The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รักแบบเบาสบาย คือรักแล้วไม่ทุกข์ รักด้วยสติ เพราะอยากได้มันมาก มันก็เป็นพิษ สุขของเขา ทุกข์ของเรา รักแบบมีธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว รักแท้ต้องประกอบด้วย เมตตา ปรารถนาให้คนที่รักมีความสุข และพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ช่วยดึงกันไปในทางที่สว่าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pilaiporn Sanchompoo, 2024-04-22 01:23:20

สัญญาใจสายใยรักแห่งนาคพิภพ เพื่อพ้นจากวัฏฏะ

รักแบบเบาสบาย คือรักแล้วไม่ทุกข์ รักด้วยสติ เพราะอยากได้มันมาก มันก็เป็นพิษ สุขของเขา ทุกข์ของเรา รักแบบมีธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว รักแท้ต้องประกอบด้วย เมตตา ปรารถนาให้คนที่รักมีความสุข และพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ช่วยดึงกันไปในทางที่สว่าง

Keywords: chompoo93

สัญญาใจสายใยรักแห่งนาค พิภพ เพื่อพ้นจากวัฏฏะ เมื่อบุญสัมพันธ์ ธรรมะจัดสรรเสมอ เสมอ รักแบบเบาสบาย คือรักแล้วไม่ทุกข์ รักด้วยสติ เพราะ อยากได้มันมาก มัน ก็เป็ นพิษ สุขของเขา ทุกข์ของเรา รักแบบ มีธรรมะ ไม่เห็นแก่ ตั ว รั ก แ ท้ ต้ อ ง ประกอบด้วย เมตตา กรุณาปรารถนาให้ คนที่รักมีความสุข และพน้ทุกขท์้ังปวง ดึงกันไปในทางสว่าง บารมีชมภูแก้วทิพย์


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 1 บทสวดขอขมาพระรัตนตรัย วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษท้งัปวง ขอพระองค์ จงประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าแต่พระธรรมอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรม เพื่อขอขมาโทษท้งัปวง ขอพระธรรม จงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระสงฆ์ เพื่อขอขมาโทษท้งัปวง ขอพระสงฆ์ จงใหอ้ภยัโทษแก้่ขา้พเจา้ดว้ยเถิด


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 2 นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ คาถาชินบัญชร แบบย่อ ชิ นะ ปัญ ชะ ระ ปะ ริต ตัง มัง รัก ขะ ตุ สัพ พะ ทา บุญกุศลใดๆ ที่ไดจ้ากการเผยแพร่ธรรมะในคร้งัน้ี น้อมถวายบูชาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ น้อมกราบญาณบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (หลวงปู่ โต พรหมรังสี)พ่อแม่ครูบาอาจารย์ องค์บรมครูทุกๆ พระองค์พญาศรีนคราปาวาฬนะนาคราช พุทธศาสนาถือว่า ใจเป็ นจุดศูนย์กลางที่รวมของความดี ความชั่วทั้งปวง ถือว่าใจเป็นผู้ท าดีท าชั่วก่อนสิ่งอื่น เมื่อใจดี กาย ก็ดี วาจาก็ต้องดีเป็ นธรรมดา การปฏิบัติสมาธิ หรือกรรมฐานก็ เพราะต้องการฝึกใจ เมื่อใจถูกฝึกอบรมดีแล้ว ใจเราก็ใส เมื่อใจเราใสไม่ขุ่นมัวแล้ว เรารู้เท่าทันธรรมารมณ์ ทั้งหลาย และตื่นจากความหลง ประจักษ์แก่ใจว่า ความยึดมั่น ถือมั่น ความอยากได้ อยากมี นั้นเป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งปวง จนปล่อยวางความคาดหวังที่มันฝืนความเป็ นจริงตามธรรมชาติ ใจก็จะใสสว่าง สงบ โปร่งเบา และมีความสุข ถ้าเรามัวแต่ปล่อย ให้ กิเลสพอกพูนหนาขึ้ น อัตตาหรือตัวตนก็มากขึ้ น เราหลงยึด ติดว่านั้น ของเราตัวเรา เพราะฝุ่ นมันบังตา หรือกิเลสมันบังตา มองไม่เห็นตัวเอง ฝุ่ นผงต่างๆ มันก็เหมือนขยะที่เราเอามันมา ใส่สมองเรา ทั้งๆ ที่มันไม่มีประโยชน์อะไร แค่เรากวาดขยะ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 3 ออกไปจากสมอง หรือเราแค่ปัดฝุ่ น เช็ดถู ฝุ่ นออกจากกระจก กระจกมันก็ใส เราก็จะมองเห็นตัวเองในกระจกสะท้อนให้เห็น เปรียบเหมือนใจเราถ้าขัดเกลากิเลสไปเรื่อยๆ ใจเราก็ใส ท าให้ ตื่นรู้ และเข้าใจเหตุแห่งปัญหา แล้วแก้ปัญหาได้ถูกจุด การยึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เกิด แก่ เจ็บตาย ย่อมหมุนเวียนเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเรายังไม่หลุดพ้น น้อมกราบบูชาธรรม ชมภูฟ้าบาดาล แก้วทิพย์


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 4 บทที่ สารบัญ หน้า บทที่ ๑ เปิดประตูผ่านญาณทิพย์ ๕ บทที่ ๒ แสงธรรมส่องใจ ใจสว่างก็คลายปม ๑๙ บทที่ ๓ เนื้ อนาบุญ ๓๓ บทที่ ๔ เปิดประตูเชื่อมสัญญาเก่า ๔๔ บทที่ ๕ บ้านแก้วเมืองทิพย์ยึดมั่นในธรรม ๖๖ บทที่ ๖ น้อมกราบบรมครู ครูบาอาจารย์ที่เปิดทางให้ได้เจอ๘๐ บทที่ ๗ เมื่อบุญสัมพันธ์ธรรมะจัดสรร ๙๕ บทที่ ๘ อาหารใจคือธรรม ๑๐๑ บทที่ ๙ พลังแห่งบุญกับไฟแห่งการตื่นรู้ ๑๐๙ บทที่ ๑๐ กิเลสครอบจิต ๑๒๐ บทที่ ๑๑ ส่งแม่ไปสวรรค์ ๑๒๙ บทที่ ๑๒ สะพานบุญสืบสานในทางธรรม ๑๓๖ บทที่ ๑๓ กลิ่นแห่งทิพย์ ๑๔๔ บทที่ ๑๔ กฐินสามัคคีเป็นการต่อบุญเป็นเหมือนสายน ้าไห๑๕๘ บทที่ ๑๕ จิตร่มเย็นเมื่อมีวิหารจิตวิหารใจ ๑๖๘ บทสวดจุลลไชยยปกรณ์พร้อมค าแปล ๑๘๔


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 5 บทที่ ๑ เปิ ดประตูผ่านญาณทิพย์ เจ้าคงคา มหานที เป็ นพยาน ให้รักมั ่นเราสอง ครองทุกสมัย สุดภิรมย์ ชมชื่น รื่นฤทัย ทุกสมัย ทุกชาติภพ จบที่นาง พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า คนที่ได้เกิดมาในโลกนี้ ได้พบ กัน ได้เห็นกัน ได้พูดคุยกัน บุคคลนั้นว่า ในอดีตชาติ ไม่มี ความสัมพันธ์กันเลยไม่มี อย่างน้อยๆ ก็เคยได้เกิดร่วมกันมา ชาติใดชาติหนึ่ง ปู่ บอกว่า คนที่มีบุญสัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์กับพญานาค หรือครูบาอาจารย์สายต่างๆ มันเป็ นสายเป็ นนิสัยวาสนา บาง คนเคยเป็ นครูเป็ นอาจารย์ ด้วยอ านาจแห่งบุญกรรมที่เคยสร้าง กันมา เมื่อถึงวาระบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์มันก็มีเหตุให้ ได้พบเจอกัน บางคนมีบุญสัมพันธ์กับบางสถานที่ที่มีพลังงาน ดีๆ ยังไหลเวียนอยู่ รอคนที่เกี่ยวข้องหรือมีบุญสัมพันธ์มาปรับ มาพัฒนา ในเรื่องที่เราคิดว่าบังเอิญ แต่มันมิใช่เรื่องบังเอิญ บุญ เก่าที่เราได้สร้างมาเป็ นกระแสแรงหนุนให้ได้เจอพ่อแม่ครูบา อาจารย์ที่มีบุญสัมพันธ์กับท่าน บุคคลหรือสิ่งที่รอคอยจะ ปรากฏเมื่อเงื่อนไขและปัจจัยพร้อม เมื่อถึงวาระเวลา ท่านก็เปิ ด ปริศนาธรรม ให้รับรู้ เราค่อยๆ ฝึกฐานจิต น้อมน าค าสอนของ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 6 พระพุทธองค์มาฝึกปฏิบัติและพิจารณาจิตของตัวเอง เมื่อมีอะไร มากระทบ แล้วเกิดความพอใจไม่พอใจ แล้วค่อยๆ ละอารมณ์ เหล่านั้น เราก็จะเข้าใจในองค์ความรู้ที่ท่านสอน ลูกศิษย์มีครู เดินตามครู ด าเนินตามรอยพระศาสดา “ต่อไปไม่ต้องไปหาหมอดูแล้วนะ โยมปฏิบัติมาถูกทาง แล้ว เจอกันทุกครั้งก็ไม่เหมือนเดิมนะโยม ในอดีตโยมก็เป็ น แบบนี้ ชอบเข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ นางสองภาค จิตดับที่ ไหนก็จุติที่นั้น คนที่มาด้วยกัน ตอนนี้ ก็เจอกันแล้ว สองสามคน แต่ก็ยังจะเจอกันอีกเยอะอยู่นะ ชื่อในอดีตเมื่อเคยอยู่... โยมชื่อ เภทะ... ก็กลับไปที่เดิมแหละ” ครูบาอาจารย์ท่านพูดในวันนั้น ท่านว่า ภพภูมิพญานาค จะถือในสัจจะวาจาเป็นที่ตั้ง เมื่อเราได้สัญญาอะไรไว้ ในอดีตภพ เมื่อถึงวาระสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ท า ให้รู้และเข้าใจว่า มันไม่มีเรื่องบังเอิญ มันมีเหตุย่อมมีปัจจัยและ มีผลลัพธ์ในตัวของมันเอง ท่านสอนว่า อย่าอธิษฐานขอติดตาม ใครสักคนทุกชาติไป ขอเกิดเป็ นคู่ใครสักคนทุกชาติไป ขอเกิด เป็ นพ่อแม่ลูกกันทุกชาติไป นั่นจะเป็ นการติดอธิษฐานโดยไม่ รู้ตัว และเป็ นอันตรายมากในทางธรรม อย่าพูดอธิษฐาน อย่า ปฏิญาณ อย่าสัญญาอะไรทั้งนั้น ถ้าพูดไปแล้วอธิษฐานไปแล้ว ให้ถอนเสีย อธิษฐานได้อย่างเดียวคือขอมุ่งตรงต่อมรรคผล นิพพานเท่านั้น ต้องถอนค าอธิษฐานเดิมให้หมด


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 7 เมื่อมีบุญสัมพันธ์ก็ได้มีโอกาสไปถวายสังฆทานหลวงปู่ ในวัดป่ าแห่งหนึ่ง หลังจากที่ถวายเสร็จได้สนทนากับท่าน หลวง ปู่ เล่าให้ฟังว่า ในช่วง ๓ คืนที่ผ่านมา ท่านไม่ได้นอนเลย เพราะ พญานาคแห่งเมืองบาดาลพร้อมบริวารเต็มศาลาธรรมหลังนี้มา สนทนาธรรม พญานาคบอกว่าอยากขึ้ นมาสร้างบุญสร้างกุศล แต่ยังขึ้ นมาไม่ได้ “พญานาคตนนี้ อยากจะให้องค์พญานาคมาประดิษฐ์ สถานในวัดแห่งนี้ อาตมาบอกชาวบ้านแถวนี้ แล้ว แต่ไม่มีใคร เชื่อ” หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว จิตข้างในแวบขึ้ นมาว่า อยากให้พญานาคตนนั้นได้ขึ้ นมาสร้างบุญในพุทธศาสนา เลย บอกหลวงปู่ ไปว่า “ลูกจะขอถวายรูปปั้นพญานาค” หลวงปู่ บอกว่า “ดีใจ หลายน ้าตาสิไหล พญานาค ๗ เศียรเด้อ” พอกลับถึงบ้านก็บังเอิญได้คุยกับกัลยาณมิตรที่มีญาณ สัมผัสบอกเขาว่า เอาบุญมาฝากจะสร้างรูปปั้นพญานาคถวาย วัด “คุณต้องไปจุดธูปบอกนะ จุด ๓๙ ดอก บอกแม่พระธรณี จุด ๓๘ ดอกบอกพระแม่คงคา ว่าลูกชื่อ...นามสกุล...ขอเบิกบุญ เบิกกุศลมาสร้างองค์พญานาค ๗ เศียร” กัลยาณมิตรบอก ข้าพเจ้าในวันนั้น เมื่อสั่งช่างปั้นพญานาคที่จังหวัดนครพนมปั้นเสร็จแล้ว เขามาส่งในวันที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน ได้ก่อนวันลอยกระทง ตามที่ได้ขอไว้หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า พญานาคมากราบลาหลวงปู่


