Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
รูปแบบของประโยคโดยเช่ือมโยงกบั ความหมาย ภาษาต่างประเทศ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2
2.3 ขนั้ น�ำ ไปใช้ ( P3 = Production ) ผเู้ รยี น การดำ�เนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล
สามารถนำ�ภาษาไปใชในการส่ือสารโดยการเขียนได้ ตรง
ตามจุดม่งุ หมาย ถา่ ยทอดข่าวสารได้ตามความจำ�เป็น การศึกษาในครั้งน้ีผู้ศึกษาได้ทำ�การทดลองกับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน เมืองยางศึกษา
2. แบบฝึกทักษะ หมายถงึ สื่อการเรยี นการสอน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 จำ�นวน 32 คน ผู้ศึกษา
หรือกิจกรรมประเภทหน่ึงที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ดำ�เนินการ ดงั รายละเอียดต่อไปนี้
ของผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้และให้เกิดความรู้จากการฝึก 1. ก่อนทำ�การทดลองผู้ศึกษาทำ�การทดสอบ
ปฏบิ ตั ใิ นระหวา่ งเรยี นเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจเพม่ิ ขน้ึ ก่อนเรียน (Pre test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบ
ทดสอบวัดความสามารถทางการเขียนท่ีผู้ศึกษาสร้างข้ึน
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง จำ�นวน 30 คะแนน ใช้เวลาในการทดสอบ 90 นาที ผู้
1. ประชากร คือ ประชากรท่ีใช้ในการศึกษา ศกึ ษาไดท้ �ำ ความเขา้ ใจกบั ผเู้ รยี นเกย่ี วกบั ขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิ
เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเมืองยาง กิจกรรมเพ่ือให้นักเรียนมีความเข้าใจเก่ียวกับข้ันตอนที่ผู้
ศึกษา จังหวัดนครราชสีมา องค์การบริหารส่วนจังหวัด ศึกษากำ�หนดไว้
นครราชสมี า ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2559 มี 2 2. ผ้ศู ึกษาด�ำ เนินการทดลองโดยใช้การจัดการ
ห้องเรยี น จำ�นวนนกั เรยี นทั้งสิน้ 65 คน เรียนรูเ้ ทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝกึ ทักษะเพื่อสง่ เสรมิ ทกั ษะ
2. กลุ่มตวั อย่าง คือ กลมุ่ ตัวอย่างท่ใี ช้ในการศึกษา การเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่าง
เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/1 โรงเรียนเมืองยาง ประเทศ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เล่มที่ 1 จนถึงเลม่ ท่ี 6 ใช้
ศึกษา จังหวัดนครราชสีมา องค์การบริหารส่วนจังหวัด เวลาท้ังสิน้ 14 ชว่ั โมง แบง่ เน้อื หาออกเป็น 6 เรื่อง คือ เลม่
นครราชสีมา ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จ�ำ นวน ที่ 1 เรื่อง Introduce My Self and others เลม่ ท่ี 2
32 คน ซง่ึ ไดม้ าจากการสมุ่ แบบกลมุ่ ( Cluster Random เรือ่ ง Daily Routine เล่มที่ 3 เรือ่ ง Occupationเลม่ ท่ี
Sampling) 4 เร่ือง My Family เลม่ ที่ 5 เร่อื ง Directions เลม่ ที่
6 เรอ่ื ง Food & Drink ซง่ึ แตล่ ะเล่มจะมีแบบฝึกหดั ทา้ ย
เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการศึกษา บทเรียน เปน็ แบบอตั นยั มี 15 คะแนน หลังจากทำ�แบบ
เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือใช้ในการ ฝกึ หดั ครบแล้วจะแสดงผล การประเมนิ คอื บอกจ�ำ นวนข้อ
ศึกษามีดงั น้ี ที่ทำ�ถูกให้ทราบ (ผลของคะแนนท้ายแบบฝึกหัดเป็นผล
ของคะแนน ระหว่างเรียน) นำ�คะแนนท้ายแบบฝึกไปหา
1. แผนจดั การเรียนรู้ จ�ำ นวน 14 แผน ประสิทธิภาพ E1
2. แบบฝกึ ทกั ษะการจดั การเรยี นรเู้ ทคนคิ 3 P โดย
ใช้แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 3. หลังจากสิ้นสดุ การทดลองใช้การจดั การเรยี น
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ รู้เทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมทักษะ
2 จ�ำ นวน 6 เล่ม การเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่าง
3. แบบทดสอบวัดความสามารถทางการเขียน ประเทศ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 แล้วผู้ศึกษาได้ทำ�การ
ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ก่อนและ ทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนกั เรียนกลุ่มตวั อย่างอีก
หลงั การจดั การเรยี นรเู้ ทคนคิ 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพอื่ ครั้งหนึ่ง โดยใช้แบบทดสอบฉบับเดิมพร้อมทั้งให้นักเรียน
ส่งเสริมทกั ษะการเขยี นภาษาอังกฤษ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 เทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมทักษะการ
4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี น ทม่ี ี เขียนภาษาอังกฤษ กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ
ต่อการจดั การเรยี นรเู้ ทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝึกทักษะเพอื่ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 จำ�นวน 32 คะแนน น�ำ คะแนนทไ่ี ด้
ส่งเสรมิ ทกั ษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ มาหาประสทิ ธภิ าพ E2
101
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
4 . ทดสอบความแตกต่างของคะแนนที่ได้ 5. ใหน้ ักเรียนท�ำ แบบสอบถามความพงึ พอใจ
จากการวดั ผลของนักเรียนจากการทำ�แบบทดสอบก่อน ของนักเรยี นที่มีตอ่ การจัดการเรยี นรเู้ ทคนิค 3 P โดยใช้
และหลังเรยี น โดยใช้การทดสอบทกี่ ลมุ่ ตวั อยา่ งกล่มุ แบบฝกึ ทักษะเพื่อสง่ เสริมทักษะการเขียนภาษาองั กฤษ
เดียว (One group pretest- posttest design) ท่ีมีการ กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศกึ ษาปี
ทดสอบก่อน และทดสอบหลงั การทดลอง ที่ 2
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ตอนท่ี 1. เพอ่ื พฒั นาการจัดการเรียนรเู้ ทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะเพือ่ ส่งเสริมทกั ษะการเขียนภาษา
อังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 ดังตาราง 1
ตาราง 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ จากการท�ำ แบบทดสอบวัดความสามารถทางการเขยี น
วิชาภาษาองั กฤษ ระดบั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ด้วยการจัดการเรยี นรู้เทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ
เพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2
ท่มี ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
ทดสอบ แบบทดสอบวัดความสามารถทางการเขยี นวชิ า รวม ทดสอบ
เลขที่ ก่อน ภาษาองั กฤษ ระหวา่ งเรยี น (90) หลังเรียน
(1-32) เรียน
จาำ นวน 6 ชุด ๆ ละ 15 คะแนน (30)
15 15 15 15 15 15
(30)
รวม 608 401 431 430 421 412 422 2527 834
เฉลย่ี 19.00 12.53 13.46 13.43 13.15 12.87 13.18 78.96 26.00
ร้อยละ 63.33 83.53 89.73 89.53 87.66 85.80 87.86 87.73 86.66
(S.D.) 1.00 0.50 0.44 0.45 0.87 0.63 0.62 1.08 0.90
E1/E2 เท่ากบั 87.73/86.66 E.I. เท่ากบั 0.64
จากตาราง 1 พบวา่ นักเรียนจ�ำ นวน 32 คน ทำ�แบบทดสอบวัดความสามารถทางการเขียนวิชาภาษาอังกฤษ ก่อน
เรยี นไดค้ ะแนนเฉลีย่ เท่ากบั 19.00 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 1.00 คิดเป็นร้อยละ 63.33 จากคะแนนเต็ม 30
คะแนน คะแนนเฉลยี่ ระหวา่ งเรียนเท่ากับ 78.96 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 1.08 คดิ เป็นรอ้ ยละ 87.73 จาก
คะแนนเตม็ 90 คะแนน และคะแนนเฉลยี่ จากแบบทดสอบหลงั เรยี นเท่ากบั 26.00 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั
0.90 คิดเปน็ ร้อยละ 86.66
ตอนที่ 2 เพอ่ื หาคา่ ประสทิ ธิผลของแบบฝึกทักษะการจดั การเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพือ่ ส่งเสริม
ทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษ กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2
การหาค่าดัชนีประสทิ ธิผลการจัดการเรยี นรูเ้ ทคนคิ 3 P โดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่อื สง่ เสรมิ ทักษะการเขียน
ภาษาองั กฤษ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โดยใช้ E.I. (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2556 :
157–159)
E.I. = ผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรียน - ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน
(จ�ำ นวนนักเรยี น x คะแนนเต็ม) – ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน
= 834 – 608
(32 x 30) – 608
= 222
352
102 = 0.6420
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ดชั นีประสทิ ธิผลของการจดั การเรยี นรู้เทคนคิ 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพือ่ ส่งเสรมิ ทักษะการเขียนภาษา
องั กฤษ กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาตา่ งประเทศ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 มคี ่าเทา่ กับ 0.64 คดิ เป็นรอ้ ยละ 64.20
ตอนที่ 3 เพอ่ื เปรียบเทยี บความสามารถทางการเขียนภาษาองั กฤษของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ระหวา่ งก่อนและ
หลงั การจดั การเรยี นรเู้ ทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่อื ส่งเสริมทักษะการเขียนภาษาองั กฤษ กลุม่ สาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent Samples ดงั ตาราง 2
ตาราง 2 ผลการเปรียบเทยี บความสามารถทางการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ระหว่าง
กอ่ นและหลงั การจัดการเรียนรูเ้ ทคนิค 3 P โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษ
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2
รายการประเมิน คะแนนเต็ม X S.D. รอ้ ยละ ค่าที (t-test)
ของคะแนนเตม็
คะแนนเฉล่ียระหว่างเรียน 90 78.96 1.08 87.73 2.028*
คะแนนเฉลย่ี 30 26.00 0.90 86.66
การทดสอบหลงั เรียน
* ความมีนัยสำ�คัญทางสถิติท่ี ระดบั .05
จากตาราง 2 พบวา่ นกั เรยี น 32 คน ไดค้ ะแนนเฉล่ียระหวา่ งเรียนเท่ากับ 78.96 จากคะแนนเต็ม 90 คะแนน คดิ
เป็นรอ้ ยละ 87.73 และไดค้ ะแนนเฉลีย่ จากการการทดสอบหลงั เรียนเท่ากับ 26.00 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน คิด
เป็นร้อยละ 86.66
ตาราง 3 แสดงผลการทดสอบการแจงแจงปกติ (Tests Normality) ด้วย Paramatic Test ของคะแนนก่อนเรยี น
และหลงั เรยี นด้วยการจัดการเรียนร้เู ทคนคิ 3 P โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะเพ่อื สง่ เสรมิ ทกั ษะการเขียนภาษา
องั กฤษ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2
Tests Normality
Kolmogorov-Smirnova Shapiro-Wilk
กอ่ นเรยี น statistic Df Sig statistic Df Sig
.125 32 .200* .978 32 .502
32 .097
หลงั เรยี น .139 32 .117 .944
a. Lilliefors Significance Correction
จากตาราง 3 พบว่า คะแนนก่อนเรียนมีค่า Sig (Significance) ของ Kolmogorov-Smirnova=.200 ใน
ขณะท่ี Shapiro-Wilk = .520 ซึง่ มากกว่าระดบั นัยส�ำ คญั = .05 เป็นการแจงแจงปกติ ถา้ พจิ ารณาจากจุดบนกราฟ
ไมค่ ่อยแบนจากเส้น และคะแนนหลงั เรียนมคี า่ Sig (Significance) ของ Kolmogorov-Smirnova=.117 ในขณะ
ท่ี Shapiro-Wilk = .097 ซงึ่ มากกวา่ ระดบั นยั ส�ำ คัญ = .05 เป็นการแจงแจงปกติ ถ้าพิจารณาจากจุดบนกราฟไมค่ อ่ ย
แบนจากเส้น คะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรียนมกี ารแจงแจงปกติ ท่รี ะดับนยั สำ�คัญ .05 ดงั นน้ั ผูศ้ กึ ษาจงึ เลอื กใช้สถิติ
ทดสอบคา่ ที (t-test) เป็นการทดสอบสถิตใิ ชเ้ ปรยี บเทียบกับค่าวิกฤตเพื่อให้ทราบว่ามีความเปน็ นยั สำ�คัญทางสถติ ิ
103
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ตอนที่ 4 ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมตี ่อการจัดการเรียนรู้เทคนิค 3 P โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะเพื่อส่ง
เสริมทกั ษะการเขียนภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โดยหาคา่ เฉลยี่ และ
สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ดงั ตาราง 4
ตาราง 4 คา่ เฉลีย่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพงึ พอใจของนกั เรียนที่มตี อ่ การจดั การเรยี นรเู้ ทคนิค
3 P โดยใช้แบบฝึกทกั ษะเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2
รายการประเมินความพงึ พอใจ ระดับความพึงพอใจ
X (S.D.) ระดับ ล�ำ ดับ
ด้านการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.23 0.82 มาก
1. นกั เรียนชอบเรียนดว้ ยแบบฝกึ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 4.20 0.81 มาก
2. แบบฝึกทักษะท�ำ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจเนือ้ หางา่ ย ไมย่ ุง่ ยากซับซ้อน
3. กิจกรรมในการเรยี นการสอนน้ีทำ�ใหส้ รุปความรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง 4.10 1.18 มาก
4. แบบฝึกทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษท�ำ ใหน้ กั เรยี นมคี วามเหมาะสม 4.37 1.13 มาก
และสนุกสนาน 4.30 0.95 มาก
5. กิจกรรมการเรียนการสอนเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นไดม้ ีส่วนร่วมในการ 4.40 0.77 มาก
ทำ�กิจกรรมการเรียนการสอน 4.40 0.86 มาก
6. แบบฝึกทักษะการเขยี นภาษาองั กฤษทำ�ใหน้ ักเรยี นมีความ 4.00 1.23 มาก
กระตอื รอื ร้นและติดตามเนือ้ หาอยูเ่ สมอ
7. แบบฝกึ ทักษะการสเขยี นภาษาองั กฤษทำ�ใหน้ ักเรยี นมคี วามความ
รเิ รมิ่ สร้างสรรค์
8. . แบบฝึกทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษ สามารถเรยี นรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง
9. แบบฝกึ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษสามารถจดั กิจกรรมได้ทั้งใน 4.43 1.01 มาก
ห้องและนอกห้องใหก้ บั นักเรยี น
เฉลย่ี ด้านด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4.27 0.62 มาก 3
ด้านเวลาและบรรยากาศในการเรียน
10. แบบฝกึ ทักษะการเขียนภาษาองั กฤษสามารถจดั กิจกรรมไดท้ งั้ ใน 4.60 0.77 มากท่ีสดุ
ห้องและนอกห้องใหก้ ับนักเรียน
11. แบบฝึกทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษสามารถจัดกิจกรรมการเรียน 4.30 0.92 มาก
การสอนอย่างมีล�ำ ดบั ข้นั ตอนใช้เวลาในการเรียนน้อย
เฉล่ยี ดา้ นเวลาและบรรยากาศในการเรยี น 4.45 0.62 มาก 2
ดา้ นการประเมินผล 4.60 0.72 มาก 1
12. แบบฝึกทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษ สามารถช่วยในการแก้ปัญหา 4.67 0.73 มากทสี่ ุด
การเขยี นภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น 4.60 0.97 มากทส่ี ุด
13. แบบฝึกทกั ษะการเขยี นภาษาอังกฤษ ทำ�ให้ทราบผลการประเมิน 4.53 0.94 มากทส่ี ุด
ทนั ที ซง่ึ ท�ำ ให้นกั เรยี นสนใจเรยี นรเู้ พ่ิมเติม 4.51 0.63 มากท่สี ุด
14. แบบฝึกทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษท�ำ ให้นักเรยี นมีความรู้เร่อื ง 4.37 0.53 มาก
การเขียนดีย่ิงขึน้
15. แบบฝึกทักษะการเขียนภาษาองั กฤษทำ�ให้นักเรยี นนำ�ทักษะการ
เขยี นไปใช้ในชีวติ ประจำ�วันได้
เฉลย่ี ดา้ นการประเมินผล
รวมเฉลยี่
104
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
จากตาราง 4 พบวา่ ระดบั ความพงึ พอใจของนกั เรียน 32 คน ท่ีมีตอ่ การจดั การเรียนรู้เทคนคิ 3 P โดยใช้แบบฝกึ
ทกั ษะเพ่ือส่งเสริมทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 มรี ะดบั
ความพึงพอใจโดยรวมอย่ใู นระดับมาก คา่ เฉลี่ยเทา่ กบั 4.37 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.53 และเม่อื พจิ ารณา
รายด้าน พบวา่ ด้านการประเมนิ ผลมรี ะดับความพงึ พอใจ อย่ใู นระดบั มากทีส่ ุด คา่ เฉล่ียเทา่ กับ 4.51 สว่ นเบย่ี งเบน
มาตรฐานเทา่ กบั 0.63 รองลงมา ไดแ้ ก่ ดา้ นเวลาและบรรยากาศในการเรยี น ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45 สว่ นเบยี่ งเบน
มาตรฐานเทา่ กับ 0.62 และด้านทีม่ คี า่ เฉลีย่ ต�ำ่ สุด คือ ด้านการจัดกจิ กรรมการเรยี นรคู้ ่าเฉล่ยี เทา่ กับ 4.27 สว่ นเบ่ยี ง
เบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.62
ขอ้ เสนอแนะ แตกต่างกันอย่างชัดเจน เวลาในการเรียนให้เหมาะสมกับ
แตล่ ะเนื้อหา และสามารถน�ำ ความรไู้ ปปรับในชีวติ ประจำ�
1. ข้อเสนอแนะท่วั ไป วนั ได้
1.1 ควรจัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เกิดความ
ร้สู ึกเปน็ อิสระ ดำ�เนนิ กิจกรรมตามความนกึ คิดของตน จะ 2 ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาครงั้ ต่อไป
ชว่ ยเสรมิ สรา้ งการเรยี นรขู้ องนกั เรนี ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2.1 ควรศกึ ษาและพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะ
ยง่ิ ขึ้น ารเขียนภาษาอังกฤษ ในเทคนิคและทฤษฎีอ่ืน ๆ เพื่อ
1.2 ควรมกี ารสอนซ่อมเสริมส�ำ หรบั นักเรยี นท่ี ประโยชน์แก่ผูเ้ รยี นในการเรยี นรู้ทห่ี ลากหลายมากข้นึ
เรียนช้า เพ่ือให้สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกับเพื่อนได้โดยไม่ 2.2 ควรมีการเผยแพร่แบบฝึกทักษะการ
เกิดความวติ กกงั วลในการเรียน เขียนภาษาองั กฤษทางเวป็ ไซต์ เพอื่ เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้
1.3 ทักษะการเขียนเป็นทกั ษะทยี่ ากและซับซ้อน เรยี นรู้โดยไมจ่ �ำ กัดเวลาและสถานท ่ี
ดังน้ันการพัฒนาความสามารถในการเขียนของนักเรียน 2.3 ควรมีการวิจัยเพ่ือศกึ ษาแบบฝกึ ทกั ษะ
จะต้องมีกำ�หนดความยากง่ายของหัวข้อให้เหมาะสมกับ ภาษาองั กฤษใหค้ รบท้งั 4 ทกั ษะ คือทักษะการฟัง ทกั ษะ
นกั เรยี นแตล่ ะระดบั โดยค�ำ นงึ ถงึ พนื้ ความรเู้ ดมิ ความสนใจ การพูด ทกั ษะการอา่ น และทกั ษะการเขยี น เป็นต้น
ความตอ้ งการ วยั ของนักเรียน หัวข้อทก่ี �ำ หนดใหน้ ักเรยี น
เขียน ไม่ควรจะให้ใกล้เคียงกันมาก ควรหลากหลายและ
เอกสารอ้างองิ
กรมวชิ าการ. (2544). หลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารรบั สง่ สนิ คา้ และพสั ดภุ ณั ฑ.์
บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2556) วธิ กี ารทางสถิติสำ� หรับการวิจยั เล่ม 1 (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรงุ เทพฯ : สุรรี ยิ าสาสน์.
ศศพิ มิ พ์ ศรกิจ. (2551). การพัฒนาทักษะการเขยี นภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะจากการเขยี นแบบควบคุมไป
สู่การเขยี นแบบอิสระ สำ� หรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6. ปริญญามหาบณั ฑิต. มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
อธิปตั ย์ คลี่สุนทร. (2546). ปฏิรปู การเรียนภาษาอังกฤษกันเถอะ. [ออนไลน]์ เข้าถงึ จาก http://www.moe.go.th/
main2/article_atipat/reform_learnEng.htm. เม่ือ 23 มกราคม 2562
Byrme, D. (1981). Teaching writing skill. New York : Longman.
Myles, Johanne. (2002). Second Language writing and Research : The Writing Process and Error
Analysis in Student Texts. [Online]. Available: http://www.writing.berkeley.edu/TESL-EJ/ej22/
a1.html. Retrieved December 7, 2003.
พรชิตา ปรางคน์ อก : ผูอ้ อกแบบจัดหนา้ บทความ
105
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การพัฒนาการจดั กิจกรรมการเรยี นรสู้ ถานการณ์จ�ำลองประกอบส่ือมลั ติมีเดีย
วชิ าภาษาองั กฤษ เร่อื ง English for Daily Life ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5
กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาตา่ งประเทศ
Development of Learning Activities Simulations with Multimedia on English
for Daily Life for Matthayomsuksa 5 students, Foreign Language Department.
ธิดารัตน์ นคร 1 *
Thidarat Nakhon 1 *
[email protected] *
สง่ บทความ 5 กนั ยายน 2562 แกไ้ ข 13 พฤศจิกายน 2562 ตอบรบั 1 ธันวาคม 2562
บทคดั ยอ่
การวจิ ยั คร้งั นเี้ ปน็ การจดั กิจกรรมการเรยี นรสู้ ถานการณ์จำ�ลองประกอบส่ือมัลตมิ ีเดีย วิชา ภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง
English for daily life ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพ่อื (1) หาประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์
80/80 (2) เพ่ือเปรยี บเทียบทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษกอ่ นและหลงั เรียน (3) เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
กอ่ นและหลงั เรยี น (4) เพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
สือ่ มัลตมิ ีเดยี กลมุ่ ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรียนองค์การ
บรหิ ารสว่ นจงั หวดั ชยั นาท จำ�นวน 20 คน ซึ่งไดม้ าจากการสุม่ แบบกลมุ่ (Cluster random sampling) เคร่อื งมือทใี่ ช้ใน
การวจิ ยั ครง้ั น้ี ประกอบดว้ ย (1) แผนการจดั การเรยี นรู้ (2) สอื่ มลั ตมิ เี ดยี (3) แบบวดั ทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษ (4) แบบ
ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (5) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สถานการณ์
จำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ติมเี ดีย เปน็ แบบมาตรฐานประมาณคา่ (Rating Scale) จำ�นวน 15 ขอ้ สถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์
ขอ้ มูลได้แก่ ร้อยละ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Sample)
ผลการวจิ ัย ปรากฏดงั น้ี
1. ผลการหาคา่ ประสิทธิภาพของการเรียนโดยใช้การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูส้ ถานการณจ์ ำ�ลอง
ประกอบสอ่ื มัลตมิ ีเดีย มปี ระสิทธิภาพ เท่ากบั 86.82/87.50 ซง่ึ สูงกวา่ เกณฑ์ ท่ีกำ�หนด
2. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนโดยใชก้ ิจกรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี สงู กวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสำ�คัญทางสถติ ิท่ีระดบั .01
3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี นโดยใช้กจิ กรรมการเรียนรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี สงู กวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั สำ�คญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01
_______________
1 ครกู ลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรยี นองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัดชัยนาท สังกดั องค์การบรหิ าร
สว่ นจงั หวดั ชยั นาท
1 Teacher in foreign language department of Chainat provincial administration organization school.
Chainat provincial administration organization.
106
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
4. นกั เรียนทเี่ รียนโดยใชก้ จิ กรรมการเรียนรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี มี
ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ โดยมีคา่ เฉลยี่ เท่ากับ 4.57
คำ�สำ�คญั : สถานการณ์จำ�ลอง , ส่อื มัลตมิ ีเดยี
Abstract
This research aim to development of learning activities by using situation with multimedia on
English for daily life for Matthayomsuksa five students, Foreign Language Department For (1) efficiency
according for criteria 80/80 (2) to compare English speaking skill between before and after by using
situation with multimedia (3) to compare learning achievement between before and after by using
situation with multimedia (4) to study satisfaction of Matthayomsuksa five students for learning activities
by using situation with multimedia. The sample group consisted of 20 students from Matthayomsuksa
5/1 who were derived from cluster random sampling in the first semester of academic year 2019 at
Chainat provincial administration organization school. The used tools in this research consisted of (1)
The lessons plan of situation with multimedia. (2) The multimedia material (3) English speaking skill
measurement. (4) The learning achievement. (5)The satisfaction evaluation form, rating scale. Using
statistics for data analysis are percentage, average, standard deviation and t-test (Dependent Samples).
The research result are as follow.
1. The learning activities by using situation with multimedia had 86.82/87.50, which was
higher than the specified criteria.
2. The Students learnt by using situation with multimedia had post-test score English Speaking
skill higher than pre-test at the statistical level of significance at .01
3. The Students learnt by using situation with multimedia had post-studied learning achieve-
ment higher than pre-studied at the statistical level of significance at .01
4. The Students learnt by using situation with multimedia had satisfaction was in The highest
level. The average score was 4.57
Keyword: simulations situation, multimedia
.
