The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือประกอบโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี คณะกรรมการนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2563.

ISBN 9789746417679

บทบรรณาธิการ -- โครงการทางรถไฟสายโบราณคดี / ภาณุพงศ์ ชลสวัสดิ์ -- รักษ์สถานี / วันวิสข์ เนียมปาน -- การอนุรักษ์และพัฒนาสถานีรถไฟสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา / ปริญญา ชูแก้ว / ทางรถไฟไทยสร้างบนเส้นทางสมัยโบราณ (1) ทางสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- การคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองอีสานก่อนมีทางรถไฟ สายนครราชสีมา พ.ศ. 2445 / ชุมพล แนวจำปา -- รถจักร น้ำ ฟืน และทางรถไฟเล็กสูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเก่า เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา / สุจิตต์ วงษ์เทศ -- อำเภอสูงเนิน ลักษณะทางภูมิศาสตร์และปัจจัยทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในสมัยทวารวดี / สายรุ้ง แจ้งจิตร -- วัฒนธรรมทวารวดีที่ปรากฏในเมืองโบราณเสมา / พรหมพิริยะ พรหมเมศ -- หลักหิน-ใบเสมา เอกลักษณ์ทวารวดีอีสานที่สูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- พระพุทธรูปไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมาราม / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มีอายุเก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา / รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล -- อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า น้ำพระทัยแห่ง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 / วิทูร ชีพดำรงสกุล -- สูงเนิน : ตัวตนในนิราศ กาพย์และกลอน / จิรวัฒน์ ตั้งจิตเจริญ -- ผ้าทอเงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์สำคัญของชาวสูงเนิน / อาทิตยา สุกรสุต -- เพลงโคราช ภาพสะท้อนโคราชผ่านบทเพลง / ภัทรชนก จุฑาเทศ -- "นครราชสีมา" ผ่านมุมมองการตรวจราชการของชนชั้นนำ และข้าราชการสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 / พนมกร นวเสลา -- กำหนดการกิจกรรมโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี ตอน "บอกเล่าให้รู้จัก บอกรักษ์สูงเนิน"

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panupong Chonsawat, 2021-09-29 19:01:05

บอกรักษ์สูงเนิน : รวมบทความวิชาการ-สารคดีในพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา

หนังสือประกอบโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี คณะกรรมการนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2563.

ISBN 9789746417679

บทบรรณาธิการ -- โครงการทางรถไฟสายโบราณคดี / ภาณุพงศ์ ชลสวัสดิ์ -- รักษ์สถานี / วันวิสข์ เนียมปาน -- การอนุรักษ์และพัฒนาสถานีรถไฟสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา / ปริญญา ชูแก้ว / ทางรถไฟไทยสร้างบนเส้นทางสมัยโบราณ (1) ทางสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- การคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองอีสานก่อนมีทางรถไฟ สายนครราชสีมา พ.ศ. 2445 / ชุมพล แนวจำปา -- รถจักร น้ำ ฟืน และทางรถไฟเล็กสูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเก่า เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา / สุจิตต์ วงษ์เทศ -- อำเภอสูงเนิน ลักษณะทางภูมิศาสตร์และปัจจัยทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในสมัยทวารวดี / สายรุ้ง แจ้งจิตร -- วัฒนธรรมทวารวดีที่ปรากฏในเมืองโบราณเสมา / พรหมพิริยะ พรหมเมศ -- หลักหิน-ใบเสมา เอกลักษณ์ทวารวดีอีสานที่สูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- พระพุทธรูปไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมาราม / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มีอายุเก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา / รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล -- อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า น้ำพระทัยแห่ง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 / วิทูร ชีพดำรงสกุล -- สูงเนิน : ตัวตนในนิราศ กาพย์และกลอน / จิรวัฒน์ ตั้งจิตเจริญ -- ผ้าทอเงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์สำคัญของชาวสูงเนิน / อาทิตยา สุกรสุต -- เพลงโคราช ภาพสะท้อนโคราชผ่านบทเพลง / ภัทรชนก จุฑาเทศ -- "นครราชสีมา" ผ่านมุมมองการตรวจราชการของชนชั้นนำ และข้าราชการสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 / พนมกร นวเสลา -- กำหนดการกิจกรรมโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี ตอน "บอกเล่าให้รู้จัก บอกรักษ์สูงเนิน"

Keywords: สูงเนิน,นครราชสีมา,รถไฟ,สถานีรถไฟ,อนุรักษ์สถานีรถไฟ,โบราณคดี,ประวัติศาสตร์,โครงการทางรถไฟสายโบราณคดี,คณะกรรมการนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร,การรถไฟแห่งประเทศไทย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พระพทุ ธรปู ไสยาสนท์ วารวดี วดั ธรรมจกั รเสมาราม

ซากวิหารประดิษฐานพระพทุ ธไสยาสน์ มกี รอบประตูทางเข้าก่อจากหนิ ทราย

ลูกมะหวดหรอื ลกู กรงหน้าตา่ งหนิ ทรายของวหิ าร พบในวัดธรรมจักรเสมาราม
137

พระพทุ ธรูปไสยาสนท์ วารวดี วัดธรรมจกั รเสมาราม

บริเวณโดยรอบวิหารพระนอนมีการปักเสมาคู่ เป็นรูปแบบ
วัฒนธรรมทวารวดีในภาคอีสาน ขณะที่มีการค้นพบธรรมจักรศิลาซ่ึง
เป็นความนิยมของทวารวดีในภาคกลาง สะท้อนว่าเมืองเสมานี้เป็นจุด
เชอ่ื มต่อทางวฒั นธรรมทชี่ ดั เจนอย่างมาก

ใบเสมาหนิ ทรายคู่ ปกั ล้อมบรเิ วณวหิ ารพระพุทธไสยาสน์

138

พระพทุ ธรูปไสยาสน์ทวารวดี วดั ธรรมจกั รเสมาราม

ธรรมจักรศิลาสมัยทวารวดี พบที่วดั ธรรมจกั รเสมาราม
ด้วยขนาดท่ีใหญ่โตและมีบริบทที่แสดงถึงความสัมพันธ์
กับคัมภรี ์ทางศาสนาอย่างชดั เจน รวมท้ังการแสดงความเกี่ยวข้อง
จากอิทธิพลทางวัฒนธรรมลังกาและเขมรโบราณ สะท้อนว่า
บริเวณเมืองเสมาเคยเป็นชุมชนท่ีมีความสำคัญและเช่ือมโยงกับ
ดินแดนอ่ืนๆทั้งทางใกล้และไกล ด้วยเหตุที่ตั้งอยู่บนเส้นทาง
คมนาคมโบราณจากท่ีราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยากับที่ราบสูงโคราช
ด้วย

139

พระพทุ ธรปู ไสยาสน์ทวารวดี วัดธรรมจกั รเสมาราม

บรรณานกุ รม
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์.”จุ๊จุ๊ อย่าดัง พระกำลังปลีกวิเวก,” ใน หาพระหาเจ้า.

กรงุ เทพฯ : มตชิ น,2545.
รุง่ โรจน์ ธรรมรุ่งเรอื ง.ทวารวดใี นอสี าน.กรงุ เทพฯ : มติชน,2558.
ศักด์ิชัย สายสิงห์.ศิลปะทวารวดี วัฒ นธรรมพุทธศาสน ายุคแรกเร่ิม

ในดินแดนไทย.พิมพ์ครง้ั ท่ี 2.กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ,2562.

140

หลกั ฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกท่ีมีอายุเก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา

หลกั ฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกทีม่ ีอายุ
เก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสงู เนิน นครราชสีมา

ร่งุ โรจน์ ภริ มย์อนกุ ูล01

บทนำ
จารึกที่พบในบริเวณพื้นที่อำเภอสูงเนินในปัจจุบัน ได้รับการ

เปิดเผยข้อมูลมาต้ังแต่ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) โดย L. de Lajonquière
ที่ได้เอย่ ถงึ จารึกหลักหนงึ่ ที่บ่ออกี า แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม L. de Lajonquière
ก็ไม่ไดท้ ำการอ่านแปลจารึกหลกั นี้12 จนกระท่ัง พ.ศ. 2493 (ค.ศ.1954)
G.Coedès จึงไดต้ พี มิ พค์ ำอ่าน-แปลของจารึกหลักน้ี ซ่งึ ได้กล่าวถึงศรีจ
นาศปรุ ะ23

แมว้ า่ การค้นพบจารึกในเขตอำเภอสูงเนิน จงั หวดั นครราชสมี า
จะปรากฏเสมอมาและมีพบจำนวนมาก หากแต่เรายังไมเ่ คยมกี ารสร้าง
คำอธบิ ายเก่ียวกับภาพรวมของเรื่องราวในอดตี ของพื้นที่แหง่ น้ี จาก
จารึกแต่ประการใด

1 ผ้ชู ว่ ยศาตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจำภาควิชาประวตั ิศาสตร์ คณะ
มนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง

2 L. de Lajonquière, Inventaire descriptive des monuments
du Cambodge II (Paris : EFEO, 1907), pp. 299-300.

3 G. Coedès, Inscriptions du Cambodge VI (Paris : EFEO, 1954),
pp.. 83-85.

141

หลักฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกที่มอี ายุเก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสงู เนิน นครราชสมี า

หลักฐานโบราณวตั ถปุ ระเภทจารกึ ทพี่ บในอำเภอสงู เนนิ และพ้ืนท่ี
ใกล้เคยี ง

ก่อนที่จะเข้าสู่การอธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของอำเภอ
สงู เนินซึ่งเปน็ ที่ตั้งของเมอื งเสมาและพื้นที่ใกล้เคียงควรที่จะทราบข้อมูล
พื้นฐานว่า พื้นท่ีบริเวณนี้พบจารึกจำนวนกี่หลัก ซึ่งผู้เขียนจึงนำเสนอ
ในรูปแบบของตารางโดยมขี ้อตกลงดังต่อไปนี้

1. จารึกหลายหลักยังไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยกรม
ศิลปากร ดังนั้นชื่อจารึกที่ปรากฏในตาราง ในกรณีที่เป็นชื่อที่ไม่
ปรากฏในหนังสือจารกึ ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2529 และ 2559 ผู้เขียน
จะแสดงสาเหตทุ ่มี าของช่ือในช่องหมายเหตุ

2. อักษรยอ่ พช. หมายถงึ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ
3. เนื่องจากระบบทะเบียนจารึกที่ใช้ในระบบการอ้างอิงใน
ประเทศไทยจะมี 3 ระบบ คือ

3.1 ระบบของสมุดแห่งชาติ ซึ่งในกรณีของจารึกท่ี
พบในเมืองเสมาและพื้นที่ใกลเ้ คียงอยู่ในพื้นที่จงั หวัดนครราชสีมา จึงใช้
อกั ษรย่อ นม. (นครราชสมี า) แลว้ ตามด้วยตัวเลข

3.2 ระบบในหนงั สือประชุมศิลาจารกึ ซึง่ ในตารางจะ
ใชว้ ่า จารกึ หลกั ท่ี

3.3 ระบบของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลาบบูรพทศิ จะใช้
อักษรยอ่ K. แลว้ ตามด้วยตัวเลข

3.4 กรณีที่จารึกไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่ จะทำ
ให้ไมท่ ราบถงึ ทะเบยี นจารกึ ดงั นนั้ ในกรณีน้จี ะใชส้ ัญลกั ษณ์ “---“

