The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนบูรณาการสวนพฤกษศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนบูรณาการวิทย์64

แผนบูรณาการสวนพฤกษศาสตร์

Keywords: แผนบูรณาการ

(109)
ลาดบั การเรียนรู้ท่ี 2
เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงและความแตกต่าง
วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่อื ร้กู ารเปรียบเทียบการเปล่ยี นแปลงและความแตกตา่ งระหวา่ งพืชกับตน / คน
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรวู้ ธิ ีการเปรยี บเทยี บการเปล่ียนแปลงและความแตกต่างระหว่างพืชกบั ตน / คน
1.1 วิธกี ารสรปุ ผลการเรียนรกู้ ารเปลยี่ นแปลงของพืช โดยน าผลการเรยี นรกู้ ารเปลีย่ นแปลง
(รูปลักษณ์ คณุ สมบัติ พฤติกรรม) มาสรปุ ผลในแตล่ ะระยะการเจรญิ เตบิ โต

1.2 วธิ ีการเรียนร้กู ารเปล่ียนแปลงของคนในเรื่องของรูปกายตน / คน สมรรถภาพจติ อารมณ์
พฤติกรรม ของตน / คน

1.2.1 รูปกายตน / คน เปน็ การเรียนรู้รูปกาย เชน่ รปู ร่าง รปู ทรง สี ผิว ขนาด ลักษณะ เป็น
ตน้ ของผู้เรียน (ตน) 1 ระยะ และผอู้ นื่ (คน) ในระยะตา่ ง ๆ บนั ทึกผลเพ่ือน าข้อมูลที่ไดม้ าเปรียบเทียบกบั
รปู ลักษณ์ของพืช

(110)
1.2.2 สมรรถภาพ เปน็ การเรียนรสู้ มรรถภาพ เชน่ ความสามารถในการเดิน ความสามารถใน
การวิ่ง ความสามารถทางความคดิ ความจา เปน็ ต้น ของผู้เรียน (ตน) 1 ระยะ และผ้อู ่นื (คน) ในระยะต่าง ๆ
บนั ทึกผลเพ่ือนาข้อมูลที่ได้มาเปรยี บเทียบกับคณุ สมบตั ิของพืช
สมรรถภาพ คือ น. ความสามารถ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 หน้า 1128)

1.2.3 จติ อารมณ์ และพฤตกิ รรม เป็นการเรียนรู้ จติ อารมณ์และพฤติกรรมของตน เช่น
การดีใจ การเสยี ใจ การไมส่ บายใจ การหงดุ หงิด เป็นต้น ของผู้เรยี น (ตน) และผูอ้ ื่น (คน) ในช่วงเวลาหน่งึ
บันทกึ ผลเพ่ือนาข้อมูลท่ีได้มาเปรียบเทยี บกบั พฤติกรรมของพชื

จิต คือ น. ใจ สิ่งท่มี หี น้าที่รู้ คิดและนึกถึง (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 หนา้ 312)
อารมณ์ คือ น. สง่ิ ทย่ี ดึ หนว่ งจิตโดยผา่ นทางสายตา หจู มูก ลน้ิ กายและใจ (พจนานุกรม ฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน 2542 หน้า 1367)
พฤตกิ รรม คือ น. เหตกุ ารณท์ เี่ ปน็ มาหรอื ท่จี ะเป็นไป ความเป็นไปในเวลากระทาการ (พจนานุกรม
ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน 2542 หน้า 768)

2. เรยี นรกู้ ารเปรยี บเทยี บการเปล่ยี นแปลงและความแตกต่างระหว่างพชื กับตน / คน
2.1 เรียนรกู้ ารเปรยี บเทยี บข้อมลู ด้านการเปลี่ยนแปลงด้านรปู ลักษณ์กับรปู กายตน / คน เป็นการ

นาผลการเรยี นรกู้ ารเปลย่ี นแปลงด้านรูปลกั ษณ์ของพชื ในส่วนประกอบต่างๆ นามาพจิ ารณาเปรยี บเทยี บกับ
ส่วนตา่ ง ๆ ของรูปกายตน / คน

2.2 เรียนรู้การเปรียบเทียบข้อมลู ด้านการเปลย่ี นแปลงคณุ สมบัตกิ บั สมรรถภาพของตน / คน เป็น
การน าผลการเรยี นร้กู ารเปลี่ยนแปลงดา้ นคุณสมบัตขิ องพืชในสว่ นประกอบต่าง ๆ น ามาพิจารณา
เปรยี บเทียบกบั สมรรถภาพของตน / คน

(111)

2.3 เรยี นรกู้ ารเปรยี บเทียบข้อมลู ด้านการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมกับจติ อารมณ์และพฤติกรรมของ
ตน / คน เปน็ การนาผลการเรียนรูก้ ารเปล่ียนแปลงด้านพฤติกรรมของพืชในส่วนประกอบต่าง ๆ นามา
พจิ ารณาเปรยี บเทยี บกับจิต อารมณ์ พฤติกรรมของตน / คน

ลาดบั การเรยี นร้ทู ี่ 3
สรุปองค์ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการศกึ ษาธรรมชาติแห่งชีวิต
วตั ถุประสงค์
1. เพอ่ื รู้วธิ กี ารสรุปองค์ความรจู้ ากการศกึ ษาธรรมชาติ
แห่งชวี ิต
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นรู้วธิ ีการสรปุ องค์ความรูก้ ารศึกษาดา้ นรปู ลกั ษณ์
1.1 สรุปความรู้ ดา้ นรูปลักษณ์ของพืชศกึ ษา
นาความรูท้ ั้งหมดท่ไี ดจ้ ากผลการศึกษาด้านรปู ลักษณ์ของพืชมาสรปุ และบันทกึ ผล
1.2 สรุปความรู้ ดา้ นรูปกายของตน / คน
นาความรทู้ ง้ั หมดทีไ่ ด้จากผลการศึกษาด้านรปู กายของตน / คน มาสรุปและบนั ทกึ ผล
1.3 สรุปองคค์ วามรู้ดา้ นรปู ลกั ษณ์
นาความร้ทู ัง้ หมด ด้านรูปลักษณ์ของพืชศึกษา และความรู้ดา้ นรปู กายของตน / คน มาสรปุ
เปน็ องค์ความรดู้ ้านรปู ลักษณ์ เพอื่ ใหเ้ ห็นการเปลย่ี นแปลง มีความแตกตา่ งสามารถนาไปสรุปใหเ้ กิดเปน็ องค์
ความรู้และสิ่งท่ีผ้เู รียนคน้ พบนาไปสูค่ วามเขา้ ใจในชวี ติ
2. เรียนรูว้ ธิ กี ารสรปุ องคค์ วามรกู้ ารศึกษาดา้ นคุณสมบัติ
2.1 สรุปความรู้ ด้านรูค้ ณุ สมบัติของพืชศกึ ษา
นาความรทู้ ง้ั หมดทไ่ี ดจ้ ากผลการศึกษาด้านคุณสมบัติของพืชมาสรุปและบันทึกผล
2.2 สรปุ ความรู้ ดา้ นสมรรถภาพของตน/คน
นาความรู้ทั้งหมดท่ไี ดจ้ ากผลการศึกษาด้านสมรรถภาพของตน/คน มาสรุปและบนั ทึกผล
2.3 สรุปองค์ความรู้ด้านคุณสมบตั ิ
นาความรูท้ ้งั หมด ดา้ นคณุ สมบตั ิของพชื ศึกษา และความรดู้ า้ นสมรรถภาพของตน/คน มาสรุป
เป็นองค์ความรดู้ า้ นคุณสมบัติ เพื่อใหเ้ หน็ การเปลี่ยนแปลง มีความแตกต่างสามารถนาไปสรปุ ให้เกดิ เปน็ องค์
ความร้แู ละสงิ่ ท่ีผเู้ รียนคน้ พบนาไปสู่ความเขา้ ใจในชีวติ
3. เรยี นร้วู ธิ ีการสรปุ องคค์ วามรู้การศกึ ษาดา้ นพฤติกรรม
3.1 สรุปองคค์ วามรู้ ดา้ นพฤติกรรมของพชื ศกึ ษา
นาความรทู้ ้ังหมดที่ไดจ้ ากผลการศึกษาด้านพฤตกิ รรมของพชื มาสรุปและบันทึกผล
3.2 สรปุ องค์ความรู้ ดา้ นจิต อารมณ์ และพฤติกรรมของตน/คน
นาความร้ทู ั้งหมดท่ไี ด้จากผลการศึกษาด้านจิต อารมณ์ และพฤตกิ รรมของตน/คน มาสรปุ และ
บนั ทกึ ผล

(112)
3.3 สรุปองคค์ วามรู้ดา้ นพฤติกรรม

นาความรู้ท้ังหมด ดา้ นพฤติกรรมของพืชศึกษา และความรดู้ ้านจติ อารมณ์ และพฤตกิ รรมของ
ตน/คน มาสรุปเปน็ องคค์ วามร้ดู า้ นพฤติกรรม เพอ่ื ใหเ้ หน็ การเปล่ยี นแปลง มีความแตกต่างสามารถนาาไปสรุป
ใหเ้ กดิ เปน็ องค์ความร้แู ละส่งิ ท่ีผเู้ รียนคน้ พบนาไปสคู่ วามเข้าใจในชีวิต

ลาดับการเรียนรทู้ ่ี 4
สรปุ แนวทางเพ่ือนาไปสู่การประยกุ ตใ์ ช้ในการดาเนนิ ชีวิต
วตั ถุประสงค์
1. เพ่อื รูว้ ิธกี ารนาองค์ความรูไ้ ปประยุกต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวติ
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนร้วู ธิ กี ารน าองคค์ วามรดู้ ้านรปู ลักษณ์ไปประยุกต์ใชใ้ นการด าเนนิ ชวี ิต
นาองคค์ วามรู้และส่ิงทผ่ี ้เู รียนคน้ พบดา้ นรปู ลกั ษณ์ไปกาหนดเป็นแนวคิด แนวทาง ใหส้ ามารถดาเนนิ
ชีวิตอย่างเข้าใจ เข้าใจธรรมชาตริ อบตน รแู้ ละเข้าใจคนรอบขา้ ง เพื่อนรว่ มงาน มีความเขา้ ใจตน ดารงตนอยา่ ง
มคี วามสขุ
2. เรยี นรู้วธิ ีการนาองค์ความรู้ด้านคุณสมบตั ิไปประยุกต์ใช้ในการดาเนนิ ชวี ติ
นาองคค์ วามรู้และสิ่งทผี่ เู้ รียนค้นพบด้านคุณสมบัติไปกาหนดเปน็ แนวคิด แนวทาง ใหส้ ามารถดาเนนิ
ชวี ิตอยา่ งเขา้ ใจ เข้าใจธรรมชาตริ อบตน รู้และเข้าใจคนรอบข้าง เพ่ือนรว่ มงาน มีความเข้าใจตน ดารงตนอยา่ ง
มคี วามสขุ
3. เรียนรวู้ ธิ กี ารนาองค์ความรูด้ า้ นพฤตกิ รรมไปประยกุ ต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวิต
นาองคค์ วามรู้และส่ิงท่ีผเู้ รียนคน้ พบดา้ นพฤตกิ รรมไปกาหนดเปน็ แนวคิด แนวทาง ให้สามารถ
ดาเนนิ ชวี ิตอยา่ งเข้าใจ เข้าใจธรรมชาตริ อบตน รแู้ ละเข้าใจคนรอบข้าง เพ่ือนรว่ มงาน มีความเข้าใจตน ดารง
ตนอยา่ งมีความสขุ
ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ
ดา้ นวิชาการ
1. พฤกษศาสตร์เช่น ช่ือวทิ ยาศาสตรช์ อื่ วงศ์ข้อมลู ลักษณะพรรณไม้
2. ชวี วทิ ยา เชน่ วงจรชีวิต
3. นเิ วศวิทยา เชน่ ขอ้ มลู ถ่ินอาศัย ดนิ นา้ ลม แสงแดด ความสมั พนั ธ์ระหว่างปจั จัย
4 สรีรวิทยา เช่น การเปลีย่ นแปลงรปู ลกั ษณ์การเจริญเติบโต การคายน้า การสงั เคราะห์
ดว้ ยแสง
5. เกษตร เชน่ การปลกู การดแู ลรักษา
6. วทิ ยาศาสตร์เช่น การสงั เกต การบันทึก การเปรียบเทียบ
7. ภาษา เชน่ การเขยี นบรรยาย
8. สงั คม เชน่ พฤตกิ รรมการตอบสนองและแสดงออก
9. ศลิ ปะ เช่น การวาดภาพ การถ่ายภาพ

(113)

ด้านภมู ปิ ญั ญา
1. การสรา้ งองค์ความรู้ข้นึ ใหม่
2. การจัดการชวี ติ เข้าใจชวี ติ

คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
1. ความรบั ผดิ ชอบงานทีไ่ ด้รับมอบหมาย
2. ความซื่อตรง ในการศึกษาและรายงานผลทีถ่ กู ต้องเปน็ จรงิ
3. ความมรี ะเบียบความรอบคอบ ละเอยี ด ถ่ีถว้ น ในการปฏบิ ตั งิ าน
4.. ความอดทนต่อสภาพแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั ิงาน เชน่ อดทนต่อความร้อนของแสงแดด

(114)
สาระการเรียนร้สู รรพสิ่งลว้ นพนั เกยี่ ว

หลักการ รู้สัมพันธ์ รู้ผูกพัน รู้ดลุ ยภาพ
สาระการเรียนรู้

การวิเคราะหอ์ งค์ความร้ธู รรมชาตขิ องปัจจัยหลัก การเรยี นรู้ธรรมชาตขิ องปัจจยั ทเ่ี ขา้ มาเกี่ยวข้อง
การเรียนรูธ้ รรมชาติของความพันเกี่ยวระหว่างปจั จัย การวเิ คราะหส์ มั พนั ธภาพระหวา่ งปัจจยั เพือ่ เข้าใจ
ดุลยภาพและความพนั เก่ียวของสรรพสิ่ง
ลาดับการเรยี นรู้