107
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บทนำ� จึงมคี วามสำ�คญั ยง่ิ
ในสังคมปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมี การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสถานการณ์จำ�ลอง คือ
ความสำ�คญั และจำ�เปน็ อยา่ งยงิ่ ในชวี ติ ประจำ�วนั เนอ่ื งจาก การสอนท่ีมีการเลียนแบบเหตุการณ์ให้มีความคล้ายคลึง
ภาษาเป็นเคร่ืองมือสำ�คัญในการติดต่อส่ือสารเพ่ือการ กบั สถานการณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้ ในสงั คม และสอดคล้องกบั เนือ้ หา
ศึกษา การแสวงหาความรู้ และผลการทดสอบทางการ ในบทเรยี น เปน็ กจิ กรรมการสอนเพอื่ ใหน้ กั เรยี นไดท้ ดลอง
ศึกษาระดบั ชาติข้ันพืน้ ฐาน (O-NET) ในปีการศึกษา 2560 ฝึกปฏิบัติ ทำ�ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ในภาพท่ีใกล้เคียง
วิชาภาษาอังกฤษมีคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศได้เท่ากับ กับความเป็นจริงมากที่สุด อีกทั้งสามารถถ่ายโยงความรู้
28.31 และคะแนนเฉล่ียวิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียน ไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำ�วันได้ ทิศนา แขมมณี (2552:
องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาทได้เท่ากับ 22.13 ซ่ึง 371 - 373) ได้กลา่ วถึงขอ้ ดีของวธิ ีสอนโดยใช้สถานการณ์
ถือว่าได้คะแนนตำ่ �กว่าระดับประเทศ โดยสาระท่ีโรงเรียน จำ�ลองไวว้ า่ เปน็ วธิ กี ารสอนทช่ี ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรใู้ นความ
ควรเร่งพัฒนาได้แก่ 1) ภาษาความสัมพันธ์กับชุมชนและ สัมพนั ธ์ซับซ้อน ไดอ้ ยา่ งเข้าใจ เนื่องจากไดม้ ีประสบการณ์
โลก 2) ภาษาและวัฒนธรรม 3) ภาษาเพ่ือการสื่อสาร ท่ีเห็นประจักษ์ชัดด้วยตนเอง เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีส่วน
4) ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ซ่ึง ร่วมในการเรียนรู้สูงมาก ผู้เรียนได้เรียนอย่างสนุกสนาน
สอดคล้องกับแบบสอบถามจากการศึกษาความคิดเห็น การเรยี นรมู้ คี วามหมายตอ่ ตวั ผเู้ รยี น เปน็ วธิ สี อนทผ่ี เู้ รยี นมี
ที่มีต่อสภาพปัญหาและการจัดการเรียนการสอนภาษา โอกาสไดฝ้ กึ ทกั ษะกระบวนการตา่ ง ๆ จำ�นวนมากประกอบ
อังกฤษของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กับการใช้สื่อในการจัดการเรียนรู้จะช่วยให้บรรยากาศใน
ระดับมัธยมศึกษา จังหวัดชัยนาทที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น พบ การเรยี นน่าสนใจยิ่งข้ึน เพราะสื่อจะช่วยกระตุ้นและสร้าง
ว่า ทักษะกระบวนการส่ือสารภาษาอังกฤษที่จำ�เป็นต้อง ความสนใจใหก้ บั ผเู้ รยี น ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมโี อกาสรว่ มกจิ กรรม
เน้นและพัฒนาอย่างเร่งด่วนในการจัดการเรียนการสอน การจดั การเรยี นรมู้ ากขนึ้ การใชส้ อื่ จะทำ�ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจตรง
ภาษาอังกฤษระดบั มัธยมศกึ ษา โดยข้อที่มีค่าเฉลย่ี สูงสุด 3 กนั และเกิดประสบการณร์ ว่ มกนั ในเรือ่ งท่ีเรยี นนน้ั
อนั ดบั แรก ได้แก่ ทกั ษะการพดู ( =4.65) ทักษะการอ่าน
( =4.65) และทกั ษะการฟงั ( =4.64) ดงั นน้ั ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจทจ่ี ะพฒั นาทกั ษะการพดู ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดกิจกรรมการ
การสื่อสารโดยใช้ทักษะการพูดเป็นทักษะหน่ึง เรียนรู้สถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
ท่ีมีความสำ�คัญและจำ�เป็นที่จะต้องพัฒนาการสื่อสารโดย
ให้ผู้เรียนมีความสามารถในการพูด จากอดีตที่ผ่านมาพบ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย
ว่าประเทศไทยยังมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ภาษา 1. เพอื่ หาประสทิ ธภิ าพของการจดั กจิ กรรมการ
อังกฤษและคนไทยมีปัญหาในการใช้ทักษะภาษาอังกฤษ เรียนรู้สถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ตามเกณฑ์
เป็นอย่างมาก จึงทำ�ให้ขาดความมั่นใจในการพูดภาษา 80/80
องั กฤษเพราะไมม่ ปี ระสบการณ์ รวมถงึ พน้ื ฐานอปุ นสิ ยั ของ
คนไทยที่ไม่ชอบการฝึกฝนเพราะกลัวว่าจะพูดผิด (อริสรา 2. เพอื่ เปรยี บเทยี บทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษ
ธนาปกิจ, 2555) สอดคล้องกบั สมุ ิตรา องั วฒั นกุล (2537: ก่อนและหลังเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
53) กลา่ ววา่ อปุ สรรคในการพฒั นาทกั ษะการพดู คอื ผเู้ รยี น สถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
ไม่กล้าและกระดากอายที่จะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจเป็น 3. เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ น
เพราะมโี อกาสในการฝกึ และปฏบิ ตั ใิ นสถานการณจ์ รงิ นอ้ ย และหลังเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สถานการณ์
มาก ดงั นนั้ หากมกี ารจดั การเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รยี นสามารถใชภ้ าษา จ�ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
ในสถานการณ์จริงแล้ว จะทำ�ให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษา
ในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลดังกล่าว 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
การเรียนการสอนที่เน้นจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสใช้ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ภาษาอังกฤษภายในห้องเรียนอย่างคล่องแคล่วสนุกสนาน สถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
108
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ขอบเขตของการทำ�วิจัย direction 4. I ’m looking the skirt 5. Telephoning
6. The Invitation บทเรยี นละ 2 ชว่ั โมง
1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียน สถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี วชิ าภาษาองั กฤษ
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 เร่อื ง English for daily life ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้
โรงเรยี นองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ชยั นาท จงั หวดั ชยั นาท ครอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีกำ�หนด
จำ�นวน3 ห้องเรียน จำ�นวน 60 คน จ�ำ นวน 6 แผนการเรยี นรู้
1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยกลุ่ม 1.6 เสนอแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้
ตัวอยา่ ง ได้แก่ นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5/1 ภาคเรียน เช่ียวชาญตรวจสอบความถูกต้องของแผนการจัดการ
ท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรยี นองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั เรยี นรูค้ วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เนื้อหา
ชัยนาท จงั หวัดชยั นาท ที่ จำ�นวน 20 คน ซงึ่ ไดม้ าโดยการ กิจกรรม ส่ือ และเครื่องมือวัดและประเมินผล เพื่อนำ�มา
สุม่ แบบกลมุ่ (Cluster Random Sampling) ปรบั ปรุงแกไ้ ข
2. ระยะเวลา ผวู้ ิจัยใช้เวลาในการทดลอง ในภาค 1.7 นำ�แผนการจัดการเรียนรมู้ าปรับปรงุ
เรยี นท่ี 1 ปี การศึกษา 2562 จ�ำ นวน 6 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ แก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญในด้านรายละเอียด
1 วัน วันละ 2 ช่วั โมง รวมใช้เวลาเรียน 12 ชั่วโมง การจัดกิจกรรม ควรมีการมอบหมายบทบาทให้ชัดเจน
3. เนอ้ื หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั นเี้ ปน็ เนอื้ หาในกลมุ่ ชี้แจงกติกา ปรับการใช้ภาษาให้เหมาะสม ตลอดจนการ
สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ รายวิชา ภาษาองั กฤษ ตรวจสอบเข้าไปใช้ส่อื มัลตมิ ีเดยี
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณ์ 1.8 จดั พมิ พแ์ ผนการเรยี นรทู้ สี่ มบรู ณ์ แลว้
จำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ทพ่ี ฒั นาขน้ึ ซงึ่ แบง่ เนอ้ื หาออก เสนอต่อผู้เช่ียวชาญเพื่อประเมินคุณภาพอีกครั้ง ผลการ
เปน็ 1 หน่วยการเรียนรู้ 6 บทเรียน ประเมนิ โดยผูเ้ ช่ียวชาญมคี า่ เฉล่ีย 4.83
เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย 1.9 น�ำ แผนการจัดการเรยี นรูส้ ถานการณ์
1. แผนการจัดการเรียนรู้กจิ กรรมสถานการณ์ จ�ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี วชิ าภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง English
จ�ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ด�ำ เนินการสร้างตามลำ�ดับขัน้ for daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษา
ตอน ดังนี้ ตา่ งประเทศ ไปทดลองใช้กบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5
ทพ่ไีรมหใ่ มชว่กงลศุ่ม,์ ต2วั5อ2ย5า่:ง4เ1พ9ือ่ -ห4า9ป6)ระในสภิทาธคิภเารพียน(ทE1ี่ /1 Eป2ีก)า(รชศัยึกยษงคา์
1.1 ศกึ ษาหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษา 2562 ตามขั้นตอน ดังนี้
ข้นั พ้นื ฐาน เพอ่ื ทราบเนือ้ หา มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.9.1 การหาประสิทธิภาพแบบราย
บคุ คล หรือ แบบหนงึ่ ตอ่ หนึง่ (Individual Tryout หรอื
1.2 ศกึ ษาทฤษฎี หลักการ แนวคดิ และ One to One Tryout 1:1) จ�ำ นวน 3 คน มีระดับความ
เอกสารท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบสถานการณ์ สามารถในระดับเก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน
จำ�ลอง
1.3 ศกึ ษาเนอื้ หาสาระทจ่ี ะใชจ้ ดั กจิ กรรม เพื่อทดสอบประสิทธิภาพแบบเด่ียว ผลการทดลอง พบ
การเรียนรู้ แลว้ ท�ำ การวเิ คราะหเ์ นื้อหาออกเปน็ หนว่ ยย่อย ว่า เน้อื หาและรูปแบบการดำ�เนินกิจกรรมน่าสนใจ แต่ใบ
ๆ ให้สอดคลอ้ งกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรูแ้ ละตัวชี้วัด งานมีมากเกินไป ไม่สัมพันธ์กับเวลา ดังน้ันผู้วิจัยจึงนำ�
ข้อบกพร่องดังกล่าวมาปรับปรุงแก้ไขปรับใบงานให้น้อย
1.4 จดั ท�ำ หนว่ ยการเรยี นรู้ 1 เร่ือง En- ลงแต่ให้ตรงกับจุดประสงค์ ก่อนจะนำ�ไปใช้ในขั้นการ
glish for daily life มจี �ำ นวน 6 บทดงั นี้ 1. Tell me about ทดลองหาประสิทธิภาพแบบกลมุ่ ย่อย ต่อไป ซึง่ ผลการหา
yourself 2. Can I take your order? 3. Giving the
109
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประสิทธิภาพในครั้งนี้ พบว่า ได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ตามหลกั สูตรสถานศึกษา พ.ศ.2561
63.11/63.337
2.4 ศกึ ษาวิธกี าร หลกั การ ทฤษฎี พฒั นา
1.9.2 การหาประสิทธิภาพแบบกลุ่ม ทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษจากเอกสารตา่ ง ๆ และงานวจิ ยั
ยอ่ ย (Small Group Tryout 1:10 ) จำ�นวน 10 คน และ ท่ีเกย่ี วข้อง
ไม่ซ�ำ้ กบั นักเรียนที่ท�ำ การทดลองในครง้ั ที่ 1 ประกอบด้วย
นักเรียนเรียนเก่ง 3 คน นักเรียนปานกลาง 4 คน และ 2.5 ดำ�เนินการสร้างโดยกำ�หนดกรอบ
นักเรียนท่ีมีผลการเรียนอ่อน 3 คน ซ่ึงใช้ข้ันตอนและวิธี เนื้อหาสาระการเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ ช้ันมัธยมศึกษา
การเหมอื นกบั การทดลองแบบเดยี่ ว ผลการทดลอง พบวา่ ผู้ ปีท่ี 5 จากคำ�อธิบายรายวิชา โครงสร้างการเรียน และ
เรยี นสนกุ สนาน ตน่ื ตวั มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม กลา้ แสดงออก มาตรฐานตวั ชว้ี ัด
แตย่ งั ไมค่ อ่ ยมนั่ ใจในการออกเสยี งพดู ประโยคภาษาองั กฤษ 2.6 ศกึ ษาเอกสารตำ�ราต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกบั
ปรบั ปรงุ โดยครใู ห้นกั เรยี นลองฝกึ ออกเสียงกับเพอ่ื นก่อน การสรา้ งสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ข้ันตอนการท�ำ การออกแบบ การ
เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการออกเสียง ครูคอยสังเกตการ บันทึกเสียง การใส่รูปภาพ เนื้อหา ประโยคต่าง ๆ จาก
ฝกึ ออกเสยี ง ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ซง่ึ ผลการหาประสทิ ธภิ าพ เอกสารต่าง ๆ และงานวิจยั ทเ่ี ก่ียวข้อง
ในครงั้ น้ี พบว่า ไดค้ า่ ประสทิ ธภิ าพเทา่ กับ 72.20/73.00 2.7 ศกึ ษาเอกสารต�ำ ราตา่ ง ๆ ที่เก่ียวกับ
1.9.3 การหาประสิทธิภาพแบบภาค การสร้างควิ อารโ์ คด้ ขัน้ ตอนการทำ� จากเอกสาร ต่าง ๆ
สนาม (Field Tryout 1: 100) ได้แก่ จำ�นวน 20 คน ที่
ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย นักเรียนเรียนเก่ง 7 คน 2.8 สรา้ งสอื่ มลั ตมิ เี ดยี ใหค้ รอบคลมุ เนอื้ หา
นักเรยี นปานกลาง 6 คน และนักเรยี นทีม่ ีผลการเรยี นอ่อน และวตั ถุประสงค์ จำ�นวน 6 ช้ิน โดยสือ่ มลั ตมิ ีเดยี ทส่ี รา้ ง
7 คน ผลการทดลอง พบขอ้ บกพร่องคือเวลาทใี่ หน้ ักเรียน ข้ึนเป็นการผสมผสานส่ือหลายชนิดทั้ง ข้อความ ภาพนิ่ง
ดสู อ่ื มลั ตมิ เี ดยี นอ้ ยไมเ่ พยี งพอตอ่ การฝกึ ฝน ปรบั ปรงุ โดยผู้ วดี โี อ เสยี ง โดยผา่ นควิ อารโ์ คด้ สามารถเปดิ ดผู า่ นโทรศพั ท์
วจิ ยั ใสค่ วิ อารโ์ คด้ โดยนกั เรยี นสามารถดูสอื่ มลั ตมิ เี ดยี ผา่ น มือถือสมาร์ทโฟนได้ เป็นส่ือมัลติมีเดียประเภทนำ�เสนอ
โทรศัพท์มือถือ ทำ�ให้นักเรียนสามารถศึกษาส่ือมัลติมีเดีย ขอ้ มลู ซง่ึ ใชก้ บั หนว่ ยการเรยี นรจู้ �ำ นวน 1 หน่วย ในหน่วยที่
ได้ทุกท่ี ซ่ึงผลการหาประสิทธิภาพในครั้งน้ี พบว่า ได้ค่า 1 เร่ือง English for daily life ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา
ประสิทธิภาพเทา่ กับ 79.43/79.75 ปที ี่ 5 ประจ�ำ ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 มที ง้ั หมด
จ�ำ นวน 6 ชน้ิ มชี อ่ื ตรงกบั แผนการจดั การเรยี นรู้ จากนน้ั นำ�
2. สอื่ มลั ตมิ เี ดยี ประกอบการจดั กจิ กรรมการเรยี น สอื่ มลั ติมเี ดียที่สร้างข้นึ ใหค้ รูตา่ งชาติ ตรวจสอบวเิ คราะห์
รสู้ ถานการณจ์ �ำ ลอง วชิ าภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง English for ความถูกตอ้ งของภาษาและความเหมาะสมของเนือ้ หา
daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษา
ต่างประเทศ ด�ำ เนินการสรา้ งตามล�ำ ดบั ขัน้ ตอน ดังนี้ 2.9 นำ�ส่ือมัลติมีเดีย ท่ีสร้างข้ึนเสนอผู้
เชย่ี วชาญ 5 ทา่ น พจิ ารณาตรวจสอบคณุ ภาพ ดา้ นเนอื้ หา
2.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรกลุ่ม ดา้ นความเหมาะสม ของส�ำ นวนภาษา และความสอดคลอ้ ง
สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช่วงชั้นท่ี 4 ระดับชั้น โดยพจิ ารณาองคป์ ระกอบของสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี เชน่ เดยี วกนั กบั
มัธยมศึกษาปีที่ 4-6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืน แบบประเมนิ คณุ ภาพของแผนการจดั การเรยี นรู้ แตจ่ ะแตก
ฐาน พ.ศ.2551 ต่างกนั ทีร่ ายละเอียดการประเมิน
2.2 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรกลุ่ม 2.10 ปรบั ปรุงแกไ้ ขตามข้อเสนอแนะของ
สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช่วงชั้นที่ 4 ระดับช้ัน ผู้เชีย่ วชาญ จากน้นั แลว้ วิเคราะหข์ ้อมลู ซง่ึ ผลการประเมนิ
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ตามหลักสตู รสถานศกึ ษา พ.ศ.2561 และตรวจสอบคุณภาพส่ือมลั ติมีเดีย โดยผเู้ ชย่ี วชาญทง้ั 5
ท่าน ปรากฏว่าสื่อมัลติมีเดีย ท่ีสร้างขึ้น มีค่าคุณภาพอยู่
2.3 ศกึ ษาคำ�อธบิ ายรายวิชา โครงสรา้ ง ระหวา่ ง 4.00 – 5.00 โดยมคี า่ เฉล่ยี เทา่ กับ 4.78
รายวิชา และมาตรฐานตัวชี้วัดของวิชาภาษาอังกฤษชั้น
110
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
2.11 นำ�ส่ือมัลติมีเดีย วิชาภาษาอังกฤษ พดู ตามแนวของ Harris (1990: 84)
เรอ่ื ง English for daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 กลมุ่ สาระ
การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ทผี่ า่ นการแกไ้ ขปรบั ปรงุ เสรจ็ 3.4 นำ�แบบทดสอบวัดทักษะการพูด
แลว้ ไปทดลองใช้ (Try out) โดยใชค้ วบคกู่ บั แผนการจดั การ ภาษาองั กฤษเสนอผเู้ ชยี่ วชาญ 5 ทา่ น เพอื่ ประเมนิ ความ
เรียนรู้ กับนกั เรียนทไี่ มใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อย่าง ในภาคเรยี นที่ 1 ปี สอดคล้อง (IOC) ระหวา่ งแบบทดสอบวัดทักษะการพูดกับ
การศึกษา 2562 ตามข้ันตอนการทดลองโดยใช้แผนการ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
จัดการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี วชิ า 3.5 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความ
ภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง English for daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี สอดคลอ้ งขอ้ ค�ำ ถามกบั จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมโดยใชส้ ตู ร
ท่ี 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ 3 ขน้ั ดงั กลา่ ว IOC (Index of Item Objective Congruence) (บญุ
ขา้ งตน้ ส�ำ หรบั การทดลองในครง้ั น้ี เปน็ การศกึ ษาน�ำ รอ่ ง เพอ่ื ชม ศรีสะอาด, 2545: 63-65)เพ่ือหาผลรวมของคะแนน
หาขอ้ บกพรอ่ งและปรบั ปรงุ แกไ้ ขในรายละเอยี ดของสอ่ื ใหม้ ี ในข้อสอบแต่ละข้อ ของผู้เช่ียวชาญท้ังหมด แล้วนำ�มาหา
ความถกู ตอ้ งและชดั เจนมากขน้ึ ค่าเฉลี่ยเพ่ือดูดัชนีความสอดคล้องและพิจารณาคัดเลือก
2.12 น�ำ ส่อื มลั ตมิ ีเดยี ฉบบั สมบรู ณ์ น�ำ ไป แบบทดสอบวัดทักษะ การพดู ภาษาอังกฤษทคี่ ะแนนเฉลี่ย
ทดลองใช้จรงิ โดยใชค้ วบคู่กับแผนการจดั การ ตงั้ แต่ 0.50-1.00 ถือว่าเข้าเกณฑ์ใชไ้ ด้ ผลการประเมินพบ
ว่า ขอ้ สอบเข้าเกณฑ์ 7 ข้อ ตัดแบบเจาะจง 1 ขอ้ เพราะ
เรียนรู้ ใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียน ตอ้ งการขอ้ สอบจ�ำ นวน 6 ขอ้ โดยมคี า่ ความสอดคลอ้ งตง้ั แต่
องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดชัยนาท จำ�นวน 20 คน ทีเ่ ปน็ ก 0.80 ถงึ 1.00
ลุม่ ตวั อย่างในการวจิ ัย ตามแผนการทดลองต่อไป
3.6 เลอื กขอ้ ค�ำ ถามในแบบวดั ทกั ษะการพดู
3. แบบวดั ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ภาษาองั กฤษ ทจ่ี ดั อยใู่ นเกณฑไ์ ปจดั พมิ พแ์ ลว้ น�ำ ไปทดลอง
ใช้กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง
แบบวดั ทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษ จ�ำ นวน 6 โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท จำ�นวน 20
ขอ้ โดยผู้วจิ ยั ไดก้ ำ�หนดสถานการณ์ในการสนทนาขึ้น โดย คน จากนั้นคดั เลือกขอ้ สอบทจ่ี ดั อยู่ในเกณฑ์จำ�นวน 6 ขอ้
ใช้เนอ้ื หาตามขอบขา่ ยท่เี รยี น มวี ธิ ีสรา้ งดงั นี้ มาทำ�การวิเคราะห์ค่าความเชื่อม่ันท้ังฉบับ โดยการหาค่า
3.1 ศกึ ษาหลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน(บุญชม ศรีสะอาด,
พุทธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ 2545: 109-110) ปรากฏวา่ มีค่าความเช่อื มัน่ (α) เทา่ กบั
(ภาษาอังกฤษ)เพื่อจุดมุ่งหมายและเนื้อหาท่ีกำ�หนดในการ 0.92
วดั และประเมนิ ผลการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษของกลมุ่ สาระ
การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศระดับชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 3.7 จดั พมิ พแ์ บบทดสอบทกั ษะการพดู ภาษา
อังกฤษฉบับจริงเพ่ือนำ�ไปใช้เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างต่อ
3.2 ศึกษาเอกสารตำ�ราเก่ียวกับการวัด ไป
ทกั ษะการพดู ตามแนวของ Harris (1990: 84)
4. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรอ่ื ง
3.3 น�ำ แบบวัดทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษ English for daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 กลมุ่ สาระการ
เสนอผเู้ ชย่ี วชาญ จ�ำ นวน 5 ท่าน ได้แก่ผเู้ ช่ียวชาญดา้ นการ เรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ จ�ำ นวน 20 ขอ้ มลี กั ษณะเปน็ แบบ
สอนวิชาภาษาอังกฤษ 2 ท่าน ทางด้านวัดผลการศึกษา เลอื กตอบ (Multiple choice) โดยไดด้ �ำ เนนิ การสรา้ งและ
จำ�นวน 1 ท่าน และทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา หาคุณภาพตามข้นั ตอน ดังน้ี
จ�ำ นวน 2 ทา่ น เพอื่ ประเมนิ ความสอดคลอ้ งระหวา่ งแบบวดั
ทกั ษะการพูดกบั จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม(IOC) โดยสรา้ ง 4.1 ศึกษาแนวการวัดผลประเมินผลตาม
จ�ำ นวน 8 ขอ้ ตอ้ งการใชจ้ รงิ จ�ำ นวน 6 ขอ้ 20 คะแนน โดย หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
สรา้ งเกณฑก์ ารประเมนิ พฤตกิ รรมการพดู ของนกั เรยี น โดย 4.2 ศึกษาขอบข่ายรายละเอียดของเนื้อหา
ยดึ หลกั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนภาคปฏิบตั ิ การวัดทกั ษะการ หนว่ ยการเรยี นรเู้ รอ่ื ง English for daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษา
111
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ปที ี่ 5 ยากงา่ ย (Difficulty) อยรู่ ะหวา่ ง 0.20-0.80 และคา่ อ�ำ นาจ
จำ�แนก(Discrimination) ทีร่ ะดบั 0.20 ขนึ้ ไป พบวา่ แบบ
4.3 ศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบชนิดเลือก ทดสอบทใ่ี ชไ้ ดท้ งั้ หมดจ�ำ นวน 20 ขอ้ จากทสี่ รา้ งขน้ึ ทงั้ หมด
ตอบจากเอกสารต�ำ ราหนงั สือวดั ผลการศกึ ษา (บุญชม ศรี 30 ข้อ ที่มีค่าความยากงา่ ย (P) ทีอ่ ยรู่ ะหว่าง 0.40 – 0.70
สะอาด, 2545: 59-66) และค่าอำ�นาจจำ�แนก (B) ต้ังแต่ 0.20-0.60
4.4 วเิ คราะหห์ ลักสตู ร มาตรฐานตัวช้ีวดั 4.11 น�ำ แบบทดสอบทผ่ี า่ นการหาคา่ ความ
ผลการเรยี นรแู้ ละก�ำ หนดจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมเพอ่ื เปน็ ยากงา่ ยและอ�ำ นาจจ�ำ แนก จ�ำ นวน 20 ขอ้ หาคา่ ความเชอ่ื
แนวทางในการสรา้ งแบบทดสอบให้สัมพนั ธ์กัน มนั่ (Reliability) โดยวิธีของโลเวท (Lovett) (บุญชม ศรี
4.5 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ สะอาด, 2545: 96) ได้คา่ ความเชอื่ มนั่ เท่ากบั 0.84
ทางการเรียน เร่อื ง English for daily life ช้ันมัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ แบบเลือก 4.12 จัดพิมพ์และนำ�แบบทดสอบวัดผล
ตอบ 4 ตวั เลอื ก จ�ำ นวน 30 ขอ้ เพอ่ื คดั เลอื กไวใ้ ชจ้ รงิ จ�ำ นวน สัมฤทธ์ิที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว จำ�นวน 20 ข้อ
20 ขอ้ แล้วท�ำ การเขยี นขอ้ สอบใหส้ อดคล้องกับเน้อื หาจุด ไปใช้จรงิ กับกลมุ่ ตัวอย่าง
ประสงคก์ ารเรียนรู้ 5. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ี
ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
4.6 วิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ด�ำ เนินการสร้างตามล�ำ ดบั ขนั้ ตอน ดงั น้ี
ทางการเรียนตามแนวคิดของบลูม (บุญชม ศรีสะอาด,
2545: 60) 5.1 ศกึ ษารูปแบบการสร้างแบบสอบถาม
ชนิดมาตราส่วนประมาณค่าจากเอกสารและงานวิจัยท่ี
4.7 ก�ำ หนดการใหค้ ่าคะแนน คือ ตอบถกู เกีย่ วข้อง
ได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน
5.2 ศกึ ษาการก�ำ หนดรายการประเมนิ หรอื
4.8 นำ�แบบทดสอบ ท่ีสรา้ งเสรจ็ เรียบร้อย ข้อคำ�ถามความพึงพอใจต่อการการจัดกิจกรรมการเรียน
แล้วให้ผู้เช่ียวชาญ จำ�นวน 5 ท่าน เพ่ือตรวจสอบหา รู้สถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี จำ�นวน 15 ข้อ
ประสิทธิภาพความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาและค่าดัชนีความ ซ่ึงเปน็ แบบสอบถามแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating
สอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อคำ�ถามของแบบทดสอบกับ Scale) โดยกำ�หนดระดับความพึงพอใจเป็นมากท่ีสุด (5)
จุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความ มาก (4)ปานกลาง (3) น้อย (2) และน้อยทีส่ ุด (1) ปรับใช้
สอดคลอ้ งต้ังแต่ 0.50 ข้นึ ไป ผลปรากฏว่า ข้อสอบท่ีสรา้ ง เกณฑก์ ารแปลคะแนนของบุญชม ศรีสะอาด (2545: 103)
ข้นึ มคี า่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหว่าง 0.80 - 1.00
5.3 น�ำ แบบสอบถามความพงึ พอใจทสี่ รา้ ง
ขึ้นเสนอให้ผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน พิจารณาความเหมาะสม
4.9 ปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะของผู้ ของแบบสอบถามความพึงพอใจ ตรวจสอบความถูกต้อง
เชย่ี วชาญ จากนนั้ น�ำ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ จ�ำ นวน 30 ดา้ นเนอื้ หา ภาษา ความเทยี่ งตรง และความสอดคลอ้ งเพอ่ื
ข้อ ไปทดลองใช้ (Try out) กบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ (IOC) ระหว่างข้อคำ�ถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์
5/2 โรงเรียนองค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั ชัยนาท ภาคเรียน การเรียนรู้ แล้วเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง
ท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 จำ�นวน 20 คน ทไี่ มใ่ ช่กลุ่มตัวอย่าง ตงั้ แต่ 0.50 ขน้ึ ไป ผลปรากฏวา่ ขอ้ สอบทสี่ รา้ งขนึ้ มคี า่ ดชั นี
เพือ่ หาคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ ความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.80 - 1.00
4.10 นำ�ผลการตรวจคะแนนท่ีได้มา 5.4 ปรับปรุงแก้ไขตามคำ�แนะนำ�ของผู้
วิเคราะหห์ าคา่ ความยากง่าย (p) และหาค่าอำ�นาจจ�ำ แนก เชย่ี วชาญ โดยปรบั ปรงุ แกไ้ ขเนอื้ หาและภาษาทใ่ี ชแ้ ตล่ ะขอ้
(B) โดยใช้วธิ ีของแบรนเนน (Brennan Index หรือ B-In- ใหส้ อดคลอ้ งกนั ในแตล่ ะประเดน็ เพมิ่ ขอ้ ค�ำ ถามในบางตอน
dex) (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545: 90) เกณฑท์ เ่ี ลอื กคอื ความ ให้มีความชัดเจนย่ิงขึ้นจากน้ันนำ�ไปทดลองใช้กับนักเรียน
112
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัด สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (บุญชม ศรีสะอาด,
ชยั นาท จ�ำ นวน 20 คน ทไี่ มใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อยา่ ง เพอื่ หาคณุ ภาพ 2545: 109-110)
ของแบบสอบถาม
4. วิเคราะห์หาคุณภาพของแบบวัดผล
5.5 วเิ คราะห์เพือ่ หาคา่ อำ�นาจจำ�แนกเปน็ สมั ฤทธิ์ โดยการหาคา่ ความเทยี่ งตรงเชงิ เน้อื หา ได้แกก่ าร
รายข้อ โดยการหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน หาคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545:
(บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545: 110) ผลปรากฏวา่ แบบสอบถาม 63-65)
นม้ี ีคา่ อ�ำ นาจจ�ำ แนกอยูร่ ะหวา่ ง 0.23-0.85
5. การหาค่าความยาก(บุญชม ศรีสะอาด,
5.6. นำ�แบบสอบถามความพึงพอใจมา 2545: 84) ค่าอำ�นาจจำ�แนกโดยใช้วิธีของแบรนเนน
วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตามวิธีของครอนบาค (Brennan Index หรือ B-Index) (บุญชม ศรีสะอาด,
(บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 99) ปรากฏวา่ มีค่าความเชอื่ ม่ัน 2545: 90) และการหาค่าความเช่ือมั่นโดยวิธีของโลเวทท์
(α) เท่ากับ 0.89 (Lovett) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 96)
5.7 จดั พิมพแ์ บบสอบถามความพึงพอใจ 6. วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนทักษะ
ฉบับจริงแล้วนำ�ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักเรียนชั้น การพูดภาษาอังกฤษระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดย
มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 ใช้ t-test (Dependent Samples)) ทร่ี ะดบั นยั ส�ำ คญั ทาง
โรงเรยี นองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ชัยนาท สังกัดองค์การ สถติ ิ .01 (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545: 112)
บริหารส่วนจังหวัดชัยนาท กรมส่งเสริมการปกครองท้อง
ถิ่น กระทรวงมหาดไทย จ�ำ นวน 20 คน ตอ่ ไป 7. วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บความแตกตา่ งผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น โดยใชค้ า่ t-test (Depen-
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู dentSample)ทร่ี ะดบั นยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ.01(บญุ ชม ศรสี ะอาด,
ผวู้ จิ ยั ด�ำ เนนิ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยด�ำ เนนิ การ 2545: 102-103)
ดงั นี้ 8. สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ านเปรยี บ
เทียบด้านสถานภาพใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวน
1. วเิ คราะหห์ าคา่ ประสทิ ธภิ าพของแผนการ แบบทางเดียว (Onaway Anova) หรอื F-test (บญุ ชม ศรี
จดั การเรยี นรสู้ ถานการณจ์ �ำ ลองประกอบ สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี วชิ า สะอาด, 2545: 119)
ภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง English for daily life ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี
5 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ ตามเกณฑ์ 80/80 9. วเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การ
