The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

NEW คู่มือ มทช.หมวดงานทดสอบ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

NEW คู่มือ มทช.หมวดงานทดสอบ

NEW คู่มือ มทช.หมวดงานทดสอบ

Keywords: กรม,ทางหลวงชนบท,ทช,วิเคราะห์ วิจัย,มาตรฐานงานทาง

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
นา้ หนกั ท่ีหายไปคือนา้ หนกั ของนา้ ท่ีอย่ใู นดิน การช่งั นา้ หนกั ใหอ้ ่านละเอียดถึง 0.01
กรมั
3.4.5 การแตกของดินในขอ้ 3.4.4 มีหลายลกั ษณะแลว้ แตช่ นิดของดนิ อาจแตกรว่ นเป็นกอ้ น
เล็ก ๆ อาจลอกออกเป็นชนั้ ๆ จากปลายทงั้ สองขา้ งเขา้ หาส่วนกลางจนแตกออกเป็น
ชนิ้ เลก็ ๆ เป็นตน้ ตามรูปท่ี 2 ตวั อยา่ งดนิ แทง่ กลมยาว

รูปท่ี 2 ตวั อยา่ งดนิ แทง่ กลมยาว

3.4.6 สาหรับดินเหนียวมาก ๆ (HEAVY CLAY SOIL) ต้องใช้แรงกดในการคลึงมาก
โดยเฉพาะเม่ือใกลจ้ ะแตกแตเ่ ม่ือคลงึ จนมีขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3.2 มม. (1/8 นิว้ )
แลว้ ดินเหนียวยงั ไม่แตกใหล้ ดแรงกด หรืออตั ราความเร็วของการคลึงลงหรือลด ทงั้
สองอย่าง แลว้ คลึงต่อไปโดยไม่ทาใหเ้ สน้ ดินชิน้ เล็กลงจนในท่ีสุดดินเหนียวจะขาด
ออกเป็นทอ่ น ๆ ยาวประมาณ 6.4 มม. ถงึ 9.5 มม. (1/4 นวิ้ ถึง 3/8 นวิ้ )

3.4.7 สาหรบั ดินเหนียวท่ีอ่อนมาก (VERY SOFT CLAY) ใหค้ ลึงเป็นรูปไข่ยาวในตอนเร่ิม
การทดสอบใหม้ ีขนาดใกลเ้ คียงเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 3.2 มม. (1/8 นิว้ ) ได้ เพ่ือลดการ
เปล่ียนแปลงโครงสรา้ งดนิ

3.4.8 ในกรณีท่ีคลึงดินจนมีขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางใกลเ้ คียง 3.2 มม. (1/8 นิว้ ) หรือใหญ่
กวา่ เล็กนอ้ ยแลว้ ดินนนั้ แตก ถา้ ดินนนั้ เคยคลึงใหม้ ีเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางเทา่ กบั 3.2 มม.
(1/8 นวิ้ ) ไดม้ ากอ่ น ใหถ้ ือวา่ ดนิ นนั้ แตกท่ีขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3.2 มม. (1/8 นวิ้ )

3.4.9 ในการคลงึ ใหด้ ินเป็นเสน้ ใหค้ ลงึ ดว้ ยแรงกดและอตั ราความเรว็ สม่าเสมอคงท่ี หา้ มเรง่
เพ่ือใหด้ นิ แตกเม่ือมีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 3.2 มม. (1/8 นวิ้ )

51

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
3.4.10 ตอ้ งทาการทดสอบอยา่ งนอ้ ยตวั อย่างละ 2 ครงั้ และผลตา่ งของผลท่ีไดจ้ ะตอ้ งตา่ งกนั

ไมเ่ กินรอ้ ยละ 2

4 การคานวณ
คานวณคา่ ขีดพลาสตกิ เป็นรอ้ ยละของนา้ ท่ีผสมอยใู่ นดนิ ท่ีอบแหง้ ดงั นี้

ขดี พลาสตกิ (ความชืน้ เป็นรอ้ ยละ) = นา้ หนกั ของนา้ X 100 =
นา้ หนกั ของดินอบแหง้

คา่ ดชั นีความเป็นพลาสตกิ เป็นผลตา่ งระหวา่ งขีดเหลว และขีดพลาสตกิ ของดนิ นนั้ คานวณ ดงั นี้

คา่ ดชั นีความเป็นพลาสติก (P.I.) = คา่ ขีดเหลว (L.L.) – ขีดพลาสตกิ (P.L.)

5 การรายงาน
ใหร้ ายงานเป็นคา่ ขีดพลาสตกิ และคา่ ดชั นีความเป็นพลาสตกิ นอกจากดนิ มีสภาพตอ่ ไปนี้
5.1 ใหร้ ายงานคา่ ดชั นีความเป็นพลาสติก เป็น นอน-พลาสตกิ (NON-PLASTIC) เม่ือไมส่ ามารถวดั
คา่ ขีดเหลว หรอื ขีดพลาสตกิ
5.2 เม่ือคา่ ขีดพลาสตกิ เท่ากบั หรือมากกวา่ คา่ ขีดเหลว ใหร้ ายงานคา่ ดชั นีความเป็นพลาสตกิ เป็น
นอน-พลาสตกิ

6 ข้อควรระวัง
6.1 ในการคลึงใหด้ ินเป็นรูปลกั ษณะแท่งกลมยาว ใหค้ ลึงดว้ ยแรงกดและอตั ราเร็วสม่าเสมอและ
คงท่ี หา้ มเรง่ เพ่ือใหด้ นิ แตก
6.2 เม่ือคลงึ ดนิ แตกแลว้ ใหร้ ีบช่งั หานา้ หนกั ทนั ที กอ่ นท่ีนา้ จะระเหยหายไป
6.3 ดินท่ีมีคา่ ดชั นีความเป็นพลาสติกต่า ใหแ้ ตง่ ดนิ เป็นแท่งยาวก่อนคลงึ และนา้ หนกั นิว้ ท่ีกดขณะ
คลงึ ตอ้ งเบา และใหค้ อยซบั นา้ ท่ีเยมิ้ ออกจากตวั อยา่ งดนิ มาตดิ แผน่ ผวิ เรียบ
6.4 ตวั อยา่ งดนิ ท่ีมีทรายปนมากอาจเป็นพวก นอน-พลาสตกิ ใหท้ ดลองหาคา่ ขีดพลาสติกก่อนเพ่ือ
ประหยดั เวลา

7 หนังสอื อ้างองิ
7.1 เอกสารการทดสอบท่ี ทล-ท. 103/2515 กองวิเคราะหแ์ ละวิจยั กรมทางหลวง
7.2 STANDARD METHOD FOR DETERMINING THE PLASTIC LIMIT AND PLASTICITY
INDEX OF SOILS ; AASHTO DESIGNATION : T 90-70

52

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

53

โครงการ………………………………………………… บ .มทช.(ท) 501.5-2545 ทะเบียนทดสอบ………………….
…………………………………………………………. ผู้ทดสอบ
ส านท่กี อ่ สร้าง……………………………………….. (หนว่ ยงานที่ทาการทดสอบ)
ผ้รู บั า้ ง………………………………………………… ผู้ตรว สอบ
ชนิดตัวอยา่ ง…………………. ทดสอบคร้ังท…่ี …… การทดสอบหาค่าแอตเตอรเ์ บริ ก์ และคา่ ขีดหดตัว อนมัติ
วนั ท่ที ดสอบ……………………. แผ่นท่…ี ………….
ลัก ณะดิน…..……………….…………. หลมท…่ี ………………

ความลก………..……เมตร ค่าความ ว่ ง าเพาะ, Gs……..

การทดสอบ คา่ ขีดเหลว คา่ ขีดพลาสตคิ คา่ ขีดหดตวั ความชื้นในดิน ,W ( ้รอยละ)
( Liquid Limit ) ( Plastic Limit ) (Shrinkage Limit)
ครงั้ ท่ี
ตลบั บรรจดุ นิ หมายเลข 123 123123
จานวนของการหมนุ เคาะ
นา้ หนกั ดนิ ชืน้ + ตลบั สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท(ครงั้ )
นา้ หนกั อบแหง้ + ตลบั (กรมั )
นา้ หนกั นา้54 (กรมั )
นา้ หนกั ตลบั บรรจดุ นิ (กรมั ) 10 15 20 25 30 40 50 60 70 80 90100
นา้ หนกั ดนิ อบแหง้ , WS (กรมั ) านวนของการหมนเคาะ, N (คร้งั )
ความชืน้ ในดนิ , W (กรมั )
ปรมิ าตรของดนิ ชืน้ , V รอ้ ยละ Group Symbols L.L. = % P.L. = % P.I. = % S.L. = %
ปรมิ าตรดนิ อบแหง้ , VO ( ซม.3)
การหดตวั เชงิ ปรมิ าณ ( ซม.3)
(Shrinkage Vol) V - VO
คา่ ขีดหดตวั , SL ( ซม.3)
( ซม.3)

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.(ท) 501.7-2545
วิธีการทดสอบเพอ่ื หาค่าสัมประสิทธิก์ ารหดตัว

(SHRINKAGE FACTORS)

1. ขอบข่าย
วิธีการทดสอบนีเ้ ป็นการทดสอบท่ีครอบคลมุ ถึงการหาคณุ สมบตั ิตา่ ง ๆ ของดนิ ดงั นี้
1.1 คา่ ขีดหดตวั (SHRINKAGE LIMIT)
1.2 คา่ อตั ราสว่ นการหดตวั (SHRINKAGE RATIO)
1.3 คา่ การเปล่ียนแปลงเชิงปรมิ าตร (VOLUMETRIC CHANGE)
1.4 คา่ การหดตวั เชงิ เสน้ (LINEAR SHRINKAGE)

2. นิยาม
2.1 ค่าขีดหดตัว หมายถึง จานวนความชืน้ (WATER CONTENT) มากท่ีสุดท่ีผสมในดิน ซ่ึงเม่ือ
ความชืน้ ดงั กลา่ วลดลงแลว้ ไมท่ าใหป้ รมิ าตรรวมของมวลดนิ ลดลงตามดว้ ย
2.2 คา่ อตั ราสว่ นการหดตวั หมายถงึ อตั ราสว่ นระหวา่ งปริมาตรของดนิ ท่ีเปล่ียนแปลง และความชืน้ ใน
ดนิ ท่ีเปล่ียนแปลง โดยคา่ ทงั้ สองตอ้ งสอดคลอ้ งกนั เหนือคา่ ขีดหดตวั
2.3 คา่ การเปล่ียนแปลงเชิงปรมิ าตร หมายถึง คา่ ปรมิ าตรของมวลดนิ ท่ีลดลง เม่ือความชืน้ ลดลงจาก
รอ้ ยละของความชืน้ ท่ีหาได้ จนถึงขีดหดตวั
2.4 คา่ การหดตวั เชิงเสน้ หมายถึง คา่ การหดตวั ของมิติใดมิติหน่ึงของมวลดิน เม่ือความชืน้ ในดินนนั้
ลดลงจากรอ้ ยละของความชืน้ ท่ีหาได้ จนถึงคา่ ขีดหดตวั

3. วธิ ีทา
3.1 เคร่อื งมือและอปุ กรณ์ ประกอบดว้ ย
3.1.1 ถว้ ยกระเบอื้ งเคลือบ
3.1.1.1 ถว้ ยกระเบือ้ งเคลือบสาหรบั ผสมดินหรือถว้ ยในลกั ษณะเดียวกนั ขนาดเสน้ ผ่าน
ศนู ยก์ ลาง ประมาณ 115 มม. (4 1/2นวิ้ )
3.1.1.2 ถว้ ยกระเบอื้ งเคลือบขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 150 มม. (6 นวิ้ )
3.1.2 ใบพายกวนดิน (SPATULA) ใบพายกวนดินหรือใบมีดบาง มีใบพายหรือใบมีดยาว 75
มม. (3 นวิ้ ) กวา้ ง 19 มม. (3/4 นวิ้ )
3.1.3 ภาชนะกระเบือ้ งเคลือบหรือโลหะเคลือบ (MILK DISH) มีฐานราบและเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง
ประมาณ 45 มม. (1 3/4 นวิ้ ) สงู ประมาณ 12.7 มม. (1/2 นวิ้ )
3.1.4 เหลก็ ปาด (STRAIGHT EDGE) ทาดว้ ยเหลก็ ยาวประมาณ 100 มม. (4 นวิ้ )

55

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.1.5 ถว้ ยแกว้ (GLASS CUP) เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 50.8 มม. (2 นวิ้ ) สงู 25 มม. (1 นวิ้ )
ขอบปากถว้ ยแกว้ ราบเรียบและขนานกบั ฐาน

3.1.6 แผ่นแกว้ ใส (TRANSPARENT PLATE) มีขาโลหะ 3 ขา สาหรบั กดตวั อยา่ งดนิ ใหจ้ มลงใน
ปรอท

3.1.7 กระบอกตวง (GLASS GRADUATE) ขนาดความจุ 25 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร และอ่านได้
ละเอียดถึง 0.2 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร

3.1.8 เคร่อื งช่งั (BALANCE) สามารถอา่ นไดล้ ะเอียดถงึ 0.01 กรมั
3.1.9 ปรอท (MERCURY) จานวนมากพอท่ีจะใสใ่ นถว้ ยแกว้ (ขอ้ 3.1.5) ไดเ้ ตม็ จนลน้

3.1.10 ตอู้ บ (OVEN) สามารถควบคมุ อณุ หภูมิใหค้ งท่ี ท่ี 1105 องศาเซลเซียส (2309 องศา

ฟาเรนไฮต)์ เพ่ืออบดนิ ใหแ้ หง้ ได้

Metric

Equivalents

in 1/32 1/16 1/ 8 7/ 32 7/16
11.1
15/16 3

mm. 0.8 1.6 3.2 5.6

23.8 76.2

รูปที่ 1 เครอ่ื งมือสาหรับหาค่าสัมประสทิ ธิก์ ารหดตวั

3.2 การเตรียมตวั อย่างการทดสอบ เตรียมโดยนาตวั อยา่ งดนิ มารอ่ นผ่านตะแกรง ขนาด 0.425 มม.
(เบอร์ 40) คลกุ เคลา้ กนั ใหท้ ่วั แลว้ แบง่ ดนิ ประมาณ 30 กรมั มาใชท้ ดสอบ

3.3 แบบฟอรม์ ใหใ้ ชแ้ บบฟอรม์ ท่ี บฟ. มทช.(ท) 501.5-2545
3.4 การทดสอบ

56

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.4.1 ผสมตวั อย่างดนิ ในถว้ ยกระเบือ้ งเคลือบ สาหรบั ผสมดินดว้ ยนา้ ใหท้ ่วั ถงึ ดว้ ยปริมาณนา้
ท่ีเพียงพอท่ีจะแทนท่ีชอ่ งว่าง (VOID) ระหว่างเม็ดดนิ ทงั้ หมดไดแ้ ละเหลวพอท่ีจะบรรจุ
ลงในภาชนะกระเบือ้ งเคลือบ โดยปราศจากฟองอากาศ จานวนนา้ ท่ีตอ้ งผสมดินรว่ น
เพ่ือใหเ้ หลวตามตอ้ งการนนั้ จะมีคา่ เท่ากับหรือมากกว่าค่าขีดเหลว (LIQUID LIMIT)
และจานวนนา้ ท่ีตอ้ งใสผ่ สมกบั ดนิ เหนียว เพ่ือใหเ้ หลวตามตอ้ งการอาจมากกว่าค่าขีด
เหลวถึงรอ้ ยละ 10

3.4.2 ทาดา้ นในของภาชนะกระเบือ้ งเคลือบ ดว้ ยขีผ้ ึง้ หรือนา้ มันหล่อล่ืนเพียงบาง ๆ เพ่ือ
ปอ้ งกนั มใิ หด้ ินตดิ ภาชนะ ใสด่ ินท่ีผสมนา้ แลว้ ประมาณ 1/3 ของปรมิ าตรของภาชนะลง
กลางภาชนะและคอ่ ย ๆ เคาะภาชนะบนพืน้ ท่ีราบเรียบรองดว้ ยกระดาษซบั หลาย ๆ ชนั้
หรือวสั ดทุ ่ีคลา้ ยกนั จนดนิ ไหลไปชนดา้ นขา้ งของภาชนะใส่ดนิ จานวนเท่า ๆ กบั ครงั้ แรก
ลงในภาชนะอีก และเคาะจนดนิ แนน่ และฟองอากาศลอยขนึ้ มาบนผิวจนหมดแล้ว เติม
ดินจานวนมากกว่าคราวก่อนเล็กนอ้ ยลงในภาชนะและเคาะจนดินเต็ม และลน้ ขอบ
ภาชนะเล็กนอ้ ยปาดดินท่ีลน้ ออกดว้ ยเหล็กปาดและเช็ดดินท่ีติดอย่ขู า้ ง ๆ ภาชนะออก
ใหห้ มด

