การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ศศิประภา สุริยันต์ วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ศศิประภา สุริยันต์ รหัสนักศึกษา ๖๒๑๐๐๑๐๑๑๑๖ วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยกระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ผู้วิจัย นางสาวศศิประภา สุริยันต์ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์จรรยวรรณ เทพศรีเมือง ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา ๒๕๖6 บทคัดย่อ ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปีจังหวัดอุดรธานี จำนวน 19 คน และใช้การจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชา ภาษาไทย เรื่อง นิราศเดือน จำนวน 5 แผนการเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่ อิสระ (t-test Dependent) ผลการวิจัยพบว่า ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT เรื่อง นิราศเดือน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 6.68 คิดเป็นร้อยละ 30.52 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 17.32 คิดเป็นร้อยละ ๘6.57 ซึ่งไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ ๒. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความกรุณาแนะนำช่วยเหลือ อ่าน และ ตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ แนะนำให้คำปรึกษาผู้วิจัยตลอดการทำงาน ตลอดจนให้ข้อคิดที่เป็น ประโยชน์และดูแลให้กำลังใจ แก่ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเสมอมาตั้งแต่ต้นจนเสร็จสมบูรณ์ จากผู้ช่วยศาสตราจารย์จรรยวรรณ เทพศรีเมือง อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทยคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และนางสาวสุภาวดี งอสอน คุณครูพี่เลี้ยง โรงเรียนบ้าน ทองอินทร์สวนมอญ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ และคณะครูทุกท่านที่อำนวยความ สะดวก และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา ๒๕๖6 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ ที่ให้ความร่วมมือมือในการทำวิจัยครั้งนี้ ท้ายนี้ผู้วิจัยขอขอบคุณความตั้งใจของผู้วิจัย ที่อดทนต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ หัวใจที่แน่วแน่ ในการทำวิจัย ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรค สิ่งต่าง ๆ ในการทำงาน ขอขอบคุณกำลังใจ ความรัก ความปรารถนาดี ความห่วงใย ความอดทนของผู้วิจัยที่มีให้กันและกันอย่างเปี่ยมล้นอยู่ตลอดเวลา ขอขอบพระคุณทุกท่านที่กล่าวมา ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยให้ผู้วิจัยศึกษางานวิจัยจนสำเร็จสมบูรณ์ ศศิประภา สุริยันต์
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ..................................................................................................................... ........ ก กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................... ข สารบัญ....................................................................................................................... ........ ค สารบัญตาราง..................................................................................................................... ง สารบัญรูปภาพ................................................................................................................... จ บทที่ 1 บทนำ.................................................................................................................... 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา................................................................ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย....................................................................................... 4 1.3 สมมติฐานของการวิจัย........................................................................................... 4 1.4 ขอบเขตการวิจัย.................................................................................................... 4 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................................... 5 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย................................................................. 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................. 6 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551................................ 6 2.1.1 หลักการของหลักสูตร........................................................................... 6 2.1.2 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร...................................................................... 7 2.1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้.............................................................. 7 2.1.4 คุณภาพของผู้เรียน............................................................................... 7 2.1.5 มาตรฐานตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 4............................................... 10 2.2 วรรณคดี................................................................................................................ 15 2.2.1 ความหมายของวรรณคดี..................................................................... 16 2.2.2 ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี.................................................... 16 2.2.3 นิราศเดือน........................................................................................... 19 2.3 กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT.............................................. 23 2.3.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT............................... 23 2.3.2 ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT........................................... 24 2.3.3 ข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบการเรียนแบบทีมแข่งขัน (TGT)............. 26
ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน......................................................................................... 27 2.4.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..................................................... 27 2.4.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน............................ 27 2.4.3 การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา............... 28 2.4.4 เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย..................................... 31 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................................ 33 2.5.1 งานวิจัยที่เกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการสอนภาษาไทย...................................................................................... 33 2.5.2 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาการสอนวรรณคดีไทยร่วมกับ กระบวนการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ..................................................... 35 2.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย........................................................................................ 37 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย................................................................................................... 39 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.................................................................................... 39 3.2 แบบแผนการวิจัย................................................................................................... 39 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย........................................................................................ 40 3.4 การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ.......................................................... 40 3.5 การรวบรวมข้อมูล.................................................................................................. 43 3.6 การสังเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................. 43 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................ 44 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช่ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................. 44 4.2 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................................... 44 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................ 45 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................... 47 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย....................................................................................... 47 5.2 สมมติฐานของการวิจัย.......................................................................................... 47 5.3 วิธีดำเนินการวิจัย................................................................................................... 47 5.4 การวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................ 48 5.5 สรุปผลการวิจัย...................................................................................................... 48 5.6 การอภิปรายผล...................................................................................................... 49 5.7 ข้อเสนอแนะ.......................................................................................................... 53
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บรรณานุกรม....................................................................................................................... 54 ภาคผนวก........................................................................................................................... 58 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ 59 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย 61 ภาคผนวก ค แบบตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ 135 ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ 156 ภาคผนวก จ ค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ 168 ภาคผนวก ฉ ผลการวิเคราะห์คะแนนผลสัมฤทธิ์ 170 ภาคผนวก ช ภาพประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 172 ภาคผนวก ซ ประวัติผู้วิจัย 174
ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ 1 แผนผังกลอนนิราศ...................................................................................................................๒๑ ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย..........................................................................................................๓๘ ภาพที่ 3 นักเรียนร่วมกันทำแบบทดสอบก่อนเรียน.............................................................................๑๗๓ ภาพที่ 4 นักเรียนร่วมกันทำแบบทดสอบหลังเรียน..............................................................................๑๗๓
ช สารบัญตาราง ตาราง 1 สาระที่ 1 การอ่าน...................................................................................................................๑๑ ตาราง 2 สาระที่ 2 การเขียน .................................................................................................................๑๒ ตาราง 3 สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด.......................................................................................๑๓ ตาราง 4 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย...............................................................................................๑๔ ตาราง 5 สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม.........................................................................................๑๕ ตาราง 6 รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน............................๓๙ ตาราง 7 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง นิราศเดือนโดย กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔............๔๕ ตาราง 8 การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ............๔๖ ตาราง 9 ผลการวิเคราะห์การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ ....๑๕๗ ตาราง 10 ผลการวิเคราะห์การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแผนการจัดการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิราศเดือน แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของ ผู้เชี่ยวชาญ...........................................................................................................................................๑๕๘ ตาราง 11 ผลการวิเคราะห์การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแผนการจัดการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือนห้า แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ.....................๑๖๐ ตาราง 12 ผลการวิเคราะห์การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแผนการจัดการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือนหก แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ ....................๑๖๒ ตาราง 13 ผลการวิเคราะห์การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแผนการจัดการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือนสิบสอง แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ..............๑๖๔ ตาราง 14 ผลการวิเคราะห์การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแผนการจัดการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ....๑๖๖ ตาราง 15 ผลการวิเคราะห์ค่าความยาก (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) และและค่าความเชื่อมั่น (K-R ๒๐) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง นิราศเดือน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ...............๑๖๙ ตาราง 16 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง นิราศเดือน โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔...๑๗๑
