวชิ าหลกั (Core Subjects)
๒. ทักษะด้านการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม
๓. ทักษะดา้ นสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี
๔. ทักษะด้านชวี ิตและอาชีพ
สาระการเรยี นรู้
การเขยี นเรียงความ
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (ขัน้ ตอน/กระบวนการ)
ชัว่ โมงท่ี ๑
๑. ครูนำเรียงความท่ีไดร้ ับรางวลั มาเป็นตวั อย่างใหน้ กั เรียนอา่ น และร่วมสนทนาเกี่ยวกับรปู แบบ
ของการเขียนเรียงความ (A R)
๒. แบง่ นกั เรียนออกเปน็ กลุ่มละ ๕ คน ใหแ้ ต่ละกลุม่ พดู อภิปรายแบบใกล้ชิดตามหวั ข้อต่อไปน้ี (A)
๑) สว่ นประกอบของเรียงความมอี ะไรบ้าง จงอธบิ าย
๒) กลวิธกี ารเขียนเรยี งความใหน้ ่าอ่านมีอะไรบา้ ง
๓) เอกภาพ สัมพนั ธภาพ และสารัตถภาพ คืออะไร มคี วามสำคญั ตอ่ การเขยี นเรยี งความ
หรือไม่ อยา่ งไร
๓. แต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมารายงานผลการอภปิ รายหนา้ ช้ันเรยี น กลุม่ ละ ๓ นาที (A)
๔. นกั เรียนร่วมกันวิเคราะหต์ ัวอยา่ งเรยี งความทคี่ รูนำมาใหอ้ ่านเกี่ยวกบั สว่ นประกอบ
การลำดับความคิด ความเป็นเอกภาพ สัมพันธภาพ สารัตถภาพ (A R)
๕. ให้แต่ละกลุม่ เขยี นคำนำ เนื้อเรือ่ ง และสรปุ ของเรียงความเรอ่ื ง “ภัยจากยาเสพตดิ ” (R)
๖. ใหน้ ักเรยี นเขยี นเรียงความคนละ ๑ เร่อื ง โดยเลอื กเรอ่ื งเองตามความสนใจ พร้อมทัง้ ทำ
แผนภาพโครงเรอ่ื งประกอบดว้ ย (ทำเป็นการบา้ น) ส่งครู (R)
ชว่ั โมงที่ ๒
๗. นักเรียนทำกิจกรรมที่เกี่ยวกบั การเขียนเรยี งความ แล้วรว่ มกันพจิ ารณาคดั เลือก ตดั สินเรยี งความ
ที่เขียนไดด้ ี ถูกต้อง ครบถว้ นตามหลักและการวิธีการเขยี นเรยี งความ ติดปา้ ยนเิ ทศหนา้ ช้ันเรียน (R)
๘. นกั เรยี นศกึ ษาเพิ่มเติม เร่อื ง การเขียนเรียงความ จากหนงั สอื เรยี นหรือหนงั สืออืน่ ๆ (R)
๙. นักเรยี นนำแนวคดิ และหลักการจากการเขียนเรียงความไปปรับประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั (K)
๑๐. นักเรยี นและครรู ว่ มกนั สนทนาสรปุ ความรูท้ ี่เกีย่ วกับการเขยี นเรยี งความ เขียนเป็นแผนภาพ
ความคดิ บนั ทกึ ลงสมดุ (A R)
๑๑. นกั เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน
ส่อื (วสั ดุ-อปุ กรณ์-สิ่งพมิ พ)์ / นวัตกรรม / ICT
๑. ตัวอยา่ งเรียงความที่ไดร้ บั รางวลั
๒. หนงั สอื เรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
๓. แบบฝึกทกั ษะ รายวชิ าพนื้ ฐาน ภาษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๑
๔. แบบทดสอบหลังเรียน
แหล่งการเรยี นรู้
ห้องสมดุ โรงเรียน
หอ้ งคอมพวิ เตอร์
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
วิธกี ารวดั ผลและการประเมนิ ผล เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล เกณฑก์ ารวัด
ดา้ นความรู้ ๑. สงั เกตการตอบคำถามและการ ๑. แบบสังเกตการตอบคำถามและ การ ๑. ผ่านรอ้ ยละ ๗๐
(K) แสดงความคิดเห็น แสดงความคิดเหน็ ๒. ผ่านร้อยละ ๗๐