3.4.3 ช่งั ภาชนะท่ีมีดินบรรจอุ ย่เู ต็มทนั ทีและบนั ทึกไว้ เป็นคา่ นา้ หนกั ของภาชนะและดินชืน้
ปลอ่ ยใหต้ วั อย่างดนิ ในภาชนะแหง้ ท่ีอณุ หภมู ิของหอ้ งทดสอบ จนกระท่งั สีของตวั อยา่ ง
ดินจางลงแลว้ อบในตอู้ บดว้ ยอุณหภูมิ 1105 องศาเซลเซียส (2309 องศาฟาเรน
ไฮต)์ จนแหง้ แลว้ ช่งั และบนั ทึกไวเ้ ป็นนา้ หนักของภาชนะและดินแหง้ หานา้ หนักของ
ภาชนะเปล่าและบนั ทึกไว้ สาหรบั ปริมาตรของภาชนะหาไดโ้ ดยใส่ปรอทลงในภาชนะ
จนลน้ แลว้ เอาปรอทสว่ นท่ีเกินออกโดยกดแผ่นกระจกเรียบบนปากภาชนะจนสนิท วดั
ปริมาตรปรอทท่ีอย่ใู นภาชนะ โดยเทลงในกระบอกตวงบนั ทึกปริมาตรภาชนะไว้ ซ่ึง
เป็นปรมิ าตรของตวั อยา่ งดนิ ชืน้ (V)

3.4.4 หาปริมาตรของดนิ อบแหง้ ไดโ้ ดยใหด้ นิ อบแหง้ แทนท่ีปรอทในถว้ ยแกว้ ท่ีบรรจปุ รอทอยู่
เตม็ (ดรู ูปท่ี 1 ) ดงั นี้
ใส่ปรอทในถว้ ยแกว้ จนเต็มลน้ และใหเ้ อาปรอทส่วนเกินออกโดยการกดแผ่นแกว้
ใสท่ีมีขาโลหะ 3 ขา อย่ดู า้ นบนปากถว้ ยแก้วใหส้ นิท และเช็ดปรอทท่ีติดขา้ งถว้ ยแลว้
ออกใหห้ มด วางถว้ ยแกว้ ท่ีบรรจปุ รอทเตม็ นีล้ งในถว้ ยกระเบือ้ งเคลือบ แลว้ วางตวั อย่าง
ดินอบแหง้ บนผิวปรอท และกดใหต้ วั อย่างดินจมลงในปรอทดว้ ยความระมดั ระวงั ดว้ ย
แผ่นแกว้ ใสท่ีมีขาโลหะ 3 ขา จนกระท่งั แผ่นแกว้ ใสกดสนิทขอบปากแกว้ ระวงั อยา่ ใหม้ ี
ฟองอากาศอย่ใู ตต้ วั อย่างดิน หาปริมาตรของปรอทท่ีถูกแทนท่ีดว้ ยตวั อย่างดิน โดยใช้

57

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

กระบอกตวงปรอทท่ีลน้ ออกมาแลว้ บนั ทึกปริมาตรไว้ ซ่ึงเป็นปริมาตรของดินอบแหง้
(Vo)

4. การคานวณ
4.1 คานวณหาจานวนความชืน้ (WATER CONTENT) ขณะใสด่ นิ ลงในถว้ ยกระเบอื้ งเคลือบ เป็นรอ้ ย
ละของนา้ หนกั ดนิ อบแหง้ ไดจ้ ากสตู ร

w = W - Wo X 100 =
Wo

เมอื่ w = จานวนความชืน้ เป็นรอ้ ยละขณะใสด่ นิ ลงในถว้ ยกระเบอื้ งเคลอื บ

W = นา้ หนกั ของดนิ ชืน้ หาไดโ้ ดยหกั นา้ หนกั ภาชนะกระเบอื้ งเคลือบออกจากนา้ หนกั
ภาชนะและดนิ ท่ีบรรจอุ ยเู่ ตม็ ภาชนะ หนว่ ยเป็นกรมั

Wo = นา้ หนกั ของดนิ แหง้ หาไดโ้ ดยหกั นา้ หนกั ภาชนะกระเบอื้ งเคลือบออกจากนา้ หนกั
ภาชนะและดนิ ชืน้ อบแหง้ หนว่ ยเป็นกรมั

4.2 คานวณหาคา่ ขีดหดตวั : (S) ไดจ้ ากสตู ร

{ }S
= w ( V – Vo ) water x 100
Wo
เม่ือ S = ขีดหดตวั

w = จานวนความชืน้ เป็นรอ้ ยละ จากขอ้ 4.1

V = ปรมิ าตรของดนิ ชืน้ หนว่ ยเป็นลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร

Vo = ปรมิ าตรของดนิ แหง้ หนว่ ยเป็นลกู บาศกเ์ ชนตเิ มตร

water = นา้ หนกั ของนา้ ตอ่ หนว่ ยปรมิ าตร หนว่ ยเป็นกรมั /ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
Wo = นา้ หนกั ของดนิ อบแหง้ หนว่ ยเป็นกรมั

4.3 คานวณหาคา่ อตั ราสว่ นการหดตวั (R) ไดจ้ ากสตู ร

R= Wo
Vo water

เม่ือ R = อตั ราสว่ นการหดตวั
Wo = นา้ หนกั ของดนิ อบแหง้ หนว่ ยเป็นกรมั
Vo = ปรมิ าตรดนิ อบแหง้ หนว่ ยเป็นลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
water = นา้ หนกั ของนา้ ตอ่ หนว่ ยปรมิ าตร หนว่ ยเป็นกรมั /ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร

4.4 คานวณหาคา่ การเปล่ียนแปลงเชิงปรมิ าตร : (VC) ไดจ้ ากสตู ร

58

การหดตัวเ ิชงเส้น LS = ร้อยละ สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

VC = (w – S) R
เม่ือ VC = การเปล่ียนแปลงเชงิ ปรมิ าตร
w = จานวนความแนน่ ชืน้ เป็นรอ้ ยละของดนิ ในสภาพใดสภาพหน่งึ
S = คา่ ขีดจากดั การหดตวั
R = คา่ อตั ราสว่ นการหดตวั

4.5 คานวณหาคา่ การหดตวั เชงิ เสน้ (LS) ไดจ้ ากสตู ร

LS = 100 { 1 - 3 [100/(VC+100)] }

หรือหาไดจ้ ากเสน้ กราฟ ในรูปท่ี 2

การเปล่ียนแปลงเชงิ ปรมิ าตร VC = รอ้ ยละ
รูปท่ี 2 เสน้ กราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง VC และ LS
5. หนังสืออ้างอิง
5.1 STANDARD METHOD FOR DETERMINING THE SHRINKAGE FACTORS OF SOIL ;
AASHTO DESIGNATION : T 92-68
5.2 กองวเิ คราะหแ์ ละวจิ ยั กรมทางหลวง การทดสอบท่ี ทลขท. 104/2515

59

โครงการ………………………………………………… บ .มทช.(ท) 501.5-2545 ทะเบียนทดสอบ………………………
………………………………………………………….
ส านท่ีก่อสรา้ ง……………………………………….. (หนว่ ยงานท่ีทาการทดสอบ) ผู้ทดสอบ
ผ้รู ับ า้ ง………………………………………………… ผู้ตรว ดสอบ
ชนิดตวั อยา่ ง…………………. ทดสอบคร้ังท…่ี …… การทดสอบหาค่าแอตเตอรเ์ บิรก์ และคา่ ขีดหดตวั อนมัติ
วันท่ีทดสอบ……………………. แผ่นท่ี…………….
ลัก ณะดนิ …..……………….…………. หลมท…่ี ………………

ความลก………..……เมตร คา่ ความ ว่ ง าเพาะ, Gs……..

การทดสอบ คา่ ขีดเหลว คา่ ขีดพลาสตคิ คา่ ขีดหดตวั ความชื้นในดิน ,W ( ้รอยละ)
( Liquid Limit ) ( Plastic Limit ) (Shrinkage Limit)
ครงั้ ท่ี
ตลบั บรรจดุ นิ หมายเลข 123 123123
จานวนของการหมนุ เคาะ
46สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบทนา้ หนกั ดนิ ชืน้ + ตลบั
นา้ หนกั อบแหง้ + ตลบั
60นา้ หนกั นา้
นา้ หนกั ตลบั บรรจดุ นิ (ครงั้ )
นา้ หนกั ดนิ อบแหง้ , WS (กรมั )
ความชืน้ ในดนิ , W (กรมั )
ปรมิ าตรของดนิ ชืน้ , V (กรมั )
ปรมิ าตรดนิ อบแหง้ , VO (กรมั )
การหดตวั เชงิ ปรมิ าณ (กรมั )
(Shrinkage Vol) V - VO รอ้ ยละ
คา่ ขีดหดตวั , SL ( ซม.3)

( ซม.3) 10 15 20 25 30 40 50 60 70 80 90100
านวนของการหมนเคาะ, N (คร้งั )

( ซม.3) Group Symbols L.L. = % P.L. = % P.I. = % S.L. = %

( ซม.3)

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.(ท) 501.8-2545
วิธีการทดสอบหาขนาดเมดของวัสด

(SIEVE ANALYSIS)

1. ขอบข่าย
วธิ ีการทดสอบนี้ เป็นการหาการกระจายของขนาดเมด็ ดนิ (PARTICLE SIZE DISTRIBUTION) ทงั้

ชนิดเม็ดละเอียดและหยาบ โดยใหผ้ ่านตะแกรงจากขนาดใหญ่ จนถึงขนาดเล็กท่ีมีขนาดช่องผ่าน 0.075
มม. (เบอร์ 200) แลว้ เปรียบเทียบนา้ หนักท่ีผ่านหรือคา้ งตะแกรงขนาดต่าง ๆ กับนา้ หนักทัง้ หมดของ
ตวั อยา่ ง

2. นิยาม
การกระจายของขนาดเม็ดดนิ หมายถงึ การท่ีมวลดนิ ประกอบดว้ ยเม็ดดนิ หลายขนาดตา่ ง ๆกนั เชน่

ตงั้ แต่ 10 ซม. ลงมาจนกระท่งั 0.0002 มม. ซ่ึงคณุ สมบตั ิทางฟิ สิกสข์ องมวลดินจะขนึ้ อย่กู ับขนาดของเม็ด
ดนิ

การกระจายของขนาดเม็ดดิน แสดงดว้ ยกราฟความสมั พนั ธ์ระหว่างขนาดเม็ดดินในลอการิทึม
(LOGARITHM) อยู่บนแกนนอน และร้อยละโดยน้าหนักของเม็ดท่ีมีขนาดเล็กกว่าท่ีระบุ (PERCENT
FINER) อยู่บนแกนตั้ง ซ่ึงเรียกว่ากราฟการกระจายของขนาดเม็ดดิน (GRAINSIZE DISTRIBUTION
CURVE)

3. วิธีทา
3.1 เคร่อื งมือและอปุ กรณ์ ประกอบดว้ ย
3.1.1 ตะแกรงรอ่ นดนิ (SIEVE) ชอ่ งผ่านตอ้ งเป็นส่ีเหล่ียมจตรุ สั ขนาดช่องผ่านตา่ ง ๆ ไดข้ นาด
ตามตอ้ งการ พรอ้ มเคร่อื งมือเขยา่ ตะแกรง
3.1.2 เคร่ืองช่งั แบบบาล๊านซ์ (BALANCE) จะตอ้ งสามารถช่งั ไดล้ ะเอียดถึงรอ้ ยละ 0.2 ของ
นา้ หนกั ตวั อยา่ ง
3.1.3 ตอู้ บ (OVEN) ตอ้ งสามารถควบคมุ อณุ หภูมิใหค้ งท่ีไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 1105 องศาเซลเซียส
(230 9 องศาฟาเรนไฮต)์
3.1.4 เคร่อื งมือแบง่ ตวั อยา่ ง (SAMPLE SPLITTER)
3.1.5 แปรงทาความสะอาดตะแกรงชนิดลวดทองเหลือง และแปรงขน หรือแปรงพลาสติก
3.1.6 ภาชนะสาหรบั ใชแ้ ช่ และลา้ งตวั อยา่ งดนิ ดว้ ยมือหรอื ดว้ ยชนิดใชเ้ คร่ืองเขยา่
แบบฟอรม์ ใหใ้ ช้ แบบฟอรม์ ท่ี บฟ. มทช.(ท) 501.8.1-2545

61

สำนกั วเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

และ แบบ อรม์ ที่ บ . มทช.(ท) 501.8.2-2545

3.2 การเตรียมตวั อยา่ ง
3.2.1 การเตรยี มตวั อยา่ งโดยผา่ นตะแกรงแบบไมล่ า้ ง
นาตวั อย่างมาคลุกใหเ้ ขา้ กันและแยกตวั อย่างโดยใชเ้ คร่ืองมือแบ่งตวั อย่างใน
ขณะท่ีตวั อย่างมีความชืน้ เพ่ือลดการแยกตวั ถ้าตวั อย่างไม่มีส่วนละเอียดอาจจะแบ่ง
ขณะท่ีตัวอย่างแห้งอยู่ก็ได้ ถ้ามีส่วนละเอียดจับเป็นก้อนใหญ่หรือมีส่วนละเอียดจับ
กนั เองเป็นกอ้ นตอ้ งทาใหส้ ่วนละเอียดหลดุ ออกจากกอ้ นใหญ่โดยใหท้ บุ แยกดนิ ออกเป็น
เม็ดอิสระดว้ ยคอ้ นยางแตต่ อ้ งระวงั อยา่ ใหแ้ รงมากจนเม็ดดนิ แตก
3.2.2 การเตรยี มตวั อยา่ งโดยผา่ นตะแกรงแบบลา้ ง
นาตวั อย่างท่ีมีส่วนละเอียดจบั กนั เป็นกอ้ นไปแยกออกจากกนั โดยใชค้ อ้ นยางทุบ
แลว้ นาตวั อย่างไปอบใหแ้ หง้ ท่ีอณุ หภมู ิ 1105 องศาเซลเซียส(2309 องศาฟาเรนไฮต)์
เพ่ือหานา้ หนกั ตวั อย่างแหง้ นาตวั อย่างใส่ภาชนะสาหรบั ใชล้ า้ งตวั อย่าง โดยใชน้ า้ ยา
ลา้ งสว่ นละเอียด ซ่งึ เตรียมไดจ้ ากการละลายผลึกโซเด่ียมเฮคชะเมตตาฟอสเฟต ซ่งึ ทา
ใหเ้ ป็นกลางดว้ ยโซเด่ยี มคารบ์ อเนต (SODIUM HEXAMETAPHOSPHATE BUFFERED
WITH SODIUM CARBONATE) 45.7 กรมั ละลายในนา้ 1,000 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร คน
ผสมกนั ใหท้ ่วั ตงั้ ทงิ้ ไวอ้ ย่างนอ้ ย 4 ชม. แลว้ นาไปเขย่า ประมาณ 10 นาที ขณะเขยา่ ระวงั
อยา่ ใหน้ า้ กระฉอกออกจากภาชนะ เทตวั อยา่ งดนิ ในภาชนะลงบนตะแกรงเบอร์ 200 ถา้
หากมีตวั อยา่ งขนาดใหญ่ปนอย่มู ากควรใชต้ ะแกรงท่ีมีขนาดใหญ่กว่าเบอร์ 200 ซอ้ นไว้
ขา้ งบน แลว้ ใชน้ า้ ลา้ งจนกวา่ ไมม่ ีวสั ดผุ า่ นตะแกรงเบอร์ 200 อีก เทตวั อยา่ งลงในภาชนะ
แลว้ นาไปอบแหง้ ท่ีอณุ หภมู ิ 1105 องศาเซลเซียส (230 9 องศาฟาเรนไฮต)์

3.3 การทดสอบ
3.3.1 นาตวั อยา่ งท่ีไดจ้ ากการเตรียมตวั อย่าง 3.3.1 หรอื 3.3.2 แลว้ แตจ่ ะตอ้ งการทดสอบแบบ
ใดมาโดยประมาณใหไ้ ดต้ วั อยา่ งเม่ือแหง้ แลว้ ตามตารางท่ี 1

62

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ตารางที่ 1

ขนาดตะแกรง นา้ หนกั ตวั อยา่ งไมน่ อ้ ยกวา่ (กก.)
4.75 มม. (เบอร์ 4)
9.5 มม. (3/8 นวิ้ ) 0.5
12.5 มม. (1/2 นวิ้ ) 1.0
19.0 มม. (3/4 นวิ้ ) 2.0
25.0 มม. (1 นวิ้ ) 5.0
37.5 มม. (1 1/2 นวิ้ ) 10.0
50.8 มม. (2 นวิ้ ) 15.0
63.0 มม. (2 1/2 นวิ้ ) 20.0
75.0 มม. (3 นวิ้ ) 25.0
90.0 มม. (3 1/2 นวิ้ ) 30.0
35.0

