The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โคลงกลบทมธุรสอักษรา๒

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Saruda Anampong, 2020-10-23 02:09:09

โคลงกลบทมธุรสอักษรา๒

โคลงกลบทมธุรสอักษรา๒

โคลงกลบทมธรุ สอกั ษรา ๑๓๙
โคลงผวน พยคั ฆ์คขู่ วญั หาย

๏ พรํางดาว พราวดาํ งพร๎อย ดูเพลนิ

เหาะ เกร่ินหาว กลาํ วเหนิ กลุมํ หอ๎ ม

เดอื นผอํ ง เด่ยี วเพลิน เดิน เพยี วดุมํ

ไรก๎ ลมุํ รุมกาย ลอ๎ ม กอํ งลา่้ ก่าเรือง ฯ

๏ ยามคืนยืนค่าย้่า คอยยล
เดือนพํนดาวพราวดล ผาํ นดา๎ ว
แสงหาวสอํ งหนสน ห๎องสาด
นวลลํองน่าร่ีน๎าว เหลาํ นเ้ี รงิ ไหน ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
ผวนคาคไู่ หนก็ได้ในแตล่ ะบาทดงั ตวั อยา่ งทีข่ ีดเส้นใต้ และใช้อกั ษรเพยี งคเู่ ดยี ว
ตลอดบาทสลบั กนั ไปเหมือนอกั ษรสลบั

๑๔๐ อารยะ คชทปี

โคลงผวน พยัคฆ์คคู่ รองขวัญ

๏ พลิ้วลม พรมล่ิว พื้น ลูบไพร
เย็นฉ่า ย่า้ เชนํ ใย ชุํมยิ้ม
กางเหิน เกรน่ิ หําง ไกล หนเกํา
ล่ิวทํอง ลํองทวิ ลม้ิ ทับร๎อนทาลม ฯ

๏ ไพรหมํ พรมให๎แผวํ หอมพลาง
กลนิ่ ดอกกรอกดนิ กาง เดนํ ใกล๎
สตํู รงสงํ ตรูํสาง เติมใสํ
ลมผาํ นล๎านพรมไล๎ แผวํ ลอ๎ มเพลนิ รมย๑ ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคาคหู่ น้าบาท คือเอาคาท่ี ๑-๒ ไปผวนเป็ นคาท่ี ๓-๔ ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้

(พลวิ ้ ลม - พรมลว่ิ )

๒. ในแตล่ ะบาทใช้อกั ษรเพยี งคเู่ ดยี วสลบั กนั ไปตลอดบาท เหมือนอกั ษรสลบั

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๔๑
โคลงผวน พยคั ฆซ์ ิกแซกทาง

๏ ผํานดง พงด๎าน ชัฏ พงดาน
นําแกรํง แหนงกลา๎ หาญ นาํ แกล๎ง
เหนียงส่นั นัน่ เสยี งหวาน ส่นั เหว่ยี ง
ผีเลนํ เผนํ ล้ี แจ๎ง แพรงํ จี้ หนีผี ฯ

๏ จี้ถาก จาก ที่นน้ั ทันหนี
หนลี าํ นําล้ี ผี นล่ี ๎า
เหยาะกลืน ย่ืนเกาะ ดี ยืนเกาะ
ไยแมํ แยํไหม ขา๎ อยาํ ไข๎เกาะขา ผีเฮย ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคคู่ าหน้าวรรคแรกทกุ บาท หรือท่ีตาแหนง่ ๑-๒ กบั ๓-๔ ตามตวั อยา่ ง

(ผา่ นดง - พงด้าน)
๒. บทแรก ผวนคาคทู่ ้าย (๖-๗) กบั คคู่ าสลบั กนั ไป โดยบาทแรกผวนกบั คาที่ ๑-๒

บาทสองที่ ๓-๔ บาทสามที่ ๔-๕ และบาทสที่ ี่ ๑-๕ ตามตวั อยา่ งขีดเส้นใต้
(ผา่ นดง, แหนงกล้า, เสยี งหวาน, ผีแจ้ง)
๓. บททสี่ อง ผวนคาคทู่ ้าย (๖-๗) กบั คคู่ าสลบั ย้อนกลบั (ระหวา่ งบาท ๑-๒-๓ เป็ น
๓-๒-๑) โดยบาทแรกผวนกบั คาท่ี ๔-๕ และบาทสามท่ี ๑-๒ นอกนนั้ เหมือน
บทแรก ตามตวั อยา่ งขีดเส้นใต้ (ที่นนั้ , นา่ ล,ี ้ เหยาะกลนื , ไยข้า)
๔. เมื่อแตง่ บททีส่ ามตอ่ ไปก็ย้อนไปเร่ิมวิธีเหมอื นบทแรกใหม่

๑๔๒ อารยะ คชทปี
โคลงผวน พยคั ฆย์ อ่ งขย่มขวัญ

๏ ไตแํ หง๎ ตาม แตํงให๎ ตนเห็น
เปน็ ญาติ ร๎ู ปราชญ๑เยน็ เป่ยี มย้มิ
เยน็ ขาม เม่อื ยามเข็น ยุํงคดิ
ทิ่มแหลํง แตํง แทงล้ิม เทดิ รู๎ทางรอย ฯ

๏ ครั้งแยํปลํอยแคยํ ง้ั ค่าโยง
โพลํงคดิ ยามผิดโคลง พลาดคร้ัง
โจํงลั่นอยากจรรโลง จ่าหลกั จรงิ รา
ยงั้ พรากมิอยากพล้ัง ย่งิ แผว๎ ยามผวน ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ใช้คาที่ ๑-๒ ผวนกบั คาท่ี ๔-๕ ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้ (ไตแ่ ห้ง – แตง่ ให้)
๒. สองคาสดุ ท้ายสมั ผสั คอู่ กั ษรกบั คาทีผ่ วนด้วย (ต-ห) ตามตวั อยา่ ง (ตนเหน็ )

รวมทงั้ ๒ คาสดุ ท้ายในบาททสี่ ด่ี ้วย

*คล้ายนางสงิ ห์ยอ่ งยามเผลอ ตา่ งเพียงเพมิ่ ๒ ซา้ อกั ษรที่ ๖-๗ และ ๘-๙

โคลงกลบทมธรุ สอกั ษรา ๑๔๓
โคลงผวน พยัคฆย์ ่องเขย่าขวญั

๏ กิจเรงํ เกํงฤทธิ์ กล๎า หรากริช
พองมาก พรากมอง ผิด มติ รพ๎อง
ทาํ กรําง ถํางกล๎า ทิศ กิจทาํ
กเู ลศิ เกิดร๎ู ก๎อง ลํองก๎ู ลอื ไกล ฯ

๏ แหลไปไหลํแปลเ๎ ร่ือง เปลอื งแล
ขาใหญใํ ครอยําแคร๑ แหยํข๎า
ม่ัวหล่งั มง่ั ร่ัวแหม แหลม่วั
ลน๎ ชว่ั รวั่ ชนหล๎า ฉําล๎นชาติเลว ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนสองคคู่ า คอื คาที่ ๑-๒ กบั คาที่ ๓-๔ ตามตวั อยา่ ง (กิจเร่ง - เกง่ ฤทธ์ิ) ๑ คู่

และคาท่ี ๔-๕ กบั คาท่ี ๕-๖ ตามที่ขีดเส้นใต้ (ฤทธ์ิกล้า - หรากริช) อีก ๑ คู่
๒. ใช้อกั ษรแค่ ๒ ตวั สลบั กนั ตลอดบาท (ยกเว้นคาสร้อย)