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 8 บอกว่าอยู่ที่นี่มานานแล้ว ไปไหนไม่ได้ ตอนนี้ ถึงเวลาแล้ว มา กราบลาหลวงปู่ อยากกลับไปหาลูกหาภรรยา พญานาคตนนี้ แต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม มีเครื่องทรงคล้ายกษัตริย์บอกว่ามี ภรรยา ๗ คน แต่ภรรยาหายไป ๑ คน ท่านเลยตามหา และ อยากขึ้ นมาสร้างบุญสร้างบารมีในพุทธศาสนา หลังจากถวายรูปปั้นพญานาคแล้ว ก็มีพิธีบวงสรวง การ บวงสรวงเพื่อเป็ นการบอกกล่าว ขอพรเจ้าที่เจ้าทาง แม่พระ ธรณีพระแม่คงคา พระภูมิเจา้ที่สิ่งศักด์ิสิทธ์ิผูป้กปักรักษา บริเวณนั้น กัลยาณมิตรเห็นในสภาวะมโนจิต ตัวอักขระหงิกๆ งอๆ ไหลออกมาจากหน้าผากผู้ชายนุ่งขาว รวบผมมวย เขา อ่านไม่ออกเลยเขียนให้ดู “ปวารลณตนะ” ท่านส่งมโนภาพให้ เห็น “บ้านที่คุณอยู่ในภพภูมิก่อน ตรงหน้าบ้านมีวัดป่ าอยู่ แห่งหนึ่งมีพระภิกษุชราภาพ ๑ รูปและสามเณรอีก ๑ รูป เวลาที่ คุณมาจากภพภูมิของคุณ มักจะจ าแลงแปลงกายเป็ นมนุษย์ แต่งตัวเหมือนชาวบ้านแถวนั้น จะมาตั้งแต่เช้า เอาผลไม้ใส่ กระจาดใส่มาจนเต็ม มีข้าวเปลือกด้วย น ามาท าบุญ คุณจะ ขึ้ นมาทุกๆ วันเพ็ญ มาตอนใกล้รุ่งหรือใกล้สว่าง เพราะจะได้ไม่ โดดแสงแดด” งามกว่านาง ใดใด ในใต้หล้า สุขอุรา คราใจ ไม่แปรผัน เจ้านางน้อย นารีทิพย์ ข้าผูกพัน ตลอดกาล ในใจข้า คือนางเอย


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 9 จิตข้างในอยากรู้ว่าท่านปวารลณตนะ เป็ นใคร เลยถาม กายสังขารญาณทิพย์ “ท่านเป็ นโอรสของปู่ ศรีสัตตะนาคราชในดินแดนวัง บาดาล เคยมีบุญกรรมสัมพันธ์กันมา ในอดีตเคยมี ความสัมพันธ์เป็ นพระสวามี เคยครองคู่กันมา และเคยสัญญา สาบานกัน ว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอด ทุกภพ ทุกชาติ” เจ้าคงคา มหานที เป็นพยาน ให้รักมั่นเราสอง ครองทุกสมัย สุดภิรมย์ ชมชื่น รื่นฤทัย ทุกสมัย ทุกชาติภพ จบที่นาง ตอนนี้ ค าอธิษฐานมันส่งผลแล้ว ท่านรออยู่ ท่านทรมาน มาก น ้าตาท่านไหล ท่านจะกลับลงวังบาดาลแล้ว “นาคา นาคราช ราชาเน อิมกริ้ มเฮ นะมะเฮ นาฮา” ท่านบอกว่า สวัสดี ก าลังจะกลับแล้ว ท่านขอลาก่อน ค่อยเจอกันใหม่นะ ท่านว่า ท่านเป็นนาคราชา นาคกษัตริย์ รักชื่นอก รักชื่นใจ ใยเจ้าทิ้ งพี่ได้ ไม่กลับมา ทั่วไตรหล้า พี่จักตามรักเจ้า ขอให้เจ้า จงมั่นในรัก จักเสน่หา ขอชื่นชม ตามติด ชิดอุรา ทั้งไตรหล้า หามีใคร ได้เทียบเธอ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 10 “พี่รักเจ้ามาก พี่ไม่เคยลืมเจ้าเลย ชาตินี้ พี่อยู่ภพล่าง หรืออยู่ภพบน เจ้าอยู่ภพกลางของเมืองมนุษย์ พี่จะขอติดตาม รักเจ้าตลอดไป เวลาพลัดพรากของเรานานโข แต่น้องพี่ก็ไม่เคย เปลี่ยน นั่นหล่ะที่ใช่ อิน่ะเด่ะ ไม่เคยเปลี่ยนไม่พอนะ ยังรัก เคารพในองค์ของท่าน มั่นคงในรัก และไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยัง นึกถึงตลอด สานต่อบุญต่อกุศลให้ท่านเสมอมา และนานหลาย ปีแล้ว” สุขฤทัย ในยามเช้า กับเราสอง ร้อยรักเรียง เฝ้าเคียงหมอน ในเช้านี้ พี่ไม่มีอะไร ไปต่อกลอน นอกจากอยาก บอกรักเจ้า เท่านิรันดร์ ความจริงภพภูมิทิพย์ไม่มีใครสามารถไปแทรกไปรับรู้ ในโลกทิพย์ได้ หาคนเข้าไปรู้ในภพภูมิทิพย์เขาหายาก อย่างที่ เราปฏิบัติธรรมบูชา ที่เรารู้ มันเป็ นปัจจัตตังคือ รู้ด้วยตัวเอง ความรู้จะไปรู้ทุกคนไม่มี ท่านที่รู้ก็รู้ด้วยตัวเอง บางเรื่องไม่ต้อง ไปแสวงหา เมื่อถึงวาระก็เปิดให้รับรู้เอง “ท่านอยากให้มีหุ่นปั้นพญานาคใช้ภพสถิต วิญญะครา นะมามิ อินัง กรายา ทิพย์วิมาลาอรุงกิรติยายัง มังคะละราชา นาคราช นะ ปาวาฬนะ อิเถนะชะระตะ นัมมาเนช ชะ” การสร้างกายหยาบของหุ่นปั้นพญานาคราช เพื่อบังกาย ในภพภูมิทิพย์ ซ่อนกายทิพย์ ไว้ด้านในหุ่นเอาไว้สถิตในญาณ นั้น ให้คนได้มาสักกะบูชาท่าน จะได้รู้ชื่อท่านพญานาคองค์นี้


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 11 ราชานะนาคราช ท่านปาวาฬนะนาคราช ท่านก็เป็ นนาคราชา องค์หนึ่งเหมือนกัน เป็นนาคราชา นาคกษัตริย์ แต่มีน้อยคนนัก ที่รู้จักท่าน อยากให้มนุษย์รู้จักชื่อท่าน ต่อไปนี้ ท่านจะไป ประกาศตัวตนว่าท่านปาวาฬนะท่านมีตัวตนจริง อยู่ในภพภูมิ ของนาค องค์ญาณทิพย์โลกทิพย์ น้อมนิรมลมา ด้วยพอพระทัยเสด็จปู่ ศรีสุทโธ เสด็จย่าศรีปทุมมา สร้อยสุดาจันทร์ มาประจบครบองค์เอกอนันต์เบื้ องบนฟากฟ้า สายนาราชนนที เกลื่อนทุกถิ่นแคว้นแดนไกล ฟากฟ้าสุราลัย มิได้ขัดข้องประสงค์ บรรจง มาแอบแนบชิด ครวญใคร่พรรณนา ท่านเป็ นนาคราชา ที่เก่งหลายๆ ด้าน นักรบ กวี ครูเป็ น นักปราชญ์เก่งท้ังดา้นอิทธิฤทธ์ินานาประการ ทั้งที่อยู่กันคน ละทาง ทางโลกมนุษย์กับโลกทิพย์ก็สื่อจิตญาณให้ได้รับรู้ ไม่ต้อง งง สงสัย ในตัวพี่ ยอดยาหยี เป็นที่รัก สมัครใคร่ ในดวงจิต ดวงนี้ มีที่ไป ตามหาน้อง อนงค์นาถขัตติยา นารีทิพย์


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 12 หลังจากถวายรูปปั้นพญานาค ก็ได้มีพิธีบวงสรวง คืน ก่อนวันบวงสรวงฝันว่ายืนมองสายน ้ากว้างใหญ่ เห็นช้างสอง เชือกตัวใหญ่มาก ลอยอยู่ใต้สายน ้า หลังของช้างลอยพ้นน ้า ปริมๆ มีคนที่นั่งบนหลังช้าง ตัวของคนเท่านิ้ วก้อย ในจิตก็แวบ ขึ้ นมา ท าไมช้างอยู่ใต้น ้า ภาพในฝันแจ่มชัดมาก พอเช้าวัน บวงสรวงเลยกราบถามหลวงปู่ ท่านบอกเป็ นเทพนิมิตรเพราะ ฝันตอนเช้าย ่ารุ่ง ให้สวดมนต์บทจุลลไชยยปกรณ์เหล่า พญานาคเทพเทวาชอบฟังบทสวดนี้ การบวงสรวง เป็ นการบูชาสิ่งศักด์ิสิทธ์ิท้งัหลาย เพื่อให้ เกิดสิริมงคลกับตัวเอง กิจการงานต่างๆ หรือเป็นการขออนุญาต ก่อนจะเริ่มท าสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งอาจเป็ นการบุกรุก รบกวนต่อสิ่ง ศกัด์ิสิทธ์ิเป็ นการแสดงตนว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่จากการ กระท านั้นๆ การบวงสรวงเป็ นพิธีการทางพุทธศาสนา ที่มีมา แต่โบราณ เหล่าคณาจารย์ได้กระท าและปฏิบัติมา เพื่อเป็ นการ ยอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ในชีวิต มีพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์สาวก เทพไท้เทวา คุณบิดามารดา ครูบา อาจารย์ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ ชาติ รวมทั้งพระภูมิเจ้าที่ ท่านท้าว จาตุมหาราชทั้ง ๔ ท่านพญายมราช เคารพท่านผู้เป็นใหญ่ในทั้ง ๓ โลก ในการบวงสรวงที่พญานาคชอบมากที่สุด คือ การรักษา ศีลใหบ้ริสุทธ์ิหมัน่สวดมนต์เจริญกรรมฐาน แผ่เมตตาอุทิศ ให้แก่เหล่าพญานาค การท าบุญในสายพญานาค ต้องมีความ จริงใจมีสจัจะวาจา ทา ดว้ยจิตที่บริสุทธ์ิจะเป็นที่รกัและเมตตาใน เหล่าพญานาคทุกตระกูล


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 13 “มีเพชรพญานาคมาเอง จู่ๆ ก็มีในกระเป๋ าผ้าขาวที่ สะพายในงานพิธีบวงสรวง แล้วเพิ่งเจอในตอนเช้าวันนี้ เม็ดสี ขาวใส แต่จ าได้ว่า มีแล้วเม็ดหนึ่งสีขาวใสเหมือนกัน แต่ตอนนี้ ท าไมมี ๒ เม็ด แต่เม็ดนี้ ใหญ่กว่านิดหน่อย” ท่านประทานให้ เมื่อถึงวาระ พญานาคหรือคนที่ ครอบครองอยู่จะน ามามอบให้เองโดยไม่ต้องแสวงหา เขาจะมา ด้วยเหตุอัศจรรย์ต่างๆ นานา เช่น ผุดขึ้ นจากดิน ลอยมา หรือ เขาน ามาให้เอง พญานาคองค์ที่มีจุติญาณในแหวน แหวนเก่า โบราณที่ได้มาเพราะบุญสัมพันธ์ ท่านให้รักษาเอาไว้มันเป็ น ของในอดีต แหวนพญานาคราชโลหะสัมฤทธ์ิโบราณ มาพร้อม กับเพชรพญานาคสีขาวใส เรียกท่านว่า องค์ปู่ เทวะนาคพรหม ญาณ จุติญาณท่านอยู่ในแหวน เพชรพญานาคสีขาว พญานาค ที่เป็ นเจ้าของมีจริตบารมีบ าเพ็ญเพียรสายโพธิสัตว์ ปฏิบัติลด ละกิเลสตัณหาอุปทาน วางจิตให้เป็ นกลาง มีสติรู้เท่าทันใน สภาวะปัจจุบัน จึงเกิดความใสสะอาดบริสุทธ์ิมีจิตใจเยือกเย็น หนักแน่นมั่นคง เพชรพญานาคจึงมีสีขาวใส หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าก็มักจะได้มณีใต้น ้าหรือเพชร พญานาคมาเรื่อยๆ มีทุกสี ที่ดูพิเศษมากคือสีม่วง จะม่วงเข้ม ออกสีด า มักมีคนน ามาให้เสมอ ปู่ บอกว่าไม่ต้องแสวงหา อะไร ที่เคยเป็นของเราเมื่อถึงวาระสิ่งนั้นจะตามหาเจ้าของเอง สีม่วง แบบนี้ ที่พี่ให้ ด้วยดวงใจ คิดใฝ่ หา ให้ด้วยรูป รอยรัก จิตรักพา


