Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
4.2 นำ� รูปแบบการจัดการเรียนรทู้ ผ่ี า่ น เข้าใจในการน�ำไปใช้ และความคิดเห็นที่มีต่อรูปแบบชุด
การทดลองใช้มาพิจารณาปรับปรุง แก้ไขในประเด็นท่ียัง กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น
บกพรอ่ ง ใหม้ คี ณุ ภาพและเหมาะสมยงิ่ ขน้ึ กอ่ นนำ� ไปใชจ้ รงิ เขียน วิชาภาษาไทยของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4
ในขั้นตอนต่อไป ทั้งน้ีผู้วิจัยได้น�ำคะแนนผลการทดลองใช้ ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของรูปแบบ โดยค�ำนวณ ประชากร ได้แก่ นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4
ปข้อระมสูลิทผธลิภกาาพรกทรดะลบอวงนใชก้บาราแงลปะรผะลเดล็นัพไธป์ พ(Eิจ1/าEร2ณ) าแปลระับไดป้นร�ำุง โรงเรียน ในสงั กดั ส�ำนักการศกึ ษาเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ปี
การศึกษา 2558 จำ� นวน 650 คน จากโรงเรียน 8 โรง
แกไ้ ขรปู แบบกจิ กรรมการเรยี นรใู้ หม้ คี วามเหมาะสมมากขน้ึ กลุม่ ตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไดแ้ ก่
การด�ำเนินวิจัยระยะที่ 3 (R2 / Re- 1) โรงเรียนเทศบาลวัดเหนือ 1 ห้องนักเรียน
search) การศึกษาผลการใช้รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ จำ� นวน 30 คน ใชจ้ ดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามรปู แบบทผ่ี วู้ จิ ยั
ดา้ นทกั ษะพสิ ัยเกี่ยวกบั การฟงั พูด อา่ น เขียน ภาษาไทย พฒั นาขน้ึ ไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบกลมุ่ (Cluster Random
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 การศกึ ษาผลการใช้รูป Sampling)
แบบกจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู 2) เนอ้ื หา เนอ้ื หาท่ีใช้จัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ
อ่าน เขียน ภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ในการวจิ ยั ครงั้ นี้ ไดแ้ ก่ เนอ้ื หาในรายวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน
เพอ่ื ยนื ยัน และรายงานคณุ ภาพของรูปแบบ ดงั นี้ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ตามหลกั สตู รแกนกลางการ
1. ศึกษาความสามารถด้านทักษะพิสัย ศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
เกีย่ วกบั การฟัง พูด อา่ น เขียน ภาษาไทยของนกั เรยี นช้ัน ใชเ้ วลาเรียนแผนการจัดการเรียนรลู้ ะ 1 ช่ัวโมง รวมเวลา
ประถมศึกษาปที ี่ 4 ที่ได้รับการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ตู าม 24 ชว่ั โมง ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2560 จำ� นวน 4 หนว่ ย
รปู แบบในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ หน่วยละ 6 ชั่วโมง
2. เปรยี บเทยี บความสามารถดา้ นทกั ษะ 3) ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาค
พสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษาไทยของนกั เรยี น เรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2560
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ระหวา่ งกอ่ นเรยี นและหลงั การเรยี น 4) ตัวแปรทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 4.1 ตวั แปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ รปู แบบกจิ กรรมการ
ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง เรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี น ภาษา
ประชากร ไดแ้ ก่ นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ไทยของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4
โรงเรียน ในสงั กัดสำ� นกั การศกึ ษาเทศบาลเมืองรอ้ ยเอด็ ปี 4.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่
การศึกษา 2558 จ�ำนวน 650 คน จากโรงเรยี น 8 โรง 1. ความสามารถในการฟัง พูด อ่าน
กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ เขียนภาษาไทยของนักเรียน โดยครอบคลุมความสามารถ
4 จำ� นวน 2 โรง ไดแ้ ก่ 1) โรงเรยี นเทศบาลวดั เหนอื นกั เรยี น 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การส่ือความหมายดว้ ยค�ำศพั ทถ์ ูก
จำ� นวน 30 คน ใชจ้ ดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามรปู แบบทผี่ วู้ จิ ยั ต้อง 2) ความหมายของข้อความถูกต้องตามบริบทการ
พฒั นาขนึ้ ไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบกลมุ่ (Cluster Random สื่อสาร 3) การออกเสียงค�ำศัพท์และประโยคถูกต้อง 4)
Sampling) ความตอ่ เนอ่ื งของการพดู 5) การตอบสนองดา้ นการฟงั พดู
การดำ� เนนิ วจิ ยั ระยะท่ี 4 (D2/Development) อ่าน เขยี นทถ่ี กู ต้องเหมาะสม
ประเมินผลรูปแบบ เป็นการประเมินผลการใช้รูปแบบชุด 2. ความพึงพอใจของนักเรียนในการ
กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู อา่ น เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยเกี่ยวกับ
เขยี น วชิ าภาษาไทยของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โดย การฟัง พูด อ่าน เขียน
ประเมิน ความเหมาะสมของเนื้อหา รปู แบบ ความรคู้ วาม
51
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
วธิ ีดำ�เนนิ การวจิ ัย
ในการพฒั นารูปแบบชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ด้านทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การฟัง พูด อ่าน เขยี น วชิ าภาษาไทยของ
นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 สามารถสรุปเปน็ ขัน้ ตอน ดังปรากฏตามแผนภูมิที่1
ขน้ั ที่ 1 ขั้นที่ 2 ขนั้ ที่ 3 ขนั้ ท่ี 4
การศกึ ษาข้อมลู พื้นฐาน การพัฒนา/หาประสทิ ธภิ าพ วิจยั การทดลองกลมุ่ การพฒั นาและหา
1. การศึกษาแนวคิดทฤษฎี รูปแบบ ตัวอยา่ ง ประสิทธภิ าพ
และสังเคราะห์งานวิจัยเกยี่ ว
กบั การพฒั นากจิ กรรมการ พัฒนาโครงรา่ งกจิ กรรมการเรียน ทดลองชุดกจิ กรรมการ 1. ประเมินความรู้ ความ
เรียนรู้ และการประเมินด้าน รู้ ซงึ่ ประกอบดว้ ย ข้ันเตรยี ม(แจ้ง เรียนรฯู้ เขา้ ใจของนกั เรียนหลัง
ทกั ษะพสิ ยั จดุ ประสงคก์ ารเรียน)/ ข้ันสอน(นำ� กบั กล่มุ ตัวอย่าง ใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
2. ศกึ ษาความต้องการเกี่ยว เสนอเนอื้ หา)/ข้ันทำ�กจิ กรรมกลมุ่ / 1. วดั ความรู้ ความเข้าใจ (Posttest)
กับรูปแบบ เนอ้ื หาของ วชิ า ขนั้ ตรวจสอบผลงานและทดสอบ/ขน้ั ก่อนใชช้ ุดกจิ กรรมการ 2. ประเมินความสามารถของ
ภาษาไทย ด้านการฟงั การพูด ตรวจสอบและสรุปผลการเรียนรู้ เรยี นรู้ฯ นักเรียนด้านทักษะพิสัย
การอา่ น และการเขยี น ระดบั การตรวจสอบโครงร่างกจิ กรรมการ (Pre-test) การฟงั
ประถมศึกษาปีท่ี 4 เรยี นรฯู้ โดยผ้เู ช่ยี วชาญดา้ นภาษา/ 2. ทดลองกับกลมุ่ ตัวอยา่ ง พูด อา่ น และ เขยี น
3. ศกึ ษาแนวทางในการพฒั นา ด้านการพฒั นาชดุ กิจกรรม การเรียน 3. วดั ความรู้ ความเข้าใจหลัง 3. ประเมินความคดิ เห็นของ
รปู แบบและการประเมนิ รปู รฯู้ ดว้ ยวธิ ี ใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ฯ นักเรยี นที่มีต่อชุดกิจกรรม
แบบกจิ กรรมการเรียนรจู้ ากผู้ (Post-test) การเรียนรูฯ้
เช่ียวชาญ หาประสทิ ธิภาพของคู่มอื 4. เปรยี บเทียบคะแนน
ทดลองใช้รายบุคคลนักเรยี น 3 คน ระหวา่ งกอ่ นและหลังเรยี น
ด้วยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรูฯ้
ปรบั ปรุงแก้ไข ปรับปรงุ แก้ไข ไม่ผ่าน
ทดลองใชก้ ลมุ่ เลก็ ใช้นกั เรยี น 9 คน ผลการประเมนิ
ปรบั ปรุงแก้ไข ผ่าน
ทดลองใช้ภาคสนามนักเรยี น 20 คน ชุดกจิ กรรมการเรียนรฯู้ ฉบบั สมบูรณ์
ปรับปรุงแก้ไข
แผนภมู ิท่ี 1 วธิ ีดำ�เนนิ การวจิ ยั
52
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผลการวิจยั 4. ผลการประเมินการใช้และความคิดเห็นท่ีมีต่อ
. 1. ผลการศกึ ษาสภาพการปฏบิ ตั แิ ละความตอ้ งการ รปู แบบชดุ กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกย่ี วกบั การ
ในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยเก่ียวกับ ฟัง พูด อ่าน เขียน วิชาภาษาไทยของนกั เรียนชน้ั ประถม
การฟงั พูด อา่ น เขยี น ภาษาไทยของนกั เรียนช้ันประถม ศกึ ษาปีที่ 4 พบว่า ผลการประเมินความเหมาะสมของรูป
ศกึ ษาปที ี่ 4 พบวา่ สภาพการปฏบิ ตั กิ ารจดั การเรยี นรภู้ าษา แบบโดยผเู้ ชยี่ วชาญอยใู่ นระดบั มาก ครแู ละนกั เรยี นมคี วาม
ไทยของครูผู้สอนยังไม่ได้เน้นให้ความส�ำคัญในการเสริม พงึ พอใจอยใู่ นระดบั ดีมาก
สร้างทกั ษะการฟงั พดู อา่ นและเขยี นภาษาไทยใหผ้ ู้เรียน
ประสบผลสำ� เรจ็ และสามารถสอื่ สาร ผา่ น การฟงั และการ อภิปรายผล
พูดในสถานการณ์จริงเท่าที่ควร อีกทั้งยังไม่มีการจัดการ . ผลการวจิ ยั เพอื่ พฒั นารปู แบบการจดั กจิ กรรมการ
เรยี นรใู้ นบรบิ ทการฝกึ ปฏบิ ัตเิ สรมิ สรา้ งการฟงั และการพดู เรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู อา่ น เขยี นภาษา
ในชนั้ เรยี น เพื่อใหผ้ ้เู รยี นบรรลุผลในการใชภ้ าษาไทย เพื่อ ไทยของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ทปี่ รากฏตามความ
การสื่อสารด้านการฟัง พดู อา่ น และเขยี นทเ่ี ป็นรูปธรรม มุ่งหมาย การวิจัย ผู้วิจัยได้อภิปรายผลประกอบในแต่ละ
ซึง่ เปน็ เงื่อนไขความตอ้ งการทีจ่ ะพฒั นา ผู้เรียนดา้ นทักษะ ประเด็น ดงั นี้
การฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยส�ำหรับนักเรียนให้ 1. ผลการศกึ ษาสภาพการปฏบิ ตั แิ ละความตอ้ งการ
ประสบผลส�ำเรจ็ ยงิ่ ขึ้น ในรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยเกี่ยว
. 2. ผลการพฒั นาและทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การ กบั การฟงั พดู อา่ น เขยี นภาษาไทยของนกั เรยี นชนั้ ประถม
เรียนรู้เพ่ือเสริมสร้างความสามารถในการส่ือสารด้านการ ศึกษาปที ่ี 4 พบวา่ สภาพการจัดการเรียนรูภ้ าษาไทยของ
ฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยของนักเรียน พบว่า ครผู สู้ อนยงั ไมไ่ ดเ้ นน้ ใหค้ วามสำ� คญั ในการเสรมิ สรา้ ง ทกั ษะ
แนวคิดทฤษฎีท่ีน�ำมาใช้ สนับสนุนการพัฒนารูปแบบการ การฟังและการพูดภาษาไทยให้ผู้เรียนประสบผลส�ำเร็จ
จดั การเรียนรู้ ประกอบดว้ ย 1) ทฤษฎกี ารสรา้ งความร ู้ 2) และสามารถสื่อสารผ่านการฟัง พูด อ่าน เขียนใน
ทฤษฎแี รงจูงใจ 3) ทักษะพิสยั 4) แนวคดิ การจดั การเรียน สถานการณจ์ รงิ เทา่ ทคี่ วร อกี ทงั้ ยงั ไมม่ กี ารจดั การเรยี นรใู้ น
รู้ และ 5) แนวคดิ การเรยี นร้เู น้นภาระงานเปน็ ฐาน โดยน�ำ บรบิ ทการฝกึ ปฏิบตั ิเสริมสรา้ ง การฟัง พดู อ่าน เขียนใน
มาสังเคราะห์ประกอบการสรา้ งรูปแบบ การจัดการเรยี นรู้ ชน้ั เรยี น เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นบรรลผุ ลในการใชภ้ าษาไทยเพอื่ การ
และมอี งคป์ ระกอบของรปู แบบ ไดแ้ ก่ 1) แนวคดิ และทฤษฎี สื่อสารด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนท่ีเป็นรูปธรรม ซ่ึงเป็น
พื้นฐาน 2) วัตถปุ ระสงค์ 3) ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรู้ 4) เงอื่ นไขมคี วามตอ้ งการทจี่ ะพฒั นาผเู้ รยี นดา้ นทกั ษะการฟงั
หลกั การตอบสนอง 5) ระบบสนบั สนนุ และ 6) การวดั และ พดู อา่ น เขยี นภาษาไทยสำ� หรบั นกั เรยี นใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็
ประเมินผล และรปู แบบมีกระบวนการจัดการเรยี นรู้ 5 ข้นั ยง่ิ ขนึ้ การทป่ี รากฏผลการศกึ ษาเบอ้ื งตน้ ดงั กลา่ ว อาจเปน็
ไดแ้ ก่ 1) การกระตนุ้ ความสนใจ 2) การแนะน�ำเนอ้ื หา 3) เพราะวา่ บรบิ ทการจดั การเรยี นรภู้ าษาไทยทเ่ี ปน็ ภาษาหลกั
การฝกึ ปฏบิ ตั ิ 4) การน�ำเสนอผลการปฏิบัติ และ 5) การ ของนักเรียนกลุ่มดังกล่าว ยังขาดการสนับสนุนให้จัด
สรุปและประเมิน รวมท้ังปรากฏผลการทดลองใช้รูปแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ สอดรับกับสภาพแวดล้อม
การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ของการ การเรยี น และการใชภ้ าษาไทย รวมทง้ั กระบวนการจดั การ
วเิ คราะห์จากคะแนนประเมนิ ทักษะการฟัง พูด อ่าน และ เรียนรู้ของครูท่ีน�ำมาใช้กับนักเรียน ยังขาดความเหมาะ
เขยี นของนักเรียนเทา่ กับ 72.27/71.84 สมในเรอ่ื งจุดเน้นการพฒั นาทักษะการฟงั พดู อา่ น เขียน
. 3. ผลการน�ำรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริม ซึ่งเห็นว่าหากต้องการพัฒนาผู้เรียน ในทักษะการฟัง พูด
สรา้ งความสามารถดา้ นการสอื่ สาร ในการฟงั พดู อา่ น และ อา่ น เขียนที่ได้ผล จะต้องใช้กจิ กรรมท่ีเช่ือมโยงกบั การฝึก
เขียนภาษาไทยของนกั เรียนไปใช้ พบว่า 1) ความสามารถ ปฏิบัติจริง มีการน�ำความรู้ ไปสร้างประสบการณ์ใหม่ใน
ด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียนของนักเรียน ท่ีได้รับการ สถานการณท์ มี่ โี อกาสฟงั พดู อา่ น เขยี นภาษาไทยคอ่ นขา้ ง
จดั การเรยี นรตู้ ามรปู แบบในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ คดิ เปน็ มาก แตท่ ผ่ี ูส้ อนได้ ปฏิบัติกิจกรรมการฟัง พูด อ่าน เขยี น
ร้อยละ51.31, 61.90, 68.85 และ 77.66 ตามลำ� ดบั 2) จากการอ่านข้อความเน้ือหาจากเอกสารหรือหนังสือเรียน
นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรตู้ ามรปู แบบมคี ะแนนการ ไปพร้อมด้วย อีกทั้งผู้เรียนยังขาดทักษะการฝึกใช้ใน
ฟงั พดู อา่ น และเขยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สถานการณจ์ รงิ และสรา้ งความแมน่ ยำ� ในองคค์ วามรเู้ กย่ี ว
ส�ำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01 กับ โครงสร้างของภาษา จึงส่งผลให้นักเรียนยังมีข้อ
53
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บกพร่องในการเรียนทใ่ี ชท้ ักษะการฟงั พดู อ่าน เขยี นทมี่ ี สามารถปรบั ใชก้ บั ทกุ ระดบั ชน้ั เรยี นและความหลากหลาย
คณุ ภาพตามเปา้ หมาย ซงึ่ หากจะดำ� เนนิ การจดั กจิ กรรมให้ ของกลุ่มผู้เรียน และกรอบโครงสร้างรูปแบบการจัดการ
เออื้ ตอ่ การเสรมิ สรา้ งทกั ษะการฟงั พดู อา่ น เขยี นทปี่ ระสบ เรยี นรู้ ในการวจิ ยั คร้งั น้ี ผู้วจิ ัยไดน้ �ำแนวคดิ ของ Joyce &
ผลส�ำเรจ็ จะต้องให้ความสำ� คญั กบั บรบิ ทของผู้เรยี น การ Calhoun (2011 : 6) ทีเ่ สนอแนะไวว้ า่ รปู แบบการจัดการ
ออกแบบเนื้อหาบทเรียน และกระบวนการเรียนรู้ที่ เรียนรู้ท่ีมีคุณภาพเหมาะสมน้ัน ควรมีองค์ประกอบส�ำคัญ
สนับสนุนการพัฒนาทักษะของผู้เรียน สอดคล้องกับ ไดแ้ ก่ แนวคดิ ทฤษฎี พื้นฐาน และงานวิจัยทเ่ี กีย่ วขอ้ ง การ
Halliday (1973 : 8) ท่อี ธบิ ายว่า การเรียนภาษาเพ่อื การ บรรลุประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ การตอบสนอง
สื่อสารให้ประสบผลส�ำเร็จ ผเู้ รียนจะต้องมีความรอบรู้ ใน และการปรับตัวของผู้เรียน กลวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มี
โครงสรา้ งทางภาษาและสามารถนำ� ไปใชใ้ นบรบิ ททางสงั คม สมรรถนะและความสะดวกเหมาะสมในการนาไปปฏิบัติ
ของตนเองดว้ ย อีกทง้ั Widdowson (1990 : 29) เห็นว่า เงอื่ นไขบรบิ ทแวดลอ้ มในการตอบสนองและการเรยี นรจู้ าก
การเรยี นรภู้ าษาเพอ่ื การสอื่ สารทม่ี คี ณุ ภาพควรจดั ใหผ้ เู้ รยี น ประสบการณ์ เพื่อช่วยสนับสนุน ให้ผู้เรียนบรรลุผลด้าน
ได้เผชิญการใช้ภาษา ในบริบททางสังคมท่ีเป็นเหตุการณ์ ข้อมลู ขา่ วสาร ความคิด ทักษะ คา่ นยิ ม วธิ ีการคดิ และวธิ ี
จริง ตามบทบาทหน้าที่ของผู้เรียนในชีวิต โดยเฉพาะการ การปฏบิ ตั หิ รือ การแสดงออกของผู้เรียน รวมทั้งการเสรมิ
สนทนา ในมุมมองเรื่องต่างๆ และหากผู้เรียนรู้และเข้าใจ สร้างการรู้คิดที่เชื่อมโยงกับบริบททางสังคม ซ่ึงมีแนวคิด
กฎเกณฑ์ทางภาษา กจ็ ะชว่ ยให้ใชภ้ าษา เพ่อื การสือ่ สารได้ ทฤษฎี ทเ่ี กยี่ วขอ้ งนำ� มาใชส้ นบั สนนุ การพฒั นารปู แบบการ
ประสบผลสำ� เรจ็ มากขนึ้ ซง่ึ ผเู้ รยี นทมี่ คี วามสามารถในการ จัดการเรียนรู้ ที่ประกอบด้วย ทฤษฎีการสร้างองคค์ วามรู้
สื่อสารทางภาษาที่ดี ก็ย่อมต้องการความสามารถในด้าน ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ ทฤษฎีแรงจูงใจ แนวคิดการ
หลักเกณฑ์ทางภาษาตามไปด้วย ดังนั้น จะเห็นว่าการ จดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื และ แนวคดิ การเรยี นรเู้ นน้ ภาระ
พฒั นา ทกั ษะทางภาษาดา้ นการฟงั พดู อา่ น เขยี นเปน็ เรอื่ ง งานเป็นฐาน ทงั้ นแี้ ตล่ ะแนวคดิ ทฤษฎีจะมปี ระเดน็ เงื่อนไข
ยากในการทจ่ี ะพัฒนาผเู้ รียนให้บรรลุผลอย่างมปี ระสทิ ธิ - ส�ำคัญท่ีสามารถ น�ำมาปรับใช้สนับสนุนให้การเรียนรู้การ
ภาพ โดยเฉพาะกับผู้เรียนในวัยนี้ จึงส่งผลให้การเรียนรู้ ฟงั พดู อ่าน เขยี นภาษาไทย ของนกั เรียนประสบผลส�ำเร็จ
ภาษาด้านการฟงั พูด อา่ น เขยี นของนักเรยี น ในบริบทที่ ดังที่นักจิตวิทยากลุ่มทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Construc-
เกี่ยวข้องกับการวิจัยครั้งนี้ยังไม่ประสบผลส�ำเร็จและ tivist Theory) มคี วามเชอื่ วา่ การเรยี นรู้ ของผเู้ รยี นดำ� เนนิ
ต้องการปรับปรุงพัฒนา ให้มีประสิทธิภาพเพ่ิมขึ้น ดังที่ การบนพื้นฐานของกระบวนการรู้คิดและกระบวนการทาง
ปรากฏในผลการวจิ ยั ครัง้ นี้ สังคม การเรยี นรูส้ ่งิ ใหม่ จะต้องเชอื่ มโยงกบั ประสบการณ์
. 2. ผลการพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการจัด เดมิ ผา่ นการปรบั โครงสรา้ งทางปญั ญาใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดลุ
กจิ กรรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพสิ ยั เกยี่ วกบั การฟงั พดู อา่ น และการสร้างความขัดแย้งทางปัญญา การใช้หลักการ
เขียนภาษาไทยของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 พบว่า Scaffolding และ ZPD เพ่ือนาไปสู่ การเรียนร้ทู ่ีลงตวั และ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบโครงสร้าง และมี มคี วามสมบรู ณ์ จากเหตผุ ลและเงอื่ นไขความสำ� คญั ดงั กลา่ ว
แนวคดิ ทฤษฎพี น้ื ฐานสนบั สนนุ ทเี่ หมาะสม รวมทงั้ มผี ลการ เห็นว่าแนวคิดทฤษฎีท่ีน�ำมาใช้สนับสนุน การออกแบบ
ทดลองใชม้ คี ณุ ภาพในระดับที่ยอมรับได้ การท่ีผลการวิจัย กจิ กรรมการเรียนรู้ตามรปู แบบ ล้วนเปน็ เงอื่ นไขส่งผลใหผ้ ู้
ปรากฏเช่นนี้เนื่องมาจาก องค์ประกอบโครงสร้างรูปแบบ เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรู้ ตามรปู แบบมพี ฒั นาการดา้ น
การจดั การเรยี นรไู้ ดด้ ำ� เนนิ การบนพน้ื ฐานของกรอบแนวคดิ ความสามารถการฟัง พดู อา่ น เขยี นภาษาไทยเพ่มิ ขน้ึ ดัง
การสร้างรปู แบบทมี่ คี วามเหมาะสม น่าเชอ่ื ถอื และยอมรบั ทปี่ รากฏ ในผลการวิจัยครั้งนี้
ได้ สอดคล้องกับ Gunter และคณะ (2010 : 64) ได้เสนอ . 3. ผลการน�ำรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพ่ือเสริม
กรอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ (Instructional สร้างความสามารถด้านการส่ือสาร ในการฟังและการพูด
Model) ไว้ว่าเปน็ รูปแบบทีเ่ ชือ่ มโยงกบั เงอ่ื นไขบริบทของ ภาษาไทยของนกั เรยี นไปใช้ พบวา่ 3.1) ความสามารถดา้ น
ช้ันเรียนและแนวคิดการจัดการเรียนรู้ เพื่อนาไปสู่ การฟงั พูด อ่าน เขยี นของนักเรยี นที่ได้รบั การจัดการเรียน
วัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ ทตี่ อ้ งการ ซึง่ รปู แบบการจัด การ รตู้ ามรปู แบบในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ มคี า่ รอ้ ยละเพม่ิ ขนึ้
เรยี นรทู้ ด่ี จี ะตอ้ งสะทอ้ นวธิ กี ารเรยี นรขู้ องบคุ คล สอดคลอ้ ง ตามลาดบั และ 3.2) นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรตู้ าม
กับจดุ ประสงค์และวิธีการประเมินผล สนับสนุนการมีสว่ น รูปแบบทพี่ ัฒนาข้นึ มีคะแนนทักษะการฟัง พูด อา่ น เขียน
รว่ มและปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความกระตอื รอื รน้ ในกจิ กรรมการเรยี น หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น และการทผ่ี ลการวจิ ยั ปรากฏเชน่
รู้ของผู้เรียน มีล�ำดับข้ันตอนของกระบวนการเรียนรู้ น้ี แสดงวา่ กระบวนการจดั การเรยี นรตู้ ามรปู แบบ มคี ณุ ภาพ
54
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
สามารถสง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสามารถ ดา้ นการฟงั และการ องคป์ ระกอบแตล่ ะสว่ นของรปู แบบลว้ นมปี ระโยชนส์ าหรบั
พดู ภาษาไทยเพ่มิ ข้ึน อกี ท้งั มีคะแนนสงู กว่านกั เรียนกลุม่ ท่ี การเรยี นรู้ กระบวนการของรปู แบบจะเรมิ่ ตน้ จากการรบั รู้
เรียนแบบปกติ ทั้งนี้เป็นผลเน่ืองมาจากกิจกรรมการเรียน ข้อมลู ขา่ วสารจากสถานการณแ์ วดลอ้ มภายนอก รอบตัวผู้
ภาษาไทยที่ออกแบบบนพ้ืนฐานของแนวคิดทฤษฎี การ เรียน ผ่านประสาทการรับรู้ข้อมูลที่เหมาะสม แล้วจัด
สรา้ งองคค์ วามรู้ ทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ ทฤษฎแี รงจงู ใจ กระทาขอ้ มลู ดงั กลา่ วเพอ่ื จดั เกบ็ ขอ้ มลู ไวใ้ นหนว่ ยความจำ�
แนวคดิ การจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื และแนวคดิ การเรยี น ของตน สดุ ทา้ ยของการประมวลผลจะแสดงประสบ -การณ์
รเู้ นน้ ภาระงานเปน็ ฐาน ซงึ่ แตล่ ะแนวคดิ มี จดุ แขง็ ทส่ี ามารถ เดมิ ของผ้เู รยี นกับ ความคดิ รวบยอด เพือ่ นาไปสูก่ ารเรียน
สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรดู้ า้ นการฟงั และการพดู ภาษา รู้ใหม่ในระยะต่อไป และจะช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนเข้าใจ
ไทย ตามเงื่อนไขและหลักการสนับสนุน ของแตล่ ะแนวคิด และจดจำ� บทเรียนไดง้ า่ ยขนึ้
กลา่ วคือ แนวคิดของ Piaget (Brown. 1980 : 89 ; citing . จากเหตุผลและปจั จยั ดงั กลา่ วจงึ ส่งผลใหน้ ักเรียน
Piaget. 1972) เหน็ วา่ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นทมี่ คี ณุ ภาพจะ ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรตู้ ามรปู แบบ มคี วาม สามารถดา้ น
ต้ังอยู่บนเงื่อนไขของความสามารถในการรู้คิด หากผู้สอน การฟงั พดู อา่ น เขยี นเพ่มิ ขึ้น ท้งั ในแต่ละหน่วยการเรยี น
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดภาวะความไม่สมดุลในการรู้คิด หรือ รู้และหลังเรียน รวมท้ังคะแนนการฟังและการพูดสูงกว่า
ภาวะความขดั แยง้ ทางปญั ญา แลว้ จะสง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นมคี วาม กลุ่มที่ได้รบั การจัดการเรยี นรู้ แบบปกติ ดังทปี่ รากฏในผล
กระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะคน้ หาคาตอบ หรอื แกป้ ญั หาในเหตกุ ารณ์ การวจิ ัยครงั้ น้ี
นน้ั ใหบ้ รรลผุ ลสำ� เรจ็ การจดั การเรยี นรทู้ ดี่ จี งึ ตอ้ งจดั โอกาส
ให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะปรับเปล่ียนเงื่อนไข ทาง ข้อเสนอแนะ
กายภาพของตัวเองให้เข้ากับเหตุการณ์แวดล้อม โดย 1. ขอ้ เสนอแนะในการน�ำผลการวจิ ัยไปใช้
ธรรมชาติการเรียนรู้ผู้เรียนจะนากระบวนการ สร้างความ . 1.1 จากผลการวจิ ยั ครผู สู้ อนสามารถนา
สมดุลด้านการรู้คิด (Process of Equilibration) ที่ รปู แบบทพี่ ฒั นาขนึ้ ไปปรบั ใชเ้ พอ่ื เสรมิ สรา้ ง ความสามารถ
เกยี่ วขอ้ งกบั การตอบสนอง เพอื่ รบั รปู้ ละปรบั ขอ้ มลู ความรู้ ดา้ นการสอื่ สารในการฟงั และการพดู ภาษาไทยของนกั เรยี น
(Assimilation) เข้าไว้ในหน่วยโครงสร้างข้อมูลทางสมอง โดยค�ำนึงถึงความรู้พื้นฐานของนักเรียน และกลวิธีในการ
พร้อม กับการปรับเปลี่ยนหน่วยข้อมูลดังกล่าวให้สอดรับ ดำ� เนนิ กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ช่ี ว่ ยกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ทกั ษะ
กับข้อมูลความรู้ใหม่ อีกทั้งแนวคิดทฤษฎีการสร้างองค์ พิสัยทางภาษาไทย
ความรู้ (Constructivist) ซงึ่ Vygotsky (Woolfolk. 1987 . 1.2 เ นอ้ื หาทกุ เนอื้ หาในรายวชิ าภาษาไทย
: 43 ; citing Vygotsky.1978) ไดเ้ สนอแนวคิดทฤษฎี ทาง ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาสามารถนำ� มาใช้ ในการจดั การเรยี น
สงั คมวฒั นธรรมไวว้ า่ การมปี ฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมของผเู้ รยี น รเู้ พอื่ เสรมิ สรา้ งความสามารถดา้ นการสอ่ื สารในการฟงั พดู
กับเพ่ือนนักเรียนและผู้สอน สามารถช่วยเสริมสร้างความ อา่ น เขยี นภาษาไทย ของนักเรยี นตามรูปแบบทพ่ี ฒั นาข้ึน
ตงั้ ใจ การจดจาความรดู้ ว้ ยเหตผุ ล และความเขา้ ใจในความ ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ระหว่างครู
คดิ รวบยอด ของเหตกุ ารณท์ เี่ รยี นรเู้ พมิ่ ขนึ้ ซงึ่ เปน็ กระบวน และนักเรียนท่ีสามารถร่วมกิจกรรมโดยให้นักเรียนเกิด
การเรยี นรทู้ างสงั คมผา่ นการคดิ ในสถานการณป์ ญั หา และ ความสนใจในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะพิสัยทางภาษา
การสนทนาแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ความรซู้ ง่ึ กนั และกนั หรอื การ ไทย
อภปิ รายในกลมุ่ ผเู้ รยี นดว้ ยประเดน็ ทใ่ี ชก้ ารคดิ อยา่ งเหมาะ . 1.3 เวลาทใี่ ชใ้ นการจดั การเรยี นรใู้ นแต่
สม ท่สี ามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรยี นรู้ของผเู้ รียน ละขั้นอาจยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม โดยในชั่วโมง
เพม่ิ ขน้ึ และในสว่ นของแนวคดิ ทฤษฎกี ารประมวลผลขอ้ มลู แรกๆ อาจตอ้ งใชเ้ วลาในการจดั การเรยี นรใู้ นแตล่ ะขน้ั นาน
ขา่ วสารน้นั Brown (1980 : 90) ได้แนะนา และอธบิ ายให้ กว่าที่ก�ำหนด แต่ในการจัด การเรียนรู้ในช่ัวโมงต่อๆ ไป
ผู้สอนได้เข้าใจว่าการเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดข้ึนตาม เวลาทใ่ี ชใ้ นการจดั การเรยี นรจู้ ะกระชบั ลง และเปน็ ไปตาม
กระบวนการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร โดยใช้กรอบ แผนที่วางไว้ และแต่ละคร้ังในการจัดการเรียนรู้ควรใช้
โครงสร้างองค์ความรู้ที่เกิดจากความสามารถด้านการคิด จดั การเรียนรู้ในครบทกุ ขัน้ เพือ่ ความเข้าใจในเนือ้ หา และ
และรูปแบบการประมวลผลของการปฏิบัติการทางสมอง เกิดการเรยี นรู้ ที่ตอ่ เน่อื ง
ในการจดั รวบรวมข้อมลู การประเมนิ ผลขอ้ มลู การบันทึก . 1.4 ครผู ูส้ อนควรศกึ ษาคู่มือการใช้
จัดเกบ็ ข้อมลู และ การน�ำขอ้ มลู ความรู้ที่จดั เก็บไวม้ าใช้ ซ่ึง รปู แบบใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจกอ่ นนำ� รปู แบบไปใช้ และมกี ารเต
55
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รียมส่อื อุปกรณใ์ นการจัดการเรยี นรใู้ ห้เพียงพอกับจำ� นวน เรียนรู้ของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ
นักเรยี น และทำ� ความเขา้ ใจ กบั การจัดการเรยี นรู้ในแต่ละ การจัดการเรียนรู้เพ่ือเสริมสร้างความสามารถด้านการ
ขน้ั รวมทงั้ จะตอ้ งมที กั ษะภาษาไทยทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ระหวา่ งการ สอื่ สารภาษาไทยของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4
จัด การเรียนรู้ และความรอบรู้ในเน้ือหา การเสริมแรง . 2.2 ควรศกึ ษาหลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี
กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี น ทำ� ความเขา้ ใจในหลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี ท่ีเกี่ยวข้องเพิ่มเติมในการประยุกต์รูปแบบ สู่ทักษะทาง
ที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ทฤษฎี ภาษาบรู ณาการท้งั 4 ทักษะ ได้แก่ ทกั ษะการฟงั ทักษะ
การสร้างองค์ความรู้ (Constructivist Theory) แนวคิด การพูด ทักษะการอ่าน และ ทักษะการเขียน ซ่ึงท�ำให้ผู้
ทฤษฎี ประมวลสารสนเทศ (Information Processing เรยี นมที กั ษะภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สารโดยเนน้ การประเมนิ
Theory) ทฤษฎีแรงจงู ใจ (Motivation Theory) แนวคิด ตามสภาพจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ (Collaborative 2.3 ควรนำ� รปู แบบการจดั กิจกรรมการ
Learning Theory) และ แนวคดิ การเรยี นรเู้ น้นภาระงาน เรยี นรู้ด้านทักษะพสิ ัยเกยี่ วกับการฟัง พูด อ่าน เขียนเพ่ือ
เปน็ ฐาน (Task Based Learning) เสริมสร้างความสามารถด้านการสื่อสารภาษาไทยของ
2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้งั ต่อไป นกั เรยี นไปใชก้ บั เนอ้ื หาอนื่ ๆ ในระดบั ชน้ั อนื่ ๆ เพอ่ื จะไดข้ อ้
2.1 ควรมกี ารศกึ ษาความคงทนในการ สรุป ผลการวจิ ัยกวา้ งขวางมากยิ่งขึ้น
เอกสารอ้างองิ
กรมวชิ าการ. (2545) ก. คู่มือการจัดการเรยี นร้กู ลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย. กรงุ เทพฯ :โรงพมิ พอ์ งคก์ าร
รับส่งสนิ ค้าและพสั ดภุ ัณฑ์
______. (2545) ข. คู่มือการจัดการเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นร้สู งั คม ศาสนา และวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินค้าและพัสดภุ ณั ฑ์
______. (2545) ค. แนวการวดั และประเมนิ ผลในชนั้ เรยี น กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทยตามหลักสูตร
การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพอ์ งคก์ รรับส่งสินค้าและพสั ดุภณั ฑ์
_____. (2546). การจัดสาระการเรยี นรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามหลักสตู รการศึกษา
ข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2544). หลักสตู รการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานชิ .
