ปที ี่ 2 ฉบับท่ี 6 กนั ยายน-ธนั วาคม 2562 Vol. 2 No. 6 September-Decemberl 2019 ISSN 2630-0052 (print)
เจา้ ของ : ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถ.นครสวรรค์ ต.ตลาด อ.เมือง มหาสารคาม 44000
http://www.etcjournal.etcedumsu.com/ ติดต่อ กองบรรณาธกิ าร โทร. 086 6404222 e-mail : [email protected]
ทปี่ รกึ ษากองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ศาสตรเมธี ดร.สุทธพิ งศ์ หกสุวรรณ
รองศาสตราจารย์ ดร.เผชิญ กจิ ระการ รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ
รองศาสตราจารย์ ดร.พชรวทิ ย์ จนั ทร์ศริ ิสริ รองศาสตราจารย์ ดร.สุวฒั น์ จลุ สวุ รรณ์
รองศาสตราจารย์ ดร.สุมาลี ชัยเจรญิ รองศาสตราจารย์ ดร.อรจรีย์ ณ ตะกัว่ ทุ่ง
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มานิตย์ อาษานอก
บรรณาธิการ
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ก่อเกยี รติ ขวญั สกุล
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยบรรณาธิการ
ดร.เหมมิญช์ ธนปัทม์มมี ณี
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
กองบรรณาธิการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ฐาปนี สเี ฉลียว
คณะศกึ ษาศาสตร์
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.รัชนีวรรณ ตั้งภักดี คณะศึกษาศาสตร์
ดร.รฐั สาน์ เลาหสรุ โยธิน คณะศึกษาศาสตร์
ดร.ธนดล ภสู ฤี ทธิ์ คณะศกึ ษาศาสตร์
อาจารยม์ าณวกิ า กิตติพร คณะศึกษาศาสตร์
อาจารย์ธวัชวงศ์ ลาวัลย์ คณะวิทยาการสารสนเทศ
คณะวทิ ยาการสารสนเทศ
ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เนตริ ัฐ วีระนาคนิ ทร์ คณะวทิ ยาการสารสนเทศ
ดร.คชากฤช เหลย่ี มไธสง คณะวทิ ยาการสารสนเทศ
อาจารยณ์ ภัทร สักทอง
กองบรรณาธิการจากสถาบันภายนอก
รองศาสตราจารย์ ดร.เสกสรรค์ แยม้ พินจิ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี
รองศาสตราจารย์ ดร.อิศรา กา้ นจกั ร มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อนิรุทธ์ สตมิ ัน่ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคณุ ทหาร ลาดกระบัง
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ณฐั กร สงคราม มหาวิทยาลยั ราชภัฎเชยี งราย
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ประทยั พิริยะสุรวงศ์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั มหาสารคาม
มหาวทิ ยาลัยบูรพา
ดร.นราวชิ ญ์ ศรีเปารยะ มหาวิทยาลยั ราชภฎั สรุ ินทร์
ดร.สขุ มิตร กอมณี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์
ดร.นชุ จรี บญุ เกต มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎบุรีรมั ย์
ดร.ขจรศักดิ์ สงวนสัตย์
ดร.เลอสันต์ ฤทธขิ ันธ์
เลขานุการ/เหรัญญิก นายธนวัฒน์ แสนโกษา ผู้ดูแลระบบสารสนเทศ นายสมร เห,้กกลา้ นายอมรศิลป์ สระทองแมว
ผู้ทรงคุณวฒุ แิ ละผปู้ ระเมนิ บทความประจำ�กองบรรณาธิการ
บทความทุกเร่ือง ก่อนนำ�ออกตพี ิมพ์เผยแพร่ จะผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากผทู้ รงคุณวุฒิ 2 ทา่ น
โดยจะพจิ ารณาประเมินคุณภาพบทความตามหลกั วิชาการ อาจมีการขอให้ผ้รู บั ผิดชอบปรับแกต้ ามความเหมาะสม
--------------------
หากข้อความในบทความละเมดิ สิทธิผูห้ นึง่ ผใู้ ด ถือเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของเจ้าของบทความนน้ั ๆ
กองบรรณาธกิ ารจะไมม่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งแต่อยา่ งใด และสงวนสทิ ธทิ ีจ่ ะไมเ่ ผยแพรบ่ ทความทไ่ี ม่ผา่ นการประเมนิ คุณภาพ
ผู้ทรงคุณวฒุ ิ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ผูท้ รงคณุ วฒุ ิ จากสถาบันภายนอก
รศ.ดร.ชวลิต ชกู ำ�แพง คณะศึกษาศาสตร์ รศ.ดร.จารณุ ี ซามาตย ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่
ผศ.ดร.กาญจน์ เรอื งมนตรี คณะศึกษาศาสตร์ ผศ.อนุชา พัวไพโรจน ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น
ผศ.ดร.มนตรี วงษ์สะพาน คณะศึกษาศาสตร รศ.ดร.ประกอบ กรณีกจิ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
ผศ.ดร.จิระพร ชะโน คณะศกึ ษาศาสตร์ รศ.ดร.จนิ ตวรี ์ คล้ายสงั ข์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
ผศ.ดร.สินธะวา คามดิษฐ์ คณะศึกษาศาสตร์ ผศ.ดร.ปราวณี ยา สุวรรณณัฐโชติ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร.อรนุช ศรสี ะอาด คณะศกึ ษาศาสตร์ รศ.ดร.เนาวนิตย์ สงคราม คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
รศ.ดร.ทรงศกั ดิ์ ภสู อี อ่ น คณะศึกษาศาสตร์ ดร.ธรี วดี ถงั คบุตร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
รศ.ดร.ประสาท เนืองเฉลมิ คณะศึกษาศาสตร์ ผศ.ดร.น้�ำมนต์ เรืองฤทธ ิ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผศ.ดร.วราพร เอราวรรณ์ คณะศกึ ษาศาสตร์ ผศ.ดร.เอกนฤน บางท่าไม ้ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร
ผศ.ดร.ทัศน์ศริ ินทร์ สวา่ งบญุ คณะศึกษาศาสตร์ ผศ.ดร.สรุ พล บุญลอื คณะครุศาสตร์อตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี
ผศ.ดร.ชัยรัตน์ ชูสกลุ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี
ดร.อารยา ปยิ กุล คณะศึกษาศาสตร์ ผศ.ดร.ปณิตา วรรณพิรณุ สำ�นักวจิ ัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดร.วทิ ยา วรพนั ธ์ คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ
รศ.ดร.กริสน์ ชัยมลู บัณฑิตวทิ ยาลัย . ดร.แจม่ จันทร์ ศรีอรณุ รัศม ี คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ
ผศ.ดร.ธัชชยั จติ รนันท์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั ดร.โอภาส เกาไศยาภรณ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์
ผศ.ดร.นิดา ชัยมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ดร.อดิศักด์ิ อินทนา คณะเทคโนโลยแี ละส่ิงแวดล้อม มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์
ผศ.ดร.อดศิ ักดิ์ สิงห์สีโว คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยาก รศาสตร์ ผศ.ดร.วสนั ต์ อตศิ ัพท์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
ผศ.ดร.นิพนธ์ ตันไพบูลยก์ ลุ คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยาก รศาสตร์ ดร.ภูเบศ เล่ือมใส คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา
ดร.มนชยา เจียงประดิษฐ ์ คณะวิทยาศาสตร์ ดร.จุฬาวดี มีวันคำ� สำ�นักศึกษาทั่วไป มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ ร
ดร.วรฤทธิ์ กอปรสิรพิ ัฒน์ คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
ดร.วันวิสาข์ โชรัมย ์ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา
ผศ.ดร.ประวิทย์ สมิ มาทัน คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั มหาสารคาม
ดร.ทิพเนตร ขรรค์ทัพไทย คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ นิ ทร์
ผศ.ดร.สนิท ตเี มืองซา้ ย บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั มหาสารคาม
ผศ.สวุ รรณ อภัยวงศ์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎมหาสารคาม
ดร.ปรมะ แขวงเมือง คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
ดร.ดรณั ภพ เพยี รจัด คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏราชนครนิ ทร์
ผศ.ดร.ปัญญา นาแพงหม่ืน คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
ผศ.ดร.อญั ชลี ทองเอม วทิ ยาลบั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกจิ บัณฑิตย์
ผศ..ดร.ลกั ขณา สุกใส .คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏชัยภมู ิ
บทบรรณาธิการ
วารสารเทคโนโลยแี ละสอ่ื สารการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ปที ่ี 2 ฉบบั ที่ 6 ประจำ�เดือน กนั ยายน-
ธนั วาคม 2562 ฉบบั นเ้ี ปน็ ฉบบั ทนี่ ำ�เสนอบทความวจิ ยั จากนกั วชิ าการครจู ากทวั่ ประเทศ ทใ่ี หค้ วามสนใจเสนอผลงานวจิ ยั ทางดา้ นการศกึ ษา เพอ่ื
ทำ�ผลงานเล่ือนตำ�แหนง่ วิทยฐานะ บทความทุกเรือ่ งผา่ นการประเมิน กลนั่ กรอง จากผู้ทรงคุณวุฒิปรจำ�กองบรรณาธิการเร่อื งละ 2 ท่าน กอ่ น
นำ�ออกตพี ิมพเ์ ผยแพร่ กองบรรณาธิการขอขอบคณุ ผูท้ รงคณุ วฒุ ิทกุ ท่านท่ีสละเวลาในการประเมนิ มา ณ โอกาสน้ี
วารสารเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม พรอ้ มเปน็ เวทีที่เปิดรบั บทความจากนกั วจิ ยั
และบคุ ลากรทางการศกึ ษาทตี่ อ้ งการนำ�เสนอผลงานวชิ าการทเ่ี ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ผทู้ สี่ นใจสามารถตดิ ตามรายละเอดี ตา่ ง ๆ ไดท้ ่ี http://
www.etcjournal.etcedumsu.com/ กองบรรณาธิการหวังเปน็ อยา่ งยิ่งวา่ เนื้อหาท่นี ำ�เสนอในฉบับนี้ จะเป็นประโยชนส์ ำ�หรับทา่ น ขอขอบคณุ ท่ี
ใหค้ วามสนใจ และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะตดิ ตามผลงานอกี ในฉบบั ต่อไป
ก่อเกียรติ ขวญั สกลุ
วัตถุประสงค์การจดั ท�ำ
1. เพื่อเผยแพร่ความรู้ แนวคดิ ทฤษฏี หรอื เทคโนโลยใี หม่ ๆ ในศาสตร์สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา คอมพวิ เตอร์ศึกษา นวัตกรรม
ทางการศกึ ษา รวมถงึ ศาสตร์การศกึ ษาดา้ นอื่น ๆ ในรปู แบบของบทความวชิ าการ บทความวิจัย บทความปรทิ ศั น์ หรือผลงานวิชาการ
ตา่ ง ๆ
2. เปน็ แหลง่ ให้นักวชิ าการ นสิ ติ นกั ศกึ ษา ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ได้ตีพมิ พ์เผยแพร่ผลงานวชิ าการ
3. เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด เจตคติและประสบการณ์ระหว่างนักวชิ าการทางการศึกษา
4. เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในศาสตร์การศึกษาด้านต่าง ๆ เพ่ือกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษา พัฒนาความรู้ทาง
วชิ าการการศึกษา อนั จะกอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อการเรยี นการสอน และวงการศึกษาของชาติ
5. เพื่อให้นิสิตสาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษาและคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ศึกษาเรียนรู้งาน
ภาคปฏิบตั ิการสอื่ สง่ิ พมิ พ์ ในรายวชิ าการผลิตส่ิงพมิ พเ์ พอ่ื การศึกษา
บทความวิจัยทางการศกึ ษา
การพฒั นารปู แบบประสบการณก์ ารแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ตามแนวคิดสมองเปน็ ฐาน 9
สำ�หรบั ช้นั อนุบาล โรงเรยี นอนุบาลเทศบาลเมอื งรอ้ ยเอด็
ชญานศิ า ประชาโชติ
The Development of a Creative Problem Solving Experience Model According to the Brain Based
Concept for Kindergarten of Roi Et Town Municipality Kindergarten School
Chayanisa Prachachot
การจัดการเรียนร้ภู าษาองั กฤษ โดยใชห้ นังสอื สง่ เสริมการอา่ นเพ่ือพฒั นาความสามารถการอ่านจบั ใจความ 23
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
นงคราญ แมรโ์ รว์
English Learning Management by using Supplementary Books Encouraged Reading to support reading
for Main Idea ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa 4
Nongkran Marrow
การพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรียนร้โู ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝึกทกั ษะเพอ่ื พัฒนา 35
ความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำ�หรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ
วรัชฎา ครองยุติ
Development of Learning Activities by Using DR-TA Technique with Skill Training Sets to
Develop Reading Comprehension Ability for Mutthayomsuksa 6 Students of Foreign Language Department
Warutchada Krongyut
การพัฒนารูปแบบชุดกิจกรรมการเรียนรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกับ การฟงั พดู อ่าน เขียน วชิ าภาษาไทย 46
ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนเทศบาลวัดเหนอื จังหวัดรอ้ ยเอ็ด
ศริ าณี สนน่ั เอือ้
The Development of Learning Activity Kit in Psychomotor Domains Related to Listening, Speaking,
Reading, Writing Thai Language of the 4th Grade Primary Level Students of Wat Nuea
Municipality School, Roi Et Province
Siranee Sanan-aue
การพฒั นารปู แบบการจดั การเรียนรู้ ตามแนวคดิ ห้องเรียนกลับดา้ น (Flipped Classroom) 59
เพอ่ื ส่งเสรมิ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6
อไุ รวรรณ มากพนู
Development of Learning Management Model According to Flipped Classroom Concept to
Promote Analytical Ability of Social Studies, Religion and Culture Department for
Mutthayomsuksa 6 Students.
Uraiwan Magpoon
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรยี นร้บู ูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรคั ติวสิ ต์ 73
เพ่อื สง่ เสริมความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่อื ความเขา้ ใจของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2
สมศกั ดิ์ ปรากฏมาก
The Development of Integrated Instructional Model Based on Social Constructivist Theory to Enhance
English Reading Comprehension Ability of Mattayomsuksa 2 students
Somsak Prakotmak
การพฒั นารูปแบบการจัดการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรูบ้ ูรณาการภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน เทคนิค DEDEE 86
เพือ่ สง่ เสริมทักษะการคดิ วิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบัตขิ องสารของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3
แสงดาว นอ้ ยวรรณะ
DEDEE technique, Inquiry Method Integrated into Local Wisdom for Promoting Primary 3 Students’
Analytical Thinking Skill in Strand 3: Matters and Properties of Matters
Sangdow Noiwanna
สารบญั /CONTENT
การจัดการเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื ส่งเสริมทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษ 98
กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2
รตั นดาวรรณ ชาตรี
Learning management of 3 P techniques using skills training to promote English writing skills Foreign
language learning strand of Mattayom 2
Rattanadawan Chatree
การพัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรียนรูส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบส่อื มลั ตมิ เี ดยี วชิ าภาษาองั กฤษ 106
เรอื่ ง English for Daily Life ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศ
ธิดารตั น์ นคร
Development of Learning Activities Simulations with Multimedia on English for Daily Life for
Matthayomsuksa 5 students, Foreign Language Department.
Thidarat Nakhon
การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรูโ้ ดยใชห้ นงั สอื นทิ านสง่ เสริมคุณธรรมสำ�หรบั เด็กปฐมวยั ชัน้ อนุบาลปที ี่ 3 120
โรงเรียนเทศบาล 3 (บ้านยะกงั ) อำ�เภอเมือง จงั หวดั นราธิวาส
โนรียะ สะมะแอ
The Learning Experiences using Story Books to Promote Morality for Preschool Children, 3rd kindergarten,
Thessaban 3 (Ban Yakang) school, Mueang District, Narathiwat Province
Noreeyah Samail
การจดั ประสบการณ์การเรียนร้แู บบเน้นกระบวนการโดยใชช้ ุดกจิ กรรมสร้างสรรค์ เพอ่ื พัฒนาทกั ษะพ้นื ฐาน 133
ทางวิทยาศาสตร์ สำ�หรับช้ันอนบุ าลปีท่ี 2
นันทนา ธนานศุ ักด ์ิ
The Learning Experiences by using Creative Activity Sets to Develop Basic Science Skills for
kindergarten, 2nd year
Nantana Tananusak
การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นร้โู ดยใชห้ นงั สือคำ�คลอ้ งจองประกอบภาพเพ่ือพัฒนาทกั ษะทางภาษา 146
ด้านการฟงั การพูด ของนักเรียนช้นั อนบุ าลปที ี่ 3 โรงเรียนเทศบาลตำ�บลงมิ (คือเวยี งจ่ำ�)
พรี ยา กติ ติ์วรกุล
The Learning Experiences using a Rhyming Picture Book to Develop Language Skills in
Listening, Speaking, and 3rd kindergarten Students Ngim Municipality School District (Wiang Chum).
Peeraya Kitworakul
การจดั ประสบการณก์ ารเรียนร้โู ดยใช้ชุดกจิ กรรมเกมการศึกษาเพ่ือเตรยี มความพร้อม 159
ทางคณติ ศาสตรส์ ำ�หรบั เดก็ ชัน้ อนุบาลปที ี่ 2
มรู ะ๊ รอเกต ุ
The Learning Experiences by using Educational Game Activity Sets to Prepare Math Readiness for
Kindergarten Children, 2nd Year.
Mura Rokete *
การจัดประสบการณก์ ารเรียนร้โู ดยใชช้ ุดกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ดว้ ยการป้ันนูนตำ่ � เพือ่ พัฒนากลา้ มเนอื้ มัดเลก็ 172
สำ�หรับเดก็ ปฐมวยั ชั้นอนุบาลปที ี่ 1
วิไล กระจบั เงิน
The Learning Experiences by using Creative Art Activity Sets with Low Relief to Develop Small Muscles
forEarly Childhood in 1st Kindergarten.
Wilai Krachapngoen
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผูท้ รงคณุ วุฒปิ ระเมนิ บทความประจ�ำ ฉบบั
ผศ.ประทัย พริ ิยะสรุ วงศ์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชยี งราย
มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม
ผศ.สวุ รรณ อภยั วงศ ์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
ผศ.ดร.สนิ ธะวา คามดษิ ฐ ์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
ดร.สรุ เชต น้อยฤทธิ์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
ผศ.ดร. มนตรี วงษส์ ะพาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผศ.ดร.มานิตย์ อาษานอก มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
ผศ.ดร.ฐาปนี สเี ฉลียว
ดร.รัฐสาน์ เลาหสุรโยธนิ
ดร.เหมมิญช์ ธนปัทมม์ มี ณี
ดร.ธนดล ภสู ฤี ทธิ์
ดร.วทิ ยา วรพนั ธ์
ผอู้ อกแบบปก : สภุ ารัตน์ ลากลุ
ผู่ถ่ายภาพปก : สกุลรตั น์ จงสมชยั
ผู้ออกแบบ/จดั หน้าบทความ : วไิ ลลกั ษณ์ ไหมทอง กรกฎ หงษา กฤษฎา วรวงษ์ ชลธชิ า ดาราก้านตรง ณัฐชนน ศรวี รมย์ ธรี ะชัย ศรพี ลาย พรชติ า ปรางคน์ อก
วราพร ประเสรฐิ สราวฒุ ิ ยอดกูล สพุ รรณกิ าร์ พยุงวงค์ อนชุ า เสือนิน กรกนก เวชไธสง ณัชพล งามทวี อรสิ รา กง่ิ แก้ว
กานต์กมล ต้นทพั ไทย จรญิ ญา ภรู ะพัฒน์ ชษิ ณพุ งศ์ สิงหธวัช พรชติ า วนิ ทะไชย พรชติ า ปรางคน์ อก
8
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การพฒั นารปู แบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ตามแนวคิดสมองเปน็ ฐานสำ� หรบั ช้นั อนุบาล โรงเรียนอนบุ าลเทศบาลเมืองรอ้ ยเอ็ด
******************************************************************************************************
The Development of a Creative Problem Solving Experience Model According to the Brain Based
Concept for Kindergarten of Roi Et Town Municipality Kindergarten School
ชญานศิ า ประชาโชติ *1
Chayanisa Prachachot *1
[email protected] *
ส่งบทความ 28 กุมภาพันธ์ 2562 แกไ้ ข 10 มนี าคม 2562 ตอบรับ 11 มีนาคม 2562
บทคดั ยอ่
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนารูปแบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมอง
เปน็ ฐาน สำ� หรบั ชนั้ อนุบาล โรงเรียนอ นบุ าลเทศบาลเมืองร้อยเอด็ โดยการวจิ ยั และพัฒนา(Research and Develop-
ment) ใน 4 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ ขน้ั ท่ี 1 ศกึ ษาและวเิ คราะหข์ อ้ มลู พนื้ ฐาน เพอ่ื เปน็ แนวทางในการกำ� หนดนยิ าม ความสามารถ
พฤตกิ รรมบง่ ช้ี และแนวทางในการพฒั นาความสามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั
ชั้นอนุบาล ขัน้ ที่ 2 พัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน ส�ำหรับ
ช้ันอนุบาล เพื่อก�ำหนดกรอบแนวคิดโครงสร้างรูปแบบการจัดประสบการณ์ และเครื่องมือประกอบการใช้จากเอกสาร
และงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ทำ� การตรวจสอบความเหมาะสมของรปู แบบโดยผเู้ ชยี่ วชาญ จากนน้ั ทำ� การศกึ ษานำ� รอ่ งถงึ ความ
เป็นไปได้ของรูปแบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ตามแนวคิดสมองเป็นฐานก่อนน�ำไปใช้ทดสอบความ
เหมาะสม และความเปน็ ไปได้ ขน้ั ท่ี 3 ทดลองใชร้ ูปแบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ตามแนวคดิ สมอง
เป็นฐาน ส�ำหรบั ชัน้ อนุบาล โดยใชแ้ บบแผนการวิจัยแบบกำ� หนดกลุ่มควบคมุ โดยมีการทดสอบก่อนและหลงั การใช้รูป
แบบประสบการณอ์ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งตามเวลาทกี่ ำ� หนด (Control Group Interrupted Time Series Design) กลมุ่ ตวั อยา่ ง
เป็นครอู นุบาลจ�ำนวน 3 คน และเด็กอนุบาล จ�ำนวน 74 คน ของโรงเรยี นอนบุ าลเทศบาลเมืองร้อยเอด็ ระยะเวลา 12
สปั ดาห์ และข้นั ท่ี 4 การประเมินประสทิ ธผิ ลของรูปแบบประสบการณก์ ารแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคดิ สมอง
เป็นฐาน ส�ำหรับชนั้ อนบุ าล โดยทำ� การวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณด้วยค่ารอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน และ
ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ โดยการวเิ คราะหเ์ นอื้ หา เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 1) เครอ่ื งมอื การจดั ประสบการณ์ ไดแ้ ก่
รูปแบบประสบการณ์การแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ตามแนวคิดสมองเปน็ ฐาน และ 2) เครือ่ งมอื การประเมนิ โดยแบ่ง
เป็นของครูซ่ึงได้แก่ แบบประเมินความรู้ความเข้าใจของครูอนุบาลเกี่ยวกับรูปแบบประสบการณ์ แบบประเมินความ
สามารถในการเขยี นแผนการจดั ประสบการณ์ และแบบประเมนิ ความสามารถในการจดั ประสบการณ์ สว่ นของเดก็ อนบุ าล
ได้แก่ แบบทดสอบความสามารถ แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบประเมินผลงานความสามารถในการแก้ปัญหาอย่าง
สรา้ งสรรค์ของเดก็ อนุบาล
1 ครชู �ำนาญการพเิ ศษ กลุ่มสาระวชิ าปฐมวัย สังกดั ส�ำนักการศกึ ษาเทศบาลเมอื งร้อยเอ็ด โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมอื งรอ้ ยเอ็ด
1 Senior Professional Level Teachers, Early Childhood Subjects Rot Et Town Municipality Educational Office
Roi Et Municipality Kindergarten
9
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผลการวิจัยพบว่า
1. เดก็ อนบุ าลทไี่ ด้รบั การจัดประสบการณ์ตามรูปแบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคิด
สมองเปน็ ฐาน สำ� หรับช้ันอนุบาล มีความสามารถในการแก้ปญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่ากอ่ น
การจัดประสบการณอ์ ยา่ งมนี ยั สำ� คัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .05
2. เดก็ อนุบาลทไ่ี ดร้ บั การจักประสบการณ์ตามรูปแบบประสบการณก์ ารแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคต์ ามแนวคดิ
สมองเปน็ ฐาน สำ� หรับชนั้ อนบุ าล มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ หลงั การจัดประสบการณส์ งู กว่าเด็ก
อนบุ าลท่ีไม่ได้รับการจดั ประสบการณอ์ ย่างมนี ัยส�ำคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05
3. เดก็ อนบุ าลที่ได้รบั การจดั ประสบการณ์ตามรปู แบบประสบการณก์ ารแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ตามแนวคดิ
สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั ชนั้ อนบุ าล มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ 4 ระยะ คอื กอ่ นการจดั ประสบการณ์
หลงั การจดั ประสบการณค์ รั้งที่ 1 หลงั การจัดประสบการณค์ รง้ั ท่ี 2 และติดตามผลการจัดประสบการณ์ มีพัฒนาการสูง
ขึ้นเปน็ ลำ� ดบั และมคี วามคงทนของพฤตกิ รรมความสามารถในการแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ในระยะติดตามผลการจดั
ประสบการณ์ และพบวา่ เดก็ อนบุ าลเกดิ จินตนาการ ความคดิ สร้างสรรค์ ความมีเหตุผล ในการน�ำความรู้ ทักษะ และ
ประสบการณต์ ามระดบั พัฒนาการมาใชใ้ นการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
4. ครอู นุบาลมคี วามร้คู วามเข้าใจเกยี่ วกับรปู แบบประสบการณอ์ ยู่ในระดบั ดีมาก มคี วามสามารถในการเขียน
แผนการจัดประสบการณ์และมีความสามารถในการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบประสบการณ์ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนอยู่ใน
ระดับมาก และมีความคิดเห็นต่อรูปแบบประสบการณ์ว่ามีความเหมาะสม และอยู่ในระดับมาก เนื่องจากเป็นรูปแบบ
ประสบการณ์ที่มีกระบวนการจัดประสบการณ์ สภาพแวดล้อม และการประเมินท่ีชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ตามสภาพ
จรงิ
ค�ำสำ� คัญ : การแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรค์, การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน, อนบุ าล, ปฐมวัย
Abstract
The purpose of this research is to develop a creative problem solving experience model ac-
cording to the brain based learning for kindergarten of Roi-Et Town Municipality Kindergarten School
by research and development in 4 steps, namely : Step 1, to study and analyze basic data to form a
guideline for determining the definition, ability, indicative behavior and a guideline for developing the
ability to a creative problem solving according to the brain based learning for kindergarten; Step 2, to
develop a creative problem solving experience model according to the brain based learning for kin-
dergarten to define the conceptual framework, structure, experience management model and imple-
menting tools from the related documents and research and verify the suitability of the model by
the experts, then conduct a pilot study of the possibilities of the creative problem solving experience
model according to the brain based learning before testing its feasibility; Step 3, to experiment using
the creative problem solving experience model according to the brain based learning for kindergarten,
by applying a research plan to determine the control group with before and after testing on an un-
interrupted time series design basis. The sample groups consist of 3 kindergarten teachers and 74
kindergarten children from Roi Et Town Municipality Kindergarten School during 12 weeks period; and
Step 4, to evaluate the effectiveness of the creative problem solving experience model according to
the brain based learning for kindergarten by analyzing quantitative data with the percentage, mean,
standard deviation and qualitative data by analyzing the content, the tools used in the research
consisted of 1) tools for organizing experiences, i.e. the creative problem solving experience model
according to the brain based learning and 2) the assessment tools divided into what belong to the
10
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
teacher, i.e. the knowledge and understanding assessment form of the kindergarten teacher in respect
of the experience model, the assessment form for writing capacity on experience management plan
and the assessment form for the ability to organize experiences, what belong to the kindergarten
children, i.e. the ability testing form, the behavior observation form and the assessment form for the
creative problem solving ability of the kindergarten children.