๑๔๔ อารยะ คชทปี

โคลงผวน พยคั ฆย์ อ่ งตลบมุง้

๏ ใครดลทัก ดักท๎น คนใด
พร่าใสํพรอด สอดภัย ไพรํซา่้
คา่ ใดหมนํ ด๎นไหม ใครด่า
เผยย่าใคร ใยคา่้ พร่าเยย๎ วาจา ฯ

๏ ค่าดํารั้งด่งั ล๎า คําด่า
เยน็ ค่าแทแ๎ คํท่า ยา่ เค๎น
ดาํ พรา่ ข่ผี คี ล่า ด่าพรํา
ดเี ขํนไวใครเวน๎ เดนํ ขปี้ ากเลว ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนสองคาต้นบาท ๑-๒ กบั คาท่ี ๖-๗ ทกุ บาท ตามตวั อยา่ ง (ใครดล - คนใด)
๒. ผวนอกี หนง่ึ คคู่ า คือคาที่ ๒-๓ กบั คาท่ี ๔-๕ ทกุ บาท ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้

(ดลทกั - ดกั ท้น)

โคลงกลบทมธุรสอกั ษรา ๑๔๕
โคลงผวน พยัคฆ์ยอ่ งตลบมงุ้ กลางหอ้ ง

๏ บ๎านเร้อื เบอื่ ร๎าน หลกี เบื่อหลาน
จํายยาก จากยาย พาล จากยา๎ ย
หนีเที่ยว เหนีย่ วที่ นาน เหนียวถี่
ยนํ พราก ยากผล ร๎าย อยากพน๎ ไกลเรือน ฯ

๏ เพ่อื นรักภกั ดิเ์ ลอื่ นแลว๎ ผลักเรือน
แชรท๑ วั่ ชวั ร๑แถเบือน ชั่วแท๎
เดาลําดาํ เราเหมือน ดาํ เลาํ
เช๎าขื่นช้นื เข๎าแล๎ ชน่ื เคลา๎ นิดเดียว ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑.ใช้คาที่ ๑-๒ เป็ นคหู่ ลกั ในการผวน โดยผวนคคู่ าแรกไปสคู่ คู่ าตดิ กนั คือ ๓-๔

ตามตวั อยา่ ง (บ้านเรือ้ - เบอ่ื ร้าน)
๒. ผวนอกี ครัง้ จากคาที่ ๑-๒ ไปสคู่ าที่ ๖-๗ ท้ายบาท ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้

(บ้านเรือ้ - เบ่อื หลาน)

๑๔๖ อารยะ คชทปี
โคลงผวน พยัคฆ์ย่องตลบหลัง

๏ เจอ เหลําพาล ล๎านเผาํ เจาํ เผลอ
มี เกรํอจน กลํนเจอ เหมอํ จี้
พลดั เหมอํ กิจ มติ รเกลอ เผลอกัด
กรรม รใ่ี สํ ไร๎ซ้ี กี่ซ่้า เจอพาล ฯ

๏ การตันแดแตํด้นั กนั ดาร
ซ้่าผํานชนพน๎ ชาน ซํานชา่้
ผีพาลคํายภัยขาน พาลข่ี
เกลอ่ื นฉ่าร้วั ช่ัวลา้่ ก่าเร้ือน กลนํ เลว ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคคู่ าแรกท่ี ๒-๓ กบั ๔-๕ ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้ (เหลา่ พาล - ล้านเผา่ )
๒. ผวนคคู่ าท่ีสอง โดยใช้คาที่ ๑ กบั ๕ รวมกนั แล้วผวนไปเป็ นคาท่ี ๖-๗ ตาม

ตวั อยา่ ง (เจอเผา่ - เจา่ เผลอ)

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๔๗
โคลงผวน พยัคฆย์ ่องยามสาม

๏ สองคํู สู๎คลอํ ง พร่า ค่าผอง
กา่ หนด กฎนา่ ครอง นอํ งคล้่า
น่ังเมือ่ ย เหนอื่ ยมงั่ ลอง มองหลัง่
เมอ่ื ยนํอง มองเหนอ่ื ย ย้า่ หน่าเยือ้ ย งงตรอง ฯ

๏ พยัคฆย๑ ํองผยองยักษถ๑ มิ้ ยิ้มทัก

ปนั่ คิดปลดิ ขันนกั คกั นั้น

ยามสอํ งยํองสามหลัก สกั ลําม

เฟือ่ งฤทธิ์ฟติ เรอื่ งปั้น หลัน่ เปล้อื งพยคั ฆย๑ าม ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคคู่ าแรกท่ี ๑-๒ กบั ๓-๔ ตามตวั อยา่ ง (สองคู่ - ส้คู ลอ่ ง)
๒. ผวนคคู่ าทีส่ อง ท่ี ๔-๕ กบั ๖-๗ ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้ (คลอ่ งพร่า - คาผอง)

อกี ๑ คู่

๑๔๘ อารยะ คชทีป

โคลงผวน พยคั ฆย์ ่องหาคู่

๏ ปไู ตํ ไปตู๎ ต่ัง เป๋ปดั
ขารํวง ควงหลา ขดั หล่งั แคน๎
ตงั้ ใหมํ ไตมํ ่ัง มัด ตอํ งแตํง
รํางเบยี่ ง เล่ยี งบา๎ ง แหล๎น บกุ เร๎าบํามแล ฯ

๏ ตุ๏กแกแต๎กุกกม๎ ต่ืนตา
ใครน่ันคนั ในขา นาํ คลา๎ ย
ไผเหมอื นเพอ่ื นใหมมํ า เพงํ พวก
รูเ๎ ผําราวผู๎ร๎าย พิศแลว๎ เพลนิ เริง ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาโคลงบาทที่ ๑ และ ๓ เลน่ คาผวนแบบ “พยคั ฆค์ รวญหาค”ู่
๒. คาโคลงบาทท่ี ๒ และ ๔ เลน่ คาผวนแบบ “พยคั ฆค์ คู่ รองขวญั ”

* ดตู วั อยา่ งพยคั ฆค์ รวญหาคู่ หน้า ๑๓๘
** ดตู วั อยา่ งพยคั ฆ์คคู่ รองขวญั หน้า ๑๔๐

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๔๙
โคลงผวน พยัคฆ์ยอ้ นรอยพราน

๏ มอง คนดี ขดี่ น๎ หมํนครอง
แคํ ยํองตรอก ยอกตรอง คลํองแหย๎
เพียง สอํ งมดุ สุดหมอง ผองเส่ียง
ยอม แดํพี่ ดีแพ๎ แหยํด๎อม ยอมเขลา ฯ

๏ ให๎เขาชั่วค่วั เช๎า เหาํ ใคร
ยอมใสแํ พ๎แสภ๎ ยั ใหญซํ ๎อม
ขับใจกรํางจางไกล ไข๎จับ
ทรามกลํอมหลา๎ กาล๎อม ซอํ มกา๎ มทรามครอง ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคคู่ าแรกท่ี ๑-๒ กบั ๖-๗ ตามตวั อยา่ ง (มองคน - หมน่ ครอง)
๒. ผวนคคู่ าทสี่ อง ท่ี ๒-๓ กบั ๔-๕ ตามตวั อยา่ งขีดเส้นใต้ (คนดี - ขีด่ ้น)