๑ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วรรณคดี มาจากคำว่า วรรณ ที่แปลว่า หนังสือ และคดี หมายถึง เรื่องราว วรรณคดีจึงหมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ คำว่าวรรณคดีนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นครั้งแรกในพระราชกฤษฎีกา วรรณคดีสโมสร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2457 แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Literature โดยกำหนดไว้ว่า หนังสือที่จะเป็นหนังสือวรรณคดีได้นั้น ต้องมีลักษณะการแต่ง 5 ลักษณะ คือ กวีนิพนธ์ บทละครไทย นิทาน ละครปัจจุบัน และการเขียนอธิบาย ในรูปของบทความหรือหนังสือขนาดเล็ก มีเนื้อเรื่องเหมาะสม ไม่ชักจูงไปในทิศทางที่เสื่อมเสียหรือชวนให้ คิดวุ่นวายทางการเมือง ใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง และเรียบเรียงได้อย่างมีศิลปะ เพื่อเป็นการส่งเสริมการแต่ง หนังสือให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย (กุหลาบ มัลลิกะมาส, 2555 : 1) วรรณคดีเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษสามารถสะท้อนภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัย นั้น ๆ ในเนื้อเรื่องกวีมักสอดแทรกแนวคิด คติสอนใจ และปรัชญาชีวิตไว้ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้ ความประทับใจ มีความรู้สึกร่วมไปกับกวี ดังนั้นวรรณคดีจึงมีคุณค่าทั้งในด้านประวัติศาสตร์สังคม อารมณ์ และคติสอนใจ รวมทั้งมีคุณค่าในด้านวรรณศิลป์อีกด้วย วรรณคดีเป็นเครื่องเชิดชูอารยธรรม ของชาติและ ยังมีคุณค่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีทำให้คนในชาติสามารถรับรู้เรื่องราวในอดีตการอ่านวรรณคดีจึง เป็นการส่งเสริมให้ผู้อ่านมีอารมณ์สุนทรีย์และเข้าใจความจริงของโลกมากยิ่งขึ้น วรรณคดีเป็นดังกระจก เงาสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรม ผู้อ่านจึงควรอ่านวรรณคดีและ วรรณกรรมเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องราว ความเป็นมา ความคิด และค่านิยมของสังคมแต่ละสมัย มีความสำคัญทั้งในด้านเนื้อหาที่ให้ข้อคิดคติ เตือนใจและด้านสังคมที่ให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งเป็นบันทึกทาง ประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งด้วย ในการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2554 ได้มุ่งเน้นความสำคัญ ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อ พัฒนาคนให้มีความสมดุล ดังนั้นสถานศึกษาจึงต้องกำหนดแนวทาง การจัดกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมโดยเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาความสามารถ ด้านการคิดของผู้เรียน ในทุกสาขาวิชาต่าง ๆ รวมไปถึงวิชาภาษาไทย (กรมวิชาการ, 2546: 84) แต่แม้ว่าวรรณคดีจะมีความสำคัญเพียงใดผู้เรียนในปัจจุบันก็ยังไม่เห็นคุณค่าของวรรณคดี ดังข้อสังเกตของกุสุมา รักษมณี (2547: 235) สรุปได้ว่า ผู้เรียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นคุณค่าของ วรรณคดีเพียงพอ ผู้เรียนจะเรียนวรรณคดีเพราะเป็นวิชาบังคับซึ่งสอดคล้องกับเจตนา นาควัชระ (2524: 160) ได้กล่าวถึงปัญหาของการเรียนการสอนวรรณคดีว่ามีผู้เรียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เลือก เรียนวรรณคดีเพราะใจรัก แต่เพราะเรียนวิชาอื่นไม่ได้ผู้สอนจึงต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษเพื่อ ส่งเสริม
๒ การเรียนการสอนวรรณคดีนอกจากนี้จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นในการเรียน วรรณคดี ด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การสอนวรรณกรรมวรรณคดีไทยจึงยังไม่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ควร เกิดจาก นักเรียนขาดความใส่ใจในการอ่าน นักเรียนไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้เพราะไม่รู้คำศัพท์ซึ่งสอดคล้องกับ การจัดการเรียนการสอนวรรณคดีในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ ผู้วิจัย พบว่านักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายเมื่อต้องเรียนวรรณคดีไทย เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก อ่านยาก ไม่รู้ว่าอ่านแล้วหรือเรียนแล้วจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร ประกอบกับวิธีการจัดการเรียนการสอนของครู ที่เน้นให้นักเรียนได้อ่านถอดคำประพันธ์แล้วทำแบบทดสอบ ตลอดจน ไม่มีสื่อประกอบการสอนเพื่อสร้าง ความเข้าใจและกระตุ้นความสนใจของนักเรียน จึงส่งผลให้การเรียนในครั้งนั้น ๆ มีความน่าเบื่อและ ไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นวิธีการเรียนที่มีการจัดกลุ่มการทำงานเพื่อส่งเสริม การเรียนรู้และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียน การเรียนรู้แบบร่วมมือไม่ใช่วิธีการจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม รวมกันแบบธรรมดา แต่เป็นการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน กล่าวคือ สมาชิกแต่ละคนในทีม จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้และสมาชิกทุกคนได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะ ช่วยเหลือ และเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม ซึ่งทักษะดังกล่าวถือเป็นพื้นฐานในการสร้าง นักเรียนให้มีทักษะ ในด้านการมีส่วนร่วม (Participation skill) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้มีการค้นคว้ากระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหาความน่าเบื่อและ พบว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยส่งเสริมหรือทำให้ ผู้เรียนมีความสุข สนุกสนานไปกับการเรียน การสอนวรรณคดีมากยิ่งขึ้น การเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคจะมีวิธีการแตกต่างกันออกไป เทคนิค TGT เป็นเทคนิคหนึ่งของการเรียนรู้แบบร่วมมือ TGT ย่อมาจาก Team Games Tournament สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2545 : 165-166) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT ดังนี้คือ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วยการจัดเตรียมเนื้อหาสาระ โดยผู้สอนจัดเตรียม เนื้อหาสาระหรือเรื่องที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ต่อมาคือการจัดเตรียมเกม ผู้สอน จะต้องจัดเตรียมคำถาม ง่าย ๆ ซึ่งเป็นคำถามจากเนื้อหาสาระที่ผู้เรียนเรียนรู้วิธีการให้คะแนนโบนัสใน การเล่นเกม รวมทั้งสื่อ อุปกรณ์การเรียนรู้ เช่น ใบงาน ใบความรู้ชุดคำถามกระดาษคำตอบ กระดาษ บันทึกคะแนน เป็นต้น ขั้นถัดมาคือการจัดทีม ผู้สอนจัดทีมผู้เรียนโดยให้คละกันทั้งเพศและความสามารถทีมละประมาณ 4-5 คนเช่น ทีมที่มีสมาชิก 4 คนอาจประมาณ 4 คน อาจประกอบด้วย ชาย 2 คนหญิง 2 คน เป็นคนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คนและอ่อน 1 คน เป็นต้น เพื่อเรียนรู้โดยปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือ ใบงานที่กำหนดไว้ ถัดมาเป็นขั้นการเรียนรู้ โดยประกอบด้วย ผู้สอนแนะนำวิธีการเรียนรู้ สมาชิกในแต่ละ ทีมร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือใบงาน จากนั้นกลุ่มหรือทีม เตรียมความพร้อมให้แก่สมาชิกใน กลุ่มทุกคนเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและ สมาชิกของ ทีมช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในประเด็นที่ บางคนยังไม่เข้าใจ จากนั้นจึงเป็นขั้นการแข่งขัน ผู้สอนจัด การแข่งขันโดยประกอบด้วย ผู้สอนแนะนำ การแข่งขันให้ผู้เรียนทราบ จัดผู้เรียนหรือสมาชิกตัวแทน ของแต่ละทีมเข้าประจำโต๊ะการแข่งขัน แนะนำเกี่ยวกับเกม โดยอธิบายจุดประสงค์และกติกาของ การเล่นเกม จากนั้นสมาชิกหรือผู้เรียนทุกคน
๓ เริ่มเล่นเกมพร้อมกันด้วยชุดคำถามที่เหมือนกัน เมื่อการแข่งขันจบลงให้แต่ละโต๊ะตรวจคะแนนจัดลำดับ ผลการแข่งขันและให้หาค่าคะแนนโบนัส ซึ่งแต่ละ ทีมนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนน รวมของทีมอาจจะหาค่าเฉลี่ยหรือไม่ก็ได้ทีมที่ ได้คะแนนรวมสูงสุดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศดามลำดับ และขั้นสุดท้าย ขั้นยอมรับความสำเร็จของทีม ผู้สอนประกาศผลการแข่งขัน และเผยแพร่สู่สาธารณชนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ดลงข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จดหมาย ข่าว ประกาศหน้าเสาธง เป็นต้น รวมทั้งมอบรางวัล ยกย่อง ชมเชย นอกจากนี้ การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT (Teams Games Tournament) เป็นการเรียนรู้ แบบร่วมมือรูปแบบหนึ่ง ซึ่งคละความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน กลุ่มละประมาณ 4-6 คน ภาระงานของกลุ่มคือหลังจากที่ครูนำเสนอบทเรียนทั้งชั้นแล้วให้นักเรียน แต่ละกลุ่มทำงานตามที่ครูกำหนดและแต่ละกลุ่มเตรียมสมาชิกแต่ละคนให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ตอบคำถาม ซึ่งเป็นคำถามสั้น ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาที่ครูแจกให้ในการแข่งขัน ครูจะจัดให้นักเรียนที่มี ผลการเรียนในระดับเดียวกันแข่งขันกัน คะแนนที่สมาชิกตอบคำถามได้จะนำมารวมกันเป็นคะแนนของ กลุ่มเมื่อจบการแข่งขันในแต่ละครั้งครูจะประกาศผู้ได้คะแนนสูงสุดและกลุ่มที่ทำคะแนนได้สูงสุด (วัชรา เล่าเรียนดี , 2547 : 8-12) การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT จะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น ดังที่ ประสิทธิ์จันทรโคตร (2558) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านคำยาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลอง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านคำยาก โดย ใช้กลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 จากงานวิจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคร่วมมือแบบ TGT ช่วยให้ การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิและช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน ดังนั้นผู้วิจัยจึงเล็งเห็นว่าการสอนด้วยเทคนิคร่วมมือแบบ TGT จะสามารถนำมาใช้ใน การจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทยได้เช่นเดียวกับเนื้อหาหลักภาษา ผู้วิจัยจึงจัดทำวิจัยนี้ขึ้นเพื่อให้ การจัดการเรียนการสอนนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เพื่อช่วยให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายและเพิ่มคุณภาพของ นักเรียนให้มีด้านความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีที่สูงขึ้น และเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพต่อไป
๔ 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ให้มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 70/70 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ระหว่าง ก่อนเรียน และหลังเรียน 1.3 สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 และผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตการวิจัย 1.4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์ สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จำนวนทั้งหมด 19 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีจำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 19 คน 1.4.2 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาของการวิจัยครั้งนี้ คือ วรรณคดีลำนำจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทยชุด ภาษา เพื่อชีวิต ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 เรื่อง คือ นิราศเดือน โดยอิงตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ วรรณคดีและวรรณกรรม ไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง นำมาจัดเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 5.1 เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิราศเดือน จำนวน 1 ชั่วโมง 5.2 เรื่อง นิราศเดือนห้า จำนวน 1 ชั่วโมง 5.3 เรื่อง นิราศเดือนหก จำนวน 1 ชั่วโมง 5.4 เรื่อง นิราศเดือนสิบสอง จำนวน 1 ชั่วโมง 5.5 เรื่อง วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี จำนวน 1 ชั่วโมง