Research findings :
1. The kindergarten children who have been provided with experiences in respect of the
creative problem solving experience model according to the brain based concept for kindergarten
have the ability to solve problems creatively after the experience arrangement higher than before
the experience arrangement with statistical significance level of .05.
2. The kindergarten children who have been provided with experiences in respect of the
creative problem solving experience model according to the brain based concept for kindergarten
have the ability to solve problems creatively after the experience management higher than the kin-
dergarten children who did not receive the experience management with the statistical significance
level of .05.
3. The kindergarten children who have their experiences managed in respect of the creative
problem solving experience model according to the brain based concept for kindergarten have the
ability to solve problems creatively during the 4 phases, i.e. before the experience management, after
the first experience management, after the second experience management and after the follow-up
period of the result of experience management, with higher development progressively and with the
persistence of ability behavior to solve problems creatively in the follow-up period of the result of
the experience management and it is found out that the kindergarten children develop their own
imagination, creativity, reasoning in bringing knowledge, skill and experience based on the develop-
mental level to solve the problem creatively.
The kindergarten teachers have the better knowledge of the experience pattern, have the
ability to write the experience management plan and have the better ability to manage experiences
according to the experience model developed by the researcher and have the right and better attitude
on the experience model due to the fact that it is a clear experience pattern by which an experience
management process, environment and assessment shall be implemented according to the actual
conditions.
Keyword : Problem solving, Creative Thinking, Brain based learning, kindergarten, Childhood
11
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บทนำ�
สังคมในยุคศตวรรษท่ี 21 เป็นสังคมแห่งการ ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนเพอ่ื พฒั นาความสามารถในการ
เปล่ียนแปลงทางวิทยากรและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่าง คดิ เน่อื งจากพบวา่ พฒั นาสตปิ ญั ญาของเดก็ อนบุ าล เปน็
รวดเร็ว คนในสงั คมจำ� เป็นต้องปรับเปลีย่ นเรียนรู้ เพื่อกา้ ว ด้านที่มีผลการประเมินต้องปรับปรุงสูงสุด (ส�ำนักงาน
ทันและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง การเตรียมความพร้อม เลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา 2552 : 132)
คนใหม้ ศี กั ยภาพ ตอ้ งมกี ารวเิ คราะหค์ วามสามารถทจ่ี ำ� เปน็ จากสภาวะระดับสติปัญญาของเด็กอนุบาลท่ีมี
กับการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเข้มแข็ง พร้อมเผชิญกับ แนวโน้มลดลง การด�ำเนินนโยบายการพัฒนาการจัดการ
สภาพแวดล้อมและปญั หาที่หลากหลาย ดังแนวคิดที่กล่าว เรียนรู้เพื่อเสริมสร้างการคิดของเด็กอนุบาล ซ่ึงเป็นดัชนี
ว่าการพัฒนาคนให้มีความสามารถอยู่ในสังคมอย่าง หนึ่งที่ส�ำคัญของพัฒนาการทางสติปัญญานับเป็นความ
สรา้ งสรรคแ์ ละมคี วามสขุ จำ� ตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาทกั ษะพนื้ ส�ำคัญยิ่ง ดังที่มาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ใน
ฐานส�ำหรับอนาคต ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะ หลักสูตรการศึกษาอนุบาล พุทธศักราช 2546 ได้ระบุให้
การคิดวิจารณญาณ ทักษะทางสังคม ทักษะการคิด เด็กอนุบาลมีการพัฒนาการทางสติปัญญาเก่ียวกับการคิด
สรา้ งสรรค์ และทกั ษะการแกป้ ัญหา คือ มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้เหมาะ
การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ อนบุ าลตามพระราชบญั ญตั ิ สมกบั วยั มจี นิ ตนาการ และความคิดสร้างสรรค(์ กระทรวง
การศึกษา พ.ศ. 2542 และทีแ่ ก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ศึกษาธิการ 2547 : 9) ถึงแม้ว่าการคิดแก้ปัญหาอย่าง
2545 หมวด 4 แนวการจดั การศกึ ษาในมาตรา 22 และ 24 สรา้ งสรรคไ์ มไ่ ดร้ ะบไุ วช้ ดั เจนในหลกั สตู ร แตก่ ารแกป้ ญั หา
การจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และ อย่างสร้างสรรค์ถือเป็นความสามารถทางสติปัญญาด้าน
พัฒนาตนเองได้ กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ การคิดรูปแบบหน่ึงที่ประกอบด้วย การแก้ปัญหา (Pro-
ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเตม็ ศกั ยภาพ ดว้ ย blem Solving) และการสรา้ งสรรค์ (Creative) ทส่ี ามารถ
การจดั กระบวนการเรยี นรใู้ หฝ้ กึ ทกั ษะ กระบวนการคดิ การ ฝึกเพื่อท�ำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วยข้อ
จดั การ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกตค์ วามรูม้ า คน้ พบทวี่ า่ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ปน็ สงิ่ จำ� เปน็ สำ� หรบั การแก้
ใช้ เพอื่ ป้องกันและแก้ไขปัญหา นอกจากน้ีแผนการศึกษา ปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งคนในอนาคตควรต้องมี (Traffinger
แห่งชาติ (พ.ศ. 2545-2559) มีเป้าหมายการพัฒนาเด็ก 1995 : 301-312) ในขณะทเ่ี ดก็ อนบุ าลซงึ่ มคี วามพรอ้ มทาง
อนบุ าล (0-5 ป)ี ทกุ คนใหไ้ ดร้ บั การพฒั นาและเตรยี มความ สติปัญญา ทั้งการคิดแก้ปัญหา และคิดสร้างสรรค์ ที่
พร้อม และมีนโยบายการพัฒนาคนไทยทุกคนให้มีทักษะ สามารถน�ำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ท่ีสามารถ
และกระบวนการในการจดั การวเิ คราะห์ และการแกป้ ญั หา เสริมสร้างได้ หากเด็กอนุบาลได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วย
มคี วามใฝร่ ู้ และสามารถประยุกตใ์ ช้ความรไู้ ดอ้ ยา่ งถูกต้อง รปู แบบประสบการณท์ ส่ี อดคลอ้ งกบั วยั และธรรมชาติ การ
เหมาะสม สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเน่ืองเต็มตาม เรยี นรยู้ อ่ มสง่ ผลตอ่ การพฒั นาความสามารถทางสตปิ ญั ญา
ศกั ยภาพ (สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาเอกชน 2533) ใหเ้ ป็นไปอย่างเหมาะสม
การติดตามและประเมินผลการปฏิรูปการศึกษาตามแนว ผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์การ
นโยบายพน้ื ฐานแหง่ รฐั และพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษา พ.ศ. แกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคโ์ ดยการศกึ ษาขอ้ มลู พนื้ ฐานกรอบ
2542 ในประเดน็ ความทว่ั ถงึ ในการกระจายโอกาสทางการ แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กอนุบาล
ศกึ ษาของประชากรวยั 3-6 ปี (3 ลา้ นคน) พบวา่ โอกาสใน ทฤษฎีพัฒนากรทางสติปัญญา การพัฒนารูปแบบการจัด
การได้รับการพัฒนาเด็กอนุบาลอยู่ในช่วงประมาณร้อยล่ะ ประสบการณ์เด็กอนุบาล รูปแบบการแก้ปัญหาอย่าง
90 มแี นวโนม้ ลดลงเรอื่ ย ๆ (สวุ มิ ล วอ่ งวาณชิ และนงลกั ษณ์ สรา้ งสรรค์ ตลอดจนเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การ
วิรัชชัย 2548) จากผลการส�ำรวจสถานการณ์ระดับสติ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ และแนวคดิ การดำ� เนินการวจิ ัย
ปัญญาของเด็กอนุบาลมาประกอบกับการติดตามและ และพฒั นา มาสรา้ งเปน็ รูปแบบการจัดประสบการณ์ การ
ประเมินผลการปฏิรูปการศึกษาที่พบว่าการจัดการศึกษา แก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์สำ� หรับเดก็ อนุบาล อายุ 3-6 ปี
ปฐมวนั ตอ้ งมกี ารปรบั กระบวนการดว้ ยการสง่ เสรมิ การคดิ เพ่ือใช้เป็นแนวการจัดประสบการณ์ในการส่งเสริมความ
จึงจ�ำต้องมีการด�ำเนินนโยบายการจัดการเรียนรู้อนุบาล สามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมอง
เก่ียวกับการวิจัยเพ่ือพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้และ เป็นฐานของเดก็ อนบุ าล
12
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั 4.4 ประเมนิ ความรคู้ วามเขา้ ใจของครอู นบุ าล
การวิจัยคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบ เกยี่ วกบั การจดั ประสบการณก์ ารแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์
การจัดประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตาม ตามแนวคดิ สมองเปน็ ฐานสำ� หรบั เดก็ อนบุ าล ความสามารถ
แนวคดิ สมองเปน็ ฐานสำ� หรบั เดก็ อนบุ าล โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ ในการเขยี นแผนการจดั ประสบการณแ์ ละความสามารถใน
ยอ่ ยดังนี้ การจัดประสบการณ์ของครูอนุบาลตามรูปแบบการจัด
1. เพ่ือศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความ ประสบการณ์ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด
สามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมอง สมองเปน็ ฐานสำ� หรบั เดก็ อนบุ าล อยใู่ นระดบั มากนอ้ ยเพยี ง
เป็นฐานของเด็กอนุบาล ใด และความคิดเห็นของครูอนุบาลท่ีมีต่อรูปแบบการจัด
2. เพอื่ พฒั นารปู แบบการจดั ประสบการณก์ ารแก้ ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ สมองเปน็ ฐานส�ำหรับเด็กอนุบาล
เด็กอนบุ าล
3. เพอ่ื ทดลองใชร้ ปู แบบการจดั ประสบการณก์ าร ขอบเขตดา้ นประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
แกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐานสำ� หรบั 1. ประชากร ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั นี้ ไดแ้ ก่
เด็กอนุบาล 1.1 เด็กอนุบาล อายุ 3-6 ปี ก�ำลังเรียนชั้น
4. เพือ่ ประเมนิ ประสทิ ธผิ ลการใชร้ ูปแบบการจัด อนุบาล 1, 2 และ 3 ของโรงเรียนอ นุบาลเทศบาลเมือง
ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด ร้อยเอ็ด สงั กดั เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั เดก็ อนุบาล โดยมวี ัตถุประสงคย์ ่อย 1.2 ครูอนบุ าล ผู้ปฏิบตั ิการสอนช้นั อนุบาล
ดังนี้ 1, 2 และ 3 ของโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
4.1 เปรยี บเทยี บความสามารถในการแกป้ ญั หา สงั กดั เทศบาลเมืองรอ้ ยเอ็ด
อย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล 2. กลุม่ ตวั อยา่ ง ทใี่ ชใ้ นการวิจยั คร้งั น้ี ไดแ้ ก่
เดก็ อนบุ าลทไ่ี ดร้ บั การจดั ประสบการณก์ ารแกป้ ญั หาอยา่ ง 2.1 เด็กอนุบาล อายุ 3-6 ปี ก�ำลังเรียนช้ัน
สร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับเด็กอนุบาล อนุบาล 1, 2 และ 3 ของโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือง
ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัด รอ้ ยเอ็ด สงั กดั เทศบาลเมอื งรอ้ ยเอ็ด ภาคเรยี นที่ 2 ปกี าร
ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด ศึกษา 2560 ชน้ั เรียนละ 2 ห้อง น�ำมาสุ่มห้องเรียนด้วยวธิ ี
สมองเป็นฐานสำ� หรบั เดก็ อนุบาล การจับฉลาก แบ่งเป็นเด็กอนุบาลที่ได้รับการจัด
4.2 เปรยี บเทยี บความสามารถในการแกป้ ญั หา ประสบการณ์และเด็กอนุบาลที่ไม่ได้รับการจัด
อย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล ประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้
ระหว่างเด็กอนุบาลที่ได้รับการจัดประสบการณ์กับเด็ก ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ
อนุบาลท่ีไม่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัด เดก็ อนบุ าล ดงั น้ี
ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด 2.1.1 เดก็ อนบุ าล อายุ 3-4 ปี กำ� ลงั เรยี น
สมองเป็นฐานส�ำหรับเด็กอนุบาล ก่อนและหลังการจัด ชน้ั อนบุ าล 1 จำ� นวน 23 คน แบง่ เป็นเด็กทีไ่ ดร้ ับการจัด
ประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้ ประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ
เดก็ อนบุ าล เดก็ อนบุ าล จำ� นวน 13 คน และเดก็ อนุบาลที่ไม่ได้รบั การ
4.3 เปรยี บเทยี บความสามารถในการแกป้ ญั หา จัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้
อย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ
เดก็ อนบุ าลทไี่ ดร้ บั การจดั ประสบการณต์ ามรปู แบบการจดั เด็กอนุบาล จ�ำนวน 10 คน
ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด 2.1.2 เดก็ อนบุ าล อายุ 4-5 ปี กำ� ลงั เรยี น
สมองเปน็ ฐานส�ำหรบั เดก็ อนุบาล 4 ระยะ คอื กอ่ นการ ช้นั อนบุ าล 2 จำ� นวน 23 คน แบง่ เปน็ เดก็ ท่ีไดร้ ับการจัด
จดั ประสบการณ์ หลงั การจดั ประสบการณค์ รงั้ ท่ี 1 หลงั การ ประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้
จัดประสบการณ์คร้ังท่ี 2 และติดตามผลการจัด ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ
ประสบการณ์ เด็กอนุบาล จำ� นวน 13 คน และเดก็ อนบุ าลที่ไม่ได้รับการ
13
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ หอ้ งเรยี นละ 1 คน รวมทง้ั ส้ินจำ� นวน 3 คน
เด็กอนุบาล จำ� นวน 10 คน
2.1.3 เดก็ อนบุ าล อายุ 5-6 ปี กำ� ลงั เรยี น ขอบเขตดา้ นระยะเวลาการศึกษาวจิ ยั
ช้นั อนุบาล 3 จ�ำนวน 23 คน แบ่งเป็นเดก็ ทไ่ี ด้รบั การจัด ด�ำเนนิ การศึกษาวจิ ยั ในภาคเรยี นที่ 2 ปกี าร
ประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้ ศึกษา 2560 วันท่ี 9 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันท่ี 5
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ กมุ ภาพนั ธ์ 2561
เดก็ อนุบาล จ�ำนวน 13 คน และเดก็ อนุบาลทีไ่ มไ่ ด้รบั การ
จัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้ วธิ ีด�ำเนินการวจิ ัย
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานส�ำหรับ วธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั การพฒั นารปู แบบประสบการณ์
เด็กอนบุ าล จำ� นวน 10 คน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน
2.2 ครอู นุบาล ผู้ปฏิบตั กิ ารสอนชั้นอนุบาล 1 2 สำ� หรบั ชน้ั อนบุ าล 2 โรงเรยี นอ นบุ าลเทศบาลเมอื งรอ้ ยเอด็
และ 3 ของโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด สังกัด มี 4 ข้ันตอนดงั น้ี
ข้นั ตอนที่ 1 การวจิ ยั (Research : R) เพอ่ื ศึกษาและวเิ คราะหข์ ้อมลู พ้ืนฐาน (Analysis : A) น�ำมาใชเ้ ปน็ แนวทางใน
การกำ� หนดและตรวจสอบนยิ ามความสามารถและพฤตกิ รรมบง่ ช้ี และแนวทางการพฒั นาความสามารถในการแกป้ ญั หา
อย่างสรา้ งสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเดก็ อนุบาลในแตล่ ะด้าน ผูว้ จิ ยั ได้ด�ำเนนิ การดังน้ี
14
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ข้ันตอนท่ี 2 การพัฒนา (Development : D) เพื่อพัฒนารปู แบบการจัดประสบการณก์ ารแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์
ตามแนวคดิ สมองเป็นฐานสำ� หรับเด็กอนุบาล (Design and Develop : D) ผ้วู ิจยั ไดด้ ำ� เนนิ การ ดังน้ี
15
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ขน้ั ตอนที่ 3 การวจิ ยั (Research : R) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดประสบการณก์ ารแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ตาม
แนวคดิ สมองเปน็ ฐานสำ� หรบั เดก็ อนบุ าล (Implement : I) โดยน�ำรปู แบบการจัดประสบการณ์ที่ผ่านการปรับปรงุ และ
แกไ้ ขไปทดลองใช้กบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง ผู้วิจยั ได้ดำ� เนินการดังนี้
16
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ขน้ั ตอนท่ี 4 การพฒั นา (Development : D) เพ่อื ประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของรูปแบบการจัดประสบการณ์การแกป้ ญั หา
อย่างสรา้ งสรรคต์ ามแนวคิดสมองเปน็ ฐานสำ� หรบั เดก็ อนุบาล (Evaluation :E) น�ำขอ้ มลู มาประเมนิ ประสิทธผิ ลของรปู
แบบการจัดประสบการณม์ าตรวจสอบ ปรับปรงุ แก้ไข และตรวจสอบข้ันสุดทา้ ย เพ่ือใหไ้ ดร้ ปู แบบการจัดประสบการณ์
ฉบับสมบรู ณ์ ผูว้ ิจัยได้ด�ำเนินการประเมนิ ดงั นี้
17
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การวิเคราะหข์ ้อมูล 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา
ผวู้ จิ ยั ทำ� การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เกยี่ วกบั นยิ าม ความ อยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน ของเดก็ อนบุ าล
สามารถ และพฤติกรรมบ่งช้ีในแต่ละความสามารถ และ ระหวา่ งเดก็ อนบุ าลทไ่ี ดร้ บั การจดั ประสบการณแ์ ละกลมุ่ ที่
แนวทางการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา อย่าง ไม่ได้รับ การจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัด
สรา้ งสรรค์ตามแนวคดิ สมองเปน็ ฐานของเดก็ อนุบาล ดังน้ี ประสบการณ์ ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ ตามรูป
1. วเิ คราะหข์ อ้ มลู จากการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ นำ� มา แบบการจัดประสบการณ์ โดยใช้ค่ายู (Mann Whitney
วิเคราะห์ด้วยการสร้างข้อสรุปจากการวิเคราะห์เนื้อหา U-test) โดยใช้คา่ ยเู พือ่ ตอบวัตถุประสงคก์ ารวิจัยข้อ 4.2
(Content Analysis) ผู้วจิ ัยน�ำขอ้ มลู ผลการประเมนิ โดยผู้ 3) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา
เชย่ี วชาญเกย่ี วกบั ความสอดคลอ้ งของนยิ าม ความสามารถ อยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน ของเดก็ อนบุ าล
พฤติกรรมบ่งช้ีในแต่ละความสามารถ และแนวทาง การ เดก็ อนบุ าลทไ่ี ดร้ บั การจดั ประสบการณต์ ามรปู แบบการจดั
พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตาม ประสบการณ์ 4 ระยะ คอื กอ่ นการจัดประสบการณ์ หลัง
แนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล มาพิจารณาเกณฑ์ การจดั ประสบการณค์ รงั้ ท่ี 1 หลงั การจดั ประสบการณค์ รง้ั
ความสอดคลอ้ ง (Index of Congruence) ผลการประเมนิ ท่ี 2 และติดตามผลการจดั ประสบการณ์ โดยการค�ำนวณ
ของผเู้ ชยี่ วชาญแตล่ ะทา่ นนำ� มาแปลง เปน็ คะแนน จากสตู ร คา่ เฉลย่ี (%) เพือ่ ตอบวัตถปุ ระสงค์การวิจัยข้อ 4.3
4) ประเมนิ ความรคู้ วามเขา้ ใจของครอู นบุ าลเกยี่ ว
กบั รปู แบบการจดั ประสบการณ์ ความสามารถในการเขยี น
เมอ่ื IOC = ดัชนีความสอดคล้อง แผนการจัดประสบการณ์และความสามารถในการจัด
CR = ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชยี่ วชาญ ประสบการณ์ ของครูอนุบาลตามรูปแบบการจัด
N = จำ� นวนผู้เช่ยี วชาญ ประสบการณ์ และความคิดเห็นของครูอนุบาลที่มีต่อรูป
มีความเหน็ ว่า สอดคลอ้ งกัน กำ� หนดคะแนนเป็น + แบบ การจดั ประสบการณ์ โดยการคำ� นวณคา่ เฉลยี่ (E) และ
มีความเห็นวา่ ไมแ่ น่ใจ ก�ำหนดคะแนนเปน็ 0 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะห์ เพ่ือตอบ
มีความเหน็ ว่า ไม่สอดคลอ้ งกัน กำ� หนดคะแนนเปน็ -1 วัตถุประสงค์การวจิ ยั ข้อ 4.4
จากนั้นน�ำคะแนนประเมินของผู้เช่ียวชาญมาหา
คา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ถา้ คา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ งมี ผลการวจิ ัย
ค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 ขึ้นไป ถือว่า นิยาม ความ 1. เดก็ อนบุ าลทไี่ ดร้ บั การจดั ประสบการณต์ ามรปู
สามารถ พฤติกรรมบ่งช้ีในแต่ละความสามารถ และ แบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตาม
แนวทางการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา อย่าง แนวคดิ สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั ชน้ั อนบุ าล 2 มคี วามสามารถ
สรา้ งสรรคข์ องเด็กอนุบาล สามารถก�ำหนดได้ จากผลการ ในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน
ประเมนิ ได้ค่าดชั นี ความสอดคลอ้ งอยู่ระหว่าง 0.70-0.90 หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์