โดยใช้สูตร E1 / E2 เรยี นดว้ ยแผนการจดั การเรยี นรสู้ ถานการณจ์ �ำ ลองประกอบ
สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี วชิ าภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง English for daily life
2. วิเคราะห์หาคุณภาพของแบบวัดทักษะ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ
การพูดภาษาอังกฤษ โดยการหาค่าความเท่ียงตรงเชิง โดยหาค่าเฉลีย่ ( ) และคา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) แลว้
เนอ้ื หา ไดแ้ กก่ ารหาคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) (บญุ ชม เทียบกับเกณฑร์ ะดับความพึงพอใจ 5 ระดบั คือ มากทีส่ ดุ
ศรีสะอาด, 2545: 63-65) มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ดุ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2553:
3. วิเคราะห์หาค่าความเชื่อม่ัน (Reliabili- 103)
ty) ของแบบวดั ทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษ โดยการหาค่า
113
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผลการวจิ ยั
จากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เกยี่ วกบั การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ผู้
วิจัยสรปุ ผลการวจิ ยั ดงั น้ี
1. ผลประสิทธิภาพของการเรียนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
ตารางที่ 1 ผลประสิทธภิ าพของการเรียนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
ผลการเรยี น คะแนนเตม็ 390.70 S.D. ร้อยละของ
450 17.50 4.99 คะแนนเฉลยี่
ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ(E1) 20 1.50
ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ (E2) 86.82
87.50
จากตารางท่ี 1 พบว่า ประสทิ ธภิ าพของการเรยี นดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื
มลั ตมิ เี ดยี ตามเกณฑ์ 80/80 โดยใชส้ ูตร (E1/ E2) เทา่ กับ 86.82/87.50
2. ผลการเปรยี บเทยี บทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษทางการเรียนก่อนและหลังเรยี นโดยใชก้ จิ กรรม
สถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ดงั ตารางท่ี 2
ตารางท่ี 2 ผลการเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้กจิ กรรมสถานการณ์
จำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
การทดสอบ n S.D. t p
ทักษะการพดู ภาษาองั กฤษกอ่ นเรยี น 20 10.50 1.64 28.472 .000**
ทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษหลงั เรยี น 20 18.50 1.00
**มีนัยสำ�คญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 (t > 2.58)
จากตารางท่ี 2 พบว่า คะแนนของแบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียน มคี า่ เฉลย่ี () เท่ากับ 10.50
(S.D.=1.64) และคะแนนหลังเรียน มคี า่ เฉลย่ี ( ) เท่ากบั 18.50 10 (S.D.=1.00) แสดงให้เหน็ วา่ ผลคะแนนของแบบ
วัดทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษหลงั เรียน สงู กวา่ คะแนนวดั ทกั ษะการพดู กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนยั สำ�คญั ทางสถิติท่รี ะดบั .01
114
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
3. ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นและหลงั เรยี น โดยใชก้ จิ กรรมสถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื
มลั ตมิ เี ดยี ดงั ตารางท่ี 3
ตารางท่ี 3 ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนก่อนและหลงั เรียน โดยใชก้ จิ กรรมสถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื
มลั ตมิ เี ดยี
การทดสอบ n S.D. t p
ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นก่อนเรยี น
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียน 20 9.10 1.33 28.591 .000**
20 17.50 1.50
** มีนัยสำ�คัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 (t>2.58)
จากตารางที่ 3 พบว่า คะแนนของแบบทดสอบกอ่ นเรียน มคี า่ เฉลย่ี ( ) เทา่ กบั 9.10 (S.D.=1.33) และคะแนน
แบบทดสอบผลสมั ฤทธห์ิ ลงั เรยี น มคี า่ เฉลย่ี ( ) เทา่ กบั 17.50 (S.D.=1.50) แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผลคะแนนของแบบวดั ทกั ษะ
การพดู ภาษาอังกฤษหลงั เรียน สงู กวา่ คะแนนวดั ทกั ษะการพดู กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสำ�คัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01
4. ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การเรยี นโดยใช้กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ทพ่ี ฒั นาขน้ึ ดงั ตารางท่ี 4
ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนกั เรยี นทีม่ ีต่อการเรียนโดยใชก้ ิจกรรมการเรยี นรู้สถานการณจ์ ำ�ลอง
ประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
ขอ้ ความพงึ พอใจ S.D. ความหมาย
1 มกลาั รตอมิ ธเี ดิบยี ายชี้แจงถงึ การเรียนโดยใช้กจิ กรรมสถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื 4.55 0.51 มากท่สี ุด
2 มกาลี รำ�จดัดับกขา้นั รตเรอียนนทรี่เู้โขดา้ ยใใจชงก้า่ จิยกแรลรมะสสถามานารกถาปรณฏจ์บิ ำตั�ลิไอดง้ ประกอบสอ่ื มลั ต ิ มเี ดยี 4.50 0.51 มากทส่ี ุด
3 เเรนอ่ื ้อื งหEาnในglกisจิ hกfรoรrมdสaถiาlyนกliาfeรณมจ์ีคำว�ลาอมงเปหรมะากะอสบมสกอ่ื บัมลัระตดมิ บัเี ดขยี อวงชินาักภเรายีษนาองั กฤษ 4.60 0.50 มากทส่ี ดุ
4 รเหะมยาะะเวสลมาในการทำ�กจิ กรรมแตล่ ะชว่ งของการจัดสถานการณ์จำ�ลองมคี วาม 4.45 0.51 มาก
5 สเสนะอื่ ้อื ดมหวลั ากตมใิมนาเี กกดขายี รึ้นปเเรรพยีะรนกาอระแู้บนลสกั ะถเสรายีานมนกาสารารถมณยา์จอ้รำถน�ลดกอูสลงื่อับชมไว่ ปัตยดิมใหูบเี ด้นทียักเผรเรยี่าียนนนคไดมวิ ใ้อีคนาวรราะ์โมคหเขด้วา้า่ทใงำจ�เใรใหยีน้น 4.60 0.50 มากที่สดุ
6 กทจิำ�งการนรเมปก็นาครเู่ รทยี มี นแรู้โลดะยคใชวาส้ มถราว่นมกมารือณในจ์ หำ�ลอ้ องเงรปยี รนะกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี สง่ เสรมิ การ 4.50 0.51 มากท่ีสดุ
7 นักเรียนมีความรคู้ ำ�ศพั ท์ ประโยคทใี่ ชใ้ นสถานการณ์ ต่าง ๆ มากขน้ึ 4.50 0.51 มากที่สุด
8 กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชส้ ถานการณจ์ �ำ ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี มีความ 4.55 0.51 มากท่สี ุด
หลากหลายท�ำ ให้กระตุน้ การเรียนและมคี วามนา่ สนใจ
9 เกณฑก์ ารให้คะแนนและรูปแบบการประเมิน มคี วามเหมาะสม 4.55 0.51 มากทส่ี ดุ
10 นักเรียนมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื 4.60 0.50 มากที่สุด
มลั ตมิ เี ดยี
11 กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ส่งเสริมใหผ้ ู้ 4.50 0.51 มากท่สี ุด
เรียนมีความกลา้ แสดงออก
115
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
12 กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ช่วยให้ 4.55 0.51 มากทสี่ ุด
นักเรยี นมคี วามสัมพันธ์ท่ีดีต่อกนั มากยง่ิ ข้ึน
13 กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี มี 4.70 0.47 มากทส่ี ดุ
บรรยากาศสนุกและไมเ่ ครง่ เครียด
14 นกั เรยี นสามารถนำ�ความร้ทู ี่ได้จากกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชส้ ถานการณ์ 4.65 0.48 มากทสี่ ุด
จำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ไปใช้ในสถานการณ์จรงิ ได้
15 กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี ทำ�ให้ 4.80 0.41 มากท่ีสุด
นกั เรยี นพฒั นาทกั ษะการพูดภาษาองั กฤษ 4.57 0.43 มากที่สุด
รวมเฉล่ยี
จาก ตาราง 4 พบวา่ นกั เรยี นกลมุ่ ตวั อยา่ ง มคี วามพงึ พอใจตอ่ การเรยี นโดยใชก้ จิ กรรมสถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี โดยภาพรวม อยู่ในระดบั มากที่สดุ ( = 4.57 , S.D.=0.43)
อภิปรายผล กิจกรรมการเรียนรู้ ไปหาประสิทธิภาพซ่ึงผู้วิจัยดำ�เนินขั้น
ตอนการหาประสิทธิภาพตามแนวคดิ ของ ชยั ยงค์ พรหม-
จากการวิจัยการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียน วงศ์ (2525: 137-138) ทีเ่ สนอวา่ ให้นำ�ไปทดลองใชแ้ บบ
รู้สถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี สามารถอภิปราย รายบคุ คล หรอื แบบหนงึ่ ตอ่ หนง่ึ (Individual Tryout หรอื
ผลได้ ดงั นี้ One to One Tryout) แลว้ นำ�ข้อบกพร่องท่ีได้ทดลองใช้
1. ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้สถาน - ในครง้ั แรกนไ้ี ปปรบั ปรงุ แกไ้ ข จากนน้ั กน็ ำ�กจิ กรรมการเรยี น
การณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี รู้ ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขไปทดลองใช้กับนักเรียนแบบ
กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบสอ่ื กล่มุ เลก็ หรือกล่มุ ยอ่ ย (Small Group Tryout) แลว้ นำ�
มลั ตมิ เี ดยี ทพ่ี ฒั นาขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพเท่ากบั 86.82/87.50 ขอ้ บกพรอ่ งทพ่ี บ ไปปรบั ปรงุ แกไ้ ข จากนน้ั จงึ นำ�ไปทดลอง
แสดงว่า กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้นมี ใชแ้ บบภาคสนาม (Field Tryout) และนำ�ผลทไ่ี ดจ้ ากการ
ประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ทั้งน้ีเพราะ ทดลองใช้น้ี มาปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ เพื่อให้ได้
ว่า กิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีการพัฒนาโดยผ่าน กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่สี มบรู ณ์และมีประสิทธิภาพ
กระบวนการสร้างอย่างมีระบบตามหลักวิชาการ และ 2. ผลทกั ษะการพูดภาษาองั กฤษ
หลักจิตวิทยา โดยผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการ ผลการวิจยั พบว่า ผลทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษ
ศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา ของผ้เู รียนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน อย่างมนี ัยสำ�คญั ท่าง
ต่างประเทศ คู่มือการจัดการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สถิติที่ระดบั .01 แสดงวา่ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของ
ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานกรมวิชาการ กระทรวง ผู้เรยี นที่เรยี นดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรู้ หลงั เรยี นมที กั ษะการ
ศึกษาธิการ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนองค์การบริหาร พดู ภาษาองั กฤษสงู กวา่ กอ่ นเรยี น ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นผล
ส่วนจังหวัดชัยนาท นอกจากน้ียังได้รับการตรวจสอบและ มาจากท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ทำ�ให้
ประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญรวมทั้งได้ให้คำ� ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ผู้เรียนกล้าพูด
แนะนำ� ในการปรบั ปรงุ แกไ้ ขกจิ กรรมการเรยี นรู้ ดา้ นความ กล้าแสดงออกมากข้ึน ผู้เรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการ
ถูกต้องของเน้ือหาภาษา กิจกรรมการเรียนรู้ การใช้เคร่ือง สือ่ สาร และกระบวนการคดิ แบง่ หน้าทีร่ ับผิดชอบในกลมุ่
มือในการวัดผลและประเมินผล การเรียงลำ�ดับข้ันตอนใน ทำ�ใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั วธิ กี ารแกป้ ญั หา รจู้ กั เลอื กคำ�ศพั ทค์ ำ�ศพั ท์
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ความชดั เจนนา่ สนใจของเนอ้ื หา หรือประโยคมาใช้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ฝึกพัฒนาความ
สือ่ และความสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ และนำ� สามารถท้ัง 5 ด้าน คือการออกเสียง การใช้โครงสร้าง
ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญดังกล่าว ไวยากรณ์ การใชค้ ำ�ศพั ท์ ความคลอ่ งแคลว่ และความเขา้ ใจ
มาปรับปรุงแก้ไข กิจกรรมการเรียนรู้ ให้มีความถูกต้อง สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของ ทศิ นา แขมมณี (2552: 92) กลา่ ว
เหมาะสมและสมบรู ณย์ งิ่ ขนึ้ เมอ่ื ปรบั ปรงุ เสรจ็ แลว้ จงึ ไดน้ ำ� ถงึ ขอ้ ดขี องวธิ สี อนโดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลอง วา่ เปน็ วธิ สี อน
116
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนได้ อย่างดี ไม่เบ่ือหน่ายต่อการเรียน เป็นกิจกรรมที่เสริม
อย่างเข้าใจ เกิดความเข้าใจ เนื่องจากได้มีประสบการณ์ สร้างความจูงใจให้ผู้เรียน มีบทบาทในการทำ�กิจกรรม
ท่ีเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน มากขึ้น ในกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนลดบทบาทเป็นผู้ให้
รู้สูงมาก ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน การเรียนรู้มี คำ�ปรึกษาแนะนำ�ให้กำ�ลังใจผู้เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนเกิด
ความหมายต่อตวั ผู้เรียน อีกท้ังผเู้ รยี นมโี อกาสไดฝ้ กึ ทักษะ ความสนุกสนาน เกิดความสบายใจ สอดคล้องกับบุญชม
กระบวนการต่าง ๆ จำ�นวนมาก นอกจากผู้เรยี นจะไดเ้ รยี น ศรีสะอาด (2545: 63-64) ท่ีกล่าวถึงข้อดีของการจัด
รโู้ ดยผา่ นกจิ กรรมสถานการณจ์ ำ�ลองแลว้ ผเู้ รยี นยงั ไดเ้ รยี น กิจกรรมด้วยสถานการณ์จำ�ลองไว้ว่าเป็นวิธีท่ีดึงดูดความ
รู้ประโยค ฝึกฟังการออกเสียงจากส่ือมัลติมีเดีย จากการ สนใจ จูงใจให้เกิดความพยายาม ได้รับความสนุกสนาน
สแกนควิ อารโ์ คด้ ผา่ นโทรศพั ทม์ อื ถอื สมารโ์ ฟน ทำ�ใหผ้ เู้ รยี น ฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นเคารพในกฎกตกิ า การมนี ำ้ �ใจเปน็ นกั กฬี า การ
สะดวกในการเขา้ ถงึ เนอ้ื หา ฝกึ การพดู ได้ตลอดเวลา ทง้ั ยงั ทำ�งานกลุ่ม ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ เรียนรู้ ด้วย
ทำ�ผเู้ รยี นสนใจในกิจกรรมการเรยี นรูม้ ากข้นึ การตัดสนิ ใจ เรียนรู้การแก้ปัญหา จงึ ชว่ ยให้เกิดการเรียนรู้
ทคี่ งทน ผเู้ รยี นมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นอยา่ งจรงิ จงั
3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ผู้เรียนเรียนรู้วิธีแก้ไขสถานการณ์ท่ีไม่ได้คาดคิดว่าจะพบ
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลัง ซึ่งเป็นการฝึกการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ และเป็นวิธีท่ีมี
เรียน สูงกว่าก่อนเรียนมีอย่างมีนัยสำ�คัญท่างสถิติท่ีระดับ ประสทิ ธิภาพมากสำ�หรบั เดก็ ทีม่ ีแรงจงู ใจตำ่ �
.01 แสดงว่า ผลการเรยี นของผเู้ รยี นหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรยี น ทัง้ นเี้ พราะเปน็ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ีให้ผู้เรียน ข้อเสนอแนะ
ไดส้ ัมผสั กับของจริงหรือสถานการณจ์ ริง และการท่ผี ้เู รยี น
ได้ปฏิบัติจริงนั้น จะทำ�ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ยาวนาน 1. ข้อเสนอแนะในการนำ�ผลการพฒั นาไปใช ้
เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งถอ่ งแท้ และชว่ ยพฒั นาใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจเนอ้ื หา 1.1 ผสู้ อนควรเตรียมความพร้อมใหก้ บั
เกิดความสนุกสนาน ความท้าทาย ความกระตือรือร้นใน ผเู้ รยี นกอ่ นเรยี น ควรชีแ้ จงกิจกรรมสถานการณจ์ ำ�ลองคือ
การเรียน สามารถนำ�ความรู้ท่ีได้ ไปใช้ประโยชน์ได้จริง อะไร โดยการอธิบายถึงข้ันตอนในการทำ�กิจกรรมต่าง ๆ
รวมทั้งผู้เรียนได้รับความรู้จากการจัดกิจกรรมในรูปแบบ รวมท้งั บทบาทของผ้เู รยี นควรปฏิบัติอย่างไร และกตกิ าใน
ใหมท่ ่แี ตกต่างไปจากเดิม สอดคลอ้ งกับแนวคิดของ ทิศนา การปฏบิ ตั สิ ถานการณจ์ ำ�ลอง เพอื่ ทผี่ ้เู รยี นจะไดเ้ ขา้ ใจและ
แขมมณี (2550: 370) กล่าวว่าวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์ ปฏบิ ัติตามไดถ้ กู ต้อง
จำ�ลอง คือ กระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียน 1.2 ในการจัดเนื้อหา สาระควรคำ�นึง
เกดิ การเรียนรูต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกำ�หนด โดยใหผ้ ู้เรยี นลง ถึงความยากง่าย ความต่อเน่ือง และลำ�ดับขั้นของเน้ือหา
ไปเลน่ ในสถานการณท์ ม่ี บี ทบาท ขอ้ มลู และกตกิ าการเลน่ รวมทั้งเลือกเน้ือหาที่มีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง
ทสี่ ะทอ้ นความเปน็ จรงิ และมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั สงิ่ ตา่ ง ๆ ทอ่ี ยู่ ใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รยี น เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นสามารถนำ�ความรเู้ ดมิ
ในสถานการณน์ น้ั โดยใชข้ อ้ มลู ทม่ี สี ภาพคลา้ ยกบั ขอ้ มลู ใน ของตนเองมาใช้ในบทเรยี นใหม่ได้
ความเปน็ จริง ในการตัดสินใจและแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ซึง่ การ
ตัดสินใจน้ันจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับท่ีเกิด 2. ข้อเสนอแนะในการศึกษาครัง้ ตอ่ ไป
ขนึ้ ในสถานการณจ์ ริง 2.1 ผู้วจิ ยั ควรทำ�การวิจยั เพ่อื เปรยี บ
4. ความพึงพอใจของนักเรยี น เทียบผลการพฒั นาทักษะการพดู ของผู้เรียนระหว่างการ
นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชส้ ถานการณจ์ ำ�ลองประกอบ
สถานการณ์จำ�ลองประกอบสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี มีความพึงพอใจ สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี กับวิธกี ารสอนในรปู แบบอื่น ๆ ตอ่ ไป
โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากท่ีสุด ที่เป็นเช่นน้ีเพราะ
กิจกรรมท่ีผู้วิจัยได้จัดเตรียมนั้น เป็นกิจกรรมที่เน้นให้ 2.2 ผวู้ ิจัยควรศึกษากิจกรรมการเรยี น
นกั เรียนไดค้ ิด ปฏิบัติเปน็ รายบคุ คล คู่ และ รายกลมุ่ ผู้ รโู้ ดยใช้สถานการณ์จำ�ลองในเนอ้ื หาอ่นื ๆโดยอาจสรา้ งสอื่
เรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนตลอดเวลา ประกอบทีจ่ ะกระตุ้นใหเ้ กิดแรงจูงใจในการเรียนมากยิง่
ผู้เรียนจึงมีความกระตือรือร้น ในการทำ�กิจกรรมเป็น ขึ้น
117
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เอกสารอา้ งอิง
กรมวิชาการ,กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ:
กระทรวงศกึ ษาธิการ .
กิดานันท์ มลทิ อง. (2540). เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวตั กรรม. กรงุ เทพ: โรงพิมพ์ชวนชม.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2525). เอกสารการสอนชดุ วชิ าสือ่ การสอนระดับประถมศึกษาหนว่ ยท่ี 8-15. (พมิ พค์ รัง้ ท่ี 3)
นนทบรุ ี: มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
ทศิ นา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน องคค์ วามรเู้ พอ่ื การจัดกระบวนการเรยี นรู้ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ. (พมิ พ์ครั้งที่ 6)
กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
-----------. (2552). รปู แบบการสอน : ทางเลอื กที่หลากหลาย. (พมิ พค์ รัง้ ที6่ ). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบือ้ งต้น (ฉบับปรับปรุงใหม)่ . (พิมพ์ครง้ั ท่ี 7). กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาส์น.
-----------. (2553). การวิจยั เบอ้ื งต้น. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 8). กรุงเทพฯ: สวุ รี ิยาสาสน์ .
สมนกึ ภทั ทยิ ธน.ี (2556). การวัดผลการศกึ ษา. (พมิ พ์ครั้งท่ี 9). กาฬสินธ:์ุ โรงพิมพ์ประสานการพิมพ์.
สมบตั ิ ทา้ ยเรอื คำ�. (2551). ระเบยี บวิธีวจิ ยั สำ�หรบั มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. (พมิ พค์ รงั้ ที่ 4). กาฬสินธ:ุ์
โรงพิมพ์ประสานการพมิ พ์.
สมุ ติ รา อังวัฒนกลุ . (2537). วิธีสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาตา่ งประเทศ. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรสิ รา ธนาปกิจ. (2555, 22 พฤศจกิ ายน). คนไทยไร้ความกล้า ส่งผลพูดภาษาองั กฤษรองบ๊วยโลก.
หนังสอื พมิ พ์เดลนิ วิ ส,์ หน้า 8.
กองบรรณาธกิ าร
118
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้โดยใชห้ นังสอื นทิ านส่งเสริมคณุ ธรรมส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย
ชน้ั อนุบาลปีท่ี 3 โรงเรยี นเทศบาล 3 (บ้านยะกัง) อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดนราธวิ าส
The Learning Experiences using Story Books to Promote Morality for Preschool Children,
3rd kindergarten, Thessaban 3 (Ban Yakang) school, Mueang District, Narathiwat Province
โนรยี ะ สะมะแอ *1
Noreeyah Samail *1
[email protected] *
สง่ บทความ 31 กรกฏาคม 2562 แก้ไข 7 สิงหาคม 2562 ตอบรับ 11 กนั ยายน 2562
บทคัดยอ่
การจัดประสบการณก์ ารเรียนรโู้ ดยใช้หนงั สือนิทานส่งเสรมิ คณุ ธรรม มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 1) พฒั นาการจดั
ประสบการณก์ ารเรียนรู้โดยใช้หนังสือนทิ านส่งเสรมิ คณุ ธรรม ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรยี บเทียบความรดู้ า้ นคณุ ธรรม
ของเด็กปฐมวัย กอ่ นและหลงั การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ 3) ศึกษาดชั นีประสทิ ธผิ ลของการจัดประสบการณ์
เรยี นรู้ 4) ศึกษาพฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรมของการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ กล่มุ ตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ เด็กปฐมวัยชนั้
อนุบาลปที ี่ 3/2 โรงเรียนเทศบาล ๓ (บ้านยะกงั ) อำ�เภอเมือง จังหวดั นราธิวาส ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2559
จำ�นวน 31 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งกลมุ่ (Cluster Random Sampling) เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ได้แก่ 1) แผนการ
จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ จ�ำ นวน 24 แผน 2) หนงั สือนิทานสง่ เสรมิ คณุ ธรรมส�ำ หรับเดก็ ปฐมวัย จ�ำ นวน 8 เลม่
3) แบบประเมินความรู้ดา้ นคุณธรรมก่อนและหลังการจดั ประสบการณ์ 4) แบบสงั เกตพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม
วิเคราะหข์ ้อมลู โดยการหา คา่ เฉลีย่ (Mean) สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานและวเิ คราะหท์ ดสอบความแตกตา่ งของคา่ คะแนน
เฉล่ยี
ผลการวจิ ัยพบว่า
1. การจดั ประสบการณเ์ รยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื นิทานส่งเสริมคุณธรรม มปี ระสิทธภิ าพ 90.05/92.74 ซึง่ เป็นไป
ตามเกณฑท์ ต่ี งั้ ไว้
2. เด็กปฐมวัย ช้นั อนบุ าลปีที่ 3 หลังไดร้ ับการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้โดยใชห้ นังสือนิทานส่งเสริม
คุณธรรมไดร้ บั ความรดู้ า้ นคุณธรรมสงู กว่ากอ่ นการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ อยา่ งมีนยั สำ�คญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01
3. ดัชนีประสทิ ธผิ ลของการจัดประสบการณ์เรียนรโู้ ดยใชห้ นงั สือนิทานส่งเสริมคุณธรรม เท่ากับ 0.7750
แสดงวา่ เด็กปฐมวัยมีความรู้ดา้ นคุณธรรมก้าวหน้าเพ่มิ ข้ึน คิดเปน็ รอ้ ยละ 77.50
____________
1 ครชู �ำ นาญการ โรงเรียนเทศบาล ๓ (บา้ นยะกงั ) อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวัดนราธิวาส
1 Professinal Level Teachers Thessaban 3 school , Mueang District, Narathiwat Province.
119
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
4. เดก็ ปฐมวยั ชนั้ อนุบาลปีท่ี 3 หลงั ได้รบั การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใชห้ นังสือนิทานสง่ เสริม
คุณธรรมมีพฤติกรรมด้านคุณธรรม โดยภาพรวมอยใู่ นระดับดี มคี า่ เฉลีย่ เทา่ กบั 86.61 คิดเป็นร้อยละ 90.22
ค�ำ สำ�คัญ หนังสอื นทิ าน , คณุ ธรรม
Abstract
The learning experiences using moral story books that the objective were to: 1) Improve
the learning experiences by using storybooks to promote morality according to the criteria 80/80. 2)
Compare the moral knowledge of early childhood before and after organizing learning experiences. 3)
Studying the effectiveness index of learning experience management. 4) Studying the moral behavior
of learning experiences management. The sample group consisted of preschool children, kindergar-
ten, year 3/2, Thessaban 3 (Ban Yakang) school, Mueang district, Narathiwat province, 1st semester,
academic year 2016, number of 31 students by clustering random sampling. The tools used in the
research were : 1) 24 learning experience plans. 2) Moral story book for early childhood, 8 books. 3)
Moral knowledge assessment before and after experiences. 4) moral behavior observation form. Data
analysis by means of mean , standard deviation and analysis of difference of average score.
The research found that
1. The learning experiences using moral story books with efficiency 90.05/92.74 which
meets the set criteria
2. Preschool children in 3rd kindergarten after receiving the learning experiences by using
story books to promote morality, receive moral knowledge higher than before organizing learning
experiences with statistical significance at the level of .01
3. The effectiveness index of learning experiences management using moral story book
was 0.7750, indicating that early childhood has a knowledge of morality, increasing by 77.50 percent.
4. Preschool children in 3rd kindergarten after receiving the learning experiences by using
story books to promote morality, moral behavior that the overall picture was at a good level, with
an average of 86.61 or 90.22 percent.
Keywords : story books , morality
120
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
บทนำ�
ประเทศไทยในปัจจุบันได้ม่งุ พัฒนาดา้ นเศรษฐกิจ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
อุตสาหกรรม การท่องเท่ียว การค้าและบริการ ทำ�ให้ และที่แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. 2545 มาตรา 6 ได้บัญญัติว่า
ละเลยการพฒั นาทางดา้ นสงั คม การพฒั นาจติ ใจ คณุ ธรรม การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนา คนไทย ให้เป็น
จริยธรรม ผลของความเจริญทางด้านวตั ถุ และวัฒนธรรม มนษุ ยท์ ่ีสมบรู ณ์ ทงั้ ทางรา่ งกาย จิตใจ มีสตปิ ญั ญา มคี วาม
ตะวันตกท่ีหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ ด้วยความเจริญ รู้ คุณธรรมและจรยิ ธรรม มีวัฒนธรรมในการด�ำ รงชวี ติ จึง
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การส่ือสารและการเดินทางที่ จะอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
สะดวกรวดเร็วข้ึน ได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมท่ีดูเสมือนว่า 2542 : 5) และได้กำ�หนดแนวทางในการจัดการศึกษาใน
จะทวีความรุนแรงข้ึนเรื่อยๆ ท้ังปัญหายาเสพติด ปัญหา มาตรา 23 ซง่ึ ได้บญั ญัตไิ วว้ า่ การจัดการศกึ ษาทกุ ประเภท
วัยรุ่น ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ปัญหา ตอ้ งเนน้ ความส�ำ คญั ทง้ั ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการเรยี น
ครอบครวั แตกแยก และการทคี่ นมคี ุณธรรม และศลี ธรรม รู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการ
เส่ือมลง โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่มีการแก่งแย่งแข่งขัน ศึกษา และมาตรา 24(4) ได้กำ�หนดใหส้ ถานศึกษาจัดการ
กัน มีการเอารัดเอาเปรยี บกันคนมอี �ำ นาจ มเี งนิ ในสงั คม เรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรดู้ ้านตา่ งๆ อยา่ ง
จะได้รับการยกย่อง โดยไม่ได้คำ�นึงถึงว่าเป็นคนดีหรือ ได้สัดส่วนกันรวมท้ังการปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงาม
ไม่ และคนกลุ่มน้ีจะเป็นกลุ่มคนท่ีบริโภคทรัพยากรของ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา และหลักสูตร
ประเทศมากที่สุด ดังน้ัน การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม การศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2546 ได้กำ�หนดจุดหมาย
จึงมีความสำ�คัญและมีความจำ�เป็นต่อการสร้างให้สังคม ซง่ึ ถอื เปน็ มาตรฐานการเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นเกดิ คณุ ลกั ษณะอนั
ไทยเป็นสังคมที่อบอุ่น ปลอดภัย และให้คนได้อยู่ร่วมกัน พงึ ประสงคไ์ วว้ า่ เปน็ ผเู้ หน็ คณุ คา่ ของตนเอง ปฏบิ ตั ติ นตาม
อย่างมีความสุขไม่เบียดเบียนกัน หากสังคมใดแม้มีความ หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ มี
เจรญิ และความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ แตค่ นในสงั คมมคี วาม คณุ ธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นยิ มทพ่ี งึ ประสงค์ (กรมวชิ าการ.