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 14 มอบเสน่หา มาถึงน้อง ยอดดวงใจ ม่วงชมภู อยู่ที่ใจ ใช่ที่อื่น ดูสดชื่น ทุกเวลา พาใจฝัน คิดถึงม่วงชมภู ทุกคืนวัน สุขเลิศนั้น น าใจรัก เฝ้าภักดีเอย.. ม่วงกับชมภู ต้องอยู่คู่กัน ตราบเท่าฟ้าดินสลาย หลังจากได้ถวายรูปปั้นหุ่นพญานาค ๗ เศียร ต่อมาได้ ถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ หลวงปู่ โต พรหมรังสี รูปเท่าองค์ จริงเป็ นหินแกะสลัก ในวัดป่ าแห่งนี้ พญานาคเป็ นสะพานบุญ น้อมน าบูชาบุญบารมีครูบาอาจารย์จึงได้สานต่อบุญอีกครั้ง อีก ๕ ปี ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ ได้เป็ นเจ้าภาพถวาย กฐินที่วัดป่ าแห่งนี้ ปัจจัยที่กัลยาณมิตรและชาวบ้านร่วมกันสาน ต่อบุญกุศล ๑๗๒,๓๙๙.๕๐ บาท ซึ่งเป็ นกฐินครั้งแรกของวัดใน รอบ ๑๐๐ ปี ขอขอบพระคุณทุกสายบุญสายกุศลที่หลั่งไหลมา ช่วยกันบูรณะวัดป่ าแห่งนี้ เทพนาคราช ดลบันดาล สายธารบุญ ช่วยเกื้ อหนุน จุนเจือ ให้ไหลมา ของเมืองฟ้า นั้นมีมาก หลากหลายมี สมบัติพี่ นี้ ดลจิตใจ ใครหลายคน น้อมกุศล น้องพึ่งพา สร้างบารมี


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 15 รวมเป็นหนึ่ง พี่ซาบซึ้ ง อึ้ งนารีทิพย์ ยอดยาหยี ขวัญใจพี่ นี้ ให้มา ปู่ สอนว่า ท าไปบารมีใครมัน ชีวิตมนุษย์มันสั้นนัก ตาย ไปก็มีแต่บุญกับบาป ใครบุญเยอะกว่าบาปก็ดีไป ทางเลือก เส้นทางแห่งคุณงามความดีของมนุษย์มีเท่ากัน อยู่ที่ว่าใครจะ เลือกคุณงามความดีแล้วแต่บุคคลผู้นั้นเอง มนุษย์ทุกคนมีบุญ วาสนา ถึงได้มาเกิดเป็ นมนุษย์ มนุษย์คือเทวดาประเภทหนึ่ง มนุษย์ไม่ใช่คนธรรมดา มนุษย์ก็ไม่ใช่ภูตผี แต่มนุษย์เป็นถึงเทพ และเทวดามาเกิด แยกออกเป็ นสองจ าพวก มนุษย์ที่มีสัมมาทิฐิ ในแบบความคิดสติปัญญาดี ชอบแต่การท าความดี นั่นคือพวก เทพลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาสร้างบุญต่อ ในภพชาติต่อไป ส่วนจ าพวกที่สองนี้ จัดอยู่ในพวกเทพหรือเทวดาชั้นต ่า ที่ อยู่ในฝ่ ายมิจฉาทิฐิ ชอบมีความคิดที่ชั่วๆ คิดไม่ได้ คิดไม่ออก ว่าจะต้องท าความดีแบบไหน ถึงจะเรียกว่าดี มีความคิดที่ชั่วๆ อยู่เสมอๆ ความคิดชั่ว พูดชั่ว ท าชั่ว นี่แหละคือพวกเทวดาชั้น ต ่าสุดมาเกิดเป็ นมนุษย์ การที่พวกเขาได้เกิดมาเป็ นมนุษย์ได้ นั้น นั่นคือเศษบุญในอดีตของพวกเขา ยังคงพอมีเหลือบ้าง “น้อมกราบ องค์คุรุค่ะ” “ท าดีย่อมได้ดี ท าบุญก็ย่อมได้บุญ” “พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาด้วยค่ะ” “ท่านเมตตาเรา เราก็เมตตากลับ ย่อมมีแต่ได้ ถ่ายเดียว”


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 16 “สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ” “จงมุ่งหน้าเดินต่อไปให้ถึงแดนพระนิพพานนะ อย่าหยุด ถ้าอยากหยุด ให้หยุดที่แดนอัมฤกษ์ตาลัย อย่ากลับมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป นั่นคือที่อยู่ของเจ้านางตลอดกาล ปรารถนา อยากไป ต้องได้ไปนะ ข้ามนิวรณ์ย่างไปให้ถึงเถิด ปลด ปล่อย ปลง วางทุกอย่างเสียได้ ในสิ่งที่เป็นสมมติ นี่แหละคือ นิพพาน” “ได้ท าบุญที่ผ่านมา นึกถึงทีไร แล้วมีความสุข เหมือนที่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอน บุญคือ ความสุข เบาใจ เบากายนึกถึง ทีไรก็สุขใจ” “นั่นแหละคือบุญบารมีของตนเอง ที่มีความตั้งจิตตั้งใจ ท าดว้ยความบริสุทธ์ินี่เลยคือสิ่งที่คงทนถาวร ส าหรับมนุษย์ ผู้สร้างเอง สมมติทั้งหลายในสามแดนโลกซึ่งไม่ใช่” หลังจากถวายองค์กฐินแล้ว วันต่อมาได้ไปถวายพระบรม สารีกธาตุ พระธาตุกับพระครูบารูปหนึ่ง เพื่อท่านจะได้บรรจุบน พระเศียรพระพุทธเมตตาศิลามุณี ที่วัดถ ้ามะเฟื อง ที่ร่วมบุญ สร้างกับชาวบ้าน ถวายเสร็จก็เดินทางไปกราบหลวงตาไพรัตน์ ที่วัดป่ าหวังมนตรี อ าเภอนามน “คิดว่าไปบ าเพ็ญเพียรที่ไหนมา” หลวงตาท่านพูดยิ้ มๆ ในระหว่างนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ได้มาถวายสังฆทานหลวงตา ทราบภายหลังว่า เขาเป็ นปลัด มา กราบลาหลวงตาเพื่อจะย้ายไปท างานที่ภาคใต้ เขาบอกหลวงตา ว่า เมื่อวานนี้ เขาไปถ ้านาคามา ได้หินมาหนึ่งก้อน เลยเอา ออกมาให้หลวงตาดู หลวงตาท่านพลิกหินดู ท่านพลิกไปพลิก มา แล้วบอกปลัดคนนั้นว่า หินก้อนนี้ หลวงตาขอนะ เขาก็ถวาย


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 17 ให้หลวงตา หลวงตาบอกว่า ท่านปลัดชอบนั่งสมาธิ ถ้าติดขัดใน การปฏิบัติจะมาหาหลวงตาขอค าแนะน า ข้าพเจ้าถามว่า “ถ ้านาคา ปู่ อือลือใช่ไหม” “ใช่ครับ” ท่านปลัดกราบลาหลวงตา วันนั้นหลวงตาสอนให้สวด บทสวดมนต์ มงกุฎพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าปี ก่อนหลวงปู่ อีก รูปแนะน าบทสวดบทนี้ ข้าพเจ้าถวายสังฑทานและกราบลาท่าน เพื่อหลวงตาจะได้พักผ่อน เพราะท่านชราภาพมาก หลวงตา หยิบหินจากถ ้านาคาให้ “อันนี้ หลวงตาให้” ตอนแรกที่หลวงตาขอหินจากถ ้านาคา รู้สึกแปลกใจมาก เพราะหลวงตาท่านเคร่งปฏิบัติมาก ท่านจะเอาหินไปท าไม ตอนนี้จึงเข้าใจว่า เรื่องบังเอิญไม่มีในโลก สิ่งไหนที่จะเป็ นของ เราก็จะเป็นของเรา บุคคลหรือสิ่งที่รอคอยจะปรากฏเมื่อเงื่อนไข และปัจจัยพร้อม เหมือนหินที่ได้รับจากหลวงตา คล้ายชิ้นส่วน เกล็ดพญานาคส่วนหางที่กลายเป็นหินแลว้เกล็ดหินศกัด์ิสิทธ์ิ “ส่งบุญถึงท่าน ท่านเลยมาอนุโมทนาบุญ ให้ของขวัญ พิเศษไว้เป็นก าลังใจ” “ไม่ต้องไปถึงถ ้านาคา ปู่ ก็ส่งมาให้ถึงมือเลย สาธุ สาธุ สาธุ” “นาคทุกตระกูลเป็นเครือญาติกัน องค์ปู่ ทุกๆ องค์ปู่ ท่าน จะเคารพซึ่งกันและกันมาก” “เวลาท าบุญ หรือหลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิเสร็จจะ อุทิศให้ปู่ ย่าพญานาคทุกๆ ตระกูลเสมอ”


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 18 “บุญส่งถึงท่าน ท่านรับรู้” พ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่า พญานาคเป็นเทพเทวดาประเภท หนึ่ง แต่พญานาคถึงแม้จะเป็นภูมิเทวดา เขาก็มาจากมนุษย์เรา มีกิเลส มีโลภ โกรธหลง เหมือนมนุษย์เรา ถ้าไม่พอใจกันขึ้ นมา ก็โกรธเกรี้ ยวกราด ท าร้ายกันเหมือนกับมนุษย์เรา ต่างแต่พวก พญานาคเทพเทวดา เขาจะสูก้ ันพอรูฤ้ทธ์ิแลว้ก็เลิกรากันไป การให้อภัยกันของภพภูมิเทพเทวดา เขาจะให้อภัยกันง่ายกว่า มนุษย์เรา เพราะพวกเขามีเทวะธรรมหิริโอตัปปะ ความละอาย แก่ใจ ความเกรงกลัวต่อบาป ของเทพเทวดาเขาจะมีมากกว่า มนุษย์ ถ้าจิตใจไม่มีเทวะธรรมสองอย่างนี้ เป็ นเครื่องครองใจ แล้ว บุคคลนั้นจะเกิดเป็ นเทวดาไม่ได้เลย แม้แต่เกิดเป็ นมนุษย์ ก็จะได้เกิดเป็ นมนุษย์ผู้ที่มีความบกพร่องในสติปัญญาและ ร่างกาย บุญกรรม ท าร่วมมา ถึงเวลา คราจากจร ผลเวลา ห่วงหา พาอาวรณ์ พึงสังวรไว้ ในความดี นี่คือบุญ ทุกคุณงาม ความดี ที่เจ้านางมอบให้ มิอาจคลาย รักห่วงเสน่หา ทุกคืนวัน อยากใกล้ชิด ทุกเวลา แม้นน้องนาง แอบหนีหน้า พาจากไป สาธุเซรัม มะเนเยซ่ะเย่


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 19 บทที่ ๒ แสงธรรมส่องใจ ใจสว่างก็คลายปม หนึ่งดวงจิต ตั้งมั่น ศรัทธากล้า ปณิธาน เปล่งวาจา หน้าที่หมาย ศึกภัยล ้า มิยอม ให้กล ้ากราย ใครมาหมาย ฆ่าฟัน มิหวั่นกลัว หน้าที่ปก ป้องภัย พุทธศาสตร์ ให้แคล้วคราด ภัยมาร ให้ผลาญสิ้ น แม้ต้องยอม เสียเลือด จนท่วมดิน ไม่เสียสิ้ น ศรัทธา จวบจน ชีวาวาย ทุกย่างก้าวแห่งพุทธะ จะมีบัวทิพย์เสมอ จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง จิตที่ฝึกดีแล้ว น าความสุขมาให้ จิตตัง ภาวิตัง มะหะโต สังวัตตะติ จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีประโยชน์ มาก จิตที่ฝึกมาดีแล้วเห็นตามความเป็ นจริงว่าทุกอย่างในโลก มันไม่เที่ยง การฝึกจิตภาวนาท าให้จิตใจเราเข้มแข็ง ยกจิตให้ สูงขึ้ น เจอวิบากกรรมมันก็ไม่ท้อหรือเป็ นทุกข์ เอาทุกข์เป็ น อารมณ์ พิจารณาหาเหตุแห่งทุกข์ พิจารณาให้เห็น คนที่กลัว ทุกข์ไม่กล้าเผชิญทุกข์ ก็ยิ่งทุกข์ เมื่อรู้เท่าทันทุกข์ เข้าใจเหตุ ความทุกข์ก็เบาบาง


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 20 จิตคนเราเหมือนห้องสมุดที่เก็บข้อมูลไว้ทั้งๆ ที่เราเวียน ว่าย ตาย เกิดในโลก แต่ดวงจิตก็ยังอยู่ จิต คือธรรมชาติที่รู้ อารมณ์ หรือธรรมชาติที่ท าหน้าที่ เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึก ต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ เป็ น ธรรมชาติที่ถูกจิตรู้ ถ้าจิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นคืออารมณ์จิต เป็ น ผู้รู้ อารมณ์เป็ นสิ่งที่ถูกรู้จิตจะว่างจากอารมณ์ไม่ได้เมื่อจิต เกิดขึ้ นทุกครั้ง จะต้องมีอารมณ์ให้รู้เสมอ จิตคือตัวรู้ อารมณ์คือ ตัวถูกรู้ ถ้าไม่มีตัวถูกรู้ตัวรู้ก็ย่อมไม่เกิดขึ้ น “ด ารงจิตอยู่ภายใน สมุทัยก็ไม่เกิด” ปู่ ท่านเปรียบจิตมนุษย์เป็ นหิน มันก็ตั้งอยู่อย่างนั้น ต้อง มีอะไรมากระทบก่อนจึงถูกรู้ เช่น มีคนชมสรรเสริญ เราก็จะมี อารมณ์ยินดีพอใจ ใจก็ปรุงแล้วพองฟูขึ้ นมา แต่ถ้ามีคนด่าว่า วิจารณ์ มากระทบจิตก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียว ก็จะเกิดโทสะ ถ้าสติ ไม่หนักแน่นก็ตอบโต้ทันที ถ้ามีสติยับยั้งไว้ก็ไม่มีโทษภัยใดๆ แต่เมื่อใดที่ขาดสติ ก็จะเกิดการตอบโต้ทางกาย ไปชกหน้าผู้ที่ ก าลังด่าเรา หรือทางวาจา ด่าตอบไปทันที ซึ่งเป็ นการสร้าง กรรมใหม่ที่จะต้องได้รับผลของกรรม คือ วิบาก เป็ นผลของ กรรมหรือการกระท าของเราเอง ในอนาคตต่อไป กรรมที่ท า ด้วยเจตนาดี มีจิตสะอาดผ่องใส ผลลัพธ์จะออกมาเป็ นความสุข ท่านเรียกว่า บุญ ส่วนกรรมที่ท าด้วยเจตนาไม่ดี มีจิตเศร้าหมอง และจะส่งผลออกมาเป็ นความทุกข์ ท่านเรียกว่า บาป กรรมที่ กระท าไว้แล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมไม่สูญหายไปไหน เพราะกรรม