3.3.2 นาตัวอย่างไปเขย่าในตะแกรงขนาดต่าง ๆ ตามตอ้ งการ การเขย่านี้ตอ้ งใหต้ ะแกรง
เคล่ือนท่ีทั้งในแนวราบและแนวด่ิง รวมทั้งมีแรงกระแทกขณะเขย่าด้วย เขย่านาน
จนกระท่งั ตวั อย่างผ่านตะแกรงแต่ละชนิดใน 1 นาที ไม่เกินรอ้ ยละ 1 ของตวั อย่างใน
ตะแกรงนัน้ หรือใช้เวลาเขย่านานทัง้ หมดประมาณ 15 นาที เม่ือเขย่าเสร็จแล้วถ้ามี
ตวั อย่างกอ้ นใหญ่กว่าตะแกรง ขนาด 4.75 มม. (เบอร์ 4) ตอ้ งไม่มีกอ้ นตวั อย่างซอ้ นกัน
ในตะแกรง และตวั อยา่ งท่ีมีเมด็ เลก็ กวา่ ตะแกรงขนาด 4.75 มม. (เบอร์ 4) ตอ้ งมีตวั อยา่ ง
คา้ งตะแกรงแต่ละขนาดไม่เกิน 6 กรมั ต่อ 1,000 ตร.มม. หรือไม่เกิน 200 กรมั สาหรบั
ตะแกรงเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 203 มม. (8 นวิ้ ) นาตวั อยา่ งท่ีคา้ งแตล่ ะขนาดของตะแกรงไป
ช่งั

4 การคานวณ
4.1 หานา้ หนกั ท่ีคา้ ง (WEIGH TRETAINED) บนตะแกรงแตล่ ะขนาดโดยช่งั นา้ หนกั ของตวั อย่างดิน
ท่ีคา้ งบนแตล่ ะตะแกรงและนา้ หนกั ท่ีหายไป เม่ือเอานา้ หนกั ของตวั อย่างในทกุ ตะแกรงรวมกนั
แลว้ หกั ออกจากนา้ หนกั ตวั อย่างอบแหง้ ทั้งหมดซ่ึงใชท้ ดสอบจะไดน้ า้ หนกั ของตวั อย่างท่ีผ่าน
ตะแกรงเบอร์ 200 รวมกบั นา้ หนกั ท่ีคา้ งบนถาดรอง (PAN)
4.2 หานา้ หนกั ท่ีผ่าน (WEIGHT PASSING) ตะแกรงแต่ละขนาด โดยคิดจากบรรทัดล่างของช่อง
นา้ หนกั ท่ีคา้ งขึน้ ไป (ดแู บบฟอรม์ ) เอานา้ หนกั ของนา้ หนกั ท่ีคา้ งบนถาดรองเป็นช่องนา้ หนักท่ี
คา้ ง ของตะแกรง เบอร์ 200 รวมนา้ หนักของนา้ หนักท่ีค้าง นา้ หนักช่องนา้ หนักท่ีผ่าน ของ

63

สำนกั วเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
ตะแกรงเบอร์ 200 เป็นนา้ หนักของช่องนา้ หนักท่ีผ่าน บรรทัดบนสุดจะเท่ากับนา้ หนักของ
ตวั อยา่ งแหง้ ทงั้ หมด ซ่งึ ใชท้ ดสอบ
4.3 คานวณหารอ้ ยละผา่ นตะแกรงโดยนา้ หนกั (PERCENTAGE PASSING) ไดด้ งั นี้

รอ้ ยละผา่ นตะแกรงโดยนา้ หนกั = นา้ หนกั ของตวั อยา่ งท่ีผา่ นตะแกรงแตล่ ะขนาด X 100
นา้ หนกั ของตวั อยา่ งแหง้ ทงั้ หมดท่ีใชท้ ดสอบ

5 การรายงาน
ใหร้ ายงานคา่ รอ้ ยละ ผา่ นตะแกรงขนาดตา่ ง ๆ โดยนา้ หนกั ดว้ ยทศนิยม 1 ตาแหนง่ ตาม

แบบฟอรม์ ท่ี บฟ.มทช.(ท) 501.8.1-2545

6 ข้อควรระวัง
6.1 การแบง่ ตวั อย่างดว้ ยเคร่ืองแบง่ ตวั อย่าง ตอ้ งใชเ้ คร่ืองมือขนาดช่องกวา้ ง ประมาณ 1 1/2 เทา่ ของ
กอ้ นโตท่ีสดุ
6.2 ตรวจดตู ะแกรงบอ่ ย ๆ ถา้ ชารุดตอ้ งซอ่ มกอ่ นใช้ โดยเฉพาะเบอร์ 200
6.3 หา้ มใสต่ วั อยา่ งลงในตะแกรงขณะท่ียงั รอ้ นอยู่
6.4 การทบุ ตวั อยา่ งดนิ ตอ้ งไมแ่ รงมากจนทาใหเ้ มด็ ดนิ แตก
6.5 การเขยา่ อยา่ เขยา่ นานจนตวั อยา่ งกระแทกแตกเป็นผง

7 หนังสืออ้างอิง
7.1 STANDARD METHOD OF TEST FOR AMOUNT OF MATERIAL FINER THAN 0.075 mm.
SIEVE IN AGGREGATE ; AASHTO DESIGNATION : T 11-78
7.2 STANDARD METHOS OF TEST FOR SIEVE ANALYSIS OF FINE AND COARSE
AGGREGATES ; AASHTO DESIGNATION : T 27-78
7.3 STANDARD METHOD OF TEST FOR SIEVE ANALYSIS OF MINERAL FILLER : AASHTO
DESIGNATION : T 37-77
7.4 STANDARD METHOD OF PARTICLE SIZE ANALYSIS OF SOILS : AASHTO
DESIGNATION : T 88-78

64

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

บฟ. มทช.(ท) 501.8.1-2บ . มทช.(ท) 501.8.1-2545 ทะเบยี นทดสอบ........................

โครงการ............................................... (หน่วยงานท่ที าการทดสอบ) ผู้ทดสอบ
ส....า..น...ท..ก.่ี ก..่อา..รส..ท.ร.ด.้า..สง...อ....บ....ห......า...ข.....น....า....ด....เ..ม.....ด็.....ว....ัส....ด....ุ........... ผู้ตรว สอบ
........................................................... หลมเ าะหมายเลข............................
ชผนู้รับิดต้าวั งอกหยาร่ารอื งท.ผด..ู้น.ส..าอ.ส.บ..่งห.....า..ข....ทน...ดา..ดส..เ.มอ..ด็บ..ว.ค.ัส.ร..ด้ัง..ุท....ี่ ...... อนมัติ
ทดสอบวนั ท.ี่ ....................... แผ่นท.่ี ......
นน.รอ้ ยละของ
ความลก..................................เมตร ดนิ ท่คี า้ ง
สะสม
ปริมาตรแบบ.........................ลบ. ม.

นา้ หนกั นา้ หนกั นา้ หนกั ดนิ นน.รอ้ ยละของ นน.รอ้ ยละของ
ตะแกรง ตะแกรง ดนิ ท่มี ีขนาด
ตะแกรง (กรมั ) + ดนิ ท่คี า้ งบน ดนิ ท่คี า้ งบน
หมายเลข (กรมั ) เลก็ กว่า
ตะแกรง ตะแกรง

(กรมั ) (กรมั )

65

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

66

โครงการ .. บ .มทช.(ท) 501.8.2- 2545มทช.(ท) ทะเบยี นทดสอบ ...
.. 501.9-2545 ผู้ทดสอบ
ส านทก่ี ่อสร้าง วิธีการทดสอบหา ผู้ตรว สอบ
ผู้รับ า้ ง ความสกหรอของวัสด อนมัติ
ชนิดตัวอย่าง . (หนว่ ยงานท่ที าการทดสอบ)
ทดสอบวันท่ี
การทดสอบหาขนาดเมดวสั ด

ทดสอบคร้ังท่ี .

แผ่นท่ี . แหล่งวัสด…………………………………………

ช้ันคณ าพ ..

Gravel Coarse Sand Fine Fines
Silt Clay

toMediumU.S.standard sieve sizes

U.S.standard sieve sizes การทดสอบหาสารอินทรยี เ์ จือปน
_ ¾ in.
100 - No.4 สีของสารละลายท่ไี ดจ้ ากการทดสอบ สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
80 - No.10 ( ) สีอ่อนกวา่ สีมาตรฐาน
60 - No.20 ( ) สีใกลเ้ คียงสีมาตรฐาน
40 - No.40 ( ) สีแก่กวา่ สีมาตรฐาน
20 _ No.100
0 _ No.200 สรุปผลการทดสอบ
( ) เหมาะสมท่จี ะนามาใชง้ านได้
้รอยละโดย ้นาห ันกของเมดท่ีมีขนาดเลกก ่วาท่ีระบ ( ) ไมเ่ หมาะสมท่จี ะนามาใชง้ าน

(PERCENT FINER BY WEIGHT) 100 10 0.0001
4.76
1
0.841
0.420
0.149
0.1
0.074
0.01
0.005
0.001

ขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลางของเมดวสั ดเปนมลิ ลเิ มตร

(DIAMETER IN mm.)

67

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ชนิดเมดหยาบ (COARSE AGGREGATES)
โดยใช้เครื่องมือทดสอบหาความสกหรอ (LOS ANGELES ABRASION)

1. ขอบข่าย
วิธีการทดสอบนี้ เป็นการหาคา่ ความสกึ หรอของหินยอ่ ย กรวดยอ่ ย กรวด วสั ดลุ กู รงั หรือมวลรวมดิน

(SOIL AGGREGATES) และวสั ดชุ นิดเมด็ หยาบ

2. วิธีทา
2.1 เคร่อื งมือและอปุ กรณ์ ประกอบดว้ ย
2.1.1 เคร่ืองมือทดสอบความสึกหรอมีลักษณะขนาดตามรูปท่ี 1 ประกอบด้วย
ทรงกระบอก เหล็กปิดหัวและท้าย มีเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน 7115 มม.
(280.2 นิว้ ) ความยาวภายใน 5085 มม. (200.2 นิว้ ) ทรงกระบอกนีต้ ิดอยู่
กับเพลาและหมนุ รอบแกนไดใ้ นแนวราบ มีช่องสาหรบั ใส่วสั ดพุ รอ้ มฝาเหล็กปิด
ฝาเหล็กเม่ือปิดแลว้ ตอ้ งมีลกั ษณะผิวเหมือนกบั ผิวดา้ นในของทรงกระบอกเหล็ก
และเสมอกนั ซ่งึ ไม่ทาใหล้ กู เหล็กทรงกลม (ABRASIVE CHARGE) สดดุ เวลากลงิ้
ผ่านรอยต่อมีแผ่นเหล็กขวางสูง 892 มม. (3.50.1 นิว้ ) ยาว 5082 มม.
(200.2 นวิ้ ) ตดิ แนน่ ตามยาวดา้ นในทรงกระบอกเหล็ก ระยะจากแผน่ เหล็กขวาง
ถึงชอ่ งสาหรบั ใสว่ สั ดไุ มน่ อ้ ยกว่า 1,270 มม. (50 นวิ้ ) วดั ตามความยาวเสน้ รอบวง
ภายนอกทรงกระบอกเหล็ก
หมายเหต แผน่ เหล็กขวางควรมีหนา้ ตดั เป็นรูปส่ีเหล่ียมผืนผา้ ตดิ อย่กู บั ผนงั ของ
ทรงกระบอกเหล็ก หรืออาจใชเ้ หล็กฉากแทน โดยติดท่ีริมฝาเหล็กช่องใส่วสั ดุ ให้
ดา้ นนอกของเหล็กฉากหนั ไปตามทิศทางท่ีหมนุ
2.1.2 ตะแกรงสาหรับ หาขนาดของวัสดุชนิดเม็ดหยาบ ใช้ตะแกรงมีช่องผ่านเป็น
ส่ีเหล่ียมจตั รุ สั ขนาด 75.0 มม. (3 นวิ้ ), 63.0 มม.(2 1/2 นวิ้ ), 50.8 มม.(2 นวิ้ ),
37.5 มม.(1 1/2 นิว้ ) 25.0 มม.(1 นิว้ ), 19.0 มม.(3/4 นิว้ ), 12.5 มม.(1/2 นิว้ ), 9.5
มม.(3/8 นิ้ว), 6.4 มม.(1/4 นิ้ว), 4.75 มม.(เบอร์ 4), 2.36 มม.(เบอร์ 8), 1.70
มม.(เบอร์ 12)
2.1.3 ลกู เหล็กทรงกลมเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 46.8 มม. (1 27/32 นิว้ ) แต่ละลูก
หนกั ระหว่าง 390-445 กรมั จานวนลกู เหล็กทรงกลมขนึ้ อย่กู บั ชนั้ ของตวั อย่าง ซ่งึ
กาหนดไวใ้ นตารางท่ี 1

68

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
ตารางท่ี 1 จานวนลกู เหล็กทรงกลม ท่ีใชใ้ นการทดสอบแตล่ ะชนั้ (GRADING)

ชนั้ ลูกเหลกทรงกลม นา้ หนักรวม (กรัม)
(ลูก)

A 12 5,000  25

B 11 4,584  25

C8 3,330  20
D6 2,500  15
E 12 5,000  25
F 12 5,000  25
G 12 5,000  25

2.1.4 เคร่อื งช่งั ตอ้ งสามารถช่งั ได้ 15 กิโลกรมั ความละเอียดอา่ นไดถ้ งึ 1 กรมั

2.2 แบบฟอรม์ ใหใ้ ช้ แบบฟอรม์ ท่ี บฟ. มทช.(ท) 501.9-2545
2.3 การเตรียมตวั อย่าง

2.3.1 ถา้ ตวั อย่างไมม่ ีดินเหนียวปน เช่น กรวดปนทราย หินโม่ ใหต้ ากตวั อยา่ งจนแหง้
หรืออบจนแหง้ ท่ีอณุ หภูมิ 105-110 องศาเซลเซียส (221-230 องศาฟาเรนไฮต)์
แลว้ ทาตามขอ้ 2.3.3

2.3.2 ถา้ ตวั อย่างมีดินเหนียวปน หรือมีส่วนละเอียดติดแน่นกับก้อนตวั อย่างให้นา
ตัวอย่างไปล้างนา้ เอาส่วนท่ีผ่านตะแกรงเบอร์ 8 ออกทิง้ แล้วนาส่วนท่ีค้าง
ตะแกรงเบอร์ 8 มาอบจนแหง้ ท่ีอุณหภูมิ 105-110 องศาเซลเซียส (221-230
องศาฟาเรนไฮต)์ แลว้ ทาตามขอ้ 2.3.3

2.3.3 นาตวั อย่างไปแยกขนาดตาม ชนั้ ในตารางท่ี 1 ถา้ เขา้ ไดห้ ลายชนั้ ใหเ้ ลือกใชต้ วั
ท่ีใกลเ้ คียงกบั ขนาดท่ีตอ้ งการใชง้ านมากท่ีสดุ

2.4 การทดสอบ
นาตวั อย่างท่ีเตรียมไวจ้ าก ขอ้ 2.3.3 และลกู เหล็กทรงกลม ตามจานวนลกู ในขอ้ 2.1.3 ใส่
เขา้ ไปในเคร่ืองทดสอบหาความสกึ หรอหมนุ เคร่ืองดว้ ยความเรว็ ท่ี 30-33 รอบตอ่ นาที ให้
ไดจ้ านวนตามตารางท่ี 2 เม่ือหมนุ ไดค้ รบตามกาหนดแลว้ ใหเ้ อาตวั อยา่ งออกจากเคร่ือง
ลา้ งส่วนท่ีผ่านตะแกรงเบอร์ 12 ออกทิง้ นาส่วนท่ีคา้ งตะแกรงเบอร์ 12 มาอบท่ีอุณหภูมิ

69

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
105-110 องศาเซลเซียส (221-230 องศาฟาเรนไฮต)์ จนไดน้ าหนกั คงท่ีจงึ ช่งั หานา้ หนกั
ตวั อยา่ งท่ีเหลือ

ตารางที่ 2

ขนาดตะแกรง น้าหนัก (กรัม) และ ชัน้ ของตัวอย่าง EFG
(มม.) 2,500
ABCD 50
ผา่ น คา้ ง 2,500 5,000
1,250 50 50 5,000
75.0 63.0 25 5,000 5,000 25
63.0 50.8 1,250 2,500 50 50 5,000
50.8 37.5 25 10
37.5 25.0 1,250 2,500 2,500 25
25.0 19.0 10 10 10
19.0 12.5 1,250 2,500 5,000 10,000 10,000 10,000
12.5 9.5 10 10 10 100 75 50
9.5 6.3 1,000
6.3 4.75
4.75 (4)
(4) 2.36

(8)

นา้ หนกั ตวั อยา่ ง 5,000 5,000 5,000 5,000

รวม 10 10 10 10

จานวนรอบ 500

3. การคานวณ W1 – W2 X 100 =
W1
ความสกึ หรอเป็นรอ้ ยละ =

W1 = นา้ หนกั ตวั อย่างทงั้ หมดท่ีใชท้ ดสอบ
W2 = นา้ หนกั ท่ีคา้ งบนตะแกรง เบอร์ 12

70

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
4. การรายงาน

ใหร้ ายงานคา่ ความสกึ หรอเป็นรอ้ ยละ ดว้ ยทศนยิ ม 1 ตาแหนง่
5. ข้อควรระวัง

5.1 ใหท้ าการช่งั ลกู เหล็กทรงกลม แต่ละลกู อย่างนอ้ ย 1 ครงั้ ทกุ ๆ 6 เดือน เพ่ือตรวจสอบให้
เป็นไปตามขอ้ 2.1.3

5.2 ในกรณีท่ีแผ่นเหล็กขวาง เป็นเหล็กฉากตดั ริมแผ่นเหล็กปิดช่องใส่วสั ดุ การติดตอ้ งใหด้ า้ น
นอกของเหล็กฉากหนั ไปในทิศทางท่ีเคร่ืองหมนุ

6. หนังสืออ้างองิ
6.1 AMERICANSOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS, ASTM. STANDARD C 131.
6.2 AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS, ASTM. STANDARD C 535.