๕ 1.4.3 ตัวแปรในการวิจัย ในการการวิจัยครั้งนี้มีตัวตัวแปร ดังนี้ 1) ตัวแปรต้น ได้แก่ การสอนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศดือน โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT 2) ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน 1.4.4 ระยะเวลาในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการในภาตเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งจัดกิจกรรม ทั้งหมด 5 แผนการเรียนรู้ แผนละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ที่เรียนเรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT 1.5.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง นิราศเดือน หมายถึง ความรู้ของผู้เรียนที่ เกิดขึ้นจากการเรียนด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ซึ่งเป็นคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.5.3 การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Teams Games Tournament) หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มๆละ 4-6 คน คละความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เก่ง ปานกลาง และอ่อน ภาระงานของกลุ่มคือ หลังจากที่ครูนำเสนอบทเรียนทั้งชั้นแล้วให้แต่ละกลุ่ม ทำงานตามที่ครูกำหนดและเตรียมสมาชิกทุกคนให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ในการแข่งขันครูจะจัดให้ นักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับเดียวกันแข่งขันกัน คะแนนที่สมาชิกทำได้จะนำมารวมกันเป็นคะแนน ของกลุ่ม กลุ่มที่ได้รางวัลคือกลุ่มที่ทำคะแนนได้สูงสุด 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1.6.1 ทำให้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.6.2 นักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
๖ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 วรรณคดี 2.3 กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Team games tournament : TGT) 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ผู้วิจัยได้ค้นคว้าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 2.1.1 หลักการของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 6) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการ ที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมาย และมาตรฐานการ เรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของ ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์
๗ 2.1.2 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 6-7) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพจึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต 3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5) มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสุข 2.1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความและเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.1.4 คุณภาพของผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ เรื่องสั้น ๆ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ ถูกต้องคล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความที่อ่าน ตั้งคำถามเชิงเหตุผล ลำดับเหตุการณ์
๘ คาดคะเนเหตุการณ์ สรุปความรู้ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเรื่องที่อ่านได้เข้าใจ ความหมายของข้อมูลจากแผนภาพ แผนที่ และแผนภูมิ อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และมีมารยาท ในการอ่าน มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนบรรยาย บันทึกประจำวัน เขียนจดหมายลาครู เขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ เขียนเรื่องตามจินตนาการ และมีมารยาท ในการเขียน เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคัญ ตั้งคำถาม ตอบคำถาม รวมทั้งพูดแสดง ความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู พูดสื่อสารเล่าประสบการณ์และพูดแนะนำ หรือพูดเชิญชวน ให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม และมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์หน้าที่ของ คำในประโยค มีทักษะการใช้พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคง่าย ๆ แต่งคำคล้องจอง แต่งคำขวัญ และเลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เข้าใจและสามารถสรุปข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเห็นจากวรรณคดีที่อ่าน รู้จักเพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็กซึ่งเป็น วัฒนธรรมของท้องถิ่น ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่าตามความสนใจได้ จบชั้นประถมศึกษาปีที่6 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้องอธิบาย ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหาร จากเรื่องที่อ่าน เข้าใจ คำแนะนำ คำอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็น และข้อเท็จจริง รวมทั้งจับใจความสำคัญของเรื่อง ที่อ่าน และนำความรู้ความคิดจากเรื่องที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตได้มีมารยาท และมีนิสัยรักการอ่าน และเห็นคุณค่าสิ่งที่อ่าน มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด และครึ่งบรรทัดเขียนสะกดคำ แต่งประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสมใช้แผนภาพโครงเรื่อง และแผนภาพความคิด เพื่อพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอกแบบรายการ ต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึก และความคิดเห็น เขียนเรื่องตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขียน พูดแสดงความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู เล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเรื่องที่ฟัง และดู ตั้งคำถาม ตอบคำถามจากเรื่องที่ฟัง และดู รวมทั้งประเมินความน่าเชื่อถือจากการฟังและดูโฆษณา อย่างมีเหตุผล พูดตามลำดับขั้นตอนเรื่องต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้าจากการฟัง การดู การสนทนา และพูดโน้มน้าวได้อย่างมีเหตุผล รวมทั้งมีมารยาทในการดูและพูด
๙ สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจ ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค ชนิดของประโยค และคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้คำ ราชาศัพท์ และคำสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอนสุภาพ และกาพย์ยานี 11 เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เล่านิทานพื้นบ้านร้องเพลง พื้นบ้านของท้องถิ่น นำข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และท่องจำบทอาขยานตามที่ กำหนดได้ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้องเข้าใจ ความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญ และรายละเอียดของสิ่งที่อ่านแสดงความ คิดเห็น และข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและ ความเป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับ ภาษาเขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ และประสบการณ์ต่าง ๆเขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และ แสดงความรู้ความคิดหรือโต้แย้งอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟัง และดูนำข้อคิด ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ รวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยครวม ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรองประเภท กลอนสุภาพ กาพย์ และโคลงสี่สุภาพ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่าที่ได้รับจากวรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ข้อคิดเพื่อนำไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง และเข้าใจ ตีความ แปลความ และขยายความเรื่องที่อ่านได้ วิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่อ่าน แสดงความ คิดเห็น โต้แย้งและเสนอความคิดใหม่จากการอ่านอย่างมีเหตุผล คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน เขียนกรอบ แนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความ และเขียนรายงานจากสิ่งที่อ่าน สังเคราะห์ ประเมินค่า
๑๐ และนำความรู้ความคิดจากการอ่านมาพัฒนาตน พัฒนาการเรียน และพัฒนาความรู้ทางอาชีพ และนำความรู้ความคิดไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต มีมารยาทและมีนิสัยรักการอ่าน เขียนสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ย่อความ จากสื่อที่มีรูปแบบและเนื้อหาที่หลากหลาย เรียงความแสดงแนวคิดเชิงสร้างสรรค์โดยใช้โวหารต่าง ๆ เขียนบันทึก รายงานการศึกษาค้นคว้าตามหลักการเขียนทางวิชาการ ใช้ข้อมูลสารสนเทศ ในการอ้างอิง ผลิตผลงานของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งสารคดีและบันเทิงคดี รวมทั้งประเมินงานเขียน ของผู้อื่นและนำมาพัฒนางานเขียนของตนเอง ตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู มีวิจารณญาณในการเลือก เรื่องที่ฟังและดู วิเคราะห์วัตถุประสงค์ แนวคิด การใช้ภาษา ความน่าเชื่อถือของเรื่องที่ฟังและดู ประเมินสิ่งที่ฟังและดูแล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต มีทักษะการพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งที่เป็น ทางการและไม่เป็นทางการโดยใช้ภาษาที่ถูกต้อง พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าว และเสนอแนวคิดใหม่ อย่างมีเหตุผล รวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด เข้าใจธรรมชาติของภาษา อิทธิพลของภาษา และลักษณะของภาษาไทยใช้คำ และกลุ่มคำสร้างประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์ แต่งคำประพันธ์ประเภท กาพย์ โคลง ร่าย และฉันท์ ใช้ภาษาได้เหมาะสมกับกาลเทศะและใช้คำราชาศัพท์และคำสุภาพได้อย่างถูกต้อง วิเคราะห์หลักการ สร้างคำในภาษาไทย อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทยและภาษาถิ่น วิเคราะห์และประเมินการ ใช้ภาษาจากสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์วรรณคดีเบื้องต้นรู้ และเข้าใจลักษณะเด่นของวรรณคดี ภูมิปัญญาทางภาษาและวรรณกรรมพื้นบ้าน เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์และวิถีไทย ประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ และนำข้อคิดจากวรรณคดี และวรรณกรรม ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.1.5 มาตรฐานตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนําไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และบทร้อยกรอง ได้ถูกต้อง 2. อธิบายความหมายของคำ ประโยค และ สำนวนได้ถูกต้อง • การอ่านออกเสียงและการบอก ความหมายของบทร้อยแก้วและบท ร้อยกรองที่ประกอบด้วย - คำที่มี ร ล เป็นพยัญชนะต้น - คำที่มีพยัญชนะควบกล้ำ - คำที่มีอักษรนำ
๑๑ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - คำประสม - อักษรย่อ และเครื่องหมายวรรคตอน - ประโยคที่มีสำนวนเป็นคำพังเพย สุภาษิต ปริศนาคำทาย และเครื่องหมาย วรรคตอน • การอ่านบทร้อยกรองเป็นทำนอง เสนาะ 3. อ่านเรื่องสั้น ๆ ตามเวลาที่กำหนด และตอบ คำถามจากเรื่องที่อ่าน 4. แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน 5. คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน โดยระบุ เหตุผลประกอบ 6. สรุปความรู้และข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน เพื่อ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน • การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น - เรื่องสั้น ๆ - เรื่องเล่าจากประสบการณ์ - นิทานชาดก - บทความ - บทโฆษณา - งานเขียนประเภทโน้มน้าวใจ - ข่าวและเหตุการณ์ประจำวัน - สารคดีและบันเทิงคดี 7. อ่านหนังสือที่มีคุณค่าตามความสนใจ อย่าง สม่ำเสมอและแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน • อ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น - หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสม กับวัย - หนังสือที่ครูและนักเรียนกำหนด ร่วมกัน 8. มีมารยาทในการอ่าน • มารยาทในการอ่าน ตาราง 1 สาระที่ 1 การอ่าน
๑๒ สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราว ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและ ครึ่งบรรทัด • การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด และครึ่งบรรทัดตามรูปแบบการเขียน ตัวอักษรไทย 2. เขียนสื่อสารโดยใช้คำได้ถูกต้อง ชัดเจน และเหมาะสม • การเขียนสื่อสาร เช่น - คำขวัญ - คำแนะนำ 3. เขียนแผนภาพโครงเรื่องและแผนภาพ ความคิดเพื่อใช้พัฒนางานเขียน • การนำแผนภาพโครงเรื่องและ แผนภาพความคิดไปพัฒนางานเขียน 4. เขียนย่อความจากเรื่องสั้น ๆ • การเขียนย่อความจากสื่อต่าง ๆ เช่น นิทาน ความเรียงประเภทต่าง ๆ ประกาศ จดหมาย คำสอน 5. เขียนจดหมายถึงเพื่อนและบิดามารดา • การเขียนจดหมายถึงเพื่อนและบิดา มารดา 6. เขียนบันทึกและเขียนรายงานจากการศึกษา ค้นคว้า • การเขียนบันทึกและเขียนรายงาน จากการศึกษาค้นคว้า 7. เขียนเรื่องตามจินตนาการ • การเขียนเรื่องตามจินตนาการ 8. มีมารยาทในการเขียน • มารยาทในการเขียน ตาราง 2 สาระที่ 2 การเขียน
