The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือประกอบโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี คณะกรรมการนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2563.

ISBN 9789746417679

บทบรรณาธิการ -- โครงการทางรถไฟสายโบราณคดี / ภาณุพงศ์ ชลสวัสดิ์ -- รักษ์สถานี / วันวิสข์ เนียมปาน -- การอนุรักษ์และพัฒนาสถานีรถไฟสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา / ปริญญา ชูแก้ว / ทางรถไฟไทยสร้างบนเส้นทางสมัยโบราณ (1) ทางสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- การคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองอีสานก่อนมีทางรถไฟ สายนครราชสีมา พ.ศ. 2445 / ชุมพล แนวจำปา -- รถจักร น้ำ ฟืน และทางรถไฟเล็กสูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเก่า เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา / สุจิตต์ วงษ์เทศ -- อำเภอสูงเนิน ลักษณะทางภูมิศาสตร์และปัจจัยทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในสมัยทวารวดี / สายรุ้ง แจ้งจิตร -- วัฒนธรรมทวารวดีที่ปรากฏในเมืองโบราณเสมา / พรหมพิริยะ พรหมเมศ -- หลักหิน-ใบเสมา เอกลักษณ์ทวารวดีอีสานที่สูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- พระพุทธรูปไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมาราม / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มีอายุเก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา / รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล -- อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า น้ำพระทัยแห่ง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 / วิทูร ชีพดำรงสกุล -- สูงเนิน : ตัวตนในนิราศ กาพย์และกลอน / จิรวัฒน์ ตั้งจิตเจริญ -- ผ้าทอเงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์สำคัญของชาวสูงเนิน / อาทิตยา สุกรสุต -- เพลงโคราช ภาพสะท้อนโคราชผ่านบทเพลง / ภัทรชนก จุฑาเทศ -- "นครราชสีมา" ผ่านมุมมองการตรวจราชการของชนชั้นนำ และข้าราชการสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 / พนมกร นวเสลา -- กำหนดการกิจกรรมโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี ตอน "บอกเล่าให้รู้จัก บอกรักษ์สูงเนิน"

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panupong Chonsawat, 2021-09-29 19:01:05

บอกรักษ์สูงเนิน : รวมบทความวิชาการ-สารคดีในพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา

หนังสือประกอบโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี คณะกรรมการนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2563.

ISBN 9789746417679

บทบรรณาธิการ -- โครงการทางรถไฟสายโบราณคดี / ภาณุพงศ์ ชลสวัสดิ์ -- รักษ์สถานี / วันวิสข์ เนียมปาน -- การอนุรักษ์และพัฒนาสถานีรถไฟสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา / ปริญญา ชูแก้ว / ทางรถไฟไทยสร้างบนเส้นทางสมัยโบราณ (1) ทางสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- การคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองอีสานก่อนมีทางรถไฟ สายนครราชสีมา พ.ศ. 2445 / ชุมพล แนวจำปา -- รถจักร น้ำ ฟืน และทางรถไฟเล็กสูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเก่า เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา / สุจิตต์ วงษ์เทศ -- อำเภอสูงเนิน ลักษณะทางภูมิศาสตร์และปัจจัยทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในสมัยทวารวดี / สายรุ้ง แจ้งจิตร -- วัฒนธรรมทวารวดีที่ปรากฏในเมืองโบราณเสมา / พรหมพิริยะ พรหมเมศ -- หลักหิน-ใบเสมา เอกลักษณ์ทวารวดีอีสานที่สูงเนิน / กฤษฎา นิลพัฒน์ -- พระพุทธรูปไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมาราม / ประภัสสร์ ชูวิเชียร -- หลักฐานโบราณวัตถุประเภทจารึกที่มีอายุเก่ากว่า พ.ศ. 1800 จากอำเภอสูงเนิน นครราชสีมา / รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล -- อโรคยาศาล: ปราสาทบ้านเก่า น้ำพระทัยแห่ง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 / วิทูร ชีพดำรงสกุล -- สูงเนิน : ตัวตนในนิราศ กาพย์และกลอน / จิรวัฒน์ ตั้งจิตเจริญ -- ผ้าทอเงี่ยงนางดำ เอกลักษณ์สำคัญของชาวสูงเนิน / อาทิตยา สุกรสุต -- เพลงโคราช ภาพสะท้อนโคราชผ่านบทเพลง / ภัทรชนก จุฑาเทศ -- "นครราชสีมา" ผ่านมุมมองการตรวจราชการของชนชั้นนำ และข้าราชการสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 / พนมกร นวเสลา -- กำหนดการกิจกรรมโครงการทางรถไฟสายโบราณคดี ตอน "บอกเล่าให้รู้จัก บอกรักษ์สูงเนิน"

Keywords: สูงเนิน,นครราชสีมา,รถไฟ,สถานีรถไฟ,อนุรักษ์สถานีรถไฟ,โบราณคดี,ประวัติศาสตร์,โครงการทางรถไฟสายโบราณคดี,คณะกรรมการนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร,การรถไฟแห่งประเทศไทย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รถจักร น้ำ ฟนื และทางรถไฟเลก็ สงู เนิน

ภาพที่ 4 หัวรถจกั รไอน้ำสูงเนนิ หมายเลข 32
(ปัจจบุ นั อยูจ่ ดั แสดงอย่หู นา้ สถานรี ถไฟชุมทางหาดใหญ)่

การตัดไม้ฟืนและขนส่งด้วยรถไฟเล็กแบบนี้ มีมาก่อนแล้วใน
ย่านสถานีรถไฟหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวดั นครสวรรค์9 แตอ่ าจจะไม่
เพยี งพอตอ่ ความต้องการ จงึ มีการสรา้ งทางรถไฟเล็กสูงเนินสำหรับตัด

ไม้ฟืนขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบแน่ชัดว่าก่อนหน้านี้มีการ
ตัดไม้ฟืนส่งให้สถานีรถไฟสูงเนินหรือไม่ หากมีก็คงมีการขนส่งด้วย
ระบบอื่น เชน่ ขนส่งด้วยเกวียน ซง่ึ ลา้ ชา้ และขนสง่ ได้ทลี ะนอ้ ยๆ

9 การรถไฟแห่งประเทศไทย, รถจักรและรถพ่วงประวัติศาสตร์, พิมพ์
คร้ังที่ 2 (กรงุ เทพฯ : การรถไฟแห่งประเทศไทย, 2534), 22.

87

รถจักร น้ำ ฟืน และทางรถไฟเล็กสงู เนิน

ทางรถไฟเล็กสูงเนินใช้งานได้เพียงช่วงเวลาสั่นๆ ก็ต้องยกเลิก
ไป เข้าใจวา่ คงเลิกใช้งานเมอื่ ประมาณ พ.ศ. 2503-2504 เพราะปรากฏ
ชือ่ ในแผนทท่ี หาร L 708 ระวาง 5355 I ทำข้นึ ใน พ.ศ. 2503 มีชอื่ กำกบั
ว่า “ทางรถไฟเล็ก” แต่ในแผนทีช่ ุดเดียวกนั ระวาง 5355 II ซึ่งทำขึ้นใน
พ.ศ. 2504 มีชอ่ื กำกับวา่ “ทางรถไฟเลกิ ใช้แล้ว”

การยกเลิกทางรถไฟเล็กสูงเนิน อาจเป็นผลมาจากการพฒั นา
เส้นทางคมนาคมที่เรียกว่า “ถนน” โดยก่อนที่จะยกเลิกทางรถไฟ
รัฐบาลได้สร้างถนนสายหลกั เชื่อมต่อภูมิภาคอย่างถนนพหลโยธิน ถนน
สุขุมวิท และถนนเพชรเกษมแล้ว และยิ่งใน พ.ศ. 2489 ได้เริ่มสร้าง
“ถนนมิตรภาพ” เปิดใช้งานถนนในช่วงแรกตั้งแต่สระบุรี-นครราชสีมา
ใน พ.ศ. 2501 เป็นถนนทต่ี ัดผา่ นอำเภอสูงเนินดว้ ย

อย่างไรก็ตาม ถนนอาจไม่ใช่เหตุผลหลักของการยกเลิก
เส้นทางรถไฟดังกล่าว เพราะขณะนั้นยังไม่มีทางสายรองที่เข้าถึงพื้นที่
ตอนใน และการขนส่งไม้ฟนื ดว้ ยรถไฟยังสามารถขนส่งได้ทลี ะมากๆ อีก
ทั้งยังเข้าถึงสถานีรถไฟสูงเนินได้โดยตรงกว่า แต่ถนนเป็นตัวแปรสำคัญ
ท่ที ำให้การเดนิ ทางระหว่างจงั หวัดมีความรวดเร็วและมผี ลตอบแทนทาง
เศรษฐกิจสูงกว่าการพัฒนาเส้นทางรถไฟ10

10 ภญิ ญพันธุ พจนะลาวัลย, กำเนิดประเทศไทยภายใตเ ผด็จการ (กรงุ เทพฯ :
มตชิ น, 2558), 22.

88

รถจักร นำ้ ฟืน และทางรถไฟเล็กสูงเนนิ

ภาพที่ 5 แผนทีเ่ ส้นทางการเดนิ โดยสารประจำทางตา่ งจงั หวดั สาย
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ใน พ.ศ. 2503

ที่มา : ราชกจิ จานุเบกษา, เล่มท่ี 77 ตอนที่ 15, 23 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.
2503, 457-460.