71

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

รูปที่ 1 : เครื่องมอื ทดสอบความสกหรอ (แบบลอสแองเ อลีส)

72

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

โครงการ...........................................… บฟ. มทช.(ท) 501.9-2545 ทะเบียนทดสอบ........................
ผู้ทดสอบ
.......................................................…. (หน่วยงานท่ที าการทดสอบ) ผู้ตรว สอบ
ส านทก่ี ่อสร้าง.................................... การทดสอบหาค่าการสกหรอ อนมัติ

.......................................................….. ของวัสดเมดหยาบ
ผู้รับ า้ งหรอื ผู้นาส่ง.............................
ชนิดตัวอย่าง................ทดสอบครั้งท.ี่ ...
ทดสอบวนั ท.ี่ .........................แผน่ ท.ี่ ....

จานวนของลกู เหลก็ ทรงกลม............................................ แหลง่ วสั ด.ุ ....................................................
นา้ หนกั ของลกู เหลก็ ทรงกลม......................................กรมั ชนั้ คณุ ภาพ...................................................
ความเรว็ ของการหมนุ เคร่อื ง...............................รอบ/นาที

ขนาดตะแกรง (มม.) นา้ หนกั ของตวั อย่าง (กรมั ) หมายเหตุ
ผ่าน คา้ ง 12 3

73

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.(ท) 501.10-2545
วิธีการทดสอบหา สารอินทรยี เ์ อื ปน

(ORGANIC IMPURITIES)

1. ขอบข่าย
วิธีการทดสอบนี้ เป็นวิธีการหาปริมาณสารอินทรีย์ ซ่ึงเป็นสารผุพงั ท่ีปะปนอยู่ในวัสดชุ นิดเม็ด

ละเอียด (FINE AGGREGATES) โดยประมาณ เพ่ือพจิ ารณาวา่ เหมาะสมท่ีจะนามาใชง้ านหรือไม่

2. วิธีทา
2.1 เคร่อื งมือและอปุ กรณ์ ประกอบดว้ ย
ขวดแกว้ ใส (GLASS BOTTLE) ขนาดประมาณ 360 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร(12 ออนซ)์ มีขีด
แสดงความจเุ ป็นลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตรหรือจะใชข้ ีดเคร่ืองหมายท่ีขวดแกว้ แทนก็ได้
2.2 วสั ดทุ ่ีใชป้ ระกอบการทดสอบ
2.2.1 สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (SODIUM HYDROXIDE) เขม้ ขน้ รอ้ ยละ 3 เตรียม
ไดโ้ ดยช่งั สารโซเดยี มไฮดรอกไซด์ 30 กรมั ผสมกบั นา้ สะอาดจนไดป้ รมิ าตร 1 ลติ ร
2.2.2 แถบสีมาตรฐาน โดยกาหนดมาตรฐาน ดงั นี้

สีมาตรฐานของ การด์ เนอร(์ GARDNER) สีของสารอินทรีย์
หมายเลข
หมายเลข
5 1
8 2
11
14 3 (มาตรฐาน)
16 4
5

2.2.3 ถา้ ไมม่ ี แถบสีมาตรฐาน จะเตรียมสารละลายเพ่ือทาเป็นสีมาตรฐานแทนได้ ดงั นี้
ใหเ้ ตรียมสารละลายชนิดแรก คือ นาโซเดียมไฮดรอกไซดท์ ่ีเขม้ ขน้ รอ้ ยละ 3

แลว้ นามาผสมกับสารละลายชนิดหลงั คือกรดเทนนิค (TANNIC ACID) ท่ีเขม้ ขน้
ผสมในสารละลายของแอลกอฮอลก์ บั นา้ (มีแอลกอฮอลร์ อ้ ยละ10) โดยเอากรดเท
นนิค 2 สว่ น ผสมกบั สารละลายแอลกอฮอลก์ บั นา้ ดงั กลา่ ว 98 สว่ น โดยปรมิ าตรซ่งึ
มีอตั ราส่วนดังนี้ สารละลายชนิดแรกปริมาณ 97.5 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ผสมกับ

74

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

สารละลายชนิดหลังประมาณ 2.5 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพ่ือให้ไดป้ ริมาณ 100
ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร เขย่าใหเ้ ขา้ กนั แลว้ ใสไ่ วใ้ นขวดขนาด 360 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
(ประมาณ 12 ออนซ)์ ใหเ้ ตรียมสารละลายมาตรฐานดงั กล่าวนี้ เวลาเดียวกับท่ี
เร่มิ ทาการทดสอบ ซ่งึ จะไดก้ ลา่ วตอ่ ไป สารละลายนีจ้ ะแสดงสีมาตรฐานเม่ือมีอายุ
24  1/2 ช่วั โมง นบั จากเรม่ิ ผสม ถา้ ต่ากวา่ กาหนดนีห้ า้ มใช้
2.3 การเตรียมตวั อยา่ ง นาตวั อย่างมาคลกุ เคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั ในขณะท่ีตวั อยา่ งมีความชืน้ เพ่ือลด
การแยกตวั และแยกตวั อยา่ งโดยใช้เคร่ืองแบง่ ตวั อย่างใหไ้ ดต้ วั อย่างท่ีจะนาไปไวท้ ดสอบ
ประมาณ 250 กรมั
2.4 แบบฟอรม์ ใหใ้ ช้ แบบฟอรม์ ท่ี บฟ. มทช.(ท) 501.8.2-2545
2.5 การทดสอบ
2.5.1 เทวสั ดุท่ีเตรียมไวล้ งในขวดแกว้ ทดสอบจนไดป้ ริมาตร 133 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร
(ประมาณ 4 1/2 ออนซ)์
2.5.2 เตมิ สารละลายท่ีเตรียมไวต้ ามขอ้ 2.2.1 ลงในขวดแกว้ ทดลองจนไดป้ ริมาตรเป็น
207 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร (ประมาณ 7 ออนซ)์
2.5.3 เอาจกุ อดุ ปากขวดแลว้ เขยา่ แรง ๆ จนเห็นวา่ ไมม่ ีฟองอากาศเหลืออยตู่ รวจดอู ีกครงั้
ถา้ ระดบั สารละลายมีปริมาตรไม่ถึง 207 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ใหเ้ ติมสารละลาย
เพ่มิ อีกจนไดป้ รมิ าตร 207 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร บนั ทกึ วนั และเวลา
2.5.4 ตงั้ ขวดทดสอบทงิ้ ไวน้ ่งิ ๆ หา้ มจบั หรือเคล่ือนยา้ ยจนครบ 24 ช่วั โมง
2.5.5 เม่ือครบ 24 ช่วั โมง แลว้ ใหเ้ ปรียบเทียบกบั แถบสีมาตรฐานตามขอ้ 2.2.2 หรือ กบั
สารละลายมาตรฐานตามขอ้ 2.2.3

3. การรายงาน
ใหร้ ายงานในหวั ขอ้ หมายเหตุ ของแบบฟอรม์ ท่ีกลา่ วแลว้ ในขอ้ 2.4 ดงั นี้
3.1 ถา้ สีของสารละลายท่ีไดจ้ ากการทดสอบอ่อนกวา่ สีของแถบสีมาตรฐาน เบอร์ 3 หรืออ่อน
กวา่ สีของสารละลายมาตรฐานใหร้ ายงานว่า “สีออ่ นกวา่ สีมาตรฐาน” ถา้ สีของสารละลาย
ท่ีไดจ้ ากการทดสอบแก่กว่าสีของแถบสีมาตรฐาน เบอร์ 3 หรือแก่กว่าสีของสารละลาย
มาตรฐานใหร้ ายงานวา่ “สีแก่กวา่ สีมาตรฐาน”
3.2 ถา้ สีของสารละลายท่ีไดจ้ ากการทดสอบใกลเ้ คียงสีของ แถบสีมาตรฐาน เบอร์ 3 หรือ
ใกลเ้ คยี งสีของสารละลายมาตรฐานใหร้ ายงานวา่ “สีใกลเ้ คยี งสีมาตรฐาน”

4 เกณฑก์ ารตดั สิน

75

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
ถ้าสีของสารละลายท่ีได้จากการทดสอบ มีสีอ่อนกว่าสีของแถบสีมาตรฐาน เบอร์ 3 หรือมีสี
เหมือนกบั สีของแถบสี มาตรฐาน เบอร์ 3 ถือวา่ เหมาะสมท่ีจะนามาใชง้ านได้ ถา้ สีแกก่ วา่ สีของแถบสี
มาตรฐาน เบอร์ 3 ถือวา่ ไมเ่ หมาะสมท่ีจะนามาใชง้ าน
5 ข้อควรระวัง
5.1 เม่ือตั้งขวดทิ้งไว้แล้ว ห้ามกระทบกระเทือน และเม่ือเวลาเปรียบเทียบสี ห้าม

กระทบกระเทือนเช่นเดียวกัน เพราะจะทาใหผ้ งละเอียดลอยตวั ขึน้ มา ซ่ึงจะทาใหไ้ ดส้ ีไม่
ถกู ตอ้ ง บางครงั้ สีท่ีไดจ้ ะใกลเ้ คียงมาตรฐานมาก พยายามเทียบใหไ้ ดว้ ่าแก่กว่าหรืออ่อน
กวา่
5.2 สารโซเดยี มไฮดรอกไซด์ เป็นสารท่ีมีพิษทาใหเ้ กิดการไหมท้ ่ีผิวหนงั และเย่ืออ่อนตา่ ง ๆ เชน่
ตา ปาก จมกู ถา้ ถกู ตอ้ งใหร้ ีบลา้ งบรเิ วณนนั้ ดว้ ยนา้ สะอาดและทาดว้ ยนา้ สม้ สายชู
6 หนังสืออ้างองิ
6.1 วธิ ีการทดลองหา ORGANIC IMPURITIES กองวิเคราะหแ์ ละวจิ ยั กรมทางหลวง
6.2 STANDARD METHOD OF TEST FOR ORGANIC IMPURITIES IN SANDS FOR
CONCRETE; AASHTO DESIGNATION : T 21-78
6.3 AMERICAN SOCIETY FOR TESTING MATERIALS. ASTM DESIGNATION C 40-84

76

(DIAMETER IN mm.) บ .มทช.(ท) 501.8.2- 2545 ทะเบียน
(หนว่ ยงานท่ีทาการทดสอบ) ทผดู้ทสดอสบอ…บ……………………...
…**ส*…***…า*น*…*ท**…่ี ……………………………………… การทดสอบหาขนาดเมดวัสด
ก…โ…ทค้า่อผชท…่ี ….รง.ู้นสรด…ง……ับ.ริดสก.้า……ตอางรวับ…….…อว……ยัน…า่ท………ง…่ี …………………………………………………………………………………………………ท…ด………แสผ……อ…่นบ………ค………ร้ัง.……… แหล่งวัสด………………………………………… ผู้
ท…่ี …………. ช้ันคณ าพ……………………………………….. ตรว สอบ

อนมัติ

Gravel Sand Fines
Coarse Fine Silt Clay
toMedUiu.Sm.standard sieve sizes

U.S.standard sieve sizes การทดสอบหาสารอนิ ทรยี เ์ จือปน
_ ¾ in.
- No.4
- No.10
- No.20
- No.40
_ No.100
_ No.200
สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

77
้รอยละโดย ้นาห ันกของเมดท่ีมีขนาดเลกก ่วาท่ีระบ 100
สีของสารละลายท่ไี ดจ้ ากการทดสอบ
(PERCENT FINER BY WEIGHT)
80 ( ) สีออ่ นกวา่ สีมาตรฐาน
60 ( ) สีใกลเ้ คยี งสีมาตรฐาน

( ) สีแก่กวา่ สีมาตรฐาน
40

20 สรุปผลการทดสอบ
( ) เหมาะสมท่จี ะนามาใชง้ านได้

0 ( ) ไม่เหมาะสมท่จี ะนามาใชง้ าน

100 10 0.0001
4.76
1
0.841
0.420
0.149
0.1
0.074
0.01
0.005
0.001

ขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลางของเมดวัสดเปนมลิ ลเิ มตร

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.(ท) 501.11-2545
วธิ ีการทดสอบหา กอ้ นดนิ เหนียว

(CLAY LUMP)

1. ขอบข่าย
วิธีการทดสอบนี้ เป็นการหาค่าของกอ้ นดินเหนียว และวสั ดรุ ่วน (FRIABLE) ท่ีปะปนในวสั ดชุ นิด

เม็ด (AGGREGATES)

2.วิธีทา
2.1 เคร่อื งมือและอปุ กรณ์ ประกอบดว้ ย
2.2.1 เคร่อื งช่งั ตอ้ งสามารถช่งั ไดล้ ะเอียดถงึ รอ้ ยละ 0.1 ของนา้ หนกั ของตวั อยา่ ง
2.2.2 ภาชนะบรรจุ เป็นภาชนะท่ีไมเ่ ป็นสนมิ และขนาดกวา้ ง
2.2.3 ตะแกรงมาตรฐาน
2.2.4 ตอู้ บ ตอ้ งสามารถควบคมุ อุณหภูมิ ท่ี 1105 องศาเซลเซียส (2309 องศาฟาเรน
ไฮต)์
2.3 การเตรยี มตวั อยา่ ง

2.3.1 ตวั อย่างตอ้ งอบใหแ้ หง้ ท่ีอุณหภูมิ 1105 องศาเซลเซียส (2309 องศาฟาเรน
ไฮต)์ จนนา้ หนกั คงท่ี

2.3.2 ตวั อยา่ งของวสั ดชุ นิดเม็ดละเอียดท่ีมีขนาดใหญ่กวา่ ตะแกรงขนาด 1.18 มิลลิเมตร
(เบอร์ 16) ควรหนกั ไมน่ อ้ ยกวา่ 25 กรมั

2.3.3 ตวั อย่างของวสั ดชุ นิดเม็ดหยาบ ควรมีขนาดกระจายตาม ตารางท่ี 1 และมีนา้ หนกั
ของวสั ดชุ นดิ เมด็ ไมน่ อ้ ยกวา่ ท่ีกาหนดในตารางท่ี 1

ตารางที่ 1

ขนาดของเมด (Particle) ตัวอย่างทนี่ ามา นา้ หนักของตัวอย่าง
กรัม
ทดสอบ 1,000
2,000
4.75 - 9.5 มม. (เบอร์ 4 - 3/8 นิว้ ) 3,000
5,000
9.5 - 19.0 มม. (3/8 - 3/4 นวิ้ )

19.0 – 37.5 มม. (3/4 - 1 1/2 นวิ้ )

มากกวา่ 37.5 มม. (1 ½ นวิ้ )

78

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
2.3.4 ในกรณีท่ีตวั อย่างมีทงั้ วสั ดชุ นิดเม็ดละเอียดและหยาบ ใหร้ อ่ นผา่ นตะแกรง เบอร์ 4

ถา้ คา้ งตะแกรงเบอร์ 4 เป็นวสั ดชุ นดิ เมด็ หยาบ และถา้ ผา่ นตะแกรงเบอร์ 4 เป็นวสั ดุ
ชนิดเมด็ ละเอียด จากนนั้ นาตวั อยา่ งไปทาตามขอ้ 2.4.1 และ 2.4.2 ตอ่ ไป

