The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์ ม.2 (ว22101)<br><br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ระบบหายใจ<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ระบบขับถ่าย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ระบบหมุนเวียนเลือด<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 ระบบประสาท<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 ระบบสืบพันธุ์<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 การระเหยแห้ง<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 การตกผลึก<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 การกลั่น<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 โครมาโทกราฟี<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 การสกัดด้วยตัวทำละลาย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 สารละลาย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 สภาพละลายได้ของสาร<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 ความเข้มข้นของสารละลาย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 การใช้สารละลายในชีวิตประจำวัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thanongying1994, 2023-03-26 14:40:51

วิทยาศาสตร์ ม.2 ภาคเรียนที่ 1 (ว22101)

แผนการจัดการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์ ม.2 (ว22101)<br><br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ระบบหายใจ<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ระบบขับถ่าย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ระบบหมุนเวียนเลือด<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 ระบบประสาท<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 ระบบสืบพันธุ์<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 การระเหยแห้ง<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 การตกผลึก<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 การกลั่น<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 โครมาโทกราฟี<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 การสกัดด้วยตัวทำละลาย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 สารละลาย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 สภาพละลายได้ของสาร<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 ความเข้มข้นของสารละลาย<br>แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 การใช้สารละลายในชีวิตประจำวัน

Keywords: แผนการจัดการเรียนรู้,วิทยาศาสตร์,ม.2,ว22101

3) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.2 ปัญหา อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 13.3 แนวทางแก้ไขปัญหา / ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ............................................................. (นางสาวจิรนันท์ ทนงยิ่ง) ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย


จุดประสงค์ เพื่อแยกตัวละลายออกจากตัวทำละลายโดยวิธีการระเหยแห้ง วัสดุอุปกรณ์ 1. กระบอกตวง 2. จานหลุมโลหะ 3. ตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมที่กั้นลม 4. สารละลายกรดแอซีติกเข้มข้นร้อยละ 1 โดยปริมาตรต่อปริมาตร 5. สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 1 โดยมวลต่อปริมาตร 6. สารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตเข้มข้นร้อยละ 1 โดยมวลต่อปริมาตร วิธีปฏิบัติ 1. สังเกตและบันทึกลักษณะของสารละลายทั้ง 3 ชนิด 2. นำสารละลายทั้ง 3 ชนิด ใส่ในจานหลุมโลหะแต่ละหลุม ชนิดละ 1 ml 3. นำจานหลุมไปวางบนตะเกียงแอลกอฮอล์เพื่อให้ความร้อน 4. รอจนของเหลวในแต่ละหลุมระเหยไปจนหมด สังเกตและบันทึกผลการเปลี่ยนแปลง ตารางบันทึกผลการทดลอง ประเภทของสารละลาย ก่อนการระเหยแห้ง หลังการระเหยแห้ง สารละลายกรดแอซีติก ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. สารละลายโซเดียมคลอไรด์ ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. สารละลายโพแทสเซียม -เปอร์แมงกาเนต ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 1 เรื่อง การระเหยแห้ง ชื่อ-สกุล……………………………………………….………………. ชั้น/ห้อง ……..……. เลขที่ …………....


อภิปรายและสรุปผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สารละลายชนิดใดประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การระเหยแห้งใช้แยกสารที่มีลักษณะอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การแยกสารโดยวิธีการระเหยแห้งมีหลักการอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การระเหยแห้งนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค ำถำมหลังกิจกรรม


จุดประสงค์ เพื่อแยกตัวละลายออกจากตัวทำละลายโดยวิธีการระเหยแห้ง วัสดุอุปกรณ์ 1. กระบอกตวง 2. จานหลุมโลหะ 3. ตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมที่กั้นลม 4. สารละลายกรดแอซีติกเข้มข้นร้อยละ 1 โดยปริมาตรต่อปริมาตร 5. สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 1 โดยมวลต่อปริมาตร 6. สารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตเข้มข้นร้อยละ 1 โดยมวลต่อปริมาตร วิธีปฏิบัติ 1. สังเกตและบันทึกลักษณะของสารละลายทั้ง 3 ชนิด 2. นำสารละลายทั้ง 3 ชนิด ใส่ในจานหลุมโลหะแต่ละหลุม ชนิดละ 1 ml 3. นำจานหลุมไปวางบนตะเกียงแอลกอฮอล์เพื่อให้ความร้อน 4. รอจนของเหลวในแต่ละหลุมระเหยไปจนหมด สังเกตและบันทึกผลการเปลี่ยนแปลง ตารางบันทึกผลการทดลอง ประเภทของสารละลาย ก่อนการระเหยแห้ง หลังการระเหยแห้ง สารละลายกรดแอซีติก ของเหลว ใส ไม่มีสี ไม่มีผลึกเกิดขึ้น สารละลายโซเดียมคลอไรด์ ของเหลว ใส ไม่มีสี เกิดผลึกของแข็งสีขาว สารละลายโพแทสเซียม -เปอร์แมงกาเนต ของเหลว สีม่วง เกิดผลึกของแข็งสีม่วง วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 1 เรื่อง การระเหยแห้ง ** เฉลยใบกิจกรรมสำหรับครูผู้สอน **


อภิปรายและสรุปผลการทดลอง “เมื่อให้ความร้อนกับสารละลายจนน้ำระเหยออกจนหมด หลุมที่บรรจุสารละลายโซเดียมคลอไรด์เกิดผลึกสีขาว หลุมที่บรรจุสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตเกิดผลึกสีม่วง ส่วนหลุมที่บรรจุสารละลายกรดแอซีติกไม่มีผลึก เกิดขึ้น แสดงว่าสารละลายโซเดียมคลอไรด์และสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตเป็นสารละลายที่มีของแข็งเป็น ตัวละลาย ส่วนสารละลายกรดแอซีติกเป็นสารละลายที่มีของเหลวเป็นตัวละลาย” สารละลายชนิดใดประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็ง สารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็ง ได้แก่ สารละลายโซเดียมคลอไรด์และสารละลาย โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต การระเหยแห้งใช้แยกสารที่มีลักษณะอย่างไร การระเหยแห้งใช้แยกสารละลายที่มีตัวละลายเป็นของแข็งออกจากตัวทำละลายที่เป็นของเหลว การแยกสารโดยวิธีการระเหยแห้งมีหลักการอย่างไร หลักการระเหยแห้ง คือ เมื่อให้ความร้อนกับสารละลาย สารที่มีจุดเดือดต่ำกว่าจะระเหยกลายเป็นไอออกไป ก่อน ซึ่งสารที่ระเหยออกไปก่อนเป็นของเหลวซึ่งเป็นตัวทำละลาย จึงเหลือเฉพาะสารที่เป็นของแข็งซึ่งเป็นตัวละลาย จึง แยกตัวละลายออกจากตัวทำละลายได้ การระเหยแห้งนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หลักการระเหยแห้งถูกนำมาใช้ผลิตเกลือสมุทร ซึ่งเป็นการแยกโซเดียมคลอไรด์ออกจากน้ำทะเล โดยใช้ความ ร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้น้ำที่มีจุดเดือดต่ำกว่าระเหยกลายเป็นไอออกไปจนหมด เหลือเฉพาะโชเดียมคลอไรด์ที่มีจุด เดือดสูงกว่าอยู่ในรูปผลึกของแข็ง ค ำถำมหลังกิจกรรม


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเรียนรู้ที่2 เรื่อง การตกผลึก เวลา 2 ชั่วโมง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสาร ละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.2/1 อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟี แบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.1 ม.2/2 แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทำละลาย 2. จุดประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 2.1 ความรู้(K) 1. อธิบายการแยกสารโดยการตกผลึกได้ (K) 2. ยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้การตกผลึกในการแยกสารในชีวิตประจำวันได้ (K) 2.2 ทักษะ/กระบวนการ/กระบวนการคิด (P) 1. แยกสารโดยการตกผลึกได้ (P) 2. ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง (P) 2.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) 1. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A) 2. ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การตกผลึกเป็นการแยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็งในตัวทำละลายที่เป็นของเหลว โดย ทำให้เป็นสารละลายอิ่มตัว แล้วปล่อยให้ตัวทำละลายระเหยออกไปบางส่วน ตัวละลายจึงตกผลึกแยกออกมา เช่น การ ผลิตน้ำตาลทราย


4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความรู้ (K) การตกผลึก 4.2 ทักษะที่สำคัญ (P) - การแยกสารโดยการระเหยแห้ง 4.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) รักชาติ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่ความรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L) (จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน) ทักษะ 3R Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) ทักษะ 8C Critical Thinking and Problem Solving : ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา Creativity and Innovation : ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม Collaboration Teamwork and Leadership : ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ Cross-cultural Understanding : ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ Communications Information and Media Literacy : ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ Computing and ICT Literacy : ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร Career and Learning Skills : ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ Compassion : มีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มีระเบียบวินัย ทักษะ 2L Learning Skills : ทักษะการเรียนรู้ Leadership : ภาวะผู้นำ


7. การบูรณาการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 7.1 ความพอประมาณ การใช้อุปกรณ์และสารเคมีในการทดลองอย่างพอเหมาะ 7.2 ความมีเหตุผล ตอบคำถามและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างมีเหตุผล การปฏิบัติกิจกรรมอย่างมีเหตุผล 7.3 การมีภูมิคุ้มกัน การเชื่อมโยงสาระความรู้กับแนวทางการประกอบอาชีพในอนาคต 7.4 เงื่อนไขความรู้ การตกผลึก 7.5 เงื่อนไขคุณธรรม การปฏิบัติกิจกรรมด้วยความซื่อสัตย์และมีวินัย 7.6 4 มิติ 7.6.1 ด้านเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงสาระความรู้กับการประกอบอาชีพและเศรษฐกิจของประเทศ 7.6.2 ด้านสังคม - 7.6.3 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - 7.6.4 ด้านวัฒนธรรม - 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำ ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูตั้งคำถามกระตุ้นความคิดของนักเรียนว่า “ถ้าครูนำน้ำตาลทรายหรือเกลือมาละลายในน้ำ และน้ำตาล ทรายหรือเกลือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นักเรียนคิดว่าจะเกิดผลอย่างไร” (แนวตอบ : เมื่อใส่น้ำตาลทรายหรือเกลือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และไม่สามารถละลายในน้ำเพิ่มได้อีก เมื่อนั้นจะเรียก สารละลายนี้ว่า สารละลายอิ่มตัว) 2. จากนั้นครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่การเรียนการสอนว่า “สารละลายอิ่มตัว เหมือนหรือต่างจากสารละลายไม่อิ่มตัวอย่างไร” (แนวตอบ : คำตอบของนักเรียนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น สารละลายอิ่มตัวเป็นสารละลายที่ตัวละลายไม่ สามารถละลายในตัวทำละลายเพิ่มได้อีก แต่สารละลายไม่อิ่มตัวเป็นสารละลายที่ตัวละลายสามารถละลายในตัวทำ ละลายเพิ่มได้อีก)


ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 1. ครูอธิบายกับนักเรียนว่า “สารละลายอิ่มตัวเกิดจากสารละลายที่ตัวละลายไม่สามารถละลายในตัวทำละลาย เพิ่มได้ แต่หากเปลี่ยนแปลงสภาวะจะทำให้ตัวละลายละลายในตัวทำละลายได้เพิ่มขึ้น แต่หากสารละลายกลับสู่สภาวะ เดิมจะตกผลึกของออกมาอยู่ในตัวทำละลาย” 2. นักเรียนศึกษาเรื่อง การตกผลึก จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ ที่ 2 การแยกสารผสม หรือใช้วีดิทัศน์จากสื่อออนไลน์ เรื่อง การตกผลึก เช่น - การเกิดผลึกเกลือ 3. นักเรียนวิเคราะห์ตารางแสดงสภาพละลายได้ ณ อุณหภูมิต่าง ๆ ของสารบางชนิด จากนั้นครูถามคำถามกับ นักเรียนว่า “สภาวะใดที่ทำให้ตัวละลายละลายในตัวทำละลายได้เพิ่มขึ้น” (แนวตอบ : สภาวะที่ทำให้ตัวละลายละลายในตัวทำละลาย คือ สภาวะการเพิ่มอุณหภูมิ และการเพิ่มความดัน) 4. นักเรียนศึกษา เรื่อง การทำให้สารบริสุทธิ์โดยวิธีการตกผลึกจากหนังสือเรียน 5. นักเรียนศึกษาการผลิตน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากหลักการตกผลึกจากสื่อออนไลน์ เรื่อง การผลิตน้ำตาล ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 6. ครูสุ่มนักเรียนออกมาอธิบายเกี่ยวกับการตกผลึกพร้อมยกตัวอย่างเกี่ยวกับการตกผลึกที่นักเรียนเคยพบเห็น ในชีวิตประจำวัน ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 7. ทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แล้วเกี่ยวกับการตกผลึก 8. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน เพื่อทำกิจกรรมการแยกสารโดยการตกผลึกเพื่อให้นักเรียนศึกษาและ สามารถแยกสารโดยวิธีการตกผลึกได้ 9. ครูแนะนำอุปกรณ์การแยกสารโดยการตกผลึกที่ประกอบด้วย น้ำ โกร่งบดสาร ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ บีกเกอร์ขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้าย สารส้ม แท่งแก้วคนสาร 10. นักเรียนดำเนินการแยกสารโดยการตกผลึกตามวิธีการทดลองในใบกิจกรรมที่ 2 เรื่อง การตกผลึก และ บันทึกผลการทดลอง อภิปรายผลการทดลอง และตอบคำถามท้ายการทดลอง ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 11. นักเรียนออกมานำเสนอผลการทำกิจกรรมการแยกสารโดยการตกผลึกบริเวณหน้าชั้นเรียน 12. จากนั้นครูสุ่มนักเรียนเพื่อตอบคำถามท้ายทำกิจกรรม โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - เพราะเหตุใดเมื่อนำสารละลายสารส้มในบีกเกอร์ลงจากตะเกียงแอลกอฮอล์ แล้วจึงเกิดการตกผลึก (แนวตอบ : เมื่อละลายสารส้มในน้ำที่ให้ความร้อนจะได้สารละลายสารส้มอิ่มตัว และเมื่อนำบีกเกอร์ลงจากตะเกียง แอลกอฮอล์ ทำให้สารละลายสารส้มอิ่มตัวมีอุณหภูมิลดลง สารส้มจึงตกผลึกแยกออกมาอยู่ในตัวทำละลาย) - เพราะเหตุใดจึงต้องใช้เส้นด้ายผูกผลึกสารส้มที่มีขนาดเล็ก แล้วนำไปห้อยไว้ในสารละลายเดิม (แนวตอบ : ใช้ผลึกขนาดเล็กมาล่อให้เกิดการตกผลึกมากขึ้น ซึ่งผลึกขนาดเล็กจะถูกใช้เป็นฐานให้เกิดการเกาะของผลึก จนกลายเป็นก้อนผลึกขนาดใหญ่)


13. นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายผลการทำกิจกรรมการแยกสารโดยการตกผลึกเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้ เมื่อนำสารส้มมาละลายในน้ำที่ให้ความร้อนจนกลายเป็นสารละลายสารส้มอิ่มตัว แต่เมื่อหยุดให้ความร้อน สารส้มที่เป็น ตัวละลายจึงตกผลึกแยกออกมา ซึ่งจะเกิดผลึกมีลักษณะเป็นพีระมิดคู่ฐานสี่เหลี่ยมและมีขนาดเล็กในช่วงแรก และหาก นำผลึกสารส้มขนาดเล็กมาผูกด้วยเส้นด้ายแล้วห้อยในสารละลายเดิม จะเกิดผลึกสารส้มที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเกาะตัว เพิ่มจากผลึกสารส้มที่ผูกด้วยเส้นด้าย ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 14. ครูให้นักเรียนร่วมกันยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากการแยกสารผสมโดยการตกผลึก 15. ครูถามคำถามสำคัญกับนักเรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - การผลิตน้ำตาลทรายใช้หลักการตกผลึกอย่างไร (แนวตอบ : เมื่อนำน้ำอ้อยมาเคี่ยวเพื่อนำน้ำออกจะได้น้ำอ้อยเข้มข้น ซึ่งเมื่อลดอุณหภูมิลงจะเกิดการตกผลึกเป็นเกล็ด น้ำตาลทรายแยกออกมา) 16. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ช่วยทบทวนเนื้อหาและตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน (Exercise 2.1) ขั้นสรุป ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) 17. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการตกผลึกเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “การตกผลึกเป็นการแยกตัวละลายที่ เป็นของแข็งออกจากตัวทำละลายที่เป็นของเหลวในสภาพสารละลายอิ่มตัว โดยอาศัยความสามารถในการละลายในตัว ทำละลายของสารที่ต้องการตกผลึก ซึ่งสารที่ต้องการตกผลึกละลายได้น้อยในตัวทำละลายที่อุณหภูมิปกติ แต่ละลายได้ ดีที่อุณหภูมิสูง การตกผลึกถูกนำมาใช้ในการผลิตน้ำตาลทราย ซึ่งเมื่อนำน้ำอ้อยมาเคี่ยวเพื่อนำน้ำออกจะได้น้ำอ้อย เข้มข้น (สารละลายน้ำตาลอิ่มตัว) และเมื่อลดอุณหภูมิลงทำให้น้ำอ้อยตกผลึกเป็นเกล็ดน้ำตาลทราย” 18. ครูตรวจสอบและประเมินผลดังนี้ - ตรวจสอบผลการทดลองการแยกสารโดยการตกผลึก - ตรวจสอบความถูกต้องจากใบกิจกรรมที่ 2 เรื่อง การตกผลึก - ตรวจสอบผลการทำกิจกรรม Exercise 2.1 ของนักเรียน - สังเกตการตอบคำถาม การทำกิจกรรม กระบวนการกลุ่ม และการนำเสนอผลงานของนักเรียน 9. สื่อการสอน 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1 2. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint 3. แบบฝึกทักษะ 4. ใบกิจกรรมที่ 2 เรื่อง การตกผลึก 5. อุปกรณ์การแยกสารโดยการตกผลึก


10. แหล่งเรียนรู้ในหรือนอกสถานที่ 1. ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ 2. อินเทอร์เน็ต 11. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 11.1 การประเมินระหว่าง การจัดกิจกรรม 1) การตกผลึก - การตอบคำถามใน ระหว่างการเรียน - การบันทึกผลและการ ตอบคำถามในใบ กิจกรรมที่ 2 - ตรวจ Exercise 2.2 - คำถามจากครูผู้สอน - ใบกิจกรรมที่ 2 เรื่อง การ ตกผลึก - Exercise 2.2 - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ 2) การปฏิบัติการ - ประเมินการปฏิบัติการ - แบบประเมินการ ปฏิบัติการ - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 3) พฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 4) พฤติกรรมการทำงาน รายกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 5)การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - แบบประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 6)คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 12. กิจกรรมเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


13. บันทึกผลการเรียนรู้ และข้อเสนอแนะ 13.1 ผลการจัดการเรียนรู้ 13.1.1 ด้านความรู้ (K) 1) อธิบายการแยกสารโดยการตกผลึกได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้การตกผลึกในการแยกสารในชีวิตประจำวันได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.2 ด้านทักษะที่สำคัญ (P) 1) แยกสารโดยการตกผลึกได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1) มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.4 ด้านสมรรถนะ (C) 1) ความสามารถในการสื่อสาร ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ความสามารถในการคิด ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................


3) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.2 ปัญหา อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 13.3 แนวทางแก้ไขปัญหา / ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ............................................................. (นางสาวจิรนันท์ ทนงยิ่ง) ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย


จุดประสงค์ เพื่อแยกสารส้มออกจากสารละลายสารส้มอิ่มตัวโดยวิธีการตกผลึก วัสดุอุปกรณ์ 1. บีกเกอร์ขนาด 500 ml 6. ด้าย 2. โกร่งบดสาร 7. ไม้ 3. ตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมที่กั้นลม 8. สารส้ม 4. แท่งแก้วคนสาร 9. น้ำ 5. ปากคีบปลายแหลม วิธีปฏิบัติ 1. บดสารส้มให้เป็นก้อนขนาดเล็กโดยใช้โกร่งบดสาร 2. ใส่น้ำปริมาตร 250 ml ในบีกเกอร์ขนาด 500 ml แล้วนำไปต้มบนตะเกียงแอลกอฮอล์ 3. ใส่สารส้มที่บดไว้ลงในบีกเกอร์ในข้อ 2. ใช้แท่งแก้วคนให้ละลาย แล้วเพิ่มปริมาณสารส้มจนกระทั่งสารส้มไม่ สามารถละลายได้อีก 4. นำบีกเกอร์ลงจากตะเกียงแอลกอฮอล์ ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วัน จนเกิดผลึกขนาดเล็ก 5. ใช้ปากคีบปลายแหลมคีบผลึกออกมาผูกด้วยเส้นด้ายแล้วห้อยไว้ในสารละลายเดิม ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ สังเกตลักษณะผลึกที่ได้ ตารางบันทึกผลการทดลอง ลักษณะผลึกของสาร ตั้งทิ้งไว้ 1 – 2 วัน ตั้งทิ้งไว้ 7 วัน ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 2 เรื่อง การตกผลึก ชื่อ-สกุล……………………………………………….………………. ชั้น/ห้อง ……..……. เลขที่ …………....


อภิปรายและสรุปผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เพราะเหตุใดเมื่อนำสารละลายสารส้มในบีกเกอร์ลงจากตะเกียงแอลกอฮอล์ แล้วจึงเกิดการตกผลึก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เพราะเหตุใดจึงต้องใช้เส้นด้ายผูกผลึกสารสัมที่มีขนาดเล็ก แล้วนำไปห้อยไว้ในสารละลายเดิม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลึกที่เกิดจากสารละลายสารส้มที่ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ มีลักษณะอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การแยกสารโดยวิธีการตกผลึกมีหลักการอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การตกผลึกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค ำถำมหลังกิจกรรม


จุดประสงค์ เพื่อแยกสารส้มออกจากสารละลายสารส้มอิ่มตัวโดยวิธีการตกผลึก วัสดุอุปกรณ์ 1. บีกเกอร์ขนาด 500 ml 6. ด้าย 2. โกร่งบดสาร 7. ไม้ 3. ตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมที่กั้นลม 8. สารส้ม 4. แท่งแก้วคนสาร 9. น้ำ 5. ปากคีบปลายแหลม วิธีปฏิบัติ 1. บดสารส้มให้เป็นก้อนขนาดเล็กโดยใช้โกร่งบดสาร 2. ใส่น้ำปริมาตร 250 ml ในบีกเกอร์ขนาด 500 ml แล้วนำไปต้มบนตะเกียงแอลกอฮอล์ 3. ใส่สารส้มที่บดไว้ลงในบีกเกอร์ในข้อ 2. ใช้แท่งแก้วคนให้ละลาย แล้วเพิ่มปริมาณสารส้มจนกระทั่งสารส้มไม่ สามารถละลายได้อีก 4. นำบีกเกอร์ลงจากตะเกียงแอลกอฮอล์ ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วัน จนเกิดผลึกขนาดเล็ก 5. ใช้ปากคีบปลายแหลมคีบผลึกออกมาผูกด้วยเส้นด้ายแล้วห้อยไว้ในสารละลายเดิม ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ สังเกตลักษณะผลึกที่ได้ ตารางบันทึกผลการทดลอง ลักษณะผลึกของสาร ตั้งทิ้งไว้ 1 – 2 วัน ตั้งทิ้งไว้ 7 วัน เกิดผลึกขนาดเล็กของสารที่ก้นบีกเกอร์ มีลักษณะเป็นพีระมิดคู่ฐานสี่เหลี่ยม ก้อนผลึกที่แขวนไว้กับเส้นด้ายมีขนาดใหญ่ขึ้น วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 2 เรื่อง การตกผลึก ** เฉลยใบกิจกรรมสำหรับครูผู้สอน **


อภิปรายและสรุปผลการทดลอง เมื่อนำสารส้มละลายในน้ำที่ให้ความร้อนจนกระทั่งสารส้มไม่สามารถละลายเพิ่มได้ จะทำให้เกิดสารละลาย สารส้มอิ่มตัวที่อุณหภูมิสูง และเมื่อหยุดให้ความร้อนจะทำให้สารละลายอิ่มตัวมีอุณหภูมิลดลง สารส้มที่เป็นตัวละลาย จึงตกผลึกแยกออกจากสารละลาย ซึ่งผลึกของสารส้มที่สมบูรณ์จะมีลักษณะเป็นพีระมิดคู่ฐานสี่เหลี่ยม เพราะเหตุใดเมื่อนำสารละลายสารส้มในบีกเกอร์ลงจากตะเกียงแอลกอฮอล์ แล้วจึงเกิดการตกผลึก เมื่อละลายสารส้มในน้ำที่ให้ความร้อนจะได้สารละลายสารส้มอิ่มตัว เมื่อนำบีกเกอร์ลงจากตะเกียงแอลกอฮอล์ ทำให้สารละลายสารส้มอิ่มตัวมีอุณหภูมิลดลง จึงเกิดการตกผลึกของสารส้มแยกออกมา เพราะเหตุใดจึงต้องใช้เส้นด้ายผูกผลึกสารสัมที่มีขนาดเล็ก แล้วนำไปห้อยไว้ในสารละลายเดิม ใช้ผลึกขนาดเล็กล่อให้เกิดการตกผลึกเร็วขึ้นซึ่งผลึกขนาดเล็กถูกใข้เป็นฐานให้เกิดการเกาะของผลึกจนกลาย เป็นก้อนผลึกขนาดใหญ่ ผลึกที่เกิดจากสารละลายสารส้มที่ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ มีลักษณะอย่างไร สารละลายสารส้มที่ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ จะเกิดก้อนผลึกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น การแยกสารโดยวิธีการตกผลึกมีหลักการอย่างไร การตกผลึก เป็นการแยกตัวละลายที่เป็นของแข็งออกจากตัวทำละลายที่เป็นของเหลวในสภาพของสารละลาย อิ่มตัว โดยอาศัยความสามารถในการละลายในตัวทำละลายของสารที่ต้องการให้ตกผลึก ซึ่งสารที่ต้องการตกผลึกจะ ละลายได้น้อยในตัวทำละลายที่อุณหภูมิปกติ แต่จะละลายได้ดีที่อุณหภูมิสูง การตกผลึกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร การตกผลึกที่เกิดจากการลดอุณหภูมิของสารละลายอิ่มตัวถูกนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การ ผลิตน้ำตาลซูโครส หรือน้ำตาลทรายโดยการสกัดน้ำอ้อยและแยกสิ่งเจือปนต่าง ๆ ออกแล้วนำมาเดี่ยวเพื่อแยกน้ำออก ซึ่งจะไต้น้ำอ้อยเข้มข้นจากนั้นนำมาทำให้เกิดการตกผลึกออกมาเป็นน้ำตาลทราย เป็นต้น ค ำถำมหลังกิจกรรม


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเรียนรู้ที่2 เรื่อง การกลั่น เวลา 4 ชั่วโมง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสาร ละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.2/1 อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟี แบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.1 ม.2/2 แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทำละลาย 2. จุดประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 2.1 ความรู้(K) 1. อธิบายการแยกสารโดยการกลั่นได้ (K) 2. เปรียบเทียบการแยกสารโดยการกลั่นแบบธรรมดาการกลั่นแบบไอน้ำและการกลั่นลำดับส่วนได้(K) 3. ยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้การกลั่นในการแยกสารในชีวิตประจำวันได้ (K) 2.2 ทักษะ/กระบวนการ/กระบวนการคิด (P) 1. แยกสารโดยการกลั่นแบบธรรมดาได้ (P) 2. ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง (P) 2.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) 1. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A) 2. ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การกลั่นเป็นการแยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายและตัวทำละลายที่เป็นของเหลว แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การกลั่นแบบธรรมดา เป็นการแยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวทำละลายที่เป็นสารระเหยง่ายและมีจุด


เดือดต่ำออกจากตัวละลายที่เป็นสารระเหยยากและมีจุดเดือดสูง ซึ่งจุดเดือดควรต่างกันตั้งแต่ 30 องศาเซลเซียสขึ้นไป เช่น การกลั่นแยกเกลือออกจากน้ำทะเล การกลั่นแบบไอน้ำเป็นการแยกสารที่มีจุดเดือดต่ำ ระเหยง่าย และไม่ละลาย น้ำออกจากสารที่ระเหยยาก โดยอาศัยความดันไอน้ำทำให้สารเดือดกลายเป็นไอและถูกกลั่นออกมาพร้อมกับไอน้ำ แต่ สารที่ถูกกลั่นออกมาจะแยกชั้นกับน้ำ เช่น การกลั่นน้ำมันหอมระเหย การกลั่นลำดับส่วน เป็นการแยกสารละลายที่ ประกอบด้วยสารที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกัน หรือแยกสารละลายที่มีตัวทำละลายและตัวละลายเป็นสารที่ระเหยง่าย เช่น การกลั่นแยกเอทิล-แอลกอฮอล์ออกจากน้ำ การกลั่นน้ำมันดิบ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความรู้ (K) การกลั่น - การกลั่นแบบธรรมดา - การกลั่นแบบไอน้ำ - การกลั่นลำดับส่วน 4.2 ทักษะที่สำคัญ (P) - การแยกสารโดยการกลั่นแบบธรรมดา 4.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) รักชาติ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่ความรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L) (จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน) ทักษะ 3R Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) ทักษะ 8C Critical Thinking and Problem Solving : ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา Creativity and Innovation : ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม Collaboration Teamwork and Leadership : ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ Cross-cultural Understanding : ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์