ซ่ึงแสดงว่านิยาม ความสามารถ และพฤติกรรมบ่งชี ใน อยา่ งมนี ยั สำ� คัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05
แตล่ ะความสามารถ และแนวทางการพฒั นาความสามารถ 2. เดก็ อนบุ าลทไี่ ดร้ บั การจกั ประสบการณต์ ามรปู
ในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน แบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตาม
ของเดก็ อนบุ าล มคี วามสอดคล้องกนั แนวคดิ สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั ชนั้ อนบุ าล 2 มคี วามสามารถ
2. วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอื่ ทดสอบสมมตฐิ านทางสถติ ิ ในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ หลงั การจดั ประสบการณ์
สำ� หรับการวจิ ยั ครงั้ นี้ ผ้วู ิจยั ก�ำหนดไว้ท่รี ะดบั .05 ตามผล สงู กวา่ เดก็ อนบุ าลทไ่ี มไ่ ดร้ บั การจดั ประสบการณอ์ ยา่ งมนี ยั
การวิเคราะหด์ ังนี้ ส�ำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05
1) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา 3. เดก็ อนบุ าลทไี่ ดร้ บั การจดั ประสบการณต์ ามรปู
อยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน ของเดก็ อนบุ าล แบบประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตาม
เดก็ อนบุ าลทไ่ี ดร้ บั การจดั ประสบการณต์ ามรปู แบบการจดั แนวคดิ สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั ชนั้ อนบุ าล 2 มคี วามสามารถ
ประสบการณ์ ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามรูป ในการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน
แบบการจัดประสบการณ์โดยใช้ค่ายู (Mann Whitney 4 ระยะ คือ ก่อนการจัดประสบการณ์ หลังการจัด
U-test) เพอ่ื ตอบวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ข้อ 4.1 ประสบการณ์คร้ังท่ี 1 หลังการจัดประสบการณ์คร้ังที่ 2
และตดิ ตามผลการจดั ประสบการณ์ มพี ฒั นาการสงู ขนึ้ เปน็
18
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ลำ� ดบั และมคี วามคงทนของพฤตกิ รรมความสามารถในการ นอกห้องเรียนที่ไม่ซ�้ำ แบบเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนส่ิง
แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ในระยะติดตามผลการจัด แวดล้อม เป็นวิธีกระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็น
ประสบการณ์ และพบวา่ เดก็ อนบุ าลเกดิ จนิ ตนาการ ความ น�ำไปสู่ การสำ� รวจ ค้นคว้า และปฏบิ ตั กิ ารแก้ปัญหาอย่าง
คดิ สร้างสรรค์ ความมเี หตผุ ล ในการน�ำความรู้ ทกั ษะ และ สรา้ งสรรค์ การทำ� งานดว้ ยการเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ มสี ว่ นรว่ ม
ประสบการณ์ตามระดับพัฒนาการมาใช้ในการแก้ปัญหา จากกิจกรรมระดมสมอง (Brainstorming) เพื่อให้เกิด
อย่างสรา้ งสรรค์ แนวคดิ สำ� คญั รว่ มกนั เปน็ พฒั นา และกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ มคี วาม
4. ครอู นบุ าลมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั รปู แบบ พยายามคดิ ในวธิ กี ารทแ่ี ตกตา่ งกนั และมปี รมิ าณความคดิ
ประสบการณอ์ ยใู่ นระดบั ดมี าก มคี วามสามารถในการเขยี น ทม่ี ากขนึ้ โดยครมู กี ารใชค้ ำ� ถามปลายเปดิ กระตนุ้ การคดิ ให้
แผนการจัดประสบการณ์และมีความสามารถในการจัด กบั เดก็ พรอ้ มกบั นำ� แนวคดิ ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ดว้ ยวธิ กี าร เชน่
ประสบการณ์ตามรูปแบบประสบการณ์ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึน การสำ� รวจ การทดลอง การสงั เกตและการลงมอื ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื
อยใู่ นระดบั มาก และมคี วามคดิ เหน็ ตอ่ รปู แบบประสบการณ์ ให้ได้ค�ำตอบ ท่ีสนับสนุนแนวคิดที่เกิดจากการท�ำงานร่วม
วา่ มคี วามเหมาะสม และอยูใ่ นระดบั มาก เนอื่ งจากเป็นรปู กันของกลุ่ม
แบบประสบการณท์ ม่ี กี ระบวนการจดั ประสบการณ์ สภาพ 2. การพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์การ
แวดลอ้ ม และการประเมนิ ทชี่ ดั เจน สามารถนำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ด้ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน
ตามสภาพจรงิ ส�ำหรับเดก็ อนุบาล
ซงึ่ ผลการวจิ ยั สรปุ วา่ รปู แบบการจดั ประสบการณ์
อภิปรายผล การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน
1. จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน สำ� หรับเดก็ อนุบาล มีความเหมาะสม และอยู่ในระดับมาก
จากแหลง่ ข้อมูลเอกสาร และแหลง่ ข้อมลู บคุ คลเกีย่ วกบั สามารถน�ำไปใช้การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา
การแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน อย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล
ส�ำหรับเดก็ อนบุ าล อย่างมีประสิทธิภาพ เน่ืองจาก เป็นรูปแบบการจัด
ผลจากการศกึ ษาและวเิ คราะหข์ อ้ มลู พนื้ ฐานจาก ประสบการณ์ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การเรียนรู้ และ
แหลง่ ขอ้ มูลเอกสาร พบวา่ การแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ความพร้อมตามวัย เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกตาม
ตามแนวคิดสมองเป็นฐานเป็นแนวคิดใหม่ที่จ�ำเป็นต้อง ศกั ยภาพดว้ ยการใหเ้ ดก็ นำ� ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นตนเอง มา
พัฒนาให้เกิดขึ้นกับบุคคล ในสังคม การเผชิญปัญหาและ ใช้แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เด็กอนุบาลทุกคนสามารถ
อุปสรรคในการด�ำรงชีวิตต้องได้รับการแก้ไขด้วย เรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองไดต้ ามธรรมชาติ และเตม็ ศกั ยภาพ
กระบวนการ หรอื วธิ กี ารทผ่ี า่ นการคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ ยอ่ ม ในสภาพแวดลอ้ มทเี่ ปน็ อสิ ระ โดยมสี งิ่ แวดลอ้ มทเ่ี หมาะสม
ทำ� ให้ผลการแกป้ ัญหาเกิดประโยชนแ์ ละตอบสนอง ความ ช่วยสนับสนุน การเรียนรูข้ องเดก็ อนุบาล ข้อสรปุ เกี่ยวกบั
ต้องการได้ตามเป้าหมาย วิทยาการความก้าวหน้าทาง แนวคิดของรูปแบบการจัดประสบการณ์ดังกล่าว มา
เทคโนโลยี ท�ำให้บุคคลต้องเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และ ประกอบกบั ผลการประเมนิ ความเหมาะสมโดยผเู้ ชย่ี วชาญ
สร้างสรรค์อย่างต่อเน่ืองด้วยการใช้ความคิดในการแก้ไข พบว่า รปู แบบการจัดประสบการณ์ มีความเหมาะสม และ
ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ คอื สร้างสรรค์กลไกหรือประโยชน์ สอดคล้องอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยของดัชนีความ
ได้หลายอย่าง การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา สอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 ซ่ึงรูปแบบการจัด
อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดกระบวนการหรือความคิดเชิง ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด
กา้ วหนา้ ทผี่ วู้ จิ ยั ใชเ้ ปน็ แนวทาง การพฒั นาเดก็ อนบุ าล ดว้ ย สมองเป็นฐานสำ� หรับเด็กอนบุ าล (PISAA) ประกอบดว้ ย 5
วธิ กี ารสรา้ งความคดิ ตามแนวทางของออสบอรน์ (Osborn ขน้ั ตอน คอื ขน้ั ท่ี 1 การกำ� หนดปญั หา (Problem Finding)
1963) ท่ีเรียกว่า “Nine Steps Checklist Method” ข้นั ท่ี 2 การคน้ หาความคิด (Idea Finding) ข้นั ท่ี 3 การ
ประกอบดว้ ยการนำ� ไปใชอ้ ยา่ งอนื่ ประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งอน่ื ลอง เลอื กกลวธิ กี ารแกป้ ญั หา (Strategy Finding) ขนั้ ท่ี 4 การ
เปลย่ี นแปลงดู ลองขยายใหญ่ ลองหดใหเ้ ลก็ ลง ลองใช้ทด ลงมอื ปฏบิ ตั ิ (Action Finding) และขั้นท่ี 5 การประเมิน
แทน ลองจัดระเบียบใหม่ ซ่ึงแนวคิดนี้ ได้ถูกน�ำมาจัด ผล (Assessment Finding)
ประสบการณ์ด้วยการกระตุ้นจากสถานการณ์ท้ังในและ
19
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
3. การประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของรปู แบบการจดั ท่ีได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัด
ประสบการณก์ ารแกป้ ญั หา อยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ ประสบการณ์ชั้นอนุบาล มีความสามารถในการแก้ปัญหา
สมองเป็นฐานสำ� หรบั เดก็ อนุบาล อยา่ งสร้างสรรค์ของเด็กอนบุ าล หลงั การจัดประสบการณ์
ผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาความคิดเห็นเกี่ยวกับรูป สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัด
แบบ การจัดประสบการณว์ ่ามคี วามเหมาะสมอย่ใู นระดบั ประสบการณ์ สามารถอภิปรายได้ว่า รูปแบบการจัด
มาก สามารถพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่าง ประสบการณม์ ีความสอดคล้องกับเด็กอนบุ าล อายุ 3-6 ปี
สร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาลได้ใน ถงึ เด็กวัยนม้ี คี วามอยากรอู้ ยากเหน็ เรม่ิ ส�ำรวจส่งิ แวดล้อม
สภาพจริง เน่ืองจากความสามารถ ในการแก้ปัญหาอย่าง พยายามทำ� ความเขา้ ใจและอภปิ รายโดยใชส้ งิ่ ทต่ี นเองเหน็
สร้างสรรค์เป็นความสามารถท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับการใช้แก้ ไดส้ มั ผสั และมคี วามเชือ่ หรือรู้สกึ ได้ (นติ ยา คชภักดี 2543
ปญั หาท่ีบคุ คล ในอนาคตควรตอ้ งมี ประกอบกับธรรมชาติ : 20) กจิ กรรม ตามรปู แบบการจดั ประสบการณ์ มลี กั ษณะ
การเรียนรู้และความพร้อมของเด็กอนุบาล ท่ีมีทั้งความ ของการเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ผา่ นประสาท
สามารถในการแกป้ ญั หาและคดิ สรา้ งสรรค์ รปู แบบการจดั สัมผัสตามความสนใจของเด็กแต่ละคน ในสภาพแวดล้อม
ประสบการณ์ถูกสร้างข้ึน บนพ้ืนฐานเกี่ยวกับพัฒนาการ ท่ีเอื้อต่อการเรยี นรู้ มีครคู อยแนะนำ� ช่วยเหลอื และมสี อ่ื ท่ี
และการเรยี นรมู้ าประกอบกับหลักการและแนวคดิ ในการ เพียงพอและกระตุ้นความสนใจแก่เด็ก กิจกรรมดังกล่าว
จัดประสบการณ์เด็กอนุบาล กิจกรรมตามรูปแบบการจัด นบั เปน็ การสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาทสี่ อดคลอ้ งกบั
ประสบการณ์ จงึ เปดิ กวา้ ง และใหอ้ สิ ระแกเ่ ดก็ ในการปฏบิ ตั ิ แนวคดิ ทวี่ า่ การจดั สง่ิ แวดลอ้ มทดี่ ี และสงิ่ แวดลอ้ มทดี่ ยี อ่ ม
ตามศักยภาพของแต่ละบุคคลที่เป็นไปตามวัยมาประกอบ เกิดจากบทบาทของครูที่ไตร่ตรองการเรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็น
กบั ธรรมชาตกิ ารเรยี นรขู้ องเดก็ อนบุ าลทเ่ี ชอ่ื วา่ เดก็ ทกุ คน อุปสรรคขัดขวาง และคอยเฝ้าสังเกต เพ่ือให้เด็กสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ด้วย การจัดกิจกรรมผ่าน อยใู่ นภาวะพรอ้ มในการพฒั นาตนเอง (ครสิ ตนิ วารด์ 2549)
ประสบการณ์ท่ีหลากหลาย มีค�ำถามกับเด็กให้มากตอบ 4.2 การเปรียบเทียบความสามารถในการแก้
คำ� ถามดว้ ยความเตม็ ใจ กระตนุ้ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และ ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั
สร้างจินตนาการเพื่อน�ำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ มีการน�ำ เด็กอนุบาล ระหว่างเด็กอนุบาลท่ีได้รับการจัด
ทฤษฎี พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาทม่ี แี นวคดิ เกยี่ วกบั การแก้ ประสบการณ์ และเด็กอนุบาลที่ไม่ได้รับการจัด
ปัญหามาประยุกต์ใช้ในการสร้างรูปแบบ การจัด ประสบการณต์ ามรปู แบบการจดั ประสบการณ์ กอ่ นและ
ประสบการณ์ที่สอดคล้องกับเด็กอนุบาล ประกอบด้วย ห ลั ง ก า ร จั ด ป ร ะ ส บ ก า ร ณ ์ ต า ม รู ป แ บ บ ก า ร จั ด
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget) บรู ประสบการณ์ เดก็ อนบุ าลทไี่ ดร้ บั การจดั ประสบการณแ์ ละ
เนอร์ (Bruner) และไวกอ็ ตสก้ี (Vygotsky) มาก�ำหนดเปน็ กลุ่มที่ไม่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบ การจัด
ความสามารถ ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของเด็ก ประสบการณ์ กอ่ นการจดั ประสบการณต์ ามรปู แบบการจดั
อนุบาล 5 ดา้ น คือ ความสามารถด้านความเขา้ ใจปญั หา ประสบการณ์ มีความสามารถ ในการแก้ปัญหาอย่าง
ดา้ นการสบื คน้ ขอ้ มลู ดา้ นการนำ� เสนอวธิ กี ารแกป้ ญั หาดา้ น สร้างสรรค์ของเด็กอนุบาลใกล้เคียงกัน แต่หลังการจัด
การปฏบิ ตั ิ และดา้ นการประเมินผล ประสบการณ์ ตามรปู แบบการจดั ประสบการณ์ พบวา่ เดก็
4. การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัด อนุบาลท่ีได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบ การจัด
ประสบการณก์ ารแกป้ ญั หา อยา่ งสรา้ งสรรคต์ ามแนวคดิ ประสบการณ์ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่าง
สมองเปน็ ฐานสำ� หรบั เดก็ อนบุ าล สร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล สูง
โดยนำ� ผลจากการจดั ประสบการณใ์ ชร้ ปู แบบการ กวา่ เดก็ อนบุ าลทไ่ี มไ่ ดร้ บั การจดั ประสบการณต์ ามรปู แบบ
จัดประสบการณ์ มาอภิปรายดังน้ี การจัดประสบการณ์ สามารถอภิปรายได้ว่า รูปแบบการ
4.1 การเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ จัดประสบการณ์เป็นรูปแบบการจัดประสบการณ์ท่ี
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน ของ สอดคลอ้ ง กบั เดก็ อนบุ าล อายุ 3-6 ปี ซงึ่ พฒั นาการทางสติ
เด็กอนุบาลท่ีได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการ ปัญญาของเด็กวยั นเ้ี ปน็ ไปอย่างรวดเรว็ ท้งั ในดา้ นการรับรู้
จัดประสบการณ์ กอ่ นและหลงั การจดั ประสบการณต์ าม การเรียนรู้ และการแกป้ ญั หา ซึง่ เพียเจท์ (Paget) เรยี กว่า
รปู แบบการจดั ประสบการณ์ ผลการวจิ ยั พบวา่ เดก็ อนบุ าล ระยะแก้ปัญหา ด้วยการรับรู้ ซึ่งความคิดรวบยอดและ
20
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
เหตผุ ลมกี ารพฒั นาขน้ึ เปน็ ไปตามวยั เดก็ เรมิ่ มคี วามคดิ ฝนั แบบการจัดประสบการณ์ไปใช้ ตลอดจนการติดตามและ
และมีความจ�ำท่ีแม่นย�ำ สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิด ประเมนิ ผล
ข้ึนพร้อมกันมาเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่มีบทบาท 2. ครูอนุบาลควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเกี่ยว
ส�ำคัญต่อการช่วยให้ความคิดความเข้าใจและเหตุผลของ กบั รูปแบบการจดั ประสบการณ์ อย่างละเอียด ใหค้ รบทุก
เดก็ มคี วามถกู ตอ้ ง (นติ ยา คชภกั ดี 2543 : 35-36) กจิ กรรม ขั้นตอน และอาจมีการขยายผลความรู้ความเข้าใจไปสู่ครู
ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์ที่ผู้สอนพิจารณา จัด อนุบาล ท้งั ภายในและภายนอกสถานศกึ ษา
กิจกรรมให้มีความเหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยและมี 3. ครูอนุบาลต้องฝกึ ทกั ษะการใชค้ ำ� ถาม เทคนคิ
ความซบั ซอ้ นมากขนึ้ ครแู ละเดก็ มกี ารปฏสิ ัมพนั ธ์ใกลช้ ิด การระดมสมอง และแนวทาง ในการก�ำหนดปัญหาให้
รว่ มคดิ และวางแผนการเรยี นรรู้ ว่ มกนั ในแตล่ ะขน้ั ตอนดว้ ย สอดคลอ้ งความตอ้ งการและความสนใจของเดก็
เหตผุ ล 4. การจัดสื่อและสภาพแวดล้อมต้องมีการปรับ
4.3 การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหา เปล่ียนอย่างต่อเน่ืองให้กระตุ้น และสร้างแรงจูงใจกับเด็ก
อย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็ก เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และตอ้ งการคน้ ควา้ หาคำ�
อนบุ าลทีไ่ ดร้ ับการจัดประสบการณต์ ามรูปแบบ การจดั ตอบ
ประสบการณ์ 4 ระยะ คอื กอ่ นการจดั ประสบการณ์ หลงั 5. ครูอนุบาลต้องศึกษาและท�ำความเข้าใจ
การจัดประสบการณ์คร้ังที่ 1 หลังการจัดประสบการณ์ พฤตกิ รรมความสามารถในการแก้ปญั หา อย่างสรา้ งสรรค์
คร้ังที่ 2 และระยะติดตามผลการจัดประสบการณ์ เด็ก ส�ำหรับเด็กอนุบาลในแต่ละพฤติกรรมและเคร่ืองมือการ
อนุบาลที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัด ประเมนิ ผลอยา่ งละเอยี ด เพอื่ สามารถทำ� การประเมนิ ผลได้
ประสบการณ์ มพี ฒั นาการสงู ขนึ้ อยา่ งเปน็ ลำ� ดบั และมกี าร ตามวัตถุประสงค์
คงทนของความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ข้อเสนอแนะเพอื่ การวจิ ยั ต่อไป
ของเด็กอนุบาลในระยะติดตามผลการจัดประสบการณ์ 1. ควรท�ำการศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัด
สามารถอภปิ รายผลไดว้ า่ ธรรมชาติ ของเดก็ อนบุ าลมคี วาม ประสบการณ์การแก้ปัญหา “อย่างสร้างสรรค์ส�ำหรับเด็ก
สามารถทางสมองในการแกป้ ญั หา ซงึ่ เพยี เจทท์ ไี่ ดเ้ นน้ เรอื่ ง อนุบาลท่ีมีต่อพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเดก็ อนุบาล
นี้ว่าเป็นหัวใจ ส�ำคัญของพัฒนาการทางสติปัญญา การท่ี 2. ควรท�ำการศึกษาและพัฒนารูปแบบการจัด
ครสู ามารถจัดประสบการณท์ ีส่ อดคล้อง และเหมาะสมกับ ประสบการณ์การแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ส�ำหรับเด็ก
วัย และพฒั นาการย่อมเป็นการสง่ เสริมความสามารถทาง อนุบาล แบบผู้ปกครองมสี ว่ นรว่ ม
สมองในการแกป้ ญั หา (พรรณี ช. เจนจติ 2545 : 137) การ 3. ควรทำ� การศึกษารูปแบบการจัดประสบการณ์
จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ฝึกแก้ปัญหาตามขั้นตอนด้วย การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน
กิจกรรมท่ีเน้นการใช้ประสาทสัมผัสและการปฏิบัติจริง สำ� หรับเดก็ อนุบาล โดยศึกษาตวั แปรท่อี าจมีผลกระทบตอ่
ทำ� ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การฝกึ ฝนใหม้ กี ารคดิ หาเหตผุ ลและพยายาม ความสามารถในการแกป้ ญั หา อยา่ งสรา้ งสรรคส์ ำ� หรบั เดก็
แก้ปัญหาจากส่งิ ท่ีเปน็ รูปธรรม อนุบาล เช่น การศึกษา อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้
ปกครอง และสภาพแวดล้อมทางสังคมของเด็กอนุบาล
ขอ้ เสนอแนะ เป็นตน้
จากผลการวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการจัด 4. ควรน�ำรูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้
ประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิด ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของต่าง
สมองเปน็ ฐาน สำ� หรบั เดก็ อนบุ าล ผวู้ จิ ยั มขี อ้ เสนอแนะดงั นี้ ประเทศ มาทดลองใช้กบั เดก็ ไทย
ข้อเสนอแนะเพือ่ การน�ำผลการวจิ ยั ไปใช้งาน 5. ควรทำ� การศกึ ษาความสามารถในการแกป้ ญั หา
1. ฝ่ายวิชาการของสถานศึกษาควรมกี ารประชุม อย่างสร้างสรรค์ตามแนวคิดสมองเป็นฐานของเด็กอนุบาล
ทำ� ความเขา้ ใจกบั ครอู นบุ าล เกย่ี วกบั แนวทางในการนำ� รปู ในกลุ่มเด็กทม่ี คี วามสามารถพิเศษทางสตปิ ัญญา
21
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เอกสารอ้างองิ
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2552). รปู แบบการจดั กิจกรรมการเรียนร้สู �ำหรบั เด็กปฐมวยั อายุ 35 ปี ตามสมรรถนะของเดก็
ปฐมวัยในการพฒั นาตามวัย. กรงุ เทพฯ: พรกิ หวานกราฟฟิค.
คริสตนิ วาร์ด, (2549). คมู่ ือครสู ำ� หรบั เสรมิ สรา้ งสมองของเด็กวยั เรียน กรงุ เทพฯ : พิมพ์พนิ ิจ.
______. (2549). คู่มือส�ำหรับเสรมิ สรา้ งสมองของเด็กวยั เรียนระดับประถมศึกษา-อุดมศึกษา. กรุงเทพฯ: แฮบปแ้ี ฟมิลี่
นติ ยา คชภักด,ี (2543). ข้ันตอนการพัฒนาของเด็กอนุบาล ตัง้ แต่ปฏสิ นธิ- 5 ป.ี กรงุ เทพฯ: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
พรรณี ช. เจนจิต. (2545). จติ วทิ ยาการเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ : เมธที ปิ ส์.
สวุ มิ ล วอ่ งวาณชิ และนงลกั ษณ์ วริ ัชชยั . (2548). รายงานการวิจยั เรื่อง การติดตามและประเมนิ ผลการปฏริ ูป
การศึกษาตามแนวนโยบายพืน้ ฐานแหง่ รฐั และพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาต.ิ กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
สำ� นักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. (2533). คมู่ ือประเมนิ พฒั นาการเด็กอนุบาลช้นั ปที ี่ 1. กรงุ เทพฯ: ศรเี มอื ง
การพมิ พ.์
สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาแหง่ ชาติ. (2552). รายงานความก้าวหนา้ การจดั การเรียนรรู้ ะดับอนุบาล ปี
2551-2552. กรุงเทพฯ : เพลิน สตูดโิ อ.
Osborn, A.F. (1963). Creative Imagination. 3rd ed. New York: Charles Scribers Sons.
Treffinger, D.J. (1995). “Creative Problem Solving: Overview of Educational Implications.”
Educational Psychology Review 7,3 : 301-312.