142

หลกั ฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกท่ีมอี ายุเก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนนิ นครราชสีมา

ช่อื จารกึ ปัจจุบันอยู่ท่ี ทะเบียนจารึก หมายเหตุ

ชายจีวร พช.พมิ าย --- ชื่อจารกึ ยึดตามปา้ ยจดั แสดงในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พิมาย
พระพทุ ธรูปยืน และเนอื่ งจากพระพุทธรูปที่ปรากฏแสดงอิทธพิ ลของศลิ ปะอินเดยี แบบปาละ
นม.28,
บ่ออกี า พช. พิมาย จารกึ หลักที1่ 18, ดงั นน้ั จึงกำหนดใหจ้ ารกึ หลกั นอ้ี ยู่ในพุทธศตวรรษท่ี 15-16

บ้านเมืองเกา่ พช.มหาวรี วงศ์ K.400 ด้านท่ี 2 ปรากฏขอ้ ความระบปุ ีมหาศกั ราช 790 (พ.ศ. 1411)
---
ช่อื จารึกยึดตามปราสาทท่ีขุดค้นพบ จารกึ หลักน้เี ป็นจารกึ ของศาสนสถาน
ประจำอโรคยศาล รชั กาลพระเจา้ ชยั วรรมนั ท่ี 7

143

หลักฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกที่มีอายุเก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสมี า

ปราสาท พช.มหาวรี วงศ์ นม.50 บรรทดั ที่ 9 ของจารกึ ปราสาทเมอื งแขก 1 ระบุปีมหาศักราช 896 (พ.ศ.1517)
เมอื งแขก

1,2,3

พระพทุ ธรูป พช.มหาวรี วงศ์ K.987 เน่อื งจากพระพทุ ธรูปมชี ายสังฆาฎเิ ป็นเขี้ยวตะขาบอันเปน็ อิทธิพลของศิลปะ
อินเดยี แบบปาละ จึงกำหนดอายุจารึกหลักน้อี ยู่ในพุทธศตวรรษที่ 15-16
เมอื งเสมา คลังพพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ นม. 25,
จังหวัดปทมุ ธานี K.1141 ด้านท่ี 2 บรรทัดที่ 12 ระบปุ ีมหาศักราช 893 (พ.ศ. 1514)
---
เมอื งเสมา 2 คลงั พช.พมิ าย ชอ่ื จารึกยดึ ตามสถานทข่ี ดุ คน้ พบ บรรทดั ท่ี 1 ระบุมหาศกั ราช 849 (พ.ศ. 1470)
---
วดั แก่นท้าว วัดแก่นทา้ ว ช่อื จารึกยดึ ตามสถานที่เก็บรักษา พจิ ารณาจากรูปแบบอักษรเป็นจารึกในร่นุ
พุทธศตวรรษท่ี 15

144

หลกั ฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกที่มอี ายุเก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา

เย ธมมฺ าฯ คลัง พช.พมิ าย นม.67
เมืองเสมา

ศรีจนาศะ คลงั พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ อย.112, แมว้ า่ จารึกหลกั นจี้ ะพบที่เทวสถานชีกุน กรุงศรีอยธุ ยา
จังหวดั ปทุมธานี จารกึ หลักท.่ี 117, หากแต่เอย่ ถงึ ศรจี นาศปรุ ะ ซ่ึงเปน็ เมืองจารึกบอ่ อกี ากล่าวถงึ จึงเชื่อว่าแตเ่ ดิมคง

K.949 จะอยทู่ ่ีเมืองเสมา ฉนั ทบ์ ทท่ี 8 ระบปุ ีมหาศักราช 859 (พ.ศ. 1480)

ศรวี ตั สะสรา้ ง พช.มหาวีรวงศ์ นม.38 พบที่อำเภอขามทะเลสอ บรรทัดที่ 10 ระบุปมี หาศักราช 751 (พ.ศ.1372)
เทวรปู

สงู เนนิ คลัง พช.พิมาย นม.3, พิจารณาจากรปู แบบอักษรเป็นจารึกในร่นุ พทุ ธศตวรรษท่ี 16
K.1007

145

หลกั ฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มีอายเุ ก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา

จำแนกประเภทจารึกที่พบ
จากตารางแสดงบญั ชจี ารกึ ท่ใี นเขตอำเภอสูงเนินและอำเภอ

ขามทะเลสอ34 สามารถจำแนกออกเปน็ 2 ประเภท ดังต่อไปน้ี
ประเภทท่ี 1 จารึกทส่ี ลกั อย่รู ูปเคารพ ถ้ายกกรณีจารึกวัดแก่น

ท้าวออกไป ทั้งนี้เพราะยังไม่มีการอ่าน-แปล จะพบว่าจะจารึกคาถา
เย ธมมฺ า อันเป็นคาถาทนี่ ำมาจาก คัมภีรม์ หาวคั ค ปฐมภาค มหาขันธก์
สาริปตุ ตโมคคลานวตั ถุ ลักษณะเช่นเปน็ ลักษณะที่พบโดยทั่วไปในจารึก
ที่พบในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เช่นจารึกบนหลังพระพุทธรูปที่วัด
มหาธาตุราชบุรี จารึกบนซีกวงล้อธรรมจักร เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนได้เคย
ตีความลักษณะจารึกแบบนี้ว่าทำเพื่อให้รูปเคารพนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์
และมคี วามเช่อื มโยงกับพระพทุ ธเจา้ 45

ส่วนจารึกที่ชายจีวรพระพุทธรูปนั้นปรากฏข้อความสั้นว่า “กฺ
ยาก ปุณฺย” หมายความวา่ พระบุญ56 ในกรณนี ี้อาจจะเปน็ ไปได้ว่าคำว่า

4 อำเภอขามทะเลสอ แตเ่ ดมิ เป็นก่งิ อำเภอทขี่ นึ้ อยกู่ บั อำเภอสงู เนนิ เพงิ่
จะได้รบั การแยกเปน็ อำเภอเมอ่ื พ.ศ. 2508 ตามพระราชกฤษฎกี าทีป่ ระกาศในราช
กจิ จานเุ บกษา เล่มท่ี 82 เมือ่ วนั ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2508

5 รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, “จารึกหลกั ธรรม ไม่ใช่เพื่อการเผยแพร่ แต่เพ่ือ
ความศักดิ์สิทธ”ิ วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปีที่ 30 ฉบับที่ 1 , 2554
, หน้า 38-58.

6 ฮนั เตอร์ เอยี น วัตสัน , “การศึกษารูปคำภาษามอญโบราณจากจารึกที่
พบในประเทศไทย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-17” วิทยานนิพนธ์ปริญญาศิลป
ศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาจารึกภาษาตะวันออกภาควิชาภาษาตะวันออก
มหาวิทยาลยั ศิลปากร ปกี ารศึกษา 2556 , หน้า 84.

146

หลกั ฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกท่ีมีอายเุ ก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนนิ นครราชสีมา

กฺยาก” ที่หมายถึงพระ คือพระพุทธรูป นอกจากนี้ลักษณะข้อความนี้
เหมอื นกบั จารกึ พระพมิ พด์ ินเผา พนัสนิคม ชลบุรี

ประเภทที่ 2 จารึกที่สลักอยูบ่ นแผ่นศิลาหรือหลักศลิ า จารึก
ลกั ษณะหลกั ทีเ่ ก่าทส่ี ุดทพ่ี บในเขตอำเภอสูงเนิน คือจารึกศรีวัตสะสร้าง
เทวรูป ที่อำเภอขามทะเลสอ แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นที่น่าสังเกตว่า
จารึกในลักษณะนี้เนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับศาสนพราหมณ์ที่ลึกซึ้งและมี
ความรทู้ างด้านภาษาสันสกฤตเป็นอยา่ งดี

แม้ว่าในจารึกจะแสดงถึงหลักปรัชญาของศาสนาพราหมณ์
และกล่าวถึงการสถาปนารูปเคารพ หากแต่หลักฐานประติมากรรมท่ี
พบในเขตอำเภอสูงเนินจะไม่ปรากฏประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์
แต่ประการใด

เรอื่ งราวในเขตอำเภอสูงเนนิ จากจารึก
พนื้ ทใ่ี นเขตอำเภอสูงเนิน มีเมอื งโบราณเมืองใหญท่ สี่ มมติเรียก

กันในปัจจุบันวา่ เมืองเสมา ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดี แล้วพบว่าใน
เมืองเสมามีพบร่องรอยการอยู่อาศัยมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 10-1167
แต่อย่างไรก็ตามจารึกที่สามารถกำหนดอายุได้อย่างชัดเจนนั้นกลับมา
ปรากฏในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 14 คือจารึกบ่ออีกา78 ที่เอ่ยถึง

7 เขมิกา หวงั สุข, “พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลมุ่ แมน่ ำ้ มูล : การศึกษา
แหล่งโบราณคดีเมืองเสามา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา” วิทยานนิพนธ์
ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชา
โบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ปกี ารศึกษา 2543, หน้า 183.

8 ตำแหนง่ ของบ่ออีกาคอื สระนำ้ ทต่ี น้ื แลว้ หน้าบรเิ วณโบราณสถาน
หมายเลขท่ี 1 ของเมืองเสมา

147

หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มอี ายเุ ก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา

พระราชาศรีจนาศะได้บําเพ็ญพระกุศล และจารึกศรีจนาศะที่เอ่ยถึง
ลําดับเจ้าผู้ครองศรีจนาศปุระพบอยู่ในเมืองเสมา ด้วยเหตุนี้จึง
สันนิษฐานว่าเมืองเสมามีชื่อในช่วงสมัยนั้นว่า “ศรีจนาศปุระ”
นอกจากนี้จารึกยังกล่าวถึง “จนาศปุระ” ว่า “กมฺวุเทศานฺตเร” ซึ่ง
G.Coedès แปลว่าอยู่นอกกัมพุเทศ89

ในปัจจุบันเราก็ไม่สามารถหาได้ว่ากษัตริย์ที่ปรากฎในจารึก
ศรีจนาศะมีความสัมพันธ์กับกษัตริย์ที่เมืองพระนคร หากแต่ในจารึก
ศรีจนาศะ ได้กล่าวถึงปฐมกษัตริย์ของจนาศปุระทรงพระนามว่า
ภคทัตต์ ซึ่งในจารึกไม่เอ่ยว่าพระองค์เสวยราชย์ในปีศักราชใด แต่ใน
จารึกได้เอ่ยถึงลำดับกษัตริย์ที่สืบต่อจากพระองค์อีก 4 รัชกาล โดยที่
รัชกาลที่กล่าวถึงกษัตริย์ทรงพระนามว่า มงคลวรรมัน ซึ่งเสวยราชย์
สมบัติใน พ.ศ. 1480910 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สันนิษฐานว่า จนาศปุระ
น่าจะสถาปนาวงศใ์ นชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษที่ 14 โดยประมาณ

อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ จารึกศรีจนาศะด้านที่ 2
ซึ่งเป็นชื่อข้าทาสที่อุทิศในแก่ศาสนสถานใช้ภาษาเขมรโบราณ รวมถึง
จารึกเมืองเสมา 2 ก็เป็นจารึกภาษาเขมรโบราณ แต่ในขณะเดียวกัน
พระไสยาสน์องค์ใหญ่ที่เมืองเสมาซึ่งมีอายุร่วมสมัยกับจารึก 2 หลักน้ี
กลับแสดงพุทธศิลปะแบบทวารวดี ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึง

9 G. Coedès , Inscriptions du Cambodge VI, p.85.
10 G. Coedès, “Une Novelle Inscription d’Ayuthya” JSS. 35.1, 1944 ,
pp. 73 – 76

148

หลักฐานโบราณวตั ถุประเภทจารึกที่มีอายเุ ก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสงู เนนิ นครราชสมี า

ลักษณะเฉพาะของพื้นที่ต้นลุ่มแม่น้ำมูล ที่วัฒนธรรมทวารวดีซ้อนทับ
กบั วฒั นธรรมทะเลสาบเขมร1011

ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 15 ในเขตต้นแม่น้ำมูลเริ่มปรากฏ
การแพร่กระจายของวัฒนธรรมทะเลสาบเขมรจากเมืองพระนคร ดัง
หลักฐานที่สำคัญคือ จารึกปราสาทพนมวัน 1 (นม.32, K 394) ระบุปี
มหาศักราช 812 (พ.ศ.1433) เอ่ยถึงโองการของพระเจา้ ยโศวรรมนั ที่ 11112
หากแต่กษตั ริย์ทีส่ ถาปนาเมืองพระนคร การแผ่ขยายอิทธิพลของเมือง
พระนครที่มีผลกระทบต่อเมืองเสมาหรือจนาศปุระคือ พระเจ้าชัยวรร
มันที่ 5 ในต้นพทุ ธศตวรรษท่ี 16

จากข้อความในจารึกปราสาทเมืองแขก 1,2,3 และจารึกเมือง
เสมา ได้กล่าวถึงพราหมณ์ท่านหนึ่งที่ชื่อว่า ยัญชวราหะ ซึ่งดำรง
ตำแหน่ง กมรเตง อัญ ต พระครุ ุ หรอื พราหมณค์ นสำคญั ของราชสำนกั
ได้เดินทางมาท่ีเมืองเสมาเพื่อมาจัดการระบบกัลปนาผู้คนในพื้นที่จนาศ
ปุระ และอาจจะเป็นไปได้ว่าการที่จารึกบ่ออีกา ที่พบในสระที่ตื้นแล้ว
และจารึกเมืองเสมา 2 ที่ถูกนำมาปูพ้นื โคปุระโบราณสถานหมายเลขที่ 1
คือผลของการแกไ้ ขกัลปนาทพ่ี ระราชาแหง่ ศรีจนาศปรุ ะได้ประกาศไว้

11 รายละเอยี ดเก่ียวกบั ซ้อนทับกนั ระหวา่ งวัฒนธรรมทวารวดีและเขมร
ในพ้ืนท่ตี ้นแมน่ ้ำมูลชว่ งก่อน พ.ศ. 1500 ใน รุ่งโรจน์ ภริ มยอ์ นุกลู , “รายงานวิจัย
ฉบับสมบรู ณ์ การตรวจสอบพกิ ัดสถานทพ่ี บและเกบ็ รกั ษาของจารกึ รุ่นกอ่ นพุทธ
ศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทยเพือ่ พฒั นาภมู สิ ารสนเทศจารกึ ของชาติ ปีท่ี 1: จารึก
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ” ทนุ อุดหนนุ โครงการวจิ ยั ประจำปีงบประมาณ 2563
จากศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยาสริ ินธร (องคก์ ารมหาชน) , หน้า 292-296.

12 S. Pou , Nouvelles Inscriptions du Cambodge II (Paris : EFEO,
1998), pp. 86 – 88.

149

หลกั ฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มีอายเุ ก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา

อนึ่งจารึกเมืองเสมาได้กล่าวถึง โขลญวิษัยชือ่ ศรีทฤฒภักดีสิง
หวรรมัน ผู้ปฎิบัติตามโองการของพระเจ้าชัยวรรมันที่ 5 ที่พราหมณ์
ยัญชวราหะนำมาประกาศ1213 ในข้อความภาษาเขมรศรีทฤฒภักดีสิง
หวรรมันมีคำนำหน้าว่า “ตระลาว” ซึ่งคงจะเป็นคำเดียวกับคำว่า
“ตะละ” ในภาษามอญโบราณท่ีแปลว่า เจา้ นาย ดังนั้นจึงอาจจะเป็นไป
ได้ว่าท่านเปน็ เช้ือสายของกษตั ริยศ์ รีจนาศปรุ ะ

จากหลักฐานจารึกที่ในเขตเมืองเสมาในช่วงของการเข้ามา
ของพรามหณย์ ัญชวราหะ มีความความสมั พนั ธ์กับปราสาทวัฒนธรรม
ทะเลสาบเขมรในพื้นที่แห่งนั้น เช่น ปราสาทเมืองแขก ปราสาทโนนกู่
รวมถงึ กบั ศาสนสถานท่ตี ้งั อย่ใู นพน้ื ท่ใี กล้เคียงเชน่ ปรางคว์ ัดปรางค์ทอง
อำเภอเมืองจังวหัดนครราชสีมา ปราสาทพะโค อำเภอปักธงไชย เป็น
ต้น 14

13

หลังช่วง พ.ศ. 1550 ลงปริมาณของจารึกที่พบในเขตเมือง
เสมาและพื้นที่อำเภอสูงเนินปัจจุบัน ลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ในทั้งน้ี
รวมถงึ กับไมป่ รากฏโบราณสถานขนาดใหญ่ท่ีมอี ายหุ ลังกว่า พ.ศ. 1550
ดว้ ยเช่นเดียวกัน สันนษิ ฐานว่า เมอื งเสมานา่ จะลดบทบาทความสำคัญ
ลงและมีชุมชนอื่นขึ้นมามีความสำคัญแทนที่ เช่น ชุมชนรอบๆปราสาท
พนมวนั และ เมอื งพิมาย เปน็ ต้น

13 กรมศิลปากร, จารกึ ในประเทศไทย เลม่ 3 (กรงุ เทพ ฯ : กรม
ศิลปากร, 2529), หนา้ 115.

14 รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกลู , “จารกึ หลักใหม่จากพนมรุง้ : ภาพสะท้อน
อำนาจของพราหมณ์ยญั ชวราหะ” ศลิ ปวฒั นธรรม ปที 3่ี 7 ฉบบั ท่ี 2559 , หน้า
40-50.

150

หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกท่ีมอี ายุเก่ากวา่ พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา

อย่างไรกต็ ามจารึกหลักขนาดใหญ่ที่ในเขตอำเภอสงู เนนิ จะมา
ปรากฏอกี ครั้งในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี 18 และพบเพียงหลักเดียวคือ
จารกึ ปราสาทบ้านเมอื งเก่า ซึง่ จารกึ หลกั นีเ้ ปน็ จารึกประจำศาสนสถาน
ของอโรคยศาลของพระเจา้ ชัยวรรมันที่ 7 (เสวยราชย์ พ.ศ. 1724-1750
โดยประมาณ) แต่เนื่องจากจารึกยังไม่การอ่าน-แปล จึงไม่สามารถ
ทราบได้ว่า สิ่งของข้าทาสทีพ่ ระเจ้าชยั วรรมันที่ 7 ทรงกัลปนาให้แก่ศา
สนสถานมีจำนวนมากนอ้ ยเพยี งใด แตอ่ ย่างนอ้ ยก็เปน็ หลกั ฐานที่ยืนยัน
วา่ เมอื งเสมาในช่วงนนั้ ยงั ไมร่ ้าง

ภายหลังจากรัชกาลพระเจ้าชัยวรรมันที่ 7 บริเวณภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือไมพ่ บจารกึ ในวัฒนธรรมทะเลสาบเขมรแต่ประการ
ใด หากแต่ในเอกสารเรื่องบันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของ
เจนละ (真臘風土記) ของจิวตากวน (周逹觀) ที่เข้ามาในเมือพระ
นครหลวงปี พ.ศ. 1839 ได้กล่าวถึงเมืองที่สังกัด1415เมืองพระนครหลวง
คือ เจินผู่ ฉาหนาน (กำพงฉนัง) ปาเกียน ม่อเหลียง (มัลลัง) ป๊ะแซว่
ผใู่ หม่ (พิมาย) เจ้กนุ้ มู่จนิ ปอ ไล่กานเคิง ป๊ะซือหลี่1516 ดงั น้ันถา้ เชื่อว่า
ผใู๋ หม่ ในบนั ทกึ คือพมิ าย กย็ ่อมหมายความวา่ พ้นื ที่ในเขตอำเภอสูงเนิน
ยังอยภู่ ายใตอ้ าณาบารมีเมอื งพระนครหลวงอย่างนอ้ ยถึง พ.ศ. 1839

15 ฉบับแปลภาษาฝร่ังเศสใช้ Les Provinces
16 จิวตากวน , บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนละ ,
แปลโดย เฉลิม ยงบุญเกิด (กรุงเทพ ฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2543) , หน้า 41 ; P
Pelliot, Mémoires sur les Coutumes du Cambodge de Tcheou Ta –
Kouan (Paris : Librairie d’Amérique et d’Orient, 1954) , p. 32.

151

หลกั ฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกท่ีมีอายเุ ก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนนิ นครราชสีมา

จารึกบ่ออกี า
ปจั จบุ นั จดั แสดงอยู่ที่
พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ
พิมาย

จารึกพระพุทธรูป ปัจจุบันจัดแสดง
อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีร
วงศ์ แผ่นหินนี้มีลักษณะที่สามารถ
จัดเป็นใบเสมาได้ พระพุทธรูปมีชาย
จีวรเป็นเขี้ยวตะขาบประทับนั่งบนฐาน
บัวคว่ำบัวหงายซึ่งเป็นอิทธิพลของ
ศิลปะอินเดียแบบปาละ จึงสามารถ
กำหนดอายุใบเสมาใบนี้ว่าอยู่นราว
พุทธศตวรรษที่ 15-16 จารึกเป็น
ข้อความ คาถา เย ธมฺมา อยู่ที่กรอบ
ระหว่างสถปู จำลองกับพระพทุ ธรปู

152

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า นำ้ พระทยั แหง่ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 7

อโรคยาศาล: ปราสาทบา้ นเก่า
นำ้ พระทยั แห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

วิทูร ชีพดำรงสกุล01

บทนำ
พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ 7 (ครองราชย์ ประมาณ พ.ศ.1724 – 1761)
เปน็ พระราชโอรสในพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 กบั พระนางจฑุ ามณีเทวี
เจ้าหญิงแห่งชยาทิตยปุระ สันนิษฐานว่าประสูติในราว พ.ศ.1663 –
1668 ในปี พ.ศ.1720 พระเจ้าอทิ รวรมนั ท่ี 4 กษตั ริยแ์ ห่งอาณาจักรจาม
ปายกทัพมาตีเมืองพระนครจนแตกพ่าย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้นำทัพ
กอบกู้เอกราชของอาณาจักรเขมรกลับมาได้อีกครั้ง จึงทรง
ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี พ.ศ.172412 ในรัชสมัยของพระเจ้า
ชัยวรมันที่ 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอาณาจักรเขมร ทั้งการ

1 นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปี 4 สาขาวิชาเอกโบราณคดี คณะโบราณคดี
มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร

2 ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบลู ย์, “การศึกษารอ่ งรอยของบา้ นเมืองโบราณ
บริเวณใกล้เคียงศาสนสถานประจำโรงพยาบาล สมัยพระเจ้าชัยวรมัน ท่ี 7 ในเขต
จงั หวัดนครราชสมี า สรุ ินทร์ และบรุ ีรัมย”์ (ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ บณั ฑิต
วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร 2555), 67-69, รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, “อโรคยา
ศาล โรงพยาบาลแห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” (เอกสารประกอบการบรรยายพิเศษ
โครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนครั้งท่ี 45 ดำเนินการโดย งานการศึกษา ฝ่าย
วิชาการ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร), 15.