๑๕๐ อารยะ คชทปี

โคลงผวน พยคั ฆย์ า่ งสามขมุ

๏ พยัคฆย๑ ําง พยางคห๑ ยัก สรา๎ ง เสสรวล

ทาํ ขมํ ถมข๎า ชวน เชื่องช๎า

สามขุม สํุมข๎าม กวน กางเกํง

ใชํมนั่ ฉนั ไมํ ท๎า ทาํ มท๎นทําทาง ฯ

๏ ทางแตํงแทงตํางพอ๎ ง เพอ่ื นผอง
ตา่ แหนํงแตํงนา่ ลอง หลากลน๎
เปล่ยี นนิดปดิ เนยี นตรอง แตกตําง
ทา๎ แหงํ แทงหาคน๎ ครกึ ครื้นค่าโคลง ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคาคหู่ น้า คอื คาที่ ๑-๒ ผวนกบั ๓-๔ ตามตวั อยา่ งขีดเส้นใต้ (พยคั ฆ์ยา่ ง -

พยางค์หยกั )
๒. ตงั้ แตค่ าท่ี ๕ ไปใช้อกั ษรอน่ื ทีต่ า่ งจากคาผวน แล้วเลน่ คาโดยใช้อกั ษรเดยี วกนั

ตลอดบาทนนั้ ๆ ตามตวั อยา่ ง (สร้าง.. เสสรวล)

โคลงกลบทมธุรสอกั ษรา ๑๕๑
โคลงผวน พยคั ฆ์ยา่ งสงิ ขร

๏ เสือยําง สร๎างเหย่ือ ยื้อ โยงเยง
โปรงํ ค่ัน ปั่นโคลง เครง เคลอ่ื นคล๎อย
เบ่ียงพจน๑ บทเพยี ง เพลง ผวนพร่า
แถมชอ่ื ถอื แชํม ช๎อย ชวํ งช้นั เชิงเชาว๑ ฯ

๏ รั้งเขา๎ เราคล่งั ไคล๎ ขนุ เขา
หารอบหอบล๎าเรา รํอยรู๎
ยากมักยกั มากเมา มึนมดื
แตํงกวําตาแกวํงกู๎ เกือบกล้า่ กลเกม ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ผวนคหู่ น้า คือคาท่ี ๑-๒ ผวนกบั ๓-๔ ตามตวั อยา่ ง (เสอื ยา่ ง - สร้างเหย่ือ)
๒. คาที่ ๔ เป็ นต้นไปใช้อกั ษรตวั เดมิ ไปจนตลอดท้ายบาท ตามตวั อยา่ งขีดเส้นใต้

(เหยอื่ ยอื ้ โยงเยง)

๑๕๒ อารยะ คชทปี

โคลงผวน พยคั ฆ์ลำพอง๑

๏ ค่าผวน หากฝกึ ไว๎ ยา๎ ยค่า
ควรพรา่ บํนจนจ่า ยา่ คล๎าย
ค้่าติด คิดแยกนา่ ค่าสูํ บาทแฮ
คิดต่า สูงดีรา๎ ย คํซู า้่ นา่ เสนอ ฯ

๏ พิศเจอกวําจักได๎ แสนเข็ญ
เพอ๎ จติ เพราะยากเย็น เซํนแค๎น
คิดใหมดํ ่ังมองเหน็ สนามรุก
คลา๎ ยมติ รสนทิ แฟูน สนุกล้่ายามชาญ ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. ใช้สองคาหน้าบาทแรก ผวนเป็ นคาหน้าบาทท่ีสอง และหน้าบาทท่ีสาม ผวน

เป็ นคาหน้าบาททีส่ ี่ ตามตวั อยา่ ง (คาผวน - ควรพร่า, คา้ ตดิ - คิดตา่ )
๒. ใช้สองคาท้ายบาทแรก ผวนเป็ นคาท้ายบาททส่ี อง และท้ายบาทท่สี าม ผวนเป็ น

คาท้ายบาททสี่ ี่ (๖-๗ ) ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้ (ย้ายคา - ย่าคล้าย, คาสู่ - คซู่ า้ )

โคลงกลบทมธุรสอักษรา ๑๕๓
โคลงผวน พยคั ฆล์ ำพอง๒

๏ แตํงเพ่ิม ครวญพร่า รอ๎ ง ลา่้ ยาก

เตมิ แพรงํ คา่ ผวน มาก หลากย้่า

แรงกจิ ฟิตแขํง ทาก แลเทิด

ฤทธ์ิแกรํง แฝงคดิ ล้า่ เลิศแท๎ ฝึกผวน ฯ

๏ คดิ ชวนสนั่นกิจนี้ ลองกัน
ควรชดิ สนิทกันมนั ล่ันก๎อง
ผดิ บา๎ งถกู บา๎ งคัน หม่นั คิด
พลางบิดถางบุกห๎อง มติ รค้นั เพลนิ ผวน ๚ะ๛

ข้อบงั คบั

๑. ใช้สองคาหน้าบาทแรก ผวนเป็ นคาหน้าบาทที่สอง และหน้าบาททีส่ าม ผวน
เป็ นคาหน้าบาททส่ี ี่ ตามตวั อยา่ ง (แตง่ เพม่ิ - เตมิ แพร่ง, แรงกิจ - ฤทธ์ิแกร่ง)

๒. ใช้สองคาช่วงกลางคอื ท่ี ๓-๔ บาทแรก ผวนเป็ นคาในตาแหนง่ เดยี วกนั ในบาท
ทสี่ อง และสองคาช่วงกลางของบาทสาม ผวนเป็ นคาชว่ งกลางในบาทส่ี ตาม
ตวั อยา่ งขดี เส้นใต้ (ครวญพร่า - คาผวน, ฟิตแขง่ - แฝงคิด)

๒. ใช้สองคาท้ายบาทแรก ผวนเป็ นคาท้ายบาทท่ีสอง และท้ายบาททส่ี าม ผวน
เป็ นคาท่ี ๖-๗ ในบาทที่ ๔ ตามตวั อยา่ ง (ลา้ ยาก - หลากยา้ , แลเทิด - เลศิ แท้)

* เพ่มิ จากพยคั ฆ์ลาพอง๑ โดยมผี วนในชว่ งกลางด้วย

๑๕๔ อารยะ คชทปี
โคลงผวน พยคั ฆเ์ อี้ยวมองหลงั

๏ คา่ ส่ีห๎า วรรคตน๎ วนตัก
ต่าแหนงํ ผวน เปน็ หลกั ปักเหลน๎
ผวนสหํู ก เจ็ดสกั จักเสร็จ
เพียงแคํนัน้ ชเ้ี น๎น เชํนน้ี เพยี งงาม ฯ

๏ นามพยัคฆ๑เอี้ยวมงั่ รอ๎ ง มองหลัง
คงปวดเอวเสยี งดัง ส่งั เดย้ี ง
เอย้ี วบอํ ยกระดูกพัง ดังผกู
แคํแตํงแตํย่าเลยี้ ง เย่ยี งล้่าชาญกวี ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
ใช้คาที่ ๔-๕ ไปผวนกบั คาที่ ๖-๗ ในบาทเดยี วกนั เทา่ นนั้ ตามตวั อยา่ งขดี เส้นใต้
(วรรคต้น - วนตกั )

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๕๕
โคลงผวน รรี ขี า้ วสาร

๏ แตงํ คลํอง ตอ๎ งแขํง พร๎อม ศัพท๑ผวน

สวนพบั น่าศัพท๑ ทวน สับข๎าง

สรา๎ งขบั บทโคลง ชวน สนกุ

สขุ นะ อยําลืม ร๎าง สืบสร๎าง คา่ ผวน ฯ

๏ ควรพรา่ บนํ ทอํ ง ไว๎ หดั ผวน
หวนผลดั แมจ๎ ัก รวน เลหํ ๑บ๎าง
ลางเบ๎ บดิ เบี้ยว กวน แปลกศพั ท๑
ปรับแทรก แถกสี ข๎าง เอํยอ๎าง ความหมาย ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. บทเริ่มต้นให้ใช้คาที่ ๑-๒ ของบาทแรกผวนกบั คาท่ี ๓-๔ ด้วย (แตง่ คลอ่ ง -