๑๓ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิดและ ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. จำแนกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น จากเรื่องที่ ฟังและดู • การจำแนกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น จากเรื่องที่ฟังและดูในชีวิตประจำวัน 2. พูดสรุปความจากการฟังและดู 3. พูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และความรู้สึก เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู 4. ตั้งคำถามและตอบคำถามเชิงเหตุผลจากเรื่อง ที่ฟังและดู • การจับใจความและการพูดแสดง ความรู้ ความคิดในเรื่องที่ฟังและดู จากสื่อต่าง ๆ เช่น - เรื่องเล่า - บทความสั้น ๆ - ข่าวและเหตุการณ์ประจำวัน - โฆษณา - สื่ออิเล็กทรอนิกส์ - เรื่องราวจากบทเรียนในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย และกลุ่มการ เรียนรู้ภาษาอื่น 5. รายงานเรื่อง หรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าจาก การฟัง การดู และการสนทนา • การรายงาน เช่น - การพูดลำดับขั้นตอนการ ปฏิบัติงาน - การพูดลำดับเหตุการณ์ 6. มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด • มารยาทในการฟัง การดู และการพูด ตาราง 3 สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด
๑๔ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ พลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. สะกดคำและบอกความหมายของคำในบริบท ต่าง ๆ • คำในแม่ ก กา • มาตราตัวสะกด • การผันอักษร • คำเป็น คำตาย • คำพ้อง 2. ระบุชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค • ชนิดและหน้าที่ของคำ ได้แก่ - คำนาม - คำสรรพนาม - คำกริยา - คำวิเศษณ์ 3. การใช้พจนานุกรมค้นหาความหมายของคำ • การใช้พจนานุกรม 4. แต่งประโยคได้ถูกต้องตามหลักภาษา • ประโยคสามัญ - ส่วนประกอบของประโยค - ประโยค 2 ส่วน - ประโยค 3 ส่วน 5. แต่งบทร้อยกรองและคำขวัญ • กลอนสี่ • คำขวัญ 6. บอกความหมายของสำนวน • สำนวนที่เป็นคำพังเพยและสุภาษิต 7. เปรียบเทียบภาษาไทยมาตรฐานกับ ภาษาถิ่นได้ • ภาษาไทยมาตรฐาน • ภาษาถิ่น ตาราง 4 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย
๑๕ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. ระบุข้อคิดจากนิทานพื้นบ้าน หรือนิทาน คติธรรม 2. อธิบายข้อคิดจากการอ่านเพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตจริง • วรรณคดีและวรรณกรรม เช่น - นิทานพื้นบ้าน - นิทานคติธรรม - เพลงพื้นบ้าน - วรรณคดีและวรรณกรรมใน บทเรียน และตามความสนใจ 3. ร้องเพลงพื้นบ้าน • เพลงพื้นบ้าน 4. ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนด และ บทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ • บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ ตาราง 5 สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม จากที่กล่าวมาเป็นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ประกอบด้วย หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตร สาระมาตรฐานการเรียนรู้ คุณภาพของผู้เรียนและมาตรฐานตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งในแต่ละสาระได้กำหนดมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐาน การเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะ สะท้อนให้ทราบว่า ต้องการอะไรจะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร และยังสามารถนำไปใช้ในงานวิจัยได้ คือ เป็นแนวทางให้ผู้วิจัยทราบว่าในระดับชั้นที่ทำวิจัย จะต้องได้รับความรู้ในมาตรฐาน และตัวชี้วัดใดบ้าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน และการทำวิจัย 2.2 วรรณคดี ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาวรรณคดี ทั้งความหมายของวรรณคดี ความสำคัญ และคุณค่าของวรรณคดีและยังมีการกล่าวถึงวรรณคดีที่ใช้ในการวิจัย เพื่อให้เกิดความแม่นยำในเนื้อหา นำมาพัฒนาต่อยอดทำแผนการสอนต่อไป โดยรายละเอียดของเนื้อหามีดังต่อไปนี้
๑๖ 2.2.1 ความหมายของวรรณคดี สิทธา พินิจภูวดล ( 2515: 5-6 ) กล่าวถึงวรรณคดีว่า วรรณคดีเป็นคำที่ใช้ในปัจจุบันเราเทียบ กับคำว่า “Literature” ในภาษาอังกฤษ หมายถึง บทประพันธ์ทุกชนิดที่ผู้แต่ง มีวิธีเขียนอย่างดี มีศิลปะ ก่อให้เกิดความประทับใจแก่ผู้อ่าน สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านมีมโนภาพไป ตามจินตนาการของเรื่องต่าง ๆ ลงไปในทางของตนด้วยแต่งเร้าให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจไปตามความรู้สึก ของผู้แต่ง บางครั้งผู้แต่งจะสอดแทรกความรู้ และทัศนคติในเรื่อง กุหลาบ มัลลิกะมาส (2517: 1) ได้กล่าวถึงวรรณคดีไว้ดังนี้ วรรณ บรรณ แปลว่า ใบไม้ หรือ หนังสือ ส่วน คดี หรือ คติ แปลว่า ทาง หรือแนวทาง วรรณคดี จึงหมายถึง แนวทางของการแต่งหนังสือ ส่วนที่แปลว่าใบไม้นั้น ศาสตราจารย์กุหลาบ มัลลิกะมาส ได้ให้ข้อสันนิษฐานว่า สมัยโบราณนั้นใช้ใบไม้ใน การเขียนหนังสือ วิทย์ ศิวะศริยานนท์ (2518: 1-4) ให้ความหมายของวรรณคดีสรุปได้ว่า วรรณคดีอันเป็นคำที่ เราบัญญัติขึ้นใช้เทียบคำ Literature ในภาษาอังกฤษ หมายถึง บทประพันธ์ที่รัดรึงตรึงใจผู้อ่านปลุก มโนคติ (Imagination) ทำให้เพลิดเพลินและเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ละม้ายคล้ายคลึงผู้ประพันธ์นอกจากนั้น บทประพันธ์ที่เป็นวรรณคดีจะต้องมีรูปศิลปะ (Form) รูปศิลปะนี่เองทำให้เกิดความงาม เจตนา นาควัชระ (2521: 1) กล่าวถึงวรรณคดีว่า เนื้อหาของวรรณคดี คือ ชีวิตมนุษย์แต่เป็น ชีวิตมนุษย์ที่กวีได้กลั่นกรองแล้วและสร้างขึ้นมาเป็นอีกโลกหนึ่ง คือโลกของศิลปะ ความสัมพันธ์ระหว่าง วรรณคดีกับชีวิต เป็นความสัมพันธ์ที่เสริมสร้างปัญญาและควรได้รับการส่งเสริมแต่เราจะต้องไม่หลงคิด เลยเถิดไปว่า วรรณคดีคือชีวิต ราชบัณฑิตยสถาน (2556: 1110) กล่าวถึงความหมายของวรรณคดีว่า เป็นวรรณกรรมที่ได้รับ การยกย่องว่าแต่งดีมีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถึงขนาด เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มัทนะพาธา สามก๊ก เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยสรุปวรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าดีหรือแต่งดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ ก่อให้เกิดความประทับใจแก่ผู้อ่าน สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน รวมไปถึงยังเป็นหนังสือดีมีแก่นสารอีกด้วย นอกจากนี้วรรณคดียังเป็นเครื่องแสดงออกถึงเรื่องของ ชีวิตมนุษย์ แสดงจิตใจมนุษย์ วรรณคดีจึงมีความสัมพันธ์กับชีวิต 2.2.2 ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี วรรณคดีเป็นผลงานที่มนุษย์สร้างขึ้น ด้วยความงามทางภาษาที่มีความสำคัญในการใช้แสดง ความคิด ความรู้สึก และคติแง่คิดสอนใจต่าง ๆ อีกทั้งมีคุณค่าเหมาะแก่การศึกษา ซึ่งมีผู้รู้หลายท่านได้ กล่าวถึงความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ดังนี้ รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (2540: 2-3) กล่าวว่า วรรณคดีมี คุณค่าต่อผู้อ่าน และผู้ศึกษา 2 ประการ คือ
๑๗ 1. คุณค่าทางอารมณ์ วรรณคดีเป็นงานศิลปะที่สร้างความเพลิดเพลินด้วยสุนทรียภาพทางภาษาจากถ้อยคำ และโวหารการบรรยายและพรรณนา วรรณคดีจึงมีพลังจูงใจผู้อ่านให้มีอารมณ์รัก เศร้า ขบขัน สมเพช สงสารโกรธ ชื่นชมปิติ ฯลฯ คุณสมบัติของวรรณคดีข้อนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นอาหารใจ 2. คุณค่าทางปัญญา วรรณคดีให้ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่กวีถ่ายทอดไว้ทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ ยังให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ ให้หยั่งเห็นแก่นแท้ของชีวิต เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ศึกษาจึง อาจจดจำสิ่งที่ได้จากการอ่านวรรณคดี มาเป็นประสบการณ์รอง และนำเหตุการณ์ ข้อคิด และความรู้ใน เรื่องมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตนเอง กุหลาบ มัลลิกะมาส (2527: 15) กล่าวถึง คุณค่าของวรรณคดีไว้สรุปได้ว่า วรรณคดี เป็นเครื่องมือสื่อสารและเป็นเครื่องเชื่อมสร้างภาระอันสมบูรณ์ทางด้านความรู้ส่งเสริมทักษะการฟัง การ พูด การอ่านการเขียนและการคิด อีกทั้งยังทำให้มนุษย์เกิดพัฒนาการทางด้านต่าง ๆ ได้แก่ ปัญญา วัฒนธรรมความรู้สึกและความสำนึกต่อสังคม และยังสร้างลักษณะนิสัยให้มนุษย์เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพและ จิตใจที่งดงาม อุดม หนูทอง (2523: 52-57) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดีไว้ว่า คุณค่าที่สำคัญยิ่งของ วรรณคดีมี 2 ประการคือ 1. คุณค่าด้านปัญญาความคิด 1.1 ช่วยให้เข้าใจชีวิตตัวละครทุกตัวในวรรณคดีกำหนดขึ้นโดยเลียนแบบชีวิต จริงผู้ศึกษาวรรณคดีจึงจะได้พบเรื่องราวของชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ 1.2 ช่วยให้เข้าใจอดีต วรรณคดีเป็นกระจกเงาของยุคสมัย ผู้อ่านวรรณคดีจะ ได้รับทราบค่านิยม สังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีในยุคสมัยของวรรณคดีนั้น ๆ 1.3 เป็นรั้วภายในของชาติ วรรณคดีในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของชาติ ที่มีส่วนกล่อมเกลาจิตใจของคนในชาติให้ตระหนักถึงความเป็นชาติ 1.4 เป็นเครื่องมือทางการเมือง วรรณคดีบางเรื่องเป็นอาวุธที่สำคัญของ การปกครอง เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นแรงสำคัญที่ทำให้อยุธยาอยูเป็นปึกแผ่นด้วย แรงสามัคคีของประชาชน และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์คงอยู่ถึงทุกวัน 1.5 ให้ความรู้ด้านภาษา ถ้อยคำภาษาในวรรณคดีเป็นภาษาที่ประณีตในแง่ ของศัพท์ ผู้อ่านจะได้รู้คำพ้นสมัย การสร้างคำศัพท์ใหม่ การแผลงคำตามใจชอบของกวี การใช้ ศัพท์ท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งนับวาเป็นการเพิ่มพูนความรู้ทางภาษาให้แก่คนอ่าน 2. คุณค่าทางอารมณ์ วรรณคดีให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านด้วยภาษาที่สร้างอารมณ์สะเทือนใจไปกับ ความรู้สึก โกรธ เกลียด ดีใจ หัวเราะ หรือแม้แต่ต้องหลังน้ำตาให้กับเรื่องที่อ่าน ถือเป็นความเพลินใจ
๑๘ ดนยา วงศ์ธนะชัย (2529: 119) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดี สรุปได้ดังนี้ 1. คุณค่าทางอารมณ์ ก่อให้เกิดความสนุกสนานบันเทิงใจ ทำให้ผู้อ่านสะเทือนอารมณ์ ในทางใดทางหนึ่ง 2. คุณค่าทางสติปัญญาให้ความรู้ในด้านต่างๆ เช่น สังคม วัฒนธรรมเกิดการหยั่งเห็น ชีวิตและโลก 3. คุณค่าทางศีลธรรม ช่วยผดุงศีลธรรมในสังคมของตน ไม่บ่อนทำลายความสงบสุขใน สังคมหรือฉุดให้สังคมเสื่อมทรามลง ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2529: 9) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดี สรุปได้ดังนี้ 1. คุณค่าทางอารมณ์ ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ต่าง ๆ จากเรื่องราวหรือเหตุการณ์ เช่น เศร้า สุข ทุกข์ รัก เกลียด โกรธ ไปตามอารมณ์ของกวี 2. คุณค่าทางปัญญา ผู้อ่านวรรณคดีจะได้พัฒนาสติปัญญาทั้งในทางโลกและทางธรรม จากแนวคิดของเรื่อง ได้เรียนรู้ตัวอย่างชีวิตจากพฤติกรรมของตัวละคร 3. คุณค่าทางศีลธรรม วรรณคดียกระดับจิตใจ จรรโลงใจผู้อ่านให้เห็นผลของการทำ ความดีและผลของการกระทำอันเป็นตัวอย่างและคติสอนใจ 4. คุณค่าทางวัฒนธรรม วรรณคดีเป็นวัฒนธรรมทางภาษาที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมอื่น แสดงตัววิถีการดำเนินชีวิต ผู้อ่านจะได้เห็นวิถีการดำาเนินชีวิตของคนในชาติอย่างละเอียด 5. คุณค่าทางประวัติศาสตร์ ทำให้ผู้อ่านทราบถึงความเป็นมาของประเทศชาติและ บุคคลจากวรรณคดี ที่มาจากเรื่องทางประวัติศาสตร์ เช่น ลิลิตตะเลงพาย และลิลิตยวนพ่าย 6. คุณค่าทางจินตนาการ วรรณคดีเป็นบ่อเกิดของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ในการผูก เรื่องราวใหม่ ๆ ส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการ 7. คุณค่าทางชีวิตและประสบการณ์ วรรณคดีเป็นประสบการณ์ทางอ้อม ผู้อ่านจะได้ เห็นตัวอย่างชีวิต เข้าใจชีวิตทางอ้อม จากประสบการณ์ของตัวละคร 8. คุณค่าทางความจริงและการเข้าใจความเป็นจริง วรรณคดีสะท้อนชีวิตและความจริง โลกแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีกิเลสตัณหา มีความรักใคร่ อิจฉา และริษยา 9. คุณค่าทางความคิดและการวิจารณ์ วรรณคดีกระตุ้นความรู้สึก เห็นด้วยหรือไม่เห็น ด้วยของตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่อง นอกจากนั้นวรรณคดียังเร้าอารมณ์ให้ผู้อ่านสะเทือนใจซึ่งทำให้ เกิดความคิดที่คล้อยตามกันหรือคัดค้าน 10. คุณค่าทางภาษาและการสื่อสาร วรรณคดีมีคุณค่าทำให้ผู้อ่านเห็นความสามารถ ทางการใช้ภาษาและการสรรคำทำให้เห็นความงามของภาษาที่กวีหรือผู้เขียนนำมาผูกร้อยให้สอดคล้องกับ เรื่องราวอันทำให้ผู้อ่านพัฒนาความสามารถทางภาษาโดยไม่รู้ตัว
๑๙ จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า วรรณคดีมีความสำคัญในหลายด้านไม่ว่าจะเป็น การบันทึก เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในอดีต วรรณคดีให้ คุณค่าในด้านต่างๆ เช่น ด้านอารมณ์ ด้านปัญญาและด้านศีลธรรมในการยกระดับจิตใจผู้อ่าน 2.2.3 นิราศเดือน ผู้วิจัยได้รวบรวมความรู้เนื้อหา โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1) ที่มาของวรรณคดีเรื่องนิราศเดือน นิราศเดือนเป็นนิราศที่แสดงถึงความทุกข์และโทษของความรักความหลงไว้อย่างเด่นชัด เห็นได้จากการที่กวีรำพันคร่ำครวญถึงนางที่รักและความทุกข์ความผิดหวังที่เกิดจากความรักข้างเดียวของ ตน นอกจากนี้ยังให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ละเดือน รวมถึงแนวทางข้อคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์สังคมตามทัศนะของกวีตลอดให้คติในการดำเนินชีวิตอีกด้วย นิราศเรื่องนี้แตกต่าง จากนิราศโดยทั่วไปคือ กวีไม่ได้เดินทางจากคนรัก จึงพรรณนาคร่ำครวญถึงคนรักโดยยึดเวลาเป็นสำคัญ (ม.ล.ฐิติรัตน์ ลดาวัลย์, 2558: 1) เรื่องนิราศเดือนนี้ นายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร) ผู้เป็นศิษย์ของสุนทรภู่ แต่งเมื่อบวชเป็น พระอยู่วัดอยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ พรรณนาขึ้นต้นตั้งแต่เดือน 5 ซึ่งเป็นเดือนแรกของการนับปีในสมัยนั้น นับเป็นวรรณคดีที่มีอรรถรสไพเราะ และให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ตลอดจน เหตุการณ์สำคัญประจำเดือนหนึ่ง ๆ ในรอบปี เช่นเดียวกับเรื่องโคลงทวาทศมาสในสมัยกรุงศรีอยุธยา (กรมศิลปากร, 2513: 8) เนื้อเรื่องรำพันถึงความรัก ประเพณี รวมทั้งเหตุการณ์ประจำเดือนหนึ่งๆ ในรอบปี ทำนองเดียวกับโคลงทวาทศมาสในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นิราศเดือนจะให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณีและสภาพความเป็นอยู่ของสังคมไทยสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเนื้อความจะพรรณนาเหตุการณ์ตั้งแต่ เดือน 5 เป็นต้นไปจนครบทั้ง 12 เดือน ซึ่งในแต่ละเดือนมีเนื้อหาเฉพาะตัว ได้แก่ 1. เดือนห้า 7. เดือนสิบเอ็ด 2. เดือนหก 8. เดือนสิบสอง 3. เดือนเจ็ด 9. เดือนอ้าย 4. เดือนแปด 10. เดือนยี่ 5. เดือนเก้า 11. เดือนสาม 6. เดือนสิบ 12. เดือนสี่ และบทส่งท้าย
