The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารการสอนวิชาการประเมินสภาพ-Assessment-63

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Natpakan Uppatham, 2023-08-25 10:23:46

เอกสารการสอนวิชาการประเมินสภาพ-Assessment-63

เอกสารการสอนวิชาการประเมินสภาพ-Assessment-63

๒ คณะผู้จัดท ำ เรียบเรียงโดย น.ท.พรพิชิต สุวรรณศิริ ร.ต.อานนท์ ศิลาเพชร พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ โรงเรียนนาวิกเวชกิจ ศูนย์วิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ ออกแบบปก นรจ.ศิรวิทย์ ปรางศรี นักเรียนจ่าพรรคพิเศษเหล่าทหารแพทย์ชั้นปีที่ ๒ ขอขอบคุณ นรจ.กฤษดา เถาสุวรรณ นรจ.ธนดล เขียวสังข์ นรจ.บุญญฤทธิ์ เกื้อกูลวงค์ นรจ.ภาคภูมิ ตั้งสุข นรจ.ภูริณัฐ สีทน นรจ.สหัสชัย เหล็กเพ็ชร นรจ.อลงกรณ์ เอื้อสลุง นรจ.อานนท์ กาญจนโกศล นักเรียนจ่าพรรคพิเศษเหล่าทหารแพทย์ชั้นปีที่ ๒


๓ สำรบัญภำพ/แผนภูมิ หน้า ภาพที่ ๑ แสดงอวัยวะผิดรูป (Deformity) ๒๒ ภาพที่ ๒ แสดงรอยแผลฟกช้้า (Contusion) ๒๓ ภาพที่ ๓ แสดงรอยแผลถลอก (Abrasion) ๒๓ ภาพที่ ๔ แสดงแผลวัสดุปักคา (Puncture wound) ๒๓ ภาพที่ ๕ แสดงแผลไหม้ (Burns) ๒๔ ภาพที่ ๖ แสดงแผลฉีกขาด (Laceration wound) ๒๔ ภาพที่ ๗ แสดงรอยบวม (Hematoma) ๒๔ ภาพที่ ๘ แสดง การกดเจ็บบริเวณหน้าท้อง (Tenderness) ๒๕ ภาพที่ ๙ แสดง การตรวจบริเวณกระดูกสะโพกที่หักจะพบการขยับ และไม่มั่นคง ๒๕ ภาพที่ ๑๐ แสดง การตรวจพบเสียงกรอบแกรบ บริเวณกระดูกซี่โครงที่หัก ๒๕ ภาพที่ ๑๑ ภาพของ Mr.Leo R.Schwartz ผู้ออกแบบ Star of life ๒๗ ภาพที่ ๑๒ สัญลักษณ์ ดวงดาวแห่งชีวิต (Star of life) ๒๗ ภาพที่ ๑๓ แสดงต้าแหน่งจับชีพจรที่ข้อมือ Radial pulse ๓๖ ภาพที่ ๑๔ แสดงต้าแหน่งจับชีพจรในเด็กเล็ก Brachial artery ๓๖ ภาพที่ ๑๕ แสดงการคล้าชีพจรที่ต้าแหน่ง radial pulse และ brachial pulse พร้อมกัน ๓๖ ภาพที่ ๑๖ แสดงตรวจรูม่านตา (pupil) ๓๙ ภาพที่ ๑๗ แสดงการจอดรถกรณีอุบัติเหตุทางถนน ๔๖ ภาพที่ ๑๘ แสดงการจอดรถกรณีวัตถุอันตราย สารเคมี สารพิษรั่วไหล ๔๗ ภาพที่ ๑๙ แสดงหมายเลข UN number ของวัตถุอันตราย ๔๗ ภาพที่ ๒๐ แสดงยานยนต์ที่ถูกชนทางด้านหน้า ๕๐ ภาพที่ ๒๑ แสดงการถูกชนลักษณะ Down-and-under pathway ๕๐ ภาพที่ ๒๒ แสดงการถูกชนลักษณะ up and over pathway ๕๑ ภาพที่ ๒๓ แสดงยานยนต์ถูกชนทางด้านข้าง ๕๑ ภาพที่ ๒๔ แสดงลักษณะการบาดเจ็บเมื่อถูกชนทางด้านข้าง ๕๒ ภาพที่ ๒๕ แสดงยานยนต์ถูกชนทางด้านท้าย ๕๒ ภาพที่ ๒๖ แสดงการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอเรียกว่า Whiplash injury ๕๓ ภาพที่ ๒๗ แสดงลักษณะรถยนต์ถูกชนแล้วพลิกค่้า ๕๓ ภาพที่ ๒๘ แสดงลักษณะการบาดเจ็บที่มีการกระเด็นออกนอกตัวรถ ๕๔ ภาพที่ ๒๙ แสดงการบาดเจ็บที่เกิดจากรถมอร์เตอร์ไซค์ ๕๔ ภาพที่ ๓๐ แสดงลักษณะบาดแผลที่เกิดจากมอร์เตอร์ไซค์คว่้า ๕๕ ภาพที่ ๓๑ แสดงการบาดเจ็บที่ตกจากที่สูง ๕๖


๔ สำรบัญภำพ/แผนภูมิ (ต่อ) หน้า ภาพที่ ๓๒ แสดงลักษณะการจับมีดที่แตกต่างกัน ทิศทางการแทงจึงแตกต่างกัน ๕๗ ภาพที่ ๓๓ แสดงลักษณะบาดแผลทางเข้า และทางออกจากกระสุนปืน ๕๗ ภาพที่ ๓๔ แสดงการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินจ้านวนมาก ๕๙ ภาพที่ ๓๕ แสดงสถานการณ์ตึกถล่ม ๕๙ ภาพที่ ๓๖ แสดงสถานการณ์ที่เสี่ยงต่ออันตรายซ้้าซ้อน ๖๐ ภาพที่ ๓๗ แสดงลักษณะผู้ป่วยเจ็บที่พบครั้งแรก (General appearance) ๖๕ ภาพที่ ๓๘ แสดงวิธีการประเมินสภาพทั่วไปเมื่อพบผู้บาดเจ็บ ๖๖ ภาพที่ ๓๙ แสดงการยึดตรึงกระดูกคอและสันหลัง (Manual c-spine stabilization) ๖๖ ภาพที่ ๔๐ แสดงลักษณะผู้บาดเจ็บที่การเกร็งงอ และเหยียดออกเมื่อถูกกระตุ้น ๖๘ ภาพที่ ๔๑ แสดงการห้ามเลือด ๖๙ ภาพที่ ๔๒ แสดงการเปิดท่าเดินหายใจท่า Alternative Trauma jaw thrust ๗๐ ภาพที่ ๔๓ แสดงการเปิดท่าเดินหายใจท่า Trauma chin lift ๗๐ ภาพที่ ๔๔ แสดงการเปิดท่าเดินหายใจท่า Trauma jaw thrust ๗๐ ภาพที่ ๔๕ แสดงการเปิดท่าเดินหายใจท่า Head tilt-chin lift ๗๐ ภาพที่ ๔๖ แสดงการให้ออกซิเจนชนิด non-rebreathing bag ๗๑ ภาพที่ ๔๗ แสดงการให้ออกซิเจน Ambu bag ๗๑ ภาพที่ ๔๘ แสดงการจับชีพจรเปรียบเทียบ ระหว่าง carotid และ radial pulse ๗๒ ภาพที่ ๔๙ แสดงการประเมินชีพจรในเด็กเล็ก ๗๒ ภาพที่ ๕๐ แสดงการการประเมิน Capillary refill ๗๓ ภาพที่ ๕๑ แสดงการตรวจศีรษะ ๘๒ ภาพที่ ๕๒ แสดงการตรวจใบหน้า ๘๒ ภาพที่ ๕๓ แสดงการตรวจคอด้านหน้า ๘๒ ภาพที่ ๕๔ แสดงการตรวจคอด้านหลัง ๘๓ ภาพที่ ๕๕ แสดงการใส่ Cervical collar ๘๓ ภาพที่ ๕๖ แสดงการตรวจทรวงอก ๘๓ ภาพที่ ๕๗ แสดงการฟังปอด ต้าแหน่ง Mid axillary ๘๔ ภาพที่ ๕๘ แสดงการฟังปอด ต้าแหน่ง Mid clavicular ๘๔ ภาพที่ ๕๙ แสดงต้าแหน่งตรวจช่องท้อง ๘๔ ภาพที่ ๖๐ แสดงต้าแหน่งตรวจกระดูกเชิงกราน ๘๕


๕ สำรบัญภำพ/แผนภูมิ (ต่อ) หน้า ภาพที่ ๖๑ แสดงลักษณะขา สั้น ยาว ไม่เท่ากัน ๘๕ ภาพที่ ๖๒ แสดงลักษณะขา Internal and External rotation ๘๕ ภาพที่ ๖๓ แสดงการตรวจรยางค์ล่าง และการตรวจ Pulse, Motor, Sensory ๘๖ ภาพที่ ๖๔ แสดงการตรวจรยางค์บน และการตรวจ Pulse, Motor, Sensory ๘๖ ภาพที่ ๖๕ แสดงการตรวจบริเวณด้านแผ่นหลังผู้บาดเจ็บ ๘๗ ภาพที่ ๖๖ แสดงลักษณะต้าแหน่งบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง ๘๘ ภาพที่ ๖๗ การตรวจอย่างละเอียดโดยการดูและคล้าที่ศีรษะ ๑๐๖ ภาพที่ ๖๘ การตรวจอย่างละเอียดบริเวณใบหน้า ๑๐๖ ภาพที่ ๖๙ แสดงการตรวจเพื่อหาการบาดเจ็บที่บริเวณหู ๑๐๗ ภาพที่ ๗๐ แสดงลักษณะการตรวจสอบน้้าไขสันหลัง ๑๐๗ ภาพที่ ๗๑ แสดงลักษณะของ Battle s signs ๑๐๗ ภาพที่ ๗๒ การตรวจอย่างละเอียดในรูจมูก ๑๐๘ ภาพที่ ๗๓ การตรวจอย่างละเอียดในช่องปาก ๑๐๙ ภาพที่ ๗๔ แสดงภาวะลิ้นบวม ๑๐๙ ภาพที่ ๗๕ การตรวจอย่างละเอียดบริเวณคอ ๑๑๐ ภาพที่ ๗๖ แสดงภาวะ Tracheal deviation ๑๑๐ ภาพที่ ๗๗ แสดงภาวะ Neck vein distention ๑๑๐ ภาพที่ ๗๘ แสดงต้าแหน่งการตรวจอย่างละเอียดบริเวณทรวงอก ๑๑๑ ภาพที่ ๗๙ การตรวจอย่างละเอียดบริเวณช่องท้อง ๑๑๒ ภาพที่ ๘๐ แสดงรอยแผลฟกช้้าที่ช่องท้อง ๑๑๒ ภาพที่ ๘๑ การตรวจอย่างละเอียดที่กระดูกเชิงกราน ๑๑๒ ภาพที่ ๘๒ การตรวจอย่างละเอียดรยางค์ล่าง ๑๑๓ ภาพที่ ๘๓ การตรวจอย่างละเอียดที่รยางค์บน ๑๑๓ ภาพที่ ๘๔ Dominique Jean Larrey ท้าการคัดแยกและให้การรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ๑๕๙ ผังแสดงการคัดแยกผู้บาดเจ็บ Start triage (Simplified Flowchart) ๑๔๔ ผังแสดง START Triage Flow Chart ๑๔๕ ผังการคัดแยก Triage sieve ๑๕๐ Glasgow Coma Score ๑๕๑ ผังแสดงจุดรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ ๑๕๔ ผังการจัดตั้งจุดส่งต่อผู้บาดเจ็บไปรักษาต่อยังโรงพยาบาล ๑๕๖ ผังการขนย้ายผู้บาดเจ็บจ้านวนมาก ๑๕๗


๖ สำรบัญตำรำง หน้า ตารางที่ ๑ แสดงอัตราการหายใจของช่วงอายุ ๓๔ ตารางที่ ๒ แสดงค่าเฉลี่ยอัตราการเต้นของชีพจรตามช่วงอายุ ๓๗ ตารางที่ ๓ แสดงชนิดการบาดเจ็บจากแรงระเบิด ๕๘ ตารางที่ ๓ เปรียบเทียบการประเมินการบาดเจ็บตามลักษณะกลไกการบาดเจ็บ ๖๔ ตารางที่ ๔ เปรียบเทียบขั้นตอนการประเมินผู้บาดเจ็บที่รู้สึกตัวและไม่รู้สึกตัว ๖๔ ตารางที่ ๕ การจัดกลุ่มผู้ป่วยตามระบบ T-system ๑๔๙ ตารางที่ ๖ แสดง Triage revise trauma score (TRTS) ๑๕๑ ตารางที่ ๗ แสดงการจัดกลุ่ม Triage revise trauma score (TRTS) ๑๕๒ ตารางที่ ๘ แสดงระบบการคัดกรองผู้ป่วยระดับต่างๆ ๑๖๓ ตารางที่ ๙ แสดงระบบคัดแยกของ ESI Version 4 แบบ 5 ระดับ ๑๖๔ ตารางที่ ๑๐ แสดงสัญญาณชีพที่อยู่ในภาวะอันตรายตามการคัดแยกแบบ ESI ๑๖๘


๗ รำยละเอียดของรำยวิชำ ชื่อสถำบัน โรงเรียนนาวิกเวชกิจ ศูนย์วิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ หมวดที่ ๑ ข้อมูลทั่วไป ๑. รหัสและชื่อรำยวิชำ ๒๑๑๗ การประเมินสภาพ (Assessment) ๒. จ ำนวนหน่วยกิต ๓ หน่วยกิต ๓ (๒ – ๒ – ๐) ๓. ประเภทของรำยวิชำ หมวดวิชาทักษะวิชาชีพ/กลุ่มทักษะวิชาชีพเฉพาะ ๔. อำจำรย์ผู้รับผิดชอบรำยวิชำและอำจำรย์ผู้สอน ๔.๑ อำจำรย์ผู้รับผิดชอบวิชำ ๔.๑.๑ พ.จ.อ.สุรเดช พิลา ๔.๑.๒ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ (หลัก) ๔.๒ อำจำรย์ผู้สอน ๔.๒.๑ น.ท.พรพิชิต สุวรรณศิริ ๔.๒.๒.พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ ๔.๒.๓ พ.จ.อ.นิธิ มะลิทิพย์ ๔.๒.๔ พ.จ.อ.สุรเดช พิลา ๔.๒.๕ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ ๔.๒.๖.พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง ๕. ภำคกำรศึกษำ/ชั้นปีที่เรียน ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นปีที่ ๑ ๖. รำยวิชำที่ต้องเรียนมำก่อน (Pre-requisite) ไม่มี ๗. รำยวิชำที่ต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites) ไม่มี ๘. สถำนที่เรียน โรงเรียนนาวิกเวชกิจ ศูนย์วิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ ๙. วันที่จัดท ำหรือปรับปรุงรำยละเอียดของรำยวิชำครั้งล่ำสุด ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒


