โรค เชน่ บีบเสน้ เอน็ บรเิ วรใกลก้ ระดูกสนั หลังเพื่อตรวจหาอาการของโรคกระเพาะ โรคไต หรอื ตรวจสอบความ
ร้อน-เย็นของรา่ งกาย หรือทำให้ผ้ปู ่วยตกใจ สะดงุ้ แลว้ ดูอาการตอบสนอง หรือสังเกตเสยี งขณะพดู คยุ
2. จบั ชีพจร โดยจับเสน้ เลอื ดบริเวณสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย ไดแ้ ก่ ขมับ เสน้ เลือด ก้านคอ จุดลมท้อง
เตน้ ท่ีอยู่เหนอื สะดือเล็กนอ้ ย หัวเข่า ปอ่ งลมหลวง หรืองา่ มหัวแม่เท้า ง่ามหัวแม่มือ เพื่อสงั เกตลักษณะการเต้น
ของเส้นเลือด ซึ่งวินจิ ฉัยโรคไดต้ ามความชำนาญเฉพาะของหมอเมืองแต่ละคน เชน่ โรคหัวใจ คอพอกหรือต่อม
ไทรอยดเ์ ปน็ พิษ โดยหมอเมอื งมีความเชื่อว่าหากมบี าดแผลบรเิ วณป่องลมหลวงจะไมส่ ามารถรักษาได้
3. สอบถาม ซกั ประวตั ิจากประสบการณ์ โดยประมวลประวตั ิการเจ็บปว่ ยและประวัตคิ รอบครัวควบคู่
กัน เพื่อสืบค้นสาเหตุที่มาของการเกิดโรค โดยจำแนกเป็นกรรมเก่าสืบทอดและกรรมใหม่จากการกระทำตาม
ความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเรื่องกรรม หากพบว่ามีอาการขวัญเสียอาจ
สง่ ผลให้ธาตเุ ซิ้ง (หย่อน ลด ไมส่ มดุล) ได้
4. คำนวณอายุ วันเดือนปีเกิด ดูดวงชะตาราศี เป็นวิธีการตรวจสอบกรรมตัง้ แต่กำเนิด ระยะเวลาตก
ฟาก รวมถึงฤกษย์ ามในปัจจุบนั เขา้ มาช่วยวนิ ิจฉัยและเสนอแนวทางในการรักษา
5. คำนวณธาตุตามอายุ เพ่ือนำมาตั้งธาตุตามตารางที่ปรากฏอยูใ่ นตำราทไ่ี ดบ้ ันทกึ และรำ่ เรยี นมา โดย
ธาตุหลักท่ีใช้ในการักษาคือ ธาตุทั้ง 4 ซึ่งอาศัยหลักการของความสมดุลระหว่างธาตุภายในกับธาตุภายนอก
รา่ งกาย ซง่ึ จะเปลย่ี นไปตามเพศและวัยของผูป้ ว่ ย จึงต้องใช้สมุนไพรปรับธาตุในการรักษา เช่น โรคของผู้หญิง
วัยหมดระดู ผู้สงู อายุ หรอื เพศหญงิ ให้ระวงั ช่วงอายุทเี่ ปน็ เลขคู่ ถ้าเพศชายใหร้ ะวงั ชว่ งอายทุ ีเ่ ป็นเลขคี่
6. เส่ียงทาย เช่น ใชไ้ ขส่ ุกกลิง้ ตามตัวผ้ปู ว่ ยแล้วเอาเงินแหก ถ้าพษิ เป็นสีเขียวแสดงว่ามีผีมาทำ ถ้าพิษ
เป็นสีแดงแสดงว่าเป็นเลือดลมในตัว ถ้าพิษเป็นสีดำแสดงว่าเป็นผีอารักษ์ หรือนำใบไม้ เช่น ใบพลู ท่องคาถา
แลว้ เชด็ ไปตามรา่ งกาย ถา้ พบสาเหตขุ องอาการเจ็บปว่ ยอยบู่ รเิ วณใดใบไม้ก็จะติดอยู่บรเิ วณนัน้
7. ใช้คาถาและสังเกตอาการตอบสนอง ถ้าเป็นผีมาโต้ตอบใจหมอก็จะเครียด หรือแสดงออกด้วยการ
พดู เมอ่ื รดน้ำมนต์หรอื ใหด้ ืม่ น้ำมนต์ผีก็จะออกไป
8. น่ังทางใน ทรงเจา นัง่ ผา้ เพ่อื ตรวจหาสาเหตุการเจ็บปว่ ย รวมทั้งชี้แนะแนวทางแกไ้ ข
9. ทำนายจากนิมิตหรือความฝนั ของหมอ โดยใช้ผ้ายันตพ์ นั คอผู้ปว่ ยแลว้ ทำนายฝัน ถา้ ฝันแสดงว่าถูก
กระทำโดยอำนาจส่ิงเหนือธรรมชาติ แต่ถา้ ไม่ฝนั แสดงว่าอาการน้นั เกดิ จากพยาธิสภาพ
10. ใช้ไม้วาคนไข้ เสี่ยงทายไม้ โดยหมอเมืองจะบริกรรมคาถาแล้วให้ผู้ป่วยวัดความยาวของไม้ด้วย
การวาดว้ ยแขนตลอดความยาวของไม้ และใชข้ ี้ผึง้ กำหนดตำแหนง่ ไว้ หลงั จากน้ันให้ผู้ป่วยทนู ไม้ข้นึ เหนือศีรษะ
แล้วอธษิ ฐานเพอ่ื ถามสาเหตแุ ละวธิ ีการดูแลรกั ษา
11. วินิจฉยั เบ้ืองต้นดว้ ยวิธีอ่ืน ๆ ได้แก่ สังเกตเสยี งสัตวร์ อ้ งทกั ทาย เชน่ เสยี งนกแสก หรอื ดดู วงดาว
กระบวนการวิธปี อ้ งกัน ดแู ล รักษาสุขภาพอยา่ งเปน็ องค์รวมตามวิถชี ีวติ ชาวล้านนา
กระบวนการวิธีป้องกันและการดูแลรักษาสุขภาพไม่สามารถจำแนกแยกแยะได้อย่างเด็ดขาด เพราะ
แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงอย่างเป็นองค์รวม ถ้าเจ็บป่วยแล้วจำเป็นต้องให้การแก้ไข
บำบัดรกั ษาไมว่ ่าในด้านจิตใจ กายบำบดั สมนุ ไพรบำบัด หรอื แมแ้ ต่อาหารบำบัด แตเ่ มื่อหายจากการเจ็บป่วย
แลว้ อาจหนั มาฟืน้ ฟสู ภาพให้กลบั เป็นปกติ แล้วไปใช้การส่งเสริมป้องกนั โดยใช้กรรมอยู่ (เหนอื ธรรมชาติ)
1. พธิ กี รรมบำบัด (จิตบำบดั ) เช่น
- บูชาเทียน เป็นพิธีกรรมภายหลงั การดูชะตาราศขี องผู้ป่วยแล้วก็จะบูชาเทียนตามราศีเพือ่ โชคชะตา
หรือรกั ษาโรค
P a g e | 47
- จ๊อย ใช้ทำนองเพลงพื้นบ้านสื่อความเข้าใจกับผู้ป่วยถึงความในใจที่ฝังจิตใจมานานจน ทำให้เกิด
อาการไมส่ บาย เชน่ ปวดศรี ษะ เทียบได้กบั การสะกดจิตของการแพทยแ์ ผนปจั จุ บัน ขณะเดยี วกนั ผปู้ ว่ ยก็ได้รับ
ความเพลิดเพลิน เปน็ การประโลมขวญั และให้กำลังใจแก่ผปู้ ว่ ยอกี ทางหนงึ่
- ขอขมาผปี ยู่ ่า บอกกล่าวและขอขมาลาโทษผีบรรพบรุ ษุ ท่ีไปลบหล่หู รอื ก่อเหตวุ ิวาทข้นึ ในตระกูล
- วานเกิด เดก็ เล็กท่ีเกิดมาแล้วไมเ่ ติบโต ร้องไห้ งอแงเป็นประจำ ผอมเหลอื ง สุขภาพไม่ดี มอื เยน็ เท้า
เย็น ต้องทำพิธีส่งวานเกิด ทำสะตวงแล้วใส่เครื่องต่าง ๆ นำไปวางบนเส่ือปูบนดิน เอาเด็กมาอยู่ใกล้บริเวณทำ
พธิ ี เสรจ็ แลว้ ใหน้ ำสะตวงไปไว้ทศิ ตะวนั ตกและเอาเสอ้ื ฝังดินแล้วมัดมือ (ผูกขอ้ มือ)
- ส่งปู่แถน-ย่าแถน เป็นความเชือ่ ของชาวล้านนาที่เชือ่ ว่าเปน็ ผฟี ้าเทวดาท่ีลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ เป็น
ชายหญิงคู่แรกและเกิดลูกหลานมาเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อถึงรอบวันเดือนปีเกิดก็จะสะเดาะเคราะห์ ส่งสะตวง
เครื่องเซ่นสังเวยใหป้ แู่ ถนยา่ แถน หากไมท่ ำจะทำใหช้ วี ติ ไมม่ ีความสุข อายจุ ะสัน้ หรอื เกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็ ตา่ ง ๆ
- ถอนขดี ถอนสิ่งช่ัวร้ายในบรเิ วณทปี่ ลกู บา้ นเรือนออกจากพน้ื ท่ีและนำไปทงิ้ ทอี่ นื่
- สบื ชะตา ต่ออายุใหย้ ดื ออกไปและเพื่อเปน็ สริ ิมงคล
- สูมาแก้วทั้งสาม เมื่อคนในครอบครัวป่วยหนัก อวัยวะต่าง ๆ ทำงานไม่สะดวก ทำให้หายใจแล ะ
เคลื่อนไหวลำบาก ญาติผู้ใหญ่จะให้ลูกหลานเตรียมขันดอกไม้ธูปเทียนและพานใส่ดอกไม้ธูปเทียน แบ่งเป็น 3
ส่วน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ลูกหลานที่เข้าใจประเพณีนำไปกราบขอขมาพระรัตนตรัยต่อหน้า
พระประธานในวหิ าร เพ่ือขอละ ลด ปลด สิ่งที่เคยทำการไมค่ วร
2. กายบำบดั (ฟื้นฟูสภาพรา่ งกาย) เช่น
- บีบเส้น บีบเอ็น เอาเอ็น ดัดดึง เป็นอากัปกิริยาในการนวด คลึง ดึง ดัดให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งจะมีความ
หนักหน่วงพอกบั การนวดเชลยศกั ดิ์
- เขา้ เฝอื ก โดยใช้ไมไ้ ผห่ รือไมเ้ กี๊ยะ (ไม้สน) ทำเป็นซแี่ ทนเฝือก พนั รอบบริเวณทีม่ กี ระดกู แตกหัก
- ขวากซยุ ใชม้ นต์คาถาประกอบการทานำ้ มนั เพื่อรักษากระดูกหัก
- เชด็ ใชใ้ บไมห้ รอื ขนหมปู ่าเช็ดบรเิ วณทเ่ี จ็บปวด
- แหก ใชม้ ดี หรือเขาสตั ว์กดและถไู ปตามบรเิ วณกล้ามเน้ือ
- ย่ำขาง เป็นการนวด ทาน้ำมนั และประคบร้อนในขณะเดียวกัน โดยใชเ้ ทา้ เหยียบนำ้ สมุนไพรเหยียบ
ขาง (ผานไถ) ท่ีเผาจนร้อนแดง แลว้ เหยียบบนบริเวณทเ่ี จ็บปวดเพือ่ รกั ษาอมั พฤต อมั พาต
- เหนน่ คลา้ ยกบั การกดจดุ
- ตดี ้วยฆ้อน/นมไม้ เพอื่ กระตุกเสน้ ทไี่ ปทับเส้นประสาทที่ทำให้มอี าการชา ถ้านวดอย่างเดยี วอาจไม่ถึง
ตอ้ งตใี ห้เส้นสะดุ้งแลว้ ประคบดว้ ยยา
-ลัน่ ม่าน บบี ม่าน คล้ายกบั การนวดเชลยศักดิ์ท่อี าศยั ความรนุ แรงในการดัดกลา้ มเนื้อและขอ้
- ฝังดิน นำผู้ป่วยที่ปวด/ชา ไปฝังในหลุมที่มีสมุนไพรแล้วใช้ดินกลบให้แน่น เพื่อให้ดินดูดความ
เจ็บปวดออกจากรา่ งกายประกอบการใชค้ าถา
- แชน่ ำ้ รอ้ น นำ้ เยน็
- ลาบสาร (มะเฮง ก้อนไขมัน ก้อนซีส) รดู หรือขุดดว้ ยดาบไม้ไปตามผวิ หนัง
- เชด็ ไข่ ใชไ้ ข่ดบิ เช็ดตามตวั ผูป้ ว่ ยเพื่อดดู พษิ แล้วตอกไข่ออกดู สงั เกตจุดต่าง ๆ ทีเ่ กิดขน้ึ
- แทงมือ กรณีผู้ป่วยมีไข้สูงจะรีดเลือดที่แขนและมือไปที่ปลายนิ้วแต่ละนิ้ว ถ้าเป็นจ้ำสีดำหรือตุ่มลี้/
ตุ่มพิษจะใชห้ นามบง่ ใหเ้ ลือดออก รดี ใหแ้ หง้ แล้วเช็ดดว้ ยฝ้าย ทำจนครบทุกนวิ้ ไขก้ ็จะลดลง
- บง่ ก้น เกา๊ ะตมุ่ เมื่อไมส่ บายมีไขส้ ูง หมอจะใชห้ นามส้มโอบง่ ให้ไขล้ ดลง
- ขดู ใช้มดี ขดู ตามผิวหนังกรณีท่ถี ูกพิษผน่ื คนั เพอื่ ให้ขนบงุ้ ออกมา หรือใชแ้ ป้งมาเสกแล้วคลงึ
P a g e | 48
- เผาเทียน ใชใ้ นกรณีทร่ี ักษาโรคด้วยวธิ ีอ่นื ไม่หาย จะใชค้ าถาอาคมเป่าเปลวเทยี นกำใหญ่ไปที่ร่างกาย
ของผปู้ ว่ ย อาจทำใหผ้ ีในรา่ งกายอาฆาตมาทำรา้ ยหมอได้จึงต้องบำเพญ็ กุศล กนิ เจ ทำบญุ กรวดน้ำไปให้