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 21 สามารถติดตามไปให้ผลได้ ทั้งในชาตินี้ และชาติหน้า จิตเป็ นตัว บันทึก จิตมีอ านาจวิเศษอย่างหนึ่งในการสั่งสมบุญและบาป หรือบันทึกเอาไว้ทันที ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี เมื่อเราได้กระท ากรรมใด ๆ ลงไปไม่ว่าจะดีหรือชั่ว แม้ จะนานสักเพียงใดก็ตาม จะกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ผู้กระท าย่อม จะต้องได้รับผลของบุญ และบาป เมื่อกรรมมีโอกาสส่งผล ถึงแม้ จิตจะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ผลกรรมที่ได้กระท าไว้ ไม่ ว่าจะเป็ นบุญ หรือเป็ นบาป ก็จะไม่สูญหายไป มันก็จะติดอยู่ใน ใจ เหมือนคนโบราณท่านกล่าวไว้ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ใน ใจ มีตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าสุขหรือทุกข์ บุญกับบาปไปพร้อมกับการ ดับของจิตแต่ละดวง ถ้าจิตยังไม่หลุดจากวัฏสงสาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ามีบุญอยู่ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ จิตดวงใหม่ใน กายสังขารใหม่ มีบุญกรรมตกแต่งให้สวยงาม หรือน่าเกลียด ย่อมมีเหตุปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม และจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้ นมา นั้น ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงต่อไป การสวดมนต์ นั่งสมาธิ และประคองจิตให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อจิตเป็ นสมาธิสามารถจูนคลื่นกับพลังงานที่มีความละเอียด ในระดับเดียวกันได้ หลวงปู่ บอกว่ามันเป็นสายใยที่เชื่อมต่อคลื่น


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 22 พลังต่างๆ ที่มีระดับความละเอียดตรงกันสามารถสื่อพลังงาน หรือจูนคลื่นถึงกันได้ “อะไรที่พูดไป ถ้าคุณกลับมาถามอีกครั้ง ก็จ าไม่ได้นะ เพราะไม่ใช่ตัวของตัวเองที่สื่อบอกคุณ” จิตเปิ ดรับคลื่นจากสื่อญาณ กัลยาณมิตรเป็ นเสา สัญญาณรับสัญญาณ ตัวเราเป็ นพลังงานเชื่อมต่อ เสาสัญญาณ บางท่านรับสื่อเป็ นสัญญาณภาพ บางท่านรับสื่อเป็ นสัญญาณ ความรู้สึก หรือเป็นสัญญาณเสียง “ท่านส่งมาสื่อเป็ นจิตญาณ แต่ถ้าเทพองค์ไหนประทับ ทรงมนุษย์ปกติเป็นการประทับบาป เพราะเป็ นการก้าวล่วงดวง จิต เป็ นบาป แต่ในกรณีที่ท่านส่งจิตญาณมา แล้วมาส าทับอีก ครั้งเพื่อความกระจ่าง จะให้เห็นเป็นภาพในมโนจิต” ปู่บอกว่า ตัวรู้หรือเสียงจากข้างในสื่อถึงกัน น าสื่อญาณ ให้เจอกันเพื่อสานบุญ แต่อย่าติดในอุปทาน ให้มีปัญญาน าพินิจ พิเคราะห์ จิตที่ได้รับการฝึกมาดีเป็ นจิตที่แข็ง ฐานจิตแน่นจะ พิจารณาแยกแยะได้ กาย จิต วิญญา เดินไปพร้อมกัน เดินทาง ตามครูบาอาจารย์น าพาไป นารีทิพย์ จิตเลื่อนขั้นแล้ว จึงละมา บวช อย่าให้จิตตก บุญบารมีที่สร้างเป็นก าลังใจ น้อมเอาบุญเอา คุณ เป็ นก าลังใจก าจัดกิเลส ไม่ใช่ท าบุญเพื่อต่อชีวิต ต่อเพื่ออยู่ ท าความดี พอตายไปก็หมดบุญ ทาน ขจัดความโลภ ศีล ละ ความโกรธ ภาวนาดับความหลงในตัว การรักษาศีลต้องอยู่บน พื้ นฐานของสมาธิ ศีลส ารวม ก าลังฐานที่ตัวสมาธิ กายสังขาร


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 23 ญาณทิพย์บางคนที่ยังมีกิเลสหนาพอกอยู่ ปู่ บอกเหมือนนารีลุย ไฟ ไฟก็เกิดจากกิเลสของตัวเอง เผาตัวเองอยู่ทุกวัน ส่วนคนที่ ปฏิบัติจิตมาดีอยู่ในดงดอกไม้ พื้ นฐานจิตแน่น บางคนพื้ นฐาน จิตไม่แน่น พอได้คุยเรื่องธรรมะกัน เกิดจุดปะทะเหมือนไข่ กระทบหิน คนที่ฐานจิตแน่นเป็ นหิน อีกคนเป็ นไข่ แตกง่าย เพราะหลงในจิตคนอื่น การหลงในจิตมนุษย์ดึงออกมาล าบาก ปู่ สื่อญาณผ่านแค่ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็ นจิตของเขาเอง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ กิเลสเกาะก็เป็ นกิเลสของคนอื่น เพราะเอาจิต ส่งออกไปจับ ปู่ บอกไม่เป็นไร ค่อยๆ เกลา เขามีข้ออ้างเยอะ ไม่ พร้อมในสถานการณ์หลายๆ อย่าง จิตเขาเหมือนอยู่ในโหลกัก วิญญาน กระแสบุญเข้าไม่ถึง มนุษย์เรามีความเคยชินทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ซึ่งมัน เป็ นอนุสัย คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เหมือนตะกอน นอนอยู่ที่ก้นภาชนะ เวลามีอะไรไปกระทบหรือกวนภาชนะ ตะกอนจะฟุ้งขึ้ นมาท าน ้าให้ขุ่น อนุสัยกิเลสก็เช่นเดียวกัน ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกมากระทบจะฟุ้งขึ้ นมา ท าจิตให้ขุ่นมัว บางคนเคยชินกับความมีทิฏฐิมานะ หัวดื้ อหัวรั้น ความอยากได้ โน่นได้นี่ ที่หมักดองอยู่ในจิต ซึ่งมันท าให้จิตเศร้าหมอง ขุ่นมัว พอมีอะไรมากระทบจิตจิตก็จะฟุ้งขึ้ นมา ท าจิตให้ขุ่นมัว พอมัน มากเข้าจนล้นทะลัก เป็ นอาสวะ อารมณ์ที่ข้องอยู่ หรือกิเลสที่ หมักดองอยู่ในจิตหลั่งไหลออกมา เพราะมีสิ่งไปกระทบจิตหรือ มีอารมณ์ภายนอกมากระทบตัวทิฏฐิมานะ หัวดื้ อหัวรั้นของตน


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 24 มันก็เลยพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เหมือนเทน ้าออกมาจากขวดจน ล้นแก้ว นั่นเป็ นความเคยชินที่สะสมจนเป็ นอนุสัย อนุสัยคือ กิเลสที่สงบนิ่งอยู่ในสันดาน พอมันมากเข้าก็กลายเป็ นอาสวะที่ ไหลทะลักออกมา เขาเลยคิดว่าตนเองยังไม่ได้กินน ้าที่เทออกมา เลย หรือไม่มีเวลาหายใจหายคอ ปัญหาสะสมจนล้น เขาขอให้ เขาได้มีเวลากินน ้าบ้าง ปัญหาใหม่ก็มาอีกแล้ว คนที่สร้างปัญหา ก็คิดเรื่องใหม่มาเรื่อยๆ ก็เหมือนการเทมาอย่างเดียว อยากท า โน่นท านี้ นั่นคือการเทน ้า ใส่แก้ว คุณไม่ดูว่าแก้วมันจะรองรับ น ้าได้ไหม คุณเทจนหมดขวด ปู่ สอนว่าบ้านบางหลัง หรือบางครอบครัวมีแก้วใบเดียว ที่รองรับปัญหา คือสติปัญญาไม่เท่ากัน ส่งน ้ามาแค่ไหน คุณมี แก้วรองรับกี่ใบ คุณสนใจน ้า ดึงแก้วออก หรือหาแก้วใบใหม่ มารองรับ แต่คุณแยกแยะไม่เป็ น สนใจแต่ความสกปรกของพื้ น ไม่ไปตามหาต้นตอของเหตุแห่งปัญหา คุณยกแก้วออกหรือ หรือ หาแก้วน ้ามาเสริม แต่คุณเลือกตามไปเช็ดพื้ น มัวแต่ไปเช็ดน ้า บนพื้ น นั่นเป็ นจริตผิดวิธี ทางออกอื่นมันมี มันไม่ตันหรอก แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปมคือ กิเลส แต่คุณหาปมตัวเองไม่เจอ เพราะไม่ได้ถูกหล่อหลอมมา ตอนเด็กพอเจอปัญหาก็ดีดออก เพราะถูกสอนว่า เห็นเป็ นขี้ แล้วอย่าเอามือไปจิ้ ม คือเจอปัญหา แล้วหลีกเลี่ยงปัญหา การดีดออกคือหลีกหนีปัญหา ไม่ได้ถูก สอนให้เรียนรู้ปัญหา นิสัยยึดมั่นถือมั่นมาก ปากบอกว่าไม่ แต่ ใจมันยึด เหมือนคนไม่ได้เตรียมพร้อม ไม่มีการยืดหยุ่น ตึงอยู่


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 25 กับปัญหาตลอด ให้ปัญหาแก้ปัญหา เมื่อถึงพร้อม ปมปัญหาก็ สะสมไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีก็ไหลทะลักออกมาพร้อมกัน “เวลาจิตตก ต้องประคับประคองจิต เหมือนคนอุ้มเด็ก” จิตของคนเราเหมือนเด็ก ต้องประคับประคอง ค่อยๆ สอนจิตของตนเองอยู่เสมอ เราจะได้ไม่หลงในจิตของตัวเอง ปัญหาระหว่างคนสองคนที่หันหลังคุยกัน คนหันหลังพูดเขาไม่ กลับมาดูคนฟัง พูดไปเรื่อยเปื่ อย ไม่สนใจว่าท าหรือไม่ท า เขา ผูกปมไว้เยอะ ให้ค่อยๆ คลาย ปมมันแน่น เขายึดเรา เราก็ยึด เขา ปู่ บอกเขาเดินน าหน้าไปแล้ว เราเดินตามเขา เขาเดินข้าม สะพานคนเดียว เขาจูงใครก็เรื่องของเขา ถ้าเขาศีลเสมอกัน เรา ตีกรอบยึดมั่นถือมั่นเอง ท าให้เราเปไปเปมา ชีวิตคู่ก็เป็ นแบบนี้ เหมือนกับการอ่านหนังสือ อ่านจบแล้ว เล่มนี้ น่าเบื่อ บางเล่ม เราอ่านจบแล้ว เราก็เก็บในตู้หนังสือ เก็บไว้ไปความทรงจ าดีๆ นึ กถึงก็กลับมาอ่านต่อ บางเล่มเราเปิ ดอ่านจบแล้วไม่มี ประโยชน์ อ่านแล้วเสียสุขภาพจิตเราก็เลือกเอาไปทิ้ งหรือเผาทิ้ ง หนังสือบางเล่มก็น่าสนใจอ่านได้เรื่อยๆ อ่านแล้วประเทือง ปัญญา ทั้งนี้ ทั้งนั้นขึ้ นอยู่กับตัวเรา ส่วนบางคนหนังสือที่เขาอ่าน จบแล้ว ที่เหลือเขาเป็นคนเขียนต่อเอง ว่าอยากได้แบบไหน การ ยึดหวงแหนไม่อยากให้ไป เป็ นการผูกกรรมผูกปมไปเรื่อย ต้อง อโหสิกรรมกันไปไม่ถือสาหาความ กรรมก็ระงับลง ลดทิฐิมานะ ลง ขอโทษที่ได้ล่วงเกิน มันก็ค่อยๆ คลายปมในใจซึ่งกันและกัน


