The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เล่มที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thatchapongpat, 2022-06-07 03:12:38

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เล่มที่ 2

คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เล่มที่ 2

คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 ส่งิ ตาง ๆ รอบตวั เรา 64

แนวคาํ ตอบในแบบบนั ทึกกจิ กรรม

การสํารวจความรูกอนเรยี น นักเรียนอาจตอบคําถามถูกหรือผิดก็ไดขึ้นอยกู บั ความรเู ดิมของนักเรยี น
แตเ มื่อเรยี นจบบทเรียนแลว ใหนกั เรียนกลบั มาตรวจสอบคําตอบอกี ครั้งและแกไขใหถูกตอง ดังตัวอยาง

เกิดการสนั่
เกดิ การสน่ั
เกดิ การสั่น

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

65 คมู ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 ส่ิงตา ง ๆ รอบตวั เรา

 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 ส่งิ ตา ง ๆ รอบตัวเรา 66

เรือ่ งท่ี 1 เสียงรอบตัวเรา

ในเรือ่ งน้นี ักเรยี นจะไดเรียนรเู ก่ียวกับการเกิดเสียง
และทศิ ทางการเคลื่อนทข่ี องเสียงจากแหลงกําเนิดเสยี ง

จุดประสงคก ารเรียนรู

1. อธิบายและบอกประเภทของแหลง กําเนิดเสยี ง
2. สังเกตและบรรยายการเกดิ เสียงของวตั ถตุ า ง ๆ
3. สังเกตและบรรยายทิศทางการเคลื่อนท่ีของเสียง

จากแหลง กาํ เนิดเสียง
4. สรางแบบจําลองและอธิบายทิศทางการเคลื่อนท่ี

ของเสยี งจากแหลง กาํ เนิดเสยี ง

เวลา 5 ชว่ั โมง

วสั ดุ อุปกรณสําหรับทํากจิ กรรม

บัตรภาพแหลงกําเนิดเสียง สอมเสียงพรอมไมเคาะ
ไหมพรมหรือเชือก แหลงกําเนิดเสียงอ่ืน ๆ เชน เคร่ือง
ดนตรตี า ง ๆ

สือ่ การเรียนรแู ละแหลง เรียนรู หนา 26-32
หนา 28-39
1. หนังสอื เรียน ป.1 เลม 2
2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.1 เลม 2

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

67 คมู อื ครูรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั เรา

แนวการจดั การเรียนรู (60 นาที)

ขน้ั ตรวจสอบความรู (10 นาท)ี

1. นกั เรียนทุกคนหลบั ตาและฟงเสยี งท่ีครูจะทาํ ขึน้ เชน เคาะแกว เปดเสียง ในการตรวจสอบความรู ครู
นาฬิกาปลุก ทําใหลูกโปงแตก ส่ันกระด่ิง ทําของตกลงบนโตะ จากน้ัน เพียงรับฟงเหตุผลของนักเรียนและ
สนทนาเกยี่ วกบั เสียงทไี่ ดย ินโดยใชคาํ ถาม ดังน้ี ยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ แตชักชวน
1.1 เสียงตาง ๆ ที่ไดยินนั้นเกิดจากวัตถุใด (นักเรียนตอบตามความ ใหนักเรียนไปหาคําตอบดวยตนเอง
เขาใจของตนเอง เชน เสียงเคาะแกวเกิดจากการท่ีไมไปกระทบกับ จากการอานเนอ้ื เรื่อง
แกว )
1.2 เสียงท่ีไดยินเกิดข้ึนไดอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของ
ตนเอง เชน เกิดจากการเคาะ ตี สั่น)

ขนั้ ฝก ทกั ษะจากการอา น (30 นาท)ี

2. นักเรยี นอานช่ือเรือ่ ง และคําถามในคดิ กอนอาน ในหนังสือเรียนหนา 26
จากนั้นตอบคําถามตามความเขาใจของตนเอง ครูบันทึกคําตอบของ
นักเรียนบนกระดานเพ่ือใชเปรียบเทียบกับคําตอบหลังจากการอานเนื้อ
เรื่อง

3. ครูใหนักเรียนอานคําศัพทในคําสําคัญ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
(หากนักเรียนอานไมได ครูควรสอนการอานใหถูกตอง) ครูชักชวนให
นกั เรยี นหาความหมายของคาํ ตา ง ๆ จากเนอ้ื เรอื่ งที่อา น

4. นักเรียนอานเน้ือเร่ืองตามวิธีการอานที่เหมาะสมกับความสามารถของ
นกั เรียน จากน้นั รวมกันอภปิ รายใจความสาํ คญั ตามแนวคาํ ถาม ดังนี้
4.1 นักเรียนไดยินเสียงอะไรบางตั้งแตตื่นนอนตอนเชา (เสียงนาฬิกา
ปลกุ เสียงเรียกของแม เสยี งนกรอง เสยี งกระดง่ิ ของรถขายขนม)
4.2 แหลงกาํ เนดิ เสียงคืออะไร (สง่ิ ทที่ าํ ใหเ กิดเสียง)
4.3 ประเภทของแหลงกําเนิดเสียงมีอะไรบาง (แหลงกําเนิดเสียงตาม
ธรรมชาตแิ ละแหลงกาํ เนิดเสยี งท่มี นุษยส รางขึน้ )

 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูม อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 สิ่งตาง ๆ รอบตัวเรา 68

ข้ันสรุปจากการอา น (60 นาท)ี การเตรียมตัวลวงหนา สาํ หรับครู
เพอื่ จดั การเรียนรใู นครง้ั ถัดไป
5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายจนไดขอสรุปจากเรื่องที่อานวา เสียง
ร อ บ ตั ว เ ร า มี ม า ก ม า ย โ ด ย ส่ิ ง ท่ี ทํ า ใ ห เ กิ ด เ สี ย ง เ รี ย ก ว า ในครง้ั ถดั ไป นักเรยี นจะไดท าํ กิจกรรมท่ี
แหลงกําเนิดเสียง ซ่ึงมีทั้งแหลงกําเนิดเสียงตามธรรมชาติและ 1.1 เสียงเกิดไดอยางไร ผานการสังเกต
แหลงกาํ เนดิ เสยี งท่มี นุษยสรา งข้ึน โดยครูตองเตรียมอุปกรณลวงหนา คือ
สอมเสียงพรอมไมเคาะ เพ่ือใหนักเรียน
6. นักเรียนตอบคําถามจากเรื่องที่อานในรูหรือยัง ในแบบบันทึก สังเกตการเกิดเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง
กิจกรรม หนา 28 และครูอาจเตรียมภาพแหลงกําเนิดเสียง
อื่น ๆ เชน ภาพนกรอง ภาพตนไผลูลม ฟา
7. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อเปรียบเทียบคําตอบของนักเรียน แลบ นํ้าตก ฉิ่ง กลอง รถจักรยานยนต
ในรูหรือยังกับคําตอบที่เคยตอบและบันทึกไวในคิดกอนอาน จากน้ัน วิทยุสําหรับใชในการอภิปรายเพ่ือนําเขาสู
ใหนักเรียนฝกเขียนคําวา แหลงกําเนิดเสียง ในเขียนเปน ในแบบ บทเรยี น
บันทึกกจิ กรรมหนา 28

8. ครูเนนย้ํากับนักเรียนเก่ียวกับคําถามทายเร่ืองที่อานวาเสียงตาง ๆ
เกิดข้ึนไดอยางไร และตองนั่งท่ีตําแหนงใดจึงจะไดยินเสียงดนตรี ครู
บันทึกคําตอบของนักเรียนบนกระดานโดยยังไมเฉลยคําตอบแต
ชักชวนใหน กั เรยี นไปหาคําตอบจากการทาํ กจิ กรรมตอ ไป

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

69 คูมอื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สิ่งตา ง ๆ รอบตัวเรา

แนวคาํ ตอบในแบบบันทกึ กจิ กรรม

สิง่ ท่ีทําใหเ กิดเสียง
แหลง กําเนิดเสียง
แหลงกาํ เนดิ เสยี ง

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สงิ่ ตาง ๆ รอบตวั เรา 70

กิจกรรมท่ี 1.1 เสยี งเกิดไดอยา งไร

กิจกรรมนี้นักเรียนจะไดสังเกตวาเสียงเกิดจากการส่ัน สื่อการเรยี นรูและแหลง เรียนรู
ของวัตถุที่เปนแหลงกําเนิดเสียง และบรรยายการเกิด
เสยี งของวตั ถุตา ง ๆ 1. หนังสือเรียน ป.1 เลม 2 หนา 27-28
2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.1 เลม 2 หนา 29-31
เวลา 2 ชว่ั โมง 3. ตวั อยา งวีดิทัศนปฏบิ ตั ิการวิทยาศาสตรเรื่องเสยี ง
จดุ ประสงคก ารเรียนรู
เกิดข้นึ ไดอยางไร http://ipst.me/8045
สงั เกตและบรรยายการเกิดเสียงของวัตถตุ าง ๆ

วสั ดุ อุปกรณส ําหรบั ทํากจิ กรรม
ส่งิ ที่ครูตอ งเตรียม/กลมุ

สอ มเสียงพรอ มไมเคาะ 1 ชุด

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร

S1 การสงั เกต
S8 การลงความเหน็ จากขอ มลู

ทกั ษะแหง ศตวรรษท่ี 21

C4 การสอ่ื สาร
C5 ความรว มมือ

สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

71 คูมือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 ส่งิ ตา ง ๆ รอบตัวเรา