_____. (2542). นโยบายและแนวทางการพัฒนาคณุ ภาพของกระทรวงศึกษาธิการ. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพก์ าร
ศาสนา
กฤษณา ประชากลู . (2537) “การสร้างชุดฝึกอบรมเรอ่ื ง “การเลอื กส่อื การเรยี นการสอน” ส�ำหรับครูในโรงเรยี น
มัธยมศกึ ษา สงั กดั กรมสามัญศึกษา ในกรงุ เทพมหานคร.” วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ
สาขาวิชาเทคโนโลยที างการศึกษา บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กนั ทมิ า เอมประเสรฐิ . (2542) “การพฒั นาคูมือการจดั การเรยี นรู้โดยใช้โครงงาน ในระดับประถมศกึ ษา.”
วิทยานิพนธ์ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการนเิ ทศ บณั ฑิตวทิ ยาลยั
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
บุญเก้ือ ควรหาเวช. (2530) นวัตกรรมการศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: เจริญวิทยก์ ารพิมพ.์
บ�ำรุง ใหญ่สูงเนิน. (2537) “การพัฒนาชดุ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองเพื่อเสริมความรเู้ กยี่ วกับการสอนทักษะ
การคิดวิเคราะหว์ จิ ารณ์ ของครูประถมศึกษา.” วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบณั ฑติ ภาควชิ า
ประถมศึกษา บัณฑติ วิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ปฏิพทั ธ์ สุวรรณศร. (2544). “การประเมนิ ผลแนวใหม.่ ” เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร.
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
56
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
พวงรัตน์ ทวรี ัตน์. (2540). วธิ กี ารวจิ ยั ทางพฤตกิ รรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร.์ พิมพ์ครัง้ ที่ 7 กรุงเทพฯ : ม.ป.ท.
สมศักดิ์ ภวู่ ภิ าดาวรรธน์. (2544). การยดึ ผ้เู รียนเปน็ ศนู ย์กลางและการประเมินตามสภาพจริง. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 2.
เชียงใหม่ : โรงพมิ พแ์ สงศลิ ป์
ส�ำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2540). ค่มู อื ครแู นวการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาษาไทย แบบมงุ่ ประสบการณ์ภาษา ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 1- 2. ม.ป.ท.
---------. (2540) ก การนิเทศการศกึ ษาพฒั นาการเรียนการสอน กลมุ่ สร้างเสริมประสบการณช์ ีวติ ทีเ่ นน้ นกั เรียน
เป็นศนู ย์กลาง. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
----------. (2540) ข คมู่ อื การอบรมเลี้ยงดูเดก็ ระดบั กอ่ นประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา ลาดพร้าว.
สำ� นกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการคร.ู (2543). คู่มอื การด�ำเนนิ งานโครงการพัฒนาชีวติ คร.ู กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพร้าว
สำ� นักงานประสานงานโครงการทรพั ยากรมนุษย.์ (2540). คมู่ ืออบรมปฏบิ ัติการกระบวนการเรียนการสอน
แบบนักเรียนเปน็ ศูนย์กลาง. กรงุ เทพฯ : เนติกลุ การพมิ พ์
Brown, W.B., & Moberg, D.J. (1980). Organization theory and management: Approach. New York :
John Wiley and Sons.
Easterwood, C.A. (February 1997) “The Effect of Self – Reflective Portfolios on The Writing
Achievement of Third Grade Students.” Dissertation Abstract International 35 : 52.
Gunter, Mary A; Ester, Thomas H. & Minz, Susan L. (2010). Instruction: A Model Approach. 5th. ed
Bostob: MA. Pearson Education, Inc.
Haiiiday, M. A. K. (1973). Explorations in the Functions of Language. London : Edward Arnold
Hillyer, B.J. (August 1993) “The Impact of Portfolios on Second Grade Students Self – Assessment
of Their Literacy Development.” Dissertation Abstract International 54 : 446.
Joyce, B; & M. Calhoun E. (2011). Model of Teaching. 11th ed. Pearson Education, Inc.
Reese, S.J. (November 1992) “The Secrets Writing : An Exploration of Fifth – Grade Reading/
Writing Portfolio (Writing).” Dissertation Abstract International 35 :1394.
Widdowson, H.G. (1990). Aspect of Language Teaching. London: Oxford University.
Woolfolk. Anita E. (1987). Educational Psychology. 3rd ed. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice
–Hall
สพุ รรณกิ าร์ พยุงวงค์ : ผอู้ อกแบบจดั หน้าบทความ
57
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรยี นรู้ตามแนวคดิ หอ้ งเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
เพอื่ ส่งเสรมิ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6
******************************************************************************************************
Development of Learning Management Model According to Flipped Classroom Concept
to Promote Analytical Ability of Social Studies, Religion and Culture Department for
Mutthayomsuksa 6 Students.
อไุ รวรรณ มากพนู *1
Uraiwan Magpoon *1
[email protected] *
สง่ บทความ 8 มกราคม 2562 แกไ้ ข 1 กุมภาพันธ์ 2562 ตอบรบั 1 มนี าคม 2562
บทคัดยอ่
การพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ ความ
สามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 มวี ตั ถปุ ระสงค์
1) เพอ่ื ศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐานสำ� หรบั การพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Class-
room) เพ่อื ส่งเสริมความสามารถในการคดิ วิเคราะห ์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั
มัธยมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน
(Flipped Classroom) เพอื่ สง่ เสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห ์ กลุ่มสาระ การเรยี นร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และ
วฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ ์ 80/80 3) เพอ่ื ศกึ ษาผลการทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การ
เรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระ
การเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 และ 4) เพ่ือประเมนิ ผลการใชร้ ูปแบบการจัดการ
เรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระ
การเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 แหล่งขอ้ มูลที่ใช้ในการศึกษาขอ้ มูลพื้นฐาน คอื
หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนประทาย การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
แนวคิดทฤษฎคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห ์ การสนทนากลุ่มของครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา
และวฒั นธรรม โรงเรียนประทาย แหล่งขอ้ มลู ที่ใช้ในการสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนร ู้ คือ นักเรยี นช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2560 โรงเรียนประทาย แหลง่ ขอ้ มูลทีใ่ ช้ในการศึกษาผลการทดลองใช้
และประเมนิ รูปแบบการจดั การเรยี นร ู้ คอื นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6/4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2560 โรงเรียน
ประทาย เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา คอื 1) รปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Class-
room) เพือ่ ส่งเสรมิ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชน้ั
มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 2) แผนการจดั การเรียนร ู้ ตามรูปแบบการจดั การเรียนร ู้ 3) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะห ์ และ 5) แบบวดั ความพึงพอใจของนักเรียนทีม่ ตี ่อการเรียนรู้ โดย
ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ ส่งเสริมความสามารถในการคดิ
1 ครูวทิ ยฐานะ ครูช�ำนาญการพิเศษ โรงเรียนประทาย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา.
1 Senior Professional Level Teachers, Prathai Distdict, Nakhon Ratchasima Province.
58
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
วเิ คราะห์ กล่มุ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 สถติ ิทีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์
ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และ การทดสอบคา่ ท ี (t-test)
ผลการวจิ ัยพบว่า
1. ขอ้ มลู สภาพปจั จบุ นั และความตอ้ งการในการจดั การเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม มงุ่ สง่ เสรมิ
ใหน้ ักเรียนมที กั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 เนน้ ทกั ษะกระบวนการท�ำงาน การส่งเสรมิ ความสามารถในการการคดิ
ในดา้ นต่าง ๆ การปฏิบตั ิงานทไี่ ด้มาจากกระบวนการคิดวเิ คราะห์ของนกั เรียน การศึกษาคน้ ควา้ ในทกุ ที่ ทุกเวลา ท้งั
ท่บี ้านและในเวลาว่าง นอกเหนอื จากการเรยี นในหอ้ งเรยี น โดยใช้สอื่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ
2. รปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถ
ในการคดิ วิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ประกอบด้วย 6
องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก ่ หลกั การ วัตถุประสงค ์ กระบวนการจดั การเรียนร ู้ ระบบสงั คม สิง่ สนับสนนุ การจดั การเรยี นรู ้
และเง่อื นไขในการนำ� ไปใช ้ โดยมีขั้นตอนการเรียนรู้ 6 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ ข้นั ตอนท่ี 1 กำ� หนดปัญหา ขั้นตอนท่ี 2
วเิ คราะหป์ ญั หา ขนั้ ตอนที่ 3 ศกึ ษาคน้ คว้า ข้นั ตอนท่ี 4 สงั เคราะห์ความรู ้ และจดั กระทำ� ข้อมูล ขัน้ ตอนที่ 5 สรปุ
และประเมินผล และขนั้ ตอนที่ 6 น�ำเสนอและถา่ ยทอดความร ู้ เม่อื น�ำไปทดลองใชก้ บั นักเรียนแบบภาคสนาม จำ� นวน
30 คน พบว่า มีประสิทธิภาพเทา่ กับ 85.18/84.17 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑท์ ีก่ ำ� หนดไว ้ 80/80
3. ผลการทดลองใช้ รูปแบบการจดั การเรียนรู ้ ตามแนวคิดหอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพ่อื
สง่ เสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห ์ กล่มุ สาระการเรียนรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปี
ที่ 6 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นหลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ัยส�ำคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 และความ
สามารถในการคิดวเิ คราะห์ของนักเรียนหลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น อย่างมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ิ ที่ระดบั .01
4. นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น
(Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห ์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มากที่สุด
ค�ำส�ำคญั : การจดั การเรียนรู ้ ห้องเรยี นกลบั ด้าน การคดิ วิเคราะห์
Abstract
Development of learning management model according to flipped classroom concept to promote
analytical ability of social studies, religion and culture Department for Mutthayomsuksa 6 Students
aimed to 1) Studied about basic information of development of learning management model accord-
ing to flipped classroom concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and Culture
Department for Mutthayomsuksa 6 Students. 2) To create and find efficiency of learning management
model according to flipped classroom concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion
and Culture Department for Mutthayomsuksa 6 Students to be effective according to the criteria
80/80. 3) To study the results of the trial of learning management model according to flipped class-
room concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and Culture Department for
Mutthayomsuksa 6 Students. 4) To evaluate the use of learning management model according to
flipped classroom concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and Culture De-
partment for Mutthayomsuksa 6 Students. The data source used to study basic information is the
curriculum of Social Studies, Religion and Culture Department of Prathai School, concept of analytical
thinking ability theory and Group discussion of teachers in Social Studies, Religion and Culture Depart-
ment of Prathai School. Resource used to create and develop a learning management model is
Mutthayomsuksa 6 students. The tools used in the study were 1) Learning management model
59
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
according to flipped classroom concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and
Culture Department for Mutthayomsuksa 6 Students. 2) Learning plan according to learning manage-
ment model 3) Learning achievement test 4) Analytical Thinking Test and 5) A measure of student
satisfaction towards learning by using learning management model according to flipped classroom
concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and Culture Department for Muttha-
yomsuksa 6 Students. Statistics used in data analysis, percentage, mean, standard deviation and t-test.
The research found that;
1) Information on current conditions and needs for learning management social studies, reli-
gion and culture aimed at encouraging students to have skills of learners in the 21st century focus
on work process skills Promotion of various thinking ability. Performance from the analytical process
of students. Study and research anywhere, anytime, both at home and at leisure. In addition to
studying in the classroom by using information technology media.
2) Learning management model according to flipped classroom concept to promote analyt-
ical ability of Social Studies, Religion and Culture Department for Mutthayomsuksa 6 Students includ-
ed objective principles, Social system learning process management, Supports for learning manage-
ment and conditions for use. There are 6 learning steps, namely Step 1 Problem determination, Step
2 Problem analysis, Step 3 Study and research, Step 4 Synthesize knowledge and prepare informa-
tion, Step 5 Summary and evaluation and step 6 present and transfer knowledge. When tested with
30 students in the field group, it was found that the efficiency was 85.18 / 84.17 which was higher
than the criteria set 80/80.
3) The results of the trial of learning management model according to flipped classroom
concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and Culture Department for Muttha-
yomsuksa 6 Students found that learning achievement of students after learning is higher than before
learning with statistical significance at the level of .01 and the ability to analyze the students’ think-
ing after studying higher than before learning With statistical significance at the level of .01.
4) Students are satisfied with learning management by using learning management model
according to flipped classroom concept to promote analytical ability of Social Studies, Religion and
Culture Department for Mutthayomsuksa 6 Students in the overall picture is at the highest level.
(English), Matthayomsuksa 2 after the learning higher than before the learning was significantly at the
.01 level.
4. The students’ satisfaction by using the supplementary folk tale books encouraged reading
about Culture and Folk game in 3 Southern border provinces, Foreign Language Department (English),
Matthayomsuksa 2 was at the high level ( = 4.65)
Keyword: learning management flipped classroom Analytical Ability
60
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
บทน�ำ คดิ แบบอนื่ ทง้ั ในดา้ นระดบั การพฒั นาและการใชส้ ตปิ ญั ญา
การคดิ วเิ คราะหเ์ ปน็ ความคดิ เชงิ ลกึ เปน็ ทกั ษะทสี่ ำ� คญั และ
เปน็ ทักษะ ทสี่ ามารถพฒั นาได้ เมือ่ นักเรยี นมีทกั ษะการ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 คิดวิเคราะห์ นักเรียนจะสามารถจ�ำแนกและจัดหมวดหมู่
แก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 หมวด 1 มาตรา 6 ได้ หรือประเภทสิ่งต่าง ๆ อย่างมีหลกั เกณฑ์ สามารถตดั สนิ ใจ
กำ� หนดความมงุ่ หมายและหลกั การของการจดั การศกึ ษาไว้ อย่างเหมาะสม และใช้ความรู้ประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาใน
วา่ “การจดั การศึกษาต้องเปน็ ไปเพือ่ พัฒนาคนไทยให้เป็น สถานการณอ์ นื่ ๆ ตลอดจนแกไ้ ขปญั หาได้ (ปรยี านชุ สถาวร
มนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และ มณี. 2548)
คณุ ธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการด�ำเนนิ ชวี ิต โรงเรียนประทาย อ�ำเภอประทาย จังหวัด
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข” ส่วนทิศทาง นครราชสมี า ได้มีการจัดท�ำหลกั สูตรสถานศึกษา โดยได้
การจดั การศกึ ษาแนวใหมโ่ ดยมจี ดุ เนน้ ทก่ี ารปฏริ ปู การเรยี น มีการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการ
รู้ของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอน และการบริหาร เรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ใหส้ อดคล้อง
จดั การทสี่ ำ� คญั คอื มาตรา 23 บญั ญตั วิ า่ ” การจดั การศกึ ษา กับหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 2551 โดยเน้นให้
ทงั้ การศกึ ษา ในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษา นักเรียนได้เกิดทักษะการคิด เช่น คิดแก้ปัญหา คิด
ตามอัธยาศัย ต้องเน้นความส�ำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม สร้างสรรค ์ คิดวิเคราะห์ คดิ ไตร่ตรอง จนเกดิ ความรู้และ
กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการของแต่ละระดับการ ทักษะต่าง ๆ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ศึกษา” เหมาะสมกบั เน้ือหาวชิ า และวัยของนักเรยี น สามารถนำ�
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ไปปรับใช้ในการด�ำเนินชวี ติ ในสงั คมได้อยา่ งมคี ณุ ภาพ
พทุ ธศักราช 2551 มงุ่ พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่งึ เป็นกำ� ลงั จากประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัยที่
ของชาติ ใหเ้ ปน็ มนษุ ยท์ ม่ี คี วามสมดลุ ทงั้ ดา้ นรา่ งกาย ความ สอนรายวชิ าสงั คมศึกษา 12 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 และ
รู้ คณุ ธรรม มจี ติ สำ� นกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทย และพลโลก จากการสอบถามครผู สู้ อนกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา
ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ ศาสนา และวฒั นธรรม โรงเรียนประทาย เกยี่ วกบั สภาพ
มหากษัตริย์ เป็นประมุข มีความรู้ทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ัง ปญั หาทพ่ี บในการจดั การเรยี นรรู้ ายวชิ ากลมุ่ สาระการเรยี น
เจตคตทิ จ่ี ำ� เปน็ ตอ่ การศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชพี และการ รูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซงึ่ ปญั หาที่พบใน
ศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญบนพื้นฐาน การจัดการเรียนรู้ส่วนใหญ่นักเรียนเกิดความเบ่ือหน่ายใน
ความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็ม เนอ้ื หาวชิ า ไมม่ สี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรู ้ ไม่สนใจ
ศกั ยภาพ มคี วามรแู้ ละทกั ษะพนื้ ฐานรวมทงั้ เจตนาทจี่ ำ� เปน็ ใฝ่เรียนรู้ อีกทั้งยังขาดสื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ท่ีด ี
ต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด ทนั สมัย เหมาะสมกับผู้เรยี น รวมถงึ กจิ กรรมการเรียนรู้ที่
ชวี ิต โดยเน้นผเู้ รียนเปน็ ส�ำคญั บนพืน้ ฐานความเชอื่ วา่ ทกุ เหมาะสม ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต�่ำ
คนมคี วามสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเอง ตามศกั ยภาพ ขาดทกั ษะกระบวนการคดิ โดยเฉพาะทักษะกระบวนการ
(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2552 : 4) คดิ วเิ คราะห ์ ซงึ่ เปน็ ทกั ษะทสี่ ำ� คญั สามารถนำ� ไปปรบั ใชใ้ น
การคิดวิเคราะห์เป็นพื้นฐานของการคิดลักษณะ การด�ำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพท่ีดีได้ การจัดกิจกรรม
อ่นื ๆ เชน่ การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณการคิดเพ่อื ตดั สินใจ การเรยี นรเู้ ปน็ สง่ิ สำ� คญั ทก่ี ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความอยาก
การคดิ แกป้ ญั หา และการคิดสรา้ งสรรค์ การคิดวิเคราะห์ ทจ่ี ะเรยี นร ู้ ศกึ ษาคน้ ความหาความรดู้ ว้ ยตนเองจากปญั หา
ชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจหลกั การวเิ คราะหแ์ ละนำ� ไปใชว้ เิ คราะหท์ กุ ทีพ่ บ สามารถวเิ คราะห์ และหาแนวทางแก้ไขปัญหา ที่
ๆ สถานการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ สามารถอา่ นสงิ่ ตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ พบได ้ จนเกดิ ความรทู้ ฝ่ี งั ลกึ คงทน จากการศกึ ษาคน้ ควา้
ข้ึนรอบตัวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่วยในการด�ำเนินชีวิต ดว้ ยตนเอง วิเคราะห ์ สังเคราะห์ จัดกระทำ� ข้อมูล และ
ประจำ� วนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และสามารถนำ� หลกั แนวคดิ วธิ กี าร สามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัด
ไปใชใ้ นการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ อนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและ กจิ กรรมการเรยี นรทู้ เี่ หมาะกบั ผเู้ รยี น เหมาะสมกบั เนอ้ื หา
องค์กรตอ่ ไปในอนาคต (เกรียงศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์ศักด์.ิ 2546) นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อ
การคดิ วเิ คราะหเ์ ปน็ ทกั ษะสำ� คญั ประการหนง่ึ ทต่ี อ้ งพฒั นา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมยั จากอนิ เตอรเ์ นต็ ท่มี ีสื่อทท่ี ัน
ผู้เรยี น ใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจ ตระหนักเหน็ ความสำ� คญั สมัยมากมาย มเี นอ้ื หาเกยี่ วกับที่เรียน โดยศกึ ษานอก
เพราะการคิดวิเคราะห์เป็นรากฐานส�ำคัญของการเรียนรู้ เวลาเรียนในชั่วโมงท่ีว่าง หรือศึกษาท่ีบ้าน แล้วน�ำมา
บคุ คลทม่ี ที กั ษะการคดิ วเิ คราะหจ์ ะเหนอื กวา่ บคุ คลทม่ี กี าร
61
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อภิปราย สรปุ จัดกระทำ� ขอ้ มลู และน�ำเสนอผลงานใน มาจากแนวคิดด้านการศึกษา ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้
ช้ันเรียน ซ่ึงการจัดกรเรียนรู้แบบนี้จะไปสอดคล้องกับ รปู แบบการเรยี นการสอนหนง่ึ ๆ อาจมแี นวคดิ หรอื ทฤษฎี
แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน โดยการจัดการเรียนรู้ตาม เดียว แนวคิดหรือทฤษฎีพ้ืนฐานนี้ จะเป็นหลักหรือ
แนวคดิ ห้องเรยี นกลับดา้ น ท่ีเนน้ สง่ เสริมความสามารถใน แนวทางในการเลอื กกำ� หนด และจดั ระเบยี บความสมั พนั ธ์
การคดิ วเิ คราะห ์ ต้องมกี ารสร้างรูปแบบใหม่ที่สอดคลอ้ ง ขององคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ให้สอดคล้องกัน การพฒั นารปู
และเหมาะสม แบบการเรียนรู้ เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน “Flipped พฒั นาทกั ษะการเรยี นร ู้ พฒั นาคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
Classroom” เป็นการเรยี นการสอนทีใ่ หค้ วามส�ำคญั กบั ของนกั เรียน
การพฒั นาผเู้ รยี นเนอื่ งจากกจิ กรรมทใ่ี หฝ้ กึ ฝนนนั้ จะชว่ ยให้ จากความเป็นมาและความสำ� คญั ดงั กลา่ ว ผ้วู ิจยั
ผู้สอนรู้ feedback ว่านักเรียนมีความรู้หรือมีทักษะหลัง ในฐานะที่เป็นครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
จากการเรียนไปแล้วดังท่ีคาดหวังไว้หรือไม่ได้เป็นอย่างดี ศาสนา และวฒั นธรรม จงึ ไดด้ ำ� เนนิ การพฒั นารปู แบบการ
Flipped Classroom ก�ำเนดิ จากจุดเรม่ิ ตน้ เลก็ ๆ ของครู จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped
สอนวชิ าเคมโี รงเรียนมธั ยมในชนบทที่ Colorado สอง Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
คน คือ Bergmann และ Sams ที่ใสใ่ จว่านักเรียนท่ีขาด กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
เรยี นดว้ ยสาเหตตุ า่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ดว้ ยความเจบ็ ปว่ ยหรอื ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ผวู้ จิ ยั จงึ ไดด้ ำ� เนนิ การพฒั นารปู แบบ
ท�ำกิจกรรมอ่ืนจะเรียนทันหรือไม่ ทั้งสองคนได้ค้นพบวิธี การจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped
เรยี นรแู้ บบกลบั ทาง คอื เรยี นเนอื้ หาวชิ าทบี่ า้ นและทำ� การ Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
บ้านทโ่ี รงเรยี น หรือรับถ่ายทอดความร้ทู ่บี า้ นแลว้ มาสร้าง กล่มุ สาระการเรียนรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ความรู้ต่อยอดจากวิชาที่รับถ่ายทอดมา ให้เป็นความรู้ท่ี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ในรายวิชาสังคมศึกษา 12 ซึ่งมี
สอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ทำ� ใหเ้ กิดการเรียนรู้ท่ีมพี ลังเกิดทกั ษะที่ เนอ้ื หาเกยี่ วกบั ภมู ศิ าสตร ์ ซงึ่ จะเปน็ ผลดตี อ่ การพฒั นาการ
เรยี กวา่ “ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21” (วจิ ารณ์ พานชิ . 2556 จัดการเรยี นรู้ และเปน็ แนวทางในการพัฒนารปู แบบการ
: 10) การเรยี นวธิ นี เ้ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรเู้ นอื้ หาวชิ า เรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นร้ ู สังคมศึกษา ศาสนา และ
ผา่ นทางสอ่ื e-learning รปู แบบตา่ ง ๆ แลว้ ผเู้ รยี นสามารถ วฒั นธรรม ใหม้ ีประสิทธิภาพยงิ่ ขนึ้
ท่ีปรับระดับความเร็วในการเรียนรู้ให้เข้ากับความสามารถ
ในการเรยี นของแตล่ ะคน เชน่ ถา้ เราฟงั ไมเ่ ขา้ ใจในสว่ นไหน จดุ มุง่ หมายของการศกึ ษา
ก็สามารถที่จะย้อนกลับมาฟังหรือดูได้เสมอ ท�ำให้การ 1. เพ่อื ศกึ ษาขอ้ มูลพื้นฐานสำ� หรับการพฒั นารปู
ถ่ายทอดความรู้นั้นสามารถปรับให้เข้ากับลักษณะของผู้ แบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน
เรยี นแต่ละคน (Flipped Classroom) เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการ
รปู แบบการเรยี นการสอน เปน็ สภาพหรอื ลกั ษณะ คิดวเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระ การเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา
ของการเรยี นการสอนทจ่ี ดั ขนึ้ อยา่ งเปน็ ระบบระเบยี บตาม และวฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6
หลักปรัชญา ทฤษฎี หลกั การ แนวคิด หรือความเชอื่ ตา่ ง 2. เพอ่ื สร้างและพฒั นารปู แบบการจดั การเรียน
ๆ โดยมีการจัดกระบวนการหรือขั้นตอนในการเรียนการ รู ้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
สอน โดยอาศยั วธิ สี อนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ เข้าไป เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ
ช่วยท�ำให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามหลักการ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น
ท่ียึดถือ และได้รับการพิสูจน์ และทดสอบแล้วว่ามี มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ให้มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ ์ 80/80
ประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการ 3. เพอื่ ศกึ ษาผลการทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การ
สอนใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ ของรปู แบบนนั้ ๆ ได ้ รปู เรียนร้ ู ตามแนวคิดหอ้ งเรยี นกลบั ด้าน (Flipped Class-
แบบการเรียนการสอนจะต้องสามารถท�ำนายผลท่ีจะเกิด room) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่
ตามมาไดแ้ ละมศี กั ยภาพในการสรา้ งความคดิ รวบยอดและ สาระการเรยี นร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้ัน
ความสมั พันธใ์ หมๆ่ ได ้ (ทศิ นา แขมมณี. 2554 : 2) การ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6
พัฒนารูปแบบการเรียนรู้จ�ำเป็นต้องมีแนวคิดทฤษฎีที่ 4. เพอ่ื ประเมนิ ผลการใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี น
เหมาะสมสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนใน รู้ ตามแนวคิดห้องเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom)
ระดับชน้ั นน้ั ๆ แนวคดิ ของรปู แบบการเรยี นการสอนอาจ เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ
62
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น การเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม โรงเรยี นใน
มัธยมศึกษาปที ี่ 6 สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั นครราชสมี า จำ� นวน 30
คน
วัตถุประสงค์เฉพาะ 1.2 เน้อื หา
1. เพือ่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของ 1) นโยบาย จดุ หมายการจดั การศกึ ษา
นักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนจากการเรียนรู้โดยใช้รูป จากหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน 2551 แผน
แบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน พฒั นาการศกึ ษาแหง่ ชาติ หลกั สูตรสถานศึกษา โรงเรียน
(Flipped Classroom) เพอ่ื ส่งเสรมิ ความสามารถในการ ประทาย การจดั การเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา
คิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา ศาสนา และวัฒนธรรม
และวฒั นธรรม ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 2) แนวคดิ ทฤษฎ ี สาระส�ำคัญ งาน
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิด วจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการพัฒนารปู แบบ
วิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนจาก 3) แนวคิด ทฤษฎี สาระสำ� คัญ งาน
การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิด วจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั การเรยี นร ู้ แนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั
หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพ่ือสง่ เสริม ดา้ น ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้ 4) ข้อมูลสภาพปัจจุบันและความ
สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ต้องการในการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
6 สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรยี นประทาย
โดยการสนทนากลุ่ม (Focus group) ครูผสู้ อนกล่มุ สาระ
วิธดี �ำเนนิ การวจิ ยั การเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรยี น
1. การศกึ ษาข้อมลู พื้นฐานส�ำหรบั การพฒั นารปู ประทาย
แบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 5) ข้อมูลปัญหาและความต้องการใน
(Flipped Classroom) เพอ่ื ส่งเสรมิ ความสามารถในการ การจดั การเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา
คิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
และวัฒนธรรม ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 มีขอบเขตดังนี้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนในสังกัด
1.1 แหลง่ ขอ้ มูล องค์การบรหิ ารส่วนจังหวัดนครราชสีมา
1) การศึกษานโยบาย จุดหมายการ 1.3 ระยะเวลา
จดั การศกึ ษาจากหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา ขัน้ พืน้ ฐาน ระยะเวลาในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานส�ำหรับการ
2551 แผนพฒั นาการศกึ ษาแหง่ ชาต ิ หลกั สตู รสถานศกึ ษา พฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั
โรงเรยี นประทาย การจัดการเรยี นรู้กลุม่ สาระการเรียนรู้ ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถใน
สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม การคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา
2) การศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี สาระ และวฒั นธรรม ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ชว่ งระหว่างเดือน
ส�ำคัญ งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการ ตุลาคม 2558 ถงึ เดอื นพฤศจกิ ายน 2558
จัดการเรยี นรู้ 2. การสร้างและพัฒนารปู แบบการจัดการเรียน
3) การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี สาระ ร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
สำ� คญั งานวจิ ยั ที่เก่ยี วขอ้ งกับการจัดการเรยี นรู้ แนวคดิ เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ
หอ้ งเรยี นกลับด้าน ความสามารถในการวิเคราะห์ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น
4) การสนทนากลุ่ม (Focus group) มัธยมศึกษาปีที่ 6 ใหม้ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และ มขี อบเขตดงั น้ี
วัฒนธรรม โรงเรยี นประทาย จ�ำนวน 10 คน 2.1 แหล่งขอ้ มลู
5) การสอบถามปัญหาและความ แหลง่ ขอ้ มลู คอื นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/1
ต้องการในการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ และนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการ
สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ของครผู สู้ อนกลมุ่ สาระ ศึกษา 2560 โรงเรียนประทาย อำ� เภอประทาย จังหวัด
63
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นครราชสมี า จำ� นวน 42 คน มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 มีขอบเขตดงั นี้
2.2 เน้อื หา 3.1 แหลง่ ขอ้ มลู
เน้ือหาท่ีน�ำมาสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เป็น แหล่งข้อมลู ทใ่ี ช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชนั้
เน้ือหา เรอ่ื ง ภมู ิศาสตร ์ รายวชิ าสงั คมศึกษา 12 กลุม่ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6/4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2560
สาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ โรงเรียนประทาย อำ� เภอประทาย จังหวดั นครราชสมี า
มัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรสถานศกึ ษา โรงเรยี น จ�ำนวน 40 คน
ประทาย 2551 จ�ำนวน 40 ช่วั โมง มดี ังนี ้ 3.2 ระยะเวลา
หน่วยที่ 1 เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์และภูมิ ระยะเวลาทใี่ ช้ในการศกึ ษา คอื ภาคเรยี นที่ 2
สารสนเทศศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560
หนว่ ยที่ 2 ปฏิสมั พันธ์เชิงภมู ิศาสตร์ 4. การประเมนิ ผลการใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี น
หน่วยที่ 3 ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการ ร ู้ ตามแนวคิดห้องเรยี นกลับดา้ น (Flipped Classroom)
เปลีย่ นแปลงทางธรรมชาติในโลก เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ
หน่วยท่ี 4 สถานการณด์ ้านทรัพยากรธรรมชาติ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น
และส่งิ แวดล้อม มัธยมศึกษาปที ี่ 6 มีขอบเขตดงั นี้
หน่วยท่ี 5 การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและ 4.1 แหล่งข้อมลู
ส่งิ แวดล้อม แหลง่ ขอ้ มูลทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา คือ นักเรียนชน้ั
2.3 ส่ิงทส่ี นใจศกึ ษาและผลท่ีเกดิ กับผูเ้ รยี น มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6/4 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2560
สงิ่ ทสี่ นใจศกึ ษาในครง้ั น ้ี ประกอบดว้ ยนวตั กรรม โรงเรียนประทาย อ�ำเภอประทาย จังหวัดนครราชสมี า
คอื รูปแบบการจัดการเรยี นรู ้ ตามแนวคดิ ห้องเรยี นกลับ จ�ำนวน 40 คน
ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถใน 4.2 ระยะเวลา
การคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา คือ ภาคเรียนท่ี 2
และวัฒนธรรม ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ปกี ารศึกษา 2560
ผลทเ่ี กดิ กับผเู้ รยี น คอื ความสามารถในการคดิ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
วเิ คราะห ์ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น และความพงึ พอใจของ ผศู้ ึกษาได้ทำ� การวิเคราะห์ข้อมลู ดงั น้ี
นักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ 1. แบบบันทึกการวิเคราะหเ์ อกสาร และแบบ
เรยี นรู้ ตามแนวคิดหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น (Flipped Class- บนั ทกึ การสนทนากลมุ่ (Focus group) ใชว้ ธิ กี ารวเิ คราะห์
room) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ เนอ้ื หา (Content Analysis
สาระ การเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้นั 2. การวิเคราะห์คณุ ภาพเคร่อื งมือ
มัธยมศึกษาปที ่ี 6 2.1) รูปแบบการจัดการเรยี นร้ ู ตามแนวคดิ
2.4 ระยะเวลา หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพ่ือส่งเสรมิ
ระยะเวลาในการสร้างและพัฒนารูปแบบการ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่
Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ 6 ใชก้ ารหาคา่ IOC คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
กล่มุ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2.2) แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง ภูมศิ าสตร์
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ ์ 80/80 รายวิชาสังคมศึกษา 12 ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2560 ช่วงระหว่างเดือน ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
พฤษภาคม ถึงเดอื นกันยายน 2560 เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถ ในการคดิ วิเคราะห์ กลุม่
3. การศกึ ษาผลการทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การ สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชน้ั
เรยี นรู้ ตามแนวคิดหอ้ งเรยี นกลับด้าน (Flipped Class- มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ใชก้ ารหาคา่ IOC คา่ ร้อยละ คา่ เฉลีย่
room) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชั้น 2.3) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
64
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
3. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากการทดลองใช้ และวเิ คราะหข์ อ้ มลู สภาพปจั จบุ นั และความตอ้ งการในการ
3.1) การหาประสทิ ธภิ าพ รปู แบบการจดั การ จัด การเรยี นร้กู ลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา
เรยี นรู้ ตามแนวคดิ ห้องเรียนกลับดา้ น (Flipped Class- และวัฒนธรรม โรงเรียนประทาย โดยการสนทนากลุ่ม
room) เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ (Focus group) ครผู สู้ อนกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา
สาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชั้น ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนประทาย ด้วยวิธกี าร
ม ัธยมศกึ ษ า 3ป.ีท2)่ี 6 ก าใรชเ้ ป Eร1ีย/บE2เทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน วเิ คราะห์เนอ้ื หา (Content Analysis) วเิ คราะห์ไดด้ ังนี้
นโยบาย จดุ หมายการจดั การศกึ ษาจากหลกั สตู ร
ใชค้ า่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และ การทดสอบคา่ ที แกนกลางการศึกษา ขน้ั พ้นื ฐาน 2551 แผนพัฒนาการ
(t-test) ศึกษาแห่งชาติ หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนประทาย
3.3) การเปรียบเทียบความสามารถในการคิด การจดั การเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา
วิเคราะห์ ใช้คา่ เฉล่ยี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และ การ และวฒั นธรรม พบวา่ สภาพทค่ี าดหวงั ในการจดั การเรยี น
ทดสอบค่าท ี (t-test) ร ู้ มงุ่ สกู่ ารสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นมที กั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษ
4. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมี ท่ี 21 มที กั ษะการคิด ทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลย ี ทักษะการ
ตอ่ การจดั การเรยี นร้โู ดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตาม ใช้ชวี ิต เนน้ การส่งเสรมิ การคิด สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้
แนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ ในชวี ติ ประจำ� วนั ได ้ สง่ ผลใหอ้ ยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพ
เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี น ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 2551 และ
รู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนประทาย
6 ใช้คา่ เฉล่ีย คา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. ผลจากการวิเคราะห์แนวคดิ ทฤษฎ ี สาระ
สำ� คญั งานวิจัยทเี่ กี่ยวข้องกบั การพฒั นารูปแบบ พบวา่
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล แนวคิดการออกแบบรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงระบบ
ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานส�ำหรับ หลักการแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ของ
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิด จอยซ์ และเวลล ์ ท่นี �ำเสนอองคป์ ระกอบของรปู แบบการ
หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ จัดการเรยี นรู ้ 3 ส่วน ดงั น้ ี ส่วนที่ 1 รปู แบบการจัดการ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ส�ำหรับนักเรียนช้ัน เรียนรู้ (The model of teaching) 1) กระบวนการ
มัธยมศึกษาปีที่ 6 เรียนการสอน (Syntax หรือ Phases) 2) ระบบสังคม
1. ผลการศึกษาข้อมลู พื้นฐานส�ำหรับการพัฒนา (Social System) 3) หลกั การตอบสนอง (Principle
รปู แบบการจัดการเรยี นร ู้ ตามแนวคิดห้องเรยี นกลบั ด้าน of Reaction) และ 4) สงิ่ สนบั สนนุ (Support System)
(Flipped Classroom) เพื่อสง่ เสริมความสามารถในการ สว่ นที่ 2 การนำ� รปู แบบการจดั การเรยี นรไู้ ปใช ้ (Applica-
คดิ วิเคราะห ์ กลมุ่ สาระ การเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา tion) ส่วนที่ 3 สาระหลักและสิ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู ้
และวฒั นธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 โดยการวิเคราะห์ (Onstruction and Nurturant Effects) และแนวคิด
ข้อมูลนโยบาย จุดหมายการจัดการศึกษาจากหลักสูตร การออกแบบรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงระบบตามรูป
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 แผนพัฒนาการ แบบ การจดั การเรียนรู ้ ของทศิ นา แขมมณี ซ่งึ มี 5 องค์
ศึกษาแห่งชาติ หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนประทาย ประกอบ ไดแ้ ก ่ องคป์ ระกอบท ่ี 1 หลกั สตู ร ปญั หาความ
และขอ้ มลู ความตอ้ งการการพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี น ต้องการของผ้เู รียนผ้สู อน องค์ประกอบ 2 เนอื้ หา มโน
ร ู้ ตามแนวคดิ ห้องเรยี นกลบั ด้าน (Flipped Classroom) ทศั น์ วตั ถปุ ระสงค ์ องคป์ ระกอบท ่ี 3 ยทุ ธศาสตร/์ ยทุ ธวธิ ี
เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ ในการสอน องคป์ ระกอบท ี่ 4 กจิ กรรมการเรยี นการสอน
การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น และสอื่ และ องคป์ ระกอบท ่ี 5 การวัดและประเมนิ ผล
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ตามสภาพทคี่ าดหวังและสภาพปจั จุบนั การเรยี นการสอน ซง่ึ ทงั้ 2 แนวคดิ มอี งคป์ ระกอบทเ่ี หมาะ
ท่ีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนกลุ่มสาระการ สมและสอดคล้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และการเรียน กล่มุ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
รขู้ องนกั เรยี น รวมทง้ั การศกึ ษาวเิ คราะหเ์ อกสาร แนวคดิ ผวู้ จิ ัยไดศ้ ึกษา แลว้ นำ� มาเปน็ แนวทางการพฒั นารูปแบบ
ทฤษฎ ี งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วกบั การวจิ ยั และพฒั นาการออกแบบ การจัดการเรียนรู้ และก�ำหนดองค์ประกอบของรูปแบบ
ระบบการจัดการเรียนร ู้ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห ์ การจดั การเรยี นร ู้ ม ี 6 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก ่ องคป์ ระกอบ
65
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ท ่ี 1 หลกั การ องคป์ ระกอบ 2 วัตถปุ ระสงค ์ องค์ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม โรงเรยี น
ประกอบท ี่ 3 กระบวนการจัดการเรียนรู้ องคป์ ระกอบท ี่ ประทาย จ�ำนวน 10 ท่าน เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและ
4 ระบบสงั คม องคป์ ระกอบท ี่ 5 สงิ่ สนบั สนนุ การจดั การ ความตอ้ งการในการจัดการเรยี นร้ ู พบวา่
เรียนรู้ และ องคป์ ระกอบที่ 6 เงอื่ นไขการนำ� ไปใช ้ สภาพปัจจบุ ัน คือ การจัดการเรยี นรูม้ งุ่ เน้นให้
ผลจากการวเิ คราะหแ์ นวคดิ ทฤษฎ ี สาระสำ� คญั นกั เรยี นไดเ้ รยี นตามเนอื้ หา วชิ า เนน้ ความรคู้ วามจำ� ขาด
งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ จากแหล่งเรยี นร้ตู ่าง ๆ ผลการ
ศาสนา และวฒั นธรรม แนวคดิ หอ้ งเรียนกลบั ด้าน ความ ประเมินนักเรียนส่วนใหญ่ขาดการใฝ่เรียนรู้ ขาดความ
สามารถในการคิดวิเคราะห์ พบว่า กระบวนการจัดการ สามารถในการคิดวิเคราะห์ ขาดทักษะการใช้เทคโนโลย ี
เรยี นร ู้ หรอื ขนั้ ตอนการเรยี นการสอนตามแนวคดิ หอ้ งเรยี น มีทัศนะคตทิ ี่คบั แคบ มองโลกแคบ ไม่มกี ารฝึกแก้ปญั หา
กลับด้าน มี 4 ขัน้ ไดแ้ ก ่ ขน้ั ท่ี 1 การกำ� หนดยุทธวธิ ี ตา่ ง ๆ ขาดทักษะการท�ำงาน กระบวนการท�ำงานกลมุ่
เพม่ิ พูนประสบการณ์ ข้นั ท่ี 2 การสืบค้นเพือ่ ใหเ้ กิดมโน การวิเคราะห ์ การสงั เคราะห ์ รวมไปถงึ การนำ� เสนอผล
ทศั น์รวบยอด ข้นั ที่ 3 การสร้างองค์ความรู้อยา่ งมีความ การปฏิบัติงาน โดยสังเกตจากชิ้นงานท่ีนักเรียนส่งงาน
หมาย และขั้นท่ี 4 การสาธิตและประยุกต์ใช้ มีการ และการประเมินผลการเรียน ทั้งระหว่างจัดการเรียนรู้
แสวงหาความรจู้ ากแหล่งเรียนรตู้ ่าง ๆ นำ� มาวเิ คราะห์ นำ� และหลังการจัดการเรียนรเู้ สร็จส้นิ
ไปสู่การค้นคว้าหาความรู้ สังเคราะห์ จัดกระท�ำข้อมูล สภาพทคี่ าดหวงั ในการจดั การเรยี นร ู้ มงุ่ สกู่ ารสง่
สรปุ ประเมินผล สามารถนำ� เสนอและถา่ ยทอดความรู้ได้ เสริมให้นักเรียนมีทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 มี
อีกท้ังผู้วิจัยได้ศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม ทักษะการคิด ทักษะการใช้เทคโนโลยี ทกั ษะการใชช้ ีวิต
ความสามารถในการคิดของนักเรียน ท่ีสามารถน�ำมา เน้นการสง่ เสริมการคดิ วเิ คราะห ์ เพือ่ ให้นักเรยี นมกี ารคดิ
พัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับการ วเิ คราะห ์ สามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ได ้ สง่
จัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา ผลใหอ้ ยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพ เพอ่ื บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค ์
และวัฒนธรรม โรงเรียนประทาย ซึง่ มวี ิธีการสอนที่มขี ้ัน ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา ขั้นพน้ื ฐาน 2551
ตอนการสอนหรอื กระบวนการจดั การเรยี นรทู้ เี่ ปน็ ทย่ี อมรบั และหลกั สูตรสถานศึกษา โรงเรยี นประทาย
มดี งั นี้ ครูมีความต้องการในการจัดการเรียนรู้ของกลุ่ม
1. การเรียนรู้ผ่านการท�ำงาน (Work-based สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ทเี่ นน้
Learning) การศึกษาด้วยตนเองจากสอื่ ทีท่ ันสมยั และศึกษาไดใ้ นทุก
2. การเรียนรู้ผ่านกิจกรรม (Activity-based สถานที่ ทุกเวลา ท้ังทบี่ า้ น และในเวลาวา่ ง แล้วน�ำ
Learning) มาสังเคราะห์ สรา้ งเป็นผลงาน ทไี่ ด้มาจากกระบวนการ
3. การเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหา (Problem- คิดวิเคราะห์ของนักเรียน เพ่ือให้ได้ผลงานท่ีมีคุณภาพ
based Learning) สามารถน�ำเสนอและถ่ายทอดได้ จึงต้องการสร้างและ
ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาและสงั เคราะหก์ ระบวนการหรอื ขน้ั พฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรทู้ ม่ี งุ่ เนน้ ใหน้ กั เรยี นมคี วาม
ตอนการจัดการเรยี นรู้ข้ึน มี 6 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ ข้ันท่ี 1 ร ู้ ความสามารถในการแสวงหาความร ู้ ความสามารถใน
ก�ำหนดปัญหา (Determine the problem) ขั้นที่ 2 การคดิ วิเคราะห์ โดยผ่านกระบวนการศกึ ษาคน้ ควา้ การ
วเิ คราะหป์ ญั หา (Analysis) ขั้นที่ 3 ศกึ ษาค้นคว้า (Re- ท�ำงาน สง่ เสริมความสามารถในการคิด มีทกั ษะการคิด
search) ข้ันท่ี 4 สังเคราะห์ความร ู้ และจัดกระทำ� ข้อมูล ทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยี และทักษะชีวติ ใหเ้ ป็นนักเรยี นท่ี
(Synthesis of knowledge and organize information) มีทกั ษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21
ขน้ั ท่ี 5 สรปุ และประเมนิ ผล (Summarize and Evalu- 4. ผลการสอบถามปัญหาและความต้องการใน
ate) และขัน้ ท่ี 6 น�ำเสนอและถา่ ยทอดความรู้ (Present การจดั การเรียนร้กู ล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา
and Convey knowledge) และวัฒนธรรม ของครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
3. การศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูลสภาพปัจจบุ นั และ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนในสังกัด
ความต้องการในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัดนครราชสมี า พบวา่ ปญั หาที่
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม โรงเรยี นประทาย สำ� คญั ในการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นคอื ขาดทกั ษะทจี่ ำ� เปน็ ตอ้ ง
โดยการสนทนากลมุ่ (Focus group) ครูผู้สอนกล่มุ สาระ เรียนรู้ของนักเรียนในปัจจุบัน เช่น ทักษะการเรียนรู ้
66
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ทักษะการสื่อสาร ทักษะการใช้ชีวิต ทักษะการใช้ ทางการเรยี น ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ และความ
เทคโนโลยี และทกั ษะการคดิ ความตอ้ งการในการจัด พงึ พอใจของนกั เรียน ที่มีตอ่ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ูป
การเรยี นรคู้ วรเนน้ ทกั ษะกระบวนการคดิ ดา้ นใดทสี่ ำ� คญั ท่ี แบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน
สำ� คญั คอื การคดิ วเิ คราะห ์ โดยการใชเ้ ทคโนโลยรี ว่ มในการ (Flipped Classroom) เพ่อื ส่งเสริมความสามารถในการ
จัดกิจกรรมการเรียน มกี ารน�ำเสนอทท่ี ันสมยั แปลกใหม่ คิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
ตอนที่ 2 ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบการ และวัฒนธรรม ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6
จดั การเรยี นรู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped องค์ประกอบที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนรู้
Classroom) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิด “DARSSP Model” คือกระบวนการหรือข้นั ตอนการ
วเิ คราะห์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และ จัดการเรียนร้ ู มีส่วนประกอบ 6 ขั้น ดงั น้ี
วฒั นธรรม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตาม ข้ันท่ี 1 ก�ำหนดปัญหา (Determine the prob-
เกณฑ์ 80/80 lem) . ครผู สู้ อนยกประเดน็ ปัญหาเกยี่ วกบั เนื้อหาในบท
2.1 ผลการสรา้ งรูปแบบการจัดการเรยี นร้ ู ตาม เรยี น แลว้ กำ� หนดวตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งละเอยี ดในการเรยี นรู้
แนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เน้ือหาสาระ และต้องบ่งบอกส่ิงส�ำคัญที่ผู้เรียนจะต้อง
เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี น กระท�ำให้ได้เพื่อแสดงว่าตนได้เกิดการเรียนรู้จริงในสาระ
รู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ น้ันๆ
6 ข้ันท่ี 2 วิเคราะห์ปัญหา (Analysis) การ
องคป์ ระกอบของรปู แบบการจัดการเรยี นรู้ ตาม วิเคราะห์ วินิจฉัยปัญหาร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาท่ีเกิดขึ้น
แนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ สง่ ถึงที่มาและสภาพของปัญหา รวมไปถึงแนวทางการแก้
เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี น ปัญหา โดยใชป้ ระสบการณเ์ ดิม
ร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ขนั้ ท่ี 3 ศึกษาคน้ คว้า (Research) นักเรยี น
6 ศกึ ษาคน้ คว้า แสวงหาความรู้ สบื คน้ ข้อมูล ความร้ตู ่าง
ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิด ๆ จากแหลง่ ความรตู้ า่ งๆ เชน่ หนังสอื จากอนิ เตอร์เนต็
ห้องเรียนกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพื่อส่งเสริม ใช้เทคโนโลยีการเรียนที่นักเรียนสมัยใหม่ชอบ โดยใช้สื่อ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ICT ซง่ึ กลา่ วไดว้ า่ เปน็ การนำ� โลกของโรงเรยี นเขา้ สโู่ ลกของ
สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี นกั เรยี นซงึ่ เปน็ โลกยคุ ดจิ ติ ลั โดยศกึ ษาทบ่ี า้ น หรอื ในเวลา
6 เรยี กว่า “DARSSP Model” ทีป่ ระกอบดว้ ยองค์ ว่าง
ประกอบทส่ี ำ� คญั คอื หลกั การ วตั ถปุ ระสงค ์ กระบวนการ ขั้นท่ี 4 สังเคราะหค์ วามร ู้ และจัดกระท�ำข้อมูล
จัดการเรียนรู้ ระบบสังคม ส่ิงสนับสนุน และเงื่อนไข (Synthesis of knowledge and organize information)
การน�ำไปใช้ โดยมีรายละเอียดขององค์ประกอบของรูป นำ� ความรทู้ ไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ ควา้ มาทำ� การสรา้ งทกั ษะ
แบบการจดั การเรียนร้ทู ่ีพัฒนาขนึ้ ดงั น้ี องคค์ วามรจู้ ากสอื่ ทไี่ ดร้ บั จากการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองโดยการ
องค์ประกอบที่ 1 หลักการของรูปแบบการ สรา้ งสอ่ื เกย่ี วกบั ความรทู้ ไี่ ดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ มา โดยจดั ทำ� เปน็
จัดการเรียนรู้ เปน็ การจัดการเรียนรู้ ท่มี อี งคป์ ระกอบที่ วดี ิทัศน ์ หรือจัดหาสอ่ื ที่มเี น้อื หาความรู้
เปน็ ระบบ และขน้ั ตอนการจัดการเรยี นรู้ตามรปู แบบการ ขน้ั ท่ี 5 สรปุ และประเมนิ ผล (Summarize and
จดั การเรียนร ู้ โดยการเรียนเนอ้ื หาวชิ าทีบ่ า้ น ท�ำการบ้าน Evaluate) รว่ มกนั อภิปราย วิภาควิจารณ ์ จากความรทู้ ี่
ที่โรงเรียน หรือรับการถ่ายทอดความรู้มาจากท่ีบ้าน แล้ว ไดจ้ ากการศกึ ษาคน้ ควา้ สงั เคราะหค์ วามร ู้ และจดั กระทำ�
มาสรา้ งความรตู้ อ่ ยอดจากเนอ้ื หาทไ่ี ดร้ บั การถา่ ยทอดมาให้ ขอ้ มลู มาสรปุ ให้ไดอ้ งคค์ วามรู้ และมีการวดั และประเมิน
เปน็ ความรทู้ สี่ อดคลอ้ งกบั ชวี ติ ทำ� ใหเ้ กดิ การเรยี นรทู้ มี่ พี ลงั ผล ตามสภาพจรงิ โดยใช้เคร่ืองมอื ทห่ี ลากหลาย
เกิดทกั ษะทีเ่ รียกว่า “ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21” นกั เรียน ข้ันที่ 6 นำ� เสนอและถ่ายทอดความรู้ (Present
มีการเรียนรู้ และปฏิบัติงาน ด้วยตนเอง โดยใช้สื่อ and Convey knowledge)
เทคโนโลยที ่ีทันสมัย การนำ� เสนอผลงาน วพิ ากษว์ จิ ารณ ์ แสดงความคดิ เหน็ ผล
องคป์ ระกอบที่ 2 วตั ถปุ ระสงคข์ องรปู แบบการ จากการนำ� เสนอของผู้อืน่ รจู้ ักการยอมรับ ทำ� ใหน้ กั เรียน
จัดการเรียนรู้ คือ เพ่ือให้นักเรียนพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ เกิดความภาคภมู ใิ จ แลว้ นำ� เสนอในรปู แบบสอื่ อิเล็คทรอ
67
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
องคป์ ระกอบที่ 5 ส่งิ สนับสนุนการจดั การเรียน จำ� นวน 30 คน ท่มี ีผลการเรยี น เก่ง ปานกลาง และ
รู้ ครูตอ้ งมีความร ู้ ความเขา้ ใจในการะบวนการคดิ ในรูป ออ่ น เพอ่ื ดคู วามเหมาะสมและความยากงา่ ยของกจิ กรรม
แบบการจัดการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ สามารถแนะน�ำการ ไแดล้คะา่นป�ำรมะาสหทิ าธคภิ า่ ปาพระเทส่าทิ กธับภิ า 8พ5 . 1 8(/E814/E.12)7 ซแงึ่บสบงู ภกวาคา่ เสกนณาฑม ์
ปฏบิ ตั งิ านของนกั เรยี น รวมถงึ เสรมิ ตอ่ ไดค้ ลอ่ งแคลว่ และ
ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ทกุ ขนั้ ตอน ครูตอ้ งมีทกั ษะในการกระตนุ้ ทก่ี ำ� หนดไว ้ 80/80 พบวา่ รปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตาม
ใหน้ กั เรยี นมงุ่ มนั่ ในการเรยี นร ู้ และพฒั นาตนเองใหม้ คี วาม แนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอื่ สง่
ก้าวหนา้ ขน้ึ ครูต้องสามารถจดั เตรยี มเนื้อหาสาระทจี่ ะใช้ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี น
สอน โดยมีการเชอื่ มโยงกระบวนการคดิ และการปฏบิ ตั ิ ร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี
งานอย่างเป็นข้ันตอน ครูต้องสามารถตรวจสอบ และ ก6 า รมจผีดั ลกการาเรรปยี รนะรเ ู้ม ไินดดค้ ้าา่ นปกระระสบทิ วธนภิ กาพาร เ ท(า่Eก1)บั ข8อ5.ง1ร8ูป แ แบลบะ
ประเมินผลงานและการเรยี นรขู้ องนักเรยี นทกุ ข้นั ตอน
องคป์ ระกอบท่ี 6 เงอื่ นไขในการนำ� ไปใช ้ ครู ผเรลยี กนารร ู้ ปไดรค้ะเา่ มปินรขะอสทิงผธลภิ ลาัพพธ ์เท า(่ Eก2บั) ข8อ4ง.1ร7ูป แ ซบง่ึ สบงูกกาวรา่จเัดกกณาฑร์
จะแจกสื่อให้นักเรียนไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้านหรือดูสื่อ