1. รวบรวมองคค์ วามรู้ท่ีได้จากการเรยี นรูธ้ รรมชาตแิ ห่งชวี ติ
2. เรยี นร้ธู รรมชาตขิ องปัจจัยชวี ภาพอ่ืนทเี่ ขา้ มาเกยี่ วขอ้ งกบั ปัจจยั หลกั

2.1 เรยี นรู้ด้านรูปลกั ษณ์ คุณสมบตั ิ พฤติกรรม
2.2 สรุปผลการเรียนรู้
3. เรียนรู้ธรรมชาติของปจั จัยกายภาพ (ดนิ น้า แสง อากาศ)
3.1 เรยี นรูด้ า้ นรูปลกั ษณ์ คุณสมบัติ
3.2 สรปุ ผลการเรยี นรู้
4 เรียนรธู้ รรมชาตขิ องปัจจัยอ่ืน ๆ (ปจั จัยประกอบ เชน่ วัสดอุ ุปกรณ์ อาคารสถานท่)ี
5. เรียนรู้ธรรมชาติของความพันเก่ยี วระหวา่ งปัจจยั
5.1 เรียนรู้ วิเคราะหใ์ หเ้ ห็นความสัมพันธแ์ ละสมั พันธภาพ
5.2 เรยี นรู้ วเิ คราะห์ใหเ้ หน็ ความผูกพัน
6. สรุปผลการเรียนรู้ ดลุ ยภาพของความพนั เก่ียว

อธบิ ายลาดบั การเรยี นรู้
ลาดบั การเรยี นรทู้ ่ี 1
รวบรวมองคค์ วามรู้ที่ไดจ้ ากการเรยี นรู้ธรรมชาตแิ ห่งชวี ิต
วัตถปุ ระสงค์
1. เพอื่ รอู้ งค์ความรูธ้ รรมชาตแิ ห่งชีวิตของพชื ศึกษา
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้การรวบรวมองคค์ วามรูด้ ้านรปู ลักษณ์ของพืช
นาความรู้และองค์ความรู้จากการศึกษาในแต่ละเรือ่ งมาสรุปเปน็ องค์ความร้ดู า้ นรปู ลักษณข์ องพชื
2. เรียนรกู้ ารรวบรวมองคค์ วามรู้ดา้ นคุณสมบัติของพืช
นาความรแู้ ละองค์ความรจู้ ากการศึกษาในแตล่ ะเร่อื งมาสรปุ เปน็ องค์ความรดู้ า้ นคุณสมบัติของพชื
3. เรยี นรกู้ ารรวบรวมองคค์ วามรดู้ ้านพฤติกรรมของพชื
นาความรู้และองคค์ วามรู้จากการศกึ ษาในแตล่ ะเรื่องมาสรุปเป็นองค์ความร้ดู ้านพฤติกรรมของพชื

(115)
ลาดับการเรยี นรูท้ ี่ 2
เรยี นรู้ธรรมชาติของปัจจยั ชีวภาพอ่นื ๆ ที่เข้ามาเก่ยี วข้องกับปจั จัยหลกั

วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อรูธ้ รรมชาติของปัจจยั ชีวภาพอนื่ ทเี่ ขา้ มาเกย่ี วข้องกับปัจจัยหลกั

(116)
กระบวนการเรียนรู้

1. เรียนรูด้ ้านรูปลกั ษณ์ คณุ สมบตั ิ และพฤตกิ รรม
1.1 เรยี นรูด้ า้ นรูปลกั ษณ์
เปน็ การเรียนร้ดู า้ นรปู ลักษณ์ภายนอก และภายใน ของปจั จัยชวี ภาพอนื่ ๆ ทุกอวัยวะของชวี ภาพ

เช่น รูปรา่ ง รูปทรง สี ผวิ เนือ้ ขนาด จานวน ฯลฯ
1.1.1 การกาหนดปจั จยั ในการเรยี นรู้
1.1.2 เลือกชีวภาพอืน่ ๆ ทุกอวัยวะของชีวภาพ
1.1.3 กาหนดจานวนของชีวภาพอื่น ๆ
1.1.4 การกาหนดเรื่องท่ีจะเรียนรู้
1. เร่อื งทจี่ ะเรยี นรู้ เช่น รูปร่าง รูปทรง สี ผิว เน้อื ขนาดจานวน ฯลฯ
2. อวัยวะของชีวภาพอืน่ ๆ เชน่ หัว อก ท้อง ฯลฯ
3. นาอวยั วะของชีวภาพอนื่ ๆ มากาหนดเร่ืองท่จี ะเรียนรู้

วิธีการศกึ ษา ตัวแปรท่ศี ึกษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตัวอยา่ งเรือ่ งทจ่ี ะเรียนรู้ :
การเรยี นรกู้ ารเรยี นรรู้ ปู ร่างของหัวมดดา ในระยะท่ีมกี ารเจรญิ เติบโตเตม็ วัย (ระบุอายุ)

วิธีการศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรที่ศึกษา : รูปร่างของหัวมดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในระยะทม่ี ีการเจรญิ เติบโตเตม็ ที่ (ระบอุ ายุ) และสถานที่

1.1.5 เรียนรดู้ า้ นรูปลักษณ์
เปน็ การเรียนรูเ้ ร่ืองที่ไดก้ าหนด โดยแสดงวสั ดุ อุปกรณ์ วธิ กี ารเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบ
ตารางบนั ทึก) และสรุปผลการเรียนรู้

(117)
1.2 เรียนร้ดู า้ นคุณสมบตั ิ

เป็นการเรียนรดู้ า้ นคุณสมบตั ภิ ายนอก และภายใน ของปัจจยั ชวี ภาพอน่ื ๆ มีการเรยี นรเู้ รอ่ื งด้านเคมี
เช่น รสชาติ กลนิ่ การตดิ สี สารต่าง ๆ ดา้ นฟสิ ิกส์ เช่น ความแข็ง ความเหนียว การลอยน้า การยืดหย่นุ ฯลฯ

1.2.1 การกาหนดปัจจยั ในการเรียนรู้
1. เลอื กชีวภาพอ่ืน ๆ ทุกอวัยวะของชวี ภาพ
2. กาหนดจานวนของชีวภาพอ่ืน ๆ

1.2.2 การกาหนดเร่อื งทจ่ี ะเรียนรู้
1. เรอ่ื งท่จี ะเรยี นรู้ เชน่ ดา้ นเคมี เช่น รสชาติ กล่นิ การติดสีสาร ตา่ ง ๆ ดา้ นฟสิ ิกส์ เช่น

ความแขง็ ความเหนยี ว การลอยนา้ การยืดหยุ่น ฯลฯ
2. อวัยวะของชีวภาพอ่ืน ๆ เช่น หวั อก ท้อง ฯลฯ
3. นาอวยั วะของชวี ภาพอื่น ๆ มาก้าหนดเร่อื งที่จะเรียนรู้

วิธีการศึกษา ตวั แปรทศี่ กึ ษา ขอบเขตการศึกษา

ตวั อย่างเรื่องทจี่ ะเรียนรู้ :
การเรยี นรู้การเรยี นรู้กลิน่ ของมดดาในระยะทม่ี ีการเจรญิ เตบิ โตเต็มวัย (ระบอุ ายุ)

วธิ ีการศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ศี กึ ษา : กลนิ่ ของมดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในระยะทม่ี ีการเจริญเติบโตเตม็ ท่ี (ระบุอายุ) และสถานท่ี
1.2.3 เรยี นร้ดู า้ นคณุ สมบตั ิ
เป็นการเรยี นรู้เรือ่ งท่ีไดก้ าหนด โดยแสดงวัสดุ อปุ กรณ์ วิธกี ารเรียนรู้ ผลการเรียนรู้
(ออกแบบตารางบนั ทึก) และสรปุ ผลการเรยี นรู้
1.3 เรียนรูด้ ้านพฤตกิ รรม

เปน็ การเรียนร้ดู า้ นพฤติกรรมของปจั จัยชีวภาพอ่ืน ๆ เชน่ การเดนิ การกิน การตอ่ สู้ การขบั ถ่าย
การขยบั การขยบั หนวด การบิน การกระโดด การพักผ่อน ฯลฯ

1.3.1 การกาหนดปัจจยั ในการเรยี นรู้
1. เลอื กชีวภาพอน่ื ๆ ทุกอวยั วะของชวี ภาพ
2. กาหนดจานวนของชวี ภาพอนื่ ๆ

1.3.2 การกาหนดเรอื่ งท่จี ะเรียนรู้
1. เร่อื งท่จี ะเรยี นรู้ เชน่ การเดิน การกิน การต่อสู้ การขับถ่าย การขยับ การขยบั หนวด

การบิน การกระโดด การพกั ผ่อน ฯลฯ
2. อวยั วะของชวี ภาพอน่ื ๆ เชน่ หัว อก ท้อง ฯลฯ
3. นาอวัยวะของชีวภาพอื่น ๆ มากาหนดเร่ืองที่จะเรยี นรู้

วธิ ีการศกึ ษา ตัวแปรทศ่ี ึกษา ขอบเขตการศกึ ษา

(118)

1.3.3 เรียนรู้ด้านด้านพฤติกรรม
เปน็ การเรยี นรูเ้ รอ่ื งที่ได้กา้ หนด โดยแสดงวัสดุ อุปกรณ์ วธิ กี ารเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบ

ตารางบันทึก) และสรุปผลการเรยี นรู้
2. สรปุ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นรปู ลักษณ์ คุณสมบัติ และพฤติกรรม เป็นการนาผลการเรยี นรดู้ า้ นรูปลกั ษณ์

คุณสมบตั ิและพฤตกิ รรม ของชวี ภาพอืน่ ๆ มาสรปุ ผลการเรียนรู้
ลาดบั การเรียนรทู้ ี่ 3

เรยี นร้ธู รรมชาตขิ องปัจจยั กายภาพ (ดิน นา้ แสง อากาศ)
วัตถุประสงค์

1. เพอื่ รู้ธรรมชาติของปจั จยั กายภาพที่เขา้ มาเกย่ี วข้องกบั ปจั จัยหลกั

(119)

กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรูด้ ้านรปู ลักษณ์ และคุณสมบัติ
1.1 เรยี นรดู้ า้ นรูปลกั ษณ์
เปน็ การเรยี นรดู้ า้ นรปู ลกั ษณ์ ของกายภาพ เช่น รปู ร่าง รูปทรง สี ผวิ เน้อื ขนาด จานวน ฯลฯ
1.1.1 การกาหนดปจั จยั ในการเรยี นรู้
1.1.2 เลอื กกายภาพอ่ืน
1.1.3 กาหนดจานวนของภายภาพอ่ืน
1.1.4 การกาหนดเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้
1. เรือ่ งที่จะเรยี นรู้ เชน่ รปู ร่าง รูปทรง สี ผิว เนอื้ ขนาด จานวน ฯลฯ
2. องคป์ ระกอบของกายภาพ เช่น โครงสร้าง อนภุ าค สี ฯลฯ
3. นาองคป์ ระกอบของกายภาพ มากาหนดเรื่องที่จะเรียนรู้

วิธกี ารศึกษา ตัวแปรท่ีศกึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตวั อยา่ งเร่ืองทจ่ี ะเรียนรู้ :
การเรยี นรู้สขี องดนิ ในบรเิ วณทพี่ บพืชศกึ ษา
วธิ กี ารศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ีศกึ ษา : สขี องดนิ
ขอบเขตของการศึกษา : ในบรเิ วณที่พบพืชศึกษา และสถานที่

(120)
1.2 เรยี นรู้ด้านคุณสมบัติ

เปน็ การเรยี นรดู้ ้านคุณสมบตั ิ ของกายภาพ (ดนิ น้า แสง อากาศ) มีการเรียนรู้เรอ่ื งดา้ นเคมี เชน่
รสชาติ กล่นิ การติดสี ด้านฟิสิกส์ เชน่ ความแขง็ ความเหนียว การลอยนา้ การอมุ้ น้าของดิน ฯลฯ

1.2.1 การกา้ หนดปัจจัยในการเรียนรู้
1. เลอื กปจั จยั กายภาพ (ดิน นา้ แสง อากาศ)
2. กาหนดจานวนของกายภาพ (ดิน น้า แสง อากาศ)

1.2.2 การกาหนดเร่ืองท่จี ะเรยี นรู้
1. เรอ่ื งทีจ่ ะเรียนรู้ เชน่ ดา้ นเคมี เชน่ รสชาติ กล่นิ ความเปน็ กรด-ดา่ ง ฯลฯ ดา้ นฟสิ ิกส์

เชน่ ความแข็ง ความเหนียว ความหนาแน่น ฯลฯ
2. องคป์ ระกอบของกายภาพ (ดนิ นา้ แสง อากาศ)
3. กาหนดเรือ่ งท่ีจะเรยี นรู้

วิธีการศึกษา ตัวแปรท่ีศึกษา ขอบเขตการศึกษา

ตวั อยา่ งเร่ืองท่ีจะเรยี นรู้ :
การเรยี นรู้กลน่ิ ของดนิ ของดนิ ในบริเวณที่พบพชื ศึกษา
วธิ ีการศึกษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรทศี่ ึกษา : กลน่ิ ของดนิ
ขอบเขตของการศึกษา : ในบรเิ วณท่พี บพชื ศึกษา และสถานท่ี
2. สรุปผลการเรียนรู้ ดา้ นรปู ลักษณ์ และคุณสมบตั ิ
เป็นการน้าผลการเรียนรดู้ ้านรูปลกั ษณ์ และคุณสมบัตขิ องกายภาพ (ดิน นา้ แสง อากาศ) มาสรุปผล