๘ หมวดที่ ๒ จุดมุ่งหมำยและวัตถุประสงค์ ๑. จุดมุ่งหมำยของรำยวิชำ ๑. รู้และเข้าใจเกี่ยวกับ การประเมินสถานการณ์ และการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉิน การวินิจฉัย และตัดสินใจเพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นในภาวะฉุกเฉินโดยใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ๒. ตระหนักถึงความส้าคัญ ของการเรียนรู้ วิธีการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉินที่ถูกหลักการ ๓. สามารถน้าความรู้และประสบการณ์ ไปประยุกต์ใช้ในงานเวชกิจฉุกเฉิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. วัตถุประสงค์ในกำรพัฒนำ/ปรับปรุงรำยวิชำ เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมสอดคล้องกับวิชาชีพ สาขาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ และขีด ความสามารถด้านความรู้ ตามที่ อศป.ก้าหนด หมวดที่ ๓ ลักษณะและกำรด ำเนินกำร ๑. ค ำอธิบำยรำยวิชำ การประเมินสถานการณ์ และการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ การวินิจฉัย และตัดสินใจ เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นในภาวะฉุกเฉินได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว โดยใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ๒. จ ำนวนชั่วโมงที่ใช้ต่อภำคกำรศึกษำ บรรยาย/ การฝึกทดลอง สอนเสริม การฝึกปฏิบัติงาน ภาคสนาม/การฝึกงาน การศึกษาด้วยตนเอง ๗๒ - - - ๓. จ ำนวนชั่วโมงต่อสัปดำห์ที่อำจำรย์ให้ค ำปรึกษำและแนะน ำทำงวิชำกำรแก่นักศึกษำเป็นรำยบุคคล ๕ ชั่วโมง โดยระบุวันเวลาไว้ในประมวลการสอน และแจ้งให้นักเรียนทราบในชั่วโมงแรกของการสอน หมวดที่ ๔ กำรพัฒนำผลกำรเรียนรู้ของนักศึกษำ ๑. ด้ำนคุณสมบัติที่พึงประสงค์ คุณสมบัติที่พึงประสงค์ที่ต้องพัฒนำ (หลัก) ๑.๒ มีภาวะความเป็นผู้น้า และผู้ตามที่ดี สนใจใฝ่รู้ คิดและแสดงความคิดเห็นอย่าง สร้างสรรค์ รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์ในการท้างานร่วมกับกลุ่มหรือทีมงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ (รอง) ๑.๔ มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาและปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง วิธีกำรสอน ๑. มอบหมายให้ท้างานกลุ่ม/แบบอภิปราย ฝึกให้รู้หน้าที่ของการเป็นผู้น้ากลุ่มและการเป็น สมาชิกกลุ่มมีการรับฟัง/ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ๒. สอดแทรก ส่งเสริม กระตุ้นในการระดมพลังสมองเพื่อให้เกิดความกระตือรือร้น และ สนใจในการพัฒนาปรับปรุงผลงาน


๙ วิธีกำรประเมินผล ๑. สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อส่วนรวม ๒. สังเกตพฤติกรรมการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และมีเหตุผลในการวินิจฉัยปัญหา ๓. แบบประเมินพฤติกรรม ๔. สังเกตการณ์น้าเสนอผลงาน ๒. ด้ำนสมรรถนะหลัก ๒.๑ ด้ำนควำมรู้ที่ต้องได้รับ (รอง) ๒.๑.๑ มีความรู้ความเข้าใจในสาระส้าคัญด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง (หลัก) ๒.๑.๒ มีความรู้เข้าใจองค์ความรู้และสาระส้าคัญในศาสตร์ปฏิบัติการฉุกเฉิน การแพทย์ สามารถบูรณการและประยุกต์กับศาสตร์ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ (รอง) ๒.๑.๓ มีความรู้ ความเข้าใจในสาระส้าคัญในกระบวนการแสวงหาความรู้ การ จัดการความรู้ งานวิจัย และความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาและการต่อยอดองค์ความรู้ในการปฏิบัติการ ฉุกเฉินการแพทย์ วิธีกำรสอน ๑. การบรรยาย ๒. การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ๓. การมอบหมายงานการท้างานเดี่ยวและเป็นกลุ่ม ๔. การฝึกปฏิบัติทดลอง วิธีกำรประเมินผล ๑. การสอบกลางภาคเรียนและปลายภาคเรียน ๒. ตรวจรายงานที่นักศึกษาจัดท้า ๓. สังเกตการเสนอรายงานในชั้นเรียนโดยผู้สอนซักถามประเด็นด้านความรู้ ๔. สังเกตพฤติกรรมการการฝึกฝึกปฏิบัติทดลอง ๒.๒. ด้ำนทักษะทำงปัญญำ (รอง) ๒.๒.๑ สืบค้นข้อเท็จจริง ท้าความเข้าใจ และประเมินข้อมูลสารสนเทศ แนวคิดและ หลักฐานใหม่ ๆ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายได้ และน้าข้อมูลใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนางานได้ (หลัก) ๒.๒.๒ คิด วิเคราะห์ และให้ข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้องค์ความรู้ ประสบการณ์ทางภาคปฏิบัติ และผลกระทบจากการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ๔. กรณีศึกษาทางการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ วิธีกำรสอน ๑. การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ๒. การฝึกปฏิบัติ ๓. การได้ฝึกการท้างานเดี่ยวและเป็นกลุ่ม


๑๐ ๔. กรณีศึกษาทางการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ วิธีกำรประเมินผล - สังเกตน้าเสนอผลการท้างานกรณีศึกษา - สังเกตการอภิปรายกลุ่ม - การสอบย่อย สอบกลางภาค สอบปลายภาค ด้วยข้อสอบ ๒.๓ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ (หลัก) ๒.๓.๑ สามารถปรับตัวและมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับผู้รับบริการ ผู้ร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา และผู้เกี่ยวข้องสามารถท้างานเป็นทีมได้ (รอง) ๒.๓.๒ มีความรับผิดขอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับมอบหมาย และการพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่อง วิธีกำรสอน ๑. การได้ฝึกการท้างานเดี่ยวและเป็นกลุ่ม ๒. การจัดให้มีการจดและท้ารายงานบันทึกการเรียน ๓. แบบบทบาทสมมุติ วิธีกำรประเมินผล ๑. สังเกตการน้าเสนอรายงานกลุ่มในชั้นเรียน ๒. สังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออกในการร่วมกิจกรรม ๓. ตรวจรายงานบันทึกการเรียน ๒.๔ ทักษะกำรวิเครำะห์เชิงตัวเลข กำรสื่อสำร และกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ (หลัก) ๒.๔.๒ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการ เขียน รวมทั้งวิธีการสื่อสารอื่นที่เกี่ยวข้อง เลือกใช้รูปแบบและเครื่องมือในการน้าเสนอที่เหมาะสมกับกลุ่ม บุคคลที่แตกต่างกันได้ วิธีกำรสอน ๑. ก้าหนดโจทย์ปัญหา ๒. มอบหมายให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง จากเว็บไซต์ ให้จัดท้ารายงานและสื่อน้าเสนอ ๓. จัดให้นักศึกษาได้วิเคราะห์สถานการณ์จ้าลองและสถานการณ์เสมือนจริงแล้วน้าเสนอ การแก้ปัญหาที่เหมาะสม วิธีกำรประเมินผล ๑. สังเกตการน้าเสนอรายงาน/ผลงานในชั้นเรียน ๒. ตรวจรายงานที่นักศึกษาจัดท้า


๑๑ ๓. สมรรถนะทั่วไป สมรรถนะทั่วไปที่ต้องพัฒนา (หลัก) ๓.๑ มีจิตส้านึก และตระหนักในหลักคุณธรรมจริยธรรม (รอง) ๓.๒ เป็นแบบอย่างที่ดีต่อผู้อื่น ทั้งในการด้ารงตน และการปฏิบัติงานรวมทั้งจัดการ กับปัญหาในการด้ารงชีพและการท้างานได้ (รอง) ๓.๓ เคารพกฎหมาย สิทธิและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งเคารพในคุณค่า และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ วิธีกำรสอน ๑. สอดแทรก โดยยกตัวอย่าง ผลการกระท้าด้านคุณธรรม และจริยธรรม ที่กระทบต่อผู้อื่น และใช้หลักการด้านคุณธรรมและจริยธรรมในการประเมินพิจารณา วิธีกำรประเมินผล ๑. สังเกตพฤติกรรมระหว่างการท้างานกลุ่ม การน้าเสนอและอภิปราย โดยผู้สอนอาจ ซักถามประเด็นด้านจริยธรรม ๒. สังเกตพฤติกรรม การฝึกปฏิบัติ/จากค้าตอบของนักเรียน และผู้ร่วมปฏิบัติงานวิชาชีพอื่น ๔. สมรรถนะวิชำชีพ สมรรถนะวิชาชีพที่ต้องพัฒนา (หลัก) ๔.๑ มีทักษะ และเจตคติในการปฏิบัติการฉุกเฉิน ได้ตามอ้านาจ หน้าที่ ขอบเขต ความรับผิดชอบ และข้อจ้ากัดของเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ สอดคล้องกับสภาพปัญหาอย่างได้มาตรฐาน ปลอดภัย และทันท่วงที (รอง) ๔.๒ สามารถด้าเนินมาตรฐานการป้องกันการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นฉุกเฉินได้ทั้งในระดับ บุคคลและชุมชนได้ (รอง) ๔.๓ ปฏิบัติงานโดยยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม สิทธิผู้ป่วย และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (รอง) ๔.๕ ความสามารถปฏิบัติงานในหน่วยทหารตามภารกิจของกรมแพทย์ทหารเรือ วิธีกำรสอน ๑. การบรรยาย ๒. การน้าเสนอ ๓. การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ๔. การเขียนรายงาน ๕. การสอนแบบก้าหนดปัญหา วิธีกำรประเมินผล ๑. การสอบกลางภาคเรียนและปลายภาคเรียน ๒. ตรวจรายงานที่นักศึกษาจัดท้า ๓. สังเกตการน้าเสนอรายงานในชั้นเรียน


๑๒ หมวดที่ ๕ แผนกำรสอนและกำรประเมินผล ๑. แผนการสอน วัน/เดือน/ปี เวลา จ้านวน ชม. หัวข้อ/รายละเอียด กิจกรรมการเรียน การสอน ผู้สอน ท. ป. สัปดาห์ ที่ ๑ ศ. ๒๕ ต.ค.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๒ ๒ บทที่ ๑ หลักกำรประเมินสภำพ ๑.๑ ความหมาย และความส้าคัญของ การประเมินสภาพ ๑.๒ หลักการปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ๑.๓ หลักการซักประวัติและการตรวจ ร่างกายตามระบบในผู้ป่วยฉุกเฉิน ฝึก ปฏิบัติทดลอง และสอบปฏิบัติ การซัก ประวัติและตรวจร่างกายตามระบบใน ผู้ป่วยฉุกเฉิน - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ น.ท.พรพิชิต สุวรรณศิริ สัปดาห์ ที่ ๒ ศ. ๑ พ.ย.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๒ ๒ บทที่ ๒ กำรประเมินที่เกิดเหตุ (Scene Size - Up) ๒.๑ การแยกบุคคลออกจากสิ่งอันตราย/ การใช้อุปกรณ์พิทักษ์บุคคล (BSI/PPE) ๒.๒ ประเมินสถานการณ์แวดล้อมใน ที่ เกิดเหตุ (Scene safety) - ขนาดและความรุนแรงของเหตุการณ์ - ความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ - ควบคุมความปลอดภัย ณ จุดเกิดเหตุ ของทีมช่วยเหลือ/ผู้ป่วย/ฝูงชน/เหตุซ้อน ๒.๓ การประเมินกลไกลการบาดเจ็บ (Mechanism of Injuries / Nature of illness) ๒.๔ จ้านวนผู้ป่วยเจ็บ (Number of patient) ๒.๕ การขอก้าลังสนับสนุนเพิ่มเติม (Additional resources) - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ


๑๓ วัน/เดือน/ปี เวลา จ้านวน ชม. หัวข้อ/รายละเอียด กิจกรรมการเรียน การสอน ผู้สอน ท. ป. สัปดาห์ ที่ ๓ ศ. ๘ พ.ย.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - บทที่ ๓ กำรประเมินผู้ป่วยฉุกเฉิน ๓.๑ การประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉิน ๑) กา รป ร ะเ มิน เบื้ อ งต้ น ( Initial Assessment / Primary assessment) - ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเมื่อพบผู้ป่วย ฉุกเฉิน (General appearance) - ระดับการรู้สึกตัว (AVPU) - ABCs (ระบุภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้) - การประเมินทางเดินหายใจ - การประเมินการหายใจ - การประเมินระบบการไหลเวียน - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ สัปดาห์ ที่ ๔ ศ. ๑๕ พ.ย.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - ๒) การประเมิน Secondary assessment -การประเมินการบาดเจ็บ/ตรวจร่างกาย อย่างรวดเร็ว (Rapid Trauma Assessment/ Rapid Physical Examination) - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ สัปดาห์ ที่ ๕ ศ. ๒๒ พ.ย.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ ฝึกปฏิบัติการประเมินผู้บาดเจ็บ -การประเมินที่เกิดเหตุ (Scene Size - Up) - การประเมินเบื้องต้น (Initial Assessment - การประเมินการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว (Rapid Trauma Assessment) - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ต.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง สัปดาห์ ที่ ๖ ศ. ๒๙ พ.ย.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ สอบกำรปฏิบัติกำรประเมินผู้บำดเจ็บ (OSCE) -การประเมินที่เกิดเหตุ (Scene Size - Up) - การประเมินเบื้องต้น (Initial Assessment - การประเมินการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว(Rapid Trauma Assessment) พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง


๑๔ วัน/เดือน/ปี เวลา จ้านวน ชม. หัวข้อ/รายละเอียด กิจกรรมการเรียน การสอน ผู้สอน ท. ป. สอบทบทวนหัวข้อสัปดำห์ที่ ๑ – ๓ ภำคทฤษฎี พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ สัปดาห์ ที่ ๗ ศ. ๖ ธ.ค.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - ๓) เทคนิคการซักประวัติและการ สัมภาษณ์การประเมินมุ่งส่วนส้าคัญ (focused history and focused assessment) - SAMPLE และ OPQRST - Focused assessment (Focused history and physical examination of trauma patients) - Focused assessment (Focused history and physical examination of medical patients) - Response medical patients - unresponsive medical patients - การซักประวัติและการตรวจร่างกาย ผู้ป่วยทางอายุรกรรม - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง สัปดาห์ ที่ ๘ ศ. ๑๓ ธ.ค.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ สอบกำรปฏิบัติทดลอง (OSCE) หัวข้อการซักประวัติ(focused history) โดยใช้หลักการ SAMPLE และ OPQRST พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ สัปดาห์ ที่ ๙ ศ. ๒๐ ธ.ค.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - ๔) การประเมินอย่างละเอียด (Detailed Assessment) : head to toe และเน้น - ระบบหายใจ - ระบบหัวใจและหลอดเลือด - ระบบประสาท - ระบบกายวิภาคอื่นๆ - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ


๑๕ วัน/เดือน/ปี เวลา จ้านวน ชม. หัวข้อ/รายละเอียด กิจกรรมการเรียน การสอน ผู้สอน ท. ป. ๕) การประเมินต่อเนื่อง (Ongoing Assessment) - การประเมินติดตามซ้้า (Reassessment) สัปดาห์ ที่ ๑๐ ศ. ๒๗ ธ.ค.๖๒ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ ฝึกปฏิบัติหัวข้อ - การประเมินอย่างละเอียด (detailed assessment) - การประเมินต่อเนื่อง (ongoing assessment - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง สัปดาห์ ที่ ๑๑ ศ. ๓ ม.ค.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ สอบกำรปฏิบัติหัวข้อ (OSCE) - การประเมินอย่างละเอียด (detailed assessment) - การประเมินต่อเนื่อง (ongoing assessment พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง สัปดาห์ ที่ ๑๒ ศ. ๑๐ ม.ค.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๒ ๒ ๖) Documentation : เขียนบันทึกเวช ระเบียนและรายงานสิ่งที่เขียนทางการ แพทย์ในแบบบันทึกรายงาน EMS - ฝึกการเขียนแบบบันทึกรายงาน EMS - การรายงานอาการ ข้อมูลส้าคัญไปยัง โรงพยาบาลปลายทางก่อนน้าส่งผู้ป่วยเจ็บ ตามหลัก MIST หรือ SBAR - การบรรยาย - การสาธิต - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ สัปดาห์ ที่ ๑๓ ศ. ๑๗ ม.ค.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ สอบปฏิบัติกำรประเมินสภำพผู้ป่วยเจ็บ (OSCE) ตั้งแต่กำร ประเมินสถำนกำรณ์ จนถึงรำยงำนอำกำรไปยัง โรงพยำบำลปลำยทำง พ.จ.อ.วรวุฒิ ลาเลิศ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ พ.จ.ต.ชัยธวัช แสงแจ้ง