89

รถจักร นำ้ ฟนื และทางรถไฟเล็กสูงเนิน

เมื่อถนนได้รับการพัฒนามากขึ้น การใช้รถจักรไอน้ำก็เริ่ม
น้อยลง เริ่มปลดระวางและเลิกใช้งานไปตามอายุ นอกจากนี้ การรถไฟ
ยังได้นำสั่งซื้อหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า ยีอี (GE.) จำนวน 50 คัน (รุ่นเลขที่
4001-4050) จากอเมริกา และหัวรถจักรดีเซลไฮดรอลิค เฮนเชล (HE.)
จำนวน 27 คนั (รุ่นเลขที่ 3001-3027) จากเยอรมนี ใน พ.ศ. 2507 เป็น
หัวรถจักรที่ประหยัดค่าใช้จ่ายทำการและมีสมรรถนะการทำงานดีกว่า
เข้ามาใช้งานแทนที่รถจักรไอน้ำ1011 ดังนั้น เมื่อรถจกั รไอนำ้ น้อยลง ความ
ตอ้ งการไม้ฟื้นเป็นเชอ้ื เพลงิ กม็ นี ้อยลง ทางรถไฟเล็กสูงเนนิ จงึ เลิกใช้งาน
ไปในที่สุด

ภาพที่ 6 หวั รถจกั รดีเซลไฟฟา้ ยอี ี (GE.) หมายเลข 4045
ยงั วงิ่ ใช้งานอยใู่ นปัจจบุ นั

11 การรถไฟแหงประเทศไทย, รถจักรและรถพวงประวัติศาสตร, พิมพครั้งที่
2 (กรงุ เทพฯ : การรถไฟแหงประเทศไทย, 2534), 88.

90

รถจักร น้ำ ฟนื และทางรถไฟเล็กสูงเนนิ

บรรณานุกรม
การรถไฟแห่งประเทศไทย. รถจักรและรถพ่วงประวัติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2.

กรงุ เทพฯ : การรถไฟแห่งประเทศไทย, 2534.
รถจักรและรถพ่วง พัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ จากอดีตสู่ปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : การ

รถไฟแห่ง ประเทศไทย, 2554.
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัลย์. กำเนิดประเทศไทยภายใต้เผด็จการ. กรุงเทพฯ : มติ

ชน, 2558.
ธนพร อึ้งศิริไพศาล. “การประเมินโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง :

กรณีศึกษากองทุนหมู่บ้านปลายราง ม.8 ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน
จ.นครราชสมี า.” สารนพิ นธป์ ระกาศนยี บตั รบณั ฑิต สาขาเทคโนโลยีการ
จัดการ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสุรนาร,ี 2544.
“นริ าศอบุ ลราชธาน.ี ” ใน ประชุมนริ าศ ภาคท่ี 4. นนทบุรี : ต้นฉบับ, 2557
“รายงานเสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟสายนครราชสีมา ร.ศ. 119.” ใน การ
รถไฟไทย. ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงพระศพ หม่อมเจ้าเสริม
สวาสดิ์ กฤดากร ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 22 มีนาคม
พ.ศ. 2484. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พก์ รมรถไฟ, 2484.

ราชกจิ จานเุ บกษา
ราชกิจจานเุ บกษา. เลม่ ที่ 77 ตอนที่ 15. 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2503.

91

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนนิ จ.นครราชสมี า

ขรรค์ชัย-สจุ ติ ต์ ทอดนอ่ งท่องเที่ยว
ตอน “โคราชเกา่ สูงเนนิ นครราชสีมา เมอื งราด พอ่ ขุนผาเมอื ง

ตน้ ประวัติศาสตร์อยุธยา, สโุ ขทยั ”
ถ่ายทวี่ ดั พระนอนธรรมจักรเสมาราม สูงเนนิ

92

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

93

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

94

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

95

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

96

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

97

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

98

นครราชสีมากำเนิดจากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

99

นครราชสีมากำเนดิ จากโคราชเกา่ เมอื งเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า

100

อำเภอสูงเนิน : ลักษณะทางภมู ศิ าสตรแ์ ละปัจจยั ทางธรรมชาติ ที่กอ่ ให้เกดิ การตัง้ ถนิ่ ฐานในสมยั ทวารวดี

อำเภอสูงเนิน : ลักษณะทางภมู ิศาสตรแ์ ละปัจจัยทาง
ธรรมชาติ ทก่ี อ่ ให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในสมัยทวารวดี

สายรงุ้ แจง้ จิตร1

ภูมิศาสตร์ และปัจจยั ทางธรรมชาติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคญั ที่
ก่อให้เกิดการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนมาตั้งแต่สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ โดยที่ลักษณะทางภมู ิศาสตร์หรือปจั จัยที่ปรากฏในพื้นท่ี
อาจเป็นลกั ษณะที่เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคน หรือพื้นที่น้ัน
มีปัจจัยที่เหมาะสมทั้งในการดำรงชีวิตหรือทั้งต่อการใช้งานในด้านต่าง
ๆ ซึ่งในพื้นที่ของอำเภอสูงเนินเอง ก็ปรากฏร่องรอยของการเข้ามาใช้
พน้ื ทใ่ี นการตัง้ ถิ่นฐานของกลุ่มคนเชน่ เดยี วกัน โดยมี “ทวารวดี” หน่ึงใน
กลุ่มวัฒนธรรมที่มีบทบาทในพื้นที่ประเทศไทยราวพุทธศตวรรตที่ 12 –
16 เป็นหนง่ึ ในผทู้ ี่เข้ามาต้ังถนิ่ ฐานในพนื้ ท่ขี องอำเภอสงู เนิน และเกิดเป็น
เมืองโบราณเสมาข้ึน

ในพื้นที่ของอำเภอสูงเนินมีลักษณะทางภูมิประเทศอย่างไร มี
ปัจจัยทางธรรมชาติใดที่ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้มาตั้งแต่
อดีต? ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิลักษณ์ของ
จังหวัดนครราชสีมาซ่งึ ตั้งอยู่ในภมู ภิ าคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนล่าง จะ

1 นักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรชี ้ันปที ่ี 2 สาขาวิชาโบราณคดี คณะ
โบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร

101

อำเภอสงู เนนิ : ลักษณะทางภมู ศิ าสตร์และปจั จัยทางธรรมชาติ ทก่ี อ่ ให้เกดิ การตัง้ ถน่ิ ฐานในสมัยทวารวดี

เป็นสิ่งทีจ่ ะช่วยอธิบายลักษณะภูมิประเทศของอำเภอสูงเนิน และปัจจัย
ทางธรรมชาติทีป่ รากฏในพนื้ ท่ีและบรเิ วณใกล้เคยี งได้

ภูมิลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมากับภูมิประเทศแบบที่ราบลูก
คลน่ื ในอำเภอสูงเนนิ

จังหวดั นครราชสีมา เป็นจงั หวดั ท่ีมีพื้นท่ีมากท่ีสุดของประเทศ
ไทย และตั้งอยู่ทางตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซ่ึง
เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า ที่ราบสูงโคราช (หรือ ที่ราบค่อนข้างสูงโคราช) และ
เนื่องมาจากลกั ษณะของท่ีราบลุ่มแม่นำ้ บริเวณตอนกลางของพื้นท่ี และ
มีเทือกเขาสูงล้อมรอบบริเวณจนดูคล้ายกับแอ่งกระทะ พื้นที่นี้จึงมีอีก
ชื่อหนึ่งว่า แอ่งโคราช อันเป็นหนึ่งในสองแอ่งของภาคตะวันออก
เฉียงเหนอื (อกี แห่งหนึ่งคอื แอ่งสกลนคร ทางตอนบนของภมู ภิ าค)

อีกหนึ่งลักษณะเด่นของภูมิประเทศในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือตอนล่าง คือ ภูมิประเทศแบบที่ราบสลับเนิน ซึ่งเป็นลักษณะ
ของภูมปิ ระเทศทโ่ี ดยมากมกั จะเกดิ จากการชะละลายของช้นั หนิ เกลือใต้
ดินโดยชั้นน้ำบาดาล เมื่อชั้นหินเกลือซึ่งเป็นของแข็งถูกชะละลายจน
บริเวณนั้นกลายเป็นชั้นน้ำเค็ม จะทำให้เกิดการยุบตัวลงของชั้นดิน
ด้านบน ทำให้บริเวณผิวดินของพื้นที่นั้นกลายเป็นแอ่งหรือที่ราบ ใน
ขณะเดียวกัน บริเวณที่มีชั้นเกลือดันตัวขึ้นมาจะทำให้บริเวณผิวดินปูด
นนู ข้นึ กลายเปน็ เนินสลบั กนั ไป ภมู ปิ ระเทศเชน่ นี้ เรียกอีกอย่างว่า “ภูมิ
ประเทศแบบทร่ี าบลูกคล่นื ”

102

อำเภอสงู เนนิ : ลกั ษณะทางภูมศิ าสตรแ์ ละปัจจัยทางธรรมชาติ ท่กี อ่ ให้เกดิ การตั้งถน่ิ ฐานในสมยั ทวารวดี

อำเภอสูงเนิน มีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็น “ที่ราบลูก
คลื่นลอนลาด” ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่พบได้ทั่วไปเป็นส่วนมาก
ทางตอนกลางของจังหวัดนครราชสีมา โดยที่ราบลูกคลื่นลอนลาดใน
จังหวัดนครราชสีมาน้ัน เกิดขึ้นจากการท่ีพื้นที่นั้นได้รับอิทธิพลจากการ
ยกตัวขึ้นของหมวดหินโคกกรวด โดยทางตอนล่างของอำเภอเป็นพื้นที่
ใกล้เชิงเขาทางตอนใต้ของจังหวัด จะมีลักษณะภูมิประเทศที่มีความชนั
มากกว่า เรียกว่า “ที่ราบลูกคลื่นลอนชัน” มีที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ คือ
แมน่ ำ้ มูล และลำนำสาขา เชน่ ลำตะคอง และลำพระเพลงิ