อย่างยูทปู หรือโทรทัศน ์ เมอื่ มาเข้าช้นั เรียนในวันรุ่งขึน้ ท่ีก�ำหนดไว ้ (รายละเอียดในภาคผนวก ซ หนา้ 249) ซง่ึ
นักเรียนจะซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากน้ันก็ลงมือท�ำงานท่ี สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานการวิจัยขอ้ ที่ 1
ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม โดยมีครูคอย ตอนที่ 3 ผลการศึกษาการทดลองใช้รูปแบบ
ให้ค�ำแนะน�ำตอบข้อสงสัย เพ่ือตรวจสอบว่านักเรียนได้ดู การจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน
ส่ือการสอนท่ีครูให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าหรือไม่นั้น จะมี (Flipped Classroom) เพื่อส่งเสริมความสามารถใน
นักเรียนบันทึกโน้ตมาส่งครู อาจบันทึกมาในสมุด หรือ การคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
เขยี นสง่ มาทางอเี มลล ์ และจะใหน้ กั เรยี นตง้ั คำ� ถามมาดว้ ย ศาสนา และวัฒนธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6
อยา่ งนอ้ ย 1 ขอ้ อยา่ งไรกต็ ามจะตอ้ งมกี ารฝกึ ทกั ษะในการ 3.1 ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
จดบนั ทกึ ให้แกน่ กั เรียนก่อนชว่ งตน้ ปกี ารศกึ ษาเพือ่ เตรยี ม กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น จากการเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการ
ความพร้อมในการเข้าสหู่ ้องเรียนกลบั ดา้ นใหน้ ักเรยี น จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped
2.2 ผลการวิเคราะห์การพัฒนารูปแบบการ Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped กล่มุ สาระการเรียนรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6
กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ ์ 80/80 เรียนและหลังเรียน จากการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ
รูปแบบการจดั การเรียนร ู้ ตามแนวคิดหอ้ งเรียน จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped
กลบั ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถ Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
ในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ศาสนา และวัฒนธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 มคี วาม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 พบวา่ ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิ
จำ� เปน็ อย่างย่งิ ท่ีจะตอ้ งน�ำไปหาประสทิ ธภิ าพ เพราะการ ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้น
หาประสทิ ธภิ าพของรปู แบบการจดั การเรยี นรนู้ น้ั จะตอ้ งนำ� มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 จากการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการ
ไปทดลองใช้ (Tryout) เพื่อปรับปรุงแล้วจึงน�ำไปใช้สอน จดั การเรียนรู้ ผลปรากฏว่า นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6
จริง และน�ำผลท่ีได้มาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้รูปแบบการ ทเี่ รยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรทู้ ผี่ วู้ จิ ยั สรา้ งขนึ้ มี
จัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น ผู้วิจัยได้น�ำรูป ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ ง
แบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01
(Flipped Classroom) เพื่อสง่ เสริมความสามารถในการ 3.2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการคิด
คิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วเิ คราะหข์ องนกั เรยี น กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นจากการเรยี น
และวฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ทป่ี รบั ปรงุ แกไ้ ขแลว้ รู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียน
มกับาทนดกั ลเรอียงนใชชเ้ น้ัพมอ่ื ัธหยามปศรึกะษสาทิ ปธทีภิ ี่า6พ/ 2 ( E 1ภ/าEค2)เ ร แียบนบทภ่ี 1า ค สปนีกาามร กลับด้าน (Flipped Classroom) เพื่อส่งเสริมความ
สามารถในการคดิ วเิ คราะหก์ ลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา
ศึกษา 2559 โรงเรียนประทาย ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ศาสนา และวฒั นธรรม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6
68
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผลการประเมินการเปรียบเทียบความสามารถในการคิด กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
วิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนจากการ โรงเรียนประทาย จ�ำนวน 10 ท่าน เพื่อศึกษาสภาพ
จดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ ปัจจบุ ันและความตอ้ งการในการจัดการเรียนรู้ พบว่า
ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ สภาพปัจจุบัน คอื การจดั การเรียนรมู้ ่งุ เน้นให้
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ นักเรียนได้เรียนตามเน้ือหา ขาดสื่อการเรียนรู้ท่ีทันสมัย
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี โดยมีขนั้ ตอนทสี่ ามารถเรยี นรไู้ ดร้ วดเรว็ และเขา้ ใจไดง้ า่ ย
6 พบว่านักเรียน ท่เี รียนร้โู ดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนร ู้ ในการจัดการเรียนรู้ทั่วไปในปัจจุบัน มีการสอนใน
ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ห้องเรยี นแล้วใหง้ านไปปฏบิ ัติท่บี ้าน ปรากฏว่า นักเรยี น
เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ ไมไ่ ดป้ ฏิบัติงานหรอื ส่งงานตามทกี่ �ำหนด ไม่มีส่วนร่วมใน
การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น กิจกรรมการเรียนรู้ตามศักยภาพของนักเรียน และใน
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 มคี ะแนนเฉลย่ี ความสามารถ ในการคดิ ปัจจุบันส่ือเทคโนโลยีก้าวหน้ามากข้ึน โดยเฉพาะ
วเิ คราะหห์ ลังเรียน สูงกวา่ ก่อนเรยี น อย่างมนี ัยส�ำคญั ทาง อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง การใช้ส่ือที่เก่ียวกับเนื้อหาการ
สถติ ิที่ระดับ .01 เรยี นรูท้ ่มี ีในอนิ เตอร์เนต็ มคี วามทนั สมัย หลากหลาย
ตอนท่ี 4 ผลการประเมนิ ผลการใชร้ ูปแบบการ สภาพทคี่ าดหวงั ในการจดั การเรยี นร ู้ มงุ่ สกู่ ารสง่
จดั การเรยี นรู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ น (Flipped เสริมให้นักเรียนมีทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 มี
Classroom) เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการคิด ทกั ษะการคดิ ทกั ษะการใชช้ วี ติ ทกั ษะการใช้เทคโนโลยี
วเิ คราะห์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และ เน้นการสง่ เสริมการ คิดวิเคราะห ์ โดยใชส้ ื่อเทคโนโลยี
วฒั นธรรม ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 สารสนเทศที่ทันสมัย ศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเองในทุก
ผลการวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ สถานท ่ี ทกุ เวลา เพ่ือใหน้ กั เรยี นมีความสามารถในใน
จดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ การคิดวิเคราะห์เพ่ิมมากขึน้ สามารถนำ� ไปประยุกตใ์ ชใ้ น
ห้องเรยี นกลบั ด้าน (Flipped Classroom) เพ่ือสง่ เสริม ชีวิตประจ�ำวันได้ ส่งผลให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ เพ่อื บรรลุวัตถุประสงค์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ข้ันพื้นฐาน 2551 และหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียน
6 พบวา่ นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นประทาย ประทาย
ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิด ความต้องการในการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา
ห้องเรียนกลบั ด้าน (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ศาสนา และวัฒนธรรม ทีเ่ น้นการ คิดวิเคราะห์ การ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังเคราะหค์ วามรู้ สกู่ ารสรุปและจัดกระทำ� ข้อมูล ทไ่ี ด้มา
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ จากกระบวนการคดิ วเิ คราะหข์ องนกั เรยี น เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลงาน
6 มีระดบั ความพึงพอใจทม่ี ตี ่อการจดั การเรียนร ู้ โดยใช้ ท่มี ี จึงต้องการสรา้ ง พัฒนา และจัดหาสื่อการเรียนรทู้ ี่
รูปแบบการจดั การเรียนรู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรียนกลบั ด้าน สอนให้นกั เรยี นไดเ้ ขา้ ใจในข้นั ตอนการปฏบิ ัติงาน น�ำไปสู่
(Flipped Classroom) เพอ่ื ส่งเสรมิ ความสามารถในการ การปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่างภาคภูมิใจ ส่งเสริม
คิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา ความสามารถในการคิดวเิ คราะห ์ มีทักษะการคิด ทกั ษะ
และวฒั นธรรม ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมมีคา่ เฉลยี่ การใชเ้ ทคโนโลย ี และทกั ษะชวี ติ ใหเ้ ปน็ นกั เรยี นทม่ี ที กั ษะ
เทา่ กับ 4.54 และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 3.44 การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 เปน็ บคุ คลแห่งการเรียนรู้ ทกุ
แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก สถานที่ ทกุ เวลา
ทส่ี ดุ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อน
เรียนและหลงั เรียนจากการเรียนร้ ู โดยใชร้ ูปแบบการ
อภปิ รายผล จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped
การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัจจุบัน ข้อมูลสภาพ Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
ปจั จบุ นั และความตอ้ งการในการจดั การเรยี นร ู้ กลมุ่ สาระ กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
การเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม โรงเรยี น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั
ประทาย โดยการสนทนากล่มุ (Focus group) ครูผู้สอน สำ� คัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 และ การเปรียบเทียบความ
69
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนจากการเรียนรู้ เน้นสง่ เสรมิ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห ์ การปฏิบัติ
โดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นร ู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรยี นกลบั กิจกรรมการเรยี นร้ ู ซ่งึ จะท�ำใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อย่าง
ดา้ น (Flipped Classroom) เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถใน เป็นระบบ ดังนนั้ จงึ ควรศกึ ษาแตล่ ะองคป์ ระกอบของรปู
การคดิ วเิ คราะห ์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา แบบการเรยี นรทู้ ผ่ี วู้ จิ ยั พฒั นาขน้ึ อยา่ งลกึ ซงึ้ เพอื่ ใหส้ ามารถ
และวฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ น น�ำรูปแบบการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็ม
เรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ท้ังนี้เน่ืองมา ประสิทธภิ าพ
จากรูปแบบการจัดการเรียนรู้น้ีได้ผ่านกระบวนการพัฒนา 1.2 การนำ� รปู แบบการเรยี นรนู้ ไ้ี ปใชใ้ น
อย่างเป็นขั้นตอน ผ่านการตรวจสอบและประเมินจากผู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
เชยี่ วชาญ ผ่านกระบวนการทดลองใชจ้ น ทำ� ใหร้ ปู แบบ วัฒนธรรม ครูผสู้ อนจดั การเรียนรู้ในรายหน่วยการเรยี นรู้
การจัดการเรยี นรูม้ ีประสทิ ธภิ าพ สามารถนำ� ไปใชใ้ นการ อ่ืน โดยสามารถน�ำไปใช้ในทุกเน้ือหาประเภทเน้นทักษะ
จัดการเรียนรู้ได้ตามขั้นตอนของรูปแบบการจัดการเรียนร ู้ เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ออกแบบมีความเหมาะสม
ซึ่งในแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนของรูปแบบการ กบั เนอื้ หาทผ่ี ู้เรยี นได้ ลงมอื ปฏิบัติจรงิ
จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped 1.3 ระยะเวลาท่ีใช้ในการจัดกิจกรรม
Classroom) เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และ
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม วฒั นธรรม ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ตามรปู แบบการเรียนรู้
ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 มีเน้อื หาเร่ือง ภูมิศาสตร์ โดยเนน้ นตี้ อ้ งใชเ้ วลาทตี่ อ่ เนอ่ื งกนั อยา่ งเพยี งพอในการทำ� กจิ กรรม
ให้นักเรียนแสวงหาความรู้จากการสืบค้นผ่านอินเตอร์เน็ต ครผู สู้ อนอาจจะให้นกั เรียนปฏบิ ตั งิ านในเวลาว่างได ้ เพ่อื
คน้ ควา้ จากแหลง่ เรียนรู้ต่าง ๆ น�ำข้อมลู ที่ไดม้ าวิเคราะห์ ให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพ และควรให้นักเรียนได้มีเวลาใน
และคดิ ออกแบบ สงั เคราะห์ความร้ ู สรปุ และจดั กระทำ� การปฏบิ ัตใิ ห้เกิดการคดิ อยา่ งเป็นระบบ อย่างเพยี งพอ
ขอ้ มลู ได ้ ทำ� ใหน้ กั เรยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ดว้ ยตวั เอง ทำ� ให้ 2. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกบั การวจิ ยั ครง้ั ตอ่ ไป
นักเรยี นเกิดการเรียนร้จู ากการค้นคว้า การลงมือปฏิบตั ิ 2.1 ควรมีการน�ำเทคนิคการเก็บ
จรงิ เกดิ การพฒั นาการการเรยี นร ู้ พฒั นาการทางดา้ นการ รวบรวมขอ้ มลู แบบอนื่ รว่ มกบั การสมั ภาษณ ์ เชน่ การ
วิเคราะห์ และดา้ นการคิด ตลอดจนการตัดสินใจในการ สังเกต เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอยิ่งข้ึนมาสังเคราะห์
เลอื กหรอื การปฏบิ ตั งิ าน เกดิ การเรยี นรทู้ ด่ี ขี น้ึ สง่ ผลใหผ้ ล ครอบคลมุ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
สมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรียนสงู ขึ้น 2.2 ควรมกี ารประเมนิ รปู แบบการเรยี น
รเู้ ชิงทฤษฏี โดยผู้เชี่ยวชาญทีม่ ีความรอบรูเ้ กี่ยวกับการจดั
ข้อเสนอแนะ กิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละด้านอย่างหลากหลาย เพ่ือ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนำ� รปู แบบการจดั การเรยี น ผลผลติ ของการเรียนร้ทู ี่จะเกิดกับนักเรยี น
รู้ ตามแนวคดิ หอ้ งเรียนกลับดา้ น (Flipped Classroom) 2.3 ควรมีการวางแผนในการก�ำหนด
เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ ข้ันตอนในการด�ำเนินการเรียนรู้ หรือการเก็บรวบรวม
การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น ข้อมูลที่มีความหลากหลาย เพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพ
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ไปใช้ บรบิ ทของนกั เรยี น และห้องเรยี นใน แตล่ ะพนื้ ที่
1.1 รูปแบบการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยพัฒนา
ขนึ้ น้ี เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ สำ� หรบั
นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 โดยใชก้ ระบวนการเรยี นรู้ที่
70
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
เอกสารอ้างองิ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2542 แก้ไขเพ่มิ เตมิ
(ฉบบั ที่ 3) พ.ศ.2553. กรงุ เทพฯ : ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
_______. (2552). หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551.
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย.
กวินธร รัฐอาจ. (2558). การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนแบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นดว้ ยคลัง
รายวิชาออนไลน์แบบเปดิ . วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวชิ า เทคโนโลยีและ
สอ่ื สารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
เกรยี งศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์.ิ (2546). การคดิ เชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking). พิมพ์ครง้ั ท่ี 5.
กรุงเทพฯ : ซคั เซส มเี ดีย .
งานวัดผลประเมนิ ผล โรงเรยี นประทาย. (2556). สรุปผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ปกี ารศึกษา 2554-2555
โรงเรยี นประทาย. นครราชสีมา : โรงเรียนประทาย
ทิศนา แขมมณ.ี (2545). การคิดและการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิด. กรงุ เทพฯ:
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ.
บุญชม ศรีสะอาด. (2546). การพฒั นาหลักสตู รและการวิจัยหลกั สูตร. กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น.
ประพนั ธศ์ ิร ิ สเุ สารจั . (2551). การพัฒนาการคิด. กรงุ เทพฯ : ประพันธศ์ ิร.ิ
ปรียานชุ สถาวรมณี. (2548). การพัฒนากจิ กรรมในหลกั สูตรเสริมเพ่ือพัฒนาทักษะการคิด
เชงิ วิเคราะหข์ องนกั เรียน. วทิ ยานิพนธ์ การศึกษาดุษฎบี ณั ฑติ สาขาวชิ า
การบรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.
วิจารณ์ พานชิ . (2556). ครเู พ่ือศิษยส์ รา้ งหอ้ งเรยี นกลับทาง. กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิสยามกัมมาจล.
สุรศักด์ิ ปาเฮ. (2556). หอ้ งเรยี นกลบั ทาง: ห้องเรยี นมิติใหมใ่ นศตวรรษท่ี 21. เอกสารประกอบ
การประชุมผู้บรหิ ารโรงเรียนในสงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาแพรเ่ ขต 2
ณ ห้องประชุมเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาแพรเ่ ขต 2 (สว่ น 2) วันที่ 21 พฤษภาคม.
Bloom, Benjamin S. (1976). Taxonomy of Education Objectives.
Good, C.V. (1973). Dictionary of Education. 3rd ed. New York: McGraw – Hill.
Herzberg, Frederick Berard. (1959). The Motivation to Work. 2nd ed. John Willey
and Sons.
Joyce, B., and Weil, M. (1996). Models of Teaching. 5th ed. Englewood Cliffs,
New York : Prentice-Hall.
ณชั พล งามทวี : ผู้ออกแบบจัดหน้าบทความ
71
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การพัฒนาการรูปแบบการจดั การเรยี นรูบ้ รู ณาการแบบสอดแทรก
ตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรคั ติวิสต์ เพื่อสง่ เสรมิ ความสามารถในการอา่ น
ภาษาอังกฤษเพอื่ ความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2
******************************************************************************************************
The Development of Integrated Instructional Model Based on Social Constructivist
Theory to Enhance English Reading Comprehension Ability of Mattayomsuksa 2 students
สมศักด์ิ ปรากฏมาก *1
Somsak Prakotmak *1
[email protected]*
สง่ บทความ 19 มกราคม 2562 แก้ไข 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 ตอบรบั 26 กุมภาพันธ์ 2562
บทคัดย่อ
การวจิ ยั นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) ศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐานเกย่ี วกบั การพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบ
สอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของ
นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 2) พฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั
ตวิ สิ ต์ เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเขา้ ใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3) ศึกษาผล
ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ ที่มี
ตอ่ การพฒั นาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพอื่ ความเขา้ ใจของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 และ 4) ประเมนิ
ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบ
สอดแทรกตามทฤษฎีโซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มลู คอื ครผู สู้ อนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนครบุรี จ�ำนวน 10
คน กลุ่มตวั อยา่ ง คอื นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2/1 โรงเรียนครบุรี ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2561 จ�ำนวน 28 คน
ไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบกลมุ่ (Cluster Random Sampling) โดยใชห้ อ้ งเรยี นเปน็ หนว่ ยการสมุ่ เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั
ประกอบดว้ ย แบบวเิ คราะหเ์ อกสาร แบบการสนทนากลมุ่ รปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎี
โซเชยี ลคอนสตรัคติวสิ ต์ แผนการจัดการเรยี นรู้ จำ� นวน 6 แผน แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษ
เพอื่ ความเขา้ ใจ และแบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทม่ี ตี อ่ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบ
การจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชค้ า่ เฉลยี่ ( X ) สว่ น
เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) คา่ ทแี บบไม่อสิ ระ (t-test แบบ dependent-samples) และการวิเคราะห์เน้ือหา (Content
Analysis)
1 ครชู �ำนาญการ โรงเรียนครบรุ ี อำ� เภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา
1 Professional Level Teacher, Khonburi School, Khonburi District, Nakhon Ratchasima
72
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผลการวิจยั พบว่า
1. ผลจากการศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตาม
ทฤษฎีโซเชียลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ มีประเด็นท่คี น้ พบ ดังน้ี
1.1 ทักษะการอ่านเป็นทักษะท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับผู้เรียนท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศหรือ
เปน็ ภาษาทส่ี อง ดงั นน้ั ผ้สู อนจงึ ตอ้ งหาวธิ ีการพัฒนาผ้เู รียนให้มีทักษะในการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจ และมีทักษะเพือ่ การ
ด�ำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพอื่ ให้ตรงตามความมงุ่ หมายของหลกั สูตรและนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล
1.2 ผลจากจากการสนทนากลมุ่ กบั ครผู สู้ อนภาษาองั กฤษ โรงเรยี นครบรุ ี จำ� นวน 10 คน สามารถสรปุ
สาระส�ำคญั ได้ 2 ประการ ดงั นี้
1.2.1 สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหผ้ เู้ รยี นขาดทกั ษะในการอา่ นเพอ่ื ความเขา้ ใจเนอ่ื งมาจากการทผี่ สู้ อนยงั
ใชว้ ธิ สี อนทไ่ี มเ่ หมาะสม ผเู้ รยี นมคี วามรพู้ น้ื ฐานอยใู่ นระดบั ตำ�่ ผเู้ รยี นไมเ่ หน็ ความสำ� คญั ของภาษาองั กฤษและขาดโอกาส
ในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวติ ประจำ� วัน
1.2.2 การจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ สามารถ
ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจได้ เพราะเนอื้ หาในการเรยี นมคี วามสอดคล้องเชอื่ มโยงกับสาระ
การเรยี นรู้จากกลุ่มวิชาอ่ืน ๆ และเชือ่ มโยงกับชีวติ จรงิ ของผู้เรียน ช่วยใหผ้ ้เู รยี นไดพ้ ัฒนาความร้ใู นลกั ษณะองค์รวม อกี
ท้ังกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจะมุ่งเน้นการเรียนรู้ร่วมกันของผู้เรียน ท�ำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสร้าง
องค์ความรู้ของตนเองได้จากการมปี ฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนร้ผู ่านเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ โดยมีครเู ป็นผู้อ�ำนวย
ความสะดวกในการเรียนรู้ ท�ำให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายและมีคุณค่า ผู้เรียนสามารถน�ำเน้ือหาและทักษะท่ีเรียนไป
ใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั ได้
2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมความ
สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 (ELCRE Model) มีความสอดคลอ้ ง
กนั ในทกุ องคป์ ระกอบ และมคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก โดยมอี งคป์ ระกอบ คอื หลกั การ วตั ถปุ ระสงค์ กระบวนการ
จัดการเรียนการสอน ระบบสังคม หลักการตอบสนอง สงิ่ สนบั สนุน เง่อื นไขของการนำ� รปู แบบไปใช้ และผลทีเ่ กิดจาก
การใชร้ ูปแบบ โดยมีกระบวนการจดั การเรยี นการสอน 5 ข้นั ตอน ได้แก่ 1) ข้ันตรวจสอบความรเู้ ดิมและเรา้ ความสนใจ
(Eliciting and Engagement: E) 2) ขั้นเรยี นรู้และแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ (Learning and Sharing: L) 3) ข้นั สรปุ และสร้าง
องคค์ วามรู้ (Concluding Ideas: C) 4) ข้นั สะทอ้ นผลการเรียนรู้ (Reflecting: R) และ 5) ขั้นประเมินผลการเรียนรู้
(Evaluation: E)
3. ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพอื่ ความเขา้ ใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ท่ไี ด้รับการจัดการ
เรียนรู้ดว้ ยรปู แบบการจัดการเรยี นรบู้ ูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ น
เรียน อย่างมีนยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05
4. นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนครบรุ ี มีความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้รูปแบบการจดั การ
เรียนรบู้ ูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชยี ลคอนสตรคั ติวิสต์ โดยรวมอยใู่ นระดับมาก
คำ� สำ� คัญ: การบูรณาการการเรยี นร ู้ คอนสตรัคติวสิ ต์
73
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Abstract
The purposes of this research were: 1) to study the basic information needed for the devel-
opment of integrated instructional model based on social constructivist theory to enhance English
reading comprehension ability of Mattayomsuksa 2 students, 2) to develop the integrated instruction-
al model based on social constructivist theory to enhance English reading comprehension ability of
Mattayomsuksa 2 students, 3) to investigate the effect of the instructional model on Mattayomsuksa
2 students’ reading comprehension ability, and 4) to study students’ satisfaction towards the instruc-
tional model. The informants are 10 Khonburi School English teachers .The samples of this study were
28 Mattayomsuksa 2/1 students of Khonburi School in the first semester of the 2018 academic year.
The research instruments included data analysis form, focus group discussion form, 6 lesson plans, a
pre and post English reading comprehension test and a questionnaire on the students’ satisfaction
towards the instructional model. The data was statistically analyzed by mean, standard deviation,
t-test dependent and content analysis. The findings of the research revealed that:
1. The results of the study of the basic information needed for the development of the in-
structional model are as follows:
1.1 English reading comprehension skill is necessary for learners of English. Hence,
teachers have to create learning activities on reading to improve not only students’ reading compre-
hension but also life skills for 21st century in order to help students achieve the aims of the basic
education curriculum and Thailand 4.0 policies.
1.2 The basic information obtained from focus group discussion shows that:
1.2.1 Most students are quite weak in reading comprehension skill owing to
improper teaching approaches, students’ low background knowledge and students’ less opportunity
to use English in daily life.
1.2.2 Using the integrated instructional model based on social constructivist
theory can enhance English reading comprehension ability because meaningful contents related to
various subjects and students’ lives can support students’ development of the knowledge concepts
in the real world. Moreover, teaching and learning processes which focus on collaborative learning
through interaction with peers and the Internet websites can encourage students to use their learning
skills in their real lives.
2. The integrated instructional model based on social constructivist theory to enhance English
reading comprehension ability of Mattayomsuksa 2 students (ELCRE) was well-connected in all its
components and its quality was found to be at high level. It was constructed under the headings of
principles, objectives, syntax (learning process), social system, principle of reaction, support system,
condition for implementation of the model and instructional and nurturing effect. The syntax con-
sisted of 5 steps: 1) Eliciting and Engagement: E, 2) Learning and Sharing: L, 3) Concluding Ideas: C, 4)
Reflecting: R, and 5) Evaluation: E.
3. The English reading comprehension ability of the students, taught with the instructional
model, increased at the level of .05 statistical significance.