Communications Information and Media Literacy : ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ Computing and ICT Literacy : ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร Career and Learning Skills : ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ Compassion : มีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มีระเบียบวินัย ทักษะ 2L Learning Skills : ทักษะการเรียนรู้ Leadership : ภาวะผู้นำ 7. การบูรณาการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 7.1 ความพอประมาณ การใช้อุปกรณ์และสารเคมีในการทดลองอย่างพอเหมาะ 7.2 ความมีเหตุผล ตอบคำถามและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างมีเหตุผล การปฏิบัติกิจกรรมอย่างมีเหตุผล 7.3 การมีภูมิคุ้มกัน การเชื่อมโยงสาระความรู้กับแนวทางการประกอบอาชีพในอนาคต 7.4 เงื่อนไขความรู้ การกลั่น 7.5 เงื่อนไขคุณธรรม การปฏิบัติกิจกรรมด้วยความซื่อสัตย์และมีวินัย 7.6 4 มิติ 7.6.1 ด้านเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงสาระความรู้กับการประกอบอาชีพและเศรษฐกิจของประเทศ 7.6.2 ด้านสังคม - 7.6.3 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - 7.6.4 ด้านวัฒนธรรม -


8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำ ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูตั้งคำถามกระตุ้นความคิดของนักเรียนว่า “การระเหยแห้งสามารถแยกเกลือออกจากน้ำทะเลได้แล้ว นักเรียนคิดว่ามีการแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยวิธีอื่นอีกหรือไม่” (แนวตอบ : เกลือสามารถแยกออกจากน้ำทะเลด้วยวิธีการกลั่น) 2. จากนั้นครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่การเรียนการสอนว่า “การกลั่นเหมาะ สำหรับแยกสารที่มีลักษณะอย่างไร” (แนวตอบ : คำตอบของนักเรียนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น การกลั่นเป็นการแยกสารที่อาศัยจุดเดือดของสาร องค์ประกอบ โดยการให้ความร้อนกับสารจนกลายเป็นไอ แล้วทำให้ไอควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวอีกครั้ง) ขั้นสอน ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 1. นักเรียนศึกษา เรื่อง การกลั่นจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม 2. ครูอธิบายกับนักเรียนว่า “การกลั่นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 วิธี ตามคุณสมบัติของสารผสมที่ต้องการแยก ได้แก่ การกลั่นแบบธรรมดา การกลั่นแบบไอน้ำ และการกลั่นแบบลำดับส่วน” 3. ให้นักเรียนสแกน QR code เรื่อง การกลั่นแบบธรรมดา เพื่อขยายความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการการ กลั่นแบบธรรมดามากยิ่งขึ้น 4. นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมจากสื่อออนไลน์ เรื่อง การกลั่นแบบธรรมดา เช่น - Distillation | Definition | Examples | Diagram - Distillation salt water ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 5. ครูสุ่มนักเรียนออกมาอธิบายเกี่ยวกับการกลั่นแบบธรรมดาพร้อมยกตัวอย่างเกี่ยวกับการกลั่นแบบธรรมดาที่ นักเรียนเคยพบเห็นในชีวิตประจำวัน ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 6. ทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แล้วเกี่ยวกับการกลั่นแบบธรรมดา 7. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน เพื่อทำกิจกรรมการกลั่นแบบธรรมดา เพื่อให้นักเรียนศึกษาและสามารถ แยกสารโดยวิธีการกลั่นได้ 8. ครูแนะนำอุปกรณ์การกลั่นแบบธรรมดาที่ประกอบด้วย น้ำเย็น สายยาง เทอร์มอมิเตอร์ หลอดนำแก๊สรูปตัว V ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ หลอดทดลองขนาดใหญ่และขนาดกลาง บีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 10 โดยปริมาตร


9. เปิดโอกาสให้นักเรียนดำเนินการกลั่นแบบธรรมดาตามวิธีการทดลองในใบกิจกรรมที่ 3 เรื่อง การกลั่นแบบ ธรรมดา และบันทึกผลการทดลองอภิปรายผลการทดลอง และตอบคำถามท้ายการทดลอง ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 10. นักเรียนออกมานำเสนอผลการทำกิจกรรมการกลั่นแบบธรรมดาบริเวณหน้าชั้นเรียน 11. จากนั้นครูสุ่มนักเรียนเพื่อตอบคำถามท้ายทำกิจกรรม โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - เมื่อต้มสารละลายจนเกือบแห้ง หลอดทดลองทั้ง 2 หลอด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนวตอบ : หลอดทดลองขนาดใหญ่เหลือของแข็งสีขาว ส่วนหลอดทดลองขนาดกลางมีของเหลวที่ถูกกลั่นออกมา) - เมื่อการกลั่นสิ้นสุดลง หลอดทดลองแต่ละหลอดประกอบด้วยสารชนิดใด (แนวตอบ : เมื่อการกลั่นสิ้นสุดลง หลอดทดลองขนาดใหญ่เหลือผลึกเกลือแกงหรือโซเดียมคลอไรด์ ส่วนหลอดทดลอง ขนาดกลางมีน้ำที่ถูกกลั่นออกมา) 12. นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายผลการทำกิจกรรมการกลั่นแบบธรรมดาเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้ เมื่อต้ม สารละลายโซเดียมคลอไรด์ในหลอดทดลองจนเกือบแห้ง หลอดทดลองขนาดใหญ่เหลือของแข็งสีขาว คือ เกลือแกงหรือ โซเดียมคลอไรด์ ส่วนหลอดทดลองขนาดกลางมีของเหลวใส ไม่มีสีคือ น้ำ เนื่องจากน้ำมีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ซึ่งน้อยกว่าโซเดียมคลอไรด์ที่มีจุดเดือด 1,413 องศาเซลเซียส น้ำจึงระเหยกลายเป็นไอออกมาก่อน และควบแน่นกลับ เป็นน้ำอีกครั้ง ชั่วโมงที่ 3 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 13. ทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แล้วเกี่ยวกับการกลั่นแบบธรรมดา 14. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อร่วมกันศึกษาเกี่ยวกับการกลั่นแบบไอน้ำในหนังสือเรียน หรือใช้วีดิ ทัศน์จากสื่อออนไลน์ เรื่อง การกลั่นแบบไอน้ำ เช่น - How Steam Distillation Works 15. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาเกี่ยวกับการกลั่นลำดับส่วนในหนังสือเรียน หรือใช้วีดิทัศน์จากสื่อออนไลน์ เรื่อง การกลั่นลำดับส่วน เช่น - Fractional Distillation | 11th Std | Chemistry | Science | Maharashtra Board | Home Revise ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 16. ครูสุ่มนักเรียนออกมาอธิบายเกี่ยวกับการกลั่นแบบไอน้ำและการกลั่นแบบลำดับส่วนพร้อมยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการกลั่นที่นักเรียนเคยพบเห็นในชีวิตประจำวัน 17. จากนั้นครูสุ่มนักเรียนเพื่อตอบคำถามท้ายทำกิจกรรม โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - สารจากใบพืชถูกกลั่นออกมาได้อย่างไร (แนวตอบ : สารจากใบพืชถูกกลั่นออกมาโดยอาศัยความดันจากไอน้ำ ทำให้สารเดือดกลายเป็นไอและกลั่นออกมา พร้อมกับไอน้ำ) - เพราะเหตุใดการแยกน้ำมันชนิดต่าง ๆ ออกจากน้ำมันดิบจึงใช้การกลั่นลำดับส่วน (แนวตอบ : เนื่องจากน้ำมันดิบประกอบด้วยน้ำมันต่าง ๆ หลายชนิด เช่น น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน แก๊ส ปิโตรเลียม ซึ่งน้ำมันแต่ละชนิดมีจุดเดือดใกล้เคียงกัน จึงถูกกลั่นออกมาที่ระดับอุณหภูมิแตกต่างกัน)


18. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการกลั่นแบบไอน้ำและการกลั่นลำดับส่วนเพื่อให้ได้ข้อสรุป ดังนี้ “การกลั่นแบบไอน้ำใช้แยกสารที่มีจุดเดือดต่ำ ระเหยง่าย และไม่ละลายน้ำ ออกจากสารที่ระเหยยาก โดยอาศัยความ ดันจากไอน้ำทำให้สารที่ต้องการแยกเดือดกลายเป็นไอ และถูกกลั่นออกมาพร้อมกับไอน้ำ ส่วนการกลั่นลำดับส่วนใช้ แยกสารที่ประกอบด้วยตัวทำละลายและตัวละลายที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกัน หรือเป็นสารระเหยง่ายทั้งคู่ ซึ่งการกลั่น ลำดับส่วนมีลักษณะเหมือนการกลั่นแบบธรรมดา แต่จะผ่านการกลั่นแบบธรรมดาซ้ำ ๆ กัน หลายครั้ง” ชั่วโมงที่ 4 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 19. ทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แล้วเกี่ยวกับการกลั่นแบบธรรมดา 20. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน (กลุ่มเดิม) เพื่อทำกิจกรรมน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้มในหนังสือ เรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถแยกน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้มโดยใช้วิธีการกั่นแบบไอน้ำได้ 21. ครูแนะนำอุปกรณ์การทำน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้ม ที่ประกอบด้วย น้ำ น้ำแข็ง ผ้าโปร่ง ขวดรูปชมพู่ เปลือกส้มสด เครื่องควบแน่น ชุดขาตั้งที่มีตัวหนีบ ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ และหลอดทดลองขนาดใหญ่และขนาดเล็ก 22. นักเรียนดำเนินการทำน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้มตามวิธีการทดลอง และบันทึกผลการทดลอง อภิปรายผลการทดลอง และตอบคำถามท้ายการทดลอง ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 23. นักเรียนออกมานำเสนอผลการทำกิจกรรมน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้มบริเวณหน้าชั้นเรียน 24. จากนั้นครูสุ่มนักเรียนเพื่อตอบคำถามท้ายทำกิจกรรม โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - การกลั่นแบบไอน้ำใช้แยกสารประเภทใด (แนวตอบ : การกลั่นแบบไอน้ำใช้แยกสารที่มีจุดเดือดต่ำ ระเหยง่าย และไม่ละลายน้ำ ออกจากสารที่ระเหยยาก โดย อาศัยความดันจากไอน้ำทำให้สารเดือดกลายเป็นไอ แล้วถูกกลั่นออกมาพร้อมกับไอน้ำ) - สารที่ถูกกลั่นออกมาโดยการกลั่นแบบไอน้ำมีลักษณะอย่างไร (แนวตอบ : สารที่ถูกกลั่นออกมาพร้อมกับไอน้ำ เมื่อควบแน่นกลับเป็นของเหลวจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นล่าง เป็นสารที่ถูกกลั่น และชั้นบนเป็นน้ำ) ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 25. นักเรียนทำใบงานที่ 2.3 เรื่อง การกลั่น โดยให้นักเรียนตอบคำถามให้ถูกต้อง 26. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ช่วยทบทวนเนื้อหาและตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน (Exercise 2.3) 27. ครูถามคำถามสำคัญกับนักเรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - การกลั่นน้ำเกลือเหลือสารชนิดใดอยู่ในขวดกลั่น และสารชนิดใดถูกกลั่นออกมา (แนวตอบ : สารที่อยู่ในขวดกลั่น คือ เกลือหรือโซเดียมคลอไรด์ ส่วนสารที่ถูกกลั่นออกมา คือ น้ำ เนื่องจากน้ำมีจุด เดือดต่ำกว่าเกลือ จึงระเหยกลายเป็นไอออกมาก่อนและควบแน่นกลับเป็นน้ำอีกครั้ง) - สารละลายประกอบด้วยตัวละลายที่มีจุดเดือด 172 องศาเซลเซียส และตัวทำละลายที่มีจุดเดือด 150 องศาเซลเซียส หากต้องการแยกตัวละลายออกจากตัวทำละลาย ควรเลือกใช้การกลั่นแบบใด เพราะเหตุใด และส่วนที่แยกออกมาคือ ตัวทำละลายหรือตัวละลาย เพราะเหตุใด