บกพรอ่ งทางดา้ นจติ ใจ ขาดคณุ ธรรม จรยิ ธรรม สงั คมนนั้ ก็ 2546 : 4)
หาความสงบสุขไดย้ าก การพัฒนาคณุ ธรรม และจรยิ ธรรม
ของคน จงึ ตอ้ งพฒั นาตงั้ แตย่ ังเป็นเดก็ เพราะเด็กเป็นวยั ท่ี แผนการศกึ ษาแหง่ ชาตฉิ บบั ปรบั ปรงุ (พ.ศ. 2552-
เรียกได้ว่าเป็นไม้อ่อนดัดง่าย ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ 2559) ได้กำ�หนดเป้าหมายเชิงคุณภาพ เมื่อสิ้นสุดแผนฯ
สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 – 2559) ได้ก�ำ หนด ในปี 2559 คนไทยเป็นคนดี เก่ง มีความสุขมีความรู้เชิง
ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาคนสสู่ งั คมแหง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ วิชาการและสมรรถนะทางวิชาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรม
อย่างยั่งยืนมุ่งเตรียมคนให้พร้อมรับการเปล่ียนแปลง โดย ใฝเ่ รยี นรแู้ ละแสวงหาความรตู้ อ่ เนอ่ื งตลอดชวี ติ ด�ำ รงชวี ติ
ให้ความส�ำ คญั กบั การพัฒนาคณุ ภาพคนไทยทุกช่วงวยั ให้ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง มคี วามสขุ มสี ขุ ภาพทงั้
มีภูมิคุ้มกันเพื่อเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง กายและใจทสี่ มบรู ณ์ สามารถประกอบอาชพี และอยรู่ ว่ มกบั
ยัง่ ยืน ยดึ หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาเสรมิ สรา้ ง ผูอ้ น่ื ได้อย่างมีความสขุ เพ่ือเปน็ เป้าหมายและฐานหลกั ใน
ศกั ยภาพของคนในทกุ มติ ใิ หม้ คี วามพรอ้ มทง้ั ดา้ นรา่ งกายท่ี การพัฒนาประเทศ (สำ�นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
สมบูรณแ์ ข็งแรง มสี ตปิ ญั ญาท่ีรอบรู้ และมจี ติ ใจทสี่ ำ�นึก 2550 : 9) เมื่อความพยายามในการปลูกฝังคุณธรรมน้ัน
ในคุณธรรมจริยธรรม มคี วามเพียร และร้คู ณุ ค่าความเป็น ได้รับความสนใจจากนักการศึกษาและนักจิตวิทยาหลาย
ไทย มีโอกาส และสามารถเรียนรตู้ ลอดชีวติ ควบคูก่ บั การ คน อาทิเช่น Freud, 1962; Piaget, 1969; Kohlberg,
เสรมิ สรา้ งสภาพแวดลอ้ มในสงั คม และสถาบนั ทางสงั คมให้ 1975 ไดน้ �ำ เสนอทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรมของตนเอง
เขม้ แขง็ และเออ้ื ตอ่ การพฒั นาคนรวมทง้ั สง่ เสรมิ การพฒั นา ขึน้ นกั จิตวทิ ยาเหลา่ น้ีมคี วามเห็นสอดคล้อง กนั วา่ สงั คม
ชุมชนท้องถ่ินให้เข้มแข็ง และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ วฒั นธรรมมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การพฒั นาคณุ ธรรมและการปลกู ฝงั
คนในชมุ ชน และเปน็ พลังทางสงั คมในการพฒั นาประเทศ คณุ ธรรมควรเริม่ ตัง้ แตบ่ ุคคลยังอย่ใู นวัยเด็กและเยาวชน
(สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม การจดั การศกึ ษาน้ัน มีความสำ�คญั ในการพัฒนา
แหง่ ชาติ 2557 : 23) มนุษย์ เพราะการศึกษาทำ�ให้บุคคลท่ีประสบความสำ�เร็จ
121
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
และการจัดการศึกษาต้องจัดให้สอดคล้องกับคุณลักษณะ ปลูกฝังความดี ความละเอียดอ่อนขึ้นในจิตใจ และสร้าง
ที่พึงประสงค์ เพ่ือพัฒนา และเตรียมความพร้อมหากเด็ก ความคิดริเริ่ม และ การเลียนแบบที่ดีให้แก่เด็ก นิทาน
ปฐมวัยได้รับการพัฒนา และมีการเตรียมความพร้อมท่ี จึงมีคุณค่าตอ่ การเรียนการสอนสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั เพราะ
เหมาะสมก็จะทำ�ให้เด็กมีพัฒนาการท่ีดีตามลำ�ดับเป็น เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าการอ่าน และนิทานยังเป็นสิ่ง
บคุ คลทมี่ คี วามประพฤตดิ ี มรี ะเบยี บวนิ ยั มคี วามรบั ผดิ ชอบ ท่ีจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา ทางความคิด มี
มคี วามประหยดั มคี วามเกรงใจ มคี วามเออื้ เฟอ้ื เผอ่ื แผ่ และ จินตนาการ (กรมวิชาการ 2546 : 100) คุณค่าของการ
มีความซอ่ื สตั ย์ เล่านิทาน นอกจากเพื่อโน้มน้าวจูงใจให้เด็กรู้จักนิทาน
ดีๆ และเป็นการเริ่มต้นปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือแก่
การจดั การศึกษาปฐมวัย ส�ำ หรบั เด็กอายุ 3 – 5 เด็กๆ แล้วการเล่านิทานยังเป็นการสร้างความเพลิดเพลิน
ปี เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการอบรมเลี้ยง ให้แก่เด็ก นิทานมีความสำ�คัญกับเด็กปฐมวัยมาก ครูผู้
ดูและให้การศึกษา เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาทั้งทาง สอนเด็กปฐมวยั สามารถน�ำ นทิ านมาใช้สง่ เสรมิ คณุ ธรรมได้
ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา เพ่ือให้ เปน็ อยา่ งดี เพราะเดก็ ปฐมวยั ชอบนทิ านเปน็ ชวี ติ จติ ใจเดก็
เด็กสามารถดำ�รงชีวิตประจำ�วันได้อย่างมีคุณภาพและมี จะรบเร้าให้ครูเล่านิทานให้ฟัง เด็กสามารถเข้าใจเรื่องราว
ความสุข และได้รับการพัฒนาใหเ้ จริญเติบโตถึงขีดสุดของ ของนทิ านจากภาพในหนังสอื ได้เป็นอย่างดี และในขณะที่
ศักยภาพตามวัย และเพ่ือเตรียมความพร้อมของเด็กใน ครูเล่านิทานให้ฟัง เด็กอาจจะเกิดจินตนาการจากการฟัง
การเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา ตลอดจนเพ่ือให้เด็กมี นทิ านและมีพัฒนาการทางภาษา ความคิด โดยในการเลา่
คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ใน 12 รายการ ไดแ้ ก่ มสี ุขภาพ นทิ านที่จะทำ�ให้เดก็ สนใจฟงั นนั้ จะต้องมีสอ่ื ประกอบการ
ดี สามารถใช้กล้ามเน้ือประสานสัมพันธ์กัน มีความสุข มี เลา่ นิทาน
คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ชน่ื ชมและแสดงออกทางศิลปะ ช่วย
เหลอื ตนเองไดต้ ามวยั รักธรรมชาตคิ วามเป็นไทย อย่รู ่วม จากรายงานการประเมินตนเองโรงเรียนเทศบาล
กบั ผูอ้ น่ื ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ ใชภ้ าษาสือ่ สารไดเ้ หมาะสมกับ ๓ (บา้ นยะกงั ) (ฝ่ายวชิ าการโรงเรยี นเทศบาล ๓ (บ้านยะ
วัย มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา มีความคิดริเร่ิม กัง). 2558 : 43) อำ�เภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ประจำ�
สร้างสรรค์และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ (กรมวิชาการ. ปีการศึกษา 2558 พบว่า พัฒนาการทางด้านร่างกายได้
2546 : 31) การเตรยี มความพรอ้ มสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั เป็น ค่าคะแนนร้อยละ 83.62 พัฒนาการทางด้านอารมณ์ ค่า
สิ่งท่จี ำ�เปน็ มาก เพราะเด็กในวยั นพี้ รอ้ มทจ่ี ะรบั การพัฒนา คะแนนรอ้ ยละ 85.62 พฒั นาการทางดา้ นสงั คม คา่ คะแนน
และพรอ้ มทจี่ ะรบั ประสบการณอ์ ยา่ งหลากหลาย การเลอื ก รอ้ ยละ 76.38 และพฒั นาการทางดา้ นสตปิ ญั ญา คา่ คะแนน
ประสบการณ์เพ่ือจัดให้เด็กจึงจำ�เป็นอย่างยิ่ง การให้การ ร้อยละ 85.76 จากผลการประเมินพบว่า พัฒนาการทาง
เรียนรู้และประสบการณ์ท่ีเหมาะสมและถูกต้องแก่เด็กวัย ดา้ นสังคม มีค่าคะแนนต�ำ่ กว่าพัฒนาการด้านอน่ื ๆ ซง่ึ ควร
นี้ จึงเทา่ กับว่าเราสรา้ งพืน้ ฐานท่ีสำ�คญั ที่สุดของการเรยี นรู้ จะได้รับการพัฒนาต่อไปเก่ียวกับความรับผิดชอบของเด็ก
(วรรณี โสมประยรู และประภาพรรณ เอี่ยมสุภาษติ . 2541 การปฏิบัตติ ามข้อตกลง ความกตญั ญกู ตเวที ความซ่อื สตั ย์
: 42) สุจริต มคี วามเอื้อเฟือ้ เผ่อื แผ่ รูจ้ ักประหยดั เป็นต้น
วิธีการปลูกฝังคุณธรรมในเด็กปฐมวัยอาจกระทำ� ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจทจ่ี ะมกี ารพฒั นาจาก
ได้หลายวิธี วิธีท่ีครูสามารถเลือกใช้ได้ง่ายและเป็นนิยม ความส�ำ คญั ของการปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรมส�ำ หรบั เดก็
กันอย่างแพร่หลาย คือ การเล่านิทาน ประโยชน์ของ อนุบาลปีที่ 3 ซึ่งการมีคุณธรรม จริยธรรมเป็นพื้นฐานท่ี
นิทานนอกจากจะช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนานแล้วยัง ส�ำ คญั ในการด�ำ รงชวี ิต และผลจากการประเมนิ ตนเอง พบ
สามารถสอดแทรกความคิด คุณธรรมอันดีงามเข้าสู่จิตใจ ว่า เดก็ ปฐมวยั ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๓ (บ้าน
ของเด็กได้ด้วย การเล่านิทานนอกจากเป็นการถ่ายทอด ยะกัง) มพี ืน้ ฐานดา้ นความรแู้ ละคุณธรรม จริยธรรมไมเ่ ปน็
เรื่องราวต่างๆ ให้แก่เด็กแล้ว ยังสร้างความเพลิดเพลิน ไปตามมาตรฐานของสถานศกึ ษา ตลอดจนไดศ้ กึ ษาการจดั
และช่วยสนองความต้องการของเดก็ ปฐมวยั เพราะนทิ าน ประสบการณโ์ ดยใชน้ ทิ านคณุ ธรรมซง่ึ เปน็ สอ่ื ทสี่ ามารถน�ำ
เป็นสิ่งท่ีเด็กๆ พอใจฟัง เน้ือหาของนิทานท่ีเด็กฟังยังช่วย มาใชใ้ นการจดั กจิ กรรมเพอ่ื ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรมไดด้ ี
122
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผวู้ จิ ยั ในฐานะครผู สู้ อนชนั้ อนบุ าลปที ่ี 3 จงึ ไดพ้ ฒั นาหนงั สอื ตัวแปรทศี่ ึกษา
นิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็กปฐมวัย เพ่ือนำ�ไปใช้ใน
การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ และปลกู ฝงั คณุ ธรรมในเดก็ ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ปฐมวัยพัฒนาพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม 8 ประการต่อไป โดยใช้หนังสือนทิ านสง่ เสริมคณุ ธรรม
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั ตัวแปรตาม ได้แก่ ความรู้และพฤติกรรมด้าน
คณุ ธรรมพ้นื ฐาน 8 ประการ
1. เพอ่ื พฒั นาการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดย
ใช้หนงั สอื นิทานส่งเสริมคณุ ธรรม ตามเกณฑ์ 80/80 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
2. เพือ่ เปรียบเทียบความรู้ดา้ นคณุ ธรรมของเดก็ 1. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ หมายถึง การ
ปฐมวยั ก่อนและหลงั การจัดประสบการณ์โดยใช้หนงั สอื จดั กจิ กรรมตามแผนการจดั ประสบการณ์ โดยใชห้ นงั สอื สง่
นิทานส่งเสริมคุณธรรม เสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็กปฐมวัย ถ่ายทอดเร่ืองราวท่ีสอด
แทรกคุณธรรม จริยธรรมให้เด็กฟัง และสนทนาโต้ตอบ
3. เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัด จ�ำ นวน 24 แผน
ประสบการณเ์ รยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื นทิ านสง่ เสรมิ คณุ ธรรม
2. หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็ก
4. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมด้านคุณธรรมของเด็ก ปฐมวยั หมายถงึ เอกสารในรปู แบบหนงั สอื ทม่ี รี ปู ภาพและ
ปฐมวัย ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสือ เนอื้ หาประกอบ ทผี่ วู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาขนึ้ ส�ำ หรบั ใชป้ ระกอบการ
นทิ านส่งเสริมคุณธรรม จดั ประสบการณส์ �ำ หรบั เดก็ ปฐมวัยช้นั อนบุ าลปีท่ี 3 โดยมี
สมมติฐานการวจิ ยั เน้อื หาทสี่ อดแทรกคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ จำ�นวน 8
เลม่ ไดแ้ ก่
เด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีท่ี 3 มีความรู้และ
พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมหลงั ไดร้ บั การจดั ประสบการณก์ าร เลม่ ที่ 1 คุณธรรมความขยัน เรือ่ ง มดกับผงึ้
เรยี นร้โู ดยใชห้ นังสือนิทานคณุ ธรรม ส�ำ หรับเดก็ ปฐมวยั สูง เลม่ ท่ี 2 คณุ ธรรมความประหยดั เรอื่ ง ครอบครวั
กวา่ กอ่ นไดร้ ับการได้รบั การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ หมนู ้อย
เล่มท่ี 3 คณุ ธรรมความซ่ือสัตย์ เรือ่ ง หญิงชรา
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง กับแมวขโมย
เล่มที่ 4 คณุ ธรรมความมีวนิ ยั เรื่อง นอ้ งแก้ว
ประชากร กบั นอ้ งกล้า
ประชากร ได้แก่ เด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีท่ี เล่มที่ 5 คุณธรรมความสภุ าพ เรอื่ ง ลูกหมี 2
3 โรงเรียนเทศบาล ๓ (บ้านยะกัง) อำ�เภอเมือง จังหวัด ตวั
เลม่ ที่ 6 คุณธรรมความสะอาด เร่อื ง นกพิราบ
นราธิวาส ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 จำ�นวน 2 สองตัว
ห้องเรียน ประกอบด้วย ช้ันอนุบาล3/1 จำ�นวน 31 คน เลม่ ที่ 7 คณุ ธรรมความสามัคคี เร่อื ง สามัคคี
อนุบาล 3/2 จำ�นวน 31 คน รวมทง้ั ส้ิน 62 คน
คือพลัง
กลุม่ ตวั อยา่ ง เลม่ ท่ี 8 คณุ ธรรมความมีน้�ำ ใจ เร่ือง เตา่ น้อย
กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ เดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าลปที ี่ เพอ่ื นยาก
3/2 โรงเรยี นเทศบาล ๓ (บ้านยะกงั ) อำ�เภอเมือง จังหวดั 3. ความรู้เก่ียวกับคุณธรรม หมายถึง การที่
นราธิวาส ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 ได้โดยการ เด็กสามารถอธิบาย ตอบคำ�ถาม และสังเกตพฤติกรรมที่
สมุ่ แบบแบ่งกล่มุ (Cluster Random Sampling) โดยใช้ แสดงออกให้เห็นถึงคุณลักษณะของคุณธรรมพื้นฐาน 8
หอ้ งเรยี นเปน็ หนว่ ยของการสมุ่ และแตล่ ะหอ้ งเดก็ คละความ ประการ จากสถานการณใ์ นหนงั สอื นทิ านและสถานการณ์
สามารถ
123
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อื่นๆท่ีเกย่ี วข้อง เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
4.ประสิทธิภาพของหนังสือนิทานส่งเสริม 1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้
คุณธรรมส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวัย หมายถงึ คุณภาพของหนงั สอื หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็กปฐมวัย มีค่า
นทิ านสง่ เสรมิ คณุ ธรรมส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นา เฉล่ียเทา่ กับ 4.64 ซงึ่ มคี วามหมายว่า มคี วามเหมาะสมอยู่
ขน้ึ ทำ�ใหเ้ ดก็ ปฐมวัยเกิดการเรยี นรตู้ ามเกณฑ์ 80/80 ในระดับมากทีส่ ดุ
80 ตัวแรก หมายถึง ประเมินย่อย 2. หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็ก
ระหวา่ งจัดกจิ กรรม ปฐมวัย มคี ่าดชั นีความสอดคลอ้ ง ต้งั แต่ 0.80 - 1.00
80 ตวั หลัง หมายถึง คะแนนได้จาก 3. แบบประเมนิ ความรดู้ า้ นคณุ ธรรมกอ่ นและหลงั
ประเมนิ ด้านความรคู้ วามเข้าใจ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง
5. คา่ ดชั นีประสทิ ธผิ ล (Effectiveness Index) ตงั้ แต่ 0.60 - 1.00
ของหนังสือนิทานประกอบภาพ หมายถึง ตัวเลขที่แสดง 4. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมส�ำ หรบั เดก็
ถึงความก้าวหน้าของเด็กปฐมวัยโดยการเทียบคะแนนท่ี ปฐมวัย มคี ่าดชั นีความสอดคลอ้ ง ตั้งแต่ 0.80 - 1.00
เปลี่ยนแปลงจากการทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนการ
ทดสอบหลงั เรยี น เมอื่ เรยี นดว้ ยหนงั สอื นทิ านประกอบภาพ วิธดี �ำ เนินการวจิ ัย
6. แบบประเมินความรู้ด้านคุณธรรม หมายถึง 1. ประเมินด้านความรู้คุณธรรมก่อนการ
แบบประเมินความรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อประเมินความ จัดประสบการณ์โดยการเล่านิทานจากหนังสือนิทานส่ง
รู้ด้านคุณธรรมให้ครอบคลุมเนื้อหาคุณธรรม 8 ประการ เสริมคุณธรรม ผู้วิจัยเป็นผู้อ่านคำ�ส่ังและคำ�ถามของแบบ
ได้แก่ ความขยัน ความประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย ความ ประเมินให้เดก็ นักเรยี นฟงั และบันทกึ ผลคะแนนไว้
สภุ าพ ความสะอาด ความสามคั คี และความมนี �้ำ ใจ จ�ำ นวน 2. ด�ำ เนนิ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยการ
20 ขอ้ ลกั ษณะค�ำ ถามเปน็ แบบรปู ภาพ มลี กั ษณะเปน็ แบบ เลา่ นทิ านใชห้ นงั สอื นทิ านสง่ เสรมิ คณุ ธรรม จ�ำ นวน 8 เลม่ ๆ
เลอื กตอบ 3 ตวั เลือก ละ 1 สัปดาห์ๆ ละ 3 วนั ๆ ละ 20 นาทีและท�ำ การประเมนิ
7. แบบสังเกตพฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม หมายถงึ ยอ่ ยหลังเสร็จสิ้นการเล่านทิ านแตล่ ะเล่ม
แบบสังเกตพฤติกรรมด้านคุณธรรม ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน ใช้
สังเกตพฤติกรรมระหว่างจัดกิจกรรม ได้แก่ การสนทนา 3. ท�ำ การประเมนิ หลังการจัดประสบการณก์ าร
และตอบค�ำ ถาม การมสี ว่ นรว่ ม การปฏบิ ตั ติ นดา้ นคณุ ธรรม เรยี นรู้ โดยใช้แบบประเมินความรดู้ ้านคณุ ธรรม เปน็ แบบ
และการแสดงความคิดเหน็ ประเมินชดุ เดียวกนั แต่สลบั ข้อ และบันทึกผลคะแนนไว้
124
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์หาประสิทธิภาพของหนงั สือนิทานส่งเสริมคณุ ธรรมส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั ตามเกณฑ์
80/80
ตารางที่ 1 แสดงประสทิ ธภิ าพของหนงั สือนิทานส่งเสริมคณุ ธรรมสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั
กิจกรรม N คะแนนเตม็ Χ คา่ เฉลย่ี รอ้ ย
ละ
1. คะแนนระหว่างการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้(E1) 31 24 21.61 90.05
2. คะแนนหลังการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ (E2) 31 20 18.54 92.74
E1/ E2 = 90.05/92.74
ปพ ฐฤมตวกิ ัยรรมมจีปดาร้ากะนตสคาิทวรธาาภิงมทารพีู่แ้ 1ลเพะทคบ่าุณกวับ่าธรค9ระ0มแ.ห0น5ลน/งั ร9เระ2ียห.7นว4่า(งซEก2ึ่งา)เปรจ็นเดัทไปปา่ กรตบัะาสม9บเก2กณ.า7รฑ4ณ์ทแ์กี่ตสาง้ั ดรไวเงร้วยี8่าน0/หร8ู้น(0Eัง1ส)อื เทนา่ิทกาบันส9่ง0เ.ส0ร5มิ แคลณุ ะธคระรแมนสนำ�หปรรบัะเเมดิน็ก
ตอนที่ 2 ผลการวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บความรดู้ า้ นคณุ ธรรมของเดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าลปที ่ี 3 กอ่ นและหลงั การ
จดั ประสบการณ์การเรียนรโู้ ดยใชห้ นังสือนทิ านสง่ เสริมคณุ ธรรม
ตารางท่ี 2 แสดงผลการเปรียบเทียบความรดู้ ้านคุณธรรมของเด็กปฐมวยั กอ่ นและหลงั การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้
การทดสอบ n คะแนนเตม็ Χ S.D t
ก่อนเรียน 31 20 21.61 0.67 37.644**
หลังเรยี น 31 20 18.54 0.59
** มนี ยั สำ�คัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01
จากตารางที่ 2 พบวา่ เดก็ ปฐมวยั มคี วามรดู้ า้ นคณุ ธรรมก่อนการจดั ประสบการณโ์ ดยใช้หนงั สอื นิทานส่งเสริม
คณุ ธรรมสำ�หรบั เดก็ ปฐมวยั มีคา่ เฉลย่ี เท่ากบั 12.61 และหลงั การจัดประสบการณ์ มคี า่ เฉลี่ย เทา่ กับ 18.54 แสดงว่า
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมหลังเรียนสูงกว่า อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติท่ีระดับ
.01
ตอนท่ี 3 ผลการวเิ คราะหด์ ชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจดั ประสบการณเ์ รยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื นทิ านสง่ เสรมิ คณุ ธรรม
ส�ำ หรบั เด็กปฐมวยั ชั้นอนบุ าล 3
ตารางท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์เรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทาน ส่งเสริมคุณธรรม
ส�ำ หรับเดก็ ปฐมวยั
จำ�นวนเดก็ ปฐมวัย คะแนนเตม็ ผลรวมของคะแนนกอ่ น ผลรวมของคะแนนหลัง ดัชนีประสิทธิผล
31 20 เรียน เรยี น 0.7750
420 575
125
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จากตารางท่ี 3 พบว่า ดัชนปี ระสิทธิผลของการจดั ประสบการณ์เรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื นทิ านส่งเสรมิ คณุ ธรรม มี
คา่ เท่ากับ 0.7750 ซ่งึ แสดงวา่ หนังสอื นิทานส่งเสรมิ คุณธรรมส่งเสรมิ ให้เดก็ ปฐมวยั ชนั้ อนุบาลปที ่ี 3 มีความก้าวหน้าใน
การเรยี นรูเ้ พ่ิมขนึ้ คดิ เปน็ ร้อยละ 77.50
ตอนท่ี 4 วเิ คราะหผ์ ลการศกึ ษาพฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรม ส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั จากการจดั ประสบการณก์ ารเรยี น
รโู้ ดยใช้หนงั สอื นทิ านดว้ ยการใช้แบบสงั เกต
ตารางท่ี 4 ผลการศกึ ษาพฤติกรรมด้านคณุ ธรรมส�ำ หรับเดก็ ปฐมวยั ด้วยการใช้แบบสงั เกต
คะแนนแบบสังเกตพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม
เลขที่ รวม
ขยัน
ประห ัยด
ื่ซอ ัสต ์ย
ีม ิวนัย
สุภาพ
สะอาด
สามัค ีค
ีมน้ำ�ใจ
1 12 12 12 12 12 12 12 12 96
2 10 11 11 10 12 10 10 11 85
3 11 11 11 11 11 10 11 10 86
4 10 12 11 10 11 10 11 10 85
5 11 12 10 11 11 10 11 11 87
6 11 11 12 10 12 11 10 11 88
7 10 11 10 10 12 11 12 10 86
8 12 11 10 11 11 10 11 11 87
9 11 11 10 11 10 10 10 10 83
10 10 12 10 11 11 10 12 10 86
11 11 12 10 12 10 11 12 11 89
12 11 11 11 10 12 10 10 10 85
13 10 12 11 10 12 10 11 12 88
14 11 12 10 12 11 11 11 11 89
15 11 11 10 11 10 12 11 10 86
16 10 10 10 10 11 10 12 10 83
17 10 11 11 10 11 11 12 11 87
18 11 12 10 10 12 11 11 11 88
19 10 11 10 10 11 10 12 10 84
20 10 10 11 11 12 11 11 10 86
21 12 12 10 10 11 11 12 10 88
22 10 10 10 11 12 11 11 11 86
23 11 11 11 10 11 10 12 11 87
24 11 10 11 11 12 10 11 10 86
25 12 10 10 10 11 10 11 12 86
26 11 11 10 11 12 11 11 10 87
27 12 11 11 11 11 11 12 11 90
11 11 10 11 11 11 11 12 88
126
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
28 10 10 11 12 12 10 11 11 87
29 12 12 11 10 12 10 11 10 88
30 12 10 10 11 11 11 11 12 88
31 11 11 10 11 11 10 12 10 86
รวม 336 343 324 330 350 325 347 330 2685
Χ 10.83 11.06 10.45 10.64 11.29 10.48 11.19 10.64 86.61
ร้อยละ 90.32 92.20 87.10 92.74 94.08 87.36 93.27 94.08 90.22
จากตารางท่ี 4 พบว่า ผลการสงั เกตการร่วมกิจกรรมส�ำ หรบั เด็กปฐมวัย ช้ันอนบุ าลปีท่ี 3 ทีไ่ ดร้ บั การจดั
ประสบการณ์การเรยี นรโู้ ดยใช้หนงั สอื นทิ านสง่ เสรมิ คณุ ธรรม มพี ฤติกรรม ดา้ นคุณธรรมหลังการจัดประสบการณ์ โดย
ภาพรวมอยู่ในระดับดี มคี ่าเฉล่ีย เทา่ กบั 86.61 คิดเปน็ ร้อยละ 90.22 เมอื่ พิจารณาเป็นรายด้าน ดงั นี้ ด้านความขยนั มี
คา่ เฉลยี่ เทา่ กบั 10.83 คดิ เปน็ ร้อยละ 90.32 ดา้ นความประหยัด มคี ่าเฉล่ีย เทา่ กับ 11.06 คดิ เปน็ ร้อยละ 92.20 ดา้ น
ความซื่อสัตย์ มีคา่ เฉล่ยี เทา่ กับ 10.45 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 87.10 ดา้ นมวี นิ ัย มคี ่าเฉลย่ี เทา่ กบั 10.64 คดิ เป็น มคี ่าร้อยละ
88.74 ด้านความสุภาพ มคี า่ เฉลย่ี เทา่ กบั 11.29 คดิ เป็น ร้อยละ 94.08 ดา้ นความสะอาด มีค่าเฉลย่ี เท่ากบั 10.48
คิดเป็นร้อยละ 87.36 ด้านความสามคั คี มีค่าเฉลย่ี เท่ากับ 11.19 คิดเปน็ รอ้ ยละ 93.27 ด้านความมีนำ�้ ใจ มคี า่ เฉลย่ี
เท่ากบั 10.64 คิดเปน็ ร้อยละ 94.08
อภิปรายผล แนะนำ�จากผู้เชี่ยวชาญและผ่านการประเมินคุณภาพ
ความเหมาะสมตลอดจนขอ้ เสนอแนะจากผเู้ ชีย่ วชาญ โดย
1. หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็ก ผู้วิจัยได้ดำ�เนินการสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัด
ปฐมวยั ท่ีผู้วจิ ัยไดส้ รา้ งขน้ึ มีประสิทธิภาพ 90.05/92.74 ประสบการณอ์ ยา่ งเปน็ ระบบ ท้ังการศกึ ษา และวเิ คราะห์
ซง่ึ เปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ �ำ หนด (80/80) ทงั้ นอ้ี าจเปน็ เพราะ หลกั สตู ร ศึกษาจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ วธิ ี
ว่า หนังสือนิทานดังกล่าวได้ผ่านการพัฒนาปรับปรุงใน ดำ�เนินการจัดกิจกรรม ส่ือและแหล่งเรียนรู้ การวัดและ
แต่ละขั้นตอน โดยการเก็บข้อมูลอย่างละเอียด ผ่านการ ประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งศึกษาเอกสาร หนังสือที่
ตรวจสอบคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญและดำ�เนินการทดสอบ เกย่ี วขอ้ งกบั การเขยี นแผนการจดั ประสบการณแ์ ลว้ น�ำ ไปให้
กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งถงึ 3 กลมุ่ คอื แบบเดย่ี ว แบบกลมุ่ ยอ่ ยและ ผเู้ ช่ยี วชาญ ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และแกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง
ภาคสนาม ซง่ึ มีความสอดคล้องกับแนวคิดของ วาโร เพ็ง ตามผเู้ ชยี่ วชาญ เพอ่ื น�ำ ไปทดลองใชแ้ ละน�ำ ขอ้ บกพรอ่ งจาก
สวสั ด์ิ (2542 : 42) กลา่ ววา่ ระดบั ประสทิ ธภิ าพของหนงั สอื การทดลองสอนมาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งเพ่ือให้ได้คุณภาพ
ทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรเู้ ปน็ ระดบั ทผ่ี วู้ จิ ยั พงึ พอใจ กอ่ นจะน�ำ ไปทดลองใชจ้ รงิ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง จากขนั้ ตอนการ
ว่า ถ้าหากหนังสือเรียนมีประสิทธิภาพถึงระดับที่กำ�หนด สรา้ งและหาคณุ ภาพของแผนการจดั ประสบการณด์ งั กลา่ ว
แลว้ หนงั สอื เรยี นกม็ คี ณุ คา่ พอทจ่ี ะน�ำ ไปใชไ้ ด้ และคมุ้ คา่ แก่ ทำ�ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของอร
การลงทนุ ผลติ ออกมา เช่นเดยี วกบั วิริยะ สริ ิสิงห์ (2547 : ยา เจริญธรรม (2561 : 53) ได้ท�ำ การศกึ ษาการใช้บทร้อง
63) กลา่ วว่า ความสนใจของเด็กเป็นสากล นน้ั คอื เดก็ ทั้ง สรภญั ญั ประกอบนทิ านภาพเพอื่ พฒั นาคณุ ธรรมพนื้ ฐาน 8
โลกสนใจเหมือนๆ กัน เด็กกอ่ นวยั เรยี นสนใจเทพนิยาย โต ประการ ชัน้ อนุบาลปที ี่ 3 พบว่า แผนการจดั ประสบการณ์
ขนึ้ กช็ อบนทิ านเกยี่ วกบั สตั วแ์ ละตอ่ มากช็ อบเรอื่ งการตอ่ สู้ พฒั นาคุณธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ มปี ระสทิ ธภิ าพ เท่ากับ
ผจญภยั เดก็ ชอบดู อยากรอู้ ยากเหน็ เดก็ ทุกคนชอบความ 85.64/88.54 ซงึ่ เปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 เชน่ เดยี วกบั จนิ ตนา