๑๖ วัน/เดือน/ปี เวลา จ้านวน ชม. หัวข้อ/รายละเอียด กิจกรรมการเรียน การสอน ผู้สอน ท. ป. สัปดาห์ ที่ ๑๔ ศ. ๒๔ ม.ค.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - บทที่ ๔ กำรคัดแยกผู้ป่วย (Triage) ๔.๑ การคัดแยกกรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน ๑) นอกโรงพยาบาล ๒) แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน ๔.๒ การคัดแยกผู้ป่วยในกรณีสาธารณภัย ๑) หลักการคัดแยกเบื้องต้น (Triage sieve) ๒) Performing ๓) การคัดแยกซ้้า (Triage sort) ๔) การส่งต่อ (Destination decision) - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ สัปดาห์ ที่ ๑๕ ศ. ๓๑ ม.ค.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ ฝึกปฏิบัติ การคัดแยกผู้ป่วยในกรณี สาธารณภัย โดยใช้หลักการคัดแยก เบื้องต้น (triage sieve) - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ และ คณะครูรร.นวก. ศวก.พร. สัปดาห์ ที่ ๑๖ ศ. ๗ ก.พ.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ - ๔ สอบกำรปฏิบัติทดลอง (OSCE) กำรคัดแยกผู้ป่วยในกรณี สำธำรณภัย โดยใช้หลักกำรคัดแยกเบื้องต้น (triage sieve) พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ และ คณะครูรร.นวก. ศวก.พร. สัปดาห์ ที่ ๑๗ ศ.๑๔ ก.พ.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - บทที่ ๕ อุบัติภัยหมู่ กำรก่อกำรร้ำย และ ภัยพิบัติต่ำงๆ (Mass casualty incident due to terrorism and disaster) ความเสี่ยงและขอบข่ายความ รับผิดชอบในการท้างาน ณ จุดเกิดเหตุ ๕.๑ การบริหารจัดการเหตุการณ์ (ICS) ๑) ภาวะหวาดผวาจากภัยพิบัติ ๒) การจัดสรรทรัพยากร - การบรรยาย - การสาธิตและ สาธิตย้อนกลับ - การฝึกปฏิบัติ พ.จ.ท.เศกสิทธิ์ สิงห์บุญ สัปดาห์ ที่ ๑๘ ศ. ๒๑ ก.พ.๖๓ ๐๘๐๐-๑๒๐๐ ๔ - ทบทวนบทเรียน - การบรรยาย


๑๗ ๒. แผนกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ กิจกรรมที่ ผลกำรเรียนรู้ วิธีกำรประเมิน สัปดำห์ที่ ประเมิน สัดส่วนกำร ประเมินผล ๑. ๑.๔ ประเมินชิ้นงาน การรายงาน ๕ ๕% ๒. ๑.๒, ๒.๓.๑, ๒.๔.๒, ๓.๑, ๔.๑ สอบปฏิบัติทดลอง สังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน ตลอดภาค การศึกษา ๓๕% ๓. ๒.๑.๑, ๒.๑.๒ การสอบทบทวน ๗ ๑๕% ๔. ๒.๑.๑,๒.๑.๒ การสอบปลายภาค ๑๘ ๔๐% ๕. ๑.๔ ประเมินพฤติกรรม จากการ เข้าเรียน ความกระตือรือร้น การส่งงานตรงเวลา ตลอดภาค การศึกษา ๕% หมวดที่ ๖ ทรัพยำกรประกอบกำรเรียนกำรสอน ๑. ต้าราและเอกสารหลัก ๑.๑ วิทยา ชาติบัญชาชัยและคณะ.(๒๕๔๗). ต ำรำประกอบกำรเรียนหลักสูตรเจ้ำพนักงำนกู้ชีพ. ขอนแก่น : ศิริภัณฑ์ ออฟเซ็ท. ๑.๒ วิทยา ศรีมาดา.(๒๕๔๕). กำรสัมภำษณ์ประวัติและกำรตรวจร่ำงกำย. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๑). กรุงเทพมหานคร : ยูนิตี้พับลิเคชั่น. ๑.๓ อภิชัย ลีละศิริ และคณะ.(๒๕๔๕). กำรซักประวัติและกำรตรวจร่ำงกำย. กรุงเทพมหานคร : รุ่งศิลป์การพิมพ์. ๑.๔ Bickley, L.S.(๒๐๐๓).Bates’ guide to physical examination and history talking. (๘thed). Philadelphia : Lippincott. ๑.๕ Taylor, R. (๒๐๐๓). The๑๐-minute diagnosis manual: symptoms and signs in the time-limited encounter.Philadelphia : Lippincott. ๒. เอกสารและข้อมูลส้าคัญ ๒.๑ จินตนา ศิรินาวิน และสาธิต วรรณแสง. (๒๕๓๙). ทักษะทำงคลินิก. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพมหานคร : หมอชาวบ้าน. ๒.๒ ธนารักษ์ สุวรรณประพิศ.(๒๕๓๘). กำรรักษำพยำบำลโรคเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). เชียงใหม่ : โครงการต้ารา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.


๑๘ กำรประเมินผลรำยวิชำ รายวิชานี้แบ่งเป็น ภาคทฤษฎี จ้านวน ๓๖ ชม.และภาคปฏิบัติ จ้านวน ๓๖ ชม. แบ่งเป็น ๕ บทเรียน การวัดและประเมินผลรายวิชาด้าเนินการดังนี้ ๑. วิธีการ ด้าเนินการรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผล แยกเป็น ๓ ส่วน โดยแบ่ง คะแนนแต่ละส่วนจากคะแนนเต็มทั้งรายวิชา ๑๐๐ คะแนน ดังนี้ ๑.๑ ผลงานที่มอบหมาย ร้อยละ ๑๐ ๑.๒ สอบปฏิบัติทดลอง ร้อยละ ๓๐ ๑.๓ สอบทบทวนภาคทฤษฎี ร้อยละ ๑๕ ๑.๔ จิตพิสัย ร้อยละ ๕ ๑.๕ สอบปลายภาค ร้อยละ ๔๐ โดยจัดแบ่งน้้าหนักคะแนนในแต่ละหน่วยเรียนตามตารางก้าหนดน้้าหนักคะแนนหน้าถัดไป ๒. เกณฑ์ผ่านรายวิชา ผู้ที่จะผ่านรายนี้จะต้อง ๑.๒ มีเวลาเข้าชั้นเรียนไม่ต่้ากว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียน ๒.๒ ได้คะแนนรวมทั้งรายวิชาไม่ต่้ากว่าร้อยละ ๕๐ ของคะแนนรวม ๓. เกณฑ์ค่าระดับคะแนน ก้าหนดค่าระดับคะแนนร้อยละตามเกณฑ์ ดังนี้ ๓.๑ พิจารณาตามเกณฑ์ผ่านข้อ ๒. ผู้ไม่ผ่านตามเกณฑ์ข้อ ๒. จะได้รับคะแนน F ๓.๒ ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์ข้อ ๒. จะได้รับค่าระดับคะแนน ตามเกณฑ์ดังนี้ คะแนนร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ได้ ๔ คะแนนร้อยละ ๗๕-๗๙ ขึ้นไป ได้ ๓.๕ คะแนนร้อยละ ๗๐-๗๔ ขึ้นไป ได้ ๓ คะแนนร้อยละ ๖๕-๖๙ ขึ้นไป ได้ ๒.๕ คะแนนร้อยละ ๖๐-๖๔ ขึ้นไป ได้ ๒ คะแนนร้อยละ ๕๕-๕๙ ขึ้นไป ได้ ๑.๕ คะแนนร้อยละ ๕๐-๕๔ ขึ้นไป ได้ ๑


๑๙ ตำรำงก ำหนดน้ ำหนักคะแนน เนื้อหา รู้-จ้า เข้าใจ น้าไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า จ้านวนข้อน ร้อยละ ๑. หลักการประเมินสภาพ ๑ ๒ ๕ ๘ ๗.๒๗ ๒. การประเมินที่เกิดเหตุ ๑ ๒ ๕ ๘ ๗.๒๗ ๓. การประเมินผู้ป่วยฉุกเฉิน ๒ ๓ ๗ ๑๒ ๑๐.๙๑ ๔. การซักประวัติและประเมิน ผู้บาดเจ็บฉุกเฉิน (trauma) ๒ ๓ ๗ ๑๒ ๑๐.๙๑ ๕. การซักประวัติและประเมินผู้ป่วย ฉุกเฉิน (non-trauma) ๒ ๓ ๗ ๑๒ ๑๐.๙๑ ๖. การประเมินอย่างละเอียด (detail assessment) ๒ ๓ ๗ ๑๒ ๑๐.๙๑ ๗. การประเมินต่อเนื่อง (ongoing assessment) ๑ ๒ ๓ ๖ ๕.๔๕ ๘. เทคนิคการซักประวัติและการ สัมภาษณ์ ๒ ๓ ๕ ๑๐ ๙.๑๐ ๙. การเขียนบันทึกเวชระเบียนและ รายงานสิ่งที่เขียนทางการแพทย์ในแบบ บันทึกรายงาน EMS ๑ ๒ ๕ ๘ ๗.๒๗ ๑๐. การคัดแยกผู้ป่วย ๓ ๔ ๘ ๑๕ ๑๓.๖๔ ๑๑. อุบัติภัยหมู่จากการก่อการร้าย หรือภัยพิบัติต่างๆ ๑ ๒ ๔ ๗ ๖.๓๖ จ ำนวนข้อ ๑๘ ๒๙ ๖๓ ๑๑๐ ร้อยละ ๑๖.๓๖ ๒๖.๓๖ ๕๗.๒๘ ๑๐๐


๒๐ แผนกำรสอนสัปดำห์ที่ ๑ ชื่อบทเรียน หลักการประเมินสภาพ จ้านวนชั่วโมง ๔ ชม. จุดประสงค์กำรสอน (จุดประสงค์ทั่วไป) ๑. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ เกี่ยวกับหลักการประเมินสภาพผู้ป่วย ๒. เพื่อให้นักเรียนตระหนัก และให้ความส้าคัญเกี่ยวกับการประเมินสภาพ ๓. เพื่อให้นักเรียนน้าความรู้ และทักษะเรื่องการประเมินสภาพ ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ผลกำรเรียนรู้(จุดประสงค์เฉพาะ) ๑. บอกความหมายและความส้าคัญของการประเมินสภาพได้ถูกต้อง ๒. ระบุวิธีการตรวจร่างกายผู้ป่วยในสภาวะปกติได้ถูกต้อง ๓. บอกเหตุผลการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุได้ถูกต้อง ๔. อธิบายวิธีการประเมินร่างกายผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยใช้อักษรช่วยจ้า DCAP BLS TIC ถูกต้อง ๕. ระบุความเป็นมาของการใช้สัญลักษณ์ ดาวแห่งชีวิต (Star of life) ถูกต้อง ๖. อธิบายขั้นตอนของระบบการแพทย์ฉุกเฉินถูกต้อง ๗. ระบุองค์ประกอบของการตรวจสัญญาณชีพ ถูกต้อง ๘. บอกความหมายของลักษณะเสียงหายใจแต่ละชนิด ถูกต้อง ๙. บอกวิธีการประเมินการหายใจ และคุณภาพของการหายใจ ถูกต้อง ๑๐. อธิบายถึง การประเมินภาวะ การก้าซาบของเลือดจากสีของผิวหนัง ถูกต้อง ๑๑. บอกวิธีการประเมินรูม่านตา (pupil) ถูกต้อง ๑๒. อธิบายวิธีการวัดความดันโลหิตทั้งวิธีการใช้หูฟัง และวิธีการคล้า ถูกต้อง ๑๓. อธิบายวิธีการซักประวัติSAMPLE ถูกต้อง วิธีสอนและกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน ๑. การบรรยาย ๒. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ๓. การสาธิต ๔. การฝึกปฏิบัติ สื่อกำรสอน/อุปกรณ์กำรสอน ๑. Power point ๒. เอกสารประกอบการสอน ๓. อุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณชีพ (เครื่องวัดความดันโลหิต ไฟฉาย ปรอท) ๔. แบบบันทึกการซักประวัติ


๒๑ กำรวัดผล ๑. การสอบความรู้ ๒. รายงาน / งานมอบ ๓. จิตพิสัย หัวข้อกำรบรรยำย หลักกำรประเมินสภำพ กล่ำวน ำ การประเมินสภาพ (Assessment) เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์พึงระลึกและให้ ความส้าคัญ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติการแพทย์นอกสถานพยาบาล (Pre hospital care) ดังนั้น การเข้าไป ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน จะต้องค้านึงว่าสถานการณ์ที่จะเข้าไปให้การช่วยผู้ป่วยมีความปลอดภัยหรือไม่ ทีมที่ เข้าไปช่วยเหลือ จะมีการป้องกันตนเองอย่างไร การบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยมีสาเหตุ หรือกลไกการบาดเจ็บ จากอะไร จ้านวนผู้ป่วยมีเท่าไร จ้าเป็นจะต้องร้องขอหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้การช่วยเหลือหรือไม่ สิ่งที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องส้าคัญที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินต้องประเมินสภาพ (Assessment) ให้ถูกต้อง มิเช่นนั้น ตัวเราหรือทีม ปฏิบัติการฉุกเฉินที่เข้าไปช่วยเหลือ อาจตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้นได้ ควำมหมำยและควำมส ำคัญของกำรประเมินสภำพ ในสภาวะปกติโดยทั่วไป การประเมินสภาพร่างกาย เป็นการค้นหาปัญหาของผู้ป่วยโดยการใช้เทคนิค ต่างๆในการตรวจ หลังจากซักประวัติผู้ป่วยแล้ว หรือที่เรียกกันว่าการตรวจร่างกาย การตรวจร่างกายต้องสัมพันธ์ กับประวัติของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยปวดท้องก็ต้องตรวจหน้าท้องเพื่อค้นหาความผิดปกติ ในการตรวจร่างกายผู้ป่วย ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่เหมาะสม และสุขสบาย ท่านั่ง หรือนอน ปิดส่วนที่ไม่ต้องการตรวจให้เรียบร้อย ตรวจ ร่างกายทุกส่วนตามล้าดับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงปลายเท้าโดยไม่เว้นส่วนใด ขณะตรวจให้นึกถึงกายวิภาค และ สรีรวิทยาของร่างกายด้วย ถ้าอวัยวะมี ๒ ข้าง ให้เปรียบเทียบแต่ละข้าง อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ และวิธีตรวจ เพื่อให้ผู้ป่วยร่วมมือ การประเมินสภาพร่างกายใช้เทคนิคหลายประการประกอบกัน ได้แก่ ๑. กำรดูหรือกำรสังเกต เป็นทักษะแรกที่พบผู้ป่วย กระท้าไปพร้อมกับการสัมภาษณ์สิ่งที่ สังเกต ได้แก่ สุขภาพทั่วๆ ไป ใบหน้า ศีรษะ ความรู้สึกตัว ความประพฤติ บุคลิกลักษณะ ค้าพูด อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การหายใจ การเจริญเติบโต ภาวะโภชนาการ ความพิการ ท่าทาง การทรงตัว ผิวหนัง ๒. กำรคล ำ ใช้การสัมผัสผู้ป่วย ผู้มีประสบการณ์จะทราบว่าผิดปกติ หรือไม่ผิดปกติ เช่น การคล้าต่อมน้้าเหลือง ต่อมไทรอยด์ หลอดลม เต้านม ๓. กำรเคำะ เพื่อดูการเคลื่อนไหวของเนื้อเยื่อว่ามีอากาศหรือของเหลว การเคาะจะดูการสั่น สะเทือนโดยใช้มือ เช่น การเคาะหน้าท้องในรายที่ท้องอืด เป็นต้น ๔. กำรฟัง โดยใช้หูฟัง เช่น ฟังเสียงขณะที่ปอดขยายตัว ฟังเสียงหัวใจเต้น ฟังเสียงการ เคลื่อนไหวของล้าไส้