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 26 อะไรที่ผ่านเข้ามาแล้ว เราพลาดไปแล้ว ให้เริ่มต้นใหม่ อย่าหมด จิต ท าให้เกิดนิวรณ์ นิวรณ์เป็ นกิเลสแบบกลางๆ มี ๕ อย่าง คือ กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ ฝัน ในกามโลกีย์ทั้ง ปวง ดุจคนหลับอยู่ พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สม ดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่ ถีนมิทธะ ความขี้ เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้ก าลังทั้ง กายใจ ไม่ฮึกเหิมโหยหา นิวรณ์จึงเป็ นเครื่องกั้นหรือขัดขวาง ไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิ ดโอกาสให้ท าความดี เป็ นเครื่องกั้น ความดีไว้ ไม่ให้เข้าถึงจิต นิวรณ์ที่เกิดขึ้ น คือความไม่พอใจ จาก ความไม่ได้สมปรารถนา ท าให้อาการของจิตที่เกิดนิวรณ์ถีน มิทธะ ความขี้ เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้ก าลังทั้งกายใจ มันเป็ นจิตที่ติดลบ เพราะมันจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้ เปรียบ เหมือนเงินใหม่ที่ก าลังจะเข้ามา มันก็เข้ามาไม่ได้ มีอะไรขวาง อยู่มันเลยเข้ามาไม่ได้ สวรรค์ไม่ช่วยหรอก ถ้าไม่เอาของเก่า ออกไป ล้างของเก่าออกให้หมด เมื่อสมองเราว่าง จิตเราว่าง ใจ เราก็เบา สติปัญญาในการแก้ปัญหาก็เกิด เหมือนน ้าใส มอง อะไรก็เห็น ถ้าจิตขุ่นมัวเหมือนน ้าขุ่นมองอะไรก็ไม่เห็น การฝึกจิตภาวนาก็เหมือนการปลูกบ้าน ต้องท าฐานให้ แน่น สามารถรับของหนักได้ ถ้าฐานไม่แน่นทรุดเอียง พื้ นฐาน สมาธิดี จิตจะหนักแน่นผ่องใส ไม่วอกแวก ดวงจิตสะอาด ละ บาปได้ รักษาจิตให้หนักแน่น ความหนักแน่น คือบุญบารมี เป็น จริตนิสัยที่สะสมมาแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ อยากให้ฐานแน่นอย่าไป


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 27 มองที่ปลายฟ้า ที่ยังมาไม่ถึง ท่านธุดงค์รูปเดียว เดินวนหลงป่ า แต่ให้ใจมุ่งมั่นท ามาก ๆ แปบเดียวก็พ้นป่ า ตอนแรกอาจจะใช้ เวลานาน แต่ท าบ่อยท าไปเรื่อยๆ แค่ชั่วหมากจืด มันก็ถึงที่ หมายเอง “การสอนลูกก็ให้ศึกษาพฤติกรรมการเลี้ ยงลูกของนก อินทรี” นกอินทรีเป็ นนกที่แข็งแกร่งและสง่างาม มักท ารังบน หน้าผาสูงชันหรือต้นไม้สูง พ่อนกแม่นกสอนลูกนกให้เคยชินกับ ความยากล าบาก ลูกนกอินทรีแต่ละตัวจะถูกสอนให้พึ่งพา ตนเอง อดทน ช่วยเหลือตัวเองได้ ทนต่อความเจ็บปวด ความ ร้อนหนาว เมื่อผ่านการฝึกอย่างหนัก จนแข็งแรงแล้ว ปล่อยให้ ลูกนกบินไปได้ตามล าพัง นั้นเป็ นการอบรมสั่งสอนลูก ด้วย วิธีการที่ชาญฉลาดของสัตว์ มนุษย์เราก็เช่นกันต้องสอนให้ลูก รู้จักพึ่งพาตัวเอง ฝึกลูกให้รู้จักความล าบาก อดทนรอได้ เป็ น การสร้างภูมิคุ้มกันทางร่างกายและจิตใจให้ลูก เป็ นการสร้าง ฐานจิตให้มั่นคง มีอะไรมากระทบไม่หวั่นไหว ท าให้เขาสามารถ เผชิญโลกกว้างเพียงล าพังได้ ซึ่งเป็ นการสอนแบบกายกรรม ท า ให้ลูกเห็น ถ้าฐานจิตของเด็กแน่นความเห็นอกเห็นใจต่างๆ เด็ก จะสัมผัสได้เอง เด็กเห็นความยากล าบากของพ่อแม่ เขาจะตั้งใจ พัฒนาตนเอง ไม่อยากท าให้พ่อแม่เสียใจ พอเขาประสบ ความส าเร็จเขากลับมาตอบแทนคุณพ่อแม่ โดยพ่อแม่ไม่ต้อง ร้องขอ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 28 การด าเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันก็เหมือนกัน ให้ใช้หลักพุทธ ศาสตร์บวกกับความพอเพียง เราสามารถด ารงชีวิตอย่างพออยู่ พอกิน พอใช้ พยายามพึ่งตนเองช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด มี ความสุขบนทางสายกลาง พอใจในสิ่งที่ได้รับมาโดยชอบธรรม พ่อแม่ปู่ ย่าตายายก็อยู่กันอย่างพอเพียง ทุกวันศีลวันพระเข้าวัด ท าบุญฟังธรรมไปปรับพลังธาตุรับพลังบุญกระแสบุญอยู่ในคลื่น พลังงานบวก พอถึงฤดูท าไร่ท านา ฝนแรกมาก็จะเพาะกล้าต้น พริก ไปปลูกที่คูสระน ้า พริกที่ปลูกก็ได้เก็บกินตลอดฤดูกาลท า นา ถ้าเยอะก็ตากแห้งไว้กินในหน้าแล้ง ต้นกล้วยจะปลูกในสวน เสมอ เพราะว่ามันจ าเป็นในชีวิตประจ าวัน ใช้ห่ออาหาร ห่อขนม ท าอาหารสารพัดประโยชน์ คนสมัยก่อนกินง่าย อยู่ง่าย เรียนรู้ ชีวิตกับธรรมชาติ การใช้ชีวิตและความเป็ นอยู่ถ้อยทีถ้อยอาศัย กัน จนเกิดภูมิปัญญาจากประสบการณ์ตรงที่พวกท่านได้เรียนรู้ แล้วสอนหรือท าให้ลูกหลานดู ปู่ บอกว่าเป็ นการสอนแบบ กายกรรม คือท าให้ดู ส่งผลให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวหยั่ง รากลึกแน่นหนามั่นคง เด็กที่เติบโตมาจากสังคมแบบนี้ จึงมี ความมั่นคงทางจิตใจ เหมือนมีรากแก้วทางจิตใจ ขยันและ อดทนเพราะถูกหล่อหลอมมาจากการอบรมเลี้ ยงดูแบบ ธรรมชาติ เลยเกิดภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ โลกปัจจุบันก็เหมือนโลกวิกลจริต ที่ว่าโลกวิกลจริตคือ โลกที่คาดเดาอะไรไม่ได้ บางทีคิดว่าฝนไม่ตก กลับตก บางวัน รถไม่น่าจะติดกลับรถติด สมัยนี้ อะไรที่คิดว่ายาก กลับง่าย


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 29 สมัยก่อนท าง่ายแต่กลับยาก ยิ่งโลกเจริญทางวัตถุมากเท่าไร ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ก็มากขึ้ นเท่านั้น คุณธรรมในใจก็ ลดลง เมื่อคุณธรรมลดน้อยถอยลง การเบียดเบียนกันก็มากขึ้ น ความทุกข์ก็ตามมา คนในสังคมปัจจุบันจึงมักเกิดทุกข์จาก ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็ นปัญหาครอบครัว สังคม การงาน หรือการใช้ชีวิตประจ าวัน ปู่ ท่านสอนว่าให้มอง บน เวลามีปัญหามากระทบจิต ให้ปล่อยจิตให้ลอยบน คือลอย เหนือปัญหา เห็นปัญหาไม่ใช่ปัญหา ท าจิตให้เหมือนหญ้าคาให้ ลู่ไปตามลม ปัญหาต่างๆ ก็เหมือนกัน กับการมองของจิต หมายถึงการท าจิต มี ๓ ระดับ คือ มองต ่า มองกลาง มองบน หรือมองสูง มนุษย์ที่จิตตก เป็ นจิตที่หนัก ตาจะมองต ่า เห็นทุก อย่างเป็ นไปปัญหา จิตจะคอยระแวดระวังตลอดเวลา จิตแบบนี้ ส่งอารมณ์ไปก่อน กลัวจะมีรถมาชน กลัวจะถูกหมากัดทั้งๆ ที่ยัง ไม่ได้ก้าวเดินออกไปเลย กลัวไปทุกๆ อย่าง จิตมองกลาง ความ กลัวก็จะไม่มาก ไม่วิตกกังวลมากเกินไปอยู่กับโลกแห่งความ เป็นจริง เข้าใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติมากขึ้ น จิตมองบน เราจะ ไม่เห็นอะไร ปล่อยจิตให้ว่าง เบาสบาย อย่างที่พ่อแม่ครูบา อาจารย์สอนเสมอว่า “อย่าส่งจิตออกนอก” ส่งจิตไปรับปัญหา ให้มองเหนือปัญหาจะไม่เห็นปัญหา เพราะว่าเราคิดว่าปัญหาไม่ เป็นปัญหา เอาสติปัญญาน าทางในการแก้ปัญหา โลกใบนี้ ก าลังให้บทเรียนแก่เรา บางทีสนุกสนานบางที เศร้าโศก บางทีดีใจ บางทีผิดหวัง สุข ทุกข์เป็นอยู่อย่างนี้ เพราะ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 30 ธรรมชาติของโลกคือความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มันเป็ นกฎ ธรรมชาติ มีฝนตก แดดออก ร้อน หนาว มันก็เปลี่ยนแปลงไป อย่างนี้ เราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันแบบไม่ทุกข์ ปัญหา หรือวิกฤติ ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต มันเป็ นความท้าทายเรา หรือเป็ น แบบทดสอบทางจิตใจของเรา ทุกข์เป็ นบททดสอบที่เราต้อง สอบให้ผ่าน ครูบาอาจารย์จะสอนเสมอว่า “เห็นทุกข์ เห็นธรรม” ทุก อย่างมีเหตุ มีปัจจัยให้เกิด มันท าให้เราตื่นรู้ ทุกอย่างอยู่ที่จิตเรา เป็นต้นเหตุ เราเอาจิตไปยึดมันไว้ จิตเราก็กระเพื่อมจับสัญญาณ จูนจิตกับสัญญาณที่เป็ นต้นเหตุ จิตก็แกว่งไปแกว่งมาไม่นิ่ง เมื่อ มีอะไรมากระทบใจในทางที่ดี จิตก็ปรุงท าให้ยินดีพอใจ ใจก็ฟู พอมีอะไรมากระทบใจในทางที่ไม่ดีก็ไม่พอใจยินดี ใจก็แฟบ ใจ ขึ้ นลงแบบนี้ เราก็ไม่สงบสบาย เราต้องให้ใจของเราอยู่เหนือ ปัญหา เมื่อใจเราก็นิ่ง มีเวลาไตร่ตรองด้วยปัญญาเราก็เห็น หนทางแก้ปัญหา กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงท าไม อดีตมันก็ ผ่านไปแล้ว ให้อยู่กับปัจจุบันให้ปักหมุด อยู่ตรงนั้น อย่ามี เงื่อนไขในชีวิตมาก ให้มีความศรัทธาในตัวเอง ศรัทธาคือความ รัก ศรัทธาตัวเองคือรักตัวเองหันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้ น หา ต้นเหตุแห่งปัญหาว่าอยู่ที่ไหน ให้แก้ที่นั่น มีแผลอยู่ตรงไหนให้ รักษาตรงนั่น เหตุแห่งทุกข์ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ให้นั่งนิ่งๆ ก าหนดลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 31 เพียงมีสมาธิไตร่ตรองค่อยๆ พิจารณาแก้ปัญหาไป สติเกิดก็หา หนทางแก้ปัญหาได้ ทุกข์ใจมันจะค่อยๆ คลาย “นารีทิพย์ละสังขารตอนเป็ นนาค ไม่ได้เอาทรัพย์สมบัติ อะไรมาด้วย จนมาเกิดเป็ นมนุษย์ มนุษย์ก็เหมือนกัน ตายไป แล้วเอาอะไรติดตัวไม่ได้ นอกจากบุญกับบาป” การท าบุญตอ้งครบองค์๓ กายบริสุทธ์ิตอ้งต้ังมนั่อยู่ใน ศีล ศรัทธาบริสุทธ์ิไทยทานของที่เราถวายบริสุทธ์ิคือไดม้า ในทางที่ชอบ และผูร้บับริสุทธ์ิดว้ยศีลที่บริบูรณ์ผลบุญก็จะเกิด เร็ว บางคนที่มีความทุกข์ไปวัดเพื่อไปท าบุญ เหมือนแบกทุกข์ไป วัด ท าให้เป็ นจิตที่หนัก พลังพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พลัง ดีๆ ในวัดเข้ามาในจิตเราไม่ได้ เราต้องล้างจิตให้มันว่าง ให้มันมี พลังเบาสบายเสียก่อน พลังงานดีๆ จึงเข้ามาได้ง่าย ส่วนจิตที่มี แต่ความสุขไปวัดเป็ นจิตที่มีพลังบวก พลังความดีต่างๆ จะเข้า มาได้ง่าย ไปไหว้ เวลาขออะไรก็ได้ง่าย ถึงเราจะทุกข์แค่ไหนก็ไม่ ควรจะโกยทุกข์ไปวัด เพราะก่อนที่เราจะได้รับพลังดีๆ จากวัด วัดก็ช่วยเอาทุกข์ออกจากตัวเราก่อน ช่วยให้เราสุขก่อน พลังงาน ดีๆ เข้ามาก็ช้า ไม่เกิดผลทันที คนที่แยกอะไรได้ง่าย แยกดี แยกชั่ว แยกขาว แยกด าได้ จิตจะเบาเพราะไม่แบกทุกข์ การ ใช้ชีวิตถ้ามีเงื่อนไขมากไปมันก็ทุกข์ ชีวิตไม่ควรจะมีเงื่อนไข พระ ท่านยังเดินไปบิณฑบาต ห้ามเลือกฉันว่า รสหวาน รสเปรี้ ยว รส เค็ม ห้ามเพราะติดจริตความอยาก พระพุทธเจ้าท่านฝึกให้