แนวการจัดการเรียนรู ค รู รั บ ฟ ง เ ห ตุ ผ ล ข อ ง
นักเรียนเปนสําคัญ ครูยังไม
1. ครูตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียน โดยติดบัตรภาพแหลงกําเนิดเสียง เฉลยคําตอบใด ๆ แตชักชวนให
ตาง ๆ บนกระดาน มีทงั้ แหลง กาํ เนดิ เสียงตามธรรมชาติและแหลงกําเนิด หาคําตอบที่ถูกตองจากกิจกรรม
เสียงที่มนุษยส รางขึ้น (นํ้าตก ฉ่ิง กอไผลูตามลม กลอง นก ตา ง ๆ ในบทเรียน้ี
รถจักรยานยนต ฟาแลบ วิทยุ) จากน้นั สอบถามตามแนวคาํ ตอบตอ ไปนี้
1.1 สิ่งท่ีปรากฏในบัตรภาพน้ันสามารถทําใหเกิดเสียงไดหรือไม
อยา งไร (ได เชน นกรอ งทําใหเกิดเสียง การเสียดสีกันของตนไผทํา
ใหเ กิดเสียง ตกี ลองทําใหเกดิ เสียง)
1.2 สิ่งท่ที ําใหเ กิดเสยี ง เรียกอกี อยางวา อะไร (แหลงกําเนดิ เสยี ง)
1.3 นักเรียนสามารถจัดกลุมส่ิงที่ปรากฏในภาพไดก่ีกลุม อะไรบาง
(2 กลมุ คอื แหลง กาํ เนิดเสียงตามธรรมชาติ และแหลงกําเนิดเสียง
ทม่ี นุษยส รา งขนึ้ )
1.4 วัตถทุ ีเ่ ปน แหลง กําเนิดเสยี ง สามารถทาํ ใหเกิดเสียงไดอยางไร และ
ขณะเกิดเสียงน้ัน แหลงกําเนิดเสียงเปนอยางไร (นักเรียนตอบ
คําถามตามความเขาใจของตนเอง)

2. นักเรียน อานช่ือกิจกรรม และทําเปนคิดเปน ในหนังสือเรียน หนา 27
จากนัน้ ครตู รวจสอบความเขาใจของนกั เรยี น โดยอาจใชคําถาม ดังน้ี
2.1 กิจกรรมน้ีนักเรียนจะไดเรียนเกี่ยวกับเร่ืองอะไร (การเกิดเสียงของ
วัตถตุ าง ๆ)
2.2 นักเรียนจะไดเรียนเรอ่ื งนีด้ วยวธิ ีใด (การสังเกต)
2.3 เมื่อเรียนแลว นักเรียนจะทําอะไรได (บรรยายการเกิดเสียงของ
วัตถตุ าง ๆ)

3. นักเรียนบันทึกจุดประสงคของกิจกรรมลงในแบบบันทึกกิจกรรม หนา
29

4. นักเรียนอาน ส่ิงท่ีตองใช ในกิจกรรมน้ีวามีวัสดุอุปกรณอะไรบาง ครูยัง
ไมแ จกอุปกรณแกนกั เรียน แตนาํ มาแสดงเพ่ือใหนักเรียนบอกช่ืออุปกรณ
และวิธีใช ในกรณีที่นักเรียนไมรูจัก ครูควรบอกชนิดของวัสดุน้ันและ
แนะนําวิธีใชอุปกรณน้ัน ๆ ดวย เชน ในกิจกรรมนี้ ครูควรแนะนําวิธีใช
สอมเสียง โดยใหใ ชบ ริเวณท่ีเปน ยางของไมเคาะ เคาะทขี่ าสอ มเสียง

5. นักเรียนอาน ทําอยางไร ในหนังสือเรียน หนา 27 โดยใชวิธีการอานที่
เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากน้ันครูตรวจสอบความเขาใจ

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 3 สงิ่ ตาง ๆ รอบตัวเรา 72

เก่ียวกับขั้นตอนการทํากิจกรรมทีละข้ัน โดยอาจนําอภิปรายตามแนว
คาํ ถาม ดงั นี้
5.1 เม่อื ใชมือจับลําคอของตนเอง นักเรียนจะตองทําอะไร (สังเกตและ

เปรียบเทียบการเปล่ียนแปลงที่ลําคอขณะออกเสียงและไมออก
เสียง)
5.2 เมื่อใชไมเคาะสอมเสียง และนําสอมเสียงไวขางหูแลว นักเรียน
จะตองทําอะไรตอไป (ใชมือแตะขาสอมเสียงเบา ๆ ขณะท่ียังมี
เสียง แลว สงั เกตสง่ิ ที่เกดิ ขึน้ )
ครูอาจซักซอมความเขาใจใหตรงกันสําหรับการแตะสอมเสียง ซ่ึงครู
อาจสาธิตใหด ูหรืออาจใหนกั เรียนสาธิตวิธกี ารแตะสอ มเสียงก็ได

5.3 นักเรียนจะตองทําอะไรตอไปหลังจากเคาะสอมเสียงอีกครั้ง แลว
นําสอมเสียงไวขางหู (จับขาสอมเสียงใหสอมเสียงหยุดสั่นทันที
แลวสงั เกตสง่ิ ท่เี กิดขึ้น)

6. เมื่อนักเรียนเขาใจวิธีทํากิจกรรมในทําอยางไรแลว นักเรียนจะไดปฏิบัติ
ตามขนั้ ตอน ดังน้ี
6.1 สงั เกตการเปลี่ยนแปลงของลําคอตนเองขณะออกเสียงและไมออก
เสียง บันทึกผล (S1)
6.2 สังเกตส่ิงที่เกิดข้ึนเม่ือใชไมเคาะสอมเสียงใหเกิดเสียงแลวนําสอม
เสยี งไวข างหู จากนั้นใชมือแตะขาสอ มเสียงเบา ๆ บันทกึ ผล (S1)
6.3 สังเกตสิ่งท่ีเกิดข้ึนเม่ือใชไมเคาะสอมเสียงใหเกิดเสียง อีกคร้ัง
จากนั้นจบั ขาสอมเสียงใหส อ มเสยี งหยุดส่นั ทันที บนั ทกึ ผล (S1)
6.4 นักเรียนนําเสนอผลการสังเกตและรวมกันอภิปรายส่ิงท่ีเกิดขึ้น
จากนั้นรวมกันลงความเห็นจากขอมูลท่ีไดจากการทํากิจกรรม
เกย่ี วกับการเกิดเสยี ง (S8) (C2, C4, C5)

7. หลังจากทํากิจกรรมแลว ครูนําอภิปรายผลการทํากิจกรรม โดยใชคําถาม
ดังตอ ไปนี้
7.1 เมื่อใชมือสัมผัสบริเวณลําคอของตนเองขณะออกเสียงและไมออก
เสียง นักเรียนสังเกตพบอะไร (ขณะออกเสียง ลําคอจะสั่นและมี
เสยี ง แตข ณะที่ไมออกเสยี ง ลาํ คอจะไมส ่นั และไมเ กดิ เสยี ง)
7.2 เมื่อเคาะสอมเสียง แลวนําไปไวขางหู นักเรียนสังเกตพบอะไร
(ไดยนิ เสียง)

สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

73 คูมอื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 สิง่ ตา ง ๆ รอบตวั เรา

7.3 เมื่อเคาะสอมเสียง แลวนําไปไวขางหู จากน้ันใชมือแตะขา การเตรียมตัวลว งหนาสําหรับครู
เพอ่ื จดั การเรยี นรูในครง้ั ถัดไป
สอมเสียงเบา ๆ นักเรียนสังเกตพบอะไร (ขาสอมเสียงสั่นและมี
เสยี ง) ในคร้ังถัดไป นักเรียนจะไดทํากิจกรรม
ที่ 1.2 เสียงเคล่ือนที่ไปทิศทางใด โดยการ
7.4 เมือ่ เคาะสอมเสยี ง แลวนําไปไวขางหู จากนั้นใชมือจับขาสอมเสียง สังเกตทิศทางที่เสียงเคล่ือนท่ีไป ครูจะตอง
เตรียมอุปกรณ คือ แหลงกําเนิดเสียงซึ่ง
ใหหยุดสั่นทันที นักเรียนสังเกตพบอะไร (สอมเสียงหยุดสั่นและ อาจจะเปนสอมเสียงพรอมไมเคาะ หรือ
ไมไ ดยนิ เสียง) เครื่องดนตรีอื่น ๆ โดยครูควรทดสอบวา
แหลงกําเนิดเสียงท่ีจะนํามาใชทํากิจกรรม
7.5 จากกจิ กรรมนีแ้ หลง กําเนดิ เสยี งคอื อะไร (ลําคอ สอ มเสยี ง) นัน้ มีเสยี งดังเพียงพอที่จะใหนักเรียนสังเกต
ไดหรือไมและในกรณีท่ีใชสอมเสียงเปน
7.6 แหลงกําเนิดเสียงท้ัง 2 ชนิด ที่ใชในกิจกรรมนี้มีการเปล่ียนแปลง แหลงกําเนิดเสียง หากเสียงไมดังเพียงพอ
อยา งไรเม่อื เกิดเสยี ง (แหลง กาํ เนิดเสยี งจะเกิดการสนั่ ) ครูอาจเตรียมกลองกระดาษเปลาหรือโตะ
สําหรบั ชวยขยายเสียงจากสอ มเสยี งดวย
8. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายลงความเห็นโดยเช่ือมโยงกับส่ิงท่ีได

เรียนรูจากกจิ กรรมวา เสยี งเกิดจากการส่ันของแหลงกําเนิดเสียง โดยเม่ือ
แหลง กําเนิดเสียงส่ันจะเกิดเสียง และเม่ือแหลงกําเนิดเสียงหยุดส่ัน ก็จะ

ไมเ กดิ เสยี ง
9. นักเรียนรวมกันอภิปรายคําตอบในฉันรูอะไร โดยครูอาจเพ่ิมคําถามใน

การอภปิ รายเพอ่ื ใหไดแ นวคาํ ตอบท่ถี ูกตอง
10. นักเรียนสรุปส่ิงที่ไดเรียนรูในกิจกรรมนี้ จากน้ันนักเรียนอานสิ่งท่ีได

เรยี นรู เพื่อเปรยี บเทยี บกบั ขอ สรปุ ของตนเอง
11. นักเรียนตั้งคําถามในอยากรูอีกวา จากนั้นครูสุมนักเรียน 2-3 คน

นําเสนอคําถามของตนเองหนาช้นั เรียน

12. ครูนําอภิปรายเพ่ือใหนักเรียนทบทวนวาไดฝกทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรและทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21 ในข้นั ตอนใดบา ง