(แนวตอบ : การกลั่นลำดับส่วน เนื่องจากสารละลายประกอบด้วยตัวทำละลายและตัวละลายที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกัน (ต่างกันน้อยกว่า 30 องศาเซลเซียส) ซึ่งสารที่ถูกกลั่นออกมาก่อน คือ ตัวทำละลาย เนื่องจากมีจุดเดือดต่ำกว่าตัวละลาย จึงระเหยกลายเป็นไอออกมาก่อน) ขั้นสรุป ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) 28. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการกลั่น โดยมีประเด็น ดังนี้ - หลักการตกผลึก - ประเภทของการกลั่น - การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากการกลั่น 29. ครูตรวจสอบและประเมินผลดังนี้ - ตรวจสอบผลการทดลองการแยกสารโดยการกลั่นแบบธรรมดา - ตรวจสอบความถูกต้องจากใบกิจกรรมที่ 3 เรื่อง การกลั่นแบบธรรมดา - ตรวจสอบความถูกต้องจากใบงานที่ 2.3 เรื่อง การกลั่น - ตรวจสอบผลการทำกิจกรรม Exercise 2.3 ของนักเรียน - สังเกตการตอบคำถาม การทำกิจกรรม กระบวนการกลุ่ม และการนำเสนอผลงานของนักเรียน 9. สื่อการสอน 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1 2. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint 3. แบบฝึกทักษะ 4. ใบกิจกรรมที่ 3 เรื่อง การกลั่นแบบธรรมดา 5. ใบงานที่ 2.3 เรื่อง การกลั่น 6. อุปกรณ์การกลั่นแบบธรรมดา 7. อุปกรณ์การทำน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้ม 10. แหล่งเรียนรู้ในหรือนอกสถานที่ 1. ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ 2. อินเทอร์เน็ต


11. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 11.1 การประเมินระหว่าง การจัดกิจกรรม 1) การกลั่น - การตอบคำถามใน ระหว่างการเรียน - การบันทึกผลและการ ตอบคำถามในใบ กิจกรรมที่ 3 - ตรวจ Exercise 2.3 - ตรวจใบงานที่ 2.3 - คำถามจากครูผู้สอน - ใบกิจกรรมที่ 3 เรื่อง การ กลั่นแบบธรรมดา - - Exercise 2.3 - - ใบงานที่ 2.3 - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ 2) การปฏิบัติการ - ประเมินการปฏิบัติการ - แบบประเมินการ ปฏิบัติการ - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 3) พฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 4) พฤติกรรมการทำงาน รายกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 5)การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - แบบประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 6)คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 12. กิจกรรมเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


13. บันทึกผลการเรียนรู้ และข้อเสนอแนะ 13.1 ผลการจัดการเรียนรู้ 13.1.1 ด้านความรู้ (K) 1) อธิบายการแยกสารโดยการกลั่นได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) เปรียบเทียบการแยกสารโดยการกลั่นแบบธรรมดาการกลั่นแบบไอน้ำและการกลั่นลำดับส่วนได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 3) ยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้การกลั่นในการแยกสารในชีวิตประจำวันไ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.2 ด้านทักษะที่สำคัญ (P) 1) แยกสารโดยการกลั่นแบบธรรมดได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1) มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.4 ด้านสมรรถนะ (C) 1) ความสามารถในการสื่อสาร ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................


2) ความสามารถในการคิด ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 3) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.2 ปัญหา อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 13.3 แนวทางแก้ไขปัญหา / ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ............................................................. (นางสาวจิรนันท์ ทนงยิ่ง) ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย


QR code สื่อวิดีทัศน์ออนไลน์ การกลั่นอย่างง่าย (วิทยาศาสตร์ ม. 2 เล่ม 2 หน่วยที่ 6 บทที่ 1 การแยกสารและการนำไปใช้) Distillation | Definition | Examples | Diagram Distillation salt water


QR code สื่อวิดีทัศน์ออนไลน์ How Steam Distillation Works Fractional Distillation | 11th Std | Chemistry | Science | Maharashtra Board | Home Revise


จุดประสงค์ เพื่อแยกน้ำออกจากสารละลายเกลือแกงโดยวิธีการกลั่นแบบธรรมดา วัสดุอุปกรณ์ 1. หลอดทดลองขนาดใหญ่และขนาดกลาง อย่างละ 1 หลอด 2. บีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร 3. หลอดนำแก๊สรูปตัว V 4. สายยางเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร ยาว 50 เซนติเมตร 5. ขาตั้งและที่จับหลอดทดลอง 6. ตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมที่กั้นลม 7. เทอร์มอมิเตอร์ 8. จุกยางเบอร์ 10 เจาะรู 2 รู 9. น้ำเย็น 10. สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 10 โดยมวลต่อปริมาตร วิธีปฏิบัติ 1. ใส่สารละลายโซเดียมคลอไรด์ปริมาตร 10 ลูกบาศก์ เซนติเมตร ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่ ปิดด้วยจุกยางที่ต่อหลอด นำแก๊สและสายยางไปยังหลอดทดลองขนาดกลางที่แช่ในน้ำเย็น ดังภาพ 2. ต้มสารละลายในหลอดทดลองขนาดใหญ่จนเกือบแห้ง สังเกตและบันทึกผลการเปลี่ยนแปลง ตารางบันทึกผลการทดลอง หลอดทดลองขนาดใหญ่ หลอดทดลองขนาดเล็ก ก่อนการกลั่น ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. หลังการกลั่น ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. ………………………………………..………….. วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 3 เรื่อง การกลั่นแบบธรรมดา ชื่อ-สกุล……………………………………………….………………. ชั้น/ห้อง ……..……. เลขที่ …………....


อภิปรายและสรุปผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เมื่อต้มสารละลายโซเดียมคลอไรด์จนเกือบแห้ง หลอดทดลองทั้ง 2 หลอด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เมื่อการกลั่นสิ้นสุดลง หลอดทดลองแต่ละหลอดประกอบด้วยสารชนิดใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การแยกสารโดยวิธีการกลั่นแบบธรรมดามีหลักการอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค ำถำมหลังกิจกรรม


จุดประสงค์ เพื่อแยกน้ำออกจากสารละลายเกลือแกงโดยวิธีการกลั่นแบบธรรมดา วัสดุอุปกรณ์ 1. หลอดทดลองขนาดใหญ่และขนาดกลาง อย่างละ 1 หลอด 2. บีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร 3. หลอดนำแก๊สรูปตัว V 4. สายยางเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร ยาว 50 เซนติเมตร 5. ขาตั้งและที่จับหลอดทดลอง 6. ตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมที่กั้นลม 7. เทอร์มอมิเตอร์ 8. จุกยางเบอร์ 10 เจาะรู 2 รู 9. น้ำเย็น 10. สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 10 โดยมวลต่อปริมาตร วิธีปฏิบัติ 1. ใส่สารละลายโซเดียมคลอไรด์ปริมาตร 10 ลูกบาศก์ เซนติเมตร ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่ ปิดด้วยจุกยางที่ต่อหลอด นำแก๊สและสายยางไปยังหลอดทดลองขนาดกลางที่แช่ในน้ำเย็น ดังภาพ 2. ต้มสารละลายในหลอดทดลองขนาดใหญ่จนเกือบแห้ง สังเกตและบันทึกผลการเปลี่ยนแปลง ตารางบันทึกผลการทดลอง หลอดทดลองขนาดใหญ่ หลอดทดลองขนาดเล็ก ก่อนการกลั่น บรรจุสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีสารบรรจุอยู่ในหลอดทดลอง หลังการกลั่น เกิดผลึกของแข็ง สีขาว บรรจุของเหลวใส ไม่มีสี วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 3 เรื่อง การกลั่นแบบธรรมดา ** เฉลยใบกิจกรรมสำหรับครูผู้สอน **


อภิปรายและสรุปผลการทดลอง เมื่อต้มสารละลายโซเดียมคลอไรด์ในหลอดทดลองจนเกือบแห้ง หลอดทดลองขนาดใหญ่จะเหลือแต่ของแข็งสี ขาว คือ โซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง ส่วนหลอดทดลองขนาดกลางจะมีของเหลวที่กลั่นได้ คือ น้ำ เนื่องจากน้ำมีจุด เดือดต่ำกว่าโซเดียมคลอไรด์ จึงระเหยกลายเป็นไอ และควบแน่นกลับเป็นน้ำอีกครั้ง เมื่อต้มสารละลายโซเดียมคลอไรด์จนเกือบแห้ง หลอดทดลองทั้ง 2 หลอด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หลอดทดลองขนาดใหญ่เหลือเฉพาะของแข็งสีขาว ส่วนหลอดทดลองขนาดกลางเป็นของเหลวใสที่ถูกกลั่น ออกมา เมื่อการกลั่นสิ้นสุดลง หลอดทดลองแต่ละหลอดประกอบด้วยสารชนิดใด เมื่อการกลั่นสิ้นสุดลง หลอดทดลองขนาดใหญ่เหลือผลึกเกลือแกงหรือโซเดียมคลอไรด์ ส่วนหลอดทดลอง ขนาดกลางเป็นน้ำที่ถูกกลั่นออกมา การแยกสารโดยวิธีการกลั่นแบบธรรมดามีหลักการอย่างไร การกลั่นแบบธรรมดา ใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวทำละลายที่เป็นสารระเหยง่าย และมีจุดเดือดต่ำ ออกจากตัวละลายที่เป็นสารระเหยยากและมีจุดเดือดสูง โดยการกลั่นแบบธรรมดาจะอาศัยการระเหยและการ ควบแน่นของตัวทำละลายเพียงครั้งเดียว ทำให้สามารถแยกตัวทำละลายออกจากสารละลายได้ ค ำถำมหลังกิจกรรม