ทรัพยากรท่ีปรากฏในพ้นื ที่สูงเนนิ

ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนทางตะวันตก
ทางตะวันตกเฉียงใต้ และทางใต้ พื้นที่บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยป่าดงดิบ
รกทึบ เช่น ดงพญาเย็น ‘ป่าไม้’ จึงเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่พบในพื้นที่
ของอำเภอสงู เนนิ ซึ่งมพี ื้นทที่ างตอนลา่ งของอำเภอเป็นเชิงเขา และมีลุ่ม
น้ำลำตะคองเป็นพื้นที่ราบลุ่มทางตอนกลางของอำเภอ ในขณะที่พื้นที่
สว่ นใหญข่ องอำเภอนนั้ ถูกจดั ใหอ้ ยใู่ นหมวดหนิ โคกกรวด ซึ่งประกอบไป
ด้วยหินทรายแป้ง และหินทรายสีน้ำตาลแกมแดงจำนวนมาก เมื่อหิน
หมวดนี้เกิดการผุผัง มักจะได้เป็นดินทราย ซึ่งเหมาะกับการปลูกพืชไร่
จำพวก ออ้ ย เปน็ อย่างมาก

103

อำเภอสงู เนนิ : ลักษณะทางภูมิศาสตร์และปจั จัยทางธรรมชาติ ท่ีกอ่ ให้เกิดการตั้งถน่ิ ฐานในสมยั ทวารวดี

ปา่ ไม้แบบผลดั ใบทส่ี งู เนิน
พื้นที่ที่มีทั้งที่ราบและเนินเขา รวมถึงลักษณะของดินที่เป็นดิน
ร่วนปนทรายในอำเภอสูงเนินนั้น ส่งผลให้ทรัพยากร ‘ป่าไม้’ ที่ปรากฏ
มากในพื้นที่น้ันเป็นป่าดิบแล้งซึ่งมีความชื้นนอ้ ย ป่าเบญจพรรณและปา่
เต็งรังซึ่งเป็นป่าไม้ผลัดใบ มีพรรณไม้ยืนต้นที่สามารถเติบโตได้ใน
ลกั ษณะดินดังกล่าวเป็นพรรณไม้สำคญั
จะสังเกตได้ว่าในอำเภอสูงเนินนั้น จะปรากฏทรัพยากรป่าไม้
และหินทราย1เปน็ สำคญั โดยทม่ี ีลมุ่ น้ำลำตะคองเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำ
ซึง่ ท้งั สองสง่ิ เป็นทรัพยากรทเ่ี หมาะสมต่อการค้าขายและการสร้างเมือง
และศาสนสถานตามลำดับ รวมทัง้ ท่ตี ้งั ของพื้นที่ซ่ึงอยทู่ างตะวันตกเฉียง
ใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีความสำคัญและ

104

อำเภอสูงเนนิ : ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรแ์ ละปจั จยั ทางธรรมชาติ ที่ก่อให้เกดิ การตั้งถน่ิ ฐานในสมัยทวารวดี

มีความเหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐาน พื้นที่ของอำเภอสูงเนินในปัจจุบัน
ปรากฏหลักฐานการเข้ามาอยู่อาศัยของมนษุ ยร์ ะยะแรกสุดในสมัยทวาร
วดี จึงสามารถสันนิษฐานได้จากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาในข้างต้นได้ว่า
ตำแหน่งทีต่ ้งั ของพนื้ ท่ี ทรพั ยากรปา่ ไม้ และหินทราย เปน็ ปัจจยั สำคัญที่
ก่อให้เกิดการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชุมชนสมัยทวารวดีในพื้นที่อำเภอสงู
เนินในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากการให้สมั ภาษณ์ของผู้คนในพื้นที่2 ทำให้
ทราบข้อมูลเพ่มิ เติมว่า เม่ือราว 20 – 30 ปีก่อน ยังคงมกี ลมุ่ คนทนี่ ำของ
ป่าออกมาขายในอำเภอสูงเนินอยู่ โดยจะขายอยู่ตามเลียบทางรถไฟ
รวมถึงมีการค้าไม้ในอำเภอสูงเนินด้วย ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะไม่ปรากฏ
การขายของป่าในลักษณะเช่นนี้อีกตอ่ ไปแล้ว แต่จุดนี้ก็สามารถชี้ให้เห็น
ถึงความสำคัญของทรพั ยากรป่าไม้ในอำเภอสูงเนนิ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน

แหลง่ ตัดหนิ บา้ นส้มกบงาม

105

อำเภอสงู เนิน : ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรแ์ ละปัจจัยทางธรรมชาติ ท่กี อ่ ใหเ้ กดิ การตัง้ ถนิ่ ฐานในสมยั ทวารวดี

_____________________________________________________

เชงิ อรรถ
1. แหลง่ ตดั หนิ ทรายที่สำคัญในอำเภอสูงเนนิ คือ แหล่งตัดหนิ บา้ นส้มกบงาม
สันนิษฐานว่าเป็นแหล่งตัดหินสมัยโบราณที่หินถูกสกัดเพื่อนำออกมาใช้
ในการสรา้ งเมอื งเสมา และอนื่ ๆ
2. ข้อมูลจากคณุ อมั พนั ธ์ ใหส้ มั ภาษณไ์ วเ้ มอ่ื วันที่ 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2562

รายการเอกสารอา้ งองิ
คณะกรรมการอำนวยการจดั งานเฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระ

เจา้ อยหู่ วั . วฒั นธรรม พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลกั ษณ์และ
ภูมปิ ญั ญา จงั หวัดนครราชสีมา. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการ, 2542.
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ฝ่ายวิจัย. ภมู ิลกั ษณป์ ระเทศไทย. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2534.
ประเทือง จนิ ตสกลุ . ภมู ิศาสตรก์ ายภาพภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื . กรุงเทพฯ:
ศลิ ปาบรรณาคาร, 2528.
สำนกั งานพฒั นาชมุ ชนอำเภอสงู เนนิ จังหวดั นครราชสีมา กรมการพัฒนาชมุ ชน
กระทรวงมหาดไทย.ประวตั ิความเปน็ มา, เข้าถงึ จาก https:
//district.cdd.go.th/sungnoen/about-us/ประวตั คิ วามเป็นมา. เขา้ ถงึ เมอ่ื
วนั ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563.

106

วฒั นธรรมทวารวดีทปี่ รากฏผ่านหลักฐานในเมืองโบราณเสมา

วฒั นธรรมทวารวดีทป่ี รากฏผ่านหลกั ฐาน
ในเมอื งโบราณเสมา

พรหมพิริยะ พรหมเมศ1

บทนำ

เมืองโบราณเสมา เป็นเมืองท่ีมีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์
มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนมาถึงช่วงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น
จึงรับวัฒนธรรมทวารวดีเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของ
ตนเอง จนเกิดเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจาก
วัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลาง มีหลักฐานชิ้นสำคัญที่พบ เช่น เจดีย์
ศิลปะทวารวดี พระพุทธรูปไสยาสน์ ธรรมจักรศิลปะทวารวดี ใบเสมา
หรือหลักหิน ภาชนะดินเผาลวดลายกดประทับแบบทวารวดี นอกจากน้ี
ยงั พบจารกึ บ่ออีกา ท่กี ล่าวถึงการปกครองของกษัตริย์รัฐศรีจนาศะ ซ่ึง
สนั นิษฐานว่าเป็นรัฐท่ีก่อต้งั ขนึ้ หลังจากการรับวัฒนธรรมทวารวดีและมี
ศนู ยก์ ลางอย่ทู เี่ มอื งโบราณเสมาอีกด้วย

ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรข์ องเมืองโบราณเสมา

เมืองโบราณเสมาตั้งอยู่ที่ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัด
นครราชสีมา ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มไม่สม่ำเสมอสูงจากระดับน้ำทะเลปาน

1 นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาเอกโบราณคดี คณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศลิ ปากร

107

วฒั นธรรมทวารวดที ่ปี รากฏผ่านหลกั ฐานในเมอื งโบราณเสมา

กลางประมาณ 210 เมตร มคี ันดิน 1 ชั้นและคนู ้ำ 2 ช้นั รปู ร่างของเมือง
มีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ เส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวเหนือ-ใต้ ยาว 1,755
เมตร และตามแนวตะวันออก-ตะวันตกยาว 1,845 เมตร ภายในของ
เมืองมีคูน้ำและคันดินแบ่งเมืองออกเป็น 2 ส่วน ทางด้านเหนือเรียกว่า
เมืองนอกและทางด้านใต้เรียกวา่ เมืองใน ตรงกลางของเมืองนอกมีคูน้ำ
และคันดินรูปสี่เหลี่ยม ทางตะวันตกของเมืองมี ห้วยไผ่ เป็นลำน้ำของ
เมืองซึ่งตั้งต้นจากตำบลเสมาและไหลไปที่ลำตะคอง นอกจากน้ี
ภูมิศาสตร์ของเมืองเสมายังตั้งอยู่บริเวณที่ราบช่องเขาของเทือกเขา
เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่กั้นบริเวณภาคกลางกับภาค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ทำให้เมอื งเสมามลี ักษณะคล้ายเป็นเมืองหน้าด่าน
ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองในภาคกลางและเมืองในภาคอีสานของเมืองใน
วฒั นธรรมทวารวดี

วฒั นธรรมทวารวดี

จากการขุดค้นทางโบราณคดีในเมืองโบราณเสมา ในพ.ศ. 2533
สามารถกำหนดอายุการตั้งถ่นิ ฐานของมนุษยใ์ นเมืองโบราณเสมาได้ราว
พุทธศตวรรษที่ 10-11 ซึ่งเป็นยุคหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์(เป็นยุคที่เริ่มมี
การใช้อักษรแล้วแต่อักษรนั้น เป็นอักษรที่รับมาจากบุคคลกลุ่มอื่นและ
ไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นเอง) และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นช่วงที่เมือง
เสมาได้รับวัฒนธรรมทวารวดีเข้ามา ซึ่งภายหลังพบหลักฐานของ
วัฒนธรรมเขมรสมัยเมืองพระนครเข้ามาผสมผสานด้วยในช่วงพุ
ทศตวรรษที่ 15 การรับวัฒนธรรมทวารวดีนั้นสันนิษฐานว่าทำให้คนใน