ต้องแขง่ )
๒. นาคาสดุ ท้ายของบาท (๖-๗) มาผวนวางไว้ทีส่ องคาต้น (๑-๒) ในบาทตอ่ ไปอยา่ ง

เป็ นระบบ (ศพั ท์ผวน - สวนพบั )
๓. ถ้ามีมากกวา่ ๑ บท ให้ใช้สองคาสดุ ท้ายของบท ไปผวนวางไว้ทส่ี องคาต้นของ

ต้นบทตอ่ ไป (คาผวน - ควรพร่า)

๑๕๖ อารยะ คชทปี

๏ อปุ สรรคคอื สิง่ รอ้ น แสนเขญ็

แตช่ ว่ ยร้จู กั เยน็ นัน่ ไซร้

หากร้อนมิเคยเป็น มากอ่ น

ฤๅจักล่วงรไู้ ด้ ว่านีค้ ือเย็น ๚ะ๛

การเล่นผะหมี

๑๕๘ อารยะ คชทปี

ผะหมี คำเดีย่ ว

ผะหมคี าเด่ียว ปจุ ฉา..

๏ การกระทา่ ให๎งด งามไฉน

อยากเดนํ เลิศกวําใคร อยูหํ นา๎

การเอาส่ิงแหลมไป จม้ิ เสียบ

ตากเสร็จแล๎วเก็บผา๎ เปียกนนั้ พลันสลาย ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ “แตํง” ประดับใหย๎ ิง่ โสภา
“แขงํ ”เดนํ แขํงดีมา แขงํ ได๎
“แทง” จิ้มเสียบแขง๎ ขา หลงั ไหลํ
“แห๎ง” เม่ือตากแล๎วไซร๎ เกบ็ ผ๎าจากราว ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมคี าเด่ยี ว
๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา ๔ คา โดยให้เป็ นคาทม่ี สี ระเหมือนกนั ตวั สะกดเหมอื นกนั

(ถ้ามตี วั สะกด) แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลงในแตล่ ะบาท
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นก่อนบทโคลงวา่ “ผะหมีคาเด่ียว ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เร่ิมต้นก่อน
บทโคลงวา่ “วิสชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอกี ครัง้ หนงึ่ ซง่ึ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคือ “แตง่ , แขง่ , แทง, แห้ง”

โคลงกลบทมธุรสอกั ษรา ๑๕๙

ผะหมี คำผวน

ผะหมคี าผวน ปจุ ฉา..

๏ “สา” ใดชาํ งเจบ็ ช่้า ยามเจอ

“สา” ทีส่ องเลิศเลอ ย่ิงแท๎

“สา” สามหวํ งนกั เออ ใจพํอ แมนํ า

“สา” สีพ่ าเพียบแปล๎ พูดลน้ิ พันกัน ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ “สาโก” ชํางเจบ็ ชา้่ โศกา

งามยง่ิ คอื “โสภา” เลศิ แท๎

“สาดุ” นน่ั สุดา ลกู พํอ แมเํ ฮย

“สารุ” ด่ืมเมาแปล๎ กล่ินคลุ๎งสรุ า ๚ะ๛

การเลน่

๑. ควรบอกช่ือไว้วา่ เป็ นผะหมคี าผวน และแตง่ คาทพ่ี ้อง หรือคาใดคาหนงึ่ ในศพั ท์ท่ี

ผวนแล้วนนั้ ไว้ในคาถามด้วย ดงั ตวั อยา่ ง

๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา แล้วผวนคาสาหรับคาตอบ แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลงในแตล่ ะ

บาท โดยเนอื ้ หาของคาถาม เป็ นคาที่ผวนกลบั ถกู ต้องแล้ว

๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง ซงึ่ จะตอบเป็ นคาผวน หรือไมก่ ็ได้

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมคี าผวน ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เร่ิมต้นกอ่ น
บทโคลงวา่ “วสิ ชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามก็ควร
เฉลยอีกครัง้ หนงึ่ ซงึ่ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งนคี ้ อื “สาโก-โศกา, สาโภ-โสภา, สาด-ุ สดุ า, สารุ-สรุ า”

๑๖๐ อารยะ คชทีป

ผะหมี คำพังเพย

ผะหมคี าพงั เพย ปจุ ฉา..

๏ ท่าให๎หลดุ ขาดแลว๎ ด๎วยคม

ธาตหุ น่ึงพระนยิ ม เพงํ ไว๎

ชํวงกลางแหํงไม๎สม ควรเรียก

เปน็ พอํ หนุมานไซร๎ รํางไร๎ตัวตน ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ “ตดั ” ดว๎ ยคมขาดแลว๎ จากกนั
พระทํานเพํง “ไฟ” พลนั สงบได๎
กลาง “ตน๎ ” แหํงไม๎ยัน ยนื หยดั
คือพํอหนมุ านไซร๎ นนั่ แทค๎ ือ “ลม” ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกช่ือไว้วา่ เป็ นผะหมีคาพงั เพย
๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา ควรมี ๔ คา หรือแยกความหมายเป็ น ๔ คาได้ แล้วแตง่

คาถามเป็ นโคลงในแตล่ ะบาท หนง่ึ ความหมายคาตอ่ หนง่ึ บาทโคลง
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมีคาพงั เพย ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เร่ิมต้น
กอ่ นบทโคลงวา่ “วสิ ชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มีคาใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอีกครัง้ หนงึ่ ซงึ่ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งนคี ้ อื “ตดั ไฟต้นลม”

โคลงกลบทมธรุ สอกั ษรา ๑๖๑

ผะหมี ช่ือบุคคล

ผะหมชี ่ือบคุ คล ปจุ ฉา..

๏ ไมถํ ือโทษโกรธแล๎ว ผวั ยักษ๑

เมยี ระเดนํ แสนรกั ดอกไม๎

ฟูอนรา่ งดงามนกั มีปกี หางแฮ

ปลายทะเลบํใกล๎ ขีม่ ๎าอศั จรรย๑ ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ “อภัยมณี” ปี่พล้ิว ผวั ยกั ษ๑
“บษุ บา” เมยี รกั ระเดนํ ไซร๎
“มโนราห๑” ชํางงามนัก คนครึ่ง นกเฮย
เจ๎า “สดุ สาคร” ได๎ ขม่ี า๎ มงั กร ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมีช่ือบคุ คล
๒. ผ้ถู ามคิดชื่อคนขนึ ้ มา โดยต้องเป็ นช่ือคนทรี่ ู้จกั กนั ดี จะเป็นบคุ คลในวรรณคดี

หรือในยคุ ปัจจบุ นั ก็ได้ แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลงในแตล่ ะบาท
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมีช่ือบคุ คล ปจุ ฉา..” (อาจเน้นเฉพาะวา่ เป็ น
บคุ คลกลมุ่ ใดก็ได้) สว่ นผ้ตู อบก็เริ่มต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “วิสชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มีคาใบ้เพม่ิ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอกี ครัง้ หนงึ่ ซง่ึ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคอื “พระอภยั มณี, บษุ บา, มโนราห์, สดุ สาคร”

๑๖๒ อารยะ คชทีป

ผะหมี ชอื่ สถานท่ี

ผะหมชี ่ือสถานที่ ปจุ ฉา..