๒๒ ๕. กำรวัด บอกปริมาณเชิงตัวเลข เช่น การวัดปรอท วัดความดันโลหิต วัดส่วนสูง ชั่งน้้าหนัก วัดรอบท้อง เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจร่างกายประกอบด้วย ปรอท เครื่องวัดความดันโลหิต หูฟัง ไฟฉาย ไม้กดลิ้น ไม้เคาะเข่า เข็ม เป็นต้น ส้าหรับการประเมินสภาพ (Assessment) ในการจัดการเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ (Pre hospital care) เป็นสิ่งที่มีความแตกต่างจากการประเมินการตรวจร่างกายผู้ป่วยในภาวะ ปกติ นอกจากผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บแล้ว จะต้องค้านึงถึงเรื่องต่างๆ ที่ส้าคัญ เช่น การใช้อุปกรณ์ป้องกันของผู้ช่วยเหลือ (BSI = Body substance isolation) ความปลอดภัยของสถานการณ์ (Scene safety) กลไกการบาดเจ็บ (MOI = Mechanism of injury) ธรรมชาติของการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น (NOI = Nature of illness) จ้านวนผู้ป่วยฉุกเฉิน (Number of patients) และสุดท้ายคือสิ่งสนับสนุน ที่ ต้องการ (Additional resource) ซึ่งเป็นเรื่องส้าคัญที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินต้องปฏิบัติ มิเช่นนั้น ตัวเราหรือทีม ปฏิบัติการฉุกเฉิน อาจจะตกเป็นเหยื่อเสียเอง การให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ มีเวลาไม่มากนัก ดังนั้น วิธีการประเมินผู้ป่วย จึงมี หลักการตรวจร่างกายที่แตกต่างกันบ้าง ทั้งนี้เพราะเราจะไม่เสียเวลา ณ จุดเกิดเหตุมากเกินไป จึงจ้าเป็น ที่จะต้องค้นหาอาการบาดเจ็บที่คุกคามต่อการเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว โดยใช้หลักการ ดังนี้ ตรวจประเมินสิ่งคุกตามต่อชีวิต ได้แก่ เรื่อง ทางเดินหายใจ (Airway) การหายใจ (Breathing) และการไหลเวียนเลือด (Circulation) การตรวจร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า (Head to toe) โดยใช้อักษรช่วยจ้า DCAP-BLSTIC D = Deformity : อวัยวะมีการผิดรูป ภาพที่ ๑ แสดงอวัยวะที่ผิดรูป


๒๓ C = Contusion : รอยฟกช้้า ภาพที่ ๒ แสดงรอยฟกช้้าของร่างกาย A = Abrasion : แผลถลอก ภาพที่ ๓ แสดง รอยแผลถลอก P = Puncture / Penetration wound : แผลวัสดุปักคา ภาพที่ ๔ แสดง แผลวัสดุปักคา


๒๔ B = Burns : แผลไหม้ ภาพที่ ๕ แสดงแผลไหม้ L = Laceration : แผลฉีกขาด ภาพที่ ๖ แสดงแผลฉีกขาด S = Swelling : บวม ภาพที่ ๗ แสดง รอยบวม


๒๕ T = Tenderness : การกดเจ็บ ภาพที่ ๘ แสดง การกดเจ็บบริเวณหน้าท้อง I = Instability : ความไม่มั่นคง ภาพที่ ๙ แสดง การตรวจบริเวณกระดูกสะโพกที่หักจะพบการขยับ และไม่มั่นคง C = Crepitus : เสียงกรอบแกรบ ภาพที่ ๑๐ แสดง การตรวจพบเสียงกรอบแกรบ บริเวณกระดูกซี่โครงที่หัก


๒๖ จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การประเมินร่างกายผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ ต้องใช้ทักษะ ความช้านาญ ในการตรวจ และต้องอาศัยความรวดเร็วเพื่อค้นหาสิ่งคุกคามต่อชีวิต ดังนั้น วิธีการประเมินจึงต้องใช้หลักการดู (Inspection) การคล้า (Palpation) การฟัง (Auscultation) และบางครั้งอาจต้องใช้การดมกลิ่น (Smell) ต้องเปิดดู หรือตัดเสื้อผ้าของผู้ป่วย เพื่อให้เห็นร่องรอยการบาดเจ็บ หลักการคือ หากเราไม่สามารถค้นหา ปัญหาที่แท้จริงของผู้ป่วยฉุกเฉินได้ เราก็ไม่สามารถแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ หลักกำรปฏิบัติกำรแพทย์ฉุกเฉิน การปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน (Pre hospital care) มีขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากลที่เกิดขึ้นใน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการออกแบบตราสัญลักษณ์ของนักกู้ชีพ ที่ใช้เครื่องหมายแท่งเหลื่อมหกแฉกสีน้้า เงินมีรูปงูพันไมคทาอยู่กลางแท่งเหลี่ยมหกแฉก (Star of Life) ซึ่งแต่ละแฉกหมายถึงระบบการท้างานของ หน่วยแพทย์กูชีพนั่นเองโดยผู้ที่ท้าการออกแบบคือ Mr.Leo R. Schwartz และไดจดลิขสิทธิ์น้าออกใช้เมื่อ ๑ ก.พ. ค.ศ. ๑๙๗๗ โดยที่ลิขสิทธิ์จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลายี่สิบปีนับตั้งแต่วันประกาศใช้และหลังจากนั้นบุคคล ทั่วไปสามารถใช้งานไดโดยที่ไมตองขออนุญาตในการใช้งาน ดังนั้น จะเห็นไดวหน่วยงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ต่างๆได้ใช้สัญลักษณ์ Star of Life เป็นเครื่องหมายของหน่วยอย่างแพรหลายเพื่อบ่งบอกถึงลักษณะขั้นตอน การทางานของระบบการแพทย์ฉุกเฉินนั่นเอง ขั้นตอนกำรปฏิบัติงำนในระบบกำรแพทย์ฉุกเฉินทั้ง ๖ ขั้นตอน ไดแก ๑. การเจ็บป่วยฉุกเฉินและการพบเหตุ (Detection) ๒. การแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือ (Reporting) ๓. การออกปฏิบัติการของชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน (Response) ๔. การรักษาพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ (On Scene care) ๕. การล้าเลียงขนย้ายและให้การดูแลระหว่างน้าส่ง (Care in transit) ๖. การน้าส่งสถานพยาบาล (Transfer to the definitive care)


๒๗ ภาพที่ ๑๑ ของ Mr.Leo R. Schwartz ผู้ออกแบบสัญลักษณ์ Star of Life ภาพที่ ๑๒ แสดง สัญลักษณ์ ของดาวแห่งชีวิต (STAR OF LIFE) กำรเจ็บป่วยฉุกเฉินและกำรพบเหตุ (Detection) การเจ็บป่วยฉุกเฉินเป็นเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่ สามารถคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้ แม้ว่าสามารถเตรียมการป้องกันได้ก็ตาม การส่งเสริมหรือจัดให้มีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการตัดสินใจแจ้งเหตุเมื่อพบเหตุ ซึ่งผู้นั้นอาจเป็นผู้เจ็บป่วยเองหรือคนข้างเคียง เป็นเรื่อง ที่ จ้าเป็นมาก เพราะว่าจะสามารถท้าให้กระบวนการช่วยเหลือมาถึงได้รวดเร็ว ตรงกันข้ามหากล่าช้า นาที ที่ ส้าคัญต่อชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินจะหมดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายเกินแก้ไขได้


๒๘ กำรแจ้งเหตุขอควำมช่วยเหลือ (Reporting) การแจ้งเหตุที่รวดเร็วโดยระบบการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพและมีหมายเลขที่จ้าได้ง่ายเป็นเรื่องที่จ้าเป็นมากเช่นกัน เพราะว่าเป็นประตูเข้าไปสู่การ ช่วยเหลือที่เป็นระบบ แต่ผู้แจ้งเหตุอาจจะต้องมีความรู้ความสามารถในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวมทั้ง มีความสามารถในการให้การดูแลขั้นต้นตามความเหมาะสมอีกด้วย กำรออกปฏิบัติกำรของหน่วยกำรแพทย์ฉุกเฉิน (Response) หน่วยปฏิบัติการซึ่งโดยทั่วไป จะแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือระดับหน่วยปฏิบัติการขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support , BLS) กับ ระดับหน่วย ปฏิบัติการขั้นสูง (Advance Life Support , ALS) จะต้องมีความพร้อมเสมอที่จะออกปฏิบัติการตามค้าสั่งและ จะต้องมีมาตรฐานก้าหนดระยะเวลาในการออกตัว ระยะเวลาการเดินทาง โดยศูนย์รับแจ้งเหตุจะต้องคัดแยก ระดับความรุนแรงหรือความต้องการของเหตุและสั่งการให้หน่วยปฏิบัติการที่เหมาะสมออกปฏิบัติการ กำรรักษำพยำบำลฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ (On scene care) หน่วยปฏิบัติการจะท้าการประเมิน สภาพแวดล้อมเพื่อความปลอดภัยของตนและคณะ ประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉินเพื่อให้การดูแลรักษาตามความ เหมาะสม และให้การรักษาพยาบาลฉุกเฉินตามที่ได้รับมอบหมายจากแพทย์ผู้ควบคุมระบบ โดยมีหลักในการ ดูแลรักษาว่าจะไม่เสียเวลา ณ จุดเกิดเหตุ นานจนเป็นผลเสียต่อผู้ป่วย กล่าวคือ ในผู้ป่วยบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ จะเน้นความรวดเร็วในการน้าส่งมากกว่าผู้ป่วยฉุกเฉินทางอายุรกรรม กำรล ำเลียงขนย้ำยและกำรดูแลระหว่ำงน ำส่ง (Care in transit) หลักที่ส้าคัญยิ่งในการล้าเลียงขน ย้ายผู้ป่วย คือ การไม่ท้าให้เกิดการบาดเจ็บซ้้าเติมกับผู้ป่วย ผู้ล้าเลียงขนย้ายจะต้องผ่านการฝึกอบรมเทคนิควิธี มาเป็นอย่างดี ในขณะขนย้ายจะต้องมีการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นระยะๆ ปฏิบัติการบางอย่างอาจ กระท้าบนรถในขณะล้าเลียงน้าส่งได้ เช่น การให้สารน้้า การดาม กำรน ำส่งสถำนพยำบำล (Transfer to definitive care) การน้าส่งไปยังสถานที่ใดเป็นการ ชี้ชะตาชีวิตและมีผลต่อผู้ป่วยฉุกเฉินได้เป็นอย่างมาก การน้าส่งจะต้องใช้ดุลยวินิจว่าโรงพยาบาลที่จะน้าส่ง สามารถรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินรายนั้นๆ ได้เหมาะสมดีหรือไม่ มิฉะนั้นแล้ว เวลาที่เสียไป กับความสามารถที่ไม่ถึง และความไม่พร้อมของสถานพยาบาลนั้นๆ จะท้าให้เกิดการเสียชีวิต พิการ หรือปัญหาในการรักษาพยาบาล อย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น หลักกำรซักประวัติและกำรตรวจร่ำงกำยตำมระบบในผู้ป่วยฉุกเฉิน ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นหลักการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉิน ต้องใช้ทักษะความช้านาญ และความ รวดเร็ว เพื่อค้นหาและจัดการสิ่งคุกคามต่อชีวิตของผู้ป่วย สิ่งหนึ่งที่มีความส้าคัญที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินต้องมี ความรู้และทักษะ ได้แก่การตรวจวัดสัญญาณชีพ และการซักประวัติ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการดูแล ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบของกำรซักประวัติ การซักประวัติที่ส้าคัญในผู้ป่วยฉุกเฉิน เน้นไปที่ปัญหาส้าคัญหรือเหตุผลที่ผู้ป่วยเรียกใช้รถพยาบาล ข้อแรกสุดต้องให้ได้ประวัติที่บ่งชี้ว่ามีอาการส้าคัญที่อันตรายถึงชีวิตและต้องรีบให้การช่วยเหลือหรือไม่เป็น ภาวะฉุกเฉิน (Emergency) ภาวะเร่งด่วน (Urgency) หรือภาวะไม่ฉุกเฉิน (Non-emergency) เพื่อพิจารณา การรักษาและส่งต่อโรงพยาบาลได้อย่างเหมาะสม


๒๙ การซักประวัติมีหลายด้าน ประกอบด้วย ๑. ข้อมูลเบื้องต้น ๑.๑ วันที่และเวลา ๑.๒ ประวัติส่วนตัว - เพศ - อายุ - เชื้อชาติ - อาชีพ ๑.๓ ประวัติการมาถึงโรงพยาบาล ๑.๔ ผู้ให้ประวัติ และความน่าเชื่อถือของผู้ให้ประวัติ ๒. อาการส้าคัญ (Chief Complaint) ๓. ประวัติปัจจุบัน (Present illness) ๔. ประวัติเจ็บป่วยในอดีตและการใช้ยา (Past Medical History and Medication) ๕. ประวัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (ประวัติความเจ็บป่วยในครอบครัว ประวัติการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด เป็นต้น) ข้อมูลเบื้องต้น ๑. เวลาและวันที่ เป็นเรื่องที่ส้าคัญ โดยเฉพาะในการให้การรักษาในภาวะฉุกเฉิน ๒. ข้อมูลส่วนตัว ที่สามารุระบุตัวตนของผู้ป่วยมีความส้าคัญทั้งในด้านการรักษาและด้านสังคม ๓. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เนื่องจากประวัติแต่ละอย่างให้ความส้าคัญที่ต่างกัน อำกำรส ำคัญ (Chief Complaint) คือ ปัญหาที่ผู้ป่วยให้ความส้าคัญเป็นอย่างแรก และมักเป็นสาเหตุที่ต้องเรียกใช้รถพยาบาลฉุกเฉิน ซึ่งปัญหานั้นอาจจะบอกกล่าวด้วยวาจา หรือท่าทางก็ได้ (สีหน้าเจ็บปวด เป็นต้น) การถามอาการส้าคัญ สมควรเป็นค้าถามปลายเปิด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้บอกอาการที่เขามีความ กังวล เช่น “มีอาการอะไร ถึงเรียกรถพยาบาล” เป็นต้น ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present illness) มากขึ้น จนสามารถบ่งชี้พยาธิสภาพที่เป็นปัญหาของผู้ป่วยได้ประวัตินี้จะได้มาจากค้าถามที่เหมาะสมและ เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความส้าคัญมากเพราะจะสามารถน้าไปสู่การวินิจฉัยโรคและการรักษาได้ อาการหลักๆ แต่ละ อย่างควรจะสามารถอธิบายได้ด้วย ๑. ต้าแหน่ง ๒. ความถี่ที่เกิด ๓. อาการหรือความรุนแรง