2.4 แบบฟอรม์ ใหใ้ ช้ แบบฟอรม์ ท่ี บฟ. มทช.(ท) 501.11-2545
2.5 การทดสอบ

2.5.1 นาตวั อยา่ งมาแผ่กระจายในภาชนะใหบ้ างเทนา้ ใหท้ ่วมตวั อย่างแช่ไวเ้ ป็นเวลา 24
ชม.จากนนั้ ใชน้ ิว้ หวั แม่มือและนิว้ ชีค้ ่อย ๆ บีบหรือกลิง้ บนนิว้ มือเพ่ือทาใหเ้ ม็ดของ
ตวั อย่างหลุดออกจากกัน อย่าใชเ้ ล็บหรือวัสดุแข็งอ่ืน ๆ จากนั้นนาไปร่อน ผ่าน
ตะแกรง ดงั ตารางท่ี 2 โดยวิธีลา้ ง

ตารางที่ 2

ขนาดของเม็ดตวั อยา่ งท่ีนามาทดสอบ ขนาดของตะแกรง สาหรับส่วน
แยก
1.18 มม. (เบอร์ 16)
4.75 - 9.5 มม. (เบอร์ 4 - 3/8 นวิ้ ) เป็นเม็ดดนิ เหนียว และเม็ดวสั ดรุ ว่ น
9.5 - 19.0 มม. (3/8 - 3/4 นิว้ )
19.0 - 37.5 มม. (3/4 – 1 1/2 นวิ้ ) 0.85 มม. (เบอร์ 20)
มากกวา่ 37.5 มม. (1 1/2 นวิ้ ) 2.36 มม. (เบอร์ 8)
4.75 มม. (เบอร์ 4)
4.75 มม. (เบอร์ 4)
4.75 มม. (เบอร์ 4)

2.5.2 นาตวั อย่างท่ีคา้ งบนตะแกรงแตล่ ะตะแกรงไปอบใหแ้ หง้ ท่ีอุณหภูมิ 1105 องศา

เซลเซียส (2309 องศาฟาเรนไฮต)์ แลว้ นาไปช่งั นา้ หนกั ให้ละเอียดรอ้ ยละ 0.1
ของนา้ หนกั ตวั อย่าง (ก่อนนาไปอบควรนาวสั ดชุ นิดเม็ดออกจากตะแกรงใหห้ มด
เสียกอ่ น โดยการลา้ ง แลว้ จงึ ไปอบใหแ้ หง้ )

3 การคานวณ
3.1 ในการหาคา่ รอ้ ยละ ของกอ้ นดนิ เหนียวและ วสั ดรุ ว่ นท่ีอย่ใู นวสั ดเุ ม็ดละเอียด หรือในวสั ดุ
ชนดิ เม็ดหยาบ หาไดด้ งั ตอ่ ไปนี้
โดยใชส้ ตู รของ กอ้ นดนิ เหนียว และวสั ดรุ ว่ น ในวสั ดเุ ม็ดละเอียด คอื

79

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
P = (W – R) / W x 100
P = คา่ รอ้ ยละของกอ้ นดนิ เหนียว และวสั ดรุ ว่ น ของวสั ดชุ นิดเม็ด
R = นา้ หนกั ของ วสั ดชุ นิดเมด็ ท่ีเหลือคา้ ง จากขอ้ 2.4.2
W = นา้ หนกั ของ วสั ดชุ นิดเมด็ ท่ีคา้ งบนตะแกรง เบอร์ 16 จากขอ้ 2.2.2 และ 2.2.3
3.2 ในกรณีของวัสดุชนิดเม็ดหยาบ หลังจากการทดสอบหาขนาดเม็ดของวัสดุแล้ว ถ้า
ตวั อย่างในตะแกรงมีนา้ หนกั นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 5 เม่ือเปรียบเทียบกบั นา้ หนกั ในขอ้ 2.4.1 ไม่
จาเป็นตอ้ งนามาทดสอบ ใหเ้ อาค่ารอ้ ยละของส่วนท่ีเป็นเม็ดดินเหนียวและวัสดรุ ่วนของ
ตวั อยา่ งท่ีมีขนาดใหญ่กวา่ หรอื เลก็ กวา่ มาใชแ้ ทนได้
4 หนังสืออ้างองิ
4.1 AMERICAN SOCIETY OF TESTING MATERIAL, ASTM. STANDARD C 142-78

80

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

81

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช. (ท) 501.12 - 2557
มาตรฐานวิธีการทดสอบหาค่าความคงทน (soundness) ของมวลรวม

1. ขอบข่าย
วิธีการทดสอบนี้ เป็นการทดสอบเพ่ือหาค่าความตา้ นทานของมวลรวมต่อการสลายตวั หรือการ

แตกแยก หลงั จากการแชใ่ นสารละลายอ่มิ ตวั โซเดยี มซลั เฟตหรือแมกนีเซียมซลั เฟต

2. เครือ่ งมอื

2.1 ตะแกรงช่องผ่านเป็นส่ีเหล่ียมจัตุรัส ขนาดช่องผ่านตอ้ งสอดคลอ้ งกับ ASTM E 11 หรือ

เทียบเทา่ โดยมีขนาดตา่ งๆ ตามตารางท่ี 1

ตารางท่ี 1

ขนาดตะแกรงท่ีใช้ มลิ ลิเมตร

มวลรวมเมด็ ละเอียด มวลรวมเมด็ หยาบ

0.150 (เบอร์ 100) 8.0 (5/16”)

0.30 (เบอร์ 50) 9.5 (3/8”)

0.60 (เบอร์ 30) 12.5 (1/2”)

1.18 (เบอร์ 16) 16.0 (5/8”)

2.36 (เบอร์ 8) 19.0 (3/4”)

4.00 (เบอร์ 5) 25.0 (1”)

4.75 (เบอร์ 4) 31.5 (1 ¼”)

37.5 (1 ¼”)

50 (2”)

63 (2 ½”)

ขนาดโตกวา่ นีใ้ หใ้ ชต้ ะแกรงท่ีมีขนาดใหญ่ขนึ้ ทีละ ½

นวิ้

2.2 ภาชนะบรรจุสาหรับใส่ตัวอย่างมวลรวมแช่ลงในสารละลาย จะตอ้ งมีรูพรุนเพียงพอ
เพ่ือท่ีจะใหส้ ารละลายไหลเขา้ ไดส้ ะดวก และสามารถระบายออกไดโ้ ดยไม่ทาใหม้ วลรวม
สญู หาย ภาชนะบรรจตุ วั อยา่ งอาจใชต้ ะกรา้ ท่ีทาจากลวดตาขา่ ย หรอื ตะแกรงท่ีมีชอ่ งเปิดท่ี
เหมาะสม

82

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

2.3 เคร่ืองควบคุมอุณหภูมิ ใช้สาหรับควบคุมอุณหภูมิของตัวอย่างให้อยู่ในช่วงท่ีกาหนด
ตลอดเวลาท่ีแชอ่ ยใู่ นสารละลายโซเดียมซลั เฟต หรือแมกนีเซียมซลั เฟต

2.4 เคร่อื งช่งั ดจิ ิตอล
2.4.1 สาหรบั มวลรวมเม็ดละเอียด ใชเ้ คร่ืองช่งั ท่ีช่งั ไดไ้ ม่นอ้ ยกว่า 500 กรมั และช่งั ได้
ละเอียดถึง 0.1 กรมั
2.4.2 สาหรบั มวลรวมเม็ดหยาบ ใชเ้ คร่ืองช่ังท่ีช่ังไดไ้ ม่น้อยกว่า 5000 กรมั และช่ังได้
ละเอียดถงึ 1 กรมั

2.5 เตาอบตอ้ งสามารถใหค้ วามรอ้ นไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ืองท่ีอุณหภมู ิ 110+5 องศาเซลเซียส
2.6 เคร่ืองมือวดั ความถ่วงจาเพาะ ตอ้ งเป็นเคร่ืองมือท่ีเหมาะสม ทาจากวสั ดทุ ่ีมีคณุ ภาพดีอยา่ ง

ดี เชน่ ไฮโดรมิเตอร์ ตอ้ งมีความเท่ียงตรงและแม่นยา สามารถอา่ นคา่ ความถว่ งจาเพาะของ
สารละลายไดล้ ะเอียดถงึ 0.001

3. วัสดทใี่ ช้ประกอบการทดสอบ
สารละลายโซเดียมซลั เฟต หรือแมกนีเซียมซลั เฟต อย่างใดอยา่ งหน่งึ โดยใชป้ รมิ าตรอยา่ ง

นอ้ ย 5 เท่าของปรมิ าตรของตวั อยา่ งท่ีจะนามาทาการทดสอบในแตล่ ะครงั้ ซ่งึ สารละลายอ่ิมตวั แตล่ ะ
ชนิดจะใหผ้ ลทดสอบท่ีมีค่าแตกตา่ งกัน ฉะนนั้ การรายงานผลการทดสอบหาคา่ ความคงทน จงึ ตอ้ ง
ระบชุ นิดของสารละลายท่ีใชใ้ นการทดสอบและจานวนรอบของการทดสอบ

3.1 เตรียมสารละลายโซเดียมซัลเฟตโดยการละลายเกลือโซเดียมซัลเฟต เกรด USP หรือ
เทียบเท่า ในนา้ ท่ีอุณหภูมิประมาณ 25 - 30 องศาเซลเซียส เพ่ิมจานวนของเกลือผง
(Na2SO4) หรือเกลือผลึก (Na2 SO4. 10H2O) ใหเ้ พียงพอจนสารละลายอ่ิมตวั และตกผลึก
ส่วนเกินให้สามารถมองเห็นได้ ขณะผสมเกลือลงไปต้องหม่ันกวนอยู่เสมอจนกว่าจะ
นาไปใช้ เพ่ือป้องกันการระเหยและส่ิงสกปรกตกลงไปให้ปิ ดฝาภาชนะบรรจุไว้ ทา
สารละลายใหเ้ ย็นลงท่ีอุณหภมู ิ 21+1 องศาเซลเซียสคนอีกครงั้ หน่ึงแลว้ ทิง้ ไวท้ ่ีอณุ หภูมินี้
เป็นเวลาอย่างนอ้ ย 48 ช่วั โมง ก่อนจะนาไปใชท้ ดสอบ หากมีผลกึ เกลือปรากฏใหเ้ ห็นก่อน
การใชท้ ดสอบในแต่ละครงั้ ตอ้ งทาผลึกเกลือใหแ้ ตกโดยการคนใหท้ ่วั ขณะใชท้ ดสอบ
สารละลายตอ้ งมีคา่ ความถ่วงจาเพาะ 1.151-1.174 หากสารละลายมีสีผิดไปจากเดมิ ให้
นาทงิ้ ไปหรอื กรองแลว้ ตรวจสอบคา่ ความถว่ งจาเพาะใหมก่ ่อนนามาใช้
สารละลายโซเดียมซลั เฟต ถา้ ใชเ้ กลือผง (Na2 SO4) 215 กรมั หรือเกลือผลึก(Na2
SO4. 10H2O) 700 กรมั ผสมกบั นา้ 1 ลิตร จะอ่มิ ตวั ท่ีอณุ หภมู ิ 22 องศาเซลเซียส อยา่ งไรก็
ตามถึงแมว้ ่าสารละลายนีจ้ ะอ่ิมตวั แตก่ ็อาจจะยงั ไม่คงตวั เต็มท่ี ถา้ ต้องการใหม้ ีการตก
ผลึกส่วนเกินใหส้ ามารถมองเห็น ควรใชเ้ กลือผงไม่นอ้ ยกว่า 350 กรมั หรือใชเ้ กลือผลกึ ไม่
นอ้ ยกวา่ 750 กรมั ผสมกบั นา้ 1 ลิตร

83

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.2 เตรียมสารละลายแมกนีเซียมซลั เฟตโดยการละลายเกลือแมกนีเซียม เกรด USP หรือ
เทียบเท่าในนา้ ท่ีอุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส เพ่ิมจานวนของเกลือผง(Mg SO4)หรือ
เกลือผลึก (Mg SO4. 7H2O) ให้เพียงพอจนสารละลายอ่ิมตัวและตกผลึกส่วนเกินให้
สามารถมองเห็นขณะผสมเกลือลงไป ตอ้ งหม่นั คนอยเู่ สมอจนกว่าจะนาไปใชง้ านทดสอบ
เพ่ือปอ้ งกนั การระเหยและส่ิงสกปรกตกลงไปใหป้ ิดฝาภาชนะบรรจไุ ว้ ทาสารละลายใหเ้ ย็น
ลงท่ีอณุ หภมู ิ 21 ± 1 องศาเซลเซียส คนอีกครงั้ หนง่ึ แลว้ ทงิ้ ไวอ้ ณุ หภมู ินีเ้ ป็นเวลาอย่างนอ้ ย
48 ช่วั โมง ก่อนจะนาไปใชท้ ดสอบ หากมีผลกึ เกลือปรากฏใหเ้ ห็นก่อนการใชท้ ดสอบในแต่
ละครงั้ ตอ้ งทาผลึกเกลือใหแ้ ตกโดยการคนใหท้ ่วั ขณะใชท้ ดสอบสารละลายตอ้ งมีคา่ ความ
ถ่วงจาเพาะ 1.295-1.308 หากสารละลายมีสีผิดไปจากเดิม ใหน้ าทิง้ ไปหรือกรองแลว้
ตรวจสอบคา่ ความถว่ งจาเพาะใหมก่ อ่ นนามาใช้
สาหรบั สารละลายแมกนีเซียมซัลเฟต ถ้าใชเ้ กลือผง (Mg SO4) 350 กรมั หรือ
เกลือผลึก(Mg SO4. 7H2O) 1230 กรมั ผสมกับนา้ 1ลิตร จะอ่ิมตวั ท่ีอุณหภูมิ 23 องศา
เซลเซียส อย่างไรก็ตามถึงแมว้ ่าสารละลายนีจ้ ะอ่ิมตวั แต่ก็อาจจะยงั ไม่คงตวั เต็มท่ี ถา้
ตอ้ งการใหม้ ีการตกผลึกส่วนเกินใหส้ ามารถมองเห็น ควรใชเ้ กลือผลึกไม่นอ้ ยกว่า 1,400
กรมั ผสมกบั นา้ 1 ลติ ร

4. แบบ อรม์
ใชแ้ บบฟอรม์ ท่ี บฟ.มทช.501.12-xxxx: วิธีการทดสอบหาคา่ ความคงทน

5. การเตรียมตัวอย่าง
นาตวั อย่างวสั ดทุ ่ีตากแหง้ แลว้ (air-dry sample) มาแบ่งโดยวิธีการแบ่งส่ี (quartering) หรือใช้

เคร่อื งแบง่ แยกวสั ดุ (riffle splitter) แลว้ นามารอ่ นผา่ นตะแกรงดงั นี้
5.1 มวลรวมเม็ดละเอียด ท่ีจะนามาใชใ้ นการทดสอบ ตอ้ งผ่านตะแกรงขนาด 9.5 มิลลิเมตร
(3/8 นิว้ ) ทงั้ หมด นามวลรวมเม็ดละเอียดดงั กล่าวมาร่อนผ่านตะแกรงขนาดต่างๆ ตาม
ตารางท่ี 2 จากผลการทดสอบการแบง่ ขนาดของมวลรวมเม็ดละเอียดท่ีจะนามาใชใ้ นการ
ทดสอบตอ้ งมีปริมาณตงั้ แต่ร้อยละ 5 ขึน้ ไป และแต่ละช่วงขนาดตอ้ งมีนา้ หนักตามท่ี
กาหนดไวใ้ นตารางท่ี 2 ซง่ึ ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ 100 กรมั

ตารางที่ 2 ขนาดตะแกรงและมวลของมวลรวมเมดละเอยี ดท่ใี ช้ในการทดสอบ

ขนาดตะแกรง มิลลเิ มตร มวลเป็นกรมั
ผา่ น คา้ ง

84

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

0.60 ( เบอร์ 30 ) 0.30 (เบอร์ 50 ) 100
1.18 ( เบอร์ 16 ) 0.60 (เบอร์ 30 ) 100
2.36 ( เบอร์ 8 ) 1.18 (เบอร์ 16 ) 100
4.75( เบอร์ 4 ) 2.36 (เบอร์ 8 ) 100
9.5 (3/8 ) 4.75 (เบอร์ 4 ) 100

5.2 มวลรวมเม็ดหยาบท่ีจะนามาใชใ้ นการทดสอบตอ้ งร่อนเอาส่วนท่ีผา่ นตะแกรงขนาด 4.75
มลิ ลเิ มตร (เบอร์ 4) ออกใหห้ มด นามวลรวมเม็ดหยาบดงั กลา่ วมารอ่ นผา่ นตะแกรงตา่ ง ๆ
ตามตารางท่ี 3 จากผลการทดสอบการแบง่ ขนาดของมวลรวมเม็ดหยาบท่ีจะนามาใชใ้ น
การทดสอบ ตอ้ งมีปรมิ าณในแตล่ ะช่วงขนาดท่ีใชท้ ดสอบตงั้ แตร่ อ้ ยละ 5 ขนึ้ ไป และแตล่ ะ
ชว่ งขนาดตอ้ งมีนา้ หนกั ตามตารางท่ี 3