ณัฐชนน ศรีวรมย์ : ผ้อู อกแบบจัดหนา้ บทความ
22
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การจดั การเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื ส่งเสรมิ การอ่าน
เพือ่ พัฒนาความสามารถการอ่านจบั ใจความ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
******************************************************************************************************
English Learning Management by using Supplementary Books Encouraged Reading to
Support Reading for Main Idea Ability, Foreign Language Department (English) Prathomsuksa 4
สง่ บทความ 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 นงคราญ แมร์โรว์ *1 ตอบรบั 27 กมุ ภาพันธ์ 2562
Nongkran Marrow *1
[email protected] *
แกไ้ ข 26 กมุ ภาพันธ์ 2562
บทคัดย่อ
การวจิ ยั ผลการจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจ
ความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ครั้งนม้ี วี ตั ถุประสงค์ 1) เพ่อื สร้าง
และศึกษาประสิทธภิ าพการจัดการเรยี นร้ภู าษาองั กฤษ โดยใชห้ นังสอื ส่งเสรมิ การอา่ น เพ่อื พัฒนาความสามารถการอ่าน
จับใจความ กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพือ่
เปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรยี นทีม่ ีการจดั การเรยี นรภู้ าษาอังกฤษ โดยใช้หนงั สือสง่ เสริมการอา่ น เพอื่
พฒั นาความสามารถการอา่ นจับใจความ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4
ก่อนและหลงั เรยี น 3) เพื่อศึกษาความสามารถการอ่านจบั ใจความของนกั เรียนที่มกี ารจดั การเรยี นรภู้ าษาอังกฤษ โดย
ใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา
อังกฤษ) ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 4) เพือ่ ศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ีตอ่ การจดั การเรียนรภู้ าษาอังกฤษ โดยใช้
หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ)
ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศกึ ษาครัง้ นี้ ได้แก่ นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรยี น อบจ.บา้ น
ตลาดเหนือ(วันครู 2502) ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2559 จ�ำนวน 26 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกล่มุ (Cluster
Random Sampling) เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรภู้ าษาองั กฤษ หนงั สอื ส่งเสรมิ การ
อ่านภาษาองั กฤษ เพอ่ื พัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
จำ� นวน 5 เรอ่ื ง แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น แบบทดสอบความสามารถการอา่ นจบั ใจความ และแบบสอบถาม
ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพอื่ พฒั นาความสามารถ
การอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์
ข้อมูล คอื หาคา่ เฉลย่ี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และทดสอบคา่ ที (t – test dependent)
1 ครูข�ำนาญการ โรงเรียน อบจ.บา้ นตลาดเหนือ (วนั ครู 2502) ต�ำบลตลาดเหนอื อำ� เภอเมอื งภเู ก็ต จงั หวดั ภูเก็ต
Dist1ricPtr,oPfehsuskioentaPlroLevivnecleT. eachers PPAO Bantaladnua (Wankro 2502) School, Taladnua Subdistrict, Mueang Phuket
23
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผลการวจิ ยั
1. ประสทิ ธภิ าพของหนังสอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาอังกฤษ เพ่อื พฒั นาความสามารถการอา่ นจับใจความ กลุ่ม
สาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 พบวา่ มีประสทิ ธิภาพ (E1/E2) 85.38/90.86
สูงกวา่ เกณฑก์ ำ� หนด (80/80)
2. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นดว้ ยการจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื
สง่ เสรมิ การอา่ น เพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั
ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 พบวา่ คะแนนหลังเรยี นด้วยหนงั สอื สง่ เสริมการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่าน
จบั ใจความ ทง้ั 5 เรื่องสงู กวา่ คะแนนกอ่ นเรียน อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .01 และคะแนนผลสัมฤทธิท์ างการ
เรยี นหลังเรยี น ด้วยหนงั สือสง่ เสรมิ การอ่านภาษาองั กฤษ เพื่อพฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความสูงกวา่ คะแนน
กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนยั ส�ำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01
3. ความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนที่มตี ่อการจดั การเรียนรภู้ าษาอังกฤษ โดยใชห้ นังสือส่งเสริม
การอ่าน เพอ่ื พัฒนาความสามารถการอา่ นจับใจความ กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ช้ันประถม
ศกึ ษาปที ่ี 4 ในภาพรวมมคี วามสามารถอยใู่ นระดับมาก ( X = 3.86)
4. ความพงึ พอใจของนกั เรียนทีม่ ตี ่อการจัดการเรยี นรู้ภาษาอังกฤษ โดยใชห้ นงั สือส่งเสริมการอ่านเพ่อื พัฒนา
ความสามารถการอา่ นจับใจความ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ใน
ภาพรวม มีความพงึ พอใจมากท่ีสดุ ( X = 4.64)
ค�ำสำ� คญั : ความสามารถในการอ่านจบั ใจความ
Abstract
The objectives of English Learning Management by using Supplementary Books Encouraged
Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa
4,PAO Bantaladnue(Wankroo 2502) school.The purposes of this study were 1) to develop and find out
the efficiency of the supplementary English Learning Management by using Supplementary Books
Encouraged Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language department (English)
Prathomsuksa 4, with the efficiency value of 80/80 2) to compare the academic achievement students
before and after the English Learning Management by using Supplementary Books Encouraged Read-
ing to support reading for Main Idea ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa 4, 3)
to learning about reading for Main Idea ability of students byEnglish Learning Management by using
Supplementary Books Encouraged Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language
department (English) Prathomsuksa 4, 4) to study the students’ satisfaction about English Learning
Management by using Supplementary Books Encouraged Reading to support reading for Main Idea
ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa 4. The sample of the study were 26
students in Prathomsuksa 4 at PAO Bantaladnue(Wankroo 2502) school in the second semester of
academic year 2016, gained by cluster random sampling. The data collection instrument were 12
lesson plans, 5 supplementary books encouraged reading to support reading for main idea ability,
foreign language department (English) Prathomsuksa 4, 30 items English reading test and questionnaire
about the student’s satisfaction after using English Learning Management by using Supplementary
Books Encouraged Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language department
(English) Prathomsuksa 4. The research statistics used were percentage, mean, standard deviation,
and t-test (Dependent Sample).
24
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
The reseach result find that:
1. English Learning Management by using Supplementary Books Encouraged Reading to support
reading for Main Idea ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa 4 found average of
the efficiency was totally eaqchuiaelv(eEm1/Ee2n)t85st.u38d/e9n0t.s86behfigohreeratnhdanacftreitrertihae(8l0e/a8r0n)i.ng
2. The academic by English Learning
Management by using Supplementary Books Encouraged Reading to support reading for Main Idea
ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa 4 was significantly at the .01 level which
found that the students use English Learning Management by using Supplementary Books Encouraged
Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language department (English) Prathomsuksa
4 has academic achievement after the learning higher than before the learning was significantly at
the .01 level.
3. Reading for main Idea ability of English Learning Management by using Supplementary Books
Encouraged Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language department (English)
Prathomsuksa 4 after the learning higher than before the learning was significantly at the .01 level (
X = 3.86).
4. The students’ satisfaction by using English Learning Management by using Supplementary
Books Encouraged Reading to support reading for Main Idea ability, Foreign language department
(English) Prathomsuksa 4 was at the high level ( X = 4.64) .
Keywords : The Reading for Main Idea ability.
บทนำ�
การศึกษาเป็นปัจจัยท่ีจ�ำเป็น มีประโยชน์ย่ิงต่อ ทจ่ี �ำเปน็ ตอ่ ชวี ิตไดแ้ ก่ ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะในการ
การดำ� รงชวี ติ ของมนษุ ย์ และมคี วามสำ� คญั ไมย่ งิ่ หยอ่ นไป สื่อสาร ด้านการพูด การเขียน คิดค�ำนวณ คิดวิเคราะห์
กว่าปัจจัยพื้นฐานอืน่ ๆ ซึ่งไดแ้ ก่ อาหาร ทอ่ี ยู่อาศยั เครอ่ื ง สังเคราะห์ด้วยเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ ตลอดจนมีความรู้
นงุ่ หม่ และยารกั ษาโรคหากประชาชนไทยกลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ ในศาสตร์สาขาต่างๆที่จะใช้ในการด�ำรงชีวิต ส่วนด้าน
หรอื ทัง้ หมดขาดการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน กเ็ ท่ากบั ว่าชีวติ ขาด คุณค่าน้ันหมายถึง มีจิตใจอันงดงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ส่ิงจ�ำเป็นที่ชีวิตขาดไม่ได้ ชีวิตก็จะตกอยู่ในภาวะยากเข็ญ คุณธรรม จรยิ ธรรม อนรุ กั ษ์สืบสานเอกลักษณ์ของท้องถน่ิ
ดอ้ ยคณุ ค่า ขาดความสมบรู ณ์ ขาดคุณภาพและขาดความ และวฒั นธรรมอนั ดีงามของชาติ ในนโยบาย และแผนการ
ปกตสิ ขุ ท่ีสามัญชนพงึ ไดร้ ับ (กรมวชิ าการ. 2552 ก : 15) จัดการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน 12 ปี ของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารได้
แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 10 (พ.ศ. ก�ำหนดวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้ส�ำเร็จการศึกษาข้ันพ้ืนฐานมี
2550 - 2554) ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั การศกึ ษาโดยเสรมิ สรา้ ง การพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณแ์ ละ
ความรคู้ วามเขา้ ใจ และกำ� หนดแนวปฏบิ ตั ทิ ชี่ ดั เจนเกยี่ วกบั สังคมเหมาะสมกับวัย มีความรู้คู่คุณธรรมท่ีด�ำรงชีวิต อยู่
การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ ได้ ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขบนพื้นฐานของความเป็น
ทดลองปฏิบัติจริงสามารถแสวงหา และสร้างความรู้ด้วย ไทย อย่างมศี ักดศ์ิ รี ภาคภมู ิใจ สามารถพง่ึ ตนเอง มีทกั ษะ
ตนเองที่น�ำไปสู่การรู้จักคิดวิเคราะห์ ส่งเสริมให้ครู แสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง มีทักษะเบ้ืองต้นในการ
พฒั นาการเรยี นรู้ เขา้ ใจศกั ยภาพและสตปิ ญั ญาของผเู้ รยี น ประกอบอาชีพ มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลรู้เท่ากันการ
การจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานเป็นการจัด เปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนในสังคมโลก มีจิตส�ำนึก ท่ีถูกต้อง
ประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความสามารถ ทักษะและคุณคา่ ทางการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี
25
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีความมุ่งม่ันในการ ไมเ่ หมาะสมของผสู้ อน ซงึ่ ทำ� ใหก้ ารอา่ นของผเู้ รยี นลม้ เหลว
อนรุ กั ษส์ บื สานวฒั นธรรมไทย และภมู ปิ ญั ญาของไทย (กรม และไม่ได้เน้นให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการอ่านอย่าง
วชิ าการ. 2552 ก: 15-16) แทจ้ รงิ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2552) ไดก้ ำ� หนดหลกั สตู ร การศกึ ษาคน้ ควา้ ครงั้ น ้ี ผรู้ ายงานสรา้ งหนงั สอื สง่
แกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 กำ� หนด เสริมการอ่านภาษาอังกฤษ เพอื่ แกป้ ญั หา และพัฒนาการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 สาระกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษา อา่ นให้ดีขึ้น เพราะหนังสอื สง่ เสรมิ การอ่านภาษาอังกฤษท่ี
ต่างประเทศมีความคาดหวังว่า เมื่อนักเรียนเรียนภาษา ดีย่อมส่งผลให้นักเรียนเกิดความสามารถในการอ่านและ
ต่างประเทศอย่างต่อเน่ือง จะมีเจตคติท่ีดีต่อภาษาต่าง นิสัยรักการอ่านหนังสือมากย่ิงข้ึน สุวิทย์ มูลค�ำ และ
ประเทศ สามารถใชภ้ าษาตา่ งประเทศสอื่ สารในสถานการณ์ สุนันทา ประเสริฐ (2554 : 87) ทั้งน้ีเน่ืองจากการเรียน
ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อใน ภาษาที่สองสามารถเรียนรู้ภาษาได้จากข้อมูลทางภาษาท่ี
ระดับสูงข้ึน รวมท้ังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราว ได้รับ ซ่ึงข้อมูล ที่จะท�ำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ภาษา
วัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก สามารถ เพม่ิ ขน้ึ ไดน้ นั้ ควรเปน็ ขอ้ มลู ทใ่ี ชภ้ าษาในระดบั สงู กวา่ ความ
ถ่ายทอดความคิด และวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้ รทู้ างภาษา ทนี่ กั เรยี นมอี ยเู่ ลก็ นอ้ ย เพราะโดยทวั่ ไปมนษุ ย์
อยา่ งสรา้ งสรรค์ การจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษในปจั จบุ นั เรยี นรภู้ าษาเพมิ่ เตมิ อยตู่ ลอดเวลา จากภาษาทไ่ี ดร้ บั ฟงั หรอื
มจี ดุ มงุ่ หมายทสี่ ำ� คญั คอื การปลกู ฝงั และสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี น อ่าน ส่ิงที่เป็นปัญหาในการอ่านของนักเรียนอีกประการ
มีทักษะในด้านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนและ หนงึ่ คอื ครขู าดเทคนคิ วธิ กี ารสอนทเ่ี หมาะสมและความนา่
สามารถนำ� ความรทู้ ไี่ ดร้ บั ไปใชเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำ� สนใจ ครไู มไ่ ดว้ เิ คราะหน์ กั เรยี นเปน็ รายบคุ คล จากงานวจิ ยั
วันได้โดยเฉพาะทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มีความส�ำคัญ ของทวศี กั ด ิ์ ไชยมาโย และคณะ (2554) ศกึ ษาปญั หาการ
ในการแสวงหาความรู้ คุรรุ ักษ์ ภิรมยร์ กั ษ์ (2552 : 66-68) ใชเ้ ทคนคิ การสอนการอา่ นจบั ใจความภาษาองั กฤษของครู
ได้กลา่ วว่า การอ่านเป็นทกั ษะ ทมี่ คี วามส�ำคัญอย่างยิง่ ต่อ ผสู้ อน ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 สาํ นกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา
วถิ ชี วี ติ ของคนในสงั คมโลกปจั จบุ นั คอื ชว่ ยใหผ้ ทู้ เี่ ขา้ ถงึ การ ประถมศึกษานครพนม พบว่าเทคนิคการสอนอ่านจับใจ
อ่าน สามารถด�ำเนินชีวิตได้ตามที่ตนเองต้องการมีความ ความภาษาอังกฤษ ครูส่วนใหญ่สอนโดยให้นักเรียนเข้าใจ
เขา้ ใจสงั คมโลก และสามารถอยใู่ นสงั คมโลกไดอ้ ยา่ งมคี วาม ความหมายของคําศัพท์ใหม่ก่อนที่จะสอนเน้ือหา ในบท
สุข แม้สงั คมโลกจะเขา้ ถงึ สารสนเทศที่กา้ วหน้าการอา่ น เรียน ซึ่งพบปัญหาในการสอนว่า นักเรียนไม่สามารถ
กย็ งั คงความสำ� คญั อยู่ตลอดเวลา จดจําคําศัพท์ เรียงพยัญชนะ และสระแต่ละตวั ได้ รองลง
ปัญหาที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ มา คือใช้เวลาในการสอนมาก นกั เรียนชอบให้ครสู อนโดย
ในประเทศไทยที่ผ่านมา คือการสอนท่ีเน้นไปในเรื่อง การแปลคํามากกว่า ส่วนเทคนิคการสอนอ่านจับใจความ
โครงสร้างประโยคและไวยากรณ์ มากกว่าการน�ำภาษา ภาษาอังกฤษท่ีครูส่วนใหญ่ไม่ใช้ คือ สอนให้นักเรียนอ่าน
องั กฤษไปใชจ้ รงิ ในชวี ติ ประจำ� วนั ทวา่ ในดา้ นการอา่ นแลว้ เรื่องส้ันโดยครูน�ำประโยคมาสลับย่อหน้าใหม่เพ่ือให้
แทบไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจัง เช่น ในด้านการอ่าน นกั เรยี นเรยี บเรยี งใหมใ่ หถ้ กู ตอ้ ง ซง่ึ มสี าเหตมุ าจาก ครขู าด
เพอ่ื จบั ใจความ การอา่ นเพอ่ื หารายละเอยี ดและจดุ ประสงค์ แบบฝึกท่ีนำ� มาใหน้ กั เรยี นฝึกอ่าน ครขู าดทกั ษะ และไม่
ของผู้เขียน หรือแมแ้ ตก่ ารอา่ นเพือ่ ความบนั เทิง การเรียน ม่ันใจในการสอน ดังนั้นหนังสือส่งเสริมการอ่านภาษา
รู้ภาษาต่างประเทศส่ิงท่ีส�ำคัญอย่างย่ิง คือ การติดต่อ องั กฤษทสี่ รา้ งขนึ้ ตอ้ งมคี วามยากงา่ ย เหมาะสมกบั นกั เรยี น
สอื่ สาร การแสวงหาข้อมลู เพ่มิ เติม สามารถส่อื สารกบั ชาว ไมย่ าก จนเกินไป และควรเปน็ สง่ิ ทน่ี กั เรียนคุ้นเคย เนือ้ หา
ต่างประเทศได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและม่ันใจ (กรม สาระการเรียนรู้ต้องหลากหลาย มีความสมดุลและ
วชิ าการ. 2551 : 1) สอดคล้องกับผล การเรียนรู้ท่ีคาดหวังของการเรียน ผู้
จากการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติข้ันพื้น รายงานจงึ นำ� หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษมาใชก้ บั
ฐานหรือท่ีเรียกกันว่า O-NET พบว่า ผลวัดระดับความรู้ นักเรยี น แบบฝกึ หัดมีค�ำศัพท์ โครงสรา้ งภาษาไมย่ ากเกนิ
ความคดิ และทกั ษะการอา่ นวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรยี น ไป เน้ือเร่ืองอ่านง่ายเข้าใจได้รวดเร็ว มีภาพประกอบน่า
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ปพี .ศ.2557 มรี ะดบั คะแนนเฉลยี่ ตำ่� สนใจซง่ึ จะมผี ลทำ� ใหก้ ารเรยี นการสอนประสบผลสำ� เรจ็ ยง่ิ
เป็นล�ำดับท่ี 2 รองจากวิชาคณิตศาสตร์ การที่ทักษะการ ขึ้น
อ่านของผู้เรียนอยู่ในระดับต�่ำ จนท�ำให้เกิดปัญหาในการ ผรู้ ายงานเปน็ ครผู สู้ อน กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษา
อา่ นมาจากหลาย ปัจจยั ส่วนหนง่ึ เปน็ เพราะวิธกี ารสอน ที่ ต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4
26
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
โรงเรียน อบจ.บ้านตลาดเหนือ(วันครู 2502) องค์การ เพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการ
บรหิ ารสว่ นจงั หวัดภเู กต็ ซึง่ เปน็ เมืองท่องเท่ยี วอนั ดับต้นๆ เรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปี
ของประเทศ มีท่องนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในสถานที่ ท่ี 4 หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน
ต่างๆ อาทิ รา้ นคา้ ร้านอาหาร และการคมนาคม ขนส่ง
ภาษาอังกฤษจึงมีความส�ำคัญมากในการติดต่อสื่อสารใน ขอบเขตของการศกึ ษา
ชวี ิตประจำ� วัน และในส่วนของทางโรงเรียน ครู ผู้บริหาร 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ผปู้ กครองจงึ ใหค้ วามสำ� คญั และร่วมมือในการจดั กจิ กรรม ประชากรทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาคร้งั นี้ ได้แก่ นักเรยี น
การเรยี นร้ภู าษาอังกฤษเปน็ อยา่ งดี แต่ยงั ประสบปญั หาใน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน อบจ.บ้านตลาดเหนือ
ด้านการอ่านของนักเรียน นักเรียนไม่เห็นประโยชน์และ (วันครู 2502) กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ความสำ� คญั ของการอา่ นภาษาองั กฤษเทา่ ทคี่ วร ไมส่ ามารถ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ภเู กต็ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา
นำ� ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ ได้ ดงั นนั้ ผรู้ ายงานจงึ มคี วามสนใจทจ่ี ะ 2559 ประชากรทงั้ หมด 104 คน จำ� นวน 4 ห้อง หอ้ งละ
น�ำเนื้อหาจากสอ่ื ต่างๆ ใกลต้ วั นกั เรยี น และสามารถนำ� ไป 26 คน โดยคละความสามารถเกง่ ปานกลางและอ่อน
ใช้จริงในชีวิตประจ�ำวันน�ำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่
อังกฤษ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เพ่ือพัฒนาความ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียน อบจ.บา้ นตลาด
สามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ ง เหนอื (วันครู 2502) กองการศกึ ษาศาสนา และวฒั นธรรม
ประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ภเู กต็ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา
อบจ.บา้ นตลาดเหนอื (วนั ครู 2502) ตอ่ ไป 2559 จำ� นวน 26 คน ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบแบง่ กลมุ่ (Clus-
ter Random Sampling)
วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา 2. เน้ือหา
1. เพ่ือสร้างและศึกษาประสิทธิภาพการจัดการ เนื้อหาท่ีใช้ในการศึกษาเป็นหนังสือส่งเสริมการ
เรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เพื่อ อ่านภาษาอังกฤษ เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจ
พัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการ ความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา
เรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปี อังกฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ทส่ี รา้ งขน้ึ มีประสทิ ธภิ าพ
ท่ี 4 ตามเกณฑ์ 80/80 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 จ�ำนวน 5 เรอ่ื ง ได้แก่
2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ เลม่ ท ่ี 1 เรอ่ื ง CHILD SAFETY ON THE INTERNET
นักเรียนโดยใช้ การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้ เลม่ ท ี่ 2 เรอ่ื ง HARMFUL PILLS
หนังสอื ส่งเสริมการอา่ น เพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ น เลม่ ท ี่ 3 เร่อื ง ROAD SIGNS
จับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา เลม่ ท ี่ 4 เรื่อง SAVE WATER
อังกฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 กอ่ นและหลังเรียน เลม่ ท่ี 5 เรื่อง WHY THE WORLD WARMER ?
3. เพื่อศึกษาความสามารถการอ่านจับใจความ 3. ตวั แปรท่ีศกึ ษา
ของนักเรียนท่ีใช้ การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้ 3.1 ตัวแปรอิสระ ไดแ้ ก่ การจัดการเรยี นรภู้ าษา
หนังสือสง่ เสรมิ การอ่าน เพ่ือพัฒนาความสามารถการอา่ น อังกฤษ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เพื่อพัฒนาความ
จับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา สามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ ง
อังกฤษ) ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 ประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
4. เพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การ 3.2 ตัวแปรตาม แบ่งเปน็ ดังน้ี
จดั การเรยี นร้ภู าษาอังกฤษ โดยใชห้ นังสือส่งเสริมการอา่ น 3.2.1 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการ ของนักเรียน จากการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้
เรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปี หนงั สอื สง่ เสริมการอ่าน เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่าน
ที่ 4 จับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา
องั กฤษ) ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
สมมตฐิ านการศกึ ษา 3.2.2 ความสามารถการอา่ นจบั ใจความ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีการ ของนักเรียน ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้
จัดการเรียนรภู้ าษาอังกฤษ โดยใช้หนังสือส่งเสรมิ การอา่ น หนังสือสง่ เสริมการอา่ น เพือ่ พัฒนาความสามารถการอ่าน
27
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา สามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ ง
อังกฤษ) ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 กำ� หนดเปน็
3.2.3 ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ แบบประมาณคา่ 5 ระดับ คือ
การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการ ระดับ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจมากท่สี ดุ
อ่าน เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่ม ระดับ 4 หมายถึง มีความพงึ พอใจมาก
สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชั้น ระดบั 3 หมายถึง มีความพงึ พอใจปานกลาง
ประถมศึกษาปที ี่ 4 ระดับ 2 หมายถึง มีความพงึ พอใจนอ้ ย
4. ระยะเวลา ระดบั 1 หมายถงึ มีความพงึ พอใจน้อยท่ีสุด
ระยะเวลาท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ 20 ตุลาคม การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
2559 - 30 มนี าคม 2560 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2559
เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย เพอ่ื หาประสทิ ธภิ าพของการจดั การเรยี นรภู้ าษา
1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้ องั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพื่อพัฒนาความ
หนังสือส่งเสริมการอ่าน เพอ่ื พฒั นาความสามารถการอ่าน สามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้
จับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษา ภาษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ช้นั
อังกฤษ) ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 จ�ำนวน 12 แผน จัด ประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีสร้างข้ึน ผู้รายงานได้นำ�
กิจกรรมการเรยี นรู้ 5 ขน้ั คอื ข้นั นำ� เข้าสู่บทเรยี น Warm
up ขน้ั นำ� เสนอ Presentation ขน้ั การใชภ้ าษา Practice หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งแบบ
ขัน้ ฝึก Production และขนั้ สรปุ Wrap up
1.2 หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อ ทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ดำ�เนินการ ดงั น ้ี
พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความกลมุ่ สาระการเรยี น ขั้นตอนการทดลอง
รู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 4
ทีส่ รา้ งขึน้ จ�ำนวน 5 เรือ่ ง ไดแ้ ก่ 1. ให้กล่มุ ตัวอย่าง ซ่งึ ได้แก่ นักเรียนช้นั ประถม
เลม่ ท ่ี 1 เร่อื ง CHILD SAFETY ON THE INTERNET ศกึ ษาปที ่ี 4 จ�ำ นวน 26 คน ท�ำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
เลม่ ท ่ี 2 เรอ่ื ง HARMFUL PILLS ทางการเรียนก่อนเรียน และตรวจผลการทำ�แบบทดสอบ
เล่มที่ 3 เรอื่ ง ROAD SIGNS โดยนำ�กระดาษคำ�ตอบมาตรวจใหค้ ะแนน ขอ้ ทีต่ อบถูกให้
เลม่ ที่ 4 เรื่อง SAVE WATER 1 คะแนน ข้อท่ีตอบผดิ หรอื ไม่ตอบหรือตอบมากกว่าหนึ่ง
เล่มที่ 5 เรือ่ ง WHY ITHE WORLD WARMER ?