๓๐ ๔. ระยะเวลา รวมไปถึงเมื่อเริ่มต้น ระยะเวลาที่อาการคงอยู่ ๕. ปัจจัยส้าคัญที่เกี่ยวข้องในการเกิดอาการ ๖. ปัจจัยกระตุ้นอาการให้เป็นมากขึ้น ๗. ประวัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อักษรช่วยจ ำ OPQRST : เป็นตัวย่อที่ใช้ในการถามค้าถามส้าคัญอย่างเป็นระบบที่นิยมใช้ในระบบ บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ประกอบด้วย - Onset : บ่งบอกว่าผู้ป่วยก้าลังท้าอะไรอยู่ตอนที่เริ่มมีอาการ ค้าถามที่ใช้ เช่น “ก้าลังท้าอะไรอยู่เมื่อมี อาการ” “เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่” เป็นต้น - Provocation : เป็นค้าถามที่บ่งชี้สาเหตุของการเจ็บป่วย เช่น “อะไรที่ท้าให้อาการเป็นมากขึ้น” “ท้าอะไรแล้วอาการดีขึ้น” เป็นต้น - Quality : ค้าถามบ่งบอกลักษณะอาการที่ผู้ป่วยรับรู้ โดยควรใช้ค้าถามปลายเปิดก่อนเสมอ หากไม่ สามารถได้ค้าตอบชัดเจนจึงใช้ค้าถามปลายปิด เช่น “ลักษณะความปวดเป็นอย่างไร (ปวดบีบๆ/ปวด เสียด/ปวดแน่น)” - Radiation : ต้าแหน่งที่มีอาการและต้าแหน่งที่เกี่ยวข้อง หรือการย้ายต้าแหน่งของอาการที่เป็น เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบมักมีอาการปวดทั่วๆ ท้องก่อนย้ายไปที่บริเวณล่างขวาของท้อง เป็นต้น - Severity : ค้าถามบ่งชี้ความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยรับรู้ นอกจากใช้บ่งบอกความส้าคัญแล้ว ยังใช้ ในการติดตามอาการและการรักษาว่าดีขึ้นหรือแย่ลง เช่น “ปวดมากแค่ไหน” เครื่องมือที่ช่วยในการ สื่อสารนั้นส่วนใหญ่จะใช้ตัวเลข ๑-๑๐ เพื่อประเมิน “จากเลข ๑ ที่ไม่ปวดเลย จนเลข ๑๐ คือปวด มากที่สุดในชีวิต อาการปวดในขณะนี้อยู่ในระดับใด” - Time : ระยะเวลาที่มีอาการ สามารถให้ผู้ป่วยบอกระยะเวลาที่เป็นได้โดยตรง หรือใช้การถามเวลาที่ เริ่มเป็นหรือหายดี ประวัติควำมเจ็บป่วยในอดีตและกำรใช้ยำ (Past Medical History and Medication) หลังจากได้อาการส้าคัญแล้ว หลายครั้งที่ประวัติความเจ็บป่วยเดิมเกี่ยวข้องกับอาการส้าคัญในครั้งนี้ เช่น ประวัติโรคประจ้าตัว (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ประวัติส่วนตัว เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ วัคซีน โรคในครอบครัว เป็นต้น ตัวอักษรช่วยจ้าที่ใช้ในการถามประวัติอดีตได้ครอบคลุม คือ SAMPLE ซึ่งค้าตอบที่ได้รับไม่ว่ารับหรือ ปฏิเสธ ล้วนมีความส้าคัญในการวางแผนค้นหาและรักษาต่อไป กำรซักประวัติโดยใช้หลัก SAMPLE เพื่อเป็นหลักการซักประวัติอย่างง่ายและครอบคลุม คือการใช้หลัก SAMPLE ซึ่งประกอบด้วย การแสดงอาการและอาการแสดงที่ส้าคัญ (Signs and symptoms) ประวัติเกี่ยวกับการแพ้ (Allergies) ประวัติการรักษาที่เคยได้รับอยู่ (Medication)


๓๑ ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต (Pertinent past history) อาหารมื้อสุดท้ายที่ได้รับ (Last meal) เหตุการณ์ที่น้ามาสู่การบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยครั้งนี้ (Events leading to the injury or illness) ๑. อำกำรแสดงออก (Signs and symptoms) อาการแสดง (signs) เป็นร่องรอย หรือ สภาพของผู้ป่วยที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์สามารถ มองเห็น ได้กลิ่น ได้ยิน หรือสัมผัสได้ในระหว่างการตรวจร่างกายผู้ป่วย ตัวอย่าง เช่น ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน การแพทย์สมารถมองเห็นรอยฟกช้้า รอยถลอกบนผิวหนังของผู้บาดเจ็บ ได้ยินเสียงการหายใจเข้าออกของ ผู้ป่วยในช่องอก หรือสามารถรับรู้และรู้สึกได้ถึง ความผิดปกติของผู้ป่วย จากการตรวจร่างกาย อาการ (symptoms) เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยรู้สึก และบอกให้กับผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ทราบว่ามีสิ่ง ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อย ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ หายใจล้าบาก เป็นต้น สิ่งส้าคัญในการถามเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง ของผู้ป่วยนั้นต้องสัมพันธ์กัน และสอดคล้องกับ ข้อมูลของประวัติทางการแพทย์และการรักษาของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน ๑. ประวัติกำรแพ้ (Allergies) การประเมินเกี่ยวกับประวัติการแพ้และการได้รับการรักษาอาการแพ้ของผู้ป่วย เป็นบทบาทที่ส้าคัญ อันหนึ่ง อาการแพ้อาจเป็นสาเหตุส้าคัญของอาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของผู้ป่วย หรือในทางตรงกันข้าม อาการแพ้ อื่นๆ อาจเกิดขึ้นจากการให้การรักษาผู้ป่วยก็ได้ ประวัติเกี่ยวกับการแพ้นี้รวมถึงการแพ้อาหาร การแพ้ยา การแพ้สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เช่น แพ้สารโพลีน เป็นต้น ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์จะต้องถามผู้ป่วยเกี่ยวกับ ประวัติการแพ้สิ่งต่างๆ ในขณะท้าการซักประวัติและผู้ป่วยบางคนอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้บอกไว้ในประวัติ ประจ้าตัว ๒. ประวัติกำรรักษำที่เคยได้รับ (Medication) การรักษาที่เคยได้รับเป็นส่วนส้าคัญในการซักประวัติ เช่นกัน เคยเป็นโรคอะไรอยู่และได้รับการรักษา อย่างไรบ้าง ได้รับการรักษาต่อเนื่องหรือไม่ เคยมีอาการกลับเป็นซ้้าอีกครั้งอย่างไร และได้รับยาอะไรเป็น ประจ้า รวมถึงสารเสพติด เพราะสาเหตุจากการเจ็บป่วยครั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจาก โรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ เช่น โรคลมชัก เบาหวาน เป็นต้น บัตรแสดงโรคประจ้าตัว เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุที่เป็นของ ผู้ป่วยได้เร็วขึ้น ๓. ประวัติกำรเจ็บป่วยในอดีต (Pertinent Past History) ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์จะต้องถามผู้ป่วยเกี่ยวกับสาเหตุที่เกี่ยวข้องหรือ อาการบาดเจ็บในอดีต ซึ่งรวมทั้งการได้รับการรักษาทั้งทางยา หรือการผ่าตัด ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตจะเป็นสิ่งส้าคัญที่จะช่วยให้ แพทย์วินิจฉัยแยกโรคได้ การเจ็บป่วยในอดีตอาจจะเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยครั้งนี้ โดยเฉพาะ ๔ โรค ที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์จะต้องถามผู้ป่วยทุกครั้ง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง


๓๒ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง ๔. อำหำรมื้อสุดท้ำยที่ได้รับ (Last Meal) อาหารที่ผู้ป่วยเพิ่งรับประทานเข้าไป อาจเป็นสาเหตุที่ท้าให้เป็นปัญหาการเจ็บป่วยครั้งนี้ได้ เป็นต้นว่า ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ตลอดจนการถามผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัด ถึงระยะเวลาของอาหารครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะต้อง ดมยาสลบ เพื่อป้องกันการส้าลักน้้าหรืออาหารที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วย เมื่อผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน การแพทย์มาถึงห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน จะต้องแจ้งข้อมูลประวัติเกี่ยวกับระยะเวลา จ้านวนมากน้อยของอาหารมื้อ สุดท้ายแก่แพทย์หรือพยาบาลด้วยทุกครั้ง ๕. เหตุกำรณ์ที่น ำมำสู่กำรบำดเจ็บหรือกำรเจ็บป่วยครั้งนี้ (Event leading to the injury or illness) เหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั้งภาวะเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุจะสามารถช่วยในการหาสาเหตุได้ เช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ จะต้องสอบถามลักษณะของอุบัติเหตุที่ได้รับ เพื่อให้ทราบ ถึงกลไกการบาดเจ็บนั้นๆ เนื่องจากลักษณะการบาดเจ็บของอุบัติเหตุที่ได้รับ จะท้าให้เราสามารถคาดการณ์ถึง ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้ เช่น ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะต้องสอบถามผู้บาดเจ็บว่าอยู่ในต้าแหน่ง ของคนขับหรือผู้โดยสาร คาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ เพราะลักษณะการบาดเจ็บจะแตกต่างกัน หรือในผู้ป่วยที่มี อาการวิงเวียนศีรษะแล้วเป็นลมหรือตกจากที่สูง จุดแรกที่เรานึกถึงคือ สาเหตุจากอุบัติเหตุ แต่จุดที่สองที่ต้อง นึกถึงคือสาเหตุน้าของอาการที่ผู้ป่วยเป็นมาก่อน คือ วิงเวียนศีรษะจะเป็นลมจึงท้าให้ตกจากที่สูงได้จาก ตัวอย่างนี้จะเห็นว่าข้อมูลที่ละเอียดมีส่วนช่วยให้ ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ สามารถวินิจฉัยปัญหาผู้ป่วยได้ ถูกต้องมากยิ่งขึ้น สิ่งส้าคัญที่จะต้องรู้ว่าผู้ป่วยก้าลังท้าอะไรอยู่ ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ท้าให้ผู้ป่วยเจ็บป่วยหรือ บาดเจ็บ และค้าถามที่ส้าคัญที่ ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ควรถามผู้ป่วย ได้แก่ ผู้ป่วย มีอาการเจ็บหน้าอกหลังออกแรงหรือขณะพักผ่อน ผู้ป่วยได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการหรือไม่ ถ้าผู้ป่วยได้รับยา ยานั้นมีผลท้าให้เกิดอาการหรือไม่ กำรตรวจวัดสัญญำณชีพ (Baseline Vital signs) การซักประวัติและการตรวจสัญญาณชีพ เป็นเกณฑ์ส้าคัญในการประเมินผู้ป่วยทุกราย การซักประวัติ จะเริ่มจากอาการส้าคัญที่ผู้ป่วยบอกเล่า หรือ เหตุผลที่ผู้ป่วยเรียกขอความช่วยเหลือ ข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการ สอบถามเบื้องต้น ได้แก่ อายุ เพศ เชื้อชาติ และขณะเดียวกันก็จะเป็นการเริ่มต้นการประเมินสัญญาณชีพ ประวัติการเจ็บป่วย และขั้นต้นการประเมินผู้ป่วย ตลอดระยะเวลาการประเมินสัญญาณชีพ ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน ต้องค้านึงถึงความรู้สึกของผู้ป่วยใน ขณะนั้น เข้าใจความไม่สุขสบายต่อสภาพความเจ็บป่วย เห็นอกเห็นใจ ดังนั้น ต้องกระท้าด้วยความนุ่มนวล และเคารพในสิทธิของผู้ป่วย


๓๓ กำรตรวจวัดสัญญำณชีพ (Baseline Vital signs) สัญญาณชีพ (Vital signs) เป็นการวัดการท้างานของระบบต่างๆ ในร่างกาย และเป็นตัวชี้วัดที่ จะบ่งบอกถึงความมีชีวิต บอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วย การหายใจ (respirations) ชีพจร (pulse) ความดันโลหิต (blood pressure) อุณหภูมิร่างกาย (temperature) การประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ เป็นการแสดงถึงการตัดสินใจ ที่จะท้าให้การ ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในล้าดับต่อๆ ไป เช่น การให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย (oxygen therapy) การระบายอากาศ (ventilation) การช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะช็อก เป็นต้น เมื่อใดก็ตามที่สัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงจากเกณฑ์ ปกติของบุคคลนั้นๆ ย่อมแสดงถึงการมีความผิดปกติ หรือพยาธิสภาพที่เกิดขึ้น และก้าลังคุกคามชีวิตของ บุคคล ดังนั้น ผู้ที่ให้การช่วยเหลือป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ จึงต้องมีทักษะในการวัดสัญญาณชีพ เพื่อให้ได้ ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นย้า ซึ่งจะน้าไปสู่การแปรผลที่ได้กับพยาธิสภาพของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องต่อไป เกณฑ์ปกติ เกณฑ์ปกติของสัญญาณชีพ คือระยะหรือช่วงห่างของสัญญาณชีพ ที่ถือว่าเป็นปกติในคนนั้น ๆ เช่น ค่าปกติของชีพจร ในผู้ใหญ่จะอยู่ในระหว่าง ๖๐-๘๐ ครั้ง/นาที ซึ่งค่าปกตินั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม ในนักกีฬาอาจจะมีชีพจรที่ต่้ากว่า ๖๐ ครั้ง/นาที ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ปกติของคน นั้นด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นสัญญาณชีพยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เช่น ภาวะเครียด (stress) ความวิตกกังวล (anxiety) อายุหรือยาที่ได้รับ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อค่าปกติของสัญญาณ ชีพของคนคนนั้น ดังนั้น จึงควรต้องถามผู้ป่วยให้แน่ใจเสมอ เป็นต้นว่า เป็นนักกีฬา หรือมีประวัติครอบครัวเป็น ความดันโลหิตสูงหรือไม่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าค่าปกติหรือเกณฑ์ปกติของคนเหล่านั้นได้ กำรหำยใจ (Breathing) การหายใจเป็นการน้าเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย การ หายใจเป็นการท้างานอัตโนมัติของร่างกาย มีศูนย์ควบคุมอยู่ที่ก้านสมอง (brain stem) การเคลื่อนไหวขึ้นลง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหน้าอกเป็นการแสดงถึงลักษณะของการหายใจที่ปกติ การประเมินการ หายใจจะสังเกตใน ๔ เรื่อง ดังนี้ อัตราการหายใจ (Rate) ความลึกของการหายใจ (Depth) ลักษณะการหายใจ (Pattern) เสียงของการหายใจ (Sound of respiration) ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ ต้องอยู่ข้างๆ ผู้ป่วยเสมอ เพื่อจะ ได้มองเห็นบริเวณหน้าอกและหน้าท้องได้อย่างชัดเจน ผู้ป่วยที่รู้สึกตัวดีจะต้องหายใจได้เองเสมอ