- ฮมไฟ ฮมควัน นำสมุนไพรเผาไฟให้เกดิ ควัน คลา้ ยการอบสมนุ ไพรแตเ่ ปน็ การรมด้วยควนั
3. สมุนไพรบำบดั อาทิ
- ยาหม้อ ยาตม้ โดยมัดสมนุ ไพรตม้ ในหมอ้ ดนิ เพ่ือเสริมสรรพคุณทางยาให้ครบธาตุท้ัง 4
- ยาหลาม ต้มสมุนไพรในกระบอกไม้ไผ่ ทำใหม้ กี ลิ่นหอมของกระบอกไม้ไผแ่ ละเสรมิ สรรพคณุ ทางยา
- ยาฝน ฝนยาหมู่ ยาตำรับบนหินแลว้ นำน้ำมาดื่มกนิ
- ยาผง เปน็ สมุนไพรตากแห้งแล้วนำมาบดละเอียดเป็นผง
- ยาเม็ด อัดเป็นเม็ดด้วยเครื่อง อาศัยน้ำผึ้ง น้ำข้าวต้ม น้ำเปล่า มหาหิงส์ กะเม็ง ยาฝิ่น ดีหมี มาต้ม
เปน็ ตัวประสาน
- ลกู กลอน ปั้นเปน็ เมด็ ด้วยมือ โดยอาศยั นำ้ ผ้ึง น้ำออ้ ย นำ้ นมววั เปน็ ตัวประสาน
- ยาสูบ มวนสมุนไพรแล้วหั่นเป็นยาเสน้ หอ่ ด้วยใบตองกล้วยตีบหรอื ใบบัว ใชส้ ูบเอาควัน
- ยาดม นำสมุนไพรมากล่นั เอาน้ำมนั หอมระเหยหรือบดเปน็ ผงละเอยี ด นำมาดมหรอื กนิ ก็ได้
- ยาพ่น นำยาสมนุ ไพรมาเคยี้ วในปากแล้วพน่ ใสผ่ ู้ป่วยเชน่ เดยี วกับการพ่นนำ้ มนต์
- ยาสัก นำยาสมุนไพรมาฝนหรือเคี่ยวด้วยน้ำมัน ใช้เหล็กแหลมจุ่มลงไปในน้ำยา สักลงไปบนผิวหนัง
บรเิ วณทีป่ วดของผ้ปู ่วย
- ยาหนีบ เปน็ ยาดูดพษิ ที่ตดิ ไว้บรเิ วณแผล
- ยาสวน เปน็ ยาระบายท่ีปรุงจากยาตำรบั ผสมกับมะขามสุก อดั ใสก่ ระบอกไม้ไผ่ ใช้ไมด้ ันยาเข้าไปใน
ทวารหนัก
- ยาฮม ยาอบ อบสมุนไพรโดยอาศัยไอนำ้ ผ่านตวั ยาสมุนไพร ซึมเขา้ ไปในผวิ หนัง
- ยาก๊อบ ตำยาสมนุ ไพรพอกบนบริเวณทป่ี วดและทบั ไวด้ ว้ ยผา้
- ยาจู้ ประคบความร้อนด้วยสมนุ ไพร หรอื เผาก้อนหนิ ใหร้ ้อนแลว้ ห่อผ้ามาประคบ
- ยาอาบ ยาแช่ นำสมุนไพรมาแชห่ รือตม้ แล้วนำมาอาบ
- ยาดดู พิษ ใชย้ ากอ๊ ก/ยาพอกในการดดู พิษ
4. อาหารบำบัด (กรรมกนิ ) ไดแ้ ก่
- อาหารแสลง ห้ามผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ กิน เช่น อาการปวดห้ามกินอาหารเย็น เช่น ฟัก แฟง แตง
กวา่ หน่อไม้
- อาหารผิดกนิ เมื่อกินอาหารแสลงแลว้ เกดิ อาการเจบ็ ป่วย เช่น ห้ามหญงิ หลงั คลอดกินของดองเพราะ
จะเวียนศีรษะ เป็นลมผิดเดือนเม่ืออายุมากขน้ึ
- อาหารผดิ สาบ มีกลน่ิ แสลงต่อโรค เช่น ของทอด ของมัน
- อาหารร้อน-เย็น มีรสและสรรพคุณสอดคล้องกับธาตุต่าง ๆ เช่น ห้ามผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารกิน
อาหารเผด็ ร้อน หรือหา้ มผปู้ ่วยเบาหวานกินของเย็น เช่น ตำลงึ ผกั แว่น ผกั บุ้ง
- อาหารปรบั ธาตุ สมุนไพรปลกุ ธาตุ ต้องตรวจจักรราศเี มอื่ เจบ็ ป่วยว่าต้องปลุกธาตุใดขน้ึ มาบ้าง
- อาหารตามธาตุ กินอาหารท่ีมสี ว่ นประกอบสมดุลและชว่ ยเสริมสรา้ งสว่ นทึ่สึกหรอขน้ึ ในร่างกาย
- อาหารบำรุง เช่น อาหารบำรุงกำลังช่วยให้เจริญอาหารหรือให้พลังงานสูง อาหารบำรุงน้ำนมเป็น
อาหารที่มียางใส เย็น ช่วยให้มีน้ำนมมาก อาหารบำรุงเลือดซึ่งมีทั้งพืชและเลือดสัตว์ เช่น หลู้ ใช้เลือดหมูสด
ประกอบการ อาหารบำรงุ สมอง ไดแ้ ก่ สมองสตั ว์ อาหารบำรงุ สายตาที่สว่ นมากเปน็ อาหารประเภทแกล้ ม เช่น
จะคา่ น กระเทียม
P a g e | 49
- อาหารอายุวัฒนะ เช่น กลว้ ยนำ้ ว้า น้ำผึ้ง
- อาหารฤดกู าล ผักและผลไมต้ ามฤดกู าลมคี วามสมดลุ กนั หากกินผดิ ฤดอู าจเป็นสาเหตใุ หเ้ จ็บปว่ ยได้
- อาหารทมี่ รี สขม เช่น ผักแปมแกไ้ ข้ บำรงุ น้ำดี
- อาหารที่มีรสฝาด ชว่ ยสมานแผล บำรงุ เนือ้ เยื่อและกลา้ มเน้อื
- อาหารหวาน ชว่ ยบำรงุ ประสาทและหวั ใจ
- อาหารอยูเ่ ดือน สำหรับหญงิ หลังคลอดท่ีอยู่ไฟ มกั เนน้ อาหารแห้งเพอื่ ให้มดลูกแหง้ และเขา้ อเู่ ร็ว
- อาหารเกิดง่าย เนน้ อาหารที่มยี างและไขมัน ไม่กนิ ของหวานเพราะจะทำใหเ้ ด็กตวั โต คลอดยาก
- อาหารชกู ำลัง มที ้ังสัตว์และพชื เชน่ จะคา่ นในแกงแค เปน็ ยาบำรงุ กำลัง แก้กามตายด้าน
5. การถือปฏิบัติ (กรรมอยู่) หมายถึง การประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม อยู่
ร่วมกันได้กบั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ เหนอื ธรรมชาติ อาทิ
- ยันต์ เช่น เสื้อยันต์ป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ผ้ายันต์แผ่นเล็ก ๆ ติดตัวไว้ป้องกันวิญญาณร้ายและ
เมตตามหานิยม เทยี นโดยเขยี นยันตใ์ สเ่ ขา้ ไป ทอง ยันต์ขค้ี ร่ัง ยนั ต์หนงั ซึ่งมักทำร้ายคนอนื่
- ยาป๊อด (ยาด่วน) แก้เคล็ด เป็นยาเดย่ี วทีส่ ามารถหยิบฉวยมาใชไ้ ด้ทนั ที เป็นยาปจั จุบนั ทันด่วน เช่น
แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกใหใ้ ชว้ า่ นหางจระเข้ หรอื เปน็ แผลเลือดออกใหใ้ ช้เสอื หมอบตำแลว้ นำมาพอก
- ยาสัจจะ เป็นยาที่คนเก็บยาเก็บอย่างถูกต้องตามสัจจะที่ร่ำเรียนมา เพื่อเสริมสร้างสรรพคุณทางยา
เช่น ห้ามขุด ใหใ้ ชถ้ อนไดอ้ ย่างเดยี ว เมอื่ เก็บยาตอ้ งกลนั้ หายใจแลว้ จงึ เดด็
- คาถาอาคม ลงอกั ขระ ยาบางตำรับต้องเขยี นยันต์ไว้ท่ีก้นหม้อ ใบยา หรอื ทำผา้ ยันต์ปิดฝาหม้อ เพื่อ
แกค้ ณุ ไสยและเสรมิ สรา้ งสรรพคณุ ทางยา
- ทศิ ทาง กำหนดทิศทห่ี มอจะเดินทางไปรกั ษาผปู้ ่วย หากขัดต่อราศีก็ไม่สามารถรักษาผู้ปว่ ยให้หายได้
- ตำแหน่ง ดูจากจักรราศีทั้ง 8 ตำแหน่ง ถ้าหมออยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่าผู้ป่วยก็ไม่สามารถรักษาให้
หายได้
- ฤกษง์ ามยามดี เคราะหห์ ามยามซวย ผปู้ ว่ ยบางคนอาศัยฤกษย์ ามทจี่ ะมาหาหมอเพ่ือใหถ้ ูกโฉลกและ
หายปว่ ยไดง้ า่ ย
- ปลกู หรอื ใช้พชื พันธุ์กนั ผี เชน่ หนาดดำ หนามเลบ็ แมว ร้านผพี า่ ย สะลีกันใจ ว่านผีเบ่ือ ผหี มอบ
- ขนึ้ ท้าวทัง้ สี่ ในเทศกาลต่าง ๆ เชน่ ข้ึนบา้ นใหม่ งานศพ งานปีใหม่ เพ่ืออญั เชิญท้าวทั้งสี่มารับรู้เป็น
สักขีพยาน และปดั เป่าภยั
- ไมม้ งคล เช่น วา่ นนางคุ้ม วา่ นมหาลาภ ตน้ แหน่ง ธรณสี าร ว่านห้ารอ้ ยนาง กระดังงา
- ฝังธนู เมื่อย้ายไปอยู่บ้านใหม่อาจเสกควายธนูที่ทำด้วยหิน ไม้ หรือใบตองฝังไว้ 4 ทิศของบ้านเพ่ือ
ปอ้ งกนั อนั ตราย
- ลงอ่างต่ำเปีย้ น รักษาคนป่วยโดยใช้ถ้วยดินเขียนคาถาแล้วนำนำ้ มันงาใส่โดยใช้ฝ้ายมดั เป็นตีนกาทำ
เป็นไส้ จุดที่บริเวณเหนือศีรษะและปลายเท้าของผู้ป่วยเพื่อถอนพยาธิ จะทำวิธีนี้เมื่อไม่สามารถรักษาด้วยวิธี
อ่นื ใหห้ ายได้
- เฮยี กขวัญเสา (เสามงคล) ทำบญุ บา้ น เรียกขวญั เสามงคลใหผ้ ้อู าศัยอยู่เย็นเปน็ สขุ
- ข้อห้ามและข้อบังคับให้ปฏิบัติตนในช่วงที่อยู่ในภาวะพิเศษ เช่น หญิงมีครรภ์ห้ามเข้าใกล้วัวควาย
หา้ มไปทา่ น้ำ ห้ามนง่ั คาบนั ไดบา้ น หา้ มตอกตะปู หา้ มเย็บหรอื ยดั หมอน จะทำใหค้ ลอดยาก ส่วนผู้มีอาคม เช่น
หมอหรือปจู่ ๋าน จะถือปฏิบัติตนในเร่ืองการลอดใตเ้ รอื นหรอื ผา้ ซ่ินผ้หู ญิง รวมทง้ั ไมก่ นิ ข้าวบ้านศพ จะทำให้วชิ า
อาคมเสอ่ื ม ไมข่ ลัง
P a g e | 50
ทั้งนี้ การสังคายนาองค์ความรู้หมอเมืองใน 750 ปีประวัติศาสตร์ล้านนา และถอดบทเรียนผ่าน
กระบวนการวิจัย ทำให้มีพลังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอที่จะก่อให้เกิดผลกระทบทั้งในแนวด่ิง
และแนวราบ ทั้งเชิงลึกและในวงกว้างตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่นผ่านตัวหมอพื้นบ้าน ระดับองค์กร ตลอดจน
สถาบันภาครัฐและภาคธุรกิจผ่านองค์กรเครือข่ายประชาชน สถานประกอบการบริการธุรกิจสุขภาพ
สถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐด้านบริการสุขภาพและทรัพยากรธรรมชาติด้านสมุนไพร จนถึงระดับชาติผ่าน
นโยบายและแผนงานการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพและการแพทย์พื้นบ้านไทย รวมถึงการจัดการ
โครงสร้างและองค์กรระดับชาติและท้องถิ่น เพื่อสนองนโยบายและแผนดังกล่าว ตลอดจนสามารถนำไปสู่การ
บรรจบกับแนวโน้มและกระแสโลก นั่นคือ การหวนกลับไปฟื้นฟูการแพทย์ดั้งเดิม เพื่อเป็นทางเลือกของ
องค์การอนามัยโลก และการตื่นตัวในการอนุรักษ์มรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรมท้องถิ่นของยูเนสโก อันเป็น
การเช่อื มโยงจากระดับรากหญา้ ส่รู ะดบั ประเทศและสากลโลก30
การขยายผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในระดับต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น
- การทำงานเชื่อมโยงระดับนโยบายร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และก่อตั้งวิทยาลัยการแพทย์
พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยเปิดหลักสูตรการเรียนการ สอน
สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยต้ังแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
- การร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเปิดให้บริการแก่สาธารณะ เช่น สถานีขนส่งเชียงราย
สถานพยาบาลการแพทย์แผนไทย อบต.ป่าตึง ในการบำบัดรักษาชาวบ้านและชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ในพื้นที่
โดยไม่คิดค่าบริการ
- โครงการกำลังใจตามพระดำริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ณ เรือนจำกลาง
เชียงราย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง และสังคมยอมรับการแพทย์แผนไทยพื้นบ้านเป็นอีก
ทางเลือกหน่ึงในการรักษาโรค
- การเชื่อมโยงหมอพื้นบ้านสู่โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยแห่งแรกในภาคเหนือ โดยได้รับ
งบประมาณสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย
- การเชื่อมโยงองค์ความรู้กับเครือข่ายการแพทย์พ้ืนบ้านลุ่มน้ำโขง ได้แก่ จีน ลาว และพม่า
- องค์การยูเนสโกได้นำองค์ความรู้ไปใช้เป็นโมเดลในการยกระดับความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านสู่
การแพทย์ระดับประเทศ และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพรใน
เครือข่ายองค์การอนามัยโลก เขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายการแพทย์พื้นบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ตอนบน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ผลการศึกษาก่อให้เกิดตำราอ้างอิง
กลางในกลุ่มหมอพื้นบ้านจำนวน 4 เล่ม ได้แก่ ตำราทฤษฎีการแพทย์พื้นบ้านล้านนา ตำราเภสัชกรรมการ
แพทย์พื้นบ้านล้านนา ตำรากายภาพบำบัดของการแพทย์พื้นบ้านล้านนา และตำราพิธีกรรมบำบัด จิตบำบัด
ของการแพทย์พื้นบ้านล้านนา รวมทั้งเกิดเครือข่ายเพื่อพัฒนาในอนาคต ทั้งยังทำให้ระดับนโยบายเกิดการ
ยอมรบั หมอพ้นื บ้านหรือหมอเมืองมากขน้ึ โดยเชญิ หมอเมอื งเข้ารว่ มงานบรกิ ารสุขภาพในสถานบริการสุขภาพ
ของรัฐในฐานะผู้ช่วยแพทย์หรือผู้ช่วยเจ้าหน้าท่ีสาธารณสขุ หรือการออกใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์แก่หมอ
พื้นบ้านให้มีสิทธิตามกฎหมายในการรักษา ทำให้หมอพื้นบ้านพ้นสภาพของหมอเถื่อน ที่สำคัญเป็นการเพ่ิม
โอกาสให้กับประชาชนที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการของแพทย์แผนปัจจุบันได้เด็ดขาด เพราะ
คนกลุ่มนี้จะมีทางเลือกในการทดลองรักษาด้วยวิธีการพ้ืนบ้าน ซึ่งสามารถทดแทนส่ิงท่ีขาดหาย ตอบสนองท้ัง
ทางสขุ ภาพกายและสขุ ภาพใจ
30 ขา่ ว ทง่ึ ผลงานแพทยแ์ ผนไทยโกอนิ เตอร.์ เวบ็ ไซต์คมชัดลึก 17 กุมภาพนั ธ์ 2556 https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/152058
P a g e | 51
ปัจจุบันโครงการยังจัดการศึกษาเป็นหลักสูตรท้องถิ่น เช่น ชนเผ่าอาข่าที่สามารถพัฒนาหลักสูตร
ท้องถิ่นในโรงเรียนและจัดการเรียนการสอน ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น สำหรับ
ระดบั อดุ มศกึ ษาในหลักสูตรปริญญาตรี โท เอก เปิดสอนทวี่ ทิ ยาลัยการแพทย์พืน้ บ้าน และการแพทย์ทางเลือก
นอกจากนม้ี หาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงรายยงั ทำการวิจัยแพทยพ์ ื้นบา้ นเพ่ือสร้าง ‘เครอื ขา่ ยหมอพื้นบ้านลุ่มน้ำโขง
ตอนบน’ เช่น เครือข่ายหมอพื้นบ้านสิบสองปันนา เครือข่ายหมอพื้นบ้านเชียงตุง เครือข่ายหมอพื้นบ้านหลวง
น้ำทา-บ่อแก้ว ผ่านกระบวนการในรูปแบบการจัดเวทีกลางเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาเครือข่ายความ
ร่วมมือด้านการวจิ ัยและการพัฒนาการแพทย์และสมนุ ไพรพืน้ บ้านระหวา่ งหมอพืน้ บ้านในอนุภมู ภิ าคลุ่มน้ำโขง
ตอนบน จนเกิดแนวคดิ ในการจดั ตัง้ “สถาบันวิจยั และพัฒนาการแพทย์พ้นื บ้านและสมนุ ไพรลุ่มน้ำโขง” ใน
สังกดั วทิ ยาลัยการแพทย์พื้นบา้ นและการแพทย์ทางเลือก มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงราย ซงึ่ การดำเนินดังกล่าว
ได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัยและพัฒนาการแพทย์ชนเผ่า สิบสองปันนา และสมาคมการแพทย์ชนเผ่า
แห่งชาติจีน อันจะทำให้ภูมิปัญญาพื้นบ้านของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุก
รปู แบบ ทัง้ ในแง่ของการเรียนการสอน ตำรา การปอ้ งกันและรักษาโรค ฯลฯ ตอ่ ไป31
• สบื สานภมู ิปญั ญาไทย ด้วยสมนุ ไพรท้องถิน่
จากกระแสละคร “ทองเอกหมอยาท่าโฉลง” ทป่ี ลุกความนิยมสมุนไพรไทยให้กลบั ฟน้ื อีกคร้ัง หลงั เป็น
ที่ยอมรับมาอย่างยาวนานในการนำพืชสมุนไพรพื้นบ้านมาทำเป็นยารักษาโรคมีทุกยุคสมัย แต่ความคิดหรือ
ค่านยิ มอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อาจารย์แพทย์คมสัน ทนิ กร ณ อยธุ ยา แพทยไ์ ทยในราชสกลุ ทินกร ลำดับ
ที่ 6 ซึ่งเป็นราชสกุลแพทย์แผนไทยมาตั้งแต่ลำดับชั้นที่ 1-7 ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ผู้อยู่
เบอ้ื งหลังการเผายา และเป็นที่ปรึกษาใหก้ ับกองละครเรื่องนี้ ไดน้ ำองคค์ วามรอู้ นั ตกทอดจากรุ่นสู่รนุ่ สมบัติภูมิ
ปัญญาที่สืบทอดกันมาในราชสกุลแพทย์ทินกรสอดแทรกในทุกช่วงตอนของละครให้ผู้ชมได้รับประโยชน์
ปจั จุบันสตู รยาไดค้ ืนสแู่ ผน่ ดนิ โดยอุทศิ ให้เกบ็ รักษาไวท้ ่พี ิพิธภัณฑก์ ารแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทย32
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกบั หน่วยงานทีเ่ กย่ี วข้องจดั ทำแผนแมบ่ ทแห่งชาติวา่ ดว้ ยการพฒั นาสมุนไพร
ไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ มาตรการ และแผนงานต่าง ๆ ท่ี
31 ขา่ ว ม.ราชภฏั เชียงรายเดินหนา้ สรา้ งเครอื ขา่ ยแพทยพ์ นื้ บา้ น 4 ชาติลมุ่ น้ำโขง. เวบ็ ไซตผ์ ู้จัดการ วันท่ี 21 กมุ ภาพันธ์ 2552
https://mgronline.com/local/detail/9520000020015
32 แจก 5 สูตรสมนุ ไพรไทย “ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง”. เวบ็ ไซต์ Aroundonline 6 มนี าคม 2562 https://www.aroundonline.com/interesting-
herb/
P a g e | 52
ครอบคลุมการพฒั นาสมุนไพรไทยตั้งแตต่ น้ ทาง กลางทาง และปลายทาง เพื่อให้ใน 5 ปี ข้างหน้าประเทศไทย
จะเป็นประเทศส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งเพ่ิม
ขดี ความสามารถในการแข่งขันของสมนุ ไพรไทยในตลาดท้ังในและต่างประเทศอยา่ งต่อเน่ืองและเปน็ ระบบ อัน
จะนำมาสู่ความม่ังคงทางสุขภาพและความย่ังยนื ของเศรษฐกจิ ไทยต่อไป33
สำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.) เล็งเห็นความสำคัญของ “สมุนไพรไทย” ทเี่ ป็นเอกลักษณ์
ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมความเป็นชาติไทยที่ไดส้ ัง่ สมมาแต่โบราณกาล ประเทศไทยมีองค์ความรู้ที่เกีย่ วกับการใช้
สมุนไพรเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ทั้งเพื่อเป็นเครื่องประกอบในอาหารคาว-หวาน เป็นยารักษาโรคและ
การดูแลสุขภาพของประชาชนในชุมชนโดยอาศัยศาสตร์การแพทย์พื้นบ้าน เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาความ
สวยงาม รักษาบาดแผล หรือแม้แต่ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ภูมิปัญญาเหล่านี้ได้รับการสืบทอดต่อกันมาอย่าง
ยาวนานจากรนุ่ สรู่ นุ่ โดยอยู่ในวถิ ีการดำเนินชวี ิตของประชาชนชาวไทย ทำให้มเี อกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมท่ีโดด
เด่นและน่าสนใจ จึงได้จัดงานเสวนาและนิทรรศการ “สืบสานภูมิปัญญาไทย ด้วยสมุนไพรท้องถิ่น” เพื่อ
เผยแพร่องค์ความรู้และผลิตภัณฑ์ที่มีสมุนไพรเป็นองค์ประกอบจากงานวิจัย ตลอดจนสนับสนุนการใช้
ประโยชนจ์ ากสมุนไพรไทยสู่การจำหน่ายในเชิงพาณชิ ย์และการรักษาทางการแพทย์ อีกทั้งยกระดับมาตรฐาน
การทำวจิ ยั และผลติ ภัณฑจ์ ากสมุนไพรตามยทุ ธศาสตร์ของประเทศ โดยผลงานจากโครงการวจิ ัย ประกอบดว้ ย
• สมนุ ไพรและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ของวสิ าหกิจชุมชนกลุ่มสมุนไพรอนิ ทรีย์ ต.ทา่ มะไฟหวาน อ.
แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ รวมถึงฟ้าทะลายโจรแห้งอินทรีย์และเพชรสังฆาตอินทรีย์ ซึ่งผ่านมาตรฐาน IFOAM และ
นำส่งแกม่ ูลนธิ ิโรงพยาบาลเจา้ พระยาอภัยภูเบศร
• ผลิตภัณฑ์จากเมืองสปาน้ำพุร้อน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ โดยคณะวิจัยจากสถาบันพัฒนาวิสาหกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อม ประกอบด้วย สบู่กาแฟเขียว มาส์กกาแฟแบบลอกออกได้ ที่มีส่วนผสมของกาแฟ
เชอร์รี่ สารกลุ่มโพลีฟีนอล ได้แก่ คาเฟอีนและฟลาโวนอยด์ ตลอดจนสารสกัดมะหาด ชะเอมและกรดโคจิก
รวมถึงครีมนวดน้ำพุร้อนเค็ม ครีมนวดน้ำพุร้อนและโลชั่นน้ำตกร้อน ด้วยคุณสมบัติของน้ำตกร้อนด้านความ
งามมาผสมผสานกับกาแฟเชอร์รี่ สารสกดั จากมะหาด ชะเอม กรดโคจกิ และแกน่ ฝาง
• ซีรั่มเสริมการงอกของเส้นผมจากสารสกัดจากแสมทะเล โดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษาโครงการพัฒนากำลังคนและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) ซึ่งช่วย
ชะลอการหลุดร่วงและกระตุ้นการงอกของเส้นผม โดยผลการทดสอบในอาสาสมัครที่มีภาวะผมร่วงแบบ
พันธุกรรมในเพศชายเป็นเวลา 4 เดือน พบว่าบริเวณที่ตอบสนองต่อสารสกัดส่วนใหญ่ คือ บริเวณกลางศีรษะ
ซ่งึ เกดิ การหลุดรว่ งตอ่ จากด้านหนา้ เหนือหนา้ ผาก
33 แผนแมบ่ ทแห่งชาตวิ า่ ดว้ ยการพฒั นาสมนุ ไพรไทย ฉบับท่ี 1 พ.ศ. 2560-2564
P a g e | 53
ดร. ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อำนวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กรมการแพทย์แผนไทยและ
การแพทยท์ างเลือก กลา่ วว่า แผนแม่บทแห่งชาติว่าดว้ ยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบบั ที่ 1 (พ.ศ. 2560–2564)
กำหนดเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำของ
ภูมิภาคอาเซียนในอีก 5 ปีข้างหนา้ และมีมลู ค่าของวตั ถดุ ิบสมุนไพรและผลิตภณั ฑ์ภายในประเทศเพ่ิมข้ึนอย่าง
น้อย 1 เทา่ ตวั อยา่ งไรกต็ าม อตุ สาหกรรมนีย้ ังไมส่ ามารถเติบโตได้เพราะขาดโครงสร้างพนื้ ฐานและเทคโนโลยี
จึงต้องมีนวัตกรรมที่จะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าและมีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ต้องทำ
การตลาดให้คนทั่วโลกเห็นประเทศไทยในอีกมุมหนึ่งว่าเรามีสมุนไพรที่มีคุณภาพและหลากหลาย รวมถึงมี
ระบบสนับสนุนที่ดี หัวใจของการขับเคลื่อนจึงต้องมีแผนแม่บทและการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย แม้ สกว.จะให้
ทุนพัฒนายาเป็นจำนวนมากแต่ยังขายไม่ได้เพราะกฎระเบียบยังไม่เปิด คณะกรรมการนโยบายระดับชาติ
จะตอ้ งกำหนดกฎหมายใหมเ่ พ่อื รองรบั กติกาท่เี หมาะสมกับประเทศมากขึ้น
นางสุนันทา โรจน์เรืองไร หัวหน้าโครงการฟื้นฟูศรัทธาต่อการรักษาโรคหวัด โรคกระเพาะด้วย
สมุนไพรพื้นบ้านของ ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ระบุว่าเพื่อแก้ปัญหาคนในชุมชนไม่รู้จักการใช้ยา
สมุนไพรในการลดรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย จึงร่วมกันยกระดับสมุนไพรพื้นบ้านเป็น
ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอินทรีย์ที่สามารถสร้างรายได้แก่ชุมชน ทำให้เศรษฐกิจในชุมชนฐานรากขับเคลื่อนได้
นอกจากทำอาชพี เกษตรกรรมและรบั จา้ ง แต่จุดออ่ นของท้องถนิ่ คอื ข้อควรระวงั ในการใชย้ าในระดบั ชาวบ้าน
เช่น กลมุ่ ยาท่มี ผี ลออกฤทธ์ิขา้ งเคยี งกับโรคสำคัญอยา่ งโรคหวั ใจ รวมถงึ การสนบั สนุนใชส้ มุนไพรในครัวเรือนท่ี
มงี านวิจยั รองรับเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความมั่นใจ
นายชตุ ิพงศ์ กอร์ปอริยจติ ประธานกรรมการบรหิ ารกลุ่มบริษทั กยุ ลิ้มฮ้งึ -ปราชญา จำกดั ซ่ึงได้รบั การ
ส่งต่อตำรับยาจากรุ่นสู่รุ่น เน้นการรักษาความสมดุลของการเจ็บป่วยและอวัยวะในร่างกาย และนำเข้า
สมนุ ไพรจากหลายประเทศ กลา่ วถงึ การคดั เลอื กตำรบั ยาเพ่ือทำงานวิจยั วา่ เกิดจากความต้องการทางการตลาด
ปัจจุบันคนอยู่ในสภาวะเครียดกันมากส่งผลต่อการหมุนเวียนโลหิตในสมอง รวมถึงตำรับเกี่ยวกับการขับ
สารพิษท่ีจะช่วยให้ลำไส้ใหญ่ทำงานดีขึ้น แต่ที่ผ่านมายงั มีปัญหาด้านการส่ือสารเพราะตำรบั ยาค่อนข้างเข้าใจ
ยาก หากคนไข้มีความซับซ้อนของอาการเจ็บป่วยจะมีทีมแพทย์แผนจีนวินิจฉัยและให้คำปรึกษา ปัจจุบันคน
นิยมหันมาใช้แพทย์ตะวันออกและแพทย์ทางเลือกมากขึ้น เพราะเข้าใจง่าย ราคาถูกกว่า และมีมาตรฐาน
รองรับ ซึ่งการพิสจู นเ์ พอื่ กำหนดหลกั ฐานทำได้ค่อนขา้ งยากแต่โชคดีทไ่ี ดน้ ักวิจัยด้านการแพทย์มาชว่ ยเร่ืองการ
ขนึ้ ทะเบยี น ซงึ่ ตนมองว่าทุกคนตา่ งกม็ ีหนา้ ท่ีของตวั เอง การยกระดบั สมนุ ไพรจงึ ตอ้ งชว่ ยกันทกุ ภาคส่วน
ดร.สมพลนาท สัมปตั ตะวนชิ คณะแพทยศาสตร์ศริ ิราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กลา่ วว่า ยังไม่มี
กลไกใดที่เน้นเรื่องข้อบ่งชี้ในการใช้ยา ซึ่งการพัฒนายาของตะวันตกค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตั้งแต่
เรม่ิ ต้น ศูนย์ SISP ของศิรริ าชมพี ันธกจิ ในการคดิ ค้นนวัตกรรมการผลิตเพื่อพฒั นายาใหมแ่ ละการแพทย์แม่นยำ
รวมถงึ พัฒนาบคุ ลากรเพื่อตอบปัญหาดังกล่าว หลักสำคญั ของการแพทย์แมน่ ยำ คือ การใชย้ าตรงเป้าหมายได้
ผลสัมฤทธิ์ ผลการศกึ ษาพบวา่ สิบอันดับยาขายดีทีส่ ุดในโลกเป็นยาแผนปจั จุบันของตะวันตก แตน่ า่ แปลกใจว่า
แม้จะมีข้อบ่งชี้ชัดเจนแต่การนำไปใช้กลับไม่ได้ผลทั้งหมด จึงเกิดคำถามว่าใครจะใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากทีส่ ดุ ปญั หาการข้นึ ทะเบียนยามักติดปัญหาเชิงคลินิก แตส่ ่งิ ทีผ่ ู้ประกอบการต้องการคือ ประสิทธิภาพของ
ข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน จึงมุ่งศึกษาฤทธิ์ของยาแบบมุ่งเป้าในระดับโมเลกุล ซึ่งน่าจะขยายผลใช้กับสมุนไพรเชิงเดี่ยว
ของไทยไดจ้ ำนวนมาก ตลอดจนพฒั นาไบโอเซนเซอร์การตดั ต่อพันธุกรรมให้กับเซลล์เพาะเล้ยี ง เพ่ือดูฤทธิ์ทาง
ชวี ภาพไดอ้ ย่างจำเพาะ โดยนำภาพถา่ ยการออกฤทธิ์เปน็ รายวินาทีมาเปรียบเทยี บหน้าตายาไดห้ ลายตำรับเพ่ือ
หาความแตกต่าง ซึ่งสามารถต่อยอดในภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ในระดับแชมเปี้ยนได้ ทั้งน้ี ไทย
P a g e | 54
เป็นฐานผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมายรวมทั้งเวชภัณฑ์ที่มีโอกาสค่อนข้างมากในตลาด จึงต้องผลักดันนวัตกรรม
ต้ังแต่ฐานขอ้ มูล การกำหนดตลาด มองรว่ มกนั จากหลายภาคส่วน
นายศุภสิทธิ์ ปราชญาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เซลล์ดีเอ็กซ์ จำกัด เล่าประสบการณ์ใน
การทำสตาร์ทอัพไบโอเทคที่สหรัฐอเมริกา ว่าทำให้สนใจเทคโนโลยีของศิริราชด้านโอมิกส์เชิงระบบและเซลล์
ไลน์ไบโอเซ็นเซอร์ เพราะเห็นช่องทางในการต่อยอดงานด้านสมุนไพรที่จะเดินหน้าไปทั้งด้านการวิจัยและ
พัฒนา การทดสอบฤทธิ์ การควบคุมการผลิต รวมถึงการคัดเลือกวัตถุดิบ จึงได้ก่อตั้งบริษัทเพื่อทดสอบสาร
ออกฤทธิ์ด้วยเทคโนโลยีของนักวิจัย ซึ่งไทยมีความหลากหลายทางชวี ภาพมาก ถ้านำความรูด้ ้านการวเิ คราะห์
ข้อมูลขนาดใหญ่และเภสัชวิทยาเชิงระบบที่มีการวางแผนงานและข้อมูลที่ชัดเจนก็จะเกิดประโยชน์อย่างมาก
ต่อผปู้ ระกอบการ ซ่ึงสอดคล้องกับการตอบโจทย์ยุทธศาสตรข์ องประเทศ34
• การสร้างความเปน็ หนุ้ สว่ นของสถาบันอุดมศกึ ษากบั รัฐและเอกชนในการส่งเสริมความ
เปน็ สังคมสร้างสรรค์
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันแตกต่างจากยคุ ก่อนหน้านี้ทีเ่ น้นการเขา้ ถงึ และใช้ทรัพยากร
เพื่อการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ขณะที่ทรัพยากรที่มีค่าในยุคศตวรรษที่ 21 คือ มนุษย์และทรัพยากรที่จับต้อง
ไม่ได้ ได้แก่ ความรู้ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ภูมิปัญญา ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคนทุกสังคม หากนำศักยภาพและทุน
เหล่านี้มาสร้างและเพิ่มมูลค่าจะช่วยลดข้อจำกัดของการพัฒนาประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและ
สังคมโลก โดย UNCTAD (2008:3) กล่าวว่า ความสร้างสรรค์คือ “การก่อรูปของความคิดใหม่และการ
ประยกุ ต์ใช้ความคิดเหล่านี้ในการสรา้ งสรรคช์ นิ้ งานทางศลิ ปะ วัฒนธรรม สง่ิ ประดิษฐ์ และนวตั กรรม” ซ่ึงต้อง
บูรณาการศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ ท้งั เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยี เปน็ ศูนย์กลางการสรา้ งสรรค์
ประเทศไทยเป็นหน่ึงในหลายประเทศท่ีพยายามก้าวเขา้ ส่กู ารเปน็ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การพัฒนา
เศรษฐกิจของประเทศข้ึนอยู่กับการใชค้ วามคดิ เชงิ สรา้ งสรรค์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศในการเพ่ิม
มูลค่าทางเศรษฐกิจ ดังที่ปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบับที่ 11 ที่ให้ความสำคัญกบั การ
พัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศไปสู่การเป็นเศรษฐกิจเชงิ สรา้ งสรรค์
การศึกษาเปน็ เคร่อื งมือพัฒนามนุษยแ์ ละสังคมให้อยรู่ ่วมกนั อย่างผาสุก แตใ่ นปัจจบุ นั ระดบั อุดมศึกษา
ให้ความสำคัญกับบทบาทในมิติเศรษฐกิจ กล่าวคือ การพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพที่เป็นไปตาม
โครงสรา้ งและกลไกของตลาดแรงงาน โดยคุณภาพของบณั ฑติ ไมต่ รงกับความต้องการของผู้จ้างงานเพราะขาด
ทักษะความสามารถในการปฏิบัติงานจริง นอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาที่เน้นวิจัยและมุ่งสู่ World Class
University เน้นการสร้างองค์ความรู้และให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์องค์ความรู้เพื่อตีพิมพ์มากกว่าทำ
วิจัยสู่การใช้ประโยชน์ ดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติไปสู่การพัฒนามนุษย์และสังคมอย่างเป็นองค์รวม
สามารถออกแบบและจัดการกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และองค์ความรู้เป็นฐานของ
การพัฒนาไปส่คู วามยง่ั ยืนบนจติ สำนึกของการอยรู่ ว่ มกนั อย่างเสมอภาค
การจดั การกบั ความทา้ ทายของสังคมโลกต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคสว่ น ซ่ึงแนวคิดความเป็น
หุ้นส่วนของสถาบันอุดมศึกษากับรัฐกับเอกชนได้รับการเน้นย้ำ โดยเฉพาะการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามหลายประเทศถูกตัดลดงบประมาณภาครัฐในการจัดการระดับอุดมศึกษา อีกท้ัง
จำนวนคนเรียนลดลงในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว การใช้ทรัพยากรจัดการเรียนการสอน
34 งานเสวนาและนทิ รรศการสืบสานภมู ิปญั ญาไทย ดว้ ยสมนุ ไพรทอ้ งถ่ิน. เว็บไซต์ สำนักงานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย 5 มีนาคม 2562.