๏ พระบาทอยยูํ อดโน๎น ลพบรุ ี

รปู สลกั พระใหญํมี เลิศล้่า

วงั รอหกเป็นศรี จังหวดั แรกนา

จงั หวดั หน่ึงติดน้า่ ช่อื ก๎องตลาดพลอย ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ “วงพระจันทร๑” ยอดโพ๎น ภูขัณฑ๑

รูปพระ “เขาชจี รรย๑” ใหญลํ ๎น

“สนามจันทร๑” ตาํ งรู๎กนั รอหก สรา๎ งแฮ

“จันทบุรี” บพํ ๎น เฟือ่ งฟุูงตลาดพลอย ๚ะ๛

การเลน่

๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมชี ่ือสถานที่

๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา โดยควรมคี าหรือพยางค์หนงึ่ ท่ีเหมอื นกนั หรือจะไมเ่ หมอื นกนั

ก็ได้ แตต่ ้องเป็ นสถานทๆี่ รู้จกั กนั ทว่ั ไปและอธิบายถงึ คานนั้ ให้ชดั เจน แล้วแตง่

คาถามเป็ นโคลงในแตล่ ะบาท

๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นก่อนบทโคลงวา่ “ผะหมชี ื่อสถานท่ี ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เริ่มต้น
ก่อนบทโคลงวา่ “วสิ ชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามก็ควร
เฉลยอีกครัง้ หนงึ่ ซงึ่ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคือ “เขาวงพระจนั ทร์, เขาชีจรรย์, สนามจนั ทร์, จนั ทบรุ ี”

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๖๓

ผะหมี ผนั วรรณยกุ ต์

ผะหมีผนั วรรณยกุ ต์ ปจุ ฉา..

๏ อาการทา่ ใหล๎ ิ่ว ไปไกล

หมพํู ชื พันธุแ๑ หํงใด มากแท๎

ลกู ปูุเรยี กอยาํ งไร พี่พํอ

ผนั ศัพท๑เป็นคา่ แก๎ ตอบให๎เป็นโคลง ๚ะ๛

วิสชั นา.. ๏ ขวา๎ ง “ปา” คอื เหวย่ี งให๎ ออกไป

ผืน “ปุา” ดงพงไพร พชื ล๎วน

“ปาู ” คือลกู ปุไู ง พี่พํอ

“ปา ปุา ปาู ” ผันถ๎วน ครบแล๎วผนั คา่ ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมผี นั วรรณยกุ ต์
๒. ผ้ถู ามคดิ คาผนั ขนึ ้ มา แล้วแตง่ โคลงให้มคี วามหมายของแตล่ ะคาเป็ นคาถาม ตอ่

หนง่ึ บาทโคลง
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นก่อนบทโคลงวา่ “ผะหมีผนั วรรณยกุ ต์ ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็
เริ่มต้นก่อนบทโคลงวา่ “วิสชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพิ่ม และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอีกครัง้ หนง่ึ ซง่ึ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งนคี ้ ือ “ปา ป่ า ป้ า”

๑๖๔ อารยะ คชทีป

ผะหมี พอ้ งกลาง

ผะหมีพ้องกลาง ปจุ ฉา..

๏ ดีดสตี เี ปุาน้นั สร๎างอะไร

ยามรุํงแสงอันใด สอํ งหลา๎

สีแดงเดํนสดใส ชํอดอก

ความพากเพยี รแกํกลา๎ บทํ ๎อการงาน ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ ดดี สตี ีเปุาสรา๎ ง “ดรุ ยิ างค๑”
“สุรยิ า” รงํุ ราง เพรศิ แพรว๎
“ปาริชาติ” ชาํ งสะอาง แดงดอก
“วิริยะ” เมือ่ มากแลว๎ ไปุทอ๎ งานใด ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมีพ้องกลาง
๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา โดยมีคาหรือพยางค์กลางเหมอื นกนั แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลง

ในแตล่ ะบาท
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมพี ้องกลาง ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เร่ิมต้น
ก่อนบทโคลงวา่ “วสิ ชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มีคาใบ้เพม่ิ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอกี ครัง้ หนง่ึ ซง่ึ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคือ “ดรุ ิยางค์, สรุ ิยา, ปาริชาต,ิ วริ ิยะ”

โคลงกลบทมธุรสอักษรา ๑๖๕

ผะหมี พ้องหนา้

ผะหมพี ้องหน้า ปจุ ฉา..

๏ ตรวจตราตรองไตรํน้ัน ขอ๎ มูล

ช่ือเงอ่ื นเกยี่ วเก้อื กูล กอดไว๎

สดช่นื จิตใจพนู ความสขุ

งามยิ่งหลายหลากไซร๎ บอกร๎ูพสิ ดาร ๚ะ๛

วิสชั นา.. ๏ ตรวจตราตรองไตรนํ ั้น “พจิ าร”
ชอ่ื “พิรอด” เง่ือนงาน ผกู ไว๎
“ภริ มย๑” หํมจิตสราญ เริงสุข
“พจิ ิตร” งามยิ่งไซร๎ หลากล๎วนพิสดาร ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกช่ือไว้วา่ เป็ นผะหมพี ้องหน้า
๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา โดยมคี าหรือพยางค์หน้าเหมอื นกนั แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลง

ในแตล่ ะบาท
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมีพ้องหน้า ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เริ่มต้น
ก่อนบทโคลงวา่ “วสิ ชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามก็ควร
เฉลยอกี ครัง้ หนงึ่ ซงึ่ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคือ “พจิ าร, พิรอด, ภิรมย์, พจิ ิตร”

๑๖๖ อารยะ คชทีป

ผะหมี พ้องหลงั

ผะหมีพ้องหลงั ปจุ ฉา..

๏ จ่านวนเลขนับนั้น มากโข

ชวํ งแหํงวัยเตบิ โต จวบท๎าย

แม๎นผิดอยําพาโล ปรับเปลีย่ น

กลางสิ่งนน้ั เป็นดา๎ ย สวํางใหค๎ นเห็น ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ “อสงไขย” คือเลขน้ัน มากไฉน
“อายขุ ัย” ชวํ งวยั ตราบส้ิน
“แก๎ไข” หากผดิ ไป ควรเปลี่ยน
สอํ งสวํางจนดับดิ้น ส่ิงนนั้ “เทยี นไข” ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกช่ือไว้วา่ เป็ นผะหมีพ้องหลงั
๒. ผ้ถู ามคิดคาขนึ ้ มา โดยมคี าหรือพยางค์หลงั เหมือนกนั แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลง

ในแตล่ ะบาท
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมีพ้องหลงั ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เริ่มต้นก่อน
บทโคลงวา่ “วิสชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอีกครัง้ หนงึ่ ซงึ่ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคอื “อสงไขย, อายขุ ยั , แก้ไข, เทยี นไข”

โคลงกลบทมธุรสอักษรา ๑๖๗

ผะหมี ลูกโซ่

ผะหมลี กู โซ่ ปจุ ฉา..

๏ เสอื้ ผ๎ายามเปยี กแลว๎ ตอ๎ งทา่ ใดฤๅ

ใช๎นํุงคนเกาํ นา่ แบบไว๎

สา่ หรับใสํเก็บง่า เหลําขยะ

ชมปะการงั ได๎ จกั ต๎องกระท่า ๚ะ๛

วิสชั นา.. ๏ ผ๎าเปยี กตอ๎ ง “ตากผ๎า” หายเปียก
ใชน๎ ํุง “ผา๎ ถงุ ” เรยี ก ซนิ่ ด๎วย
“ถุงด่า” ฝกึ ส่าเหนียก คนทวั่
หากวาํ “ดา่ น้่า” หว๎ ย นนั่ ไร๎ปะการัง ๚ะ๛

การเลน่
๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมีลกู โซ่
๒. ผ้ถู ามคิดคาขนึ ้ มา โดยมีคาตอ่ เนือ่ งเป็ นลกู โซ่ เช่น กอไผ,่ ไผต่ ง, ตงฉิน เป็ นต้น

แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลงในแตล่ ะบาท
๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นก่อนบทโคลงวา่ “ผะหมลี กู โซ่ ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เริ่มต้นกอ่ นบท
โคลงวา่ “วิสชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มีคาใบ้เพม่ิ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอีกครัง้ หนง่ึ ซง่ึ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคอื “ตากผ้า, ผ้าถงุ , ถงุ ดา, ดานา้ ”

๑๖๘ อารยะ คชทีป

ผะหมี อะไรเอ่ย

ผะหมีอะไรเอย่ ปจุ ฉา..

