The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ฺBT Teacher, 2022-09-14 12:21:13

49

ชื่อรายวชิ า คณติ ศาสตรเ์ พ่มิ เติม4 รหัสวิชา ค20202

คาอธิบายรายวชิ า
ศกึ ษาความรูพ๎ ้นื ฐาน ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณและฝึกการแก๎ปญั หาในเนื้อหาเกย่ี วกับการ
แยกตวั ประกอบของพหนุ ามดีกรีสอง สมการกาลังสองตวั แปรเดยี วและการแปรผนั

โดยจดั ประสบการณ์ให๎ผเ๎ู รยี น ได๎ศกึ ษา ฝึกทกั ษะการคิดคานวณ ฝกึ การแกโ๎ จทย์
ปญั หา เพื่อพฒั นาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแก๎ปัญหา การใหเ๎ หตผุ ล การสือ่
ความหมายทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ ๎านความรค๎ู วามคิด ทักษะ / กระบวนการท่ีได๎ไปใช๎
ในการเรียนร๎ูสิ่งตาํ ง ๆ และใช๎ในชีวติ ประจาวนั อยาํ งสรา๎ งสรรค์ รวมทง้ั เหน็ คุณคาํ และมเี จตคติท่ีดีตํอ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานได๎อยาํ งเปน็ ระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มีวิจารณญาณ
และเชือ่ มัน่ ในตนเอง ทัง้ ในและนอกช้ันเรียน
ผลการเรยี นร๎ู
1. แยกตัวประกอบของพหนุ ามดีกรีสองได๎
2. แก๎สมการกาลังสองตัวแปรเดียวโดยใชก๎ ารแยกตัวประกอบได๎
3. แกโ๎ จทยป์ ัญหาเกี่ยวกับสมการกาลงั สองตัวแปรเดยี วโดยใช๎การแยกตวั ประกอบได๎
4. ตระหนักถงึ ความสมเหตสุ มผลของคาตอบท่ไี ด๎
5. เขียนสมการแสดงการแปรผนั ระหวาํ งปรมิ าณสองปรมิ าณใดๆซ่ึงแปรผันตํอกนั ได๎
6. แกป๎ ญั หาหรอื สถานการณ์ทก่ี าหนดโดยใช๎ความร๎ูเก่ยี วกับการแปรผันได๎
7. ตระหนักถงึ ความสมเหตุสมผลของคาตอบทีไ่ ด๎
รวมท้ังหมด 7 ผลการเรยี นรู๎

50

ชื่อรายวิชา คณิตศาสตรเ์ พ่มิ เตมิ 5 รหัสวิชา ค20201

คาอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษาความรพ๎ู ื้นฐาน ฝึกทกั ษะการคิดคานวณและฝึกการแกป๎ ัญหาในเนื้อหาเกีย่ วกบั กรณฑท์ ่สี อง การ
แยกตัวประกอบของพหนุ ามและสมการกาลงั สองและพาราโบลา

โดยจัดประสบการณ์ใหผ๎ ู๎เรยี น ไดศ๎ กึ ษา ฝึกทกั ษะการคิดคานวณ ฝกึ การแก๎โจทย์ปัญหา
เพอื่ พัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแกป๎ ญั หา การให๎เหตผุ ล การสือ่ ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณ์ดา๎ นความร๎คู วามคดิ ทกั ษะ / กระบวนการที่ได๎ไปใช๎ในการ
เรียนรส๎ู ง่ิ ตําง ๆ และใช๎ในชีวติ ประจาวันอยาํ งสร๎างสรรค์ รวมทั้งเห็นคณุ คําและมเี จตคติทีด่ ตี ํอ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานได๎อยํางเป็นระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มีวจิ ารณญาณ
และเช่อื มั่นในตนเอง ทั้งในและนอกช้ันเรียน
ผลการเรียนรู้

1. บวก ลบ คณู และหารจานวนจริงทอ่ี ยใํู นรปู เมื่อ โดยใชส๎ มบตั ิ

1.1 เมือ่ และ

1.2 เม่อื และ
2. แยกตัวประกอบของพหุนามดีกรสี องโดยวิธีทาเปน็ กาลังสองสมบรู ณ์ได๎
3. แยกตัวประกอบของพหุนามดกี รสี ูงที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจานวนเตม็ โดยอาศัยวธิ ที าเป็นกาลังสอง
สมบูรณไ์ ด๎

4. แก๎สมการกาลงั สองตวั แปรเดยี วโดยใชส๎ ตู ร เมื่อ
5. แกโ๎ จทยป์ ญั หาเกี่ยวกับสมการกาลังสองตัวแปรเดยี วได๎
6. ตระหนักถงึ ความสมเหตุสมผลของคาตอบท่ีได๎
7. เขียนกราฟของพาราโบลาทีก่ าหนดให๎ได๎
8. บอกลักษณะของกราฟพาราโบลาทกี่ าหนดให๎ได๎
รวมท้ังหมด 8 ผลการเรยี นรู้

51

ชอื่ รายวชิ า คณติ ศาสตรเ์ พ่ิมเติม6 รหัสวิชา ค20202

คาอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษาความร๎พู ้นื ฐาน ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณและฝึกการแกป๎ ญั หาในเน้ือหาเกี่ยวกบั การให๎เหตุผล
เกยี่ วกับรปู สามเหลย่ี มและรปู สี่เหล่ียม ระบบสมการ วงกลม และเศษสวํ นของพหนุ าม

โดยจัดประสบการณ์ให๎ผูเ๎ รียน ไดศ๎ ึกษา ฝกึ ทกั ษะการคดิ คานวณ ฝกึ การแกโ๎ จทย์
ปญั หา เพ่ือพัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแก๎ปญั หา การให๎เหตผุ ล การสื่อ
ความหมายทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ ๎านความรู๎ความคิด ทักษะ / กระบวนการทไ่ี ด๎ไปใช๎
ในการเรยี นร๎ูส่งิ ตาํ ง ๆ และใช๎ในชีวติ ประจาวนั อยาํ งสรา๎ งสรรค์ รวมทง้ั เหน็ คณุ คาํ และมเี จตคติที่ดตี ํอ
คณิตศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยํางเปน็ ระบบระเบียบรอบคอบ มีความรบั ผิดชอบ มีวจิ ารณญาณ
และเชือ่ ม่นั ในตนเอง ทงั้ ในและนอกชัน้ เรียน
ผลการเรียนรู้
1. สร๎างและให๎เหตผุ ลเกยี่ วกับการสรา๎ งรูปเหลย่ี มและรูปวงกลมได๎
2. ใชส๎ มบตั ิเกยี่ วกับวงกลในการให๎เหตุผลได๎
3. แก๎ระบบสมการสองตัวแปรทส่ี มการมีดีกรไี มํเกินสองได๎
4. แกโ๎ จทย์ปญั หาเกีย่ วกบั ระบบสมการสองตัวแปรที่สมการมดี ีกรไี มเํ กนิ สองได๎
5. ตระหนักถึงความสมเหตสุ มผลของคาตอบท่ไี ด๎
6. บวก ลบ คณู และหารพหุนามได๎
7. บวก ลบ คูณและหารเศษสํวนของพหุนามท่ีมดี กี รีไมํเกนิ หนึ่งได๎
รวมทั้งหมด 7 ผลการเรียนรู้

52

ช่ือวชิ า คณิตศาสตร์พน้ื ฐาน1 รหสั วชิ า ค31101
คาอธิบายรายวิชา

ศกึ ษาความร๎พู ื้นฐาน ฝึกทกั ษะการคิดคานวณและฝึกการแกป๎ ัญหาในเน้ือหาเก่ยี วกับ
เซตการเทํากันของเซต สบั เซต แผนภาพเวนน์ – ออยเลอร์ แผนภาพเสน๎ ตรง การดาเนินการบนเซต
เพาเวอร์เซต จานวนสมาชิกของเซตจากัด

การใหเ๎ หตุผล การอา๎ งเหตผุ ล ความสมเหตุสมผล การใหเ๎ หตผุ ลแบบอุปนยั และการใหเ๎ หตุผล
แบบนิรนยั

จานวนจรงิ ความสมั พนั ธ์ของจานวนจริงตําง ๆ ในระบบจานวนจริง สมบตั ขิ องจานวนจริงท่ี
เกยี่ วกบั การบวก การคณู การเทาํ กัน การไมเํ ทํากนั สมการกาลังสองตัวแปรเดยี ว อสมการตัวแปร
เดียวและคําสัมบูรณ์ของจานวนจริง

เลขยกกาลงั ทม่ี เี ลขช้ีกาลงั เป็นจานวนตรรกยะ ความหมายและผลลัพธท์ ่ีเกิดจากการบวก การ
ลบ การคูณ และการหารจานวนจริง จานวนจรงิ ทอี่ ยูํในรูปเลขยกกาลังทมี่ เี ลขชี้กาลังเป็นจานวนตรรก
ยะและจานวนจรงิ ในรปู กรณฑ์ การหาคาํ ประมาณของจานวนจริงที่อยูํในรูปกรณฑ์และจานวนที่อยูใํ น
รูปเลขยกกาลงั โดยใชว๎ ิธีการคานวณ

โดยจัดประสบการณ์ใหผ๎ เ๎ู รยี น ได๎ศกึ ษา ฝึกทักษะการคดิ คานวณ ฝกึ การแกโ๎ จทย์ปัญหา
เพือ่ พัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแกป๎ ญั หา การให๎เหตุผล การสื่อความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณ์ดา๎ นความรู๎ความคิด ทกั ษะ / กระบวนการทีไ่ ด๎ไปใช๎ในการ
เรยี นร๎สู งิ่ ตําง ๆ และใช๎ในชีวติ ประจาวันอยาํ งสรา๎ งสรรค์ รวมทัง้ เหน็ คณุ คําและมีเจตคติที่ดตี อํ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยาํ งเปน็ ระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ
และเชือ่ มนั่ ในตนเอง ทง้ั ในและนอกช้ันเรียน
ตัวชว้ี ัด
ค1.1ม.4/1-3
ค1.2ม.4/1
ค1.4ม.4/1
ค2.1ม.4/1
ค2.2ม.4/1
ค4.1ม.4/1-3
ค6.1ม.4/1-6
รวมท้ังหมด 16 ตัวช้วี ัด

53

ชือ่ วิชา คณิตศาสตร์พืน้ ฐาน2 รหัสวชิ า ค31102
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศึกษาความร๎พู ื้นฐาน ฝกึ ทักษะการคดิ คานวณและฝึกการแกป๎ ญั หาในเนื้อหาเก่ียวกับ
ความสมั พันธ์และฟงั ก์ชัน ความคิดรวบยอดเกย่ี วกบั ความสมั พันธ์และฟังกช์ ัน เขยี นแทน
ความสัมพนั ธ์และฟังก์ชันในรูปตําง ๆ เชนํ สมการ กราฟ และตาราง สรา๎ งความสมั พันธ์หรือฟงั ก์ชัน
จากสถานการณห์ รอื ปัญหาที่กาหนดให๎และนาไปใชใ๎ นการแกป๎ ญั หา เขียนกราฟของสมการ อสมการ
และตัวอยาํ งฟงั ก์ชันทค่ี วรรจ๎ู ัก
อตั ราสํวนตรีโกณมติ ิ นาความร๎ูเรอื่ งอัตราสํวนตรโี กณมติ ิของมุมทีก่ าหนดให๎ในการคาดคะเน
ระยะทางและความสงู นาความร๎ูเรือ่ งอตั ราสวํ นตรีโกณมิติแกป๎ ญั หาเกย่ี วกบั การวัด
โดยจดั ประสบการณ์ใหผ๎ ู๎เรยี น ไดศ๎ ึกษา ฝกึ ทักษะการคดิ คานวณ ฝกึ การแกโ๎ จทย์ปัญหา
เพอื่ พัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคดิ คานวณ การแกป๎ ัญหา การใหเ๎ หตผุ ล การสอ่ื ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ ๎านความรู๎ความคดิ ทกั ษะ / กระบวนการท่ไี ด๎ไปใชใ๎ นการ
เรียนร๎สู ิง่ ตําง ๆ และใช๎ในชวี ิตประจาวนั อยาํ งสร๎างสรรค์ รวมทงั้ เห็นคณุ คําและมีเจตคติทด่ี ีตํอ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยํางเปน็ ระบบระเบียบรอบคอบ มีความรบั ผิดชอบ มีวจิ ารณญาณ
และเชือ่ มัน่ ในตนเอง ท้งั ในและนอกชนั้ เรยี น
ตัวช้วี ดั
ค4.2ม4/1-5
ค6.1ม4/1-6
รวมท้งั หมด 11 ตัวชวี้ ดั

54

ชอื่ วิชา คณติ ศาสตร์พน้ื ฐาน3 รหัสวิชา ค32101
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศกึ ษาความรู๎พนื้ ฐาน ฝึกทกั ษะการคดิ คานวณและฝึกการแกป๎ ญั หาในเนื้อหาเก่ยี วกับ
ลาดบั และอนุกรม ลาดบั ลาดับเรขาคณิต ลาดบั เรขาคณติ อนกุ รมเลขคณิต ผลบวก n
พจนแ์ รกของอนุกรมเลขคณิต อนกุ รมเรขาคณิต ผลบวก n พจนแ์ รกของอนุกรมเลขคณิต
ความนาํ จะเปน็ กฎเกณฑเ์ บื้องตน้ เก่ียวกับการนบั การทดลองสุ่ม แซมเปิลสเปซ เหตกุ ารณ์ และ
ความนา่ จะเปน็ ของเหตกุ ารณ์
โดยจดั ประสบการณ์ใหผ๎ เู๎ รยี น ไดศ๎ ึกษา ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณ ฝกึ การแก๎โจทย์ปัญหา
เพื่อพัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแกป๎ ญั หา การให๎เหตผุ ล การสอ่ื ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ า๎ นความร๎คู วามคดิ ทกั ษะ / กระบวนการทไ่ี ด๎ไปใชใ๎ นการ
เรียนรสู๎ ิ่งตาํ ง ๆ และใช๎ในชีวิตประจาวันอยาํ งสรา๎ งสรรค์ รวมทงั้ เหน็ คณุ คาํ และมเี จตคติที่ดีตอํ
คณิตศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยํางเปน็ ระบบระเบียบรอบคอบ มีความรบั ผดิ ชอบ มีวิจารณญาณ
และเชอื่ ม่นั ในตนเอง ทั้งในและนอกชน้ั เรียน
ตัวช้วี ัด
ค4.1ม5/4
ค5.1ม5/1-3
ค5.3ม5/1
ค6.1ม4/1-6
รวมท้งั หมด 14 ตัวชี้วัด

55

ช่ือวิชา คณติ ศาสตร์พ้ืนฐาน4 รหัสวชิ า ค32102
คาอธิบายรายวิชา

ศึกษาความรูพ๎ ื้นฐาน ฝกึ ทกั ษะการคดิ คานวณและฝึกการแก๎ปัญหาในเนื้อหาเกี่ยวกับ
สถิติเบอ้ื งตน้ การเกบ็ รวบรวมข๎อมลู การหาคํากลางของข๎อมลู การวเิ คราะห์ข๎อมูลเบ้ืองตน๎ โดยใช๎คํา
กลาง การวัดการกระจายโดยใช๎สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การหาคําตาแหนงํ ท่ีขอ๎ มลู โดยใชเ๎ ปอร์เซ็นไทล์
การนาเสนอข๎อมูลในรูปแบบตาํ งๆ การใช๎คําสถติ ิในการตดั สนิ ใจ

โดยจัดประสบการณ์ให๎ผเ๎ู รยี น ไดศ๎ ึกษา ฝึกทกั ษะการคิดคานวณ ฝกึ การแก๎โจทยป์ ัญหา
เพ่อื พัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคดิ คานวณ การแก๎ปญั หา การให๎เหตผุ ล การสอ่ื ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ ๎านความรคู๎ วามคดิ ทกั ษะ / กระบวนการทไ่ี ด๎ไปใช๎ในการ
เรียนร๎ูสิ่งตาํ ง ๆ และใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั อยํางสร๎างสรรค์ รวมท้งั เหน็ คุณคาํ และมีเจตคติทีด่ ีตํอ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยาํ งเป็นระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรับผดิ ชอบ มวี จิ ารณญาณ
และเชือ่ มัน่ ในตนเอง ทัง้ ในและนอกชน้ั เรียน
ตวั ชีว้ ัด
ค5.3ม5/1
ค6.1ม4/1-6
รวมท้ังหมด 7 ตวั ช้วี ัด