การเรียนรู้

(121)
ลาดับการเรยี นร้ทู ี่ 4
เรยี นร้ธู รรมชาตขิ องปัจจยั อ่ืน ๆ (ปจั จัยประกอบ เช่น วัสดอุ ปุ กรณ์ อาคารสถานท่)ี
วตั ถปุ ระสงค์
1 เพ่อื รสู้ ่วนประกอบปัจจยั อนื่ ๆ
2. เพ่ือรวู้ ธิ กี ารใชป้ ัจจัยอ่ืน ๆ
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรกู้ ารวิเคราะห์สว่ นประกอบของปจั จัยอื่น ๆ
1.1 สารวจ ศกึ ษา สว่ นประกอบ ของปจั จยั อ่นื ๆ ที่เข้ามาเกยี่ วข้องกับปัจจัยหลัก (ปัจจัยอนื่ ๆคือ
คอื สง่ิ ทม่ี าสนบั สนุนการเรยี นรพู้ ชื สตั วก์ ายภาพ)
1.2 วเิ คราะห์ จาแนก สว่ นประกอบของปจั จยั อนื่ ๆ
2. เรยี นรูว้ ธิ กี ารใชข้ องปัจจยั อ่นื ๆ
2.1 เรียนรู้ด้านรูปลักษณ์
เป็นการเรียนรดู้ ้านรูปลักษณ์ ของปจั จยั อนื่ ๆ เช่น รูปรา่ ง รูปทรง สี ผวิ เน้ือ ขนาด จา้ นวน ฯ
2.1.1 การกาหนดปัจจยั อ่ืนๆในการเรยี นรู้
1. เลือกปัจจยั อืน่ ๆ
2. กาหนดจานวนปัจจัยอ่นื ๆ
2.1.2 การกาหนดเรอ่ื งทจ่ี ะเรยี นรู้
1. เรือ่ งทจี่ ะเรียนรู้ เช่น รูปรา่ ง รูปทรง สี ผิว เนอื้ ขนาด จานวน ฯลฯ
2. องคป์ ระกอบของปจั จยั อนื่ ๆ เช่น โครงสรา้ ง อนภุ าค สี ฯลฯ
3. นาองคป์ ระกอบของปัจจยั อนื่ ๆ มากาหนดเร่อื งที่จะเรยี นรู้

วิธกี ารศกึ ษา ตัวแปรทีศ่ กึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตัวอยา่ งเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้ :
การเรียนรสู้ ีของผนงั คอนกรีตในบรเิ วณที่พบพืชศึกษา
วธิ กี ารศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตวั แปรท่ีศึกษา : สขี องผนงั คอนกรีต
ขอบเขตของการศึกษา : ในบริเวณท่ีพบพืชศกึ ษา และสถานที่
2.2. เรียนรู้ด้านคณุ สมบตั ิ
เปน็ การเรียนรู้ดา้ นคณุ สมบตั ิ ของปจั จัยอืน่ ๆ มีการเรียนรเู้ ร่อื งด้านเคมี เช่น รสชาติ กลน่ิ การติดสี

ด้านฟสิ กิ ส์ เช่น ความแขง็ ความเหนียว การลอยน้า การอุ้มน้าของดนิ ฯลฯ
2.2.1 การกาหนดปัจจยั ในการเรยี นรู้
1. เลอื กของปัจจัยอื่น ๆ
2. กา้ หนดจ้านวนปัจจยั อื่น ๆ

(122)

2.2. การกาหนดเร่อื งทจี่ ะเรยี นรู้
1. เรือ่ งท่ีจะเรยี นรู้ เชน่ ด้านเคมี เชน่ รสชาติ กลิน่ ความเป็นกรด-ด่าง ฯลฯ ด้านฟสิ ิกส์

เชน่ ความแขง็ ความเหนียว ความหนาแน่น ฯลฯ
2. องค์ประกอบของปจั จยั อนื่ ๆ มากา้ หนดเรื่องท่จี ะเรยี นรู้

วิธกี ารศึกษา ตัวแปรท่ีศกึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตว้ อย่างเรื่องท่จี ะเรียนรู้ :
การเรยี นรูก้ ลิ่นของผนังคอนกรตี ในบริเวณท่พี บพืชศึกษา
วธิ กี ารศึกษา : การเรยี นรู้
ตวั แปรท่ีศกึ ษา : กล่ินของผนงั คอนกรตี
ขอบเขตของการศึกษา : ในบรเิ วณทพี่ บพชื ศึกษา และสถานที่

ลาดบั การเรียนรูท้ ่ี 5
เรียนรูธ้ รรมชาติของความพนั เกีย่ วระหว่างปจั จัย
วัตถุประสงค์
1. เพ่อื รู้ความพนั เกีย่ วระหวา่ งปจั จัย
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรู้ความสัมพันธ์
ใหเ้ รียนรเู้ รอื่ งความสมั พันธพ์ ฤติกรรม การตอบสนองต่อกนั ระหว่างปัจจัยในสภาวะต่าง ๆ เช่น
การศกึ ษาความผูกพันของหม่อนกับมดดาในสภาวะที่มแี สงและไม่มีแสง เป็นตน้
1.1 การกาหนดเรื่องท่ีจะเรียนรู้
1. ปัจจยั หลัก (พชื ศึกษา)
2. ปจั จยั กายภาพและปัจจยั อื่นๆ

วิธกี ารศกึ ษา ตัวแปรท่ีศกึ ษา ขอบเขตการศึกษา

ตว้ อยา่ งเรอื่ งท่ีจะเรยี นรู้ :
การศกึ ษาความสัมพันธ์หม่อนกับมดดาในสภาวะท่มี แี สงและไมม่ แี สง
วิธีการศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรทีศ่ ึกษา : ความสัมพนั ธ์หม่อนกับมดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในสภาวะทม่ี แี สงและไม่มีแสง

(123)

ให้เรยี นร้เู ร่ืองความผูกพนั พฤตกิ รรม การตอบสนองตอ่ กัน ระหวา่ งปจั จยั ในสภาวะต่าง ๆ เช่น
การศกึ ษาความผูกพันของหม่อนกบั มดดาในสภาวะที่มีแสงและไมม่ แี สง เป็นตน้

2.1 การกาหนดเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้
1. ปัจจยั หลกั (พืชศึกษา)
2. ปัจจัยกายภาพและปัจจยั อื่นๆ
วธิ ีการศึกษา ตวั แปรทีศ่ ึกษา ขอบเขตการศกึ ษา

(124)

ตวั อยา่ งเร่อื งทจ่ี ะเรียนรู้ :
การศึกษาความผกู พนั หม่อนกบั มดดาในสภาวะที่มีแสงและไมม่ แี สง
วธิ กี ารศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรทศ่ี กึ ษา : ความผูกพนั หม่อนกบั มดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในสภาวะทม่ี แี สงและไมม่ ีแสง
3. เรียนรดู้ ลุ ยภาพ ความสมดุล
ให้เรียนรูด้ ลุ ยภาพ ความสมดลุ ที่เกิดข้นึ ระหวา่ งปัจจัยศึกษา เชน่ การศกึ ษาดลุ ยภาพ ความสมดุล

ของหม่อนกบั มดดา้ ในสภาวะท่มี แี สงและไม่มีแสง เป็นต้น
2.1 การก้าหนดเรือ่ งท่จี ะเรยี นรู้
1. ปจั จยั หลัก (พชื ศกึ ษา)
2. ปัจจัยกายภาพและปัจจัยอ่ืน ๆ

วิธีการศึกษา ตวั แปรทศี่ ึกษา ขอบเขตการศึกษา

ต้วอยา่ งเร่อื งทีจ่ ะเรียนรู้ :
การศกึ ษาดุลยภาพ ความสมดลุ หม่อนกับมดดาในสภาวะที่มแี สงและไม่มีแสง
วิธีการศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรทศ่ี กึ ษา : ดุลยภาพ ความสมดุลหม่อนกบั มดดา
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในสภาวะท่ีมีแสงและไม่มีแสง

ลาดับการเรยี นรทู้ ี่ 6
สรุปผลการเรียนรู้ ดุลยภาพของความพนั เกย่ี ว
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่อื รู้ความสมดุลของความพันเกี่ยว
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นรกู้ ารสรปุ ผลความสัมพนั ธ์ ความผูกพนั ดลุ ยภาพ ความสมดลุ ระหว่างปัจจัยศึกษา
2. เรียนรกู้ ารสรปุ ผลดลุ ยภาพในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ การท้าแอนเิ มช่ัน แผนภาพ อินโฟกราฟฟิก
ภาพวาด แผนภมู ิ วฏั จกั ร ฯลฯ

(125)

ผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั
ด้านวชิ าการ

1. พฤกษศาสตร์เช่น รูปลกั ษณ์ของพชื ชอ่ื วิทยาศาสตร์การจาแนกชนดิ
2. สตั วศาสตรเ์ ชน่ รูปลักษณค์ ุณสมบตั ิและพฤติกรรมของสตั ว์ชือ่ วิทยาศาสตร์
การจาแนกชนิด
3. จลุ ชวี วทิ ยา เชน่ ส่งิ มีชวี ติ ขนาดเล็ก แบคทีเรยี เช้ือรา
4. ชวี วิทยา เชน่ วงจรชวี ิต การเจรญิ เตบิ โต
5. ปฐพวี ิทยา เชน่ รปู ลกั ษณ์ และคุณสมบัติของดนิ
6. สังคมศาสตร์เช่น ความสัมพนั ธ์ ความผูกพนั การอยูร่ ว่ มกัน การพ่ึงพาอาศัยกนั
7. กฎี วิทยา เชน่ แมลงตา่ ง ๆ
8. นิเวศวทิ ยา เช่น ห่วงโซ่อาหาร ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปจั จยั
ดา้ นภูมิปัญญา
1. การจดั การธรรมชาตใิ หส้ มดลุ
2. การจัดการชวี ิต เข้าใจชวี ิต และอยกู่ บั ธรรมชาติได้อยา่ งเหมาะสม
คณุ ธรรมและจริยธรรม
1. มคี วามเมตตา กรุณา ไมท่ ้าร้ายท้าลาย
2. ความรับผิดชอบในการปฏบิ ตั ิงานที่ไดร้ บั มอบหมาย
3. ความซ่ือตรง ในการศึกษาและรายงานผลทีถ่ ูกต้องเป็นจรงิ
4. ความมรี ะเบียบความรอบคอบ ละเอียดถี่ถว้ น
5. ความอดทนต่อสภาพแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั ิงาน เช่น อดทนต่อความร้อนของแสงแดด
6. ความเพยี รในการปฏิบัตงิ าน
7. มีความเอื้ออาทร เก้ือหนนุ

(126)

สาระการเรียนรู้ประโยชนแ์ ท้แกม่ หาชน
หลักการ รูศ้ ักยภาพ รู้จินตนาการ รูป้ ระโยชน์
สาระการเรียนรู้

การวเิ คราะหศ์ ักยภาพของปจั จัยศึกษา จินตนาการเห็นคณุ สรรสร้างวิธีการ เพ่อื ประโยชนแ์ ท้แก่มหาชน
ลาดับการเรียนรู้

1. เรยี นร้กู ารวิเคราะหศ์ กั ยภาพของปัจจัยศึกษา
1.1 พจิ ารณาศักยภาพดา้ นรปู ลกั ษณ์
1.2 วเิ คราะห์ศกั ยภาพดา้ นคุณสมบตั ิ
1.3 จินตนาการศกั ยภาพด้านพฤติกรรม

2. เรียนรู้ จินตนาการเห็นคณุ ของศักยภาพ ของปัจจัยศกึ ษา
2.1 จินตนาการจากการวิเคราะห์ศักยภาพ
2.2 เรียนรสู้ รุปคุณของศักยภาพ ที่ได้จากจินตนาการ

3. สรรสร้างวิธีการ
3.1 พจิ ารณาคุณทเี่ กิดจากจินตนาการ
3.2 สรา้ งแนวคิด แนวทาง วธิ กี าร

4. สรปุ ผลการเรยี นรู้ ประโยชน์แท้แก่มหาชน

(127)

อธิบายลาดบั การเรียนรู้
ลาดบั การเรยี นรทู้ ี่ 1
เรียนรู้การวเิ คราะหศ์ กั ยภาพของปัจจัยศึกษา
วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือร้กู ารวเิ คราะห์ศักยภาพ
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรูศ้ ักยภาพ
ศกั ยภาพ คือ ภาวะแฝง อ านาจหรอื คณุ สมบตั ิที่มีแฝงอยู่ในสงิ่ ต่าง ๆ อาจท าให้พฒั นาหรือให้
ปรากฎเปน็ ส่ิงทปี่ ระจักษ์ได้
1.1 เรียนรู้การวเิ คราะห์ด้านรปู ลกั ษณ์
1.1.1 พจิ ารณารูปลกั ษณ์พชื ศึกษา ชวี ภาพ และกายภาพ
1.1.2 สรปุ ศักยภาพของรูปลกั ษณ์
1.2 เรียนร้กู ารวิเคราะห์ดา้ นคุณสมบตั ิ
1.2.1)จินตนาการคณุ สมบัติพชื ศกึ ษา ชวี ภาพ และกายภาพ
1.2.2)สรุปศักยภาพของคุณสมบตั ิ
1.3 เรียนรู้การวิเคราะห์ดา้ นพฤติกรรม
1.3.1 วเิ คราะห์พฤตกิ รรมพชื ศึกษา และชีวภาพ
1.3.2 สรุปศักยภาพของพฤติกรรม