1.3 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นโดย ตวั เลอื กในขอ้ เดยี วกนั ให้ 0 คะแนน เกบ็ คะแนนทดสอบกอ่ น
ใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เพ่ือพัฒนาความสามารถการ เรยี น ไวเ้ ปรยี บเทยี บกบั คะแนนทดสอบหลงั เรยี น
อ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 2. ผรู้ ายงานชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงคข์ องการทดลองและวธิ ี
(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 เปน็ ปรนยั ชนดิ เลอื ก การใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพื่อพัฒนาความสามารถการ
ตอบ (Multiple Choice) 4 ตัวเลอื ก จำ� นวน 30 ขอ้ ขอ้ อ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาอังกฤษ) ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ให้นักเรียนทราบ
ละ 1 คะแนน 30 คะแนน
1.4 แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจ
ความ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านเพ่ือพัฒนาความ 3. ผรู้ ายงานด�ำ เนนิ การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยหนงั สอื สง่ เสรมิ
สามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ ง การอา่ นภาษาองั กฤษ เพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจ
ประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 หาคา่ ความ ความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
ยากง่ายของข้อสอบ (p) ค่าอำ� นาจจำ� แนกของขอ้ สอบ (r) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 จ�ำ นวน 5 เรอ่ื ง
และหาค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบทดสอบใน 4. หลงั จากนกั เรยี นไดศ้ กึ ษาหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น
แต่ละฉบับ โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ริชาร์ดสัน เพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการ
(บุญชม ศรสี ะอาด. 2549 : 103) เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชั้นประถมศึกษา
1.5 แบบทดสอบวดั ความสามารถการอา่ นจบั ใจ ปที ่ี 4 ครบทง้ั 5 เรอ่ื งแลว้ ใหน้ กั เรยี นท�ำ แบบทดสอบวดั ผล
ความ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาความ สัมฤทธ์ิ ทางการเรียนหลังเรียนที่สร้างขึ้น ตรวจผลการ
28
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ท�ำ แบบทดสอบ โดยน�ำ กระดาษค�ำ ตอบมาตรวจใหค้ ะแนน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ันประถม
ขอ้ ทตี่ อบถกู ให้ 1 คะแนน ขอ้ ทต่ี อบผดิ หรอื ไมต่ อบหรอื ตอบ ศกึ ษาปที ่ี 4 ใชก้ ารวเิ คราะหห์ าประสทิ ธภิ าพดา้ นกระบวนการ
มากกว่าหนงึ่ ตวั เลือก ในขอ้ เดยี วกนั ให้ 0 คะแนน และหาประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยใชเ้ กณฑ์ 80/80 ของสตู ร
5. ประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นรภู้ าษา E1/E2 (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ, 2550:139)
องั กฤษโดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นเพอ่ื พฒั นาความสามารถ 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิ
การอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ทางการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่ได้ จากการ ทำ�แบบ
(ภาษาองั กฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยน�ำ แบบสอบถาม ทดสอบระหว่างเรียน เม่ือคิดเป็นร้อยละแล้วได้ 80 หรือ
ไปสอบถามนักเรียนกลุ่มตวั อยา่ ง สงู กว่า
6. นำ�ข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่ได้ จากการ ทำ�แบบ
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ทดสอบหลงั เรยี น เมอื่ คดิ เปน็ รอ้ ยละแลว้ ได้ 80 หรอื สงู กวา่
1. ประสทิ ธภิ าพของหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษา
องั กฤษเพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความกลมุ่ สาระ
การหาประสทิ ธิภาพของกระบวนการใช้สตู รดงั นี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ, 2550:139)
E1 = x 100
E2 = x 100
เมอ่ื E1 = ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
E2 = ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
Sc = คะแนนรวมของแบบทดสอบระหว่างเรียน
SF = คะแนนรวมของแบบทดสอบหลงั เรียน
N = จ�ำ นวนผเู้ รียน
A = คะแนนเต็มของแบบทดสอบระหว่างเรยี น
B = คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลงั เรียน
29
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ชน้ั ประถม
นักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจดั การเรยี นรภู้ าษา ศกึ ษาปที ่ี 4 พบวา่ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) 85.38/90.86
องั กฤษโดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นเพอ่ื พฒั นาความสามารถ เปน็ ไปตามเกณฑท์ ่ีกำ�หนดไว้
การอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระ การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ
(ภาษาอังกฤษ) ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ทผ่ี รู้ ายงานสรา้ งขน้ึ 2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นกอ่ นเรยี น
วเิ คราะหโ์ ดยการหาคา่ เฉลย่ี (X ) คา่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และหลังเรยี นด้วยการจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื
(S.D.) และเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี น สง่ เสรมิ การอา่ นเพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ
ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการทดสอบค่าสถิติที (t-test กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชั้น
dependent) ประถมศึกษาปีท่ี 4 พบว่าคะแนนหลังเรียนด้วยหนังสือ
ส่งเสริมการอ่านภาษาองั กฤษ เพอ่ื พฒั นาความสามารถการ
3. ความสามารถการอ่านจับใจความ ก่อนเรียน อา่ นจบั ใจความ ทง้ั 5 เรอ่ื งสงู กวา่ คะแนนกอ่ นเรยี น อยา่ งมนี ยั
และหลังเรียนในหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นแต่ละเรื่อง เพื่อ ส�ำ คญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01 และคะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการ
พัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการ เรยี นหลงั เรยี น ดว้ ยหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ เพอ่ื
เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ชั้นประถมศึกษา พัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความสูงกว่าคะแนน
ปที ี่ 4 หาคา่ ความยากงา่ ยของขอ้ สอบ (p) คา่ อ�ำ นาจจ�ำ แนก ก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสำ�คญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .01
ของขอ้ สอบ (r) และหาคา่ ความเทย่ี ง (Reliability) ของแบบ
ทดสอบในแตล่ ะฉบบั โดยใชส้ ตู ร KR-20 ของคเู ดอรร์ ชิ ารด์ สนั 3. ความสามารถการอา่ นจบั ใจความของนกั เรยี นท่ี
(บญุ ชม ศรีสะอาด. 2549 : 103) มตี อ่ การจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น
เพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการ
4. ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การจดั การเรยี น เรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปี
รภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพ่ือพัฒนา ท่ี 4 ในภาพรวมมคี วามสามารถอยใู่ นระดบั มาก ( Χ = 3.86)
ความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีความสามารถมาก
ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ันประถมศึกษาปี ท่ีสุด ไดแ้ ก่ ข้อ 7 อ่านออกเสยี งไดช้ ัดเจนลงมา ได้แก่ ขอ้
ท่ี 4 วเิ คราะหโ์ ดยการหาค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าส่วนเบีย่ งเบน 4 สามารถบอกล�ำ ดบั เรอื่ งได้ และข้อทม่ี คี ่าเฉล่ียน้อยที่สุด
มาตรฐาน (S.D.) และแปลความหมายตามเกณฑ์ของ ข้อ 10 อ่านตะกกุ ตะกกั
กลมุ่ (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 100) โดยใชเ้ กณฑ์ดงั นี้
4. ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ การจดั การเรยี น
คา่ เฉลยี่ ความพึงพอใจ รภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นเพ่ือพัฒนาความ
4.51 – 5.00 หมายถึง มากท่ีสดุ สามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา
3.51 – 4.50 หมายถงึ มาก ต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 ในภาพ
2.51 – 3.50 หมายถึง ปานกลาง รวม มคี วามพึงพอใจมากที่สดุ ( Χ = 4.64) เมอ่ื พิจารณา
1.51 – 2.50 หมายถงึ นอ้ ย เป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีความพึงพอใจมากท่ีสุด ได้แก่
1.00 – 1.50 หมายถงึ น้อยทีส่ ดุ ข้อ 6 หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษฝึกให้นักเรียน
จบั ใจความส�ำ คญั ไดง้ า่ ยขน้ึ รองลงมาได้แก่ ข้อ 1 หนังสือ
สรุปผล ส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ ทำ�ให้เข้าใจบทเรียนได้ดีข้ึน
จากการจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ อภิปรายผล
เสรมิ การอา่ น เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ัน จากผลการทดลอง อภิปรายผลได้ดงั น้ี
ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ทผี่ รู้ ายงานไดพ้ ฒั นาขนึ้ สรปุ ผลไดด้ งั น้ี
1. การจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่
1.ประสทิ ธภิ าพของหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษา เสรมิ การอา่ น เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ
องั กฤษ เพ่อื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ัน
30
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ทผ่ี รู้ ายงานสรา้ งขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ที่มีการ
85.38/90.86 คอื ผเู้รยี นเกดิ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งเรยี นเฉลย่ี รอ้ ยละ จัดการเรียนร้ภู าษาอังกฤษ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน
85.38 และมคี ะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี นเฉลย่ี รอ้ ยละ 90.86 เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระ
แสดงวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ทก่ี �ำ หนด สามารถ การเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้นั ประถม
นำ�ไปใช้เป็นส่อื ในการเรียนร้ไู ด้ เน่ืองจากได้สร้างหนังสือ ศึกษาปีที่ 4 ทผ่ี รู้ ายงานสรา้ งขน้ึ มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
ส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ เพ่ือพัฒนาความสามารถ หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ ทรี่ ะดบั
การอ่านจับใจความ ตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด คุณลักษณะ .01 โดยการทดสอบดว้ ยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหลงั เรยี นใน
ที่พึงประสงค์ของหลักสูตร และจุดประสงค์การเรียนรู้ใน แตล่ ะเรอ่ื งและแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นกอ่ น
รายวชิ าภาษาองั กฤษ มกี ารตรวจพิจารณา ปรบั ปรุง แกไ้ ข เรียนหลังเรียน ซง่ึ เปน็ ไปตามสมมติฐานทต่ี ง้ั ไว้ เนอ่ื งจาก ได้
ความถูกตอ้ ง ความเหมาะสม ความสอดคล้องของหนังสอื รบั การออกแบบกจิ กรรมทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้ พรอ้ มทง้ั เตรยี ม
กบั วตั ถุประสงค์ของการสอน สาระสำ�คัญ เนอื้ หา การจัด การแกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ และสรา้ งบรรยากาศใหน้ า่ เรยี น จดั
กจิ กรรมการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล จากผู้เชยี่ วชาญ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ ไปตามขน้ั ตอนทก่ี �ำ หนดในแผนการ
ทั้ง 5 ท่าน กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรทู้ ต่ี อ่ เนอ่ื ง ฝกึ ฝน จดั การเรยี นรู้และสอ่ื การสอน มกี ารเสรมิ แรงอยา่ งเหมาะสม อกี
ค�ำ ศพั ท์ การเรียงลำ�ดับเหตุการณ์ และสรุปใจความสำ�คัญ ทง้ั แบบฝกึ ในหนงั สอื มคี วามหลากหลาย ผเู้ รยี นสามารถศกึ ษา
นอกจากนห้ี นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ ไดม้ คี �ำ ชแ้ี จง คน้ หาค�ำ ตอบไดด้ ว้ ยตนเอง ซง่ึ ท�ำ ใหผ้ เู้ รยี นตง้ั ใจเรยี นและเรยี น
ทช่ี ดั เจนเขา้ ใจงา่ ย มีแบบฝึกทส่ี อดคลอ้ งกบั บทอา่ น สรา้ ง อย่างกระตือรือร้นส่งผลให้ผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
แรงจงู ใจและกระตนุ้ ความสนใจของผเู้รยี นเปน็ อยา่ งดี ตลอดจน สงู ขน้ึ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ อุบลวรรณ จติ บรรจง
มรี ปู เลม่ ภาพประกอบทส่ี วยงาม สอดคล้องกับงานวิจัยของ (2552) พบว่า ผู้เรียน ที่เรียนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการ
อุบลวรรณ จิตบรรจง (2552) ศึกษาการพัฒนาหนงั สอื สง่ อ่าน มีผลสัมฤทธิ์การอ่านสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัย
เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ ชดุ Be Love Local In Our Town สำ�คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.01 งานวิจัยของ พรศรี ยอดสุดา
ส�ำ หรบั ผเู้รยี น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี3 โรงเรยี นสามบอ่ วทิ ยา อ�ำ เภอ (2554) ศกึ ษาการใชห้ นงั สอื สง่ เสริมการอา่ นภาษาอังกฤษ
ระโนด จงั หวดั สงขลา พบวา่ หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษา ชดุ Amazing Langsuan สำ�หรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษา
อังกฤษ ชดุ Be Love Local In Our Town ส�ำ หรบั ผเู้ รยี น ปที ่ี 1 โรงเรยี นเมอื งหลงั สวน อ�ำ เภอหลงั สวน จงั หวดั ชมุ พร
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 มปี ระสทิ ธภิ าพ 81.36/85.43 ซง่ึ สงู กวา่ พบวา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการอา่ นจับใจความภาษาอังกฤษของ
เกณฑ์ 80/80 ทก่ี �ำ หนดไว้ งานวจิ ยั ของ นริ มล ศริ ชิ ยั (2555) นักเรียน ทเ่ี รยี นโดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ
ศกึ ษาการใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ ชดุ รอบตวั ชดุ Amazing Langsuan หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมี
เรา ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นอนบุ าลมโนรมย(์ วดั ศรสี ทิ ธ์ิ นยั ส�ำ คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 งานวจิ ยั ของ เกษราภรณ์ วงั ใจ
สวุ รรณวฒั นะ) ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั นาท ฟู (2556) พบวา่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่
พบวา่ หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ ชดุ รอบตวั เรา มี ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และงาน
ประสทิ ธภิ าพ 86.75/86.64 ซง่ึ สงู กวา่ เกณฑท์ ก่ี �ำ หนด 80/80 วจิ ยั ของ สมศรี หวนั สมนั (2556) ศกึ ษาการพฒั นาหนงั สอื สง่
งานวจิ ยั ของพรหมลขิ ติ เสนาโนฤทธ์ิ (2551)ศกึ ษาการพฒั นา เสรมิ การอา่ นวชิ าภาษาองั กฤษ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรยี น
หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ สำ�หรับนักเรียนช้ัน สวา่ งแดนดนิ จงั หวดั สกลนครส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา
ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านหนองจานบุลาน พบว่า ประถมศกึ ษาสกลนคร เขต 2 พบวา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ สำ�หรับนักเรียนชั้น ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ทเ่ี รยี นโดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ
ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรยี นหนองจานบุลาน ที่สรา้ งข้นึ มี การอา่ นวชิ าภาษาองั กฤษ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 หลงั เรยี นสงู กวา่
ประสิทธภิ าพเทา่ กบั 86.78/84.84 ซ่งึ สูงกวา่ เกณฑ์ท่ตี ง้ั ไว้ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ ทีร่ ะดับ .01
และงานวิจัยของ เกษราภรณ์ วังใจฟู (2556) ศึกษาการ
ใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาองั กฤษ ส�ำ หรบั นกั เรยี นชน้ั 3. ความสามารถการอา่ นจบั ใจความของนกั เรยี นท่ี
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรยี นบา้ นออ้ น พบวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพ สงู มตี อ่ การจดั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น
กวา่ เกณฑ์ 80/80 ทกุ เรอ่ื ง เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) ช้ันประถม
31
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ศึกษาปีท่ี 4 ในภาพรวม มีความสามารถอยู่ในระดับมาก ชยั นาท พบวา่ นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจหนังสือสง่ เสริมการอ่าน
เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีความสามารถมาก ภาษาองั กฤษอยใู่ นเกณฑม์ ากทส่ี ดุ ซงึ่ เปน็ ไปตามสมมตฐิ าน
ที่สดุ ไดแ้ ก่ ขอ้ 7 อา่ นออกเสยี งไดช้ ดั เจน รองลงมา ได้แก่ ทต่ี งั้ ไว้ งานวจิ ยั ของสมยศ ฟงุ้ เฟอ่ื ง (2555) ศกึ ษาการพฒั นา
ข้อ 4 สามารถบอกลำ�ดับเรื่องได้ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อย หนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ ชุดท้องถ่ินของเรา
ท่ีสุด ข้อ 10 อ่านตะกุกตะกัก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด สำ�หรบั นักเรียน ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนวดั ขนุ ซอ่ ง
ของ กรมวชิ าการ (2554 : 188) ไดก้ ลา่ วถงึ ความส�ำ คญั ของ ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาจนั ทบรุ ี เขต 1 พบวา่ นกั เรยี น
การอา่ นจบั ใจความวา่ เปน็ การอา่ นทด่ี มี ีประสิทธิภาพ จะ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 นักเรียนมีความพึงพอใจโดยภาพ
ตอ้ งอา่ นแลว้ จบั ใจความได้ สรปุ สาระส�ำ คญั ของเรอื่ งทอ่ี า่ น รวมอย่ใู นระดบั มาก และงานวจิ ัยของ พรหมลขิ ิต เสนาโน
ได้ และสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของจไุ รรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ ฤทธิ์ (2556) ศกึ ษาการพฒั นาหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษา
และบาหยนั อม่ิ ส�ำ ราญ (2552 : 42) กลา่ วถงึ ความส�ำ คญั อังกฤษ ส�ำ หรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรยี นบา้ น
ของการอา่ นจบั ใจความวา่ การอา่ นจบั ใจมคี วามส�ำ คญั ตอ่ การ หนองจานบลุ าน พบวา่ นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจตอ่ การเรยี น
ด�ำ รงชวี ติ มนษุ ยใ์ นสงั คม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในยคุ ปจั จบุ นั ซง่ึ เปน็ ดว้ ยหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ โดยภาพรวมอยู่
ยคุ ขอ้ มลู ขา่ วสาร เพราะการอา่ นและการฟงั จะท�ำ ใหผ้ คู้ นไดร้ บั ในระดบั มากทส่ี ดุ
ขา่ วสารขอ้ มลู ความรแู้ ละไดร้ บั ทราบความเคลื่อนไหวตลอด
จนขอ้ คดิ เหน็ ตา่ งๆของผคู้ นในสงั คม นอกจากนก้ี ารอา่ นยงั ข้อเสนอแนะ
สามารถพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพชวี ิตทดี่ ขี น้ึ อีกด้วย ผูร้ ับ 1. ขอ้ เสนอแนะท่ีได้จากการศึกษา
สารจะได้รับประโยชน์จากการอา่ นอย่างเต็มท่ี ถ้าผูร้ บั สาร
สามารถรับสารที่ผู้ส่งสารส่งให้อ่านอย่างครบถ้วนและถูก 1.1 การใชห้ นังสือส่งเสริมการอ่านภาษาองั กฤษ
ตอ้ ง กระบวนการสำ�คญั ทีส่ ดุ ท่จี ะท�ำ ให้ผ้รู บั สารสามารถรบั ครูตอ้ งแนะนำ� ชี้แจง และอธบิ ายซำ�้ ๆเพอ่ื ใหน้ กั เรียนเข้าใจ
สารจากเรอ่ื งทอ่ี า่ นไดก้ ค็ อื การจบั ใจความ ฉะนน้ั การจบั ใจความ จุดประสงค์ กอ่ นทจ่ี ะเรียนรู้
จงึ นบั เปน็ หวั ใจของการอา่ น 1.2 ครคู วรดแู ลการปฏบิ ตั งิ านของนกั เรยี นอยา่ งใกล้
4. ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจดั การ ชดิ และทว่ั ถงึ หากนกั เรยี นเกดิ ปญั หาจะไดช้ แ้ี นะแนวทางแก้
เรยี นรภู้ าษาองั กฤษ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เพ่ือพัฒนา ปญั หาในทนั ที เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความอบอนุ่ เชอ่ื มน่ั และ
ความสามารถการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ไมท่ อ้ แท้
ภาษาตา่ งประเทศ(ภาษาอังกฤษ)ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4 มี 2. ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาครัง้ ต่อไป
ความพึงพอใจมากท่ีสุด สงู กวา่ เกณฑท์ ต่ี ง้ั ไว้ ทง้ั นอ้ี าจเปน็
เพราะหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ เพอ่ื พฒั นาความ 2.1 ควรมกี ารศกึ ษาความคงทนในการเรยี นรวู้ ชิ า
สามารถการอา่ นจบั ใจความ ทผ่ี รู้ ายงานสรา้ งขน้ึ เปน็ หนงั สอื สง่ องั กฤษของนกั เรยี นทเ่ี รยี น ดว้ ยหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นเพ่ือ
เสรมิ การอา่ นทส่ี นกุ สนาน มรี ปู แบบทส่ี วยงาม เรา้ ใจและผเู้รยี น พัฒนาความสามารถการอา่ นจับใจความ
ได้ มโี อกาสฝกึ หดั ไดอ้ ยา่ งเสรี เกดิ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ ใน
การเรยี นรู้ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของนริ มล ศิริชยั (2555) 2.2 ควรมกี ารศกึ ษาและเปรยี บเทยี บการเรยี นรู้
ศกึ ษาการใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นภาษาองั กฤษ ชดุ รอบ ของนกั เรยี น ดว้ ยหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นกับวิธีการสอนรูป
ตัวเรา ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรยี นอนุบาลมโนรมย์ (วดั แบบอื่นๆ
ศรสี ทิ ธส์ิ วุ รรณวฒั นะ) ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษา
32
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
เอกสารอา้ งอิง
กรมวิชาการ. (2551). กรอบแนวคิดหลกั สูตรการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน. กรงุ เทพฯ : คุรสุ ภาลาดพร้าว.
______. (2552 ก). หลกั สตู รการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : องค์การรบั ส่ง
สนิ ค้าและพสั ดภุ ัณฑ.์
______. (2554). รายงานวจิ ยั เรอ่ื ง การศกึ ษาสภาพการจดั การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษทม่ี งุ่ เนน้ ทกั ษะ
การสอ่ื สาร ตามหลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน. กรงุ เทพฯ : การศาสนา.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2552). หลักสตู รการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. พมิ พค์ รงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ
: กระทรวงศึกษาธกิ าร.
เกษราภรณ์ วงั ใจฟู. (2556). รายงานการใช้หนงั สอื สง่ เสริมการอา่ นภาษาองั กฤษ สำ�หรับนกั เรียน
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1. [ออนไล].์ เข้าถงึ ได้จาก : http://board.atcomink.com/show.php?
Category=8340&No=324 เมื่อ 10 มกราคม 2557.
ครุ รุ กั ษ์ ภริ มยร์ กั ษ.์ (2552). “ท�ำ อยา่ งไรใหล้ กู และศษิ ยร์ กั เปน็ นกั อา่ น” วารสารวชิ าการ 1(6) : 8. มถิ นุ ายน
65-68.
จุไรรัตน์ ลกั ษณะศิริ และ บาหยัน อิม่ สำ�ราญ. (2552). การใชภ้ าษาไทย. นครปฐม : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั
ศิลปากร
ทวีศักดิ์ หงสาภินันทน์ และ กญั ญาทิพ เสนาะวงศ.์ (2554). หมวดวิชาภาษาไทยตามหลกั สตู รการศกึ ษา
นอกโรงเรยี นสายสามญั ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. กรงุ เทพฯ : ลองไลฟเ์ อด็ .
นิรมล ศิรชิ ัย. (2555). รายงานการใชห้ นงั สือสง่ เสรมิ การอา่ นภาษาอังกฤษ ชดุ รอบตัวเราชนั้ ประถมศกึ ษา
ปที ่ี 4. [ออนไลน]. เข้าถงึ จาก : http://www.kru- thai.com/forums/ index.php?topic=281.0
เม่อื 10 มกราคม 2557.
บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2549). การวิจยั เบ้ืองต้น. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์ .
______. (2550). พน้ื ฐานการวจิ ยั การศกึ ษา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 3. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพมิ พ.์
พรศรี ยอดสดุ า. (2554). รายงานการใช้หนงั สอื สง่ เสริมการอา่ นภาษาองั กฤษ ชุด Amazing Langsuan
ส�ำ หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรยี นเมอื งหลงั สวน อ�ำ เภอหลงั สวน จังหวัดชุมพร. [ออนไลน]์ .
เข้าถงึ จาก : http://www.kru-thai.com/forums/index.php? topic=1417.0 เมือ่ 10 มกราคม
2557.
พรหมลิขติ เสนาโนฤทธิ์. (2551). รายงานการพัฒนาหนังสือส่งเสริมการอ่านภาษาองั กฤษ ส�ำ หรับนักเรียน
ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นบา้ นหนองจานบุลาน. [ออนไลน]. เข้าถึงจาก : http://www.
kroobannok.com/board_view.php?b_id=27932& bcat_id=16 เมื่อ 10 มกราคม 2557.
จริญญา ภรู ะพัฒน์ : ผอู้ อกแบบจดั หน้าบทความ
33
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้เทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทกั ษะ
เพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ สำ� หรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ
******************************************************************************************************
Development of Learning Activities by using DR-TA Technique with Skill Training Sets
to Develop Reading Comprehension Ability for Mutthayomsuksa 6 Students
of Foreign Language Department.