153

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ นำ้ พระทัยแหง่ พระเจ้าชยั วรมนั ที่ 7

สร้างพระนครใหม่แทนพระนครเดิมที่ถูกทำลาย และการที่พระองค์นับ
ถอื ในพทุ ธศาสนานกิ ายมหายานแทนศาสนาพราหมณ์ตามอย่างกษัตริย์
เขมรองค์ก่อน ๆ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดนี้เองที่ส่งผลให้เกิด
โครงการหน่งึ ข้ึนมาในรชั สมยั ของพระองค์ คอื การสร้างอโรคยาศาล ซ่ึง
ตามจารึกปราสาทตาพรหมที่เมืองพระนคร กล่าวว่า “พระองค์
สถาปนาอโรคยาศาล 102 แห่งขึ้นทุก ๆ วิษัย (จังหวัด)” และจาก
การศึกษาจารึกเมืองทรายฟอง โดยหลุยส์ ฟีโนต์ และ เอากุส บาร์ธ
รวมไปถึงบทความของยอร์ช เซเดส์ ที่ทำให้เราได้ทราบถึงหน้าที่ของอ
โรคยศาล ว่าเป็นโรงพยาบาลประจำชุมชน ที่มีสุคตาลัย(ศาสนสถาน
ประจำอโรคยาศาล) ท้ังยังเป็นต้นแบบศกึ ษาและจำแนกโบราณสถานว่า
แหง่ ไหนเปน็ อโรคยาศาล23

3 รุงโรจน ภิรมยอนุกูล, “อโรคยาศาล: ความรูทั่วไปและขอสังเกตเบ้ืองตน,”
เมอื งโบราณ 30, 3 (กรกฎาคม-กนั ยายน 2547): 15-17.

154

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ นำ้ พระทยั แหง่ พระเจ้าชัยวรมนั ที่ 7

รปู ภาพ 1 รูปสลกั ของพระเจ้าชยั วรมันท่ี 7
ทมี่ า: https://web.facebook.com/

apsaraautorite/posts/1344677149072543
(สืบค้นวนั ท่ี 10 พฤศจกิ ายน 2563)
155

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ น้ำพระทัยแหง่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ปราสาทบา้ นเก่าและหลักฐานทีป่ รากฎ
ปัจจุบันในพื้นที่ประเทศไทยพบ อโรคยาศาลทั้งหมด 31 แห่ง

ซึ่งกระจายตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด โดยเฉพาะอย่าง
ย่ิงบรเิ วณตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ34 แต่โบราณสถานที่เรา
พบนั้นหาใช่สถานที่ทำการรักษาพยาบาลไม่ แต่เป็นสุคตาลัย เหตุที่ไม่
พบอาคารที่เปน็ อโรคยศาลน่าจะเป็นเพราะสรา้ งด้วยเครอ่ื งไม้ซ่ึงได้ผุพัง
ไปตามกาลเวลา45 ฉะนั้นหลักฐานที่ตั้งของอโรคยศาลจะศึกษาผ่านสุค
ตาลัยที่มีแผนผังและลักษณะและลักษณะทางสถาปัตยกรรมใกล้เคียง
กัน คือมีปราสาทประธานหันหน้าไปทางตะวันออกตั้งอยู่กลางกำแพง
แก้ว ภายในกำแพงแก้วมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้มีอาคารที่เรียกว่า
“บรรณาลัย” หันหน้าเข้าสู่ปราสาทประธาน ที่กำแพงแก้วทางทิศ
ตะวันออกจะมีโคปุระ (ซุ้มประตู) ตั้งอยู่ และนอกกำแพงแก้วทางทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสระน้ำ ส่วนขนาดอาณาบริเวณของสุคตาลัย
แต่ละแหง่ น้ันไม่เท่ากันซ่ึงน่าจะแปรผันไปตามขนาดของชุมชนโดยรอบอ
โรคยาศาล56 ในสว่ นของลายละเอยี ดทางสถาปัตยกรรม ผูเ้ ขียนจะขอยก

4 ทิพยวรรณ วงศอัสสไพบูลย, “การศึกษารองรอยของบานเมืองโบราณ
บริเวณใกลเคียงศาสนสถานประจำโรงพยาบาล สมัยพระเจาชัยวรมันที่ 7 ในเขตจังหวัด
นครราชสมี า สรุ ินทร และบรุ ีรมั ย” , 17-18.

5 รุงโรจน ภิรมยอนุกูล, “อโรคยาศาล: ความรูทั่วไปและขอสังเกตเบื้องตน,”
เมืองโบราณ 30, 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2547): 22.

6 รุงโรจน ภิรมยอ นุกูล, “อโรคยาศาล โรงพยาบาลแหงพระเจาชยั วรมันที่ 7”,
11.

156

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ น้ำพระทัยแหง่ พระเจ้าชัยวรมันท่ี 7

แห่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการในครั้งนี้ คือที่ปราสาทบ้านเก่า อำเภอสูง
เนนิ จังหวดั นครราชสีมา

ปราสาทบ้านเก่า ปัจจุบันตั้งอยู่ภายในวัดปรางค์เมืองเก่า
ตำบลโคราช อำเภอสงู เนนิ จังหวัดนครราชสีมา ไดร้ บั การดำเนินการขุด
แต่งและบูรณะโดยกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2533-2534 ลักษณะทาง
สถาปัตยกรรม 1.ปราสาทประธาน: ตัวปราสาทก่อด้วยสิลาแลง เสา
และวงกบทำดว้ ยหนิ ทราย ตวั ปราสาทเปน็ ทรงจตรุ มุข มีบนั ไดและประตู
ทางเข้าทั้ง 4 ทิศ (เป็นลักษณะที่แตกต่างจากสุคตาลัยแห่งอื่น) ตั้งอยู่
แนวแกนเดียวกับโคปรุ ะ 2. บรรณาลัย: ฐานก่อด้วยศิลาแลง ตัวอาคาร
ก่อด้วยหินทราย 3. โคปุระ: ก่อด้วยหินทราย ผนังทึบไม่มีการเจาะช่อง
หนา้ ต่าง ด้านทศิ ใต้ของโคปรุ ะมีการก่อหินทรายเปน็ ประตูทางเข้าขนาด
เล็กไว้ 4. กำแพงแก้ว: ก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบปรางค์ประธานและ
บรรณาลัย 5. สระน้ำ: รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขอบกรุด้วยศิลาแลงเรียง
ลดหลั่นเป็นขั้นบันได67 โบราณวัตถุที่พบ จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน
ก่อนการขุดแต่งโดยกรมศิลปากร พบพระพุทธรูปนาคปรก 2 องค์ ทำ
จากศิลาปัจจุบันถูกขนย้ายและสูญหายไปแล้ว ส่วนโบราณวัตถุชิ้น
สำคัญที่พบจากการขุดแต่งโดยกรมศิลปากร คือ พระพุทธรูปยืน

7 ทิพยวรรณ วงศอัสสไพบูลย, “การศึกษารองรอยของบานเมืองโบราณ
บริเวณใกลเคียงศาสนสถานประจำโรงพยาบาล สมัยพระเจาชัยวรมันที่ 7 ในเขตจังหวัด
นครราชสีมา สรุ นิ ทร และบุรรี ัมย” , 17-18.

157

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ น้ำพระทยั แห่งพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 7

ชิ้นส่วนศิลาจารึก ทับหลังกำแพง ประติมากรรมรูปบุคคล ชิ้นส่วนแขน
เทวรูป และ ชนิ้ ส่วนนาคปรกศิลา78

รปู ภาพ 2 แผนผงั ของปราสาทเมืองเกา (ปราสาทบา นเกา)
ทีม่ า: กฤช เหลอื ลมยั , “อโรคยาศาลในอีสาน,” เมืองโบราณ 30, 3

(กรกฎาคม-กนั ยายน 2547): 68.
8 กรมศิลปากร, รายงานการขดุ แตง ปราสาทหินเมืองเกา บา นเมอื งเกา หมทู ี่
1 ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา, (กองโบราณคดี ฝายควบคุมดูแล
รกั ษาโบราณสถาน หนว ยศลิ ปากรที่ 6 กรมศลิ ปากร, ปงบประมาณ 2534), 94-96.

158

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ นำ้ พระทยั แห่งพระเจา้ ชยั วรมันที่ 7

รูปภาพ 3 ปราสาทประธานของปราสาทบานเกา
ทมี่ า: ทมี งานโครงการรถไฟสายโบราณคดี
159

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า นำ้ พระทยั แห่งพระเจ้าชยั วรมันที่ 7

บทบาทของอโรคยาศาลท่ีมีตอ่ พระเจา้ ชัยวรมันที่ 7
ข้อความจากจารึกอโรคยาศาล ในฉันท์บทที่ 8 และบทที่ 46

ความว่า “...โรคที่เบียดเบียนร่างกายของประชาชนนั้น กลับกลายเป็น
โรคทางใจ ถึงแม้วา่ ทกุ ขน์ ้ันจะมใิ ช่ของตนเอง แตค่ วามทกุ ขข์ องราษฎรก็
เปรียบเหมือนความทุกข์ของผู้ปกครอง...” “...พระราชาผู้ปรารถนา
ความดีและประโยชน์อยา่ งยิ่งแก่มวลสัตว์โลก พระองค์ได้เปล่งปณิธาน
ซ้ำอีกครั้งว่า พระองค์จะช่วยสัตว์โลกทั้งหลายที่จมอยู่ในสังสารวัฏ ให้
หลุดพ้นด้วยความดีของพระองค์...”89 จากข้อความที่ปรากฏในจารึก
แสดงใหเ้ ห็นว่าพระเจา้ ชัยวรมันท่ี 7 เปรยี บพระองค์เป็นด่ังพระโพธิสัตว์
และพระราชกรณียกิจในการปกครองของพระองค์ก็ถือว่าเป็นการ
บำเพ็ญบารมอี ยา่ งหนงึ่ ยอรช์ เซแดส เคยเสนอไว้วา่ เหตทุ ่ีพระเจ้าชัยวร
มันสถาปนาอโรคยาศาลขึ้นเพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลให้พระบรมวงศานุ
วงศ์หายจากอาการประชวรด้วยโรคเรื้อน ซึ่งอาศัยหลักฐานจาก
ปกรณัมเกี่ยวกับการแสวงบุญของพระราชาที่เป็นโรคเรื้อนและภาพ
สลักที่หน้าบันอโรคยาศาลทางทิศตะวันตกของปราสาทตาแก้ว แต่
หลกั ฐานนี้ รุง่ โรจน์ ภริ มยอ์ นกุ ูล เสนอว่าออ่ นไปเพราะการ

9 รุงโรจน ภิรมยอนุกูล, “อโรคยาศาล: ความรูทั่วไปและขอสังเกตเบื้องตน,”
เมอื งโบราณ 30, 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2547): 18.