สนุกสนานขบขนั เด็กมีจนิ ตนาการ กรุพมิ าย (2559 : 84) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาความสามารถ
ผลการวิจัยเป็นเช่นนี้อาจเน่ืองมาจาก ทางภาษาด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยโดยการ
หนงั สอื นทิ านสง่ เสรมิ คณุ ธรรมส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั จดั กจิ กรรมการเล่านทิ าน เด็กปฐมวัย อายุ 4 – 5 ปี ศูนย์
ผู้วิจัยได้ใช้ควบคู่กับแผนการจัดประสบการณ์การเรียน พัฒนาเด็กเลก็ บา้ นดงครัง่ นอ้ ย อ�ำ เภอเกษตรวิสัย จังหวัด
รู้ มีกระบวนการท่ีเชื่อถือได้ผ่านการตรวจพิจารณา คำ� ร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน
127
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ส�ำ หรับเดก็ ปฐมวัย มคี ่าประสทิ ธิภาพ 83.34/84.74 ซ่งึ สงู วัดโพธารามโดยจัดกิจกรรมส่ือ ชุดนิทานพัฒนาคุณธรรม
กวา่ เกณฑ์ที่ตง้ั ไว้ คือ 80/80 จริยธรรมด้านความมีระเบียบวินัยในการเข้าแถว จำ�นวน
3 เล่ม พบว่า เดก็ ปฐมวัย ชน้ั อนบุ าล 3 ขวบ ศนู ยพ์ ฒั นา
2. เด็กปฐมวยั ชนั้ อนบุ าลปีที่ 3 มีความร้ดู า้ น เด็กเล็กวัดโพธาราม มีระเบียบวินัยในการเข้าแถวมากขึ้น
คุณธรรมหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้หนังสือนิทาน ตลอด 3 สัปดาห์ จากรอ้ ยละ 53.52 63.08 และ 81.61
ส่งเสริมคุณธรรมสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์โดยใช้ ตามล�ำ ดับสอดคล้องกบั ผลงานวิจยั ของชลธิดา ณ ลำ�พูน
หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติท่ี (2558 : 53) ไดศ้ กึ ษาผลของการจดั กิจกรรมการเล่านทิ าน
ระดับ .01 อสี ปทมี่ ตี อ่ ความสามารถในการแกป้ ญั หาของตนเองในเดก็
ผลกการวิจัยเป็นเช่นน้ีอาจเนอ่ื งมาจาก ปฐมวยั โรงเรยี นอนบุ าลเมอื งใหม่ จงั หวดั ชลบรุ ผี ลการวจิ ยั
การจัดประสบการณ์ด้วยหนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรม พบว่า เด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่า
สำ�หรับเด็กปฐมวัย อาจเป็นเพราะว่า ผู้วิจัยได้ใช้หนังสือ นิทานอีสปมีความสามารถในการแก้ปัญหาของตนเองสูง
นิทานที่เป็นส่ือ เพื่อการจัดประสบการณ์ มีภาพน่าสนใจ กวา่ ก่อนการทดลองอยา่ งมีนัยส�ำ คญั ทางสถิติท่ีระดบั .01
รปู เลม่ สวยงาม และใชเ้ ทคนคิ การเลา่ นทิ าน ในกจิ กรรมเลา่
นทิ าน เพอ่ื พฒั นาความรแู้ ละคณุ ลกั ษณะทางดา้ นคณุ ธรรม 3. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์
สำ�หรับเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ใช้หนังสือ เรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็ก
นิทานประกอบภาพ และมีความสอดคล้องสัมพันธ์กับ ปฐมวยั เท่ากับ 0.7750 แสดงวา่ เดก็ ปฐมวยั ชัน้ อนบุ าลปี
แผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ การใชเ้ ทคนิคการเลา่ ที่ 3 มคี วามรู้ดา้ นคุณธรรมกา้ วหน้าเพิ่มขึน้ รอ้ ยละ 77.50
นทิ าน ในรปู แบบทห่ี ลากหลาย ตลอดระยะเวลาด�ำ เนนิ การ สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ อนงค์ หม่ืนสา (2553 :
ท�ำ ใหเ้ ร้าความสนใจของเดก็ ปฐมวยั ไดม้ าก นอกจากน้ันได้ 45) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์โดยใช้
เปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม สนทนาโต้ตอบ หนังสือนิทานพื้นบ้านอีสานที่มีผลต่อการฟังและการพูด
แสดงความคิดเห็น จึงทำ�ให้เด็กปฐมวัยมีความสนใจอยาก ของเด็กปฐมวัย ดชั นปี ระสทิ ธิผลของการจัดกิจกรรมเสริม
เรียนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สัณหพัฒน์ อรุณธารี ประสบการณ์โดยใช้หนังสือนิทานพื้นบ้านอีสานท่ีมีผลต่อ
(2540 : 40-44) กล่าวว่า การเล่านิทานมีทั้งคุณค่าและ การฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย มคี ่าเทา่ กับ 0.76 หรือ
ความจ�ำ เปน็ ตอ่ การเรยี นรเู้ ปน็ กจิ กรรมทส่ี �ำ คญั และใชม้ าก คิดเป็นร้อยละ 76 ผลการวิจัยเป็นเช่นนี้อาจเน่ืองมาจาก
ในการเรยี นการสอนในระดบั ปฐมวยั หากมกี ารวางแผนการ หนังสือนิทานประกอบภาพและมีสีสันท่ีน่าสนใจ มีการใช้
จัดกิจกรรมการเล่านิทานอย่างมีขั้นตอนแล้วย่อมทำ�ให้ผู้ สีท่ีสอดคล้องกับความเป็นจริง เน้นการใช้สีเข้มๆ สดใส
เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีช่วยส่งเสริมความคิด จินตนาการ ใช้แสงและเงาบ้างเล็กน้อยภาพวาดน่ารักเหมาะกับเด็ก
และการใช้ภาษาของเด็กได้เป็นอย่างดี และสอดคล้อง ปฐมวัยสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้เป็นอย่างดี
กบั ผลงานวิจัยบปุ ผา หนนุ ภกั ดี (2561 : 93) ได้ทำ�การ ประกอบกบั การเลา่ นทิ านของครทู �ำ ใหเ้ ดก็ ฟงั แลว้ เกดิ ความ
ศึกษารายงานผลการใช้ชุดกิจกรรมการจัดประสบการณ์ สนุกทำ�ให้อยากฟังจนจบเร่ือง เกิดจินตนาการสอดคล้อง
การเล่านิทานประกอบคำ�คล้องจองเพ่ือพัฒนาทักษะทาง กับแนวคิดของ สนิท สัตโยภาส (2545 : 31) กล่าวว่า
ภาษาด้านการฟังและการพูดสำ�หรับนักเรียนชั้นอนุบาล ภาพประกอบเป็นหัวใจสำ�คัญของหนังสือสำ�หรับเด็กโดย
พบว่า ทักษะทางภาษาการฟังและการพูดก่อนและหลัง เฉพาะหนังสือสำ�หรับเดก็ เลก็ ๆ เพราะภาพเปน็ สว่ นส�ำ คญั
ใช้ชุดกิจกรรมการจัดประสบการณ์การเล่านิทานประกอบ ทจ่ี ะชว่ ยสรา้ งความคดิ และมโนภาพตามเรอ่ื งราวได้ ชว่ ยให้
ค�ำ คลอ้ งจองมีความแตกต่างกนั ในภาพรวมมคี ่าเฉลีย่ รอ้ ย เนอื้ เรอ่ื งมชี วี ติ ชวี านา่ อา่ นนา่ สนใจชว่ ยใหเ้ ดก็ อยากดอู ยาก
ละ 36.36 และหลังใช้ชดุ กิจกรรม มีคา่ เฉลยี่ ร้อยละ 96.29 อา่ นและยงั ชว่ ยสรา้ งความหมายของตวั อกั ษรทเ่ี ดก็ อา่ น วา่
เมอื่ เปรยี บเทยี บผลตา่ ง พบวา่ คา่ เฉลย่ี สงู ขนึ้ รอ้ ยละ 59.93 มคี วามหมายอยา่ งไร ภาพจะเปน็ ภาพสมจรงิ ภาพลายไทย
เชน่ เดยี วกบั ผลงานวจิ ยั ของศภุ ธดิ า เทยี นงาม (2560 : 51) ภาพศิลปะประดิษฐ์ ภาพถา่ ย ภาพสเก็ต หรือภาพการต์ นู
ไดท้ �ำ การศกึ ษาพฤตกิ รรมความระเบยี บวนิ ยั ในการเขา้ แถว เชน่ เดยี วกับผลงานวจิ ัยของจินตนา กรุพิมาย (2559 : 84)
ของเด็กปฐมวัย ช้ันอนุบาล 3 ขวบ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาความสามารถทางภาษาดา้ นการฟงั และ
การพูดของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน
128
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
เดก็ ปฐมวัย อายุ 4 – 5 ปี ศนู ย์พัฒนาเดก็ เล็กบา้ นดงครงั่ ผลงานวิจยั ของชตุ ิมา ประจวบสุข (2556 : 62) ไดท้ �ำ การ
น้อย อ�ำ เภอเกษตรวสิ ัย จงั หวดั รอ้ ยเอด็ ผลการวิจัยพบว่า ศกึ ษา การพฒั นาคณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเดก็ ปฐมวยั โดยใช้
ดัชนีประสิทธิผลความสามารถทางภาษาด้านการฟัง มีค่า นทิ าน เดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 2 โรงเรยี นบา้ นหนองมว่ ง
เทา่ กบั 0.7727และด้านการพดู มีค่าเทา่ กับ 0.7358และ ส�ำ นกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั ภมู ิ เขต 3 ผล
สอดคล้องกับผลงานวิจัยของอรยา เจริญธรรม (2561 : การศกึ ษา พบวา่ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเดก็
53) ไดท้ �ำ การศกึ ษาการใชบ้ ทรอ้ งสรภญั ญะประกอบนทิ าน ปฐมวัย จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้นิทาน
ภาพเพอ่ื พฒั นาคณุ ธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ ชน้ั อนบุ าลปที ่ี ด้วยการใช้แบบสังเกตพบว่า ค่าเฉลี่ยคุณธรรมจริยธรรม
3 พบวา่ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของเดก็ ปฐมวยั ทไี่ ดร้ บั การพฒั นา แต่ละด้านเท่ากับ 2.74, 2.75 และ 2.70 ตามลำ�ดับ ค่า
คณุ ธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ มีคา่ เท่ากบั 0.7164 แสดงว่า ร้อยละคุณธรรมจริยธรรมแต่ละด้านเท่ากับ 91.33,91.67
เด็กปฐมวยั มีการพฒั นาเพ่ิมขน้ึ รอ้ ยละ 71.64 และ 90 ตามลำ�ดับและสอดคลอ้ งกบั ผลงานวจิ ัยของเปรม
วราพร พิณจิรวิทย์ (2557 : 64) ได้ทำ�การศึกษาการ
4. เด็กปฐมวัย ชน้ั อนุบาลปีท่ี 3 หลงั ได้รบั การ พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนอนุบาล 1 โดยการ
จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานส่งเสริม ประยกุ ต์ใชก้ ารวิจัยเป็นฐาน โรงเรียนบ้านสามหลงั อ�ำ เภอ
คุณธรรมมีพฤติกรรมด้านคุณธรรมสูงกว่าก่อนการจัด ศรสี วสั ด์ิ จงั หวดั กาญจนบรุ ี พบวา่ พฤตกิ รรมนกั เรยี นเกย่ี ว
ประสบการณก์ ารเรียนรู้ พบวา่ จากการสังเกตโดยใช้แบบ กับคุณธรรม จริยธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการของนักเรยี น ชน้ั
สงั เกตพฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรมระหวา่ งการจดั ประสบการณ์ อนบุ าล 1 โดยรวมอยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ เรยี งล�ำ ดบั คา่ เฉลย่ี
โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ดี มคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 86.61 คดิ เปน็ จากมากไปหานอ้ ย คอื สามคั คี สะอาด มวี นิ ยั สภุ าพ มนี �้ำ ใจ
ร้อยละ 90.22 เมอื่ พจิ ารณาเป็นรายด้าน ดงั น้ี ด้านความ ซ่อื สัตย์ ประหยัด และขยนั ตามล�ำ ดบั
ขยนั มคี ่าเฉลย่ี เท่ากับ 10.83 คดิ เป็นรอ้ ยละ 90.32 ดา้ น
ความประหยัด มีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 11.06 คิดเป็นร้อยละ ดังน้ัน ในการจัดประสบการณ์ โดยใช้หนังสือ
92.20 ดา้ นความซ่ือสัตย์ มีคา่ เฉลีย่ เท่ากับ 10.45 คิดเปน็ นิทานส่งเสริมคุณธรรมสำ�หรับเด็กปฐมวัย ทำ�ให้เด็ก
รอ้ ยละ 87.10 ด้านมีวินยั มีค่าเฉลี่ย เทา่ กับ 10.64 คดิ ปฐมวัยสามารถคิดได้ว่าสิ่งไหนควรทำ� ไม่ควรทำ� เห็น
เปน็ มคี า่ รอ้ ยละ 88.74 ดา้ นความสภุ าพ มคี า่ เฉลย่ี เทา่ กบั ประโยชนแ์ ละโทษของสง่ิ นนั้ ๆ สะทอ้ นความรสู้ กึ สามารถ
11.29 คดิ เป็น ร้อยละ 94.08 ด้านความสะอาด มคี า่ เฉลยี่ แสดงถงึ ความรสู้ กึ และแสดงความคดิ เหน็ ตามทเี่ ดก็ ปฐมวยั
เท่ากบั 10.48 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 87.36 ด้านความสามคั คี มี รู้สึกได้ เด็กปฐมวัยสามารถปฏิบัติตนได้ตามท่ีคิดและรู้สึก
ค่าเฉลีย่ เทา่ กับ 11.19 คิดเปน็ รอ้ ยละ 93.27 ดา้ นความ เช่น การท้ิงขยะลงถังขยะ การช่วยเหลือเพ่ือน การช่วย
มีนำ้�ใจ มีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 10.64 คิดเป็นร้อยละ 94.08 เหลือพ่อแม่ทำ�งานบ้าน เป็นต้น ซ่ึงครูผู้สอนต้องมีความ
สอดคลอ้ งกบั ผลงานวจิ ัยของศุภธดิ า เทียนงาม (2560 : พรอ้ มและความเขา้ ใจในกระบวนการ รวมทงั้ การใชห้ นงั สอื
51) ไดท้ �ำ การศกึ ษาพฤตกิ รรมความระเบยี บวนิ ยั ในการเขา้ นทิ านหรอื ส่ือการเรยี นการสอนอน่ื ๆ เรอ่ื งของนทิ าน การ
แถวของเดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล 3 ขวบ ศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ วางแผนการจัดกิจกรรม เทคนคิ การเลา่ นทิ าน การดำ�เนนิ
วัดโพธารามโดยใชก้ จิ กรรมนิทาน โดยจดั กจิ กรรมใช้สือ่ ชุด การอย่างต่อเน่ือง การปรับและประยุกต์ให้เหมาะสม
นทิ านพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรมดา้ นความมรี ะเบยี บวนิ ยั ใน กับกิจกรรมท่ีจะจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กปฐมวัย องค์
การเขา้ แถว จ�ำ นวน 3 เลม่ พบวา่ เดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล 3 ประกอบต่างๆ เหล่าน้ี จะสามารถช่วยพัฒนาเด็กปฐมวัย
ขวบ ศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ วดั โพธาราม มรี ะเบยี บวนิ ยั ในการ มคี วามรดู้ า้ นคณุ ธรรม สามารถแยกแยะไดว้ า่ สง่ิ ใดถกู หรอื
เขา้ แถวมากขน้ึ ตลอด 3 สปั ดาห์ จากรอ้ ยละ 53.52, 63.08 ผิด ส่งิ ใดควรทำ�หรือไม่ควรท�ำ และมีพฤตกิ รรมการแสดง
และ 81.61 ตามล�ำ ดบั เชน่ เดยี วกบั สมควร ผาวงษา (2553 คุณลกั ษณะทางดา้ นคณุ ธรรมทีถ่ กู ต้องเหมาะสมต่อไป
: 48) ได้ศึกษาผลการพัฒนาคุณธรรมของเด็กช้ันอนุบาล
ปีที่ 2โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทาน พบว่า เด็กที่ได้เรียนรู้ ขอ้ เสนอแนะ
จากกจิ กรรมการเลา่ นทิ านมพี ฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกถงึ การมี ข้อเสนอแนะสำ�หรับในการน�ำ ผลการวจิ ัยไปใช้
คณุ ธรรมดา้ นความสะอาด ความซอ่ื สตั ย์ ความสามคั คี และ
ความประหยดั โดยรวมทกุ ดา้ น อยใู่ นระดบั ดี สอดคลอ้ งกบั 1. การจัดกิจกรรมหรือจัดประสบการณ์ให้กับ
129
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เด็กปฐมวยั ในการปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรมควรใชส้ ่อื ท่ี ปลูกฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรมโดยทางออ้ ม
หลากหลาย
8. ครูผู้สอนในระดับปฐมวัย ควรศกึ ษาการ
2. ครผู ปู้ กครองและชมุ ชน หรอื ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งตอ้ ง แก้ปญั หาทเ่ี กดิ จากการจัดการเรียนรู้ของนักเรยี น อยา่ ง
เป็นแมแ่ บบท่ีดี เพราะเด็กวัยน้ีเป็นวัยแหง่ การเลยี นแบบ จริงจงั โดยเฉพาะศึกษาวธิ สี อนให้เปน็ เร่ืองสนกุ
3. ครู ผปู้ กครอง สถานศกึ ษา ศาสนา รวมไปถงึ 9. ครูผูจ้ ัดกจิ กรรมควรศกึ ษาแนวการใชน้ ิทาน
องคก์ รตา่ งๆ ทง้ั รฐั และเอกชน ใหค้ วามส�ำ คญั ประสาน คณุ ธรรม เพอื่ ปลกู ฝงั คุณธรรม จริยธรรม แบบประเมิน
รว่ มมือ ในการปลกู ฝังคณุ ธรรมจริยธรรมอย่างใกล้ชดิ และ พฤติกรรมการแสดงออกและการปฏบิ ตั ิตนก่อนและหลงั
ตอ่ เน่อื ง จากการใช้นิทานคุณธรรม เพื่อปลกู ฝังคุณธรรม จริยธรรม
ทผ่ี ูว้ จิ ัยไดส้ ร้างขน้ึ ให้เข้าใจก่อนจึงนำ�ไปประกอบการเรยี น
4. การปลูกฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรมต้องปลูกฝงั การสอนคร้งั ต่อไป
แต่เยาว์วยั เปน็ การวางรากฐานท่ีดงี าม
5. การปลูกฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรมการะทำ�ได้ ข้อเสนอแนะสำ�หรบั การศึกษาครัง้ ตอ่ ไป
ทกุ เมื่อทุกกจิ กรรมท้ังกจิ กรรมการเรยี นการสอน ที่บ้าน 1. ควรมกี ารสรา้ งนวตั กรรมในรปู แบบทห่ี ลาก
ทชี่ ุมชน และการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมประจ�ำ วัน เพ่อื ให้ฝกึ ให้ หลายใหม้ ากขน้ึ โดยการน�ำ เอาเทคโนโลยตี า่ งๆ เขา้ มา
เปน็ นิสัย ปรบั ปรงุ เพื่อใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน นักเรยี นเกิด
ทางเลอื กทีห่ ลากหลาย ในการศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้
6. เมื่อนักเรยี นมีพฤตกิ รรมท่ไี ม่เหมาะสม ครู ดว้ ยตนเองอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ
ต้องหาทางแกไ้ ขและรว่ มมอื กบั ทกุ ฝ่าย
2. ควรมีการพัฒนานิทานคณุ ธรรม เพ่ือปลูก
7. การจัดสภาพแวดล้อมมเ่ี ออื้ ตอ่ การเรยี น ฝังคณุ ธรรม จริยธรรม ให้เปน็ บทเรยี นคอมพวิ เตอร์
รู้ ทำ�ใหผ้ เู้ รยี นอยากเรียนรู้ เป็นตวั แบบอย่างทดี่ ีเปน็ การ มลั ติมีเดยี หรือบทเรียนเครอื ขา่ ยทีส่ ามารถเผยแพรค่ วาม
เอกสารอา้ งองิ
กรมวิชาการ. (2546). หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศกั ราช 2546. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2542). พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ พ.ศ.2542 และที่แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ท่ี 2)
พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
จนิ ตนา กรพุ มิ าย. (2559). การพัฒนาความสามารถทางภาษาด้านการฟังและการพูดของเดก็ ปฐมวยั โดยการจดั
กิจกรรมการเลา่ นทิ าน. วิทยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา หลักสูตรและการสอน. มหาวทิ ยาลยั
ราชภัฎมหาสารคาม.
ชลธิดา ณ ลำ�พนู . (2558). ผลของการจัดกจิ กรรมดารเลา่ นิทานอสี ปท่ีมตี อ่ ความสามารถในการแก้ปญั หาของตนเอง
ในเดก็ ปฐมวัย โรงเรยี นอนบุ าลเมอื งใหม่ จงั หวดั ชลบุรี. วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการ
การปฐมวยั ศกึ ษา. มหาวทิ ยาลัยราชภฎั พระนคร
ชตุ มิ า ประจวบสุข. (2556). การศึกษาการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของเดก็ ปฐมวัยโดยใช้นิทาน. การศึกษา
คน้ ควา้ อิสระ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
บปุ ผา หนุนภกั ดี. (2561). รายงานผลการใช้ชดุ กิจกรรมการจดั ประสบการณ์การเล่านทิ านประกอบคำ�คลอ้ งจองเพือ่
พฒั นาทกั ษะทางภาษาด้านการฟงั และการพูด สำ�หรบั นักเรียน ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 3 โรงเรยี นวดั หนองพงั ตร.ุ
ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษากาญจนบรุ ี เขต 1 จงั หวัดกาญจนบรุ ี
เปรมวราพร พิณจริ วทิ ย.์ (2557). การพัฒนาคุณธรรมจรยิ ธรรมของนักเรยี นอนุบาล 1 โดยการประยกุ ต์ใช ้
การวิจยั เป็นฐาน. โรงเรียนบา้ นสามหลัง อำ�เภอศรสี วัสดิ์ จังหวดั กาญจนบุรี. ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต
สาขาวจิ ัยและประเมินผล มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี.
130
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ฝ่ายวิชาการโรงเรียนเทศบาล ๓ (บ้านยะกัง). (2559). รายงานประเมินตนเองโรงเรียนเทศบาล ๓ (บา้ นยะกงั ).
นราธิวาส : โรงเรยี นเทศบาล ๓ (บา้ นยะกัง).
วรรณี โสมประยรู และประภาพรรณ เอี่ยมสุภาษิต. (2541). คมู่ อื – แนวการสอนชดุ เตรียมความพรอ้ มแบบ
บรู ณาการ ชน้ั อนุบาลปที ี่ 1. กรงุ เทพฯ : ประสานมิตร.
วาโร เพ็งสวัสด.ิ ์ (2542). รายงานการวิจยั เรอ่ื ง การวิเคราะห์งานวิจยั ทางการศกึ ษาปฐมวยั . สกลนคร : สถาบัน
ราชภฏั สกลนคร.
วิรยิ ะ สิรสิ งิ ห.์ (2547). การสร้างสรรค์วรรณกรรมสำ�หรับเด็กและเยาวชน. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
ศุภธิดา เทยี นงาม. (2560). การศกึ ษาพฤติกรรมความระเบียบวินัยในการเข้าแถวของเดก็ ปฐมวัย ชัน้ อนุบาล
3 ขวบ ศูนยพ์ ฒั นาเด็กเล็กวดั โพธารามโดยใช้กจิ กรรมนทิ าน. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรบัณฑติ (การศึกษา
ปฐมวยั ) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต.
สนทิ สตั โยภาส. (2545). ภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สารและสืบคน้ . กรุงเทพฯ : เซน็ จูล่จี �ำ กัด.
สมควร ผาวงษา. (2553). ศึกษาผลการพัฒนาคุณธรรมของเดก็ ช้ันอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทาน.
วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบณั ฑติ . สาขาหลกั สตู รและการเรียนการสอน.มหาวิทยาลยั ราชภฎั มหาสารคาม.
สณั หพัฒน์ อรุณธาร.ี (2540). การพฒั นารูปแบบการจดั กิจกรรมเลา่ นิทานสำ�หรับนกั เรียนอนุบาล. ภเู ก็ต :
สถาบนั ราชภฎั ภเู กต็ .
ส�ำ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2550). กระบวนการเรียนรู้เพือ่ เสริมสร้างคณุ ธรรม จรยิ ธรรมเด็กอนบุ าล.
กรงุ เทพฯ : พรกิ หวานกราฟกิ .
ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. (2557). แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2552 – 2559). กรุงเทพฯ :
ส�ำ นักนายกรัฐมนตรี.
อนงค์ หมนื่ สา. (2553). ผลการจัดกิจกรรมเสรมิ ประสบการณโ์ ดยใชห้ นังสือนทิ านพ้ืนบ้านอีสานท่ีมีผลต่อการฟัง
และการพดู ของเด็กปฐมวยั . วทิ ยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบณั ฑิต. สาขาหลักสตู รและการสอน
มหาวิทยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม.
อรยา เจรญิ ธรรม. (2561). การใช้บทรอ้ งสรภญั ัญประกอบนิทานภาพเพือ่ พฒั นาคณุ ธรรมพืน้ ฐาน 8 ประการ
ช้นั อนบุ าลปที ี่ 3. โรงเรียนอนุบาลกาฬสนิ ธุ์ จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
กองบรรณาธิการ
131
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้แบบเน้นกระบวนการ
โดยใชช้ ดุ กิจกรรมสรา้ งสรรค์ เพ่อื พฒั นาทักษะพ้นื ฐาน
ทางวิทยาศาสตร์ สำ�หรบั ชั้นอนบุ าลปีที่ 2
The Learning Experiences by using Creative Activity Sets to Develop
Basic Science Skills for kindergarten, 2nd year
นนั ทนา ธนานุศักด์ิ *1
Nantana Tananusak *1
[email protected] *
ส่งบทความ 4 สิงหาคม 2562 แกไ้ ข 22 สิงหาคม 2562 ตอบรบั 11 กันยายน 2562
บทคัดยอ่
การศึกษาในครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบเน้นกระบวนการโดยใช้
ชุดกิจกรรม สร้างสรรค์ มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทยี บทกั ษะพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ อนบุ าล
ปที ี่ 2 กอ่ นและหลังการจดั ประสบการณก์ ารเรียนร้โู ดยใชช้ ดุ กิจกรรมสรา้ งสรรค์ และ 3) ศึกษาดชั นีประสทิ ธิผลของ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยแบบเน้นกระบวนการโดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้ง
น้ี ได้แกน่ กั เรียนช้ันอนุบาลปีที่ 2/4 ท่กี �ำ ลงั เรียนอย่ภู าคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลต�ำ บล
รอ้ งกวาง สงั กัดเทศบาลต�ำ บลรอ้ งกวาง จงั หวดั แพร่ จำ�นวน 32 คน ของเด็กชั้นอนบุ าลปที ่ี 2 ซึง่ ได้มาโดยการส่มุ แบบ
กลุ่ม ( Cluster Random Sampling ) เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ 2)
ชุดกจิ กรรมสร้างสรรค์เพื่อสร้างสรรค์ 3) แบบประเมินทกั ษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ จำ�นวน 50 ข้อ สถิตทิ ี่ใชใ้ นการ
วิเคราะหข์ ้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ยี ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคา่ t-test แบบ Dependent Samples
ผลการวจิ ัยพบว่า
1. การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรแู้ บบเนน้ กระบวนการโดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ มปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กบั
93.76/87.52 ซง่ึ เปน็ ไปตามเกณฑ์ทีก่ ำ�หนดไว้ 80/80
2. ผลการเปรยี บเทียบทักษะพื้นฐานทางวทิ ยาศาสตรข์ องเดก็ ปฐมวยั ชัน้ อนุบาลปีที่ 2 กอ่ นและหลังการ
จดั ประสบการณแ์ บบเนน้ กระบวนการโดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ พบวา่ เดก็ ระดบั ปฐมวยั ทไี่ ดร้ บั การจดั ประสบการณ์
แบบเนน้ กระบวนการโดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ มคี ะแนนเฉลย่ี หลงั จดั ประสบการณส์ งู กวา่ กอ่ นจดั ประสบการณ์ อยา่ ง
มีนัยส�ำ คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05
1 ครูช�ำ นาญการ โรงเรยี นเทศบาลวดั เหมอื งแดง อ�ำ เภอสงู เม่น จงั หวดั แพร่
1 Professinal Level Teachers Thessabanwatmuangdang school , Sungmen District, Phrae Province.
132
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
3. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบเน้นกระบวนการโดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์
เฉลีย่ โดยรวมเทา่ กับ 0.6132 แสดงวา่ เด็กปฐมวัยมีความกา้ วหน้าทางการเรยี นเพิ่มขน้ึ คิดเป็นรอ้ ยละ 61.35
คำ�ส�ำ คญั ชุดกจิ กรรมสรา้ งสรรค์ , ทกั ษะพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์
Abstract
This study the objective were to: 1) develop the learning experiences using a set of creative
activities that meet the criteria 80/80. 2) compare basic science skills kindergarten, 2nd year before
and after learning experiences using creative activity sets and 3) study the effectiveness index of the
learning experiences by using creative activity sets. The sample used in this research namely, kin-
dergarten students from year 2/4 who are studying in the second semester of academic year 2016,
Kindergarten Municipality, Rong Kwang Subdistrict Under the Municipality of Rong Kwang Subdistrict,
Phrae Province, the number of 32 children of kindergarten year 2, which was acquired by group
sampling. The tools used in the research were: 1) learning experience management plan 2) creative
activity set for creativity. 3) science basic skills assessment number 50 items. Statistics used in data
analysis were mean, standard deviation and t -test dependent samples.
The research found that
1. The learning experiences by using creative activity sets with efficiency of 93.76 / 87.52 which
is in accordance with the established criteria 80/80.
2. The comparison of basic science skills of early childhood kindergarten Year 2, before and
after the learning experiences by using creative activity sets, found that early childhood children who
received the process-oriented experience using creative activity sets having an average score after
organizing experiences higher than before organizing experiences with statistical significance at the
level of .05.
3. Effectiveness index of organizing process-oriented learning experiences using creative
activity sets the overall average is 0.6132, indicating that early childhood has increased learning prog-
ress. Accounted for 61.35 percent.
Keywords: creative activity sets , basic science skills.