56

ชือ่ วิชา คณติ ศาสตรเ์ พ่มิ เติม1 รหสั วชิ า ค31201
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศึกษาความร๎พู ื้นฐาน ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณและฝึกการแกป๎ ญั หาในเน้ือหาเกี่ยวกับ
ตรรกศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ ประพจน์ การเช่อื มประพจน์ การหาคําความจริง การสร๎างตารางคํา
ความจรงิ รูปแบบของประพจน์ทส่ี มมลู กัน สัจนิรนั ดร์ ประโยคเปิด ตวั บํงปริมาณ คาํ ความจรงิ ของ
ประพจน์ที่มีตัวบงํ ปรมิ าณ การสมมูลกนั ของประพจน์ที่มีตัวบงํ ปริมาณ นิเสธของประพจน์ทม่ี ีตัวบงํ
ปริมาณ สัจนริ นั ดร์ของรปู แบบของประพจน์ทีม่ ีตัวบงํ ปริมาณและการอ๎างเหตผุ ล
ระบบจานวนจรงิ สมบตั ิของจานวนจริง การแก๎สมการพหุนามที่มีตวั แปรเดียว การไมํ
เทาํ กัน ชวํ ง การแก๎อสมการ และคาํ สัมบรู ณ์
ทฤษฎจี านวนเบื้องตน้ การหารลงตวั สมบตั กิ ารหารลงตัว จานวนเฉพาะ จานวน
ประกอบ ข้ันตอนการหาร ตวั หารรวํ มมาก จานวนเฉพาะสัมพทั ธ์ และตัวคูณรวํ มน๎อย
โดยจัดประสบการณ์ให๎ผ๎เู รียน ไดศ๎ กึ ษา ฝกึ ทักษะการคิดคานวณ ฝกึ การแก๎โจทยป์ ัญหา
เพื่อพฒั นาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแก๎ปญั หา การใหเ๎ หตผุ ล การสอื่ ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ ๎านความร๎ูความคดิ ทกั ษะ / กระบวนการทไ่ี ด๎ไปใชใ๎ นการ
เรียนรูส๎ ิง่ ตําง ๆ และใชใ๎ นชีวติ ประจาวนั อยํางสรา๎ งสรรค์ รวมท้ังเหน็ คุณคําและมเี จตคติที่ดตี อํ
คณิตศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยํางเป็นระบบระเบียบรอบคอบ มีความรบั ผิดชอบ มวี ิจารณญาณ
และเชื่อมัน่ ในตนเอง ทงั้ ในและนอกชั้นเรียน
ผลการเรียนรู้
1. บอกความคิดรวบยอดในเร่อื งตรรกศาสตร์และหาคาํ ความจริงของประพจนเ์ มื่อกาหนดเงอื่ นไขที่
เพียงพอในรูปตําง ๆ ได๎
2. สร๎างตารางคําความจรงิ และบอกได๎วําประพจน์คใูํ ดสมมูลกันประพจนใ์ ดเปน็ สัจนริ ันดร์
3. บอกคาํ ความจรงิ ของประโยคท่ีมีตวั บงํ ปรมิ าณและบอกไดว๎ าํ ประโยคที่มีตวั บงํ ปริมาณสมมูลกันหรือ
เป็นนิเสธกัน
4. บอกไดว๎ ําการอ๎างเหตุผลทกี่ าหนดใหส๎ มเหตสุ มผลหรอื ไมํ
5. แสดงความสัมพนั ธ์ของจานวนตําง ๆ ในระบบจานวนจริงได๎
6. เข๎าใจสมบัติการเทํากนั การบวก การคณู จานวนจริงความหมายการลบและการหารจานวนจรงิ ได๎
7. แก๎สมการพหุนามตวั แปรเดียวดีกรไี มํเกนิ ส่ีได๎
8. เขา๎ ใจสมบตั ิการไมเํ ทํากันของจานวนจริงได๎
9. เขา๎ ใจความหมายของชํวงเขียนชํวงและแก๎อสมการได๎
10. มีความคิดรวบยอดเกย่ี วกับคําสมั บรู ณ์ของจานวนจรงิ เข๎าใจสมบัติของคาํ สมั บูรณ์แกส๎ มการและ
อสมการทอี่ ยูใํ นรูปคาํ สัมบูรณ์ได๎
11. เข๎าใจสมบัติของจานวนเตม็ เกีย่ วกบั การหารลงตัว จานวนเฉพาะ จานวนประกอบ ตัวคูณรวํ มน๎อย
ตัวหารรํวมมากและนาไปใช๎ได๎
รวมท้งั หมด 11 ผลการเรยี นร๎ู

57

ช่อื วชิ า คณติ ศาสตร์เพ่มิ เติม2 รหสั วชิ า ค31202
คาอธิบายรายวชิ า

ศึกษาความรพู๎ ื้นฐาน ฝกึ ทักษะการคิดคานวณและฝึกการแก๎ปญั หาในเนื้อหาเก่ียวกับ
เมทรกิ ซ์ เมทรกิ ซบ์ างชนิด การดาเนินการบนเมทริกซ์ ทรานสโพสของเมทรกิ ซ์ Non
singular matrix Singular matrix ดเี ทอร์มนิ ันต์ สมบัตขิ องดีเทอร์มินนั ต์ การหาดีเทอรม์ นิ นั ตโ์ ดย
การกระจาย Co – factor การแก๎ระบบสมการเชงิ เสน๎ โดยใชเ๎ มทริกซ์และดเี ทอรม์ ินันต์
ฟังกช์ นั ความหมายของฟังก์ชัน ฟังก์ชันจากเซตหน่ึงไปอีกเซตหนงึ่ ฟงั กช์ ันเพิ่มและฟังก์ชันลด ชนิด
ของฟังก์ชันท่ีควรทราบ ฟงั กช์ นั คอมโพสิท ฟังกช์ นั อินเวอร์ส พชี คณติ ของฟงั กช์ ัน
เรขาคณิตวิเคราะห์ เสน๎ ตรง ระยะทางระหวํางจุด จดุ แบํงของสํวนของเส๎นตรง ความชนั
ของเส๎นตรง เส๎นขนาน เสน๎ ตง้ั ฉาก ความสัมพันธซ์ ึง่ มีกราฟเปน็ เสน๎ ตรง ระยะหํางระหวํางเส๎นตรง
กบั จุด วงกลม พาราโบลา วงรี ไฮเพอร์โบลา
โดยจดั ประสบการณ์ให๎ผ๎เู รียน ได๎ศกึ ษา ฝกึ ทักษะการคดิ คานวณ ฝึกการแก๎โจทย์ปัญหา
เพอ่ื พัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแก๎ปญั หา การให๎เหตผุ ล การสือ่ ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณ์ดา๎ นความร๎ูความคดิ ทักษะ / กระบวนการทีไ่ ด๎ไปใช๎ในการ
เรียนรู๎สงิ่ ตําง ๆ และใช๎ในชวี ติ ประจาวนั อยํางสรา๎ งสรรค์ รวมทง้ั เหน็ คุณคําและมีเจตคติท่ดี ตี อํ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานได๎อยํางเป็นระบบระเบียบรอบคอบ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มวี จิ ารณญาณ
และเชอ่ื มนั่ ในตนเอง ทั้งในและนอกช้ันเรยี น
ผลการเรยี นรู้
1. มคี วามคดิ รวบยอดเกย่ี วกับเมทรกิ ซ์และการดาเนินการของเมทรกิ ซไ์ ด๎
2. เข๎าใจความหมายของดีเทอร์มนิ ันตข์ องเมทรกิ ซ์ nn เมอ่ื n เป็นจานวนเต็มไมํเกนิ ส่ี
3. วิเคราะหแ์ ละหาคาตอบของระบบสมการเชงิ เสน๎ ได๎
4. นาความรเ๎ู รอื่ งเรขาคณิตวเิ คราะห์ไปใชใ๎ นการแก๎ปญั หาได๎
5. เข๎าใจความหมายชนดิ ของฟงั กช์ ัน และแกโ๎ จทยป์ ญั หาที่เกีย่ วกับฟังก์ชันได๎
6. เข๎าใจความหมายและหาฟังก์ชนั คอมโพสิท ฟังกช์ นั อนิ เวอรส์ และพชี คณิตของฟงั กช์ ันได๎
7. เข๎าใจความหมายและหาระยะระหวํางจุดสองจุด จุดกึง่ กลางระยะหํางระหวํางเส๎นตรงกับจดุ ได๎
8. หาความชันของเสน๎ ตรงสมการเสน๎ ตรง เสน๎ ขนาน เส๎นตง้ั ฉาก และนาไปใช๎ได๎
9. นาความรเู๎ ร่ืองการเลอื่ นแกนทางขนานไปใช๎ในการเขยี นกราฟได๎
10. นาความร๎ูเร่ืองเรขาคณติ วเิ คราะหไ์ ปใชใ๎ นการแกป๎ ัญหาได๎
รวมทง้ั หมด 10 ผลการเรียนรู๎

58

ชือ่ วิชา คณติ ศาสตร์เพมิ่ เติม3 รหสั วชิ า ค32201
คาอธิบายรายวิชา

ศึกษาความรูพ๎ น้ื ฐาน ฝึกทักษะการคิดคานวณและฝกึ การแกป๎ ญั หาในเนอ้ื หาเก่ียวกับ
ฟังกช์ นั เอกซโ์ พเนนเชยี ล สมการเอกซ์โพเนนเชยี ล อสมการเอกซ์โพเนนเชยี ล ลอการทิ ึมฟงั ก์ชัน
ลอการิทมึ และลอการทิ ึมสามญั
วงกลมหนึ่งหนํวย ฟงั กช์ นั ไซน์ โคไซน์ คําของฟงั กช์ ันไซน์ โคไซน์ของจานวนจรงิ ใด ๆ
ฟงั กช์ ันอนื่ ๆ กราฟของฟังก์ชันตรโี กณมติ ิ ฟังกช์ ันตรโี กณมติ ิของผลบวกหรือผลตาํ งของจานวนจริงหรือมุม
ฟงั กช์ นั ตรีโกณมิติของคร่งึ เทําของจานวนจริงหรือมมุ ฟงั กช์ ันตรีโกณมิติของสามเทําของจานวนจริงหรอื มมุ
ผลคณู ของฟังก์ชันตรีโกณมิติ ผลบวกและผลตาํ งของฟงั ก์ชนั ตรโี กณมติ ิ
อนิ เวอรส์ ของฟงั ก์ชันตรีโกณมิติ สมการตรโี กณมติ ิ เอกลกั ษณ์ตรโี กณมติ ิ กฎของโคไซน์และไซน์ การหา
ระยะทางและความสงู
เวกเตอร์ในสามมติ ิ การบวกเวกเตอร์ การลบเวกเตอร์ การคูณเวกเตอรด์ ๎วยสเกลาร์ ผลคูณเชิงส
เกลาร์ และผลคูณเชงิ เวกเตอร์
โดยจัดประสบการณ์ให๎ผู๎เรยี น ได๎ศึกษา ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณ ฝกึ การแก๎โจทย์ปญั หา เพื่อ
พัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคดิ คานวณ การแก๎ปัญหา การให๎เหตผุ ล การสื่อความหมายทาง
คณติ ศาสตร์ และนาประสบการณ์ดา๎ นความรู๎ความคิด ทกั ษะ / กระบวนการทไ่ี ดไ๎ ปใชใ๎ นการเรียนรส๎ู ่งิ ตําง ๆ
และใชใ๎ นชีวติ ประจาวนั อยํางสรา๎ งสรรค์ รวมทั้งเห็นคุณคาํ และมีเจตคตทิ ดี่ ตี อํ คณติ ศาสตร์ สามารถทางานได๎
อยํางเป็นระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรับผิดชอบ มวี ิจารณญาณและเชื่อมน่ั ในตนเอง ทง้ั ในและนอกชน้ั
เรยี น
ผลการเรยี นรู้
1. มคี วามคิดรวบยอดเกีย่ วกับฟังก์ชันเอกซโ์ พเนนเชยี ลเขียนกราฟและแก๎สมการเอกซ์โพเนนเชยี ล
2. มคี วามคดิ รวบยอดเก่ียวกบั ฟังกช์ ันลอการทิ ึม เขียนกราฟบอกสมบตั ิลอการทิ มึ และนาไปใช๎ได๎
3. เข๎าใจความหมายและหาแคแรกเทอรสิ ตกิ แมนทสิ ซา ลอการทิ มึ สามญั และหาแอนติลอการทิ มึ ของจานวนจรงิ บวก
ใด ๆ ได๎
4. แก๎อสมการเอกซ์โพเนนเชียลและอสมการลอการิทมึ ได๎
5. เขา๎ ใจความหมายและหาคําของฟังกช์ นั ตรีโกณมิตขิ องจานวนจรงิ ครบท้ังหกฟังกช์ ัน
6. หาคําของฟังก์ชนั ตรีโกณมิติของมุมตําง ๆ และแกโ๎ จทย์ปญั หาเกยี่ วกับรปู สามเหล่ยี มมมุ ฉากโดยอาศัยคาํ ของ
ฟังก์ชนั ตรโี กณมติ ิ
7. หาคําของฟังก์ชันตรโี กณมติ ิจากตาราง
8. เขยี นกราฟของฟงั กช์ นั ตรโี กณมติ ิ
9. เขา๎ ใจความหมายและหาคําของฟงั กช์ ันตรโี กณมติ ขิ องจานวนจรงิ หรือมมุ โดยใชฟ๎ ังกช์ ันตรีโกณมิตขิ องผลบวกหรอื
ผลตาํ งของจานวนจริง2 จานวนหรือ มมุ 2 มุมได๎
10. เข๎าใจความหมายและหาคาํ ฟังก์ชนั arcsine arccosineและ arctangent ได๎
11. แกส๎ มการตรโี กณมิตไิ ด๎
12. พิสจู น์เอกลกั ษณไ์ ด๎
13. เขา๎ ใจความหมายและนากฎของไซน์และโคไซนไ์ ปใช๎ได๎
14. แกโ๎ จทยป์ ัญหาเก่ียวกบั ระยะทางและความสูงได๎
15. บอกความคิดรวบยอดเกย่ี วกบั เวกเตอร์ในสามมติ ไิ ด๎
16. หาผลบวกเวกเตอร์ ผลคณู เวกเตอร์ด๎วยสเกลาร์ ผลคณู เชิงสเกลาร์ และผลคณู เชิงเวกเตอร์

59

รวมทัง้ หมด 16 ผลการเรยี นรู๎

ชื่อวิชา คณิตศาสตร์เพม่ิ เติม4 รหัสวิชา ค32202
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศึกษาความรพู๎ ้ืนฐาน ฝกึ ทักษะการคดิ คานวณและฝึกการแกป๎ ัญหาในเน้ือหาเก่ยี วกับ
จานวนเชิงซ๎อน หนํวยจินตภาพ การลบและการหารจานวนเชงิ ซอ๎ น กราฟและคาํ สัมบรู ณข์ อง
จานวนเชงิ ซอ๎ น และจานวนเชงิ ซอ๎ นในรปู เชิงขัว้

กราฟเบ้ืองตน้ กราฟ กราฟออยเลอร์ และการประยกุ ต์ของกราฟ
กฎเกณฑเ์ บ้ืองตน๎ เกย่ี วกบั การนับ วธิ ีเรยี งสบั เปลี่ยน วิธีจดั หมูํ ทฤษฎบี ททวินาม การ
ทดลองสุํม แซมเปลิ สเปซ และเหตุการณ์ ความนาํ จะเป็นของเหตุการณ์
โดยจัดประสบการณ์ให๎ผเ๎ู รียน ไดศ๎ ึกษา ฝึกทกั ษะการคดิ คานวณ ฝึกการแก๎โจทย์ปัญหา
เพ่ือพัฒนาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแกป๎ ญั หา การให๎เหตผุ ล การส่อื ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณ์ด๎านความรูค๎ วามคดิ ทักษะ / กระบวนการที่ได๎ไปใช๎ในการ
เรียนร๎ูส่ิงตาํ ง ๆ และใชใ๎ นชวี ิตประจาวันอยํางสรา๎ งสรรค์ รวมทัง้ เห็นคณุ คําและมีเจตคติที่ดตี อํ
คณติ ศาสตร์ สามารถทางานไดอ๎ ยํางเปน็ ระบบระเบียบรอบคอบ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มวี จิ ารณญาณ
และเช่อื มน่ั ในตนเอง ทง้ั ในและนอกชนั้ เรียน
ผลการเรยี นรู๎
1. มคี วามคิดรวบยอดเก่ยี วกับจานวนเชิงซอ๎ นและนาสมบัตเิ กีย่ วกับการบวกการคูณจานวนเชิงซอ๎ นไป
ใชไ๎ ด๎
2. เขยี นกราฟและหาสัมบรู ณ์ของจานวนเชิงซอ้ นได้
3. เขียนจานวนเชงิ ซ้อนในรปู เชิงขั้วได้
4. แกส้ มการพหุนามกาลงั n เมื่อ n เปน็ จานวนเต็มบวกและเอกภพสมั พัทธ์เปน็ จานวนเชงิ ซ้อนได้
5. เขา๎ ใจความหมายและหารากที่ n ของจานวนเชงิ ซ๎อนเมื่อ n เปน็ จานวนเตม็ บวกได๎
6. เขยี นกราฟเม่ือกาหนดจุด (Vertex)และเส้น(edge) ให้และระบไุ ด้วา่ กราฟท่ีกาหนดใหเ้ ป็น
กราฟออยเลอร์หรือไม่
7. นาความรเู้ รื่องกราฟไปใชใ้ นการแก้ปญั หาบางประการได้
8. แก้โจทยป์ ัญหาโดยใช้กฎเกณฑเ์ บือ้ งตน้ เกีย่ วกับการนบั วธิ ีเรียงสับเปลีย่ นและวธิ จี ัดหม่ไู ด้
9. นาความรู้เรือ่ งทฤษฎบี ททวินามไปใชไ้ ด้
10. หาความนา่ จะเปน็ ของเหตุการณท์ ก่ี าหนดใหไ้ ด้
รวมท้ังหมด 10 ผลการเรียนรู๎