5.3 เม่ือมวลรวมท่ีจะใชท้ ดสอบประกอบดว้ ยมวลรวมเมด็ ละเอียด และมวลรวมเมด็ หยาบโดย
มีส่วนคา้ งตะแกรงขนาด 9.5มิลลิเมตร (3/8 นิว้ ) มากกว่ารอ้ ยละ 10 โดยมวล และมีสว่ น
ผา่ นตะแกรงขนาด 4.75 มิลลิเมตร (เบอร์ 4 )มากกว่ารอ้ ยละ 10 โดยมวลแลว้ ใหแ้ บง่ ตวั
อย่างออกเป็นส่วนละเอียดท่ีผ่านตะแกรงขนาด 4.75 มิลลิเมตร ( เบอร์ 4) และทดสอบ
ตามวิธีการทดสอบมวลรวมเม็ดหยาบกับส่วนท่ีคา้ งตะแกรงขนาด 4.75 มิลลิเมตร (เบอร์
4) ตามลาดบั การรายงานผลใหแ้ ยกรายงานคา่ ส่วนท่ีไม่คงทนของส่วนละเอียดและส่วน
หยาบ และรายงานรอ้ ยละของสว่ นละเอียดและสว่ นหยาบท่ีมีอยใู่ นมวลรวมทงั้ หมดดว้

ตารางที่ 3 มวลของมวลรวมเมดหยาบทใ่ี ช้ในการทดสอบ

ขนาดท่ีใชท้ ดสอบ ขนาดตะแกรง มลิ ลเิ มตร มวลเป็นกรมั
มลิ ลิเมตร
9.5 (3/8) – 4.75 (เบอร์ 4) ผา่ น คา้ ง 300+5
19.0 (3/4”) – 9.5 (3/8”) 1000+10
ประกอบดว้ ย 9.5 (3/8”) 4.75 (เบอร์ 4) 330+5
670+10
37.5(1 ½“) – 19.0 (3/4”) 12.5(1/2”) 9.5 (3/8”) 1500+50
ประกอบดว้ ย 19.0 (3/4”) 12.5(1/2”) 500+30
1000+50
63(21/2”) – 37.5 (1 ½”) 25.0(1”) 19.0(3/4”) 5000+30
ประกอบดว้ ย 37.5(1 ½”) 25.0 (1”) 2000+200
37.5(1 ½”)
50 (2”) 50(2”)

85

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

63 (2 ½”) 3000+300
ขนาดท่ีโตกวา่ นีใ้ หแ้ บง่ เป็นชว่ ง ชว่ งละ 25 มลิ ลิเมตร ( 1 นวิ้ ) และใชม้ วลใน 7000+1000
แตล่ ะชว่ ง

หมายเหต (1) ในกรณีของขนาดท่ีใชท้ ดสอบ ประกอบดว้ ยมวลรวมเม็ดหยาบ 2 ช่วง แตล่ ะ
มวลของชว่ งหน่งึ

ชว่ งใดขาดหายไปบา้ ง โดยมวลไมเ่ ป็นไปตามท่ีกาหนดในตารางท่ี 3 ไมค่ วรเอามวลของอีก
ขนาดหนง่ึ มาทดแทนกนั ใหด้ าเนนิ การขอตวั อยา่ งเพ่มิ จนไดม้ วลตามท่ีกาหนด

(2) ในกรณีของขนาดท่ีใชท้ ดสอบอยใู่ นช่วงท่ีตารางท่ี 3 กาหนดวา่ ประกอบดว้ ย
มวลรวมเม็ดหยาบ 2 ช่วงแลว้ แต่ขนาดของช่วงหน่ึงช่วงใดขาดหายไปหมด เช่น ในกรณี
ของวสั ดุ single size อาจใชม้ วลของขนาดท่ีมีอยมู่ าทาการทดสอบแทนโดยอนโุ ลม

6. การทดสอบ
6.1 ลา้ งตวั อยา่ งมวลรวมละเอียดบนตะแกรงขนาด 0.30 มิลลเิ มตร (เบอร์ 50) อบจนมวลคงท่ี
ท่ีอณุ หภมู ิ 110+5 องศาเซลเซียสแลว้ แยกขนาดของวสั ดโุ ดยใชต้ ะแกรงขนาดต่างๆ ตาม
ตารางท่ี 2 เลือกตวั อยา่ งบนตะแกรงแตล่ ะชนั้ ใหม้ ีมวลเกินกวา่ 100 กรมั (โดยท่วั ไปเตรียม
ไวป้ ระมาณ 110 กรมั ) ไวท้ าการทดสอบอย่านาวสั ดทุ ่ีติดคา้ งอย่รู ะหว่างช่องตะแกรงมา
ทดสอบ ช่งั มวลของแตล่ ะตวั อย่างแยกจากกนั ใหไ้ ดต้ วั อยา่ งละ 105+5 กรมั แยกบรรจลุ ง
ในภาชนะตวั อยา่ งท่ีไดเ้ ตรยี มไวใ้ ชใ้ นการทดสอบตอ่ ไป
6.2 ลา้ งตวั อยา่ งมวลรวมเม็ดหยาบอบจนมีมวลคงท่ีท่ีอณุ หภมู ิ 110+5 องศาเซลเซียสแลว้ แยก
ขนาดของวสั ดโุ ดยใชต้ ะแกรงขนาดตา่ งๆ ตามตารางท่ี 3 แยกช่งั มวลของตวั อยา่ งท่ีคา้ งอยู่
บนตะแกรงแต่ละชัน้ ใหไ้ ดม้ วลตามท่ีกาหนดไวใ้ นตารางท่ี 3 และถ้าขนาดท่ีใช้ในการ
ทดสอบประกอบดว้ ยมวลรวม 2 ชว่ ง ใหร้ วมมวลกนั ใหไ้ ดต้ ามท่ีกาหนด สาหรบั ตวั อย่าง
ของวสั ดทุ ่ีมีขนาดโตกว่า 19.0 มิลลิเมตร (3/4 นวิ้ ) จะตอ้ งนบั จานวนกอ้ นในแตล่ ะขนาดท่ี
ใชท้ ดสอบ
6.3 แช่ตวั อย่างลงในสารละลายโซเดียมซลั เฟต หรือแมกนีเซียมซลั เฟตเป็นเวลา 16 - 18
ช่วั โมง สารละลายจะตอ้ งท่วมตวั อย่างอยา่ งนอ้ ย 12.5 มิลลิเมตร (1/2 นิว้ ) ปิดฝาภาชนะ
บรรจุตวั อย่างท่ีกาลงั ทดสอบ รกั ษาและควบคมุ อุณหภูมิใหค้ งท่ีท่ี 21+1 องศาเซลเซียส
สาหรับมวลรวมท่ีมีมวลเบามากเม่ือแช่ตัวอย่างลงในสารละลายอาจใชต้ ะแกรงท่ีมี
นา้ หนกั เหมาะสมปิดทบั เพ่ือใหต้ วั อยา่ งจมในสารละลาย
6.4 หลงั จากแชจ่ นไดก้ าหนดเวลาแลว้ ใหน้ าตวั อย่างมวลรวมออกจากสารละลายปลอ่ ยทิง้ ไว้
อีก 15+5 นาทีเพ่ือใหส้ ารละลายท่ีอาจมีติดคา้ งอยู่ตามเม็ดตวั อย่างไหลออกหมด แลว้

86

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

นาไปเขา้ เตาอบซ่ึงไดท้ าใหม้ ีความรอ้ นท่ีอณุ หภมู ิคงท่ีท่ี 110+5 องศาเซลเซียสอย่กู ่อน
แลว้ อบตวั อย่างจนมีมวลคงท่ี ตรวจสอบไดโ้ ดยการนาตวั อยา่ งออกมาช่งั ทงั้ ท่ียงั รอ้ นอยู่
หลงั จากอบไปแลว้ ทกุ ช่วง 2-4 ช่วั โมง ทาการตรวจสอบหลาย ๆ ครงั้ จนแน่ใจวา่ ไดม้ วลท่ี
คงท่ีแลว้ เวลาท่ีใชใ้ นการอบจะขึน้ อย่กู ับสภาพของตวั อย่างและตาแหน่งท่ีวางตวั อย่าง
การพิจารณาว่ามวลคงท่ีคิดไดเ้ ม่ือมวลมีการเปล่ียนแปลงไม่เกินรอ้ ยละ 0.1 ในช่วง 4
ช่วั โมงของการอบ และเม่ือตวั อยา่ งมีมวลคงท่ีแลว้ ใหป้ ลอ่ ยทงิ้ ไวใ้ หเ้ ยน็ ท่ีอณุ หภมู หิ อ้ ง
6.5 ทาการทดสอบซา้ โดยการแชแ่ ลว้ นาไปอบใหแ้ หง้ ตามขอ้ 6.3 และขอ้ 6.4จนกระท่งั ครบ 5
รอบ หรือตามท่ีระบไุ วใ้ นขอ้ กาหนดของวสั ดนุ นั้ ๆ ในกรณีท่ีทาการทดสอบคร่อมวนั หยุด
ใหท้ ิง้ ตวั อย่างท่ีอบแหง้ และมีมวลคงท่ีไวท้ ่ีอณุ หภูมิหอ้ งแลว้ เร่ิมทาการทดสอบตอ่ ในวนั
เปิดทาการ
6.6 หลงั จากการทดสอบรอบสดุ ทา้ ยเสร็จสิน้ ใหท้ ิง้ ตวั อย่างจนเย็นลงท่ีอณุ หภมู ิหอ้ ง แลว้ ลา้ ง
ดว้ ยนา้ โดยปล่อยใหน้ า้ ไหลลน้ ผ่านตวั อย่างจนสะอาด ปราศจากสารละลายโซเดียม
ซลั เฟต หรือแมกนีเซียมซัลเฟต (โดยท่วั ไปใชเ้ วลประมาณ 15 นาที) ระหว่างการลา้ ง
ตวั อยา่ งตอ้ งไมถ่ กู กระแทกหรอื เสียดสีกนั จนแตก
6.7 นาตัวอย่างไปอบจนมีมวลคงท่ีท่ีอุณหภูมิ 110+5 องศาเซลเซียส ทิง้ ไว้ให้เย็นท่ี
อุณหภูมิหอ้ งแล้วนาไปร่อนผ่านตะแกรง โดยมวลรวมเม็ดละเอียดใหใ้ ชต้ ะแกรงตาม
ตารางท่ี 2 และมวลรวมเม็ดหยาบใหใ้ ชต้ ะแกรงตามตาราง ท่ี 4 ชว่ งระยะเวลาของการ
ร่อนมวลรวมเม็ดละเอียด พยายามให้ใกล้เคียงกับท่ีใช้ร่อนเตรียมตัวอย่างทดสอบ
สาหรบั มวลรวมเม็ดหยาบใหร้ อ่ นดว้ ยมือโดยความแรงของการรอ่ นใหพ้ อแนใ่ จวา่ ตวั อย่าง
กอ้ นท่ีเล็กกวา่ สามารถผา่ นตะแกรงไดโ้ ดยไมเ่ กิดการแตก
6.8 ช่ังมวลของตัวอย่างท่ีคา้ งตะแกรงเปรียบเทียบกับท่ีช่ังไว้ก่อนแช่ในสารละลาย ค่าท่ี
แตกตา่ งกนั คอื คา่ ของสว่ นท่ีไมค่ งทน

ตารางท่ี 4 ขนาดของตะแกรงท่ีใชร้ อ่ นหาสว่ นท่ีไมค่ งทนของมวลรวมเม็ดหยาบ

ขนาดท่ีใชท้ ดสอบ ขนาดตะแกรงท่ีใชร้ อ่ น

มลิ ลเิ มตร มิลลิเมตร

63 ( 1 ½”) – 37.5 (1 ½”) 3.15 (1 ¼”)

37.5 (1 ½”) -19.0 (3/4”) 16.0 (5/8”)

19.0 (3/4”) – 9.5 (3/8”) 8.0 (5/16”)

9.5 (3/8”) – 4.75 (เบอร์ 4) 4.0 (เบอร์ 5)

87

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

7. การคานวณ
7.1 การวิเคราะหเ์ ชิงปรมิ าณ (quantitative examination)คานวณหามวลท่ีหายไปหลงั จาก
การทดสอบ คือ การหาค่าของส่วนท่ีไม่คงทน (actual loss) จากแบบฟอรม์ ท่ี บฟ.มทช.(ท)
501.12-XXXX ไดด้ งั นี้

actual loss (gm.) = mass of test fraction before test – mass of test fraction after test

actual loss (%) = actual loss (gm.) x 100

mass of test fraction before test (gm.)

weighted loss (%) = actual loss (%) x % retained of original sample (1)

total loss (%) 100
= ผลบวกของ weighted loss (%)

7.2 การวิเคราะหเ์ ชิงคณุ ภาพ ( qualitative examination) ใหน้ บั ตวั อย่างกอ้ นท่ีโตกว่า 19.0
มิลลิเมตร (3/4 นวิ้ ) ตามวิธีตอ่ ไปนี้
7.2.1 ใหแ้ ยกตวั อย่างเป็นกล่มุ ๆตามสภาพการแตกท่ีเกิดขึน้ โดยท่วั ไปพอจะแยกได้
เป็นแตกแยก (disintegration) หรือแยกออกจากกนั (splitting) ยยุ่ สลายเป็นชนิ้
เลก็ ๆ (crumbling) เกิดรอยรา้ ว (cracking) และหลดุ เป็นแผน่ ๆ (flaking) ขณะท่ี
มีการตรวจสอบตวั อย่างกอ้ นท่ีโตกว่า 19.0 มิลลิเมตร (3/4 นิว้ ) อย่นู นั้ อาจจะ
ตอ้ งมีการตรวจสอบกอ้ นท่ีมีขนาดเล็กกวา่ 19.0 มิลลิเมตร (3/4 นิว้ ) ลงมาบา้ ง
ทงั้ นีจ้ ะไดร้ ูถ้ ึงสภาพการแตกแยกท่ีอาจจะมีเพ่มิ ขนึ้
7.2.2 นบั ชนิ้ สว่ นท่ีถกู แยกออกในแตล่ ะกลมุ่ มีการแตกเกิดขนึ้
7.2.3 เปอรเ์ ซ็นตค์ วามไมค่ งทนของแตล่ ะกลมุ่ หาไดด้ งั นี้

เปอรเ์ ซน็ ตค์ วามไมค่ งทนของแตล่ ะกลมุ่ = จานวนกอ้ นท่ีเปล่ียนสภาพในแตล่ ะกลมุ่ x100
จานวนกอ้ นทงั้ หมดกอ่ นการทดสอบ

8. การรายงาน
8.1 รายงานค่าส่วนท่ีไม่คงทน (total percentage loss) เป็นรอ้ ยละ โดยใช้จุดทศนิยม 1
ตาแหนง่ ในแบบฟอรม์ ท่ี บฟ.มทช.501.12-xxxx
8.2 คา่ เฉล่ีย (weighted average) หาไดจ้ ากเปอรเ์ ซ็นตข์ องส่วนท่ีไมค่ งทน (loss) ของแตล่ ะ
ขนาด ขึน้ อยู่กับขนาดคละ (gradation) ของตัวอย่างท่ีนามาทดสอบ หรือขึน้ อยู่กับ
คา่ เฉล่ียของขนาดคละของวสั ดจุ ากแตล่ ะขนาดของตวั อยา่ งท่ีไดร้ บั ยกเวน้ กรณีตอ่ ไปนี้

88

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

8.2.1 สาหรบั มวลรวมเม็ดละเอียด (ซ่ึงมีขนาดโตกว่าตะแกรงขนาด 9.5 มิลลิเมตร
(3/8นวิ้ )นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ10) ใหต้ งั้ สมมตุ ฐิ านไวว้ า่ ขนาดท่ีเล็กกวา่ ตะแกรงขนาด
0.30 มิลลิเมตร (เบอร์ 50) มีส่วนท่ีไม่คงทน (loss) เท่ากับรอ้ ยละศนู ย์ (0%)
และขนาดท่ีโตกวา่ ตะแกรง ขนาด 9.5 มิลลิเมตร (3/8นิว้ ) มีสว่ นท่ีไมค่ งทน
เทา่ กบั ขนาดท่ีคา้ งตะแกรงขนาดเล็กกว่าขนาดถัดไปในรายงานผลการทดสอบ
และตอ้ งมีคา่ ผลการทดสอบ