https://tsri.or.th/th/news/content/387/thai-local-wisdom-in-natural-herbs
P a g e | 55
รว่ มกันจึงเปน็ ทางเลือกหน่งึ เพ่ือลดข้อจำกัดท่ีแตล่ ะภาคส่วนมีอยู่ได้ ซงึ่ ความร่วมมอื ระหวา่ งสถาบันอุดมศึกษา
ของรฐั กบั เอกชนพบวา่ มีค่อนขา้ งมากในระดบั นานาชาติ แตร่ ะดับชาตยิ งั ไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจน
นอกจากน้คี วามเป็นหนุ้ ส่วนของสถาบันอุดมศึกษากับรฐั และเอกชนในระดับอ่ืน ๆ ในการพัฒนาสังคม
และประเทศมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาคประชาชนมีบทบาทในการพัฒนาประเทศมากขึ้นโดยได้รับ
การเสริมแรงมากขึ้น รวมทั้งความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับสถาบันการศึกษาระดับอื่น ๆ เช่น
การศกึ ษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา เพราะการบม่ เพาะความสร้างสรรคจ์ ำเป็นต้องเร่มิ ทร่ี ะดบั วัยเยาว์ ปัญหา
การศึกษาไทยที่ผ่านมาดำเนินการแบบแยกส่วนจึงขาดความต่อเนื่องทางความคิด สถาบันอุดมศึกษาสะท้อน
ปัญหาคุณภาพผู้เรียนที่สั่งสมมาจากระดับขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องพิจารณาและดำเนินการ
รว่ มกนั เพอื่ ให้เกดิ ความตอ่ เน่ืองของการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์35
อนาคตภาพทีพ่ ึงประสงคข์ องความเปน็ สังคมสรา้ งสรรค์ในสงั คมไทย
1. แนวคดิ เกี่ยวกับสังคมสรา้ งสรรค์
จุดร่วมที่เป็นองค์ประกอบหลัก คือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมท่ี
นำไปสู่การพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามจุดเน้นดังกล่าวมีความแตกต่างกันตามพื้นฐานของผู้ให้
ขอ้ มลู โดยหน่วยงานของรัฐ สถานประกอบการเอกชน และสถาบันอดุ มศึกษาส่วนใหญม่ งุ่ เพิ่มขีดความสามารถ
ในการแขง่ ขันโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เปน็ ฐาน ไดแ้ ก่ การจดสิทธิบตั รทางปัญญา การสร้างองค์ความรู้ท่ีนาสู่
การเพ่มิ มูลค่าทางเศรษฐกิจ
ความเป็นสังคมสร้างสรรค์ที่มีจุดเน้นที่การพัฒนาความยั่งยืนและความเข้มแข็งของชุมชนสังคมผ่าน
การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ พบได้เด่นชัดในกลุ่มผู้นำทางความคิด นักพัฒนาทางสังคมส่วนใหญ่เห็น
สอดคล้องกันว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้จำกัดเพียงการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้างคุณค่า
แก่สงั คมเพื่อความเป็นอย่ทู ด่ี อี ยา่ งเป็นองค์รวม
2. บริบทของการเป็นสังคมสร้างสรรค์ และความสัมพันธ์ของสังคมสร้างสรรค์ที่มีต่อเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ในบริบทสงั คมไทย
สังคมไทยมีความขัดแย้งในตนเองเพราะเปิดกว้างมีอิสระ แต่ยังกดขี่ทางความคิด เน้นประเพณีนิยม
และเชื่อคล้อยตามผู้มีอำนาจ ขณะเดียวกันก็ชอบความสนุกสนาน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น
อันเป็นผลจากสังคมขยายตัวทำให้เกิดกลุ่มคนที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรม ประกอบกับคนไทยเป็นนัก
ประยุกต์ที่รบั วัฒนธรรมของผอู้ น่ื มาผสมผสานเปน็ ของตนเอง ซ่งึ เปน็ พืน้ ฐานขน้ั ตน้ ของการพัฒนาเศรษฐกิจเชิง
สร้างสรรค์ทเ่ี น้นความหลากหลาย การประยกุ ตต์ อ่ ยอดทางความคดิ อยา่ งไรก็ตามความหลากหลายน้ีมาพร้อม
กับความเสยี่ งทอี่ าจเกดิ ขึน้ ของความขดั แย้ง และการมองข้ามระเบียบประเพณเี ดิมและการเกิดขนึ้ ของระเบียบ
ประเพณีใหม่ การลดข้อขัดแย้งนี้จำเป็นต้องอาศัยทางเลือกนโยบายและการบูรณาการหลอมรวม โดยผนวก
ความยดื หย่นุ กบั การดำรงรักษาความมัน่ คงปลอดภยั
การที่ชนชั้นสูงเป็นผู้กำหนดกรอบความคิดและทิศทางการพัฒนาประเทศ ความไม่เสมอภาคในการ
เข้าถึงโอกาสทางสังคมต่าง ๆ เป็นอุปสรรคต่อการแหวกม่านประเพณีในการพัฒนาจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์สู่
สงั คมสรา้ งสรรค์ท่ีคนเปน็ ศนู ย์กลางของการพฒั นา อย่างไรก็ตามผลการวิจัยพบวา่ เศรษฐกจิ สร้างสรรค์สามารถ
ขยายวงกว้างไปส่กู ารเป็นสังคมสรา้ งสรรค์ได้ เพราะเศรษฐกิจสรา้ งสรรคเ์ ป็นเคร่ืองมือจดุ ประกายให้เกิดการใช้
ความคิดสร้างสรรค์ในการพฒั นาเศรษฐกิจหากขยายวงกวา้ งสูม่ ติ ิอ่นื ของสังคม
35 รายงานวจิ ยั การสรา้ งความเปน็ หุ้นส่วนของสถาบันอุดมศึกษากบั รัฐและเอกชนในการสง่ เสริมความเป็นสงั คมสร้างสรรค.์ รศ. ดร.พร้อมพไิ ล บวั
สวุ รรณ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ สำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั ฝา่ ยวิชาการ. กุมภาพันธ์ 2559.
P a g e | 56
3. บทบาทและแนวทางการปฏบิ ัติของสถาบันอุดมศึกษาและความเป็นหุ้นสว่ นของรฐั และเอกชน
ในการส่งเสรมิ สังคมสร้างสรรค์
สถาบันอุดมศึกษามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเป็นสังคมสร้างสรรค์ เพราะเป็นกลไกสำคญั ใน
การพัฒนาประเทศ ผลิตกำลังคนให้มีศักยภาพตอบสนองต่อทิศทางและความต้องการการพัฒนาของประเทศ
สถาบันอุดมศกึ ษาควรแสดงบทบาทในการเป็นผ้นู ำขบั เคลอื่ นสู่ความเป็นสงั คมสรา้ งสรรค์ ดังนี้
1) การผลิตบัณฑิตให้มีความเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบต่อสังคม ความกล้า ความคิดอย่างมี
วิจารณญาณ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ชิ้นงานได้ สอดคล้องกับที่ ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2552) นำเสนอตัวแบบ
CCPR คุณลักษณะของผู้เรยี นและการสอนเชิงสรา้ งสรรค์ ประกอบด้วย 1) Critical Mind 2) Creative Mind
3) Productive Mind และ 4) Responsible Mind หมายถึงความสร้างสรรค์ทางศิลปะ ทักษะในการ
แสดงออกซึ่งความสรา้ งสรรค์และความมั่นใจในสถานการณ์ที่เปน็ พลวัตต่าง ๆ การแกป้ ัญหาและความท้าทาย
ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ในชุมชนและสังคมวงกว้าง นอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาต้องผลิตผู้เรียนที่ตอบสนองต่อ
ความต้องการและความคาดหวังของนายจา้ งในการสรา้ งนวัตกรรมทตี่ อบสนองต่อแนวโนม้ ของตลาดได้มากขึน้
2) การจัดการเรียนการสอน สถาบันอุดมศึกษาควรแสดงบทบาทของการเป็นผู้ปลดปลอ่ ยให้ผู้เรียนมี
ความคิดที่เป็นอิสระ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนสภาพของชุมชนสังคม โดยสร้างให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้ใน
ระบบความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในสังคม การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน การเข้าใจ ซึ่งผลการศึกษาพบว่าการจัดการ
เรียนรู้ที่สร้างสรรค์ต้องให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ผ่านการพัฒนากระบวนการคิด การได้ออกแบบดำเนิน
โครงการ และลงมือปฏิบัติ นอกจากนี้หลักสูตรควรบูรณาการเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ หลักสูตรที่
เป็นสาขาวชิ าเฉพาะควรเปดิ ให้กวา้ งขน้ึ เพื่อสรา้ งความเปน็ ลกั ษณะทัว่ ไป ซึง่ จำเปน็ ต้องอาศยั ความพยายามใน
การสอดประสานของภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความสร้างสรรค์ ดังนั้นการสร้างให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
สถาบันการศึกษา อุตสาหกรรม และชุมชนเปน็ หวั ใจสำคัญท่ีต้องสร้างให้เกดิ ขนึ้
หลักสตู รจำเปน็ ต้องเชื่องโยงข้ามศาสตร์สาขาวิชาใหเ้ กิดการบูรณาการทางความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รวมทั้งสำรวจความต้องการของอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความ
เข้าใจและมีมุมมองความคิดแนวกว้างเกี่ยวกับคุณวุฒิและความสามารถของคนท ำงานที่ตอบสนองต่อความ
ต้องการของอุตสาหกรรม เนื้อหาการเรียนรู้ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกับชุมชนและวิถีปฏิบัติของคนในชุมชน
รวมถงึ บรรจุหลกั สตู รความเป็นพหวุ ัฒนธรรมและการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรใู้ หแ้ ก่ผเู้ รียน
สถาบันอุดมศกึ ษาเปน็ รปู แบบหนึง่ ทีเ่ นน้ การเตรยี มประสบการณผ์ เู้ รียนเพื่อเข้าสู่อาชีพและการทำงาน
จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน การเรียนรู้ที่สร้างสรรค์จำเปน็ ต้องมีรูปแบบการเรียนรู้ทีย่ ืดหยุ่น เช่น จำนวน
ช่ัวโมงเรยี นทยี่ ืดหยนุ่ พน้ื ทก่ี ารเรยี นรู้นอกห้องเรียน การร่วมมอื กนั ของผู้เรียนและอาจารย์ ความพยายามที่จะ
เรียนรู้ข้ามศาสตร์วิชา นอกจากนี้ระบบการบริหารจัดการมีความยืดหยุ่นเพียงพอหรือไม่ทั้งระบบการ
ลงทะเบียน การให้คำปรึกษา การใช้พื้นที่การเรียนรู้จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้หรือไม่ เช่น ห้องเรียน
ห้องปฏิบัติการ เป็นต้น หรอื สามารถใช้พนื้ ทก่ี ารเรียนรขู้ ้างนอกหรือพนื้ ทีท่ ่ีอย่ใู นชีวิตประจำวันไดห้ รือไม่
3) การวจิ ัยสร้างองคค์ วามรแู้ ละนวัตกรรม การทำวจิ ยั ที่เอื้อต่อการพัฒนาสู่ความเป็นสังคมสร้างสรรค์
คอื การทำวจิ ยั แบบบรู ณาการทผ่ี สานศาสตรค์ วามรู้ตา่ ง ๆ เพ่ือสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ทต่ี อบสนองต่อโจทย์ปัญหา
และความต้องการในการพัฒนา นอกจากนี้ควรเชื่อมโยงกับการปฏิบัติเพื่อให้งานวิจัยสามารถใช้ประโยชน์ได้
การวจิ ยั ทีอ่ ยู่บนฐานของชมุ ชนและเช่อื มโยงกับนักปฏิบตั ิจงึ ควรได้รับการส่งเสริม
การแลกเปลี่ยนความรู้กับชุมชน พบว่าสถาบันอุดมศึกษาต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ถ่ายโอน
ความรู้ ผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการแบ่งปันความรู้และวิธีปฏิบัติใหม่ของชุมชนนักปฏิบัติ กล่าวคือ สังคม
สร้างสรรค์จะไม่มองว่าองค์ความรู้เกิดขึ้นเฉพาะในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ของ
P a g e | 57
สถาบันอุดมศึกษากับชุมชนและสังคม หรือของกลุ่มคนที่มีความสนใจหรือมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ
ร่วมกัน สอดคล้องกับที่หลายประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฮ่องกง เป็นต้น ได้สร้างเครือข่าย
อุตสาหกรรมสรา้ งสรรค์โดยเชอ่ื มโยงชุมชนนักปฏิบัตใิ นอุตสาหกรรมสร้างสรรคใ์ หม้ ปี ฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกัน
การวิจยั สรา้ งองคค์ วามรนู้ วตั กรรม
สถาบันอดุ มศึกษาท่ีเน้นการวิจัยและพฒั นาองค์ความรู้นวัตกรรม มุ่งผลิตผลงานวิจัยท่ีนำสู่การตีพิมพ์
หรือจดสิทธิบตั รทางปญั ญา ขณะทสี่ ถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนพบวา่ การสรา้ งสรรค์องค์ความร้ใู นรูปแบบการวิจัย
ไม่สอดคล้องกับจุดเน้นของสถาบัน แต่เน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบอื่นที่นำสู่การจดสิทธิบัตรทาง
ปัญญาได้ เช่น การออกแบบ การผลิตชิ้นงานตา่ ง ๆ สู่การสรา้ งมลู คา่ เพมิ่ เชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ สถาบันอุดมศึกษายังไม่สามารถผลิตผลงานนวัตกรรมที่จดสิทธบิ ัตรทางปัญญาได้มากเท่าที่ควร