160

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า นำ้ พระทัยแห่งพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ 7

161

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า น้ำพระทัยแห่งพระเจ้าชยั วรมนั ท่ี 7

สร้างอโรคยาศาลน่าจะเป็นไปเพื่อการเฉลิมพระเกียรติมากกว่า เป็น
การแสดงว่าพระองค์หรือพระบรมวงศานุวงศ์เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
เชน่ โรคเรื้อน910 อีกประเดน็ หนึ่งของการสรา้ งอโรคยาศาล ผูเ้ ขียนมองว่า
เปน็ การจัดสรรทด่ี นิ และกำลงั คนในแตล่ ่ะพน้ื ท่ี รวไปถงึ เป็นการทำสำมะ
โนประชากรไปในตัว เพราะในจารึกอโรคยศาลแต่ล่ะแห่งได้จารึกถึง
ส่ิงของ ทด่ี นิ ผู้คน ที่กษตั ริย์กัลปนาใหแ้ ก่อโรคยศาลและสุคตาลัยแต่ละ
แหง่
สรปุ

อโรคยาศาลถือได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงอิทธิพล
และคติการปกครองแบบพระพุทธศาสนา ที่เน้นการสร้างและกระจาย
บารมีของกษัตริย์ มากกว่าที่จะรวมศูนย์ความศรัทธาที่ชนชั้นนำแบบ
ศาสนาพราหมณ์ และตัวอโรคยาศาลอาจเป็นหลักฐานหนง่ึ ท่ีช่วยในการ
ตอบคำถามที่ว่าเหตุใดพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถึงเลือกอุปถัมภ์
พระพุทธศาสนามากกว่าศาสนาพราหมณ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นอิทธิพล
จากความเชื่อเดิมของวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่มาจากพิมาย แต่
อีกประการหนึ่งอาจเป็นเพราะพระพุทธศาสนาเข้าถึงราษฎรสามัญได้
ง่ายกวา่ ศาสนาพราหมณ์ และประณีประนอมทางความเชือ่ มากกว่า จึง
เหมาะที่จะใช้รวบรวมผู้คน ในการสถาปนาอาณาจักรขึ้นใหม่ภายหลัง
จากถกู ทำลายลง

10 เรอื่ งเดยี วกนั , 17-18

162

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า นำ้ พระทัยแห่งพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ 7

163

อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเกา่ นำ้ พระทยั แห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. รายงานการขุดแต่งปราสาทหินเมืองเก่า บ้านเมืองเกา่ หมู่ที่ 1
ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. กองโบราณคดี
ฝ่ายควบคุมดูแลรักษาโบราณสถาน หน่วยศิลปากรที่ 6 กรมศิลปากร,
ปีงบประมาณ 2534.

กฤช เหลือลมัย. “อโรคยาศาลในอีสาน.” เมืองโบราณ 30, 3
(กรกฎาคม-กนั ยายน 2547): 68-99.

โจรี, แพทริค. ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกใประวัติศาสตร์ไทย.
แปลจาก Thailand’s Theory Monarchy: The Vessantara jataka and the
Idea of the Perfect Man แปลโดย ฑิตฐฺตา ซิ้มเจริญ. กรุงเทพ: อิลลู
มเิ นชนั ส์ เอดิ ชันส์, 2563.

ชะเอม แก้วคล้าย. จารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ 7. กรุงเทพฯ: หอสมุด
แหง่ ชาติ กรมศิลปากร, 2528.

ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์. “การศึกษาร่องรอยของบ้านเมืองโบราณบริเวณ
ใกลเ้ คยี งศาสนสถานประจำโรงพยาบาล สมยั พระเจ้าชัยวรมนั ท่ี 7 ในเขต
จังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ และบุรีรัมย์.” ปริญญาศิลปศาสตรมหา
บณั ฑติ . บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2555.

รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล. “อโรคยาศาล: ความรู้ทั่วไปและข้อสังเกตเบื้องต้น.” เมือง
โบราณ 30, 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2547): 15-54.

________. “อโรคยาศาล โรงพยาบาลแห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7.” เอกสาร
ประกอบการบรรยายพิเศษ โครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนครั้งท่ี
45 ดำเนนิ การโดย งานการศึกษา ฝ่ายวิชาการ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ
พระนคร.

164

สูงเนิน : ตวั ตนในนิราศ กาพย์และกลอน

สูงเนิน : ตัวตนในนิราศ กาพยแ์ ละกลอน

จิรวัฒน์ ตัง้ จติ รเจริญ1

แม้เราจะปฏิเสธความจริงมิได้ว่าสูงเนินเป็นหนึ่งในเส้นทาง
คมนาคมสำคญั ระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสมอมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สยามพัฒนาระบบคมนาคมอย่างรถไฟ
ขึ้นมา สูงเนินยิ่งมีความสำคัญทวีขึ้นไปอีก กระนั้น ปัญหาติดค้างท่ี
สำคัญ คือ เมื่อสูงเนินเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางคมนาคม การพิจารณา
ตัวตน ความเป็นมา ของสูงเนินจึงไม่ได้ถูกพูดถึงเท่าที่ควร แต่สูงเนิน
กลับกลายเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหรือส่วนหนึ่งของเส้นคมนาคมที่
สำคัญเทา่ นั้น

ดังนั้น ภายในบทความขนาดสั้นนี้ จะพยายามใช้แว่นสายตาท่ี
เรยี กว่า “วรรณกรรมประเภทรอ้ ยกรอง” เปน็ หลกั ฐานในการมองตัวตน
ผู้คน และชีวิตในอดีตที่เกิดขึ้นในบริเวณสูงเนิน เท่าท่ีความรู้อันน้อยนิด
ของผู้เขียนจะสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ไว้ได้ ณ ที่นี้ แม้ข้อเท็จจริง
ที่นำเสนออาจจะไม่ใช่ความจริงแท้ทั้งหมดเมื่อนำมาประกอบหลักฐาน
อื่นๆ และในทิศทางตรงกันข้าม บางครั้งอาจจะจำเป็นต้องใช้หลักฐาน
อื่นๆเช่นกัน ในการประกอบสร้างภาพมิติทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย

1 นักวชิ าการอสิ ระ

165

สูงเนนิ : ตวั ตนในนริ าศ กาพยแ์ ละกลอน

ยิ่งขึ้น แต่ก็เป็นส่ิงที่วรรณกรรมประเภทน้ีได้สะท้อนให้เราเห็นความเป็น
“สูงเนิน” ได้อย่างชัดเจน

ตวั ตนและทีม่ าของคนบา้ นสูงเนิน ใน “กาพยร์ ถไฟหลวง”

ในกาพย์รถไฟหลวง ของ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ สิริจนฺโท
กาพยภ์ าษาอสี านปนกลาง ซ่ึงคงแตง่ ขึน้ ราวๆ พ.ศ. 2460 โดยประมาณ
ได้บันทึกเรื่องราวระหว่างการนั่งรถไฟจากสถานีหัวลำโพง
กรุงเทพมหานคร ไปยัง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดย
ระหว่างทผี่ า่ นบา้ นสูงเนนิ ไดก้ ลา่ วไวว้ า่

“รถบ่ชา้ เถงิ บ้านสงู เนิน บ้านสูงเกินเนนิ สงู บ้านใหญ่

นับบ่เกิน ๓๗ แท้ เฮาบอกแกค้ ำว่าสงู เนิน

ฝงู พวกไพรล่ าวจากเวยี งจันทร์ เขาขยนั สร้างเฮือนสรา้ งบา้ น

เขาบ่ค่านเวียกใฮนาสวน พอสมควรบา่ วสาวสอาด

คนฉลาดเสา่ เว้าเสา่ จา คนไปมาชอบเซาบ้านน้ี

แตก่ อ่ นกิ้มแี ตค่ นลาว ครงั้ เถนิ คราวรถไฟมาฮอด

มตี ลอดทั้งเจ๊กทงั้ ไทย เปนกำไรอำเภอมาตงั้

มาอยูฮ่ ัง่ การบา้ นการเมอื ง บข่ ัดเคืองข้าวของในหลาด

ในตลาดมพี รอ้ มทกุ อนั บอกสำคัญรถเดริ ไปหน้า”2

2 เอนก นาวกิ มลู . พระอุบาลีคุณปู มาจารย์ สริ ิจนฺโท (จันทร)์ นกั ปราชญ์
จากแดนอสี าน (กรงุ เทพฯ : แสงดาว, 2550), 274.

166

สงู เนนิ : ตัวตนในนิราศ กาพยแ์ ละกลอน

พระอุบาลคี ุณูปมาจารย์ สริ จิ นโฺ ท (จนั ทร)์

167

สูงเนนิ : ตัวตนในนิราศ กาพย์และกลอน

ซ่ึงจากเนื้อความในกาพย์รถไฟ สะท้อนชัดเจนว่า แต่เดิมคนที่
อยบู่ รเิ วณสูงเนนิ มาก่อน ล้วนแต่เป็นคนลาวจากเวยี งจันทร์ แม้ตวั กาพย์
จะไม่ได้ระบุวา่ ลาวเวยี งจนั ทรพ์ วกน้ีมาจากไหนและมาแต่เม่ือใด แต่จาก
หลักฐานอื่นๆที่นำเข้ามาประกอบ ก็อาจจะพออนุมานได้ว่าชุมชน
บ้านเมืองบริเวณสูงเนินนั้นน่าจะมีตัวตนมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ต้นกรุง
รัตนโกสินทร์ ดังปรากฏชื่อ “สูงเนิน” อยู่ในระยะทางเสด็จพระราช
ดำเนินกรีฑาทัพ จ.ศ. 1188 (พ.ศ. 2369) เมื่อครั้งรัชกาลที่ 3 อันเป็น
ช่วงเวลาทสี่ ยามได้เขา้ ไปมสี ่วนทางการเมอื งระหวา่ งรัฐ กบั ลาวล้านช้าง
จนถึงข้นั ต้องเดินทพั จบั ศึก ระบุวา่

“ลงจันทึกข้างซา้ ย
แตเ่ ข่อิ นลน่ั ถงึ ลาดบวั ขาว 70
แต่ลาดบัวขาวถึงน้ำเมา 200 รอ้ น
แต่นำ้ เมาถงึ บึงสีคิว้ 203 แรม
แต่สีคิว้ ถึงสงู เนนิ 200 มที างแยก

ไปด่านเสมาข้างซา้ ย”3

เมื่อนำหลักฐานทั้งสองมาประกอบเข้าด้วยกัน อาจจะตีความ
ไปได้ว่าชาวลาวเวียงจันทร์ที่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้กล่าวถึงนั้นใน
กาพย์รถไฟหลวง เป็นกลุ่มชาวลาวเวียงจันทร์ที่มาตั้งบ้านแปงเมืองขึ้น

3 จดหมายเหตุ รัชกาลท่ี 3 เลม่ 2 (กรุงเทพฯ : หา้ งหุ้นสว่ นสามัญนติ ิ
บคุ คลสหประชาพาณชิ ย์, 2530), 78.

168

สงู เนนิ : ตวั ตนในนิราศ กาพยแ์ ละกลอน

กอ่ นการสงครามระหว่างลาวและสยามในชว่ งรัชกาลที่ 3 แล้ว โดยอาจ
เปน็ กลุ่มชาวลาวเวียงจันทร์ทีเ่ ขา้ มา เพราะผลความขดั แย้งทางการเมือง
ระหวา่ งสยาม-ลาว-พมา่ ตั้งแตค่ ร้งั พระเจา้ กรงุ ธนฯ โดยทรงอนญุ าตให้
ชาวลาวเวียงจันทน์และหัวเมืองใกล้เคียง ลี้ภัยทางการเมืองจากอำนาจ
ของพม่า เข้ามาพกั อยทู่ ี่เมืองโคราช และ ให้บางสว่ นตั้งถ่ินฐานในท้องท่ี
เมืองสระบุรีได้4 ซึ่งสูงเนินก็เป็นหนึ่งในเส้นทางติดต่อระหว่างโคราชกบั
สระบุรีท่ีสำคัญ จึงอาจมีการตั้งถิ่นของชาวลาวเวียงจันทร์ตั้งแต่ใน
ช่วงเวลานั้นก็เป็นได้ หรืออาจจะมองได้อีกทิศทางหนึ่งว่ากลุ่มชาวลาว
นั้น อาจเป็นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ายมาตั้งบ้านแปงเมืองภายหลังเสร็จ

4 บงั อร ปิยะพนั ธุ์, ลาวในกรุงรัตนโกสนิ ทร์ (กรงุ เทพฯ : มูลนิธิโครงการ
ตำราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร,์ 2541), 30.