108

วัฒนธรรมทวารวดีทีป่ รากฏผ่านหลกั ฐานในเมอื งโบราณเสมา

พื้นที่เมืองโบราณเสมาหันมานับถือศาสนาพุทธ จากหลักฐานของ
ศาสนาพุทธคือพระพุทธรูปประทับนอนและธรรมจักรท่ีสลักจากหิน
ทราย(ปัจจุบันอยู่ในวัดธรรมจักรเสมาราม) รวมไปถึงเจดีย์วัดแก่นท้าว
ด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงนำประเพณีเดิมของท้องถิ่นเข้ามาผสม
กับความเชื่อและพิธกี รรมทางศาสนาพุทธที่ได้รบั เข้ามาดว้ ย เช่นการทำ
ใบเสมาท่เี ป็นลกั ษณะของหินต้งั และวิธกี ารปลงศพในภาชนะดนิ เผา

การปกครองของเมืองโบราณเสมาน้ันราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12-13
สันนิษฐานวา่ อาจมคี วามเกี่ยวข้องกับกษัตริยข์ องทวารวดี จากหลักฐาน
จารึกฐานพระพุทธรูปวัดจันทึก ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
จารึกด้วยอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต กำหนดอายุได้ประมาณพุทธ
ศตวรรษที่ 12 กล่าวถึง เทวีของกษัตริย์แห่งทวารวดีได้โปรดให้พระธิดา
สร้างพระพุทธรูปขึ้น2 โดยที่พระพุทธรูปนั้นเป็นพระพุทธรูปหินทรายที่
เป็นที่นิยมใช้ในจังหวัดนครราชสีมาจึงมีความเป็นไปได้ที่พระพุทธรูป
องค์นี้จะสร้างในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาไม่ได้ขนย้ายมาจากที่อื่น ซึ่ง
สามารถบ่งบอกได้ว่ากษัตริย์ของทวารวดีนั้นได้สร้างพระพุทธรูป
ดังกล่าวขึ้นในพื้นท่ีของเมืองเสมาและอาจมีความเกี่ยวข้องในด้านการ
ปกครองกับเมืองเสมาคือเป็นผปู้ กครองเมอื งเสมา และในพุทธศตวรรษ
ที่ 14 สันนิษฐานว่าเมืองโบราณเสมานั้นได้มีกษัตริย์เป็นของตัวเองและ
เป็นเมืองที่แยกตัวออกมาจากทวารวดี จากเนื้อความของจารึกบ่ออีกา
(พ.ศ. 1411) ที่บันทึกด้วย ตัวอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมรโบราณและ

2 รงุ โรจน ธรรมรุงเรือง, “ทวารวดใี นอีสาน,” (กรงุ เทพฯ : มติชน, 2558), น. 8.
109

วัฒนธรรมทวารวดีทป่ี รากฏผา่ นหลักฐานในเมอื งโบราณเสมา

ภาษาสันสกฤต กล่าวถึง พระราชาของศรีจนาศะ(สันนิษฐานว่ามี
ศนู ยก์ ลางอย่ทู ีเ่ มอื งเสมา3)ไดอ้ ุทิศปศุสัตว์แกข่ ้าทาสและพระสงฆ์4 และ
จารึกศรีจนาศะ บันทกึ ด้วยตวั อักษรขอมโบราณ ภาษาเขมรโบราณและ
ภาษาสันสกฤตเช่นเดียวกัน ที่ปรากฏพระนามกษัตริย์ของศรีจนาศะคือ
พระเจ้าภคทัตต์ พระเจ้าศรีสุนทรปรากรม พระเจ้าศรีสุนทรวรมัน พระ
เจ้าศรีนรปติสิงหวรมัน และพระเจ้ามงคลวรมัน และทำจารึกนี้ขึ้นในปี
พ.ศ.14805 ซ่งึ ก่อนที่เมอื งเสมานัน้ จะรับวัฒนธรรมทวารวดีน้ัน ไม่มีการ
ปกครองที่เป็นระบบกษัตริย์มาก่อน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการมีกษตั ริย์
นน้ั เปน็ การรบั วฒั นธรรมจากทวารวดี

3 ขอเสนอจาก มยรุ ี วรี ะประเสรฐิ , “ศรจี นาศะหรอื จนาศะปุระ : ขอ
สันนิษฐานเกา-ใหม,” ใน ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง (กรุงเทพฯ : มติชน
,2545), น.87-122. และชลิต ชัยครรชิต, “เมืองเสมาคือศูนยกลางของศรีจ
นาศะ,” ใน ศรจี นาศะ รฐั อิสระทรี่ าบสูง (กรงุ เทพฯ : มติชน,2545), น. 125-
170

4 เขมิกา หวังสุข, “พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุมแมน้ำมูล
กรณศี ึกษาแหลง โบราณคดเี มืองเสมา อำเภอสูงเนนิ จงั หวัดนครราชสมี า.”
(วิทยานพิ นธ ปรญิ ญามหาบัณฑิต สาขาโบราณคดสี มัยประวตั ศิ าสตร บัณฑิต
วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, 2543), น. 127.

5 เรื่องเดียวกนั , น. 128.

110

วฒั นธรรมทวารวดีที่ปรากฏผา่ นหลกั ฐานในเมืองโบราณเสมา

สภาพสังคมในเมอื งโบราณเสมา

การดำรงชีวิตของคนในเมืองเสมานั้นเป็นไปในรูปแบบการทำ
เกษตรกรรมและล่าสัตว์ จากการค้นพบกระดูกสัตว์คือ กวาง วัวป่า
หอย ปลาดกุ ปลาช่อน หมูป่า เก้ง ตะกวด แรด กระต่าย ในบริเวณเมอื ง
โบราณเสมานั้น สามารถบ่งบอกถึงสภาพแวดล้อมของเมืองโบราณ
เสมาได้เป็นอย่างดีคือ กวางและวัวป่าเป็นสัตว์ที่มีลักษณะนิสัยชอบอยู่
ในบริเวณที่เป็นป่าทึบและหาอาหารในป่าโปร่งและป่าละเมาะ ในส่วน
ของ หอย ปลาดุกและปลาช่อนนั้นมีพฤติกรรมการชอบอยู่อาศัยใน
แหล่งน้ำปนกบั โคลน หรือบริเวณที่เป็นน้ำนิ่งและตื้น ในส่วนของ หมูปา่
เก้ง ตะกวดแรดและกระต่าย สัตว์ประเภทนี้มักชอบอยู่อาศัยในพื้นที่ที่
คอ่ นขา้ งโลง่ เนอื่ งจากมีหญ้าอ่อน และใบไมอ้ ่อนหรือพ้ืนท่ีท่ีโดนคนถาง
เพื่อทำเกษตรกรรม(สัตว์เข้ามากินผลผลิตในการทำเกษตรกรรมของ
คน) จึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งแวดล้อมในบริเวณเมืองโบราณเสมา มีพื้นที่ที่
เป็นป่าทึบ ป่าละเมาะ มีแหล่งน้ำที่อาจะเป็นหนอง บึง หรือลำธารไหล
ช้าและพื้นที่ที่สำหรับทำเกษตรกรรม6 ซึ่งสัตว์ที่พบเหล่านี้คาดว่าคนใน
สมัยก่อนอาจล่าเพื่อนำมาบริโภคหรือนำมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกับ
ชุมชนอน่ื ๆ(สนั นิษฐานว่าเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของเมอื งเสมา)

6 เขมิกา หวังสุข, “พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุมแมน้ำมูล
กรณีศึกษาแหลง โบราณคดเี มืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสมี า.”
(วทิ ยานพิ นธ ปริญญามหาบณั ฑิต สาขาโบราณคดีสมยั ประวตั ศิ าสตร บัณฑิต
วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543), น. 154-155.

111

วัฒนธรรมทวารวดที ่ปี รากฏผา่ นหลักฐานในเมืองโบราณเสมา

พระนอน วดั พระนอนธรรมจกั รเสมาราม

โบราณสถานในเมอื งเสมา

112

วัฒนธรรมทวารวดีท่ีปรากฏผ่านหลักฐานในเมอื งโบราณเสมา

โบราณวัตถุ ชน้ิ สว่ นธรรมจักรศิลปะทวารวดี
จดั แสดงอยู่ทว่ี ดั พระนอนธรรมจกั รเสมาราม

113

วัฒนธรรมทวารวดที ปี่ รากฏผา่ นหลักฐานในเมอื งโบราณเสมา

หลกั ฐานสำคญั ในวฒั นธรรมทวารวดี

เจดียศ์ ิลปะทวารวดีน้นั มกั จะก่อด้วยอฐิ ท่ีมสี ดั ส่วนความยาวเป็น
สองเท่าของความกว้างและไม่สอปูน อยู่ในผัง สี่เหลี่ยม แปดเหลี่ยม
วงกลมและสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม ประดับปูนปั้นลายพันธุ์พฤกษา รูปบุคคล
หรือรูปสัตว์ เช่นที่ เจดีย์วัดแก่นท้าว เจดีย์โบราณสถานหมายเลข
2,3,4,5,7,8,9

พระพุทธรูปประทับนอนสลักจากหินทรายสีแดง ยาว 13.30
เมตร สูง 2.80 เมตร ศิลปะทวารวดี พระศกขมาดเป็นก้นหอย พระ
พักตร์เหลี่ยม พระขนงยาวต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรเหลือบต่ำ พระ
นาสิกกว้าง แย้มสรวล มีพระหัตถ์รองรับพระเศียรอยู่ กำหนดอายุได้
ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12 ปจั จุบนั อยทู่ วี่ ดั ธรรมจักรเสมาราม