อาจเนื่องจากปัญหาการบริหารจัดการผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ให้ทุน นักวิจัย
และผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย อีกทั้งนักวิจัยส่วนใหญ่ขาดทักษะและมุมมองด้านความเป็นผู้ประกอบการที่
สามารถคดิ โจทย์วจิ ัยท่ีตอบสนองตอ่ ความต้องการใชป้ ระโยชนไ์ ด้
การบรกิ ารวิชาการ
ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งส่งเสริมการทำ Talent Mobility ที่เปิดโอกาสให้อาจารย์ไป
ทำงานในสถานประกอบการ เพื่อดึงดูดคนเก่งและฝึกฝนผู้ที่มีความสามารถพิเศษและสร้างเทคโนโลยีที่นำสู่
การใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ อีกทั้งสถาบันอุดมศึกษายังสามารถถ่ายโอนเทคโนโลยีสู่ชุมชนและสังคม ดังที่
ประเทศอังกฤษมักส่งเสริมให้มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และธุรกิจสร้างสรรค์ทางานร่วมกันผ่านการศึกษาเพื่อ
ความเป็นผู้ประกอบการและการถา่ ยโอนความรู้
ผลการศึกษาพบว่าระบบการประกันคุณภาพระดับอุดมศึกษาไม่เอื้อต่อการพัฒนาความเป็น
สถาบนั อุดมศึกษาสร้างสรรค์ เพราะไม่สอดคล้องกับบริบทของสถาบันอดุ มศึกษาที่แตกต่างหลากหลาย อีกทั้ง
เป็นระบบการประเมนิ ทีจ่ ำกัดกรอบความคิดและวิธปี ฏิบตั ิท่ีไมย่ ืดหยุ่น ไม่เอื้อตอ่ การพฒั นาความโดดเด่นความ
สร้างสรรค์ สภาพแวดล้อมการแข่งขันในบริบทสังคมโลกทำให้สถาบันอุดมศึกษามุ่งสร้างองค์ความรู้เพ่ือ
ตอบสนองต่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากกว่าการพัฒนาชมุ ชนสงั คม เนน้ การสร้างมูลคา่ ทางเศรษฐกจิ
จากการสำรวจสภาพการปฏิบัติของสถาบันอุดมศึกษาในการเป็นหุ้นส่วนกับรัฐและเอกชนในการ
ส่งเสรมิ สงั คมสร้างสรรค์ พบว่า
1) สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยส่วนใหญ่มีความร่วมมือร่วมกันระหว่างสถาบันอุดมศึกษามาก
ท่ีสุด (รอ้ ยละ 98) โดยใช้ทรัพยากรในการจัดการเรยี นการสอน/การวจิ ัยร่วมกัน (รอ้ ยละ 58) รองลงมาคอื การ
ทำโครงการวิจัยร่วมกัน (ร้อยละ 49) รวมถึงความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม
ประเภทสถาบันอุดมศกึ ษาเดยี วกัน เช่น ระหวา่ งมหาวทิ ยาลยั วจิ ัย แตไ่ ม่ปรากฏชดั เจนถงึ ความร่วมมือระหว่าง
สถาบนั อดุ มศกึ ษาของรัฐกบั สถาบนั อดุ มศึกษาเอกชน ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความแบ่งแยกท่ีชดั เจน
P a g e | 58
2) ความรว่ มมือกบั ภาคส่วนรองลงมา คอื สถานประกอบการหรือองค์กรท่ีเป็นผใู้ ช้บัณฑติ ร้อยละ 95
โดยส่วนใหญ่เป็นแหล่งฝึกงาน/ฝึกประสบการณ์ (ร้อยละ 82) รองลงมาคือ การให้คำปรึกษา หรือบริการ
วิชาการ (ร้อยละ 50) สอดคล้องกับบทบาทพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เร่ืองมาตรฐานสถาบนั อดุ มศึกษา พ.ศ. 2544
3) ความร่วมมือของสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือาชีวศึกษา ร้อยละ 91 ส่วนใหญ่ให้
คำปรึกษาหรอื บริการวิชาการ (ร้อยละ 39) รองลงมาคือ การใช้ทรัพยากรในการจดั การเรียนการสอน (ร้อยละ
27) ภาคส่วนทมี่ ีความรว่ มมอื น้อยท่ีสดุ คอื สถาบนั ทเ่ี ปน็ แหล่งทนุ วจิ ัย มลู นธิ ิ/องคก์ รเอกชน
สถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่มีความร่วมมือในรูปแบบของการทำวิจัยและการให้บริการวิชาการตาม
พันธกิจของสถาบันอุดมศึกษา เมื่อพิจารณาสภาพการปฏิบัติของสถานศึกษาในการเป็นหุ้นส่วนกับรัฐและ
เอกชนเพื่อส่งเสริมสังคมสร้างสรรค์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มประเภทสถาบันอุดมศึกษา
สาขาวิชา หรือตำแหน่งงานของผู้ตอบแบบสอบถาม อยู่ในระดับปานกลางทุกรายการ ยกเว้นการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัตจิ รงิ หรือให้บริการวิชาการในพ้ืนที่ เช่น ชุมชน หน่วยงานองค์กร ท่ีอยู่
ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ให้ความสนใจการเรียนรู้ผ่านการให้บริการชุมชน โดยวิธีการ
ดงั กล่าวนำส่กู ารพัฒนาคุณลักษณะของผเู้ รียนและการพฒั นาการเรยี นรู้ได้อยา่ งชดั เจน นกั วิชาการได้นำวิธีการ
เรียนรู้แบบสะท้อนย้อนคิดเข้ามาผนวกกับการเรียนรู้แบบให้บริการ เป็นปัจจัยเงื่อนไขสำคัญในความสาเร็จ
ด้านวิชาการและคุณลักษณะส่วนบคุ คล
กระบวนทัศน์ใหม่ของวิธกี ารปฏบิ ตั ิของสถาบันอุดมศึกษา
มุ่งปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติของสถาบันอุดมศึกษาตามกรอบพันธกิจของการจัดการศึกษา
ระดับอุดมศึกษา โดยผ้วู ิจยั นำเสนอกรอบความคิด 3 Cs คอื Connect, Create และ Contribute
Connect การจดั การศึกษาที่เชื่อมต่อกับกลุ่มผู้มีสว่ นได้สว่ นเสีย
1.1 สถาบันอดุ มศกึ ษาควรวิเคราะห์ผมู้ สี ว่ นไดส้ ่วนเสียทีเ่ ก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาของตนเอง ท้ังผู้
มีส่วนได้ส่วนเสียทางตรง ได้แก่ ผู้เรียน ผู้ปกครอง ผู้ใช้บัณฑิต เช่น สถานประกอบการ หน่วยงาน องค์กร
หน่วยงานผู้ให้ทุน หน่วยงานที่ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ เป็นต้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางอ้อม ได้แก่
ชมุ ชน สงั คม สือ่ มวลชน โดยการจดั การเรียนการสอนควรเช่ือมตอ่ กบั กลุ่มผมู้ สี ว่ นไดส้ ่วนเสียเหล่านี้
1.2 เลือกหุ้นส่วนควรพิจารณาจากเป้าหมายที่เห็นพ้องร่วมกัน โดยคัดกรองกลุ่มเอกชนที่ต้องการ
สร้างความเป็นหุ้นส่วนตามเป้าหมายเฉพาะที่ต้องการ เพราะสถานประกอบการบางแห่งมุ่งด ำเนินธุรกิจท่ี
มุ่งหวังผลกำไร และต้องการบัณฑิตที่มีคุณลักษณะที่พร้อมในการทำงานมากกว่าการมองผลลัพธ์ทางสังคม
สถานประกอบการที่มีความสนใจในแนวคิดสังคมสร้างสรรค์คือ สถานประกอบการแนว Social Enterprise
และ Corporate Social Responsibility การเป็นหุ้นส่วนกับสถานประกอบการจึงต้องเริ่มต้นที่การหาจุด
ร่วมกันเฉพาะด้าน นอกจากนี้เอกชนที่ไม่แสวงหาผลกาไร ได้แก่ องค์กรเอกชน เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่
สถาบันอุดมศึกษาสามารถสรา้ งความเป็นหุ้นส่วนไดเ้ พราะเปน็ องค์กรทีม่ ุง่ ทำประโยชน์ให้กับสังคม
1.3 กำหนดข้อตกลงร่วมกันในการดำเนินงาน โดยมุ่งผสานจุดแข็งเพื่อลดข้อจำกัด ทำให้เกิดผล
ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายและมีผลประโยชน์ร่วมกัน คือ ความเป็นอยู่ที่ดี ยั่งยืนและเสมอภาคของสังคม และ
ยอมรบั ในความเสยี่ งร่วมกนั
Create การสร้างสรรคอ์ งค์ความรู้ทางวิชาการท่ีนำสกู่ ารใชป้ ระโยชน์รว่ มกัน
ต้องปรบั เปล่ียนจากการสร้างองค์ความรู้บนฐานของทฤษฎีให้อยบู่ นฐานของปัญหาและยกระดับความ
เป็นอยู่ที่ดีขึ้นของสังคม การวิจัยต้องเปลี่ยนจาก Research-driven เป็น Demand-driven ซึ่งการที่จะนำสู่
การสร้างองค์ความรู้ในลักษณะนี้ได้จะต้องเชื่อมต่อกับชุมชนหรือผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย การจัดการเรียน
P a g e | 59
การสอนที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสนำตนเองออกไปเก่ียวข้องกับชุมชน สังคมหรือผู้ใชบ้ ัณฑิต ทำให้อาจารย์และนสิ ติ
สรา้ งสรรคอ์ งค์ความร้ทู ี่เชื่อมต่อกับชมุ ชนได้
Contribute การทำประโยชน์หรอื บริการความรู้แก่ชมุ ชน
สถาบันอุดมศึกษาควรปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ผสานองค์ความรู้เพื่อการใช้ประโยชน์แบบ
interrelationship กล่าวคือไม่ใช่หอคอยงาช้างที่เป็นแหล่งองค์ความรู้และให้องค์ความรู้ แต่เป็นแหล่ง
แลกเปล่ยี นเรียนรู้ การทำประโยชนห์ รือสนบั สนุนแก่ชุมชนจงึ เป็นบทบาทของท้ังชุมชนกับสถาบันอุดมศึกษาท่ี
ต้องร่วมกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับชุมชนสังคม ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทมากในการ
แพร่กระจายองค์ความร้แู ละวธิ ีปฏิบัตทิ ี่ดี ซึง่ อาจเกิดขนึ้ จากการทำงานรว่ มกันของนักวชิ าการและชมุ ชน
ภาคสว่ นทีค่ วรมบี ทบาทในการเข้ามาเป็นหนุ้ สว่ น
1. การเป็นหุ้นส่วนกับสถาบันอุดมศึกษากลุ่มประเภทต่าง ๆ เช่น ระหว่างมหาวิทยาลัยวิจัย
มหาวิทยาลยั ทเ่ี นน้ ชมุ ชน มหาวทิ ยาลัยที่เนน้ การปฏบิ ัติทางอาชีพ
จดุ ประสงคห์ ลัก คือ การสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละนำความรูไ้ ปสกู่ ารใชป้ ระโยชน์รว่ มกัน
มิติความเป็นหุ้นส่วน ได้แก่ 1) การใช้ทรัพยากรจัดการเรียนการสอนร่วมกัน 2) การพัฒนาหลักสูตร
และจดั การเรียนการสอนรว่ มกนั 3) การสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละนวตั กรรมร่วมกนั
2. การเป็นหุ้นส่วนกับสถานประกอบการธรุ กจิ เอกชน
จุดประสงค์หลัก คือ การพัฒนาศักยภาพของกำลังแรงงาน เนื่องจากสถานประกอบการธุรกิจเอกชน
เป็นผใู้ ชบ้ ณั ฑิตโดยตรง
มิติความร่วมมือได้แก่ 1) โมเดลธุรกิจร่วมกัน 2) การให้คำปรึกษาองคความรู้ 3) การสนับสนุน
ทรัพยากรทุนการศึกษา การวิจัยและสร้างนวัตกรรม 4) การแลกเปลี่ยนข้อมูลความต้องการ และบุคลากร
รว่ มกนั 5) การเปน็ แหล่งฝึกงานให้แกผ่ เู้ รียน
3. การเปน็ หนุ้ สว่ นกับชมุ ชนและภาคประชาสังคม
จุดประสงค์หลัก คือ เพ่ือพัฒนาความเขม้ แข็งของชุมชน
มติ ิความร่วมมือไดแ้ ก่ การเชื่อมโยงองคค์ วามรู้ทเี่ กดิ จากการปฏิบัติ การกำหนดโจทย์ปญั หา การขยาย
ผลนำองคค์ วามรู้สู่การปฏบิ ัติ การจัดทำโครงการพัฒนารว่ มกนั การเป็นเจา้ ขององคค์ วามร้รู ่วมกนั
P a g e | 60
4. การเป็นหุน้ ส่วนกับสถาบันการศึกษาระดับตา่ ง ๆ
จุดประสงคห์ ลกั คอื เพือ่ พฒั นาคณุ ภาพของผู้เรยี นทจี่ ะเขา้ สู่อุดมศกึ ษา
มิติความร่วมมือ ได้แก่ การให้คำปรึกษาแก่ครูผู้สอนเพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียน การแลกเปลี่ยน
ข้อมูล การบม่ เพาะคุณลักษณะของผู้เรียนในดา้ นกระบวนการวธิ คี ดิ และการปรบั ตวั การสรา้ งโอกาสในการเข้า
ศึกษาต่อโดยการสนับสนุนทุนการศึกษาหรือให้โควตาในการเข้าศึกษาต่อ การจัดทำหลักสูตรต่อเนื่องเพื่อเข้า
เตรยี มความพรอ้ มผ้เู รยี นในการเขา้ ศกึ ษาต่อ การสรา้ งระบบพีเ่ ลีย้ ง เช่น เครอื ขา่ ยนิสิตนกั เรยี น เพอ่ื เป็นพเี่ ลี้ยง
เข้าศึกษาตอ่ แก่นักเรยี น
แนวทางสำหรบั ความเป็นห้นุ สว่ นของรัฐและเอกชน
นโยบาย: ความตั้งใจที่แท้จริงของฝ่ายนโยบายและฝ่ายบริหารเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างให้เกิด
ความเป็นหุ้นส่วน นโยบายที่ชัดเจนและตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เช่น
การสนบั สนนุ ทุนการศกึ ษา การกำหนดดอกเบ้ียต่ำ นโยบายทางภาษีทสี่ นบั สนนุ ให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน
เป็นต้น ฝ่ายกำหนดนโยบายท้ังระดับชาติและระดับองค์กรควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เขา้ มามีส่วนร่วมใน
การกาหนดทิศทางและนโยบายในการทำงานร่วมกัน การสร้างกลไกการทำงานร่วมกัน ได้แก่ คณะกรรมการ
หรือหน่วยงานที่เป็นกลไกขับเคลื่อนทั้งด้านกฎหมายข้อบังคับ ระเบียบการทำงานต่าง ๆ จะช่วยให้การเป็น