13. ครูอาจชักชวนนักเรียนรวมกันอภิปรายคําถามในชวนคิด ในหนังสือ
เรียน หนา 28 วาทําไมหนังกลองจึงตองขึงใหตึง นอกจากน้ีครูอาจให
นักเรียนรวมกันอภิปรายเลือกวัสดุสําหรับขึงกลอง ครูใหนักเรียนไป

สบื คน ขอมูลเพอ่ื หาคําตอบ โดยใชเวลานอกชว่ั โมงเรยี น

 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 3 ส่ิงตาง ๆ รอบตัวเรา 74

แนวคําตอบในแบบบันทึกกจิ กรรม

สังเกต บรรยาย

ลาํ คอสนั่
ลําคอไมส น่ั
ส่นั


สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

75 คมู อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 สิ่งตาง ๆ รอบตัวเรา

ลําคอ สอมเสยี ง
ส่ัน
ไมส ่ัน

สัน่
เสยี ง

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 สงิ่ ตา ง ๆ รอบตวั เรา 76
การสัน่

คําถามของนักเรยี นท่ีต้ังตามความอยากรขู องตนเอง
ทาํ ใหเกิดการสั่นไดงา ย

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

77 คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สิ่งตาง ๆ รอบตวั เรา

แนวการประเมินการเรียนรู

การประเมนิ การเรียนรขู องนักเรียนทําได ดังน้ี
1. ประเมนิ ความรเู ดิมจากการอภปิ รายในช้ันเรียน
2. ประเมนิ การเรยี นรูจากคําตอบของนกั เรียนระหวา งการจดั การเรยี นรูแ ละจากแบบบันทึกกิจกรรม
3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรและทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21 จากการทาํ กจิ กรรมของนักเรียน

การประเมนิ จากการทาํ กิจกรรมท่ี 1.1 เสยี งเกิดไดอยางไร

ระดบั คะแนน 2 คะแนน หมายถึง พอใช 1 คะแนน หมายถงึ ควรปรับปรุง
3 คะแนน หมายถงึ ดี

รหัส สง่ิ ที่ประเมนิ คะแนน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสังเกต
S8 การลงความเหน็ จากขอมลู
ทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21
C4 การสอื่ สาร
C5 ความรวมมอื

รวมคะแนน

 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 3 สิ่งตา ง ๆ รอบตัวเรา 78

ตาราง แสดงการวเิ คราะหท ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรตามระดับความสามารถของนักเรยี น

โดยอาจใชเ กณฑการประเมิน ดงั น้ี

ทกั ษะกระบวนการ รายการประเมิน ระดบั ความสามารถ
ทางวิทยาศาสตร
ดี (3) พอใช (2) ควรปรับปรงุ (1)

S1 การสงั เกต บรรยาย สามารถใชป ระสาทสมั ผัสเก็บ สามารถใชประสาทสัมผัสเก็บ ไมสามารถบรรยาย
ร า ย ล ะ เ อี ย ด แ ล ะ บ ร ร ย า ย ร า ย ล ะ เ อี ย ด ส่ิ ง ที่
S8 การลงความเห็น รายละเอียดที่ รายละเอยี ดและบรรยาย รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เกิดข้ึนทั้งกับลําคอ
จากขอมลู ลําคอหรือสอมเสียง โดยอาศัย ห รื อ ส อ ม เ สี ย ง ไ ด
สงั เกตได รายละเอียดของสิ่งทเี่ กิดขนึ้ ท้ัง การช้แี นะจากครูหรือผอู ่นื แ ม ว า จ ะ ไ ด รั บ
คํ า แ น ะ นํ า จ า ก ค รู
ประกอบดวย กบั ลําคอและสอมเสยี งได โดย สามารถลงความเห็นไดว า เม่ือ หรอื ผูอนื่
แหลง กาํ เนิดเสียงสั่น จะเกิด
- ส่ิงที่เกิดข้ึนกับ ไมเพ่มิ ความคดิ เห็น เสียง โดยอาศยั การชแ้ี นะจาก ไมสามารถลง
ครูหรือผูอ่ืน ความเหน็ ไดวา เม่ือ
ลํ า ค อ ข ณ ะ อ อ ก แหลงกําเนิดเสียงส่นั
จะเกิดเสยี ง ได
เสียงกับขณะหยุด แมวาจะไดรับ
คาํ แนะนําจากครู
ออกเสยี ง หรอื ผูอ่ืน

- สิง่ ทเี่ กดิ ขนึ้ กับ

สอ มเสียงเม่ือเคาะ

แลวใชมอื แตะ

เบาๆ และใชม ือ

จับใหแนน

ลงความเหน็ จาก สามารถลงความเหน็ ไดว าเมื่อ

ขอมูลท่ีไดจากการ แหลง กําเนดิ เสียงสัน่ จะเกดิ

สังเกตการ เสียง โดยลงความเหน็ ไดถ ูกตอง

เปลย่ี นแปลงท่ี มเี หตผุ ลจากความรหู รือ

ลําคอ เม่ือออก ประสบการณเ ดมิ ดว ยตนเอง

เสยี งและการ

สงั เกตผลการ

เปลี่ยนแปลงเม่ือ

สอมเสยี งสัน่ และ

หยุดสัน่ ไดว า เมอื่

แหลง กําเนิดเสียง

สั่น จะเกดิ เสยี ง

สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

79 คูม ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 ส่ิงตา ง ๆ รอบตัวเรา

ตาราง แสดงการวิเคราะหท ักษะแหงศตวรรษที่ 21 ตามระดับความสามารถของนกั เรียน
โดยอาจใชเ กณฑการประเมิน ดงั น้ี

ทักษะแหง รายการประเมิน ระดับความสามารถ

ศตวรรษที่ 21 ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรงุ (1)

C4 การสือ่ สาร การนําเสนอขอ มูล สามารถนําเสนอขอ มลู สามารถนาํ เสนอขอมลู ไมสามารถนําเสนอขอ มลู
จากการอภปิ รายสิ่ง จากการอภปิ รายสง่ิ ท่ี จากการอภปิ รายสิ่งท่เี กิด จากการอภิปรายสงิ่ ท่เี กิด
ท่เี กดิ ขึ้นกบั เกดิ ขึ้นกบั แหลงกาํ เนดิ ข้นึ กบั แหลง กําเนิดเสียง ขึน้ กบั แหลงกําเนิดเสยี งได
แหลงกาํ เนิดเสยี ง เสียง ไดอยา งถูกตอ ง ไดอยางถูกตอ ง แตไม
ครบถว น ครบถวน

C5 ความ การมสี ว นรว ม มีสว นรวมทง้ั ในการทํา มสี ว นรว มกบั ผอู น่ื เปน ไมมสี ว นรวมกบั ผูอื่นทงั้ ใน
รว มมอื ในการทํากจิ กรรม
และการรวมกัน กจิ กรรม และการ บางครงั้ ทง้ั ในการทํา การทํากิจกรรมและการ
อภปิ รายเกย่ี วกบั
การเกดิ เสยี ง อภปิ รายเกี่ยวกบั การ กิจกรรมและการ อภิปรายเกีย่ วกับการเกิด

เกิดเสียงตงั้ แตเรม่ิ ตน จน อภิปรายเกยี่ วกับการเกิด เสียง แมว า จะไดรับการ

สาํ เร็จลลุ ว ง เสียง กระตุน จากครหู รือผูอน่ื

 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 ส่ิงตา ง ๆ รอบตวั เรา 80

กิจกรรมท่ี 1.2 เสยี งเคล่อื นทไี่ ปทศิ ทางใด

กิจกรรมนี้นักเรียนจะไดสังเกตและบรรยายทิศ
ทางการเคล่ือนที่ของเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง พรอม
สรางแบบจําลองเพื่ออธิบายทิศทางการเคลื่อนท่ีของ
เสยี งจากแหลงกําเนิดเสยี ง

เวลา 2 ชว่ั โมง
จดุ ประสงคการเรียนรู

1. สงั เกตและบรรยายทศิ ทางการเคล่ือนที่ของเสียงจาก
แหลง กําเนิดเสยี ง

2. สรา งแบบจาํ ลองและอธบิ ายทิศทางการเคลื่อนที่ของ
เสียงจากแหลง กําเนดิ เสยี ง

วสั ดุ อุปกรณส าํ หรับทาํ กจิ กรรม สอื่ การเรียนรแู ละแหลงเรียนรู
ส่งิ ท่คี รูตอ งเตรียม/กลุม
1. หนงั สอื เรยี น ป.1 เลม 2 หนา 29-30
แหลงกําเนิดเสียง เชน สอมเสียงพรอมไมเคาะ
เครื่องดนตรี 1 ชุด 2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.1 เลม 2 หนา 32-34

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร 3. ตวั อยางวดี ทิ ัศนปฏบิ ตั ิการวทิ ยาศาสตรเรอื่ งเสยี ง
เคลอ่ื นที่ไปในทิศทางใด http://ipst.me/8046
S1 การสังเกต
S7 การพยากรณ
S8 การลงความเห็นจากขอ มลู
S14 การสรา งแบบจาํ ลอง

ทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21

C1 การสรา งสรรค
C4 การสอื่ สาร
C5 ความรว มมอื

สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

81 คูมือครูรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สงิ่ ตา ง ๆ รอบตวั เรา

แนวการจดั การเรยี นรู ค รู รั บ ฟ ง เ ห ตุ ผ ล ข อ ง
นักเรียนเปนสําคัญ ครูยังไม
1. ครูทบทวนความรูพื้นฐานท่ีเรียนมาแลววาเสียงเกิดจากการสั่นของ เฉลยคําตอบใด ๆ แตชักชวนให
แหลงกําเนิดเสียง จากน้ันครูใชคําถามเพ่ือตรวจสอบความรูเดิมของ หาคาํ ตอบที่ถูกตองจากกิจกรรม
นกั เรียนวาเสียงท่เี กิดจากแหลง กําเนดิ เสยี งเคลอ่ื นท่ีไปในทิศทางใดบา ง ตาง ๆ ในบทเรียนี้
นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง ครูยังไมเฉลยคําตอบที่