๒๐ 2) ผู้แต่ง หมื่นพรหมสมพัตสร นามเดิม “มี” เป็นบุตรพระโหราธิบดี ดังปรากฏกล่าวไว้ท้ายกลอน เพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว* ความว่า “ข้าพระพุทธเจ้า นายมี บุตรพระโหรา” ส่วนมารดาชื่อใดไม่ปรากฏ นายธนิต อยู่โพธิ์ สันนิษฐานว่าบิดาของนายมี คือ พระโหราธิบดี (โลกเนต) พ.ศ.2300 - 2355 หรือพระโหราธิบดี (สมุ) พ.ศ.2300 - 2371 ในสมัย รัชกาลที่ 1 หรือรัชกาลที่ 2 แต่นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ กล่าวว่านายมีเป็นบุตรพระโหราธิบดี (ชุม) ซึ่งเป็นโหรมีชื่อว่าชำนาญวิชาสุริยาตรพยากรณ์ แตกฉานในอักษรสมัยทั้งเป็นอาจารย์บอกพระปริยัติธรรม แก่พระภิกษุและสามเณร และมีสำนักอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ช่วงเวลาที่นายมีบวชน่าจะได้เป็นศิษย์ของสุนทรภู่ ดังที่ได้เขียนเล่าไว้ในวรรณคดีที่แต่ง หลายเรื่อง เช่น กล่าวไว้ในนิราศถลางว่า “ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา” สำนวน กลอนของนายมีมีความไพเราะ กล่าวได้ว่าดีเลิศเทียบเคียงได้กับสุนทรภู่ จนทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดมาเป็น เวลานานว่าผลงานประพันธ์บางเรื่องของนายมี เช่น นิราศพระแท่นดงรัง* เป็นผลงานของสุนทรภู่ นอกจากนี้นายมียังมีความรู้ทางดนตรีและเป็นผู้บอกสักวาด้วย ต่อมานายมีได้ลาสิกขาและได้เข้าเป็นมหาดเล็กช่างเขียนในกรมช่างเขียนมหาดเล็กฝ่าย พระบรมมหาราชวัง เมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2374 นายมีเป็นผู้หนึ่งที่ได้แสดงฝีมือเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามทำให้ ได้รับสมญานามว่า “นายมีลงกาใหม่” มีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะได้แสดงฝีมือที่โดดเด่นและความคิดริเริ่ม ที่แปลกใหม่ในการเขียนภาพจิตรกรรมเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระวิศวกรรมลงมาสร้างพระนครลงกาใหม่ ให้แก่ทศกัณฐ์ และในปี พ.ศ. 2387 นายมีได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นพรหมสมพัตสร นายอากรเมืองสุพรรณ นายมีถึงแก่กรรมเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน สันนิษฐานว่าคงก่อนสิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (สุปาณี พัดทอง, 2558: 1) หมื่นพรหมสมพัตสร หรือนายมีเป็นศิษย์คนหนึ่งของสุนทรภู่ได้รับการยกย่อง ว่าแต่งกลอนดีเด่น ใกล้เคียงกับสุนทรภู่มากที่สุด งานประพันธ์เรื่องอื่น ๆ มีดังนี้ 1. นิราศเดือน 2. นิราศถลาง 3. พระสุบิน ก กา 4. นิราศพระแท่นดงรัง 5. นิราศสุพรรณ 6. กลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 7. ทศมูลเสือโค หรือ เสือโค ก กา เรียกสั้นๆ ว่า ทศมูล
๒๑ 3) ลักษณะคำประพันธ์วรรณคดีเรื่องนิราศเดือน นิราศเดือนแต่งเป็นกลอนนิราศ คล้ายกลอนสุภาพ หรือกลอนแปด ต่างกันตรงที่กลอน สุภาพจะเริ่มต้นที่ 4 วรรคแรกคือ สลับ รับ รอง ส่ง แต่กลอนนิราศจะตัดวรรคสดับออกไปทำให้การขึ้นต้น เหลือแค่ 3 วรรคคือ รับ รอง ส่ง ขึ้นต้นด้วยวรรครับของบาทเอก ส่วนวรรคสดับเว้นว่างไว้ นิราศเดือน ไม่มีคำขึ้นต้น “นิราศ” เหมือนกลอนนิราศทั่วไป และมีคำสุดท้ายลงท้ายด้วย “เอย” 4) ลักษณะข้อบังคับของกลอนนิราศ กลอนนิราศ เป็นบทประพันธ์ที่มีลักษณะบังคับอย่างกลอนทั่วไป กำหนดลักษณะเฉพาะ เช่นเดียวกับกลอนเพลงยาว คำขึ้นต้นใช้คำว่า นิราศ ก็มี ขึ้นต้นด้วยคำอื่นก็มี โดยขึ้นต้นที่กลอนรับ คือวรรคที่ ๒ และลงท้ายด้วยว่า “เอย” วรรคหนึ่งๆ มีจำนวนคำ ๘-๑o คำ สองวรรคเป็น ๑ คำกลอน หรือ ๑ บาท สองคำกลอนเป็น ๑ บท ซึ่งวรรคแรกเรียกว่า วรรคสดับหรือวรรคสลับ วรรคที่สองเรียกว่า วรรครับ วรรคที่สามเรียกว่า วรรครอง และวรรคที่สี่เรียกว่า วรรคส่ง บทแรกของเรื่องเริ่มต้นด้วยวรรครับ หรือวรรคที่สอง และจบเรื่องด้วยคำว่า “เอย” ส่วนการการส่งสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่งส่งสัมผัส ไปยังคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือ ๕ ของวรรคที่ ๒ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของ วรรคที่ ๓ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือ ๕ ของวรรคที่ ๔ ในกรณี ที่แต่งหลายบท คำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ต้องส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทถัดไป และ นิยมแต่งนิราศเป็นกลอนสุภาพ แผนผังกลอนนิราศ ภาพที่ 1 แผนผังกลอนนิราศ ที่มา : https://www.facebook.com/143586962431914/photos/ ฉันทลักษณ์การอ่านกลอนนิราศ
๒๒ 5) เรื่องย่อนิราศเดือน นิราศเดือนเป็นนิราศที่มีความแตกต่างจากนิราศเรื่องอื่น ๆ เพราะไม่มีการเดินทาง แต่มี ความแสดงความอาลัยถึงนางที่รักโดยยึดเวลาเป็นสำคัญ เนื้อเรื่องกล่าวถึงความโศกเศร้าของกวีที่ไม่ สมหวังในความรัก โดยกล่าวเชื่อมโยงความรู้สึกของกวีที่มีต่อนางที่รักกับวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติกัน ในแต่ละเดือน รวมทั้งเหตุการณ์ที่กวีได้เข้าไปเกี่ยวข้อง บรรยายสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของประเพณีไทยในแต่ละเดือนทั้ง 12 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนห้าเรียงลำดับตามเดือนไป จนถึงเดือนสี่เป็นครบรอบปีหนึ่ง ในเดือนห้าเป็นปีใหม่ไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีประเพณีสำคัญ คือ ประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามเนื้อหา ในแต่ละเดือน ไม่มีกำหนดบท ดังนี้ 1. เดือนห้า กล่าวถึง ประเพณีสงกรานต์ 2. เดือนหก กล่าวถึง ประเพณีแรกนาขวัญ,โกนจุก,แต่งงาน 3. เดือนเจ็ด กล่าวถึง ประเพณีสลากภัต 4. เดือนแปด กล่าวถึง ประเพณีเข้าพรรษา 5. เดือนเก้า กล่าวถึง การคร่ำครวญถึงนางที่รัก 6. เดือนสิบ กล่าวถึง ประเพณีสารท 7. เดือนสิบเอ็ด กล่าวถึง ประเพณีออกพรรษา,ประเพณีทอดกฐิน 8. เดือนสิบสอง กล่าวถึง ประเพณีลอยกระทง,ทอดผ้าป่า และประเพณีเทศน์มหาชาติ 9. เดือนอ้าย กล่าวถึง การคร่ำครวญถึงนางที่รัก 10. เดือนยี่ กล่าวถึง การคร่ำครวญถึงนางที่รัก 11. เดือนสาม กล่าวถึง การคร่ำครวญถึงนางที่รัก 12. เดือนสี่ กล่าวถึง ประเพณีตรุษ จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความรู้เกี่ยวกับนิราศเดือน ประกอบไปด้วยที่มาของเรื่อง ผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ ลักษณะข้อบังคับและเรื่องย่อ ซึ่งมีประโยชน์ต่องานวิจัยเป็นอย่างมากเพราะเป็นเรื่อง ที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าเชิงสังคม วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยในอดีต เมื่อนำมา ทำวิจัยจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาวรรณคดีเพิ่มมากยิ่งขึ้น
๒๓ 2.3 กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Team games tournament : TGT) ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยเนื้อหาประกอบไปด้วย ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ขั้นตอนการเรียนแบบ ร่วมมือเทคนิค TGT และข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบการเรียนแบบทีมแข่งขัน (TGT) ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 2.3.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ไว้ดังนี้ สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2545: 163) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกแบบหนึ่งคล้ายกันกับเทคนิค STAD ที่แบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่าง กันออกเป็นกลุ่มเพื่อทำงานร่วมกันกลุ่มละประมาณ 4-6 คน โดยกำหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกัน ในเกมการเรียนที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้วทำการทดสอบความรู้โดยการใช้เกมการแข่งขันคะแนนที่ได้ จากการแข่งขันของสมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันตัวต่อตัวกับทีมอื่น นำเอามาบวกเป็นคะแนน รวมของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรงเช่นให้รางวัลคำชมเชยเป็นต้น ดังนั้นสมาชิกกลุ่มจะต้องมี การกำหนดเป้าหมายร่วมกันช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อความสำเร็จของกลุ่ม วัชรา เล่าเรียนดี (2547: 15) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือกัน เรียนรู้เทคนิคทีมเกมแข่งขันหรือ TGT จะมีการดำเนินการเรียนการสอนตามลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกันกับ เทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้อื่น ๆ กล่าวคือ ครูต้องดำเนินการสอนในสาระความรู้หรือทักษะต่างๆให้ นักเรียนทั้งชั้นก่อนจนแน่ใจว่านักเรียนทุกคนรู้และเข้าใจในสาระความรู้นั้นหรือรู้และเข้าใจแนวทางการ ปฏิบัติพอสมควรก่อนแล้วจึงจัดกลุ่มให้นักเรียนร่วมมือกันเรียนรู้ตามใบงานหรือใบกิจกรรมที่เตรียมไว้ ล่วงหน้าในแต่ละหน่วยการเรียนรู้หรือแต่ละชั่วโมงสอน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนในกลุ่มได้ ร่วมมือกันศึกษาและทำแบบฝึกหัดคนเก่งคอยช่วยเหลือ แนะนำ อธิบายให้เพื่อนสมาชิกที่เรียนด้อยกว่า ภายในกลุ่ม สมาชิกที่เรียนอ่อนกว่าจะต้องยอมรับรวมทั้งพยายามถามและตอบร่วมเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ จนรู้และเข้าใจในสาระเหล่านั้นอย่างแท้จริง ที่สำคัญสมาชิกกลุ่มทุกคนต้องรู้ยอมรับผลงานและ ผลการเรียนรู้จากการทดสอบคือ ผลงานที่ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบและเป็นผลงานหรือผลปฏิบัติของกลุ่ม สารสิน เล็กเจริญ (2554: 47) กล่าวว่าการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่ม เกม (Teams Games Tournament หรือ TGT) คือเทคนิควิธีเรียนแบบร่วมมือวิธีหนึ่งที่จัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญโดยมีการจัดให้นักเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม มีสมาชิก 4 คนที่มีระดับความสามารถแตกต่างกันสมาชิกภายในกลุ่มจะศึกษาค้นคว้าและทำงานร่วมกัน นักเรียนจะบรรลุเป้าหมายก็ต่อเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มบรรลุถึงเป้าหมาย นั้นร่วมกันนักเรียนจึงมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี ต่อกันเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนกระตุ้นและส่งเสริมการทำงานของเพื่อนสมาชิกในกลุ่มให้ประสบผลสำเร็จ
๒๔ นักเรียนได้อภิปรายซักถามซึ่งกันและกันเพื่อให้เข้าใจบทเรียนหรืองานที่ได้รับ มอบหมายเป็นอย่างดี ทุกคนต่อจากนั้นจะมีกิจกรรมการแข่งขันตอบปัญหาเพื่อสะสมคะแนนความสามารถของกลุ่ม โดยนักเรียนแต่ละคนจะเป็นผู้แทนของกลุ่มในการเข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการกับตัวแทนของ กลุ่มอื่นที่มี ระดับความสามารถใกล้เคียงกันจัดเป็นกลุ่มแข่งขันขึ้นใหม่ซึ่งมีการแข่งขันอยู่ภายในกลุ่ม เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขันตอบปัญหาแต่ละครั้งนักเรียนจะกลับมาสู่กลุ่มเดิมที่มีความสามารถแตกต่างกัน แล้วนำคะแนนที่สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนที่สะสมได้จากการตอบปัญหามารวมกันเป็นคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม กลุ่มใดทำคะแนนได้สูงถึงเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับรางวัล จากการศึกษาความหมายของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ดังกล่าว สรุปได้ว่าการเรียน แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Teams Games Tournament) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่แบ่ง ผู้เรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4-6 คนคละความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เก่ง ปานกลาง และอ่อน ภาระงานของกลุ่มคือ หลังจากที่ครูนำเสนอบทเรียนทั้งชั้นแล้วให้แต่ละกลุ่มทำงานตามที่ครูกำหนดและ เตรียมสมาชิกทุกคนให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในการแข่งขัน ครูจะจัดให้นักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับ เดียวกันแข่งขันกันคะแนนที่สมาชิกทำได้จะนำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่มกลุ่มที่ได้รางวัล คือ กลุ่มที่ ทำคะแนนได้สูงสุด 2.3.2 ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2545: 165-166) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค TGT ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย 1.1 การจัดเตรียมเนื้อหาสาระ ผู้สอนจัดเตรียมเนื้อหาสาระ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 1.2 การจัดเตรียมเกม ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมคำถามง่าย ๆ ซึ่งเป็นคำถามจากเนื้อหา สาระที่ผู้เรียนเรียนรู้วิธีการให้คะแนนโบนัสในการเล่นเกม รวมทั้งสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ เช่น ใบงาน ใบความรู้ชุดคำถามกระดาษคำตอบ กระดาษบันทึกคะแนน เป็นต้น 2. ขั้นจัดทีม ผู้สอนจัดทีมผู้เรียนโดยให้คละกันทั้งเพศและความสามารถทีมละประมาณ 4-5 คนเช่น ทีมที่มีสมาชิก 4 คนอาจประมาณ 4 คน อาจประกอบด้วยชาย 2 คนหญิง 2 คน เป็นคนเก่ง 1 คนปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน เป็นต้น เพื่อเรียนรู้โดยปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือ ใบงานที่กำหนด 3. ขั้นการเรียนรู้ประกอบด้วย 3.1 ผู้สอนแนะนำวิธีการเรียนรู้ 3.2 ทีมวางแผนการเรียนรู้และการแข่งขัน 3.3 สมาชิกในแต่ละทีมร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือใบงาน
๒๕ 3.4 กลุ่มหรือทีมเตรียมความพร้อมให้แก่สมาชิกในกลุ่มทุกคนเพื่อให้มีความรู้ความ เข้าใจในบทเรียนและพร้อมที่จะเข้าสู่การแข่งขัน 3.5 แต่ละทีมทำการประเมินความรู้ความเข้าใจเนื้อหาของสมาชิกในทีมโดยอาจ ตั้งคำถามขึ้นมาเองโดยให้สมาชิกของทีมทดลองตอบคำถาม 3.6 สมาชิกของทีมช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในประเด็นที่บางคนยังไม่เข้าใจ 4. ขั้นการแข่งขัน ผู้สอนจัดการแข่งขันประกอบด้วย 4.1 ผู้สอนแนะนำการแข่งขันให้ผู้เรียนทราบ 4.2 จัดผู้เรียนหรือสมาชิกตัวแทนของแต่ละทีมเข้าประจำโต๊ะการแข่งขัน 4.3 ผู้สอนแนะนำเกี่ยวกับเกมโดยอธิบายจุดประสงค์ กติกาของการเล่นเกม 4.4 สมาชิกหรือผู้เรียนทุกคนเริ่มเล่นเกมพร้อมกันด้วยชุดคำถามที่เหมือนกันผู้สอนเดิน ตามโต๊ะการแข่งขันต่าง ๆ เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย 4.5 เมื่อการแข่งขันจบลงให้แต่ละโต๊ะตรวจคะแนนจัดลำดับผลการแข่งขันและให้หาค่า คะแนนโบนัส 4.6 ผู้เข้าร่วมแข่งขันกลับไปเข้าทีมเดิมของตนพร้อมนำคะแนนโบนัสไปด้วย 4.7 ทีมนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนรวมของทีมอาจจะหา ค่าเฉลี่ยหรือไม่ก็ได้ทีมที่ได้คะแนนรวมสูงสุดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศ ตามลำดับ 5. ขั้นยอมรับความสำเร็จของทีม ผู้สอนประกาศผลการแข่งขันและเผยแพร่ สู่สาธารณชนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จดหมายข่าว ประกาศหน้าเสาธง เป็นต้น รวมทั้งมอบรางวัล ยกย่อง ชมเชย วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542: 37) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือแบบ TGT มีดังนี้ 1. ครูนำเสนอบทเรียนหรือข้อความรู้ใหม่แก่ผู้เรียนโดยอาจนำเสนอด้วยสื่อการเรียน การสอนที่น่าสนใจหรือใช้การอภิปรายทั้งห้องเรียนโดยครูเป็นผู้ดำเนินการ 2. แบ่งกลุ่มนักเรียนโดยจัดให้คละความสามารถและเพศแต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4-5 คน (เรียกกลุ่มนี้ว่า Study Group หรือ Home Group) กลุ่มเหล่านี้จะศึกษาทบทวนเนื้อหา ข้อความรู้ที่ครูนำเสนอ สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถสูงกว่าจะช่วยเหลือสมาชิกที่มีความสามารถด้อยกว่า เพื่อเตรียมกลุ่มสำหรับการแข่งขันในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน 3. จัดการแข่งขันโดยจัดโต๊ะแข่งขันและทีมแข่งขัน (Tournament Teams) ที่มีตัวแทน ของแต่ละกลุ่ม (ตามข้อ 2) ที่มีความสามารถใกล้เคียงมาร่วมแข่งขันกันตามรูปแบบและกติกาที่กำหนด ข้อคำถามที่ใช้ในการแข่งขันจะเป็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาแล้ว และมีการฝึกฝนเตรียมพร้อม ในกลุ่มมาแล้วควรให้ทุกโต๊ะแข่งขันเริ่มแข่งขันพร้อมกัน
๒๖ 4. ให้ค่าคะแนนการแข่งขัน โดยให้จัดลำดับคะแนนผลการแข่งขันในแต่ละโต๊ะแล้วผู้เล่น จะกลับเข้ากลุ่มเดิม (Study Group) ของตน 5. นำคะแนนการแข่งขันของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีมทีมที่ได้คะแนนรวม หรือค่าเฉลี่ยสูงสุดจะได้รับรางวัล 2.3.3 ข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบการเรียนแบบทีมแข่งขัน (TGT) สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2547: 168) ได้กล่าวข้อดีและข้อจำกัดของการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ไว้ดังนี้ ข้อดี 1. ผู้เรียนมีความเอาใจใส่รับผิดชอบ ตัวเองและกลุ่มร่วมกับสมาชิกอื่น 2. ส่งเสริมผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันให้เรียนรู้ร่วมกัน 3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นำ 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรง 5. ผู้เรียนมีความตื่นเต้น สนุกสนานกับการเรียนรู้ ข้อจำกัด 1. ถ้าผู้เรียนขาดความเอาใจใส่ และความรับผิดชอบจะส่งผลต่อผลงานของกลุ่มและ การเรียนรู้ไม่ประสบผลสำเร็จ 2. เป็นวิธีการที่ครูผู้สอนต้องเตรียมการดูแล เอาใจใส่กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน อย่างใกล้ชิดจึงจะได้ผลดี 3. ผู้สอนมีภาระงานเพิ่มขึ้น จากการศึกษาค้นคว้ากระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Team games tournament : TGT) ที่นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับความหมาย กระบวนการร่วมมือเทคนิค TGT ขั้นตอนของกระบวนการร่วมมือเทคนิค TGT ว่าประกอบ ไปด้วยอะไรบ้าง และข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบการเรียนแบบทีมแข่งขัน (TGT) โดยขั้นตอนของ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT นี้ ผู้วิจัยได้ยึดกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT ของสุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT นั้น ประกอบไปด้วยขั้นเตรียมเนื้อหา ขั้นจัดทีม ขั้นการเรียนรู้ ขั้นการแข่งขัน และขั้นยอมรับความสำเร็จ ของทีม โดยกระบวนการดังกล่าวเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านการจัดทำแผนการเรียนรู้เพื่อทำให้ นักเรียนเห็นคุณค่าที่จะได้รับความรู้จากวรรณคดีเรื่อง นิราศเดือน และสามารถนำประโยชน์ออกมา ประยุกต์ใช้ได้ถูกต้อง
๒๗ 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นผลที่เกิดจากการสอนโดยใช้รูปแบบ วิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้วิจัย จึงได้ศึกษารายละเอียดของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบด้วย ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา และเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้ 2.4.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภพ เลาหไพบูลย์ (2537: 295) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือ พฤติกรรมที่ แสดงออกถึงความสามารถในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากที่ไม่เคยกระทำได้หรือกระทาได้น้อยก่อนที่จะมี การเรียนรู้ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์. (2544: 42) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะทางด้านความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและทักษะทางด้านวิชาการที่เกิดจากบุคคล ได้รับการเรียนการสอนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ปราณี กองจินดา ( 2549: 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความสามารถหรือ ผลสำเร็จ ที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2549: 71) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจาก การสอนหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งแสดงออกมา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคลที่พัฒนาขึ้น ซึ่งได้รับจากการเรียนการสอน การค้นคว้า การอบรม การสั่งสอน หรือประสบการณ์ต่าง ๆ กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งแสดงออกมา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย 2.4.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บลูม (Bloom, 1976: 52 อ้างถึงในสมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2553: 20 - 22) ได้กล่าวถึง ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในโรงเรียนดังต่อไปนี้ 1. พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิด หมายถึง ความสามารถทั้งหลายของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วย ความถนัดและพื้นฐานของนักเรียน
๒๘ 2. คุณลักษณะด้านจิตพิสัย หมายถึง สภาพการณ์หรือแรงจูงใจที่จะทำให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ใหม่ ได้แก่ ความสนใจ เจตคติที่มีต่อเนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน ระบบการเรียนความคิดเห็น เกี่ยวกับตนเอง และลักษณะบุคลิกภาพ 3. คุณภาพการสอน ได้แก่ การรับคำแนะนำ การมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน การเสริมแรงจากครู การแก้ไขข้อผิดพลาด และรู้ผลว่าตนเองกระทำได้ถูกต้องหรือไม่ 4. คุณลักษณะของนักเรียน ได้แก่ ความพร้อมทางสมอง และทางสติปัญญาความพร้อม ทางด้านร่างกาย และความสามารถทางด้านทักษะของร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจซึ่งได้แก่ ความสนใจ แรงจูงใจ เจตคติและค่านิยม สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเข้าใจ ในสถานการณ์ อายุ เพศ 5. คุณลักษณะของผู้สอน ได้แก่ สติปัญญา ความรู้ในวิชาที่สอน การพัฒนาความรู้ ทักษะทางร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจ สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเข้าใจในสถานการณ์ อายุ เพศ 6. พฤติกรรมระหว่างผู้สอนและนักเรียน ได้แก่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับนักเรียน จะต้องมีพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อกัน เข้าใจกันมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน 7. คุณลักษณะของกลุ่มนักเรียน ได้แก่ โครงการของกลุ่มตลอดจนความสัมพันธ์ของ กลุ่มเจตคติ ความสามัคคี และภาวะผู้นำผู้ตามที่ดีของกลุ่ม 8. คุณลักษณะของพฤติกรรมเฉพาะตัว ได้แก่ การตอบสนองต่อการเรียนการมีเครื่องมือ และอุปกรณ์พร้อมในการเรียน ความสนใจต่อบทเรียน 9. แรงผลักดัน ได้แก่ ครอบครัวมีความสัมพันธ์ในครอบครัวดี สิ่งแวดล้อมดี และคุณธรรมพื้นฐานดี เช่น ขยันหมั่นเพียร ความประพฤติดี 2.4.3 การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญาตามแบบของบลูมและคณะ (Bloom, 1976 อ้างถึงในสมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2553: 28 - 31) ที่ใช้เป็นแนวทางในการวัดและประเมินผล ด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา ของผู้เรียน โดยได้จำแนกสติปัญญาของมนุษย์ตามลำดับของความซับซ้อน ของกระบวนการเป็น 6 ระดับ ดังนี้ 1. ความรู้ (Knowledge) เป็นความสามารถของผู้เรียนในการจดจำ ระลึกได้ของเนื้อหา สาระที่ได้เรียนรู้ผ่านมาแล้วถ่ายทอดสู่ผู้อ่านได้อย่างถูกต้อง แม่นยำและชัดเจน จำแนกได้ดังนี้ 1) ความรู้ด้านเนื้อหา (Knowledge of Specifics) เป็นความสามารถในการ จดจำเนื้อหา สาระที่ได้เรียนรู้ 2) ความรู้เกี่ยวกับวิธีดำเนินการในเนื้อหา (Knowledge of Ways and Means of Dealing with Specifics) เป็นความสามารถในการจดจำวิธีการ ลำดับขั้นตอน เกณฑ์ หรือ การจำแนกประเภท
๒๙ 3) ความรู้เกี่ยวกับความคิดรวบยอด (Knowledge of Universals and Abstraction in a Field) เป็นความสามารถในการจดจำขั้นสูง จำแนกได้ดังนี้ - ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและการสรุปอ้างอิงทั่วไป (Knowledge of Principles and Generalizations) เป็นความสามารถในการจดจำหลักวิชาและการสรุปอ้างอิงทั่วไปใน หลักวิชานั้น ๆ อาทิ สมการทางเคมีที่มีปฏิกิริยาให้เกิดน้ำคือสมการใด เป็นต้น - ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง (Knowledge of Theories and Structure) เป็นความสามารถในการ จด จำ ทฤษฎี และโครงสร้างของ สิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว อาทิ ในการเดินขบวนของชาวบ้าน เพื่อประท้วงรัฐบาลสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวด้วยทฤษฎีใด 2. ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถในการสรุปความ ตีความ และ ขยายความจากสื่อ ความหมายที่ได้พบเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล จำแนกได้ดังนี้ 1) การแปลความ (Translation) เป็นความสามารถในการถ่ายโยงความหมาย จากภาษาที่เข้าใจยากในเรื่องประเด็นนั้น ๆ ให้เป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น อาทิ จุดไต้ตำตอ หมายความว่าอย่างไร เป็นต้น 2) การตีความ (Interpretation) เป็นความสามารถในการสรุปความ หรือพิจารณาในภาพรวมให้เป็นประโยคใจความสั้น ๆ ที่มีความหมาย อาทิ พันท้ายนรสิงห์ เป็นบุคคล ลักษณะใด เป็นต้น 3) การขยายความ (Extrapolation) เป็นความสามารถในการคาดคะเน ข้อเท็จจริงล่วงหน้าโดยใช้แนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาทิ ถ้าในประเทศไทยมีบ่อน้ำมัน อย่างเพียงพอแล้วเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไร เป็นต้น 3. การนำไปใช้ (Application) เป็นความสามารถในการนำความรู้หลักวิชา หรือทฤษฎี ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเรียนหรือไม่คุ้นเคย โดยจำแนกลักษณะข้อคำถามที่ใช้ 5 ลักษณะดังนี้ 1) ถามความสอดคล้องระหว่างหลักวิชาและการปฏิบัตินั้น ๆ อาทิ พ่อค้าขาย ทรายใช้หลักการเดียวกับการขายอะไร 2) ถามขอบเขตการใช้หลักวิชาและการปฏิบัติ อาทิ เครื่องมือประเภทนี้ เหมาะสมกับงานชนิดใด 3) ถามให้อธิบายหลักวิชาว่าเหตุการณ์นั้นเกิดจากอะไร เพราะเหตุใด อาทิ จงอธิบายเหตุผลที่ทำให้ปลาในบริเวณอ่าวไทยลดลง เป็นต้น 4) ถามให้แก้ปัญหา เป็นการแก้ปัญหาใหม่โดยใช้หลักการเดียวกับปัญหาเดิม ที่เคยได้แก้แล้ว อาทิ ถ้าท่านไม่มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์รับประทาน ท่านจะรับประทานอาหารอะไร ทดแทน เพื่อให้ได้รับคุณค่าของอาหารเหมือนเดิม เป็นต้น