ลาดบั การเรยี นรู้ที่ 2
เรียนรู้ จนิ ตนาการเห็นคณุ ของศักยภาพ ของปัจจยั ศึกษา
วตั ถุประสงค์
1 เพ่ือร้กู ารจนิ ตนาการเหน็ คณุ ของศักยภาพ

(128)

กระบวนการเรยี นรู้
1. เรยี นรู้การจินตนาการ
จนิ ตนาการ คอื การสร้างภาพขึน้ ในจติ ใจ
2. เรียนรกู้ ารจนิ ตนาการเห็นคณุ จากการวเิ คราะหศ์ ักยภาพด้านรปู ลักษณ์
2.1 จินตนาการเหน็ คุณด้านรปู ลักษณ์พืชศกึ ษา ชีวภาพ และกายภาพ
2.2 สรปุ คณุ ของศักยภาพที่ไดจ้ ากการจินตนาการด้านรปู ลักษณ์
3. เรยี นรกู้ ารจินตนาการเห็นคณุ ด้านคุณสมบัติ
3.1 จนิ ตนาการเหน็ คุณด้านคณุ สมบตั ิพชื ศึกษา ชีวภาพ และกายภาพ
3.2 สรปุ คุณของศักยภาพที่ได้จากการจนิ ตนาการด้านคุณสมบตั ิ
4. เรียนรกู้ ารจินตนาการเห็นคุณดา้ นพฤติกรรม
4.1 จินตนาการเห็นคณุ ด้านพฤติกรรมพชื ศกึ ษา และชวี ภาพ
4.2 สรุปคณุ ของศักยภาพท่ไี ดจ้ ากการจนิ ตนาการดา้ นพฤติกรรม
ลาดบั การเรยี นร้ทู ี่ 3 สรรค์สร้างวธิ ีการ

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือรกู้ ารพจิ ารณาคุณ
2. เพ่ือรวู้ ธิ ีการสร้างแนวคดิ แนวทาง วิธกี าร

กระบวนการเรียนรู้
1. พิจารณาคุณท่ีเกิดจากจินตนาการ
2. สรา้ งแนวคิด แนวทาง วธิ ีการ
2.1 แนวคดิ คอื ความคดิ ท่ีมีแนวทางปฏิบัติ
2.2. แนวทาง คือ ทางปฏบิ ตั ทิ วี่ างไวเ้ ป็นแนว
2.3 วิธกี าร คอื วิธปี ฏบิ ัติตามหลักการ เปน็ ขนั้ ตอนอยา่ งมีระบบ

ลาดับการเรียนรู้ที่ 4 สรปุ ผลการเรยี นรู้ ประโยชนแ์ ท้แก่มหาชน
วัตถปุ ระสงค์

1. เพอ่ื ใหส้ ามารถสรุปผลการเรียนรู้ ประโยชน์แทแ้ ก่มหาชนได้
กระบวนการเรยี นรู้

1. เรียนร้ปู ระโยชน์แกม่ หาชน
1.1 ประโยชน์
ประโยชน์ คอื สงิ่ ท่ีมผี ลใชไ้ ด้ดีสมกบั ที่คดิ ม่งุ หมายไว้
1.2 ประโยชน์แท้
ประโยชน์แท้ คอื สง่ิ ทม่ี ผี ลใช้ไดด้ ีสมกบั ท่คี ิดม่งุ หมายไว้
1.3 ประโยชน์แก่มหาชน
ประโยชนแ์ ก่มหาชน คือ ผลประโยชนน์ ้ันเมื่อเกดิ ข้ึนแลว้ บารงุ จิตให้เบิกบาน ขจดั ความขาด

แคลนทางกาย สบื เนื่องยาวนานไมร่ จู้ บ ตกอยกู่ ับมหาชนคนสว่ นใหญ่ และ
2. นาผลงานจากการเรียนรู้ มาสรุปประโยชนแ์ กม่ หาชน



พพืชชื ศศึกึกษษาา

งาขม้ี ้อน

ช่ือสามัญ Perilla

ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Perilla frutescens (L.) Britton

ชอ่ื วงศ์ LAMIACEAE หรอื LABIATAE

ช่ือทอ้ งถิ่นอนื่ งาปุก งานก (คนเมอื ง) งาม้อน งาหอม งามน (แมฮ่ อ่ งสอน), งาขมี้ ้อน

แง (กาญจนบรุ )ี , นอ่ ง (กะเหร่ยี ง-กาญจนบรุ )ี , นอ (กะเหรย่ี งแมฮ่ อ่ งสอน,

กะเหรย่ี งเชียงใหม่), ง้า (ลัวะ), งาเจยี ง (ลาว), จนี เรยี กว่า ชิซู (Chi-ssu),

ญ่ีปุน่ เรยี กวา่ ชโิ ซะ (Shiso), เกาหลี เรียกวา่ เคนนิป (Khaennip) อินเดยี

เรียกวา่ พันจีร่า (Bhanjira), เบงกอล เรยี ก Babtulsi เป็นตน้

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นงาขี้ม้อน ลาต้นต้ังตรง ความสูงของต้นประมาณ 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขา ลาต้นสี่เหล่ียมมน

ต้นมกี ลิ่นน้ามัน มีขนยาวละเอียดสีขาว ระหว่างเหล่ียมท่ีต้นมีร่องตามยาว เมื่อโตเต็มที่ลาต้นเคยเป็นเหล่ียมที่

โคนต้นจะหาย แต่ละข้อตามลาต้นท่ีจะแตกเป็นใบห่างกัน 4-11 เซนติเมตร ส่วนโคนต้นและโคนก่ิงจะแข็ง

รากแข็งเหนยี ว

ใบงาข้ีม้อน ใบใหญ่คล้ายกับใบย่ีหร่าอย่างมาก แต่มีสีอ่อนกว่าใบย่ีหร่า หรือคล้ายใบฤๅษีผสม ใบเป็น

ใบเด่ียว ใบออกเป็นคู่อยู่ตรงข้าม คู่ใบในข้อถัดไปใบจะออกเป็นมุมฉากกับใบคู่ก่อนสลับกันตลอดทั้งต้น

ลักษณะของใบคล้ายใบโพธิ์หรือรูปไข่กว้าง ปลายใบเรียวแหลมหรือเป็นติ่งยาว โคนใบกลมป้าน หรือโคนตัด

สว่ นขอบใบหยกั เปน็ ฟันเลื่อย ความกวา้ งของใบประมาณ 3-10 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 6-14 เซนติเมตร

ใบเป็นสีเขียวอ่อน ท้องใบมีสีอ่อนกว่าหลังใบ แผ่นใบมีขนสั้นๆ นุ่มสีขาวทั้งสองด้าน เม่ือไปสัมผัสจะไม่รู้สึก

ระคายเคืองหรือคัน ตามเส้นใบมีขน ท้องใบมีต่อมน้ามัน ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1-6 เซนติเมตร และมีขน

ยาวข้ึนแน่น เส้นใบ 7-8 คู่ แตกเป็นคู่ตรงข้ามกันจากเส้นกลางใบ ใบเห่ียวเร็วมากเมื่อเด็ดจากต้น และไม่ควร

นาใบให้ววั ควายกินจะเกดิ พิษได้

ดอกงาขี้มอ้ น
ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามง่ามใบแต่ละข้อและท่ียอด ช่อดอกมีดอกย่อยเต็มก้านดอก ดอกย่อย

ขนาดเลก็ จานวนมากเปน็ กลมุ่ ช่อดอกตัง้ เป็นช่อรูปส่ีเหล่ียม ดอกย่อยเช่ือมติดกันรอบก้านดอกไม่เป็นระเบียบ
ชูช่อดอกข้ึนไป ช่อดอกยาว 1.5-15 เซนติเมตร ช่อดอกคล้ายช่อดอกโหระพา ช่อดอกแมงลัก ดอกย่อยคล้าย
รูปไขเ่ ล็กๆ ไมม่ ีก้าน ดอกย่อยมีริว้ ใบประดับอยู่ แต่ละดอกยอ่ ยมกี ลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีสีขาว สีขาวอมม่วงถึง
สีม่วง มขี นสขี าวขนึ้ ปกคลุม
ผลงาข้มี ้อน

ผลมลี ักษณะเป็นรปู ไขก่ ลมขนาดเล็ก ผลออ่ นสขี าวหรอื เขียวออ่ น ผลแก่เปน็ สนี า้ ตาลหรือสเี ทาเมล็ด
งาข้ีม้อนในดอกย่อยแตล่ ะดอกมีเมลด็ อยู่ 1-4 เมล็ด เมลด็ มีขนาดเล็กลักษณะกลม เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางประมาณ
1.5 มิลลิเมตร มสี ีท่ีตา่ งกัน เป็นลายต้ังแตส่ ีดาหรอื สนี ้าตาลเขม้ สนี ้าตาลอ่อน สนี ้าตาลไหม้ สีเทาเข้ม สเี ทา
ออ่ นไปจนถึงสีขาว และมลี ายเปน็ รปู ตาขา่ ย น้าหนักเมล็ดประมาณ 4 กรมั ต่อ 1,000 เมลด็
การเกบ็ เกยี่ ว

เมือ่ งาขี้ม้อนมีอายุได้ 4-5 เดือน งาจะเร่ิมแก่ สงั เกตช่อดอกสว่ นล่างเรม่ิ เปล่ียนเปน็ สีน้าตาลบ้างจึงเก็บ
เกยี่ วได้ เก่ยี วดว้ ยเคียวขณะที่ต้นยงั เขยี ว ลาตน้ ท่ียังออ่ นซึง่ ทาใหง้ ่ายต่อการเก่ยี ว วางตน้ งาทีเ่ กีย่ วแล้วเพื่อตาก
แดดทง้ิ ไว้บนตอซังทีเ่ กย่ี วหรือวางบนร้านไม้ไผ่ ตากแดด 3-4 วนั ต้นงาทีแ่ หง้ แล้วนามาตดี ว้ ยไมใ้ หเ้ มลด็ หลดุ
ออกลงในภาชนะรองรับ ฝัดทาความสะอาดตากแดดอกี ครง้ั แล้วเก็บใสก่ ระสอบ เพอ่ื รอการจาหนา่ ยหรอื เก็บไว้
บริโภคเอง
ประโยชนข์ องงาขมี้ ้อน

เมล็ดและใบงาข้ีม้อนใช้เป็นอาหารได้หลายอย่าง คนภาคเหนือใช้ประโยชน์จากเมล็ดงาขี้ม้อนมาช้า
นาน โดยนาเมลด็ มาบรโิ ภคทาเป็นอาหารว่างหรือของหวานชนิดหนึ่งที่ทาได้อย่างง่ายๆ ใช้เมล็ดงาตากับเกลือ
คลุกกับขา้ วเหนยี วขณะท่ียงั ร้อนๆ ตาให้เขา้ เป็นเนอื้ เดยี วกนั กับงา หรือค่ัวงาให้สุกแล้วตางากับเกลือในครกจน
เขา้ กันดแี ละคลกุ กับข้าวเหนียวร้อนๆ จะได้กลิ่นหอมของข้าวสุกใหม่และกลิ่นของงา หากต้องการขบเมล็ดปน
อยู่บ้างก็ไม่ต้องตาจนละเอียด แต่ถ้าไม่ชอบให้เป็นเมล็ดก็ตาให้ละเอียดได้ ใส่ข้าวเหนียวที่น่ึงสุกใหม่ๆ ลงตา
คลกุ เคลา้ กบั งาในครก ถ้าทาคร้งั ละมากๆ จะตาในครกกระเด่ือง หรือจะคลุกเคล้าข้าวเหนียวอุ่นๆ กับงาให้เข้า
กนั ดกี อ่ นแลว้ เตมิ เกลือและตาให้เขา้ กนั อกี ทีก็ได้ เรยี กว่า “ข้าวนกุ งา”

: พชื แนะนาศกึ ษา

ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี พน้ื ทีศ่ กึ ษา พชื แนะนาศกึ ษา

ช่ือสามัญ Teak

ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Tectona grandis L.f.