8.2.2 สาหรบั มวลรวมเม็ดหยาบ ( ซ่ึงมีขนาดเล็กกว่าตะแกรงขนาด 4.75 มิลลิเมตร
(เบอร์ 4)นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 10)ใหต้ งั้ สมมุติฐานไวว้ ่า ขนาดท่ีเล็กกว่าตะแกรง
ขนาด 4.75 มิลลิเมตร (เบอร์ 4) มีส่วนท่ีไม่คงทน (loss) เท่ากับขนาดท่ีค้าง
ตะแกรงขนาดถดั ไปในรายงานผลการทดสอบ และตอ้ งมีคา่ ผลการทดสอบ

8.2.3 สาหรบั มวลรวมท่ีประกอบดว้ ยมวลรวมเม็ดหยาบใหแ้ ยกทดสอบเป็น 2 ชนิด
ตามขอ้ 5.3 ใหแ้ ยกคานวณคา่ เฉล่ียของสว่ นท่ีไมค่ งทน (weighted percentage
loss) สาหรบั สว่ นท่ีผา่ นตะแกรงขนาด 4.75 มิลลิเมตร (เบอร์ 4) โดยใหท้ าขนาด
คละของส่วนละเอียดเป็น 100 เปอรเ์ ซ็นตก์ ่อน การรายงานผลการทดสอบให้
รายงานแยกจากกัน โดยรายงานเปอรเ์ ซ็นตข์ องวสั ดสุ ่วนท่ีผ่านตะแกรงขนาด
4.75 มิลลิเมตร (เบอร์ 4) และสว่ นท่ีคา้ งตะแกรงขนาด 4.75 มิลลเิ มตร (เบอร์ 4)

8.2.4 การคานวณคา่ เฉล่ียของตวั อย่างท่ีไดเ้ ตรียมไวต้ ามขอ้ 5.1 และ 5.2 ถา้ มีขนาดท่ี
นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 5 ของตวั อยา่ ง ซ่งึ ไม่ไดน้ าไปทดสอบ ใหถ้ ือว่ามีสว่ นท่ีไม่คงทน
(loss) เท่ากับค่าเฉล่ียของส่วนท่ีไม่คงทนของขนาดท่ีโตกว่าขนาดถัดไป และ
ขนาดท่ีเล็กกว่าขนาดถัดไป แต่ถ้าหากมีขนาดหน่ึงขนาดใดขาดหายไป ให้
ถือเอาคา่ ของขนาดถดั ไปอนั หน่งึ อนั ใดไมว่ ่าจะโตกวา่ หรือเล็กกว่าท่ีมีคา่ ผลการ
ทดสอบ มาใชเ้ ป็นสว่ นท่ีไมค่ งทน

8.3 ในกรณีตวั อยา่ งท่ีมีกอ้ นขนาดโตกว่า 19.0 มิลลเิ มตร (3.4นวิ้ ) ใหร้ ายงานจานวนกอ้ นก่อน
การทดสอบและจานวนกอ้ นท่ีแตกตามสภาพตา่ งๆ หลงั การทดสอบดว้ ย

9. หนังสอื อ้างองิ

9.1 The American Association of State Highway and Transportation Official.
Standard Specifications for Highway ;Materials and Methods of Sampling and
Testing. Part II. AASHO Designation: T 104-99

9.2 American Society for Testing and Materials Annual Book of ASTM Standard, Part
II ASTM Designation : C 88-13

89

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

9.3 Department of Highways. Standard Department of Highways. Standard Testing.
Test. Number DH-T 213/1998

3. Solution Sodium Sulfate Magnesium Sulfate
Freshly Prepared Previously Used

4. Number of Cycles …………..Cycles.
REMARKS : ………………………………………….

มทช.(ท) 501.13 - 2557
มาตรฐานวิธีการทดสอบหาค่าความสมมูลยข์ องทราย

( Sand Equivalent )

1. ขอบข่าย

วิธีการทดสอบนี้ เป็นการทดสอบเพ่ือหาคา่ สดั ส่วนระหว่างวสั ดลุ ะเอียดประเภทฝ่ นุ หรือ
วสั ดปุ ระเภทดนิ เหนียวกบั วสั ดเุ ม็ดหยาบ

2. เครื่องมือ
2.1 กระบอกตวงพลาสตกิ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายใน 31.75 มิลลเิ มตร (1 ¼ นวิ้ ) สงู
431.80 มิลลิเมตร (17 นิว้ ) มีขีดวดั 318 มิลลิเมตร (15 นิว้ ) ซ่งึ แบง่ ออกเป็น 15 สว่ น สว่ น
ละ 25.4 มลิ ลิเมตร (1 นวิ้ ) แตล่ ะสว่ นแบง่ ออกเป็น 10 ชอ่ ง
2.2 irrigator tube
2.3 weighted foot assembly ซ่งึ ประกอบดว้ ย sand reading indicator ตดิ อยกู่ บั แกนหา่ งจาก
ตวั foot 254 มิลลเิ มตร (10นวิ้ )
2.4 siphon assembly ประกอบดว้ ยขวดกลมซ่ึงบรรจุสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ (calcium
chloride) 3.80 ลิตร (1 แกลลอน) โดยวางขวดกลมสูงจากโต๊ะท่ีทาการทดลอง sand
equivalent ประมาณ 914+25 มิลลิเมตร (3 ฟตุ + 1 นวิ้ )
2.5 กระป๋ องตวง (measuring can) ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางโดยประมาณ 2.25 นิว้ ความจุ 85
+ 5มิลลลิ ิตร (3 ออนซ)์
2.6 กรวยปากกลมเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางตรงปากกรวยประมาณ 100 มิลลเิ มตร
2.7 นาฬกิ าจบั เวลา
2.8 เคร่ืองเขย่ากล (mechanical shaker) หรือเคร่ืองเขย่ามือ (manual shaker) โดยมี
ประสทิ ธิภาพในการเขยา่ 175 + 2 รอบตอ่ นาที และระยะทางเขยา่ เทา่ กบั 203 + 1มลิ ลเิ มตร
(8 + 0.004 นวิ้ )

90

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
2.9 จกุ ยาง rubber stopper ตอ้ งมีขนาดพอดีกบั กระบอกตวงพลาสตกิ

3. วัสดทใี่ ช้ประกอบการทดสอบ
3.1 สารละลายเขม้ ขน้ (stock solution) คือ สารละลายแคลเซีมคลอไรด์ ( calcium chloride
) โดยเตรียมไดจ้ ากสารแอนไฮดรสั แคลเซียม คลอไรด์ (anhydrous calcium chloride)
454 กรัม กลีเซอรีน(USP glycerine 95% 2,050 กรัม(1,640mL) และฟอร์มัลดีไฮด์
(formaldehyde) 47 กรมั ละลายสารละลายแคลเซียมคลอไรดใ์ นนา้ กล่ัน 1,900 มิลลิลิตร
(1/2 แกลลอน) แลว้ นาไปกรองผ่านกระดาษกรองแบบ rapid filtering filter paper หรือ
whatman No.12 เตมิ กลีเซอรีนและฟอรม์ ลั ดีไฮดใ์ นสารละลาย ผสมใหเ้ ขา้ กนั แลว้ เติม
นา้ กล่นั ลงไปอีกจนไดส้ ารละลาย 3.80 ลติ ร (1 แกลลอน)
3.2 สารละลายเพ่ือการใชง้ าน (working solution) เตรียมไดจ้ ากการนาเอาสารละลายในขอ้
3.1 มาเต็มกระป๋ องตวง (85 + 5 มิลลิลิตร) แลว้ เตมิ นา้ กล่นั ลงไปใหไ้ ดส้ ารละลาย 3.80
ลิตร (1 แกลลอน)
3.3 นา้ กล่นั หรือนา้ ปราศจากไอออน (นา้ DI หรือ deionized water) แตถ่ า้ ไม่มีนา้ กล่นั หรือนา้
ปราศจากไอออน สามารถใชน้ า้ ประปาท่ีมีคณุ ภาพดแี ทนได้

4. แบบ อรม์
ใชแ้ บบฟอรม์ ท่ี บฟ.มทช. 501.13 – XXXX : วิธีการทดสอบหาคา่ ความสมมลู ยข์ องทราย

5. การเตรียมตัวอยา่ ง
นาตวั อย่างวัสดทุ ่ีตากแหง้ แลว้ ( air-dry sample) มาแบ่งโดยวิธีการแบ่งส่ี (quartering) หรือใช้

เคร่ืองแบง่ แยกวสั ดุ (riffle splitter) จากนนั้ นาไปรอ่ นผา่ นตะแกรงเบอร์ 4 ( 4.75 มิลลิเมตร ) แลว้ ตวงมา
1 กระป๋ องตวง (85 + 5 มิลลิลติ ร) เคาะกระป๋ องกบั พืน้ แขง็ ๆ เพ่ือใหต้ วั อย่างวสั ดเุ ตม็ กระป๋ องมากท่ีสดุ แลว้
ปาดท่ีขอบกระป๋ องตวงใหเ้ รยี บ

6. การทดสอบ
สถานท่ีท่ีใช้ในการทดสอบ ตอ้ งเป็นสถานท่ีท่ีไม่มีการส่ันสะเทือน ซ่ึงอาจจะทาให้อัตราการ

ตกตะกอนผดิ พลาดไป โดยดาเนินการทดสอบตามขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี้
6.1 เตมิ สารละลายจากขอ้ 3.2 ลงไปในกระบอกตวงพลาสติกใหส้ งู 4 + 0.1 ส่วน (4 +
0.1 นิว้ ) โดยผา่ น irrigator tube วางกรวยปากกลมบนปากกระบอกตวง แลว้ เทตวั อย่าง
วสั ดจุ ากกระป๋ องตวงท่ีเตรียมไวแ้ ลว้ ลงไป ไล่ฟองอากาศโดยใชก้ น้ กระบอกตวงกระแทก
กบั ฝ่ามือจนตวั อยา่ งเปียกโดยท่วั ถงึ กนั

91

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

6.2 แชต่ วั อยา่ งวสั ดทุ ิง้ ไวโ้ ดยไมใ่ หถ้ กู รบกวนเป็นเวลา 10 + 1 นาที แลว้ อดุ กระบอกตวงดว้ ย
จุกยาง พลิกกระบอกตวงคว่าไปมาพรอ้ มทงั้ เขย่า เพ่ือป้องกันมิใหว้ สั ดตุ กคา้ งอยู่ท่ีกน้
กระบอกตวง

6.3 การเขยา่ กระบอกตวงสามารถทาได้ 3 วธิ ี คอื
6.3.1 เขยา่ ดว้ ยเคร่อื งเขยา่ กล โดยวางกระบอกตวงพลาสตกิ ซง่ึ อดุ ดว้ ยจกุ ยาง
อยใู่ นแนวราบ และอย่ใู นลกั ษณะติดแน่นกบั เคร่ืองเขย่ากลนีเ้ ขย่าเป็นเวลา 45 +
1 วินาที
6.3.2 เคร่ืองเขย่ามือ โดยยดึ กระบอกตวงพลาสตกิ ซ่งึ อดุ ดว้ ยจกุ ยางเขา้ กบั เคร่ืองโดยใช้
สปริงยดึ 3 ตวั ตงั้ เคร่ืองนบั จานวนเขย่าโดยใหเ้ ร่มิ ท่ีศนู ย์ ดนั เหล็กโยกกระบอก
ตวงไปในแนวนอนดา้ นขา้ ง จนกระท่ังปลายเข็มชีท้ ่ีเคร่ืองหมายกาหนดระยะ
ทางการเขย่าซ่ึงติดอยู่บนกระดาษด้านหลงั เคร่ืองโยก แลว้ จึงปล่อยมือใหเ้ หล็ก
โยกเขยา่ กระบอกตวงโดยอิสระ หรืออาจใชป้ ลายนิว้ มือโยกช่วย เพ่ือใหก้ ารเขย่า
เป็นไปอย่างสม่าเสมอ และเคล่ือนท่ีในแนวดา้ นขา้ งตามระยะท่ีกาหนดไว้ การ
เขยา่ ท่ีถกู ตอ้ งสมบูรณค์ ือการโยกท่ีเม่ือครบรอบครงั้ หน่งึ ๆ แลว้ ปลายเข็มชี้จะอยู่
ภายในขีดความกวา้ งของเคร่ืองหมายกาหนดระยะทาง โดยใหเ้ ขย่าเช่นนี้ 100
รอบ
6.3.3 ใช้มือเขย่า โดยจับกระบอกตวงทั้งสองข้างในแนวราบ ให้ระยะทางเขย่าใน
แนวราบยาว 228 + 25 มิลลิเมตร (9 +1 นิว้ ) และให้เขย่า 90 รอบ ในเวลา
ประมาณ 30 วินาที (การนบั จานวนรอบใหน้ บั จากจุดเร่มิ ตน้ เขย่าไปแลว้ กลบั มาท่ี
จดุ เรม่ิ ตน้ นบั เป็น 1 รอบ )

6.4 หลงั จากเขยา่ ตามวิธีการตามขอ้ 6.3 แลว้ นากระบอกตวงพลาสติกตงั้ บนโต๊ะแลว้ เอาจกุ
ออก หย่อนปลาย irrigator tube ลงไปในกระบอกตวง เปิดให้สารละลายในขวดผ่าน
ออกไปลา้ งวสั ดทุ ่ีตดิ อยขู่ า้ ง ๆ กระบอกตวงจากขอบบนลงไป ค่อย ๆ หมนุ และดนั irrigator
tube ผ่านชนั้ วสั ดเุ ม็ดหยาบลงไปจนถึงกน้ กระบอกตวง ระวงั อย่าใหท้ รายหรือดินไปอุด
ตนั ท่ีปลายของ irrigator tube วสั ดเุ ม็ดละเอียดจะลอยตวั ขนึ้ มาเป็นของผสมอยเู่ หนือวสั ดุ
เม็ดหยาบ เม่ือของผสมมีระดบั อย่ทู ่ีขีด 15 ส่วน ( 15 นิว้ ) คอ่ ย ๆ ยก irrigator tube ขนึ้
แต่ยังปล่อยใหส้ ารละลายไหลออกเร่ือย ๆ เม่ือยก irrigator tube ออกจากกระบอกตวง
ระดบั ของผสมในกระบอกตวงตอ้ งอยทู่ ่ีระดบั ขีดท่ี 15 สว่ น ( 15 นวิ้ )

6.5 ปล่อยกระบอกตวงทิง้ ไวโ้ ดยไม่ใหถ้ กู รบกวนอีก 20 นาที นบั จากเอา irrigator tube ออก
จะเห็นดินเหนียวลอยอย่โู ดยแยกเป็นชนั้ อยา่ งชดั เจน ไมค่ วรวางกระบอกตวงพลาสตกิ ใน
ท่ีท่ีมีแสงแดด อา่ นคา่ ระดบั ชนั้ บนสดุ ของดนิ เหนียวบนกระบอกตวงเป็นคา่ “clay reading”
ถ้าในระยะเวลา 20 นาที ดินเหนียวยังตกตะกอนไม่หมด โดยยงั ไม่เห็นเป็นชนั้ แยกกัน

92

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

อยา่ งชดั เจน ใหย้ ืดเวลาออกไปอีกแต่ไม่ควรมากกว่า 30 นาที ถา้ มากกวา่ 30 นาที แลว้
ยงั ไมม่ ีการแยกชนั้ ใหเ้ ห็นไดอ้ ย่างชดั เจน ใหท้ าการทดลองใหมโ่ ดยใชอ้ ีก 3 ตวั อยา่ ง และ
คา่ clay reading ของตวั อยา่ งท่ีใช้ ใหใ้ ชค้ า่ ท่ีระยะเวลาตกตะกอนท่ีสนั้ ท่ีสดุ
6.6 ค่า sand reading ได้จากการนาเอา weighted foot assembly ค่อย ๆหย่อนลงใน
กระบอกตวง ไปวางบนวสั ดหุ ยาบหรือทราย อ่านค่าบนกระบอกตวงระดบั บนสุดของ
indicator แลว้ ลบดว้ ย 10 จะไดค้ า่ “sand reading”
6.7 การหาคา่ ของ “clay reading” และ “sand reading” ถา้ คา่ ท่ีไดต้ กอย่รู ะหวา่ ง 0.1 นิว้ ให้
จดบนั ทกึ คา่ ในระดบั ท่ีสงู กวา่ กล่าวคอื การปัดตวั เลขขนึ้

6.8

7. การคานวณ
คา่ Sand Equivalent (SE) = (sand reading)/(clay reading) x100 ถ้าค่า SE ไม่เป็นเลข

จานวนเตม็ ใหป้ ัดเป็นเลขจานวนเตม็ เชน่ คา่ SE เทา่ กบั 41.25 ใหป้ ัดเป็น 42 เป็นตน้ โดยคา่ SE มีคา่
อยรู่ ะหวา่ ง 0-100 ซง่ึ คา่ SE มากแสดงวา่ ปรมิ าณวสั ดสุ ว่ นละเอียดประเภทฝ่นุ หรือวสั ดปุ ระเภทดนิ เหนียว
เหนียวมีนอ้ ย

8. การรายงาน
ใหร้ ายงานผลตามแบบฟอรม์ ท่ี บฟ.มทช. 501.13 – XXXX : วิธีการทดสอบหาคา่ ความสมมลู ยข์ อง

ทราย

9. หนังสอื อ้างอิง

9.4 The American Association of State Highway and Transportation Official. Standard
Specifications for Highway ;Materials and Methods of Sampling and Testing. Part
II. AASHO Designation: T 176-08

9.5 State of California. Department of Public Works, Division of Highways. Materials
Manual of Testing and Control Procedures, Vol. 1. Test Method No. Calif. 217-B

9.6 American Society for Testing and Materials (1971) Annual Book of ASTM
Standard, Part II ASTM Designation : D 2419-09

9.7 State of California. Department of Transportation, Division of Engineering Services.
California Test 217 June 2008

9.8 Plastic Fines in Graded Aggregates and Soils by Use of the Sand Equivalent Test
AASHTO T176-08-UL

93

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

9.9 Department of Highways. Standard Department of Highways. Standard Testing.
Test. Number DH-T 203/1972

94

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.(ท) 601-2545
มาตรฐานการทดสอบการกล่ันวัสดยางคัตแบกแอส ัลต์

(CUT-BACK ASPHALT)

1. ขอบข่าย
มาตรฐานการทดสอบนี้ เป็นการตรวจสอบวสั ดคุ ตั แบกแอสฟัลตโ์ ดยการกล่นั ซ่งึ ชนิดตา่ ง ๆ ของ

วสั ดยุ างคตั แบกแอสฟัลต์ ไดก้ าหนดไวใ้ น มทช. 211-2545, มทช. 212-2545 และ มทช. 213-2545

2. วิธีทา

2.1 เคร่อื งมือและอปุ กรณ์ ประกอบดว้ ย

2.1.1 ขวดกล่นั เป็นขวดกน้ กลม ขนาด 500 มิลลิเมตร มีหลอดแกว้ ตอ่ ออกไปดา้ นขา้ ง

ท่ีคอขวดดงั แสดงไวใ้ น รูปท่ี 1 มีขนาดดงั ตอ่ ไปนี้

1. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายนอกของขวด 1022.0 มม.