4. The students’ satisfaction towards the instructional model was at the good level.
Keywords: Integrated Instruction , Constructivist
74
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
บทน�ำ ที่ไม่เหมาะสมของผู้สอน ซึ่งท�ำให้การอ่านของผู้เรียนล้ม
เหลวและไมไ่ ดเ้ นน้ ใหน้ กั เรยี นไดพ้ ฒั นาทกั ษะการอา่ นอยา่ ง
การอา่ นเปน็ ทกั ษะการเรยี นรพู้ น้ื ฐานทส่ี ำ� คญั มาก แทจ้ ริง (มนัสวี ดวงลอย, 2558) นอกจากนี้ ยงั พบว่า ครู
สำ� หรบั การพฒั นาองคค์ วามรู้ พฒั นาทกั ษะการคดิ และให้ ผูสอนมักจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอยางไมเปนระบบ
ความเพลิดเพลินแก่มนุษย์ (เพียรศิลป์ ปินชัย, 2555) ใชวิธีการสอนท่ีไมหลากหลาย มักใชเน้ือหาจากหนังสือ
นอกจากน้ี แนวทางการศกึ ษาทม่ี งุ่ เตรยี มความพรอ้ มใหก้ บั เรยี นเลม ใดเลม หนง่ึ เปน หลกั และไมม เี วลาสง เสรมิ ดา นกา
ผูเ้ รยี นในการเขา้ สรู่ ะบบการศกึ ษาข้ันสูง การจดั การเรียน รอา นใหกับผเู้ รยี น ดงั นัน้ เพ่ือพัฒนาทักษะการอา่ นให้กับ
การสอนย่ิงต้องเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะการอ่านเป็นส�ำคัญ ผู้เรียน ผู้สอนจึงต้องจัดกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับวัย ความ
ทง้ั นเี้ พราะการศกึ ษาขน้ั สงู และการเรยี นรใู้ นวทิ ยาการตา่ ง สามารถ ความถนดั ในการเรยี น และตอ้ งใหผ้ เู้ รยี นใชภ้ าษา
ๆ ตอ้ งอาศยั ต�ำราทางวิชาการท่ีเปน็ ภาษาอังกฤษเปน็ ส่วน อังกฤษใหม้ ากท่ีสุด ไมค่ วรใชภ้ าษาไทย ควรสอนให้ผ้เู รยี น
ใหญ่ ผทู้ ่มี ีความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษสงู ย่อม มคี วามสามารถใชภ้ าษาเปน็ เครอื่ งมอื ในการทำ� ความเขา้ ใจ
ได้เปรียบในการศึกษาหาความรู้ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง กบั สง่ิ พมิ พใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏจรงิ ในชวี ติ ประจำ� วนั
ทักษะการอา่ น นอกจากจะทำ� ใหผ้ ู้อา่ นมคี วามรู้ ความคดิ มีแบบฝึกหัดให้ผู้เรียนใช้ภาษาโดยอัตโนมัติ และจัด
และความเพลดิ เพลนิ แลว้ ยงั ชว่ ยใหเ้ กดิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ กจิ กรรมทางภาษาทเี่ ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดฝ้ กึ ใชภ้ าษาเพอ่ื
ชว่ ยพฒั นาจติ ใจใหง้ อกงาม ชว่ ยอำ� นวยความสะดวกในชวี ติ ติดตอ่ สอื่ สารในสถานการณจ์ ริง และกจิ กรรมต้องมีสภาพ
ประจำ� วนั และใชใ้ นการแสวงหาสรรพวทิ ยาการและความ การณใ์ กล้กบั ความเป็นจริงมากที่สุด (สุพตั รา มลู ละออง,
บนั เทงิ ดงั นนั้ ผทู้ มี่ นี สิ ยั รกั การอา่ น มที กั ษะในการอา่ นและ 2557)
มอี ตั ราเรว็ ในการอา่ นสงู ยอ่ มแสวงหาความรแู้ ละศกึ ษาสง่ิ ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้อย่างย่ังยืนน้ัน
ทเี่ รยี นไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถนำ� ความรู้ทไ่ี ดจ้ าก กระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูควรส่งเสริมให้ผู้
การอ่าน ไปใช้ในการพูดและการเรียนได้เป็นอย่างดี เรียนได้สร้างองค์ความรู้จากสิ่งท่ีเขามีอยู่และพัฒนาต่อย
(สภุ าษติ พาณยง, 2555) แต่อย่างไรก็ตาม ปญั หาของการ อดไปด้วยตัวของเขาเอง การสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง
อา่ นภาษาองั กฤษในประเทศไทยยงั คงปรากฏใหเ้ หน็ อยา่ ง ควรจะต้องปรับเปล่ียนให้เหมาะสมกับเน้ือหาสาระและ
เด่นชัด นกั เรียนไทยจำ� นวนมากมีปญั หาในทกั ษะการอา่ น เนน้ ทต่ี วั ผเู้ รยี นเปน็ หลกั เพราะการสอนแบบยดั เยยี ดความ
ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นด้านความเข้าใจในการอ่าน เนื่องจาก รจู้ ะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรไู้ ดน้ อ้ ยกวา่ การใหผ้ เู้ รยี นสรา้ งความ
ขาดทกั ษะพนื้ ฐานทจ่ี ำ� เปน็ ในเรอ่ื งความสามารถในการอา่ น รดู้ ว้ ยตนเอง และนอกจากการสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะใน
และไม่มีกลวิธีการอ่านท่ีเหมาะสม ผู้เรียนจึงไม่เข้าใจใน การสรา้ งองคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองแลว้ เนอื้ หาสาระทน่ี ำ� มา
เนือ้ หาของบทอ่าน จบั ประเดน็ สำ� คญั ของเรอื่ งทอ่ี า่ นไมไ่ ด้ ใชส้ อนควรเปน็ สาระการเรยี นรทู้ ส่ี อดคลอ้ งกบั ชวี ติ จรงิ ของ
ไม่สามารถรวบรวมรายละเอียดของสิ่งที่อ่านได้อย่างถูก ผเู้ รียน เพื่อให้ผเู้ รยี นไดม้ ีโอกาสได้รับความร้ทู ี่หลากหลาย
ต้อง สามารถอา่ นเพียงรับความหมายในระดบั พืน้ ผวิ ไมม่ ี แลว้ สามารถนำ� มาใช้ในชีวติ ประจำ� วนั ได้อีกดว้ ย
ความสามารถเชอ่ื มโยงความรเู้ กา่ ใหเ้ ขา้ กบั เรอ่ื งใหมท่ ก่ี ำ� ลงั กระบวนการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการเปน็ วธิ กี ารหนงึ่
จะอ่าน ไมม่ ที กั ษะในการใช้ข้อความรอบข้างชี้แนะในการ ทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั ชว่ ยตอบสนองตอ่ ความสามารถใน
เดาความหมายเพอื่ ท�ำความเข้าใจในการอ่าน ตลอดจนใช้ หลาย ๆ ดา้ นของผเู้ รยี น ชว่ ยสรา้ งความรู้ ทกั ษะและเจตคติ
เวลาในการอ่านเพื่อท�ำความเข้าใจนานเกินไป รวมไปจน “แบบพหปุ ัญญา” (Multiple intelligence) และเปน็ การ
กระท่ังถึงมีเจตคติท่ีไม่ดีต่อการอ่านภาษาอังกฤษ มีความ เรียนร้ทู อี่ าศยั ความเช่ือมโยงความรู้ตา่ ง ๆ เพื่อจะไดน้ ำ� มา
รู้สึกเบื่อหน่ายในการเรียนและไม่เห็นความส�ำคัญของการ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ เนอื่ งจากการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการ
เรยี นภาษาอังกฤษ (สุภรัตน์ สทา้ นพล, 2554; แสงทอง เปน็ การเรยี นรทู้ อี่ าศยั การเชอ่ื มโยงความรสู้ าขาตา่ ง ๆ และ
ค�ำเสือ, 2554; กฤติกา จันทรเกษม, 2553; กาญจนา ทกั ษะการเรยี นรหู้ ลาย ๆ ทกั ษะเขา้ ดว้ ยกนั เพอ่ื ใหเ้ กดิ การ
สวุ รรณเจรญิ , 2552: ออนไลน;์ นรู ียะห์ เจะ๊ ยอ, 2552; สม เรียนรู้ทม่ี คี วามหมาย ช่วยใหผ้ เู้ รียนรจู้ ักนำ� ความรไู้ ปผสม
สมร ทีภูเวียง, 2552; ชวาลา สมถวิล, 2551) ผสานกัน และสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
การทท่ี กั ษะการอา่ นของผเู้ รยี นอยใู่ นระดบั ตำ�่ จน ได้อย่างเหมาะสมและถูกตอ้ ง (กติ ติภมู ิ มปี ระดษิ ฐ,์ 2559:
ท�ำให้เกิดปัญหาในการอ่าน ปัจจัยหนึ่งมาจากวิธีการสอน ออนไลน์)
75
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การจัดกระบวนการเรียนรูเ้ พอื่ ให้ผูเ้ รยี นสามารถ สตรัคติวิสต์ เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษา
สรา้ งองคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองนนั้ จำ� เปน็ ตอ้ งเปลย่ี นแปลง อังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2
พฤติกรรมการสอนของผู้สอนและการเรียนของผู้เรียน ซึ่งเป็นรูปแบบการสอนในลักษณะที่ผู้วิจัยจะสอดแทรก
กล่าวคอื ลดบทบาทของผู้สอนจากการเป็นผู้บอกเล่าและ เนอ้ื หาวชิ าอืน่ ๆ และทักษะการเรยี นรหู้ ลาย ๆ ทักษะเขา้
บรรยายมาเป็นการวางแผนจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือให้ผู้ ด้วยกันในการสอนวิชาภาษาอังกฤษของตนเอง โดยการ
เรียนได้มีกระบวนการสืบค้นเสาะหาความรู้ ส�ำรวจตรวจ กำ� หนดเรอ่ื งตา่ ง ๆ ทนี่ า่ สนใจและสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจำ�
สอบและคน้ ควา้ ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง จนทำ� ใหเ้ กดิ วนั ของผเู้ รยี น บรู ณาการเนอ้ื หาภาษาใหส้ อดคลอ้ งกบั ชวี ติ
ความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้น้ันอย่างมีความหมาย จรงิ และจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หแ้ กผ่ เู้ รยี นตามทฤษฎี
และสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ของตนเองและเก็บเป็น โซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ที่ก�ำหนดให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างสัง
ข้อมูลไว้ในสมองได้อย่างยาวนาน สามารถน�ำมาใช้ได้เม่ือ กัป (Concept) ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง จากการมี
มีสถานการณ์ใด ๆ มาเผชิญหน้า ดังน้ัน หากได้น�ำการ ปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมผ่านเคร่ืองมือทางวัฒนธรรมและ
จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการมาใช้ในการจัดการเรียนการ กจิ กรรมทางสงั คม เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะในการเรยี นรแู้ ละ
สอนร่วมกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน สร้างองค์ความร้ไู ดด้ ้วยตนเอง นอกจากนัน้ ยังชว่ ยพัฒนา
ตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ ซ่ึงเป็นทฤษฎีท่ีมีพื้น ทกั ษะกระบวนการตา่ ง ๆ เชน่ กระบวนการคดิ กระบวนการ
ฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของ Lev Semenovich กลุ่ม กระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและกระบวนการ
Vygotsky ทมี่ คี วามเชอ่ื วา่ เดก็ จะเกดิ การเรยี นรผู้ า่ นการมี แสวงหาความรู้
ปฏสิ มั พนั ธใ์ นตนเองและปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม โดยใชภ้ าษา
เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทางปัญญา ครูจะเป็นผู้สร้าง วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
บรบิ ทสำ� หรบั การเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รยี นสามารถไดร้ บั การสง่ เสรมิ การวจิ ยั ครง้ั น้ี เปน็ การพฒั นารปู แบบการจดั การ
ในกิจกรรมท่ีน่าสนใจ คอยช่วยแนะน�ำเมื่อผู้เรียนประสบ เรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอน
ปญั หา กระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั งิ านในกลุ่ม แนะนำ� ใหพ้ วก สตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษา
เขาต่อสู้กับปัญหา และช่วยเอื้อให้ผู้เรียนเกิดความเจริญ อังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ทางดา้ นสตปิ ญั ญาและการเรยี นรู้ กจ็ ะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การ มวี ัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ดังตอ่ ไปนี้
เรียนรู้ที่มีความหมาย รู้จักน�ำความรู้ไปผสมผสานกันและ 1. เพอื่ ศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐานเกยี่ วกบั การพฒั นารปู
สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้อย่างเหมาะ แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎี
สมและถกู ตอ้ ง ดงั ผลงานวจิ ยั ของกลุ ชยั กลุ ตวนชิ และคณะ โซเชยี ลคอนสตรัคตวิ สิ ต์ เพ่อื ส่งเสรมิ ความสามารถในการ
(2554: ออนไลน)์ ทไี่ ดท้ ำ� การศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ ง FACEBOOK: อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนช้ัน
การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานตามแนวคิดโซเชียลคอน มัธยมศึกษาปีที่ 2
สตรคั ตวิ สิ ต์ แลว้ พบวา่ การจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ โซเชยี 2. เพอ่ื พฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการ
ลคอนสตรัคติวิสต์ท�ำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากสังคม แบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ เพอ่ื สง่
ตลอดจนการท�ำให้ผู้เรียนสัมผัสกับงานที่ใกล้เคียงกับชีวิต เสรมิ ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพอ่ื ความเขา้ ใจ
จริงโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนรอบข้าง และ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนค้นคว้าด้วยตนเองจนสามารถสร้าง 3. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน
ความรคู้ วามเขา้ ใจอยา่ งมคี วามหมายขนึ้ โดยผสู้ อนเปลย่ี น ภาษาองั กฤษเพอื่ ความเขา้ ใจของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี
บทบาทจากผใู้ หค้ วามรมู้ าเปน็ ผอู้ ำ� นวยความสะดวกในการ ที่ 2 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ดำ� เนินกจิ กรรมการเรียนรู้ เช่น การจดั เตรียมเอกสารและ บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติ
เทคโนโลยที เ่ี กยี่ วขอ้ ง การใหค้ ำ� ปรกึ ษาระหวา่ งดำ� เนนิ งาน วิสต์
และการใหข้ อ้ มลู ปอ้ นกลับไปยังผู้เรยี น 4. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้น
ด้วยความส�ำคัญของทักษะการอ่านและความ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ทม่ี ตี อ่ การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยรปู แบบการ
จำ� เปน็ ของครผู สู้ อนในการหาวธิ จี ดั การเรยี นการสอน เพอื่ จดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ล
ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพอื่ ความ คอนสตรคั ติวิสต์
เขา้ ใจ ผวู้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจทจ่ี ะพฒั นารปู แบบการจดั การ
เรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอน
76
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
สมมติฐานการวิจัย โดยนำ� ขอ้ มลู พน้ื ฐานทไ่ี ดจ้ ากการวจิ ยั ในขน้ั ตอนท่ี 1 มาจดั
ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพือ่ ความ เรยี งลำ� ดบั เขยี นรายละเอยี ดในแตล่ ะองคป์ ระกอบเพอื่ ยก
เขา้ ใจของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 หลงั จากการจดั การ ร่างให้ไดร้ ปู แบบการจดั การเรียนรู้ในเบอื้ งต้น
เรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอด 3) น�ำร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่
แทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์หลังเรียนสูงกว่า พฒั นาข้ึนเสนอตอ่ ทผี่ ู้เชยี่ วชาญ จ�ำนวน 5 ทา่ น เพ่อื ตรวจ
กอ่ นเรยี น สอบความสอดคล้องขององค์ประกอบและรายละเอียด
ตา่ ง ๆ
วธิ ดี ำ� เนินการวิจัย 4) ปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้
การวจิ ยั ครง้ั นเี้ ปน็ การวจิ ยั และพฒั นา (Research แล้วเสนอต่อผู้เช่ียวชาญให้ตรวจสอบความสอดคล้องของ
and Development) ผวู้ จิ ยั ไดแ้ บง่ การดำ� เนนิ การวจิ ยั ออก องค์ประกอบ รายละเอียดต่าง ๆ และความเป็นไปได้ใน
เป็น 4 ข้นั ตอน ดังนี้ การนำ� ไปใช้
ขนั้ ตอนท่ี 1 การวิจยั (Research: R1) เปน็ การ 5) ศกึ ษานำ� รอ่ งทดลองใช้รูปแบบเพอ่ื
ศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐานเกย่ี วกบั การพฒั นารปู แบบการจดั การ ตรวจสอบความเปนไปได้ในเชิงปฏิบัติและปรับปรุงแก้ไข
เรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอน ให้มีความสมบูรณ์ก่อนท่ีจะน�ำไปใช้จริงกับนักเรียนกลุ่ม
สตรคั ติวิสต์ (Analysis: A) มีวธิ ดี �ำเนนิ การวิจยั ดงั น้ี ตวั อย่าง
1.1 ศกึ ษาเอกสาร ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ความสำ� คญั ของ 2.2 การพฒั นาเคร่อื งมอื ที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
ภาษาองั กฤษ หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ข้อมูลซึ่งประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้และแบบ
กบั การพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอด ทดสอบวดั ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพอื่ ความ
แทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ เพอ่ื สง่ เสรมิ ความ เข้าใจ มีวธิ ีการ ดังนี้
สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ 1) แผนการจดั การเรียนรู้
นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 รวบรวมข้อมูลโดยใช้เคร่ือง 1.1) ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา
มอื คอื แบบวเิ คราะห์เอกสารแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ัย ข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษา
ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง และสรุปข้อมลู โดยใช้การวิเคราะหเ์ นื้อหา ตา่ งประเทศ กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและ
1.2 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรยี นการสอน วฒั นธรรม กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการ
การอ่านภาษาอังกฤษ ความต้องการจ�ำเป็นของครูผู้สอน เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี และกลุ่มสาระการ
ในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทักษะการ เรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี
อ่านภาษาองั กฤษ และแนวทางการสง่ เสรมิ ความสามารถ 2 และวิเคราะห์สาระที่มีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กันเพ่ือ
ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการสนทนา ก�ำหนดหน่วยการเรยี นรู้ หวั ข้อการเรยี นรู้ และระยะเวลา
กล่มุ กับครผู ูส้ อนภาษาองั กฤษ โรงเรยี นครบุรี จ�ำนวน 10 การจดั การเรียนรู้
คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบการสนทนากลุ่ม และสรุป 1.2) จัดท�ำแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีใช้
ข้อมลู โดยใช้การวิเคราะหเ์ นือ้ หา รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตาม
ขน้ั ตอนท่ี 2 การพัฒนา (Development: D1) ทฤษฎโี ซเชียลคอนสตรัคตวิ สิ ต์ เพ่ือสง่ เสรมิ ความสามารถ
เปน็ การออกแบบและพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณ ในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนชั้น
าการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 แล้วนำ� เสนอแผนการจัดการเรยี นร้ตู ่อผู้
(Design and Development: D and D) มีรายละเอียด เชย่ี วชาญพจิ ารณาใหข้ อ้ เสนอแนะ
การดำ� เนินการวจิ ัย ดังน้ี 1.3) ปรบั ปรงุ แกไ้ ขแผนการจดั การเรยี น
2.1 การพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรู้ มวี ธิ กี าร รู้ท่ีใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรก
ดงั นี้ ตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ เพ่ือส่งเสริมความ
1) วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลพื้น สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ
ฐานจากการวิจัยในขั้นตอนที่ 1 น�ำเข้าสู่กระบวนการ นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 แลว้ นำ� เสนอผเู้ ชย่ี วชาญเพอ่ื
สังเคราะห์ให้ได้มาซ่ึงข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบ ตรวจสอบความเหมาะสม โดยจากการคำ� นวณคา่ ความคดิ
การจดั การเรยี นรู้ เหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญ พบวา่ แผนการจดั การเรยี นรมู้ คี า่ เฉลยี่
2) จัดท�ำร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ของความเหมาะสมเทา่ กบั 4.49 อยใู่ นระดบั เหมาะสมมาก
77
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผเู้ ชยี่ วชาญไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ ดา้ นการใชภ้ าษาและ 2) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้น
ไวยากรณ์ และการปรับระดับของค�ำศัพท์ที่อยู่ในข้อสอบ มธั ยมศึกษาปีที่ 2/1 ภาคเรยี นท่ี 1/2561 โรงเรยี นครบุรี
และเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ อำ� เภอครบรุ ี จงั หวดั นครราชสมี า จำ� นวน 28 คน ไดม้ าโดย
ระดับของนักเรียน วิธีการสุ่มแบบเป็นกล่มุ (Cluster Random Sampling)
1.4) ศกึ ษานำ� รอ่ งเพอื่ ทดลองใชแ้ ผนการ โดยใชห้ อ้ งเรียนเปน็ หนว่ ยการส่มุ
จัดการเรียนรู้ทีใ่ ชร้ ูปแบบฯ เพ่อื ตรวจสอบความเปน็ ไปได้ 3.2 การกำ� หนดตวั แปรทศี่ ึกษา ประกอบดว้ ย
ในเชิงปฏบิ ตั ิ ปรบั ปรุงแกไ้ ขและจัดทำ� เปน็ แผนการจดั การ 1) ตัวแปรอิสระ ได้แก่ รูปแบบการ
เรยี นรูฉ้ บับสมบูรณเ์ พือ่ น�ำไปทดลองใช้กับกลุ่มตวั อยา่ ง จดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ล
2) แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอา่ น คอนสตรัคตวิ สิ ต์
ภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ 2) ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถใน
2.1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการ การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนช้ัน
ศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถาน มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยรปู แบบการ
ศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียน จดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ล
ครบุรี และต�ำราเก่ียวกับการสร้างแบบทดสอบการอ่าน คอนสตรคั ติวิสต์
ภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ 3.3 ก�ำหนดแบบแผนการทดลองแบบ One
2.2) สรา้ งแบบทดสอบวดั ความสามารถ Group Pretest Posttest Design
ในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ จ�ำนวน 6 ฉบับ 3.4 ด�ำเนินการทดลองใช้รูปแบบการจัดการ
60 ขอ้ แลว้ นำ� เสนอผเู้ ชย่ี วชาญเพอื่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง เรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการ
และความตรงของเนื้อหาที่ต้องการจะวัด โดยใช้แบบ เรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรก ตามทฤษฎีโซเชียลคอน
ประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดความ สตรัคตวิ ิสต์ จำ� นวน 6 แผน และเกบ็ รวบรวมข้อมูลผลการ
สามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจ ทดลองโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน
2.3) หาคุณภาพของข้อสอบด้วยการ ภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจซ่ึงเป็นแบบทดสอบปรนัย
ทดลองใช้แล้วน�ำผลคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความ ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จำ� นวน 30 ขอ้
ยากง่าย คา่ อ�ำนาจจำ� แนก และค่าความเชื่อมัน่ โดยพบว่า 3.5 วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือเปรียบเทียบความ
แบบทดสอบมีค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.43 – สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ
0.68 คา่ อ�ำนาจจ�ำแนก (B) อย่รู ะหวา่ ง 0.25 – 0.45 และ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 กอ่ นและหลงั การทดลองโดย
คา่ ความเชือ่ มัน่ เท่ากบั 0.94 ใช้ค่าสถิติท่ีประกอบด้วยค่าเฉล่ีย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2.4) ปรับปรงุ แกไ้ ขข้อบกพร่องและจดั และค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test แบบ dependent-sam-
ท�ำเป็นแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษา ples)
องั กฤษเพอ่ื ความเขา้ ใจ แลว้ นำ� ไปศกึ ษานำ� รอ่ งเพอื่ ทดลอง ข้นั ตอนที่ 4 การพฒั นา (Development: D2)
ใชก้ บั นกั เรยี นทม่ี ที กั ษะและความสามารถใกลเ้ คยี งกบั กลมุ่ เป็นการประเมินความพึงพอใจและปรับปรุงรูปแบบการ
ตัวอย่าง แล้วปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งและจัดท�ำเป็นแบบ จดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ล
ทดสอบฉบับสมบูรณ์เพ่ือน�ำไปทดลองใช้จริงกับกลุ่ม คอนสตรคั ติวิสต์ (Evaluation: E) มีการด�ำเนินการ ดังนี้
ตวั อย่าง 4.1 การกำ� หนดกลมุ่ ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ขั้นตอนท่ี 3 การวจิ ัย (Research: R2) เปน็ การ ซึ่งประกอบด้วย
ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอด 1) ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา
แทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ (Implementa- ปีที่ 2/1-2/9 โรงเรียนครบุรี อ�ำเภอครบุรี จังหวัด
tion: I) มรี ายละเอียดการดำ� เนินการ ดงั นี้ นครราชสีมา ที่ก�ำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1/2561
3.1 การกำ� หนดประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง จำ� นวน 296 คน
1) ประชากร ได้แก่ นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา 2) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้น
ปีที่ 2/1-2/9 โรงเรียนครบุรี อ�ำเภอครบุรี จังหวัด มัธยมศึกษาปีท่ี 2/1 ภาคเรียนท่ี 1/2561 โรงเรยี นครบรุ ี
นครราชสีมา ท่ีก�ำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 1/2561 อำ� เภอครบุรี จงั หวดั นครราชสีมาจ�ำนวน 28 คน ได้มาโดย
จ�ำนวน 296 คน วธิ ีการสมุ่ แบบเปน็ กลุ่ม (Cluster Random Sampling)
78
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
2) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ัน เรียนให้มีทักษะในการอ่านเพ่ือความเข้าใจ และมีทักษะ
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2/1 ภาคเรยี นที่ 1/2561 โรงเรยี นครบรุ ี เพอื่ การดำ� รงชวี ติ ในศตวรรษที่ 21 เพอ่ื ใหต้ รงตามความมงุ่
อ�ำเภอครบรุ ี จงั หวดั นครราชสมี าจ�ำนวน 28 คน ได้มาโดย หมายของหลักสูตรและนโยบาย Thailand 4.0 ของ
วธิ กี ารสุม่ แบบเป็นกล่มุ (Cluster Random Sampling) รฐั บาล
โดยใชห้ ้องเรยี นเป็นหน่วยการสุ่ม 1.2 สาเหตุท่ีท�ำใหผ้ เู้ รยี นขาดทกั ษะใน
4.2 การก�ำหนดตัวแปรท่ศี กึ ษา ประกอบดว้ ย การอ่านเพ่ือความเข้าใจเน่ืองมาจากการที่ผู้สอนยังใช้วิธี
1) ตัวแปรอิสระ ได้แก่ รูปแบบการ สอนท่ีไม่เหมาะสม ผูเ้ รยี นมคี วามรูพ้ ืน้ ฐานในเรอ่ื งคำ� ศัพท์
จดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ล โครงสร้างประโยค การหาค�ำอ้างอิงในประโยคการใช้ค�ำ
คอนสตรคั ตวิ ิสต์ เชอ่ื ม และคำ� ปรากฏรว่ มอยใู่ นระดบั ตำ�่ ผเู้ รยี นไมเ่ หน็ ความ
2) ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ความพงึ พอใจของ ส�ำคัญของภาษาอังกฤษและขาดโอกาสในการใช้ภาษา
นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทมี่ ตี อ่ การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ย องั กฤษในชวี ติ ประจ�ำวนั
รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรกตาม 1.3 การจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบ
ทฤษฎีโซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ ิสต์ สอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ตส์ ามารถชว่ ย
4.3 สรา้ งและหาคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจได้
ซง่ึ ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ การ เพราะเนื้อหาในการเรียนมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับ
จดั การเรยี นรดู้ ว้ ยรปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบ สาระการเรียนรู้จากกลุ่มวิชาอื่น ๆ และเช่ือมโยงกับชีวิต
สอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรคั ติวิสต์ จำ� นวน 24 จริงของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ในลักษณะ
ขอ้ องค์รวม อีกท้ังกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจะ
4.4 ท�ำการวิเคราะห์ข้อมูลผลการประเมนิ ความ มุ่งเน้นการเรียนรู้ร่วมกันของผู้เรียน ท�ำให้ผู้เรียนสามารถ
พึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีมีต่อการ เรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ของตนเองได้จากการมี
จดั การเรยี นรดู้ ว้ ยรปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการเรียนรู้ผ่านเครือข่าย
สอดแทรก ตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้ค่า อินเทอร์เน็ต โดยมีครูจะเป็นผู้อ�ำนวยความสะดวกในการ
สถิติท่ีประกอบด้วยค่าเฉลี่ยและคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน เรียนรู้ ท�ำให้การเรียนรู้น้ันมีความหมายและมีคุณค่า ผู้
4.5 ปรบั ปรุงรปู แบบการจัดการเรยี นร้ใู หม้ ีความ เรียนสามารถน�ำเนื้อหาและทักษะท่ีเรียนไปใช้ในชีวิต
ถูกต้องสมบูรณ์ จัดท�ำคู่มือการใช้รูปแบบและเผยแพร่รูป ประจ�ำวันได้
แบบ 2. ผลการพฒั นารูปแบบการจัดการเรยี นรู้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอด
ผลการวจิ ยั แทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ เพอื่ สง่ เสรมิ ความ
สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของ
ผลการวิจัยน�ำเสนอใน 4 ประเด็น คือ ผลการ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ทด่ี ำ� เนนิ การพฒั นาและตรวจ
ศกึ ษาขอ้ มลู พนื้ ฐานเกยี่ วกบั การพฒั นารปู แบบการจดั การ สอบคุณภาพ มีช่ือเรียกว่า “ELCRE Model” มีองค์
เรยี นรู้ ผลการพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรู้ ผลของการ ประกอบ คือ หลกั การ วตั ถปุ ระสงค์ กระบวนการจัดการ
จัดการเรียนรโู้ ดยใช้รปู แบบการจัดการเรยี นรู้ และผลการ เรยี นการสอน ระบบสงั คม หลกั การตอบสนอง สง่ิ สนบั สนนุ
ประเมินความพึงพอใจและปรับปรุงรูปแบบการจัดการ เงอื่ นไขของการนำ� รปู แบบไปใช้ และผลทเี่ กดิ จากการใชร้ ปู
เรยี นร ู้ แบบ ในส่วนของกระบวนการเรียนการสอนนั้น ประกอบ
1. ผลการศกึ ษาขอ้ มลู พนื้ ฐานเกยี่ วกบั การพฒั นา ไปด้วย 5 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่
รปู แบบการจัดการเรียนรู้ มปี ระเดน็ ที่ค้นพบ ดังน้ี ข้ันที่ 1 ขั้นตรวจสอบความรู้เดิมและเร้าความ
1.1 จากการศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่ สนใจ (Eliciting and Engagement: E) เปน็ ข้นั ทผ่ี ู้เรียน
เก่ียวข้องกับความส�ำคัญของการอ่าน ผลการทดสอบ จะได้รับการทบทวนความรู้หรือประสบการณ์เดิมท่ี
ทางการศึกษาระดับชาติข้ันพื้นฐาน รวมไปถึงทักษะที่ เกยี่ วขอ้ งกบั เนอ้ื หาในบทเรยี น และผสู้ อนจะเปน็ ผนู้ ำ� เสนอ
จ�ำเปน็ ในศตวรรษที่ 21 และนโยบาย Thailand 4.0 ของ สารสนเทศใหมห่ รอื ความรใู้ หม่ เพอ่ื กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ว่ ม
รัฐบาล ท�ำให้พบว่าทักษะการอ่านเป็นทักษะที่จ�ำเป็น มือกันเพ่ือเรียนรู้และแสวงหาค�ำตอบ โดยเทคนิคท่ีผู้สอน
ส�ำหรับผู้เรียนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ใช้ ไดแ้ ก่ การตงั้ คำ� ถามจากหวั ขอ้ เรอ่ื งหรอื รปู ภาพ การนำ�
หรอื เปน็ ภาษาทสี่ อง ดงั นนั้ ผสู้ อนจงึ ตอ้ งหาวธิ กี ารพฒั นาผู้
79
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สนทนาซกั ถาม การอภปิ รายกลมุ่ เพอ่ื แลกเปลยี่ นความคดิ ภาษาองั กฤษเพอื่ ความเขา้ ใจของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี
เหน็ การระดมพลงั ความคดิ การเลน่ เกมทางภาษา การรอ้ ง ที่ 2 พบวา่ การทดสอบคา่ สถติ ิ t = 19.582, df = 27 ความ
เพลง ฯลฯ กจิ กรรมในขนั้ น้ี ผสู้ อนตอ้ งใชค้ วามพยายามคน้ สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจก่อนและ
หรืออ้างอิงความรู้เดิมของผู้เรียนเพราะการเรียนรู้ที่จะ หลงั เรยี น แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05
ดำ� เนนิ การในข้ันตอ่ ไป ข้ึนอยู่กบั ความร้เู ดมิ ซงึ่ เปน็ ปจั จัย โดยคะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.50 ส่วนเบี่ยง
สำ� คัญของการสรา้ งความรใู้ หม่ เบนมาตรฐานเทา่ กบั 3.47 และหลงั เรียนมีคา่ เฉล่ียเท่ากบั
ขน้ั ที่ 2 ขน้ั เรยี นรแู้ ละแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ (Learn- 24.54 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.86 เป็นไปตาม
ing and Sharing: L) เป็นขั้นทีผ่ ู้เรียนดำ� เนนิ กิจกรรมการ สมมติฐานการวจิ ัยทต่ี ัง้ ไว้ คือ นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่
เรยี นรดู้ ว้ ยการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ในกลมุ่ มกี ารวางแผนการ 2 โรงเรยี นครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ทไ่ี ด้รบั การจัดการ
ท�ำงาน มอบหมายหน้าที่ แบ่งงานและความรับผิดชอบ เรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอด
ภายในกลุ่ม โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกร่วมแสดงความคิด แทรกตามทฤษฎีโซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ ิสต์ มคี วามสามารถ
เห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับสมาชิกในกลุ่ม และมี ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่า
ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม โดยใชเ้ ทคโนโลยคี อมพวิ เตอรเ์ ปน็ สอ่ื กอ่ นเรียน
กลางในการเรยี นรู้ และมผี สู้ อนคอยชว่ ยชแี้ นะและดแู ลให้ 4. ผลการประเมินประเมินความพึงพอใจและ
กจิ กรรมการเรยี นรดู้ ำ� เนนิ ไปตามขนั้ ตอน ผสู้ อนจะกระตนุ้ ปรบั ปรงุ รูปแบบการจดั การเรียนรู้
ใหผ้ ูเ้ รยี นใชท้ ักษะการคดิ เพื่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ โดยผู้เรยี น 4.1 ผลของการประเมินความพึงพอใจของ
จะดำ� เนินกจิ กรรมเพ่ือสืบค้นขอ้ มลู จากแหลง่ เรยี นรตู้ ่าง ๆ นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ทม่ี ีต่อการจดั การเรียนร้โู ดย
มฐี านความชว่ ยเหลอื (Scaffolding) เพอ่ื เปน็ การชแ้ี นะให้ ใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตาม
แนวทางในกรณที ี่ผูเ้ รียนไมส่ ามารถสรปุ ความคิดได้ ทฤษฎีโซเชยี ลคอนสตรัคตวิ สิ ต์ เพือ่ ส่งเสรมิ ความสามารถ