๓๔ ๑. อัตรำกำรหำยใจ (rate) เป็นการสังเกตและนับจ้านวนครั้งของการเคลื่อนไหวของทรวงอกและหน้าท้องขึ้นลง อัตราการหายใจ โดยปกติจะตรวจนับใน ๑ นาที ในผู้ใหญ่ค่าปกติอยู่ระหว่าง ๑๒-๒๐ ครั้ง/นาที ซึ่งอัตราการหายใจจะแตกต่าง กันไปในแต่ละช่วงอายุ ในเด็กจะเร็วขึ้น ช่วงอำยุ อัตรำกำรหำยใจ (ครั้งต่อนำที) ผู้ใหญ่ ๑๒-๒๐ เด็กโต ๑๕-๓๐ เด็กเล็ก ๒๕-๕๐ ตารางที่ ๑ แสดงอัตราการหายใจของแต่ละช่วงอายุ ๒. คุณภำพกำรหำยใจ (Quality) ขณะสังเกตบริเวณทรวงอกและหน้าท้อง จะต้องดูถึงลักษณะการหายใจด้วย การหายใจตื้น เกิดจากการ เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของหน้าท้องและผนังทรวงอก การพิจารณาคุณภาพของการหายใจ พิจารณาจากสิ่ง เหล่านี้ การหายใจปกติ (Normal Breathing) การหายใจล้าบาก (Labored Breathing) การหายใจตื้น (Shallow Breathing) การหายใจปกติ (normal breathing) ลักษณะการหายใจที่ปกติจะต้องหายใจสะดวก ง่าย ไม่ใช้แรง สม่้าเสมอ ไม่มีเสียงผิดปกติ ทั้งขณะหายใจเข้าและหายใจออก ทรวงอกมีการขยายเท่ากันทั้ง ๒ ข้าง การ หายใจล้าบาก (labored breathing) เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถหายใจเข้าได้สะดวกหรือต้องใช้ความพยายาม ในการหายใจเข้า เช่น รูจมูกบานขณะหายใจ มีการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ (accessory muscle) ซึ่งมี สาเหตุมาจาก การอึดกั้นทางเดินหายใจ (obstructive of the airway) มีน้้าคั่งในปอด (fluid in the lungs) ปอดแฟบ (lung collapse) ๓. เสียงกำรหำยใจ (Sound) ขณะที่สังเกตการณ์หายใจ จะต้องฟังเสียงการหายใจด้วย ทั้งที่ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยฟัง (stethoscope) และใช้เครื่องช่วยฟัง ฟังเสียงการหายใจ ทั้งทางเดินหายใจ ส่วนบนและส่วนล่าง เสียงการหายใจนี้รวมถึง Grunting = เสียงครวญคราง เป็นเสียงที่เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของการ หายใจออก Gurgling = เสียงเอิ๊กอ๊าก เป็นเสียงที่เกิดจากลมเคลื่อนไหวผ่านน้้า มักเกิดที่มีน้้าคั่งในทางเดินหายใจส่วนบน


๓๕ Wheezing = เสียงวี๊ด เป็นเสียงที่เกิดจากอากาศผ่านถุงลมที่ตีบแคบ มักเกิดใน ผู้ป่วยโรคหอบหืด (asthma) การแพ้ (allergic reaction) หรือ โรคหลอดลมอักเสบ Crowing or stridor = เป็นเสียงสูงดังเอิ๊กอ๊าก มักได้ยินช่วงหายใจเข้า เกิดจากการอุดกั้น ทางเดินหายใจส่วนบนไปถึงเส้นเสียง (vocal cords) หรือฝาปิด กล่องเสียง (epiglottis) Snoring = เป็นเสียงดัง ต่้า เกิดจากลิ้นปิดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนบางส่วน ในผู้ป่วยที่มีรู้สึกตัวอาจได้ยินเสียงหายใจเช่นนี้ เกิดจากการอุดกั้น ทางเดินหายใจ ชีพจร (Pulse) ชีพจร (pulse) คือ คลื่นของเลือดภายในหลอดเลือดแดงที่มากระทบ ดันผนังหลอดเลือดแดงให้ขยาย โป่งออก สามารถรับรู้โดยการใช้มือคล้าหลอดเลือดแดง ชีพจรสัมพันธ์โดยตรงกับการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง หรือการท้างานของหัวใจในการส่งเลือด ไปเลี้ยง ส่วนต่างๆ ของร่างกาย การประเมินชีพจรจะสังเกตสิ่งต่อไปนี้ คือ อัตราการเต้นของชีพจร (rate) คุณภาพ (quality) ความแข็งแรงของชีพจร จังหวะการเต้นของชีพจร (rhythm) ทั้ง ๓ ข้อนี้เกิดจากการท้างานของหัวใจ ความดันเลือดหรือปริมาณเลือดในร่างกาย ซึ่งจะมี ความสัมพันธ์กันทั้งระบบ เช่น การบีบตัวของหัวใจแต่ละครั้งจะมีเลือดออกประมาณ ๖๐-๗๐ ลูกบาศก์ เซนติเมตร ในขณะที่แรงดันของเลือดมีค่าประมาณ ๑๒๐ มม.ปรอท ปริมาณเลือดที่หัวใจบีบแต่ละครั้งจะท้าให้ คล้าชีพจรได้ชัดเจน แต่ถ้ามีปริมาณเลือดออกมาน้อยชีพจรจะเบากว่าปกติ โดยทั่วไปมักนิยมคล้าชีพจร ที่ต้าแหน่งหลอดเลือดแดงเรเดียล (radial pulse) ซึ่งอยู่ส่วนปลายของแขน คือ บริเวณข้อมือด้านนิ้วหัวแม่มือ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงไปบริเวณหลอดเลือดแดง ภาพที่ ๑๓ แสดงต้าแหน่งการจับชีพจรที่ radial pulse


๓๖ ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า ๑ ปี มักนิยมคล้าชีพจรที่หลอดเลือดแดงเบรเคียล (brachial pulse) โดย ต้าแหน่ง brachial artery อยู่บริเวณด้านในของแขนบริเวณหน้าศอก ภาพที่ ๑๔ แสดงต้าแหน่งการคล้า Brachial artery ในเด็กเล็ก ส่วนในเด็กโต (๑-๘ ปี) นิยมคล้าชีพจรที่หลอดเลือดแดงคาโรทิด (Carotid artery) เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ซึ่งคล้าได้ที่บริเวณด้านข้างของ trachea ภาพที่ ๑๕ แสดงการคล้าชีพจรที่ต้าแหน่ง radial pulse และต้าแหน่ง brachial pulse พร้อมกันเพื่อ เปรียบเทียบทั้งสองต้าแหน่ง ๑. อัตรำกำรเต้นของชีพจร (rate) การเต้นของชีพจรท้าได้โดยการนับจังหวะการขยายตัวและหดตัวของหลอดเลือดรวมกัน จะเท่ากับการ เต้นของชีพจร ๑ ครั้ง หรือเท่ากับการเต้นของหัวใจ ๑ ครั้ง อัตราการเต้นชีพจรในผู้ใหญ่ปกติ ๖๐-๘๐ ครั้ง/ นาที เฉลี่ยประมาณ ๗๒ ครั้ง/นาที อายุ อัตรา (ครั้ง/นาที) ค่าเฉลี่ย (Average) เด็กแรกเกิด – ๑ เดือน (newborn) ๘๕-๒๐๕ ๑๔๐ เด็กทารก (infant) ๑๐๐-๑๙๐ ๑๓๐ เด็กเล็ก (child) ๒-๑๐ ปี ๖๐-๑๔๐ ๘๐ เด็กโต อายุมากกว่า ๑๐ ปี ๖๐-๑๐๐ ๗๕ ผู้ใหญ่ ๖๐-๘๐ ๗๒ ตารางที่ ๒ แสดงค่าเฉลี่ยอัตราการเต้นของชีพจรต่ออายุ


๓๗ ๒. คุณภำพกำรเต้นของชีพจร (Quality) คุณภาพของชีพจร หมายถึง ความแรงของชีพจร ซึ่งรู้สึกได้จากการใช้นิ้วมือคล้าบริเวณที่ตรวจนับ ชีพจร โดยปกติแล้วต้องมีความรุนแรงเท่ากันทุกครั้งและคล้าได้ชัดเจน ถ้าแรงดันเลือดไม่มากพอ ชีพจรจะคล้า ได้เบาและไม่ชัดเจน เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะช็อก ซึ่งอาจคล้าชีพจรที่แขนไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้ ควรคล้าชีพจร จากเส้นเลือดใหญ่ ได้แก่ ต้าแหน่งของหลอดเลือดแดง carotid บริเวณข้างคอ หรือต้าแหน่งของหลอดเลือด แดง femoral บริเวณขาหนีบ เมื่อคล้าชีพจร carotid ต้องระวังไว้ว่า มีเลือดไปเลี้ยงสมองได้พอเพียง และต้อง ไม่คล้าชีพจร carotid พร้อมกันทั้งสองข้างในเวลาเดียวกัน ๓. จังหวะกำรเต้นของชีพจร (Rhythm) การคล้าจังหวะชีพจร จะอธิบายในลักษณะสม่้าเสมอ หรือไม่สม่้าเสมอ และจังหวะการเต้นไม่สม่้าเสมอ เป็นผลกระทบโดยตรงจากความผิดปกติ ของระบบการน้ากระแสไฟฟ้าของหัวใจ จังหวะการเต้นที่สม่้าเสมอ จะแสดงถึงการท้างานที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามกรณีที่เป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ต้องแน่ใจว่าจังหวะการเต้นของชีพจร ที่ไม่ สม่้าเสมอนั้นยังมีการไหลเวียนของเลือดได้เพียงพอ และให้จ้าไว้เสมอว่าจะต้องมีการบันทึกจังหวะการเต้นของ ชีพจรในทุกครั้งที่มีการคล้าชีพจร การเต้นของชีพจรที่เรียกว่า ๑๒๐ ครั้ง/นาที เรียก Tachycardia ชีพจรที่เต้น ช้ากว่า ๖๐ ครั้ง/นาท เรียก Bradycardia จังหวะที่ไม่สม่้าเสมอ เรียก Arrhythmia ความผิดปกติของชีพจรบ่ง บอกอาการแสดงของระบบไหลเวียนที่ถูกกระทบกระเทือนซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่าง ดังนั้น เมื่อพบความ ผิดปกติของชีพจรจึงต้องมีการประเมินระบบอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป กำรประเมินภำวะ กำรก ำซำบของเลือดจำกสีของผิวหนัง เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการไหลเวียนของโลหิต การตรวจสีผิวหนังเป็นสิ่งส้าคัญที่จะบอกถึง ภาวการณ์ไหลเวียนของหลอดเลือดฝอยส่วนปลาย และการได้รับออกซิเจนของอวัยวะส่วนปลาย โดยใช้ หลักการประเมิน ดังนี้ สีของผิวหนัง (Color) อุณหภูมิของผิวหนัง (Temperature) ความชุ่มชื้นของผิวหนัง (Moisture) การไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย (Capillary refill) ๑. กำรประเมินสีของผิวหนัง (Skin condition) ในการประเมินโดยการสังเกตหรือใช้การดูจะต้องอยู่ในที่มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ โดยดูที่สี ของเล็บ (nail Beds) เยื่อบุช่องปาก (oral mucosa) และเยื่อบุตา (conjunctiva) ในเด็กและเด็กโตต้องดูที่ฝ่า มือ และฝ่าเท้าทั้งสองข้างด้วยเช่นกัน เหตุที่ต้องประเมินสีผิวของเล็บ สีของเยื่อบุช่องปาก และสีของเยื่อบุตา เพราะเป็นจุดที่บ่งบอกการไหลเวียนของโลหิตส่วนปลายได้ดีที่สุด สีที่แสดงความผิดปกติ ได้แก่


๓๘ ซีด (pale) เป็นการแสดงถึงการไหลเวียนเลือดส่วนปลายไม่พอเพียง เขียวคล้้า (cyanosis) เป็นการถึงเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ สีแดง (flushed) เป็นการแสดงถึงการสัมผัสกับความร้อน หรือคาร์บอนมอนน็อกไซค์ หรือ เกิดการอักเสบ ภาวะไข้ อายุ ดื่มสุรา เหลือง (jaundice) หรือสีเหลืองออกเขียว แสดงถึงความผิดปกติของระบบการท้างานของตับ การตรวจการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย ตรวจโดยการกดบริเวณเล็บผู้ป่วยชั่วครู่ ส่วนบนของเล็บ ซีดลงแล้วปล่อย สีชมพูจะกลับคืน ระยะเวลาในการกลับคืนต้องไม่ช้ากว่า ๒ วินาที เรียกการตรวจว่า Capillary filling test กำรดูรูม่ำนตำ (Pupils) เป็นสิ่งส้าคัญในการวินิจฉัย อาการที่ผิดปกติของสมองคือ การตรวจรูม่านตา รูม่านตา เป็นจุดที่อยู่ กึ่งกลางของส่วนที่เป็นสีด้าของลูกตา ขนาดของรูม่านตาปกติเท่ากับ ๒-๓ มม. ซึ่งจะเท่ากันทั้ง ๒ ข้าง รูปร่าง กลมขอบเรียบ การตรวจขนาดรูม่านตา รูปร่าง การตอบสนองต่อแสง และเปรียบเทียบความเท่ากันของทั้ง ๒ ข้าง เมื่อมีแสงไฟกระทบที่รูม่านตา ม่านตาจะหดตัวท้าให้รูม่านตาเล็กลง (constrict) ภาพที่ ๑๖ แสดงการตรวจดูรูม่านตา ในทางกลับกันในเวลามืด รูม่านตาจะขยายใหญ่ขึ้น (dilated) หรือกว้างขึ้นเมื่อรูม่านตามีการ เปลี่ยนแปลงหลังจากมีแสงกระทบ เราเรียกว่า รูม่านตามีปฏิกิริยาต่อแสง (reaction) หรือ ถ้าไม่มีการ เปลี่ยนแปลง เรียกว่า รูม่านตาไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง (nonreactive) จ้าไว้เสมอว่าการตรวจรูม่านตานั้นพิจารณา อยู่ ๓ ประเด็น คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง (Diameter) ปฏิกิริยาต่อแสง (Reactive to light) ขนาดที่เท่ากันทั้ง ๒ ข้าง (Equality of size)