บทน�ำ เป็น ทำ�เป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
สำ�หรับผู้สอนเองก็ต้องจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อ
แนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง การเรียนและเป็นผู้อำ�นวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิด
ชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 มาตรา 22 และ 24 ได้ก�ำ หนด การเรียนรู้ รวมท้ังตอ้ งผสมผสานสาระความรู้ตา่ ง ๆ อยา่ ง
แนวทางในการปฏิรูปการเรียนรโู้ ดยให้ถอื วา่ ผู้เรยี นมีความ ได้สัดส่วนสมดุลกัน ตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ี
สำ�คัญที่สุดซึ่งมีสาระสำ�คัญดังนี้ คือ สถานศึกษาต้องจัด ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (คณะ
กจิ กรรมและเนอื้ หาสาระใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจ ความ กรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. 2545 : 13-15) จากแนวทาง
ถนัดของผู้เรียน โดยคำ�นึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ดงั กลา่ วท�ำ ใหห้ นว่ ยงานและสถานศกึ ษาตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ใหผ้ เู้ รยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะกระบวนการคดิ การเผชญิ สถานการณ์ กบั การจดั การศกึ ษาตอ้ งมกี ารปฏริ ปู การศกึ ษาของตนใหม่
และประยกุ ต์ความรูจ้ ากประสบการณ์จรงิ เพ่ือให้ท�ำ ได้ คิด ทั้งระบบและทุกระดับ เพื่อท่ีจะได้สอดคล้องกับพระราช
133
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังน้ันการจัดการ ในสว่ นทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ทกั ษะหรอื กระบวนการ จ�ำ เปน็ ตอ้ งบู
ศกึ ษาในระดบั ปฐมวยั จงึ ตอ้ งยดึ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง (จงรกั รณาการทกั ษะทส่ี �ำ คัญและจำ�เป็นสำ�หรับเดก็ เช่น ทกั ษะ
อ่วมมเี พยี ร. 2547 : บทน�ำ ) การเคล่ือนไหว ทักษะทางสังคม ทักษะการคิด ทักษะ
การใช้ภาษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (กระทรวง
การศึกษาของเด็กระดับก่อนประถมศึกษาเป็น ศึกษาธิการ. 2546 : 35)
ช่วงการศึกษาท่ีสำ�คัญย่ิงด้วยเป็นรากฐานของชีวิตมนุษย์
และสิ่งนี้ยังฝังรากลึกมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราท้ังเป็น การจัดการเรียนการสอนในเด็กปฐมวัยต้องให้ได้
ฐานรองรับการศึกษาทุกระดับ การส่งเสริมพัฒนาการ เรียนจากประสบการณ์จริง การเรียนรู้ควรเป็นประโยชน์
และสรา้ งประสบการณ์ใหก้ ับเดก็ โดยวธิ ีการท่ถี ูกต้อง และ สัมพันธ์สอดคล้องกับชีวิตประจำ�วันและสังคมให้มากที่สุด
เหมาะสม จะเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน และ วิธีการเรียนรู้ท่ีดีต้องมาจากกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใน
ประเทศชาติ ดังนั้นการพัฒนาการศึกษาสำ�หรับเด็ก ตวั ผเู้ รยี น ผเู้ รยี นตอ้ งเปน็ ผสู้ รา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง ตามหลกั
ปฐมวัยนับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำ�คัญมากที่สุด เด็กควรได้มี การพฒั นาทางสติปัญญา การเรียนร้จู ากประสบการณ์ตรง
โอกาสพัฒนาการรบั รู้ ความสนใจ ความมเี หตผุ ล ความคิด กับสงิ่ แวดลอ้ มเป็นวธิ ีการทีใ่ ห้เด็กไดล้ งมอื คน้ ควา้ หาความ
สรา้ งสรรค์ และจนิ ตนาการ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2546 รู้ด้วยตนเอง จนเกิดความรู้ความเข้าใจ หาสาเหตุของ
: 1) โดยการเตรียมเด็กให้มีความพร้อมพัฒนาการตามวัย ปัญหา และก�ำ หนดวิธแี กไ้ ขเพ่อื ให้เกดิ ทกั ษะในการปฏบิ ตั ิ
และศักยภาพของแต่ละบุคคล จึงเป็นส่ิงสำ�คัญอย่างย่ิงท่ี จริง (ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ.์ 2554 : 8) และการส่งเสริมให้
ผู้เกี่ยวข้องจะต้องรับทราบ และดำ�เนินการเพื่อให้เด็กได้ เด็กรับรู้สิ่งแวดล้อมเป็นประสบการณ์พ้ืนฐานท่ีจะช่วยให้
มีสภาพเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และสามารถศึกษาใน เดก็ สามารถเผชญิ ปัญหาดว้ ยความเขา้ ใจ มองเห็นแนวทาง
ระดับที่สูงข้ึนไปได้อย่างมีความสุขตามความต้องการและ ว่าแต่ละปัญหาจะแก้ไขโดยวิถีทางใด เด็กได้ฝึกคิดในรูป
ความสนใจ อันจะทำ�ให้เกิดความเข้มแข็งของประชากร แบบต่าง ๆ และจากการท่ีเด็กได้แสวงหาความรู้ ได้แกไ้ ข
ในการพัฒนาและสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติต่อไป ปัญหาด้วยตนเอง เป็นการพัฒนาสติปัญญา มีเหตุผล มี
ในอนาคต (กรมวชิ าการ,กระทรวงศึกษาธิการ. 2546 : 2) ความคิดที่เป็นระบบระเบียบ ไม่เชื่อหรือยอมรับในสิ่งใด
การจัดการศึกษาสำ�หรับเด็กต้องมุ่งพัฒนาให้มีการเจริญ ๆ ท่ีตนยังไม่ได้พิสูจน์หรือคิดหาเหตุผลประกอบ ดังนั้น
เตบิ โตทุกดา้ น มีพลังความคดิ มีจติ ใจที่เขม้ แข็ง สามารถ การจัดประสบการณ์จึงควรเน้นคิดอย่างมีเหตุมีผล รู้จัก
สะสมความดีไว้ในตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กปฐมวัยซึ่ง การแก้ปัญหาในชีวิตประจำ�วันได้ การจัดประสบการณ์ท่ี
เป็นวัยท่ีมีการเจริญเติบโตด้านสมองสูงสุดยิ่งกว่าวัยอ่ืน เนน้ การเกบ็ ขอ้ มลู เพอ่ื ไวเ้ ปน็ เหตแุ ละผลเพอ่ื สง่ เสรมิ ทกั ษะ
โดยท่ีสมองมิได้ทำ�หน้าที่รู้คิด และเรียนรู้ได้สมบูรณ์มา กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ ควรจดั ประสบการณใ์ หเ้ ดก็ ไดม้ ี
พร้อมกับการกำ�เนิด แต่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี โอกาสใชป้ ระสาทสมั ผสั ท้งั ห้า โดยสังเกต สำ�รวจ ค้นควา้
ประสิทธิภาพของสมองจึงข้ึนอยู่กับคุณภาพของการจัด ทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูล และลงมือกระทำ�กจิ กรรมดว้ ย
กจิ กรรมการเรียนการสอน การกระตุ้นประสบการณ์เรยี น ตนเองเพื่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้เกยี่ วกับส่ิงตา่ ง ๆ โดยเร่ิมจาก
รู้ และปฏสิ ัมพนั ธ์เชิงบวกเปน็ สว่ นส�ำ คญั ที่สง่ ผลใหส้ มอง ส่ิงที่อยู่ใกล้ตัวก่อนแล้วขยายไปสู่สิ่งท่ีอยู่รอบ ๆ ตัว โดย
เรียนรู้ได้ถึงขีดสุดของศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. ค�ำ นงึ ถงึ ความสนใจความสามารถของเดก็ และสถานการณ์
2546 : 12) การส่งเสริมพฒั นาการทกุ ด้าน ท้งั ด้านรา่ งกาย ทเ่ี หมาะสม เพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั ความรคู้ วามเขา้ ใจ สามารถพฒั นา
อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา ซงึ่ จ�ำ เปน็ ตอ่ การพฒั นา ความคิดและรู้จักหาคำ�ตอบแบบวิทยาศาสตร์ได้ (ศรีนวล
เด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งนี้สาระการเรียนรู้สำ�หรับ รัตนานันท์ 2555 : 72) การเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้
เด็กระดับปฐมวัย จึงประกอบไปด้วยองค์ความรู้ ทักษะ จากการลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ไดส้ มั ผสั โดยตรงกบั สอื่ หรอื แหลง่
หรือกระบวนการ และคุณลักษณะหรือค่านิยม คุณธรรม เรียนรู้ที่เหมาะสมกับพัฒนาการเพ่ือสร้างองค์ความรู้ด้วย
จรยิ ธรรม ความร้สู ำ�หรบั เดก็ อายุ 3 - 5 ปี จึงเป็นเร่อื งราว ตนเอง โดยมีผู้ใหญห่ รอื ครพู ร้อมทั้งเพ่อื นใหค้ �ำ แนะนำ�เม่อื
ท่ีเกี่ยวข้องกับตัวเด็ก บุคคล และสถานที่ที่แวดล้อมเด็ก เด็กต้องการ รวมทั้งการได้ประเมินผลการเรียนรู้เพ่ือการ
ธรรมชาติรอบตัว และสงิ่ ตา่ งๆ รอบตวั เด็ก ทเ่ี ด็กมโี อกาส ปรับปรงุ หรอื พฒั นา หลกั การเรยี นรู้ดงั กล่าวจะช่วยให้เด็ก
ใกลช้ ดิ และเปน็ สง่ิ ทเ่ี ดก็ สนใจ จะไมเ่ นน้ เนอื้ หา การทอ่ งจ�ำ ได้ท้ังองค์ความรู้และกระบวนการในการแสวงหาความรู้ท่ี
134
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
เปน็ เครอ่ื งมอื ส�ำ คญั ในการศกึ ษาตอ่ ไป (จติ เกษม ทองนาค. ส่ือกลางในการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กซึมซับสารสนเทศ หรือ
2549 : 3) ดงั นน้ั จงึ กลา่ วไดว้ า่ การเรยี นวทิ ยาศาสตรใ์ นเดก็ เกบ็ บนั ทึกความจำ� การกระท�ำ ของตน (กุลยา ตันตผิ ลา
ระดบั ปฐมวยั เปน็ ปจั จยั ทสี่ �ำ คญั ของพน้ื ฐานการเรยี นรู้ การ ชีวะ. 2551 : 35) ในการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะ เด็กจะต้องคิด
ท่ีได้คิดแก้ปัญหา ได้แสวงหาความรู้จากการลงมือกระทำ� สำ�รวจ ตรวจสอบ สร้างสรรค์ให้สัมพันธ์กับวัสดุเป็นการ
ด้วยตนเองในเร่ืองท่ีสนใจและปลูกฝังให้เด็กมีนิสัย ช่าง ช่วยให้เด็กได้เรียนด้วยการกระทำ�จริงมีประสบการณ์ตรง
สงั เกต ช่างจดจ�ำ ถอื ไดว้ ่าเป็นบันไดขัน้ แรกของการเรียน ให้เดก็ เรยี นรู้ โดยใหโ้ อกาสเด็กในการเลน่ สำ�รวจ ทดลอง
วิทยาศาสตร์ ปัญหาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ มีโอกาสเลือกและสร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเองอย่างเป็น
เด็กไม่มปี ระสบการณใ์ นการคิดและการปฏบิ ตั ิ เพราะการ อิสระ (สิรมิ า ภญิ โญอนนั ตพงษ์ 2553. 36 - 37)
สอนส่วนใหญจ่ ะเปน็ การทอ่ งจำ�จากบทเรียน แตก่ ารเรยี น
รู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำ�บลร้องกวาง เทศบาลตำ�บล
แก่เด็กทำ�ได้ไม่ยาก เน่ืองจากวิทยาศาสตร์เป็นการแก้ ร้องกวาง จังหวัดแพร่ สภาพชุมชนในเขตบริการและ
ปญั หาอย่างมีเหตุผลเรียกวา่ พื้นฐานทางวทิ ยาศาสตร์ เด็ก บริเวณใกล้เคียงเกี่ยวกับอาชีพของผู้ปกครองส่วนใหญ่
ปฐมวัยสามารถเรียนรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้โดยใช้ ฐานะค่อนข้างยากจน มีอาชีพเกษตรกรรม และรับจ้าง
ประสบการณ์การคิดและปฏิบัติ (กุลยา ตันติผลาชีวะ. ทั่วไป ส่งผลกระทบต่อการดูแลบุตร - หลาน ในปีการ
2551 : 172) และศรีนวล รตั นานนั ท์ (2545 : 52) กลา่ ว ศกึ ษา 2558 จ�ำ นวนเด็กชั้นอนุบาลปีท่ี 2 จำ�นวนทัง้ หมด
วา่ การเรียนวทิ ยาศาสตร์เร่ิมได้ตงั้ แต่ระดบั ปฐมวัย เพราะ 114 คน ผู้ศึกษาได้รับมอบหมายให้ทำ�หน้าที่ดูแลอบรม
เดก็ ปฐมวยั เปน็ วยั ทมี่ พี ฒั นาการเรยี นรสู้ งู ชอบการแสวงหา และจดั ประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัย ชัน้ อนบุ าลปที ี่ 2/4
ประสบการณ์ที่แปลกใหม่รอบตัว ด้วยความอยากรู้อยาก มจี ำ�นวน 32 คน แยกเป็นชาย 16 คน หญิง 16 คน ผล
เห็นเป็นช่วงวัยที่เหมาะต่อการปูพื้นฐานการศึกษา และ การประเมินความพร้อมของพัฒนาการเด็กปฐมวัย ปีการ
สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎขี องพีอาเจท์ ได้กลา่ วถึงเดก็ อายุ 2 - 7 ศึกษา 2557 - 2558 พัฒนาการดา้ นรา่ งกายมคี วามพรอ้ ม
ปี อยใู่ นระยะการคดิ อยา่ งไมใ่ ชเ้ หตผุ ลทส่ี มบรู ณ์ พฒั นาการ เฉลยี่ รอ้ ยละ 89.15 พฒั นาการดา้ นอารมณ์ – จติ ใจมคี วาม
ทางสติปัญญาของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้านการ พรอ้ มเฉล่ยี รอ้ ยละ 87.44 พัฒนาการ ดา้ นสังคม มคี วาม
รบั รู้ การเรียนรู้ การจำ� การแก้ปัญหา เดก็ ปฐมวัยเป็นนกั พร้อมเฉล่ียร้อยละ 87.44 และพัฒนาการด้านสติปัญญา
วทิ ยาศาสตร์โดยธรรมชาติอย่แู ลว้ การสร้างประสบการณ์ มีความพร้อมเฉลยี่ ร้อยละ 78.90 แสดงว่าพัฒนาทางสติ
ทางวทิ ยาศาสตร์ คอื การสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ สนใจ อยากรอู้ ยาก ปัญญา มีพัฒนาการความพร้อมน้อยกว่าด้านอื่น ๆ ซึ่ง
เห็นสิ่งรอบ ๆ ตัว เพราะทุกส่ิงทุกอย่างท่ีอยู่รอบตัวล้วน ตำ่�กว่าเกณฑ์ที่เป้าหมายของหลักสูตรสถานศึกษาระดับ
ประกอบดว้ ยความคดิ รวบยอดทางกายภาพ ประสบการณ์ ปฐมวัยกำ�หนดไว้ และผลการประเมินคุณภาพจาก สมศ.
ทางวิทยาศาสตร์ท่ีเด็กได้รับจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต คร้ังที่ 2 ปีการศกึ ษา 2553 คณุ ภาพนกั เรียนในมาตรฐาน
ประจำ�วนั ของเดก็ ถ้าเดก็ ไดร้ จู้ ักส่งิ ตา่ ง ๆ รอบตวั เขา้ ใจสง่ิ ท่ี 4 ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์
ทีส่ งสัย และสามารถพัฒนาความคิด รจู้ กั หาค�ำ ตอบ แบบ มีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไตร่ตรอง และมี
วทิ ยาศาสตร์ได้ (เยาวพา เดชะคปุ ต.์ 2547 : 46) วสิ ยั ทศั นอ์ ยใู่ นระดบั ทต่ี อ้ งพฒั นา คณะกรรมการผปู้ ระเมนิ
แนะน�ำ ใหโ้ รงเรยี นปรบั ปรงุ และพฒั นาคณุ ภาพนกั เรยี น โดย
การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นกระบวนการ การจดั กระบวนการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ใหผ้ เู้ รยี นเปน็ ส�ำ คญั
เป็นกิจกรรมท่ีเด็กสามารถแสดงออกของความคิดในการ ไดฝ้ กึ ทกั ษะการคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ เพอ่ื เปน็ พน้ื ฐานการคดิ
ผลิตสิ่งใหม่ ซง่ึ อาจเปน็ การทำ�ใหม่ ดดั แปลงหรือปรับปรุง พิจารณา เลือกไตร่ตรองตัดสนิ ปญั หาต่าง ๆ ที่เด็กตอ้ งพบ
สิ่งที่มีอยู่เดิมให้เป็นสิ่งใหม่ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้อย่าง ในชีวิตประจำ�วัน การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่
หน่ึงของเด็กปฐมวัยซ่ึงเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ ชอบค้นคว้า เน้นผู้เรียนเป็นสำ�คัญ ซ่ึงควรพัฒนาตั้งแต่ระดับการศึกษา
ทดลองสำ�รวจและสร้างสรรค์ส่ิงแปลกใหม่ที่ศึกษาจากส่ิง ปฐมวยั และจากประสบการณใ์ นการจดั การศกึ ษาในระดบั
แวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวโดยเร่ิมจากการใช้ประสาทสัมผัส ปฐมวัย พบว่า การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่
ดา้ นตา่ ง ๆ การลองผดิ ลองถกู การเลยี นแบบ การแกป้ ญั หา สอดคล้องความสนใจของเด็กปฐมวัยเน่ืองจากลักษณะ
อันจะนำ�ไปสคู่ วามคิดรวบยอดทส่ี ำ�คญั นอกจากน้ียงั เป็น การจัดกิจกรรมมีการเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือกระทำ�กับ
135
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สื่อวัสดุอุปกรณ์ การวาดภาพระบายสี การปั้น การเล่น สร้างสรรค์ ยังขาดรูปแบบในการจัดกิจกรรมให้เป็นที่น่า
กบั สี การประดิษฐเ์ ศษวสั ดุ เปน็ ต้น และจากกระบวนการ สนใจตอ่ นกั เรยี นเทา่ ทคี่ วร ผศู้ กึ ษาจงึ มคี วามสนใจกจิ กรรม
ในการทำ�กิจกรรมจะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้สำ�รวจ ค้นคว้า สรา้ งสรรคแ์ บบเนน้ กระบวนการ เพอื่ พฒั นาทกั ษะพน้ื ฐาน
และทดลอง ในบางคร้ังเด็กต้องสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทางวิทยาศาสตร์ สำ�หรับเด็กชั้นอนุบาลปีท่ี 2 ท้ังนี้เพ่ือที่
ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งของสี รปู ทรง รูปรา่ ง พืน้ ผิว ของวสั ดตุ ่าง จะพัฒนาทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงเป็นกระบวน
ๆ เพื่อนำ�มาเป็นข้อมูลในการสร้างงานศิลปะสร้างสรรค์ การทางความคิด รวมทั้งพัฒนาการด้านสติปัญญาโดย
ดงั ที่ สิรยิ า พนั โสรี (2553 : 67) ได้ศึกษาการพัฒนาการ การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์แบบเน้นกระบวนการให้กับ
แสดงออกของพ้ืนฐานทางศิลปะของเด็กปฐมวัย ด้วย เด็กได้พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและโดยเฉพาะจะช่วย
กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ พบวา่ เดก็ ปฐมวยั ทไ่ี ดร้ บั การจัด สร้างประสบการณท์ างศลิ ปะกับเดก็ ชว่ ยให้เดก็ ได้คน้ คว้า
กจิ กรรมการแสดงออกของพน้ื ฐานทางศลิ ปะมคี ะแนนเฉลยี่ ทดลอง และส่ือสารทางความคิด ความรู้สึกของตน ให้
รายดา้ น ดา้ นเส้น รปู ทรง สี และกรอบความคิดของภาพ สามารถ เขา้ ใจผู้อนื่ และเขา้ ใจโลกทอ่ี ยรู่ อบตัว เพอ่ื เป็นพืน้
ทกุ ดา้ นแตกตา่ งจากกอ่ นการจดั กจิ กรรม และเปลยี่ นแปลง ฐานการสรา้ งสรรคเ์ ยาวชนใหเ้ จรญิ เตบิ โตเปน็ คนดี คนเกง่
สูงข้ึนเพียงบางด้านซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของพนิดา มีความสามารถคิดและทำ�ในส่ิงท่ีเหมาะสมสามารถพัฒนา
ชาตยาภา (2549 : 64) ไดศ้ กึ ษากระบวนการพฒั นาการ ความเจรญิ ในสงั คมต่อไป
สื่อความหมายของเด็กปฐมวัยโดยการสร้างเร่ืองราวใน
กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ถ่ายทอด วัตถุประสงค์ของการศึกษา
ความคดิ อยา่ งอสิ ระทม่ี กี ารสนทนาซกั ถามและเลา่ เรอ่ื งจาก 1. เพื่อจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบ
ส่ิงทพี่ บเหน็ แลว้ น�ำ มาสรา้ งเป็นผลงานศิลปะ ซงึ่ มีผลตอ่ เน้นกระบวนการ โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ ให้มี
การพฒั นาการสอื่ ความหมายของเดก็ ปฐมวยั และนอกจาก ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
นน้ั แลว้ ยงั มนี กั วจิ ยั ในประเทศไดศ้ กึ ษาพฒั นาทกั ษะพน้ื ฐาน
ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมการเรียน 2. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนทักษะพ้ืนฐานทาง
การสอนแบบจิตปัญญา โดยจติ รเกษม ทองนาค (2549 : วิทยาศาสตร์ด้านการสังเกต การจำ�แนก ประเภท การ
78) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาทกั ษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตรข์ อง ส่อื สาร และการลงความเห็นข้อมลู กอ่ นและหลังการจัด
เดก็ ปฐมวยั โดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนแบบจติ ปญั ญา ประสบการณ์การเรียนรู้ แบบเน้นกระบวนการโดยใช้ชุด
ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์
ของเด็กปฐมวัย หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 3. เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัด
แบบ จิตปัญญา โดยรวมและจำ�แนกรายทักษะมีค่าเฉลี่ย ประสบการณ์การเรียนรู้ แบบเน้นกระบวนการโดยใช้ชุด
คะแนนสูงข้ึนอยู่ในระดับดี เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการ กิจกรรมสรา้ งสรรค์
ทดลอง พบว่าแตกต่างอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ระดับ
.01 ซงึ่ ตรงกับผลการศึกษาของล�ำ ดวล ป่ันสนั เทยี ะ (2552 สมมติฐานของการวิจยั
: 69) ได้ศึกษาผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่มี
ต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำ�หรับเด็กปฐมวัย ผล เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีท่ี 2 มีทักษะพื้นฐาน
การศกึ ษาพบว่า เด็กปฐมวยั กอ่ นการจัดประสบการณแ์ ละ ทางวิทยาศาสตร์ หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดย
หลังการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ที่มีต่อทักษะพ้ืน ใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง
ฐานทางวทิ ยาศาสตรส์ �ำ หรบั เดก็ ปฐมวัย แตกต่างกันอยา่ ง วิทยาศาสตร์ สูงกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์การ
มีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเด็กปฐมวัยมีทักษะ เรยี นรู้
กระบวนการวิทยาศาสตร์ เฉล่ียโดยรวมตามทักษะหลัง ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
การจดั ประสบการณแ์ บบโครงการสงู กวา่ กอ่ นทดลอง จาก
ผลการวิจัยท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ และเพื่อแก้ปัญหาตามผลการ 1. ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีเป็นเด็กช้ัน
ประเมนิ คณุ ภาพนกั เรยี นเพอื่ ปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ ว อนุบาล ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปี ที่กำ�ลังศึกษาอยู่ในชั้น
การจดั ประสบการณท์ เี่ นน้ กระบวนการ และกจิ กรรมศลิ ปะ อนบุ าลปที ี่ 2 จ�ำ นวน 4 หอ้ งเรยี น จ�ำ นวน 124 คน ประกอบ
136
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ดว้ ยระดบั ชน้ั อนบุ าล 2/1 จ�ำ นวน 31 คน ระดบั ชน้ั อนบุ าล 2. ชุดกจิ กรรมสร้างสรรค์ หมายถงึ กิจกรรมที่
2/2 จ�ำ นวน 29 คน ระดับชน้ั อนุบาล 2/3 จ�ำ นวน 32 คน ชว่ ยพฒั นาเดก็ ใหแ้ สดงออกทางอารมณค์ วามรสู้ กึ ความคดิ
ระดบั ชัน้ อนบุ าล 2/4 จำ�นวน 32 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปี ริเริ่มสรา้ งสรรค์ โดยใช้ศิลปะหรือวธิ ีการต่าง ๆ เป็นเครื่อง
การศกึ ษา 2559 โรงเรียนอนบุ าลเทศบาลต�ำ บลรอ้ งกวาง มอื เดก็ ไดม้ โี อกาสฝกึ ฝนปฏบิ ตั กิ บั งานศลิ ปะ ตามความคดิ
เทศบาลต�ำ บลรอ้ งกวาง จงั หวัดแพร่ และจินตนาการอย่างอิสระกับวัสดุจากธรรมชาติและวัสดุ
เหลือใช้ท่ีหาได้ในท้องถ่ินมาต่อเติมโดยให้เด็กเป็นผู้ลงมือ
2. กลมุ่ ตวั อย่างที่ใชใ้ นการศกึ ษาครง้ั น้ี เป็นเด็ก กระท�ำ ด้วยตนเองตามกระบวนการวางแผนปฏิบัตงิ าน
ช้ันอนุบาล อายุ 5-6 ปี ทก่ี ำ�ลังศึกษาอยใู่ นช้นั อนุบาลปีที่ 2
จำ�นวน 1 ห้องเรยี น ไดแ้ ก่ เดก็ ช้ันอนบุ าลปีท่ี 2/4 จำ�นวน 3. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบเน้น
32 คน ชาย 16 คน หญงิ 16 คน ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการ กระบวนการ โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสร้างสรรค์ หมายถึง การ
ศึกษา 2559 โรงเรียนอนุบาลเทศบาล ตำ�บลร้องกวาง จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรสู้ �ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั ตามแผนการ
เทศบาลตำ�บลร้องกวาง จังหวดั แพร่ โดยใชห้ ้องเรียนเป็น จัดประสบการณ์โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นสื่อของ
หน่วยในการสุ่ม และแต่ละห้องเรียนเด็กมีความสามารถ ส่ิงที่เรียนรู้ ที่ส่งเสริมทักษะพ้ืนฐานทางด้านวิทยาศาสตร์
คละกนั ซง่ึ ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบกลมุ่ ( Cluster Random สำ�หรับเด็กชั้นอนุบาลปีท่ี 2 ด้านการสังเกต ด้านการ
Sampling ) จำ�แนกประเภท ด้านการสื่อสาร และด้านการลงความ
เหน็ จากขอ้ มลู ซง่ึ มขี นั้ ตอนส�ำ คัญของการจดั กจิ กรรม 4
ตวั แปรทศ่ี กึ ษา ข้ันตอน ดงั นี้
1.ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดประสบการณ์การ 1. ขนั้ กระตนุ้ การเรยี นรู้ โดยการสนทนา และ
เรยี นรู้ แบบเนน้ กระบวนการโดยใชช้ ดุ กิจกรรมสรา้ งสรรค์ ทบทวนความรเู้ ดมิ กบั เดก็ กอ่ นการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเกย่ี วกบั
2.ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะพื้นฐานทาง หัวข้อการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม เพ่ือแนะนำ�อปุ กรณ์และขัน้ ตอน
วิทยาศาสตรข์ องเดก็ อนุบาล ประกอบดว้ ย ในการท�ำ กิจกรรม
- การสังเกต
- การจ�ำ แนกประเภท 2. ขน้ั น�ำ สงู่ านศลิ ปะ โดยครแู ละอาสาสมคั ร
- การส่ือสาร สาธิตวิธีการทำ�กิจกรรม เปิดโอกาสให้เด็กเข้ากลุ่มเพ่ือน
- การลงความเห็นจากข้อมูล เพอ่ื ปฏบิ ัติการลงมือทำ�งานสร้างสรรค์อย่างอิสระ ครคู อย
ชีแ้ นะให้คำ�ปรึกษา
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
3. ข้ันสรุป โดยครูสังเกตพฤติกรรม การ
1. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ หมายถึง ปฏิบตั ิ เก่ียวกบั ทกั ษะพื้นฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ด้านการ
การจัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณ์และการจัด สงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การสอ่ื สาร และการลงความ
สภาพแวดล้อมท้ังภายนอกและภายในห้องเรียนให้กับเด็ก เหน็ จากข้อมลู
ปฐมวัย โดยให้ได้รับประสบการณ์ตรงและการเล่น การ
ลงมือปฏิบัติ ซ่ึงจะทำ�ให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี และ เพื่อส่ง 4. ขน้ั นำ�ไปจดั นิทรรศการ โดยนกั เรียนน�ำ ผล
เสริมพัฒนาการให้ครบทุกด้านท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ งานของตนเองไปจดั แสดงนทิ รรศการรว่ มกนั กบั เพอ่ื นเพอื่
อารมณ์ สังคมและสติปัญญา โดยมิใช่มุ่งจะให้อ่านเขียน การประเมินผลด้วยตนเองพรอ้ มสรุปผลการเรยี นรู้รว่ มกัน
ได้ดังเช่นในระดับประถมศึกษาแต่เป็นการปูพื้นฐานหรือ 5. ข้ันสร้างสรรค์งานอย่างอิสระโดยครูเปิด
พฒั นาทกั ษะทจ่ี �ำ เปน็ ตอ่ การเรยี นรไู้ ดด้ ี เพอ่ื สง่ เสรมิ พฒั นา โอกาสใหเ้ ดก็ ทที่ �ำ งานทไี่ ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แลว้ สามารถ
ให้ครบทุกด้าน เช่น ทักษะในการสังเกตโดยผ่านประสาท เลือกทำ�กิจกรรมสร้างสรรค์ อย่างอิสระ หรือ ตามท่ีเด็ก
สัมผสั ทงั้ หา้ ตอ้ งการไดอ้ กี 1 กจิ กรรม เชน่ การวาดภาพระบายสี การ
ป้ัน การเล่นสนี ้�ำ เป็นตน้
137
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
4. ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง กจิ กรรมครบ 10 สัปดาห์ ซ่ึงเปน็ ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์
พฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถ หรือความชำ�นาญท่ี
เกดิ จากการปฏบิ ตั ิ และฝกึ ฝนกระบวนการคดิ อยา่ งมรี ะบบ 6. ดัชนีประสิทธิผล หมายถึง ค่าแสดงความ
โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั ทงั้ หา้ ในการรบั รู้ คน้ หาความรู้ และแก้ กา้ วหนา้ ในการเรยี นของเดก็ ปฐมวยั หลงั จากทไี่ ดร้ บั การจดั
ปญั หาด้วยพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เป็นทกั ษะเบอ้ื งต้น ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรคเ์ พอื่ สง่
ท่มี ีความเรยี บงา่ ย ไมซ่ ับซอ้ น และมีความสมั พนั ธ์ต่อเนือ่ ง เสรมิ ทกั ษะพน้ื ฐานทางดา้ นวทิ ยาศาสตรข์ องเดก็ อนบุ าลชนั้
กัน เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ปีที่ 2 โดยเปรียบเทียบคะแนนจากการทดสอบก่อนและ
อายุ 5-6 ปี จำ�นวน 4 ทกั ษะ ประเมนิ จากแบบประเมิน ท่ี หลังการจัดประสบการณ์
ผูศ้ ึกษาสร้างขึ้น ดงั นี้ เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการศึกษาคน้ คว้า
1. การสงั เกต หมายถึง ความสามารถในการ 1. แผนการจดั กจิ กรรมแบบเนน้ กระบวนการโดย
ใชป้ ระสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ โดยใชเ้ พยี งอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ หรอื ใช้ ใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ จ�ำ นวน 50 แผน มคี า่ เฉลย่ี เทา่ กบั
หลายอย่างรวมกันเพ่ือบอกคุณลักษณะหรือองค์ประกอบ 4.52 แสดงวา่ มคี วามเหมาะสมในระดบั มากทสี่ ุด
รวมของส่ิงท่ีสัมผัสนั้นได้อย่างชดั เจน
2. ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ จำ�นวน 10 ชุด 50
2. การจำ�แนกประเภท หมายถึง ความ กจิ กรรม มคี ่าดัชนีความสอดคลอ้ งเทา่ กับ 1.00
สามารถในการจัด ด้วยการเรียง แยกหรือแบ่งสิ่งของต่าง
ๆ รอบตัว ตามคณุ ลกั ษณะทมี่ ีความเหมอื น 3. แบบประเมินทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์
จำ�นวน 2 ชุด ได้แก่ แบบประเมินทักษะพ้ืนฐานทาง
3. การสอ่ื สาร หมายถงึ ความสามารถในการ วิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน มีค่าดัชนีความ
บอกข้อความ หรือเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ค้นพบจากการสังเกต สอดคลอ้ ง เทา่ กับ 1.00
การทดลอง เพอื่ ใหผ้ ้อู ืน่ รใู้ นสง่ิ ที่ตนตอ้ งการส่อื
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
4. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู หมายถงึ ความ
สามารถในการอธิบายหรือสรุปความเห็นสิ่งท่ีค้นพบหรือ 1) ประเมินทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ ของ
อธิบายส่งิ ท่ีเกดิ ขน้ึ ตามมา ที่ได้จากประสบการณ์การเรยี น เด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีท่ี 2 คร้ังท่ี 1 โดยใช้เคร่ืองมือ
รรู้ ่วมกับการใชเ้ หตุผล ประเมนิ ทกั ษะพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ส�ำ หรับเดก็ ช้ันอนบุ าล
ปที ี่ 2 ท่ีผ้ศู ึกษาสรา้ งข้นึ ในวนั ท่ี 1-4 พฤศจกิ ายน 2559
5. ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หมายถึง
เกณฑ์คุณภาพด้านกระบวนการและผลผลิตของกิจกรรม 2) ดำ�เนินการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์แบบเน้น
สร้างสรรค์ สำ�หรับพัฒนาทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการ และผู้ศึกษาสังเกตพฤติกรรมขณะจัด
ท่ีผู้ศึกษาสร้างขึ้น ทำ�ให้เด็กชั้นอนุบาลเกิดการเรียนรู้ตาม กิจกรรม บันทึกการตอบคำ�ถามที่เก่ียวกับทักษะพ้ืนฐาน
เกณฑ์ 80/80 ทางวิทยาศาสตร์ ภาพกิจกรรมและผลงาน ตั้งแต่วันที่ 7
พฤศจกิ ายน 2559 ถึงวนั ท่ี 27 มกราคม 2560 ในชว่ ง
80 ตัวแรก หมายถงึ รอ้ ยละ 80 ของคะแนน เวลากิจกรรมสรา้ งสรรค์
เฉล่ียท่ีเด็กปฐมวัยทุกคนทำ�ได้จากแบบประเมินพัฒนา
ทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ ระหว่างจัดกิจกรรมทุกๆ 3) ประเมนิ ทกั ษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ส�ำ หรบั
วันสุดท้ายของแต่ละสัปดาห์ ซ่ึงเป็นประสิทธิภาพของ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 ครั้งที่ 2 โดยใช้เครื่องมือประเมิน
กระบวนการ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ผู้ศึกษา
สร้างขึ้นชุดเดียวกันกับครั้งท่ี 1 ในวันที่ 30 มกราคม
80 ตัวหลงั หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนน 25560 - 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2560
เฉลี่ยท่ีเด็กปฐมวัยทุกคนทำ�ได้จากการทำ�แบบประเมิน
พัฒนาการทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หลังจากจัด 4) นำ�ข้อมูลที่ได้จากการประเมินไปทำ�การ
วิเคราะห์ข้อมูลทางสถติ ติ ่อไป
138
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะหห์ าประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ เพอื่ สง่ เสรมิ ทกั ษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์
ของเดก็ ปฐมวัย ชัน้ อนุบาลปีที่ 2 ให้มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
ตาราง 1 ประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ พฒั นาทกั ษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล
ปีที่ 2
รายการประเมิน คะแนนเตม็ X S.D ร้อยละ
ของคะแนนเฉล่ยี
ประสิทธภิ าพของกระบวนการ (E1) 150 140.64 2.78 93.76
ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ (E2) 20 17.50 2.35 87.52
ประสิทธภิ าพของกจิ กรรมสรา้ งสรรค์ (E1/E2) เท่ากบั 93.76/87.52
ปท (Eร่ี 22ะ) สเมทบปี ่ากกราจะบัราสณกิท8ก์ต7ธาาิภ.5รราเ2ารพงียดน(ัง1Eรน1ไู้ /้นัพดEอ้บ2ช)ยวุดา่เ่าทกงมจิ่าปกปีกรับรระระสม9สิท3สิทธ.รธ7ิภา้ ภิ6งา/าสพ8พร7ขร.อค5ง์2กพซรฒั ะึง่ นเบปาวน็ทนไกั กปษาตะราพม(ืน้ เEกฐ1ณา) นฑเททท์ า่า่กี งกำ�วับหิทนย9ดา3ศไว.า7้ส68ต0รแ/์ 8ลข0ะอปงสเราดะม็กสาปิทรฐถธมนิภวำ�ายั ไพปชขใชัน้อใ้องนผนกลุบาลารัพลจปัดธ์ี
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนความพร้อมพื้นฐานด้านทักษะพื้นฐานทาง
วทิ ยาศาสตร์ ของเด็กปฐมวัย ชัน้ อนุบาลปที ี่ 2 ก่อนและหลงั การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ แบบเนน้ กระบวนการ โดย
ใชช้ ุดกจิ กรรมสรา้ งสรรค์ พฒั นาทักษะพืน้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวยั ชนั้ อนบุ าลปีที่ 2
ตาราง 2 การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ของเด็กปฐมวัย ช้ันอนุบาลปีท่ี 2 ก่อนและหลังการจัด
ประสบการณ์ แบบเนน้ กระบวนการ โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสร้างสรรค์
คะแนน จ�ำ นวนนกั เรียน คะแนนเต็ม X S.D t-test
ก่อนจดั ประสบการณ์
หลงั จดั ประสบการณ์ 32 20 13.54 2.98 34.80*
32 20 17.50 2.23
* นัยสำ�คัญทีร่ ะดบั .05
จากตาราง 2 ผลการเปรียบเทียบทักษะพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวัย ชั้นอนบุ าลปที ี่ 2 กอ่ นและ
หลงั การจดั ประสบการณ์ แบบเนน้ กระบวนการ โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ พบว่า เด็กระดบั ปฐมวยั ทไี่ ดร้ บั การจดั
ประสบการณ์ แบบเน้นกระบวนการ โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ มีคะแนนเฉลี่ยหลังจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนจัด
ประสบการณ์ อยา่ งมีนัยสำ�คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05
ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีประสทิ ธิผลของการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ แบบเน้นกระบวนการ โดยใช้
ชุดกิจกรรมสรา้ งสรรค์ เพ่ือพฒั นาทักษะพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวัย ช้นั อนุบาลปที ่ี 2
139
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ตาราง 3 การวเิ คราะหห์ าคา่ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ แบบเนน้ กระบวนการ โดยใชช้ ดุ กจิ กรรม
สรา้ งสรรค์
N คะแนนเตม็ คะแนน รอ้ ยละ E.I.