ถกู ตอ ง แตชักชวนใหนกั เรยี นทาํ กิจกรรมตอ ไป

2. นักเรียน อานช่ือกิจกรรม และทําเปนคิดเปน ในหนังสือเรียน หนา 29
จากนนั้ ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน โดย
อาจใชค าํ ถาม ดังนี้
2.1 กิจกรรมนี้นักเรียนจะไดเรียนเก่ียวกับเร่ืองอะไร (ทิศทางการ
เคลอ่ื นท่ีของเสียงจากแหลงกาํ เนิดเสยี ง)
2.2 นักเรียนจะไดเรียนเรื่องน้ีดวยวิธีใด (การสังเกตและการสราง
แบบจาํ ลอง)
2.3 เมื่อเรียนแลวนักเรียนจะทําอะไรได (บรรยายและอธิบายทิศ
ทางการเคลอื่ นทขี่ องเสยี งจากแหลงกําเนิดเสยี ง)

3. นักเรยี นบนั ทึกจุดประสงคข องกจิ กรรมในแบบบันทึกกิจกรรม หนา 32
4. นักเรียนอานส่ิงท่ีตองใช วามีวัสดุอุปกรณอะไรบาง ครูอาจเตรียมวัสดุ

อุปกรณตาง ๆ ไวพรอม แตยังไมแจกอุปกรณแกนักเรียน จากน้ันให
นักเรียนบอกชื่อวัสดุอุปกรณและวิธีใชอุปกรณ ครูอาจใหคําแนะนํา
เพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับวิธีใชอ ปุ กรณต าง ๆ
5. นักเรียนอานทําอยางไร โดยครูใชวิธีการอานท่ีเหมาะสมกับ
ความสามารถของนักเรียน จากน้ันครูตรวจสอบความเขาใจข้ันตอนการ
ทํากจิ กรรมทลี ะข้ัน และนาํ อภปิ รายตามแนวคําถาม ดังนี้
5.1 ในขั้นแรกของการทํากิจกรรม นักเรียนตองสังเกตอะไร (สังเกต

เสียงจากแหลง กาํ เนดิ เสยี งท่อี ยหู นา หองเรยี น)
5.2 เม่ือสังเกตเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงแลว นักเรียนตองรวมกัน

อภปิ รายในเร่ืองใดบา ง (คนท่ีอยูตําแหนงใดบางจะไดยินเสียง และ
เสียงมีการเคลอ่ื นที่ไปในทิศทางใด)
5.3 หลังจากสังเกตแหลงกําเนิดเสียงแลว นักเรียนตองพยากรณเรื่อง
อะไร (ถา แหลง กําเนิดเสียงอยูกลางหอง คนที่ตําแหนงใดบางจะได
ยนิ เสียงนัน้ )

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 ส่ิงตาง ๆ รอบตัวเรา 82

5.4 นักเรียนตองทํากิจกรรมอยางไรในการตรวจสอบการพยากรณ
(ใหแตละคนไปอยูต ามตาํ แหนง ตา ง ๆ เชน หนาหอง หลังหอง ขาง
หอง บนโตะ ใตโตะ หรือท่ีอ่ืน ๆ ในหองเรียน แลวฟงเสียงจาก
แหลงกําเนิดเสียงที่อยูกลางหอง จากนั้นใหสลับที่ไปยังตําแหนง
อน่ื ๆ จนครบทกุ ตําแหนง )

5.5 นักเรียนตองสรางแบบจําลองเพื่ออธิบายเร่ืองใด (ทิศทางการ
เคลอื่ นที่ของเสียงจากแหลง กําเนิดเสยี ง)

6. เมื่อนักเรียนเขาใจวิธีทํากิจกรรมในทําอยางไรแลว นักเรียนจะไดปฏิบัติ
ตามขน้ั ตอน ดังน้ี
6.1 สังเกตเสียงจากแหลงกาํ เนดิ เสยี งทีอ่ ยหู นา หอ งเรยี น (S1)
6.2 รวมกันอภิปรายเกี่ยวกับทศิ ทางการเคล่ือนท่ีของเสียง (C5)
6.3 พยากรณและบันทึกวาถาแหลงกําเนิดเสียงอยูกลางหอง คนที่
ตาํ แหนง ใดบา งจะไดยนิ เสยี ง (S7)
6.4 สรางแบบจําลองเพ่ืออธิบายทิศทางการเคลื่อนท่ีของเสียงจาก
แหลงกาํ เนดิ เสยี งและนาํ เสนอผล (S14)(C1, C2, C4, C5)
6.5 รวมกันประเมินวาแบบจําลองของกลุมใดอธิบายทิศทางการ
เคล่ือนท่ีของเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงไดดีท่ีสุด พรอมอธิบาย
เหตผุ ลประกอบ (C2)
6.6 รวมกันลงความเห็นจากขอมูลเกี่ยวกับตําแหนงท่ีไดยินเสียงจาก
แ ห ล ง กํ า เ นิ ด เ สี ย ง แ ล ะ ทิ ศ ท า ง ก า ร เ ค ลื่ อ น ที่ ข อ ง เ สี ย ง จ า ก
แหลงกําเนดิ เสยี ง (S8)

7. หลงั จากทํากจิ กรรมแลว ครูนําอภิปรายผลการทํากิจกรรม โดยใชคําถาม
ดังตอไปน้ี
7.1 ผลการสังเกตของนักเรียนกับการพยากรณเหมือนกันหรือไม
อยา งไร (นกั เรียนตอบตามผลการทํากิจกรรมของตนเอง)
7.2 นักเรียนในตําแหนงใดไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงบาง (ทุก
ตาํ แหนง ทัง้ หนา หอง หลังหอง ขางหอง บนโตะ ใตโ ตะ)
7.3 เสียงเคลื่อนที่จากแหลงกําเนิดเสียงไปในทิศทางใดบาง (ทุก
ทิศทาง)
7.4 แบบจําลองที่นักเรียนรวมกันสรางขึ้นมีลักษณะอยางไร เหตุใด
นักเรียนจึงสรางแบบจําลองตามลักษณะดังกลาว (นักเรียนตอบ
ตามความเปนจริงตามผลการทํากิจกรรม เชน โยงเสนไหมพรม
หรือเชือกออกจากแหลงกําเนิดเสียงไปทุกทิศทาง เพราะสามารถ

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

83 คมู ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 สง่ิ ตา ง ๆ รอบตัวเรา

แสดงใหเห็นวาเสียงเคลื่อนที่ออกจากแหลงกําเนิดเสียงไปทุก
ทิศทาง)
7.5 แบบจําลองท่ีนักเรียนสรางขึ้นมีประโยชนอยางไร (ใชเพ่ืออธิบาย
วาเสียงเคลื่อนท่ีออกจากแหลงกําเนิดเสียงทุกทิศทาง ดังน้ันผูฟงที่
อยูทุกตําแหนง จะไดย ินเสียงจากแหลง กาํ เนดิ เสยี ง)
7.6 จากแบบจาํ ลองทิศทางการเคลือ่ นที่ของเสยี งจากแหลงกําเนิดเสียง
ที่แตละกลุมนําเสนอ นักเรียนประเมินวาแบบจําลองของกลุมใด
อธบิ ายทิศทางการเคลื่อนท่ีของเสยี งจากแหลง กําเนิดเสียงไดดีท่ีสุด
เพราะเหตุใด (นักเรียนตอบตามผลการประเมินของตนเอง โดยให
เหตุผลประกอบเชน มีการโยงเสนไหมพรมออกจากแหลงกําเนิด
เสียงไปทุกทิศทาง ทําใหแบบจําลองมีความสมจริง สามารถใช
อธิบายทศิ ทางการเคลอื่ นท่ีของเสยี งจากแหลงกําเนดิ เสยี งไดดี)
8. ครูและนักเรียนรวมกันเชื่อมโยงส่ิงท่ีไดเรียนรูจากกิจกรรมเพื่อลง
ความเหน็ วา เสยี งเคลอื่ นทีจ่ ากแหลงกาํ เนดิ เสียงไปในทุกทิศทาง โดยผูฟง
ท่ีอยูท ุกตําแหนงจะไดย ินเสียงจากแหลงกาํ เนดิ เสยี ง
9. นักเรียนตอบคําถามในฉันรูอะไร โดยครูอาจเพิ่มคําถามในการอภิปราย
เพ่อื ใหไดแนวคาํ ตอบทีถ่ ูกตอ ง
10.นักเรียนสรุปส่ิงที่ไดเรียนรูในกิจกรรมน้ี จากน้ันนักเรียนอานสิ่งที่ได
เรียนรู และเปรียบเทียบกบั ขอสรุปของตนเอง
11.ครแู นะนาํ ใหน ักเรียนใชแ อพพลิเคชันสาํ หรบั การแสดงผลภาพเสมือนจริง
สามมิติ (AR) ในหนังสือเรียน หนา 30 และรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
เคล่อื นท่ีของเสียงจากแหลง กําเนิดเสยี ง
12.นักเรียนตั้งคําถามในอยากรูอีกวา จากน้ันครูสุมนักเรียน 2-3 คน
นําเสนอคําถามของตนเองหนาชั้นเรียน และใหนักเรียนรวมกันอภิปราย
คาํ ตอบ
13.ครูนําอภิปรายเพ่ือใหนักเรียนทบทวนวาไดฝกทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรและทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21 ในขัน้ ตอนใดบา ง
14.นักเรียนรวมกันอานรูอะไรในเรื่องนี้ ในหนังสือเรียน หนา 31 ครูและ
นักเรียนรวมอภิปรายเพื่อนําไปสูขอสรุปเก่ียวกับส่ิงท่ีไดเรียนรูในเรื่องนี้
จากนั้นครูกระตุนใหนักเรียนตอบคําถามในชวงทายของเนื้อเร่ือง ดังน้ี
“ถาเรายืนอยูท่ีมุมหอง เราจะไดยินเสียงคนในหองหรือไม” ครูและ
นักเรียนรวมกันอภิปรายแนวทางการตอบคําถาม เชน เสียงออกจาก
แหลงกาํ เนิดเสียงทุกทิศทาง ดงั นัน้ แมว า เราจะยืนอยทู ่ีมุมหอง เราก็จะได