๏ นามเขม๎ ขลังย่ิงแท๎ โบราณ

ทั้งโขดเขินเนินดาน ชอ่ื นี้

ยนิ ดียงิ่ ในทาน เสยี สละ

บางชํวงตอ๎ งหลบล้ี อยํโู พ๎นปุาเขา ๚ะ๛

วสิ ชั นา.. ๏ พระเวทยฟ๑ งั เรยี กแลว๎ ดูขลัง

สันและดอนกระมัง ช่อื น้ี

รักทานยงิ่ กวาํ วัง เวยี งน่ัน

“พระเวสสันดร” ชี้ ใชแํ ท๎นามคน ๚ะ๛

การเลน่

๑. ควรบอกชื่อไว้วา่ เป็ นผะหมีอะไรเอย่

๒. ผ้ถู ามคดิ คาขนึ ้ มา จะเป็ นชื่อคน ชื่อสถานที่ สง่ิ ของ หรืออะไรก็ได้ แตใ่ ช้เพยี ง

ประโยคเดียว แล้วหาความหมายของคา เร่ืองราวองค์ประกอบของศพั ท์นนั้

แล้วแตง่ คาถามเป็ นโคลง

๓. ผ้ตู อบต้องตอบเป็ นโคลงคล้ายตวั อยา่ ง

* ผ้ถู ามมกั ขนึ ้ ต้นกอ่ นบทโคลงวา่ “ผะหมีอะไรเอย่ ปจุ ฉา..” สว่ นผ้ตู อบก็เริ่มต้นก่อน
บทโคลงวา่ “วสิ ชั นา..”

** ถ้ายงั ตอบกนั ไมไ่ ด้ หรือได้ไมห่ มด ก็มคี าใบ้เพมิ่ และแม้ตอบหมดแล้วผ้ถู ามกค็ วร
เฉลยอกี ครัง้ หนง่ึ ซง่ึ ถาม ตอบ ขอคาใบ้ ใบ้คา หรือเฉลย ล้วนเป็ นบทโคลง
แตง่ โต้ตอบกนั ทงั้ หมด

*** คาเฉลยตวั อยา่ งคอื “พระเวสสนั ดร”

โคลงชนิดอ่นื ๆ

๑๗๐ อารยะ คชทปี

โคลงจตั วาทณั ฑี

๏ เปน็ เหลาํ โคลงสี่นนั้ เชนํ กนั
จตั วาทัณฑี ช่อื ตงั้
คา่ ส่ีท่ีสัมพนั ธ๑ ต่าแหนํง
บาทท่สี องจดุ ร้ัง เกยี่ วข๎องลองดู ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
โคลงสจ่ี ตั วาทณั ฑี ก็คือโคลงสสี่ ภุ าพท่ีเลอ่ื นคารับสมั ผสั ในบาททสี่ องจากคาท่ี
๕ มาเป็ นคาที่ ๔ นน่ั เองตามตวั อยา่ ง

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๗๑
โคลงตรีเพชรทณั ฑี หรอื ตรพี ิธพรรณ

๏ สมั ผัสตาํ งพวกพ๎อง แผกพรรณ
ตรีเพชรทณั ฑนี าม เกาํ ตง้ั
ค่าสามท่ีโยงกนั ในบาท สองนา
ต่าแหนํงก่าหนดคร้ัง แตโํ นน๎ บุราณ ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
โคลงสตี่ รีเพชรทณั ฑีนกี ้ ็คือโคลงสส่ี ภุ าพ เพยี งแตเ่ ลอื่ นสมั ผสั ในบาททสี่ อง จาก
เดมิ คาที่ ๕ ไปเป็ นคาที่ ๓ แทน ดงั ตวั อยา่ ง

๑๗๒ อารยะ คชทปี

โคลงขับไม้

๏ โคลงขบั ไม๎ไมเํ น๎น เอกนา
ส่สี ุภาพธรรมดา ทใี่ ช๎
ไมจํ า่ เป็นต๎องหา ใสํเอก
เพียงโทกา่ หนดให๎ ถูกตอ๎ งที่เดิม ฯ
๏ สมั ผัสใหส๎ อดคลอ๎ ง ระหวาํ งบท
คา่ ทเ่ี จด็ กา่ หนด บทต๎น
สคํู ่าหา๎ เปน็ กฎ บงั คบั
ของบทสองอยําพ๎น จดไว๎กันลมื ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
โคลงขบั ไม้ เป็ นโคลงสส่ี ภุ าพท่ไี มบ่ งั คบั เอก บงั คบั แตโ่ ทสแี่ หง่ บาทแรกโทจะอยู่
คาที่ ๔ หรือ ๕ ก็ได้ ให้แตง่ ครงั้ ละ ๒ บท มีสมั ผสั ระหวา่ งบท ดงั ผงั

โคลงกลบทมธุรสอกั ษรา ๑๗๓
โคลงสด่ี ้ัน บาทกุญชร

๏ บาทกญุ ชรส่ีดน้ั คือนาม โคลงแฮ

โทสีเ่ อกเจด็ วาง แตงํ ไว๎

สัมผสั จดั ใหง๎ าม ทุกแหงํ

ตามแบบทช่ี ้ีให๎ ถูกทาง ฯ

๏ ระหวาํ งบทแตํงนนั้ ตอ๎ งสอง คนํู า

กา่ หนดรปู จัดวาง ถูกต๎อง

ผงั เสน๎ เดนํ แดงมอง ตามขีด ไวน๎ า

สองคจูํ า่ ตอ๎ งคล๎อง อยาํ ลืม ๚ะ๛

ข้อบงั คบั

๑. จดุ สมั ผสั คล้ายโคลงสสี่ ภุ าพ เพียงแตท่ ้ายบาทแรกไมต่ ้องสมั ผสั คาที่ ๕ ในบาท

๒ และสมั ผสั โทคจู่ ะย้ายไปสมั ผสั ในคาท่ี ๔ ในบาท ๔ ก็ได้ สว่ นตาแหนง่ “คา

โท” ในบาทสดุ ท้าย ย้ายจากคาท่ี ๗ (โคลงสส่ี ภุ าพ) มาอยคู่ าที่ ๔ และบาท

สดุ ท้ายไมม่ คี าสร้อย ตามลกั ษณะโคลงดนั้

๒. สมั ผสั ระหวา่ งบท จะสง่ สมั ผสั ๒ คคู่ อื คาที่ ๗ ของบาทท่ี ๓ ในบทต้น ไปสมั ผสั