หุน้ สว่ นของรฐั และเอกชนทำไดส้ ะดวกและมปี ระสทิ ธิภาพมากข้ึน
วิชาการ/วิจัย: เอกชนมีโครงสร้างพืน้ ฐานท่ีทันสมยั ขณะที่ภาครัฐมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญทางวิชาการ
องค์ความรู้นวัตกรรมที่เกิดจากการวิจัย และการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐในด้านต่าง ๆ เอกชน
สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์แก่
ผู้เรียนเพื่อให้มีสมรรถนะที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตอย่างแท้จริง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้มี
ประสบการณ์ในการทำงานตรงสามารถเข้ามาร่วมจัดการเรียนการสอน ให้ข้อมูลแนวโน้มความต้องการองค์
ความร้แู ละนวัตกรรมเพ่ือให้นักวชิ าการสามารถสร้างสรรค์ผลงานท่ีตอบสนองต่อความต้องการใช้ประโยชน์ได้
มากขึ้น สถาบันอุดมศึกษาสามารถให้บริการด้านวิชาการแก่หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ และดำเนินโครงการวิจัย
ร่วมกันได้โดยให้นิสิตเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการวิจัย เอกชนสามารถสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัย ต่อ
ยอดทางทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาและสร้างมลู ค่าทางเศรษฐกจิ
ทรัพยากร: ปัจจุบันอุดมศึกษาให้บริการแก่คนจำนวนมาก ภาครัฐประสบข้อจำกัดในการสนับสนุน
งบประมาณให้แก่สถาบันอุดมศึกษา ประกอบการกับการแข่งขันของสถาบันอุดมศึกษาสู่ World Class
University ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น ภาคเอกชนมีทรัพยากร การเป็น
หุ้นส่วนจะช่วยทำให้สถาบันอุดมศกึ ษาเข้าถึงทรัพยากรในการจดั การศกึ ษาใหแ้ ข่งขันในระดับสากลได้ ซึ่งอาจ
ดำเนินการในรปู แบบการแบกรบั คา่ ใชจ้ ่ายรว่ มกันเพ่ือผลิตบัณฑิตที่มีศักยภาพสงู การสนบั สนุนทุนเพ่ือการวิจัย
และการใช้ประโยชน์รว่ มกัน การสนบั สนนุ สิ่งอำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
การพัฒนาศักยภาพบุคลากร: สังคมในยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เส้นแบ่งความเชี่ยวชาญได้ลดความ
ชัดเจนลง แต่การสอนที่สรา้ งสรรค์เกดิ ข้ึนได้จากการเรยี นรู้ร่วมกับชมุ ชน และนักปฏิบัติในวิชาชพี นัน้ ๆ การมี
ปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับชุมชนและคนกลุ่มต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสาคัญ โดยสร้างให้เกิดกลไกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ร่วมกันของบุคลากรทั้งด้านวิชาการ วิชาชีพ และการบริหารจัดการของบุคลากรทุกระดับ ซึ่งนำไปสู่การ
ปรับปรุงหลักสตู ร การจดั การเรยี นการสอน การทำจยั ร่วมกนั และการให้คำปรึกษาในระดับต่าง ๆ ทท่ี ำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงเชงิ โครงสรา้ งได้
P a g e | 61
• แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความเท่าเทียมกันของคนในสังคมเมือง
กรงุ เทพฯ
ประเทศไทยมนี โยบายพฒั นาเศรษฐกจิ ในด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คือ อุตสาหกรรมส่ือบนั เทิง ศิลปะ
แฟชั่นหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์ เป็นทรัพย์สินทางปัญญา โดยส่งเสริมให้
กรงุ เทพมหานครเป็นเมอื งสร้างสรรค์ (Creative city) โดยจัดกิจกรรมสง่ เสริม เชน่ กรุงเทพฯ เมอื งแฟชน่ั เพ่ือ
กระตุ้นการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเละการท่องเที่ยว การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้ทัดเทียมกับนานา
ประเทศ ทำให้เกดิ เปน็ นโยบายเศรษฐกจิ สรา้ งสรรคข์ น้ึ มา
การจะเกิดเมืองสร้างสรรค์ได้นั้นจำเป็นต้องเริ่มจากการรวมกลุ่มกันของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อ
ให้ผลทางเศรษฐกิจ การพึ่งพาอาศัยทางเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน และเกิดกลุ่มที่มีความสำคัญมากเป็นรากฐาน
ของระบบเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ คือ กลุ่มชนชน้ั สร้างสรรค์ ประกอบดว้ ยกล่มุ คนท่ีใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือนัก
ออกแบบ และผู้ที่สร้างสรรค์ให้ผลงานออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในระดับประเทศ น่ันคือ
กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่มีหน้าที่ผลิตผลงานออกมาสู่ตลาด เป็นรากฐานการผลิตที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจซึ่ง
รวมถงึ อุตสาหกรรมการผลิตอน่ื ๆ ที่ต้องพ่งึ พาอาศัยแรงงานทั้งสิ้น การเกดิ ความสรา้ งสรรค์เปน็ กระบวนการท่ี
เกิดจากการนำทรัพยากรเข้ามารวมกันในลักษณะโครงข่าย คือ เกี่ยวข้องกับชนชั้นสร้างสรรค์ที่แตกต่างกัน
ออกไป แต่ในประเทศไทยชนชั้นที่มีความสำคัญแต่ยังถูกละเลยและไม่ได้ถูกนำเข้ามาคำนึงถึงในการวาง
นโยบายในระดับภาพรวม คือ ชนชน้ั แรงงาน
นบั ตงั้ แต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 จนถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 10 พบว่าสินค้า
สง่ ออกของไทยยังคงเป็นสนิ คา้ ที่ขับเคล่ือนด้วยปัจจยั การผลติ ด้ังเดิม และแมว้ า่ จะเริ่มมีการส่งออกอัญมณีและ
เครื่องประดับซึ่งเป็นสินค้าที่มีการนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในงานออกแบบมากขึ้น แต่สินค้าอันดับต้น ๆ
ของไทยยังคงอยู่ในกลุ่มของสินค้าดั้งเดิม ได้แก่ สิ่งทอ อาหาร จนกระทั่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ถือเป็นแนวทางหนึ่งของการขับเคล่อื น
ยทุ ธศาสตรก์ ารปรบั โครงสร้างการผลติ ให้สมดุลและยัง่ ยืน ซ่งึ มีหลกั การสำคัญคือ การเพมิ่ คณุ คา่ ของสนิ ค้าและ
บริการ (value creation) โดยใช้ความรู้และนวัตกรรม ผนวกกับจุดแข็งในด้านความหลากหลายของ
ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีความเป็นไทย ทั้งนี้ แนวดังกล่าว สอดคล้องกับกระแสการพัฒนา
เศรษฐกิจที่กาลังเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งได้นำเศรษฐกิจสร้างสรรคค์ที่เน้นกระบวนการ “คิดอย่าง
สร้างสรรค์” และ “สร้างแรงบันดาลใจจากพื้นฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปญั ญาที่ส่ังสมของสังคม” เพื่อสร้าง
คณุ คา่ ทางเศรษฐกจิ และเชอื่ มโยงไปสูก่ ารสรา้ งคุณค่าทางสังคม (สภาพฒั นฯ์ , 2552: 2)36
36 งานวจิ ยั แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สร้างสรรคเ์ พ่อื ความเท่าเทยี มกันของคนในสงั คมเมืองกรุงเทพฯ. ดร. วิจติ รบุษบา มารมย์ และคณะ.
สำนักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา สำนักงานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั ฝา่ ยวิชาการ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
P a g e | 62
ภาพแสดงเสน้ ทางจากเศรษฐกิจยคุ เก่าส่เู ศรษฐกิจยุคใหม่
ท่มี า: สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ (สศช.)
อย่างไรกต็ าม ผู้วิจยั เห็นวา่ รายงานการศึกษาของสภาพัฒน์ฯ มงุ่ เน้นมุมมองทางเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ท่ี
เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และคาดหวังผลพลอยได้สู่การสร้างคุณค่าทางสังคมจากทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์เท่าน้ัน
ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ทางสังคมควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์และ/หรือเป็นกลไกขับเคลื่อน
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ อาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใช้ประโยชน์จากพื้นที่เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจ
เท่านั้น จึงต้องศึกษากระบวนการเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสงั คมไปพร้อมกนั เชน่
การมีสว่ นรว่ มของชุมชนในพืน้ ท่ีในระดับตา่ ง ๆ การจ้างงานคนในพ้ืนท่ี การส่งเสริมเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์ภายใน
ชมุ ชน นอกจากเศรษฐกจิ สร้างสรรค์จะดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน กล่าวคอื 1) เศรษฐกิจสรา้ งสรรค์เป็นเครื่องมือ
หนึ่งของการฟื้นฟสู ังคมเมือง 2) เปน็ แบบอย่างให้พ้ืนท่ีอ่ืน ๆ แตย่ ังพฒั นาเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์บนรากฐานทาง
สังคมไทยอย่างแท้จริง อีกทั้งเพื่อป้องกันการเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้นสร้างสรรค์ หากแต่จะพัฒนา
เศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์เพื่อทางธรุ กจิ เปน็ กลไกหลักเทา่ นัน้
กรณีศกึ ษา
1) ยา่ นถนนเจรญิ รัถ เขตคลองสาน กรงุ เทพมหานคร
เป็นย่านขายเครื่องหนังทั้งหนังแท้ หนังเทียม ผ้าทำกระเป๋า/รองเท้า และอุปกรณ์อะไหล่ นอกจากน้ี
ยังมีร้านผลิตเป็นหน้าร้านที่รับสั่งทำกระเป๋า รองเท้า หรือบางช้ินสว่ นประกอบในกระเป๋า รองเท้า เข็มขัด แต่
ส่วนใหญจ่ ะสง่ ไปทำทีโ่ รงงานย่านบางแค กรงุ เทพฯ อยุธยาและสมทุ รปราการ ซ่งึ ชา่ งสว่ นใหญอ่ าศยั อยใู่ นพื้นท่ี
นั้น ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการร้านค้าจะเป็นเจ้าของเดียวแต่เปิดร้านหลายสาขา มีทั้งขายของเหมือนกันทุกร้าน
และขายต่างกนั ซง่ึ แตล่ ะรา้ นไมไ่ ดแ้ ลกเปลี่ยนสนิ คา้ กันทงั้ ในระดับรา้ นกับร้าน หรอื ในระดับยา่ นกับย่าน
ร้านค้าส่วนใหญ่มีอุปกรณ์ที่ซื้อได้ครบครันในร้านเดียว หรือสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องหนังได้
ภายในย่านเดียวกัน คือ มีการรวมกลุ่มเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อของได้ครบ แต่ละร้านค้ามีความสัมพันธ์กันใน
พื้นที่เสมือนเป็นการรวมกลุ่มกันทางเศรษฐกิจเพื่อการพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ความรู้ด้าน
เครื่องหนังจากการสั่งสมประสบการณ์และการเรียนรู้เพิ่มเติมตามลำดับ ส่วนจำนวนลูกจ้างในร้านส่วนใหญ่มี
จำนวน 1-3 คน และมีการศึกษาทห่ี ลากหลาย ซ่ึงมาจากประสบการณท์ ไ่ี ด้รบั การสงั่ สมมาจากผจู้ ้าง ระยะเวลา
การทำงานในร้านค้า ส่วนใหญ่แปรผันโดยตรงกับค่าแรงที่ได้รับในแต่ละเดือน คือถ้าทำงานมานานก็จะได้รับ
ค่าแรงที่สูงขึ้น และมีระยะเวลาการทำงานน้อยกว่า 10 ปี เนื่องจากการสลับเปลี่ยนไปทำงานตามร้านต่าง ๆ
P a g e | 63
ในพื้นที่เดียวกันที่ให้คา่ แรงสูงกว่า เนื่องจากความรูเ้ รื่องเครื่องหนังอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่าความรูแ้ ละทักษะที่
ลูกจ้างได้รับการสั่งสมและต่อยอดนั้นมีความจำเป็น และเป็นเหตุผลหลักที่สามารถยกระดับค่าจ้างของตนได้
ส่วนลูกจ้างที่ทำงานมากกว่า 10 ปีมักมีความผูกพันกับร้านตั้งแต่ร้านเปิดและพึงพอใจกับค่าแรงที่ได้รับ ที่พัก