ธรรมจักรหินทรายศิลปะทวารวดี เส้นผ่านศูนย์กลางราว 1.45
เมตร เป็นธรรมจักรทึบสลักเป็นรูปกงซี่ล้อเกวียนตอนล่างมีภาพสลัก
พนัสบดีอยู่ ปรากฏลายพันธุ์พฤกษา กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษท่ี
12-14

หลักหินเสมา หลักหินหรือหินตั้ง(Megalith)สันนิษฐานว่าเป็น
วัฒนธรรมทีเ่ กดิ ขึ้นมาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วเพื่อเป็นการบง่
บอกถึงอาณาเขตของการอยู่อาศยั หรืออาณาเขตของพนื้ ทส่ี ำคัญที่ใช้ใน

การประกอบพิธีกรรมของคนในสมยั ก่อนประวัติศาสตร์ ในพื้นที่ใกล้กับ
เมอื งโบราณเสมาไปทางตะวันออกเฉยี งใต้ได้พบกลมุ่ หินตงั้ ลอ้ มเปน็

114

วัฒนธรรมทวารวดที ีป่ รากฏผา่ นหลักฐานในเมอื งโบราณเสมา

รูปวงรีสันนิษฐานว่ามีอายุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งกลุ่มคนที่ใช้
ประโยชน์ในพื้นที่นี้อาจจะเป็นกลุ่มคนเดียวกับที่อาศัยในเมืองเสมา7
จากนั้นเมื่อได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทวารวดีเข้าไปผสมผสานด้วย
แล้วจึงทำให้หลักหินดังกล่าวถูกนำไปล้อมอาคารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ
ศาสนาพุทธ(หลักหินมีการแปรบริบทกลายเป็นใบเสมา แต่ยังคง
ลักษณะหลักหินที่มีขนาดใหญ่อยู่คงเดิม) เช่นที่โบราณสถานหมายเลข
1,3,4

ภาชนะดินเผาลายกดประทับในกรอบสี่เหลี่ยม(Diagnostic
artifact) ภาชนะดินเผาเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญที่มนุษย์มักจะ
หลงเหลือ ซงึ่ ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการพบภาชนะดินเผาในเบ้อื งต้นคอื

1. รปู ทรงของภาชนะดินเผา

2.เทคนิคการตกแต่งภาชนะดินเผา

3.วัสดทุ ใ่ี ชท้ ำภาชนะดนิ เผา

ลวดลายของภาชนะดนิ เผาท่วั ไปของวัฒนธรรมทวารวดีน้ันจะ
มลี วดลายทเ่ี กดิ จากการขดู ขีดหรอื การกดประทับด้วยไม้ลายอย่างง่ายๆ
และไม่ซับซ้อน แต่ลายการกดประทับในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นลายที่ได้รับ

7 รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง, “หลักหิน-ใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดีภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย,” (กรงุ เทพฯ : มิตร41, 2560), น. 51.

115

วัฒนธรรมทวารวดที ่ปี รากฏผ่านหลกั ฐานในเมืองโบราณเสมา

อิทธิพลมาจากอนิ เดีย(รบั อิทธพิ ลมาจากโรมนั มาอีกที8)มีความซบั ซ้อน
กว่าลายที่มีอยู่ในทวารวดีแต่เดิม ลวดลายกดประทับในกรอบสี่เหลี่ยม
จะนยิ มทำ ลายช้าง หงส์ บุคคลขีม่ า้ สิงห์ ลายพนั ธพ์ุ ฤกษา โดยลวดลาย
ดังกล่าวจะอยู่ภายในลายกรอบสี่เหลี่ยมคั่นด้วยลายไข่ปลา9 สำนัก
ศิลปากรที่ 9 นครราชสีมาได้ขุดค้นบริเวณเมืองเสมา ในปี พ.ศ.254310
ได้พบภาชนะดินเผาลายกดประทับในกรอบสี่เหลี่ยมที่มีลวดลาย ช้าง
บคุ คลขีม่ า้ ปรู ณฆฏะ คชลักษมี

สรุป

เมืองโบราณเสมามีการใช้พื้นที่ของมนุษย์เพื่ออยู่อาศัยตั้งแต่
สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์จากนนั้ เม่ือไดร้ บั อิทธพิ ลจากวฒั นธรรมทวารวดี
ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ทำให้กลุม่ มนุษย์ดังกล่าวได้มีการ นับถือศาสนา
พุทธจากหลักฐานคือ โบราณสถานในศาสนาพุทธ พระพุทธรูปประทับ

8 ธัญพร บุนนาค, “การวิเคราะห์ภาชนะดินเผาลายกดประทับในกรอบ
สี่เหลี่ยมสมัยทวารวดี.” (เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ปริญญาบัณฑิต
สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2560), น. 16.

9 ผาสุก อินทราวุธ, “ดรรชนีภาชนะดินเผาสมัยทวารวดี,” (กรุงเทพฯ :
อกั ษรสมัย, 2542), น. 30.

10 ธัญพร บุนนาค, “การวิเคราะห์ภาชนะดินเผาลายกดประทับในกรอบ
สี่เหลี่ยมสมัยทวารวดี.” (เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ปริญญาบัณฑิต
สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2560), น. 84.

116

วฒั นธรรมทวารวดีทป่ี รากฏผา่ นหลกั ฐานในเมอื งโบราณเสมา

นอน มรี ะบบการปกครองแบบกษัตริย์หลักฐานจากจารกึ วดั จันทึก และ
มวี ฒั นธรรมท่ผี สมผสานระหวา่ งทอ้ งถนิ่ เดมิ และวฒั นธรรมทวารวดีจาก
หลักฐานคือ หลักหินเสมา รวมไปถึงภูมิศาสตร์ของเมืองเสมาที่มี
ลกั ษณะเปน็ เมืองหนา้ ด่านของอาณาจกั รทวารวดรี ะหว่างภาคกลางและ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขนาดของเมืองที่มีความใหญ่เมื่อเทียบกับ
เมืองในวัฒนธรรมทวารวดีอื่น ๆ อิทธิพลเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความมี
อำนาจของเมืองเสมาจนถึงขนาดก่อเกิดเป็นรัฐอิสระที่เข้มแข็งคือศรีจ
นาศะไดใ้ นราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 13 จากหลักฐานจารึกบ่ออีกา และ
จารกึ ศรีจนาศะ

117

วัฒนธรรมทวารวดที ่ปี รากฏผ่านหลกั ฐานในเมืองโบราณเสมา

บรรณานุกรม
เขมิกา หวังสุข. “พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำมูล กรณีศึกษาแหล่ง

โบราณคดีเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา.”
(วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์
บณั ฑิตวทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, 2543.)
ธัญพร บุนนาค. “การวิเคราะห์ภาชนะดินเผาลายกดประทับในกรอบสี่เหลี่ยม
สมัยทวารวดี.” (เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ปริญญาบัณฑิต
สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2560.)
ผาสุก อินทราวุธ. “ดรรชนภี าชนะดินเผาสมยั ทวารวดี.” (กรุงเทพฯ : อักษรสมัย,
2542.)
รุง่ โรจน์ ธรรมร่งุ เรอื ง. “ทวารวดีในอสี าน.” (กรุงเทพฯ : มตชิ น, 2558.)
_________. “หลกั หนิ -ใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทย.” (กรุงเทพฯ : มิตร41, 2560.)
สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ. “ศรีจนาศะรัฐอิสระทรี่ าบสงู .” (กรงุ เทพฯ : มติชน, 2545.)

118

หลักหิน-ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดีอสี านท่สี งู เนนิ

หลักหนิ -ใบเสมา : เอกลักษณทวารวดีอีสานท่ีสูงเนนิ

กฤษฎา นิลพฒั น1
สมัยทวารวดี คือ สมัยประวัติศาสตรยุคแรกเริ่ม มีอายุอยูในชวง
พุทธศตวรรษท่ี 12-16 (ประมาณ 1,000 - 1,400 ปมาแลว) สังคมและ
วฒั นธรรมรวมถงึ ผูคนยังสืบมาจากคนสมัยกอ นประวตั ิศาสตร และเปน ชวงท่ี
มี ก า ร รั บ วั ฒ น ธ ร ร ม ภ า ย น อ ก โด ย เฉ พ า ะ อิ น เดี ย เข า ม า ใน ดิ น แ ด น ไท ย
โดยเฉพาะพุทธศาสนาซึ่งไดรับการนับถือมากในสมัยทวารวดี ดังปรากฏ
หลักฐานสำคัญคือพระพุทธรูป ธรรมจักร สถูปเจดีย รวมถึงจารึกคาถา
เยธมั มา หรือจารึกตา ง ๆ ทเี่ ก่ยี วกับพทุ ธศาสนา
วัฒนธรรมทวารวดีสวนใหญกระจุกตัวอยูในพื้นท่ีภาคกลางของ
ประเทศไทย เพราะเปนพ้ืนทใี่ กลทะเลมีการติดตอคาขายทีน่ ำไปสกู ารเขามา
ของวัฒนธรรมภายนอก อีกพื้นท่ีหนึ่งท่ีนาสนใจคือดินแดนท่ีราบสูงหรือใน
พ้ืนที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย กลบั มาวัฒนธรรมทวารวดีท่ี
กระจุกตัวหนาแนนรองลงมา โดยนาจะรับวัฒนธรรมภายนอกผานพื้นที่ภาค
กลางของประเทศไทย กมั พชู า และเวยี ดนาม
นอกจากนี้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หรอื ภาคอสี านยังเปนพื้นท่ที มี่ ี
การอยูอาศัยของคนสมัยกอนประวัติศาสตรหนาแนนที่สุดในประเทศไทย
จากท่ีกลาวมาแลวกอนหนาวาคนสมัยทวารวดีสืบมาจากคนสมัยกอนประติ
ศาสตร ดังนั้น วัฒนธรรมความเช่ือของคนสมัยกอนประวัติศาสตรบางอยาง
ยังคงสืบเนอ่ื งตอมา หน่ึงในนนั้ คือ วัฒนธรรมหนิ ต้ังหรือการปกหลักหนิ ซง่ึ ใช