95

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

2. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายในของขวด 251.2 มม.

3. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายในของหลอดตอ่ ดา้ นขา้ ง 100.5 มม.

4. ความสงู ภายนอกของขวด 1355 มม.

5. ระยะภายนอกจากกน้ ขวดถึงจดุ ตอ่ ภายใน หลอดตอ่ ดา้ นขา้ ง 1053 มม.

6. ความยาวของหลอดตอ่ ดา้ นขา้ ง 2205 มม.

7. มมุ ท่ีหลอดตอ่ ดา้ นขา้ งตอ่ กบั ขวด 753 มม.

8. ความหนาของหลอดตอ่ ดา้ นขา้ ง 1.0 ถงึ 1.5 มม.

รูปท่ี 1 ขวดกล่ัน (DISTILLATION FLASK)
2.1.2 เคร่อื งควบแนน่ (CONDENSER) ใชเ้ คร่อื งควบแนน่ ขนาด 200-300 มม. สว่ นหมุ้

ผนงั ภายนอกทาดว้ ยแกว้ มีขนาดดงั ตอ่ ไปนี้

1. ความยาวของสว่ นหมุ้ ไมร่ วมคอ 200-300 มม.

2. ความยาวของหลอดควบแน่น 45010 มม.

3. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายนอกของหลอดควบแนน่ 12.50.5 มม.

4. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายนอกของปลายสว่ นท่ีกวา้ งของหลอดควบแนน่ 230.1

มม.

5. ความยาวของสว่ นกวา้ งของหลอดควบแนน่ 755 มม.

2.1.3 หลอดตอ่ (ADAPTER) ทาดว้ ยแกว้ หนา 1 มม. ลกั ษณะเป็นหลอดแกว้ งอเป็นมมุ

ประมาณ 105 องศา ปลายดา้ นหน่งึ มีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางภายในประมาณ 18 มม.

และปลายอีกดา้ นหน่ึงมีเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง ภายในประมาณ 5 มม. ผิวภายใน

ดา้ นล่างจะตอ้ งคอ่ ย ๆ ลาดต่าลงตามสว่ นโคง้ ปลายของหลอดต่อ ตอ้ งอย่ใู นแนว

ดด่งิ และปลายสดุ ส่วนท่ีของเหลวจะไหลออก ตอ้ งตดั หรือฝนใหเ้ รียบเฉียง เป็นมมุ

455 องศา ดงั รูปท่ี 2

96

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

รูปที่ 2 อปกรณส์ าหรับกล่ัน (DISTILLATION APPARATUS)
2.1.4 ท่ีครอบขวดกล่นั ใชค้ รอบขวดกล่นั เพ่ือปอ้ งกนั ลมและและการแผร่ งั สีความรอ้ นทา

ดว้ ยเหล็กชบุ สงั กะสี ภายในบุดว้ ยแผ่นใยหิน (ASBESTOS) หนาประมาณ 3.2
มม. ท่ีครอบนีม้ ีช่องปิดดว้ ยวสั ดุใสใหม้ องผ่านได้ 2 ช่อง ฝาปิดดา้ นบนมีสองชิน้
ทาดว้ ย TRANSITE BOARD หรือเหล็กชบุ สงั กะสีบดุ ว้ ยแผ่นใยหินหนาประมาณ

3.2 มม.ดงั รูปท่ี 3

รูปท่ี 3 ทค่ี รอบขวดกล่ัน
2.1.5 ภาชนะรองรบั ของเหลวท่ีกล่นั ได้ ใชก้ ระบอกตวงท่ีมีจงอยปาก สาหรบั เทของเหลว

ออกและมีมาตรฐานตามตารางขา้ งลา่ งนี้
มาตรฐานกระบอกตวงทใ่ี ช้รองรับของเหลวทกี่ ล่ันได้

หมายเหต ควรมีขีดยาวและตวั เลขกากบั ทกุ ชว่ ง 5 มลิ ลิลติ ร และ 10 มลิ ลลิ ิตร

97

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

รูปท่ี 4 าชนะรองรับของเหลวทก่ี ล่ันได้

2.1.6 ภาชนะใสว่ สั ดทุ ่ีเหลือจากการกล่นั ใชก้ ระป๋ องดบี กุ พรอ้ มฝาปิดขนาด 240 มล. (8
ออนซ)์ มีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 755 มม. และสงู 555 มม.

2.1.7 เทอรโ์ มมิเตอรช์ นิดมีช่วงระหวา่ ง 30 องศาฟาเรนไฮต์ ถึง 760 องศาฟาเรนไฮต์ มี
ความละเอียดอา่ นไดถ้ ึง 2 องศาฟาเรนไฮต์ ความยาวประมาณ 380 มม. หรือใช้
เทอรโ์ มมิเตอรช์ นิดมีชว่ งระหวา่ ง 2 องศาเซลเซียส ถงึ 400 องศาเซลเซียส มีความ
ละเอียดอา่ นไดถ้ งึ 1 องศาเซลเซียส ความยาวประมาณ 380 มม.

2.2 การเตรียมตวั อย่างการทดสอบ
2.2.1 กวนและเขยา่ ตวั อยา่ งใหท้ ่วั ถา้ ตวั อยา่ งเหนียวมากก็ใหค้ วามรอ้ นเลก็ นอ้ ย เพ่ือให้
ตวั อยา่ งเป็นเนือ้ เดียวกนั แบง่ ตวั อยา่ งท่ีจะทดสอบประมาณ 300 มล.
2.2.2 ถา้ ตวั อย่างมีนา้ มากกว่ารอ้ ยละ 2 ตอ้ งทาการกาจดั นา้ ออกเสียก่อนตามวิธีการ
ท ด ส อ บ AASHTO T.83 - 70 “DEHYDRATION OF OIL-TYPE
PRESERVATIVES”
2.2.3 คานวณนา้ หนกั ของตวั อยา่ งซ่งึ มีปริมาตร 200 มล. จากคา่ ความถ่วงจาเพาะของ
ตวั อยา่ งแลว้ ช่งั ตวั อยา่ งจานวนนนั้ ในขวดกล่นั
2.2.4 ตงั้ ขวดกล่นั พรอ้ มท่ีครอบบนวงแหวนซ่ึงติดอย่กู ับขาตงั้ (STAND) บนวงแหวนนี้
ใชแ้ ผ่นลวดตะแกรงทนความรอ้ น ขนาดตะแกรงเบอร์ 20 กวา้ งยาวดา้ นละ 150
มม. วางซอ้ นกัน 2 แผ่น ใชท้ ่ีบงั ท่ีเหมาะสมบงั ตะเกียง เพ่ือป้องกนั ลมต่อเคร่ือง

98

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ควบแน่นกบั ขวดกล่นั โดยใชจ้ กุ ไมค้ อรก์ ท่ีแน่นพอดี หลอดควบแน่นจะตอ้ งแหง้
และสะอาด
2.2.5 นาจกุ ไมค้ อรก์ ซ่งึ มีเทอรโ์ มมิเตอรเ์ สียบอยู่เรียบรอ้ ยแลว้ ปิดลงท่ีปากขวดกล่นั จดั
เทอรโ์ มมิเตอรใ์ หป้ ลายกระเปาะอยู่สูงกว่าก้นขวดกล่นั ประมาณ 6.5 มม. ขวด
กล่นั และเทอรโ์ มมิเตอรจ์ ะตอ้ งตงั้ ตรง
2.2.6 สวมหลอดต่อท่ีปลายเคร่ืองควบแน่น เพ่ือให้ของเหลวท่ีกล่ันไดไ้ หลผ่านลงสู่
กระบอกตวงระยะจากคอขวดกล่นั จนถึงปลายสดุ ของหลอดต่อจะตอ้ งไมม่ ากกว่า
700 มม. และไมน่ อ้ ยกวา่ 600 มม.
2.2.7 วางกระบอกตวงท่ีปลายหลอดต่อ โดยใหป้ ลายหลอดตอ่ อย่ตู ่าลงไปในกระบอก
ตวงอยา่ งนอ้ ย 25.4 มม. แตจ่ ะตอ้ งไมต่ ่าถงึ ขีด 100 มล.

การประกอบเคร่อื งมือทดสอบแสดงไวใ้ นรูปที่ 2

2.3 แบบฟอรม์ ใชแ้ บบฟอรม์ ท่ี บฟ. มทช.(ท) 601-2545
2.4 การทดสอบ

2.4.1 จุดตะเกียงใหค้ วามรอ้ นกับตวั อย่าง โดยใหม้ ีของเหลวหยดแรกเกิดขึน้ ท่ีปลาย
หลอดดา้ นขา้ งของขวดกล่นั ภายในเวลา 5 ถึง 10 นาที ใหร้ ายงานดว้ ยวา่ ของเหลว
หยดแรกนีเ้ ป็นนา้ หรอื นา้ มนั

2.4.2 ดาเนินการกล่ันต่อไปโดยรับเปลวไฟ เพ่ือทาให้มีของเหลวท่ีกล่ันได้ในอัตรา
ตอ่ ไปนี้
1) จานวน 50 ถึง 70 หยดตอ่ นาทีจนอณุ หภูมิ 260 องศาเซลเซียส (500 องศา
ฟาเรนไฮต)์
2) จานวน 20 ถึง 70 หยดต่อนาทีจากอุณหภูมิ 260 ถึง 316 องศาเซลเซียส
(500 ถึง 600 องศาฟาเรนไฮต)์ แลว้ เรง่ ไฟใหอ้ ณุ หภูมิเพ่ิมจาก 316 ถึง 360
องศาเซลเซียส (600 ถึง 680 องศาฟาเรนไฮต)์ ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที
จานวนหยดในการควบคมุ อตั ราการกล่นั ใหน้ บั ท่ีปลายหลอดตอ่

2.4.3 จดบนั ทึกปริมาตรของของเหลวท่ีกล่ันไดท้ ่ีอุณหภูมิ 225, 260 และ 316 องศา
เซลเซียส (437, 500 และ 600 องศาฟาเรนไฮต)์ ตามลาดบั

2.4.4 ถา้ ตวั อยา่ งเรม่ิ เป็นฟองใหล้ ดไฟลง แตต่ อ้ งกลบั มาใชไ้ ฟแรง เพ่ือใหอ้ ตั ราการกล่นั
เทา่ เดมิ โดยเร็วท่ีสดุ เทา่ ท่ีจะทาได้ ถา้ ยงั คงมีฟองมากขนึ้ เร่อื ย ๆ ใหใ้ ชไ้ ฟเผารอบ
ขวดกล่นั แทนท่ีจะตงั้ ไวต้ รงกลาง

2.4.5 เม่ืออณุ หภมู ิสงู ถึง 360 องศาเซลเซียส (680 องศาฟาเรนไฮต)์ แลว้ รีบดบั ไฟทนั ที
เปิดฝาท่ีครอบขวดกล่นั ออก แลว้ ยกขวดกล่นั ออกมา เทของท่ีเหลืออยู่ในขวด

99

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

กล่นั ลงสกู่ ระป๋ องดีบกุ ขนาด 240 มล. กระป๋ องนีต้ อ้ งวางอยบู่ นฝาปิดของมนั ทงั้ นี้
เพ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ หว้ สั ดทุ ่ีกน้ กระป๋ องเย็นเรว็ เกินไปและตอ้ งวางไวใ้ นท่ีซง่ึ ไมม่ ีลมพดั
ระยะเวลาทงั้ หมดตงั้ แต่ดบั ไฟจนเร่มิ ตน้ เทของท่ีเหลือออกจากขวดกล่นั จะตอ้ ง
ไมเ่ กิน 10 นาที เทของเหลวท่ีเหลือคา้ งอยใู่ นเคร่อื งควบแนน่ ลงในกระบอกตวงให้
หมด แลว้ บนั ทกึ ปรมิ าตรของของเหลวท่ีได้
2.4.6 ทิง้ ใหว้ สั ดใุ นกระป๋ องดีบกุ เย็นลงจนไมม่ ีควนั กวนใหท้ ่วั จนแน่ใจเป็นเนือ้ เดียวกนั
แลว้ จึงเทวสั ดนุ ีล้ งในภาชนะหรือเคร่ืองมือ เพ่ือจะทาการทดสอบคณุ ภาพอย่าง
อ่ืนตอ่ ไป
3. การคานวณ
3.1 ปริมาตรของของเหลวกล่นั ไดท้ ่ีอุณหภูมิตา่ ง ๆ เทียบกบั ปริมาณของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ี
อณุ หภมู ิ 360 องศาเซลเซียส (680 องศาฟาเรนไฮต)์
3.1.1 ปริมาณรอ้ ยละของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 225 องศาเซลเซียส (437 องศา
ฟาเรนไฮต)์ = A/D x 100
3.1.2 ปริมาณรอ้ ยละของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอุณหภูมิ 260 องศาเซลเซียส (500 องศา
ฟาเรนไฮต)์ = B/D x 100
3.1.3 ปริมาณรอ้ ยละของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 316 องศาเซลเซียส (600 องศา
ฟาเรนไฮต)์ = C/D x 100
เม่ือ A = ปรมิ าตรของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 225 องศาเซลเซียส(437 องศาฟาเรนไฮต)์
มีหนว่ ยเป็นมิลลลิ ติ ร
B = ปรมิ าตรของของเหลวท่กี ล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 260 องศาเซลเซียส ( 500 องศาฟาเรนไฮต)์
มีหนว่ ยเป็นมลิ ลิลิตร
C = ปรมิ าตรของของเหลวท่กี ล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 316 องศาเซลเซียส ( 600 องศาฟาเรนไฮต)์
มีหนว่ ยเป็นมลิ ลิลิตร
D = ปรมิ าตรของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิ 360 องศาเซลเซียส ( 680 องศาฟาเรน
ไฮต)์ มีหนว่ ยเป็นมลิ ลิลติ ร
3.2 ปรมิ าณของของเหลวท่ีกล่นั ไดเ้ ม่ือเทียบกบั ปรมิ าณตวั อยา่ งท่ีใช้
3.2.1 ปรมิ าณรอ้ ยละของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิต่ากวา่ 175 องศาเซลเซียส (347
องศาฟาเรนไฮต)์ = E/F x 100
3.2.2 ปริมาณรอ้ ยละของของเหลวท่ีกล่นั ไดท้ ่ีอณุ หภมู ิสงู กวา่ 175 องศาเซลเซียส (347
องศาฟาเรนโฮต)์ = G/F x 100

100


Click to View FlipBook Version