 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 สิง่ ตาง ๆ รอบตัวเรา 84

ยินเสียงคนในหอง นักเรียนอาจมีคําตอบที่แตกตางจากนี้ ครูควรเนนให
นักเรียนตอบคําถามพรอมอธิบายเหตุผลประกอบ นอกจากน้ีครูอาจ
ยกตัวอยางอื่นเพอื่ ใหนักเรียนรว มกนั อภิปราย เชน ถาเรายืนอยูท่ีมุมดาน
หนง่ึ ของกาํ แพง เราจะไดยินเสียงคนที่อยูอีกดานหรือไม ท้ังน้ีครูอาจวาด
รูปประกอบเพ่ือใหนักเรยี นเขา ใจสถานการณไ ดด ีขึ้น ดังน้ี

15.นกั เรยี นอา นและอภิปรายหัวขอเกร็ดนารู ในหนังสือเรียน หนา 32 แลว
จดบันทกึ ผลการอภิปราย โดยใชเ วลานอกชวั่ โมงเรยี น

สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

85 คมู อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 สิ่งตาง ๆ รอบตวั เรา

แนวคาํ ตอบในแบบบนั ทกึ กจิ กรรม

สงั เกต บรรยาย
อธบิ าย

คาํ ตอบข้ึนอยูกบั 
การพยากรณข อง 

นักเรยี น 


 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูม ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 ส่ิงตา ง ๆ รอบตัวเรา 86

นกั เรยี นอาจวาดรูปแบบจาํ ลองที่มลี กั ษณะแตกตางไปจากรูปน้ี ใหครูสังเกตวา นักเรียน
ไดว าดรปู แสดงใหเ ห็นวาเสยี งเคลอื่ นทอ่ี อกจากแหลงกําเนดิ เสียงทกุ ทศิ ทางหรือไม โดย
ความจริงแลว การเคลอ่ื นท่ขี องเสียงเปน แบบ 3 มติ ิ แตน ักเรียน ป.1 อาจวาดใน 2 มิติ
ดังรูปเทาน้ัน

 


สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

87 คูมือครรู ายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั เรา
ทิศทาง

ทุก
ทุก

คําถามของนักเรยี นท่ีตั้งตามความอยากรูของตนเอง

 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 ส่ิงตาง ๆ รอบตวั เรา 88

แนวการประเมินการเรียนรู

การประเมนิ การเรยี นรูของนกั เรียนทําได ดงั นี้
1. ประเมนิ ความรูเ ดิมจากการอภปิ รายในชนั้ เรียน
2. ประเมินการเรยี นรจู ากคําตอบของนกั เรยี นระหวา งการจดั การเรียนรแู ละจากแบบบันทึกกจิ กรรม
3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ ละทกั ษะแหง ศตวรรษที่ 21 จากการทาํ กจิ กรรมของนกั เรียน

การประเมนิ จากการทาํ กจิ กรรมที่ 1.2 เสียงเคล่อื นท่ไี ปทิศทางใด

ระดบั คะแนน 2 คะแนน หมายถึง พอใช 1 คะแนน หมายถงึ ควรปรับปรงุ
3 คะแนน หมายถงึ ดี

รหสั ส่ิงทป่ี ระเมนิ คะแนน
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสังเกต
S7 การพยากรณ
S8 การลงความเหน็ จากขอ มูล
S14 การสรางแบบจําลอง
ทักษะแหงศตวรรษที่ 21
C2 การคดิ สรางสรรค
C4 การสอ่ื สาร
C5 ความรว มมอื

รวมคะแนน

สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

89 คูมอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 3 สิง่ ตาง ๆ รอบตวั เรา

ตาราง แสดงการวเิ คราะหท ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรต ามระดับความสามารถของนักเรยี น

โดยอาจใชเกณฑการประเมนิ ดังน้ี

ทกั ษะกระบวนการ รายการประเมิน ดี (3) ระดับความสามารถ ควรปรับปรงุ (1)
ทางวิทยาศาสตร พอใช (2)

S1 การสงั เกต การบรรยาย สามารถใชป ระสาทสมั ผสั สามารถใชประสาทสัมผัสเก็บ ไ ม ส า ม า ร ถ เ ก็ บ
S7 การพยากรณ ตําแหนง ท่ีไดยิน เกบ็ รายละเอียดส่ิงท่ีเกดิ ข้ึน รายละเอียดส่ิงท่ีเกิดข้ึนและ รายละเอียดส่ิงท่ีเกิดข้ึน
เสียงจาก และสามารถบรรยาย บรรยายตําแหนงที่ไดยินเสียง และไมสามารถบรรยาย
แหลงกําเนดิ เสยี ง ตาํ แหนงท่ีไดย ินเสียงจาก จากแหลงกําเนิดเสียงได ท้ังน้ี ตําแหนงที่ไดยินเสียง
เม่ือแหลง กําเนิด แหลง กําเนดิ เสียงไดด วย โดยอาศัยการชี้แนะจากครูหรือ จากแหลงกําเนิดเสียงได
เสยี งอยกู ลางหอง ตนเอง ผูอืน่ แมวา ครูหรือผูอ่ืนจะชวย

การคาดการณส่งิ ท่ี สามารถคาดการณสิ่งท่จี ะ แนะนํา
จะเกิดข้นึ เม่ือ เกิดขึน้ เมื่อสงั เกตเสียงท่ีได
สงั เกตเสียงท่ีไดยิน ยนิ จากตําแหนง ตาง ๆ ได สามารถคาดการณสงิ่ ที่จะ ไมสามารถคาดการณสิง่
จากตําแหนง ตางๆ ถูกตอง โดยอาศัยความรู เกิดขน้ึ เมื่อสังเกตเสียงที่ไดย ิน ทจี่ ะเกิดข้ึนเม่ือสังเกต
จากตาํ แหนงตาง ๆ ทัง้ นี้โดย เสียงทไี่ ดย นิ จาก
หรือประสบการณเดมิ อาศยั การช้แี นะจากครูหรือผอู น่ื ตาํ แหนง ตาง ๆ แมว า จะ

ไดร ับคําชี้แนะจากครู
หรอื ผอู ืน่

S8 การลงความเห็น การลงความเหน็ สามารถลงความเห็นดวย สามารถลงความเหน็ จากขอมูล ไมสามารถลงความเหน็
จากขอมลู จากขอมูลไดว า ตนเองวาผูฟงทกุ ตําแหนง จะ ไดว า ผูฟงทุกตําแหนงจะไดย ิน จากขอมลู ไดวาผูฟง ทุก
ผูฟง ทกุ ตําแหนงจะ ไดย นิ เสียงจากแหลงกําเนดิ เสยี งจากแหลง กาํ เนิดเสียง ท้ังนี้ ตําแหนงจะไดย นิ เสียง
S14 การสราง ไดยินเสยี งจาก เสยี ง ท้ังนโี้ ดยอาศยั ความรู โดยอาศัยการช้ีแนะจากครูหรือ จากแหลงกาํ เนิดเสียง
แบบจาํ ลอง แหลงกําเนิดเสยี ง หรือประสบการณเ ดิม ผอู ื่น แมวาจะไดรับคาํ ชีแ้ นะ

การอธิบายทิศ สามารถอธิบายทิศทางการ จากครหู รอื ผูอน่ื
ทางการเคลือ่ นที่ เ ค ล่ื อ น ท่ี ข อ ง เ สี ย ง จ า ก
ของเสียงจาก แ ห ล ง กํ า เ นิ ด เ สี ย ง ใ น ทุ ก สามารถอธิบายทิศทางการ ไมสามารถอธิบายทิศ
แหลงกําเนดิ เสียง ทิศทาง (3 มิติ) โดยใช
โดยใชแบบจําลอง แบบจําลองที่สรางข้นึ ไดดวย เ ค ลื่ อ น ที่ ข อ ง เ สี ย ง จ า ก ทางการเคลื่อนท่ีของ
ท่สี รางขึน้ ตนเอง
แหลงกําเนิดเสียงในทุกทิศทาง เสียงจากแหลงกําเนิด

(3 มิติ) โดยใชแบบจําลองที่ เสียงในทุกทิศทาง (3

สรางขึ้น ท้ังนี้โดยอาศัยการ มิติ) โดยใชแบบจําลองที่

ชี้แนะจากครหู รอื ผูอน่ื สรางข้ึน แมวาจะได

รับคําชี้แนะจากครูหรือ

ผูอ ่ืน

 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 3 สง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั เรา 90

ตาราง แสดงการวิเคราะหทักษะแหง ศตวรรษที่ 21 ตามระดบั ความสามารถของนกั เรยี น
โดยอาจใชเกณฑก ารประเมนิ ดงั นี้

ทักษะแหง รายการประเมิน ดี (3) ระดับความสามารถ ควรปรบั ปรุง (1)
ศตวรรษท่ี 21
C2 การ การสราง สามารถสราง พอใช (2) ไมสามารถสราง
สรา งสรรค แบบจาํ ลองเกย่ี วกับ แบบจาํ ลองเกี่ยวกบั ทิศ แบบจําลองเกย่ี วกบั ทิศ
ทิศทางการเคล่ือนที่ ทางการเคล่ือนท่ีของ สามารถสรางแบบจําลอง ทางการเคล่ือนที่ของเสียง
C4 การส่อื สาร ของเสียงจาก เสียงจากแหลง กาํ เนดิ เกี่ยวกบั ทศิ ทางการ จากแหลง กําเนิดเสยี งได
แหลงกาํ เนิดเสียง เสยี งไดดว ยตนเอง เคล่อื นที่ของเสียงจาก แมว า จะไดร ับคําชี้แนะ
แหลง กาํ เนดิ เสียงได โดย จากครหู รือผูอืน่
การนาํ เสนอ สามารถนาํ เสนอ ตองอาศัยการชแ้ี นะจากครู ไมส ามารถนําเสนอ
แบบจาํ ลองเพอื่ แบบจําลองเพ่ืออธบิ าย หรอื ผูอื่น แบบจาํ ลองเพ่อื อธบิ าย
อธิบายทิศทางการ ทิศทางการเคล่ือนท่ีของ สามารถนําเสนอ ทศิ ทางการเคลื่อนที่ของ
เคล่ือนท่ีของเสียง เสียงจากแหลง กาํ เนดิ แบบจาํ ลองเพื่ออธิบายทิศ เสยี งจากแหลง กาํ เนดิ
จากแหลงกาํ เนิด เสยี งไดอ ยางถูกตอ ง ทางการเคล่ือนท่ีของเสยี ง เสยี งได แมวา จะไดรับคาํ
เสียง ครบถวน จากแหลงกําเนิดเสียงได ชี้แนะจากครูหรือผูอ่ืน
อยางถูกตอง แตไ ม
ครบถวน