169

สูงเนนิ : ตวั ตนในนิราศ กาพย์และกลอน

สงครามระหว่างลาวกับสยามในช่วงรัชกาลที่ 3 แล้วก็เป็นได้เช่นกัน
ทั้งนี้ เพราะระยะห่างทางช่วงเวลาระหว่างหลักฐานทั้งสองก็มีมาก
พอสมควร

อีกสิ่งหนึ่งที่เมื่อสังเกตจากหลักฐานในกาพย์รถไฟหลวง
ประกอบเข้ากับระยะทางเสด็จพระราชดำเนินกรีฑาทัพ จ.ศ. 1188 จะ
พบได้ทันที คือ การให้ภาพลักษณ์ของสูงเนิน เป็นชุมทางจุดพักหรือ
ชุมชนบนเส้นทางคมนาคมสำคัญ ดังสังเกตได้ ข้อความในกาพย์รถไฟ
หลวง ที่ระบุว่า “คนฉลาดเส่าเว้าเส่าจา คนไปมาชอบเซาบ้านนี้” และ
“คร้ังเถนิ คราวรถไฟมาฮอด มีตลอดท้งั เจ๊กทงั้ ไทย เปนกำไรอำเภอมาต้ัง
มาอยู่ฮั่งการบ้านการเมือง บ่ขัดเคืองข้าวของในหลาด ในตลาดมีพร้อม
ทุกอัน” สอดรับกับ ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินกรีฑาทัพ จ.ศ. 1188
ท่ีเมือ่ ถึงสูงเนนิ ได้ระบุต่อทา้ ยวา่ “มีทางแยก” ทบี่ ง่ ชวี้ า่ ท้ังก่อนหน้าและ

170

สูงเนิน : ตวั ตนในนริ าศ กาพย์และกลอน

เมื่อรถไฟมาถึง การเป็นชุมทางมากหน้าหลายตาในการเดินทาง
คมนาคมและสินค้าต่าง ๆ คงที่หลั่งไหลแลกเปลี่ยนไปมา ย่อมมี
พัฒนาการและความฝันแปรตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมท่ีมากขึ้น
ตามลำดับอย่างชัดเจนแน่นอน ด้วยเป็นทางแยกในการคมนาคมเดิม
และเปน็ ชุมทางทค่ี นเดินทางต้องพกั ทบ่ี ้านสูงเนิน

นิราศหนองคาย
: หลกั ฐานบ่งบอกชุมชนการคา้ “สองเนนิ ” / “สงู เนนิ ”

แม้นิราศเรื่องนี้ของ นายทิม สุขยางค์ หรือในบรรดาศักดิ์
หลวงพัฒนพงศ์ภักดี จะมีข้อครหาในเรื่องความพิพากระหว่างไพร่กับ
เจ้านาย เป็นที่พูดถึงอยู่หลายครั้ง แต่หลักฐานร่องรอยในวรรณกรรม
เรื่องนีก้ ็ยังพอท้ิงเง่ือนงำ บ่งชี้ถึงชีวิตความเปน็ อยู่ของไพร่ราษฎรสามัญ
ชนบ้านสูงเนินในปีพ.ศ. 2418 ก่อนการรถไฟจะมาถึงได้อยู่พอสมควร
ดังจะเห็นได้จากความตอน ขบวนทัพที่ยกไปในการศึก ถึง “บ้านสอง
เนิน” ระบวุ ่า

“พอขา้ มลำคลองถงึ สองเนนิ ดูน่าเพลินวัดพรอ้ มมวี หิ าร

ในใจฉันบันเทงิ เรงิ สำราญ เหน็ มีบา้ นไมน่ ้อยหลายร้อยเรือน

มองเห็นลาวหญงิ ชายนงั่ รายเรียงถือ ขา้ วหอ่ น่งั เคียงอย่กู ลาดเกล่อื น

แถวยาวนง่ั ตง้ั จติ ไมค่ ิดเชือน พอขา้ งเคลื่อนถึงท่ีลงอยู่ตรงกัน

พอเจา้ คุณคลาไคลออกไปดู ลาวกช็ เู หนือหัวบา้ งตัวส่นั

171

สูงเนนิ : ตัวตนในนริ าศ กาพย์และกลอน

บ้างก็เรยี งของถวายเจา้ นายพลนั เจา้ คุณทา่ นเมตตาประชาชน
แจกเงินคนละเฟ้อื งดเู ปลอื งโข มีมโนศรทั ธามหากุศล
ชอบทำบุญวณิพกยาจกจน แจกจนพน้ ทวั่ แลว้ ท้ังแถวยาวฯ
พวกกองทัพรบั เอาหอ่ ขา้ วเหนยี ว ว่งิ กรเู กรยี วยนิ ดีเสีย่ งมฉ่ี าว
เกลอื สนิ ธาวมอี ยรู่ ิมให้จ้มิ กิน”5
แก้ดกู นั ออกสอข้าวหอ่ ลาว

เมื่อเราพยายามสกัดเรื่องเจ้านาย-ไพร่ กับ บุญกุศลในการ
แจกเงิน ซ่ึงสะท้อนภาพพื้นฐานของชนชั้นทางสังคมในอดีตออก จาก
สาระที่ควรจะเป็นหรือมีในบทความนี้ พบว่า นิราศหนองคาย ได้ให้
รายละเอียดทีน่ า่ สนใจหลายประการเก่ยี วกับภูมิศาสตรแ์ ละช่ือบ้านนาม
เมือง “สูงเนิน” สิ่งแรกที่ปฏิเสธไม่ได้เลย คือเรื่องชื่อ “สองเนิน” แม้ใน
เอกสารอ่ืนๆจะระบตุ รงกนั ว่า “สูงเนิน” รวมถงึ วรรณกรรมรอ้ ยกรองอีก
ชิ้นที่ระบุเหตุผลไว้ชัดเจน อย่าง นิราศอุบลราชธานี ที่แต่งขึ้นใน พ.ศ.
2443 หรือราวปลายรัชกาลที่ 5 ระบุถึงระหว่างที่ผู้แต่งนั่งรถไฟผ่านวา่
ภูมิศาสตร์บริเวณนี้ซึ่งเป็นโคกดินแดงยาวตลอดสองข้างทาง ลักษณะ
เป็นเนนิ โคกยาวคลา้ ยกับภเู ขายอ่ มๆ มดี นิ สีแดงชาดเป็นส่วนประกอบซึ่ง

5 บุญเตือน ศรวี รพจน(์ บรรณาธิการ), นิราศหนองคาย (กรุงเทพฯ : สำนกั
วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร์ กรมศลิ ปากร, 2559), 88-89.

172

สูงเนิน : ตวั ตนในนริ าศ กาพย์และกลอน

เมื่อขุดลึกลงไปประมาณสองวา ก็ได้พบว่าพื้นที่บริเวณโคกนี้สูงกวา่ พื้น
ทั่วไป6 จงึ สมกบั ชื่อว่า “สูงเนิน”

แต่เหตุใด ในนิราศหนองคายถึงเรียกบริเวณนี้ว่า “สองเนิน”
ความในข้อนี้ อาจจะเป็นประเด็นที่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก หากไม่
พินิจอย่างจริงจัง แต่ก็อาจสะท้อนข้อเท็จจริงที่เห็นตามภูมิศาสตร์ได้
เช่นกันหรือไม่ว่าบริเวณนี้เป็นโนนหรือเนินสองแห่งตั้งอยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งผู้
แต่งนิราศอุบลราชธานีกไ็ ด้ระบุถึงการนั่งรถไฟผา่ นโคกเนินยาวสองข้าง
ทาง แม้จะไม่รู้ว่าเนินสองข้างทางนั้นเกิดจากการตัดผ่านของเส้นทาง
รถไฟในภายหลังหรือไมก่ ต็ าม ถึงอยา่ งไร การสำรวจความจรงิ ในเร่ืองนี้
ก็เป็นการยากจนเกินความสามารถผู้เขียนและดูขัดแย้งกับหลักฐานท่ี
เหลือจนแถบจะไมม่ ีนำ้ หนัก

แต่กระนน้ั เมื่อเราดูลำดบั ความในรอ้ ยกรองบวกกบั สภาพทาง
ภูมศิ าสตร์ ก็จะพบว่า สองเนนิ หรอื สูงเนนิ ในนริ าศนั้นก็เป็นชุมชนที่อยู่
ริมลำคลองดงั เห็นไดจ้ ากวรรคทร่ี ะบุว่า “พอขา้ มลำคลองถงึ สองเนนิ ดู
นา่ เพลนิ วัดพรอ้ มมีวหิ าร” เช่นเดียวกับชมุ ชนอนื่ ๆในทร่ี าบลุ่มทัว่ ไป ท่ีมัก
อิงอาศัยการตั้งถิ่นฐานกับทางน้ำต่างๆ โดยลำน้ำที่บ้านสูงเนินเดิมใน

6 ปรัญชา ปานเกตุ(บรรณาธิการ), ประชมุ นิราศ ภาคท่ี 4 (กรงุ เทพฯ :
สำนกั พมิ พต นฉบับ, 2557), 119.