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 32 อดทน เพราะท าตามใจตนเองแล้วเกิดกิเลส ฝึกให้ตัดกิเลส อยากกินคือ ความอยากมันเป็นกิเลสทั้งด้านดีและด้านไม่ดี การสะสมบุญหรือท าบุญ ก็เหมือนเราเอาเงินหยอดลง ในกระปุกออมสิน เพื่อเป็ นเสบียงบุญในภพชาติต่อไป เปรียบ เหมือนว่าเรามีเงินจะเดินทางไปไหนก็ได้ มีพาหนะรองรับ คือ บุญที่เราสะสมไว้ สิ่งที่มีในปัจจุบันก็คือกรรมดี ที่ได้สร้างมาใน ภพชาติปัจจุบันล้วนๆ บางคนท าบุญไป ๒๐ บาท ก็ร าพึงกับ ตัวเองว่า ท าไมเราไม่รวย จะได้มีเงินถวายพระได้มากกว่านี้ บรมครูท่านสอนว่า เงินมากหรือเงินน้อยก็เป็ นบุญแล้ว บุญมัน อยู่ที่ใจ เงินนั้นถ้ามาจากคนที่ท าด้วยใจ จะเอามาต่อเติมอะไร มันก็เจริญงอกงาม ในการใช้ชีวิตในทางโลก ให้ด าเนินชีวิตอยู่ ได้และมีความเจริญในทางโลกและทางธรรม คนเราต่างมีกรรม เป็ นของตนเอง มีกรรมเป็ นผู้ให้ผล มีกรรมเป็ นแดนเกิด มี กรรมเป็ นผู้ติดตาม มีกรรมเป็ นที่พึ่งอาศัย เราท ากรรมอันใดไว้ ไม่ว่าเป็ นบุญหรือเป็ นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจะเป็ น ทายาทให้เรา ได้รับผลกรรมนั้นต่อๆ ไป กรรมต่างจ าแนกสัตว์ ให้เป็นไปต่างๆ นานา ให้เลว ให้ดี ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 33 บทที่ ๓ เน้ือนาบุญ หนึ่งเม็ดฝน หยดลง นทีธาร หยดผันผ่าน กาลเวลา มหาสมุทร หยดเม็ดบุญ ต้ังจิต จากมนุษย์ หยดบุญน้ีสูงสุด จิตโมทนา แม้นผลบุญ น้อยนิด จิตต้ังมัน่ จะสะสม ทุกคืนวัน ไม่หวั ่นไหว จิตอุทิศ สร้างบารมี ให้พ้นภัย พ้นทุกข์ไซร์ พบมรรคผล พระนิพพาน หลวงปู่ ท่านสอนว่า นาคอยู่ในโลกทิพย์ ก็ต้องใช้ตาทิพย์ ดู ไม่มีตาทิพย์ก็มองไม่เห็นสิ่งที่เป็ นทิพย์ ไม่มีหูทิพย์ก็ไม่ได้ยิน เสียงทิพย์ ไม่มีกายทิพย์ก็ไปโลกทิพย์ไม่ได้ ให้หมั่นสวดมนต์ เพราะการสวดมนต์เจริญจิตภาวนาเราก็ได้พลังจิต ความเป็ น ทิพย์ก็จะเกิดขึ้ นเอง ปู่ ท่านเตือนสติว่า เทพเทวาท่านมีอาหาร ทิพย์สะดวกสบายแล้ว ท่านจะมากินอาหารหยาบท าไม การท าบุญก็เช่นกันให้หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ให้เราท า ตามที่เรามี ทา ดว้ยความศรทัธาที่บริสุทธ์ิเปรียบเหมือนเม็ดฝน ที่ตกลงในโอ่งทีละเม็ด มันก็เต็มโอ่งได้ ท าบุญน้อยหรือท าบุญ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 34 มากก็ไหลเข้าสู่จิตทุกคน คือความเย็นกายเย็นใจ นึกถึงบุญที่ท า ก็มีความสุข บุญส าเร็จตั้งแต่เริ่มจิตเจตนา บุญนั้นผู้ถวายได้ ถวายแล้วส าเร็จแล้ว ตั้งแต่เจตนาในครั้งแรก ตลอดจนน ามา ถวายส าเร็จ ไม่จ าเป็นต้องกล่าวอะไรอีก เพียงแต่ตั้งเจตนาดีเป็ น กุศล หวังผลคือความสุข การพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเท่านี้ ก็พอแล้ว “นึ่งข้าวเหนียวเต็มหวด มีทั้งข้าวเก่าและมีข้าวใหม่ กลิ่น หอมฉุย” บรมครูท่านสอนว่า นั่นมีความหมายสองทาง มอง ในทางโลกหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต ถ้ามองในทาง ธรรม บารมีที่เราอุตส่าห์หว่านเมล็ดพันธุ์สร้างบารมีเอาไว้เพื่อ เตือนว่า ชาตินี้ อย่าลืมท าอีก เพราะหากไม่ท า เมื่อใช้หมดก็คือ หมด ข้าว หมายถึง ปริมาณจ านวนการสร้างบารมี บารมีแปลว่า ความดี การสร้างบารมีเป็ นการท าความดีเข้าสู่ตัว จากหว่าน เมล็ดพันธุ์จนกลายเป็ นข้าวของที่มีอยู่ในปัจจุบัน การท าบุญให้ ทานและวัตถุก็เช่นเดียวกัน ถ้าให้ทานแก่เนื้ อนาบุญที่ต่างกัน อานิสงส์ของทานนั้น ย่อมแตกต่างกันด้วย พระพุทธเจ้าทรง เปรียบเทียบเนื้ อนาบุญว่า เป็นนาข้าว ถ้าเป็นนาดี ย่อมให้ผลดี แต่ถ้านานั้น มีหญ้ารก นานั้นย่อมให้ผลไม่ดี ถ้าดินดี นานั้น ปลูกข้าวงามแน่นอน “ภาพในนิมิตฝัน เห็นคนที่ไปปรามาสพระอริยสงฆ์ ที่ วัตรปฏิบัติท่านงดงาม ไม่มีด่างพร้อยเลย เห็นพวกเขาเหล่านั้น เหมือนโดนระเบิดกระเด็นออกมา ล้มกันระเนระนาด”


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 35 พระอริยสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระ ธรรมวินัย สายพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น ท่านรู้ภูมิจิตภูมิธรรมซึ่ง กันและกัน ท่านปฏิบัติจนจิตท่านใสเป็ นแก้ว เหมือนเป็ น กระจกสะท้อนกลับ จิตตานุภาพ คือ อานุภาพของจิตที่ใสจะ หมุนแรงและเร็ว ถ้าเราได้สร้างบุญหรือปลูกบุญ ก็ส่งผลเร็ว สร้างกรรมหรือปลูกกรรมก็เกิดผลทันตาเห็น ครูบาจารย์ท่านถึง สอนให้ส ารวมกาย วาจา ใจ เวลาเข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ จิต ท่านมีเมตตาไม่มีประมาณอยู่แล้ว คนที่ปฏิบัติจิตสงบเพียงน้อย นิด เวลาได้กราบพระอริยสงฆ์ที่ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เกิดปิ ติจนน ้าตาไหล จิตรับรู้ถึงกระแสบุญบารมีของท่าน แต่ บุคคลที่ถูกกิเลสพอกพูนหนาจนแข็งเป็ นหินนั้นย่อมไม่รับรู้ถึง กระแสบุญ เหมือนกักตัวเองอยู่ในโหลกักวิญญานกระแสบุญเข้า ไม่ถึง ปู่ ท่านบอกว่าเป็ นหลุมพรางของเทวดา เจอบททดสอบ สวรรค์ พระกับมาร ตรงกลางคืออะไร ต้องร่อนกระชอนให้เห็น ทราย ทรายหยาบ ทรายละเอียด พระที่บวชแล้วเห็นจริตสภาวะ จิต หลวงปู่ ท่านเจอแบบทดสอบมาก่อน ท่านไปบิณฑบาต โยม ที่ใส่บาตรเป็ นผู้หญิง แต่บังเอิญท าทัพพีกระทบบาตร คนจริต หยาบจิตคิดอกุศลว่าจีบกัน ท่านจึงไม่รับต าแหน่งใดๆ เพราะ ท่านไม่ยึดติดและย้ายวัดไปธุดงค์ ต าแหน่งต่างๆ จริตมนุษย์ยัด เยียดให้ทั้งนั้น ศรัทธาที่หนักแน่นเหมือนระฆังทองเหลือง พวก เขาเหล่านั้นที่เกิดวิกฤติศรัทธา แค่เอามือไปตีระฆังแล้วมีเสียง


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 36 ดังขึ้ น ให้คนรู้ มือไม่มีพลัง เสียงมันก็เบาแล้วหายไป เราก็แค่ หันไปมอง การกระท าเหล่านั้นมันสั่นคลอนศรัทธาไม่ได้หรอก การรักษาใจบนพื้ นฐานของศีล สมาธิ ปัญญา เพราะศีล ท าให้เราส ารวมก าลังอยู่ที่ฐานสมาธิ พอสมาธิตั้งมั่นมีสติใช้ ปัญญาพิจารณาพินิจพิเคราะห์ ฐานจิตเราแน่น ใจก็ไม่วอกแวก พอเรารักษาจิตให้หนักแน่น เราก็ระวังอารมณ์ได้ ระงับใจที่เกิด ความพอใจ ไม่พอใจได้ ไม่ยินดี ยินร้าย ความหนักแน่น คือ บุญ บารมี การท าบุญเป็นการท าความดี น้อมเอาบุญคือความดีที่ได้ สร้างไว้เป็ นบุญบารมีที่สร้าง มันเป็ นก าลังใจ ก าลังใจในการไล่ กิเลส ให้เจริญ ทาน ศีล และภาวนา การให้ทานเป็ นขจัดความ โลภ การเจริญศีลเป็ นการละความโกรธ และการเจริญภาวนา ท าให้ละความหลง เพราะการภาวนาคือการเหนี่ยวรั้งจิตไม่ให้ โอนเอนไปตามอ านาจกิเลส “ท่านสื่อภาพดอกเข็ม หญ้าแพรก ถ้าดอกเข็มกับหญ้า แพรก เป็ นครูบาอาจารย์ แต่เหมือนท่านบอกว่าเป็ น ราชวงศ์ เดียวกัน หรือเป็นต้นตระกูลของคุณ ปู่ ที่มาหาคุณบ่อยๆ สะพาย ย่าม ขี่ไม้เท้าหัวพญานาคเหมือนมังกร ท่านบอกท่านชื่อ ภุชงค์ ท่านบอกแค่นี้ ท่านชอบต้นไม้ ชอบหัวเราะและเอามือจับหนวด เวลาปู่ มาชอบท ามือ เหมือน โอเค” การยกมือขึ้ นมาแบบนี้ เป็ นการสวัสดี หรือการให้พร ให้ รัก ประทานพร หรือส่งความรัก เหมือนพระพุทธรูปปางลีลา ท่านมาโปรด หงายมือคือธรรมทานให้เราท าทาน ยกมือห้าม


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 37 หมายถึง ให้ตั้งสติ อย่าท าเกินขอบเขต มือเทพทุกๆ พระองค์ก็ เช่นเดียวกัน ท่านให้พร เก็บมือให้ยาก ยกมือให้ง่ายเป็ นกุศโล บายในทางธรรม ปางพระสีวลีบิดตัวให้ง่ายมาก ปางก้าวเดิน อุดมสมบูรณ์พร้อม มือท่านโผล่มาด้วย ปางสมาธิ อุ้มบาตรทั้งนี้ ทั้งนั้นท่านสอนมันเป็นกุศโลบายในทางธรรม “เกิดเป็ นมนุษย์นั่นประเสริฐ ได้มีโอกาสสร้างบุญสร้าง กุศล และบรรลุนิพพานได้ พญานาคยังติดอยู่กับความหลง ความเป็ นทิพย์ท าให้ไม่เห็นอนิจจัง เกิดกี่ชาติกี่ชาติก็เป็ นนาค นอกจะเห็นแสงแห่งธรรมจึงตื่นรู้ แล้วค่อยบ าเพ็ญเพียรละความ หลง” ปู่ บอกว่ามันถึงวาระแล้วที่ต้องรับรู้ อดีตเจ้าเป็ นนาค บ าเพ็ญ ที่ชอบท าบุญและการท าทานมาก นาคนาคีตนนี้ ขี้ สงสาร เปี่ ยมไปด้วยความเมตตามาก และขี้ ใจอ่อนเสมอๆ ใน การท าความดี ส่วนความชั่วนี่ หญิงจะไม่เอากะใครเลย นาค ชอบวัดวาอาราม ชอบความเป็ นส่วนตัว และชอบอารามสถาน ภูมิที่วิเวก ชอบสังเกตด้วยเหตุด้วยผลในข้ออรรถข้อธรรมอยู่ เสมอ ชอบปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชอบระลึกถึงความตาย เป็ นนิจ “นึกถึงตรงนี้ ทีไรมันท าให้หญิงเบื่อเป็ นอย่างที่สุดหนอ หญิงอยากตัด การเกิดอยู่ทุกภพ ทุกชาติ ชาติอุบัติเกิดขององค์ พระศรีอริยเมตไตรย” “อดีตภพเป็นนาค ชื่อว่าอะไรคะ หลวงตาท่านบอกว่าชื่อ เภทะ..”