สง่ บทความ 18 กมุ ภาพนั ธื 2562 วรัชฎา ครองยุต *1 ตอบรับ 27 กุมภาพันธ์ 2562
Warutchada Krongyut *1
[email protected] *
แกไ้ ข 25 กุมภาพนั ธ์ 2562
บทคัดย่อ
การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทกั ษะเพอื่ พฒั นาความสามารถการ
อา่ นจบั ใจความ สำ�หรับนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ มีความมุ่งหมายเพือ่ 1)
เพ่ือพัฒนาผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝึกทกั ษะเพ่ือพฒั นาความสามารถการอ่าน
จบั ใจความ สำ�หรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์
ท(Eัก1/ษEะ2เพ=ือ่ 7พ5ฒั /7น5า)คว2า)มเสพา่ือมเปารรถยี กบาเรทอยี ่าบนผจลบั สใัมจฤคทวาธมิจ์ าสกำก�หารรับจนดั กกั จิเรกยี รนรชม้นักมารธั เยรมยี ศนกึรษู้โดายปใีทชี่เ้ ท6คกนลิคุ่มสDาRร-ะTกAารปเรรยีะนกรอ้ภูบาแษบาบตฝา่ กึง
ประเทศก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 3) เพ่ือศึกษาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนจากการจัดกิจกรรม
การเรียนรูโ้ ดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทักษะเพื่อพฒั นาความสามารถการอ่านจบั ใจความ สำ�หรับนักเรียนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ 4) เพอื่ ศกึ ษาดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดย
ใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทกั ษะเพอื่ พัฒนาความสามารถการอา่ นจับใจความ สำ�หรบั นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปี
ท่ี 6 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ 5) เพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรยี นทมี่ ีต่อการเรียนดว้ ยการจดั กิจกรรม
การเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพ่อื พัฒนาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ สำ�หรบั นักเรียนชน้ั
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ กล่มุ ตัวอยา่ งในการวิจยั ครง้ั นี้ คอื นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี
ท่ี 6/3 โรงเรียนประทาย อำ�เภอประทาย จังหวดั นครราชสีมา สังกดั องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั นครราชสมี า ท่ีกำ�ลัง
เรยี นในรายวิชา ภาษาองั กฤษ 12 (อ33102) ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2559 จำ�นวน 38 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยวิธีสมุ่
แบบแบง่ กลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ครง้ั น ี้ มี 5 ชนิด ประกอบด้วย 1) แผนการจดั
กจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝึกทกั ษะเพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ นจับใจความ สำ�หรบั
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 จำ�นวน 8 แผน เวลาเรยี น 16 ชั่วโมง 2) แบบฝึกทกั ษะเพือ่ พฒั นาความสามารถการอ่าน
1 ครชู �ำนาญการโรงเรยี นประทาย อ�ำเภอประทาย จงั หวัดนครราชสมี า
1 Professional Level Teacher, Prathai School, Prathai Distdict, Nakhon Ratchasima Province.
34
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
จับใจความ สำ�หรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ เรื่อง Traditions of the
USA and the UK จำ�นวน 8 เลม่ แต่ละเลม่ ใชป้ ระกอบการจัดการเรียนรโู้ ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA เล่มละ 2 ช่วั โมง 3) แบบ
วดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น สำ�หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 เปน็ แบบเลอื กตอบปรนยั 4 ตวั เลอื ก จำ�นวน 40 ขอ้ 4)
แบบวัดความสามารถการอ่านจับใจความสำ�หรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 6 ซึง่ เปน็ แบบเลือกตอบปรนัย 4 ตัวเลือก
จำ�นวน 20 ขอ้ 5)แบบสอบถามความพงึ พอใจของผู้เรยี นตอ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นร้โู ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบ
แบบฝกึ ทกั ษะเพ่ือพฒั นาความสามารถการอ่านจบั ใจความ สำ�หรบั นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู คอื สถติ ิท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ค่ารอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย ส่วนเบีย่ ง
เบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (t-test dependent)
ผลการวจิ ัยพบวา่
1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ น
จบั ใจความ สำ�หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ทส่ี รา้ งขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพ(E1/ E2
)เท่ากบั 76.11 / 77.50 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ท่ีตัง้ ไว้ 75 / 75
2. ผลสัมฤทธ์ิจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาความ
สามารถการอา่ นจบั ใจความ สำ�หรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 กลุ่มสาระ
การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ หลังการจัดกิจกรรมสูงกวา่ กอ่ นการจัดกิจกรรม อยา่ งมนี ัยสำ�คญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01
3. ความสามารถการอา่ นจบั ใจความของนกั เรยี นจากการจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบ
แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ มีคะแนนเฉล่ยี เท่ากับ 15.42 คดิ เปน็ ร้อยละ 77.10
4. ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื พฒั นาความ
สามารถการอ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มีค่าเท่ากับ
0.6286 คดิ เป็นรอ้ ยละ 62.86
5. ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ การเรยี นดว้ ยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบ
ฝึกทกั ษะเพือ่ พัฒนาความสามารถการอ่านจบั ใจความ สำ�หรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษา
ตา่ งประเทศโดยรวมอย่ใู นระดบั มากท่สี ดุ มีคา่ เฉลย่ี ( X ) เท่ากบั 4.54 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.19
คำ�สำ�คัญ : การจดั การเรียนร้,ู เทคนิค DR-TA, การอ่านจับใจความ
35
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Abstract
Development of learning activities by using DR-TA technique with skill training sets to develop
reading comprehension abilities for Mutthayomsuksa 6 students of foreign language department aimed
1) To develop the achievement of learning activities by using DR-TA techniques with skill training sets to
developreadingcomprehensionabilityforMutthayomsuksa6studentsofForeignLanguageDepartmenttobe
eDfRfe-TcAtivteecahcncoiqrudeingwtiothcsriktiellritara(Ein1 /inEg2 = 75/75). 2) To compare the achievement of learning activities by using
sets to develop reading comprehension ability for Mutthayomsuksa
6 students of foreign language department before and after organizing activities. 3) To study about the
Reading comprehension ability of students from organizing learning activities by using DR-TA techniques
with skill training sets to develop reading comprehension abilities for Mutthayomsuksa 6 students of
foreign language department. 4) To study the effectiveness index of organizing learning activities by us-
ing DR-TA technique with skill training sets to develop reading comprehension ability for Mutthayomsuk-
sa 6 students of foreign language department. 5) To study the satisfaction of students towards learning
by organizing learning activities by using DR-TA techniques with skill training sets to develop reading
comprehension ability for Mutthayomsuksa 6 students of foreign language department. The sample group
in this research was 38 students of Mutthayomsuksa 6 of Prathai School, Prathai District, Nakhon Ratchasima
Province. Under the Nakhon Ratchasima Provincial Administration Organization who are studying in Basic
English 12 (อ33102), semester 2, academic year 2016, which is obtained by clustering random
sampling method. There are 5 types of tools used in this research : 1) 8 plans for 16 hours
of learning activities by using DR-TA technique with skill training sets to develop read-
ing comprehension ability for Mutthayomsuksa 6. 2) 8 books of skill training sets to im-
prove reading comprehension ability for Mutthayomsuksa 6 students of Foreign Language
Department about Traditions of the USA and the UK, each used for learning management
using DR-TA technique, 2 hours per book. 3) Learning achievement test for Mutthayom-
suksa 6 students is a choice with 4 multiple choices of 40 questions. 4) Reading comprehen-
sion ability test for Mutthayomsuksa 6 students, which is 4 multiple choices 0f 20 questions.
5) Students’ satisfaction questionnaire for organizing learning activities using DR-TA techniques
with skill training sets to develop reading comprehension ability for Mutthayomsuksa 6 students
of foreign language department. Statistics used in data analysis were percentage, mean, standard
deviation and t-test dependent.The research found that :
1. The results of learning activities by using DR-TA technique with skill training sets to develop
reading comprehension abilities for Mutthayomsuksa 6 students of Foreign Language Department that
created 2h.aAdcthhieeveefmficeiennt cfryo(mE1 l/eEa2r)naintg7a6c.1ti1vi/tie7s7.b5y0 which is higher than the set criteria 75/75.
using DR-TA technique with skill training sets to
develop reading comprehension ability for Mutthayomsuksa 6 students of Foreign Language Depart-
ment after the event is higher than before the event with statistical significance at the level of .01.
3. Reading comprehension ability of students from organizing learning activities using DR-TA
technique with skill training sets to develop reading comprehension ability for Mutthayomsuksa 6
students of Foreign Language Department had an average score of 15.42, representing 77.10 percent.
4. The effectiveness index of organizing learning activities by using DR-TA technique with skill
training sets to develop reading comprehension ability for Mutthayomsuksa 6 students of Foreign
36
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
Language Department were 0.6286, equivalent to 62.86 percent.
5. Students’ satisfaction with learning by organizing learning activities using DR-TA tech-
niques with skill training sets to develop reading comprehension ability for Mutthayomsuksa 6
students of Foreign Language Department in overall is at the highest level, with an average ( X )
equal to 4.54 standard deviation (S.D.) equal to 0.19.
Keywords : Learning Management, Technique DR-TA, Comprehension ability
ภูมหิ ลัง เปรยี บเทยี บกนั พบวา่ ในปี 2557 ค่าเฉลย่ี ของโรงเรยี น
ภาษาองั กฤษไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในสงั คมไทยอยา่ ง ตำ่ �กวา่ ระดับประเทศ 5.35 และในปี 2558 คา่ เฉลีย่ ของ
มาก โดยเฉพาะนโยบายของรฐั บาลในปจั จบุ ันนท้ี ่ีมุง่ เน้น โรงเรยี นตำ่ �กวา่ ระดบั ประเทศ 6.63 ซงึ่ ควรไดร้ บั การพฒั นา
ใหป้ ระเทศไทยกา้ วเขา้ สอู่ าเซยี นภายในปี พ.ศ.2558 โดย อย่างเร่งด่วน นอกจากนี้การประเมินผลนักเรียนประเมิน
กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดเ้ นน้ ยำ้ �นโยบายดงั กลา่ วโดยกำ�หนด ผลนักเรียนนานาชาติ (Program for International
ใหโ้ รงเรยี นทกุ โรงเรยี นในประเทศเนน้ ในเรอื่ งของวชิ าภาษา Student Assessment หรอื PISA) ท่ีมีประเทศสมาชิก
อังกฤษ มีการจัดโครงการต่างๆ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธ์ิ OECD (Organization for Economic Cooperation
ทางการเรียนวชิ าภาษาอังกฤษ เพ่ือเตรียมความพร้อมใน and Development) และประเทศนอกกลมุ่ OECD ซึ่ง
การเปน็ สมาชกิ ประชาคมอาเซยี นทม่ี คี ณุ ภาพ โดยคาดหวงั เรยี กวา่ ประเทศรว่ มโครงการ (Partner Countries) โดยมี
ว่าประชาชนในประเทศจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษส่ือสาร วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการเพอ่ื หาตวั ชว้ี ดั ใหก้ บั คณุ ภาพการ
กับชาวต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแต่นักเรียน ศกึ ษาใหแ้ กป่ ระเทศสมาชกิ PISA มกี ารประเมนิ ผลทกุ สาม
ไทยยังคงประสบปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษอยู่มาก โดย ปีเพ่ือติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงคุณภาพ การเรียน
เฉพาะทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งทกั ษะดังกล่าวเปน็ รู้ของนกั เรียน โดยที่ PISA ได้ศกึ ษางานวิจัยในอดตี และ
ทักษะท่ีมีความจำ�เป็นต่อนักเรียนท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็น ตดั สนิ วา่ ความรแู้ ละทกั ษะทจ่ี ำ�เปน็ สำ�หรบั การเรยี นรตู้ ลอด
ภาษาต่างประเทศในระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบัน ชีวิตและเป็นตัวชี้วัดศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 6 ทุกคน ได้แก ่ การเรยี นรเู้ รื่องการอา่ น (Reading Literacy) การ
ต้องเข้ารับการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติท่ีเรียกว่า เรียนรู้เรอ่ื งคณิตศาสตร์ (Mathematics Literacy) และ
O-NET (Ordinary National Education Testing) โดย การเรยี นรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) โดย
เปน็ การทดสอบระดบั ชาตแิ ละคะแนนทไี่ ดจ้ ากการทดสอบ ประเมนิ จากนกั เรียน กลุ่มตวั อยา่ งอายุ 15 ปี ไดด้ ำ�เนนิ
ดงั กลา่ วยงั มผี ลตอ่ การเขา้ ศึกษาต่อในระดับอุดมศกึ ษา ผู้ การผา่ นมาแลว้ 5 ครง้ั คอื PISA 2000 PISA 2003 PISA
วิจยั ไดศ้ ึกษารายงานผลการทดสอบ O-NET จากผลการ 2006 PISA 2009 และในคร้ังลา่ สดุ คือ PISA 2012
ทดสอบการศกึ ษาระดับชาตขิ นั้ พืน้ ฐาน (O-NET) ผลการประเมินของนักเรียนไทย ในการรู้เร่ืองการอ่าน
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ปีการศึกษา 2557 และ (Reading Literacy) พบวา่ มคี ะแนนเฉลย่ี การอ่าน 441
ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนประทาย พบว่า คะแนนใน คะแนน แต่กย็ ังตำ่ �กวา่ คา่ เฉล่ยี นานาชาติ (OECD) เกือบ
รายวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หนง่ึ ระดบั โดยลำ�ดบั การประเมนิ ของประเทศไทยยงั คงอยู่
โรงเรยี นประทายในปี 2557 และ 2558 ต่ำ�กวา่ คา่ เฉลยี่ อนั ดบั ท่ี 50 จาก 65 ประเทศ ผลการศกึ ษานานาชาตแิ สดง
ในระดับประเทศ โดยในปี 2557 น้ัน ค่าเฉล่ียระดับ ให้เห็นว่าประเทศไทยยังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายความ
ประเทศในรายวิชาดังกล่าวอยู่ท่ี 23.44 ขณะท่ีค่าเฉล่ีย เขม้ แข็งทางการศกึ ษา และไมส่ ามารถเตรยี มเยาวชนให้มี
ระดับโรงเรียนอยู่ที่ 18.35 (โรงเรียนประทาย. 2557 : ศกั ยภาพในการแขง่ ขนั ในอนาคต (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอน
103.) และในปี 2558 น้ัน ค่าเฉลี่ยระดับประเทศอยู่ท่ี วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2555 : 1–8.)
24.98 ขณะทคี่ า่ เฉลย่ี ระดบั โรงเรยี นอยทู่ ี่ 18.35 (โรงเรยี น จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเน้ือหา
ประทาย. 2558 : 98.) ซง่ึ เมอ่ื นำ�ผลการทดสอบทง้ั สองปมี า ในแบบทดสอบ O-NET ของปีต่างๆ พบว่า แม้ว่าใน
37
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
แบบทดสอบมีการทดสอบทักษะอ่ืนนอกจากทักษะการ ที่จำ�เป็น นักเรียนทำ�แบบฝึกหัดทบทวนความเข้าใจใน
อ่าน ถ้านักเรียนอ่านคำ�ถามหรือเน้ือหาที่กำ�หนดไว้ไม่ การอ่าน และจากการศึกษาแนวคิดและวิธีการอ่านแบบ
เข้าใจ คงจะเป็นอุปสรรคต่อการตอบคำ�ถามดังกล่าว DR-TA ผู้วิจัยพบว่าเป็นวิธีการสอนที่ชัดเจน มีการกระ
หากเราวิเคราะห์หาสาเหตุจะพบว่า เม่ือนักเรียนอ่าน ตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้เกิดความสนใจด้วยการคาด
ข้อสอบทต่ี อ้ งจับใจความจากบทอ่านเพื่อตอบคำ�ถาม แต่ เดา ผเู้ รียนเรม่ิ อา่ นเน้อื เรื่อง ตรวจสอบการคาดเดา สรุป
ไม่เข้าใจและไม่ทราบความหมายของคำ�ศัพท์ท่ีปรากฏอยู่ สาระสำ�คญั และทบทวนความเขา้ ใจในการอา่ นเพอ่ื สง่ เสรมิ
เลยคงยากที่จะตอบคำ�ถามในแบบทดสอบได้อย่างถูกต้อง ให้ผู้เรียนมีทักษะการอ่านที่ถูกต้องและแม่นยำ�มากยิ่งข้ึน
เพราะคำ�ศพั ทเ์ ป็นพ้นื ฐานในการอา่ น หากนกั เรยี นทราบ จากปัญหาและความสำ�คัญดังกล่าวทำ�ให้ผู้วิจัย
ความหมายของคำ�ศัพท์ก็จะเข้าใจใจความหมายของเรื่อง มคี วามสนใจทีจ่ ะจดั กิจกรรมการเรียนร้โู ดยใชเ้ ทคนคิ DR-
ทีอ่ ่าน และสามารถจบั ใจความของเรอื่ งน้นั ๆแล้วสามารถ TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการ
ตอบคำ�ถามไดต้ รงประเดน็ และถกู ตอ้ ง นอกจากนก้ี ารสอน อ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ภาษาอังกฤษโดยส่วนใหญ่ครูผู้สอนมักจะมุ่งเน้นการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาทักษะ
หลกั ไวยากรณ ์ ดว้ ยการให้จดบนั ทกึ ตามทีค่ รูผู้สอนเขียน การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน
บนกระดาน หรอื จดบนั ทึกตามที่ครผู ู้สอนบรรยาย และ เนอ้ื หาในแบบทดสอบ O-NET ของปีต่างๆ พบวา่ แมว้ า่
มีการสอดแทรกการอ่านภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อย จึง ในแบบทดสอบมีการทดสอบทักษะอื่นนอกจากทักษะ
ทำ�ให้นักเรียนเบื่อหน่ายและมากระตือรือร้นท่ีจะเรียน ผู้ การอ่าน ถ้านักเรียนอ่านคำ�ถามหรือเน้ือหาที่กำ�หนดไว้
วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับเทคนิค ไม่เข้าใจ คงจะเป็นอุปสรรคต่อการตอบคำ�ถามดังกล่าว
และวิธีการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือส่งเสริมความสามารถ หากเราวิเคราะห์หาสาเหตุจะพบว่า เม่ือนักเรียนอ่าน
ด้านการอ่านของผู้เรียนท้ังไทยและต่างประเทศพบว่า ข้อสอบทต่ี อ้ งจบั ใจความจากบทอา่ นเพ่ือตอบคำ�ถาม แต่
สตอฟเฟอร์ได้คิดค้นกลวิธีการสอนการอ่านแบบ Direct- ไม่เข้าใจและไม่ทราบความหมายของคำ�ศัพท์ที่ปรากฏอยู่
ed Reading–Thinking Activity (DR-TA) เพ่อื ส่งเสริมผู้ เลยคงยากที่จะตอบคำ�ถามในแบบทดสอบได้อย่างถูกต้อง
เรียนดา้ นการคดิ วเิ คราะห ์ คาดเดาสิ่งทเี่ กิดข้ึนจากเร่ืองที่ เพราะคำ�ศพั ทเ์ ป็นพ้นื ฐานในการอา่ น หากนักเรยี นทราบ
อา่ น โดยแบ่งประเภทกลวธิ กี ารอา่ นแบบ DR-TA เป็น 2 ความหมายของคำ�ศัพท์ก็จะเข้าใจใจความหมายของเรื่อง
ประเภท คือ DR-TA แบบกลุ่ม (Group-type Directed ท่ีอ่านและสามารถจับใจความของเร่ืองนั้นๆแล้วสามารถ
Reading – Thinking Activity) โดยมรี ะดบั ความสามารถ ตอบคำ�ถามได้ตรงประเด็นและถูกต้อง นอกจากน้ี การ
ในการอ่านท่ีเท่าเทียมกัน นักเรียนทุกคนอ่านเน้ือเร่ือง สอนภาษาอังกฤษโดยส่วนใหญ่ครูผู้สอนมักจะมุ่งเน้นการ
เดียวกัน และครูมีหน้าท่ีจัดกิจกรรมการอ่านให้ผู้เรียน สอนหลักไวยากรณ์ด้วยการให้จดบันทึกตามที่ครูผู้สอน
รู้สึกผ่อนคลาย และควรสอดแทรกคำ�ตอบที่ถูกต้องไว้ใน เขียนบนกระดานหรือจดบันทึกตามท่ีครูผู้สอนบรรยาย
เน้ือเร่ืองที่อ่าน สำ�หรับกลวิธีการอ่าน DR-TA แบบราย และมีการสอดแทรกการอ่านภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อย
บคุ คล (Individual-type Directed Reading – Thinking จึงทำ�ให้นักเรียนเบื่อหน่ายและมากระตือรือร้นท่ีจะเรียนผู้
Activity) ไม่มีการแบ่งกลุ่มผู้เรียน ความช่วยเหลือและ วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับเทคนิค
กระตุ้นผู้เรียนตามที่ผู้เรียนร้องขอและผู้เรียนจะเชื่อมโยง และวิธีการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อส่งเสริมความสามารถ
ความรู้เดิมที่ตนมีกับส่ิงที่อ่านกับเพื่อนในชั้นเรียน และต่อ ดา้ นการอา่ นของผู้เรยี นทง้ั ไทยและตา่ งประเทศ พบวา่ ส
มา เทอรน์ ยี ์ รดี เดนซแ์ ละดิชเชอร์ (Tierney, Readence ตอฟเฟอร์ได้คิดค้นกลวิธีการสอนการอ่านแบบ Directed
and Disher. 1995.) ได้ปรบั ปรุงขนึ้ ใหม่เพอ่ื กระตุน้ ผเู้ รียน Reading–Thinking Activity (DR-TA) เพ่อื ส่งเสริมผู้เรียน
ให้สนใจในการเรียนมากย่ิงข้ึน วิธีนี้เป็นวิธีสอนการอ่าน ด้านการคิด วิเคราะห์ คาดเดาสิ่งท่ีเกิดขึ้นจากเรื่องที่
ท่ีมุ่งฝึกกระบวนการคิด ตรวจสอบ การคาดเดาเรื่องท่ี อ่าน โดยแบ่งประเภทกลวธิ ีการอ่านแบบ DR-TA เปน็ 2
อ่านโดยมีการเช่ือมโยงความรู้เดิมและกล่ันกรองข้อมูลท่ี ประเภท คือ DR-TA แบบกลมุ่ (Group-type Directed
ได้จากการอ่านเพ่ือนำ�ไปสู่ความเข้าใจ แบ่งเป็นสองช่วง Reading – Thinking Activity) โดยมรี ะดบั ความสามารถ
หลัก คือช่วงกระบวนการอ่านและคิด เร่ิมจากนักเรียน ในการอ่านท่ีเท่าเทียมกันนักเรียนทุกคนอ่านเนื้อเร่ือง
อ่านช่ือเรื่องหรือดูดูภาพแล้วคาดเดาเน้ือหา อ่านในใจ เดียวกันและครูมีหน้าที่จัดกิจกรรมการอ่านให้ผู้เรียนรู้สึก
ตรวจสอบความเข้าใจ เร่ิมต้นคาดเดาเนื้อหาในส่วนต่อ ผ่อนคลายและควรสอดแทรกคำ�ตอบท่ีถูกต้องไว้ในเนื้อ
ไป และสรปุ สาระสำ�คญั ในแผนภมู โิ ครงสรา้ งชว่ งฝกึ ทกั ษะ เรื่องท่ีอ่านสำ�หรับกลวิธีการอ่าน DR-TA แบบรายบุคคล
38
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
(Individual-type Directed Reading – Thinking Activ- ปกี ารศกึ ษา 2559 จำ�นวน 3 หอ้ ง จำ�นวน 108 คน ไดแ้ ก่
ity) ไม่มกี ารแบ่งกลุม่ ผเู้ รียน ความช่วยเหลือและกระต้นุ ผู้ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/3 ชาย 12 คน หญงิ
เรยี นตามทผี่ เู้ รยี นรอ้ งขอและผเู้ รยี นจะเชอ่ื มโยงความรเู้ ดมิ 26 คน รวม 38 คน
ท่ตี นมกี ับสิ่งที่อา่ นกบั เพอ่ื นในช้ันเรยี น นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6/10 ชาย 15 คน
จากปัญหาและความสำ�คัญดังกล่าวทำ�ให้ผู้วิจัย หญงิ 20 คน รวม 35 คน
มีความสนใจที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6/11 ชาย 20 คน
DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาความสามารถ หญิง 15 คน รวม 35 คน
การอ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพ่ือพัฒนาทักษะ 6/3 โรงเรยี นประทาย อำ�เภอประทาย จงั หวดั นครราชสมี า
การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษให้มีประสทิ ธภิ าพยิง่ ขน้ึ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ที่กำ�ลัง
เรียนในรายวชิ า ภาษาองั กฤษ 12 (อ33102) ภาคเรยี นที่
ความมงุ่ หมายของการวจิ ยั 2 ปกี ารศกึ ษา 2559 จำ�นวน 38 คน ซึง่ ไดม้ าโดยวธิ ี
1. เพ่ือพัฒนาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย สุม่ แบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้
ใช้เทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนา หอ้ งเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม
ความสามารถการอ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที ี่ 6 กลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
ใ ห้มีประส2ิท.ธิภเพาพื่อตเาปมรเียกณบเฑท์ ี(ยEบ1/ผE2ล=สั 75/75) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี มี 5 ชนิด
มฤทธ์ิจ า ก ก า ร จั ด ประกอบดว้ ย
กิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝกึ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค
ทกั ษะเพอ่ื พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ สำ�หรบั DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถ
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษา การอ่านจบั ใจความ สำ�หรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6
ต่างประเทศก่อนและหลงั การจัดกิจกรรม จำ�นวน 8 แผน เวลาเรยี น 16 ชั่วโมง ซ่ึงผลการประเมิน
3. เพ่ือศึกษาความสามารถการอ่านจับใจความ ความเหมาะสมของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีค่า
ของนักเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค เฉล่ียเท่ากับ 4.70 และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ
DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาความสามารถ 0.38 สรุปความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ
การอ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 2. แบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาความสามารถการ
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ อ่านจับใจความ สำ�หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6
4. เพอื่ ศกึ ษาดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจดั กจิ กรรม กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ เรือ่ ง Traditions
การเรียนรู้โดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะ of the USA and the UK จำ�นวน 8 เลม่ แต่ละเลม่ ใช้
เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ สำ�หรับ ประกอบการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค DR-TA เล่มละ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา 2 ชั่วโมง ซึ่งผลการประเมินความเหมาะสมของแบบฝึก
ตา่ งประเทศ ทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความโดยใช้
5. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ เทคนคิ DR-TA มคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 4.39 และคา่ สว่ นเบยี่ งเบน
การเรยี นดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนคิ DR- มาตรฐานเทา่ กบั 0.57 สรปุ ความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก
TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการ 3. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำ�หรับ
อา่ นจับใจความ สำ�หรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 กล่มุ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 เป็นแบบเลือกตอบปรนัย
สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ 4 ตวั เลอื ก จำ�นวน 40 ขอ้ ขอ้ สอบทีเ่ ลือกไวม้ ีคา่ ความยาก
ประชากรกลุ่มตวั อยา่ ง (P) อยรู่ ะหวา่ ง 0.20 ถึง 0.74 มคี ่าอำ�นาจจำ�แนก (B)
อยรู่ ะหวา่ ง 0.20 ถึง 1.00 และหาค่าความเช่ือมั่นของ
1. ประชากร ได้แก่ นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น โดยใช้สูตรโดยได้
โรงเรยี นประทาย อำ�เภอประทาย จงั หวดั นครราชสมี า แบบทดสอบที่มีคา่ ความเช่ือมัน่ 0.94
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ที่กำ�ลัง 4. แบบวัดความสามารถการอ่านจับใจความ
เรียนรายวิชา ภาษาอังกฤษ 12 (อ33102) ภาคเรียนท่ี 2
39
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สำ�หรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ซึ่งเป็นแบบเลือก 5.1 การวิเคราะห์ด้านการประเมิน
ตอบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จำ�นวน 20 ขอ้ พบวา่ แบบวดั ความ คุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค
สามารถการอา่ นจบั ใจความ จำ�นวน 20 ข้อนัน้ มีคา่ ความ DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาความสามารถ
สอดคล้องเท่ากับ 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอ การอ่านจับใจความ ส�ำหรบั นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6
นบาคเทา่ กบั 0.94 และค่าความเทีย่ งเทา่ กับ 0.94 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยผ้เู ช่ียวชาญ ใช้
5. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อ สถติ พิ ื้นฐาน คอื คะแนนเฉลี่ยและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบ 5.2 การวิเคราะห์ด้านการประเมิน
แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจ คุณภาพของแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการ
ความ สำ�หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มสาระ อา่ นจับใจความ โดยใชเ้ ทคนิค DR-TA ส�ำหรับนกั เรียนชัน้
การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ นำ�ไปหาคา่ อำ�นาจจำ�แนกโดย มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ
ใช้ Item Total Correlation พบว่ามีคา่ อำ�นาจจำ�แนกอยู่ โดยผู้เชี่ยวชาญ ใช้สถติ ิพ้นื ฐาน คอื คะแนนเฉลี่ยและ
ระหว่าง 0.23–0.65 ผลการพิจารณาพบว่านำ�ไปใช้ได้ท้ัง สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
15 ขอ้ จากนน้ั นำ�ผลทไี่ ดจ้ ากการสอบถามความพึงพอใจ 5.3 หาประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ
ไปวเิ คราะหห์ าคา่ ความเชอ่ื มน่ั ดว้ ยวธิ ขี องครอนบาค พบวา่ เพ่อื พัฒนาความสามารถการอ่าน
แบบสอบถามทง้ั ฉบับน้มี คี า่ ความเชอ่ื มัน่ เท่ากับ 0.78 จับใจความ โดยใช้เทคนิค DR-TA ส�ำหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ตามเกณฑ์ 75/75 5 โ.ด4ยหใชา้สคตู ุณรภEา1พ/Eข2องแบบทดสอบวัดผล
ในการวจิ ยั ครงั้ น ี้ ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำ�เนนิ การเกบ็ รวบรวม สัมฤทธทิ์ างการเรยี น
ขอ้ มลู ตามขั้นตอน ดังน้ี
1. อธิบายให้นักเรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างเข้าใจ 5.5 หาคุณภาพของแบบวัดความ
วัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การทำ�แบบ สามารถการอา่ นจับใจความ
ทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การทำ�แบบวัดความ 5.6 หาค่าความเชื่อม่ันของแบบ
สามารถการอ่านจับใจความ และแบบสอบถามความพึง สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรม
พอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค DR-TA การเรียนรู้โดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะ
ประกอบแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถการอ่าน เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ ส�ำหรับ
จับใจความ สำ�หรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่ม นักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษา
สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ต่างประเทศ โดยหาค่าอ�ำนาจจ�ำแนกโดยใช้สูตร Item
2. อธิบายวิธีการทำ�แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ Total Correlation และหาค่าความเช่ือม่ันจากสูตร
ทางการเรียน แบบวัดความสามารถการอ่านจับใจความ สัมประสิทธแิ์ อลฟา (Alpha Coefficient) ตามวธิ ีของ
และแบบสอบถามความพึงพอใจ ให้กลุ่มตัวอย่างเข้าใจ ครอนบาค (Cronbach)
ก่อนลงมือทำ� 5.7 หาคา่ ดชั นีประสทิ ธผิ ลของแบบฝึก
3. กลุ่มตัวอย่างดำ�เนินการทำ�แบบทดสอบผล ทกั ษะเพือ่ พัฒนาความสามารถการอา่ น
สัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความสามารถการอ่านจับใจ จับใจความ โดยใช้เทคนิค DR-TA ส�ำหรับนักเรียนช้ัน
ความและแบบสอบถามความพึงพอใจที่เตรียมไว้ ผู้วิจัย มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ
ควบคุมการสอบ โดยใช้สตู รการหาค่าดัชนีประสทิ ธผิ ล (E.I.)