1นกั ศึกษาปรญิ ญาโท สาขาวิชาประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะ คณะโบราณคดี
มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร

119

หลักหนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณท์ วารวดีอีสานทีส่ งู เนิน

ปก ลอมรอบพื้นท่ีศักดสิ์ ิทธิ์หรือพื้นทปี่ ระกอบพิธีกรรมรวมถึงพน้ื ท่ีฝงศพดวย
วัฒนธรรมนี้เม่ือเขามาผสมกับพุทธศาสนากลายเปนส่ิงท่ีเรียกวา “ใบเสมา”

ใบเสมาสมัยทวารวดี

ใบเสมา ในความหมายคำวา “เสมาหรือสีมา” แปลวา “เขต”
ดังน้ัน ใบเสมาจึงหมายถึงหลักท่ีใชปกบอกเขต ในทางพุทธศาสนาเรามักจะ
คนุ ชนิ กับการปกใบเสมาลอมอุโบสถ เพอื่ บงบอกวาอาคารหลังนี้เปนพื้นท่ีทำ
สงั ฆกรรมของพระสงฆ

สำหรับใบเสมาในสมัยทวารวดีไมไดมีหนาที่ปกเพื่อแสดงขอบเขต
ของอุโบสถเพียงอยางเดียว แตยังปกลอมรอบสถูป เพิงหินกลางแจง หรือ
ลานโลงทอ่ี าจจะเคยมีอาคารเคร่ืองไมมากอ น นอกจากน้ี บางพน้ื ที่ เชน บาน
ตาดทอง จังหวัดยโสธร มีการขุดคนทางโบราณคดีพบวา จุดที่ปกใบเสมาเคย
เปน เนินดินฝงศพของคนสมัยกอ นประวัติศาสตรมากอน ซึ่งคงเปนวัฒนธรรม
ที่สืบเนอื่ งมาจากความเช่อื สมยั กอนประวัตศิ าสตรน่ันเอง

สำหรับรปู ทรงของใบเสมาสมัยทวารวดมี ีทง้ั แบบแทงหิน แบบแผน
แบน และแบบแผนหินธรรมชาติ ซึ่งการเรียกวา “ใบเสมา” อาจไม
ครอบคลุมท้ังหมด บางครั้งเรียกวา “หลักหิน” ก็มี แตก็สามารถอนุโลม
เรยี กวา “ใบเสมา” ในฐานที่เขา ใจกันได

สวนลักษณะการปกใบเสมา กลาวไปเบ้ืองตนแลววามีการปก
ลอมรอบสิ่งกอสรางสำคัญ แตตำแหนงและจำนวนการปกมีความหลายมาก
มที งั้ ปกเปน กลุมและปก แบบเดี่ยว ซง่ึ การปกแบบกลุมน้ันไมม ีรูปแบบตายตัว
และมีรูปทรงไมแนนอน บางครั้งปกเปนรูปสเ่ี หล่ียมซอนกัน 2-3 ใบ บางครั้ง
ปกเปนรูปวงกลมหรือวงรี การปกแบบน้ีเปนการปกแสดงขอบเขตของ
ส่ิงกอ สรางหรอื พื้นท่ีประกอบพธิ ีกรรม สว นการปกแบบเดี่ยวเปนการปกเพื่อ

120

หลักหนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดอี ีสานทส่ี ูงเนนิ

บอกตำแหนงของพื้นท่ีใดพ้ืนท่ีหนึ่ง บางครั้งอาจเปนใบเสมาท่ีมีความ
ศักด์ิสทิ ธิ์ในตัวเอง ใชเปนสงิ่ เคารพบูชาคลายพระพุทธรปู หลกั บานหลกั เมือง
หรอื แผน เจว็ดในสมัยปจ จบุ ัน

ขนาดของใบเสมาสมัยทวารวดีมีขนาดใหญมาก โดยมีความสูง
ประมาณ 1-2 เมตร ตางจากใบเสมาในสมัยปจจุบันทจ่ี ะมีขนาดเล็ก ใบเสมา
หลายใบนิยมสลักรูปกลีบบัวหรือภาพเลาเรื่องพุทธประวัติและชาดก ซ่ึงบง
บอกไดวาเปนใบเสมาเน่ืองในพุทธศาสนา อยางไรก็ตาม ใบเสมาหลายแผน
ยงั นิยมสลักรปู หมอ น้ำตอ ดว ยกรวยคลายเครื่องบวงสรวงบูชา ซงึ่ อาจไมไ ดบ ง
บอกวาเปนใบเสมาในพุทธศาสนาเสมอไปกไ็ ด

ก า ร ก ร ะ จ า ย ตั ว ข อ ง ใบ เส ม า ท ว า ร ดี พ บ ม า ก ใน ภ า ค
ตะวันออกเฉียงเหนือ จนอาจกลาวไดวาใบเสมาเปนเอกลักษณสำคัญของ
วัฒนธรรมทวารวดีอีสาน สวนในภูมิภาคอ่ืนพบอยูนอยมา เชน อำเภอนคร
ไทย จังหวัดพิษณุโลก หรือเมอื งโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบรู ณ นอกจากน้ี
ยังพบกระจายอยูในเขตประเทศเพอ่ื นบานอยา งประเทศลาวและกมั พูชาดว ย

ใบเสมาท่ีกระจุกตัวอยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความ
หนาแนนแตกตางกันออกไปในแตละพื้นท่ี ซ่ึงพบหนาแนนที่สุดในเขตลุม
แมน้ำชหี รือพ้ืนท่ตี อนกลางของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ต้ังแตจงั หวัดชัยภูมิ
ขอนแกน กาฬสินธุ มหาสารคาม รอยเอ็ด ยโสธร เรื่อยไปจนถึงอำนาจเจริญ
และอุบลราชธานี โดยเฉพาะที่เมืองฟาแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ พบใบ
เสมาจำนวนมากกวา 100 ใบ หลายใบมีภาพสลักพุทธประวัติและชาดก ซ่ึง
อาจชวนใหคิดไดวา เมืองฟาแดดสงยางอาจเปนเมืองสำคัญหรือเปน
ศนู ยก ลางของวฒั นธรรมทวารวดีอสี านกเ็ ปนได

สวนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตอนลางก็มีการ
กระจุกตัวหนาแนนรองลงมา โดยเฉพาะพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

121

หลกั หนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณท์ วารวดีอีสานทสี่ งู เนิน

ตอนลาง พบการกระจายตัวนอยท่ีสุด เพราะเปนพื้นที่ทับซอนกับวัฒนธรรม
เขมรสมัยกอนเมืองพระนครและสมัยเมืองพระนครตอนตน ใบเสมาท่ีพบอยู
ในเขตพ้นื ที่น้ีมักพบในเขตจงั หวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย ซ่ึงมพี น้ื ท่ีตดิ ตอ กบั
วัฒนธรรมทวารวดีภาคกลาง เชน ใบเสมาบานหินต้ัง อำเภอสูงเนิน ใบเสมา
บานโตนด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา หรือใบเสมาบานปะเคียบ
อำเภอคูเมือง ใบเสมาบนเขาพระอังคาร อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัด
บรุ ีรมั ย
ใบเสมาที่พบทีอ่ ำเภอสูงเนิน

อำเภอสูงเนินเปนทตี่ ้ังของเมอื งโบราณเสมา เปนเมอื งทม่ี คี นู ้ำคัน
ดินลอ มรอบขนาดใหญ (ภาพท่ี 1 ) จากการดำเนนิ งานทางโบราณคดีพบวา
บริเวณแถบนมี้ กี ารอยอู าศยั มาแลว ตั้งแตสมยั กอ นประวตั ศิ าสตรเรื่อยมา
จนถงึ สมัยทวารวดีและเขมร

ภาพที่ 1 แผนทีแ่ สดงจุดทพี่ บใบเสมาบรเิ วณเมอื งโบราณเสมา
ที่มา : ดดั แปลงจากแผนท่ี Google Map
122

หลกั หนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณท์ วารวดีอีสานที่สูงเนิน

เมืองเสมาเปนชุมชนเมืองขนาดใหญที่ต้ังอยูบนเสนทางคมนาคมท่ี
เปนจดุ เชอื่ มตอระหวา งภาคกลางกบั ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีลำนำ้ ลำ
ตะคลองไหลผานเปนเสนทางคมนาคมเชื่อมตอพ้ืนที่ตอนใน ดังนั้น
จึ ง ไ ม แ ป ล ก ที่ เมื อ ง เส ม า จ ะ พ บ ห ลั ก ฐ า น ง า น ศิ ล ป ก ร ร ม ส มั ย ท ว า ร ว ดี
คอนขางมาก โดยเฉพาะสิ่งกอสรางที่สรางดวยอิฐอยางสถูปและอาคาร
หลังคาคลุม อีกท้ังยังมีพระนอนขนาดใหญ มีการพบธรรมจักรและ
พระพทุ ธรูปประทับเหนือพนัสบดี ซึ่งถือเปนเอกลักษณสำคัญของวัฒนธรรม
ทวารวดภี าคกลางดวย