ขน้ั ที่ 3 ขน้ั สรุปและสรา้ งองค์ความรู้ (Conclud- ในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนช้ัน
ing Ideas: C) เปน็ ขน้ั ทผ่ี เู้ รยี นจะนำ� ผลจากการแลกเปลย่ี น มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ในภาพรวม พบวา่ นกั เรยี นมคี วามพึง
เรียนรู้ระหว่างกัน โดยวิธีการแสดงความคิดเห็น การ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรู้
อภปิ ราย การถา่ ยโอนขอ้ มลู เปน็ ผงั กราฟกิ การระดมความ บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติ
คิดภายในกลุ่ม และการหามติของกลุ่ม มาผนวกเข้ากับ วสิ ต์ อยใู่ นระดบั มาก โดยมคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 4.25 สว่ นเบย่ี ง
ความรู้และประสบการณ์เดิมเพื่อสังเคราะห์และสรุปเป็น เบนมาตรฐานเท่ากับ 0.24 และเมอื่ แยกเปน็ รายด้าน พบ
องค์ความรู้ใหม่ และน�ำเสนอในรูปแบบท่ีกลุ่มได้วางแผน ว่า นักเรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรยี นรู้โดยใชร้ ูป
ไว ้ แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎี
ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั สะทอ้ นผลการเรยี นรู้ (Reflecting: R) โซเชยี ลคอนสตรคั ติวสิ ต์ เพ่อื สง่ เสรมิ ความสามารถในการ
เป็นข้นั ที่ผสู้ อน ผู้เรียนด้วยกนั และบคุ คลท่ีเกี่ยวขอ้ งจะได้ อ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนชั้น
เสนอแนะความคิดเห็นและประเมินผลงานของผู้เรียน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 อยใู่ นระดบั มากทกุ ดา้ น โดยเรยี งจากคา่
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับทราบถึงข้อดีและข้อด้อยของ เฉลยี่ จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ดา้ นประโยชนข์ องรูปแบบ
ผลงาน และความถกู ตอ้ งขององคค์ วามรทู้ ส่ี รา้ งขน้ึ ใหม่ เพอื่ การจดั การเรียนรู้ รองลงมาคอื ด้านกิจกรรมการเรียนการ
ให้ผู้เรียนน�ำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงพัฒนางานในคร้ังต่อ สอน ล�ำดับท่ี 3 คือ ด้านครูผู้สอน และล�ำดับสุดท้ายคือ
ไป และนำ� องคค์ วามรใู้ หมท่ ถ่ี กู ตอ้ งไปนำ� เสนอและแบง่ ปนั ดา้ นการวดั ผลประเมินผล และในการพิจารณาเป็นรายข้อ
ให้ผู้อ่ืนได้รับทราบ รวมไปถึงเก็บเป็นข้อมูลไว้ในสมองได้ พบวา่ ในขอ้ ทน่ี กั เรยี นมคี วามพงึ พอใจมากทส่ี ดุ คอื รปู แบบ
อย่างยาวนาน สามารถน�ำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใด ๆ การเรียนนี้ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจของ
มาเผชญิ หนา้ นักเรียน
ขัน้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผลการเรยี นรู้ (Evaluation: 4.2 ผลการปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้
E) เป็นขั้นของการวัดผลและประเมินผลการเรียน โดย บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติ
เปน็ การประเมนิ ผลทงั้ แบบรายบคุ คลและประเมนิ เปน็ กลมุ่ วสิ ต์ ทำ� ใหไ้ ดร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอด
3. ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ แทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ที่มีความถูกต้อง
จดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ล สมบรู ณ์ สามารถนำ� ไปใชจ้ ดั การเรยี นการสอนได้ โดยมอี งค์
คอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่าน ประกอบของรูปแบบจ�ำนวน 8 องค์ประกอบ ได้แก่
80
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
หลกั การ วตั ถุประสงค์ กระบวนการจดั การเรยี นการสอน มาบรู ณาการสอดแทรกเขา้ กบั วชิ าภาษาองั กฤษซง่ึ เปน็ วชิ า
ระบบสงั คม หลกั การตอบสนอง ส่ิงสนบั สนุน เงื่อนไขของ แกน โดยบรู ณาการจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรแู้ ละเนอื้ หาสาระ
การนำ� รูปแบบไปใช้ และผลทเ่ี กดิ จากการใชร้ ปู แบบ โดย การเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกลมกลืนเป็นเรื่องเดียวกัน จัด
ในส่วนของกระบวนการจัดการเรียนการสอนมีทั้งหมด 5 กระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจใน
ขน้ั ตอน ประกอบดว้ ย 1) ข้ันตรวจสอบความรู้เดมิ และเร้า ลักษณะองค์รวม เพ่ือให้เกิดทักษะในการแสวงหาความรู้
ความสนใจ (Eliciting and Engagement: E) 2) ขนั้ เรียน การสบื คน้ ขอ้ มลู และสามารถนำ� ความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชี
รแู้ ละแลกเปลย่ี นเรียนรู้ (Learning and Sharing: L) 3) วิตประจําวันได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ท่ีหลาก
ข้นั สรุปและสรา้ งองคค์ วามรู้ (Concluding Ideas: C) 4) หลายและเหมาะสมกับผู้เรียน โดยผู้สอนจะเป็นผู้อ�ำนวย
ขั้นสะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflecting: R) และ 5) ข้ัน ความสะดวกและสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ ในการจดั
ประเมินผลการเรียนรู้ (Evaluation: E) กิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะได้ฝึกปฏิบัติจริงเพ่ือค้นคว้า
หาค�ำตอบและแสวงหาความรู้ด้วยตนเองในสิ่งท่ีอยากรู้
อภิปรายผลการวิจยั หรอื สงสยั ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ จากแหลง่ เรยี นรทู้ หี่ ลากหลาย
1. รปู แบบการจัดการเรียนรูบ้ รู ณาการแบบสอด จนค้นพบความรู้และรู้จักส่ิงที่ค้นพบ เรียนรู้ วิเคราะห์
แทรกตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ เพอ่ื สง่ เสรมิ ความ ศึกษาค้นคว้าจนถึงรู้แจ้ง น�ำความรู้ใหม่มาผนวกเข้ากับ
สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ ความรเู้ ดมิ ทม่ี อี ยู่ และเกดิ เปน็ องคค์ วามรใู้ หม่ โดยผา่ นการ
นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทพี่ ฒั นาขนึ้ พบวา่ เปน็ รปู แบบ มีปฏิสัมพนั ธ์กบั เพือ่ น ครู และบุคคลอน่ื ๆ ผนวกเขา้ กับ
การจัดการเรียนรู้ท่ีสามารถน�ำไปใช้จัดการเรียนการสอน การน�ำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนช่วยในการ
ได้เปน็ อย่างดี เนอ่ื งจากรปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จัดการเรียนรู้ ซึ่งวิธีการในการพัฒนารูปแบบการจัดการ
นี้ ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ มีการพัฒนาอย่างเป็น เรยี นรนู้ ไ้ี ดเ้ ปน็ ไปอยา่ งสอดคลอ้ งกบั กบั แนวคดิ ของ ทศิ นา
ข้ันตอน และแต่ละข้ันตอนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แขมมณี (2559) ทสี่ รปุ ไวว้ า่ การพฒั นารปู แบบการจดั การ
นอกจากน้ัน รปู แบบยังไดพ้ ัฒนาขึ้นจากกระบวนการของ เรียนรู้ต้องผ่านการจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ให้เป็นระบบ
การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยคำ� นงึ ถงึ ทฤษฎแี ละหลกั การทเี่ กย่ี วขอ้ ง เพอ่ื นำ� นกั เรยี น
ประยุกต์ร่วมกับแนวคิดในการพัฒนาและออกแบบระบบ ไปสู่เปา้ หมายท่ีต้องการ
การสอนของ Banathy, Knirk & Gustafson, Seels, นอกจากน้ี ยังมีการตรวจสอบคุณภาพของรูป
Glasgow และแนวคิดในการออกแบบและพัฒนาระบบ แบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เช่ียวชาญ ซึ่งผลการประเมิน
การเรยี นการสอนโดยใช้ ADDIE Model ซ่ึงน�ำเสนอโดย พบวา่ มคี วามสอดคลอ้ งในทกุ องคป์ ระกอบ โดยมคี า่ ความ
Kevin Kruse และผู้วิจัยยังได้วิเคราะห์แนวคิดในการ เหมาะสมอยู่ระหว่าง 4.20 – 4.60 และมีค่าเฉลี่ยรวม
พฒั นารปู แบบการสอนของ Joyce & Weil (2000); Kibler เทา่ กับ4.36 แสดงวา่ รปู แบบการจดั การเรยี นรูท้ ่ีพัฒนาข้ึน
(1974) และ กิดานนั ท์ มลิทอง (2540) ในการพัฒนาองค์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก จากน้ัน ผู้วิจัยได้น�ำข้อ
ประกอบของรูปแบบให้มีความเหมาะสมและมีความ เสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการ
สัมพันธ์กันตลอดท้ังระบบ ซ่ึงในแต่ละองค์ประกอบจะมี จัดการเรียนรู้ให้มีความถูกต้องเหมาะสม ก่อนที่จะน�ำไป
ความสอดคลอ้ งกบั หลกั การจดั การเรยี นรขู้ องทฤษฎโี ซเชยี ศกึ ษานำ� รอ่ งทดลองใชก้ บั นกั เรยี นในระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษา
ลคอนสตรัคติวิสต์และแนวคิดในการจัดการเรียนรู้บูรณา ปีที่ 2 ท่ีมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง ผลการ
การแบบสอดแทรก ซ่ึงจะเน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ศึกษาน�ำร่องทดลองใช้พบว่า สามารถด�ำเนินการตาม
กจิ กรรมการเรยี นรดู ว ยตนเอง มปี ฏสิ มั พนั ธก บั ผอู น่ื โดยการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่เตรียมไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งด้าน
ที่ผูเรียนมีสวนรวมในการเลน การทํางาน และเรียนรูรว เนอื้ หาสาระและกระบวนการจดั การเรยี นรู้ จงึ อาจกลา่ วได้
มกับผูอ่ืน หรือจากการทํางานกลุม สามารถสรุปและสรา วา่ รปู แบบการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอดแทรกตาม
งองคความรูไดดวยตนเอง และนําส่ิงท่ีไดเรียนรูไป ทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ เพอื่ ส่งเสริมความสามารถ
ประยุกตใชไดกับการแกปญหาหรือกับส่ิงท่ีเกิดขึ้นในชีวิต ในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้น
จริง โดยผ่านการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดจากการนํา มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบโดยมี
เน้ือหาสาระการเรียนรู้ของกลุ่มวิชาสังคมศึกษา ศาสนา แนวคิดทฤษฎีเป็นแนวทางในการพัฒนา ได้ผา่ นการตรวจ
และวฒั นธรรม วทิ ยาศาสตร์ การงานอาชพี และเทคโนโลยี สอบจากผู้เชี่ยวชาญและผ่านการศึกษาน�ำร่องเพื่อตรวจ
และสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ทีม่ คี วามเกีย่ วขอ้ งสัมพนั ธก์ ัน สอบความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติก่อนการน�ำไปใช้จริง
81
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตนเอง ทงั้ ทเี่ ปน็ กจิ กรรมเดยี่ วและกจิ กรรมกลมุ่ มฐี านการ
ชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นและมแี หลง่ ศกึ ษาคน้ ควา้ ทหี่ ลากหลาย จงึ
ดังนั้น รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาข้ึนน้ี จึงมีความ ทำ� ให้ผเู้ รยี นมองเหน็ ความสัมพันธเ์ ชือ่ มโยงกนั ของศาสตร์
เหมาะสมและสามารถน�ำไปใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ ต่าง ๆ มที กั ษะในการคดิ วเิ คราะห์ แก้ปัญหา มคี วามมน่ั ใจ
2. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ และมพี ฒั นาการทดี่ ใี นการอา่ น มองเหน็ ประโยชนข์ องการ
ความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน เรยี นภาษาองั กฤษและทำ� ใหม้ ผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นทสี่ งู
ครบุรี ก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ขน้ึ
บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติ 3. ความพึงพอใจของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี
วสิ ตแ์ ตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 เปน็ 2 ที่มตี อ่ การจดั การเรียนรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรู้
ไปตามสมมติฐานการวิจัย ทั้งนี้ อาจเน่ืองมาจากรูปแบบ บูรณาการแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติ
การจัดการเรียนรู้น้ี ได้ถูกพัฒนาขึ้นตามแนวคิดในการ วิสต์ในภาพรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ
จดั การเรยี นการสอนของทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ ท่ี จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการ
สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง โดยผเู้ รยี นเปน็ แบบสอดแทรก ตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์อยู่ใน
ผลู้ งมอื ทำ� แสวงหาความรู้ สรา้ งความเข้าใจด้วยตนเอง มี ระดบั มาก ทัง้ นี้ เน่ืองจากหลักในการจัดการเรียนการสอน
การแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ผู้เรียนได้ ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้บูรณาการแบบสอดแทรก
ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ อีกท้ังมีฐานการช่วยเหลือและ ตามทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ เปน็ การเรยี นการสอน
แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายท่ีผู้เรียนสามารถค้นคว้าและ ทผ่ี เู้ รยี นเรยี นรจู้ ากการสรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง ผเู้ รยี น
หาความรู้เพิม่ เตมิ จนทำ� ใหผ้ ู้เรยี นสามารถสรา้ งองค์ความ ได้ด�ำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ท้ังด้วยตนเอง และได้แลก
รู้ได้ด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือระหว่างผู้เรียน เปลี่ยนความรู้กับสมาชิกในกลุ่มท่ีมีความสามารถทาง
กับผู้เรียนและผู้เรียนกับครู ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ปญั ญาท่แี ตกต่างกันไป โดยมีครเู ปน็ เพียงผคู้ อยชว่ ยเหลือ
ทฤษฎโี ซเชยี ลคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ ทเ่ี ชอ่ื วา่ การเรยี นรเู้ ปน็ กระ แนะน�ำและอำ� นวยความสะดวกใหแ้ ก่ผู้เรียน ยิง่ ไปกวา่ นน้ั
บวนการทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในของผเู้ รยี น โดยมผี เู้ รยี นเปน็ ผสู้ รา้ ง การน�ำแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ซ่ึงเป็น
ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงที่พบเห็นกับความรู้ แนวคดิ ในการจดั การเรยี นรทู้ สี่ อดคลอ้ งกบั ทฤษฎกี ารสรา้ ง
ความเขา้ ใจเดมิ ทมี่ มี ากอ่ น โดยพยายามนำ� ความเขา้ ใจเกย่ี ว ความรู้โดยผู้เรียน (Constructivism) มาใช้ในการจัด
กับเหตุการณ์ และปรากฏการณ์ที่ตนพบเห็นมาสร้างเป็น กิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาความ
โครงสร้างทางปัญญาโดยมีภาษา ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม สามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ยัง
วฒั นธรรม การเลยี นแบบ และการชแ้ี นะหรอื การชว่ ยเหลอื เปน็ การสอนทฝี่ กึ ใหน้ กั เรยี นไดพ้ ฒั นาทกั ษะการคดิ ทง้ั คดิ
เป็นส่ือกลางท่ีชว่ ยใหเ้ กดิ การเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ รวมไปถึงการมีทักษะในการท�ำงาน
นอกจากนนั้ การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใน ร่วมกับผู้อ่ืน ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์ ความ
ลักษณะการบูรณาการแบบสอดแทรก ซ่ึงเป็นการจัดการ สามารถ และทกั ษะตา่ ง ๆ อย่างหลากหลาย ไปแสวงหา
เรยี นการสอนทม่ี กี ารผสมผสานเนอื้ หาสาระของศาสตรต์ า่ ง ความรู้ความจริงจากหัวข้อเรื่องท่ีก�ำหนด ก่อให้เกิดการ
ๆ ที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กันอย่างประสมกลมกลืน โดยใช้ เรยี นร้ทู กั ษะกระบวนการและเนอ้ื หาสาระไปพร้อม ๆ กัน
กระบวนการเรยี นรู้ คดิ แกป้ ญั หา และแสวงหาความรู้ กจ็ ะ นอกจากนี้ การน�ำเน้อื หาวิชาจากกลมุ่ สาระการเรยี นร้อู ่นื
ทำ� ใหผ้ ูเ้ รียนไดพ้ ัฒนาพหุปญั ญา เกดิ ความรู้ท่หี ลากหลาย ทมี่ คี วามเชอื่ มโยงสมั พนั ธก์ นั และสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ จรงิ ของ
เปน็ การเรยี นรทู้ ม่ี คี วามหมาย ยง่ั ยนื มลี กั ษณะเปน็ องคร์ วม ผเู้ รยี นมาสอดแทรกในการเรยี น กจ็ ะยง่ิ สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นเกดิ
และนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทำ� ใหเ้ กดิ ความ แรงจงู ใจในการเรยี นรู้ ไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งมคี วามหมาย เปน็ การ
สัมพันธ์เชื่อมโยงความคิดรวบยอดของศาสตร์ต่าง ๆ เข้า จัดการเรียนรู้ตามหลักการท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ ดังน้ัน
ด้วยกัน เกดิ การถา่ ยโอนการเรยี นรู้ และทำ� ใหผ้ เู้ รยี นมอง จงึ พบว่า เมอื่ ผวู้ ิจัย ไดน้ ำ� รปู แบบการจัดการเรยี นรู้บูรณา
เหน็ ประโยชนข์ องสงิ่ ทเี่ รยี นและนำ� ไปใชจ้ รงิ ได้ ดงั นนั้ เมอื่ การแบบสอดแทรกตามทฤษฎีโซเชียลคอนสตรัคติวิสต์ไป
ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� แนวคดิ ในการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบสอด ใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่อื พฒั นาความสามารถ
แทรกมาพฒั นาเปน็ รปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดย ในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนช้ัน
ใช้เน้ือหาการเรียนรู้จากกลุ่มสาระอื่นที่มีความสัมพันธ์ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 นกั เรยี นจงึ เกดิ ความพงึ พอใจในการเรยี น
เชอ่ื มโยงกนั รวมทงั้ เปน็ เรอ่ื งทนี่ กั เรยี นมปี ระสบการณเ์ ดมิ รู้โดยเฉล่ียอยู่ในระดับมาก เนื่องจากการเชื่อมโยงความรู้
อยู่แล้วและสอดคล้องกับชีวิตจริงของผู้เรียน และจัด
กิจกรรมท่เี น้นใหน้ ักเรียนไดป้ ฏบิ ตั จิ รงิ ไดท้ ำ� กิจกรรมดว้ ย
82
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
และทกั ษะระหวา่ งวชิ าตา่ งๆ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี น ทักษะที่ใช้ในการด�ำเนินงานท่ีได้รับมอบหมาย ดูแลให้
ร้ทู ลี่ ึกซง้ึ ไม่ใช่เพียงผิวเผินและมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั ชวี ิต ความช่วยเหลือผู้เรียนที่มีปัญหา และประเมินการเรียนรู้
จรงิ มากทสี่ ดุ นอกจากนน้ั การทผ่ี เู้ รยี นตอ้ งปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ของผเู้ รยี น ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั ตอ้ งมคี วามเปน็ ประชาธปิ ไตยและ
การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อแสวงหาความรู้ จึงก่อให้เกิด มเี หตุผลในการสมั พนั ธ์กับผเู้ รยี นด้วย
ความภาคภมู ใิ จในตนเอง ไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ เกดิ แรง 1.2 ครูผู้สอนควรพจิ ารณาเลอื กเนื้อหา
บนั ดาลใจในการพฒั นาทกั ษะและความสามารถในการอา่ น และกจิ กรรมใหม้ คี วามเหมาะสมกบั ผเู้ รยี น มคี ณุ คา่ สำ� หรบั
ภาษาองั กฤษ เกดิ เจตคตทิ ดี่ ตี อ่ การเรยี นและเหน็ ประโยชน์ การศกึ ษา อยใู่ นความสนใจและเหมาะสมกบั วยั และระดบั
ของการเรียนภาษาอังกฤษ ชนั้ ของผ้เู รยี น เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรอู้ ย่างมคี วามสขุ และ
เห็นคณุ คา่ ของการเรยี นภาษาองั กฤษ
ข้อเสนอแนะ 1.3 ครูผู้สอนที่จะน�ำรูปแบบการจัด
กิจกรรมการเรยี นรนู้ ไี้ ปใช้ ควรมีการเตรียมส่ือในด้านน้ีให้
1. ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจยั ไปใช้ พร้อม เพ่ือเปน็ การชว่ ยให้ผ้เู รยี นสามารถเรยี นร้ไู ดอ้ ย่างมี
1.1 ผู้สอนท่ีจะน�ำรูปแบบการจัดการ ประสิทธิภาพ
เรยี นรนู้ ้ไี ปใช้ ควรศึกษาเงอ่ื นไขต่าง ๆ ในการนำ� รปู แบบ 2. ข้อเสนอแนะส�ำหรับการท�ำวจิ ยั ครงั้ ต่อไป
ไปใช้ใหเ้ ขา้ ใจ และดำ� เนนิ การตา่ ง ๆ ตามเงอื่ นไขของการ ควรมีการวิจัยเพ่ือศึกษาผลของการจัดกิจกรรม
ใช้ นอกจากน้นั ครคู วรให้ค�ำปรกึ ษาแนะนำ� ผเู้ รียนท้งั ทาง การเรียนรู้โดยใช้การบูรณาการในรูปแบบอื่น ๆ ท่ีนอก
ด้านวิชาการและด้านสังคม อ�ำนวยความสะดวกต่าง ๆ ใน เหนอื จากการบูรณาการแบบสอดแทรก
การด�ำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการจัดเตรียมฐานการ
ช่วยเหลือให้แก่ผู้เรียน เฝ้าติดตามผู้เรียนในการพัฒนา
เอกสารอ้างองิ
กฤติกา จนั ทรเกษม. (2553). การใชผ้ งั ความสมั พนั ธ์ทางความหมายในการเรยี นแบบกลมุ่ สัมพนั ธ์เพื่อเพ่มิ พนู
ความสามารถในการอา่ น การเขยี นสรปุ ความภาษาองั กฤษและการเหน็ คุณค่าในตนเองของนกั เรยี น
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3. วทิ ยานิพนธศ์ ึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่
กาญจนา สวุ รรณเจริญ. (2552). ชดุ ฝกึ ทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษจากเอกสารจริง. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/246381 เม่ือ 29 มกราคม 2561.
กิดานันท์ มลทิ อง. (2540). เทคโนโลยีทางการศกึ ษาและนวัตกรรม. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
กิตตภิ ูมิ มปี ระดิษฐ์. (2560). กระบวนการเรยี นการสอนแบบบูรณาการและการสอนทีเ่ น้นผู้เรียน
เปน็ ส�ำคญั : พน้ื ฐานเพ่อื การผลิตบณั ฑิตให้มีทกั ษะแรงงานในศตวรรษท่ี 21. [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ จาก
https://kmtlcspu.com/2017/06/12/kititpoomme/ เมอ่ื 15 มถิ ุนายน 2560.
กลุ ชยั กุลตวนชิ ชตุ วิ ฒั น์ สุวัตถิพงศ์ นวลลออ ทวชิ ศรี และเกษมสนั ต์ สกุลรัตน.์ (2554). การจัดการเรยี นรู้แบบ
ผสมผสานตามแนวคดิ โซเชียลคอนสตรคั ติวสิ ต์. [ออนไลน]์ . เข้าถงึ จาก : www.kulachai.com/index.
php//articles/acdemics? download=1 เมอ่ื 10 มถิ ุนายน 2560.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2559). ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรเู้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรียนรทู้ ่ีมปี ระสิทธิภาพ.
พมิ พค์ ร้งั ท่ี 20. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
นูรยี ะห์ เจะ๊ ยอ. (2552). ผลการใช้วธิ สี อนแบบ CIRC ทม่ี ตี ่อความสามารถในการอ่านเพอ่ื ความเข้าใจและการเขยี น
ภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาการศึกษามหาบัณฑติ (หลักสตู รและ
การสอน) มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ.
83
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มนสั วี ดวงลอย. (2558). “ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อปญั หาในการอา่ นภาษาอังกฤษของนักศึกษาของมหาวทิ ยาลัย
เทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ.” วารสารครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรมมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ธญั บุร.ี 3(1) (มกราคม– มิถุนายน) : 153-166.
สมสมร ทภี ูเวยี ง. (2552). ผลของการจดั การเรียนรู้แบบ CIRC ทม่ี ตี ่อความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพอื่
ความเข้าใจและความสามารถในการท�ำงานกลมุ่ ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2. วิทยานพิ นธค์ รศุ าสตร
มหาบณั ฑิต (หลักสตู รและการสอน) มหาวิทยาลัยราชภฏั พิบลู สงคราม.
สุพตั รา มลู ละออง. (2557). การพัฒนาแบบฝกึ เสรมิ ทักษะการอา่ นเพื่อความเข้าใจโดยใช้การอา่ นกลวธิ แี บบรว่ มมือ
และเทคนคิ แผนผังกราฟกิ ส�ำหรับนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนสระยายโสมวทิ ยาอ�ำเภออทู่ อง
จงั หวัดสุพรรณบุร.ี วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต (การสอนภาษาองั กฤษในฐานะ
ภาษาตา่ งประเทศ) มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
สภุ รตั น ์ สท้านพล. (2554). การใชแ้ ผนภูมิความหมายเพอ่ื พฒั นาความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความ
เข้าใจ ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต (การสอนภาษา
อังกฤษในฐานะภาษาตา่ งประเทศ) มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ.
สภุ าษติ พาณยง. (2555). การพัฒนาทักษะการอา่ นและการเขียนภาษาองั กฤษโดยใช้เกมการศกึ ษาส�ำหรบั นักเรียน
ชั้นประถมศกึ ษาปี ที่ 2 โรงเรยี นสวนรฐั วิทยา กรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานิพนธ์ศึกษามหาบัณฑิต สาชาวิชา
หลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.
แสงทอง ค�ำเสือ. (2554). การใช้ผังความสัมพันธข์ องความหมายเพื่อสง่ เสรมิ ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษ
ความคงทนในการจำ� ค�ำศัพท์ และความคดิ เหน็ เกีย่ วกับความสามารถในการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ของนกั เรยี น
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต (การสอนภาษาอังกฤษ) มหาวทิ ยาลยั
เชยี งใหม่.
Joyce, B.R., and Weil, M. (2000). Models of Teaching. 6th ed. Massachusetts: Allyn & Bacon.
Kibler, Robert J. (1974). Behavioral Objectives and Instructional Process. Berkeley: McCutchan.
กรกนก เวชไธสง : ผอู้ อกแบบจดั หนา้ บทความ
84
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การพัฒนารูปแบบการจดั การเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรู้
บรู ณาการภูมิปญั ญาท้องถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะการคิดวิเคราะห์
สาระท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3
******************************************************************************************************
DEDEE Technique, Inquiry Method Integrated into Local Wisdom for Promoting
Primary 3 Students’ Analytical Thinking Skill in Strand 3: Matters and Properties of Matters.
แสงดาว นอ้ ยวรรณะ *1
Sangdow Noiwanna *1
[email protected] *
สง่ บทความ 20 กมุ ภาพันธ์ 2562 แก้ไข 26 กมุ ภาพันธ์ 2562 ตอบรับ 4 มีนาคม 2562
บทคัดย่อ
การวจิ ยั เรอ่ื งการพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ
DEDEE เพอื่ ส่งเสริมทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบัติ ของสาร ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3
เปน็ การวจิ ยั ในรปู แบบการวจิ ยั และพฒั นา (The Research and Development) ซงึ่ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาสภาพ
ปัจจุบันและความต้องการ ในรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถ่ินเทคนิค
DEDEE เพอ่ื สง่ เสริมทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบัตขิ องสาร ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 และ
ประเมนิ รปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE เพอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะ
การคดิ วเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2560
โรงเรยี นเทศบาลวารินวชิ าชาติ ซ่ึงไดม้ าจากการสมุ่ แบบกลมุ่ (Cluster random sampling) จ�ำนวน 34 คน โดยใช้
แบบวเิ คราะห์เอกสาร แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และแบบสอบถามในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะหข์ อ้ มลู
ใชส้ ถิติเชิงพรรณนา (จำ� นวนร้อยละ) และการวเิ คราะห์เนอื้ หา (Content analysis)ในการอธบิ ายสภาพปัจจุบันและ
ความต้องการในการเรียนรู้ ใชส้ ถิติ Dependent Samples t-test ในการเปรยี บเทยี บความสามารถในการสง่ เสริม
การคิดวิเคราะห์ของนักเรยี นก่อนและหลงั การทดลอง
ผลการวจิ ยั รปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ บรู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE เพอ่ื
สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนกั เรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 จากสภาพปจั จบุ นั
ปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์มีความส�ำคัญและจ�ำเป็น สำ� หรับนักเรียนชอบให้มี
การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นรปู แบบกลมุ่ มากกวา่ แบบเดยี่ ว ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบของรปู แบบการจดั การเรยี น
รู้ประกอบด้วย 1) หลกั การตามทฤษฎี 2) วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ 3) การจดั กระบวนการเรยี นการสอน และ 4) การ
ประเมินผลการเรียนการสอน พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และคะแนนผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ (p<0.5) และความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการ
1 โรงเรียนเทศบาลวารนิ วชิ าชาติ กองการศกึ ษา เทศบาลเมืองวารนิ ชำ� ราบ อ�ำเภอววารินชำ� ราบ จงั หวัดอบุ ลราชธานี
1 Warin Wicha Chart Municipal school, Education division, Warin Chamrap municipality, Warin Chamrap ,
Ubon Ratchathani
85
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ บรู ณาการภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพ่ือส่งเสรมิ ทักษะการคิดวเิ คราะห์
สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3 โดยรวมอยใู่ นระดับมากทส่ี ุด
ค�ำส�ำคัญ: การเรียนร้แู บบสืบเสาะ เทคนิค DEDEE การคดิ วเิ คราะห์
Abstract
Research study on DEDEE technique, inquiry method integrated into local wisdom for promot-
ing primary 3 students’ analytical thinking skill in strand 3 matters and properties of matters, is the
research and development aiming to study current situation, requirements, learning process and
evaluate the DEDEE technique which is an inquiry method integrated into local wisdom for promoting
primary 3 students’ analytical thinking skill in strand 3: (matters and properties of matters) at Warin
Wicha Chart Municipal School in second semester academic year 2017. 34 samples are from cluster
random sampling. Document analyzing form, questionnaire and interview are used in data gathering.
Statistics used in this study are descriptive statistics (percentage) and content analysis. Dependent
samples t-test is used to compare students’ analytical thinking skills.
Due to current teaching problem, analytical thinking skill promoting technique is important and
needed. Students prefer Science group work to individual work. The teaching technique consists of
1) learning principles 2) learning objectives 3) learning process and 4) learning evaluation. Results of
the research study on DEDEE technique, inquiry method integrated into local wisdom for promoting
primary 3 students’ analytical thinking skill in strand 3: matters and properties of matters showed that
post analytical thinking mean and posttest arithmetic mean are statistically significantly higher than
pre-analytical thinking mean and pretest arithmetic mean (p<0.5). The satisfaction of students toward
DEDEE technique, inquiry method integrated into local wisdom for promoting primary 3 students’
analytical thinking skill in strand 3: matters and properties of matters is in the highest levels.
keywords: DEDEE Technique, Inquiry Method, Analytical Thinking
ความเปน็ มาของปัญหา เรยี นรไู้ ดด้ ว้ ย ตนเอง รกั การอา่ น มนี สิ ยั ใฝเ่ รยี นรตู้ ลอดชวี ติ
มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไดป้ ระกาศใชห้ ลกั สตู รแกน สามารถท างานเป็นกลุ่ม มีความสามารถในการสื่อสาร
กลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.2551 โดยได้ก�ำหนดเป้า สามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา คิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มี
หมายคณุ ภาพผเู้ รยี นตงั้ แตม่ าตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชวี้ ดั ซงึ่ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม จติ ส านึกและความภูมิใจใน
เปน็ การกำ� หนดคณุ ภาพ ผเู้ รยี นทมี่ คี วามครอบคลมุ ทงั้ ดา้ น ความเปน็ ไทย ยดึ มน่ั การ ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั
ความรู้ ทักษะ และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รังเกียจการทุจริต และต่อ
ของผู้เรียน เพื่อเตรียมรองรับการพัฒนาเยาวชนส�ำหรับ ต้านการซ้ือ สิทธิ์ขายเสียง และสามารถก้าวทันโลก
ทศวรรษท่ี 21 (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน, (วารสารวชิ าการ, 2553)
2551) นอกจากน้ันยงั ให้มกี ารปฏริ ปู การศกึ ษาในทศวรรษ การเตรยี มการศกึ ษาเพ่ือก้าวเข้าสไู่ ทยแลนด์ 4.0
ท่ี 2 พ.ศ.2561 ซึ่งในการปฏิรปู ดังกลา่ วมี ความสอดคลอ้ ง มีปจั จยั หลายอย่างที่ตอ้ งค�ำนงึ ถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง และ
กับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.2551 ยังมีบุคลากรทางการศึกษาอีกจ�ำนวนมากท่ีอยู่ในระบบ
กลา่ วคอื มคี วามคาดหวงั ทจี่ ะ พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาให้ 1.0, 2.0, 3.0 ซ่งึ การพฒั นาการการศึกษาของกระทรวง
เป็นกลไกที่ส�ำคัญในการสร้างคนไทยยุคใหม่ ให้สามารถ
86
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ศกึ ษาธกิ าร ไดเ้ รม่ิ ปฏริ ปู การศกึ ษา โดยไดก้ ำ� หนดนโยบาย วิทยาศาสตร์ยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่หลักสูตรก�ำหนด
2 ภาษา (Bilingual Policy) และสรา้ งทักษะด้านวิชาชพี จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน
เพื่อเศรษฐกิจเชิงอุตสาหกรรม และมีการพัฒนาความ จากเหตุผลและความส�ำคัญ (รายงานการประเมินตนเอง.