วงศ์ LAMIACEAE

ชือ่ พ้ืนเมือง ปฮี ี ปฮี ือ เปอ้ ยี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปาย้ี (กะเหร่ียง-กาญจนบรุ ี),

เสบ่ าย้ี (กะเหร่ียง-กาแพงเพชร), เคาะเยยี โอ (ละว้า-เชยี งใหม)่

ลักษณะทวั่ ไป

ไม้ ตนขนาดใหญ สงู ถึง 50 เมตร ผลดั ใบลาตนเปลาตรงมักมีพูพอน เปลือกสนี า้ ตาลปนเทา

ใบ เปนใบเดยี่ วตดิ ตรงขามเปนคูๆ มีขนาดใหญ โคนใบมน หรือ สอบแคบ ปลายใบแหลม

หรือ เรียวแหลม เนือ้ ใบสากคาย

ดอก เลก็ สีขาวนวล ออกรวมกนั เปนชอขนาดใหญตามปลายกิ่ง หรือ ตามงามใบใกลๆ ปลายก่ิง

กลีบเล้ยี งจะเชอื่ มตดิ กันบรเิ วณโคนกลีบสวนปลายจะแยกเปนแฉก 5-7 แฉก กลีบดอกจะเช่อื มติดกนั เป

นหลอดเกล้ียงๆ ปลายแยกเปน 5-7 แฉก

ผล เปนผลแหงคอนขางกลม ภายในมเี มลด็ 1-3 เมล็ด

การกระจายพันธุ

เปนไมถนิ่ เดมิ ของไทยและพมา พบตามปาเบญจพรรณภาคเหนอื ที่สงู จากระดบั น้าทะเลไมเกิน 900 เมตร

และมเี ปนหยอมๆ ทางภาคตะวันตก ขยายพนั ธุโดยเมลด็ ออกดอกเดือน มิถุนายน – ตุลาคม

ประโยชน

ราก เนื้อไม และ ใบ ใหสีแดง เขียว ใชยอมผา และ กระดาษ เน้ือไม ทนทาน สวยงาม ใชกอสรางบานเรือน

เคร่ืองแกะสลัก เฟอรนิเจอร เคร่ืองมือเกษตร เครื่องดนตรี ด านสมุนไพร เนื้อไมและใบ ใชทายาแก

โรคเบาหวาน ปสสาวะพิการ ขบั ลมในลาไส แกไตพิการ ใชตมและเอาน้าอาบเด็กท่ีเปนโรคอีสุกอีใส เปลือกใช

เปนยาคมุ ธาตุ

ชื่อสามญั Golden Fig, Weeping Fig, Weeping or Java Fig,
Weeping Chinese Bonyan, Benjamin Tree, Benjamin's fig, Ficus tree.
ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Ficus benjamina L.
ชอื่ วงศ์ MORACEAE
ชื่อท้องถิ่นอืน่ ไทรพนั (ลาปาง), ไทร (นครศรีธรรมราช), ไทรกระเบื้อง (ประจวบคีรขี ันธ)์ ,

ไฮ (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), ไทรย้อยใบแหลม (กรงุ เทพฯ), จาเรย (เขมร), ไซรยอ้ ย
ลกั ษณะของไทรยอ้ ย

ตน้ ไทรย้อย มีถน่ิ กาเนิดในทวปี เอเชีย อนิ เดีย และภูมิภาคมาเลเซีย จัดเป็นไม้ยืนต้นหรือพุ่มไม้ผลัดใบ
ขนาดกลาง ท่ีมีความสูงได้ประมาณ 5-15 เมตร ลาต้นแตกเป็นพุ่มหนาทึบและแผ่กิ่งก้านสาขาท้ิงใบห้อยย้อย
ลง เปลือกต้นเป็นสีน้าตาล กิง่ กา้ นห้อยย้อยลง มีลาต้นที่สูงใหญ่ ตามลาต้นจะมีรากอากาศแตกย้อยลงสู่พื้นดิน
เปน็ จานวนมากดสู วยงาม รากอากาศเปน็ รากขนาดเลก็ เปน็ เสน้ สีนา้ ตาล ลักษณะรากกลมยาวเหมือนเส้นลวด
ย้อยลงมาจากต้น รากอากาศที่มีขนาดใหญ่จะมีเน้ือไม้ด้วย มีรสจืดและฝาด ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
การตอนกิ่ง และวิธีการปักชา เป็นพรรณไม้กลางแจ้งท่ีชอบแสงแดดจ้า ชอบดินร่วนซุย ต้องการน้าและความ
ชุ่มช้ืนในระดับปานกลาง ไทรย้อยมีเขตการกระจายพันธ์ุกว้างในประเทศเขตร้อน พบได้ท่ีอินเดีย เนปาล
ปากสี ถาน จนี ตอนใต้ พม่า ภมู ภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซีย ฟลิ ิปปินส์ และออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบได้ทั่ว
ทุกภาคของประเทศ โดยมักขึ้นกระจายในป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขา และบางครั้งอาจพบได้ตามเขา
หินปูน จนถงึ ระดบั ความสูงประมาณ 1,300 เมตร

ใบ
ไทรย้อยแต่ละสายพันธ์ุน้ันจะมีลักษณะของใบท่ีแตกต่างกันเล็กน้อย ใบเป็นใบเด่ียว ออกเรียงสลับ
ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมรูปไข่ บางต้นลักษณะของใบเป็นรูปกลมป้อม ส่วนบางพรรณก็เป็นรูปยาวรี แต่
โดยทัว่ ไปแล้วใบจะมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร ปลายใบเรียว
แหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคล่ืนเล็กน้อย แผ่นใบค่อนข้างหนาเป็นสีเขียวเรียบเป็นมัน
เหมือนกันหมด เส้นแขนงใบมีข้างละประมาณ 6-16 เส้น ส่วนเส้นแขนงใบย่อยเรียงขนานกัน มีต่อมไขท่ีโคน
เส้นกลางใบ ก้านยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร มีหูใบยาวประมาณ 0.5-2.8 เซนติเมตร ร่วงได้ง่าย เกลี้ยง
หรอื มีขนขน้ึ ประปราย

ดอก
ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกมีขนาดเล็ก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปทรงกลมคล้ายผล
ออกเป็นคู่จากจ้างก่ิง ไม่มีกลีบดอก[3] ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ช่อดอกของไทรก็คือผลท่ียังไม่สุกนั่นเอง แต่
เป็นช่อดอกท่ีได้รับการออกแบบมาให้ม้วนดอกท้ังหลายกลับนอกเข้าในเพื่อทาหน้าที่พิเศษ ถ้านามาผ่าดูก็จะ
พบวา่ ขา้ งในกลวง ทีผ่ นงั มีดอกขนาดเล็ก ๆ จานวนนับร้อย ๆ ดอก ด้านตรงข้ามกับข้ัวผลไทรมีรูเปิดขนาดเล็ก
มาก และมีเกล็ดเล็ก ๆ ปิดซ้อนกันอยู่ โดยดอกไทรจะมีอยู่ด้วย 3 ประเภท คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และ
ดอกกอลล์ ซึ่งดอกกอลล์ (Gall flower) จะมีหน้าที่เป็นท่ีวางไข่และเลี้ยงตัวอ่อนของ "ตัวต่อไทร" (เป็นแมลง
ชนดิ เดยี วเทา่ นัน้ ท่ีชว่ ยผสมเกสรให้ตน้ ไทร)
ผล
ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือรี ออกผลเป็นคู่ ๆ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8
เซนติเมตร ผลอ่อนเปน็ สเี ขียว เม่ือสุกแล้วจะเปล่ียนเป็นสีแดงเข้ม สีน้าตาล สีชมพู สีส้มแดง หรือสีม่วงดาเมื่อ
แก่ ไรก้ า้ น
ประโยชน์ของไทรยอ้ ย
1.รากไทรย้อยมีสรรพคณุ เป็นยาแกก้ าฬโลหติ (รากอากาศ)
2.รากอากาศมสี รรพคุณบารุงโลหิต แกต้ กโลหติ (รากอากาศ)
3.รากใช้เป็นยาแก้กระษยั (อาการป่วยท่ีเกดิ จากหลายสาเหตุ ทาให้ร่างกายเส่ือมโทรม ซูบผอม ปวด
เม่ือย โลหติ จาง)
4.รากนามาตม้ กับนา้ กนิ เป็นยาบารุงน้านมให้สมบูรณ์ (รากอากาศ)
5.ชว่ ยแกอ้ าการทอ้ งเสีย (รากอากาศ
6.ใชเ้ ป็นยาขับพยาธิ (รากอากาศ)[5]
7.ใชเ้ ปน็ ยาขับปัสสาวะ แก้ขดั เบา ขับปัสสาวะใหค้ ล่อง แก้นว่ิ แกป้ ัสสาวะมสี ีต่าง ๆ (รากอากาศ
8.ชว่ ยแกไ้ ตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดนิ ปสั สาวะท่ีมปี สั สาวะขุ่นขน้ เป็นสเี หลืองหรือแดง และมกั มี
อาการแน่นท้อง รบั ประทานไมไ่ ด้รว่ มดว้ ย) (รากอากาศ)
9.ช่วยแก้อาการอักเสบหรือลดการติดเชอ้ื เช่น ฝหี รอื รอยฟกชา้ (รากอากาศ)
10.ตารายาไทยจะใชร้ ากไทรย้อยใน “พกิ ดั ตรธี ารทิพย์” (ประกอบไปดว้ ยรากไทรยอ้ ย รากราชพฤกษ์
และรากมะขามเทศ) มีสรรพคณุ เปน็ ยาบารุงน้านม แก้กษัย แก้ทอ้ งร่วง ช่วยฆ่าเช้อื คดุ ทะราด (รากอากาศ)

ชอื สามัญ Sunrose Willow และ Creeping Water Primrose.
ชือวิทยาศาสตร์ Cleistocalyx nervosum var. paniala.
ชือวงศ์ MYRTACEAE
ชือทอ้ งถินอืน หวา้ สม้ ,หว้านา

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ลาต้น
มะเก๋ียง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ลาต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร หรือมากกว่า ขนาดลาต้น

เมื่อมีอายุมากจะมีขนาดเส้นรอบวงได้ถึง 1.5 เมตร ลาต้นแตกก่ิงมาก เปลือกลาต้นมีสีเทาหรือน้าตาลอมเทา
เปลือกแก่ด้านนอกหลุดล่อนออกเป็นแผ่น เม่ือใช้มีดสับเปลือกด้านในจะมีสีน้าตาลอมชมพู แต่เมื่อแห้งจะมีสี
นา้ ตาล สว่ นเนอื้ ไมค้ ่อนขา้ งแข็ง มีสีขาวนวลหรอื เหลอื งอ่อน และมีเสี้ยนคอ่ นข้างมาก

ใบ
ใบมะเก๋ียงออกเปน็ ใบเดย่ี วตรงข้ามกนั เป็นคู่บนก่ิงย่อย จานวน 4-6 คู่ ในแต่ละก่ิงย่อย ใบมีรูปรีถึงรูป
หอก ขนาดใบกว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 15-25 เซนติเมตร แผ่นใบ และขอบใบเรียบ ใบมีลักษณะเป็นคลื่น
และเป็นมันเล็กน้อย แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างมีสีเขียวอ่อน ก้านใบยาว 1.5-3 เซนติเมตร มี
เส้นกลางใบดา้ นบนเปน็ รอ่ งตน้ื สว่ นเส้นกลางใบดา้ นล่างนนู ขนึ้ มีเส้นแขนงใบแยกออกซ้ายขวาสลับกัน ข้างละ
7-15 เสน้ ภายในใบมจี ุดสีเหลืองกระจายไปทัว่ ใบอ่อน มีสเี ขียวอมแดง ใบแก่มีสีเขียว
ดอก
ดอกมะเก๋ยี ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ แทงออกเป็นช่อ บริเวณปลายก่ิง แต่ละก่ิงมีจานวน 5-15 ช่อดอก
ช่อดอกยาว 5-10 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกประมาณ 20-80 ดอก ดอกมีสีขาวอมเหลือง มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ
และมกี ลบี ดอก 4 กลีบ ขนาด 0.35-0.45 เซนติเมตรมีเกสรตัวผู้ประมาณ 150-300 อัน มีรังไข่อยู่บริเวณฐาน
ดอก ดอกมะเกี๋ยงจะเร่ิมออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ซ่ึงเป็นช่วงหลังที่มีการแตกใบใหม่ และดอก
จะบานหลงั จากแทงตาดอกประมาณ 2 เดอื น

ผล
ผลมะเกยี๋ ง
มีลักษณะเป็นรูปไข่คล้ายผลหว้า แต่เล็ก และป้อมกว่าเล็กน้อย ผลมีเปลือกบาง ผลอ่อนมีสีเขียวอม

เหลือง และคอ่ ยๆเปลย่ี นเปน็ สีเหลืองอมชมพู ตอ่ มาเปน็ สีแดงเม่ือห่าม เม่ือสุกเป็นสีแดงม่วง และสุกมากเป็นสี
ดา ขนาดผลประมาณ 1-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร เนื้อผลมีสีขาว หนาประมาณ 3–5
มิลลิเมตร เม่ือรับประทานจะให้รสเปรี้ยวอมฟาดเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม ตรงกลางผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ผล
มะเกี๋ยงเร่มิ สุก หลงั ดอกบาน ประมาณเกือบ 3 เดือน และสามารถเก็บผลได้ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน มี
ผลต่อช่อประมาณ 5-10 ผล และจะเริม่ ตดิ ผลได้เมอ่ื ตน้ มอี ายปุ ระมาณ 3-5 ปี

เมล็ดมะเกี๋ยง
มีลักษณะกลมหรือค่อนข้างเป็นรูปไข่ ขนาดประมาณ 0.7-8 เซนติเมตร 0.8-1 เซนติเมตร เปลือก
เมลด็ มีสีน้าตาลอ่อน เนือ้ เมล็ดภายในมีสีเขยี ว

ประโยชนม์ ะเกีย๋ ง
1. ผลมะเกย๋ี งใชร้ ับประทานเป็นผลไม้ ใหร้ สเปรยี้ วอมหวาน
2. ผลดบิ มะเกย๋ี งนามาใสอ่ าหารประเภทตม้ ยา ให้รสเปร้ียวจัดจ้าน
3. ผลมะเกย๋ี งใชแ้ ปรรูปเป็นผลิตภณั ฑอ์ าหาร
– นา้ มะเก๋ยี งพรอ้ มดม่ื
– ไวนม์ ะเกย๋ี ง
– เนคต้ารเ์ กย๋ี ง
– มะเกี๋ยงแชอ่ ม่ิ
– ชามะเกยี๋ ง
– เยลลี่มะเกีย๋ ง
– มะเกีย๋ งดอง
– โยเกริ ์ตมะเกยี๋ ง
4. ผลมะเกี๋ยงใช้สกัดทาสีผสมอาหาร ซ่งึ ให้สีมว่ งแดง
5. ใบมะเกยี๋ งนามาต้มเปน็ น้าย้อมผา้ ใหส้ นี า้ ตาลอ่อนหรือนา้ ตาลเข้ม
6. เปลือกมะเกีย๋ งนามาต้มน้าย้อมผ้า ใหส้ นี ้าตาลอมแดง
7. เมลด็ มะเกี๋ยงใชส้ กดั น้ามันสาหรบั ใช้ประกอบอาหารหรือใชเ้ ป็นสว่ นผสมเคร่ืองสาอาง และนา้ หอม
8. เนอ้ื ไม้มะเกย๋ี งมีลักษณะค่อนข้างแข็ง ใช้แปรรูปเปน็ ไมป้ ูพน้ื ไมช้ ายคา ไมว่ งกบ รวมถึงแปรรปู

เป็นเฟอรน์ ิเจอร์ตา่ งๆ
9. กิ่งนามาทาเปน็ ฟืน
10. ตน้ มะเกยี๋ งตามป่าหรอื หัวไรป่ ลายนาเปน็ ประโยชน์ต่อสัตวป์ ่าในดา้ นเปน็ แหลง่ อาหารสาคัญ

ชอ่ื สามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia

ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Cassia fistula L.