C5 ความ การมสี วนรวม มสี วนรว มในการทํา มีสว นรว มในการทาํ ไมมสี ว นรว มในการทาํ
รวมมือ ในการทาํ กจิ กรรม กิจกรรม และการสรา ง กจิ กรรม หรอื การสรา ง กจิ กรรม และการสรา ง
และการสราง แบบจาํ ลองเพอื่ อธิบาย แบบจาํ ลองเพือ่ อธิบายทิศ แบบจําลองเพื่ออธิบาย
แบบจําลองเพ่อื ทศิ ทางการเคลื่อนที่ของ ทางการเคลอ่ื นที่ของเสยี ง ทศิ ทางการเคลื่อนที่ของ
อธบิ ายทิศทางการ เสียงจากแหลงกาํ เนิด จากแหลงกําเนิดเสียงเปน เสียงจากแหลง กาํ เนิด
เคล่ือนที่ของเสยี ง เสียงอยางสม่าํ เสมอจน บางโอกาส หรอื ตองไดรบั เสียง แมว า จะไดรับการ
จากแหลงกําเนิด สาํ เรจ็ ลุลว ง การกระตุนจากครหู รือ กระตุนจากครหู รือผูอื่น
เสยี ง ผอู นื่

สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

91 คูม อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 สงิ่ ตา ง ๆ รอบตวั เรา

กิจกรรมทายบทท่ี 2 เสียงในชวี ิตประจําวัน (2 ช่ัวโมง)

1. นักเรียนวาดรูปหรือเขียนสรุปสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทนี้ ในแบบบันทึก
กิจกรรม หนา 35

2. นักเรียนตรวจสอบการสรุปสิ่งที่ไดเรียนรูของตนเองโดยเปรียบเทียบ
กับภาพสรุปเนื้อหาประจําบทในหัวขอรูอะไรในบทนี้ ในหนังสือเรียน
หนา 33

3. นักเรียนกลับไปตรวจสอบคําตอบของตนเองในสํารวจความรูกอน
เรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม หนา 26 อีกครั้ง หากคําตอบไมถูกตอง
ใหขีดเสนทับขอความเหลานั้น แลวแกไขคําตอบใหถูกตอง หรืออาจ
แกไขคําตอบดวยปากกาที่มีสีตางจากเดิม นอกจากนี้ครูอาจนํา
สถานการณหรือคําถามในรูปนําบทในหนังสือเรียน หนา 24 มารวม
กันอภิปรายคาํ ตอบอีกครั้ง

4. นักเรียนทําแบบฝกหัดทายบทที่ 2 เสียงในชีวิตประจําวัน ในแบบ
บันทึกกิจกรรม หนา 36-38 จากนั้นใหนักเรียนนําเสนอคําตอบหนา
ช้ันเรียน ถาคําตอบยังไมถูกตอง ครูอาจนาํ อภิปรายหรือใหสถานการณ
เพ่ิมเติมเพื่อแกไขแนวคิดคลาดเคลื่อนใหถูกตอง

5. นักเรียนรวมกันทํากิจกรรมรวมคิด รวมทํา ในแบบบันทึกกิจกรรม
หนา 39 โดยการรวมกันสํารวจเสียงตาง ๆ ที่อยูรอบตัว จากนั้นจด
บันทึกและจําแนกประเภทแหลงกําเนิดเสียงที่สาํ รวจได

6. นักเรียนรวมกันอานและอภิปรายเนื้อเรื่องในหัวขอวิทยใกลตัว ใน
หนังสือเรียน หนา 35 โดยครูกระตุนใหนักเรียนเห็นความสําคัญของ
ความรูจากสิ่งที่ไดเรียนรูในหนวยนี้วาสามารถนําไปใชประโยชนใน
ชีวิตประจําวันไดอยางไรบาง ดังน้ี
6.1 นักเรียนเคยเห็นเครื่องดนตรีจากวัสดุเหลือใช เชน กลองจาก
หมอ ยางรถยนต หรือถังน้ํา (นักเรียนตอบตามประสบการณ
ของตนเอง)

 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สงิ่ ตา ง ๆ รอบตวั เรา 92

6.2 นักเรียนเคยสังเกตไหมวาเครื่องดนตรีที่ทําจากวัสดุที่แตกตาง
กัน เชน กลองที่ทาํ จากถังพลาสติก หรือแกวที่บรรจุน้ํา ทําให
เกิดเสียงไดอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง
เชน เมื่อเคาะถังพลาสติก หรือแกวที่บรรจุนํ้า จะทําใหถัง
พลาสติกและแกวท่ีบรรจุนํา้ เกิดการส่ัน จึงเกิดเสียง)

สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

93 คูมอื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 ส่ิงตาง ๆ รอบตัวเรา

สรุปผลการเรียนรขู องตนเอง

รปู หรือขอความสรปุ สิ่งที่ไดเ รียนรูจ ากบทน้ตี ามความเขาใจของนักเรยี น

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 3 สง่ิ ตา ง ๆ รอบตัวเรา 94

แนวคําตอบในแบบฝก หัดทายบท

x

x

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

95 คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 สงิ่ ตา ง ๆ รอบตวั เรา

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 สง่ิ ตา ง ๆ รอบตัวเรา 96

ทุกทิศทาง

แหลงกาํ เนิดเสยี ง
ตามธรรมชาติ

สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

97 คมู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 3 สิง่ ตาง ๆ รอบตวั เรา

นักเรยี นบนั ทกึ ผลการสํารวจตามที่สาํ รวจไดจ รงิ

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 4 โลกและทอ งฟาของเรา 98

สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

99 คูมอื ครูรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 4 โลกและทองฟาของเรา

˹‹Ç·Õè 4 âÅ¡áÅзŒÍ§¿Ò‡ ¢Í§àÃÒ

ภาพรวมการจดั การเรียนรูประจาํ หนวยท่ี 4 โลกและทอ งฟาของเรา

บท เรือ่ ง กิจกรรม ลําดบั การจดั การเรียนรู ตัวชี้วัด
บทท่ี 1 หนิ เรื่องท่ี 1 ลกั ษณะของหนิ
กิจกรรมที่ 1 หินมี • หิ น พ บ ไ ด ทั่ ว ไ ป ใ น มาตรฐาน ว 3.2
ลกั ษณะอยา งไร
ธรรมชาติ 1. อ ธิ บ า ย ลั ก ษ ณ ะ
ภ า ย น อ ก ข อ ง หิ น
• หินมีลักษณะภายนอก
ท่ีสั งเ กต ได เ ชน สี จ า ก ลั ก ษ ณ ะ

รูปทรง และเนอ้ื หนิ
• หินตามที่ตาง ๆ อาจมี เฉพาะตัวที่สังเกต
ลั ก ษ ณ ะ ท้ั ง ท่ี ได

เ ห มื อ น กั น แ ล ะ

แตกตา งกัน

รวมคดิ รวมทาํ

บทท่ี 2 ทองฟาและดาว เร่อื งท่ี 1 ดาวบนทอ งฟา กิจกรรมท่ี 1.1 มองเห็น • บ น ท อ ง ฟ า มี ด ว ง มาตรฐาน ว 3.1
ดาวอะไรบา งบนทองฟา
อาทิตย ดว งจันท ร 1. ระบุดาวท่ปี รากฏบน
กิจกรรมที่ 1.2 และดาว ท อ ง ฟ า ใ น เ ว ล า
กลางวันดาวหายไปไหน
• ในเวลากลางวันจะ
มองเห็นดวงอาทิตย ก ล า ง วั น แ ล ะ
และอาจมองเห็นดวง กลางคืนจากขอมูล

จันทรบางเวลาในบาง ท่รี วบรวมได

วั น แ ล ะ ใ น เ ว ล า 2. อธิบายสาเหตุท่ีมอง
กลางคืนจะมองเห็น
ไมเ ห็นดาวสว นใหญ
ดวงจนั ทรและดาว
ใ น เ ว ล า ก ล า ง วั น

 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 4 โลกและทองฟาของเรา 100

บท เรื่อง กิจกรรม ลําดับการจัดการเรยี นรู ตวั ช้วี ดั

• ในเวลากลางวันมองไม จ า ก ห ลั ก ฐ า น เ ชิ ง
เห็นดาวสวนใหญบน ประจักษ
ทองฟาเน่ืองจากแสง
ของดวงอาทิตยสวาง
มากจึงกลบแสงของ
ดาวเหลานน้ั

รว มคิดรว มทํา

สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

101 คมู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 4 โลกและทองฟา ของเรา

บทที่ 1 หิน

จดุ ประสงคก ารเรียนรูประจําบท

เม่อื เรียนจบบทนี้ นักเรยี นสามารถ บรรยาย
ลกั ษณะภายนอกของหนิ

แนวคิดสําคัญ

หิ น พ บ ไ ด ท่ั ว ไ ป ใ น ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ มี ลั ก ษ ณ ะ
ภายนอกทีส่ ังเกตได เชน สี รปู ทรง และเนอื้ หิน

บทนี้มีอะไร

เรอ่ื งท่ี 1 ลักษณะของหิน
คําสาํ คัญ -
กิจกรรมท่ี 1 หินมีลกั ษณะอยางไรคาํ สําคญั

ส่ือการเรยี นรแู ละแหลงเรียนรู

1. หนงั สือเรยี น ป.1 เลม 2 หนา 37-45
2. แบบบนั ทกึ กิจกรรม ป.1 เลม 2 หนา 41-52

 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 4 โลกและทองฟาของเรา 102

ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ ละทกั ษะแหง ศตวรรษท่ี 21

รหสั ทกั ษะ กจิ กรรมที่
1

ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร

S1 การสังเกต 

S2 การวดั

S3 การใชจํานวน

S4 การจาํ แนกประเภท

S5 การหาความสัมพันธร ะหวาง

 สเปซกบั สเปซ

 สเปซกับเวลา

S6 การจัดกระทําและสื่อความหมายขอมลู 

S7 การพยากรณ

S8 การลงความเหน็ จากขอมูล 

S9 การตั้งสมมตฐิ าน

S10 การกําหนดนิยามเชิงปฏบิ ตั กิ าร

S11 การกําหนดและควบคุมตวั แปร

S12 การทดลอง

S13 การตคี วามหมายขอมลู และลงขอสรุป

S14 การสรา งแบบจําลอง

ทกั ษะแหงศตวรรษท่ี 21

C1 การสรา งสรรค

C2 การคิดอยา งมวี จิ ารณญาณ 

C3 การแกปญหา

C4 การส่อื สาร 

C5 ความรว มมอื 

C6 การใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศและการ

สื่อสาร

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

103 คูมอื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 4 โลกและทอ งฟา ของเรา