สามารถด้านการศึกษาจัดให้มีโรงเรียนการคิดวิเคราะห์ 2559: 3)
(Thinking School) โดยหลักการส�ำคัญ คือ การใช้ภาษา การจัดระบบการเรียนการสอนเป็นการจัดการ
อังกฤษเป็นภาษาของการศึกษา การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อ เรยี นรใู้ นลกั ษณะทต่ี อ้ งเลอื กใชร้ ปู แบบการสอน วธิ กี ารสอน
ศึกษาเรียนรู้สิง่ ตา่ ง ๆ การใช้คณติ ศาสตร์เพ่ือพัฒนาความ และเทคนคิ การสอนทเ่ี หมาะสมอยา่ งหลากหลายประกอบ
สามารถทางสติปัญญา/ด้านการคิด การใช้เหตุผล และ กนั โดยไมส่ ามารถยดึ ถอื เฉพาะรปู แบบวธิ กี ารหรอื เทคนคิ
หลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์ที่เน้นการแก้ปัญหา การคิด การสอนอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดเทา่ นนั้ (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอน
วิเคราะห์ และการเตรียมการศึกษาจะต้องมีการวางแผน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี , 2546 : 78) จะเห็นได้วา่ รูป
อยา่ งเปน็ ขนั้ เปน็ ตอน จดั หลกั สตู รใหค้ รอบคลมุ คนทกุ กลมุ่ แบบการเรยี นการสอน ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ กดิ องคค์ วามรปู้ ระกอบ
พร้อมทั้ง ปรับปรุงต�ำราให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่ ดว้ ยองค์ประกอบ 4 ประการ คอื 1) หลักการตามทฤษฎที ี่
เปล่ียนแปลงไป อีกท้งั ยงั มคี รูผสู้ อนเพียง 2% เท่านั้น ทมี่ ี ใชเ้ ปน็ แนวคดิ พน้ื ฐานในการพฒั นารปู แบบ 2) ผลการเรยี น
ความรแู้ ละเขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั สตู รวา่ เปน็ อยา่ งไร ดงั นนั้ สงิ่ รู้ท่ีต้องการ 3) วิธีสอนท่ีจะท�ำให้การเรียนการสอนบรรลุ
ที่ควรจะต้องด�ำเนินการคือ การปรับปรุงต�ำราเรียนให้ วัตถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ 4) ส่งิ แวดล้อมในการเรียนการ
สอดคล้องกับหลักสูตร ต้องเปล่ียนระบบการประเมินเพ่ือ สอนทจี่ ะนำ� ไปสผู่ ลการเรยี นทต่ี อ้ งการ (Arends 1997 : 7)
ให้สอดคล้องกับหลักสูตรโดยเฉพาะการคิดเป็น วิเคราะห์ ยังมีข้อค้นพบอีกประการหน่ึงว่า การน�ำความรู้หรือแบบ
เปน็ ตามทกั ษะในศตวรรษที่ 21 และการปรับการอบรมครู จ�ำลองไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเรื่อง
ให้ตรงกับความต้องการในการน�ำความรู้ ไปใช้ และการ อน่ื ๆ จะนำ� ไปสเู่ รอื่ งโตแ้ ยง้ ขอ้ จำ� กดั ซงึ่ กอ่ ใหเ้ ปน็ ประเดน็
พัฒนาให้ผู้เรียนสามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อน�ำไปใช้ ต้อง ค�ำถาม หรือปัญหาที่ต้องส�ำรวจตรวจสอบต่อไปท�ำให้เกิด
ดำ� เนนิ การควบคไู่ ปดว้ ยกนั (ธรี ะเกยี รติ เจรญิ เศรษฐศลิ ป,์ เป็นกระบวนการท่ีต่อเนื่องกันไปเร่ือย ๆ ซ่ึงข้ันตอนการ
2559) สอนน้ีได้ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน
จากการประเมินคุณภาพทางการศึกษา โดย วทิ ยาศาสตรใ์ นปัจจบุ นั ตามแนววงจรการเรียนรทู้ ี่เรยี กวา่
ส�ำนกั งานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศกึ ษา (Inquiry Cycle) ความสามารถในการใช้เหตุผลเชิง
(องค์การมหาชน) ในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระ วทิ ยาศาสตรก์ ารแสวงหาความรแู้ ละสรปุ องคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ย
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตนเอง การท�ำงานร่วมกันเป็นกลุ่มและความสามารถใน
โรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ สังกัดกองการศึกษา การสอ่ื ความหมายขอ้ มลู ทางวทิ ยาศาสตร(์ จรี ณฐั ทางมศี ร,ี
เทศบาลเมอื งวารนิ ชำ� ราบ ในปกี ารศกึ ษา 2558-2559 ดา้ น 2557 : 15) ซงึ่ สอดคล้องกบั แนวคดิ ของ (ศิรพิ ร เชอื้ วัง
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ พบว่า ผล ค�ำ, 2557 : 34) จัดการเรียนรู้โดยเน้นนักเรียนเป็น
สมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรยี นมรี ะดบั ผลการเรยี นเฉลยี่ ศูนย์กลางมากขึ้นและมีความสัมพันธ์กับการจัดการเรียนรู้
2.04 และ 2.35 ซง่ึ ยงั ตำ่� กวา่ เปา้ หมายทโี่ รงเรยี นกำ� หนดไว้ วทิ ยาศาสตรท์ มี่ ขี น้ั ตอนของการจดั การเรยี นรปู้ ระกอบดว้ ย
คือนักเรยี นต้องมรี ะดบั ผลการเรียนเฉลยี่ 2.5 แสดงให้เหน็ 1) ข้ันสร้างความสนใจ 2) ข้ันส�ำรวจและค้นหา 3) ขั้น
ว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ อธิบายและลงข้อสรุป 4) ขั้นขยายความรู้ และ 5) ข้ัน
โรงเรยี นเทศบาลวารนิ วชิ าชาตยิ งั ไมบ่ รรลเุ ปา้ หมายทตี่ งั้ ไว้ ประเมิน ดังน้ัน รูปแบบการจัดการเรียนรู้เป็นวิธีหนึ่งที่มี
และจากการประเมนิ ผลดา้ นความคดิ วเิ คราะหข์ องนกั เรยี น ประสทิ ธภิ าพในการใช้แกป้ ญั หา ท�ำให้ผู้วิจัยเรมิ่ หาวธิ ีการ
จากการตอบแบบทดสอบและจากการตอบค�ำถามของ เพื่อปรับปรุงแก้ไขการจัดการเรียนรู้ จากการสังเคราะห์
นักเรียน พบว่า การตอบค�ำถามของนักเรียนส่วนใหญ่ยัง แนวทางการแก้ปัญหาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ซึ่งมี
ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ มักตอบค�ำถามตามเน้ือหาใน หลายแนวทาง พบว่างานวิจัยส่วนใหญ่ได้น�ำแนวคิดเก่ียว
บทเรยี น คดิ หาคำ� ตอบใชเ้ วลานาน ผลงานและชนิ้ งานมรี ปู กับการจัดการเรียนรู้แบบแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น
แบบที่ขาดการพัฒนา ไม่น่าสนใจมีลักษณะท่ีคล้ายๆ กัน แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ คอนสตรคั ตวิ สิ ต์ (CLM) แบบ
เป็นส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นว่าการเรียนการสอนวิชา STAD รว่ มกบั เทคนคิ แผนผงั ความคดิ KWDL มกี ารใชก้ าร
87
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาระหาความรู้ 5 ขน้ั มากถงึ คดิ เปน็ เพ่ือส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและ
รอ้ ยละ 30.00 ดงั นัน้ ในการศกึ ษาครั้งนี้ ผวู้ จิ ัยจงึ ไดใ้ ชก้ าร สมบตั ขิ องสาร ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3
จัดการเรียนรู้แบบสืบสาะมาประยุกต์รูปแบบเป็นรูปแบบ 2.3 เพือ่ ทดลองใช้รปู แบบการจดั การเรียนร้แู บบ
การสอนท่ีเหมาะกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 สืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถ่ินเทคนิค
โรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ อ�ำเภอ วารินช�ำราบ DEDEE เพ่อื สง่ เสรมิ ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สาระท่ี 3 สาร
จังหวัดอุบลราชธานี ซ่ึงเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีผู้ และสมบัติของสาร ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3
สอนจดั ให้ผเู้ รยี นแบ่งเป็นกลมุ่ เล็ก ๆ กลุ่มละ 5-6 คน เพื่อ 2.4 เพอ่ื ประเมนิ ผลการใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี น
ใหผ้ ้เู รยี เกดิ การเรียนรู้ร่วมกนั แลกเปล่ียนความคิดเห็น ได้ รู้แบบสืบเสาะหาความรู้ บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
ฝกึ การทำ� งานรว่ มกนั ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั และรว่ มกนั รบั เทคนคิ DEDEE เพอ่ื ส่งเสรมิ ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ สาระ
ผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย เพ่ือให้เกิดความส�ำเร็จตาม ท่ี 3 สารและสมบัติของสาร ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษา
เปา้ หมายของกลมุ่ ทีไ่ ด้ก�ำหนดไว้รว่ มกนั ปที ่ี 3
การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ เป็นรูป
แบบการจัดการเรียนรู้ที่ให้ความส�ำคัญ กับกระบวนการ ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจ เนน้ การคน้ ควา้ และปฏบิ ตั กิ จิ กรรม 1. กล่มุ ประชากร คอื นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปี
ด้วยตนเอง และยังช่วยส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เป็นการ ที่ 3 โรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ อ�ำเภอวารินช�ำราบ
จัดการเรียนรู้ท่ีก�ำหนดให้ผู้เรียนจะเป็นผู้สืบค้น แสวงหา จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560
ความรู้ สรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง ผา่ นการคดิ ทเี่ ปน็ ระบบ จ�ำนวน 196 คน
มีการคิดวิเคราะห์เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนตลอดเวลาอย่างเป็น 2. กลุม่ ตัวอย่าง คอื นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี
ขั้นตอน พร้อมท้ังสอดแทรกความรู้ และกิจกรรมทาง 3/2 โรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ อ�ำเภอวารินช�ำราบ
ภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ โดยครูเป็นผู้กระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นสนใจ สบื จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560
เสาะหาความรู้ และยังผา่ นกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่าง จ�ำนวน 34 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีสุ่มแบบกลุ่ม
เป็นขั้นตอนจากประสบการณ์ เพื่อมุ่งเน้นให้เกิด (Cluster random sampling) มา 1 หอ้ ง จากท้ังหมด 6
กระบวนการสร้างความรู้จากการจัดกิจกรรม เป็นการ ห้อง แต่ละห้องเรียนประกอบด้วย นักเรียนท่ีคละความ
จดั การเรยี นรู้ ท่ีเกดิ ข้นึ อยา่ งต่อเน่ือง ผูว้ ิจัยจงึ ได้ในการ สามารถ โดยมีทง้ั นักเรียนเก่ง ปานกลางและ ออ่ น อยใู่ น
พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ห้องเดียวกัน นักเรียนแต่ละห้องจึงมีคุณสมบัติไม่แตกต่าง
บูรณาการภูมิปัญญาท้องถ่ินเทคนิค DEDEE เพ่ือส่งเสริม กนั
การคิดวิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบัติของสาร ของ
นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยมีรายละเอียดขน้ั ตอน เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั
การจดั การเรยี นรู้ 5 ขั้นตอน ประกอบดว้ ย 1) ขน้ั ก�ำหนด 3.1 แผนการจดั การเรยี นรตู้ ามรปู แบบการจดั การ
ปญั หา (Determine the problem) 2) ข้ันส�ำรวจและ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
ค้นหา (Exploration) 3) ขั้นอภิปรายและสร้างข้อสรุป เทคนิค DEDEE เพือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระ
(Discussion and Conclusion) 4) ขน้ั ประยุกตใ์ ช้ความรู้ ท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษา
(Extension) 5) ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) เปน็ แนวทางใน ปที ่ี 3 ประกอบดว้ ยแผนการจัดการเรียนร้ทู งั้ หมด 7 แผน
การพฒั นาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิผลตอ่ ไป ในแต่ละแผนจดั การเรยี นรู้ตามรปู แบบท่สี รา้ งข้นึ ไดแ้ ก่ 1)
ข้ันก�ำหนดปัญหา (Determine the problem) 2. ข้ัน
วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั สำ� รวจและคน้ หา (Exploration) 3. ข้ันอภิปรายและสรา้ ง
2.1 เพอ่ื ศกึ ษาสภาพปจั จบุ นั และความตอ้ งการใน ข้อสรปุ (Discussion and Conclusion) 4. ขัน้ ประยุกต์
รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการ ใช้ความรู้ (Extension) 5. ขน้ั ประเมิน (Evaluation)
ภูมิปัญญาท้องถ่ินเทคนิค DEDEE เพ่ือส่งเสริมทักษะการ 3.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น โดย
คดิ วเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนกั เรยี น ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 เปน็ แบบทดสอบปรนัยโดยสรา้ งชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก
2.2 เพอื่ พัฒนารปู แบบการจัดการเรยี นรูแ้ บบสบื จำ� นวน 30 ข้อ
เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE 3.3 แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์
88
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านการวิเคราะห์ความส�ำคัญ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เป็นเนื้อหาตาม
ดา้ นการวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ และดา้ นการวเิ คราะหห์ ลกั หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
การ โดยยึดเนื้อหาวชิ าสาระ ท่ี 3 สารและสมบัตขิ องสาร สาระที่ 3 สารและสมบัตขิ องสาร เร่อื ง การเปลย่ี นแปลง
เรอื่ ง การเปลยี่ นแปลงของวสั ดใุ นทอ้ งถนิ่ ชน้ั ประถมศกึ ษา ของวัสดุในท้องถ่ิน โดยมีกรอบเน้ือหาย่อย 7 หน่วย
ปที ่ี 3 ทผี่ วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ โดยสรา้ งเปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนดิ ประกอบดว้ ย 1) ความหมายและประเภทของวสั ดุ 2) สมบตั ิ
เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จ�ำนวน 30 ขอ้ และการจ�ำแนกประเภทของวัสดุ 3) การเปล่ียนแปลงรูป
3.4 แบบวัดความพึงพอใจ ซ่ึงประเมินด้วย รา่ งของวสั ดใุ นทองถนิ่ 4) ประเพณกี บั การเปลยี่ นแปลงของ
แบบสอบถามความพงึ พอใจ ทผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ มลี กั ษณะเปน็ วสั ดุ 5) ความรอ้ นกบั การเปลย่ี นแปลงของวสั ดุ 6) เกดิ อะไร
แบบสอบถาม แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) จากการเปลยี่ นแปลงของวสั ดุ 7) การเปลยี่ นแปลงของวสั ดุ
5 ระดบั จ�ำนวน 30 ข้อ กบั ชวี ติ ประจำ� วัน
ระยะท่ี 3 การทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี น
วิธีด�ำเนนิ งานวจิ ยั รแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ
การวิจัยครงั้ น้ี ผวู้ ิจยั มีจดุ มุ่งหมายเพ่อื สรา้ งและ DEDEE เพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะการคิดวเิ คราะห ์ สาระท่ี 3 สาร
พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ และสมบตั ิของสาร ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท ่ี 3
บูรณาการภูมิปัญญาท้องถ่ินเทคนิค DEDEE เพ่ือส่งเสริม การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 หาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอ่ื
ผู้วิจัย ได้ด�ำเนินการวิจัยตามข้ันตอนเก็บรวบรวมข้อมูล สง่ เสรมิ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ิ
ดงั น้ี ของสาร ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 เปน็ เน้อื หา
ระยะท่ี 1 ศกึ ษาสภาพปจั จบุ นั และความต้องการ เก่ียวกับผลทีเ่ กดิ กับผูเ้ รยี น ไดแ้ ก่ 1) ผลสมั ฤทธิ์ทางการ
รปู แบบการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะ หาความรู้บรู ณา เรียน 2) ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ 3) ความพงึ พอใจ
การภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอ่ื สง่ เสรมิ ทักษะ ระยะท่ี 4 การประเมนิ รปู แบบการจดั การเรียนรู้
การคดิ วิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร ของ แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ
นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3 DEDEE เพ่ือสง่ เสรมิ ทักษะการคิดวเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สาร
การศึกษาขอ้ มูลพ้ืนฐานเป็นเนื้อหาเกีย่ วกบั และสมบตั ขิ องสารของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 การ
1) นโยบายและพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ สอบถามความคิดเห็นผู้ทรงคุณวุฒิเก่ียวกับการรับรองรูป
2) หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช แบบและการสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ การ
2551 เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
3) แนวคิด ทฤษฎ ี หาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE เพอื่
4) สภาพปจั จบุ นั ปญั หาและความตอ้ งการในการ ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบัติ
จัดการเรียนรู้เพ่ือส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของครู ของสาร ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3
สอนวิทยาศาสตร์ จำ� นวน 10 คน
5) ความตอ้ งการในการจดั การเรยี นรเู้ พอื่ สง่ เสรมิ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ทกั ษะการคดิ วเิ คราะหข์ องครสู อนวทิ ยาศาสตร์ จำ� นวน 10 ผู้วิจัยขอน�ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลแยกเป็น
คน 4 ระยะ ดงั นี้
6) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยภูมิปัญญาท้อง ระยะที่ 1 ผลการศกึ ษาสภาพปัจจุบันและความ
ถิ่น ตอ้ งการในรูปแบบการจดั การเรยี นรแู้ บบ สบื เสาะ
ระยะท่ี 2 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ หาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอื่
แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบัติ
DEDEE เพ่อื ส่งเสรมิ ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระที่ 3 สาร ของสาร ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3
และสมบตั ิของสาร ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ ี 3 สรปุ เปน็ องคป์ ระกอบของรปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื
การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE
บูรณาการภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ เทคนิค DEDEE เพื่อส่งเสริม เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและ
ทักษะการคิดวเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบัตขิ องสาร สมบัติของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ได้ 4
89
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2) วัตถุประสงคข์ องรูปแบบ
3) การจดั กระบวนการเรยี นการสอนและ
องค์ประกอบ คอื
1) หลักการตามทฤษฎี
ระยะท่ี 2 ผลการพฒั นารูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ เทคนคิ DEDEE
เพอื่ ส่งเสริมทักษะการคิดวเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3
ตารางที่ 1 ผลการประเมนิ (ยกรา่ ง) รปู แบบการจดั การเรียนรู ้
รายการประเมนิ ระดับความเหมาะสม
1. ความเปน็ มาและความสาำ คัญของรปู แบบการจดั การเรยี นรู้ X S.D. ความหมาย
2. แนวคดิ พื้นฐานในการพฒั นารูปแบบการจดั การเรยี นรู้ 3.70 0.27 มาก
3. การกาำ หนดองคป์ ระกอบของรปู แบบการจดั การเรียนรู้
4.60 0.55 มากทีส่ ุด
(ภาพรวม)
4. องค์ประกอบของ รูปแบบการเรยี นรแู้ ต่ละองคป์ ระกอบ 4.45 0.21 มาก
4.1 หลักการของ รปู แบบการจัดการเรยี นรู้ 3.73 0.15 มาก
4.2 วัตถุประสงคข์ องรปู แบบการจดั การเรยี นรู้ 3.80 0.21 มาก
4.3 เน้อื หา/สาระการเรยี นรู้ 4.00 0.79 มาก
4.4 กิจกรรมการเรยี นรู้ (ภาพรวม) 4.23 0.19 มาก
4.5 การวัดผลประเมนิ ผล 3.67 0.33 มาก
5. ขั้นตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนแตล่ ะข้ันตอน
5.1ขัน้ กาำ หนดปญั หา 4.13 0.27 มาก
5.2ข้ันสาำ รวจและคน้ หา 4.24 0.36 มาก
53. ข้นั อภิปรายและสร้างข้อสรุป 4.30 0.24 มาก
54. ขัน้ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ 4.20 0.30 มาก
55. ขั้นประเมิน 4.20 0.49 มาก
4.21 0.33 มาก
ภาพรวมทง้ั หมด
จากตารางท่ี 1 พบวา่ ผทู้ รงคณุ วฒุ เิ หน็ วา่ ความเหมาะสมการประเมนิ (ยกรา่ ง) รปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบ
สบื เสาะหาความรูบ้ รู ณาการภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ เทคนิค DEDEE เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะการคิดวเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สารและ
สมบัติของสาร ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี3 โดยภาพรวมท้ังหมดมีคุณภาพ ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
( X = 4.21, S.D.= 0.33) เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ แนวคดิ พน้ื ฐานในการพฒั นารปู แบบการสอน มคี วามเหมาะ
สมในภาพรวมอย่ใู นระดบั มากทสี่ ดุ ( X = 4.60, S.D.= 0.55) พจิ ารณาองค์ประกอบของรปู แบบการเรียนร้แู ต่ละองค์
ประกอบ พบว่ากิจกรรมการเรียนรู้ (ภาพรวม) มีความเหมาะสมในระดับมาก ( X = 4.23, S.D. = 0.19) และเมื่อ
พจิ ารณาในขั้นการจดั การเรียนการเรียนรู้ พบวา่ ขั้นประเมนิ มคี วามเหมาะสมในระดบั มาก ( X = 4.20, S.D. = 0.49)
90
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ระยะที่ 3 ผลการทดลองใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE
เพือ่ ส่งเสริมทักษะการคิดวเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ิของสาร ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3
ตาราง 2 ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการ
ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่น เทคนคิ DEDEE เพือ่ สง่ เสรมิ ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร ของนกั เรยี นช้นั
ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ของการทดลองของกล่มุ ตัวอย่าง (1 : 34)
คะแนน N คะแนนเตม็ คะแนนรวม ค่าประสิทธิภาพ
รอ้ ยละ E1 / E2
ทดสอบระหวา่ งเรยี น 34 238 6,546 80.89
34 30 847 83.04 80.89/83.04
ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
หลงั เรียน
จากตาราง 2 พบวา่ ประสิทธิภาพของการจดั กิจกรรมการเรยี นรตู้ ามรูปแบบการจัด การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะ
หาความรู้บูรณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น เทคนิค DEDEE เพอ่ื ส่งเสรมิ ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ อง
สาร ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 จากการทดลองของกลมุ่ ตวั อย่าง มีค่าประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ E1 /E2 เท่ากบั
80.89/83.04
ผลเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการ
จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคนิค DEDEE เพ่ือส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์
สาระท่ี 3 สารและสมบัติของสาร ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 ดังตารางท่ี 4.6
ตารางที่ 3 แสดงการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูป
แบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคนิค DEDEE เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด
วิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบัติของสารของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 3
การทดสอบ n คา่ สถติ ิพน้ื ฐาน ∑D ∑D2 t p
ΧX S.D.
กอ่ นเรยี น 34 8.97 3.21 545 9009 32.50* .00
หลังเรยี น 34 25.00 3.13
* p < .05
จากตาราง 3 พบวา่ คะแนนเฉลยี่ ผลการทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น หลงั การเรยี นรดู้ ว้ ยรปู แบบการจดั การ
เรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพ่อื ส่งเสริมทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ กลมุ่ สาระ
การเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ของนกั เรียน ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 ( X = 25.00) สูงกวา่ ก่อนเรยี น ( X = 8.97) อยา่ งมีนยั
สำ� คญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05 df=33 ได้คา่ t =1.6924 สว่ นค่า t-test ท่คี �ำนวณได้ = 32.50 ซงึ่ ค่า t ทคี่ �ำนวณไดส้ งู กวา่
คา่ t จากตาราง เปน็ ไปตามสมมติฐานการวิจัย
91
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผลการเปรยี บเทยี บคะแนนเฉลยี่ ผลการทดสอบวดั ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นดว้ ยรปู แบบ
การจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์
สาระท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร ของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ดงั ตารางท่ี 4.7
ตาราง 4 แสดงการเปรยี บเทยี บคะแนนเฉลย่ี ผลการทดสอบทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ กอ่ นเรยี น และหลงั เรยี นดว้ ยรปู แบบ
การจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์
สาระที่ 3 สารและสมบตั ิของสารของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3
การ n ค่าสถติ พิ ืน้ ฐาน ∑D ∑D2 t p
ทดสอบ 34 .00
XΧ S.D. 587 10439 33.13*
ก่อนเรียน
7.20 2.52
หลงั เรยี น 34 24.50 3.13
* p < .05
จากตาราง 4 พบวา่ คะแนนเฉล่ยี ผลการทดสอบการทดสอบวดั ทักษะการคดิ วิเคราะห์กอ่ นเรยี นและหลังเรียน
ดว้ ยรปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE เพอ่ื สง่ เสรมิ ทกั ษะการ
คิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ( X = 24.50) สูงกว่าก่อนเรียน
( X =7.20) อยา่ งมนี ยั ส�ำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 df= 33 ไดค้ ่า t =1.6924 ส่วนค่า t-test ทีค่ �ำนวณได้ = 33.13 ซ่ึง
คา่ t ท่ีคำ� นวณได้สงู กวา่ คา่ t จากตาราง เป็นไปตามสมมติฐานการวจิ ยั
ระยะที่ 4 ผลการประเมนิ รูปแบบการจัดการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการ ภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนิค DEDEE
เพอ่ื ส่งเสริมทักษะการคิดวเิ คราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3
ตารางท่ี 5 ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทีเ่ รยี นดว้ ยรปู แบบการจดั การเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรบู้ ูรณาการภูมปิ ญั ญา
ท้องถน่ิ เทคนิค DEDEE เพอ่ื สง่ เสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบัติของสาร ของนักเรยี นชัน้ ประถม
ศึกษาปีท่ี 3
รายการประเมนิ ระดับความพึงพอใจ
ΧX S.D. แปลความ
1. ครูแนะนำาและขยายผลการปฏบิ ตั กิ ารคิดทกุ ขั้นตอน 4.63 0.64 มากท่สี ุด
2. ครอู ธิบายให้ความรูอ้ ยา่ งชดั เจน 4.25 0.72 มากที่สดุ
3. ครเู ตรยี มส่อื อปุ กรณล์ ่วงหนา้ ไดเ้ หมาะสม 4.13 0.75 มากทส่ี ดุ
4. ครจู ดั ชน้ั เรยี นได้เหมาะสมกับสภาพกจิ กรรม 4.51 0.80 มากท่สี ุด
5. ครมู คี วามรู้ ความเขา้ ใจในกระบวนการคดิ และการจัดการ 4.50 0.73 มากที่สุด
เรียนรู้อยา่ งแทจ้ รงิ 4.21 0.70 มากที่สดุ
6. ครูกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นมงุ่ มน่ั ในการพฒั นาตนเอง 4.72 0.75 มากที่สุด
7. ครเู รยี งเนือ้ หา ลาำ ดับขั้นตอนของกิจกรรมไดอ้ ย่างเหมาะสม 4.53 0.74 มากทีส่ ุด
8. นักเรยี นเรียนรูจ้ ากการปฏิบตั ิกิจกรรมการคดิ วิเคราะหด์ ้วย
92 ตนเองและรว่ มกันเรียนรกู้ ับผู้อน่ื
1. ครแู นะนำาและขยายผลการปฏิบตั ิการคดิ ทุกข้นั ตอน 4.63 0.64 มากทส่ี ุด
2. ครูอธบิ ายใหค้ วามร้อู ย่างชัดเจน 4.25 0.72 มากท่สี ุด
3. ครเู ตรียมส่อื อปุ กรณ์ลว่ งหน้าได้เหมาะสม Jo4u.r1na3l of EdFuaccuattyiol00no..fa87lEdT05ueccahtnioonloMgayมมhaanาาsdaกกraCททkohmaี่สส่ี mmุดุดunUinciavetirosnitsy
Vol 2 No46. Seคptรeจูmbัดeชr -ัน้ Dเeรcียemนbeไrด2้เ0ห19มาะสมกบั สภาพกิจกรรม 4.51
5. คเรรียูมนคี รวูอ้ ายมา่ รงู้ แคทวจ้ามริงเขรา้ าใยจกในากรประรบะเวมนินการคดิ และการจดั การ 4.50ระดบั ค0ว.า7ม3พึงพอมใาจกทส่ี ดุ
61. ครแูกนระตนุ้นำาแใหลผ้ะเู้ขรยียานยมผุ่งลมก่นั าใรนปกฏาิบรัตพิกฒั านราคติดนทเุกอขงน้ั ตอน ΧX S.D. แปลความ
4.6231 0.7640 มากที่สดุ
27. คคนรรักูอูเเเตรรธรียยีิบยีงนาเมยนเรสใ้อื ยี่อืหหน้คอารวุปู้จาลกามาำ กรดรณกรู้อบั าายล์ขยร่า่วัน้ปกงงตชฏาหอรดับินนปเัต้าจขรกิไนะอดิจเง้เกมหกรนิมิจรกามะรกสรามมรไคดิด้อวยิเ่าคงรเาหะมหา์ดะ้วสยม 4.7225ระดบั ค0ว.า7ม52พงึ พอมใาจกทสี่ ดุ
38. 4.Χ153 0S.7D45. แมปาลกคทวส่ี าุดม
94.. นตคักนรเจูเรอดั ยี งชนแนั้ ลมเะีปรรียฏ่วนสิ มไมั กดพนัเ้ หันเรมธยี แ์านะลรสะกู้มแบักสผบัวู้องสห่นืภาาขพอ้ กมิจูลกจรารกมแหลง่ การ 44..5419 00..8701 มมาากกททสี่ี่สดุดุ
5. เครรียมู นคี รวทู้ าีห่ มลราู้ คกวหาลมาเยข้าใจในกระบวนการคิดและการจัดการ
10.เวรัดยี ผนลรแอู้ ลยะา่ งปแรทะ้จเมรนิิงผลดว้ ยวธิ กี ารทหี่ ลากหลาย 4.50 0.73 มากที่สุด
4.39 0.81 มาก
161. . คมรีกกู ารระปตรุ้นะใเมหิน้ผผ้เู รลยี ทน้งั มในุ่งมรั่นะหในวก่าางเรรพยี ัฒนนแลาตะนสน้ิเอสงุดการเรียน 44..2615 00..7701 มมาากกททสี่สี่ ุดุด
172. . คนรักเู เรรียียงนเนท้อืรหาบาผลลาำ คดวบั าขมัน้ กตา้ อวหนนขอา้ ใงนกกจิ ากรรเรรมียไนดอ้ ย่างเหมาะสม 44..7423 00..7855 มามกาทกีส่ ุด
183. . นมกักี เารรียปนรเะรเียมนินรผู้จลาทกกักษาระปกฏารบิ คัตดิ ิกวิจเิ กครรรามะกหาค์ รวคาิดมวสิเำาคครัญาะห์ดว้ ย 44..5730 00..7740 มมาากกททส่ี่สี ุดุด
ตคนวเาอมงสแัมลพะรัน่วธม์ วกิเนัคเรราียะนหร์หกู้ ลบั กั ผกอู้ าื่นร
14. กจิ กรรมการเรียนรเู้ ปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นได้รว่ มอภปิ ราย 4.55 0.84 มากทส่ี ดุ
กับครแู ละอภิปรายกบั นกั เรยี นดว้ ยกัน
รวม 4.59 0.78 มากที่สุด
จากตารางท่ี 5 จากการสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การเรยี นดว้ ยรปู แบบ การจดั การเรยี น
รแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอ่ื สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ กลมุ่ สาระ
การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ภาพรวม พบวา่ นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจตอ่ การเรยี นรดู้ ว้ ยรปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรยี น
รแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนิค DEDEE เพอ่ื สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ กลมุ่ สาระ
การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ ( X = 4.59, S.D.=0.78) และเมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ เรยี นลำ�ดบั จาก
มากไปนอ้ ยสามลำ�ดบั แรก พบวา่ ขอ้ 7 ครเู รยี งเนอ้ื หา ลำ�ดบั ขน้ั ตอน ของกจิ กรรมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ( X = 4.72, S.D.