๓๐ 5) ถามเหตุผลของการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบเหตุผลที่แท้จริงว่าจะปฏิบัติ อย่างไรและเพราะเหตุใด อาทิ ชาวสวนนิยมขยายพันธุ์ต้นมะม่วง ด้วยวิธีการใดเพราะเหตุใด เป็นต้น 4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะเพื่อหาส่วนประกอบย่อย ๆ ของเหตุการณ์ ว่ามีประเด็นที่สำคัญคืออะไร แต่ละประเด็นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรใช้หลักการอะไร จำแนกได้ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ความสำคัญ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถในการจำแนก ความสำคัญของประเด็นในเหตุการณ์ เหตุและผล อาทิ ในศีลห้าข้อ ข้อใดเป็นข้อที่สำคัญที่สุด เป็นต้น 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relationships) เป็นความสามารถใน การจำแนกความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ย่อย ๆ เพื่อนำมาอุปมาอุปไมย อาทิ เพราะเหตุ ใดแสงจึงมีความเร็วมากกว่าเสียง เป็นต้น 3) การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถในการระบุ เหตุการณ์ที่ใช้เชื่อมโยงเหตุการณ์ย่อย ๆ ให้อยู่กันอย่างเป็นระบบ อาทิ หลักการที่ใช้ทำให้รถยนต์วิ่งได้คือ หลักการใด เป็นต้น 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อย เพื่อให้เกิด องค์ประกอบใหม่ที่มีโครงสร้างใหม่จำแนกได้ดังนี้ 1) การสังเคราะห์ข้อความ (Production of Unique Communication) เป็น ความสามารถในการสังเคราะห์ข้อความเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันโดยการพูด การเขียนหรือวิพากษ์วิจารณ์ อาทิ ให้ผู้เรียนเขียนเรียงความเรื่อง “คุณลักษณะของนักเรียนไทยในอนาคต” เป็นต้น 2) การสังเคราะห์แผนงาน (Production of Plan and Propose Set of Operations) เป็นความสามารถในการกำหนดแนวทางและขั้นตอนในการปฏิบัติงานใหม่หรือ การสังเคราะห์แผนงานเดิมเพื่อจัดทำแผนงานใหม่ที่ช่วยให้การดำเนินงานสอดคล้องกับเกณฑ์และ มาตรฐาน ได้ดีกว่าเดิม อาทิผู้เรียนจะวางแผนอย่างไรจึงจะทำให้เรียนเก่ง เป็นต้น 3) การสังเคราะห์ทางด้านความสัมพันธ์ (Derivation of a Set of Abstract Relations) เป็นความสามารถในการนำแนวคิดย่อย ๆ มาสัมพันธ์กันอย่างสมเหตุสมผลจนเป็นเป็น สมมติฐาน กฎ หรือทฤษฎี อาทิ ให้ผู้เรียนได้กำหนดสมมติฐานในปัญหาการวิจัยที่จะดำเนินการ หรือให้ สรุปผลที่ได้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น 6. การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการพิจารณาตัดสินคุณค่า อาทิ ดี-เลว เหมาะ-ไม่เหมาะ ฯลฯ โดยการนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน จำแนกได้ดังนี้ 1) การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายใน (Judgment in Terms of Internal Evidence)เป็นความสามารถในการพิจารณาความถูกต้อง ความสมเหตุสมผล หรือความสอดคล้องโดยใช้
๓๑ เกณฑ์ภายในของประเด็นนั้น ๆ เป็นสำคัญ อาทิ การปฏิบัติได้ผลตรงตามเป้าหมายมากหรือน้อยเพียงใด หรือการเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น 2) การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายนอก (Judgment in Terms of External Evidence) เป็นความสามารถในการพิจารณาความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลหรือความสอดคล้องโดยใช้ เกณฑ์ภายนอกที่สังคม หรือระเบียบประเพณีที่กำหนดไว้ อาทิ สิ่งที่ดำเนินการให้ประโยชน์ต่อสังคมใน ด้านใดบ้าง หรือผลที่ได้รับมีความสอดคล้องกับหลักการที่กำหนดให้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น จากการวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา ที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุป ได้ว่า การวัดและประเมินผลของผู้เรียนด้านพุทธิพิสัย แบ่งเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจการ นำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วัดพฤติกรรมทาง การศึกษาด้านพุทธิพิสัย 2 ระดับ คือ ความรู้ และความเข้าใจ 2.4.4 เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยเป็นผลสำเร็จของการเรียนภาษาไทยของผู้เรียนและการสอนของ ครูผู้สอน เช่น ผลสัมฤทธิ์การเรียนวรรณคดีวรรณกรรม ผู้เรียนแต่ละคนจะประสบความสำเร็จ ในการเรียนรู้เรื่องวรรณคดีวรรณกรรมไม่เท่ากันแม้จะเรียนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันและมีสภาพแวดล้อม ในการเรียนที่คล้ายกัน ผลสัมฤทธิ์การเรียนวรรณคดีวรรณกรรมของผู้เรียนขึ้นอยู่กับความสามารถ ทางสมองความสนใจ และประสบการณ์ทางภาษาของผู้เรียน การรู้ผลสัมฤทธิ์การเรียนแต่ละทักษะ ของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนนำผลไปใช้พัฒนาการสอน และการเรียนให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การวัดผลสัมฤทธิ์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานเพื่อผลที่วัดออกมา จะได้มีความเชื่อถือกระบวนการ วัดผลจึงต้องมีระบบซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการบริหารการใช้เครื่องมือวัดผล สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2551: 55) กล่าวถึงการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เป็นการวัดพื้นฐานการเรียนภาษาไทยของผู้เรียนก่อนที่กิจกรรมการเรียนจะเริ่มขึ้น ผู้สอนอาจทำการวัดพื้นฐานการเรียนในชั่วโมงแรกของการเปิดภาคเรียนเพื่อนำผลมาวินิจฉัยว่าผู้เรียน มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่จะเรียนภาษาไทยมากหรือน้อย ผู้สอนจะได้ นำผลมาใช้เป็นแนวทาง ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป 2) เป็นการวัดผลภายหลังที่ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เช่น ในภาคเรียนหนึ่งกำหนดให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทย โดยสามารถจำ เข้าใจ นำไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าได้ อย่างน้อยร้อยละ 60 มีเนื้อหาสาระจากแบบเรียนและ หนังสืออ่านประกอบซึ่งเป็นสื่อใช้ฝึกความรู้ทางภาษาไทยให้นักเรียนเปลี่ยนพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ การวัดผลโดยใช้เครื่องมือวัดผลฤทธิ์จะช่วยให้ผู้สอนรู้ว่าผู้เรียนประสบความสำเร็จตามเกณฑ์อย่างน้อย ร้อยละ 60 หรือไม่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ ก็จำเป็นต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป
๓๒ 3) เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับคะแนนเฉลี่ยของ กลุ่มผู้เรียนเพื่อพิจารณาว่าสูงหรือต่ำจากค่าเฉลี่ย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงกิจกรรมการเรียน การสอนในการพัฒนาให้ผู้เรียนแต่ละคนให้มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูงขึ้นกว่าเดิม 4) เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน การทดสอบก่อนเรียนจะใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนจึงดำเนินการสอนตามวัตถุประสงค์เมื่อครบ ตามเวลาที่กำหนดการสอน แล้วจึงทดสอบหลังเรียนด้วยข้อทดสอบชุดเดียวกับการวัดผลก่อนเรียน จากนั้นจึงนำคะแนนทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน เพื่อพิจารณาความแตกต่างว่าคะแนนหลังเรียนสูงขึ้น หรือต่ำกว่าเดิม ผลที่ปรากฏจะใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแผนการสอนภาษาไทย เพื่อจัดกิจกรรมให้ ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น 5) เปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบกับเวลาเฉลี่ยที่เป็นมาตรฐาน ผู้เรียนบางคน อาจใช้เวลามากหรือน้อยจากเวลาที่เป็นมาตรฐานของการทำข้อสอบ การใช้เวลาที่แตกต่างกันอาจ ชี้ให้เห็นทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง ข้อดีคือผู้เรียนทำข้อสอบได้จึงใช้เวลาน้อยกว่าที่กำหนด ข้อบกพร่องคือ เมื่อทำข้อสอบไม่ได้จะใช้วิธีการเดา ทำให้เสร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนด นอกจากนั้นบางคนอาจทำข้อสอบไม่ ทันตามเวลาข้อสังเกตตามที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ผู้สอนนำมาปรับการบริหารเครื่องมือให้ผู้เรียนใช้เวลาใน การทำข้อสอบได้ตามที่กำหนดต่อไป 6) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาไทยระหว่างทักษะต่าง ๆ ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยนำคะแนนที่ได้มาปรับเป็นคะแนนมาตรฐาน แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกัน ทำให้เห็น ความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนของแต่ละทักษะ ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าควรปรับปรุงทักษะใด ให้มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับทักษะอื่น ๆ 7) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยกับผลการเรียนวิชาอื่น ๆ โดยปรับให้เป็น คะแนนมาตรฐาน แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกันจะทำให้เห็นคะแนนผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทยใกล้เคียง กับวิชาอื่น ๆ หรือไม่ เพื่อผู้สอนและผู้เรียนจะได้ปรับปรุงผลการเรียนของแต่ละวิชาให้ดีขึ้น จากวัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถ สรุปได้ว่า การใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนมีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดความรู้พื้นฐานก่อนเรียน วัดผล หลังเรียน เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม และ เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน ผู้วิจัยนำความรู้นี้ไป ใช้ในงานวิจัยโดยการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการพัฒนาและ เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนเรื่องนิราศเดือน โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และให้คะแนน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนด
๓๓ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องในด้านของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT กับการสอนภาษาไทยและวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีไทย พบมี 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 งานวิจัยที่เกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการสอนภาษาไทย กลุ่มที่ 2 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาการสอนวรรณคดีไทยร่วมกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.5.1 งานวิจัยที่เกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการสอนภาษาไทย มณี บุญญาติศัย (2548) ได้วิจัยเรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องประโยค ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการสอน แบบปกติ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องประโยคของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 และ 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดบางน้อย อำเภอบางคนที สังกัด เขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 จำนวน 56 คนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนและแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องประโยคแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยกลุ่มที่เรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่เรียนแบบปกติ และนักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT อยู่ในเชิงบวก สารสิน เล็กเจริญ (2554) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคTGT กับการสอนแบบปกติ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค TGT กับการสอนแบบปกติ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนสะกดคำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนโดยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT 3) ศึกษา ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล กรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 มีนักเรียน 120 คน จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 60 คน โดย การสุ่มอย่างง่ายและจับฉลาก ได้ห้องประถมศึกษาปีที่ 1/3 เป็นกลุ่มทดลอง เรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT และได้ห้องประถมศึกษาปีที่ 1/4 เป็นกลุ่มควบคุม เรียนแบบปกติ ใช้เวลาทดลอง 11 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการเขียนสะกดคำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนและแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนแบบ ร่วมมือเทคนิคTGT การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (x̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
๓๔ การทดสอบค่าที่แบบอิสระ (t-test Independent) การทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระ (t-test Dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่องการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค TGTสูงกว่าที่ได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่องการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบ ร่วมมือเทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ความคิดเห็น ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT อยู่ในระดับมาก รัตนา บุตรอุดม (2558) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่น ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านและเขียนภาษาไทยก่อน และหลัง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย และ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจำวัน หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนบ้านโนนแฝกอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การอ่านแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนและแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และการทดสอบ ที่แบบ t-test Dependent ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ ภาษาถิ่น ในชีวิตประจำวัน หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่น ในชีวิตประจำวันหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียน ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจำวันสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจำวัน หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย มีพฤติกรรมการทำงานกลุ่มอยู่ในระดับสูงมาก