60

ชอื่ วชิ า คณิตศาสตร์เพิม่ เตมิ 5 รหัสวิชา ค33201
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศึกษาความรู๎พ้นื ฐาน ฝึกทกั ษะการคดิ คานวณและฝึกการแก๎ปญั หาในเน้ือหาเกี่ยวกับ
การวเิ คราะห์ขอ๎ มลู เบ้อื งต๎น คาํ มาตรฐาน การแจกแจงปกตแิ ละเสน๎ โคง๎ ปกติ และการ
ประยุกต์ของการแจกแจงปกติ
ความสมั พนั ธ์เชิงฟังก์ชันระหวํางข๎อมลู แผนภาพการกระจาย ชนิดของความสัมพันธ์เชงิ
ฟังก์ชัน ระเบยี บวิธีกาลงั สองนอ๎ ยทสี่ ุด และความสมั พันธ์เชงิ ฟงั ก์ชันของข๎อมลู ท่ีอยูใํ นรูปของอนุกรม
เวลา
โดยจดั ประสบการณ์ให๎ผู๎เรยี น ได๎ศกึ ษา ฝึกทักษะการคดิ คานวณ ฝึกการแกโ๎ จทยป์ ัญหา
เพอ่ื พฒั นาทักษะ / กระบวนการในการคดิ คานวณ การแก๎ปญั หา การใหเ๎ หตผุ ล การสื่อความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณ์ดา๎ นความรคู๎ วามคดิ ทักษะ / กระบวนการท่ีได๎ไปใชใ๎ นการ
เรยี นร๎ูสิ่งตําง ๆ และใช๎ในชวี ิตประจาวันอยาํ งสรา๎ งสรรค์ รวมทง้ั เห็นคณุ คาํ และมเี จตคติท่ีดีตอํ
คณิตศาสตร์ สามารถทางานได๎อยาํ งเป็นระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มวี จิ ารณญาณ
และเชือ่ ม่นั ในตนเอง ท้งั ในและนอกชน้ั เรียน
ผลการเรยี นรู้
1. เลือกวเิ คราะห์ขอ๎ มลู เบ้อื งต๎นและอธบิ ายผล การวิเคราะห์ข๎อมูลได๎ ถูกต๎อง
2. นาความรเู๎ รอื่ งการวิเคราะห์ข๎อมูลไปใช๎ได๎
3. นาความรเู๎ รอื่ งคาํ มาตรฐานไปใชใ๎ นการเปรียบเทยี บข๎อมูลได๎
4. หาพื้นที่ใต๎เสน๎ โคง๎ ปกติ และนาความรู๎เกี่ยวกับพ้นื ที่ใตเ๎ ส๎นโค๎งปกตไิ ปใช๎ได๎
5. เข๎าใจความหมายของการสร๎างความสมั พันธเ์ ชงิ ฟังกช์ ันของข๎อมลู ทป่ี ระกอบดว๎ ยสองตัวแปรได๎
6. สรา๎ งความสมั พนั ธ์ของข๎อมูลทปี่ ระกอบด๎วย สองตัวแปรทอี่ ยใูํ นรูป อนกุ รมเวลาโดยใช๎เครือ่ งคานวณ
ได๎
7. ใชค๎ วามสมั พนั ธเ์ ชงิ ฟงั ก์ชนั ของข๎อมลู ทานายคําตวั แปรตามเมื่อกาหนดตวั แปรอิสระให๎ได๎
รวมทง้ั หมด 7 ผลการเรียนร๎ู

61

ชือ่ วิชา คณิตศาสตร์เพม่ิ เตมิ 6 รหัสวิชา ค33202
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศกึ ษาความรู๎พ้นื ฐาน ฝกึ ทักษะการคิดคานวณและฝึกการแก๎ปัญหาในเน้ือหาเก่ียวกบั ลิมติ ของ
ลาดบั ทฤษฎบี ทเกีย่ วกบั ลมิ ิต และผลบวกของอนุกรม

ลมิ ิตของฟงั ก์ชัน ความตํอเน่ืองของฟังกช์ ัน อนุพันธ์ของฟังกช์ นั ความชันของเสน๎
โค๎ง การหาอนพุ ันธข์ องฟังก์ชนั โดยใชส๎ ตู ร อนพุ ันธ์ของฟังกช์ นั คอมโพสติ อนพุ ันธร์ ะดับสงู การ
ประยุกต์ของอนุพันธ์ ปริพันธ์ ปริพันธไ์ มจํ ากัดเขต ปริพันธจ์ ากดั เขต และพน้ื ท่ีปิดลอ๎ มด๎วยเส๎นโคง๎

กราฟของระบบอสมการเชงิ เส๎น ปญั หากาหนดการเชงิ เส๎น และการหาคาตอบของ
ปัญหากาหนดการเชิงเส๎น

โดยจัดประสบการณ์ให๎ผูเ๎ รียน ได๎ศกึ ษา ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณ ฝึกการแกโ๎ จทย์ปัญหา
เพอ่ื พฒั นาทักษะ / กระบวนการในการคิดคานวณ การแกป๎ ัญหา การให๎เหตุผล การส่ือความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณด์ า๎ นความร๎ูความคดิ ทักษะ / กระบวนการทไี่ ด๎ไปใช๎ในการ
เรียนร๎ูสง่ิ ตําง ๆ และใช๎ในชีวิตประจาวนั อยํางสร๎างสรรค์ รวมท้งั เห็นคณุ คาํ และมเี จตคติท่ีดตี ํอ
คณิตศาสตร์ สามารถทางานได๎อยํางเปน็ ระบบระเบยี บรอบคอบ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มวี จิ ารณญาณ
และเช่อื มั่นในตนเอง ท้ังในและนอกชัน้ เรียน
ผลการเรยี นรู้
1. หาลิมิตของลาดบั อนันต์โดยอาศยั ทฤษฎบี ทเกย่ี วกบั ลิมิตได๎
2. หาผลบวกของอนกุ รมอนันต์ได๎นาความรเู๎ รื่องลาดับและอนุกรมไปใชแ๎ กป๎ ัญหาได๎ หาลมิ ติ ของ
ฟงั กช์ นั ท่ีกาหนดให๎ได๎
3. บอกไดว๎ ําฟังกช์ ันท่ีกาหนดให๎เป็นฟงั ก์ชนั ตํอเน่ืองหรือไมํ
4. หาอนพุ ันธข์ องฟังกช์ นั ได๎
5. นาความรเู๎ รอ่ื งอนุพันธข์ องฟังกช์ ันไปประยุกต์ ได๎
6. หาปริพนั ธ์ไมจํ ากดั เขตของฟังก์ชันที่กาหนดให๎ได๎
7. เขา๎ ใจความหมายและเขียนสมการจดุ ประสงคอ์ สมการข๎อจากัดจากโจทย์ท่ีกาหนดให๎ได๎
8. แก๎ปญั หาโดยสรา๎ งแบบจาลองทางคณิตศาสตรแ์ ละใช๎วิธกี ารของกาหนดการเชงิ เส๎นท่ใี ช๎กราฟของ
สมการและอสมการทมี่ ี สองตัวแปรได๎
รวมท้งั หมด 8 ผลการเรียนรู๎

62

คาอธิบายรายวชิ า
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

63

โครงสรา้ งการจดั การเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
โรงเรียนบ้านตรวจ อาเภอศรณี รงค์ จงั หวัดสรุ ินทร์
...................................................................................................................................................
รายวชิ าพ้นื ฐาน
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1

ภาคเรียนที่ 1 ว21101 วิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน1 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ จานวน 1.5 หนวํ ยกิต
ภาคเรียนที่ 2 ว21102 วิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน2 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ จานวน 1.5 หนวํ ยกิต
ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2
ภาคเรยี นท่ี 1 ว22101 วิทยาศาสตร์พื้นฐาน3 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ จานวน 1.5 หนวํ ยกติ
ภาคเรียนท่ี 2 ว22102 วิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน4 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ จานวน 1.5 หนํวยกติ
ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3
ภาคเรยี นท่ี 1 ว23101 วทิ ยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน5 3 ชัว่ โมง/สปั ดาห์ จานวน 1.5 หนวํ ยกิต
ภาคเรยี นท่ี 2 ว23102 วิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน6 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ จานวน 1.5 หนวํ ยกติ
รายวชิ าเพ่ิมเติม
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1
ภาคเรยี นที่ 1 ว202.... วิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ ... 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์ จานวน 1.0 หนํวยกิต
ภาคเรียนที่ 2 ว202.... วทิ ยาศาสตร์เพิม่ เติม... 2 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ จานวน 1.0 หนํวยกติ
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2
ภาคเรียนท่ี 1
ภาคเรยี นที่ 2
ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
ภาคเรยี นท่ี 1
ภาคเรยี นที่ 2

64

ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 รายวชิ าพืน้ ฐาน จานวน 2.0 หนวํ ยกิต
ภาคเรยี นที่ 1 จานวน 2.0 หนวํ ยกิต
ว31101 วิทยาศาสตร์1 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ จานวน 1.0 หนวํ ยกิต
ภาคเรยี นที่ 2 ว31102 วิทยาศาสตร์2 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ จานวน 1.0 หนํวยกิต
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ว31103 วทิ ยาศาสตร์3 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
ว31104 วทิ ยาศาสตร์4 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์
ภาคเรียนที่ 1 -
ภาคเรียนที่ 2
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 -
ภาคเรยี นที่ 1 -
ภาคเรยี นที่ 2
-
-

รายวชิ าเพ่มิ เติม - 4 ชวั่ โมง/สปั ดาห์จานวน 2.0 หนวํ ยกติ
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ว31202 ฟิสกิ ส1์ 3 ชวั่ โมง/สัปดาห์จานวน 1.5 หนํวยกิต
ว31222 เคม1ี 3 ชั่วโมง/สัปดาห์จานวน 1.5 หนํวยกติ
ภาคเรียนท่ี 1 ว31242 ชวี วิทยา1
ภาคเรียนที่ 2 4 ชว่ั โมง/สปั ดาห์จานวน 2.0 หนวํ ยกติ
ว32201 ฟิสิกส2์ 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์จานวน 1.5 หนํวยกติ
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ว32221 เคมี2 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์จานวน 1.5 หนํวยกิต
ภาคเรยี นท่ี 1 ว32241 ชีววทิ ยา2 4 ชัว่ โมง/สัปดาห์จานวน 2.0 หนวํ ยกติ
ว32202 ฟสิ กิ ส์3 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์จานวน 1.5 หนวํ ยกิต
ภาคเรยี นท่ี 2 ว32222 เคมี3 3 ช่ัวโมง/สปั ดาห์จานวน 1.5 หนํวยกิต
ว32242 ชีววทิ ยา3
ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6 4 ชั่วโมง/สปั ดาห์จานวน 2.0 หนวํ ยกติ
ภาคเรยี นท่ี 1 ว33201 ฟิสิกส์4 3 ชวั่ โมง/สปั ดาห์จานวน 1.5 หนวํ ยกติ
ว33221 เคม4ี 3 ชั่วโมง/สัปดาห์จานวน 1.5 หนวํ ยกติ
ภาคเรียนท่ี 2 ว33241 ชวี วทิ ยา4 4 ชวั่ โมง/สัปดาห์จานวน 2.0 หนวํ ยกติ
ว33202 ฟสิ ิกส์ 5 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์จานวน 1.5 หนํวยกิต
ว33222 เคมี5 3 ชั่วโมง/สัปดาห์จานวน 1.5 หนวํ ยกิต
ว33242 ชวี วทิ ยา5

65

ชอ่ื รายวิชา วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน1 รหสั วิชา ว21101

คาอธิบายรายวิชา
อธิบายโครงสรา๎ งและสํวนประกอบของเซลล์ การใชก๎ ล๎องจุลทรรศน์ การลาเลยี งนา้ การสงั เคราะห์
ด๎วยแสง ความสาคัญของพืชที่มีตํอมนุษย์และสตั ว์ การเจริญเตบิ โตและการตอบสนองตํอส่งิ เรา๎ การ
สบื พนั ธุ์ เทคโนโลยชี วี ภาพทีเ่ กยี่ วกับพชื การเพ่ิมผลผลติ การจาแนกสาร สารเนอ้ื เดียว สารเนอื้
ผสม สารแขวนลอย สารคอลลอยด์ สารละลาย กรด เบส สารบรสิ ุทธ์ิ การสารทีใ่ ช๎ในชวี ิตประจาวนั
ประโยชนแ์ ละโทษของสาร
สืบเสาะหาความร๎ู การวเิ คราะห์ สืบคน๎ ข๎อมลู อภปิ ราย ทดลอง โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เห็นคุณคาํ เกยี่ วกบั วิทยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรมและคํานิยมทพ่ี ึงประสงคจ์ ัดการเรยี นร๎ผู ํานสาระ
การเรยี นรว๎ู ทิ ยาศาสตร์ ข๎างต๎นเพอ่ื ให๎นักเรียนมีความร๎ูความสามารถตามมาตรฐานตํอไป
ตัวชวี้ ดั
ว 1.1 ม.1/13
ว 3.1 ม.1/1-2,4
ว 3.1 ม.2/3
ว 3.2 ม.1/1-4
รวมทั้งหมด 9 ตัวชวี้ ดั

66

ชื่อรายวิชา วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน2 รหสั วิชา ว21102

คาอธิบายรายวชิ า
อธิบายการวัดปรมิ าณของแรง การเคลอ่ื นที่ อณุ หภมู แิ ละหนํวยวัด การถํายโอนพลังงาน
ความร๎อน ผลของพลังงานตํอการขยายตัวของวัตถุ สํวนประกอบของอากาศ อณุ หภูมิ ความชนื้
ความกด ลมฟูาอากาศ การพยากรณอ์ ากาศ และการเปล่ยี นแปลงอุณหภมู ิของโลก ทักษะและ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เหลาํ นไี้ ด๎จัดการเรียนรู๎ผาํ นสาระการเรยี นร๎ูวิทยาศาสตร์ ข๎างต๎นเพื่อให๎
นักเรยี นมีความร๎ูความสามารถตามมาตรฐานตํอไป
สืบเสาะหาความรู๎ การวเิ คราะห์ สืบคน๎ ข๎อมลู อภิปราย ทดลอง โดยใช๎กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์
เห็นคุณคําเก่ยี วกับวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรมและคํานิยมที่พึงประสงค์การ จดั การ
เรยี นร๎ูผํานสาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ ข๎างต๎นเพอื่ ให๎นักเรยี นมีความรู๎ความสามารถตามมาตรฐาน
ตํอไป
ตวั ชี้วัด
ว 4.1 ม.1/1-2
ว 5.1 ม.1/1-4
ว 6.1 ม.1/1-7
รวมท้ังหมด 12 ตัวชว้ี ัด

67

ช่อื รายวิชา วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน3 รหัสวิชา ว22101

คาอธิบายรายวิชา
ศึกษาโครงสร๎าง องค์ประกอบ และหนา๎ ท่ีการทางานของระบบยอํ ยอาหาร ระบบหมุนเวียน
เลอื ด ระบบหายใจ ระบบขับถําย ระบบสบื พันธุ์ และระบบประสาท ของมนุษย์และสตั ว์ ความสมั พนั ธ์
ของระบบตํางๆของมนุษย์ และนาความรู๎ไปใชป๎ ระโยชน์ พฤติกรรมของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ที่ตอบสนองตอํ
สิง่ เรา๎ ภายนอกและภายใน หลักการและผลของการใช๎เทคโนโลยชี ีวภาพในการขยายพันธุ์ ปรบั ปรงุ พันธ์ุ
เพิ่มผลผลิตของสัตวแ์ ละนาความรไ๎ู ปใชป๎ ระโยชน์ สารอาหารในอาหารมปี ริมาณพลงั งาน และสดั สวํ นที่
เหมาะสมกบั เพศและวยั ผลของสารเสพติดตํอระบบตํางๆของรํางกายและแนวทางในการปอู งกัน
ตนเองจากสารเสพตดิ องคป์ ระกอบ สมบตั ขิ องธาตุและสารประกอบ เปรียบเทยี บสมบัติของธาตุโลหะ
ธาตอุ โลหะ ธาตุกึ่งโลหะ ธาตุกมั มนั ตรงั สี และนาความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ หลกั การแยกสารดว๎ ยวธิ ีการ
กรอง การตกผลกึ การสกดั การกลัน่ วธิ ีโครมาโทกราฟี และนาความรู๎ไปใชป๎ ระโยชน์ การหาแรงลพั ธ์
ของแรงหลายแรงในระนาบเดียวกันท่กี ระทาตํอวัตถุ แรงลัพธ์ทก่ี ระทาตํอวตั ถุหยดุ นิง่ หรอื วตั ถเุ คลื่อนท่ี
ดว๎ ยความเรว็ คงท่ี
สืบคน๎ ขอ๎ มลู อธบิ าย อภิปราย วเิ คราะห์ ทดลอง ทานาย นาไปใช๎ เพื่อใหเ๎ กิดความร๎ูความ
เขา๎ ใจ ความคิด สามารถสื่อสารส่งิ ท่ีเรยี นร๎ู มีความสามารถในการตดั สินใจ นาความร๎ูไปใช๎ใน
ชีวิตประจาวัน
มีความรวํ มมือ ความรบั ผดิ ชอบ ความซ่ือสัตย์ การตรงตํอเวลา ความมีเหตุผล และการ
ยอมรับความคิดเห็นของผู๎อน่ื
ตวั ช้วี ดั
ว 1.1 ม.2/1-6
ว 3.1 ม.2/1-3
ว 4.1 ม.2/1-2
ว 5.1 ม.5/8-9 (ตวั ช้ีวดั ชํวงชนั้ ม.4-6)
รวมท้ังหมด 13 ตวั ช้ีวัด

68

ชอ่ื รายวิชา วิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน4 รหสั วิชา ว22102