ใบงานที่ 2.3 การกลั่น คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. จงอธิบายหลักการแยกสารโดยการกลั่นประเภทต่าง ๆ ต่อไปนี้ - การกลั่นแบบธรรมดา ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ - การกลั่นแบบไอน้ำ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ - การกลั่นลำดับส่วน ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ 2. จากภาพที่กำหนดให้เป็นการกลั่นประเภทใด และหมายเลข 1-6 คืออะไร …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… 3. จงเรียงลำดับสารที่ถูกแยกโดยการกลั่นลำดับส่วน จากส่วนล่างของหอกลั่นไปยังส่วนบนของหอกลั่น ดังนี้ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น แก๊สปิโตรเลียม น้ำมันเตา .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1 2 3 4 5 6


ใบงานที่ 2.2 เฉลย การกลั่น คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. จงอธิบายหลักการแยกสารโดยการกลั่นประเภทต่าง ๆ ต่อไปนี้ - การกลั่นแบบธรรมดา ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ - การกลั่นแบบไอน้ำ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ - การกลั่นลำดับส่วน ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ 2. จากภาพที่กำหนดให้เป็นการกลั่นประเภทใด และหมายเลข 1-6 คืออะไร …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… 3. จงเรียงลำดับสารที่ถูกแยกโดยการกลั่นลำดับส่วน จากส่วนล่างของหอกลั่นไปยังส่วนบนของหอกลั่น ดังนี้ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น แก๊สปิโตรเลียม น้ำมันเตา .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1 2 3 4 5 6 ใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวทำละลายเป็นสารระเหยง่ายและมีจุดเดือดต่ำ ออกจากตัวทำละลาย ที่เป็นสารระเหยยากและมีจุดเดือดสูง ซึ่งจุดเดือดควรต่างกันอย่างน้อย 30 องศาเซลเซียสขึ้นไป เช่น การกลั่นแยกน้ำออกจากสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ใช้แยกสารที่มีจุดเดือดต่ำ ระเหยง่าย และไม่ละลายน้ำ ออกจากสารที่ระเหยยาก โดยอาศัยความดันจาก ไอน้ำทำให้สารเดือดกลายเป็นไอ ซึ่งสารจะถูกกลั่นและควบแน่นออกมาพร้อมกับไอน้ำ แต่สารที่ได้จาก การกลั่นจะแยกออกเป็น 2 ชั้น เช่น การกลั่นน้ำมันหอมระเหย ใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยสารที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกัน หรือแยกสารละลายที่มีตัวทำละลายและ ตัวละลายเป็นสารระเหยง่ายทั้งคู่ เช่น การกลั่นแยกเอทิลแอลกอฮอล์ออกจากน้ำ การกลั่นน้ำมันดิบ การกลั่นแบบธรรมดา ซึ่งสารที่มีจุดเดือดต่ำจะระเหย กลายเป็นไอออกมาก่อน และควบแน่นกลับเป็น ของเหลวอีกครั้ง ซึ่งเป็นการกลั่นที่เกิดขึ้นครั้งเดียว โดย หมายเลข 1 คือ ขวดกลั่นบรรจุสารที่ต้องการกลั่น หมายเลข 2 คือ เทอร์มอมิเตอร์ หมายเลข 3 คือ ทาง น้ำออก หมายเลข 4 คือ เครื่องควบแน่นซึ่งทำให้สารที่ ระเหยเป็นไอควบแน่นกลับเป็นของเหลว หมายเลข 5 คือ ทางน้ำเข้า และหมายเลข 6 คือ สารที่ได้จากการ กลั่นซึ่งจะมีจุดเดือดต่ำกว่าสารในขวดกลั่น สารที่ถูกกลั่นออกมาจากส่วนล่างของหอกลั่นเป็นสารที่มีจุดเดือดสูง ส่วนสารที่ถูกกลั่นออกมาจากส่วนบนของ หอกลั่นเป็นสารที่มีจุดเดือดต่ำกว่า ซึ่งสามารถเรียงลำดับสารที่ถูกกลั่นจากส่วนล่างของหอกลั่นไปยังส่วนบน ของหอกลั่นได้ คือ น้ำมันเตา น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน แก๊สปิโตรเลียม


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเรียนรู้ที่2 เรื่อง โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ เวลา 3 ชั่วโมง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสาร ละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.2/1 อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟี แบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.1 ม.2/2 แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทำละลาย 2. จุดประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 2.1 ความรู้(K) 1. อธิบายการแยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษได้ (K) 2. คำนวณอัตราการเคลื่อนที่ของสาร (Rf) ได้ (K) 2.2 ทักษะ/กระบวนการ/กระบวนการคิด (P) 1. แยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษได้ (P) 2. ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง (P) 2.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) 1. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A) 2. ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด โครมาโทกราฟีแบบกระดาษใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยสารมากกว่า 1 ชนิด ออกจากกัน โดยอาศัย ความสามารถในการละลายของสารในตัวทำละลายและการถูกดูดซับบนตัวดูดซับที่แตกต่างกันทำให้สารแต่ละชนิดถูก แยกออกจากกัน ซึ่งระยะทางที่สารแต่ละชนิดเคลื่อนที่บนตัวดูดซับสามารถนำมาหาอัตราการเคลื่อนที่ของสาร (Rf) ได้ จากสูตร อัตราการเคลื่อนที่ของสาร = ระยะทางที่สารเคลื่อนที่ / ระยะทางที่ตัวทำละลายเคลื่อนที่


4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความรู้ (K) โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ 4.2 ทักษะที่สำคัญ (P) - การแยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ 4.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 4.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) รักชาติ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่ความรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L) (จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน) ทักษะ 3R Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) ทักษะ 8C Critical Thinking and Problem Solving : ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา Creativity and Innovation : ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม Collaboration Teamwork and Leadership : ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ Cross-cultural Understanding : ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ Communications Information and Media Literacy : ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ Computing and ICT Literacy : ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร Career and Learning Skills : ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ Compassion : มีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มีระเบียบวินัย ทักษะ 2L Learning Skills : ทักษะการเรียนรู้ Leadership : ภาวะผู้นำ


7. การบูรณาการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 7.1 ความพอประมาณ การใช้อุปกรณ์และสารเคมีในการทดลองอย่างพอเหมาะ 7.2 ความมีเหตุผล ตอบคำถามและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างมีเหตุผล การปฏิบัติกิจกรรมอย่างมีเหตุผล 7.3 การมีภูมิคุ้มกัน การเชื่อมโยงสาระความรู้กับแนวทางการประกอบอาชีพในอนาคต 7.4 เงื่อนไขความรู้ การแยกสารโดยกระบวนการโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ 7.5 เงื่อนไขคุณธรรม การปฏิบัติกิจกรรมด้วยความซื่อสัตย์และมีวินัย 7.6 4 มิติ 7.6.1 ด้านเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงสาระความรู้กับการประกอบอาชีพและเศรษฐกิจของประเทศ 7.6.2 ด้านสังคม - 7.6.3 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - 7.6.4 ด้านวัฒนธรรม - 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำ ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูตั้งคำถามทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนว่า “สารละลายที่เป็นสารเนื้อเดียวจะสามารถแยกตัวละลาย ออกจากตัวทำละลายได้อย่างไร” (แนวตอบ : คำตอบของนักเรียนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น ใช้การกลั่น โดยการให้ความร้อนกับสารละลาย ซึ่งสารที่มีจุดเดือดต่ำกว่าจะระเหยกลายเป็นไอออกมาก่อน และจะควบแน่นกลับเป็นของเหลวอีกครั้งจึงสามารถ แยกตัวละลายออกจากตัวทำละลายได้) 2. จากนั้นครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่การเรียนการสอนว่า “โครมาโทกราฟีเป็น วิธีการแยกสารผสมที่มีสมบัติอย่างไร” (แนวตอบ : คำตอบของนักเรียนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น โครมาโทกราฟีเป็นวิธีการแยกส่วนประกอบของ สารละลายที่มีองค์ประกอบมากกว่า 2 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่มีสี และมีปริมาณน้อย ๆ)