ก่อนเรียน หลงั เรยี น กอ่ นเรียน หลังเรยี น
32 20 433 560 67.66 87.52 0.6135
จากตาราง 3 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบเน้นกระบวนการ โดยใช้ชุด
กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ เฉล่ียโดยรวมเท่ากบั 0.6132 แสดงว่า เด็กปฐมวัยมีความก้าวหนา้ ทางการเรยี นเพ่ิมข้ึน คดิ เป็นรอ้ ย
ละ 61.35
อภปิ รายผล สร้างสรรค์ จากเอกสารตำ�ราท่ีเก่ียวข้อง แล้วดำ�เนิน
การสร้างโดยยึดหลักการและเป้าหมาย จุดมุ่งหมายของ
1. ประสิทธิภาพของการจัดประสบการณ์การ หลักสูตร เพ่ือให้เด็กได้พัฒนาความคิดรวบยอด ฝึกการ
เรยี นรู้ แบบเนน้ กระบวนการ โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ สงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การส่ือสาร และการลงความ
เพ่อื พัฒนาทักษะพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวัย เห็นจากข้อมูล จึงควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ทำ�กิจกรรม
ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 93.76/87.52 สรา้ งสรรค์ทหี่ ลากหลายเหมาะสมกบั วัย ฝกึ การแก้ปญั หา
ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำ�หนดไว้ 80/80 แสดงให้เห็นว่า ชุด ในชีวิตประจำ�วันและในการทำ�กิจกรรมท้ังท่ีเป็นกลุ่มย่อย
กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนอีก กลมุ่ ใหญ่ หรอื รายบุคคล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2546) ใน
กิจกรรมหน่ึงใน 6 กิจกรรมหลักท่ีเด็กปฐมวัยควรได้รับ การสร้างแผนการจัดประสบการณ์ แบบเน้นกระบวนการ
การจดั ประสบการณ์ ไดแ้ ก่ กิจกรรมสรา้ งสรรค์ กจิ กรรม ผศู้ กึ ษามีผเู้ ช่ียวชาญคอยตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม
เสริมประสบการณ์ กิจกรรมเสรีและตามมุม กิจกรรม ของกิจกรรมสร้างสรรค์ทุกข้ันตอน กิจกรรมการเรียนการ
เคล่ือนไหวและจังหวะ กิจกรรมกลางแจ้ง และกิจกรรม สอนมุ่งเน้นให้เด็กได้ปฏิบัติจริง และได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ
เกมการศึกษา ซึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์ท่ีส่งเสริมทักษะพ้ืน กนั เด็กไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งอสิ ระ ไดใ้ ช้ประสาทสมั ผสั ในการท�ำ
ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเด็กปฐมวยั ช้ันอนบุ าลปีที่ 2 ที่ กิจกรรม จึงเป็นสิ่งสำ�คัญมากสำ�หรับเด็ก และการพัฒนา
ผู้ศึกษาสร้างขึ้นประกอบด้วย มาตรฐาน/ตัวชี้วัด สาระ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นการจัดการเรียนการ
ส�ำ คัญ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ สาระทค่ี วร สอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำ�คัญสอดคล้องกับงานวิจัยของ
เรียนรู้และประสบการณ์สำ�คัญ ซ่ึงเป็นสิ่งจำ�เป็นอย่างย่ิง กรรธศร น้อยนับตา (2558) เด็กสามารถเรยี นรไู้ ด้ด้วย
สำ�หรับพัฒนาเด็กทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม ตนเอง การจัดสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ที่ให้เด็ก
และสติปัญญา ช่วยให้เด็กเกิดทักษะท่ีสำ�คัญสำ�หรับการ ได้เรียนรู้ด้วยการกระทำ� การจัดกิจกรรมท่ีหลากหลาย
สร้างองค์ความรู้ โดยให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ สิ่งของ ทำ�ให้เด็กตื่นเต้นและอยากร่วมกิจกรรมอย่างเห็นได้ชัด
บคุ คลตา่ ง ๆ ทรี่ อบตวั ทงั้ ยงั ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ไป เด็กเรียนด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ไม่เบ่ือหน่าย
พร้อมกันด้วย กจิ กรรมการเรียนรู้ แบบเน้นกระบวนการ มี เปน็ การเสนอตอบธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการของเดก็ เปดิ
ขนั้ กระต้นุ การเรียนรู้ ขนั้ น�ำ สงู่ านศิลปะ ขนั้ สรปุ ขัน้ นำ�ไป โอกาสใหเ้ ดก็ ไดแ้ กแ่ สดงความรคู้ วามสามารถใหผ้ อู้ น่ื ไดร้ บั
จัดนิทรรศการ ข้ันสรา้ งสรรคง์ านอย่างอิสระ ส่ือและแหล่ง รู้ เดก็ ได้ฝึกหัดคิด ฝกึ หัดท�ำ ส่งิ ต่าง ๆ จากการทำ�กจิ กรรม
การเรียนรู้ การประเมินพฒั นาการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. การมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ และเดก็ ไดป้ ฏบิ ตั กิ จิ กรรมดว้ ย
2546) ซึ่งผู้ศึกษาได้นำ�ส่ือจากธรรมชาติหรือวัสดุเหลือใช้ ตนเอง จะทำ�ให้เดก็ เกดิ การเรียนรู้แบบไม่รตู้ ัว เป็นการจัด
สง่ิ ของต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในโรงเรียน บ้านหรือชมุ ชน มาพัฒนา ประสบการณ์การเรียนรู้ให้สามารถดำ�รงชีวิตประจำ�วัน
ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยผ่านกระบวนการและขั้นตอน ได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ.
ในการจัดทำ�อย่างมีระบบ และวิธีการที่เหมาะสม โดย 2546) สอดคล้องกับงานวจิ ัยของกรรยา ภูวนารถ (2555 :
ศกึ ษาหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช 2546 คู่มอื 80) ไดท้ �ำ การวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นากจิ กรรมวทิ ยาศาสตรโ์ ดย
ครู เนือ้ หาเกี่ยวกับวทิ ยาศาสตร์ เทคนิคการสรา้ งกจิ กรรม
140
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เพื่อส่งเสริมทักษะการ หลักสูตร เน้นให้เด็กมีโอกาสจัดกระทำ�กับวัตถุ (Mani-
คิดของเด็กปฐมวยั โรงเรยี นเทศบาลศรีสวัสดิ์วทิ ยา สังกดั pulation) เพราะเด็กในวัยนี้จะเรียนรู้โดยอาศัยประสาท
เทศบาลเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ผลวิจัย สมั ผัส การรบั รู้ การเคล่ือนไหว (Sensory-Motor) เพอ่ื ส่ง
พบว่า 1. แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมวิทยาศาสตร์ เสริมพัฒนาการดา้ นสติปญั ญา 2) การจดั กิจกรรมควรเนน้
โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรมู้ ปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กบั ให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสให้มากที่สุด กิจกรรมกระตุ้นให้
95.06/98.98 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไวค้ อื 80/80 งานวจิ ัย คิดและจัดกระทำ�หรือลงมือปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสัมผัส
ของสมพร พรหนองแสน (2554 : 90-94) ไดท้ �ำ การวิจยั แตะตอ้ งสงิ่ ต่าง ๆ หรือเรียนรูส้ ่ิงต่าง ๆ รอบตวั 3) การ
เร่ือง การพัฒนากิจกรรมเสริมประสบการณ์วิทยาศาสตร์ เลือกวัสดุควรให้เด็กมีโอกาสสัมผัสหรือจับต้องสิ่งของที่
แบบเนน้ ประสาทสมั ผสั เพอื่ พฒั นาทกั ษะกระบวนการทาง มีอย่ใู นธรรมชาติ เช่น ดิน หนิ ทราย น้ำ� ฯลฯ ซึง่ จะชว่ ย
วทิ ยาศาสตร์ของนักเรียนชน้ั อนบุ าลปีท่ี 2 จังหวดั สรุ ินทร์ สื่อพฒั นาประสาทสมั ผสั การเคล่ือนไหวของเดก็ ใหเ้ ข้าใจ
พบว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน สภาพความเปน็ จริงของวัตถุ เชน่ น�ำ้ หนกั เน้ือสาร จะน�ำ
ช้ันอนุบาลปีท่ี 2 จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้การสังเกตจาก ไปสกู่ ารเชอ่ื มโยงกบั โครงสรา้ งอน่ื ใหเ้ ขา้ ใจสภาพความเปน็
การปฏิบัติกิจกรรมวิทยาศาสตร์และจากการตอบคำ�ถาม จรงิ ของวตั ถุ เชน่ น้ำ�หนัก เน้อื สาร จะนำ�ไปสู่การเชือ่ มโยง
จ�ำ แนกเปน็ รายทกั ษะโดยภาพรวม นกั เรยี นไดค้ ะแนนเฉลย่ี กับโครงสร้างอื่น จึงทำ�ให้เด็กได้ทำ�เพื่อพัฒนาประสาท
เท่ากับ 13.80 คดิ เป็นร้อยละ 92.00 ซึง่ สูงกว่าเกณฑ์รอ้ ย สัมผัสมากท่ีสุด ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ประยุกต์ แนวคิดดังกล่าว
ละ 70 ในการจัดกิจกรรม จึงทำ�ให้เด็กได้ทำ�เพื่อพัฒนาประสาท
สัมผสั มากท่ีสดุ ท้งั นผ้ี ูศ้ ึกษาได้ประยุกตแ์ นวคดิ ดงั กล่าวใน
2. ทกั ษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวยั การจดั กจิ กรรม จงึ ท�ำ ใหก้ จิ กรรมสรา้ งสรรคท์ จี่ ดั ขน้ึ ในครง้ั
ชั้นอนุบาลปีท่ี 2 ท่ีได้รับการจัดประสบการณ์ การเรียน น้ี สง่ ผลใหเ้ ด็กมีความพร้อมพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ หลัง
รู้ แบบเน้นกระบวนการ โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ มี การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง สอดคล้องกับงานวิจัย
คะแนนเฉล่ียหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัด ยพุ าภรณ ชสู าย (2555 : 72). ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี น
ประสบการณอ์ ย่างมนี ยั สำ�คัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 แสดง รเู้ รอ่ื งสจี ากธรรมชาตทิ ม่ี ตี อ่ ทกั ษะพนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์
ให้เหน็ ว่าการจดั ประสบการณ์ แบบเน้นกระบวนการ โดย ของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า หลังการใช้แผนการจัด
ใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ ทำ�ให้เกิดทักษะพ้ืนฐานทาง กจิ กรรมการเรียนรู้ เรือ่ งสีจากธรรมชาตขิ องเดก็ ปฐมวยั มี
วิทยาศาสตร์ คือ มกี ารพัฒนาการดา้ นการสงั เกต ด้านการ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นกว่าก่อนใช้แผนการ
จำ�แนกประเภท ด้านการสื่อสาร และด้านการลงความ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งสจี ากธรรมชาตขิ องเดก็ ปฐมวยั
เห็นจากข้อมูล เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กใช้ประสาทสัมผัส ทงั้ โดยรวมและรายทกั ษะ อยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั
ในการทำ�กิจกรรมตามความคิด และจินตนาการ เด็กทำ� .05 วิลา มณอี ินทร์ (2556 : 90) ได้ท�ำ วจิ ัยเรื่อง ทักษะ
กิจกรรมตา่ ง ๆ ด้วยตนเองอย่างสนุกสนาน และแผนการ กระบวนการวิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐานของเด็กปฐมวัย ที่ได้
จัดประสบการณ์ที่สร้างข้ึนโดยผ่านการสร้างตามข้ันตอน รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการกับแบบ
อย่างเป็นระบบและวิธีการเขียนแผนการจัดประสบการณ์ สบื เสาะหาความรขู้ องนกั เรยี นชน้ั อนบุ าลปที ่ี 2 โรงเรยี นวดั
ท่ีเหมาะสม โดยศึกษาจากหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย คบู วั พบวา่ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พน้ื ฐาน
พุทธศักราช 2546 แนวการจัดการศึกษาสำ�หรับปฐมวัย ของเดก็ ปฐมวยั หลงั การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรแู้ บบสบื
ตลอดจนการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้และประสบการณ์ เสาะหาความรู้สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
สำ�คัญที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและการ อยา่ งมนี ัยสำ�คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 และยังสอดคล้องกบั
พัฒนาความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เร่ือง การ ผลการวิจยั ของ ชยุตา พยงุ วงษ์ (2556 : 69-70) ศกึ ษาผล
สงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การสื่อสาร และการลงความ ของรปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบเดก็ นกั วจิ ยั ทม่ี ตี อ่ ทกั ษะ
เห็นจากข้อมูล นอกจากนี้ผู้ศึกษาได้ศึกษาแนวการจัด กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัย พบว่า กอ่ น
กิจกรรมสร้างสรรค์ตามแนวคิดของสิริพรรณ ตันติรัตน์ และหลังการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย มีระดับทักษะ
ไพศาล (2545) กำ�หนดแนวทางการจัดกิจกรรมศิลปะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแตกต่างกัน
สร้างสรรค์สำ�หรับเด็กปฐมวัยไว้ ดังนี้ 1) จัดเน้ือหาและ
141
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อย่างมนี ัยส�ำ คญั ทางสถิติที่ระดบั .05 อสิ ระ หรอื ตามทเี่ ดก็ ตอ้ งการไดอ้ กี 1 กจิ กรรม เชน่ การวาด
ภาพระบายสี การปน้ั การเล่นสนี �ำ้ เป็นต้น ซึง่ สอดคล้อง
3. ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของการจดั ประสบการณก์ าร กับงานวิจัยของ พิมผกา จันตะวงศ์ (2558) พบว่า ดัชนี
เรยี นรู้ แบบเนน้ กระบวนการ โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ประสทิ ธผิ ลของการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยการจดั
เพ่อื พฒั นาทกั ษะพนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวยั กจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ มีค่าเท่ากบั 0.5512 ซง่ึ แสดงว่า
ชนั้ อนบุ าลปที ่ี 2 เฉลยี่ โดยรวมเทา่ กบั 0.6135 แสดงวา่ เดก็ นักเรยี นมคี วามก้าวหน้าในการเรยี นคดิ เป็นรอ้ ยละ 55.12
ปฐมวยั มคี วามกา้ วหนา้ ทางการเรยี นเพมิ่ ขน้ึ คดิ เปน็ รอ้ ยละ
61.35 ท้ังน้อี าจเนอื่ งมาจากกจิ กรรมการจดั ประสบการณ์ สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบ
การเรียนรู้ แบบเน้นกระบวนการ โดยใช้ชุดกิจกรรม เน้นกระบวนการ โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ ของเด็ก
สร้างสรรค์ ผู้วิจัยได้พัฒนาตามหลักการของการจัดการ ปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีท่ี 2 เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้มี
เรยี นรู้ แบบเนน้ กระบวนการ โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ความสามารถพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในด้านการสังเกต
และคำ�นึงถึงการเตรียมสมองของผู้เรียนให้พร้อมก่อนการ การจ�ำ แนกประเภท การส่อื สาร และการลงความเหน็ จาก
จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใหผ้ เู้ รียนรสู้ กึ ผอ่ นคลาย ไดร้ ับ ขอ้ มลู นอกจากนว้ี สั ดุ อปุ กรณ์ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทางกจิ กรรม
อาหารทเี่ พยี งพอกอ่ นการจดั กจิ กรรม ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั หลกั สร้างสรรค์ให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ ความสนใจ ความ
การพ้ืนฐานของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ที่ ตอ้ งการและสภาพทอ้ งถนิ่ ของเด็ก มีการใชค้ ำ�ถามกระตนุ้
ว่าสมองจะท�ำ งานได้ดเี มื่อจิตใจ อารมณ์เบกิ บาน ไมก่ งั วล ใหเ้ ดก็ ไดร้ จู้ กั การสงั เกต จ�ำ แนก เหตผุ ลดงั กลา่ วทำ�ใหเ้ ดก็
ร่างกายได้รับนำ้�ตาล น้�ำ และออกซเิ จนทเี่ พยี งพอ และจาก ปฐมวัยได้รับการจัดประสบการณ์ แบบเน้นกระบวนการ
กระบวนการจัดกิจกรรมที่ผู้วิจัยมีการสร้างบรรยากาศใน โดยใช้ชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ จึงมีพัฒนาการพื้นฐานทาง
การเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นรสู้ กึ ผอ่ นคลาย มกี ารจดั สภาพแวดลอ้ ม วทิ ยาศาสตร์สูงข้นึ
ในชน้ั เรยี นใหโ้ ปรง่ สะอาดสวยงาม ใหน้ กั เรยี นไดท้ �ำ กจิ กรรม
ตามความสนใจของนกั เรียน ไมบ่ งั คับนกั เรยี นท�ำ ในส่ิงท่ีไม่ ข้อเสนอแนะ
อยากทำ� และมีการจัดกิจกรรมการทดลอง การสำ�รวจส่ิง 1. ข้อเสนอแนะเพื่อน�ำ ผลการศกึ ษาไปใช้
ตา่ ง ๆ การเล่นเกม การวาดภาพตามจนิ ตนาการ การฟัง
เพลงขณะทำ�กิจกรรม และท้ังนี้อาจเน่ืองมาจากแต่ละข้ัน 1.1 กอ่ นนำ�ชุดกิจกรรมสร้างสรรคไ์ ปใช้ ครู
ของการจดั กจิ กรรมทผ่ี ศู้ กึ ษาไดพ้ ฒั นาขน้ ตามหลกั การเรยี น ต้องศกึ ษาขน้ั ตอน ท้งั 5 ขั้นตอนกอ่ น เพือ่ จะสามารถจัด
รโู้ ดยใชช้ ดุ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ สง่ ผลใหเ้ ดก็ ไดเ้ กดิ การเรยี นรู้ กิจกรรมแตล่ ะข้นั ได้สอดคล้องกบั เนอ้ื หาสาระทจี่ ัดใหเ้ ด็ก
ทด่ี ี โดย ขนั้ ท่ี 1 ขนั้ กระตนุ้ การเรยี นรู้ โดยการสนทนา และ 1.2 ในการให้เด็กทำ�กิจกรรมเกี่ยวกับ
ทบทวนความรเู้ ดมิ กบั เดก็ กอ่ นการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเกยี่ วกบั กจิ กรรมสร้างสรรค์ท้งั 50 กิจกรรม ครคู วรใหเ้ วลาในการ
หัวขอ้ การปฏบิ ัติกิจกรรม เพื่อแนะน�ำ อปุ กรณแ์ ละขัน้ ตอน ทำ�กิจกรรมจนกว่าเด็กจะทำ�กิจกรรมเสร็จ เพราะว่าเด็ก
ในการทำ�กิจกรรม ข้นั ที่ 2 ข้ันนำ�สงู่ านศิลปะ โดยครูและ แตล่ ะคนมีศักยภาพแตกต่างกัน
อาสาสมัครสาธิตวิธีการทำ�กิจกรรม เปิดโอกาสให้เด็ก
เข้ากลุ่มเพ่ือนเพ่ือปฏิบัติการลงมือทำ�งานสร้างสรรค์อย่าง 1.3 ในการจดั กจิ กรรมครสู ามารถปรบั เปลยี่ น
อิสระ ครูคอยชแ้ี นะใหค้ ำ�ปรึกษา ขัน้ ที่ 3 ข้นั สรปุ โดย วัสดุอย่างอ่ืนที่สามารถจัดหาได้ง่ายในท้องถิ่นและราคา
ครูสังเกตพฤติกรรม การปฏิบัติ เกี่ยวกับทักษะพ้ืนฐาน ไม่แพง โดยคำ�นึงถึงการนำ�มาใช้สร้างสรรค์ผลงานได้ตาม
ทางวทิ ยาศาสตรด์ ้านการสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การ คณุ ลกั ษณะของกจิ กรรม เพอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ใหเ้ กดิ การ
สอื่ สาร และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั น�ำ ไปจดั เรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
นิทรรศการ โดยนักเรียนนำ�ผลงานของตนเองไปจัดแสดง
นทิ รรศการรว่ มกนั กบั เพอื่ นเพอื่ การประเมนิ ผลดว้ ยตนเอง 1.4 ขณะทเ่ี ดก็ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ครคู วรสงั เกต
พรอ้ มสรุปผลการเรียนรูร้ ว่ มกัน ข้ันที่ 5 ข้ันสรา้ งสรรคง์ าน การท�ำ งานของเดก็ คอยเปน็ ทปี่ รกึ ษาใหค้ �ำ แนะน�ำ เมอื่ เดก็
อย่างอิสระโดยครูเปิดโอกาสให้เด็กที่ทำ�งานที่ได้รับมอบ ต้องการ กระตุ้นให้เด็กได้ใช้ความคิด จินตนาการในการ
หมายเสร็จแลว้ สามารถเลอื กท�ำ กิจกรรมสร้างสรรค์ อย่าง สร้างผลงานของตนเอง ใหแ้ รงเสริมด้วยการกล่าวคำ�ชมถงึ
142
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ผลงานของเด็ก ไม่ตำ�หนิผลงาน กระตุ้นให้เด็กรู้จักคิดแก้ เหตุผลและเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีซ่ึงควรมีการ
ปญั หา เพอ่ื ใหเ้ ดก็ มคี วามตง้ั ใจและมน่ั ใจในการท�ำ กจิ กรรม บนั ทึกทกุ วนั
1.5 ในการท�ำ กจิ กรรมควรจดั สภาพแวดลอ้ ม 2. ขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาคร้งั ตอ่ ไป
และบรรยากาศ ใหเ้ ออื้ ตอ่ การจดั กจิ กรรมโดยจดั สถานทใ่ี น
การทำ�กิจกรรมให้เด็กสามารถหยิบจับ ใช้วัสดุอุปกรณ์ได้ 2.1 ควรมีการศึกษาผลของการจดั กิจกรรม
อย่างสะดวก มีโอกาสเลือกหยิบได้ตามความพอใจ เพียง สรา้ งสรรค์ เพอ่ื พฒั นาทกั ษะดา้ นอน่ื ๆ เชน่ ดา้ นคณติ ศาสตร์
พอต่อความต้องการของเด็ก สร้างบรรยากาศการทำ�งาน ดา้ นภาษา ดา้ นสงั คม วนิ ัยในตนเองและความเชื่อม่ัน
ใหเ้ ดก็ ไดท้ �ำ อยา่ งอสิ ระ ไมเ่ สยี งดงั หรอื รบกวนสมาธขิ องเดก็ 2.2 การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ เวลาที่
ใช้ทดลองอาจเห็นผลยังไม่ชัดเจน ควรใช้ระยะเวลาในการ
1.6 ในขณะเด็กทำ�กิจกรรมครูควรมีแบบ ทดลองมากกว่าน้ี
สงั เกตพฤตกิ รรมเพอื่ จะไดบ้ นั ทกึ และน�ำ ผลมาปรบั ปรงุ และ
พัฒนากระบวนการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไข 2.3 ควรมีการศึกษาทักษะพ้ืนฐานทาง
เด็ก เป็นตน้ วา่ ความพร้อม ความสนใจ ความกระตอื รอื ร้น วทิ ยาศาสตร์ โดยใชก้ จิ กรรมอน่ื ๆ เชน่ ศลิ ปะการท�ำ อาหาร
การมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม ความตง้ั ใจ การคิด การน�ำ เสนอ เปน็ ตน้
ผลงาน ซง่ึ สิง่ เหลา่ นเ้ี ปน็ สว่ นหนึ่งทีท่ �ำ ใหเ้ ด็กไดค้ ดิ อย่างมี
เอกสารอ้างอิง
กรมวชิ าการ. (2546). คมู่ ือหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช 2546 (สำ�หรับเด็กอายุ 3-5 ป)ี . กรุงเทพฯ :
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
กรรธศร นอ้ ยนันตา. (2538). ผลการจัดประสบการณเ์ พอื่ สง่ เสริมทักษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตรข์ องนกั เรียน
ชนั้ อนุบาลปีท่ี 1 โดยใชช้ ดุ กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์. (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :https://www.krooban
nok.com/board_view.php.b_id=162609&bcat_id=16 (คน้ เมอื่ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2559)
กรรยา ภูวนารถ. (2555). การพฒั นากจิ กรรมวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการสบื เสาะเพ่อื สง่ เสริมทกั ษะการคดิ
ของเดก็ ปฐมวัย. ปรญิ ญานพิ นธ์ ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม.
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหงชาติ. พ.ศ. 2542 และทแ่ี กไขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี 2)
พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพราว.
กุลยา ตนั ติผลาชวี ะ. (2551). รูปแบบการเรยี นการสอนปฐมวยั ศึกษา. กรุงเทพฯ : เบรน-เบส บุ๊ค .
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ, ส�ำ นักงาน.(2545). แนวทางการประเมนิ คุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา
ขนั้ พ้นื ฐาน เพ่อื การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพส์ �ำ นกั งานพระพุทธศาสนา
แหง่ ชาติ.
จงรกั อ่วมมเี พียร. (2547). ทักษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัยทไี่ ดร้ บั การจัดกิจกรรม ศลิ ปะสื่อผสม.
ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวัย). กรงุ เทพมหานคร:บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ.
จิตรเกษม ทองนาค. (2549). การพฒั นาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัยโดยใช้กจิ กรรม
การเรยี นการสอนแบบจิตปญั ญา ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวยั ). กรงุ เทพฯ : บณั ฑติ
วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมิตร.
ชยดุ า พยงุ วงษ์. (2551). การศกึ ษาผลของรปู แบบการจดั การเรียนรูแ้ บบเดก็ นักวจิ ยั ทมี่ ตี ่อทกั ษะกระบวนการ
วทิ ยาศาสตร์ของเดก็ ปฐมวยั ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.
143
ว ารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ดารารตั น์ อทุ ยั พยัคย.์ (2554). เด็กไทยกบั การสอนภาษาแนวสมดุล. จุลสารการศกึ ษาปฐมวยั , 11(5), 5
พนดิ า ชาตยาภา. (2549). กระบวนการพัฒนาการส่ือความหมายของเด็กปฐมวัยโดยการสร้างเรอ่ื งราวในกจิ กรรม
ศลิ ปะสรา้ งสรรค์ตามแนวการสอนภาษาธรรมชาติ. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรงุ เทพฯ :
บัณฑติ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ.
พิมผกา จนั ตะวงค์. (2558). รายงานผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณติ ศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัยชนั้ อนุบาลปที ี่ 3
โดยจดั กจิ กรรมเกมการศกึ ษา ชดุ สนุกรสู้ นกุ คดิ กบั คณติ ศาสตร์รอบตัว. ลำ�ปาง : โรงเรยี นเทศบาลห้างฉัตร.
ยุพาภรณ์ ชสู าย (2555). ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้เู รอ่ื งสจี ากธรรมชาตทิ ีม่ ีตอ่ ทกั ษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์
ของเด็กปฐมวยั . ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวัย). บณั ฑิตมหาวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัย
ศรนี ครินทรวิโรฒ.
เยาวพา เดชคุ ุปต์. (2547). กจิ กรรมส�ำ หรับเด็กปฐมวัย. กรงุ เทพฯ : เอพี กราฟฟิกส์ ดีไซน.์
ล�ำ ดวล ปน่ั สันเทียะ. (2552). ผลการจดั ประสบการณ์แบบโครงการท่มี ีตอ่ ทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร ์
ส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั . ปริญญานพิ นธ์การศึกษามหาบัณฑติ (การศกึ ษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ.
วิลา มณอี นิ ทร์. (2556). ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พืน้ ฐานของเดก็ ปฐมวยั ทไ่ี ด้รับ การจัดประสบการณ ์
การเรียนรแู้ บบโครงการกับแบบสืบเสาะหาความรแู้ บบ 5E. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั
ราชภฏั เทพสตรี.
ศรนี วล รตั นานนั ท์. (2555). การพฒั นาทักษะการสังเกตของเด็กปฐมวยั โดยใชป้ ระสบการณก์ ารเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์จากธรรมชาตนิ อกหอ้ งเรยี น. ส�ำ นกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาสพุ รรณบุรี เขต1.
สมพร พรหนองแสน. (2554). การจัดกจิ กรรมเสริมประสบการณว์ ิทยาศาสตรแ์ บบเนน้ ประสาทสัมผัสเพ่ือพฒั นา
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียนชนั้ อนบุ าลปีท่ี 2 จงั หวัดสรุ ินทร์. วิทยานพิ นธ์ ครศุ าสตร
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั ราชภัฏสุรินทร์.
สิริพรรณ ตันติรัตนไ์ พศาล. (2550). ศิลปะส�ำ หรบั เด็กปฐมวยั . โปรแกรมวชิ าศึกษาปฐมวยั คณะครุศาสตร์
สถาบันราชภฏั สวนดสุ ติ . กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์ .
สิริมา ภญิ โญอนนั ตพงษ.์ (2553). การวัดและประเมนิ ผลแนวใหม่เด็กปฐมวัย (ปรบั ปรงุ แก้ไข). กรงุ เทพฯ :
ดอกหญา้ วิชาการ.
สิริยา พันโสร.ี (2553). การพัฒนาการแสดงออกของพนื้ ฐานทางศิลปะของเดก็ ปฐมวยั ดว้ ยกิจกรรมศิลปะ
สร้างสรรค์. ปริญญานพิ นธ.์ กศ.ม. (การศึกษา ปฐมวยั ). กรุงเทพฯ : บณั ฑิตมหาวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.
กองบรรณาธิการ
144
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใชห้ นงั สอื คำ�คลอ้ งจองประกอบภาพ
เพื่อพฒั นาทักษะทางภาษาด้านการฟงั การพูด ของนกั เรยี นชั้นอนุบาลปที ี่ 3
โรงเรียนเทศบาลตำ�บลงิม (คอื เวียงจำ่ �)
The Learning Experiences using a Rhyming Picture Book to
Develop Language Skills in Listening, Speaking, and 3rd kindergarten Students,
Ngim Municipality School District (Wiang Chum).