๒. ตรวจผลการทำกิจกรรม ๒. แบบบนั ทึกคะแนนการทำกจิ กรรม ๓. ผา่ นรอ้ ยละ ๗๐
๓. ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น ๓. แบบทดสอบหลังเรียน
ด้านทกั ษะ/ ๑. ประเมนิ ทักษะการเขียน ๑. แบบประเมนิ ทกั ษะการเขยี น ๑. ผา่ นรอ้ ยละ ๗๐
กระบวนการ ๒. ประเมนิ ทักษะการแสวงหาความรู้ ๒. แบบประเมนิ ทักษะการแสวงหาความรู้ ๒. ผา่ นรอ้ ยละ ๗๐
(P) ๓. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการคิด ๓. แบบประเมินทักษะกระบวนการคดิ ๓. ผา่ นร้อยละ ๗๐
๔. ประเมินทกั ษะกระบวนการกลุม่ ๔. แบบประเมินทกั ษะกระบวนการกลุ่ม ๔. ผ่านรอ้ ยละ ๗๐
ด้านคุณธรรม ๑. ประเมนิ พฤตกิ รรมในการทำงาน ๑. แบบประเมนิ พฤติกรรมในการทำงาน ๑. ผ่านรอ้ ยละ ๗๐
จริยธรรม เปน็ รายบคุ คลในด้านความสนใจและ เป็นรายบคุ คลในดา้ นความสนใจและตัง้ ใจ ๒. ผ่านรอ้ ยละ ๗๐
และค่านยิ ม ตงั้ ใจเรยี น ความรบั ผิดชอบในการทำ เรียน ความรับผิดชอบในการทำกิจกรรม
(A) กิจกรรม ความมรี ะเบยี บวินยั ในการ ความมีระเบยี บ วนิ ัยในการทำงาน
ทำงาน ๒. แบบประเมนิ มารยาทในการเขยี นและ
๒. ประเมินมารยาทในการเขียนและ นิสยั รักการเขยี น
นิสยั รักการเขยี น
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. นักเรียนจัดทำปา้ ยความรู้เกยี่ วกับการเขียนเรยี งความ ออกแบบตกแตง่ ให้สวยงามแล้วนำไปจดั
แสดงท่ปี ้ายนเิ ทศหนา้ ชน้ั เรยี น
๒. จดั ประกวดการเขยี นเรียงความ ตามโอกาสหรอื เหตุการณส์ ำคญั
๓. นกั เรยี นรว่ มแสดงความคดิ เหน็ เปรยี บเทียบการเขียนเรยี งความภาษาอังกฤษกบั ภาษาไทย
ลงชือ่ ...........................................................ผเู้ ขียนแผนการจัดการเรียนรู้
............./................/...............
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ท21121 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๔ สภุ าษิตพระร่วง เวลา ๑๐ คาบ
เร่ือง การพัฒนาทกั ษะการฟงั และการดู เวลา 2 ชวั่ โมง
ผสู้ อน นางสาวณัฐฐินนั ท์ สมิ พา โรงเรยี นบ้านนาดสี รา้ งบง
หมายเหตุ…………………………………………………………………………………………………………………………
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟงั และดอู ยา่ งมีวจิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้
ความคดิ และความรสู้ กึ ในโอกาสต่างๆ อย่างมีวจิ ารณญาณและ
สร้างสรรค์
ตัวชี้วัด
ท ๓.๑.๑ พูดสรุปใจความสำคญั ของเรอ่ื งทฟี่ ังและดู
ท ๓.๑.๖ มีมารยาทในการฟงั การดู และการพูด
สาระสำคญั
ทกั ษะการฟงั และการดู เปน็ การรับสารโดยผ่านกระบวนการทำงานของหแู ละตา ซ่งึ เป็นทกั ษะสำคญั
ในการสอ่ื สารและจำเป็นอยา่ งยิ่งต่อการดำรงชวี ิตในสงั คม โดยผู้ฟงั และดูจะตอ้ งกำหนดจุดมุง่ หมาย วิธีการ
และรกั ษามารยาทท่ีดีในการฟังและการดู
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ความรู้ (K)
๑. บอกความหมายและความสำคญั ของการฟงั และการดูได้
๒. อธิบายจดุ ม่งุ หมายและวิธกี ารฟังและการดูได้
3. สามารถฟงั และดไู ดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ
4. มมี ารยาทในการฟงั และการดู
สมรรถนะหลกั
๑. ความสามารถในการสือ่ สาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแก้ปญั หา
๔. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
๒. ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ
๓. มีวินยั
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยู่อยา่ งพอเพยี ง
๖. มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
๗. รักความเป็นไทย
๘. มีจิตสาธารณะ
แนวความคดิ เพ่ือการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑
๑. สาระวชิ าหลัก (Core Subjects)
๒. ทกั ษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
๓. ทกั ษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
๔. ทกั ษะดา้ นชีวติ และอาชีพ
สาระการเรียนรู้
หลกั การฟงั และการดู
กระบวนการจดั การเรยี นรู้ (ขนั้ ตอน/กระบวนการ)
ชว่ั โมงที่ ๑
๑. นักเรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
๒. นักเรยี นดูภาพท่ีกำหนดให้ เช่น ภาพเด็กดนู ทิ รรศการ เด็กกำลังใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ต หรอื ภาพเด็ก
กำลังฟังการบรรยาย การปาฐกถา ฯลฯ แลว้ สนทนาซักถามเกย่ี วกบั ภาพว่าเป็นภาพเก่ยี วกบั อะไร กิจกรรม ใน
ภาพมปี ระโยชนแ์ ละมคี วามสำคัญอยา่ งไรบ้าง (V A)
๓. ครเู ล่านิทานให้นกั เรียนฟังพร้อมเปดิ สมดุ ภาพนทิ านให้นกั เรียนดู และให้นักเรียนชว่ ยกันบอกคติ
หรือแนวคดิ สำคญั ของเรื่อง (V A)
๔. ครชู ้ใี ห้นกั เรียนเหน็ วา่ การทนี่ ักเรยี นสามารถบอกแนวคิดสำคัญของเร่ืองไดแ้ สดงว่านกั เรยี นมีหลัก
ในการฟังและการดทู ่ีดี (A)
๕. แบง่ นกั เรยี นออกเป็นกลุม่ ละ ๕ คน ร่วมอภิปรายเก่ยี วกบั หลักการฟังและการดูตามประเด็น
ตอ่ ไปนี้ (K)
๑) เสนอความคิดเก่ียวกับความหมายและความสำคัญของการฟงั และการดู ตามความคิดของกล่มุ
๒) เสนอจุดมงุ่ หมายของการฟังและการดูตามความคิดของกล่มุ
๓) เสนอแนะวิธกี ารฟังและการดทู ่ีมปี ระสทิ ธิภาพเพิ่มเติมจากบทเรียน
๔) สรปุ ความแตกตา่ งระหวา่ งการฟงั และการดูสง่ิ ทีเ่ ปน็ ความรูก้ บั สง่ิ ท่ีเปน็ ความบนั เทงิ
๖. ให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานหนา้ ชั้นเรียน (A K)
๗. สงั เกตตัวเองและเพ่ือนรว่ มชน้ั ในรอบสัปดาห์เก่ียวกับการฟงั และการดวู า่ ได้ฟงั และไดด้ ูในเรอ่ื ง
ใดบ้าง และไดอ้ ะไรจากการฟงั และการดู แลว้ นำมาแลกเปลี่ยนกับเพอื่ นชัน้ เรยี น (A K)
ชวั่ โมงที่ ๒
๘. นักเรียนทำกจิ กรรมท่เี กีย่ วกบั หลักการฟงั และการดู แล้วช่วยกนั เฉลยคำตอบ (A R)
๙. นกั เรยี นทำใบงานเรือ่ ง หลักท่วั ไปในการฟังและการดู แล้วชว่ ยกันตรวจสอบความถกู ต้อง (A R)
๑๐. นักเรียนสังเกตการดแู ละการฟงั ของตนเองเป็นเวลา ๑ วนั แลว้ บนั ทึกเกยี่ วกบั การสื่อสาร ท่ี
สมั ฤทธผิ ลและไมส่ มั ฤทธผิ ล (R K)
๑๑. นกั เรียนนำความรูเ้ กี่ยวกบั เรอื่ ง หลกั การฟงั และการดู ไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจำวนั และในการ