บทนเ้ี รม่ิ ตนอยางไร (1 ชั่วโมง)

1. ครูใหนักเรียนเปด หนังสอื เรยี นหนา 37 อานชอื่ หนวย ชอ่ื บท และจุดประสงค
การเรียนรปู ระจําบท จากนั้นครูใชคําถามวา เม่ือจบบทน้ีนักเรียนสามารถทํา
อะไรไดบ าง (สามารถบรรยายลกั ษณะภายนอกของหนิ )

2. ครูใหนักเรียนเปดหนังสือเรียนหนา 40 โดยเร่ิมจากการอานชื่อบทและ
แนวคิดสาํ คัญ จากน้ันครใู ชค าํ ถามดงั ตอ ไปนี้
2.1 ในบทนีจ้ ะเรยี นเรอ่ื งอะไรบา ง (หนิ และลกั ษณะของหนิ )
2.2 ลักษณะใดของหินที่สังเกตได (สี รปู ทรง และเนือ้ หิน)

3. ครูนําเขาสูบทท่ี 1 เร่ืองหินโดยชักชวนนักเรียนสังเกตรูปในหนังสือเรียน แลว
รวมกันอภปิ รายเกย่ี วกบั ส่งิ ทีไ่ ดเหน็ จากรูป โดยใชค ําถามดงั ตอ ไปน้ี
3.1 นกั เรียนเห็นอะไรบางในรปู (หนิ ตน ไม ลาํ ธาร ภูเขา ทอ งฟา )
3.2 หินในรูปมีลักษณะอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน
เปน เหลย่ี ม มีสเี ทา)
3.3 นักเรียนคดิ วา เราสามารถพบหนิ ไดท ใี่ ดบาง (นักเรยี นตอบตามความเขาใจ
ของตนเอง เชน บนภูเขา ในโรงเรยี น)
3.4 หินท่ีพบในที่อื่น ๆ จะเหมือนหรือแตกตางจากในรูป (นักเรียนตอบตาม
ความเขาใจของตนเอง เชน แตกตางกัน โดยหินท่ีพบในโรงเรียนมี
ลกั ษณะและสสี นั สวยงามกวา)

4. ครูชักชวนนักเรียนตอบคําถามในสํารวจความรูกอนเรียน โดยใหนักเรียน
สั ง เ ก ต รู ป แ ล ะ ต อ บ คํ า ถ า ม เ ก่ี ย ว กั บ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง หิ น ล ง ใ น
แบบบันทึกกจิ กรรม หนา 42 โดยอา น ช่ือหนวย ชอื่ บท

5. ครูใหนักเรียนอานคําถามและตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนเก่ียวกับ
คําถามแตละขอ จนแนใจวานักเรียนสามารถทําไดดวยตนเอง จึงใหนักเรียน
ตอบคาํ ถาม โดยคําตอบของแตละคนอาจแตกตางกันได และอาจตอบถูกหรือ
ผดิ ก็ได

6. ครูสังเกตการตอบคําถามของนักเรียนเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมีแนวคิด
เก่ียวกับหินและลักษณะของหินอยางไรบาง โดยครูยังไมตองเฉลยคําตอบท่ี
ถูกตอง แตจะใหนักเรียนยอนกลับมาตรวจสอบอีกคร้ังหลังเรียนจบบทน้ีแลว ท้ังน้ี
ครูอาจบันทึกแนวคิดคลาดเคล่ือนหรือแนวคิดท่ีนาสนใจของนักเรียน แลวนํามา
ออกแบบการจดั การเรียนการสอนเพอ่ื แกไ ขแนวคิดใหถกู ตอง

 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 4 โลกและทองฟาของเรา 104

แนวคาํ ตอบในแบบบนั ทกึ กิจกรรม

การสาํ รวจความรกู อนเรียน นกั เรียนอาจตอบคําถามถูกหรือผิดก็ไดข้ึนอยูกับความรเู ดมิ ของนักเรยี น
แตเ ม่อื เรยี นจบบทเรียนแลว ใหนกั เรียนกลับมาตรวจสอบคําตอบอกี ครั้งและแกไขใหถูกตอง ดงั ตัวอยา ง

สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

105 คูม อื ครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 4 โลกและทองฟา ของเรา







 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 4 โลกและทอ งฟา ของเรา 106

เรอื่ งท่ี 1 ลกั ษณะของหิน

เร่ืองนี้นักเรียนจะไดเรียนรูวาหินแตละกอนมี
ลักษณะตาง ๆ เชน สี รูปทรง และเนื้อหิน ท่ีอาจเหมือน
หรือแตกตางกนั ซ่ึงสามารถนาํ ไปใชประโยชนไ ด

จุดประสงคการเรียนรู

สงั เกตและบรรยายลักษณะภายนอกของหิน

เวลา 5 ชั่วโมง
วัสดุ อุปกรณส ําหรบั ทาํ กจิ กรรม

ตัวอยา งหนิ แวนขยาย ตะกรา กระดาษ

สือ่ การเรยี นรแู ละแหลงเรียนรู

1. หนงั สอื เรยี น ป.1 เลม 2 หนา 40-45
2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.1 เลม 2 หนา 44-52

สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

107 คมู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 4 โลกและทอ งฟาของเรา

แนวการจัดการเรียนรู (90 นาที)

ขัน้ ตรวจสอบความรู (30 นาที)

1. ครตู รวจสอบความรเู ดิมของนกั เรียนเร่ืองหนิ โดยใชแนวคําถาม ดงั ตอไปนี้ ในการตรวจสอบความรู ครู
1.1 นกั เรยี นรจู ักหนิ หรอื ไม (นกั เรยี นตอบตามความเขาใจของตนเอง) เพียงรับฟงเหตุผลของนักเรียนและ
1.2 หนิ มลี ักษณะอยา งไร (นักเรียนตอบตามความเขา ใจของตนเอง เชน หิน ยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ แตชักชวน
มีลกั ษณะเปนกอ น ๆ มสี ีตาง ๆ แขง็ และหนกั ) ใหนักเรียนไปหาคําตอบดวยตนเอง
1.3 นักเรียนเคยพบหินท่ีไหนบาง (นักเรียนตอบตามความเขาใจของ จากการอา นเนอ้ื เรอื่ ง
ตนเอง เชน พบทส่ี วนหลงั บาน นํา้ ตก ในปา ในโรงเรียน)
1.4 หินท่ีพบตามท่ีตาง ๆ มีลักษณะเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร นักเรียนอาจไมสามารถตอบ
(นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชนหินมีสีดําเหมือนกัน คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
แตบางกอ นเปนสเี่ หล่ยี ม บางกอ นเปน ทรงกลม) คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
1.5 เรานําหินมาใชประโยชนอะไรไดบ า ง (นกั เรยี นตอบตามความเขาใจ อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
ของตนเอง เชน ทาํ ครก โตะ เกาอ)้ี และรบั ฟง แนวความคดิ ของนกั เรียน

ขัน้ ฝก ทกั ษะจากการอาน (30 นาท)ี

2. ครูใหนักเรียนอาน ช่ือเรื่อง และคําถามในคิดกอนอาน ในหนังสือ
เรียนหนา 40 แลวรวมกันอภิปรายในกลุมเพื่อหาแนวคําตอบ ครู
บนั ทกึ คําตอบของนักเรียนบนกระดานเพ่ือใชเปรียบเทียบคําตอบหลัง
การอา นเน้อื เร่ืองจบแลว

3. ครูชวนนักเรียนอานนิทานเร่ืองของขวัญคุณยา โดยฝกวิธีการอานที่
เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน แลวรวมกันอภิปรายใจความ
สาํ คัญโดยใชค าํ ถามดังน้ี
3.1 หนิ มลี ักษณะอยางไรบา ง (หนิ มีหลายสี มเี นื้อสาก เปนกอนกลม)
3.2 หินมีประโยชนอะไรบาง (ทําท่ีเหยียบแกเม่ือย ทําท่ีขัดสนเทา ทํา
ทีท่ ับกระดาษ ทาํ ท่ลี ับมีด)
3.3 คุณยาไดใหขอคิดกับเด็ก ๆ ไววาอยางไร (หินอยูในธรรมชาติจะ
สวยท่ีสุด แตถาจะนํามาใชตองใชใหเกิดประโยชนและรักษาไวให
นาน ๆ)

 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 4 โลกและทองฟา ของเรา 108

3.4 นักเรียนเคยพบหินที่มีลักษณะเหมือนหินในนิทานหรือไม การเตรียมตวั ลวงหนา สําหรบั ครู
(นกั เรยี นตอบไดตามประสบการณเดิม) เพือ่ จัดการเรียนรใู นครงั้ ถัดไป

ข้ันสรปุ จากการอา น (30 นาท)ี ในครั้งถัดไป นักเรียนจะไดทํา
กิจกรรมที่ 1 หินมีลักษณะอยางไรโดย
4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปวาหินท่ีพบตามท่ีตาง การสังเกตและอธิบายลักษณะของหิน
ๆ มีลักษณะเชน สี รูปทรง และเน้ือหินท้ังที่เหมือนและแตกตางกัน ซ่ึง ครูเตรียมการจัดกิจกรรม โดยให
สามารถนําไปใชป ระโยชนไ ด นักเรียนนําหินท่ีเก็บจากธรรมชาติมา
คนละ 1 กอน และครูควรเตรียมหิน
5. นกั เรยี นตอบคําถามจากเร่อื งที่อานใน รูหรือยัง ในแบบบันทึกกิจกรรม สาํ หรับนักเรียนทไี่ มไดนําหนิ มา
หนา 44