ช่อื วงศ์ FABACEAE

ชื่อพนื้ เมอื ง กเุ พยะ คนู ชัยพฤกษ ปอยู ปูโย เปอโซ แมะหลาหยู ลมแลง

ลักษณะท่ัวไป

ไมต้ น้ ผลดั ใบ สูง 8-15 เมตร

ใบ ใบประกอบแบบขนนกออกสลบั มีใบยอย 3-8 คู รปู ปอม รปู ไข หรอื รปู ขอบขนานแกมรูปไข

กวาง 4-8 เซนติเมตร ยาว 7-15 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนมน เสนแขนงใบถี่ เนอ้ื ใบคอนขางบาง

ดอก สเี หลอื ง ออกเปนชอหอยตามซอกใบ หรือตามกงิ่ ยาว 20-45 เซนตเิ มตร กวาง 4-5

เซนตเิ มตร กลีบเล้ยี งรปู รีแกมรปู ไข ผิวนอกมีขนคลมุ กลบี ดอก 5 กลีบ รูปไข หรือ รปู ไขกลับ เมอ่ื บานเสน

ผาศูนยกลาง 5-8 เซนตเิ มตร เกสรตัวผู อัน ขนาดไมเทากัน รังไขและกานเกสรตัวเมีย มีขนคลุม ออกดอก

เดอื นกมุ ภาพนั ธ – พฤษภาคม

ผล เปนฝกทรงกระบอกยาว 20-60 เซนติเมตร เสนผาศูนยกลาง 1.5-2.5 เซนตเิ มตร ฝกแกสีดา

การกระจายพันธ ถ่ินกาเนดิ เอเชียเขตรอนขน้ึ ตามปาเบญจพรรณแลงทว่ั ไป

ประโยชน

เปลือก เนอ้ื ไม ผล ใหสีเหลอื ง ใชยอมไหมและฝาย

ราก ฝนทาแกกลาก และ เปนยาระบาย

ราก และ แกน เปนยาขับพยาธิ

เปลอื กและไม ใชฟอกหนงั

เปลือก และ ใบ บดผสมกันใชทาฝและเมด็ ผ่ืนตามรางกาย

เนือ้ ไม สแี ดงแกมเหลอื ง แข็ง ทนทาน ใชทาเสา ลอเกวยี น คันไถ

ใบ ตมรับประทานเปนยาระบาย ฆาพยาธิ

ดอก แกไข ระบาย แกแผลเรอ้ื รงั

ฝก เนอื้ ในฝกรสหวาน เปนยาระบาย ชวยบรรเทาอาการแนนหนาอก

ฟอก หรือ ชาระนา้ ดี แกลมเขาขอ และขัดขอ

ช่ือสามญั Bengal almond, Indian almond, Olive-bark tree, Sea almond,
Singapore almond, Tropical Almond, Umbrella Tree

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Terminalia catappa L.
วงศ์ COMBRETACEAE
ช่ือท้องถ่ินอนื่ ตาปัง (พษิ ณโุ ลก, สตลู ), โคน (นราธวิ าส), หลุมปงั (สรุ าษฎรธ์ านี), คดั มือ ตัดมือ (ตรัง),

ตาแปห์ (มลายู-นราธวิ าส) เปน็ ตน้
ลักษณะของต้นหูกวาง

ตน้ หูกวาง จัดเปน็ ไมย้ ืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ท่ีมีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร บางครั้งอาจ
สงู ไดถ้ งึ 30-35 เมตร (แตไ่ ม่ค่อยพบตน้ ที่ใหญ่มากในประเทศไทย) มีเรือนยอดหนาแน่น แตกก่ิงก้านแผ่ออกใน
แนวราบเป็นชนั้ ๆ คลา้ ยฉัตร ลาต้นเปลาตรง ต้นที่มอี ายมุ ากและมขี นาดใหญ่จะเป็นพพู อนท่ีโคนต้น เปลือกลา
ต้นเป็นสีน้าตาลปนเทาเกือบเรียบ แตกเป็นร่องแบบต้ืน ๆ ตามแนวนอนและแนวตั้ง และลอกออกเป็นสะเก็ด
เลก็ ๆ ท่วั ไป ก่ิงอ่อนมีขนสนี ้าตาล ส่วนเนอื้ ไม้เปน็ สีแดง เป็นกลบี เล็กน้อย มีเสี้ยนไม้ละเอียดสามารถขัดชักเงา
ไดด้ ี

ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด บางคร้ังน้าหรือค้างคาวก็ช่วยในกระจายพันธุ์ได้ด้วยเช่นกัน และสามารถ
เจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นดนิ ทม่ี ีการระบายน้าได้ดอี ย่างดนิ ร่วนพอควรหรือปนทราย หูกวางเป็นพันธุ์ไม้ในป่าชายหาด
ท่ีพบข้ึนกระจายตามชายฝั่งทะเล พบปลูกทั่วต้ังแต่ประเทศอินเดียจนถึงตอนเหนือของทวีปออสเตรเลียทาง
ตอนเหนือ ต้นหูกวางเป็นพืชทิ้งใบ โดยท่ัวไปแล้วจะทิ้งใบ 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปี หรือในช่วงประมาณเดือน
มกราคมถึงเดอื ยกมุ ภาพันธ์ และอกี ชว่ งในชว่ งเดอื นกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งก่อนขจะท้ิงใบ ใบหูกวางจะ
เปล่ียนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มแดง ในปัจจุบันน้ีได้มีการนาต้นหูกวางมาปลูกท่ัวไปในพื้นที่เขตร้อนอย่างทวีป
เอเชีย ส่วนในประเทศไทยมักพบขึ้นตามชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ตราดและชลบุรี) ภาค
ตะวนั ตกเฉยี งใต้ (ประจวบคีรขี นั ธแ์ ละกาญจนบรุ ี) และภาคใต้ (นราธิวาส ตรัง และสรุ าษฎรธ์ านี)

ใบหกู วาง
ใบเป็นใบเด่ียว ออกเรียงเวียนสลับกันเป็นกระจุกหนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปไข่
กลบั ปลายใบแหลมเปน็ ต่ิงส้ัน ๆ (ปลายใบกว้างกว่าโคนใบ) โคนใบมนเว้าหรืแสอบแคบเป็นรูปล่ิม และมีต่อม
เลก็ ๆ หน่งึ คู่อยู่ท่โี คนใบบรเิ วณทอ้ งใบ สว่ นขอบใบเรียบเป็นคล่ืนหยักเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-15
เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร หลังใบและท้องใบมีขน เน้ือใบหนา ใบอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน
เม่ือแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นเขียวเข้ม แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงเม่ือใกล้ร่วงหรือผลัดใบ มีก้านใบยาวประมาณ
0.5-1.5 เซนติเมตร มขี น มักผลัดใบในชว่ งฤดูหนาวในชว่ งเดือนตุลาคมถงึ เดอื นพฤศจิกายน
ดอกหูกวาง
ออกดอกเป็นช่อยาวแบบติดดอกสลับ โดยจะออกตามซอกใบ ลักษณะเป็นแท่งยาวประมาณ 8-12
เซนติเมตร มีดอกย่อยเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ดอกมีขนาดเล็กและไม่มีกลิ่นหอม (บางข้อมูลว่ามีกล่ินฉุน
ด้วยเล็กน้อย) ดอกเป็นแบบแยกเพศแตอ่ ยู่ในช่อเดยี วกัน ดอกเพศผู้จะอยู่บริเวณปลายช่อ ส่วนดอกเพศเมียจะ
อยู่บริเวณโคนช่อ (อีกข้อมูลระบุว่าดอกแบบสมบูรณ์จะอยู่โคนช่อ) ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเล้ียงดอก 5 กลีบ
โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกรูปสามเหลี่ยม 5 แฉก มีขนด้านนอก ดอกเกสรเพศผู้มี 10 ช้ัน ดอก
เม่ือบานเตม็ ทีจ่ ะมีขนาดกว้างประมาณ 0.4-0.6 เซนติเมตร โดยดอกจะออกดอกสองครั้งรอบ 1 ปี คือ ในช่วง
ฤดูหนาวหลงั จากแตกใบใหม่ (เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม) และอีกครั้งในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายนถึง
เดือนสิงหาคม)
ผลหกู วาง
ผลเป็นผลเดี่ยวในแตล่ ะผลมเี มล็ด 1 เมล็ด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรีค่อนข้างแบนเล็กน้อย ผลแข็ง
มีขนาดกวา้ งประมาณ 2-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ผลด้านข้างเป็นแผ่นหรือเป็นสันบาง
ๆ นูนออกรอบผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว เม่ือแก่แล้วจะเปล่ียนเป็นสีเหลืองหรือสีเหลืองอมเขียว และมีกล่ินหอม
ผวิ ผลเรียบ ผลเมื่อแห้งจะเป็นสีดาคล้า เปลือกผลมีเส้นใย ภายในมีเมล็ดเด่ียว เมล็ดมีขนาดใหญ่ เหนียว และ
เปลือกในแข็ง โดยผลจะแก่ในช่วงในช่วงแรกประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน และอีกช่วงหน่ึง
ประมาณพฤษภาคมถึงเดือนมิถนุ ายน
เมลด็ หูกวาง
ลกั ษณะของเมล็ดเป็นรปู ไข่หรอื รูปรี แบนป้อมเลก็ นอ้ ยคลา้ ยกับผล เมื่อเมล็ดแหง้ จะเป็นสีน้าตาล แข็ง
ภายในมเี นือ้ มาก
ประโยชน์ของหกู วาง
1.เมลด็ หกู วางสามารถนามารับประทานได้ และยังมีโปรตนี ที่ใหป้ ระโยชน์แก่ร่างกายของเราอีกดว้ ย
2.เมล็ดสามารถนาเอาไปทาเปน็ นา้ มนั เพ่อื นาไปใช้บรโิ ภคหรอื ทาเคร่ืองสาอางได้
3.เปลือกและผลมีสารฝาดมาก สามารถนามาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมสีผ้า ฟอกหนังสัตว์ และทาหมึก
ได้ ในอดีตมีการนาเอาเปลือกผลซึ่งมีสารแทนนินมาใช้ในการย้อมหวาย และได้มีการทดลองใช้ใบเพื่อย้อมสี
เสน้ ไหม พบวา่ สที ่ไี ด้คอื สีเหลอื ง สเี ขียวขมี้ า้ หรอื สนี ้าตาลเขียว
4.ใบแก่นามาแช่น้าใช้รักษาบาดแผลของปลาสวยงาม อย่างเช่น ปลากัด ปลาหางนกยูงได้ อีกท้ังยัง
ช่วยบารุงสุขภาพปลาและสีสันของปลา ช่วยทาให้ตับของปลานั้นดีข้ึน จึงส่งผลให้ปลาแข็งแรง ช่วยป้องกัน
ไม่ใหป้ ลาเปน็ โรค
5.เนื้อไม้หูกวาง สามารถนามาใชใ้ นการกอ่ สรา้ ง ทาบา้ นเรือน หรือเคร่อื งเรือนได้ดี เพราะเป็นไม้ท่ีไม่มี
มอดและแมลงมารบกวน หรือนามาใช้ทาฟืนและถ่านกไ็ ด้

ชือ่ สามญั Asian bulletwood, Bullet wood, Bukal, Tanjong tree, Medlar, Spanish cherry
ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Mimusops elengi L.
ช่อื วงศ์ SAPOTACEAE
ชื่อท้องถ่นิ อน่ื ซางดง (ลาปาง), พกิ ลุ เขา พกิ ลุ เถอ่ื น (นครศรธี รรมราช), พกิ ุลป่า (สตูล), แก้ว (ภาคเหนือ),

กนุ (ภาคใต้), ไกรทอง, ตนั หยง, มะเมา, พกุล, พิกลุ ทอง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 10-25 เมตร ลาต้นแตกกิ่ง
กา้ นเปน็ พมุ่ กว้างหนาทบึ เปลือกตน้ เป็นสีเทาอมสนี ้าตาลและแตกเป็นรอยแตกระแหงตามแนวยาว ทั้งต้นมีน้า
ยางสขี าว สว่ นกงิ่ ออ่ นและตามขี นสีน้าตาลข้นึ ปกคลมุ ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยวธิ กี ารเพาะเมลด็ การตอนก่ิง และวิธีการ
ปกั ชากิง่ ชอบขึ้นในพ้นื ทดี่ นิ ดี ชอบแสงแดดจัด ทนทานต่อสภาพน้าท่วมขังได้นานถึง 2 เดือน มีการเพาะปลูก
มากในมาเลเซีย เกาะโซโลมอน นิวแคลิโดเนีย วานูอาตู และออสเตรเลียทางตอนเหนือ รวมไปถึงเขตร้อนทั่ว
ๆ ไป(เปลือกต้น พบว่ามีสารในกลุ่มไตรเทอร์ปีน ได้แก่ Beta amyrin, Betulinic acid, Lupeol,
Mimusopfarnanol, Taraxerone, Taraxerol, Ursolic acid, สารในกลุ่มกรดแกลลิก ได้แก่ Phenyl
propyl gallate, น้ามันหอมระเหย ได้แก่ Cadinol, Diisobutyl phthalate, Hexadecanoic acid,
Octadecadienoic acid, Taumuurolol, Thymol)