ขั้นสอน ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 1. นักเรียนศึกษา เรื่อง การแยกสารโดยโครมาโทกราฟีที่อาศัยสมบัติของสาร 2 ประการ และหน้าที่ของตัวดูด ซับและตัวทำละลายจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม 2. นักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ จากนั้นศึกษาเกี่ยวกับหลักการของโครมาโทรกราฟีแบบกระดาษว่ามี หลักการอย่างไร และมีการคำนวณหาอัตราการเคลื่อนที่ของสารอย่างไร เพื่อได้ให้ค่าเฉพาะของสาร โดยวัดระยะทางที่ ตัวทำละลายและสารสีต่าง ๆ เคลื่อนที่ได้และนำไปคำนวณ ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 3. ครูสุ่มนักเรียน 4-5 คู่ออกมาอธิบายเกี่ยวกับหลักการของโครมาโทรกราฟีแบบกระดาษ และการคำนวณหา อัตราการเคลื่อนที่ของสาร จากสูตร อัตราการเคลื่อนที่ของสาร () = ระยะทางที่สารเคลื่อนที่ (ซม. ) ระยะทางที่ตัวทำละลายเคลื่อนที่ (ซม. ) 4. ครูถามคำถามนักเรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - การแยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษใช้สำหรับแยกสารประเภทใด (แนวตอบ : แยกสารละลายที่ประกอบด้วยสารมากกว่า 1 ชนิด ออกจากกัน) - ตัวทำละลายและตัวดูดซับมีหน้าที่ในการแยกสารโดยวิธีโครมาโทกราฟีแบบกระดาษอย่างไร (แนวตอบ : ตัวทำละลายทำหน้าที่ละลายและพาสารให้เคลื่อนที่ ส่วนตัวดูดซับทำหน้าที่ดูดซับสารและเป็นตัวกลางให้ สารเคลื่อนที่) ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 5. ทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แล้วเกี่ยวกับโครมาโทรกราฟีแบบกระดาษ 6. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คนหรือตามความเหมาะสม 7. นักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของอัตราการเคลื่อนที่ของสารจากหนังสือเรียน 8. ครูอธิบายกับนักเรียนว่า “อัตราการเคลื่อนที่ของสารขึ้นอยู่กับชนิดของตัวทำละลายและตัวดูดซับ ทำให้การ บอกอัตราการเคลื่อนที่ของสารแต่ละชนิดจำเป็นต้องบอกชนิดของตัวทำละลายและตัวดูดซับเสมอ” 9. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสังเกตและวิเคราะห์ตารางเปรียบเทียบสมบัติของสารที่มีอัตราการเคลื่อนที่ ของ สารที่แตกต่างกัน และโครมาโทรกราฟีแบบอื่น ๆ ซึ่งมีลักษณะการแยกสารที่แตกต่างกัน ดังนี้ - โครมาโทกราฟีแบบคอลัมภ์ (column chromatography) - โครมาโทกราฟีแบบชั้นบาง (thin layer chromatography) - โครมาโทกราฟีแบบแก๊ส (gas chromatograph) 10. ครูตั้งโจทย์เกี่ยวกับการหาอัตราการเคลื่อนที่ของสาร (Rf) เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคำนวณอัตราการเคลื่อนที่ ของสารด้วยตนเอง แล้วสุ่มเลือกนักเรียนออกมาแสดงวิธีการหาค่า Rf บริเวณหน้าชั้นเรียนโดยใช้คำถาม ดังนี้ - จงหาค่า Rf ของสาร A B และ C จากการแยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษซึ่งสาร A B และ C เคลื่อนที่เป็น ระยะทาง 2.8 1.6 และ 5.8 เซนติเมตร และตัวทำละลายเคลื่อนที่เป็นระยะทาง 6.4 เซนติเมตร


(แนวตอบ : สาร A มีอัตราการเคลื่อนที่ = 2.8/6.4 = 0.44 สาร B มีอัตราการเคลื่อนที่ = 1.6/6.4 = 0.25 สาร C มีอัตราการเคลื่อนที่ = 5.8/6.4 = 0.91 ) - จงเรียงลำดับความสามารถในการละลายของสาร A B C และ D ในเอทิลแอลกอฮอล์ที่ได้จากการแยกสารโดยโคร มาโทกราฟีแบบกระดาษ ซึ่งสารแต่ละชนิดเคลื่อนที่เป็นระยะทาง 1.4 0.7 5.3 และ 2.6 เซนติเมตร ตามลำดับ ขณะที่ เอทิลแอลกอฮอล์เคลื่อนที่เป็นระยะทาง 7.3 เซนติเมตร (แนวตอบ : สาร A มีอัตราการเคลื่อนที่ = 1.4/7.3 = 0.19) สาร B มีอัตราการเคลื่อนที่ = 0.7/7.3 = 0.10 สาร C มีอัตราการเคลื่อนที่ = 5.3/7.3 = 0.73 สาร D มีอัตราการเคลื่อนที่ = 2.6/7.3 = 0.36 ดังนั้น สาร C มีความสามารถในการละลายในเอทิลแอลกอฮอล์ได้ดีที่สุด รองลงมา คือ สาร D สาร A และ สาร B ตามลำดับ) - สารชนิดใดถูกดูดซับบนตัวดูดซับได้มากและน้อยที่สุด โดยสาร A B C และ D มีระยะทางในการเคลื่อนที่บนกระดาษ โครมาโทกราฟีเท่ากับ 1.8 2.6 0.8 และ 2.4 เซนติเมตร ตามลำดับ (แนวตอบ : สารที่มีระยะทางในการเคลื่อนที่บนตัวดูดซับมาก แสดงว่า ถูกดูดซับบนตัวดูดซับได้น้อย ดังนั้น สาร B จึง ถูกดูดซับบนตัวดูดซับได้น้อยที่สุด ในทางตรงกันข้าม สารที่มีระยะทางในการเคลื่อนที่บนตัวดูดซับน้อย แสดงว่า ถูกดูด ซับบนตัวดูดซับได้มาก ดังนั้น สาร C จึงถูกดูดซับบนตัวดูดซับได้มากที่สุด) ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 11. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการแยกสารโดยวิธีโครมาโทกราฟีแบบกระดาษเพื่อให้ได้ข้อสรุป ร่วมกัน ดังนี้ โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเป็นการแยกสารละลายที่ประกอบด้วยสารมากกว่า 1 ชนิด ออกจากกัน โดย อาศัยความสามารถในการละลายของสารในตัวทำละลายและการถูกดูดซับบนตัวดูดซับที่แตกต่างกัน ซึ่งสารที่มี ความสามารถในการละลายสูงและถูกดูดซับจากตัวดูดซับน้อยจะมีค่าอัตราการเคลื่อนที่ของสาร (Rf) มาก ชั่วโมงที่ 3 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 12. ทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แล้วเกี่ยวกับการคำนวณหาอัตราการเคลื่อนที่ของสาร 13. นักเรียนศึกษาการแยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ โดยใช้ใช้วีดิทัศน์จากสื่อออนไลน์เช่น - Paper Chromatography - MeitY OLabs - Paper Chromatography - Chemistry Experiment with Mr Pauller 14. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน เพื่อทำกิจกรรมการแยกสารในสีผสมอาหาร เพื่อให้นักเรียนสามารถ แยกสารด้วยวิธีโครมาโทกราฟีแบบกระดาษได้ 15. ครูแนะนำอุปกรณ์การแยกสารในสีผสมอาหาร ที่ประกอบด้วย น้ำ กระจกนาฬิกา บีกเกอร์ กระดาษกรอง สีผสมอาหาร หลอดคาปิลลารี แท่งแก้วคนสาร 16. นักเรียนดำเนินการแยกสารในสีผสมอาหารตามวิธีการทดลองในใบกิจกรรมที่ 4 เรื่อง การแยกสารในสี ผสมอาหารโดยโครมาโทกราฟีและบันทึกผลการทดลอง อภิปรายผลการทดลอง และตอบคำถามท้ายการทดลอง


ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 17. นักเรียนออกมานำเสนอผลการทำกิจกรรมการแยกสารในสีผสมอาหารบริเวณหน้าชั้นเรียน 18. จากนั้นครูสุ่มนักเรียนเพื่อตอบคำถามท้ายทำกิจกรรม โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - การทดสอบในตัวทำละลายแต่ละชนิดให้ผลเหมือนกันหรือไม่อย่างไร (แนวตอบ : ตัวทำละลายแต่ละชนิดอาจให้ผลการทดสอบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายในตัวทำ ละลายของสีผสมอาหารที่นำมาทดสอบ) - หากเกิดแถบสีขึ้นเพียงแถบเดียว นักเรียนจะสรุปผลว่าอย่างไร (แนวตอบ : หากเกิดแถบสีขึ้นเพียงแถบเดียว อาจสรุปว่า สีผสมอาหารประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียวหรือตัวทำ ละลายและตัวดูดซับไม่สามารถละลายและดูดซับสารได้) - หากเกิดแถบสีขึ้นเพียงแถบเดียว นักเรียนจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร (แนวตอบ : เปลี่ยนตัวดูดซับ หรือเปลี่ยนตัวทำละลาย หรือเปลี่ยนทั้งตัวดูดซับและตัวทำละลาย) 19. นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายผลการทำกิจกรรมการแยกสารในสีผสมอาหารเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้ หากปรากฏแถบสีบนกระดาษโครมาโทกราฟีมากกว่า 1 สี แสดงว่า สีผสมอาหารประกอบด้วยสารมากกว่า 1 ชนิด (ตามจำนวนสีที่ปรากฏบนกระดาษโครมาโทกราฟี) แต่หากปรากฏแถบสีบนกระดาษโครมาโทกราฟีเพียง 1 สี แสดงว่า สีผสมอาหารอาจประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว หรือตัวทำละลายและตัวดูดซับไม่สามารถละลายและดูดซับสารได้ ซึ่งนักเรียนสามารถแก้ไขโดยการเปลี่ยนตัวดูดซับ เปลี่ยนตัวทำละลาย หรือเปลี่ยนทั้งตัวดูดซับและตัวทำละลาย ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 20. นักเรียนทำใบงานที่ 2.4 เรื่อง การหาอัตราการเคลื่อนที่ของสาร โดยให้นักเรียนตอบคำถามให้ถูกต้อง 21. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ช่วยทบทวนเนื้อหาและตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน (Exercise 2.4) 22. ครูถามคำถามสำคัญกับนักเรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - เมื่อนำสารละลายชนิดหนึ่งมาแยกโดยวิธีโครมาโทกราฟี พบว่า ประกอบด้วยสาร 3 ชนิดได้แก่ สาร A สาร B และสาร C โดยสาร A ละลายในตัวทำละลายได้ดีที่สุด รองลงมา คือ สาร C และสาร B ตามลำดับ จงเรียงลำดับการถูกดูดซับ ด้วยตัวดูดซับของสาร A B และ C จากมากไปน้อย และสารชนิดใด จะมีค่า Rf สูงสุด และต่ำสุด เพราะเหตุใด (แนวตอบ : สาร B ถูกดูดซับบนตัวดูดซับได้มากที่สุด รองลงมา คือ สาร C และ A ตามลำดับ สาร A มีค่า Rf มากที่สุด รองลงมา คือ สาร C และ B ตามลำดับ) ขั้นสรุป ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) 23. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ โดยมีประเด็น ดังนี้ - หลักการโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ - การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ 24. ครูตรวจสอบและประเมินผลดังนี้ - ตรวจสอบผลการทดลองการแยกสารโดยโครมาโทกราฟี - ตรวจสอบความถูกต้องจากใบกิจกรรมที่ 4 เรื่อง การแยกสารในสีผสมอาหารโดยโครมาโทกราฟี - ตรวจสอบความถูกต้องจากใบงานที่ 2.4 การหาอัตราการเคลื่อนที่ของสาร