173

สงู เนนิ : ตัวตนในนริ าศ กาพยแ์ ละกลอน

นิราศหนองคายตั้งอยู่ชิดติด กค็ ือ “ลำตะคอง” ซึง่ กเ็ ปน็ บริเวณเดียวกับ
ที่ตั้งชุมชนบา้ นสูงเนนิ ทกุ วันนนี้ น้ั เอง

ประเด็นในความหลากหลายอื่นๆ ยังมีอีก เช่น ประเด็นทาง
สังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ชาติพันธุ์ สินค้าแลกเปลี่ยน ยังคงเป็นสิ่งที่เหน็
ได้ชัดเจนในนิราศเรื่องนี้ เห็นได้จาก “เห็นมีบ้านไม่น้อยหลายร้อย
เรือน” หรือ “มองเห็นลาวหญงิ ชายนั่งรายเรียง” กระทั่ง “แก้ดูกันออก
สอข้าวหอ่ ลาว เกลอื สนิ ธาวมีอยรู่ ิมใหจ้ ม้ิ กิน”

นา่ คดิ เชน่ กันวา่ “บา้ นไมน่ ้อยหลายรอ้ ยเรือน” ทกี่ ล่าวถึงน้ันจะ
สัมพันธ์ “ฝูงพวกไพร่ลาวจากเวยี งจันทร์ เขาขยันสร้างเฮือนสร้างบ้าน”
ที่ได้กล่าวถึงไปแต่แรกหรือไม่ หากสัมพันธ์กันแล้ว ย่อมสะท้อนได้
เช่นกันหรือไม่ ว่าในระยะห่างตั้งแต่ก่อนหน้าการสร้างทางรถไฟและ
ภายหลังการสร้างทางรถไฟ ชุมชนบ้านสูงเนิน นั้นก็มีการขยายตัวของ
ชุมชนอยู่ตลอดเวลา และยิ่งขยายมากยิ่งขึ้นจากเดิมที่มีอยู่หลายร้อย
หลัง ภายหลังช่วงเวลาที่มีการสร้างทางรถไฟแล้วเสร็จ คงมีการสร้าง
ต่อเตมิ เพ่ิมจำนวนข้นึ ไปอีกน้ันเอง อันสอดรับกบั เงอ่ื นทางเศรษฐกิจและ
สงั คมท่ีผูกโยงกับเส้นทางรถไฟซึง่ ส่งผลต่อชมุ ชนดว้ ย

เกลือสินเธาว์ ซึ่งนับเป็นของบริโภคในนิราศ และแทบจะเป็น
สินค้าอเนกประสงค์ทางเศรษฐกิจและสังคมอีสานโบราณ ยังแสดงให้
เห็นได้ว่าชุมชนสูงเนินในอดีตนั้น อาจจะมีการติดต่อการค้ากับชุมชน

174

สงู เนิน : ตัวตนในนริ าศ กาพย์และกลอน

หรือแหล่งผลิตเกลือที่อยู่ใกล้เคียง เนื่องจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์
และโบราณคดีที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏพบว่าบ้านสูงเนินนั้นมีการผลิต
เกลือขึ้นใช้เองมาแต่เดิม ดังสังเกตได้จากมิได้มีกวีผู้ใดกล่าวถึงเรื่องนี้
หากแตใ่ นบรเิ วณใกล้เคียงบา้ นสงู เนินอย่างท้องที่อำเภอด่านขุดทด โนน
ไทย โนนสูง พิมาย บัวใหญ่ เรื่อยไปจนถึงพื้นที่อำเภอประทาย ต่อเขต
จงั หวดั บุรรี ัมย์ กลบั ปรากฏแหลง่ โบราณคดีที่มกี ารผลิตเกลือหลายแห่ง
เช่น เขตบ้านวัง ตำบลวัง อำเภอโนนไทย และ โนนพญามวย ซึ่งอยู่ห่าง
จากบา้ นวังไม่มากนัก เปน็ ต้น7

หลกั ฐานโบราณคดที ก่ี ล่าว ดูสอดรับกบั ร้อยกรองในวรรณคดี
อีกเรื่องหนึ่ง คือ “นิราศทัพเวียงจันท์” ของ หม่อมเจ้าทับในกรมหลวง
เสนีบริรักษ์ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการเดินทัพตีเมืองเวียงจันทร์ สมัย
รชั กาลท่ี 3 ความตอนเดินทพั จากทา่ บงึ มะเลงิ (อยู่ในพื้นท่ี อ.ดา่ นขุดทด
ในปัจจุบัน) ลัดเลาะไปยังบ้านพุดซา (อยู่ในพื้นที่ อ.เมือง ในปัจจุบัน)
ความวา่

“เสดจ็ จวบจวนเยน็ ก็หยดุ พกั ทส่ี ำนักนาเกลืออยู่กลางหน

7 ศรศี กั ร วลั ลิโภดม, “เกลืออสี าน” ใน ทงุ กลุ า “อาณาจักรเกลือ”
๒,๕๐๐ ป จากยคุ แรกเริ่มลาหลงั ถึงยุคมั่นคั่งขา วหอม (กรงุ เทพฯ : มตชิ น,
2546), 98-104.

175

สูงเนิน : ตวั ตนในนิราศ กาพย์และกลอน

เปน็ เวง้ิ ทงุ่ ขาดย่านที่บา้ นคน หมพู่ หลเลอื่ ยล้ามาไมท่ ัน”8

บ่งชี้ว่าในเส้นทางทัพที่ผ่าน อำเภอด่านขุดทด โนนไทย
ตลอดจนผ่านเข้าอำเภอเมือง ขบวนทัพได้ไปหยุดพักที่ “นาเกลือ” ด้วย
ซึ่งดูประจวบเหมาะเข้ากับหลักฐานทางโบราณคดี ว่าอย่างน้อยการ
ผลิตเกลือในท้องที่ดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นอย่าง
น้อย ผ่านหลักฐานด้านวรรณกรรม ซึ่งยังไม่นับรวมหลักฐานโบราณคดี
อ่นื ๆ ท่ีอาจจะแสดงข้อเทจ็ จรงิ ท่เี ก่าแกก่ ว่าน้ัน

นอกเหนอื จาก กาพยร์ ถไฟหลวง และ กลอนนริ าศหนองคาย

หลักฐานแสดงตัวตนคนสูงเนิน ยังปรากฏพบในร้อยกรองของ
สามัญคนทั่วไป นอกเหนือจากร้อยกรองของพระเถระรูปสำคัญและขนุ
นางในราชการที่ได้กล่าวถึงไปแล้วด้วย ดังปรากฏใน นิราศรถไฟโคราช
ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อรัตนโกสินทรศ์ ก 131 หรือตีเป็นพุทธศักราช 2455 ในช่วง
ต้นรัชกาลท่ี 6 ของนายฉาย กาญจนฉายา ดังระบุความวา่

“ถึงสงู เนนิ ผนั แปรแลประเทศ ทวั่ ขอบเขตรร์ ะหว่างทางวถิ ี
เหนพฤกษาหมไู่ มใ้ นพงพี บางตน้ มคี นทอนแลรอนรัน

ที่โคนล้มระเนนเอนระดะ ดเู กะกะทวั่ ปา่ พนาสัณฑ์

8 สจุ ติ ต วงษเ ทศ (บรรณาธิการ), นริ าศทพั เวยี งจันท (กรงุ เทพฯ : มตชิ น
, 2544), 48.

176

สูงเนนิ : ตวั ตนในนริ าศ กาพย์และกลอน

บ้างขนมาไวข้ ้างทางจรลั มีอนนั ตเ์ หลอื หลามตามมรรคา”9

ภายในเนื้อหาของนิราศรถไฟโคราช แม้จะไม่ได้สลักสำคัญ
บง่ ชีอ้ ะไรได้ชดั เจนมากนักเทียบเท่ากบั วรรณกรรมร้อยกรองเรื่องอื่นๆท่ี
ผ่านมา แต่ก็ให้รายละเอียดที่แตกต่าง สะท้อนภาพของกิจการทำป่าไม้
อันเป็นกิจกรรมหรือความนิยมทางสังคมใหม่ที่เกิดขึน้ บนพื้นที่สูงเนินใน
ช่วงเวลาที่แต่งนิราศขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้าแต่ไม่มีการพูดถึงก็
เป็นได้ ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือ “กำเนิดรถไฟในประเทศไทย” ซึ่ง
เป็นบันทึกชีวิตและเรื่องราวการทำงานของ ลูอิส ไวเลอร์ (luis Weiler)
วิศรกรชาวเยอรมันที่เข้ามาทำงานสำรวจและควบคุมการก่อสร้างทาง
รถไฟสมัยรัชกาลที่ 5 ระบุถึงในช่วงเวลาที่มีการสร้างทางรถไฟสาย
โคราชแล้วเสร็จ ขบวนรถไฟจากโคราชจะบรรทุกสินค้าเข้าสู่กรุงเทพฯ
จะบรรทกุ สนิ ค้าสำคัญอยา่ งหนึ่งเขา้ กรุงเทพด้วย สินคา้ นนั้ ไดแ้ ก่ ไม้แดง
ซ่ึงเป็นไม้ที่หาได้จากป่าดงพญาไฟและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงใน
การส่งโรงงานทำเครอื่ งเฟอรน์ เิ จอร์ในประเทศจีน ซึง่ คงพออนุมานได้ว่า
ไม้ที่ตัดได้จากสูงเนินจำนวน “อนันต์เหลือหลามตามมรรคา” ในนิราศ
รถไฟโคราช ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าป่าไม้ที่สะท้อนภาพความ

9 ฉาย กาญจนฉายา, นริ าศรถไฟโคราช และ โคลงทายหรอื ปริศนา, พมิ พเปน
อนุสรณในการณาปนกจิ ศพ นายฉาย กาญจนฉายา และ นางแมว กาญจนฉายา ณ
เมรุวัดหวั ลำโพง พระนคร วันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๐๖ (โรงพมิ พพระจันทร: พระนคร,
2506), 14.

177

สูงเนิน : ตวั ตนในนิราศ กาพยแ์ ละกลอน

เตบิ โตของอุตสาหกรรมและการสง่ ออกป่าไมแ้ ปรรปู ในละแวกสูงเนินซ่ึง
สัมพนั ธ์กบั การปา่ ไมท้ ีด่ งพญาไฟได้พอสมควร

ทั้งหมดที่กล่าวมา คงพอทำให้เห็นภาพได้ว่าตัวตนของ “สูง
เนิน” ในนิราศ กาพย์ กลอน นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ถูกเล่าผ่านด้วย
มุมมองลักษณะไหน บุคคลระดับใดในสังคมบ้างที่ผ่านเข้ามาและเล่า
เรื่องราวของพื้นที่นี้เอาไว้ ผ่านสายตาของเขาอย่างไร หากจะมี
ข้อเท็จจริงในเชิงโบราณคดี-ประวัติศาสตร์บ้าง จากการพิเคราะห์ใน
บทความนี้ ก็นับเปน็ เรอื่ งท่ดี ีและควรคา่ ในการต่อยอด ด้วยท่าทีที่ลุ่มลึก
มากยิ่งขึ้น แต่หากไม่นับบทความนี้เป็นแก่นสารใดด้วยความเขลาทาง
วิชาการของผู้เขียน ผนวกกับหลกั ฐานท่ีอาจจะตกหล่น กต็ อ้ งขออภัยมา
ณ ท่นี ้ี

178

ผ้าเงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์ท่สี ำคญั ของชาวสูงเนนิ

ผา้ ทอเงยี่ งนางดำ เอกลักษณ์สำคญั ของชาวสูงเนิน

อาทติ ยา สกุ รสตุ 1
บทนำ

เสื้อผ้า คือคำเรียกเครื่องแต่งกายที่เราสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
เพื่อปกปิกร่างกายจากสภาพอากาศ สภาพแวดล้อม ความปลอดภัย
และความสุภาพตอ่ สงั คม ความสำคญั ของเส้อื ผ้านอกจากจะช่วยปกปิด
ร่างกายแล้วยังแสดงออกถึงตัวตน บุคลิก และรสนิยมของเราผ่านการ
แต่งกายอีกด้วย เสื้อผ้าบางที่ผ่านการถักทอจากเรื่องเล่า วิถีชีวิต
นำมาซึง่ การแสดงถึงอตั ลักษณ์ของความเปน็ จงั หวัดนัน้ ๆ

ผ้าเงี่ยงนางดำเป็นผ้าฝ้ายพื้นเมืองทอมือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์
สำคญั ของชาวอำเภอสงู เนนิ เป็นผ้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเน่ืองจาก
มีน้ำหนักเบาไม่หนามาก เวลาสวมใส่จะให้ความรู้สึกสบาย แต่ถ้าเป็น
งานสำคญั จะนยิ มสวมใส่ผ้าเงย่ี งนางดำทท่ี อมาจากผ้าไหม2

1 นกั ศกึ ษาปริญญาตรี ชัน้ ปีท่ี 2 สาขาวิชาเอกมานุษยวทิ ยา คณะ
โบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร

2 สารสนเทศทอ้ งถน่ิ นครราชสมี า มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี ุรนารี, ผา้
เง่ียงนางดำ [Online], แหล่งทมี่ าhttp://nm.sut.ac.th/koratdata/?m=detail&data_
id=2333

179

ผ้าเงีย่ งนางดำ เอกลักษณ์ทส่ี ำคัญของชาวสูงเนิน

ประวตั ิความเป็นมา

ผ้าเงี่ยงนางดำเป็นผ้าพื้นเมืองของอำเภอสูงเนิน ตั้งแต่สมัย
บรรพบุรุษได้อพยพจากประเทศลาว มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยชาว
อำเภอสูงเนินจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเปน็ หลกั เมื่อมีเวลาวา่ งจาก
การทำไร่ ทำนา กจ็ ะทอผ้าไวใ้ ช้เอง ผา้ เง่ยี งนางดำจงึ เป็นผา้ สำหรบั ใชใ้ น
ชีวิตประจำวันของชาวสูงเนินมากว่า 100 ปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปความ
เจริญเริ่มเข้ามาถึงชุมชนเพราะมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้ง ทำให้การ
แต่งกายและการใช้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความจำเป็นใน
การดำเนินชวี ิตประจำวนั ทำให้ไม่มีเวลาในการทอผ้าเหมือนแต่ก่อน จึง
ต้องเปลี่ยนมาซื้อใช้เพื่อความสะดวก ผ้าเงี่ยงนางดำ จึงค่อย ๆ หายไป
ตามกาลเวลา จะมีหลงเหลือที่ใช้กันอยู่ในปัจจบุ ันก็เฉพาะผู้สูงอายุหรือ
ลกู หลานบางรายเท่าน้ันท่ีเก็บรกั ษาไวเ้ ปน็ ที่ระลกึ ของบรรพบุรษุ

ท่มี าของชื่อ

คำว่า เงี่ยง มีความหมายว่า การแกะเอาเส้นด้ายสอดแทรกเข้า
ไปในเนื้อผ้า นางดำ หมายถึง ผ้าที่มีสีดำ หรือ สีทึบ เงี่ยงนางดำ
ความหมายในภาษาถน่ิ ของ อ.สงู เนนิ จ.นครราชสมี า ท่มี กี ารผสมผสาน
ในเรื่องของภาษา และวัฒนธรรมท้องถิน่ ซง่ึ จะเรียก สีดำ หรือ สที ึบ ว่า
นางดำ

180

ผ้าเงีย่ งนางดำ เอกลักษณ์ที่สำคญั ของชาวสูงเนนิ

ผ้าเงี่ยงนางดำดั้งเดิม เป็นผ้าที่ทอจากผ้าฝ้าย มีลักษณะเด่นคือ
ฝา้ ยทีจ่ ะใชท้ อต้องนำมามดั โดยการใช้เสน้ ฝ้าย 3 เสน้ 3 สี มาพนั รวมกัน
ให้เป็นเส้นเดยี วแลว้ จึงนำมาถักทอเป็นผนื 3

ลกั ษะณะผา้ เงี่ยงนางดำ

ผ้าเงี่ยงนางดำจะมี 3 ส่วน ส่วนแรกคือ ส่วนพกจะเป็นลวดลาย
เฉพาะของสูงเนิน เป็นผ้าสีแดงสอดด้วยสีขาว ซึ่งผ้าทอของที่อื่นจะมีสี
พื้นอย่างเดียว ที่สำคัญส่วนพกจะเป็นลายแนวตั้ง ส่วนที่สอง เป็นตัว
ผ้าถุง สีครามหรือสีน้ำเงินสอดแดง และส่วนที่สาม ส่วนตีนผ้าถุงจะทอ
ด้วยสดี ำเป็นแถบทบึ สลับแดง ซึง่ จะมตี ีนผ้าถงุ ที่ไม่กวา้ งเหมอื นตนี ผ้าทอ
ของจงั หวดั อื่น ผา้ ทอเงีย่ งนางดำเน้น สีน้ำเงิน สแี ดงและสีดำ ซ่ึงผ้าที่ใช้
ทอจะเปน็ ผา้ ฝ้ายยอมด้วยครามเทา่ นั้น ซึ่งเป็นสีธรรมชาติ จากต้นคราม
แต่ปัจจุบันฝ้ายและต้นครามนั้นหายาก จึงพัฒนามาเป็นด้ายฝ้าย
ประดิษฐ์แทน4

อปุ กรณ์กระบวนการผลติ

1. ตวั กีท่ ใี่ ช้สำหรับทอผ้า 2. ดา้ ยยนื

3. ดา้ ยพุง่ 4. เครื่องค้นดา้ ย

3 แหล่งเดิม
4 แหลง่ เดิม

181

ผา้ เง่ียงนางดำ เอกลักษณ์ท่สี ำคัญของชาวสูงเนิน

5. ฟนั ฟมื หรือฟนั หวี 6. ไมม้ ว้ น

7. ตะกอ (มีไว้สำหรบั ใหเ้ สน้ ดา้ ยสอดขน้ึ ลง) 8. ไม้สำหรบั ล่ิวเขา

9. กระสวย 10. รา้ นตัง้ ด้าย (ใชสำหรับการคน้ ดา้ ย)

182

ผ้าเงี่ยงนางดำ เอกลกั ษณ์ที่สำคญั ของชาวสูงเนนิ

ขัน้ ตอนการผลิต

1. ขนั้ ตอนการเตรียมดา้ ยยืน โดยใช้ดา้ ยประดษิ ฐ์ ทยี่ ้อมสำเร็จแล้ว
นำมาปนั่ เขา้ หลอด เม่ือเข้าหลอดเรียบร้อยแล้วกเ็ ตรียมตงั้ เป็นร้านเพอ่ื
เดนิ ด้ายเขา้ รปู โครง

2. ข้ันตอนสาวดา้ ย จะต้องคำนวณดวู า่ จะใช้กเี่ มตร เม่ือคำนวณได้แลว้
กจ็ ะหาความกวา้ ง ความยาว เช่น ถา้ เส้นด้ายต้ัง 50 หลอดและต้องการ
ผ้าหน้ากว้าง 40 ก็จะเดินด้าย 24 ครั้งหรือ 24 เที่ยว จะได้เส้นด้าย
ออกมาทั้งสิ้น 1,200 ฟันหวี สำหรับความยาวนั้นนับเอาจากม้าเดินด้าย
ถ้าม้าเดินด้ายยาวตัวละ 4 เมตร ก็จะใช้ 1 หลัก 4 เมตร ถ้าต้องการ 80
เมตรก็จะใช้ 20 หลกั เมื่อได้ความยาว ความกว้างแล้วก็จะเตรยี มเข้าฟัน
หวตี อ่ ไป

3. ขั้นตอนสอดฟนั หวี เมื่อได้ความกว้าง ความยาวแล้ว ขั้นตอนต่อไป
ก็เตรียมด้ายเข้าฟันหวี หรือเรียกอีกอย่างว่าฟันฟืม ถ้าหากต้องการฟัน
หวี 40 หมายถึง 1,200 ฟันหวี ก็จะเอาเส้นด้ายร้อยเข้าไปในฟันหวี
เพื่อที่จะเตรียมม้วนต่อไป (ฟันหวีเป็นฟืมที่ใช้สำหรับทอผ้า ที่จะให้เป็น
ผืนผ้าออกมา เส้นด้ายทุกเส้นจะต้องผ่านฟันหวีก่อน) เมื่อร้อยฟันหวี
เสร็จแล้วกจ็ ะเข้าสขู่ ้ันตอนการม้วน

4. ข้นั ตอนการม้วน จะนำด้ายทส่ี อดฟันหวเี รียบร้อยแล้ว ไปเขา้ มา้ ม้วน
คือไม้ม้วนทีเ่ ราจะใช้เกบ็ ด้ายไว้ การนำเข้าม้าม้วนเราต้องตรวจสอบฟนั

183

ผ้าเงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์ทสี่ ำคญั ของชาวสูงเนนิ

หวดี ูวา่ ฟันหวจี ะตอ้ งครบ ไมม่ ีขาดไม่มเี กนิ เพราะจะทำให้ผ้าเป็นตำหนิ
ได้ เม่ือตรวจสอบเรียบร้อยแล้วกจ็ ะเตรียมเกบ็ ตะกอตอ่ ไป
5. การเก็บตะกอ ตอ้ งตรวจเส้นดา้ ยที่มว้ นมาวา่ ไม่ผดิ คือต้องมีเส้นบน
เส้นล่าง และเสน้ บนตอ้ งอยู่ดา้ นบน เส้นล่างก็ต้องอยู่ด้านล่าง ตะกออัน
น้เี วลาเหยียบเส้นด้ายจะมกี ารสลบั กนั ขน้ึ ลง
6. การนำเข้ากี่ จะใช้ม้วนด้ายที่เตรียมไว้ นำเข้าไปในกี่ประกอบให้
เรียบร้อย ผูกตะกอมัดโยงทั้งข้างบนและข้างล่างจนเรียบร้อยก็เตรียม
ทอได้เลย
7. การเตรียมทอ จะต้องเตรียมด้ายพุ่งโดยใช้ด้ายประดิษฐ์เพื่อความ
สะดวกตามที่เราต้องการแล้ว นำมาปั่นใส่หลอดเพื่อทอ โดยการทอผ้า
เงีย่ งนางดำจะทอผา้ พ้นื 6 ครง้ั แลว้ สอดดว้ ยสที ตี่ อ้ งการ 1 ครั้ง หรือทอ
ผ้าพื้น 8 ครั้ง สอดด้วยสีที่ต้องการ 2 ครั้ง แต่ด้ายที่สอดจะใช้ดา้ ยสลับ
สีนำมาพนั กันแลว้ ปน่ั ใสห่ ลอดเพื่อใชส้ อด จะเปน็ ลายนูนขึน้ มาสวยงาม

184

ผา้ เงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์ทสี่ ำคัญของชาวสูงเนนิ

185

ผ้าเง่ียงนางดำ เอกลักษณ์ที่สำคญั ของชาวสูงเนนิ

สำหรับลวดลายของผ้าขณะนี้ยังไม่มีรูปแบบของผ้าใหม่ๆ
เพราะต้องการอนุรักษ์อัตลักษณ์ของแบบผ้าไว้คงเดิมให้มากที่สุด แต่
กลมุ่ ทอผ้าก็มีแนวคดิ ที่จะพัฒนาผ้าให้ดีกว่าเดิม5

บรรณานุกรม
สารสนเทศทอ้ งถนิ่ นครราชสมี า มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี รุ นารี “ผา้

เงย่ี งนางดำ” เข้าถึงเมอ่ื วนั ที่ 11 กันยายน พ.ศ.2563 เขา้ ถึง
ได้จาก http://nm.sut.ac.th/koratdata/?m=detail&data
_id=2333
_________. เทศบาลตำบลสูงเนนิ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
“บนั ทกึ ภมู ปิ ัญญาทอผ้าเงีย่ งนางดำ” เขา้ ถงึ เม่ือวันท่ี 11
กนั ยายน พ.ศ.2563เขา้ ถึงได้จาก http://www.sungnoen.go.th
pdf /15905608171.pdf.

5 เทศบาลตำบลสูงเนนิ อำเภอสงู เนนิ จงั หวดั นครราชสีมา, บนั ทกึ ภูมิ
ปัญญาทอผา้ เงีย่ งนางดำ [Online], แหล่งทม่ี า http://www.sungnoen.go.th/pdf/
1590608171.pdf.

186


Click to View FlipBook Version