๓๙ ควำมดันโลหิต (Blood pressure) ความดันโลหิต เป็นแรงดันหรือความดันของเลือดที่ส่งออกจากหัวใจห้องล่างซ้าย เข้าสู่ระบบหลอด เลือดแดง ซึ่งประกอบด้วย ๒ ค่า คือ ความดันซีสโตลิค (systolic pressure) เป็นความดันเลือดสูงสุดขณะที่ หัวใจห้องล่างขวาบีบตัว และความดันไดแอสโตลิค (diastolic pressure) เป็นความดันต่้าสุดขณะหัวใจห้อง ล่างคลายตัว ความดันโลหิต ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ปริมาตรเลือดที่หัวใจส่งออกต่อนาที (cardiac output) ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดแดง ความต้านทานของหลอดเลือดฝอยส่วนปลาย และปริมาตรเลือดใน ร่างกายและความเข้มข้นของเลือด ดังนั้น ค่าความดันโลหิตที่ได้ จึงเป็นอาการแสดงที่บ่งบอกความปกติของ องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียน การวัดความดันโลหิต ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องวัดความดันโลหิต (Sphygmomanometer) ผ้าพัน (cuff) จะพันรอบต้นแขนเหนือข้อศอก ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์สามารถใช้วิธีการวัดความดันโลหิต ได้ ๒ วิธี คือ การใช้การฟัง (auscultation) เป็นการวัดความดันโลหิต โดยใช้เครื่องช่วยฟัง (stethoscope) ฟังเสียงหลอดเลือดแดง ที่เปลี่ยนจากการที่เส้นเลือดถูกบีบ จนกระทั่งเส้นเลือดคลายตัว การใช้การคล้า (palpation) จะใช้เมื่อเราไม่สามารถฟังเสียงการวัดความดันโลหิตได้ โดยหูฟัง ซึ่งอาจเป็นเพราะมีเสียงดังอยู่รอบๆ ตัวผู้วัด หรือ ความดันโลหิตของผู้ป่วยต่้ามากๆ เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะช็อก การวัดวิธีนี้จะเป็นการติดตามการท้างานของชีพจรส่วนปลาย เช่น ที่ radial หรือ brachial pulse เท่านั้น เพื่อเป็นการประเมินว่ายังมีการไหลเวียนของเลือดใน เส้นเลือดแดงอยู่ ยังมีหลายปัจจัยหรือโรคที่มีผลต่อค่าความดันโลหิตสูงกว่าปกติ เช่น ภาวะเครียด ความวิตกกังวล การ ได้รับยา การเผาผลาญในร่างกายและโรคที่เกี่ยวกับการท้างานของระบบประสาทสมองส่วนกลาง (CNS) ผิดปกติ และการได้รับบาดเจ็บ และปัจจัยที่มีผลท้าให้ค่าความดันโลหิตต่้ากว่าปกติได้ เช่น ภาวะช็อก การ ได้รับยา โรคหัวใจ และการเป็นลม เป็นต้น ดังนั้น การที่จะแน่ใจว่าค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยนั้นถูกต้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับอาการและอาการแสดง ของผู้ป่วยในขณะนั้น และควรถามผู้ป่วยด้วยว่า ค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยนั้นมีค่าปกติอยู่ในระดับใด การวัดความดันโลหิตนั้นจะวัดในผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุมากกว่า ๓ ปี เพราะการประเมินสัญญาณชีพ ของเด็กทารกและเด็กเล็ก จะแปรตามภาวะสุขภาพและการเจ็บป่วยในขณะนั้น เช่น ภาวการณ์เจ็บป่วยที่ ปรากฏต่อสายตา หรือการไม่ตอบสนองของเด็กต่อการกระตุ้น ซึ่งส้าคัญกว่าการวัดสัญญาณชีพ ทักษะกำรวัดควำมดันโลหิตโดยใช้กำรฟัง ๑. ใช้ผ้าพันแขน (cuff) พันรอบแขนเหนือข้อศอก ห่างจากข้อพับด้านใน (เหนือ brachial artery ประมาณ ๒.๕ ซม. โดยส่วยปลายของสายยางของผ้าพันแขนอยู่ด้านหน้าของหลอดเลือดที่ต้อการวัด พันผ้าพัน ให้เรียบร้อยตึงพอดีไม่แน่นจนเกินไป


๔๐ ๒. ต้าแหน่งของการวัดชีพจรที่แขน (brachial artery) จะคล้าได้ด้านหน้าของข้อศอก เมื่อวางแขน ราบกับพื้นด้านนิ้วก้อย หลังจากคล้าชีพจรที่ brachial ได้ต้าแหน่งชัดที่สุด ให้ใช้เครื่องช่วยฟัง (stethoscope) วางบนต้าแหน่งนั้น แล้วบีบลูกยางให้ลมผ่านเข้าถุงยางในผ้าพันแขน จนกว่าปรอทในแท่งแก้วหรือตัวเลขใน ความดันชนิดสุญญากาศเพิ่มขึ้น ตามปกติจะบีบให้อยู่ระหว่าง ๑๕๐ ถึง ๒๐๐ มม.ปรอท แล้วคลายปุ่มลูกสูบ ยางเปิดให้ลมออกจากถุงยางในผ้าพันช้าๆ โดยให้ปรอทค่อยๆ ลดลงในอัตรา ๒-๓ มม.ปรอท ต่อวินาที ขณะเดียวกันให้ฟังเสียงความดันที่เกิดขึ้น ๓. เสียงแรกที่ได้ยินให้อ่านค่าความดันโลหิต ซึ่งถือว่าเป็นค่าความดันซิสโตลิค ขณะที่ปล่อยหรือลด ความดันในผ้าพัน ฟังเสียงต่อไปเรื่อยๆ ลักษณะเสียงจะเปลี่ยนแปลงจากเสียงที่ชัดเจนเป็นเบาลงหรือเปลี่ยนไป ค่าความดันที่อ่านได้ตรงกับเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่จะหายไป เป็นค่าความดันไดแอสโตลิค ตามปกติค่าความ ดันปกติของผู้ใหญ่จะเป็นไปตามอายุของคนๆ นั้น ค่าความดัน systolic จะต้องบวก ๑๐๐ มม.ปรอท กับอายุ ผู้ป่วย และสูงขึ้นได้จาก ๑๔๐ ถึง ๑๕๐ มม.ปรอท ส่วนค่าความดัน diastolic จะมีค่าอยู่ระหว่าง ๖๕ ถึง ๙๐ มม.ปรอท ส้าหรับผู้หญิงจะมีแนวโน้มค่าความดันโลหิตต่้ากว่าผู้ชาย ๘-๑๐ มม.ปรอท ในกลุ่มอายุเท่ากัน เด็กและวัยหนุ่มสาวค่าความดันโลหิตจะต่้ากว่าผู้ใหญ่ ๔. การบันทึกค่าความดันโลหิตจะต้องรายงานเป็นเศษส่วน โดยค่า systolic อยู่บน ค่า diastolic อยู่ ล่าง เช่น ค่าความดันโลหิตของผู้ใหญ่ทั่วไป ๑๒๐/๘๐ มม.ปรอท ทักษะกำรวัดควำมดันโลหิตโดยกำรคล ำ ๑. หลังจากพันผ้าพันแขน (cuff) ให้ถูกต้องแล้ว ใช้มือคล้าชีพจรที่ข้อมือ (radial pulse) แล้วบีบลูก ยางให้ลมผ่านเข้าถุงยางในผ้าพัน ในขณะที่มือหนึ่งยังคล้าชีพจร สังเกตคลื่นชีพจรที่คล้าได้ด้วย ๒. คลายปุ่มลูกสูบยางเปิดให้ลมออกจากถุงยางในผ้าพันช้าๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงการคล้าชีพจรได้ครั้ง แรก ค่าที่อ่านได้เป็นค่าความดัน systolic และคลายลูกสูบยางเปิดให้ลมออกจากถุงยางในผ้าพันให้หมด การ วัดความดันโลหิตโดยวิธีนี้ จะไม่สามารถอ่านค่าความดัน diastolic ได้จากการคล้า เพราะค่าความดัน diastolic จะรู้ได้โดยการใช้ stethoscope ฟัง ๓. บันทึกสิ่งที่วัดได้ โดยระบุไว้ด้วยว่าเป็นค่าความดัน systolic ที่วัดโดยการคล้า เช่น ๑๒๐/ การคล้า (120/palpation หรือ 120/p.) สรุป การตรวจวัดสัญญาณชีพเป็นสิ่งจ้าเป็นที่จะบอกถึงอาการแสดงของผู้ป่วย เป็นสิ่งที่สามารถท้าได้ง่ายใน การช่วยเหลือผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ และสามารถท้าได้เป็นระยะๆ ตลอดช่วงเวลาที่ให้การดูแลผู้ป่วย ณ จุดเกิด เหตุ รวมทั้งการซักประวัติ โดยใช้หลัก SAMPLE ตลอดจนการบันทึกและสื่อสารข้อมูล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ผู้ป่วย ก่อนมาโรงพยาบาล เป็นสิ่งส้าคัญที่ส่งผลถึงประวัติการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ การปฏิบัติที่ท้าด้วยความ ระมัดระวังและความรอบคอบ เป็นหน้าที่พื้นฐาน ที่ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ทุกคนใช้เป็นเครื่องมือในการ ประเมินผู้ป่วย .......................................................


๔๑ แบบฝึกหัด/งำนที่มอบหมำย ๑. นักเรียนฝึกการตรวจร่างกาย Head to toe โดยใช้อักษรช่วยจ้า DCAP-BLS-TIC ๒. นักเรียนฝึกการตรวจวัดสัญญาณชีพ (Vital signs) ๒.๑ ฝึกนับอัตราการหายใจ (respiration rate) ๒.๒ ฝึกการจับชีพจร (Pulse rate) ต้าแหน่งต่างๆ ๒.๓ ฝึกการวัดความดันโลหิต (Blood pressure) โดยวิธีการฟังและวิธีการคล้า ๒.๔ ฝึกการประเมินภาวการณ์ก้าซาบของเลือดจากสีผิวหนัง ๒.๕ ฝึกการซักประวัติ SAMPLE เฉลยแบบฝึกหัด ๑. ฝึกการตรวจร่างกาย Head to toe นักเรียนต้องบอกต้าแหน่งตรวจ พร้อมรายงานด้วยวาจา ตามอักษรช่วยจ้า DCAP-BLS-TIC และเขียนรายงานส่ง แปลค้าย่อ ให้เขียนเป็นค้าเต็ม DCAP BLS TIC (D = Deformity, C = Contusion, A = Abrasion, P = Puncture/penetration , B = Burns, L = Laceration, S = Swelling, T = Tenderness, I = Instability, C = Crepitus) ๒. การนับอัตราการหายใจ ๒.๑ แสดงวิธีการนับการหายใจถูกต้อง ระบุอัตราการหายใจปกติของแต่ละช่วงอายุได้ ผู้ใหญ่ ๑๒ - ๒๐ ครั้ง/นาที เด็กโต ๑๕ – ๓๐ ครั้ง/นาที เด็กเล็ก ๒๕ – ๕๐ ครั้ง/นาที ๒.๒ ระบุเสียงหายใจที่ผิดปกติได้ Grunting = เสียงครวญคราง เกิดขึ้นช่วงสุดท้ายการหายใจออก Gurgling = เสียงเอิ๊กอ๊าก เกิดจากลมเคลื่อนไหวผ่านน้้า Wheezing = เสียงวี๊ด เกิดจากอากาศผ่านถุงลมที่ตีบแคบ Stridor = เสียงสูงดังเอิ๊กอ๊าก ได้ยินช่วงหายใจเข้า เกิดจากการอุดกั้น ทางเดินหายใจส่วนบน Snoring = เสียงดัง ต่้า เกิดจากลิ้นปิดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน พบในผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ๓. การคล้าชีพจร (Pulse) ๓.๑ ระบุต้าแหน่งคล้าชีพจรถูกต้อง Carotid artery Brachial artery (เด็กเล็ก) Radial artery


๔๒ Femoral artery ๓.๒ บอกเกณฑ์การเต้นเร็วหรือช้าของชีพจรได้ Tachycardia > ๑๒๐ ครั้ง/นาที Bradycardia < ๖๐ ครั้ง/นาที ๔. การวัดความดันโลหิต (Blood pressure) ๔.๑ แสดงวิธีและหาต้าแหน่งการวัดความดันโลหิต โดยวิธีการฟังถูกต้อง บริเวณข้อพับของแขน พัน Cuff เหนือข้อศอก ห่างจากข้อพับด้านใน ๒.๕ ซม. หาต้าแหน่ง Brachial artery และใช้ Stethoscope วางบนต้าแหน่งถูกต้อง บีบลูกยางให้อยู่ระหว่าง ๑๕๐-๒๐๐ มม.ปรอท ค่อยๆ คลายปุ่มลูกสูบยางให้ลม ออก พร้อมกับฟังเสียง เสียงที่ได้ยินครั้งแรก คือค่าของ Systolic pressure และเสียงที่เปลี่ยนจากเสียงที่ ชัดเจนเป็นเบาลง คือค่าของ Diastolic pressure บันทึกค่าความดันโลหิตถูกต้อง เช่น ๑๔๐/๗๐ มม.ปรอท ๔.๒ แสดงวิธีการวัดความดันโลหิตโดยการคล้า แสดงวิธีการพัน Cuff เหมือนวิธีการฟัง ใช้มือคล้าชีพจรที่ข้อมือ (Radial artery) บีบลมที่ลูกยาง ในขณะที่มือคล้าชีพจร ค่อยๆ ปล่อยลม จนกระทั่งรู้สึกถึงการคล้าชีพจรครั้งแรกได้ ค่าที่อ่านได้เป็นค่า Systolic pressure (ไม่สามารถบอกค่า Diastolic ได้จากวิธีนี้) ๕. การประเมินภาวะ การก้าซาบของเลือดจากสีผิวของผิวหนัง ๕.๑ มีวิธีการประเมิน ดังนี้ ลักษณะสีผิวหนัง (skin color) อุณหภูมิของผิวหนัง (Temperature) ความชุ่มชื้นของผิวหนัง (Moisture) การไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย (Capillary refill) ๕.๒ บอกความผิดปกติของผิวหนังได้ ดังนี้ ซีด (pale) เกิดจากการไหลเวียนเลือดส่วนปลายไม่พอเพียง เขียวคล้้า (cyanosis) เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่พอเพียง แดง (flushed) การสัมผัสความร้อน คาร์บอนมอนน็อกไซค์ การอักเสบ เหลือง (jaundice) ตับท้างานผิดปกติ


๔๓ ๖. การซักประวัติโดยใช้ SAMPLE นักเรียนบอกความหมายของอักษรช่วยจ้า พร้อมระบุข้อมูลลงใน แบบบันทึกถูกต้อง S (Signs and symptoms) = การแสดงอาการและอาการแสดงที่ส้าคัญ A (Allergies) = ประวัติเกี่ยวกับการแพ้ M (Medication) = ประวัติการรักษาที่เคยได้รับอยู่ P (Pertinent past history) = ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต L (Last meal) = อาหารมื้อสุดท้ายที่ได้รับ E (Events leading to the injury or illness) = เหตุการณ์ที่น้ามาสู่การบาดเจ็บหรือ การเจ็บป่วยครั้งนี้ แผนกำรสอนสัปดำห์ที่ ๒ ชื่อบทเรียน การประเมินที่เกิดเหตุ (Scene size-up) จ้านวนชั่วโมง ๔ ชม. จุดประสงค์กำรสอน (จุดประสงค์ทั่วไป) ๑. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ เกี่ยวกับหลักการประเมินที่เกิดเหตุ (Scene size-up) ๒. เพื่อให้นักเรียนตระหนัก และให้ความส้าคัญเกี่ยวกับการประเมินที่เกิดเหตุ (Scene size-up) ๓. เพื่อให้นักเรียนน้าความรู้ และทักษะเรื่องการประเมินที่เกิดเหตุ (Scene size-up) ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลกำรเรียนรู้(จุดประสงค์เฉพาะ) ๑. บอกถึงข้อพึงระลึกการประเมินสถานการณ์ ถูกต้อง ๒. ระบุอุปกรณ์ป้องกันตนเองของผู้ช่วยเหลือถูกต้อง ๓. บอกเหตุผลความปลอดภัยของสถานการณ์ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินถูกต้อง ๔. บอกวิธีการป้องกันการเกิดอันตรายซ้้าซ้อน ถูกต้อง ๕. บอกกลไกการบาดเจ็บที่รุนแรงได้ถูกต้อง ๖. อธิบายถึงสถานการณ์รุนแรง ที่ต้องขอรับการสนับสนุนความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นๆ ถูกต้อง วิธีสอนและกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน ๑. การบรรยาย ๒. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ๓. การสาธิต ๔. การอภิปราย ๕. การแก้ปัญหาโจทย์สถานการณ์