ใบพิกุล มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันแบบห่าง ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปรี ใบมีความ
กว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมหรือหยักเป็นติ่งส้ัน ๆ
โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบและเป็นคล่ืนเล็กน้อย หลังใบเป็นสีเขียวเรียบเป็นมัน ท้องใบจะเป็นสีเขียวอ่อน
และเน้ือใบมลี ักษณะคอ่ นข้างเหนยี ว ส่วนก้านใบยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร หูใบมีลักษณะเป็นรูปเรียวแคบ
ยาวประมาณ 3-5 มลิ ลเิ มตร และหลุดร่วงไดง้ ่าย

ดอกพกิ ลุ
ออกดอกเป็นดอกเด่ียวหรือเป็นกระจุกประมาณ 2-6 ดอก โดยจะออกตามซอกใบหรือตามปลายก่ิง
ดอกพิกุลจะมีขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลิน่ หอม (กลนิ่ ยังคงอยแู่ ม้ตากแห้งแล้ว) และหลุดร่วงได้ง่าย เมื่อดอกบาน
เต็มทจ่ี ะกว้างประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร มีกลีบเล้ียง 8 กลีบ
เรียงซ้อนกัน 2 ช้ัน ช้ันละ 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงด้านนอกมีลักษณะเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม มีขนส้ันสี
น้าตาลนุ่ม ยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร โดยกลีบดอกจะส้ันกวากลีบเล้ียงเล็กน้อย กลีบดอกมี 8 กลีบ ท่ีโคน
กลีบเช่ือมกันเล็กน้อย กลีบดอกแต่ละกลีบจะมีส่วนย่ืนออกมาด้านหลัง 2 ช้ิน ซ่ึงแต่ละช้ินจะมีลักษณะ ขนาด
และสีคล้ายคลึงกับกลีบดอกมาก ดอกมีเกสรตัวผู้สมบูรณ์ 8 ก้าน อับเรณูเป็นรูปใบหอกและยาวกว่าก้านชูอับ
เรณู เกสรตัวผู้เป็นหมัน 8 อัน และรังไข่มี 8 ช่อง เม่ือดอกใกล้โรยจะเป็นสีเหลืองอมสีน้าตาล สามารถออก
ดอกไดต้ ลอดปี (ดอกมีน้ามันหอมระเหย ซึ่งประกอบไปด้วย 3-hydroxy-4-phenyl-2-butanone 4.74%, 2-
phenylethanol 37.80%, 2-phenylethyl acetate 7.16%, (E)-cinnamyl alcohol 13.72%, Methyl
benzoate 13.40%, p-methyl-anisole 9.94%)
ผลพกิ ุล
ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ถึงรี ผิวผลมีลักษณะเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียวมีขนส้ันนุ่ม เม่ือสุกแล้วจะ
เปลี่ยนเป็นสีแสด ที่ขั้วผลมีกลีบเลยี้ งติดคงทน ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.5-
3 เซนติเมตร เนื้อในผลเป็นสีเหลืองมีรสหวานอมฝาดและมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะแบนรี แข็ง สีดาเป็นมัน
ติดได้ตลอดปี[1],[2],[3],[4] (ผลและเมล็ดพบ Dihydro quercetin, Quercetin, Quercitol, Ursolic acid,
สารในกลมุ่ ไตรเทอรป์ นี ซง่ึ ได้แก่ Mimusopane, Mimusops acid, Mimusopsic acid ส่วนเมล็ดพบสารไตร
เทอร์ปีนซาโปนินได้แก่ 16-alpha-hydroxy Mi-saponin, Mimusopside A and B, Mi-saponin A และยัง
มสี ารอน่ื ๆ อีก ได้แก่ Alpha-spinasterol glucoside, Taxifolin)
ประโยชน์ของพกิ ลุ
1.ผลพกิ ลุ สามารถใชร้ ับประทานเป็นอาหารหรอื ผลไมข้ องคนและสตั ว์ได้
2.ดอกพิกุลมกี ลิน่ หอมเย็น นยิ มนามาใช้บูชาพระ
3.น้าจากดอกใชล้ า้ งปากล้างคอได้
4.เนือ้ ไม้พิกลุ สามารถนามาใช้ในการกอ่ สร้างทาเคร่ืองมือได้ เช่น ทาเฟอร์นิเจอร์ เคร่ืองดนตรี การขุด
เรือทาสะพาน โครงเรือ ไม้คาน ไม้กระดาน วงล้อ ครก สาก ดา้ มเคร่ืองมือ เครื่องมือทางการเกษตร ฯลฯ และ
ยังใช้เนอื้ ไม้ในงานพธิ มี งคลได้เป็นอย่างดี เช่น การนามาทาเป็นด้ามหอกท่ีใช้เปน็ อาวธุ เสาบ้าน พวงมาลยั เรอื
5.เปลอื กตน้ พิกุลใชส้ กัดทาสยี ้อมผ้า
6.ดอกมีกล่นิ หอมเย็น สามารถนามาสกัดเป็นน้ามันหอมระเหยได้ ซ่ึงสามารถนามาใช้ในการแต่งกล่ิน
อาหาร ใช้เปน็ สว่ นผสมในนา้ หอม ใชแ้ ต่งกล่นิ ทาเครอ่ื งสาอาง

ช่ือสามญั Thai bungor

ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Lagerstroemia loudonii Teijsm. & Binn.

วงศ์ LYTHRACEAE

ชื่อพื้นเมืองอ่ืน เกรยี บ ตะเกรียบ ตะแบกขน เสลาใบใหญ อินทรชติ

ลกั ษณะทั่วไป

ไม ตนสูง 10-20 เมตร เรอื นยอดเปนพมุ กลมหรอื ทรงกระบอก กิง่ โนมหอยลงรอบ ทรงพุม

เปลือก สีดามรี อยแตกเปนทางยาวตลอดลาตน

ใบ ใบเดย่ี ว เรียงตรงขาม รปู ขอบขนานกวาง 6-10 เซนตเิ มตร ยาว 16-24 เซนติเมตร ปลาย

เรียวแหลมเปนติ่ง โคนมน เนอ้ื ใบหนาปานกลาง เสนใบมขี นนุมท้งั 2 ดาน

ดอก สีมวง มวงอมชมพูหรือมวงกับขาว ออกเปนชอแบบชอแยกแขนงท่ีปลายก่ิง กลีบเล้ียงเชื่อม

กันเปนรูปถวย ลายแยกเปน 5-8 แฉก กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปกลมบางยับยนขอบยวย เม่ือบานเสนผาศูนย

กลาง 3-4 เซนตเิ มตร ออกดอกเดือนธนั วาคม – มีนาคม

ผล รูปเกอื บกลมผิวแข็งยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผลแหงแตกตามยาว 5-6 พู มีเมล็ดจานวนมากมี

ปกบางๆ

การกระจายพนั ธุ

พบข้ึนตามปาเบญจพรรณ ปาดิบและปาชายหาด พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก

และภาคกลางลงไปถึงจงั หวดั ประจวบคีรขี ันธ

ประโยชน

เนื้อไม ทาเครื่องแกะสลัก ดามเครื่องมือการเกษตร ใบ บดกับกายาน ใชทาผดผื่นคัน ผล ใชทาไม

ประดับแหง

ชือ่ สามัญ Burmese Padauk, Burmese ebony, Burma Padauk, Narva

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pterocarpus macrocarpus Kurz

วงศ FABACEAE

ช่ือพน้ื เมอื ง ด,ู ดูปา (ภาคเหนอื ) ฉะนอง (เชียงใหม ประดปู า (ภาคกลาง)

ประดูเสน (ราชบรุ ี, สระบุรี)

ลักษณะทั่วไป

ไม้ ไมตนขนาดใหญสูง 15-30 เมตร เรือนยอดแผกวาง เปลือกหนาสีน้าตาลดาแตกเปนรองลึก

หรือเปนแผนหนา สบั เปลอื กมนี ้ายางสีแดง

ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรียงสลับ

ดอก ดอกชอกระจะ สเี หลือง ผล ผลมปี กโดยรอบ

การกระจาย

พบในประเทศพมา กัมพูชา ไทย และเวียดนาม ในประเทศไทยพบไดทุกภาคยกเวนภาคใต พบ

บริเวณปาเบญจพรรณ ปาเตง็ รงั และปาดิบแลงทร่ี ะดับความสูงไมเกิน 800 เมตร

ประโยชน

เนอ้ื ไม้ สแี ดงอมเหลอื ง มลี วดลายสวยงาม แขง็ แรง ใชในงานกอสราง ทาเสา พน้ื ตอเรอื เครื่องเรือน

เครอ่ื งดนตรี

เปลือก สมานแผล แกทองเสีย แกน รักษาคุดทะราด แกไข บารุงกาลัง แกพิษเบื่อเมา แกผดผื่นคัน

และทาใหเลอื ดลมซาน ใชยอมผา เปลอื ก ใชฟอกหนงั

ใบ พอกฝ รักษาบาดแผล แกผดผ่ืนคนั

ชอ่ื สามัญ Ebony tree

ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros mollis Griff.

วงศ์ EBENACEAE

ชอ่ื ทอ้ งถนิ่ อน่ื มักเกลอื (เขมร-ตราด), มกั เกลือ หมักเกลอื มะเกลอื (ตราด), ผีเผา ผผี า

(ฉาน-ภาคเหนอื ), มะเกอื มะเกยี (ภาคเหนือ), เกลือ (ภาคใต้), มะเกล้ือ (ท่ัวไป)

ลกั ษณะของมะเกลอื

ต้นมะเกลือ มีถ่ินกาเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่าและไทย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึง

ขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 10-30 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่ม ลาต้นเปลา ท่ีโคนต้นมักขึ้นเป็นพูพอน ที่ผิว

เปลอื กเป็นรอยแตกเปน็ สะเก็ดเล็ก ๆ ตามยาว สดี า เปลือกดา้ นในมสี ีเหลอื ง สว่ นกระพี้มีสีขาว แก่นมีสีดาสนิท

เน้ือมคี วามละเอยี ดเป็นมันสวยงาม ท่ีกิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นอยู่ประปราย โดยทุกส่วนของมะเกลือเม่ือแห้งแล้วจะ

เปลี่ยนเป็นสีดา และต้นมะเกลือจะขยายพันธ์ุด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถพบต้นมะเกลือได้ทั่วไปทุกภาค

ของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ โดยต้นไม้ชนิดน้ีจะพบได้มากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา

ขอนแกน่ ชัยภมู ิ สกลนคร และอุดรธานี นอกจากนีต้ น้ มะเกลือยังเป็นตน้ ไมป้ ระจาจังหวดั สพุ รรณบรุ ีอีกด้วย

ใบมะเกลือ ใบเป็นใบเด่ียวขนาดเล็ก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรี เรียงแบบสลับ โคนใบกลมหรือ

มน ปลายใบสอบเข้าหากัน ผิวใบเกลี้ยง ใบกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-10

เซนตเิ มตร ใบอ่อนจะมขี นปกคลมุ อยูท่ ั้งสองด้าน

ดอกมะเกลือ ออกดอกเป็นชอ่ ตามซอกใบ ดอกเป็นแบบแยกเพศต่างต้นกัน ดอกตัวผู้จะมีขนาดเล็ด สี

เหลืองอ่อน ในหนึ่งช่อจะมีอยู่ 3 ดอก ส่วนดอกตัวเมียจะเป็นดอกเด่ียว ลักษณะของดอกเหมือนกัน คือ กลีบ

รองดอกจะยาวประมาณ 0.1-0.2 เซนติเมตร ท่โี คนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกจะแยก

เป็น 4 กลบี มีสีเหลือง เรยี งเวียนซ้อนทับกัน ที่กลางดอกจะมีเกสร

ผลมะเกลอื ลกั ษณะของผลกลม มขี นาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวเรียบเกลี้ยง ผล
ออ่ นมีสเี ขียว ผลสกุ มีสเี หลอื ง สว่ นผลแกเ่ ป็นสีดา ผลเม่อื แก่จดั จะแหง้ ทผี่ ลมกี ลีบเลย้ี งติดอยบู่ นผล 4 กลีบ ผล
จะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองประมาณ 4-5 เมล็ด มีขนาดกว้าง
ประมาณ 0.5-0.7 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 1-2 เซนตเิ มตร
ประโยชน์ของมะเกลือ

1.ไม้มะเกลือ มีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนามาใช้ทาเคร่ืองเรือนได้เป็นอย่างดี หรือ
จะใช้ทาเป็นเคร่ืองดนตรี เคร่อื งประดับมุก เครอ่ื งเขยี น เฟอรน์ ิเจอร์ไม้มะเกลอื ตะเกียบกไ็ ด้เชน่ กนั

2.เปลือกนาไปปิ้งไฟให้เหลือง ใช้ใส่ผสมรวมกับน้าตาล นาไปหมัก ก็จะได้แอลกอฮอล์หรือที่เรียกว่า
น้าเมา

3.เปลือกตน้ มะเกลอื ใช้ทาเปน็ ยากันบูดได้
4.ผลมะเกลือมสี ดี า สามารถนามาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมได้ ซึ่งสามารถนามาใช้ย้อมผ้าหรือ
ยอ้ มแห โดยจะให้สีดา สีทไ่ี ด้จะเขม้ และตดิ ทนนาน (ผลสุก)
5.สีดาท่ีได้จากผลมะเกลือยังสามารถนามาใช้ทาไม้ให้มีสีดาเป็นมันในการฝังมุกโต๊ะและเก้าอี้ ช่วยทา
ใหม้ ลี วดลายสวยงามและเด่นมากขึน้

ช่ือสามญั Tamarind, Indian date

ชอ่ื วิทยาศาสตร Tamarindus indica L.