ในสวนของใบเสมาก็พบกระจายตัวอยูท้ังในเมืองและนอกเมือง
เสมาดวย ใบเสมาที่พบสวนใหญเปนใบเสมาแบบแผนแบน เรียบไมสลัก
ลวดลาย และเปน ใบเสมาท่ปี กเปน กลุม อาจแบงไดเปน ๒ รูปแบบคือ

1. ใบเสมาท่ีปก 8 ทิศ ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผาซอนกัน 2-3 ใบ
ลอมรอบโบราณสถานหมายเลข 3.1 โบราณสถานหมายเลข 4 และวิหาร
พระนอน วัดธรรมจักรเสมาราม โบราณสถานทง้ั หมดลวนเปนอาคารหลงั คา
คลุมซ่งึ อาจทำหนาที่เปนอุโบสถ เพราะรปู แบบการปกใบเสมาซอนกัน 3 ชั้น
สัมพันธกับแบบแผนการผูกพัทธสีมา เชนเดียวกับท่ีพบที่บวชพระปู วัดพระ
พุทธบาทบัวบาน อำเภอบานผือ จังหวัดอุดรธานี หรือที่พบที่เมืองชัยวาน
อำเภอโคกโพธ์ชิ ยั จังหวัดขอนแกน

นาสังเกตวา วิหารพระนอนเปนอาคารหลังเดียวที่ปกใบเสมา
ลอมรอบ 3 ชั้น (ภาพที่ 2) แตขนาดของวิหารเล็กเกินไป ไมสามารถให
พระสงฆใชทำสังฆกรรมได เพราะขนาดของอุโบสถ16มีบัญญัติไวในอรรถกถา
กำหนดใหมีขนาดเพียงพอสำหรับพระสงฆอยางนอย 2116 รูป (16 ภาพที่ 3)16
อยา งไรก็ดี บางคร้ังอาจอนโุ ลมใหทำสงั ฆกรรมนอกอาคารในพ้นื ที่เขตเสมาได16

123

หลกั หนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดีอีสานท่สี งู เนนิ

ภาพที่ 2 (บน) ใบเสมาท่วี หิ ารพระนอน
ภาพที่ 3 (ลา ง) วหิ ารพระนอนทม่ี ีหอ งขนาดเล็กดา นหนา

124

หลกั หนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดีอีสานทสี่ ูงเนนิ

หรือแทจริงแลววิหารพระนอนอาจไมใชอุโบสถ ซึ่งยังไมมีเหตุผล
มารองรับวาเหตใุ ดจึงปกใบเสมาครบตามแบบแผนของการผูกพทั ธสมี า

สว นโบราณสถานหมาย 3.1 (ภาพท่ี 4) และโบราณสถานหมายเลข
4 (ภาพที่ 5) ตัง้ อยูไมหา งกันมากนกั และจดั อยใู นกลุม โบราณสถานกลางเมอื ง
ปกใบเสมาลอมรอบเพียง 2 ช้ัน ซ่ึงไมจำเปนตองปกซอนกัน 3 ชั้นก็ได หรือ
ใบเสมาช้ันนอกอาจกำหนดดวยวัตถุที่เปนธรรมชาติน16 อกเหนือจากหิน คือ
จอมปลวก ตน ไม ปาไม ภูเขา แมน้ำ น้ำขัง และหนทาง เปนนิมติ กำหนดเขต
เสมาได ซ่ึงสิ่งเหลานี้อ16 าจเปล่ียนสภาพและหายไปจนไมอาจทราบไดวามีอยู
จริงหรือไม และนาสนใจวาการมีอุโบสถ 2 หลังต้ังอยูใกลอาจเปนเพราะมี
พระสงฆจ ำนวนมากหรอื อาจเปนพระสงฆตางนกิ ายที่ตองแยกอุโบสถทำสังฆ
กรรมก็เปน ได

ภาพท่ี 4 โบราณหมายเลข 3.1

125

หลักหิน-ใบเสมา : เอกลักษณท์ วารวดีอีสานที่สงู เนิน

ภาพท่ี 5 โบราณหมายเลข 4
2. ใบเสมาท่ีปักเป็นกลุ่มรูปวงกลมหรือวงรี พบอยู่เพียงแห่ง
เดียวทบี่ ้านหนิ ตั้ง ตง้ั อยู่นอกเมอื งโบราณเสมามาทางทศิ ตะวันออกเฉยี ง
ใต้เล็กน้อย ใบเสมาที่พบมีจากการสำรวจเม่ือ พ.ศ. 2502 ระบุว่ามีใบ
เสมากลุ่มหลักปักเป็นรูปวงกลมรี และยังมีกลุ่มอื่นปักถัดไปทางเหนือ
อีก (ภาพที่ 6) จากแผนผังสังเกตได้ว่ามีใบเสมากลุ่มหลักจำนวน 9 ใบ
ปักจดุ ละ 1 ใบ มีจดุ เดียวทปี่ กั ซอ้ นกนั 2 ใบ 16(ภาพที่ 7)16 สว่ นกล่มุ ใบเสมา
ทางด้านทิศเหนือเป็นใบเสมาที่ปักเป็นคู่จำนวน 6 ใบ (16 ภาพที่ 8) ไม่มี
กำหนดทิศทางแน่นอน ปัจจุบันมีผู้คนมาตั้งบ้านเรือนทับพื้นท่ีดังกล่าว
และใบเสมาบางจดุ สญู หายหรอื ถกู เคลอ่ื นย้ายไปแลว้

126

หลกั หนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดอี ีสานทส่ี ูงเนนิ

ภาพท่ี 6 แผนผงั ตำแหนง ทต่ี ง้ั ของใบเสมาทพี่ บที่บา นหินตงั้
ทีม่ า : ศรศี ักร วลั ลโิ ภดม, “เสมาอสี าน,” ใน แองอารยธรรมอีสาน,

พิมพคร้ังที่ 4 (กรุงเทพฯ : มติชน, 2546), 358.

127

หลกั หิน-ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดอี สี านทส่ี งู เนิน

ภาพท่ี 7 (ซาย)
ใบเสมาบานหนิ ตั้ง

กลมุ หลกั

ภาพที่ 8 (ขวา)
ใบเสมาบา นหนิ ตั้ง

ดานทิศเหนือ

128

หลักหนิ -ใบเสมา : เอกลกั ษณ์ทวารวดีอสี านท่สี งู เนนิ

ใบเสมากลุมนี้ อาจปก ข้ึนเพอื่ แสดงขอบเขตของอุโบสถกไ็ ด เพราะ
ในคัมภีรไมไดกำหนดรปู ทรงของเขตเสมาวาตองเปนแบบใด แตตอ งเปนแนว
ลอมชัดเจน ลักษณะนี้พบอยูหลายแหง เชน กลุมใบเสมาท่ีโนนกู บานคอน
สวรรค จังหวัดชัยภูมิ หรือกลุมใบเสมาท่ีวัดสระพัง อำเภอชุมแพ จังหวัด
ขอนแกน เปนตน

นอกจากนี้ จากการสัมภาษณเจาของบานท่ีสรา งทับจุดที่มีใบเสมา
ไดค วามวาตอนสรา งบา นเคยขุดพบชน้ิ สวนโครงกระดกู มนุษย เศษภาชนะดิน
เผา และเครอ่ื งประดับของคนสมัยกอ นประวัติศาสตร ซึ่งอาจเปนไปไดวาใบ
เสมากลมุ นอ้ี าจสมั พันธก บั พ้ืนท่ฝี งศพตามความเชอ่ื ดั้งเดิม อยา งไรก็ดี ยงั ไมมี
หลกั ฐานแนช ดั วามีความสัมพันธกนั จริงหรือไม และไมท ราบแนช ดั วา ใบเสมา
กลุมน้ีทำหนาที่กำหนดเขตอุโบสถหรือปกลอมพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ิตามความเช่ือ
ทองถน่ิ

นอกเหนือจากใบเสมาที่กลาวมาแลวยังพบใบเสมาอีก 2 จุดท่ีปด
อยูโดด ๆ ไมไดปกเปนกลุม ซึ่งอาจอยูในตำแหนงเดิมหรือเคยถูกเคล่ือนยาย
ในสมัยใดสมัยหนึ่ง กลุมแรก คือ กลุมใบเสมาทางดานทิศตะวันตกของ
โบราณสถานหมายเลข 1 พบใบเสมาจำนวน 5 ใบ ปกซอนช้ัน 2 ใบจุดหน่ึง
และปกซอน 3 ใบจุดหนึ่ง (ภาพที่ 9) สวนอีกกลุมหนึ่งปกอยูหนา
โบราณสถานหมายเลข 5 มีสภาพแตกหัก คลายปก ซอ นกัน 3 ช้นั และยงั พบ
แผน หนิ จำนวนหน่ึงทางดา นทิศใตของโบราณสถาน (ภาพที่ 10) อาจเคยเปน
ใบเสมาท่ปี กลอ มรอบโบราณสถานมากอนก็เปนได

129

หลกั หิน-ใบเสมา : เอกลักษณ์ทวารวดอี สี านทส่ี งู เนนิ

ภาพท่ี 9 ใบเสมาทางดานทศิ ตะวนั ตกของโบราณหมายเลข 1

ภาพที่ 10 ใบเสมาดานหนา โบราณหมายเลข 5

130

หลักหิน-ใบเสมา : เอกลกั ษณท์ วารวดอี สี านท่ีสงู เนนิ

16บทสงทา ย
16 เมืองเสมา เปนเมืองขนาดใหญท่ีต้ังอยูระหวางพื้นที่ภาคกลางและ
ภาคอีสาน จึงเปนเมืองที่พบหลักฐานท่ีปะปนกันของวัฒนธรรมทวารวดีภาค
กลางอยางการนบั ถือบูชาธรรมจักรและวัฒนธรรมทวารวดีอีสานที่นิยมสราง
หลกั หินหรอื ใบเสมา
16 ปฏิเสธไมไดวา วัฒนธรรมทวารวดีอีสานสัมพันธโดยตรงกับ
ทวารวดีภาคกลาง เม่ือพุทธศาสนาไดเขามาสภู าคอีสาน หลักหินก็กลายเปน
ทำหนาท่ีลอมรอบศาสนาสถานสำคัญ โดยเฉพาะการกำหนดเขตอุโบสถ
หลกั ฐานเก่ยี วกบั ใบเสมาที่พบท่ีเมอื งเสมาน้ีพบท้ังในเมืองและนอกเมอื ง เปน
ใบเสมาแผนเรียบสลักลวดลาย อันเปนรูปแบบที่พบทั่วไป แตมีความสำคัญ
มากเพราะเปน ใบเสมาทป่ี กรอบอาคารหลังคาคลมุ อยา งแทจรงิ ตา งจากทอ่ี ่ืน
ๆ ที่ไมมีอาคารภายในเขตเสมาหรือเปนอาคารเครื่องไมท่ีพักทลายไป
หมดแลว

131

หลกั หนิ -ใบเสมา : เอกลักษณท์ วารวดีอสี านท่สี งู เนนิ

16บรรณานุกรม

16เขมิกา หวังสุข. “พัฒ นาการทางวัฒ นธรรมในลุมแมน้ำมูล กรณี ศึกษาแหลง
โบราณคดีเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา.” วิทยานิพนธ
ปริญญามหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543.