คาอธบิ ายรายวิชา
ศกึ ษาการเปลีย่ นแปลง สมบัติ มวล และพลงั งาน เม่ือสารเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี รวมทั้งอธิบาย
ปัจจัยทมี่ ีผลตํอการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี เขยี นสมการเคมีของปฏกิ ิรยิ าของสารตํางๆ และนาความรู๎ไปใช๎
ประโยชน์ ผลของสารเคมี ปฏกิ ิรยิ าเคมีตํอสง่ิ มีชวี ิตและสิ่งแวดลอ๎ ม การใชส๎ ารเคมอี ยํางถูกต๎อง
ปลอดภยั วธิ ีปอู งกันและแก๎ไขอนั ตรายทเ่ี กดิ จากการใช๎สารเคมี การสะท๎อนของแสง การหกั เหของแสง
และนาความร๎ูไปใชป๎ ระโยชน์ โครงสรา๎ ง องค์ประกอบ และความสาคัญของนัยน์ตา ผลของความสวาํ งที่
มีตํอนยั นต์ ามนษุ ย์และส่ิงมชี วี ติ อื่นๆ การดดู กลนื แสงสี การมองเหน็ สีของวตั ถุ และนาความร๎ูไปใช๎
ประโยชน์ ลักษณะของช้ันหน๎าตดั ดิน สมบตั ิของดนิ กระบวนการเกิดดนิ การใช๎ประโยชน์ และการ
ปรบั ปรงุ คุณภาพของดิน กระบวนการเกดิ ลักษณะองคป์ ระกอบของหิน สมบัติของหนิ เพอื่ จาแนก
ประเภทของหนิ และนาความรไู๎ ปใช๎ประโยชน์ ลักษณะทางกายภาพของแรํ และการนาไปใชป๎ ระโยชน์
กระบวนการเกิด ลักษณะ สมบัตขิ องปโิ ตรเลยี ม ถํานหนิ หินน้ามนั และการนาไปใช๎ประโยชน์ ลกั ษณะ
แหลํงนา้ ธรรมชาติ การเกิดแหลงํ นา้ บนดิน แหลํงน้าใต๎ดนิ การใช๎ประโยชน์ และการอนุรักษ์แหลํงน้าใน
ทอ๎ งถ่นิ ศกึ ษากระบวนการผุพงั อยํูกับท่ี การกรํอน การพัดพา การทับถม การตกผลึก และผลกระทบที่
เกดิ ขน้ึ โครงสร๎าง องค์ประกอบ หลักในการแบํงโครงสรา๎ งของโลก
สบื ค๎นข๎อมลู อธบิ าย อภิปราย วเิ คราะห์ ทดลอง ทานาย นาไปใช๎ เพ่ือให๎เกิดความร๎ูความเขา๎ ใจ
ความคิด สามารถสอ่ื สารส่งิ ทเ่ี รียนร๎ู มีความสามารถในการตดั สินใจ นาความรไ๎ู ปใชใ๎ นชีวิตประจาวนั
มีความรํวมมือ ความรบั ผดิ ชอบ ความซื่อสัตย์ การตรงตํอเวลา ความมเี หตผุ ล และการยอมรับ
ความคดิ เห็นของผู๎อนื่
ตัวชี้วัด
ว 3.2 ม.2/1-4
ว 5.1 ม.2/1-3
ว 6.1 ม.2/1-10
รวมท้ังหมด 12 ตัวชี้วัด

69

ชอื่ รายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน5 รหัสวชิ า ว23101

คาอธบิ ายรายวิชา
ศกึ ษาวเิ คราะห์ กระบวนการถํายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ความผิดปกตแิ ละโรคทางพนั ธกุ รรม
ความหลากหลายทางชวี ภาพ เทคโนโลยีชวี ภาพ ระบบนิเวศ ความสัมพนั ธ์ของการถาํ ยทอดพลงั งาน
ของส่ิงมีชีวิตในรูปของโซํอาหารและสายใยอาหาร วฏั จกั รน้า วฎั จักรคารบ์ อน ปจั จยั ท่มี ีผลตํอการ
เปลยี่ นแปลงขนาดของประชากรในระบบนเิ วศ สภาพปัญหาสิ่งแวดลอ๎ มทัพยากรธรรมชาตใิ น
ท๎องถิ่น แนวทางการรักษาสมดุลของระบบนเิ วศ การใชท๎ รัพยากรธรรมชาติอยํางย่ังยนื การใช๎
ทรพั ยากรธรรมชาติตามแนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง ปัญหาสง่ิ แวดลอ๎ มและแนวทางการแกป๎ ัญหา
การมสี ํวนรํวมในการดูแลและอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล๎อมในท๎องถิน่ อยํางย่ังยืน ความเรงํ และผลของแรงลัพธ์
แรงกริ ิยาแรงปฏิกิรยิ า แรงพยงุ ของของเหลว แรงเสยี ดทาน โมเมนตข์ องแรง การเคล่ือนที่ของ
วตั ถุ
โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสารวจ สืบคน๎ และการอภิปราย เพ่ือให๎เกิดความร๎ู
ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถสือ่ สารส่ิงที่เรยี นร๎ู มคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจ
เห็นคณุ คําของการนาความรไ๎ู ปใช๎ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม
และคํานยิ มทเี่ หมาะสม
ตวั ชี้วดั
ว 1.2 ม.3/1-6
ว 2.1 ม.3/1-4
ว 2.2 ม.3/1-6
ว 4.1 ม.3/1-3
ว 4.2 ม.3/1-3
ว 8.1 ม.3/1-7
รวมทั้งหมด 26 ตวั ชี้วัด

70

ชือ่ รายวชิ า วทิ ยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน6 รหัสวิชา ว23102

คาอธิบายรายวชิ า
ศึกษาวิเคราะห์ พลังงานจลน์พลังงานศักย์โน๎มถวํ ง กฏการอนรุ ักษ์พลังงาน การนากฎการ
อนรุ ักษ์พลงั งานไปใช๎ประโยชน์ ความสัมพันธ์ระหวํางปริมาณพลงั งาน ความตาํ งศักย์ไฟฟูา
กระแสไฟฟาู ความต๎านทานไฟฟาู มีความสมั พนั ธก์ นั ตามกฎของโอห์ม การนากฎของโอห์มไปใช๎ในการ
วเิ คราะหว์ งจรไฟฟูาอยาํ งงาํ ย การคานวณพลังงานไฟฟูาของเคร่ืองใช๎ไฟฟูา การประหยัดพลงั งาน
ไฟฟูา การตํอวงจรไฟฟูาในบา๎ น การตดิ ต้ังอุปกรณ์ไฟฟูา เครอื่ งใชไ๎ ฟฟูา แบบอนกุ รมและแบบ
ขนาน ความปลอดภัยและการใช๎ไฟฟาู อยาํ งประหยดั ช้นิ สวํ นอิเลก็ ทรอนิกส์ ตัวต๎านทาน ไดโอด
ทรานซิสเตอร์ สมบตั ิทางไฟฟาู ของตัวต๎านทาน ไดโอด ทรานซสิ เตอร์ การตํอวงจรอิเล็กทรอนกิ ส์
เบ้ืองต๎น ดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ แรงโนม๎ ถํวงของโลก ระบบสุรยิ ะ ดาวเคราะห์
ปรากฎการณน์ ้าขนึ้ น้าลง เอกภพ กาแล็กซี่ ดาวฤกษ์ ตาแหนํงของกลํุมดาว การใช๎
ประโยชน์จากกลํุมดาวฤกษ์ ความก๎าวหน๎าของเทคโนโลยีอวกาศ กล๎องโทรทรรศน์ จรวด ดาวเทยี ม
ยานอวกาศ วัตถุทอ๎ งฟาู สภาวะอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตรและการสือ่ สาร
โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสารวจ สืบคน๎ และการอภปิ ราย เพื่อใหเ๎ กิดความร๎ู
ความคดิ ความเขา๎ ใจ สามารถสือ่ สารสิง่ ทเ่ี รียนรู๎ มีความสามารถในการตดั สินใจ
เห็นคุณคําของการนาความรูไ๎ ปใช๎ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม
และคํานิยมทีเ่ หมาะสม
ตัวชวี้ ัด
ว 5.1 ม.3/1-5
ว 7.1 ม.3/1-3
ว 7.2 ม.3/1
ว 8.1 ม.3/5-6,8-9
รวมทั้งหมด 13 ตวั ช้ีวัด

71

ชือ่ รายวิชา วิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ 1 รหสั วิชา ว20201

คาอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษา วิเคราะห์ สภาพหาส่งิ แวดล๎อมในทอ๎ งถิ่นรอบๆโรงเรยี นเก่ยี วกบั ส่งิ มีชวี ติ กบั
กระบวนการดารงชีวิต และสารในชวี ติ ประจาวัน เชือ่ มโยงทกั บวนการทางการวทิ ยาศาสตร์ ด๎านการ
สงั เกต การวัด การจาแนกประเภท การหาความสัมพันธ์ระหวํางสเปสกบั กบั สเปสและสเปสกับเวลา
การจดั กระทาและส่ือความหมายข๎อมลู การลงความคิดเห็นจากข๎อมลุ การพยากรณ์ การคานวณ การ
ตงั้ สมมติฐาน การกาหนดนยิ ายเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารการกาหนด การตวั กาหนดและควบคุมตวั แปร การ
ทดลอง และการตี ความหมายขอ๎ มลู และลงข๎อมลู และข๎อสรุป
โดยใช๎ แบบฝึกทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สบื เสาะหาความรู๎ สารวจตรวจสอบและ
อภปิ ราย เพอื่ ให๎เกิดความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถส่ือสารส่งิ ทเ่ี รยี นร๎ู มีความสามารถในการ
ตดั สินใจ
เหน็ คุณคําของการนาความรู๎ไปใชป๎ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั มีจติ วทิ ยาศาสตร์ มีจติ
สาธารณะ จริยธรรม คณุ ธรรมและคํานยิ มทเ่ี หมาะสม
ผลการเรียนรู้
1. ร๎แู ละเขา๎ ใจสภาพปัญหาสิ่งแวดล๎อมในทอ๎ งถิน่ เรือ่ งสิง่ มีชวี ิตกบั การดารงชวี ิตและสารใน
ชวี ติ ประจาวนั ท่เี กิดจากการไดล๎ งมอื ปฏบิ ตั กิ ารทดทองและสงั เกตดว๎ ยตนเอง
2. มีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3. เขา๎ ใจในธรรมชิของวทิ ยาศาสตร์และสิง่ แวดสงั คม
4. มีเจตคติท่ีดตี ํอวิทยาศาสตร์
5. มีความคิดริเรมิ่ ความคดิ สรา๎ งสรรค์และคิดอยํางมีเหตุผล
6. มคี วามสามารถในการแก๎ปัญหาทางวิทยาศาสตร์
7. มีความสนใจและกระตือรือรน๎ ในการเรยี นรว๎ู ิทยาศาสตร์
8. มกี ารทางานเปน็ กลุํม รูว๎ ธิ แี กป๎ ัญหาโดยใช๎กระบวนไวก๎ ารทางวทิ ยาศาสตร์และการ
ส่ือสารให๎ผอู๎ ื่นเข๎าใจข๎อมูลที่ได๎จากการแก๎ปัญหาของตน
รวมทั้งหมด 8 ผลการเรียนรู้

72

ชอื่ รายวิชา วทิ ยาศาสตร์เพ่มิ เตมิ 2 รหสั วชิ า ว20202

คาอธิบายรายวชิ า
ศกึ ษา วิเคราะห์ เกย่ี วกบั สภาพปัญหาการเรียนรู๎วทิ ยาศาสตร์เกีย่ วกบั เรือ่ งการเคลอ่ื นที่ของวัตถุ
พลังงานและบรรยากาศทห่ี ํอหม๎ุ โลก เชอื่ มโยงการสืบคน๎ ข๎อมลู ทางวิทยาศาสตร์ดา๎ นการกาหนดตัวแปร
การตั้งคาถาม การต้งั สมมตฐิ าน การวางแผน การลงมอื ปฏบิ ัตกิ ารทดลองตามแผนทว่ี างไว๎ การวดั
การจดบันทึกขอ๎ มูล การแปลความหมาย การจัดกระทาข๎อมลู หลักฐานและผลลพั ธ์ตาํ งๆ การประเมนิ
หลกั ฐานทไี่ ดจ๎ ากการปฏิบัติการ การสรปุ ผลการทดลอง ผลทีไ่ ดห๎ รอื การสอื่ สารผลที่ได๎

โดยใช๎ ชุดกิจกรรมสงํ เสริมการสบื ค๎นทางวิทยาศาสตร์ สบื เสาะหาความร๎ู สารวจตรวจสอบ
และอภิปราย เพ่ือให๎เกิดความร๎ู ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถสือ่ สารสงิ่ ทีเ่ รยี นร๎ู มคี วามสามารถใน
การตดั สินใจ

เห็นคุณคําของการนาความรูไ๎ ปใช๎ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ มจี ิต
สาธารณะ จรยิ ธรรม คณุ ธรรมและคาํ นยิ มทเ่ี หมาะสม
ผลการเรียนรู้
1. มคี วามร๎ูและความเขา๎ ใจเรื่องการเคลอ่ื นท่ี พลังงานและบรรยากาศทหี่ ํอหม๎ุ โลกที่เกิดจากการได๎ลง
มือปฏบิ ตั ิการทดลองและสงั เกตดว๎ ยตนเอง
2. มีทักษะขัน้ พนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์
3. เขา๎ ใจธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์
4. มที ัศนคตทิ ่ีดีตอํ วทิ ยาศาสตร์
5. มคี วามคิดรเิ ริ่ม ความคดิ สรา๎ งสรรคแ์ ละคิดอยํางมีเหตุผล
6. มีความสามารถในการสบื คน๎ ทางวิทยาศาสตร์
7. มีความสนใจและกระตือรือร๎นในการเรียนวิทยาศาสตร์
8. มีการทางานเปน็ ทีม รว๎ู ธิ ีแก๎ปญั หาโดยใช๎กระบวนทางวทิ ยาศาสตร์และการสอื่ สารให๎ผูอ๎ ื่นเขา๎ ใจ
ขอ๎ มูลที่ได๎จากการสบื คน๎ ของตน
รวมท้ังหมด 8 ผลการเรียนรู้

73

ชือ่ รายวิชา วทิ ยาศาสตร์เพิ่มเตมิ 3 รหสั วิชา ว20201

คาอธบิ ายรายวชิ า
ศึกษา วิเคราะห์ ลงมอื ปฏบิ ัติ มํุงฝกึ กระบวนการแก๎ปัญหาอยํางเป็นระบบ โดยใชว๎ ธิ กี ารทาง
วิทยาศาสตร์และใช๎ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเคร่อื งมอื สาคัญ ได๎แกทํ ักษะการ
ตั้งสมมตฐิ าน การออกแบบการทดลองเพ่อื ตรวจสอบสมมตฐิ านหรือขอ๎ สงสยั ซึง่ นวมถึงการกาหนด
และควบคุมตัวแปร การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร การทดลอง การบนั ทึกขอ๎ มลู และการสรปุ ผล
เพอ่ื พัฒนาเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์และมเี จตคติทด่ี ตี ํอวิชาวิทยาศาสตร์
ผลการเรยี นรู้
1. สามารถตั้งสมมติฐานจากปัญหาหรอื เหตกุ ารณต์ าํ งๆได๎
2. ออกแบบการทดลองเพอ่ื ตรวจสอบสมมติฐาน โดยมีการกาหนดและควบคุมตัวแปรตํางๆและ
กาหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั ิการได๎
3. ออกแบบวิธีการทดลอง เลือกใช๎อุปกรณ์และลงมือทาการทดลองไดอ๎ ยํางมรี ะบบ
4. บันทกึ ขอ๎ มลู ท่ีสามารถอาํ นเข๎าใจงาํ ยและสรุปผลของข๎อมูลจากการศึกษาทดลองได๎
5. วเิ คราะหโ์ ครงงานวิทยาศาสตร์และมีแนวคิดในการวางแผนการทดลอง รวมถงึ จดั ทาเค๎าโครงของ
วทิ ยาศาสตร์ได๎
6. มีความคดิ ริเร่ิมสรา๎ งสรรค์ในการแสดงความคดิ เห็น การออกแบบหรือดัดแปลงการทดลอง
ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ตํางๆในการทากจิ กรรมแก๎ปัญหา
7. มเี จตคติทางวิทยาศาสตร์และมเี จตคติท่ดี ีตํอวิชาวทิ ยาศาสตร์
รวมท้ังหมด 7 ผลการเรียนรู้

74

ชอ่ื รายวชิ า วิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม4 รหสั วิชา ว20202

คาอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษา วเิ คราะห์ปญั หาท่ีตนเองสนใจจะทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ออกแบบการทดลอง
วางแผนดาเนินงานและลงมอื ปฏบิ ตั ิการทดลอง บนั ทกึ ผล วเิ คราะหผ์ ล สรุปผลและเขียนรายงานจดั
เสนอผลงานและแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์อยาํ งเป็นระบบ โดยใช๎กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสบื ค๎นขอ๎ มูลและการอภิปรายเพื่อให๎
เกิดความรู๎ ความคดิ ความเขา๎ ใจ สามารถสื่อสารสงิ่ ทีเ่ รียนร๎ู มคี วามสามารถในการตดั สินใจ นา
ความรู๎ไปใช๎ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรมและคํานยิ มท่ีเหมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. สามารถคดิ และระบเุ รื่องหรอื ปญั หาทจี่ ะทาโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด๎
2. ศึกษาเอกสารและแหลงํ ข๎อมูลตํางๆได๎
3. สามารถคดิ และวางแผนออกแบบการทดลองที่มีการกาหนดและควบคุมตัวแปรอยํางเหมาะสมได๎
4. สามารถจัดทาเคา๎ โครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ได๎
5. ทาโครงงานวิทยาศาสตร์อยํางงาํ ยๆตามความสนใจโดยมขี ้นั ตอนของกระบวนการแก๎ปัญหาโดย
วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ได๎
6. สามารถเขียนรายงาน เสนอผลงานและแสดงผลงานของโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด๎
7. สามารถวิเคราะห์โครงงานวทิ ยาศาสตร์หรอื ผลงานวจิ ัยระดับตํางๆด๎านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
8. มเี จตคติทางวิทยาศาสตร์และมีเจตคติทด่ี ีตํอวชิ าวิทยาศาสตร์
รวมทั้งหมด 8 ผลการเรยี นรู้

75

ชือ่ รายวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พม่ิ เติม5 รหัสวิชา ว20201

คาอธิบายรายวิชา
ศกึ ษา วิเคราะห์ อธิบายตวั ต๎านทาน ไดโอด ทรานซีสเตอร์และทดลองตํอวงจรอเี ลคทรอ
นิกส์เบอื้ งต๎นทม่ี ที รานซสิ เตอรแ์ ละทดลองประกอบวงจรอิเลคทรอนิกส์เบือ้ งตน๎ และนาไปประยุกต์ใชง๎ าน
กับอุปกรณ์อนื่ ๆในลักษณะตาํ งๆเพ่ือใหม๎ ีความสนกุ เพลิดเพลินและมีความคิดรเิ ริ่ม สร๎างสรรค์ในการ
ประดษิ ฐ์อุปกรณ์ที่อาศยั วงจรอีเลคทรอนกิ สเ์ บื้องต๎นและนาไปใช๎ในชีวิตประจาวนั โดยใช๎ กระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู๎ สารวจตรวจสอบและอภปิ ราย เพื่อใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคิด
ความเขา๎ ใจ สามารถสอ่ื สารส่ิงทเี่ รียนรู๎ มคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจ เห็นคณุ คําของการนา
ความรูไ๎ ปใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั มีจติ วิทยาศาสตร์ มจี ิตสาธารณะ จริยธรรม คุณธรรมและ
คาํ นิยมที่เหมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. บอกประโยชนข์ องอเี ลคทรอนิกส์กบั ชีวติ ประจาวนั ได๎
2. อธบิ ายและตอํ เครือ่ งวดั กระแสไฟฟูาเข๎ากับวงจรไฟฟาู ได๎
3. อธิบายความหมาย ลกั ษณะประโยชน์ของไดโอด พร๎อมท้ังตอํ ไดโอดเข๎ากับวงจรไฟฟาู
4. อธิบายความหมาย ลกั ษณะ ประโยชน์ของไดโอดเปลํงแสง พร๎อมท้งั ตํอไดโอดเปลํงเขา๎ กับ
วงจรไฟฟูาได๎
5. อธิบายความหมายของทรานซีสเตอร์ ความต๎านทาน ออด พรอ๎ มท้งั สามารถตอํ ทรานซีสเตอร์
ความต๎านทาน ออด เข๎ากบั วงจรไฟฟูาได๎
6. อธบิ ายความหมายของ LDR และตอํ LDR เขา๎ วงจรไฟฟูาได๎
7. อธบิ ายความหมาย ประโยชน์ของตัวเก็บประจุไฟฟูาและตํอตัวเก็บประจุเข๎ากับวงจรไฟฟูาได๎
8. อธบิ ายและตํอวงจรไฟฟาู กระพรบิ ได๎
9. อธบิ ายอปุ กรณ์ท่ีใชใ๎ นการบดั กรีและบัดกรีเพอ่ื ตํอวงจรได๎
10. ต้งั สมมตฐิ านจากปญั หาทเ่ี กิดข้นึ แล๎วคดิ หาวธิ ที ดลองและดาเนนิ การทดลองเพ่ือทดสอบสมมตฐิ าน
นัน้ ได๎
รวมทั้งหมด 10 ผลการเรียนรู้

76

ชอื่ รายวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ 6 รหสั วชิ า ว20202

คาอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษาวเิ คราะห์ ความสัมพันธ์ระหวํางปรมิ าณทางไฟฟูา การตอํ วงจรไฟฟูา วงจรไฟฟูาใน
บ๎าน พลังงานไฟฟาู งาน โมเมนต์ รอก พ้ืนเอยี ง โดยใช๎ แบบฝึกทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ สบื เสาะหาความร๎ู สารวจตรวจสอบและอภปิ ราย เพอื่ ใหเ๎ กิดความรู๎ ความคิด ความ
เขา๎ ใจ สามารถส่ือสารสง่ิ ทีเ่ รียนร๎ู มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจ เห็นคุณคําของการนาความรไู๎ ป
ใช๎ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ มีจิตสาธารณะ จรยิ ธรรม คุณธรรมและคาํ นยิ มท่ี
เหมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. มคี วามรู๎ ความเข๎าใจเกย่ี วกบั ประจไุ ฟฟูา วิธกี ารผลติ กระแสไฟฟูา หลกั การไฟฟาู เคมี การผลติ
กระแสไฟฟูาจากเซลลส์ ุริยะ กระแสไฟฟูาเหน่ียวนาและหลักการของไดนาโม
2. ทดลองและอธิบายความสัมพันธร์ ะหวาํ งความตาํ งศกั ย์กระแสไฟฟูา ความตา๎ นทานและคานวณหา
ปริมาณที่เกยี่ วขอ๎ ง
3. สบื ค๎นข๎อมูล อภปิ รายและอธบิ ายหลกั การตํอวงจรไฟฟูาในบา๎ นและสรา๎ งแบบจาลองตดิ ต้งั
วงจรไฟฟูาอยาํ งถูกต๎อง ปลอดภยั และประหยัด
4. สืบคน๎ ข๎อมลู อภปิ รายและเลือกใช๎เครอ่ื งใช๎ไฟฟูาที่ใช๎ในชวี ติ ประจาวนั อยาํ งถูกต๎อง ประหยัดและ
คมุ๎ คํา
5. สบื คน๎ ข๎อมลู และคานวณหาพลังงานไฟฟูาของเครอื่ งใชไ๎ ฟฟาู และคําไฟท่ีบา๎ น
6. สบื คน๎ ข๎อมูล อภปิ รายและอธบิ ายความหมายของโมเมนต์ งาน หลักการทางานของรอก คาน
พ้นื เอียง
7. ทดลองและวเิ คราะหโ์ มเมนต์ของแรงและนาความร๎ูไปใชป๎ ระโยชน์
8. สบื คน๎ ข๎อมูลและคานวณหาคําแรงโมเมนตห์ รืองานจากการทางานของเคร่ืองกลเหลาํ น้ี
รวมทั้งหมด 8 ผลการเรยี นรู้

77

ช่ือวิชา วิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน1 รหัสวชิ า ว31101
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศกึ ษาวิเคราะห์ธรรมชาตกิ ารของการวัด ความผิดพลาดในการวัด ฝึกปฏิบัตกิ ารเบือ้ งต๎น
เกยี่ วกบั การวัด การนาเสนอข๎อมลู ด๎วยกราฟ การวิเคราะห์กราฟ และแปลความหมายข๎อมลู จาก
กราฟ ระบบหนํวยเอสไอ และลักษณะของปริมาณทางฟสิ ิกส์ ความสัมพันธ์ระหวํางระยะทาง การ
กระจดั เวลา อตั ราเร็ว อตั ราเรํง การเคล่ือนท่แี นวตรง โพรเจกไทล์ การเคลื่อนท่แี บบวงกลมและ
ฮาร์มอนกิ อยํางงําย การเคล่ือนท่ขี องวตั ถุในสนามโน๎มถวํ ง การเคล่อื นท่ขี องอนุภาคที่มีประจุไฟฟาู ใน
สนามไฟฟูาและสนามแมํเหล็ก การใช๎ประโยชนจ์ ากการเคลือ่ นท่ีแบบตํางๆ แรงยึดเหน่ียวระหวําง
อนุภาคในนวิ เคลยี ส คลน่ื กล เสียง และสมบัตขิ องเสียง เสยี งและการได๎ยนิ สเปกตรัมของคล่ืน
แมํเหลก็ ไฟฟูา ปฏกิ ริ ิยานวิ เคลียร์ กมั มันตรังสี ไอโซโทป และการใชป๎ ระโยชน์ในทางสรา๎ งสรรค์
รวมถงึ ผลตํอส่ิงมชี วี ิตและส่งิ แวดล๎อม

ใชก๎ ระบวนการ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความร๎ู การสบื คน๎ ขอ๎ มูล
อภปิ รายและการทดลอง

เพ่อื ใหเ๎ กิดคุณลักษณะด๎านความรู๎ ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถส่อื สารสิ่งที่เรยี นรู๎ มี
ความสามารถในการตัดสนิ ใจ นาความร๎ไู ปใชใ๎ นชวี ติ ประจาวัน มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม
และคํานยิ มที่เหมาะสม

ตัวชี้วดั
ว 8.1 ม.4-6/1
ว 8.1 ม.4-6/3
ว 8.1 ม.4-6/6
ว 4.1 ม.1/1-2
ว 4.1 ม.4-6/1-4
ว 4.2 ม.4-6/1-3
ว 5.1 ม.4-6/1-9
รวมทัง้ หมด 28 ตวั ช้ีวัด

78

ช่ือวิชาวทิ ยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน2 รหสั วิชา ว31102
คาอธบิ ายรายวชิ า

ผเู๎ รยี นจะไดร๎ บั การพัฒนาใหม๎ ีความร๎เู ก่ยี วกับการศึกษา วเิ คราะห์ลักษณะสาคัญของสง่ิ มีชีวติ
กระบวนการทางชวี วทิ ยา โครงสร๎างและหน๎าทขี่ องสารเคมีในเซลล์ สํวนประกอบภายในเซลล์ การ
ลาเลยี งผํานเซลล์ การส่ือสารระหวํางเซลล์ การแบงํ เซลล์แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ การชราภาพของ
เซลล์

โดยการสบื เสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสบื คน๎ ข๎อมูล การทดลอง การ
อภิปราย และการอภปิ ราย

เพอื่ ใหเ๎ กดิ องค์ความร๎ู มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจ มีความมน่ั ใจ ในการนาความรู๎ไปใชใ๎ น
ชวี ิตประจาวนั ปลูกฝงั ให๎มีจติ วทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และคํานิยมทเ่ี หมาะสม ซง่ึ ทกั ษะ
และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ หลาํ น้ไี ดจ๎ ัดการเรียนร๎ูวทิ ยาศาสตร์ขา๎ งตน๎ เพ่ือใหน๎ ักเรยี นมคี วามร๎ู
ความสามารถตามมาตรฐานตอํ ไปนี้
ตัวชี้วดั
ว 1.1 ม.1/1
ว 1.1 ม.2/1
ว 1.1 ม.4-6/1
ว 1.1 ม.4-6/3
ว 1.2 ม.3/4
ว 1.2 ม.3/5
ว 3.2 ม.2/3
รวมท้ังหมด 18 ตัวช้วี ัด

79

ชอื่ รายวชิ า วิทยาศาสตร์3 รหัสวิชา ว31103
คาอธิบายรายวชิ า

ศึกษาโครงสรา๎ งอะตอมและแบบจาลองอะตอมแบบตํางๆ ทม่ี พี ัฒนาการอยาํ งตํอเนอ่ื ง
อนุภาคมลู ฐานของอะตอม เลขอะตอม เลขมวล สญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ ไอโซโทปตํางๆ ของธาตุ การ
จัดเรียงอิเล็กตรอน ในอะตอม พลงั งานไอออไนเซชนั สมบตั ิบางประการของธาตใุ นตารางธาตุ การจดั
ธาตใุ นตารางธาตุ และทานายแนวโนม๎ สมบัติของธาตุในตารางธาตุ แรงยึดเหนยี่ วระหวํางไอออนหรือ
อะตอมของธาตุให๎อยรํู วมกนั เป็นโครงผลึกหรอื โมเลกุล ประเภทของพนั ธะเคมี ความสัมพนั ธร์ ะหวําง
จดุ เดอื ด จุดหลอมเหลว กับแรงยดึ เหนยี่ วระหวํางอนุภาคของสาร ปฏิกิรยิ าเคมีทเ่ี กิดในธรรมชาตแิ ละ
มนษุ ย์เปน็ ผ๎ูกระทา และเขียนสมการเคมี อธบิ ายผลกระทบของสารเคมีที่มีตํอสิง่ มชี ีวติ และสิ่งแวดลอ๎ ม
ความหมายอัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี และปัจจัยที่มผี ลตอํ อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี และการนาไปใช๎
ประโยชน์ การเกดิ ปโิ ตรเลยี ม การแยกก๏าซธรรมชาติ และการกล่นั ลาดับสํวนน้ามันดิบ ตลอดจนการ
นาไปใช๎ประโยชน์ โดยตรงและทางออ๎ ม โดยการผลิตพอลิเมอร์ การเตรยี มการเกดิ สมบัติและ
ประโยชน์ , โทษของโพลเิ มอร์ ตํอสิง่ มีชวี ิตและส่ิงแวดล๎อม องค์ประกอบและปฏกิ ริ ิยาบางชนิด ของ
คาร์โบไฮเดรต ไขมันและนา้ มัน โปรตนี และกรดนวิ คลีอิก ตลอดจนศึกษาประโยชนข์ องสารชีว
โมเลกุลเหลําน้ี

สบื คน๎ ข๎อมลู , อธบิ าย , อภิปราย , วเิ คราะห์ , ทดลอง , ทานาย
เพือ่ ให๎เกดิ ความร๎คู วามเข๎าใจ ความคดิ สามารถสื่อสารสิ่งทีเ่ รยี นร๎ู มีความสามารถในการ
ตดั สินใจ นาความร๎ูไปใชใ๎ นชีวิตประจาวัน
มคี วามรํวมมือ ความรับผิดชอบ ความซ่ือสัตย์ การตรงตํอเวลา ความมีเหตุผล และการยอมรบั ความ
คิดเหน็ ของผอ๎ู ่ืน

ตัวช้วี ดั
ว3.1 ม.4-6/1-5
ว3.2 ม.4-6/1-9
รวมทง้ั หมด 14 ตัวชี้วดั

80

ชื่อรายวิชา วิทยาศาสตร์4 รหสั วชิ า ว31104
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศกึ ษาวิเคราะหเ์ พื่อใหเ๎ กดิ ความร๎คู วามเข๎าใจเกย่ี วกับ ปรากฏการณ์ ความสาคัญ การ
เปลี่ยนแปลงทม่ี ผี ลตอํ ส่งิ มชี ีวติ สง่ิ แวดล๎อม การใชป๎ ระโยชน์ของธรณีภาค ซากดึกดาบรรพ์ ชั้นหนิ
อายุของหนิ ความเปน็ มาของโลก ปรากฏการณ์ ความสาคญั การเปลย่ี นแปลงผลตํอสิง่ มีชวี ิต
ส่ิงแวดลอ๎ ม การเกดิ และววิ ัฒนาการของระบบสรุ ิยะ กาแลกซี่ เอกภพ พลงั งานของดาวฤกษ์
ตาแหนงํ ของโลกในระบบสุรยิ ะ ในกาแลกซ่ี ขนาดของเอกภพ เทคโนโลยีอวกาศที่ใชศ๎ ึกษาปรากฏ
ตํางๆบนโลกและในอวกาศ

โดยใชก๎ ระบวนการ สบื ค๎น การอภปิ ราย การสารวจตรวจสอบ การแก๎ปัญหา การสังเกต
การวเิ คราะห์ข๎อมูล

เพ่อื ใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความเข๎าใจ และสามารถนาความรู๎ไปใช๎ในชีวิตประจาวนั คณุ ลักษณะ
มจี ิตวิทยาศาสตร์ มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม และคํานิยมที่เหมาะสม
ตวั ชวี้ ดั
ว 6.1 ม 4-6/1-6
ว 7.1 ม 4-6/1-2
ว 7.2 ม 4-6/1-3
รวมท้งั หมด 11 ตวั ชี้วัด

81

ช่อื รายวิชา วชิ าฟสิ กิ ส์1 รหัสวชิ า ว31201
คาอธบิ ายรายวิชา

ศึกษาวเิ คราะห์กระบวนการวัดปรมิ าณพื้นฐานทางฟิสิกส์ มวล น้าหนกั ความสมั พนั ธ์ระหวําง
ความเรํงกบั แรง แรงคํูกิริยาปฏิกริ ยิ า กฎการเคล่ือนทขี่ องนิวตันท้งั สามข๎อ สมดุลกล สมดุลตอํ การเล่ือน
ที่ สมดุลตํอการหมุน แรงเสยี ดทาน สมั ประสทิ ธ์ขิ องแรงเสียดทาน จุดศูนย์กลางมวล จุดศนู ยถ์ ํวง
โมเมนตข์ องแรง สมดลุ สมบรู ณ์ เสถียรภาพของสมดลุ งาน กาลงั งาน พลงั งาน ความสัมพนั ธ์
ระหวาํ งงานกับพลงั งาน กฎการอนรุ ักษ์พลังงาน เครอ่ื งกลผอํ นแรง การได๎เปรยี บเชิงกล โมเมนตมั
แรงและการเปลยี่ นโมเมนตมั การชนของวัตถุ กฎการอนุรักษ์โมเมนตัม

โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบคน๎ ข๎อมูล การอภปิ ราย การวเิ คราะห์ การ
คานวณ การเปรียบเทียบ การสารวจตรวจสอบ การทานายและการทดลอง

เพอ่ื ให๎เกิดคณุ ลกั ษณะ ดา๎ นความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถสอื่ สารสงิ่ ทเ่ี รียนร๎ู มี
ความสามารถในการตัดสินใจ นาความรู๎ไปใชใ๎ นชีวิตประจาวนั มีจติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม
และคาํ นิยมทีเ่ หมาะสม
ตวั ช้วี ัด
ว 4.1 ม.2/1-2
ว 4.1 ม.3/1-2
ว 4.2 ม.3/1-2
รวมท้งั หมด 6 ตวั ช้ีวัด

82

ชอ่ื รายวชิ า วิชาฟิสิกส์2 รหัสวิชา ว32201
คาอธิบายรายวชิ า

ผูเ๎ รยี นจะไดร๎ ับการพฒั นาใหม๎ ีความรเ๎ู ก่ยี วกับ การเคลอ่ื นท่ีแบบคล่ืน คลืน่ กล คล่ืนผวิ น้า การ
ซอ๎ นทบั กนั ของคล่ืน และสมบัติของคล่ืน อนั ได๎แกํ การสะท๎อน การหักเห การแทรกสอดและการ
เลยี้ วเบน ธรรมชาติและสมบัตขิ องเสียง ปรากฏการณ์บางอยํางของเสยี ง เชํน บีตส์และคลนื่ นง่ิ ของ
เสียง การสั่นพ๎องของเสียง ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์ คลน่ื กระแทก ความเข๎มเสียง ระดับความเข๎ม
เสียง หแู ละการไดย๎ นิ คณุ ภาพเสยี ง ระดับเสียงมลภาวะของเสียง การนาความรูเ๎ ร่ืองเสยี งไปใช๎
ประโยชน์ การเคล่อื นที่และอตั ราเร็วของแสง การสะท๎อน และการหกั เหของแสง ทัศนอุปกรณ์ การ
กระจายของแสงขาว การกระเจงิ ความสวําง ตาและการมองเหน็ สีสารสี แสงสี สมบัตขิ องแสงเชงิ
กายภาพ อันได๎แกํ การแทรกสอด การเลยี้ วเบน และโพลาไรเซชน่ั

โดยใช๎ทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ
การสบื ค๎นข๎อมูล และการอภิปราย

เพอื่ ใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถส่ือสารส่ิงทเ่ี รียนร๎ู มีความสามารถในการ
ตดั สินใจ นาความร๎ูไปใช๎ในชีวิตประจาวนั มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรมและคํานิยมที่
เหมาะสม ซ่งึ ทกั ษะ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เหลําน้ี ไดจ๎ ัดการเรยี นรผ๎ู าํ นสาระการเรยี นรู๎
วิทยาศาสตร์ ตาํ ง ๆ ข๎างตน๎ เพื่อใหน๎ ักเรียนมีความรูค๎ วามสามารถตามมาตรฐานตํอไปน้ี
ตวั ชี้วัด
ว 5.1 ม.4-6/1-3
ว 5.1 ม.2/1
ว 5.1 ม.2/3
รวมทัง้ หมด 7 ตวั ชวี้ ัด

83

ชอ่ื รายวชิ า วิชาฟสิ กิ ส์3 รหัสวิชา ว32202
คาอธบิ ายรายวิชา

ผเ๎ู รียนจะไดร๎ บั การพัฒนาให๎มีความรเู๎ กี่ยวกบั หลกั การพื้นฐานของไฟฟาู และแมเํ หล็กไฟฟาู ใน
เรอื่ งกฏของคูลอมบ์ สนามไฟฟูา ศักย์ไฟฟูา และความจุไฟฟาู กฏของโอหม์ สภาพต๎านทาน และ
สภาพนาไฟฟูา วงจรไฟฟาู อยํางงาํ ย และอปุ กรณไ์ ฟฟูาทีเ่ ก่ียวขอ๎ ง การหาคําพลังงานไฟฟูาทใี่ ชใ๎ น
อุปกรณ์และเครอ่ื งใช๎ไฟฟาู รวมทงั้ ฝึกปฏิบตั ิการตาํ ง ๆ เก่ยี วกับไฟฟาู หลกั การของแมเํ หล็กไฟฟูา
ความเขม๎ ของสนามแมํเหลก็ ไฟฟาู แรงแมํเหล็ก กฏการเหนีย่ วนาแมํเหลก็ ไฟฟูาของฟาราเดย์ กฏของ
เลนส์ เครอ่ื งกาเนิดของไฟฟูากระแสสลับ ความเหน่ยี วนา หมอ๎ แปลง วงจรไฟฟาู พืน้ ฐานกระแสสลบั
การแปลงไฟฟาู กระแสสลับเป็นไฟฟูากระแสตรง และฝึกปฏิบตั กิ ารตํางๆ เพื่อให๎เกดิ ความเขา๎ ใจ มี
ทักษะกระบวนการและเจตนคตทิ างวิทยาศาสตร์ เหน็ คณุ คาํ ของวทิ ยาศาสตร์ และนาความรู๎ หลกั การ
ไปใชอ๎ ธบิ ายปรากฏการณ์ หรือแก๎ปัญหาท่ีเกย่ี วกับไฟฟูา แมเํ หล็ก

โดยใช๎ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื ค๎นข๎อมลู การอภิปราย การวิเคราะห์
การคานวณ การเปรียบเทยี บ การสารวจตรวจสอบ การทานาย และการทดลอง

เพอ่ื ให๎เกิดความร๎ู ความคิด ความเขา๎ ใจและ สามารถสอ่ื สารสงิ่ ทเี่ รียนร๎ูมีความสามารถ ในการ
ตดั สนิ ใจนาความรู๎ไปใชใ๎ นชวี ิตประจาวัน มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และคาํ นิยมท่ี
เหมาะสม ซ่งึ ทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เหลาํ นไี้ ดจ๎ ดั การเรียนรู๎ผาํ นสาระการเรียนร๎ู
วิทยาศาสตรต์ ํางๆ ข๎างตน๎ เพ่อื ให๎นกั เรียนมีความร๎ู ความสามารถตามมาตรฐานตํอไปน้ี
ตวั ชว้ี ัด
ว 4.1 ม.4-6/2-3
ว 5.1 ป.6/1-5
ว 5.1 ม.3/2-5
รวมทั้งหมด 13 ตัวชว้ี ัด

84

ชอ่ื รายวิชา วิชาฟิสกิ ส์4 รหัสวชิ า ว33201
คาอธบิ ายรายวชิ า

ผูเ๎ รยี นจะไดร๎ บั การพัฒนาใหม๎ ีความร๎ูเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธ์ระหวําง การกระจดั เวลา
ความเรว็ ความเรํง ของการเคลอ่ื นท่ีแบบโพรเจกไทล์ การเคลือ่ นทีแ่ นววงกลม การเคลื่อนที่บนทางโคง๎
การเคล่ือนทข่ี องดาวเทียม การเคลือ่ นท่ีของประจุไฟฟูาในสนามแมเํ หลก็ การเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนกิ อ
ยํางงําย และการเคลื่อนที่แบบหมนุ การใช๎ประโยชน์จากการเคลื่อนท่ีแบบตําง ๆ สภาพยดื หยํุน สภาพ
พลาสติก ความดันในของเหลว แรงทีน่ ้ากระทาตอํ เขอ่ื นหรอื ประตูน้า กฎของพาสคลั แรงลอยตวั และ
กฎของอารค์ ิมดิ สิ ความตึงผวิ ความหนืด หลกั ของแบร์นูลลี สมบตั ิของแกส๏ และทฤษฎีจลน์แกส็
พลังงานความร๎อน พลังงานความร๎อนกับสถานะของสาร และการขยายตัวของสาร สมบตั ิของแก๏สอุดม
คติ แบบจาลองของแกส๏ ทฤษฎีจลนข์ องแกส๏ พลังงานภายในระบบ และการใชท๎ ฤษฎีจลนข์ องแก๏ส
การใชป๎ ระโยชน์ในทางสรา๎ งสรรค์ รวมถึงผลตํอส่งิ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ๎ ม

โดยใชท๎ ักษะ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ
การสืบค๎นข๎อมูล และการอภิปราย

เพื่อใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคดิ ความเขา๎ ใจ สามารถสอ่ื สารส่ิงที่เรียนรู๎ มีความสามารถในการ
ตัดสนิ ใจนาความรู๎ไปใช๎ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรมและคาํ นิยมท่เี หมาะสม
ซึง่ ทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เหลํานไ้ี ดจ๎ ัดการเรียนรู๎ผํานสาระการเรียนรว๎ู ิทยาศาสตร์
ตาํ งๆ ข๎างต๎น เพื่อใหน๎ ักเรียนมีความรค๎ู วามสามารถตามมาตรฐานตอํ ไปนี้
ตัวชี้วัด
ว 4.2 ม.4-6/2-3
รวมทงั้ หมด 1 ตัวชว้ี ดั

85

ชอื่ รายวชิ า วชิ าฟิสิกส์5 รหสั วิชา ว33202
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศกึ ษาวเิ คราะห์ ความสัมพนั ธ์ระหวํางไฟฟูากระแสสลับกับความตาํ งศักย์ ทส่ี วํ นประกอบของ
วงจร ไฟฟาู กระแสสลบั คํามิเตอร์ คํายงั ผล ความตา๎ นทานเชิงซอ๎ น กาลงั ไฟฟาู สเปกตรัมของคล่นื
แมํเหล็กไฟฟูา สมบตั ิของแสงเชงิ ฟสิ กิ ส์ โพลาไรเซช่นั ของแสง และการกระเจิงของแสง โครงสร๎างของ
สสาร แบบจาลองของอะตอม ทวภิ าพของคล่ืนและอนุภาค กลศาสตรค์ วอนตัม การค๎นพบ
กมั มนั ตภาพรงั สี การเปลีย่ นสภาพนิวเคลยี ส การสลายตวั ของนวิ เคลยี สกัมมันตรงั สี ไอโซโทป ปฏกิ ริ ยิ า
นิวเคลียร์ กัมมันตรังสี การใช๎ประโยชน์จากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียร์ และผลของปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร์ตอํ สง่ิ มีชีวติ
และสิง่ แวดลอ๎ ม

โดยใช๎ทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ
การสบื ค๎นข๎อมูล และการอภปิ ราย

เพอื่ ให๎เกิด ความรู๎ ความคิด ความเข๎าใจ สามารถสื่อสารส่ิงที่เรียนร๎ู มีความสามารถในการ
ตัดสินใจ นาความร๎ไู ปใชใ๎ นชีวิตประจาวัน มีจติ วิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรมและคํานิยมที่เหมาะสม
ซึ่งทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เหลํานีไ้ ดจ๎ ดั การเรยี นรผ๎ู าํ นสาระการเรยี นรู๎วิทยาศาสตร์
ตํางๆ ขา๎ งตน๎ เพ่ือใหน๎ ักเรยี นมีความร๎คู วามสามารถตามมาตรฐานตอํ ไปนี้
ตวั ช้ีวดั
ว 5.1 ม.4-6/4
ว 3.1 ม.4-6/1-2
ว 4.1 ม.4-6/4 ,7,9
ว 5.1 ม.4-6/5-6,8
รวมท้ังหมด 12 ตัวช้วี ัด

86

ชอื่ รายวิชา เคม1ี รหสั วิชา ว31221
คาอธิบายรายวชิ า

ศกึ ษาวิเคราะห์ โครงสรา๎ งอะตอม แบบจาลองอะตอมของดอลตัน ทอมสัน รัทเทอร์ฟอร์ด โบร์
แบบจาลองอะตอมแบบกลํมุ หมอก ศึกษาอนุภาคมลู ฐานของอะตอม เลขอะตอม เลขมวล ไอโซโทป
พลงั งานไอออไนเซชัน การจัดอเิ ล็กตรอนในอะตอม ศึกษาและทดลองสเปกตรมั ของธาตุและ
สารประกอบ ศกึ ษาสมบัตธิ าตุ 20 ธาตุแรก การจัดธาตเุ ป็นหมวดหมํูของนักเคมยี คุ ตํางๆ จนถงึ ตาราง
ธาตปุ จั จุบัน แนวโน๎มของสมบตั ิบางประการของธาตตุ ามตารางธาตุ การคานวณหาเลขออกซเิ ดชนั
ศกึ ษาแรงยึดเหนย่ี วระหวํางอะตอมในโมเลกลุ การเกิดพนั ธะไอออนกิ พนั ธะโคเวเลนต์ ความยาวพันธะ
และการคานวณหาพลงั งานพันธะ และพนั ธะโลหะ ศกึ ษาและทดสอบสมบัตขิ องสารประกอบคลอไรด์
และออกไซด์ของธาตุ สมบัติบางประการของธาตตุ ามหมํแู ละตามคาบ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีของธาตแุ ละ
สารประกอบ หมํู I , II, VII คาบท่ี 2,3 ธาตแุ ทรนซิชัน ธาตุไฮโดรเจน ธาตกุ มั มันตรังสีและการสลายตัว
ของธาตุกัมมนั ตรังสี ปฏกิ ริ ยิ าฟิชชัน ปฏิกริ ยิ าฟิวชัน ประโยชน์ของธาตุกัมมันตรงั สีและอันตรายตํอ
มนุษย์ ธาตุและสารประกอบในส่ิงมีชีวติ และสิ่งแวดลอ๎ ม

โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสืบค๎น
ขอ๎ มูลและการอภปิ ราย

เพอื่ เกิดความร๎ู ความคิด ความเข๎าใจ สามารถสื่อสารสิง่ ทเ่ี รียนร๎ู มีความสามารถในการตัดสินใจ
นาความรไ๎ู ปใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรมและคาํ นิยมทเ่ี หมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายของแบบจาลองอะตอมและบอกสาเหตุทที่ าให๎แบบจาลองอะตอมตอ๎ ง
เปลี่ยนแปลงไปได๎
2. บอกความแตกตํางของแบบจาลองอะตอมของดอลตนั ทอมสัน รัทเทอร์ฟอรด์ โบรแ์ ละแบบจาลอง
อะตอมแบบกลํมุ หมอกได๎
3. บอกสมบตั ิบางประการของอนภุ าคมูลฐาน เขียนและแปลความหมายสญั ลกั ษณน์ วิ เคลียรข์ องธาตุได๎
4. บอกความสัมพันธร์ ะหวาํ งความยาว ความถ่ี และพลงั งานของคล่นื แมเํ หลก็ ไฟฟูา และอธบิ ายการเกดิ
และลกั ษณะของแถบสเปกตรัมของแสงขาวได๎
5. วิเคราะหแ์ ละเปรียบเทยี บการจดั เรยี งอิเล็กตรอนในระดับพลงั งานตาํ งๆในอะตอม
6. บอกแนวคดิ ในการจัดธาตุเปน็ หมวดหมํขู องนกั เคมียุคตํางๆได๎
7. สรปุ สมบัติตํางๆของธาตตุ ามหมูํและตามคาบเกยี่ วกับขนาดอะตอม รัศมีไออน พลงั งานไอออไนเซชนั
คําอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ิตี สัมพรรคภาพอเิ ล็กตรอน จดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ด พรอ๎ มทงั้ อธิบายเหตุผล
ประกอบได๎
8. คานวณหาเลขออกซเิ ดชันของธาตใุ นสารประกอบและไอออนตํางๆได๎
9. อธิบายการเกดิ โครงสร๎าง การเขยี นสตู ร การเรียกช่ือ สมบตั แิ ละประโยชนข์ องสารประกอบไอออนิก
10. ทาการทดลอง รวบรวมข๎อมูล แปลความหมายข๎อมูล และสรุปผลการทดลองเพื่อศึกษา การ
เปลย่ี นแปลงพลังงานของสารไอออนิกเม่ือละลายนา้ และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมขี องสารไอออนกิ
11. อธิบายการเกิดพนั ธะ การเขียนสตู ร การเรยี กชอื่ และระบุชนิดของพนั ธะโคเวเลนตใ์ นโมเลกุล
ความยาวพนั ธะ พลงั งานพันธะ โมเลกลุ มีขัว้ กับไมํมขี ั้วได๎
12. อธบิ ายโครงสร๎างของสารโคเวเลนตท์ ่มี ีโครงสร๎างเรโซแนนซ์ และทานายรปู รํางของโมเลกลุ โคเว

87

เลนตไ์ ด๎
13. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหวํางแรงยดึ เหนี่ยวระหวํางโมเลกุล โครงสรา๎ งกับโครงผลกึ รํางตาขาํ ย กบั จุด
เดอื ดและจุดหลอมเหลวของสารได๎
14. อธบิ ายการเกิดพนั ธะโลหะและใชค๎ วามรูเ๎ รือ่ งพันธะโลหะอธิบายสมบตั ิของโลหะได๎
15. เปรียบเทยี บสมบตั แิ ละบอกประโยชน์ของสารประกอบคลอไรด์และสารประกอบออกไซด์ของโลหะ
และอโลหะในชีวติ ประจาวันได๎
16. เปรยี บเทยี บสมบัตขิ องธาตแุ ละสารประกอบของธาตแุ ทรนซิชันกบั ธาตแุ ละสาร ประกอบของธาตุ
หมูํ IA , IIA และVIIA ได๎
17. บอกสมบตั ิและประโยชน์ของธาตุกมั มนั ตรังสี
18. บอกความหมายของปฏิกิรยิ าฟชิ ชัน ปฏิกิรยิ าฟวิ ชันและเขียนสมการแสดงปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียรไ์ ด๎
19. ทานายตาแหนงํ ของธาตุในตารางธาตุ เมื่อทราบสมบัตขิ องธาตุได๎
20. บอกสมบตั ิ ประโยชน์และโทษของธาตุและสารประกอบท่มี ีผลตํอสิ่งมีชวี ิตและสิง่ แวดล๎อมได๎
รวมหมด 20 ผลการเรยี นรู้