ชอ่ื วงศ FABACEAE

ชอ่ื พ้ืนเมืองอื่น ขาม (ภาคใต)้ ตะลูบ(ชาวบน-นครราชสมี า) ม่องโคลง้ (กะเหรย่ี ง-กาญจนบุร)ี

อาเปยี ล (เขมร-สรุ ินทร)์ หมากแกง (เง้ียว-แม่ฮ่องสอน) ส่ามอเกล

(กะเหรยี่ ง-แม่ฮอ่ งสอน)

ลักษณะท่ัวไป

ไมต้ ้น สูง 15-30 เมตร เปลือกสเี ทาหรือสํนี ้าตาลเขม

ใบ ใบประกอบแบบขนนก ยาว 5-10 เซนติเมตรกวาง 2-4 เซนติเมตร ใบยอย รปู ขอบขนาน

จานวน 10-20 คู ออกตรงขาม ยาว 1.2-2 เซนติเมตร กวาง 3-5 มิลลิเมตร ขอบใบเรยี บ ปลายเปนตง่ิ แหลม

ดอก ชอดอก แบบชอเชงิ ลดหอยลง ออกทง่ี ามใบและปลายก่ิง สีเหลืองออน

ผล เปนฝกยาว รปู รางยาวหรอื โคง ยาว 3-20 ซม. ฝกออนมเี ปลือกสีเขียวอมเทา สีนา้ ตาล

เกรยี ม เนอื้ ในตดิ กบั เปลอื ก เมือ่ แกฝกเปลย่ี นเปนเปลือกแขง็ กรอบหักงาย สนี า้ ตาล เน้ือในกลายเปนสํีน้าตาล

หมุ เมลด็ เนื้อมรี สเปรยี้ ว และหวานการกระจาย มถี นิ่ กาเนิดท่ีเกาะมาดากสั กาแพรกระจายแอฟรกิ าตะวนั ออก

และอินเดีย

ประโยชน

1.ราก แกทองเสยี

2.เปลอื ก แกไข แกทองเสยี สมานแผล รกั ษาแผลเรื้อรงั

3.ใบ ชวยยอยอาหาร ใชอบ อาบสมนุ ไพร

4.เนอื้ ในฝก เปนยาระบาย ขับเสมหะ บารุงผิวพรรณ กระตุนการสรางเซลลผวิ ใหม ลบรอยแผล

เปนและเห่ียวยน

ช่ือสามญั Cork Tree , Indian Cork

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L.f.

ชอ่ื วงศ์ BIGNONIACEAE

ชื่อพื้นเมืองอื่น กาซะลอง กาดสะลอง เตก็ ตองโพ

ลกั ษณะท่วั ไป

ไมต้น ผลัดใบสูง 6-12 เมตร เรือนยอดเปนพุมทบึ กิ่งมักหอยลง เปลอื กสีเทา แตกเปนรองลกึ

เนือ้ หยนุ คลายไมกอก

ใบ ประกอบแบบขนนก 2-3 ช้ัน ออกตรงขาม ใบยอยรปู ไข หรอื รปู ไขแกมรูปใบหอก กวาง

1.5-3 เซนติเมตร ยาว 2.5-8 เซนติเมตร ปลายเรยี วแหลมโคนกลม ขอบจัก

ดอก สขี าวกล่นิ หอม ออกเปนชอใหญทป่ี ลายก่ิง ยาว 10-40 เซนติเมตร ทยอยบานกลบี เลี้ยง 5

กลีบ โคนเชอื่ มกนั เปนรปู ระฆัง กลีบดอกเช่อื มกนั เปนหลอดยาว ปลายบานออกเปนรูปแตร กวางประมาณ 2

เซนติเมตร มี 5 กลบี เกสรตวั ผู 4 อัน ออกดอกเดือนกันยายน – ธันวาคมบานเวลาเย็น

ผล เปนฝกแบน กวาง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 28-36 เซนตเิ มตร เมอื่ แกแตก 2 ซกี เมลด็ จานวน

มากมีปกการกระจายพันธุ ข้ึนในปาเบญจพรรณ และ เขาหินปนู ขยายพันธุโดยเมล็ด และ หนอ

ประโยชน

1.เปลือก เนอ้ื ไม ใหสีเหลือง น้าตาล ใชยอมฝาย

2.ราก เปนยาบารุงปอด รกั ษาวัณโรค เปลอื ก ทาจุกกอก ดอก สบู แกหืด

ชื่อสามัญ West Indian Red Jasmine

ช่ือวิทยาศาสตร์ Plumeria acuminata Aiton

ชื่อวงศ์ APOCYNACEAE

ชอ่ื ทอ้ งถ่ินอื่น ล่นั ทมแดง ลั่นทมเหลือง ลลี าวดี

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ต้น ขนาดเล็ก สงู 3-8 ม. ขนาดทรงพ่มุ 6-8 ม. ผลัดใบ ทรงพ่มุ รูปไข่ หรือรูปร่ม แผก่ ว้าง โปรง่

ลาต้นและก่ิงอวบนา้ เปลือกต้นสนี ้าตาลปนเทา เรียบ ทกุ ส่วนมนี ้ายางสขี าว

ใบ ใบเดี่ยว เรยี งเวยี นสลบั ถ่ที ่ีปลายก่ิง รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน มีลักษณะป้อมส้นั กว้าง 10-15 ซม. ยาว

20-35 ซม.ปลายใบเป็นติ่ง แหลมโคนใบสอบ แผ่นใบคอ่ นข้างหนาและย่นเป็นลอนผวิ ใบดา้ นบน สเี ขยี วเขม้

เป็นมนั ผวิ ใบด้านล่างสีเขียวนวลและมขี นละเอียด ก้านใบอวบยาว 4-8 ซม.

ดอก สเี หลือง ชมพู สม้ แดง มว่ ง หรอื มหี ลายสปี นกันในดอกเดียว มีกลน่ิ หอม ออกเป็นชอ่ แบบช่อเชงิ

ลดที่ปลายกง่ิ ช่อดอกตั้งยาว 15-25 ซม. ดอกยอ่ ย 8 -16 ดอก กลบี เลยี้ งเชื่อมติดกันปลายแยกเปน็ 5 แฉก

กลบี ดอกโคนเชื่อมติดกนั เปน็ หลอด ภายในมีขน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ซ้อนเหล่ือมกนั ปลายกลบี ดอกมตี ิ่ง

แหลมและโคง้ ออกเล็กน้อย เกสรเพศผู้ 4-5 อนั เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางดอก 5-7 ซม.

ผล ผลแหง้ แตกตะเข็บเดยี ว เปน็ ฝักคู่ รปู ยาวรี กวา้ ง 1.5 ซม. ยาว 15 ซม. สเี ขยี วเข้ม เม่ือสกุ สี

นา้ ตาลอมดา เมล็ดแบน และมปี ีก เมล็ดสีน้าตาลจานวนมาก ออกดอกตดิ ผลตลอดปี ขยายพันธุโ์ ดยการเพาะ

เมลด็ หรือปกั ชาก่ิงควรปกั ชาในทราย

การใชป้ ระโยชน์

เปลือกรากใชเ้ ป็น ยาขับน้าเหลอื ง ยาระบาย เมล็ด ใช้เปน็ ยาหา้ มเลือด ยาง แกง้ ูสวดั หิด ใช้ใส่แผล

เอกสารอ้างองิ

กอ่ งกานดา ชยามฤต. (2548). ลักษณะประจาวงศ์พรรณไม้.กรงุ เทพฯ :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์ุพชื .

------------------------. (2549). ลกั ษณะประจาวงศพ์ รรณไม้ 2. กรงุ เทพฯ :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพชื .

ปา่ ไม้,กรม. (2558). พรรณไม้ในพระราชบญั ญัตสิ วนปา่ (ฉบบั ที่ 2). พ.ศ.2558. ม.ป.ท.
ศริ วิ รรณ สทุ ธจติ ต์. (2550). ผลติ ภัณฑ์ธรรมชาติเพ่อื สุขภาพ. (พมิ พ์ครั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ :

บรษิ ัท ส.เอเชียนเพรส (1989) จากดั .
ไทยเกษตรศาสตร.์ (2556).ลั่นทมแดง. สืบค้นเม่อื 19 ตลุ าคม 2564 จาก https://www.thaikasetsart.com.
นัย บารุงเวช. (2562).เทคโนโลยีการเกษตร. สบื ค้น 19 สงิ หาคม 2564 จาก
https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_119025.
MedThai.สมุนไพร : มะเกลือ. สืบคน้ เมื่อ 19 ตลุ าคม 2564. จาก https://medthai.com.
Puechkaset. (2559). มะเกี๋ยง สรรพคุณ และประโยชน์มะเก๋ียง. สบื คน้ เมื่อ 18 ตุลาคม 2564

จาก https://puechkaset.com.

องคประกอบท1่ี
การจดั ทาปายชือ่ พรรณไม

ใบงานที่ 1.1
กาหนดพืน้ ท่ีศึกษา

วัตถปุ ระสงค
1. เพือ่ รูขอบเขต ขนาดพน้ื ที่ทั้งหมดของโรงเรียน
2. เพือ่ รูลักษณะทางกายภาพในโรงเรยี น
3. เพอื่ รูการแบงพน้ื ทเี่ ปนสวนยอยและการจดั การพื้นที่ศกึ ษาในการเขาไปเรยี นรูที่เหมาะสม
คาชแ้ี จง
1. นาพืน้ ทีข่ องโรงเรียนท้งั หมด มาวัดพืน้ ท่ี
2. เรยี นรูลักษณะทางกายภาพ
3. กาหนดขอบเขตพืน้ ทศ่ี ึกษา

ผงั พ้นื ท่ีท้ังหมดของโรงเรียน

สญั ลกั ษณ์ ผังพื้นท่ีทั้งหมดของโรงเรียน

N พืน้ ทีศ่ ึกษา..........................................................
มาตราสว่ น..........................................................
วันที.่ ....................................................................
ผู้ศกึ ษา................................................................

กาหนดขอบเขตพ้ืนทศ่ี กึ ษาไดทัง้ หมด6 พื้นที่ ดังน้ี

1. พืน้ ที่ศกึ ษาที่ 1 บริเวณ............................................ ขนาดพน้ื ท่.ี .............................ตารางเมตร
2. พื้นที่ศึกษาที่ 2 บรเิ วณ............................................ ขนาดพน้ื ที่..............................ตารางเมตร
3. พน้ื ท่ีศึกษาที่ 3 บริเวณ............................................ ขนาดพน้ื ที่..............................ตารางเมตร
4. พนื้ ที่ศกึ ษาที่ 4 บรเิ วณ............................................ ขนาดพ้นื ท่ี..............................ตารางเมตร
5. พื้นที่ศกึ ษาที่ 5 บรเิ วณ............................................ ขนาดพน้ื ที่..............................ตารางเมตร
6. พ้นื ทศ่ี ึกษาที่ 6 บรเิ วณ............................................ ขนาดพ้นื ท.่ี .............................ตารางเมตร

ใบงานท่ี 1.2
การสารวจพรรณไม

วตั ถปุ ระสงค
1. เพอ่ื ทราบชนิดของพรรณไม
2. เพื่อทราบจานวนตนในแตละชนดิ
3. เพ่ือจาแนกลกั ษณะวิสยั ของพรรณไม ทีส่ ารวจในพนื้ ทีศ่ ึกษา
คาชแ้ี จง
1. ใหสารวจ ชนดิ ของพรรณไมในพื้นท่ศี ึกษา
2. ใหจาแนกลักษณะวสิ ัยของพรรณไม ทส่ี ารวจในพ้ืนท่ีศกึ ษา

ตารางการสารวจพรรณไมในพ้นื ทศ่ี ึกษา

ลาดบั ชื่อพรรณไม ลักษณะวิสัย จานวนตน

ตารางการสารวจพรรณไมในพ้ืนทีศ่ กึ ษาในโรงเรยี น

พน้ื ท่ศี ึกษาที่ ..... บรเิ วณ........................................................... ขนาดพน้ื ท่.ี .............................ตารางเมตร

ท่ี ชอื่ พรรณไม้ ลกั ษณะวิสัย

ไมตน ไมพมุ ไม ไมรอ ไผ เฟรน ปาลม กลวย

เลอ้ื ย เลอ้ื ย ไม้

สรุป จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
1. ไมตน จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
2. ไมพมุ จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
3. ไมเลอื้ ย จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
4. ไมรอเล้ือย จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
5. ไผ จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
6. เฟรน จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
7. ปาลม จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
8. กลวยไม

ใบงานที่ 1.3
ทาและติดปายรหัสประจาตน

วัตถปุ ระสงค
1. เพื่อรูรปู แบบปายรหสั ประจาตนตามแบบ อพ.สธ.
2. เพื่อใหเลือกวสั ดุทาปายรหัสประจาตนท่ีเหมาะสม
3. เพ่อื ตดิ ปายรหัสประจาตนใหถกู ตอง
คาช้แี จง
1. ใหเรียนรูรูปแบบปายรหัสประจาตนตามแบบ อพ.สธ.
2. ใหเลอื กใชวัสดุในการทาปายรหัส
3. ใหนาปายรหัสไปติดประจาตนใหถูกตอง

วสั ดุ/อปุ กรณ ในการทาปายรหัส
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................

ใบงานท่ี 1.4
ตั้งชอ่ื หรอื สอบถามชื่อ และศึกษาขอมูลพน้ื บาน (ก.7-003 หนา ปก - 1)

วตั ถปุ ระสงค
1. เพ่ือรูชือ่ พ้ืนเมืองของพรรณไม
2. เพ่อื รูขอมลู พน้ื บานของพรรณไม
คาชีแ้ จง
1. ใหเรยี นรู สอบถามชอ่ื พืน้ เมอื งของพรรณไม
2. ใหเรียนรู สอบถามขอมลู พื้นบานของพรรณไม้


Click to View FlipBook Version