กบั คาท่ี ๔ ของบาทท่ี ๑ ในบทถดั ไป และคาท่ี ๗ ของบาทที่ ๔ ในบทต้น ไป

สมั ผสั กบั คาที่ ๕ ของบาทท่ี ๒ ในบทถดั ไป

๑๗๔ อารยะ คชทปี

โคลงส่ีดั้น ววิ ิธมาลี

๏ ฝกึ ฝนโคลงส่ดี ัน้ ชวนคิด

วิวธิ มาลีเพราะ เสนาะแท๎

ระหวาํ งบทพนิ จิ สัมผสั

ฝกึ ใหมํอาจต๎องแก๎ บํอยครา ฯ

๏ จากคา่ ที่เจด็ ทา๎ ย จบคา่

สมั ผัสโยงลงมา ที่นน้ั

ค่าห๎าบาทสองจา่ ต่าแหนํง ไว๎เนอ

โคลงสท่ี ด่ี ๎นดั้น นาํ ลอง ๚ะ๛

ข้อบงั คบั

๑. จดุ สมั ผสั คล้ายโคลงสสี่ ภุ าพ เพยี งแตท่ ้ายบาทแรกไมต่ ้องสมั ผสั คาท่ี ๕ ในบาท

๒ สว่ นตาแหนง่ “คาโท” ในบาทสดุ ท้าย ย้ายจากคาที่ ๗ (โคลงสส่ี ภุ าพ) มาอยู่

คาท่ี ๔ และบาทสดุ ท้ายไมม่ คี าสร้อย

๒. สมั ผสั ระหวา่ งบท สง่ สมั ผสั เพียงหนงึ่ คคู่ ือ คาท่ี ๗ ของบาทท่ี ๔ ในบทต้น ไป

สมั ผสั กบั คาที่ ๕ ของบาทท่ี ๒ ในบทถดั ไป

โคลงกลบทมธุรสอักษรา ๑๗๕
โคลงส่ีดั้น สนิ ธมุ าลา

๏ อกี หนงึ่ โคลงสด่ี ้ัน งดงาม
สนิ ธุมาลานาม เสนาะล๎น
สมั ผสั ตอํ เน่ืองตาม โคลงส่ี สภุ าพนอ
โทจากท๎ายยา๎ ยพน๎ แหลงํ เดมิ ฯ
๏ เตมิ โทที่ส่นี น้ั บาทหลัง
ระหวาํ งบทตอํ ยัง แรกรอ๎ ย
ค่าหนงึ่ นัน่ ดูขลงั เมือ่ ตํอ กันนา
และไมํตอ๎ งสร๎างสรอ๎ ย สดุ โคลง ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. จดุ สมั ผสั คล้ายโคลงสสี่ ภุ าพ ตาแหนง่ “คาโท” ในบาทสดุ ท้าย ย้ายจากคาท่ี ๗

(โคลงสส่ี ภุ าพ) มาอยคู่ าท่ี ๔ และบาทสดุ ท้ายไมม่ ีคาสร้อย
๒. สมั ผสั ระหวา่ งบท สง่ สมั ผสั เพียงหนงึ่ คคู่ ือ คาที่ ๗ ของบาทที่ ๔ ในบทต้น ไป

สมั ผสั กบั คาท่ี ๑ ของบาทท่ี ๑ ในบทถดั ไป

๑๗๖ อารยะ คชทีป

โคลงทฆี ปักข์

๏ โคลงเกําทีฆปักข๑ แปลกตา
โยงสัมผสั ยาวมา บาททา๎ ย
เอกโทไมํหาใสํ บังคับ
เพยี งความหมายไพเราะ เสนาะพอ ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาท่ี ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๕ ของบาทท่ี ๒ และคาที่ ๔ ของบาทท่ี ๓
๒. คาที่ ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๓ ของบาท ๔
๓. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* เป็ นโคลงโบราณแบบหนงึ่ ในคมั ภีร์กาพย์คนั ถะ “ไมน่ ยิ มมคี าสร้อย”

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๗๗
โคลงรสั สปักข์

๏ คัมภีรก๑ าพย๑คันถะ โบราณ
มีโคลงงามตระการ อยํางนี้
รัสสปกั ขน๑ ามขาน โคลงเยีย่ ม
คนไทยอีกหลายล๎าน บรํ ู๎ เลยนา ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาท่ี ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ทงั้ ของบาทที่ ๒ ท่ี ๓ และท่ี ๔

๒. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* เป็ นโคลงโบราณแบบหนงึ่ ในคมั ภรี ์กาพย์คนั ถะ “นยิ มมคี าสร้อย” เฉพาะบาทท้าย

๑๗๘ อารยะ คชทปี

โคลงจติ รลดา

๏ จิตรลดาคาํ เชนํ เพชรพลอย
คลา๎ ยโคลงสี่สุภาพ ด่ังวํา
เพมิ่ สองค่าห๎อยท๎าย เรียกตําง
เป็นมหาจิตรลดาแล๎ว ทนั ใด ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาที่ ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๔ ของบาทที่ ๓
๒. คาที่ ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๔ ของบาท ๔
๓. หากเขยี นโดยมคี าเพมิ่ อกี ๒ คาในบาทท้าย เรียกวา่ “โคลงมหาจิตรลดา”
๔. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* ในบาทท้ายหากย้ายสมั ผสั ไปคาที่ ๕ เรียกวา่ “โคลงจิตรลดาแผลง” ซงึ่ พระบาท
สมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงดดั แปลงขนึ ้ มาใหม่

** เป็ นโคลงแบบหนง่ึ ในคมั ภีร์กาพย์สารวิลาสนิ ี

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๗๙
โคลงนนั ททายี

๏ จากกาพย๑สารวลิ า สนิ ี
นนั ททายีนั้น ชอ่ื โคลง
ผังคลา๎ ยแบบส่ีสุ- ภาพนั่น
แตเํ ส๎นสัมผัสโยง ตํางไป ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาที่ ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๔ ของบาทท่ี ๒ และบาทท่ี ๓
๒. คาที่ ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ของบาท ๔
๓. หากเขียนโดยมคี าเพม่ิ อีก ๒ คาในบาทท้าย เรียกวา่ “โคลงมหานนั ททายี”
๔. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* ในบาทท้ายหากย้ายสมั ผสั ไปคาที่ ๔ จะเรียกวา่ “โคลงนนั ททายแี ผลง” ซง่ึ พระบาท
สมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงดดั แปลงขนึ ้ มาใหม่

** เป็ นโคลงโบราณแบบหนงึ่ ในคมั ภรี ์กาพย์สารวิลาสนิ ี

๑๘๐ อารยะ คชทปี

โคลงวชิ ชมุ าลี

๏ โคลงนีช้ อ่ื วชิ ชุ มาลี
เป็นแบบเกําจากคมั - ภรี ๑กาพย๑
สารวลิ าสินี โคลงหนึ่ง
ดัง่ โคลงส่สี ุภาพ คล๎ายกัน ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาท่ี ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๕ ของบาทที่ ๓
๒. คาที่ ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ของบาท ๔
๓. หากเขียนโดยมีคาเพมิ่ อีก ๒ คาในบาทท้าย เรียกวา่ “โคลงมหาวชิ ชมุ าลี”
๔. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* ในบาทท้ายหากย้ายสมั ผสั ไปคาท่ี ๔ เรียกวา่ “โคลงวิชชมุ าลแี ผลง” ซงึ่ พระบาท
สมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงดดั แปลงขนึ ้ มาใหม่