= 0.75) ขอ้ 13 มกี ารประเมนิ ผลทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ ความสำ�คญั ความสมั พนั ธ์ วเิ คราะหห์ ลกั การ ( X = 4.70,
S.D.= 0.70) และขอ้ 1 ครแู นะนำ�และขยายผลการปฏบิ ตั กิ ารคดิ ทกุ ขน้ั ตอน ( X = 4.63, S.D. = 0.64)
93
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผลการสอบถามเพื่อรับรองรปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภูมิปัญญาท้อง
ถ่ิน เทคนิค DEDEE เพ่อื สง่ เสรมิ ทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนักเรยี นชนั้ ประถม
ศึกษาปที ่ี 3 ดงั ตารางท่ี 6
ตารางที่ 6 ผลการรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาเทคนิค DEDEE
ทอ้ งถน่ิ เพ่ือส่งเสรมิ ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3
รายการประเมนิ ระดบั ความเหมาะสม
X S.D. ความหมาย
1. ความเปน็ มาและความสำาคัญของรปู แบบการจดั การเรียนรู้ 4.00 0.00 มาก
2. แนวคดิ พ้นื ฐานในการพัฒนารปู แบบการจัดการเรยี นรู้ 4.80 0.40 มากที่สุด
3. การกำาหนดองค์ประกอบของรูปแบบการจดั การเรียนรู้ 4.80 0.40 มากที่สดุ
(ภาพรวม) 4.30 0.44 มาก
4. องค์ประกอบของรปู แบบการเรียนร้แู ต่ละองค์ประกอบ 4.15 0.30 มาก
4.80 0.40 มากท่สี ดุ
4.1 หลักการของ รปู แบบการจัดการเรียนรู้ 4.80 0.40 มากที่สุด
4.2 วัตถุประสงค์ของรปู แบบการจัดการเรยี นรู้ 4.00 0.00 มาก
4.3 เนื้อหา/สาระการเรยี นรู้
4.4 กจิ กรรมการเรยี นรู้ (ภาพรวม) 4.13 0.27 มาก
4.5 การวัดผลประเมนิ ผล 4.60 0.44 มากทส่ี ดุ
5. ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการเรียนรูแ้ ตล่ ะขั้นตอน 4.24 0.36 มาก
5.1ขน้ั กาำ หนดปัญหา 4.30 0.24 มาก
5.2ขัน้ สรา้ งความสนใจปัญหา 4.47 0.49 มาก
5.3ขัน้ สาำ รวจและคน้ หา 4.20 0.30 มาก
5.4ขั้นอภปิ รายและสรา้ งขอ้ สรุป 4.20 0.49 มาก
5.5ข้ันขยายความรู้ 4.32 0.30 มาก
5.6ขน้ั ประยกุ ต์ใช้ความรู้
5.7ขน้ั ประเมิน
ภาพรวมทั้งหมด
จากตารางท่ี6 พบวา่ ผทู้ รงคณุ วฒุ เิ หน็ วา่ องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของรปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณา
การภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ เทคนคิ DEDEE เพอ่ื ส่งเสรมิ ทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ องสาร ของนกั เรียน
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่3 โดยภาพรวมทง้ั หมดมคี ณุ ภาพ ความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก ( X = 4.32, S.D.=0.30) เมอ่ื พจิ ารณา
เปน็ รายดา้ น พบวา่ แนวคดิ พน้ื ฐานในการพฒั นารปู แบบการสอน การกำ�หนดองคป์ ระกอบของรปู แบบการจัดการเรียนรู้
94
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
(ภาพรวม) มคี วามเหมาะสมในภาพรวมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ ( X = 4.80, S.D.= 0.40) พจิ ารณาองคป์ ระกอบของรปู แบบการ
เรยี นรแู้ ตล่ ะองคป์ ระกอบ พบวา่ เนอ้ื หา/สาระการเรยี นร,ู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ (ภาพรวม) มคี วามเหมาะสมในระดบั มากทส่ี ดุ ( X =
4.80, S.D. = 0.40) และเมอ่ื พจิ ารณาในขน้ั การจดั การเรยี นการเรยี นรู้ พบวา่ ข้ันสร้างความสนใจปญั หามคี วามเหมาะสมใน
ระดบั มากทส่ี ดุ ( X = 4.60, S.D. = 0.44)
ตารางท่ี 7 ผลการรบั รองรูปแบบการจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้บรู ณาการภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ เทคนิค DEDEE
เพอื่ สง่ เสริมทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที ่ 3
รายการ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ (คนท)ี่ X S.D. ความหมาย
รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบ 1 2345 เหมาะสม
เสาะหาความรู้ บูรณาการภูมิ มากท่ีสดุ
ปญั ญาทอ้ งถิ่นเทคนิค DEDEE 5 4 4 5 5 4.60 0.55
เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะการคิด
วเิ คราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปีท่ี 3
จากตารางท่ี 7 พบวา่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ง้ั 5 ทา่ น สรปุ ระดบั คะแนนความเหมาะสมเพอ่ื รบั รองรปู แบบการจดั การเรียนรู้
แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น เทคนิค DEDEE เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระที่ 3 สาร
และสมบัตขิ องสาร ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยมคี า่ คะแนนเฉลย่ี ความเหมาะสมของรปู แบบการจดั การเรียนรู้
แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE เพื่อส่งเสรมิ ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ สาระท่ี 3 สาร
และสมบตั ขิ องสาร ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (X = 4.60, S.D.= 0.55) แสดงว่า รปู แบบการจัดการเรยี นร้แู บบ
สบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเทคนิค DEDEE เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ สาระท่ี 3 สารและ
สมบตั ขิ องสาร ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ
ขอ้ เสนอแนะในการนำ� ไปใช้ 3. ครูผ้สู อนควรศกึ ษากิจกรรมการทดลองทรี่ ะบุ
1. ครผู สู้ อนเปน็ ผทู้ มี่ บี ทบาทสำ� คญั ในการกระตนุ้ ไว้ในรูปแบบการเรียนรู้เพ่ือจัดเตรียมวัสดุและอุปกรณ์การ
ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ มกี ารเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมไปใน ทดลองใหพ้ ร้อมและพอเพยี งสำ� หรับนกั เรียน
ทิศทางที่พึงประสงค์ จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วน 4. ควรเพม่ิ เวลาในการสอนใหเ้ หมาะสมกบั เนอื้ หา
ร่วมใน การเรียนรู้ของตนเองเพื่อสร้างความภาคภูมิใจใน และกจิ กรรมทมี่ มี ากนอ้ ยแตกตา่ งกนั เนอื้ หาทมี่ ขี อ้ มลู มาก
ความส�ำเร็จให้กับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนกลุ่ม อาจจ�ำเป็นต้องใช้เวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ทางการ
อ่อนเนื่องจากการประสบความส�ำเร็จจะท�ำให้ผู้เรียนมี ทดลองเพิ่มข้ึน เพื่อช่วยให้นักเรียนที่มีความแตกต่างกัน
ความรสู้ กึ ที่ดีตอ่ ตนเอง และอยากเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง สามารถเรยี นรไู้ ดด้ ียง่ิ ขึ้น
2. ครูผู้สอนใช้รูปแบบการเรียนรู้นี้ ควรท�ำการ
ศึกษาก่อนน�ำไปใช้และจัดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึก ข้อเสนอแนะในการท�ำวจิ ัยครงั้ ต่อไป
ปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะการใช้รูปแบบน้ีจะส่งเสริมให้ผู้ 1. ควรศกึ ษาถงึ สงิ่ ทสี่ นบั สนนุ และโอกาสทจี่ ะเปน็
เรยี นเกิดทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ ปจั จยั ส่งเสริมให้มีความสามารถ ในการจัดการเรยี นร้แู บบ
95
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สืบเสาะหาความรู้บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคนิค 4. พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
DEDEE เพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะการคิดวเิ คราะห์ หาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เทคนคิ DEDEE เพอื่
2. ควรพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสบื ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ ควรได้มีการศึกษา
เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE พฒั นาการของผเู้ รยี นแตล่ ะคนอยา่ งเจาะลกึ โดยกระทำ� กบั
เพ่ือส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยติดตามผลระดับ กลุ่มตัวอย่างเดียว ผลการวิจัยที่ได้อาจช่วยให้ได้ค�ำตอบท่ี
การคงอยหู่ รอื เปลย่ี นแปลงความสามารถดา้ นทกั ษะการคดิ ลกึ ซงึ้ วา่ ผเู้ รยี นแตล่ ะคนไดม้ พี ฒั นาการดา้ นทกั ษะการคดิ
วิเคราะห์ วเิ คราะห์ ในเชิงคณุ ภาพและเชงิ ปริมาณเพยี งใดอยา่ งไร
3. การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบ 5. ควรศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ DEDEE แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เทคนคิ
เพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ ควรได้มกี ารใชบ้ ริบท DEDEE เพอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ เกย่ี วกบั ตวั แปร
และกล่มุ ตัวอยา่ งใหม ่ ปรบั ปรงุ ขน้ั ตอนการสอนต่าง ๆ ใน เพ่ิมเตมิ คือ ภูมิล�ำเนาพน้ื ฐาน ทางครอบครัว เพศ รวมทง้ั
รูปแบบการสอนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีย่ิงข้ึน ตัวแปรอื่น ๆ ท่ีอาจส่งผลต่อความสามารถผู้เรียนด้าน
บนพน้ื ฐานของแนวคดิ ทฤษฎที แ่ี ตกตา่ ง ซง่ึ อาจทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์
คน้ พบใหม่ ๆ ทมี่ ีคุณประโยชนต์ อ่ การพัฒนาการเรียนการ
สอนวิชาวทิ ยาศาสตรต์ ่อไป
เอกสารอา้ งองิ
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ครุ สุ ภา
ลาดพรา้ ว.
จรี ณฐั ทางมีศร.ี (2557). การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยใชร้ ปู แบบการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหาความร้.ู วิทยานิพนธ์ ค.ม.
(หลกั สูตรและการสอน)., นครปฐม : มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม.
เทศบาลวารนิ วชิ าชาต,ิ โรงเรียน. (2551). หลักสตู รสถานศกึ ษา. อบุ ลราชธานี : ฝา่ ยวิชาการ.
_______. (2558). รายงานผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน. อบุ ลราชธานี : ฝ่ายวชิ าการ.
ธีระเกยี รติ เจริญเศรษฐศลิ ป.์ (2559). การศึกษาไทย 4.0 ในบรบิ ทการจดั การศกึ ษาเพอื่ การพัฒนาท่ียัง่ ยืน.
กรุงเทพฯ: ศนู ย์ประชุมวายภุ ักษ์ โรงแรมเซน็ ทราศนู ย์ราชการและคอนเวนชน่ั เซน็ เตอร์ แจ้งวฒั นะ.
ศริ พิ ร เชอื้ วังคำ� . (2557). การพัฒนาชุดกจิ กรรมการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ เพอ่ื เน้นการคิดวิเคราะห์
และผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ การดำ� รงชีวิตของพืช กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสตู รและการสอน), มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎสกลนคร.
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2546). การจัดสาระการเรยี นรู้กล่มุ วทิ ยาศาสตร์
หลักสตู ร การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และทคโนโลยี.
สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์แ ละเทคโนโลยี. (2551). การจดั สาระการเรยี นรกู ลมุ วิทยาศาสตร์หลกั สูตร
การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พอ งคการรบั สง สินคา้ และพัสดุครุภัณฑ.
Arends, R. I. (1997). Classroom Instruction and Management. New York: McGraw Hill.
กานตก์ มล ต้นทัพไทย : ผ้อู อกแบบจดั หนา้ บทความ
96
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การจดั การเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะเพือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะ
การเขียนภาษาองั กฤษ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2
******************************************************************************************************
Learning Management of 3 P Techniques using Skills Training to Promote
English Writing Skills Foreign Language Learning Strand of Mattayom 2
รัตนดาวรรณ ชาตรี *1
Rattanadawan Chatree*1
[email protected] *
สง่ บทความ 18 กุมภาพันธ์ 2562 แกไ้ ข 25 กมุ ภาพันธ์ 2562 ตอบรบั 27 กุมภาพันธ์ 2562
บทคัดยอ่
ในการศึกษาครั้งน้ีเป็นการจัดการเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมทักษะการเขียนภาษา
อังกฤษ กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ 1) เพ่ือพฒั นาการจัดการเรียน
รูเ้ ทคนคิ 3 P โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะเพอื่ ส่งเสรมิ ทกั ษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ ชัน้
มัธยมศึกษาปีที ่ 2 ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพ่อื เปรียบเทียบความสามารถทางการเขียนภาษาองั กฤษ
กอ่ นและหลงั การจัดการเรยี นรู้ 3) เพ่อื หาค่าดัชนีประสิทธผิ ล 4) เพื่อศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรียนทม่ี ตี อ่ การจัดการ
เรยี นรเู้ ทคนคิ 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 กลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการศกึ ษา เปน็ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2/1 โรงเรยี นเมอื งยางศกึ ษา จงั หวดั
นครราชสมี า องค์การบริหารสว่ นจังหวัดนครราชสมี า ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2559 จำ� นวน 32 คน เครือ่ งมอื
ในการศึกษาได้แกแ่ ผนจดั การเรยี นรู้ จ�ำนวน 14 แผน แบบฝึกทักษะการจัดการเรยี นรู้ จ�ำนวน 6 เลม่ แบบทดสอบ
วดั ความสามรถทางการเขยี นภาษาองั กฤษ กอ่ นและหลงั การจดั การเรยี นรู้ และแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี น
ท่มี ตี ่อการจดั การเรยี นรู้เทคนคิ 3 P โดยใชแ้ บบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท ่ี 2 สถิติทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก ่ รอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน และสถติ ทิ ดสอบคา่ ที (t-test)
ผลการศกึ ษา พบวา่
1. ผลการจดั การเรียนรูเ้ ทคนคิ 3 P โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะเพ่อื ส่งเสริมทกั ษะการเขยี นภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระ
การเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 มปี ระสทิ ธภิ าพสูงกว่าเกณฑ์ท่กี �ำหนด 87.73/86.66
2. ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจัดการเรียนรเู้ ทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมทักษะการเขยี นภาษา
อังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 สูงข้ึน 0.7443 คิดเป็นร้อยละ 74.43
ซ่ึงหมายความวา่ นักเรยี นมีความสามารถดา้ นการเขียนหลังเรยี นเพิม่ ข้ึนร้อยละ 74.43
1 ครโู รงเรียนเมอื งยางศึกษา องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดนครราชสีมา อำ� เภอเมอื งยาง จงั หวัดนครราชสีมา
1 Teacher in Muang Yang Suksa School Under Nakhon Ratchasima Provincial Administration Organization,
Mueang Yang District Nakhon Ratchasima.
97
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
3. ผลการเปรียบเทียบความสามารถทางการเขยี นภาษาองั กฤษของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 หลงั เรยี นสงู
กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ยั ส�ำคญั ทางสถิติท่ี .05 ซง่ึ เป็นไปตามสมมุตฐิ านท่ตี ง้ั ไว้
4. ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนทีม่ ีตอ่ การจัดการเรียนร้เู ทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะเพ่ือส่ง
เสรมิ ทักษะการเขยี นภาษาองั กฤษ กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ ี 2 โดยรวมอยู่ในระดบั
มาก คา่ เฉลี่ยเท่ากับ 4.37 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 ซึ่งคา่ ดงั กลา่ วเปน็ ไปตามเกณฑร์ ะดบั ความพึงพอใจที่
ยอมรับได้วา่ การจดั การเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพ่อื สง่ เสริมทักษะการเขยี นภาษาองั กฤษ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ ี 2 ทำ� ใหน้ กั เรยี นมคี วามพงึ พอใจ
ค�ำสำ� คัญ : การเขยี นภาษาอังกฤษ , แบบฝกึ ทักษะการเขียน
Abstract
In this study, the development of 3 P technique learning management by using skill training
to promote English writing skills Foreign language learning strand Mathayom 2, with the objectives 1)
to develop the learning management of 3 P techniques using the skill training to promote English
writing skills Foreign language learning strand Grade 2 for efficiency according to criteria 80/80 2) To
compare the ability to write English before and after learning management 3) 3) to find the effective-
ness index 4) to study the students’ satisfaction with the learning management of 3 P techniques by
using the skill training to promote English writing skills Foreign language learning strand Mattayom 2,
the sample used in the study Is a Mattayom 2/1 student at Muang Yang Sueksa School under Nakhon
Ratchasima Provincial Administration Organization In the second semester of academic year 2016, 32
people. Educational tools, including 14 learning plans, 6 learning management skills, English writing
test Before and after learning management And student satisfaction questionnaires With the learning
management of 3 P techniques using skill training to promote English writing skills Foreign language
learning strand Mathayom 2, statistics used in data analysis were percentage, mean, standard devia-
tion And t-test statistics. The results that
1. The results of learning management techniques 3P by using skills training to enhance
English writing skills Foreign language learning strand Mathayom 2 is more efficient than the required
criteria 87.73 / 86.66
2. The effectiveness index of the 3 P Technique Learning Management using skill
training to promote English writing skills Foreign language learning strand Mathayom 2 higher 0.7443,
representing 74.43 percent, which means that students have the ability to write after school, increas-
ing by 74.43 percent.
3. The comparison of English writing ability of mathayom 2 students after studying
was significantly higher than before learning at .05, which was in accordance with the hypothesis set.
4. The results of the assessment of student satisfaction towards the learning manage-
ment of 3 P techniques by using the skill training to promote English writing skills Foreign language
learning strand Mathayom 2, overall, is at a high level. The average value is 4.37. The standard de-
viation is 0.53. Such values are in accordance with the acceptable level of satisfaction that the 3P
technique learning management by using the skill training model to promote English writing skills.
Foreign language learning strand Mattayom 2 makes students satisfied.
Keywords: English writing, writing skills practice
98
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ความเป็นมาและความส�ำคัญของปญั หา อีกท้ังการตรวจงานของผู้สอนไม่สมำ่�เสมอ อธิปั
ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษาสากล ที่มีบทบาท ตย์ คลี่สุนทร (2546 : ออนไลน)์ กลา่ ววา่ ปญั หาการสอน
สำ�คัญย่ิงในการสื่อความหมายของบุคคลที่มีความแตก เขยี นเกดิ จากผสู้ อนขาดเทคนคิ และวธิ กี ารสอนทเ่ี หมาะสม
ต่างกันทางภาษาให้สามารถเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ตรงกัน โรงเรยี นขาดสอื่ อุปกรณ์ท่ีกระตนุ้ ผู้เรียน ให้เกิดแรงจูงใจใน
รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และวิทยาการต่างๆ การเรียน นอกจากนี้ เบอรน์ (Byrne. 1991 : 4-5) กลา่ ว
จึงทำ�ให้ภาษาอังกฤษมีอิทธิพลต่อการดำ�เนินชีวิตของคน วา่ การเขยี นเปน็ การถา่ ยทอดความคดิ ไปสภู่ าษา ซงึ่ เปน็ สงิ่
ไทยและชาวต่างชาติท้ังทางตรงและทางอ้อม ดังน้ัน การ ทยี่ ากส�ำ หรบั ผเู้ รยี น เนอื่ งจากการเขยี นไมม่ ปี ฏสิ มั พนั ธแ์ ละ
พัฒนาความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษของคน ผลยอ้ นกลบั ระหวา่ งผอู้ า่ นและผเู้ ขยี น และการเขยี นนน้ั ตอ้ ง
ไทยให้มีประสิทธิภาพ จึงเป็นส่ิงที่รัฐบาลไทยตระหนัก ผ่านการสอนซ่ึงผู้เรียนสามารถเรียนรู้รูปแบบ โครงสร้าง
ถึงความสำ�คัญ และมอบหมายให้ กระทรวงศึกษาธิการ ภาษาท่ีถูกต้อง และการเรียงลำ�ดับความคิดในการเรียน
ปรับปรุงหลักสูตรภาษาอังกฤษอย่างต่อเน่ือง เพื่อพัฒนา จากปญั หาทพ่ี บจะเหน็ วา่ ทกั ษะการเขยี นมคี วามยงุ่ ยากซบั
ให้ผู้เรียนเกิดทักษะด้านการฟัง พูด อ่านและเขียนภาษา ซ้อนจึงต้องอาศัยวิธีการเรียนการสอนท่ีเป็นระบบ มุ่งให้ผู้
องั กฤษ เน่ืองจากการเรียนภาษาอังกฤษจะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมี เรียนฝึกปฏิบัติการเขียนจนเกิดทักษะและมีความสามารถ
วสิ ยั ทศั นก์ วา้ งไกลและเกดิ ความมน่ั ใจในการสอ่ื สารกบั ชาว ในการเขยี น
ตา่ งประเทศ รวมทงั้ เกดิ เจตคตทิ ด่ี ตี อ่ ภาษาและวฒั นธรรม จากปญั หาดังกลา่ วผศู้ ึกษาจงึ คน้ ควา้ ศกึ ษาเทคนคิ
ตา่ งประเทศ โดยยงั คงความภมู ใิ จในภาษาและวฒั นธรรม ในการส่งเสริมช่วยเหลือนักเรียนท่ีมีความสามารถในการ
ไทย (กรมวิชาการ. 2544 : 2) เขียนภาษาอังกฤษในระดับพอใช้ ให้มีการพัฒนาความ
การสอนทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ การ สามารถในการเขียนทด่ี ีขึ้น ซึง่ การลดปญั หาความสามารถ
เขียนเป็นทักษะที่ยากเพราะต้องได้รับการฝึกฝนและเรียน ในการเขียนภาษาอังกฤษนั้นสามารถทำ�ได้หลายวิธี เช่น
รู้จากประสบการณ์ การเขียนภาษาอังกฤษเป็นปัญหาท้ัง การให้นักเรียนเขียนตัวอักษร คำ�ศัพท์ การสะกดคำ� การ
กับผู้เรียนท่ีเป็นเจ้าของภาษาและผู้เรียนต่างชาติท่ีเรียน เขียนประโยค การเขียนบรรยาย สถานการณท์ ก่ี �ำ หนดให้
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาท่ีสอง เพราะผู้เขียนต้องมีความรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นการจัดสภาพ
หลายอย่าง เช่น ความรเู้ ก่ียวกับภาษาที่จะเขยี น กฎเกณฑ์ แวดลอ้ มทางการเรยี น และการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ เทคนคิ
ไวยากรณ์ ค�ำ ศพั ท์ โครงสรา้ ง การเรยี งล�ำ ดบั เนอ้ื ความ และ 3 P หมายถึง วธิ สี อนตามแนวการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือ
ความรู้เก่ยี วกับกลไกการเขียน เปน็ ตน้ จึงจะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี น การสอ่ื สาร (Communicative Approach) ประกอบดว้ ย
พฒั นาการเขยี น และสามารถถา่ ยทอดเนอื้ หาหรอื ความคดิ กจิ กรรมการเรียนการสอนท่ีปรากฏในข้ันการสอน ตาง
ของตนได้ ดังน้ันผู้เรียนควรได้มีโอกาสฝึกกระบวนการคิด ๆ ดังตอไปน้ี ขน้ั น�ำ เสนอ ( Presentation ) เปน็ การน�ำ
และกระบวนการเขยี นดว้ ย (ไมเลส Myles. 2002 : Online) เสนอเน้อื หาใหมใ่ หผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู รูความหมายของ
แม้ว่าทักษะการเขียนจะมีความสำ�คัญต่อการเรียนรู้ของ คำ�ศพั ท์ รูปแบบประโยคใหม่ ข้นั ฝึก ( Practice ) ผู้เรียน
ผู้เรียนเพียงใด แต่มีสาเหตุหลายประการที่เป็นอุปสรรค เกิดทักษะในการใชโครงสรางประโยคที่จำ�เป็นสำ�หรับการ
ท่ีทำ�ให้การเขียนไม่ประสบผลสำ�เร็จเท่าที่ควร อาทิเช่น ผู้ สอ่ื สาร หรอื ขอ้ ความทางภาษาทเี่ ปน็ ยอมรบั รวมทง้ั พฒั นา
เรียนไม่สามารถเขียนได้เนื่องจาก ผู้สอนไม่ให้ความสำ�คัญ รปู แบบของประโยคโดยเชอ่ื มโยงกบั ความหมาย และ ขน้ั น�ำ
ต่อการเขียนอย่างจริงจัง อีกท้ังการเขียนเป็นการรวบรวม ไปใช้ ( Production ) ผู้เรียนสามารถนำ�ภาษาไปใชในการ
ความรแู้ ละขอ้ มูลหลายดา้ น เชน่ โครงสร้างไวยากรณ์ การ ส่ือสารได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย ถ่ายทอด ข่าวสารได้ตาม
ใช้คำ�ศัพท์ สำ�นวน การเรียบเรียง ความคิดและความคิด ความจ�ำ เปน็ ดงั นนั้ การเรยี นรดู้ ว้ ยเทคนคิ วธิ สี อนตามแนว
สร้างสรรค์ในการเขียน การที่ผู้เรียนมีความรู้ในสิ่งหล่า การสอนภาษาองั กฤษเพือ่ การสื่อสาร (Communicative
นี้อย่างจำ�กัด ทำ�ให้การสื่อสารระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน Approach) จึงเป็นวิธีการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้
มีอุปสรรคและเป็นไปได้ยากท่ีจะสื่อความหมายตรงกัน รบั ผิดชอบตอ่ การเรียนรูข้ องตนเอง ไดล้ งมอื ปฏิบัติ ฝกึ ฝน
นอกจากน้ีเวลาในการเขียนในช่ัวโมงเรียนน้อยมาก ทำ�ให้ ทกั ษะการเรยี นรู้ มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมตา่ งๆ และสามารถ
ผู้เรยี นต้องเขยี นนอกเวลาเรยี น สง่ เสรมิ ผลการเรยี นรทู้ างดา้ นสตปิ ญั ญา พฒั นาแรงจงู ใจใน
99
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การเรยี นและสง่ เสรมิ ทกั ษะทางสงั คมใหแ้ กน่ กั เรยี นไดม้ าก แนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอน กลุ่มสาระการ
ยงิ่ ข้นึ เรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ให้มีประสิทธิภาพ
การสอนทักษะการเขียน ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า และพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ เพ่ือนำ�ไปสู่ความสำ�เร็จใน
การเรยี นโดยใชแ้ บบฝกึ เสรมิ ทกั ษะการเขยี นเปน็ นวตั กรรม การศึกษาต่อในระดบั ทีส่ งู ข้ึนต่อไป
อีกรูปแบบหนึ่งท่ีนักเรียนสามารถฝึกกิจกรรมซำ้� ๆ และ
บ่อยๆ ได้จากแบบฝึกท่ีสร้างข้ึน ซึ่งทักษะการเขียนนั้น วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา
จะเกิดขึ้นได้เม่ือมีการฝึกซ้ำ� ๆ การใช้แบบฝึกทักษะการ ในการศกึ ษาครง้ั น้ี ผู้ศกึ ษาได้ก�ำ หนดวัตถปุ ระสงค์
เขียน จะช่วยให้นักเรียนเกิดความเคยชิน สามารถนำ�ผล ของการศึกษาไวด้ ังน้ี
การฝึกมาปรับปรุงแก้ไขได้ทันที ทราบผลการเรียนรู้ด้วย 1. เพ่อื พฒั นาการจดั การเรยี นรู้เทคนคิ 3 P โดย
ตนเอง นอกจากนี้ แบบฝึก ยังเป็นเคร่ืองบ่งชี้ให้ครูทราบ ใช้แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ
ว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้แบบฝึกมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียน กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่
และสามารถนำ�ความรู้ที่ได้ไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ซ่ึง 2 ทมี่ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
จะทำ�ให้ครูสามารถใช้เป็นแนวทางในการเสริมความรู้ให้ผู้ 2. เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถทางการเขยี น
เรยี นเกดิ ความช�ำ นาญและมกี ารเขยี นทสี่ งู ขน้ึ ดงั ปรากฏใน ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ระหว่าง
งานวจิ ยั ของ ศศิพมิ พ์ ศรกจิ (2551 : 40 - 41) ได้ศกึ ษา กอ่ นและหลงั การจัดการเรียนรู้เทคนคิ 3 P โดยใช้แบบฝกึ
การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึก ทกั ษะเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลุม่ สาระ
ทักษะจากการเขียนแบบควบคุมไปสู่การเขียนแบบอิสระ การเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2
ส�ำ หรับนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 พบว่า ไดแ้ บบฝึก 3. เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการ
ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษจากการเขียนแบบควบคุมไป เรียนรูเ้ ทคนคิ 3 P โดยใช้แบบฝกึ ทักษะเพือ่ ส่งเสรมิ ทักษะ
สู่การเขียนแบบอิสระ สำ�หรับนักเรียนช้ันประถม ศึกษาปี การเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่าง
ท่ี 6 จำ�นวน 20 แบบฝกึ ใช้เวลาเรียน 20 ชว่ั โมงสามารถ ประเทศ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2
น�ำ ไปใชไ้ ดเ้ หมาะสม และทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษของ 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะการ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้
เขยี นภาษาองั กฤษจากการเขยี นแบบควบคมุ ไปสกู่ ารเขยี น เทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมทักษะการ
แบบอิสระ มีคะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ 72.92 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑ์ เขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ
ท่ีกำ�หนดไวร้ ้อยละ 65.00 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2
จากสภาพปัญหาการเรียนการสอน ของนักเรียน
ในชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนเมืองยางศึกษา
พบว่า นักเรียนไม่ชอบการเขียน และคิดว่าเป็นท่ีน่าเบ่ือ นิยามศพั ท์เฉพาะ
เขียนสะกดคำ�ภาษาอังกฤษไม่ถูกต้อง คนที่เขียนได้ก็มี 1. การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนิค 3 P หมาย
จ�ำ นวนนอ้ ยมาก จงึ เปน็ ปญั หาสง่ ผลใหน้ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธ์ิ ถึง วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสาร
ทางการเรียนภาษาองั กฤษต่ำ� ด้วยเหตนุ ี้ ผู้ศกึ ษาจงึ ไดก้ าร (Communicative Approach) ประกอบดว้ ย กจิ กรรมการ
พฒั นาการจัดการเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ เรยี นการสอนท่ีปรากฏในขั้นการสอนต่าง ๆ ดงั ตอ ไปน้ี
เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการ 2.1 ขัน้ นำ�เสนอ ( P1 = Presentation ) เป็น
เรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ในการน�ำ การนนำ�เสนอเนื้อหาใหม่ใหผู้เรียนเกิดการเรียนรู รูความ
เสนอเนื้อหาตามลำ�ดับข้ันตอนจากง่ายไปหายาก เร่ิมจาก หมายของ คำ�ศัพทร์ ปู แบบประโยคใหม ่
เรียนรคู้ ำ�ศัพท์ โครงสรา้ งประโยค ด้วยบทเขียนสัน้ ๆ เพอ่ื
ให้ผู้เรียนไม่เบื่อ มีแบบฝึกท้ายบทให้นักเรียนได้ทบทวน 2.2 ขัน้ ฝึก ( P2 = Practice ) ผูเ้ รยี นเกดิ
ความรู้ ทักษะในการใชโครงสร้างประโยคท่ีจำ�เป็นสำ�หรับการ
จดั เนอ้ื หาไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงคข์ องผสู้ อน อกี ทงั้ เพอ่ื เปน็ สอื่ สาร หรือ ข้อความทางภาษาเปนยอมรบั รวมทั้งพฒั นา
100