88

ชือ่ รายวชิ า เคมี2 รหสั วิชา ว32221
คาอธบิ ายรายวิชา

ศกึ ษาวเิ คราะห์ มวลของธาตุ 1 อะตอม มวลอะตอม และมวลอะตอมเฉลย่ี มวลโมเลกุลและ
มวลของสาร 1 โมเลกุล ความสมั พนั ธ์ระหวํางจานวนโมลกับจานวนอนภุ าค มวลของสาร และปรมิ าตร
ของกา๏ ซที่ STP ความเขม๎ ขน๎ ของสารละลาย และเตรียมสารละลาย จดุ เดือด จดุ หลอมเหลวหรอื จุด
เยอื กแข็งของสารละลาย สูตรเอมพิริคัล สูตรโมเลกุลของสาร มวลเปน็ รอ๎ ยละของธาตุองค์ประกอบ
ปฎิกิริยาเคมี การเขียนและดุลสมการเคมี ระบบปดิ และระบบเปิด กฎทรงมวล กฎสัดสํวนคงที่ กฎเกย์-
ลูสแซกและกฎของอาโวกาโดร ผลได๎รอ๎ ยละ สมบตั ิของของแข็ง เหตุผลท่ธี าตบุ างชนดิ ปรากฏเป็นรปู
ตํางๆ การระเหดิ สมบตั ิของของเหลว การระเหย และการเกดิ ความดนั ไอ และก๏าซ กฎของกา๏ ซ ทฤษฎี
จลนข์ องก๏าซและการนาไปอธิบายสมบัติตํางๆของสารทง้ั 3 สถานะ เทคโนโลยีทีเ่ กย่ี วข๎องกับของแขง็
ของเหลว และกา๏ ซ

โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสืบคน๎
ขอ๎ มูลและการอภิปราย

เพ่อื เกิดความรู๎ ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถสอ่ื สารส่ิงท่เี รียนร๎ู มคี วามสามารถในการตัดสินใจ
นาความรไู๎ ปใชป๎ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั มจี ติ วิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรมและคาํ นยิ มทีเ่ หมาะสม
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและคานวณหามวลของธาตุ 1 อะตอม มวลอะตอม และมวลอะตอมเฉล่ียได๎
2. อธิบายความหมายและคานวณหามวลโมเลกลุ และมวลของสาร 1 โมเลกลุ ได๎
3. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหวาํ งจานวนโมลกับจานวนอนุภาค มวลของสาร และปริมาตรของก๏าซที่ STP
รวมท้ังใชค๎ วามสมั พันธ์ดงั กลําวในการคานวณได๎
4. คานวณหาความเข๎มขน๎ ของสารละลาย และเตรียมสารละลายใหม๎ คี วามเขม๎ ขน๎ หรอื ปริมาตรตาม
ต๎องการได๎
5. เปรียบเทียบระหวาํ งตวั ทาละลายบริสทุ ธก์ บั สารละลายทม่ี ีตัวทาละลายบริสทุ ธน์ิ นั้
6. คานวณหาสูตรเอมพริ คิ ัล สูตรโมเลกุลของสารหรือของกา๏ ซ และมวลเปน็ รอ๎ ยละของธาตุ
องคป์ ระกอบจากสตู รทกี่ าหนดให๎ได๎
7. เขียนและดลุ สมการเคมเี มื่อทราบสารตัง้ ตน๎ และผลิตภณั ฑไ์ ด๎
8. บอกความหมายและระบุไดว๎ ําระบบใดเปน็ ระบบปดิ หรือระบบเปิดและคานวณหามวลสารจาก
ปฏิกริ ิยาโดยใช๎กฎทรงมวลได๎
9. คานวณหาอตั ราสวํ นโดยมวลของธาตุที่รวมตัวกนั เปน็ สารประกอบโดยใชก๎ ฎสัดสํวนคงทไ่ี ด๎
10. สรปุ ใจความของกฎเกย์-ลสู แซกและกฎของอาโวกาโดรได๎
11. คานวณหาปริมาตรของแก๏ส จานวนโมล มวลหรือปริมาตรของสาร สูตรโมเลกุลของสารใดสารหน่ึง
เมื่อทราบปรมิ าณของสารอ่ืนในปฏิกิริยาเคมีได๎
12. อธบิ ายความหมายและคานวณหาผลได๎รอ๎ ยละ และความสมั พนั ธ์ตาํ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข๎องได๎
13. บอกสมบตั ิบางประการของของแข็ง ของเหลวและก๏าซได๎
14. อธิบายเหตผุ ลและยกตัวอยาํ งทธ่ี าตุบางชนิดปรากฏเป็นรปู ตํางๆได๎
15. จาแนกประเภทของผลกึ ของของแขง็ และการเปล่ียนสถานะของของแข็งโดยการหลอมเหลวและ
การระเหดิ

89

16. อธิบายสมบตั ขิ องของเหลวเกย่ี วกบั การระเหยและการเกดิ ความดนั ไอได๎
17. อธิบายความสมั พนั ธ์ระหวาํ งอณุ หภมู ิ ความดันและปริมาตรของกา๏ ซ กฎของก๏าซ การแพรํของก๏าซ
และคานวณปริมาณทเี่ ก่ียวข๎องได๎
18. อธบิ ายกระบวนการทนี่ าความรเู๎ ก่ียวกับสมบัติของของแข็ง ของเหลว ก๏าซ มาประยุกต์ใชใ๎ น
อตุ สาหกรรมได๎
รวมท้ังหมด 18 ผลการเรยี นรู้

90

ช่ือรายวิชา เคม3ี รหัสวิชา ว32222
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศกึ ษาวิเคราะห์ ทดลองหาอัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ผลของความเข๎มขน๎ พ้นื ทีผ่ วิ อณุ หภมู ิ
ตัวเรงํ และตวั หนํวงปฏกิ ริ ยิ าตํออัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี พลงั งานกบั การดาเนินไปของของปฏกิ ิริยา
การใชท๎ ฤษฎีจลน์อธบิ ายผลของปัจจยั ตาํ งๆทมี่ ีผลตํออัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี ทดลองการเปล่ียนแปลง
ไปข๎างหนา๎ การเปลย่ี นแปลงย๎อนกลบั การเปลย่ี นแปลงท่ีผันกลับได๎ สมบตั ขิ องระบบที่มภี าวะสมดุล
ระหวาํ งสถานะ สมดุลในสารละลายอมิ่ ตัว สมดลุ ในปฏิกิริยาเคมี ทิศทางการดาเนินเข๎าสํภู าวะสมดุล
หลักของเลอชาเตอลเิ อ และการนาไปใชอ๎ ธิบายการเปล่ียนแปลงภาวะสมดุล คานวณหาคาํ คงท่ีของ
สมดลุ และหาความเข๎มขน๎ ของสารในปฏกิ ิริยา ณ ภาวะสมดุล ปจั จยั ท่ีมีผลตํอคาํ คงทีส่ มดุล สมบตั บิ าง
ประการของสารอเิ ลก็ โทรไลต์ ไอออนในสารละลายกรด-เบส ทฤษฎกี รด-เบส คกูํ รด-เบส คานวณการ
แตกตัวของกรด-เบส การแตกตัวของนา้ บริสุทธ์ิ pH ของสารละลาย สมบัตแิ ละการแตกตัวของอินดิเค
เตอร์ ทดลองการเปล่ียนสีของอินดิเคเตอรช์ นดิ ตาํ งๆ ในสารละลาย สารละลายกรด-เบสใน
ชีวิตประจาวนั และในสงิ่ แวดล๎อม และคานวณหาความเขม๎ ข๎นของไฮโดรเนยี มไอออนและไฮดรอกไซด์
ไอออนในนา้ โดยการไทเทรต เลอื กใชอ๎ ินดเิ คเตอร์สาหรบั ไทเทรตสารละลาย ศกึ ษาองค์ประกอบและ
ทดสอบสมบัติของสารละลายบัพเฟอร์

โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสบื คน๎
ขอ๎ มูลและการอภปิ ราย

เพ่อื เกดิ ความรู๎ ความคดิ ความเขา๎ ใจ สามารถสื่อสารส่งิ ที่เรียนรู๎ มีความสามารถในการตัดสนิ ใจ
นาความรไู๎ ปใชป๎ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรมและคาํ นิยมท่ีเหมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. บอกความหมายของอตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีและหาอัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมไี ด๎
2. ใช๎ทฤษฎีจลน์และทฤษฎีการชนกนั ของอนภุ าคอธิบายการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีได๎
3. ใช๎ขอ๎ มูลจากกราฟแสดงการเปล่ียนแปลงพลงั งานกับการดาเนนิ ไปของปฏกิ ิรยิ าเคมีเพื่อบอกวาํ เป็น
ปฏิกริ ยิ าดูดหรือคายพลงั งานได๎
4. อธบิ ายผลของพนื้ ทีผ่ วิ และความเขม๎ ขน๎ ของสาร อุณหภูมิ ตัวเรํงและตัวหนวํ งปฏกิ ิริยาทีม่ ีตํออตั รา
การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีได๎
5. อธิบายความหมายของปฏิกริ ิยาผนั กลบั ไมไํ ด๎และปฏกิ ิริยาผนั กลบั ได๎ พร๎อมท้ังบอกวิธีทดสอบได๎
6. บอกสมบตั ิของระบบ ณ ภาวะสมดุลได๎
7. เขยี นความสมั พนั ธ์ระหวํางความเขม๎ ขน๎ ของสารตัง้ ต๎นและผลติ ภณั ฑ์ ณ ภาวะสมดลุ ตลอดจน
คานวณคาํ คงทสี่ มดลุ และความเขม๎ ขน๎ ของสารตาํ งๆ ณ ภาวะสมดุลได๎
8. ระบุปัจจัยทที่ มี่ ีผลทาให๎ภาวะสมดุลของระบบและคาํ คงทสี่ มดลุ เปล่ียนแปลง พร๎อมทั้งอธบิ ายเหตุ
ผลได๎
9. ใช๎หลกั ของเลอชาเตอลเิ อ อธิบายการปรับตวั ของระบบเพอ่ื เข๎าสํภู าวะสมดุลอีกครัง้ หนง่ึ รวมทั้งการ
เลือกภาวะท่ีเหมาะสมในการผลติ สารเคมีในอุตสาหกรรมได๎
10. บอกสมบตั ิของสารอิเล็กโทรไลต์ และใช๎เป็นเกณฑ์ในการจัดจาแนกประเภทสารได๎
11. อธิบายการเปลี่ยนแปลงของกรดหรือเบสในน้า พร๎อมท้ังระบชุ นดิ ของไอออนท่ที าให๎สารละลาย
แสดงสมบัตเิ ปน็ กรดหรือเบสได๎

91

12. อธบิ ายความหมายของทฤษฎีกรด-เบสอาร์เรเนียสและเบรินสเตด-ลาวรี พร๎อมท้งั อธิบายสมบตั ขิ อง
กรดหรอื เบสได๎
13. ระบุโมเลกุลหรือไอออนที่เปน็ คกํู รด-เบสในปฏกิ ิรยิ า พร๎อมทงั้ บอกความแตกตํางของสารท่ีเปน็ คูํ
กรด-เบสได๎
14. อธิบายการแตกตวั ของกรดแกํ เบสแกํ กรดอํอน เบสอํอน รวมทงั้ คานวณหาร๎อยละของการแตกตัว
และคาํ คงที่การแตกตวั ของกรดหรอื เบสได๎
15. เปรยี บเทยี บปรมิ าณการแตกตวั ของกรดหรือเบส และคานวณหาความเข๎มข๎นของ H3O+ และ OH-
โดยใชค๎ ําคงที่การแตกตัวของกรดและเบสได๎
16. ระบคุ าํ คงท่กี ารแตกตวั ของน้า และอธิบายการเปลย่ี นแปลงภาวะสมดุลของน้า เม่ือเติมกรดหรอื เบส
และคานวณหาความเข๎มขน๎ ของ H3O+ และ OH- ในสารละลายได๎
17. คานวณหา pH ของสารละลายเมื่อทราบความเข๎มข๎นของ H3O+ และ OH- และใช๎ pH บอกความ
เปน็ กรด-เบสของสารละลายได๎
18. อธิบายเหตผุ ลที่ทาให๎อนิ ดเิ คเตอรเ์ ปลี่ยนสีและใช๎อนิ ดิเคเตอรต์ รวจสอบความเป็นกรด-เบสของ
สารละลายเพื่อบอก pH ของสารละลายได๎
19. บอกความสาคัญของสารละลายกรด-เบสในสิง่ มีชีวติ และในชีวติ ประจาวันได๎
20. บอกความหมายของเกลือ ปฏิกิริยาการสะเทิน ปฏิกริ ิยาไฮโดรไลซสิ และสารละลายมาตรฐาน
พรอ๎ มยกตวั อยํางได๎
21. บอกหลกั การ อธบิ ายวิธีการไทเทรตและเลือกใช๎อินดิเคเตอรท์ เ่ี หมาะสมในการไทเทรตเพ่อื ให๎ได๎จดุ
ยุตทิ ีใ่ กล๎เคยี งกบั จดุ สมมลู มากท่ีสดุ ได๎
22. อธิบายความหมายของสารละลายบพั เฟอร์และการเปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ เมื่อเตมิ กรดหรอื เบสได๎
รวมทั้งหมด 22 ผลการเรียนรู้

92

ชื่อรายวชิ า เคม4ี รหัสวชิ า ว33221
คาอธิบายรายวิชา

ศึกษาวเิ คราะห์ ทดลองปฏิกริ ิยาการถํายโอนอเิ ลก็ ตรอน ปฏิกิรยิ าออกซเิ ดชัน ปฏิกริ ิยารีดักชนั
ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์ ฝกึ เขยี นและดุลสมการรีดอกซ์ หลกั การของเซลลก์ ัลวานกิ การหาคําศักยไ์ ฟฟูา
มาตรฐานของครงึ่ เซลล์ คานวณหาศักย์ไฟฟูาของเซลล์ปฏกิ ิรยิ าในเซลล์ปฐมภมู แิ ละเซลล์ทุติยภมู ิบาง
ชนิด ที่เป็นเซลล์ไฟฟาู เคมใี นชีวติ ประจาวนั หลกั การของเซลลอ์ เิ ลก็ โทรไลต์และปฏิกริ ยิ าท่ีเกิดข้นึ ภายใน
เซลล์ การนาหลกั การของเซลลอ์ เิ ล็กโทรไลต์ไปใช๎แยกสาร การทาให๎โลหะบรสิ ุทธิ์ การถลงุ แรํและการ
ชุบโลหะด๎วยกระแสไฟฟาู ปฏิกิริยาการเกดิ การผุกรํอนของโลหะและทดลองปูองกนั การผุกรํอนของ
โลหะ ความก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยที ีเ่ ก่ียวขอ๎ งกับเซลล์ไฟฟูาเคมี ค๎นควา๎ เก่ียวกบั ธาตแุ ละสารประกอบที่
สาคัญในประเทศไทย แรํเศรษฐกิจและการนาไปใช๎เพื่อการพัฒนาอตุ สาหกรรมในประเทศไทย
อตุ สาหกรรมเคมี อตุ สาหกรรมที่ใช๎โซเดียมคลอไรดเ์ ปน็ วตั ถุดิบ อุตสาหกรรมปุ๋ย อตุ สาหกรรมแรํ
อุตสาหกรรมเซรามิกส์ ความกา๎ วหน๎าทางเทคโนโลยใี นอุตสาหกรรม

โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสืบค๎น
ขอ๎ มลู และการอภิปราย