พีรยา กติ ตวิ์ รกุล *1
Peeraya Kitworakul *1
[email protected] *
ส่งบทความ 4 สงิ หาคม 2562 แกไ้ ข 22 สิงหาคม 2562 ตอบรับ 10 กันยายน 2562
บทคดั ย่อ
การศกึ ษาครง้ั น้ี มวี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพอื่ หาประสทิ ธภิ าพการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจอง
ประกอบภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพ่ือเปรียบเทียบทกั ษะทางภาษาด้านการฟงั การพดู ของนกั เรยี นชั้นอนบุ าลปที ี่ 3
กอ่ นและหลงั การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ โดยใช้หนังสอื คำ�คลอ้ งจองประกอบภาพ 3) เพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของ
นกั เรยี นชั้นอนุบาลปีที่ 3 ท่ีมีต่อการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้โดยใชห้ นงั สือคำ�คลอ้ งจองประกอบภาพ กลมุ่ ตัวอย่างที่
ใช้ในการศกึ ษาครง้ั นี้เป็นนกั เรยี นช้นั อนุบาลปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2560 โรงเรยี นเทศบาลตำ�บลงมิ (คอื เวยี ง
จ�่ำ ) จำ�นวน 20 คน ได้มาโดยการสมุ่ แบบแบ่งกลุ่ม(Cluster Random Sampling) เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการศกึ ษาได้แก่
1) หนงั สอื คำ�คลอ้ งจองประกอบภาพ จำ�นวน 10 เล่ม 2) แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้โดยใชห้ นังสือค�ำ คล้องจอง
ประกอบภาพ จำ�นวน 30 แผน 3) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมพัฒนาการทางภาษาของนกั เรียนช้ันอนบุ าลปที ี่ 3 4) แบบ
ทดสอบวัดทักษะทางภาษาด้านการฟงั การพดู ของนกั เรยี นช้ันอนบุ าลปีที่ 3 และ 5) แบบสอบถามความพงึ พอใจของ
นกั เรยี นชน้ั อนบุ าลปที ี่ 3 ทมี่ ตี อ่ การจดั ประสบการณโ์ ดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพเพอ่ื พฒั นาทกั ษะทางภาษา
ด้านการฟัง การพูด จำ�นวน 10 รายการ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าสถิติพ้ืนฐานได้แก่ ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน ค่ารอ้ ย และค่า t-test แบบ Dependent Samples
ผลการศกึ ษาพบวา่
/ 1. การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพ มปี ระสทิ ธภิ าพ (E1 / E2) เทา่ กบั
90.25 94.00 ซ่งึ เป็นไปตามเกณฑ์ทก่ี �ำ หนดไว้ 80 / 80
2. ทักษะทางภาษาดา้ นการฟงั การพดู ของนักเรียนช้ันอนุบาลปีท่ี 3 ที่ได้รบั การจัดประสบการณ์การเรียน
_____________
1 ครชู ำ�นาญการ โรงเรียนเทศบาลต�ำ บลงมิ (คือเวียงจ�่ำ ) อำ�เภอปง จังหวดั พะเยา
1 Professinal Level Teachers Thessabantumbonngim (khueweangcham) school , Pong District, Phayao
Province.
145
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รู้โดยใช้หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพ มีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนจัดประสบการณ์ อย่างมี
นัยส�ำ คญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05
3. นกั เรียนชัน้ อนบุ าลปที ่ี 3 มคี วามพงึ พอใจต่อการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้โดยใชห้ นังสอื ค�ำ คล้องจอง
ประกอบภาพ มีค่าเฉล่ยี 2.75 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.44 อยใู่ นระดับมาก
คำ�ส�ำ คญั หนังสอื ประกอบภาพ , ทกั ษะด้านการฟัง การพดู
Abstract
This study objective were 1) to find the efficiency of learning experiences management by using
the rhyme word book according to 80/80 criteria. 2) to compare listening language and speaking skills
of kindergarten students, 3rd year before and after organizing learning experiences By using the word
rhyming book 3) to study the satisfaction of the kindergarten students in the 3rd year on the learning
experiences by using the word rhyme book. The sample group used in this study was kindergarten
students, 3rd year, 1st semester, academic year 2017, Ngim Municipality School District (Wiang Chum),
20 people were obtained by clustering random sampling. The tools used in the research were : 1) 10
words of rhyme book 2) Plan for learning experiences by using 30 words of rhyming books. 3) Behavior
observation patterns language learning of kindergarten students, Year 3 4) Test of language skills in
listening, speaking of kindergarten students, Year 3 and 5) Questionnaires for students’ kindergarten
year 3 satisfaction towards organizing experiences by using the word rhyme book to develop the
language skills in listening and speaking of number 10 items. Data analysis by finding basic statistics
such as mean value, deviation on the standards and values of the t-test for Dependent Samples.
The study indicated that
1. Organizing learning experiences using the word rhyme book with efficiency (E1 / E2) equal
to 90.25 / 94.00 which meets the criteria 80/80.
2. Language skills in listening, speaking, and kindergarten students of the 3rd year that have been
organized learning experiences using the word rhyme book having an average score after organizing
experiences higher than before organizing experiences with statistical significance at the level of .05.
3. Kindergarten students in the 3rd year are satisfied with the learning experiences by using the
word rhyme book with an average of 2.75. The standard deviation of 0.44 was at a high level.
Keyword : picture book , skills in listening speaking.
146
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
บทน�ำ
ปรชั ญาการศกึ ษาปฐมวยั เปน็ การพฒั นาเดก็ ตง้ั แต่ ปัญญาของ เพียเจย์ ซึ่งกล่าวว่า เด็กปฐมวัยอายุ 2-7 ปี จดั
แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐานการ อยู่ในข้นั พัฒนาทางข้ันคดิ กอ่ นปฏิบตั ิการ เดก็ เรียนรู้ จาก
อบรมเล้ียงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ท่ีสนอง การกระท�ำ โดยอาศยั สอื่ วสั ดอุ ปุ กรณต์ า่ งๆ เพราะเดก็ ในวยั
ตอ่ ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการตามวยั ของเดก็ แตล่ ะคนใหเ้ ตม็ นยี้ ังไมพ่ ัฒนาถึงข้ันทจ่ี ะเข้าใจ เร่ืองท่ีเปน็ นามธรรมได้ตอ้ ง
ตามศกั ยภาพ ภายใตบ้ รบิ ทสงั คมและวฒั นธรรมทเ่ี ดก็ อาศยั อาศยั สอ่ื ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม การพฒั นาความสามารถทางภาษา
อยู่ด้วยความรัก ความเอ้ืออาทรและความเข้าใจของทุก และ การสื่อสารของเด็กนอกจากพัฒนาทางด้านร่างกาย
คนเพ่ือสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความ อารมณ์ สังคมและการเรียนรู้ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงการส่ง
เป็นมนุษย์ทสี่ มบรู ณเ์ กิดคณุ คา่ ตอ่ ตนเอง ครอบครวั ชุมชน เสริมการส่ือสารเบ้ืองต้นจะส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี
สงั คมและประเทศชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2546 : 2) และรวดเร็วท่สี ดุ การที่จะพัฒนาเดก็ ทกุ ๆ ด้านจำ�เป็นตอ้ ง
เชน่ เดียวกบั นภเนตร ธรรมบวร. (2549 : 170) กล่าววา่ มีภาษาเพื่อการสื่อสารท่ีจะเชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้ ทั้ง
เด็กจะเจริญเติบโตเป็นพลเมืองท่ีดีของสังคมและประเทศ กระบวนการ คอื ความเข้าใจ การรับรู้ และการแสดงออก
ชาตใิ นอนาคตไดน้ ้นั สว่ นหน่งึ ขึน้ อยู่กบั การอบรมเล้ยี งดูท่ี ทางภาษาซ่ึงเป็นสิ่งที่สำ�คัญจำ�เป็นที่เด็กจะต้องได้รับการ
เด็กได้รับสภาพแวดล้อมถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างเสริม ส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการในทักษะในทุกๆด้าน โดย
พฒั นาการ การจดั สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสมและมีคณุ ค่า ใชภ้ าษาเปน็ ส่ือกลางนน่ั เอง
จะช่วยให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงและเกิดการเรียนรู้
ท่ีจะอยู่ร่วมกับบุคคลรอบข้าง นอกจากน้ันยังช่วยให้เด็ก ภาษามีความสำ�คัญต่อเด็กปฐมวัย เพราะภาษา
ได้ค้นคว้าทดลองสังเกตหาเหตุผลแก้ปัญหาและขยาย เป็นเคร่ืองมือที่ทำ�ให้เกิดการเรียนรู้ เป็นพฤติกรรมชนิด
ประสบการณ์ได้อย่างกว้างขวางซึ่งประสบการณ์ต่างๆดัง หนงึ่ ชว่ ยใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการทางสงั คม เกดิ ความอบอนุ่ เดก็
กล่าวถือเป็นพ้ืนฐานในการสร้างเสริมพัฒนาการของเด็ก แนวคดิ ตลอดจนความรสู้ กึ ตา่ ง ๆ ทอี่ ยรู่ อบขา้ ง เดก็ สามารถ
ทกุ ดา้ น สร้างจินตนาการในสมองซ่ึงก่อให้เกิดการทดลองขึ้น เด็ก
สามารถสร้างจินตนากรถึงวัตถุนั้นจะอยู่นอกสายตาหรือ
ภาษาเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องอาศัยทักษะ อยู่ในอดีต เด็กสามารถทำ�การทดลองให้สมองและทำ�ได้
การฟัง การพูด ซ่ึงเป็นพื้นฐานของการอ่านและการเขียน เร็วกวา่ การจดั กระทำ�กับวัตถนุ น้ั จริง ๆ (ดวงเดอื น ศาสตร
ดังนั้นการพัฒนาภาษาควรเริ่มตั้งแต่เด็กปฐมวัยเพราะเด็ก ภทั ร. 2549 : 214 – 215) ดงั นน้ั ภาษามคี วามส�ำ คญั ตอ่ การ
ในวยั 2-7 ปี เปน็ วยั ทพี่ ัฒนาการทางภาษา เจริญงอกงาม เรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั เปน็ อยา่ งมาก เดก็ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งเรยี น
อย่างรวดเร็ว เด็กเรียนรูภ้ าษาตามลำ�ดับขน้ั พฒั นาการ เริ่ม รู้ภาษาเพ่ือใช้ในการสื่อความหมาย การคิด จินตนาการ
จากความคุ้นเคยจากการได้ยนิ ไดฟ้ งั การพูดคยุ สนทนา การแสดงออก และการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซ่ึงเด็ก
ทำ�ใหพ้ ัฒนาการทางภาษาเจรญิ งอกงาม เดก็ เรม่ิ เรยี นจาก จะต้องมีความพร้อมทางภาษาในด้าน การฟัง พูด อ่าน
ภาษางา่ ยๆ เรยี นรกู้ ารใชค้ �ำ ศพั ทด์ ว้ ยการใชป้ ระโยค ครสู อน และเขียนไปพร้อม ๆ กัน อย่างมีความหมายสอดคล้อง
ภาษาคนแรกของเด็กคือพ่อแม่ เสียงแรกท่ีเด็กได้ยินได้ฟัง กับนิตยา ประพฤติกิจ (2549 : 46) กล่าวว่า การฝึกให้
คอื เสยี งพอ่ แมก่ ารโตต้ อบของพอ่ แมท่ �ำ ใหเ้ ดก็ เรยี นรภู้ าษา เด็กรู้จักฟังจะช่วยให้เด็กเพ่ิมพูนคำ�ศัพท์ เรียนรู้เกี่ยวกับ
การพดู และสนทนากบั เดก็ คอื การสรา้ งเสรมิ พฒั นาการทาง ประสบการณ์ โครงสร้างของภาษาพูด และเข้าใจเร่อื งราว
ภาษาให้กับเดก็ ปฐมวัย (กุลยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ. 2551: 136) ต่าง ๆ มากข้ึน ซ่ึงจะช่วยให้เด็กใช้ภาษาพูดถูกต้องยิ่งขึ้น
สอดคลอ้ งกบั สริ มิ า ภญิ โญอนนั ตพงษ์ (2550 : 110) กลา่ ว รู้จักพูดคุยกับเพื่อนฝูง ทั้งยังกระตุ้นให้เด็กใช้จินตนาการ
วา่ การจดั ประสบการณใ์ หเ้ ดก็ แตล่ ะวยั ตอ้ งจดั ใหส้ อดคลอ้ ง เช่นเดยี วกบั พิชญาดา ธาตุอินจันทร์ (2551 : 18) ได้กลา่ ว
กบั อายุ ธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการของเดก็ ซงึ่ มคี วามแตก วา่ การพดู มคี วามส�ำ คญั ตอ่ มนษุ ยเ์ ปน็ อยา่ งมาก เปน็ การสอ่ื
ต่างกัน ด้วยเหตุน้ีครูและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงควรตระหนักถึง ความเข้าใจระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัย
ความส�ำ คญั และจดั ประสบการณเ์ รยี นรทู้ างภาษา ใหเ้ หมาะ น้ัน พอ่ แม่ ครู ผูท้ เ่ี ก่ยี วข้องตอ้ งหาวิธีการเทคนิคต่าง ๆ ใน
สมกบั เดก็ ในแตล่ ะวยั ซง่ึ ตอ้ งอาศยั ทฤษฎพี ฒั นาการทางสติ การส่งเสริมพัฒนาการพูดด้วยการให้เด็กได้เรียนรู้คำ�ศัพท์
147
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ใหม่ ๆ ด้วยการพูดคำ�ตอบจากคำ�ทายของปริศนาคำ�ทาย ร้อยละ 77.50 จะเห็นว่าพัฒนาการด้านสติปัญญามีค่า
จะช่วยส่งเสริมให้เด็กสามารถบอกช่ือสิ่งต่างๆ สื่อความ ร้อยละต่ำ�กว่าพัฒนาการด้านอ่ืนๆ โดยเฉพาะด้านการใช้
หมายจากภาพเป็นเร่ืองราวได้ ตลอดจนแปลความหมาย ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมตามวัย ซึ่งไม่ได้ตามเป้าหมายท่ี
ของคำ�พูดเปน็ ประโยคสมบูรณ์ คือ ใคร ท�ำ อะไร ท่ไี หน ได้ ตง้ั ไว้ (โรงเรียนเทศบาลต�ำ บลงมิ (คือเวยี งจ่�ำ ) 2558 : 12)
อยา่ งถกู ตอ้ ง และจากการประเมินพฤติกรรมทักษะทางภาษาด้านการ
พดู เดก็ จะออกเสยี งภาษาไทยไมช่ ดั เจน ส�ำ เนยี งจะออกมา
หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพเป็นหนังสือท่ี เป็นภาษาถ่ินที่ตนเคยชิน ใช้คำ�ศัพท์ไม่ตรงกับความหมาย
เหมาะสมทีจ่ ะน�ำ มาเล่าหรอื อา่ นใหเ้ ดก็ ๆ ฟัง โดยใหเ้ ด็กดู ท่ีจะพูด ครูถามคำ�ถามง่ายๆ เด็กตอบไม่ได้หรือได้ตามคำ�
ภาพประกอบไปด้วยจะทำ�ให้เด็กเข้าใจได้ง่ายและชัดเจน แนะนำ�เท่านั้น ฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่สามารถปฏิบัติตามคำ�
หนังสือสำ�หรับเด็กมีประโยชน์ไม่เพียงได้เปิดโลกแห่ง สั่งท่ใี หท้ ำ�ได้ เล่าเร่อื งราวให้ผู้อน่ื ฟงั ให้เข้าใจไมไ่ ด้ หรอื ฟัง
จินตนาการให้เด็กเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาทางด้านสติ เรื่องราวแล้วนำ�มาถ่ายทอดให้กับผู้อ่ืนไม่ได้ เป็นต้น จาก
ปัญญาเท่าน้ัน หากหนังสือยังเป็นเคร่ืองมือช้ันดีท่ีพ่อแม่ สภาพปัญหาดังกล่าวผู้รายงาน เห็นความสำ�คัญของการ
หรอื แมแ้ ตค่ ณุ ครใู ชส้ อนเดก็ ไดโ้ ดยเราสามารถใชห้ นงั สอื ค�ำ พัฒนาการทางด้านภาษา เพื่อให้นักเรียนได้มีการเตรียม
คลอ้ งจองประกอบภาพถา่ ยทอดหรอื สอนใหเ้ ดก็ รจู้ กั ความ ความพร้อมทางภาษา และจะเป็นประสบการณ์พ้ืนฐานท่ี
โกรธ ความเมตตาหรือรู้จกั กนิ ผัก การแปรงฟนั เด็กหลาย ดีในการเรียนระดับท่ีสูงข้ึน ดังนั้น ผู้รายงานจึงสนใจที่จะ
คนเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลังจากได้อ่านหนังสือ (ปิยพร ศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสือคำ�
เศรษฐศิริไพบูลย์. ออนไลน์. สืบค้น 2557) ดังนั้นวิธีเริ่ม คล้องจองประกอบภาพของนกั เรียนชนั้ อนบุ าลปีท่ี 3 ว่ามี
ต้นสอนภาษาสำ�หรับเด็กอนุบาลต้องเริ่มจากหนังสือภาพ ผลตอ่ ทักษะทางภาษาดา้ นการฟงั และการพูดของเด็กหรอื
ส�ำ หรบั เดก็ เดก็ ในชว่ งอายุ 2-5 ขวบเปน็ ชว่ งทมี่ พี ฒั นาการ ไมเ่ พยี งใด ผลทไี่ ดร้ บั จากการวจิ ยั จะเปน็ แนวทางในการจดั
ทางภาษามาก การพัฒนาทักษะทางภาษาท้ังการฟัง การ ประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะทางภาษาและ
พูด การอ่านและการเขียน ตอ้ งพฒั นาไปพร้อมกนั การเล่า เป็นรากฐานสำ�คัญในการพัฒนาเด็กให้เกิดความพร้อม
เร่ืองจากหนังสือให้เด็กฟังไม่เพียงกระตุ้นจินตนาการของ ตลอดจนเป็นการปูพื้นฐานทางภาษาเพื่อการเรียนรู้ในชั้น
เด็กให้เกิดการสร้างภาพขึ้นเท่านั้น หากยังส่งเสริมทักษะ สูงตอ่ ไปในอนาคต
การฟังให้กับเขาด้วย การให้เด็กได้ฟังบ่อยครั้งจะช่วยให้
เด็กเรียนรู้คำ�มากขึ้น เกิดการสะสมคลังคำ� ซ่ึงจะเป็นพ้ืน จากข้อความข้างต้นพอสรุปได้ว่า การจัด
ฐานสำ�คัญต่อการพัฒนาทักษะด้านอ่ืนต่อไป (เรืองพิลาศ ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองประกอบ
ธรรมวเิ ศษ. ออนไลน์. 2555) ภาพมคี วามสำ�คัญต่อการพฒั นาทักษะทางภาษา ดังนั้น ผู้
รายงานจึงมีความสนใจที่จะศึกษาผลการจัดประสบการณ์
โรงเรียนเทศบาลต�ำ บลงมิ (คือเวียงจ่�ำ ) ไดด้ �ำ เนิน การเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองเพอื่ พฒั นาทกั ษะทาง
การจัดการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง ภาษาด้านการฟัง การพูด ของนักเรียนช้ันอนุบาลปีที่ 3
ชาติ พทุ ธศักราช 2542 แกไ้ ขเพ่ิมเติม 2545 (ฉบับ 2) จาก โรงเรยี นเทศบาลตำ�บลงิม (คอื เวยี งจำ�่ ) ท่มี ปี ระสิทธิภาพ
ขอ้ มลู สารสนเทศของโรงเรยี น พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญร่ อ้ ย อนั จะเป็นพนื้ ฐานในการเรยี นระดบั ช้ันท่ีสงู ขน้ึ ตอ่ ไป
ละ 80 ใชภ้ าษาถนิ่ มากกวา่ ภาษาไทย ทำ�ให้เกิดปญั หา
ในการส่ือสาร และเป็นอุปสรรคในการเตรียมความพร้อม วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา
เด็กทุกด้าน โดยเฉพาะนกั เรยี นชัน้ อนุบาลปีท่ี 3 ซงึ่ เรม่ิ เข้า
โรงเรียนยังมีปัญหาในการปรับตัว และการใช้ภาษาไทย 1. เพ่ือหาประสิทธิภาพการจัดประสบการณ์การ
กลางอยา่ งมาก จงึ ควรไดร้ บั การฝกึ ฝนทกั ษะการฟงั การพดู เรยี นรู้โดยใช้หนงั สือค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพ ตามเกณฑ์
ภาษาไทยเปน็ อยา่ งยงิ่ อกี ทง้ั จากการประเมนิ คณุ ลกั ษณะที่ 80/80
พงึ ประสงคข์ องพฒั นาการทงั้ 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นรา่ งกายคดิ 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางภาษาด้านการฟัง
เปน็ รอ้ ยละ 86.25 ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจคดิ เปน็ รอ้ ยละ85.50 การพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังการ
ดา้ นสงั คมคดิ เปน็ รอ้ ยละ 83.45 และดา้ นสตปิ ญั ญาคดิ เปน็ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้หนังสือคำ�คล้องจอง
148
Vol 2 No 6 September - December 2019 Journal of EdFuaccuattyiol nofalEdTueccahtnioonloMgayhaansdaraCkohmammunUinciavetirosnitsy
ประกอบภาพ 2. หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพ หมายถึง
หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมา
3. เพอ่ื ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นชน้ั อนบุ าล เพอ่ื พฒั นาทกั ษะทางภาษาดา้ นการฟงั การพดู ของนกั เรยี น
ปีท่ี 3 ทม่ี ตี ่อการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้โดยใช้หนังสือ ชัน้ อนุบาลปีที่ 3 มีท้งั หมด 10 เลม่ ประกอบดว้ ย
คำ�คล้องจองประกอบภาพ
2.1 หนังสือค�ำ คล้องจองประกอบภาพ เรื่อง
สมมตฐิ านของการศกึ ษา ชื่อนั้นส�ำ คญั ไฉน
นักเรียนช้ันอนุบาลปีท่ี 3 มีทักษะทางภาษา 2.2 หนังสอื คำ�คล้องจองประกอบภาพ เรื่อง
ด้านการฟัง การพูด หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เดก็ ดีมวี ินัย
โดยใช้หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพสูงกว่าก่อนจัด
ประสบการณ์ 2.3 หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพ เร่ือง
อวัยวะและการดแู ลรกั ษา
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.4 หนังสอื ค�ำ คล้องจองประกอบภาพ เร่ือง
1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนปฐมวัยชน้ั อนบุ าลปี กินดอี ยดู่ ีมสี ุข
ท่ี 3 โรงเรียนเทศบาลตำ�บลงิม (คือเวียงจำ่�) ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2560 มจี �ำ นวน 2 ห้องเรียน ประกอบด้วย 2.5 หนังสอื ค�ำ คล้องจองประกอบภาพ เรื่อง
ระดบั ชัน้ อนบุ าลปีท่ี 3/1 จำ�นวน 20 คน ระดบั ชนั้ อนุบาล ขยับกายสบายชวี ี
ปที ี่ 3/2 จำ�นวน 20 คน รวมมปี ระชากรท้ังสิ้น 40 คน 2.6 หนงั สอื คำ�คล้องจองประกอบภาพ เรื่อง
2. กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นปฐมวยั ชน้ั อนบุ าลปี ปลอดภยั ไวก้ ่อน
ที่ 3 โรงเรยี นเทศบาลต�ำ บลงมิ (คอื เวยี งจ�ำ่ ) ภาคเรยี นที่ 1 ปี 2.7 หนงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพ เร่ือง
การศึกษา 2560 จำ�นวน 20 คน ไดม้ าโดยการสุ่มแบบแบง่ หนนู อ้ ยนักสมั ผสั
กลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้หอ้ งเรยี นเป็น
หน่วยของการสุ่มและแต่ละห้องเรียนนักเรียนคละความ 2.8 หนงั สอื คำ�คลอ้ งจองประกอบภาพ เรื่อง
สามารถ หนูท�ำ ได้
ตัวแปรท่ใี ช้ในการวจิ ยั 2.9 หนงั สอื คำ�คลอ้ งจองประกอบภาพ เรอ่ื ง
หนูน้อยน่ารกั
ตัวแปรต้น ได้แก่ การจดั ประสบการณ์การเรียน
รโู้ ดยใช้หนงั สอื คำ�คล้องจองประกอบภาพ 2.10 หนงั สือค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพ เรอ่ื ง
บา้ นแสนสขุ
ตวั แปรตาม ได้แก่ ทกั ษะทางภาษาดา้ นการฟัง
การพดู ของนักเรียนช้นั อนบุ าลปีที่ 3 3. การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื
คำ�คล้องจองประกอบภาพ หมายถึง ประสบการณ์การ
นิยามศพั ท์เฉพาะ เรยี นรทู้ คี่ รเู รยี บเรยี งมาโดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองประกอบ
ภาพทผี่ วู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาขน้ึ มาเพอื่ พฒั นาทกั ษะทางภาษาดา้ น
1. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ หมายถึง การฟัง การพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีท่ี 3 ในกิจกรรม
ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีครูเรียบเรียงมาเพ่ือใช้ประกอบ เสริมประสบการณ์ในขั้นสอน มที ้งั หมด 10 เลม่ โดยมขี ้ัน
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ ทกั ษะการฟงั การ ตอนการจดั ประสบการณ์ ดงั นี้
พูด การคิดและการจดจำ�และยังส่งเสริมพัฒนาการทาง
ดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาของนกั เรียนชั้น 3.1 ขนั้ น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการจดั เตรยี มวสั ดุ
อนบุ าลปที ่ี 3 อุปกรณ์และชี้แจงให้เด็กเข้าใจถึงจุดประสงค์ก่อนปฏิบัติ
149
วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 กันยายน - ธันวาคม 2562
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
กจิ กรรมและเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นจดั ประสบการณโ์ ดยให้ 6. ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หมายถึง
เด็กรอ้ งเพลง ท่องค�ำ คลอ้ งจอง เป็นต้น ตลอดจนใชค้ ำ�ถาม คณุ ภาพของการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ โดยใชห้ นงั สอื
กระตุ้นก่อนปฏิบัตกิ จิ กรรม ค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการฟงั การพดู
ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ในระดับท่ีสูงข้ึนตาม
3.2 ขนั้ ด�ำ เนนิ กจิ กรรม โดยการใหเ้ ดก็ ดหู นงั สอื เกณฑ์ 80/80
ค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพ เด็กแสดงทกั ษะทางภาษาดา้ น
การฟงั และการพดู ได้แกด่ ้านการฟงั ประกอบด้วย การฟงั กระบวนการ80คำ�นตวัวณแรจกากหรม้อายยลถะงึ ขปอรงะคสะิทแธนภิ นารพะห(Eว1่า)งขกอารง
ค�ำ คลอ้ งจองและการปฏบิ ตั ติ ามค�ำ สง่ั ดา้ นการพดู ประกอบ
ด้วย การท่องคำ�คล้องจองและการพูดคำ�ศัพท์ ตลอดจน จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการใช้หนังสือคำ�คล้องจอง
ร่วมกันสนทนาพร้อมต้ังคำ�ถามเก่ียวกับภาพในหนังสือคำ� ประกอบภาพเพอื่ พฒั นาทกั ษะการฟงั การพดู ของนกั เรยี น
คลอ้ งจองประกอบภาพ ชน้ั อนบุ าลปีท่ี 3 ของกลมุ่ ตวั อย่าง ได้คะแนนรวมรอ้ ยละ
3.3 ข้นั สรปุ โดยการใหเ้ ดก็ และครูร่วมกนั 80 ขึ้นไป
สรุปเน้ือหาหนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพและทักษะ โดย8ค0ำ�นตวัวณหลจงัากหร้อมยายลถะงึขอปงคระะสแทินธนิภเฉาลพี่ย(ขEอ2)งขเดอ็กง
ทางภาษาดา้ นการฟงั การพูด ผลลัพธ์
ท่ีได้จากการทดสอบหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
4. ทักษะทางภาษา ดา้ นการฟัง หมายถงึ ความ โดยการใช้หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพเพื่อพัฒนา
สามารถของนกั เรยี นชนั้ อนบุ าลปที ี่ 3 ทแี่ สดงออกทางภาษา ทักษะการฟงั การพูด ของนักเรียนชนั้ อนบุ าลปที ี่ 3 ของ
ในการรบั รโู้ ดยการฟงั ค�ำ คลอ้ งจองและการปฏบิ ตั ติ ามค�ำ สง่ั กลมุ่ ตวั อย่าง ได้คะแนนรวมรอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป
วัดไดจ้ ากแบบประเมินทกั ษะทางภาษาดา้ นการฟัง ดงั นี้
7. แบบทดสอบวัดทักษะทางภาษาด้านการ
4.1 การฟังคำ�คล้องจอง หมายถึง ความ ฟัง การพูด หมายถึง เคร่ืองมือท่ีผู้ศึกษาสร้างข้ึนเพ่ือวัด
สามารถของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ในการต้ังใจฟังคำ� ทักษะทางภาษาด้านการฟัง การพูดก่อนและหลังการจัด
คล้องจองแสดงความสนใจต่อผู้พูดหรือไม่แสดงอาการ ประสบการณโ์ ดยใชห้ นงั สอื ค�ำ คลอ้ งจองประกอบภาพ ของ
เฉยเมยหรอื ขัดจังหวะและคอยซักถามเมอื่ เปดิ โอกาส นกั เรยี นชั้นอนบุ าลปีท่ี 3 จ�ำ นวน 30 ขอ้ ประกอบด้วย
4.2 การปฏิบัติตามคำ�ส่ัง หมายถึง ความ 7.1 ทกั ษะทางภาษาด้านการฟงั จำ�นวน 15
สามารถของนักเรยี นช้นั อนบุ าลปที ี่ 3 ในการปฏิบตั ติ ามคำ� ขอ้
สั่งโดยสามารถปฏบิ ัตไิ ดท้ กุ ครั้ง
- การฟงั ค�ำ คลอ้ งจองจำ�นวน 7 ข้อ
5. ทักษะทางภาษา ด้านการพดู หมายถึง ความ - การปฏบิ ัติตามค�ำ ส่งั จำ�นวน 8 ขอ้
สามารถของนักเรียนช้ันอนุบาลปีท่ี 3 ที่แสดงออกทาง
ภาษาในการรบั ร้โู ดยการพดู ท่องคำ�คล้องจอง และการพดู 7.2 ทกั ษะทางภาษาดา้ นการพูด จำ�นวน 15
คำ�ศัพท์ วัดได้จากแบบประเมินทักษะทางภาษาด้านการ ข้อ
พดู ดงั นี้ - การทอ่ งคำ�คล้องจอง จำ�นวน 7 ขอ้
5.1 การทอ่ งคำ�คลอ้ งจอง หมายถงึ ความ - การพูดค�ำ ศัพท์ จำ�นวน 8 ขอ้
สามารถของนักเรียนช้ันอนุบาลปีท่ี 3 ในการท่องคำ� 8. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบของ
คลอ้ งจองไดค้ ลอ่ ง พดู ชดั เจน พดู เปน็ ประโยคยาวไดท้ กุ ครง้ั นักเรียนช้ันอนุบาลปีท่ี 3 ที่มีต่อการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้โดยใช้หนังสือคำ�คล้องจองประกอบภาพเพ่ือพัฒนา
5.2 การพูดคำ�ศพั ท์ หมายถึง ความสามารถ ทกั ษะการฟงั การพดู วดั ไดจ้ ากแบบสอบถามความพงึ พอใจ
ของนกั เรียนช้นั อนบุ าลปีที่ 3 ในการพูดความหมายของค�ำ ท่ผี ู้วจิ ัยสร้างขึ้น
ศัพท์ได้ถูกตอ้ งทกุ คำ�
150