4. นำ�ผลที่ได้จากการวัดมาตรวจสอบให้คะแนน 5.8 การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการ
ตามวธิ กี ารให้คะแนนของเครอื่ งมือแตล่ ะชนดิ ท่ีได้อธบิ าย เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน จากการเรียนด้วยแบบฝึก
ไวใ้ นหวั ขอ้ การสรา้ งและการหาประสทิ ธภิ าพเครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ ทกั ษะเพอ่ื พัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ โดยใช้
ในการวิจยั เทคนคิ DR-TA ส�ำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 กลุม่
5. นำ�ผลคะแนนจากการตรวจมาวเิ คราะห์หาค่า สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ทดสอบโดยใช้ Kol-
ทางสถิติการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำ�เนินการวิเคราะห์ mogorov– Smirnov test และ t – test dependent
ขอ้ มูลตามลำ�ดบั ดังน้ี
40
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
5.9 วัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อการ ส�ำหรับนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิค DR-TA ประกอบแบบ ภาษาต่างประเทศ โดยใช้ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบน
ฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ มาตรฐาน
สรุปผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้เทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทักษะเพอ่ื พัฒนาความสามารถการ
อ่านจับใจความ ส�ำหรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ ท่ีสร้างขนึ้ มีประสิทธภิ าพ
(E1/ E2 ) เทา่ กับ 76.11 / 77.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ังไว้ 75 / 75
คะแนน คะแนนรวม คะแนนเฉลยี่ คะแนนเฉลี่ย
เต็ม รอ้ ยละ
คะแนนจากการทา� กิจกรรมและทา� 240 7541 198.44 76.11
แบบทดสอบย่อย
คะแนนวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 40 1178 31.00 77.50
หลังเรยี น
) คะแนน
2. ผลสมั ฤทธจิ์ ากการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิค DR-TA ประกอบแบบฝึกทักษะเพอ่ื พัฒนาความ
สามารถการอา่ นจบั ใจความ สำ� หรบั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ หลงั การจัด
กิจกรรมสูงกว่ากอ่ นการจัดกิจกรรม อย่างมีนยั ส�ำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01
Kolmogorov-Smirnov(a) Shapiro-Wilk
Statistic df Sig. Statistic df Sig.
สอบก่อนเรยี น .148 38 .034 .974 38 .519
สอบหลงั เรยี น
.153 38 .025 .954 38 .117
เม่ือพิจารณาการแจกแจงปกติด้วยสถติ ิ Shapiro-Wilk พบว่าคา่ Sig.ของคะแนนกอ่ นเรยี นเท่ากับ .519 ซง่ึ
มากกว่าระดบั นยั สำ� คัญท่ีก�ำหนด (.01) แสดงวา่ คะแนนสอบก่อนเรยี นมกี ารแจกแจงปกตแิ ละค่า Sig.ของคะแนนหลัง
เรียนเท่ากบั .117 ซึง่ มากกวา่ ระดบั นยั ส�ำคญั ท่กี �ำหนด (.01) แสดงว่าคะแนนสอบหลังเรียนมีการแจกแจงปกตเิ ชน่ กนั
จงึ ใชค้ า่ t-test (dependent) ในการทดสอบสถิติทใี่ ชใ้ นการเปรยี บเทียบกับคา่ วิกฤต ิ เพือ่ ใหท้ ราบความมีนยั สำ� คญั
ทางสถิติ
การทดสอบ N � S.D. t df Sig
ก่อนเรยี น 38 15.76 3.149 -25.130 37 .000**
หลงั เรยี น 38 31.00 3.572
41
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
3. ความสามารถการอา่ นจับใจความของนักเรยี นจากการจดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้เทคนคิ DR-TA ประกอบ
แบบฝกึ ทกั ษะเพอื่ พฒั นาความสามารถการอา่ นจบั ใจความ ส�ำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ มคี ะแนนเฉล่ยี เท่ากบั 15.42 คดิ เป็นร้อยละ 77.10
จ�านวน คา่ เฉล่ียคะแนน ค่าเฉลี่ยร้อยละของ จา� นวนผู้ผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ
นกั เรียน ความสามารถ ความสามารถ เมอ่ื สรุปผลเทียบกบั ของผ้ผู า่ นเกณฑ์
(คน) การอา่ น การอ่านจบั ใจความ เกณฑร์ อ้ ยละ 50
จบั ใจความ 100
38 77.10 38
15.42
4. ดัชนีประสิทธผิ ลของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนคิ DR-TA ประกอบแบบฝกึ ทักษะเพื่อพฒั นา
ความสามารถการอา่ นจบั ใจความ สำ� หรับนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ มีคา่
เทา่ กับ 0.6286 คิดเป็นร้อยละ 62.86
การทดสอบ จา� นวน คะแนน คะแนนเต็ม คะแนนทไ่ี ด้ คา่ ดัชนี
นักเรยี น
ทดสอบก่อนเรียน เต็ม ทงั้ หมด รวม ประสิทธิผล
ทดสอบหลังเรยี น 38
40 1600 599 0.6286
38 40 1600 1178
5. ความพงึ พอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อการเรียนดว้ ยการจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนิค DR-TA ประกอบ
แบบฝึกทักษะเพอื่ พฒั นาความสามารถการอ่านจับใจความ (สXำ� ห)รเับทนา่ กักเับรยี 4น.5ช4้ันมสธั่วยนมเบศ่ียึกงษเาบปนีทมี่า6ตรกฐลานุม่ ส(าSร.Dะก.) า รเเทรา่ียกนบั ร ู้
ภาษาตา่ งประเทศ โดยรวมอยู่ในระดบั มากที่สดุ มคี า่ เฉลีย่
0.19
รายการประเมนิ คะแนนการพจิ ารณา
1. ด้านกระบวนการเรียนรู้ X S.D. สรุป
2. ด้านบรรยากาศการเรียนการสอน 4.51 0.10 มากทีส่ ุด
3. ดา้ นส่อื การเรยี นการสอน 4.74 0.12 มากทีส่ ุด
4. ด้านการประเมนิ ผล 4.46 0.02 มาก
5. ดา้ นความพึงพอใจต่อการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ 4.38 0.49 มาก
4.54 0.19 มากทสี่ ดุ
42
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ข้อเสนอแนะ ก็จะขาดสมาธใิ นการเรียน
1.5 ในชว่ งทส่ี อง การพฒั นาทกั ษะการอา่ น ควร
1. ขอ้ เสนอแนะในการนำ� ผลการศึกษาไปใช้ ก�ำหนดสถานการณ์ซ่ึงเป็นเร่ืองใกล้ตัวของนักเรียนท่ี
จากการที่ผู้วิจัยได้ท�ำการพัฒนาการจัดกิจกรรม สอดคล้องกับบทอ่าน แล้วให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
การเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนิค DR –TA ประกอบแบบฝกึ ทักษะ
เพอื่ พฒั นาความสามารถการอ่านจับใจความนนั้ ผวู้ ิจยั ได้ ต่อสถานการณ์นน้ั ๆ อย่างสร้างสรรค์ เพอ่ื เปน็ การตอ่ ยอด
พบปญั หาระหวา่ งศกึ ษาหลายประการจงึ ขอเสนอแนะแนว ความรู้ของนกั เรียน
ทางในการนำ� ผลการศกึ ษาไปใช้ ดงั น้ี 2. ขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาค้นคว้าตอ่ ไป
1.1 ขนั้ ตอนที ่ 1 การคาดเดา ผ้วู ิจัยได้นำ� แบบ 2.1 ควรทำ� การวจิ ยั เพ่อื เปรียบเทียบเทคนิคการ
ฝึกทักษะไปถ่ายเอกสาร ขาว – ด�ำ แล้วน�ำไปแจกนักเรียน สอนการอา่ นแบบ DR-TA กบั เทคนคิ การสอนการอา่ นแบบ
เพื่อให้ใช้ในการศึกษารูปภาพบางภาพก็ดูไม่ชัดเจนว่าเป็น อ่ืน เพ่ือให้ทราบว่าเทคนิคใดมีประสิทธิภาพต่อการจัด
รูปอะไร ทำ� ให้นกั เรียนใช้เวลาในการท�ำกจิ กรรมข้ันตอนน้ี กิจกรรมการเรียนรู้ด้านการสอนการอ่านเพื่อจับใจความ
นานกว่าเวลาที่ก�ำหนดดังน้ันผู้วิจัยจึงขอแนะน�ำให้ใช้ มากทีส่ ุด
เอกสารสปี ระกอบการสอนจะดกี วา่ เพราะจะทำ� ใหน้ กั เรยี น 2.2 ควรเพมิ่ ระยะเวลาในการวจิ ยั ใหม้ ากขน้ึ เพอ่ื
เห็นภาพได้ชัดเจนและใช้เวลาในการคาดเดาจากรูปภาพ ครูจะได้สังเกตความก้าวหน้าด้านการอ่านจับใจความของ
นอ้ ยลง นกั เรยี นไดอ้ ยา่ งชดั เจน
1.2 ขั้นตอนท่ี 2 การการอา่ นในใจ ครคู วรให้ 2.3 ในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนิค
นักเรียนอ่านผ่านๆ ในรอบแรก รอบสองอา่ นเพื่อหาราย DR-TAประกอบแบบฝกึ ทกั ษะครคู วรเขยี นแผนการจดั การ
ละเอยี ดและรอบสามอา่ นเพอื่ ลงความเหน็ เกยี่ วกบั ใจความ เรียนรรู้ ายชัว่ โมง และแบบฝกึ ทกั ษะทน่ี ำ� มาเปน็ ส่อื การจัด
สำ� คัญของบทอา่ น กิจกรรมเรียนรู้ควรประกอบด้วยเน้ือหาท่ีสอดคล้องกับขั้น
1.3 ขั้นท่ี 3 แปลความหมาย ในแบบฝกึ ทกั ษะ ตอนของกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบ DR-TA ซง่ึ ในหนงึ่ ชวั่ โมง
ควรมกี ารระบใุ บความรคู้ ำ� ศพั ท์ คำ� อา่ น คำ� แปลของคำ� ศพั ท์ ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูต้องสอนให้ครบ ทุกข้ัน
ในบทอ่านแนบไปด้วยเพ่ืออ�ำนวยความสะดวกในการแปล ตอนของเทคนคิ DR-TA นกั เรยี นควรทำ� แบบฝกึ ทกั ษะครบ
ความหมายบทอา่ นของนกั เรยี น เพราะการใหน้ กั เรยี นแปล ถ้วนตามขั้นตอนการสอนของครู ไม่ควรแยกขั้นตอนการ
ความหมายจากการเปิดพจนานุกรม หรอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรขู้ องเทคนคิ ไปไวใ้ นชว่ั โมงการจดั
ถามครูน้นั ค่อนข้างใชเ้ วลานานเกนิ ไป กจิ กรรมการเรียนรอู้ นื่
1.4 ขั้นท่ี 4 ตรวจสอบความเข้าใจ ครูควรให้ 2.4 ควรนำ� เน้อื หาของบทอ่านทอี่ ยูใ่ นกระแส
นกั เรยี นนำ� เสนอหวั ขอ้ ทคี่ าดเดาจากขน้ั ตอนที่ 1-3 โดยการ นิยมมาจดั ทำ� แบบฝกึ ทักษะ เพอ่ื ให้นกั เรียนค้นุ เคยและมี
ให้นักเรียนยกมือบอกหัวข้อท่ีไม่ซ�้ำกันเท่าน้ัน เพ่ือความ ความกระตือรือร้นที่จะเช่ือมโยงประสบการณ์ท่ีมีต่อ
กระชับรวดเร็วเพราะถ้านักเรียนน�ำเสนอสิ่งที่ตนเองคาด เนอื้ หานนั้ ๆ เพื่อต่อยอดความรู้ใหม่จากความรเู้ ดมิ ท่มี ีอยู่
เดาทกุ คนจะใชเ้ วลานานมาก นักเรียนทีน่ ำ� เสนอก่อนหนา้
43
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เอกสารอ้างองิ
ศุภวัฒน ์ อิมมั เหม. (2555). การศกึ ษาความสามารถการอ่านจับใจความของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โดยใช ้
เทคนคิ DR-TA. วิทยานพิ นธ์มหาบณั ฑติ สาขาภาษาอังกฤษ : มหาวิทยาลยั ทักษิณ.
ปิยาภรณ์ โคตรชมภ.ู (2556). การพฒั นาความสามารถการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเขา้ ใจโดยการสอนการอ่าน
แบบ DR-TA ส�ำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5. Graduation Research Conference Khonkaen
University. HMO13 : มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธาน.ี
สภุ าวดี คงจนั ทร.์ (2556). ผลการสอนภาษาอังกฤษดว้ ยวธิ ีการสอนการอ่าน DR-TA รว่ มกบั การใชเ้ พลงสากลที่มี
ความสามารถในการฟังและเข้าใจในการอา่ นของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานพิ นธป์ รชั ญา
การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน : มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ .
ณฐั ธดิ า กลางประชา. (2556). การพัฒนาความสามารถการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจของนักเรียนชน้ั
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยใช้การอ่านแบบ DR-TA (Directed Reading - Reading Activity). วทิ ยานิพนธ์
ศษ.ม.ขอนแกน่ : มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.
รตั นท์ ญา โชตวิ วิ ัฒนาชยั . (2557). การพัฒนาชุดการสอนแบบ DR-TA เพอื่ สง่ เสริมความคิดรวบยอดในการอ่านภาษา
อังกฤษของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4. วทิ ยานพิ นธ์ : มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.
กณวรรธน์ บุญหลา้ . (2558). การใชก้ ลวิธกี ารอ่านแบบ DR-TA รว่ มกบั กิจกรรมท่ีเน้นสมองเปน็ ฐานเพอ่ื พัฒนาความ
สามารถด้านการอ่านภาษาองั กฤษ ของนกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5. ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ
สาขาวชิ าการสอนภาษาอังกฤษ : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
อมุ าวด ี นอ้ ยพลี. (2559). การศึกษาความสามารถการอา่ นจบั ใจความสำ� คัญของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทม่ี ี
ภาวะเส่ยี งตอ่ ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ โดยใช้ทักษะการอ่านจับใจความโดยเทคนคิ DR-TA (Directed
Reading-Thinking Activity. วิทยานพิ นธ์ : มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา.
อนุชา เสือนนิ : ผู้ออกแบบจดั หน้าบทความ
44
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การพฒั นารปู แบบชดุ กิจกรรมการเรยี นรูด้ ้านทกั ษะพสิ ัย
เก่ียวกับ การฟัง พูดอ่าน เขยี น วชิ าภาษาไทย ของนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
โรงเรยี นเทศบาลวดั เหนอื จงั หวัดร้อยเอ็ด
******************************************************************************************************
The Development of Learning Activity Kit in Psychomotor Domains
Related to Listening, Speaking, Reading, Writing Thai Language of
the 4th Grade Primary Level Students of Wat Nuea Municipality School, Roi Et Province
ศิราณี สน่ันเออ้ื *1
Siranee Sanan-aue *1
[email protected] *
ส่งบทความ 18 ุ กุมภาพนั ธ์ 2562 แก้ไข 23 กุมภาพนั ธ์ 2562 ตอบรบั 26 กมุ ภาพันธ์ 2562
บทคดั ย่อ
การวิจัยคร้ังน้ีมีความมุ่งหมายเพ่ือ 1) ศึกษาสภาพการปฏิบัติและความต้องการชุดกิจกรรมเรียนรู้
เพ่ือเสริมสร้างทักษะพิสัยเก่ียวกับ การฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4
2) พฒั นารปู แบบชดุ กจิ กรรมเรยี นรเู พอ่ื เสรมิ สรา้ งความสามารถดา้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทย
ของนกั เรยี นทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ 3) ศกึ ษาผลการใชร้ ปู แบบชดุ กจิ กรรมเรยี นรเู้ พอ่ื เสรมิ สรา้ งความสามารถดา้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี ว
กบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทยของนกั เรยี น ดงั น้ี 3.1) ศกึ ษาความสามารถดา้ นการฟงั พดู อา่ นและเขยี นภาษาไทยของ
นกั เรยี นทเ่ี รยี นรตู้ ามรปู แบบกจิ กรรมการเรยี นรใู้ นแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ 3.2) เปรยี บเทยี บความสามารถดา้ นการฟงั พดู
อา่ นและเขยี นภาษาไทยของนกั เรยี นระหวา่ งกอ่ นและหลงั การเรยี นรตู้ ามรปู แบบฯ และ 4) เพอ่ื ประเมนิ ผลการใชแ้ ละความ
คดิ เหน็ ทม่ี ตี อ่ รปู แบบชดุ กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น วชิ าภาษาไทยของนกั เรยี นชน้ั
ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 กลมุ่ ทดลอง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ของโรงเรยี นเทศบาลวดั เหนอื สงั กดั ส�ำ นกั การศกึ ษา
เทศบาลเมอื งรอ้ ยเอด็ จ�ำ นวน 1 หอ้ ง มนี กั เรยี นจ�ำ นวน 57 คน ไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบกลมุ่ (Cluster Random Sampling)
เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสมั ภาษณ์ 3) แบบทดสอบความรพู้ น้ื ฐานภาษาไทยของนกั เรยี น
4) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นและการใชท้ กั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทย 5) แบบบนั ทกึ การ
สนทนากลมุ่ (Focus Group) 6) คมู่ อื การใชร้ ปู แบบชดุ กจิ กรรมการเรยี นรฯู้ 7) แผนการจดั การเรยี นรวู้ ชิ าภาษาไทย จ�ำ นวน
24 แผน รวมเวลา 24 ชว่ั โมง และ 8) แบบทดสอบวดั ทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทย จ�ำ นวน 1
ฉบบั สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ ขอ้ มลู ไดแ้ ก่ คา่ เฉลย่ี (Mean) รอ้ ยละ (Percentage) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation) และทดสอบสมมตุ ฐิ านใชส้ ถติ ิ t-test (Dependent Samples) และ t-test (Independent Samples)
1 ครชู �ำนาญการพิเศษ กลุม่ สาระภาษาไทย โรงเรียนเทศบาลวัดเหนอื จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด
2 Teacher Subject Group of Thai language, Senior Professional Level
45
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผลการวจิ ยั พบวา่
1. ผลการศกึ ษาสภาพการปฏบิ ตั แิ ละความตอ้ งการในการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรูด้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกีย่ วกบั การ
ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า สภาพการปฏิบัติการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย
ของครูผู้สอนยังไม่ได้เน้นให้ความสำ�คัญในการเสริมสร้างทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาไทยให้ผู้เรียนประสบผล
สำ�เร็จ และสามารถสือ่ สาร ผ่าน การฟังและการพดู ในสถานการณ์จรงิ เทา่ ที่ควร อกี ทั้งยงั ไมม่ ีการจัดการเรียนรู้ในบรบิ ท
การฝึกปฏิบัติเสริมสร้างการฟังและการพูดในชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารด้านการ
ฟัง พูด อ่าน และเขียนที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นเงื่อนไขความต้องการที่จะพัฒนาผู้เรียนด้านทักษะการฟัง พูด อ่าน และ
เขียนภาษาไทยสำ�หรับนักเรียนให้ประสบผลสำ�เร็จยิ่งขึ้น
2. ผลการพัฒนาและทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรูเ้ พื่อเสริมสร้างความสามารถในการสื่อสารด้านการฟัง
พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยของนักเรียน พบว่า แนวคิดทฤษฎีที่นำ�มาใช้ สนับสนุนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียน
รู้ ประกอบด้วย 1) ทฤษฎีการสร้างความรู้ 2) ทฤษฎีแรงจูงใจ 3) ทักษะพิสัย 4) แนวคิดทฤษฎีประมวลสารสนเทศ
และ 5) แนวคิดการเรียนรู้เน้นภาระงานเป็นฐาน โดยนำ�มาสังเคราะห์ประกอบการสร้างรูปแบบ การจัดการเรียนรู้
และมีองค์ประกอบของรูปแบบ ได้แก่ 1) แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน 2) วัตถุประสงค์ 3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 4)
หลักการตอบสนอง 5) ระบบสนับสนุน และ 6) การวัดและประเมินผล และรูปแบบมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้น
ได้แก่ 1) การกระตุ้นความสนใจ 2) การแนะนำ�เนื้อหา 3) การฝึกปฏิบัติ 4) การนำ�เสนอผลการปฏิบัติ และ 5) การ
สรุปและประเมินรวมทั้งปรากฏผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ของการวิเคราะห์
จากคะแนนประเมินทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนของนักเรียนเท่ากับ 72.27/71.84
3. ผลการนำ�รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการสื่อสารในการฟัง พูด อ่าน และ
เขียนภาษาไทยของนักเรียนไปใช้ พบว่า 3.1) ความสามารถด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียนของนักเรียน ที่ได้รับการ
จัดการเรียนรู้ตามรูปแบบในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ51.31, 61.90, 68.85 และ 77.66 ตามลำ�ดับ 3.2)
นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบมีคะแนนการฟัง พูด อ่าน และเขียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัย
สำ�คัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ผลการประเมินการใช้และความคิดเห็นที่มีต่อรูปแบบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยเกี่ยวกับ การ
ฟัง พูด อ่าน เขียน วิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ผลการประเมินความเหมาะสมของรูป
แบบโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก ครูและนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ ดีมาก
คำ�สำ�คัญ : ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้,ู ทักษะพสิ ยั , การฟัง พดู อ่าน เขียนภาษาไทย
Abstract
The purposes of this research are :1) To study the condition of practicality and the demand
for learning activity kit for enhancing the psychomotor domains related to listening,
speaking, reading, writing in Thai language of the 4th grade primary level students; 2) To develop learn-
ing activity kit for enhancing the psychomotor domains related to listening, speaking, reading, writing
in Thai language of the students effectively; 3) To study the effects of the psychomotor domains
related to listening, speaking, reading, writing in Thai language of the students as follows : 3.1) To study
the listening, speaking, reading, and writing ability in Thai language of the students based on learning
activity forms in each learning section; 3.2) To compare the ability of listening, speaking, reading, and
writing in Thai language of the students during before and after the learning based on the learning
format. The experimental group consists of the primary students in 4th grade of Wat Nuea Municipality
School attached to the Roi Et Town Municipality Educational Office, 1 classroom with 57 students,
acquired by cluster random sampling. The tools used for the research are as follows: 1) Questionaires
; 2) Interview forms; 3) Thai basic knowledge testing forms for students; 4) Observation of student’s
46
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
learning behavior and psychomotor domains related to listening, speaking, reading, writing in Thai
language forms; 5) Record of focus group’s conversation; 6) Manual of how to use learning activity kit
for enhancing the psychomotor domains related to listening, speaking, reading, writing in Thai language
of the 4th grade primary level students 7) Thai language learning management plan in total of 24
pages for 24 hours and 8) Psychomotor domains testing form related to listening, speaking, reading,
writing in Thai language in total of 1 copy, the statistics used in data analysis, i.e. mean, percentage,
standard deviation and hypothesis test using t-test (dependent samples) and t-test (independent
samples).Researchfindings1. From the results of the study on conditions of practicality and the
demand for learning activity kit to build the psychomotor domains for listening, speaking, read-
ing, writing in Thai language for 4th grade primary level students, it is found out that the operating
conditions of the Thai language learning management of the teachers have not
emphasized the importance of the skill enhancement in listening, speaking, reading, and
writing in Thai language of the learners to achieve the goal and be able to communicate through
listening and speaking in real-life situation as far as it concerns. More over there is no learning
management in the context of training of skill enhancement in listening and speaking in the
classroom for the learners to achieve practicing Thai language for communicating in listening,
speaking, reading, and writing effectively which is the prerequisite for developing the learners in
listening, speaking, reading, and writing in Thai language for students to be more
successful.