- ตรวจสอบผลการทำกิจกรรม Exercise 2.4 ของนักเรียน - สังเกตการตอบคำถาม การทำกิจกรรม กระบวนการกลุ่ม และการนำเสนอผลงานของนักเรียน 9. สื่อการสอน 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1 2. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint 3. แบบฝึกทักษะ 4. ใบกิจกรรมที่ 4 เรื่อง การแยกสารในสีผสมอาหารโดยโครมาโทกราฟี 5. ใบงานที่ 2.4 เรื่อง การหาอัตราการเคลื่อนที่ของสาร 6. อุปกรณ์การแยกสารในสีผสมอาหาร 10. แหล่งเรียนรู้ในหรือนอกสถานที่ 1. ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ 2. อินเทอร์เน็ต


11. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 11.1 การประเมินระหว่าง การจัดกิจกรรม 1) โครมาโทกราฟี - การตอบคำถามใน ระหว่างการเรียน - การบันทึกผลและการ ตอบคำถามในใบ กิจกรรมที่ 4 - ตรวจ Exercise 2.4 - ตรวจใบงานที่ 2.4 - คำถามจากครูผู้สอน - ใบกิจกรรมที่ 4 เรื่อง การ การแยกสารในสีผสม อาหารโดยโครมาโทกราฟี - Exercise 2.4 - - ใบงานที่ 2.4 - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ 2) การปฏิบัติการ - ประเมินการปฏิบัติการ - แบบประเมินการ ปฏิบัติการ - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 3) พฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 4) พฤติกรรมการทำงาน รายกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 5)การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - แบบประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 6)คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ระดับคุณภาพพอใช้ ขึ้นไปผ่านเกณฑ์ 12. กิจกรรมเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


13. บันทึกผลการเรียนรู้ และข้อเสนอแนะ 13.1 ผลการจัดการเรียนรู้ 13.1.1 ด้านความรู้ (K) 1) อธิบายการแยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) คำนวณอัตราการเคลื่อนที่ของสาร (Rf) ได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.2 ด้านทักษะที่สำคัญ (P) 1) แยกสารโดยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษได้ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1) มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ผู้เรียนที่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.1.4 ด้านสมรรถนะ (C) 1) ความสามารถในการสื่อสาร ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 2) ความสามารถในการคิด ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................


3) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ผู้เรียนที่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ ผู้เรียนที่ไม่เกิดสมรรถนะ มีจำนวน....................คน คิดเป็นร้อยละ................ 13.2 ปัญหา อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 13.3 แนวทางแก้ไขปัญหา / ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ............................................................. (นางสาวจิรนันท์ ทนงยิ่ง) ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย


QR code สื่อวิดีทัศน์ออนไลน์ Paper Chromatography - MeitY OLabs Paper Chromatography - Chemistry Experiment with Mr Pauller


จุดประสงค์ เพื่อแยกสารในสีผสมอาหารโดยวิธีโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ วัสดุอุปกรณ์ 1. บีกเกอร์ขนาด 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร จำนวน 3 ใบ 6. สีผสมอาหาร 2. กระจกนาฬิกา 7. เอทิลแอลกอฮอล์ 3. หลอดคะปิลลารี 8. กระดาษโครมาโทกราฟี 4. กระบอกตวง 9. น้ำ 5. สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 1 โดยมวลต่อปริมาตร วิธีปฏิบัติ 1. ใส่น้ำ เอทิลแอลกอฮอล์ และสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ลงในบีกเกอร์แต่ละใบ โดยให้ของเหลวมีระดับ ความสูงจากก้นบีกเกอร์ประมาณ 1 เซนติเมตร 2. ตัดกระดาษโครมาโทกราฟีกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร ขีดเส้นแสดงจุดเริ่มต้นของสาร โดยให้สูง จากขอบกระดาษด้านล่าง 1 เซนติเมตร แล้วใช้หลอดคะปิลลารีจุ่มสีผสมอาหารและแตะลงบนกระดาษโครมาโทกราฟี ทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้งที่จุดเดิม 3. ติดเทปกาวใสบนกระดาษโครมาโทกราฟีที่ปลายด้านตรงข้ามกับบริเวณที่มีจุดสี แล้วนำไปติดกับกึ่งกลาง ด้านล่างของกระจกนาฬิกา 4. ปิดบีกเกอร์ด้วยกระจกนาฬิกาที่ติดกระดาษโครมาโทกราฟีโดยให้กระดาษด้านที่มีจุดสีจุมลงในของเหลวที่ อยู่ในบีกเกอร์แต่จุดสีอยู่เหนือระดับผิวของเหลว 5. สังเกตการเคลื่อนที่ของสีที่ปรากฏบนกระดาษกรอง และคำนวณค่า Rf ของสารแต่ละสี อภิปรายและสรุปผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 4 เรื่อง การแยกสารในสีผสมอาหารโดยโครมาโทกราฟี ชื่อ-สกุล……………………………………………….………………. ชั้น/ห้อง ……..……. เลขที่ …………....


คำนวณค่า Rf ของสารแต่ละสีจากผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สีผสมอาหารที่นำมาทดสอบประกอบด้วยสารกี่ชนิด ทราบได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การทดสอบในตัวทำละลายแต่ละชนิดให้ผลการทดสอบเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… โครมาโทกราฟีมีหลักการอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค ำถำมหลังกิจกรรม


จุดประสงค์ เพื่อแยกสารในสีผสมอาหารโดยวิธีโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ วัสดุอุปกรณ์ 1. บีกเกอร์ขนาด 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร จำนวน 3 ใบ 6. สีผสมอาหาร 2. กระจกนาฬิกา 7. เอทิลแอลกอฮอล์ 3. หลอดคะปิลลารี 8. กระดาษโครมาโทกราฟี 4. กระบอกตวง 9. น้ำ 5. สารละลายโซเดียมคลอไรด์เข้มข้นร้อยละ 1 โดยมวลต่อปริมาตร วิธีปฏิบัติ 1. ใส่น้ำ เอทิลแอลกอฮอล์ และสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ลงในบีกเกอร์แต่ละใบ โดยให้ของเหลวมีระดับ ความสูงจากก้นบีกเกอร์ประมาณ 1 เซนติเมตร 2. ตัดกระดาษโครมาโทกราฟีกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร ขีดเส้นแสดงจุดเริ่มต้นของสาร โดยให้สูง จากขอบกระดาษด้านล่าง 1 เซนติเมตร แล้วใช้หลอดคะปิลลารีจุ่มสีผสมอาหารและแตะลงบนกระดาษโครมาโทกราฟี ทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้งที่จุดเดิม 3. ติดเทปกาวใสบนกระดาษโครมาโทกราฟีที่ปลายด้านตรงข้ามกับบริเวณที่มีจุดสี แล้วนำไปติดกับกึ่งกลาง ด้านล่างของกระจกนาฬิกา 4. ปิดบีกเกอร์ด้วยกระจกนาฬิกาที่ติดกระดาษโครมาโทกราฟีโดยให้กระดาษด้านที่มีจุดสีจุมลงในของเหลวที่ อยู่ในบีกเกอร์แต่จุดสีอยู่เหนือระดับผิวของเหลว 5. สังเกตการเคลื่อนที่ของสีที่ปรากฏบนกระดาษกรอง และคำนวณค่า Rf ของสารแต่ละสี อภิปรายและสรุปผลการทดลอง เมื่อนำสีผสมอาหารมาแยกโดยวิธีโครมาโทกรแบบกระดาษ หากมีแถบปรากฏมากกว่า 1 สี แสดงว่าสีผสม อาหารประกอบด้วยสารมากกว่า 1 ชนิด แต่หากมีแถบปรากฏเพียงสีเดียว แสดงว่าสีผสมอาหารอาจประกอบด้วยสาร เพียงชนิดเดียว หรือตัวทำละลายและตัวดูดซับไม่สามารถละลายและดูดซับสารได้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนตัว วิชา วิทยาศาสตร์ (ว22101) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การแยกสารผสม กิจกรรมที่ 4 เรื่อง การแยกสารในสีผสมอาหารโดยโครมาโทกราฟี ** เฉลยใบกิจกรรมสำหรับครูผู้สอน **


ดูดซับเปลี่ยนตัวทำละลาย หรือเปลี่ยนทั้งตัวดูดซับและตัวทำละลาย นอกจากนั้น ตัวทำละลายที่แตกต่างกันอาจทำให้ แถบสีที่ปรากฏบนตัวดูดซับแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายของสารในตัวทำละลายแต่ละชนิด คำนวณค่า Rf ของสารแต่ละสีจากผลการทดลอง ……………… ขึ้นอยู่กับผลการทำกิจกรรมของนักเรียน …………………………………………………………………………………..……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สีผสมอาหารที่นำมาทดสอบประกอบด้วยสารกี่ชนิด ทราบได้อย่างไร คำตอบขึ้นอยู่กับผลการทำกิจกรรมของนักเรียน การทดสอบในตัวทำละลายแต่ละชนิดให้ผลการทดสอบเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร คำตอบขึ้นอยู่กับผลการทำกิจกรรมของนักเรียน เช่น ตัวทำละลายแต่ละชนิดอาจให้ผลการทดสอบที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายในตัวทำละลายของสีผสมอาหารที่นำมาทดสอบ โครมาโทกราฟีมีหลักการอย่างไร โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ เป็นการแยกสารละลายที่ประกอบด้วยสารมากกว่า 1 ชนิด ออกจากกัน โดย อาศัยความสามารถในการละลายของสารในตัวทำละลาย และการถูกดูดซับบนตัวดูดซับที่แตกต่างกัน เนื่องจากสารแต่ ละชนิดมีความสามารถในการละลายและเคลื่อนที่บนตัวดูดซับได้แตกต่างกัน ค ำถำมหลังกิจกรรม


Click to View FlipBook Version