ชิน อยดู ี และ แทน ธรี พิจติ ร. “ขวานหนิ ทำเลยี นแบบขวานสมั ฤทธ์แิ ละหินตัง้ ในประเทศ
ไทย.” ศลิ ปากร 3, 4 (พฤศจกิ ายน 2502) : หนา 33-38.

รุงโรจน ธรรมรุงเรอื ง, หลักหิน-ใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทย, กรงุ เทพฯ : มติ ร41, 2561.

หางหนุ สวนจำกดั ปรุ าณรกั ษ. รายงานการขดุ แตง เพ่ือการบูรณะโบราณสถานเมอื เสมา
ตำบลเสมา อำเภอสงู เนนิ จงั หวัดนครราชสีมา. นครราชสมี า : สำนกั งาน
โบราณคดแี ละพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหงชาตทิ ่ี 9 จังหวดั นครราชสมี า. (เอกสารอัด
สำเนา)

ศรศี กั ร วลั ลิโภดม. “เสมาหินอสี าน : การสำรวจและศกึ ษาการสืบเน่อื งของประเพณีปก
หินตง้ั ในสงั คมภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ.” ใน แองอารยธรรมอสี าน. พิมพ
ครัง้ ที่ 4. กรงุ เทพฯ : มตชิ น, 2546.

ศรีศกั ร วลั ลโิ ภดม. “เสมาอสี าน.” ใน แอง อารยธรรมอีสาน. พมิ พค รง้ั ที่ 4. กรงุ เทพฯ :
มติชน, 2546.

16สรุ พล ดาํ รหิ ก ลุ . “บา นตาดทอง แหลงโบราณคดีสำคญั ของอสี านตอนใต. ” ใน แผนดนิ
อีสาน. กรุงเทพฯ :เมืองโบราณ, 2549

.

132

พระพุทธรูปไสยาสนท์ วารวดี วดั ธรรมจกั รเสมาราม

พระพุทธรูปไสยาสน์ทวารวดี วัดธรรมจกั รเสมาราม

ประภสั สร์ ชวู เิ ชยี ร1
พระนอนใหญเ่ มืองเสมา

พระพุทธรูปไสยาสน์ขนาดใหญ่ ต้ังอยู่ที่วัดธรรมจักรเสมาราม
ทางทิศใต้นอกเมืองโบราณเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เป็นชุมชน
โบราณสมัยทวารวดี (ราว พ.ศ.1100-1400) ท่ีมีขนาดใหญ่ พบหลักฐาน
ทางโบราณคดีและศิลปกรรมหนาแน่น รวมทั้งพบจารึกหลายหลักที่ทำ
ใหเ้ ชื่อกันว่าแต่เดิมนคี้ ือศูนย์กลางของเมอื งท่ีช่ือวา่ “ศรจี นาศะ” ในอดีต
ซึง่ มีความสมั พันธไ์ ปถงึ เมืองพระนครของกัมพชู าดว้ ย

การประดษิ ฐานอยูใ่ นอิริยาบถประทับสหี ไสยาสน์ (นอนตะแคง
ขวา) หันพระเศียรไปทางทิศใต้ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ยัง
ปรากฏซากฐานและผนังอาคารก่ออิฐท่ีประดิษฐานอยู่เล็กน้อย องค์
พระสร้างด้วยหินทรายก้อนใหญ่ที่นำมาเรียงต่อกันเป็นชิ้นๆ ซึ่งอาจ
เกี่ยวข้องกับเทคนิคการก่อสร้างในศิลปะเขมร เช่นเดียวกับการพบ
ลูกกรงหินทราย (ลูกมะหวด) ท่ีเคยประกอบอยู่กับช่องหน้าต่างของ
วหิ ารดว้ ย

1 รองศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศลิ ปะ
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศิลปากร, ทป่ี รึกษาโครงการทางรถไฟสาย
โบราณคดี

133

พระพทุ ธรปู ไสยาสนท์ วารวดี วดั ธรรมจกั รเสมาราม

รูปแบบศิลปกรรม อายสุ มยั
พระพักตร์ของพระพุทธรูปอยู่ในโครงค่อนข้างเหล่ียม ขมวด

พระเกศาใหญ่ พระขนงต่อกนั เปน็ สันรูปปีกกา พระเนตรโปน พระนาสิก
ใหญ่ พระโอษฐ์หนาใหญ่ แบะออกเลก็ น้อย เป็นรูปแบบของพระพุทธรูป
ศิลปะทวารวดีซึ่งเร่ิมคลี่คลายเป็นแบบพื้นเมืองในราวพุทธศตวรรษท่ี
13-14 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมพันธ์กับที่ต้ังที่อยู่ในภาคอีสานซ่ึงอิทธิพล
วฒั นธรรมและงานช่างทวารวดีไดเ้ ข้ามาจากท่ีราบลุ่มน้ำเจา้ พระยาภาค
กลางในภายหลังแล้วกลายรปู เป็นลกั ษณะท้องถ่ินภาคอสี าน

การประทับสีหไสยาสน์มีลักษณะพิเศษคือพระเศียรหนุนด้วย
พระกรขวาท่ีวางราบกับพื้น เช่นเดียวกับพระพุทธรูปไสยาสน์ของทวาร
วดีท่ีพบเช่น พระพุทธรูปในถ้ำฝาโถ เขางู จ.ราชบุรี หรือพระพุทธรูป
สลักบนเพิงผาถ้ำภูปอ จ.กาฬสินธุ์ ต่างไปจากพระพุทธรูปไสยาสน์
ในชว่ งหลังที่มกั ยกพระกรขวาขึ้นหรือหนนุ บนพระเขนยยกสงู

พระพักตรข์ องพระพทุ ธสยาสน์ มีรูปแบบศลิ ปะทวารวดี

134

พระพทุ ธรปู ไสยาสน์ทวารวดี วัดธรรมจักรเสมาราม

พระพทุ ธไสยาสน์สมัยทวารวดี
วัดธรรมจกั รเสมาราม อ.สงู เนิน จ.นครราชสมี า

135

พระพทุ ธรปู ไสยาสนท์ วารวดี วดั ธรรมจักรเสมาราม

คติและความหมาย ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับดินแดน
ภายนอก

การประทับสีหไสยาสน์หันพระเศียรไปยังทิศใต้ ตรงกับทิศ
มงคลของชาวพุทธในสมัยโบราณท่ีนิยมนอนหันหัวไปทางทิศใต้ และ
ผินพระพักร์ไปทางทิศตะวันออกซ่ึงเป็นทิศแห่งการเกิด ซ่ึงสัมพันธ์กับ
การประดิษฐานภายในอาคารแคบ ๆ พอดีกับองค์พระอันให้ความ
หมายถึงการจำลองพระคันธกุฎีทป่ี ระทับส่วนพระองค์ของพระพุทธเจ้า
แสดงว่าภาพรวมท้ังหมดน้ันสะทอ้ นการนมัสการพระพุทธองค์ขณะทรง
มีพระชนม์ชีพอยู่ภายในพระคันธกุฎีน่ันเอง ต่างไปจากพระพุทธรูป
ไสยาสน์สมัยทวารวดีแห่งอื่น ๆ เช่น ถ้ำเขางู หรือภูปอ ท่ีบริบทบ่งช้ีว่า
อาจหมายถึงพุทธประวัติตอนเสด็จปรินิพพานการก่อวิหารในฐานะ
คันธกุฎีจำลองที่มีสัดส่วนล้อไปกับอิริยาบถของพระพุทธรูปน้ันชวนให้
นกึ ถึง “ปฏิมาฆระ” (Patimaghara) หรืออาคารประดิษฐานพระพุทธรูป
ในวฒั นธรรมศรลี ังกาโบราณ ปัจจุบนั อาคารวิหารพังทลายลงหมดแล้ว
เหลือแต่ส่วนฐาน เห็นได้ว่ามีการกำหนดทางเข้าทางทิศเหนือหรือทาง
พระบาทของพระพุทธรูป โดยทางเข้าหลักนั้นก่อเป็นกรอบประตูหิน
ทราย ซึ่งเมื่อประกอบกับการพบซี่ลูกกรงหรือลูกมะหวดหินทรายแล้ว
ทำให้เห็นได้ว่าพระพุทธไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมารามน้ีมีอิทธิพลงาน
ก่อสรา้ งแบบเขมรเข้ามาปะปนอยูด่ ้วย

136


Click to View FlipBook Version