2. From the results of developmental and trial application in learning management model
for the enhancement of ability to communicate through listening, speaking, reading, and writing in
Thai language of the students, it is found out that the theoretical concepts that have been put into
practice, do support the development of learning management model are : 1) Theory for creating
knowledge ; 2) Theory for motivation; 3) Psychomotor domains ; 4) Concept of learning management,
TAI style ; and 5) Concept of learning focusing on work based as main aspect to be synthesized for
inventing models, learning management which includes their attributes, i.e. : 1) Concept and theory
of fundamentals ; 2) Purpose ; 3) Steps for learning management; 4) Principle of response ; 5) Sup-
porting system ; and 6) Measurement and evaluation and the models have the process of learning
management in 5 steps, i.e. : 1) Incentives for learning ; 2) Content recommendation ; 3) Practice ;
4) Presentation of results of practice ; and 5) Conclusion and evaluation, and have the results of the
evaluation of the suitability of the models from the expert with higher score. Moreover, the results
of the experiment applying an effectivelearning management model based on the criteria
from the student’sscoreanalysis on listening, speaking, reading, and writing skills are
72.27/71.84
3. From the results of introducing learning management model for the enhancement of ability
in communication such as listening, speaking, reading, and writing in Thai language of the students, it
is found out that : 1) The aptitudes of listening, speaking, reading, and writing of the students which
have been assigned to the learning management according to the patterns in each unit of learning
are 51.31 %, 61.90 %, 68.85 %, and 77.66 % respectively ; 2) After the students have been assigned
to learning management model, their scores in listening, speaking, reading, and writing are higher than
before learning, which have a significant statistical value in the range of .01.
keywords : Learning activity set, Psychomotor, Listening, Speaking, Reading and Writing Thai Language.
47
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บทน�ำ
. ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความส�ำคัญเพราะเป็น ด้านกระบวนการร้ขู องเพียเจต์ (Piaget) และกระบวนการ
ภาษาที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ประจ�ำชาติท่ีสามารถ เรียนรู้ทางสังคม (Social Process) ของไวกอทสก ี้
ใช้ส่ือความหมายได้ทั่วไป ภาษาไทยยังนับเป็นเครื่องมือท่ี (Vygotsky) Piaget (Parke & Gauvain. 2009 : 274-275
ส�ำคัญอย่างย่ิงในการใช้เพ่ือติดต่อสื่อสารกับบุคคลอ่ืน ; citing Piaget. 1985) เชอ่ื วา่ การเรียนรูท้ มี่ ปี ระสทิ ธิภาพ
ส�ำหรับประเทศไทยได้ตระหนักถึงความส�ำคัญของภาษา จะตอ้ งจดั สถานการณค์ วามรใู้ หมห่ รอื ประสบการณใ์ หมใ่ ห้
ไทยและได้สนับสนุน ให้มีการพัฒนาความสามารถทาง รวมเข้าอยู่ในโครงสร้างของสติปัญญา 2) ทฤษฎีประมวล
ภาษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้น สารสนเทศ (Information Processing Theory) เป็น
ทักษะพื้นฐาน ที่ส�ำคัญโดยใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ทฤษฎีที่ศึกษาเกย่ี วกบั การไดม้ าซึง่ ความรู้ (Acquire) การ
(มลู นิธิการศึกษาผา่ นทางไกลผ่านดาวเทียม. 2555 : 457) สะสมความรู้ (Store) การระลึกได้ (Recall) การทางาน
เม่ือภาษาไทยทวีความส�ำคัญมากข้ึนจุดมุ่งหมายของการ ของระบบตา่ งๆ ในการประมวล สารสนเทศ เชน่ ความใสใ่ จ
เรยี นการสอนภาษาไทย จงึ ตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นเปา้ หมาย การลงรหัสข้อมูลการสะสมข้อมูล การตลอดจนการดึง
ส�ำคัญในการเรียนการสอนภาษาไทยคือให้ผู้เรียนมี ขอ้ มลู มาใชเ้ ปน็ เรอื่ งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการรู้ 3) ทฤษฎี
สมรรถนะ การส่ือสารสามารถใช้ทักษะทั้ง 4 คอื ฟงั พดู แรงจูงใจ (Motivation Theory) ตามแนวคิดกลุ่ม
อา่ น และเขยี น ภาษาไทยเปน็ เครอ่ื งมอื ในการแสวงหาและ พฤตกิ รรมนิยม แรงจูงใจคอื สงิ่ ที่ครอบคลมุ พฤติกรรมของ
สอ่ื ความรขู้ อ้ มลู ความบนั เทงิ เปน็ ตน้ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ มนุษย์ แรงจูงใจในการกระท�ำของมนษุ ยข์ นึ้ อยกู่ ับการรบั รู้
โดยใช้อินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งค้นคว้าส่ือสารท่ีส�ำคัญ (Perceive) ส่งิ ตา่ งๆ ทอ่ี ยูร่ อบตวั โดยอาศัยความสามารถ
นอกจากนน้ั ยงั ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะในการเรยี นรตู้ ลอด ทางปัญญา เป็นส�ำคัญมนุษย์จะได้รับแรงผลักดันจาก
ชีวิต ซึ่งหมายถึงสามารถเรียนรู้ภาษาไทยด้วยตนเอง มี หลายๆ ทาง ในการแสดงพฤตกิ รรม ซง่ึ ในสภาพเชน่ นมี้ นษุ ย์
เทคนิคในการเรียนและจัดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (อรุณี จะเกิดความไม่สมดุล (Disequilibrium) 4) แนวคิดการ
วิรยิ ะจติ รา และคณะ.2555 : 1-2) ซงึ่ มีความสอดคล้องกบั จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 Theory) เป็นกิจกรรมการเรียนที่จัดผู้เรียนเป็นกลุ่ม เพ่ือ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยได้ก�ำหนดสาระการเรียนรู้ ช่วยเสรมิ สร้าง ความรูแ้ ละความเขา้ ใจของผูเ้ รียนผา่ นการ
ออกเปน็ 4 สาระ คอื สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การสอ่ื สาร สาระ สนทนาและการทางานร่วมกันซ่ึงจะส่งผลให้เกิดการเรียน
ท่ี 2 ภาษาและวฒั นธรรม สาระที่ 3 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์ รู้ ทีป่ ระสบผลสำ� เร็จ และ 5) แนวคดิ การเรียนร้เู น้นภาระ
กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น สาระที่ 4 ภาษากับความ งานเปน็ ฐาน (Task Based Learning) เปน็ การจดั การเรยี น
สัมพันธ์ กับชุมชนและโลก โดยมุ่งหวงั ใหน้ ักเรยี นมีเจตคติ การสอนท่ีเน้นเรียนรู้พ้ืนฐานตามธรรมชาติจากการปฏิบัติ
ทดี่ ตี อ่ ภาษาไทย สามารถใช้ ภาษาไทยสอื่ สารในสถานการณ์ และใชภ้ าษาตามความ ถนดั และความสามารถของตนเอง
ตา่ งๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชพี และมคี วามรู้ความ รวมทงั้ ประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั งิ านทาใหผ้ เู้ กดิ การเรยี น
เขา้ ใจในเรอ่ื งราวและวฒั นธรรมอนั เปน็ มรดกของไทย โดย อย่างไม่รตู้ ัว
สามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคม . จากเหตผุ ลและความสำ� คญั ขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั ในฐานะ
โลกไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.2551 : 221) ผทู้ ร่ี บั ผดิ ชอบการจดั การเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษา
ครูควรเน้นท่ีการพัฒนาทักษะภาษาไทยเพ่ือการส่ือสาร ไทย ของโรงเรยี นเทศบาลวดั เหนอื ในสงั กดั สำ� นกั การศกึ ษา
เบื้องต้นซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถน�ำไปใช้ได้ในชีวิตจริง ร้อยเอ็ด ได้ตระหนักและเห็นความส�ำคัญเป็นอย่างย่ิง ดัง
(สทุ ศั น์ สังคะพันธ์.2557 : 449) นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ ดำ� เนนิ การพฒั นาและเสรมิ สรา้ งความสามารถ
.5 ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างและ ดา้ นทกั ษะพสิ ยั ในการฟงั พดู อา่ น และเขยี นภาษาไทยของ
พัฒนา ความสามารถทักษะการฟังและการพูดภาษาไทย นักเรยี น ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ดว้ ยการพัฒนารูปแบบชดุ
ของผู้เรียนภายใต้กรอบแนวคิดทฤษฎีรองรับ ได้แก่ 1) กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น
ทฤษฎกี ารสรา้ งความรหู้ รอื คอนสตรคั ตวิ สิ ต์ (Constructiv- เขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ซ่ึงใน
ist Theory) เป็นแนวคิด ที่ให้ความส�ำคัญกับการเรียนรู้ การวจิ ยั ครงั้ นเ้ี ปน็ กระบวนการวจิ ยั และพฒั นา (Research
48
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
and Development) เพอื่ เปน็ ขอ้ สนเทศในการพฒั นาการ 3. ผลการวจิ ัยท�ำใหไ้ ด้แนวทางสำ� หรบั ครูผสู้ อน ผู้
จัดการเรียนรู้ และการวจิ ยั ในส่วนที่เกย่ี วข้องต่อไป บริหาร และผ้ทู ่มี สี ว่ นเกีย่ วขอ้ ง นำ� ไปประยุกต์ใช้ในการจัด
กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น
ความมุ่งหมายของการวจิ ยั เขียน ภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 และ
. 1. เพื่อศึกษาสภาพการปฏิบัติและความต้องการ นักเรียนชั้นอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษา
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยเกี่ยวกับ การ ไทย
ฟงั พดู อา่ น เขียน ภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษา
ปีท่ี 4 ขอบเขตของการวจิ ัย
. 2. เพ่ือพัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้าน . 1. ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง
ทกั ษะพิสัยเกี่ยวกบั การฟงั พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยของ . ผู้วิจัยได้จ�ำแนกประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตาม
นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ที่มปี ระสิทธภิ าพ ระยะในการวจิ ยั และพฒั นารปู แบบกจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ น
. 3. เพือ่ ศกึ ษาผลการใช้รูปแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ ทักษะพิสัยเก่ียวกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทยของ
ดา้ นทักษะพิสยั เก่ียวกบั การฟัง พดู อ่าน เขียน ภาษาไทย นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยแบง่ การดำ� เนนิ การวจิ ยั
ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 ดังนี้ เป็น 3 ระยะ ได้แก่
. 3.1 ศึกษาความสามารถด้านการฟัง พูด อ่าน . การด�ำเนินการวิจัยระยะที่ 1 (R1/Research)
เขียนภาษาไทยของนักเรียนท่ีเรียนรู้ตามรูปแบบในแต่ละ การศึกษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี และสภาพปฏบิ ัติ
หนว่ ยการเรียนรู้ . ความต้องการการจัดการเรียนรู้เพ่ือเสริมสร้าง
. 3.2 เปรียบเทียบความสามารถด้านการฟัง พูด ความสามารถด้านการสื่อสารภาษาไทยของนักเรียน ช้ัน
อา่ น เขยี นภาษาไทยของนกั เรยี น ระหวา่ งกอ่ นและหลงั การ ประถมศึกษาปีที่ 4 ประกอบด้วย
เรยี นรูต้ ามรปู แบบ 1) การศึกษาเอกสารรายงานปัญหาการจัด
4. เพ่ือประเมินผลการใช้และความคิดเห็นท่ีมีต่อ กิจกรรมการเรียนรู้ทักษะพิสัยเก่ียวกับ การฟัง พูด อ่าน
รปู แบบชดุ กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การ เขียน ตามกรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ฟัง พูด อา่ น เขียน วิชาภาษาไทยของนักเรียนชน้ั ประถม พทุ ธศักราช 2551 ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎแี ละงาน
ศึกษาปีท่ี 4 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
ภาษาไทยของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 เพอ่ื นำ� มาใช้
สมมตฐิ านของการวิจยั ในการออกแบบการวิจัย
. นักเรียนท่ีได้รับการจัดกิจกรรมด้วยรูปแบบการ 2) การศึกษาสภาพปฏิบัติการในการจัดการเรียน
จัดการเรียนรมู้ ีความสามารถ ด้านการฟงั พดู อ่าน เขยี น รู้ด้านการฟังและการพูดภาษาไทยของนักเรียนเพ่ือ
ภาษาไทยหลงั เรยี นแตกตา่ งจากกอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั วิเคราะห์สภาพการปฏิบัติเพื่อน�ำมาใช้ออกแบบการวิจัย
ทางสถติ ิ โดยการสอบถามสภาพการปฏิบัติ
ในการเรียนภาษาไทยของนักเรียนในบริบทท่ี
ความสำ� คญั ของการวจิ ัย เก่ียวข้องจากกลุ่มครูผู้สอนจ�ำนวน 65 คน สนทนากลุ่ม
1. ผลการวิจัยท�ำให้ได้ทราบสภาพปัญหา ความ (Focus Group) ครผู สู้ อนภาษาไทยจ�ำนวน 10 คน และ
ตอ้ งการ และผลการใช้รปู แบบในการจดั กจิ กรรมการเรียน สงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นภาษาไทยในชน้ั เรยี นของนกั เรยี น
รดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทย จ�ำนวน 10 ห้อง
ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนเทศบาลวัด ประชากร ได้แก่ ครผู สู้ อนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
เหนือ ในสังกัดส�ำนักการศึกษาร้อยเอ็ด เพ่ือน�ำไปใช้ ในโรงเรยี นเทศบาล ในสงั กดั สำ� นกั การศกึ ษาประถมศกึ ษา
ประโยชนใ์ นการวเิ คราะห์ และพฒั นารปู แบบกจิ กรรมการ รอ้ ยเอด็ ในเขตอำ� เภอเมือง จำ� นวน 65 คน
เรยี นรู้ทมี่ ีประสทิ ธิภาพต่อไป กลมุ่ ตวั อย่าง ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย ประกอบด้วย
. 2. ผลการวิจัยท�ำใหไ้ ด้รปู แบบกิจกรรมการเรียนรู้ . 1. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการสัมภาษณ์และสังเกต
ดา้ นทกั ษะพสิ ยั เกี่ยวกบั การฟงั พูด อ่าน เขยี น ภาษาไทย พฤติกรรมการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ด้านทักษะพิสัย
ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 ทมี่ ีประสิทธิภาพ เกยี่ วกบั การฟัง พดู อ่าน เขยี น ภาษาไทย ไดแ้ ก่ ครผู ู้สอน
49
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 จากโรงเรยี นเทศบาลในสงั กดั สำ� นกั ทักษะภาษาไทยเพอื่ การสื่อสาร จำ� นวน 5 คน
การศกึ ษาเทศบาลเมอื งรอ้ ยเอด็ ในเขตอำ� เภอเมอื ง จำ� นวน 3. ภายหลังกิจกรรมการวิพากษ์โดยการการ
10 คน เกย่ี วกบั สภาพการปฏบิ ตั ใิ นการเรยี นภาษาไทยของ สัมมนาอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้
นักเรยี นในบริบทท่เี กี่ยวข้อง ของผู้เชี่ยวชาญจะน�ำประเด็นข้อเสนอแนะมาพิจารณา
2. กลุ่มเป้าหมายในการสนทนากลุ่ม (Focus ปรบั ปรงุ แกไ้ ข กอ่ นนำ� เสนอผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบความถกู
Group) ได้แก่ ครูผู้สอนภาษา ไทยระดับประถมศึกษา ต้องเหมาะสมอีกคร้ังหน่ึง ก่อนน�ำไปด�ำเนินการทดลองใช้
สงั กดั สำ� นกั การศกึ ษาเทศบาลเมอื งรอ้ ยเอด็ จำ� นวน 10 คน รปู แบบกบั นกั เรยี น พรอ้ มจดั ทำ� เอกสารคมู่ อื และเครอ่ื งมอื
ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง เพอื่ ใชป้ ระกอบรปู แบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ซง่ึ เอกสารคมู่ อื
. 3. กลมุ่ ตวั อยา่ งนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 จาก การใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรมู้ รี ายละเอยี ดประกอบดว้ ย
โรงเรียนเทศบาลในเขตอ�ำเภอเมือง จ�ำนวน 1 โรง ได้มา ได้แก่ ค�ำชีแ้ จง วตั ถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ รายละเอียดดา้ น
โดยการสมุ่ แบบกลุม่ (Cluster Random Sampling) เพอื่ องคป์ ระกอบสำ� คญั ของรปู แบบกระบวนการ นำ� รปู แบบไป
ทดสอบ ความสามารถพนื้ ฐานด้านการฟงั พดู อา่ นเขียน ใชก้ ับนักเรียน แผนการจดั การเรียนรู้ และแบบทดสอบวัด
ภาษาไทยของนักเรียนโดยใช้เครอ่ื งมอื ท่ผี วู้ ิจยั สร้างขน้ึ ทักษะพิสัยการฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาไทยของนักเรียน
การดำ� เนนิ วจิ ยั ระยะที่ 2 (D1 / Development) การสรา้ ง ซึ่งในส่วนของแบบทดสอบวัดทักษะพิสัยการฟัง พูด อ่าน
พัฒนา และทดลองใช้รปู แบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเสรมิ เขียนภาษาไทยนัน้ เม่ือผวู้ ิจยั ไดจ้ ดั ทำ� ต้นฉบับเสร็จแล้วน�ำ
สรา้ งความสามารถดา้ นการสอื่ สารในการฟงั พดู อา่ น เขยี น เสนอผู้เช่ียวชาญ เพ่ือตรวจสอบความเที่ยงตรงก่อนน�ำไป
ภาษาไทยของนกั เรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยแบง่ การ ทดลองใชใ้ นขั้นตอนตอ่ ไป
ด�ำเนนิ วจิ ัยออกเปน็ 4 ขัน้ ตอน ได้แก่ . 4. การทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อ
. 1. สร้างโครงร่างรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดย เสริมสร้างความสามารถด้านทักษะพิสัยเก่ียวกับ การฟัง
การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ ของรปู แบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ พดู อา่ น เขียน ภาษาไทยของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี
ตามกรอบแนวคดิ ทฤษฎ ี ตามกรอบตวั แปรในการวจิ ยั และ 4 และปรบั ปรงุ แกไ้ ข รปู แบบใหม้ คี ณุ ภาพและเหมาะสมยง่ิ
ผล ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลการด�ำเนินการวิจัยใน ข้นึ ตามขน้ั ตอน ดงั นี้
ระยะที่ 1 นำ� ขอ้ มลู มาเพอ่ื รา่ งรปู แบบการกจิ กรรมการเรยี น 4.1 น�ำรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริม
รเู้ พอื่ เสรมิ สรา้ งความสามารถดา้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การ สรา้ งความสามารถดา้ นทกั ษะพสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู อา่ น
ฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทยของนกั เรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษา เขียนภาษาไทยของนักเรียน ไปทดลองใช้กับนักเรียนช้ัน
ปที ่ี 4 ประถมศึกษาปที ี่ 4 จ�ำนวน 2 ห้องเรียน ซ่ึงได้มาจากการ
2. ดำ� เนนิ การสมั มนาอา้ งองิ ผเู้ ชย่ี วชาญ (Connois- สุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) รวมเวลาจดั
seurship) เพื่อร่วมเสนอ ข้อคิดเห็นเสนอแนะการ กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามรปู แบบ 24 ชว่ั โมง และใชห้ อ้ งเรยี น
สงั เคราะหร์ า่ งรปู แบบการจดั การเรยี นรเู้ พอื่ เสรมิ สรา้ งความ ดงั กลา่ วเปน็ กลมุ่ ทดลองใชแ้ บบทดสอบวดั ทกั ษะดา้ นทกั ษะ
สามารถด้านการส่ือสารภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถม พสิ ยั เกย่ี วกับ การฟงั พดู อ่าน เขียน ภาษาไทยดว้ ย ไดแ้ ก่
ศึกษาปีท่ี 4 ตามกรอบแนวคิดภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จ�ำนวน 1 โรง ได้แก่ 1)
เพ่ือวิพากษ์และให้ข้อเสนอแนะประกอบการก�ำหนดราย โรงเรยี นเทศบาลวดั เหนอื นกั เรียนจ�ำนวน 30 คน
ละเอียดรูปแบบการจัด การเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความ ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
สามารถดา้ นการสอ่ื สารในการฟงั พดู อา่ น เขยี นภาษาไทย ประชากร ได้แก่ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4
ของนกั เรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ตามรายละเอยี ดรตู าม ปีการศกึ ษา 2559 ในโรงเรยี นเทศบาล ในสงั กดั สำ� นักการ
เอกสารคู่มือการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบกิจกรรมการ ศกึ ษาเทศบาลเมืองร้อยเอด็ จ�ำนวน 8 โรง นกั เรียนจำ� นวน
เรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการสื่อสารในการ 650 คน
ฟงั และการพดู ภาษาไทยของนักเรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่
4 จำ� นวนผู้เชย่ี วชาญ 5 คน 4 ปกี ารศกึ ษา 2559 โรงเรยี นเทศบาลวดั เหนอื สงั กดั สำ� นกั
กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้เช่ียวชาญที่ใช้ในการ การศึกษาเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จ�ำนวน 1 ห้อง จ�ำนวน
สัมมนาอ้างอิงผู้เช่ียวชาญ(Connoisseurship) ประกอบ นักเรยี นห้องละ 30 คน รวมนกั เรียน 60 คน ไดม้ าโดยการ
ด้วย อาจารย์หรือนักวิชาการในมหาวิทยาลัยของรัฐและ สมุ่ แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)
บุคคลท่ีมี ผลงานเก่ียวข้องด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
50