** เป็ นโคลงโบราณแบบหนง่ึ ในคมั ภีร์กาพย์สารวิลาสนิ ี

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๘๑

โคลงสนิ ธุมาลี

๏ โคลงน้ีช่อื สินธุ มาลี
โคลงเกําไพเราะดี ฝึกไว๎
หากเตมิ สองค่าที่ ท๎ายบท
ใช๎มหาน่าหน๎าได๎ ชือ่ โคลง ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาท่ี ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ของบาทที่ ๒ และบาทที่ ๓
๒. คาท่ี ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ของบาท ๔
๓. หากเขยี นโดยมีคาเพมิ่ อีก ๒ คาในบาทท้าย เรียกวา่ “โคลงมหาสนิ ธมุ าล”ี
๔. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* ในบาทท้ายหากย้ายสมั ผสั ไปคาท่ี ๔ เรียกวา่ “โคลงสนิ ธมุ าลแี ผลง” ซง่ึ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงดดั แปลงขนึ ้ มาใหม่

** เป็ นโคลงโบราณแบบหนงึ่ ในคมั ภีร์กาพย์สารวลิ าสนิ ี

๑๘๒ อารยะ คชทปี

โคลงจติ ระมาลี

๏ จติ ระมาลีเย่ยี ง โบราณ
รอหกประดษิ ฐ๑จาร จดไว๎
ดดั แปลงสืบสานมา ยคุ ทาํ น
ฝากลกู หลานให๎รกั ษ๑ สบื ตํอ โคลงแฮ ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาท่ี ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และคาที่ ๔ ของบาทท่ี ๓
๒. คาท่ี ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๔ ของบาท ๔
๓. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* เป็ นโคลงท่ี พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงประดษิ ฐ์ขนึ ้ โดยคดั
แปลงจากคมั ภีร์โบราณ จงึ เรียกวา่ “โคลงเยย่ี งโบราณ” และ “นยิ มมีคาสร้อย”
เฉพาะบาทท้าย

โคลงกลบทมธุรสอักษรา ๑๘๓
โคลงมกุ ตะมาลี

๏ รัชกาลทีห่ ก ประดิษฐ๑
รปู โคลงวิจิตรเย่ียง โบราณ
มุกตะมาลคี ดิ ขึน้ ใหมํ
พระปรชี าด๎านนี้ นําเทิด ทูนเฮย ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาที่ ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๔ ของบาทที่ ๒ และคาท่ี ๕ ของบาทที่ ๓
๒. คาท่ี ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๔ ของบาท ๔
๓. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* เป็ นโคลงที่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงประดิษฐ์ขนึ ้ โดยคดั
แปลงจากคมั ภรี ์โบราณ จงึ เรียกวา่ “โคลงเยย่ี งโบราณ” และ “นยิ มมีคาสร้อย”
เฉพาะบาทท้าย

๑๘๔ อารยะ คชทปี

โคลงรัตนะมาลี

๏ เปน็ โคลงเยยี่ งโบราณ อกี โคลง
ซึง่ รอหกจดั โยง ประดษิ ฐ๑
ฝากให๎จรรโลงไว๎ คูํชาติ
ดง่ั รตั นะวิจติ ร สมนาม ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาที่ ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และคาท่ี ๔ ของบาทท่ี ๓
๒. คาท่ี ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ของบาท ๔
๓. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”

* เป็ นโคลงท่ี พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงประดษิ ฐ์ขนึ ้ โดยคดั
แปลงจากคมั ภีร์โบราณ จงึ เรียกวา่ “โคลงเยย่ี งโบราณ” และ “นยิ มมีคาสร้อย”
เฉพาะบาทท้าย

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๘๕

โคลงวชริ มาลี

๏ พระมหาธรี - ราชเจา๎
ดัดแปลงโคลงเกํามา แตงํ อ๎าง
วชิรมาลีเนา นานช่ือ
อยําปลํอยให๎ลมื ร๎าง ทอดทิ้ง เลยนา ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. คาท่ี ๗ ของบาทแรก ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๔ ของบาทท่ี ๒ และคาท่ี ๕ ของบาทท่ี ๓
๒. คาท่ี ๗ ของบาท ๒ ไปสมั ผสั กบั คาท่ี ๕ ของบาท ๔
๓. ไมบ่ งั คบั ตาแหนง่ “คาเอก” และ “คาโท”
* เป็ นโคลงท่ี พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงประดษิ ฐ์ขนึ ้ โดยคดั

แปลงจากคมั ภีร์โบราณ จงึ เรียกวา่ “โคลงเยีย่ งโบราณ” และ “นยิ มมีคาสร้อย”

เฉพาะบาทท้าย

๑๘๖ อารยะ คชทีป

โคลงสองสุภาพ

๏ ฝึกเรียงฝกึ รํางรอ๎ ย คอํ ยเกงํ ทลี ะน๎อย
สูลํ ้่าช่านาญ ฯ ชนรนุํ หลงั จกั ได๎
๏ สืบสานโคลงเกําไว๎
รอบรู๎โคลงสยาม ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. หนง่ึ บทมี ๑๔ คา แบง่ เป็ น ๓ วรรค ๕-๕-๔ คา ตามลาดบั และอาจเพมิ่ สร้อย

ท้ายบทได้อกี ๒ คา บงั คบั เอก ๓ แหง่ โท ๓ แหง่ สมั ผสั สง่ จากท้ายวรรคแรก
ไปยงั ท้ายวรรคท่สี อง ดงั ตวั อยา่ ง
๒. สง่ สมั ผสั ระหวา่ งบท จากท้ายบทแรกไปยงั คาใดคาหนงึ่ ใน ๓ คาของวรรคแรก
ในบทตอ่ ไป ดงั ตวั อยา่ ง

โคลงกลบทมธรุ สอักษรา ๑๘๗

โคลงสองด้ัน

๏ ยา๎ ยโทวางคนูํ ั้น ก่าหนดผงั ใชด๎ ้นั
โคลงสอง ฯ สมั ผัสถูกต๎องได๎
๏ ลองฝกึ ลองแตงํ ไว๎
ด่งั ผัง นี้แล ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. หนงึ่ บทมี ๑๒ คา แบง่ เป็ น ๓ วรรค วรรคละ ๕-๕-๒ คาตามลาดบั และอาจมี

สร้อยท้ายบทได้อกี ๒ คา บงั คบั เอก ๓ แหง่ โท ๓ แหง่ เหมอื นโคลงสองแต่
ตา่ งตาแหนง่ สว่ นสมั ผสั เหมอื นโคลงสอง
๒. สง่ สมั ผสั ระหวา่ งบท จากท้ายบทแรกไปยงั คาใดคาหนง่ึ ใน ๓ คาของวรรคแรก
ในบทตอ่ ไป ดงั ตวั อยา่ ง

๑๘๘ อารยะ คชทปี

โคลงสามสภุ าพ

๏ โทคูํเรม่ิ บาทสอง คล๎องบาทสามท่ที า๎ ย
จ่าม่นั อยาํ ผันย๎าย พลาดพลง้ั ผดิ รอย ฯ
๏ รอ๎ ยระหวาํ งบทโคลง โยงจากทา๎ ยบทตน๎
ตา่ แหนํงมิผดิ พน๎ หน่ึงนนั้ ในสาม ค่านา ๚ะ๛

ข้อบงั คบั
๑. บทหนง่ึ มี ๑๙ คา แบง่ เป็ น ๔ วรรค วรรคละ ๕-๕-๕-๔ คาตามลาดบั และ

อาจมสี ร้อยท้ายบทได้อีก ๒ คา บงั คบั เอก ๓ แหง่ โท ๓ แหง่ สง่ สมั ผสั เพมิ่
จากโคลงสองอีกหนง่ึ แหง่ จากท้ายวรรคแรกไปยงั วรรคทส่ี อง
๒. สง่ สมั ผสั ระหวา่ งบท จากท้ายบทแรกไปยงั คาใดคาหนง่ึ ใน ๓ คาของวรรคแรก
ในบทตอ่ ไป ดงั ตวั อยา่ ง


Click to View FlipBook Version