6. ครแู ละนกั เรียนรวมกันอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบคําตอบของนักเรียนใน
รูหรือยังกับคําตอบที่เคยตอบในคิดกอนอาน ซึ่งครูบันทึกไวบน
กระดาน

7. ครูชักชวนนักเรียนตอบคําถามทายเร่ืองท่ีอานวาหินที่นํามาใหคุณยามี
ลักษณะตาง ๆ แลวหินกอนอ่ืน ๆ มีลักษณะเปนอยางไร ครูบันทึก
คําตอบของนักเรียนบนกระดานโดยยังไมเฉลยคําตอบแตชักชวนให
นกั เรียนหาคาํ ตอบจากการทาํ กจิ กรรมตอ ไป

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

109 คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยท่ี 4 โลกและทองฟา ของเรา

แนวคําตอบในแบบบนั ทึกกิจกรรม

เปน กอ นเลก็ ๆ หลาย ๆ สี เปนกอ นเทากาํ ปน มนี าํ้ หนักเบา

เปน หินเนือ้ สาก สีน้าํ ตาล เปน กอ นกลม ๆ มผี วิ เรยี บ

 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 4 โลกและทองฟาของเรา 110

ใชทาํ แผนเหยียบแกเ มื่อย
ใชขัดสน เทา
ใชวางทับกระดาษ

สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

111 คมู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนว ยที่ 4 โลกและทองฟา ของเรา

กิจกรรมที่ 1 หนิ มีลกั ษณะอยางไร

กิจกรรมนีน้ ักเรียนจะไดบ รรยายลักษณะของหิน
โดยนําหนิ มาสังเกตดว ยวธิ ีการตาง ๆ

เวลา 4 ชว่ั โมง
จุดประสงคก ารเรยี นรู

สังเกตและบรรยายลักษณะของหิน

วัสดุ อปุ กรณส าํ หรบั ทาํ กจิ กรรม
สง่ิ ที่ครูตองเตรียม/กลมุ

1. แวนขยาย 3 อัน
2. ตะกรา 1 ใบ

สง่ิ ท่นี ักเรียนตอ งเตรยี ม/คน

1. หิน 1 กอน

2. กระดาษ 1 แผน

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร

S1 การสังเกต ส่อื การเรยี นรูและแหลง เรียนรู หนา 41-42
หนา 46-49
S6 การจัดกระทําและสือ่ ความหมายขอมูล 1. หนังสอื เรยี น ป.1 เลม 2
S8 การลงความเหน็ จากขอมูล 2. แบบบนั ทึกกจิ กรรม ป.1 เลม 2

ทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21

C2 การคดิ อยางมวี ิจารณญาณ
C4 การสือ่ สาร
C5 ความรวมมอื

 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยที่ 4 โลกและทอ งฟา ของเรา 112

แนวการจัดการเรยี นรู ขอเสนอแนะเพม่ิ เติม

1. ครทู บทวนความรทู ี่ไดเรียนมาแลวโดยใชประเด็นคําถามดังนี้ 1. ครูควรแนะนําวาหากนักเรียนตองการ
สังเกตสีของหินใหเห็นชัดเจน ใหนําหินวาง
1.1 เราพบหินในบริเวณใดไดบาง (นักเรียนตอบตามความเขาใจของ บนกระดาษสขี าว
ตนเอง เชน พบไดทีโ่ รงเรียน นํา้ ตก ภเู ขา ทะเล) 2. ในการสังเกตหิน ครูควรกระตุนให
นักเรียนใชประสาทสัมผัสหลาย ๆ อยาง
1.2 หินท่ีพบมีลักษณะอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง ร ว ม กั น เ ช น ต า ดู สี แ ล ะ รู ป ท ร ง
เชน เปนกอนกลม สดี ํา และสากมอื ) มือสัมผัสความหยาบ ละเอียดของเนื้อหิน
และรูปทรง จมูกดมกลิ่น หูฟงเสียงโดยใช
2. ครูเช่ือมโยงเขาสูกิจกรรมท่ี 1 โดยใชคําถามนักเรียนวาถาจะสังเกตหิน ดนิ สอเคาะหิน
สามารถสังเกตไดโดยวิธีใดบาง (สังเกตโดยการดู การสัมผัส การดม การ 3. ครูควรคํานึงถึงการบันทึกขอมูลการ
ฟง) และหากตองการสังเกตลักษณะของหินใหละเอียดยิ่งข้ึน จะตองใช สงั เกตตองมาจากการใชประสาทสัมผัสของ
อปุ กรณอ ะไร หากนักเรยี นไมส ามารถตอบไดวาแวนขยาย ครูอาจช้ีนําให นักเรียนเทาน้ัน ไมควรมีการลงความเห็น
เหน็ ความจําเปนท่ตี องใชแวนขยายชวยขยายภาพใหเราเห็นสิ่งตาง ๆ ได หรือขอ มลู ท่เี กิดจากประสบการณเ ดิมมาใช
ละเอยี ดและชดั เจนย่งิ ขนึ้ จากนัน้ ครูแนะนําวธิ ีการใชแวนขยายและเตือน
ไมใ หน าํ แวน ขยายไปสองดูดวงอาทิตยหรือแหลงกําเนิดแสงอื่น ๆ เพราะ
อาจทําใหตาบอดได

3. ใหนักเรียนเปดหนังสือเรียนหนา 41 อานชื่อกิจกรรม และ ทําเปนคิด
เปน ครูตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนเก่ียวกับจุดประสงคในการทํา
กจิ กรรม โดยอาจใชค าํ ถามตอไปนี้
3.1 กิจกรรมน้นี กั เรยี นจะไดเ รียนรูเกย่ี วกบั เรอื่ งอะไร (ลักษณะของหนิ )

3.2 นักเรียนจะไดเ รยี นรเู รอ่ื งนีด้ ว ยวิธีใด (การสงั เกต)

3.3 เม่อื เรียนแลว นกั เรยี นจะทาํ อะไรได (บรรยายลกั ษณะของหนิ )

4. ใหน ักเรยี นบนั ทกึ จุดประสงคข องกจิ กรรมลงในแบบบันทึกกิจกรรม หนา
46 และ อา นส่งิ ที่ตองใชในการทํากจิ กรรม

5. ใหนักเรียนอาน ทําอยางไร โดยครูใชวิธีฝกการอานท่ีเหมาะสมกับ
ความสามารถของนักเรียน จากน้ันครูตรวจสอบความเขาใจเกี่ยวกับ
ขน้ั ตอนการทาํ กิจกรรมทีละขัน้ โดยอาจใชคาํ ถาม ดังนี้
5.1 ในการสังเกตหินเราใชประสาทสัมผัสอะไรบางและแตละอวัยวะรับ
สัมผัสสังเกตพบลักษณะใดของหิน (ใชการดูสังเกตสี รูปทรง และ

สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

113 คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.1 เลม 2 | หนวยท่ี 4 โลกและทอ งฟา ของเรา

เน้ือหิน โดยใชอวัยวะรับสัมผัสคือตา ใชการสัมผัส สังเกตรูปทรง
และเนือ้ หนิ โดยใชอ วัยวะรับสมั ผสั คือมือ)

5.2 เมื่อนักเรียนสังเกตหินที่ตนเองนํามาอยางละเอียดแลว นักเรียน
จะตองบันทึกอะไรบาง (บันทึกลักษณะของหินโดยการวาดรูปและ
เขยี นบรรยายลักษณะของหนิ ของตนเอง)

5.3 เม่ือรวบรวมหินพรอมคําบรรยายลักษณะหินของกลุมตนเองใส
ตะกราเสร็จแลวนักเรียนตองทําอะไรตอไป (นําตะกราของกลุม
ตนเองไปแลกกับตะกรา ของเพ่ือนกลมุ อนื่ )

5.4 เม่ือไดตะกราของเพื่อนกลุมอ่ืนมาแลวนักเรียนตองทําอะไร (รวมกัน
อา นคาํ บรรยายลักษณะของหินเพอื่ หาหนิ ทตี่ รงกับคาํ บรรยายนั้น)

5.5 นักเรียนจะทราบไดอยางไรวากลุมตนเองจับคูหินกับคําบรรยายได
ถกู ตอ ง (นาํ ไปสอบถามกลุมที่เปนเจา ของหิน)

5.6 นกั เรียนควรทําอยางไรเพื่อใหเพ่ือนกลุมอื่นจับคูหินกับคําบรรยายได
ถูกตอง (ตองเขียนคําบรรยายลักษณะของหินท่ีนํามาของตนเองให
ละเอยี ด ชัดเจน และวาดรูปใหใ กลเคียงทส่ี ดุ )

6. เม่ือนักเรียนเขาใจวิธีทํากิจกรรมในทําอยางไรแลว นักเรียนจะไดปฏิบัติ
ตามขนั้ ตอน ดังนี้

5.1 สังเกตลกั ษณะหินของตนเอง (S1)

5.2 วาดรปู และบรรยายลักษณะหนิ ของตนเอง (S6)

5.3 รวบรวมหินและคาํ บรรยายลักษณะหินของกลมุ ตนเองไปแลกเปลี่ยน
กบั เพื่อนกลุมอ่นื (C5)

5.4 ชวยกันสังเกตลักษณะหินและจับคูหินกับคําบรรยายของเพ่ือนให
ตรงกนั (S1, S8) (C2, C4, C5)

5.5 ใหเพ่ือนกลุมท่ีเปนเจาของหินตรวจสอบผลการจับคูหินกับคํา
บรรยาย (C4)

6. ครูใหนักเรียนวาดรูปและบรรยายลักษณะหินของเพ่ือนลงในแบบบันทึก
กจิ กรรมอยางนอยสองกอน เมอ่ื เสรจ็ เรียบรอยจงึ คืนใหก ลุมเจา ของหนิ

7. รับตะกราหินของกลุมตนเองคืนจากน้ันติดรูปหินของตนเองและ
คาํ บรรยายลงในแบบบันทกึ กิจกรรม

 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี


Click to View FlipBook Version