๔๔ สื่อกำรสอน/อุปกรณ์กำรสอน ๑. Power point ๒. เอกสารประกอบการสอน ๓. ใบงาน กำรวัดผล ๑. การสอบความรู้ ๒. การท้างานกลุ่ม ๓. การน้าเสนอผลงาน หัวข้อกำรบรรยำย กำรประเมินที่เกิดเหตุ (SCENE SIZE-UP) การประเมินที่เกิดเหตุ เป็นสิ่งส้าคัญ ของชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน ก่อนเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุ โดยมีหลักการส้าคัญคือ ตัวเราและทีมต้องมีความปลอดภัย ก่อนเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น อย่าตกเป็น เหยื่อเสียเอง หลักการประเมินที่เกิดเหตุ ประกอบด้วย การใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ความปลอดภัยของ สถานการณ์ กลไกการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย จ้านวนผู้ป่วยเจ็บ และการเรียกขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ควำมหมำย การประเมินที่เกิดเหตุ (Scene size-up) หมายถึงการประเมินสิ่งแวดล้อม ของสถานที่เกิดเหตุเพื่อ ความปลอดภัย และวางแผนในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บ หลักกำรประเมินสถำนกำรณ์ : สิ่งที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอในการประเมินสถานการณ์ มีดังนี้ ๑. การป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโรค (Body substance isolation = BSI) ๒. ความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ (Scene safety) ๓. กลไกการบาดเจ็บ / เจ็บป่วย (Mechanism of injury = MOI / Nature of illness = NOI) ๔. จ้านวนผู้ป่วยเจ็บ (Number of patients) ๕. แหล่งสนับสนุนที่ต้องการ (Additional resource) ๑. กำรป้องกันตนเองจำกกำรติดเชื้อโรค (Body substance isolation = BSI) ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ออกมาจากตัวผู้ป่วยเจ็บ เช่น เลือด เสมหะ ปัสสาวะ อุจจาระ หรือ สารคัดหลั่งต่าง ๆ เราต้องไม่ไปสัมผัสโดยตรง เพราะสิ่งเหล่านี้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น เชื้อโรคไวรัสตับ อักเสบบี เชื้อ HIVดังนั้น จึงต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เพื่อช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ช่วยเหลือ เช่น


๔๕ ๑.๑ ถุงมือ (Gloves) : สวมถุงมือยางทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วยเจ็บ ๑.๒ แว่นตาป้องกัน (Eye protection) : เพื่อป้องกันของเหลวกระเด็นเข้าตา แว่นตาต้องสามารถ กันทางด้านข้างได้ด้วย ๑.๓ ผ้าปิดปากและจมูก (Mask) : เพื่อป้องกันการกระเด็นของสารคัดหลั่ง เลือด หรือในรายที่สงสัย จะมีการแพร่กระจายเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ ๑.๔ เสื้อคลุม (Grown) : เมื่อต้องสัมผัสกับเลือดจ้านวนมาก ๑.๕ ในการเข้าพื้นที่เสี่ยงอันตรายต่อสารเคมี , ก๊าซพิษ , ไฟไหม้ จ้าเป็นต้องใช้ชุดป้องกันเต็ม รูปแบบ ซึ่งรวมถึงการมีระบบหายใจในตัวด้วย ๒. ควำมปลอดภัยของสถำนที่เกิดเหตุ (Scene safety) เป็นการประเมินและสร้างมาตรการในการป้องกันอันตรายเท่าที่จะท้าได้ ดังนี้ ๒.๑ ประเมินความปลอดภัย : ว่ามีความปลอดภัยหรืออาจมีอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ช่วยเหลือ ผู้บาดเจ็บ หรือประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ หากประเมินว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ ก็ไม่มีประโยชน์และ ไม่คุ้มค่าที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ดังนั้นจึงต้องประเมินความปลอดภัย และวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนเข้าไป ช่วยเหลือทุกครั้ง สิ่งส้าคัญที่ต้องคิดก่อนเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บ คือ ความปลอดภัยของผู้ช่วยเหลือและ ผู้ได้รับบาดเจ็บ และระลึกไว้เสมอว่า “เรำเข้ำไปเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บ ไม่ใช่เข้ำไปเป็นผู้บำดเจ็บเสียเอง” การเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุ จะต้องพิจารณาความปลอดภัย และใช้ความสามารถใน การวิเคราะห์สถานการณ์ โดยมีหลักการพิจารณา ดังนี้ - จอดรถจากจุดเกิดเหตุประมาณ ๑๐๐ ฟุต อยู่ในที่สูงกว่าจุดเกิดเหตุ และอยู่เหนือลม - มองและสังเกตรอบ ๆ จุดเกิดเหตุ วิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จ้านวนรถยนต์ที่เกิด อุบัติเหตุ จ้านวนผู้ป่วยเจ็บ ตลอดจนแหล่งสนับสนุนที่ต้องการขอความช่วยเหลือ กรณีอุบัติเหตุหากจุดเกิดเหตุไม่ปลอดภัยจอดห่าง 30 เมตรขึ้นไป - ควบคุมฝูงชนและการจราจร เช่น กรวยจราจร (วางให้ห่างจากจุดเกิดเหตุเป็นระยะ 3 เท่า ของความเร็วที่จ้ากัดบนถนน) ,ไฟจราจร ,สปอร์ทไลต์


๔๖ ภาพที่ ๑๗ แสดงการจอดรถกรณีอุบัติเหตุทางถนน กรณีวัตถุอันตราย สารเคมี สารพิษรั่วไหลจอดรถห่าง จากจุดเกิดเหตุ 600 เมตร อยู่สูงกว่า เหนือลม พยายามหาข้อมูลว่าวัตถุอันตรายนั้นคือ อะไรจะเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลืออย่างไร ประสานงานผู้เชี่ยวชาญ เข้าควบคุมสถานการณ์มีอุปกรณ์ป้องกันตนเองที่เหมาะสม ภาพที่ ๑๘ แสดงการจอดรถกรณีวัตถุอันตราย สารเคมี สารพิษรั่วไหล - โทรสอบถามศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการหรือดูจากคู่มือ Emergency Response Guidebook (ERG) เพื่อ จ้าแนกประเภทวัตถุ โดยสังเกตได้จากเลขรหัส 4 หลัก (UN number , ID.No) บนป้ายรูปสี่เหลี่ยมขาวหลาม ตัด หรือบนแถบสีส้ม ตัวเลขครึ่งบน เป็นรหัสบ่งชี้ความอันตราย และตัวเลขครึ่งล่างเป็นหมายเลข UN number


๔๗ ภาพที่ ๑๙ แสดงหมายเลข UN number ของวัตถุอันตราย ในสถานการณ์ที่มีการท้าร้ายร่างกายหรือท้าร้ายตัวเอง ไม่ควรเข้าไปในสถานการณ์นั้น จนกว่าต้ารวจ จะบอกว่าปลอดภัย หากได้ยินเสียงปืน หรือเสียงการฟันแทง ควรรอต้ารวจและเดินตามต้ารวจไปยังผู้ที่ได้รับ บาดเจ็บ สิ่งที่ควรค้านึงในสถานการณ์ เช่นนี้ ได้แก่ - เปิดให้มีช่องทางส้าหรับออกไปได้ตลอดเวลา - ไม่ท้าทายตัวต่อตัว - ยึดมั่นว่าเราเป็นบุคลากรสาธารณสุข บทบาทของเราไม่ใช่ต้ารวจ - บอกกับบุคคลที่สิ้นหวังว่าเรามาเพื่อให้การช่วยเหลือ - อธิบายถึงสิ่งที่เราท้าในน้้าเสียงที่สงบและมั่นใจ - รักษาสถานการณ์ให้นาน พยายามไม่เคลื่อนไหว ๒.๒ การป้องกันอันตรายซ้้าซ้อน : ถ้าพบว่าสถานที่เกิดเหตุมีโอกาสเกิดอันตรายซ้้าซ้อน เช่น อาจถูก รถชนซ้้า รถเคลื่อนที่ออกจากต้าแหน่งเดิม ใกล้บริเวณมีกระแสไฟฟ้าแรงสูง สารเคมี จะต้องหาหนทางป้องกัน ภาวะเหล่านี้ด้วย ในขณะท้าการช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บ ผู้ช่วยเหลือบางรายอาจได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ในการ เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บในสถานการณ์อุบัติเหตุทางการจราจร ดังนั้น ผู้ช่วยเหลือจึงต้องระมัดระวังอันตรายที่ อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์อุบัติเหตุจราจรอยู่ตลอดเวลา ควรประเมินสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วว่ามีสายไฟฟ้า ถูกตัดขาด หล่นลงบนพื้นหรือไม่ หากพบว่ามี ให้ปฏิบัติ ดังนี้ - ไม่แตะต้องสิ่งใด - ไปอยู่ในต้าแหน่งที่ปลอดภัย - ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้อยู่ในเหตุการณ์ - แนะน้าผู้ที่อยู่ในรถ ไม่ให้ออกมาจากรถ - ติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานในพื้นที่ในการตัดกระแสไฟฟ้า และเคลื่อนย้ายสายไฟ ออกไป


๔๘ การประเมินความมั่นคงของรถ และตัดสินใจว่าสามารถเข้าไปช่วยเหลือโดยปลอดภัยหรือไม่ควร พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ - รถก้าลังคว่้าอยู่หรือไม่ - รถอยู่ในช่องเดินรถปกติหรือไม่ ล้อรถอยู่ในสภาพปกติหรือไม่ - ภายในรถปลอดภัยหรือไม่ - รถล็อคหรือไม่ - รถสามารถเคลื่อนไหวได้หรือไม่ - การช่วยของหน่วยกู้ภัย อาจท้าให้เกิดอันตรายต่อผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ๒.๓ การช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย สถานการณ์ที่ผู้ช่วยเหลือต้องเผชิญบ่อย ๆ คือ อุบัติเหตุ จราจร การช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย คือ การควบคุมฝูงชน และการควบคุมจราจร ผู้ช่วยเหลือที่ใส่ เสื้อสีด้า และไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตราย เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง ทั้งนี้ผู้ช่วยเหลือควรใช้กรวย จราจร ไฟจราจร หรือไฟของรถพยาบาลฉุกเฉิน เป็นเครื่องเตือนอันตราย และเป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิด แก่ผู้ช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ - การวางกรวยจราจร หรือไฟเตือน ควรวางให้ได้ระยะที่เหมาะสม โดยอาจค้านวณระยะที่จะวางตาม ตัวเลขป้ายจ้ากัดความเร็ว คือ ควรวางให้ห่างจากจุดเกิดเหตุเป็นระยะทาง ๓ เท่าของตัวเลข เช่น หากมี อุบัติเหตุบนถนนที่จ้ากัดความเร็ว ๕๐ กม./ชม. ก็ควรวางอุปกรณ์ก่อนถึงจุดเกิดเหตุ ๑๕๐ เมตร ซึ่งจะเป็นการ เตือนให้รถหยุดได้ในเวลาที่เหมาะสม และหากเป็นทางโค้ง ควรวางกรวยจราจรก่อนถึงและสิ้นสุดทางโค้งด้วย ๓. กลไกกำรเกิดอุบัติเหตุและกำรบำดเจ็บ (Mechanism of injury) เป็นการประเมินว่ากลไกอุบัติเหตุนั้นเกิดอย่างไร เพื่อประเมินการบาดเจ็บของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เช่น การชนแบบประสานด้านหน้า ด้านข้าง ด้านบน ด้านหลัง การพลิกคว่้า การบาดเจ็บจากอุปกรณ์นิรภัย การกระเด็นออกมาจากตัวรถ รถชนคนเดินบนถนน หรือชนจักรยานยนต์ เป็นต้น ๓.๑ กลไกการบาดเจ็บที่มีความรุนแรง (Significant Mechanism of injury) : ได้แก่เหตุต่าง ๆ ดังนี้ - กระเด็นออกมาจากยานพาหนะ (Eject from vehicle) - ผู้โดยสารที่อยู่ในส่วนเดียวกันถึงแก่ชีวิต (Death in same passenger compartment) - ตกจากที่สูงมากกว่า ๒๐ ฟุต (Fall > ๒๐ feet) - ยานพาหนะพลิกคว่้า (Roll-over of vehicle) - การชนด้วยความเร็วสูง (High-speed vehicle collision) - ยานยนต์ชนคนเดินถนน (Vehicle-pedestrian collision) - อุบัติเหตุจักรยานยนต์ (Motorcycle crash) - บาดแผลแทงทะลุที่ศีรษะ ทรวงอก ช่องท้อง (Penetration of the head , chest , abdomen)


๔๙ ทารกและเด็ก - ตกจากที่สูงมากกว่า ๑๐ ฟุต (Fall > ๑๐ feet) - จักรยานชน (Bicycle collision) - ยานพาหนะความเร็วปานกลาง (Vehicle in medium speed collision) เข็มขัดนิรภัย (Seat belts) - ถ้ามีการพับงอของเข็มขัดนิรภัย จะมีการบาดเจ็บได้ - การที่ผู้ประสบเหตุคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการบาดเจ็บ ถุงลมนิรภัย (Airbags) - อาจไม่สามารถป้องกันอันตรายได้ดี ถ้าไม่ได้ใช้ร่วมกับเข็มขัดนิรภัย - ผู้บาดเจ็บสามารถได้รับอันตรายได้ หลังจากที่มีการระบายลมออกจากถุงลมแล้ว - ควรดูลักษณะของพวงมาลัยรถถ้าพบว่ามีการถูกท้าลายมาก อาจบ่งบอกว่า เกิดอันตรายรุนแรง กับผู้บาดเจ็บ ๓.๒ กลไกการบาดเจ็บจากการขับรถยนต์ ๓.๒.๑ การชนทางด้านหน้า (Head-On impact) : ลักษณะการชนจะท้าให้ผู้ขับขี่กระแทกเข้ากับ รถได้๒ ลักษณะ ขึ้นอยู่กับท่านั่งและการปรับเบาะนั่ง ภาพที่ ๒๐ แสดงการถูกชนทางด้านหน้า แบบแรก คนขับมักนั่งในท่าเอนหลังและงอเข่ามาก (Down-and-Under Pathway) เท้าและขาจึง เป็นส่วนน้าแรงกระแทก อาจท้าให้เกิดการหักของหัวเข่า กระดูกต้นขา และการหลุดข้อตะโพกไปทางด้านหลัง


๕๐ ภาพที่ ๒๑ แสดงการถูกชนลักษณะ Down-and-Under Pathway แบบที่สอง คนขับนั่งในท่าตรงหรือเอนตัวไปข้างหน้า (Up-and-Over Pathway) เป็นการเคลื่อนที่ โดยศีรษะไปก่อน ซึ่งจะกระแทกเข้ากับกระจกรถ ท้าให้เกิดการฟกช้้าของเนื้อสมอง ส่วนล้าตัวซึ่งเคลื่อนที่ ตามมาจะกดกระดูกคอ ท้าให้กระดูกคอหักในท่าก้มหรือเงยหน้า หน้าอกและท้องเป็นส่วนต่อไปที่เคลื่อนที่เข้า กระแทกกับพวงมาลัยรถยนต์ ท้าให้เกิดการบาดเจ็บต่อหัวใจ ตับและม้ามได้ กรณีที่คาดเข็มขัดนิรภัยอาจไม่มี การกระแทกด้านหน้า ดังที่กล่าวมา แต่เข็มขัดนิรภัยอาจรัดหน้าท้องอย่างแรง ท้าให้ล้าไส้เล็กแตก ส่วนผู้โดยสารที่นั่งด้านข้างคนขับ ล้าคออาจกระแทกเข้ากับคอลโซลรถ ท้าให้กล่องเสียงแตกตามแนวดิ่ง เรียกว่า “Padded dash syndrome” ภาพที่ ๒๒ แสดงการถูกชนลักษณะ Up and Over Pathway


Click to View FlipBook Version