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 38 อันมนุษย์เรานั้น มีเกิด แก่ เจ็บ ตายในหลายภพ หลาย ชาตินัก มีการตั้งชื่อเรียกขานกัน ก็หลายภพหลายชาติเป็ นยิ่ง นัก ชื่อเจ้า ชื่อเต็มๆ มันเพราะและยาวกว่านั้น นาคะมะนะอัญ มณีนาคนาคีนารีทิพย์ ความหมายของชื่อ นาคะมะนะอัญมณี คือนาคผู้เปรียบเสมือนอัญมณีอันบริสุทธ์ินาคผูบ้ าเพ็ญบารมี ได้บ าเพ็ญญาณได้เป็นนาคผู้มีความบริสุทธ์ิในศีล ในการ กระท าด้วยกาย วาจา ใจ ท่านจึงสื่อจิตญาณมาให้ได้รับรู้ เพราะ มันมีเหตุมีปัจจัย สื่อจิตญาณที่เป็ นสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ กายเนื้ อสร้างบุญ ท าความดี กระทบถึงจิตญาณสายโลหิต ถ้าเรามีเหตุให้ต้องรู้อดีตชาติ การปฏิบัติธรรมของเราจะ ท าให้เรารับรู้ได้ว่า ท าไมจริตเราเป็ นแบบนี้ สมถะ มักน้อย คือ การพยายามท าทุกอย่างด้วยตนเอง ชอบสันโดษ ตอนนี้ ก็เริ่ม เข้าใจเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้ น ณ ที่จุดสัญญาเก่าแต่ผ่านไปตาม กาลเวลา แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน พลังงานดีๆ ที่มีอยู่สักที่ ที่ ไม่เคยหายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ พลังงานที่ดี คือพลังงานที่สัมผัสแล้วอบอุ่นใจ มีความสุข สบายใจ รอผู้มา เปิ ดประตูการเชื่อมต่อนั้น ขอแค่มีประตูที่สามารถน าไปสู่จุด แห่งการเชื่อมต่อ เมื่อถึงวาระเวลา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็ แสวงหาสิ่งที่เป็ นสัญญาทางจิตแห่งตนให้เจอ แม้ส่วนลึกยังไม่ ทราบเพราะจ าไม่ได้ พอถึงเวลาและวาระโอกาส ได้เจอผู้ที่ชี้ แนะ แนวทางให้ ท าให้เชื่อมต่อสัญญาเก่าแห่งตน กายสังขารญาณ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 39 ทิพย์เป็นประตูเปิ ดบุญกุศลมูลเดิมนารีทิพย์ เชื่อมต่อกระแสบุญ บารมีครูบาอาจารย์เปิดทาง น าทาง พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนว่า จิต คือตัวบันทึก บันทึกทั้ง สิ่งดีและสิ่งไม่ดี ความจ าเก่าๆ นี้ มีสะสมมานานตั้งแต่อดีตชาติ นับชาติไม่ถ้วน แม้ว่ากายสังขารที่เปลี่ยนไปตามภพชาติ แต่จิตก็ คือ จิตดวงเดิม กายสังขารก็เปรียบเสมือนบ้าน เมื่อบ้านหลัง เก่าทรุดโทรมจากกาลเวลา ดวงจิตก็หาบ้านใหม่ ดวงจิตของ มนุ ษย์ก็เหมือนพวงองุ่นที่ต่อภพต่อชาติไม่มีที่สิ้ นสุดใน วัฏสงสาร สัญญาเก่า คือ ความจ าเก่า บางครั้งอาจจะนึกและ จดจ าได้ บางครั้งอาจจะลืม สัญญาเก่าเป็ นอาการของจิตอย่าง หนึ่ง เรียกว่าสัญญาเจตสิก มีประจ าจิตทุกๆ ประเภท ท า หน้าที่จ าเก็บข้อมูลที่จิตที่รับรู้สัมผัส สัญญาเก่าบุญบารมีเก่า ชักจูงมาให้เจอ บางคนมาให้เราตื่นรู้และเดินต่อไปข้างหน้า ในทางสายบุญ สร้างบุญบารมีร่วมกัน เมื่อถึงวาระเวลา ก็มีผู้มา เปิ ดพลังเชื่อมต่อให้ได้รับรู้ เกิดจากบุญสัมพันธ์ ธรรมะจัดสรร สื่อญาณเปิดให้ได้รับรู้ “สายสัมพันธ์ทางเครือญาติมันเป็นโมเลกุลสายรุ้ง” โมเลกุลคือ อนุภาคหน่วยเล็กของสสารที่สามารถด ารงอยู่ได้โดย อิสระในธรรมชาติ ซึ่งอาจประกอบจากอะตอมตั้งแต่หนึ่งขึ้ นไป สายรุ้งมีเจ็ดสี เป็ นภาษาคน ภาษาธรรมเป็ นภาษาใจ ภาษาธรรมชาติที่มีอยู่จริง ปู่ สอนว่า โมเลกุลสายรุ้งในภาษา ธรรม เป็ นโยงใยเครือข่ายสื่อจิตญาณที่เป็ นสายสัมพันธ์ทาง


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 40 เครือญาติ กายเนื้ อสร้างบุญ ท าความดี กระทบถึงจิตญาณ สายโลหิต อาศัยกายเนื้ อเป็ นแกนกลาง สื่อญาณด้วยพลังคลื่น ความถี่เหมือนคลื่นโทรศัพท์ เสาสัญญารับภาพ และเสียง ตัวรับ สื่อญาณคือกายสังขารญาณทิพย์ การแปลสัญญาณได้ครบต้อง อยู่ที่ฐานจิตและการครองอยู่ในศีลในธรรม สื่อญาณเพื่อให้สาน ต่อบุญกุศลบารมี โยงใยไปทั้งสามแดนโลกธาตุ รับบุญ แสง ธรรม พลังแห่งญาณก็เพิ่มขึ้ นตามล าดับความศรัทธา โยงใยสาย สัมพันธ์ในข่าย ๗-๙ ชั้น เหมือนสายรุ้งเห็นเป็ นหลายสีแล้วแต่ คนมอง แต่คนท าและคนรับเห็น ลูกหลานท าบุญแล้วอุทิศให้ บรรพบุรุษผู้ให้อิ่มใจในบุญกุศลที่ท า ผู้รับก็อิ่มในบุญกุศลที่ ได้รับอิ่มเอิบในจิตวิญญาณัง พอได้รับมากเข้าก็ได้ปรับภพปรับ ภูมิขึ้ นไป เทวดาได้รับกระแสบุญ แสงทิพย์ก็สว่างขึ้ น “ปู่ ย่าพญานาค ในมือถือดอกบัว หรือนั่งบนดอกบัว” องค์ปู่ ย่าพญานาคถือดอกบัวนั้น พวกท่านเอาปัญญา และศรัทธาน าทาง ศรัทธาเป็ นฐานของดอกบัว ศรัทธามั่นคง ฐานบัวจะแน่น ภพภูมินาคศรัทธามั่นคงในพุทธศาสนาเป็ นฐาน บัวอันแข็งแกร่งมั่นคง เหมือนบัลลังก์ค ้าจุนพุทธศาสนา เชื่อให้ สุดศรัทธาน าด้วยปัญญาจะไม่ลังเลสงสัยอะไร ให้เราหยุดมอง รอบๆ ข้างแล้วหันกลับมาดูตัวเอง “เมื่อถึงวาระก็มีบุญสัมพันธ์กัน ได้เจอกันได้ร่วมสานบุญ ไปด้วยกัน เมื่อยังไม่ถึงวาระก็เดินสวนกันไปกันมา”


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 41 เรื่องบุญสัมพันธ์ของคนเราต่างกัน พระอริยะสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามแนวค าสอนของพระพุทธองค์ แต่บางครั้งเราฟัง หลวงปู่ บางรูปสอนไม่เข้าใจ เพราะไม่มีบุญสัมพันธ์ ทั้งที่ธรรมะ ก็ดีเหมือนกัน บางทีไปฟังหลวงตาอีกรูปเรารู้สึกว่าดีและเข้าใจ ทั้งๆ ที่สอนเรื่องเดียวกัน บางคนชอบไปกราบหลวงปู่ รูปนี้ แม่ชี รูปนี้ หรือวัดบางแห่งเราไปปฏิบัติธรรมแล้วถูกจริตเรารู้สึกชอบ สุข สงบ แสดงว่าเรามีบุญสัมพันธ์กันสถานที่แห่งนี้ นิสัยวาสนา ในทางธรรมก็เหมือนกัน คนที่ชอบเข้าวัด ท าบุญ ไม่ได้มีใคร บังคับให้ท า แต่นิสัยของเราเป็ นอย่างนั้นนั่นเอง เรามีความ พอใจ เรามีความสุขใจ ที่จะท าบุญ เราเคยท ามาแล้วในอดีต นับไม่ถ้วนมันเกิดเป็ นนิสัยมา พอเวลาใดที่เรามีเวลาว่าง เราก็ คิดถึงการท าบุญ คิดถึงการรักษาศีล ภาวนา จริตในการท าบุญ ของข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน มักได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่ าสายพ่อ แม่ครูบาอาจารย์มั่นเสมอ ได้มีโอกาสไปกราบกุฏิปฏิบัติธรรม หลวงปู่ มั่นที่วัดป่ านาคนิมิตต์ที่สกลนคร ได้รับกระแสพลังบารมี ของครูบาอาจารย์ท าให้ รู้สึกสงบ เย็นกาย เย็นใจ เกิดปิ ติทุก ครั้งเมื่อได้มาที่นี่ ปู่ สอนว่าสิ่งที่ควรตั้งใจประพฤติปฏิบัติ คือ อยู่ในกรอบ ของศีล สมาธิ และปัญญา เป็ นกรอบความดี เพื่อขัดเกลากิเลส ตัณหาให้เบาบาง พ่อแม่ครูบาอาจารย์เดินน าทางให้เรา ท่านยึด พระธรรมค าสอนของพระพุทธองค์ ถ้าดินดี นานั้นปลูกข้าวงาม แน่นอน พระดีอยู่ที่ศีล ข้อที่วัตรปฏิบัติ เราจะหานาดี เราต้อง


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 42 เอาดินเป็ นเกณฑ์ เราจะดูวัด ดูพระ เราก็ดูข้อวัตรปฏิบัติเป็ น เกณฑ์ เมื่อเรามีหลักเกณฑ์แล้ว เราไปหานา เราก็หานาไม่ผิด เราไปหาวัด เราก็หาวัดไม่ผิด ครั้งแรกที่ได้กราบหลวงตา น ้าตา ไหลไม่รู้เป็ นอะไร ไหลออกมาเอง แปลกใจตัวเองท าไมน ้าตา ไหลทุกครั้งที่ได้กราบท่าน อาจเป็ นน ้าตาแห่งความปิ ติที่ได้เจอ ครูบาอาจารย์ วัตรปฏิบัติท่านงดงามยิ่งนัก สงบ สมถะตามแบบ พระสายวัดป่ า สายพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น หลวงตาท่านเย็บจี จรถวายพ่อแม่ครูบาสายกรรมฐาน ข้าพเจ้าเลยได้ร่วมท าบุญ ถวายจีวรพระสงฆ์สายวัดป่ าเสมอมา ครอบครัวและกัลยาณมิตร ร่วมถวายปัจจัยสร้างศาลากลางน ้า ที่วัดป่ าหวังมนตรี ตอนที่ได้ ไปกราบท่านครั้งแรกมองเห็นเสาไม้ ตั้งอยู่ในน ้าประมาณ เจ็ด หรือแปดต้น ไปทุกครั้งก็จะเห็นแบบนี้ เลยกราบถามท่าน ท่าน บอกว่าจะสร้างเป็ นศาลากลางน ้า กราบท่านขอร่วมสร้างเป็ น ต้นบุญ จ านวน ๒๐, ๘๐๐ บาท หลวงตาท่านสอนว่า “การท าบุญอย่าให้ตนเองเดือดร้อนนะโยม หลวงตา พอแล้ว วัดป่ าไม่ต้องสร้างอะไรเยอะ โยมปฏิบัติมาถูกทางแล้ว ในอดีตโยมก็เป็ นแบบนี้ ชอบเข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ นาง สองภาค จิตดับที่ไหนก็จุติที่นั้น คนที่มาด้วยกัน ตอนนี้ ก็เจอกัน แล้ว สองสามคน แต่ก็ยังจะเจอกันอีกเยอะอยู่นะ ต่อไปท าบุญ อย่าท าคนเดียวให้บอกบุญนะ” การบอกบุญเป็ นการเปิ ดโอกาสให้คนได้ร่วมท าบุญ เสมือนผู้ส่องทางสว่างให้แก่ตนเองและแก่ผู้อื่น เป็ นการต่อบุญ