๓๕ 2.5.2 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาการสอนวรรณคดีไทยร่วมกับกระบวนการ จัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ปนัดดา ใจสุทธิ์ (2558) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิค การคิดแบบหมวกหกใบ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนวรรณคดีไทยที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค จิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวก หกใบ และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยาที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบ หมวกหกใบ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน(t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Contentanalysis) ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และความคิดเห็นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ร่วมกับเทคนิค การคิดแบบหมวกหกใบ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พรพิมล หงษ์น้อย (2559) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องมัทนะพาธาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยเรื่องมัทนะพาธาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนถาวรานุกูลอำเภอเมืองสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสงคราม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัด การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องมัทนะพาธาและแบบสอบถามความคิดเห็นผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องมัทนะพาธาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 01 นักเรียนมีความคิดเห็น ต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) อยู่ในระดับมากที่สุด
๓๖ แสนรัก บัวทอง (2559) วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในการเรียนวรรณคดีไทยโดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 46 คน ที่ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสุภาษิตพระร่วงและนิราศภูเขาทองที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่องสุภาษิตพระร่วงและนิราศภูเขาทอง และ 3) แบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในการเรียนวรรณคดีไทย โดยใช้เกมและ เพลงพื้นบ้าน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระ ต่อกัน (t-test for dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและเพลงพื้นบ้าน หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อน การจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดไว้ 2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในการเรียนวรรณคดีไทยโดยใช้ เกมและเพลงพื้นบ้าน พบว่าโดยภาพรวมเห็นด้วยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า นักเรียนเห็นด้วยมากที่สุด ในด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ตามลำดับ นเรศ ทองอินทร์ และบุษบา บัวสมบูรณ์ (2561) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนวรรณคดีไทยของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีตอบสนองผู้อ่านร่วมกับการใช้เทคนิค คำ ถ า ม แ บ บ RCA ก า ร ว ิ จั ยคร ั้ งนี ้ม ีว ัต ถ ุป ระสงค์ เ พื ่อ 1 ) เ ป ร ี ย บ เ ทีย บ ผลสัมฤทธิ์ การเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ ตามทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่าน ร่วมกับการใช้เทคนิคคำถามแบบ RCA 2) ศึกษาความคิดเห็นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัด การเรียนรู้ตามทฤษฎีการตอบสนองของผู้อ่าน ร่วมกับการใช้ เทคนิคคำถามแบบ RCA กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/5 โรงเรียน สมุทรสาครวิทยาลัย ตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 45 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการตอบสนองของ ผู้อ่าน ร่วมกับการใช้เทคนิคคำถามแบบ RCA แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและหลังเรียน วรรณคดีไทยแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวรรณคดีไทยตามทฤษฎี การตอบสนองของผู้อ่านร่วมกับการใช้เทคนิคคำถามแบบ RCA การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ สอบค่าที่แบบกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์การเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยวิธี การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีตอบสนองผู้อ่าน ร่วมกับการใช้เทคนิคคำถาม
๓๗ แบบ RCA หลังเรียน X = 10.4,S.D. = 2.93) สูงกว่าก่อนเรียน (X = 22.0, S.D. = 2.43) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและ หลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีตอบสนองผู้อ่าน ร่วมกับการใช้เทคนิคคำถามแบบ RCA อยู่ในระดับมาก (X = 4.47, S.D. = 0.37) งานวิจัยต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่ามีการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ส่วนใหญ่จะใช้กับการสอนภาษาไทยเนื้อหาหลักภาษาเป็นหลัก และการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย ส่วนใหญ่จะใช้กับวิธีการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีตอบสนองผู้อ่าน และเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ เป็นหลัก ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ายังไม่มีงานวิจัยใดที่ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กับการสอนวรรณคดีไทย แต่ด้วยลักษณะของกิจกรรมกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT เป็นการอธิบายลักษณะของเนื้อหาเหมาะแก่การเชื่อมโยงประสบการณ์ซึ่งมีความคล้ายกับกระบวน การทฤษฎีตอบสนองผู้อ่าน ผู้วิจัยจึงเห็นว่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถพัฒนาผู้เรียนได้โดยผู้วิจัยจะนำ ความรู้หรือเนื้อหาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้แก่ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ความหมายของวรรณคดี ความสำคัญคุณค่าของวรรณคดีวรรณคดี ที่ใช้ในงานวิจัย กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มาใช้ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จัดทำสื่อและ แบบฝึกหัดจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนี้ ผู้วิจัยจะนำความรู้ไปใช้ ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จัดทำสื่อ จัดทำแบบฝึกหัด และนำกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทยในเรื่องนิราศเดือน เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ 2.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้าน วรรณคดีผู้วิจัยพบว่าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านวรรณคดีนั้นมีวิธีการที่หลากหลาย และแตกต่างกันออกไป ผู้วิจัยได้ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT พบว่า งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ นักเรียนสนใจในกิจกรรมมากขึ้น ผู้วิจัยจึงมีแนวความคิดที่จะใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ในการพัฒนานักเรียนด้านวรรณคดีโดยจะยึด กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวิธีสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย การจัดเตรียมเนื้อหาสาระและการจัดเตรียมเกม 2. ขั้นจัดทีม ผู้สอนจัดทีมผู้เรียน โดยให้คละกันทั้งเพศ และ ความสามารถทีมละประมาณ 4-5 3. ขั้นการเรียนรู้ ประกอบด้วย แนะนำวิธีการเรียนรู้ วางแผนการเรียนรู้ และการแข่งขันร่วมกัน 4. ขั้นการแข่งขัน ประกอบด้วยแนะนำการแข่งขัน จัดผู้เรียน เข้าประจำโต๊ะการแข่งขัน 5. ขั้นยอมรับความสำเร็จของทีม ผู้สอนประกาศผลการแข่งขัน และเผยแพร่
๓๘ การจัดการเรียนรู้แบบแบบร่วมมือเทคนิค TGT เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถ กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการคิด เนื่องจากมีการแข่งขันในการทำกิจกรรม จึงทำให้ นักเรียนให้ความร่วมมือในกิจกรรมเป็นอย่างดีเกิดความสามัคคีและการยอมรับผลคะแนนที่ได้ เกิดเป็น ผลงานที่มีประสิทธิภาพ การจัดการเรียนรู้จึงเหมาะสมกับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเรื่องนิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยดังต่อไปนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการสอนแบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT เรื่อง นิราศเดือน 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี ไทย เรื่อง นิราศเดือน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทอง อินทร์สวนมอญ ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย
๓๙ บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ โดยผู้วิจัยได้นำเสนอวิธีดำเนินการศึกษาตามหัวข้อดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 แบบแผนการวิจัย 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 3.5 การรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จำนวน 19 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านทองอินทร์สวนมอญ อำเภอกุมภวาปี จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 19 คน 3.2 แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการวิจัย (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง การทดลอง (One group Pretest – Posttest Design) กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E 1 X 2 ตาราง 6 รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง
๔๐ E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group) 1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน รูปแบบการเรียนแบบทีมแข่งขัน (TGT) 2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย เรื่องนิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT และแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องนิราศเดือน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT จำนวน 5 แผน คือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิราศเดือน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 นิราศเดือนห้า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 นิราศเดือนหก แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 นิราศเดือนสิบสอง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องนิราศเดือน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แบบปรนัย จำนวน 20 ข้อ 3.4 การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยกำหนดรายละเอียดของการสร้าง และหาประสิทธิภาพของเครื่องมือในการวิจัย ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 1.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT 1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย คู่มือครู หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษไทย ชุด ภาษาเพื่อชีวิต ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 เรียบเรียงโดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ 1.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.4 กำหนดเนื้อหาและระยะเวลาในการวิจัย สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์ การเรียนรู้เรื่องเรื่อง นิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT โดยใช้เวลา ในการดำเนินการวิจัยทั้งหมด 5 แผนการเรียนรู้ แผนละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง
๔๑ 1.5 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องนิราศเดือน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน สาระการเรียนรู้ ชิ้นงาน / ภาระงาน กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล โดยกำหนดขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ นิราศเดือน ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค TGT ดังนี้ 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ประกอบด้วย ครูจัดเตรียมเนื้อหา ใบความรู้ คำถามใน การแข่งขันเกี่ยวกับบทเรียนและจัดกลุ่มให้กับผู้เรียน ซึ่งครูแบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4-6 คน โดยคละ นักเรียนที่มีความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ร่วมกัน 2) ขั้นสอน ประกอบด้วย ครูนำเสนอเนื้อหาให้นักเรียนทั้งชั้นก่อน โดยใช้ เทคนิควิธีที่เหมาะสมทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อเชื่อมโยงให้เข้ากับเนื้อหาใหม่ นักเรียนต้องสนใจ ซึ่งนักเรียนแต่ละกลุ่มจะแข่งขันกันตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียน โดยยึดหลัก นักเรียนที่มีความสามารถทัดเทียมกันคือ นักเรียนเก่งของแต่ละทีมแข่งขันกัน นักเรียนปานกลางของแต่ ละทีมแข่งขันกัน และนักเรียนอ่อนของแต่ละทีมแข่งขันกัน 3) ขั้นสรุป ประกอบด้วย ครูสรุปเนื้อหาและประกาศผลการแข่งขัน และ เผยแพร่สู่สาธารณชนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จดหมาย 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบเรื่อง การใช้ภาษา ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผล 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาภาษาไทย ด้านหลักสูตรการสอน การวิจัย และการวัดผลประเมินผล ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้และการวัดผล ประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ ให้คะแนน ดังนี้ - ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง - ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง - ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและสอดคล้อง