เพื่อเกดิ ความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถส่ือสารสงิ่ ที่เรียนรู๎ มีความสามารถในการตัดสนิ ใจ
นาความรไู๎ ปใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและคาํ นยิ มทเี่ หมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. อธิบายความหมายของปฏิกิรยิ าออกซิเดชนั ปฏิกริ ยิ ารีดักชัน ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซ์ ตวั รีดิวซ์ และตวั
ออกซไิ ดซ์ ในแงํการถํายโอนอิเล็กตรอนและการเปลย่ี นแปลงเลขออกซิเดชนั ได๎
2. จัดลาดับความสามารถในการรบั อเิ ล็กตรอนของธาตหุ รอื ไอออนและเปรยี บเทยี บความสามารถในการ
เป็นตวั รีดิวซห์ รอื ตัวออกซิไดซ์ได๎
3. ดุลสมการรดี อกซ์ โดยใช๎เลขออกซเิ ดชันและครงึ่ ปฏิกริ ยิ าได๎
4. ตอํ เซลล์กลั วานิกจากครงึ่ เซลล์ทก่ี าหนดให๎พรอ๎ มท้ังบอกขวั้ แอโนดหรือแคโทด เขียนสมการแสดง
ปฏกิ ริ ิยาและเขียนแผนภาพเซลลก์ ลั วานิกได๎
5. อธบิ ายวธิ กี ารหาคําศักยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของครงึ่ เซลล์ (EO) โดยการเปรยี บเทยี บกับครึ่งเซลล์
ไฮโดรเจนมาตรฐาน และใช๎คํา EO ของครงึ่ เซลล์ ทานายการเกดิ ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ พร๎อมทั้งคานวณคํา
ศักย์ไฟฟูาของเซลลก์ ัลวานิกได๎
6. นาหลักการของเซลล์อิเล็กโทรไลตม์ าใช๎ในการแยกสารเคมดี ว๎ ยไฟฟูา พร๎อมทงั้ เขยี น
สมการแสดงปฏกิ ิรยิ าทเี่ กดิ ขึ้นได๎
7. อธิบายหลกั การทางานของเซลลก์ ัลวานกิ เซลลอ์ เิ ลก็ โทรไลต์ เซลลป์ ฐมภูมแิ ละเซลลท์ ุติยภูมิได๎
8. อธิบายหลกั การทางานพร๎อมทง้ั เขียนสมการแสดงปฏิกิรยิ าทเี่ กิดข้นึ ในถาํ นไฟฉายเซลล์แอลคาไลน์
เซลลป์ รอท เซลล์เงนิ เซลลน์ กิ เกลิ -แคดเมยี ม และเซลล์สะสมไฟฟูาแบบตะก่วั ได๎
9. อธิบายหลักการชบุ โลหะด๎วยกระแสไฟฟูาและการทาโลหะใหบ๎ ริสทุ ธ์ิ พร๎อมทงั้ เขยี น
สมการแสดงปฏกิ ิรยิ าที่เกิดขึ้นได๎
10. อธิบายสาเหตทุ ท่ี าใหโ๎ ลหะเกดิ การผกุ รํอนพร๎อมท้ังเขยี นสมการแสดงปฏกิ ิริยาและบอกวิธีปอู งกันได๎
11. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีท่เี ก่ยี วข๎องกับเซลลไ์ ฟฟาู เคมี ไดแ๎ กํ การทาไดอะลิซสี นา้
ทะเล การผลติ กระแสไฟฟาู จากเซลลเ์ ชื้อเพลงิ

93

12. อธบิ ายหลกั การถลุงแรํดีบุก พลวง สงั กะสี-แคดเมยี ม วธิ สี กัดธาตุแทนทาลมั ไนโอเบยี มและเซอร์
โครเมยี มพร๎อมท้งั บอกประโยชน์ของธาตุและสารประกอบดังกลําวได๎
13. บอกความหมายของเซรามิกส์และสมบัตขิ องผลิตภัณฑ์เซรามกิ ส์ยุคใหมํ พร๎อมยกตวั อยํางเคร่ืองใช๎
ทเี่ ปน็ เซรามิกส์ได๎
14. บอกวิธีการผลิตเกลือสมุทรและเกลือสนิ เธาว์ ตลอดจนผลกระทบตํอสงิ่ แวดลอ๎ มทเี่ กดิ จากการผลติ
เกลือได๎
15. อธิบายวธิ กี ารผลิตโซเดยี มไฮดรอกไซด์และกา๏ ซคลอรนี จากโซเดยี มคลอไรดโ์ ดยใช๎เซลล์ไดอะแฟรม
เซลล์ปรอทและเซลล์เย่อื แลกเปล่ียนไอออน กระบวนการผลิตสารฟอกขาว ผงชรู ส โซดาแอช ได๎
16. อธิบายกระบวนการผลติ ปุ๋ยแอมโมเนยี มซัลเฟต ปุ๋ยยเู รีย และปยุ๋ ฟอสเฟตได๎
รวมทั้งหมด 16 ผลการเรียนรู้

94

ชือ่ รายวิชา เคมี5 รหัสวชิ า ว33222
คาอธบิ ายรายวิชา

ศกึ ษาวเิ คราะห์ ชนดิ ของพนั ธะระหวาํ งคารบ์ อน สตู รเคมี ไอโซเมอร์ของสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอน และทดลองการจดั ตัวของคาร์บอนในสารประกอบ ทดลองสมบัติของสาร ประกอบ
ไฮโดรคาร์บอน แบบสายตรง แบบวงแหวนอะโรมาตกิ มลพิษที่อาจเกิดขนึ้ และการแก๎ไข ศึกษาหมูํ
ฟังก์ชนั สตู รเคมีของสารประกอบคาร์บอน ศึกษาและทดลองสมบัตปิ ฏกิ ิริยาของแอลกอฮอล์ แอลดไี ฮด์
คโี ตน กรดอินทรีย์ เอสเทอร์ เอมนี เอไมด์ ความสาคญั ของอาหารตํอชีวิตและสขุ ภาพ อาหารกับสารชวี
โมเลกุล ซึ่งได๎แกํ ไขมันและน้ามัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต องค์ประกอบ โครงสรา๎ ง แหลงํ ทเี่ กดิ ใน
ธรรมชาตขิ องสารชวี โมเลกุล ทดลอง สมบตั ิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมบี างประเภทของไขมนั และน้ามัน โปรตนี
คารโ์ บไฮเดรต สมบตั แิ ละการทางานของเอนไซม์ ความก๎าวหนา๎ ของเทคโนโลยที ี่เก่ยี วข๎องกบั สารชวี
โมเลกลุ ศึกษาแหลงํ กาเนิดและองคป์ ระกอบของปโิ ตรเลยี ม วธิ ีแยกนา้ มันดิบและกา๏ ซธรรมชาติ
กระบวนการผลติ และประโยชนข์ องผลิตภณั ฑป์ โิ ตรเคมบี างชนดิ ชนดิ และปฏกิ ิรยิ าของพอลเิ มอร์ ชนิด
สมบตั ิและประโยชนข์ องพลาสตกิ เสน๎ ใย ยาง ซิลโิ คน รวมทั้งมลพิษที่อาจเกิดข้นึ และแนวทางในการ
ปูองกัน ศกึ ษาความกา๎ วหนา๎ ของผลติ ภัณฑ์พอลิเมอร์สังเคราะห์

โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสบื คน๎
ข๎อมลู และการอภิปราย

เพือ่ เกดิ ความรู๎ ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถสือ่ สารสิ่งทเี่ รียนรู๎ มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจ
นาความรไู๎ ปใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรมและคํานยิ มท่ีเหมาะสม
ผลการเรียนรู้
1. มีความรูใ๎ นเร่ืองพนั ธะคาร์บอนและสามารถเขยี นสตู รของสารประกอบคาร์บอนได๎
2. เขยี นสตู รโครงสรา๎ งไอโซเมอรข์ องสารประกอบของคาร์บอนประเภทตํางๆได๎
3. อธิบายและทดลองเก่ียวกับสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทีอ่ ่ิมตวั และไมอํ ่ิมตวั ได๎
4.บอกสมบตั ิของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน(แอลเคน แอลคีน แอลไคน์) มลพิษที่อาจเกดิ ข้นึ และการ
แก๎ไข
5. มีความร๎เู กย่ี วกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบบวง สารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคารบ์ อน และ
อธิบายสมบัติบางประการได๎
6. สรปุ สมบัตขิ องสารประกอบคารบ์ อน ซึ่งมีหมํูอะตอมท่แี สดงสมบัตเิ ฉพาะแตํละประเภทได๎
7. อธิบายความหมายของอาหารในแงทํ เ่ี ปน็ สารอาหารและสารชวี โมเลกุล พรอ๎ มทั้งยกตวั อยาํ ง
8. บอกแหลงํ ท่ีพบ สมบตั ิ ปฏิกิริยาบางประการ และวิธีทดสอบ ไขมัน โปรตีน เอนไซมแ์ ละ
คาร์โบไฮเดรตได๎
9. บอกประโยชน์ของสารชวี โมเลกลุ ท่ใี ช๎โดยตรง และทนี่ าไปใชเ๎ ปน็ สารตง้ั ตน๎ ในการผลติ สารชีวโมเลกลุ
บางชนดิ ทางอุตสาหกรรมได๎
10. อธิบายการเกิดปิโตรเลียม การสารวจหาแหลงํ ปิโตรเลียม การกลนั่ นา้ มนั การปรับปรุงคุณภาพของ
นา้ มนั การแยกกา๏ ซธรรมชาติ พร๎อมทั้งยกตัวอยํางผลติ ภณั ฑท์ ่ไี ดจ๎ ากการกลน่ั น้ามันดิบและกา๏ ซ
ธรรมชาตไิ ด๎
11. อธบิ ายความหมายของปิโตรเลียม เลขออกเทน เลขซีเทน ปิโตรเคมภี ณั ฑ์ อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมี
ขัน้ ตน๎ อุตสาหกรรมปโิ ตรเคมีข้นั ตํอเนื่อง พอลเิ มอร์ มอนอเมอร์ พลาสติก เส๎นใยธรรมชาติ เสน๎ ใย

95

สงั เคราะห์ ปฏกิ ิรยิ าวลั คาไนเซชนั และภาวะมลพิษได๎
12. บอกความกา๎ วหนา๎ ทางเทคโนโลยขี องการผลติ ผลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอรส์ งั เคราะห์ ตลอดจนผลกระทบท่ี
เกดิ จากการผลิตและการใชผ๎ ลิตภณั ฑป์ โิ ตรเคมที ่ีมีตอํ ส่งิ แวดล๎อม
13. จาแนกประเภท สรุปสมบัตปิ ระโยชน์ของพลาสติก เสน๎ ใย และยางได๎
14. บอกสาเหตุที่ทาให๎เกิดภาวะมลพิษทั้งทางน้า ทางอากาศ และทางดิน วิธีปอู งกนั ไมํใหเ๎ กดิ ภาวะ
มลพิษได๎
15. ทาการทดลองเพอื่ เตรียมพอลเิ มอร์ การทดสอบสมบัติพลาสติก และการวเิ คราะหค์ ุณภาพของน้า
โดยการหาปริมาณออกซเิ จนในน้าได๎
รวมท้ังหมด 15 ผลการเรยี นรู้

96

ชอื่ รายวชิ า วิชาชีววทิ ยา1 รหัสวิชา ว31241
คาอธบิ ายรายวชิ า

ศึกษาวเิ คราะห์อาหารและการยอํ ยอาหาร การสลายสารอาหารระดบั เซลล์ การรักษาดลุ ยภาพ
ในรํางกาย ระบบหายใจกบั การรกั ษาดุลยภาพในราํ งกาย รํางกาย ระบบขบั ถํายกบั การรักษาดุลยภาพ
ในรํางกาย และระบบหมุนเวยี นเลอื ดกับการรกั ษาดลุ ยภาพในรํางกาย การรักษาดุลยภาพของราํ งกาย
สัตว์และมนษุ ย์ โดยการทางานของระบบหายใจ ระบบขัยถําย ระบบหมุนเวยี นเลอื ด ระบบนา้ เหลอื ง
การสรา๎ งภมู คิ ๎ุมกัน การทางานของระบบยํอยอาหาร และการสลายอาหารเพ่ือให๎ได๎พลังงานในราํ งกาย
สตั ว์และมนษุ ย์ ตลอดทงั้ สามารถนาความร๎ูเร่ืองการยอํ ยอาหารแลการสลายสารอาหารเพ่ือให๎ได๎
พลงั งาน และการรกั ษาดุลยภาพของมนุษย์มาประยกุ ต์ใช๎ในชีวติ ประจาวนั

ทกั ษะ ใช๎กระบวนการวิทยาศาสตร์ กระบวนการสบื เสาะหาความร๎ู สารวจตรวจสอบ การ
สังเกต การสบื ค๎นข๎อมูล การทดลองการอภปิ รายสรปุ เพ่ือใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคิด ความเขา๎ ใจสือ่ สารสง่ิ
ที่เรียนร๎ู

คณุ ลักษณะ มีความสามารถในการตดั สินใจ นาความรู๎ไปใช๎ในชวี ติ ประจาวนั ดแู ลสง่ิ มีชวี ิตอน่ื
เฝูาระวัง พัฒนาสิ่งแวดล๎อมอยํางย่ังยืน มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรมคณุ ธรรมและคาํ นยิ ม
ตวั ช้ีวดั
ว1.1ม.2/1-2
ว1.1ม.4-6/1,3
ว1.1ม.2/2

97

ชือ่ รายวชิ า ชีววิทยา2 รหัส ว32241
คาอธิบายรายวิชา

ศึกษา วิเคราะหค์ วามแตกตาํ งระหวําง การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชวี ิตเซลลเ์ ดยี ว สัตวไ์ มมํ ี และมี
กระดูกสนั หลังคน การรับร๎ูและการตอบสนองของส่งิ มชี วี ิตเซลลเ์ ดียวและ สตั วบ์ างชนดิ สัตว์ในท๎องถิน่
เซลล์ประสาท การทางานของเซลลป์ ระสาท โครงสร๎างของระบบประสาท การทางานของระบบ
ประสาทส่ังการ ระบบประสาทอตั โนมตั ิ อวยั วะรบั ความรสู๎ ึก ตํอมไร๎ทํอที่สาคัญ และฮอรโ์ มนจากตํอม
ไรท๎ ํอ ฟีโรโมน กลไกการเกดิ พฤตกิ รรม ความสัมพนั ธ์ ระหวาํ งพฤตกิ รรมกับการพัฒนาระบบ
ประสาท การสื่อสารระหวาํ งสตั ว์ในท๎องถิ่น การสืบพนั ธุ์ของส่ิงมชี ีวิตเซลล์เดยี ว สตั ว์บางชนิด การ
เจริญเติบโตของส่งิ มชี ีวิตเซลลเ์ ดยี ว สตั ว์บางชนดิ สัตว์ในท๎องถ่นิ สภาวะบางประการทมี่ ผี ลตอํ การ
เจรญิ เตบิ โตของทารกในครรภ์ ปัจจยั ทีม่ ผี ลตอํ การเจรญิ เตบิ โตของลกู อํอนสัตว์ในทอ๎ งถ่นิ

โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความร๎ู สารวจตรวจสอบ การสืบค๎น
ขอ๎ มูล การอภิปราย การวางแผน การลงมอื ปฏบิ ัติ การคิดวิเคราะห์ การอธิบาย การสังเกต และนา
ความรไ๎ู ปใชใ๎ นการดแู ลรักษาตนเอง และสตั วใ์ นทอ๎ งถิน่ มีสมรรถนะในการส่อื สาร การคดิ การ
แกป๎ ัญหา การใช๎ทักษะชีวิต และมีความสามารถในการใช๎เทคโนโลยี

เหน็ คุณคําของการนาความร๎ไู ปใช๎ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ คณุ ธรรม
จริยธรรม รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยอูํ ยํางพอเพยี ง ซ่อื สตั ย์ มวี นิ ัย ใฝเุ รยี นร๎ู มงุํ มั่นในการ
ทางาน รักความเปน็ ไทย และมจี ิตสาธารณะ
ตัวชวี้ ัด
ว1.1 ป.6/1
ว1.1 ม.1/1-3
ว1.1 ม. 2/1,3
ว1.1 ม.4-6
ว1.2 ป.5/5

98

ช่ือรายวิชา ชีววิทยา3 รหัส ว32242
คาอธิบายรายวิชา

ศกึ ษาวเิ คราะห์ความแตกตํางของ โครงสร๎าง และหนา๎ ท่ีของราก ลาต๎น ใบ การคายน้า
เปรียบเทยี บ การลาเลียงนา้ ธาตุอาหาร และอาหารของพชื การคน๎ ควา๎ เกยี่ วกับการสังเคราะหด์ ว๎ ย
แสง กระบวนการสังเคราะห์ดว๎ ยแสง โฟโตเรสไพเรชัน เปรียบเทยี บกลไกการเพิม่ CO2 ในพชื C 4
และพชื ซเี อเอ็ม (CAM) ทดลองปัจจัยบางประการท่ีมีผลตอํ การสงั เคราะห์ดว๎ ยแสง การปรบั ตัวของ
พชื เพื่อรบั แสง การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศ และแบบไมํอาศัยเพศของพืชมีดอกในทอ๎ งถ่นิ และการ
ขยายพนั ธุพ์ ืช การวดั การเจริญเตบิ โตของพืช สารควบคุมการเจริญเตบิ โตของพืช ทดลอง ออกแบบ
การทดลอง การตอบสนองของพชื ในท๎องถ่ินตํอสงิ่ แวดล๎อม

โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความร๎ู สารวจตรวจสอบ การสบื คน๎
ขอ๎ มลู การอภิปราย การวางแผน การลงมอื ปฏบิ ัติ การคิดวิเคราะห์ การอธบิ าย การสังเกต และนา
ความรไู๎ ปใชใ๎ นการดูแลรักษาพืช มีสมรรถนะ ในการสอื่ สาร การคดิ การแก๎ปัญหา การใช๎ทกั ษะชีวิต
และมีความสามารถในการใชเ๎ ทคโนโลยี

เหน็ คุณคาํ ของการนาความรไู๎ ปใชป๎ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรม
จริยธรรม และคาํ นิยมท่ีพงึ ประสงค์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยํูอยํางพอเพียง ซื่อสตั ย์ มวี นิ ยั ใฝุ
เรียนรู๎ มุํงมน่ั ในการทางาน รักความเปน็ ไทย และมจี ิตสาธารณะ
ตัวชี้วัด
ว1.1 ม.1/5-12
ว1.1 ม.4-6/2


Click to View FlipBook Version