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 43 เหมือนสายน ้าไหล ยิ่งคนมาร่วมเยอะยิ่งมีพลัง บุญก็ไหลแรงไม่ มีขาดสาย สายเดียวกันพลังงานเดียวก็ช่วยกันดึงกันไปในทาง สว่าง เพราะการท าบุญให้ทานหรือการแบ่งปัน เป็นเครื่องแสดง น ้าใจมนุษย์ผู้ที่มีจิตใจสูง ด้วยการให้ การเสียสละ แบ่งปันมาก น้อยตามก าลังที่เรามี ทานช่วยขจัดความตระหนี่ถี่เหนียวในใจ ขยายกว้างขวางออกไป การท าบุญต้องใจกว้าง ไม่ใช่ใจแคบ เพราะบุญเป็ นเครื่องกรองกิเลส กรองจนใจใส เมื่อใจของเราใส ใจสว่าง บุญย่อมส่งผล บุญแม้จะมองไม่เห็น แต่มีพลงัฤทธ์ิบุญ ย่อมท าหน้าที่ เมื่อจวนเจียนล าบากบุญก็มาค่อยอุ้มชูการ ท าบุญแบบกระจายคือ ไม่เฉพาะเจาะจง แต่ให้รู้จักเขต หรือเนื้ อ นาบุญที่อุดมแก่การสร้างบุญสร้างกุศล ดั่งพันธุ์พืชที่ดี บรรยากาศที่ดี มีการดูแล ประคบประหงมที่ดี ทั้งทาน ศีล ภาวนา สุดท้ายก็รวมปมอยู่ที่ปลาย ผลของบุญกุศลในปัจจุบัน คือ การอบรมจิตของเรา มีแต่ความสุขความเจริญในชีวิต


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 44 บทที่ ๔ เปิ ดประตูเชื่อมสัญญาเก่า แม้เจ้า จ าความเราไม่ได้ เราได้แต่เฝ้าดูแล มาทุกภพชาติ แค่น้ีเราก็สุขใจ ในยามที่เจา้สุข ในยามทุกข์ให้รู้ เราอยู่ข้างเจ้า เมื่อเรียกหา นคราปาวาฬนะ ขอบใจในจิตที่ท าให้เรา ปู่ สอนว่าอย่าหลงในจิต เราใส่เสื้ อผ้าสวย แล้วส่องกระจก เราเห็นตัวตนของเราว่าเป็ นอย่างไร แต่คนอื่นไม่เข้าใจเนื้ อตัว ข้างในหรอก ถ้าเราไม่ได้อาบน ้า ก็เหม็นกลิ่นกายเนื้ อตัวเหงื่อ ไคล ตัวตนไม่ใช่เสื้ อผ้า มีแต่เราคนเดียวเท่านั้นที่รู้ บางคน แต่งตัวด้วยเสื้ อผ้าสวยงาม แต่ใจข้างในมันอมทุกข์ บางครั้ง คนเราชอบมองภายนอกมากกว่ามองภายใน บางคนภายนอก เขาอาจจะดูสกปรกแต่ภายในเขาใส สะอาด เป็ นคนมีจิตใจดี ฉะนั้นเราอย่าตัดสินคนแค่ภายนอก มองให้ลึกเข้าไปข้างใน ตัวตนที่แท้จริงของเขา บางคนที่ทุกข์ใจแล้วไปอยู่วัด อยู่วัดแล้วก็ยังทุกข์ไม่สบาย ใจ เพราะแบกทุกข์เข้าวัด สุดท้ายของดีอยู่ที่บ้านของเราเอง


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 45 กลับมาหาของเดิม คือกลับไปดูข้างในตน กลับไปดูจิตของตน ทวนกระแสโลกเข้าไปดูจิตข้างใน การวนเวียน วิ่งไล่จับกิเลสมัน เหนื่อย ท่านให้เดินสายกลาง หลงพระ หลงวัดก็วิ่งไล่ตาม บาง วัดมีพลังปิ ด บางวัดเป็ นพลังเปิ ด บางวัดมีทั้งพลังปิ ดและพลัง เปิด สถานปฏิบัติธรรมก็เป็นพลังปิด คนที่มีจิตศรัทธาเท่านั้นจึง เข้าไปหาเข้าไปกราบ สถานปฏิบัติธรรมสอนทุกคนให้มาเปิ ดจิต คนที่เปิ ดจิตแล้วก็จิตลอย เบาสบาย พอจิตเบาจะเข้าใจธรรมะ ง่าย เข้าใจธรรมชาติเห็นนิสัยสันดานเดิมของตนเองที่มันนอน เนื่องมานาน สะสมเป็ นขยะอยู่ในจิตใต้ส านึก ลดอีโก้ ลดอัตตา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ก็ใช้ชีวิต ง่ายขึ้ นเพราะลดอัตตาตัวตนลง แต่บางคนมาแบบคนจิตตก หนักเกินกว่าที่จะยกจิตให้สูงขึ้ น บางคนจิตหนักมาก อัตตา ตัวตนมากจนพยุงไม่ไหว ก็ปล่อยไปตามกรรม บางคนจิตเปิ ด ช่วยคนอื่นพลังงานไหล เปิ ดจิต อยากพูด อยากช่วยเห็นอะไรก็ พูดทั้งหมด ไม่มีการกลั่นกรองด้วยตัวปัญญาว่า อะไรพูดได้ อะไรพูดไปแล้วล่วงกรรมคนอื่น เพราะฐานของจิต ฐานสมาธิ ภาวนาไม่แน่นก็ถูกจูงไปตามกิเลส หลงในอัตตาตัวตนมาก เกินไป หลงเดินทางผิด เห็นภาพจริงแต่ตีความหมายภาพที่เห็น ผิด เพราะเอากิเลสน าทาง ปรุงแต่งมโนภาพตามกิเลส จิตไม่ ฉลาดก็หวังสิ่งแลกเปลี่ยน ลาภสักการะ การยกย่อง มีชื่อเสียง เงินทอง นั่นมันเป็ นอัคติผล ให้เจริญสมาธิภาวนา ตาเราเห็นสิ่ง ใด หรือหูได้ฟังสิ่งใดให้ใช้ปัญญาพิจารณาเป็ นอรรถเป็ นธรรม


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 46 พินิจ พิเคราะห์ในสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นและได้ยิน ให้รู้จริตนิสัยของ ตนเอง คิดมากฟุ้งซ่าน เจ้าความคิด วิตกวิจารณ์ ให้ดึงสติ อานา ปานสติก าหนดรู้ลมหายใจ มีสติประคองจิต ความคิดก็อ่อน ก าลังลงเพราะจิตไม่ส่งเสริมอารมณ์ภายนอก ค่อยๆ สงบลง ธรรมะจัดสรรเปิดให้ได้รับรู้ ท่านเมตตาสื่อญาณเปิ ดให้รู้ ถึงอดีตภพ “องค์ปู่ เทวะนาคพรหมญาณท่านเป็ นพระบิดา และ นางพญานาคิณีศรีโคตระ ท่านเป็ นพระมารดา ท่านเป็ นอัคร มเหสีขององค์ปู่ เทวะนาคราช ซึ่งท่านทั้งสอง ท่านเป็ นนาค บ าเพ็ญ ที่เปี่ยมไปด้วยบุญบารมี ท่านเคยสั่งสอนให้หนูประพฤติ ปฏิบัติ ตั้งแต่หนูเป็ นนาคนารีน้อย ซึ่งปัจจุบันก็คือหนูที่มา บ าเพ็ญพรต บ าเพ็ญบุญบารมี มาสร้างทาน บารมีของตนเอง ตอนนี้ ปู่ เปิดให้แล้ว ถ้าปู่ ไม่เปิดวันนี้ ยังไงนารีน้อยก็รู้ด้วยตัวเอง อยู่ดี แต่ตอนนี้ ปู่ เปิ ดให้แล้ว ไม่ต้องสงสัยอะไร ในเมื่อมันมีอดีต ปัจจุบันมันก็พึงมี” ท่านเป็ นโอรสของพญาศรีสัตตะนาคราช กับอัครมเหสี นางพญานาคิณีศรีสัตตะศราวลัยเกตุ มีพระโอรสพระนามว่า ปัตตะนะวาฬนะนาคราชอัครบุตร พญานาคสายศรีสัตตะสายสี แดง เป็นสายกษัตริย์นักรบ องค์ปู่ เทวะนาคพรหมญาณเป็ นสาย


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 47 เทวะสายบ าเพ็ญเพียร สายบุตรจากสวรรค์ องค์ปู่ เทวะนาค พรหมญาณกับอัครมเหสีนางพญานาคิณีศรีโคตระ มีพระธิดา องค์เดียวพระนามว่า นะคะมะนะอัญมณีนาคนาคีนารีทิพย์ ท่านเรียก เจ้านางน้อย หรือ หญิงน้อย หรือ หญิงทิพย์ เกิดมา พร้อมดอกบัวทิพย์ประจ าตัว เลยมีชื่อท้ายว่า นารีทิพย์ นาคะมะ นะอัญมณี คือ นาคผู้เปรียบเสมือนอัญมณีอันบริสุทธ์ินาคผู้ บ าเพ็ญบารมีได้บ าเพ็ญญาณได้เป็นนาคผูม้ ีความบริสุทธ์ิใน ศีล ในการกระท าด้วยกาย วาจา ใจ พระนางงาม ตามแล ไม่ห่างเว้น อย่างที่เป็น ตอนชิดพิสมัย ปัจจุบันภพ หลบเร้นให้ห่างไกล จากกันไปแสนนานยังคงรอ.. ท่านปาวาฬนะเป็นกษัตริย์เมืองรัตนะนวบาดาลนครแก้ว ทิพย์ มีพระโอรสธิดา ๒ องค์ พระโอรสนาม ปัตตะภควัตภุชงค์ นาคราช ท่านเรียกชื่อเล่นว่า ภุชงค์ แปลว่า หนุ่ม หรือ เก่งกล้า (ท่านว่าชื่อลูกชายจะมีชื่อบิดาขึ้ นต้น ลูกสาวมีชื่อมารดาชึ้ นต้น) ส่วนพระธิดานามว่า อัญญสิรินารีจันทร์ เรียก หญิงจันทร์ ตอน เกิดวางไว้ในกระด้งจะมีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นไม้จันทร์ นิสัย


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 48 คล้ายท่านชอบฝึกฝนการต่อสู้ พระทัยร้อน ชอบอ่านหนังสือ ศึกษาต ารับต าราเหมือนเจ้านางน้อยนารีทิพย์ ชมภูม่วง เคียงคู่ ชื่นชูรัก เป็นปิ่นปัก สุขในใจ เราทั้งสอง เมื่อคราวนั้น สมดั่งใจ ฤทัยปอง เราทั้งสอง ม่วงชมภู เคียงคู่กัน เจ้านางน้อยนารีทิพย์ พระอัครมเหสีของพญาปัตตะนะ ปาวาฬนะนาคราช เกิดมาพร้อมดอกบัวทิพย์ ท่านว่าของเก่า หรือบุญบารมีเก่า กายทิพย์เป็ นหญิงรูปโฉมงาม ชอบมวยผม ดวงตาโต จมูกโด่ง ผิวขาวนวล สวมใส่ชุดผ้าพันอก มีผ้าคล้อง คอ หรือผ้าคลุมสีเดียวกันหมด มักสวมใส่ สีขาว สีชมพูออกมุก และสีโอรส มีแหวนสร้อยคอก าไล กระบังหน้าชุดไทย เป็ น ทองค า หรือทองออกชมพูคล้ายสมัยทวารวดี แต่จะสวมในงาน พิธีส าคัญเท่านั้น จิตใจมีความเมตตาสูง มักชอบให้เพชรนิล จินดาแก่สนมบริวารเสมอ นิสัยเงียบไม่ค่อยพูด รักความสงบ สันโดษ ชอบปลีกวิเวก มักปิ ดถ ้าเก็บตัวบ าเพ็ญเพียร ผิดแผก จากนาคตนอื่น ชอบอ่านต าราหาความรู้ สงสัยในอรรถในธรรม ชอบปฏิบัติธรรมและสวดมนต์เก่ง เนื่องจากเป็นสายปฏิบัติสาย บ าเพ็ญเพียร บ าเพ็ญเพียรบารมีได้ลูกแก้วมณีนาคา ๓ สี มีสี


ธรรมะทิพย์ ทิพย์แห่งธรรม น้อมกราบบูชาธรรม 49 ขาวไข่มุก สีชมพู และสีเขียว ชอบขึ้ นมาเมืองมนุษย์ ขึ้ นมาฟัง พระเทศน์มีวรกาย เศียร และปล้องพระนาภีสีเงินยวง เมื่อ กระทบกับแสงจะไสวสว่างสีขาวอมชมพู แปลงเศียรได้ ๕ เศียร ม่วงเอย เคยชอบชมภูหวาน ล้วนนานา ประโยชน์ล ้า น าค่า มากล้น คูณทวี แสนรัก แสนดี แสนงาม แสนล้าน แสนชมภู ทุกอย่างมีความหมายมาตั้งแต่อดีตทั้งสิ้ นหนา หลายแสนเท่ากับล้าน กลายมาเป็นแสนชมภู ล้านชมภู นาคทุกตนบ าเพ็ญเพียรเพื่อได้เกิดในภพภูมิที่ประเสริฐ คือ ภพภูมิมนุษย์ ในภพของมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความคิด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งสามารถแยก ออกเป็ น ๑ รูป และ ๔ นาม รูปขันธ์หมายถึง กองรูป ส่วนที่ เป็ นร่างกาย พฤติกรรม คุณสมบัติต่างๆ ของร่างกาย และ ส่วนประกอบที่เป็ นรูปธรรมทั้งหมด เวทนาขันธ์หมายถึง กอง เวทนา ส่วนที่เป็ นความรู้สึกทุกข์ สุข ดีใจ พอใจ สัญญาขันธ์ หมายถึง กองสัญญา ส่วนที่เป็ นการจ าสิ่งที่ได้รับ สังขารขันธ์ หมายถึง กองสังขาร ส่วนที่เป็ นการคิดปรุงแต่ง โดยสามารถ


Click to View FlipBook Version