ของลกู จา้ งมักจะไมไ่ ด้อยู่ในพ้ืนที่แตก่ ็มไิ ด้ไกลมากนัก เดนิ ทางได้สะดวกเพือ่ ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยใหม้ ากทสี่ ดุ
2) ยา่ นหาหุรดั เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ร้านค้าในพื้นที่พาหุรัดมีความหลากหลายกว่าย่านเจริญรัถ มักขายสินค้าชนิดเดียวนั่นคือผ้าเมตร
รองลงมาคือร้านค้าที่ขายหลายประเภท และมีร้านเพ้นท์แบบอินเดียอยู่ประปราย เพราะเป็นพื้นที่ที่มี
วฒั นธรรมอินเดยี อยู่มาก จงึ มีมติ ิวัฒนธรรมมากกวา่ การรวมตัวกนั เพ่อื เศรษฐกิจเพียงอย่างเดยี ว มีการประกอบ
กิจการเป็นครอบครัว มีลูกจ้างเพียง 1-2 คน ระยะเวลาในการประกอบธุรกิจมีช่วงที่หลากหลายและแตกต่าง
มาก ตงั้ แต่เพง่ิ เรมิ่ กิจการไปจนถงึ ทำมาเกือบร้อยปี รายได้เร่ิมต้ังแตห่ ลักหมนื่ ตน้ ๆ จนถึงหลักแสน สว่ นความรู้
ของเจ้าของร้านมักมาจากประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจโดยตรง และเนื่องจากเป็นย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าที่
เกี่ยวกับอตุ สาหกรรมแฟชั่นโดยตรง เจ้าของร้านจึงมักนำความรู้ไปประยุกต์ให้สินค้ามีความคิดสร้างสรรค์มาก
ขนึ้ เพื่อใหท้ นั ต่อกระแสแฟชั่น แต่มกั เปน็ การแนะนำลูกคา้ มากกวา่ ท่ีจะออกสูต่ ลาดแฟชัน่ โดยตรง
ลูกจ้างส่วนใหญ่ในพื้นที่พาหุรัดมีระดับรายได้แปรผันตรงกับระยะเวลาการทำงาน คือยิ่งทำงานนาน
เท่าไรค่าจ้างก็ยิ่งจะได้รับมากขึ้น มีทั้งกลุ่มที่มีความชำนาญในการทำงานเท่าเดมิ และกลุ่มที่มคี วามชำนาญใน
การทำงานเพิม่ ขน้ึ ในจำนวนและใกล้เคยี งกนั ลกู จ้างท้ังหมดไม่ไดป้ ระยุกต์ความรู้ทไ่ี ด้ไปสคู่ วามสรา้ งสรรค์ และ
ส่วนใหญ่ไม่ได้รับความมั่นคงในอาชีพ (โดยเฉพาะในเรื่องรายได้) มีทั้งลูกจ้างที่สามารถและไม่สามารถเลี้ยงดู
ตนเองได้ แสดงให้เห็นว่ารายไดท้ ่ีไดร้ ับไม่เพียงพอต่อการเล้ียงดตู นเอง อยู่ในสภาพทไี่ ม่ม่ันคงในชีวิต เนื่องจาก
ไม่มีสามารถพัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ลูกจ้างไม่สามารถนำความรู้ที่ได้จากการค้าขายไปต่อ
ยอดได้ งานที่ได้รับมักจะเป็นงานที่ซ้ำ ๆ แบบเดิมและขึ้นอยู่กับร้านค้าที่ตนทำงาน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้
ลูกจ้างไม่สามารถยกระดับชีวติ ได้ ขณะท่คี า่ จา้ งเท่าเดมิ แต่คา่ ครองชีพน้ันสงู ข้ึน
วัตถุดิบในร้านค้าภายในพื้นที่พาหุรัดส่วนใหญ่สั่งมาจากอินเดีย โดยแปรรูปสำเร็จแล้วสง่ มาค้าขายใน
พื้นที่ให้กับลูกค้าทั่วไป ซึ่งบางร้านค้าอาจมีลูกค้าประจำ ส่งสินค้าทั้งภายในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น
ภูเก็ต นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง พิษณุโลก นอกจากน้ียังมีวัตถุดิบอีกส่วนหนึ่งมาจาก
ปากีสถาน จีน ไต้หวัน และผลิตเองในประเทศ ซึ่งแหล่งวัตถุดิบในกรุงเทพฯ อยู่ที่ประตูน้ำและสำเพ็ง ใน
ลักษณะของการรบั สินคา้ อีกต่อหน่งึ สว่ นในตา่ งจงั หวดั มีแหล่งผลติ ท่สี พุ รรณบุรี อุทยั ธานี และพษิ ณโุ ลก
P a g e | 64
3) พนื้ ทท่ี ่เี ก่ยี วขอ้ ง
ตลาดมิง่ เมอื ง ตลาดตดั เย็บเสื้อผา้ (ดิโอลด์สยามในปัจจุบัน) เมอ่ื มตี ลาดขายผ้ากต็ ้องมีร้านตัดเส้ือเป็น
ของคู่กัน โดยตลาดมิ่งเมืองสร้างขึ้นมาพร้อมกับศาลาเฉลิมกรุงในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อเฉลิมฉลองกรุงเทพมหานครครบ 150 ปี ในปี พ.ศ. 2475 ใกล้เคียงกับหลักฐานเอกสารที่ระบุไว้ว่าในปี
พ.ศ. 2468-2469 นายมารโิ อ ตามานโญ สถาปนกิ อิตาเลียนทีเ่ ข้ามารับราชการในเมืองไทยระหว่างรัชกาลที่ 5
ถึงต้นรชั กาลที่ 7 ไดอ้ อกแบบก่อสร้างตลาดแหง่ หน่ึงในกรุงเทพฯ เปน็ ตลาดท่ีมหี ลงั คาคลุม สร้างด้วยคอนกรีต
สำหรบั เปน็ ทข่ี ายเสอื้ ผ้า จำลองจากตลาดแบบตะวันออกกลาง
ตลาดมิ่งเมืองมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งชุมนุมช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อรองรับลูกค้าที่มาซื้อผ้าท่ีตลาดสำ
เพ็ง-พาหุรดั แล้วไม่มีเวลาไปหาร้านตัดเย็บ เปน็ การอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และสง่ เสริมเก้ือกูลซ่ึงกันและ
กัน เมื่อซื้อผ้าแล้วมีแหล่งตัดเย็บอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้เสื้อกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ตลาดแห่งนี้จึงได้รับความนิยมจาก
บรรดาสุภาพสตรีเปน็ อยา่ งมาก ตัง้ แต่ดารา นักรอ้ ง จนถงึ ประชาชนทัว่ ไป
ตัวตลาดมิ่งเมืองมีแผนผังเป็นรูปตัวยู มีห้องแถวที่แบ่งออกเป็นล็อค ๆ หันหน้าเข้าหากัน ตรงกลาง
เป็นลานโล่ง มีแผงไม้สูงประมาณ 75 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร ยาวประมาณ 2 เมตร เป็นแผงขายของ ขายผ้า
และตัดเย็บเสื้อผ้าตั้งเรียงรายเป็นแถว ส่วนริมถนนด้านนอกมีตึกแถวล้อมรอบ โดยตึกด้านนอกกับห้องแถว
ด้านในหันหลังชนกัน ตึกด้านนอกตรงหัวมุมส่ีแยกพาหุรัดมรี ้านรัตนมาลา เปน็ ร้านเก่าแก่ขายสินค้านานาชนิด
ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยก่อน คือ ตะเกียงเจ้าพายุ ถัดมาทางด้านถนนตรีเพชรเป็นร้านของแขก ขายภาชนะใน
ครวั ทีท่ ำด้วยอลมู เิ นยี ม พวกหม้อ กะละมัง มรี ้านขายยาแก้วเภสชั รวมทง้ั ร้านขายปืนทม่ี ีอยหู่ ลายร้าน และอีก
สว่ นหนง่ึ ของตลาดม่ิงเมอื งเปน็ อจู่ อดรถ บ.ข.ส. เปรยี บไดก้ ับสถานีขนสง่ หมอชิตปัจจุบัน ผคู้ นในย่านนีจ้ ึงคึกคัก
สภาพตลาดในสมัยก่อนมีแต่เสื้อผ้า ไม่ค่อยมีการซื้อขายอย่างอื่น เมื่อก่อนคนมาซื้อผ้าพาหุรัดจะเดิน
อย่หู นา้ ตลาดคอยแย่งลูกค้ากนั คนท่ีพาลกู ค้าเข้าร้านก็จะได้ค่าหวั จากร้านตัดเส้ือน้ัน ๆ ดว้ ย บรรยากาศทั่วไป
P a g e | 65
ในตลาดมิ่งเมืองจึงคึกคักมาก เพราะสมัยก่อนยังไม่ค่อยมีเสื้อผ้าสาเร็จรปู โดยเฉพาะช่วงกลางวันและชว่ งเย็น
เป็นช่วงที่คนมาตัดเสื้อผ้ากันมาก กิติศัพท์การตัดเสื้อผ้าเร็วทันใจของตลาดแห่งนี้ถึงกับมีเรื่องเล่ากันว่าเอาผา้
มาให้ช่างวัดตัวตัดเรียบร้อย แล้วไปกินก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวเดียวกลับมารับเสื้อได้เลย ฝีมือการตัดเย็บใส่ออกงานได้
สบาย ซง่ึ คงจะเป็นเพราะชา่ งมีแบบอยู่แลว้ ไม่ต้องสร้างแพทเทริ ์นใหม่ บวกกบั ความชำนาญและประสบการณ์
ที่สั่งสมมา โดยช่างตัดเสื้อในตลาดมิ่งเมืองมีทั้งคนจีนและคนไทย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในย่านนี้ ช่างบางคนที่มี
ชือ่ เสยี ง มฝี มี อื สดุ ยอด เรียนจบจากร้านตัดเส้ือชื่อดงั และเปน็ คนท่ีมีพรสวรรค์ สามารถตัดเย็บแก้ไข ปรับปรุง
จุดบกพร่องให้คนที่หุ่นไม่ดีสามารถใส่เสื้อผ้านั้นแล้วดดู ีได้ แต่ราคาแพงกว่าช่างคนอื่นและต้องใช้เวลารอคอย
กันนานกว่า 6 เดือน แต่ลูกค้าก็ไม่เคยหนีหาย นอกจากนี้ในตลาดมิ่งเมืองยังตัดเสื้อโหลซึ่งถือว่าเป็นเสื้อที่มี
คุณภาพต่ำ ช่างจะใช้กระดานปูให้มีร่อง นำผ้าวางขึงหนาประมาณ 20-30 ชั้น ใช้มีดกรีดผ้าไปตามร่อง เหตุที่
ผ้าหนาหลายชนั้ จงึ ตอ้ งใช้มดี แทนกรรไกร หากใชก้ รรไกรจะตัดไมข่ าด
ปัญหาแรงงานในประเทศไทย
การขาดเเคลนเเรงงานเเละการปรับเพิ่มค่าจา้ งเป็นเเรงกดดันให้มีการใช้เเรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้น โดย
สรุปสถานภาพแรงงานข้ามชาติหลัก ๆ ได้ดังนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เเรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติ พม่า ลาว
เเละกัมพูชา เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากประมาณ 6 เเสนคนใน ปี 2544 เป็น 1.12 ล้านคน ในปี 2553 โดยเฉพาะ
ในปี 2552 เเละ 2553 ร้อยละ 80 เป็นเเรงงานพม่า โดยกระจุกอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีความต้องการเเรงงานสูง
จังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมาก เเละจังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ในภาคเกษตรเเละปศุสัตว์ ก่อ
สร้างเเละประมง นอกจากนั้นการจ้างแรงงานข้ามชาติในภาคธุรกิจยังช่วยเเก้ไขปัญหาการขาดเเคลนเเรงงาน
ตามฤดกู าลได้ เเต่มีปัญหาการส่ือสารและการขาดงานเเละลาออกสงู
จากปัญหาที่กล่าวมาพบว่ามีการอพยพเข้ามาของแรงงานข้ามชาติมา กและมักจะกระจุกตัวอยู่ใน
พื้นทที่ ่มี กี ารเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ซ่ึงงานจะมคี วามหลากหลายแตกตา่ งกันไป ส่วนกรณีของพื้นที่ศึกษา
พาหุรัดและเจรญิ รัถน้ัน งานที่แรงงานข้ามชาติได้รบั มอบหมายมักจะเป็นงานท่ีเฝ้าหน้าร้านจงึ มคี วามจำเปน็ ท่ี
จะต้องมีความร้เู ก่ียวกับสนิ ค้าในร้าน ส่วนความรนู้ ้ันมักจะไดร้ บั มาจากนายจ้าง และค่าจ้างของแรงงานต่างด้าว
ทถ่ี ูกกว่าแรงงานไทยทำให้นายจ้างหันมาจ้างแรงงานต่างด้าวมากขึน้ ซึง่ ปญั หาโดยทวั่ ไปของแรงงานต่างด้าวที่
มกั พบคือ ปัญหาดา้ นการสือ่ สาร สอดคลอ้ งกบั ผลการศกึ ษาของแรงงานขา้ มชาติในประเทศไทย
ยา่ นเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการผังเมือง
ท้ังสองพ้ืนทก่ี ารครอบครองสว่ นใหญเ่ ปน็ แบบเชา่ รา้ น โดยในพ้ืนทีเ่ จริญรถั มจี ำนวนรอ้ ยละ 28 และใน
พ้ืนท่พี าหรุ ัดมีมากถึงรอ้ ยละ 68 ซ่ึงหากการเพิ่มขน้ึ ของราคาที่ดนิ อาจมผี ลกระทบถึงผปู้ ระกอบการสว่ นใหญ่ใน
พื้นท่ีท่ีอาจจะส่งผลต่อราคาค่าเช่าได้ ความสามารถในการเช่าของผู้ประกอบการก็จะลดลง อาจส่งผลกระทบ
ด้านลบต่อย่านเหล่านี้ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของกรุงเทพฯ ประกอบกับผังเมือง
รวมกรงุ เทพมหานคร (ฉบับปรับปรุงครั้งท่ี 3) ที่ประกาศใชใ้ นเดอื นพฤษภาคม 2556 ไดก้ ำหนดให้ยา่ นเจริญรัถ
เป็นพื้นที่พาณิชยกรรมทีม่ ีขอ้ กำหนดการใชป้ ระโยชน์ที่ดินเรื่องอตั ราส่วนพ้ืนที่อาคารต่อพื้นที่ดินทีส่ ูง (F.A.R.)
คอื 8:1 เนือ่ งจากเป็นพื้นที่ทีร่ องรับการพฒั นาของรถไฟฟ้าสายสลี มหรือสถานีรถไฟฟ้าวงเวยี นใหญ่ เป็นปัจจัย
ที่จะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการรื้อสร้างอาคารขนาดใหญ่ให้สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับของที่ดนิ
ในอนาคต อันจะส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมย่านที่เป็นต้นน้ำของวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ส่วนบริเวณย่านพาหุรัดนั้นถกู จัดให้เป็นพื้นทีอ่ นุรักษ์เพือ่ ส่งเสรมิ เอกลักษณ์ศลิ ปวฒั นธรรมไทยท่ีมีการควบคมุ
จำนวนและพนื้ ทีอ่ าคารต่อพนื้ ทด่ี ินไวเ้ พยี ง 4:1 ซ่ึงเป็นข้อไดเ้ ปรียบเมอ่ื เทียบกบั ย่านเจรญิ รัถเพราะเปน็ ย่านเก่า
ทมี่ กี ารควบคุมการพัฒนา อยา่ งไรกต็ ามการเติบโตของเมืองท่ีเปลยี่ นแปลงไปอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่ย่าน
P a g e | 66
เศรษฐกิจสรา้ งสรรคท์ ง้ั สองพ้นื ทน่ี ค้ี วรจะต้องไดร้ ับความสนใจเชงิ คุณคา่ ของทุนสร้างสรรค์ เกิดการปรับตัวและ
สรา้ งแนวทางการพัฒนาทีส่ อดคล้องไปกบั การเจรญิ เตบิ โตของเมืองในอนาคต
ขอ้ เสนอแนะในเชิงนโยบาย
กรุงเทพมหานครควรจะมีบทบาทหลักในการฝึกความชำนาญให้แก่แรงงานที่อยู่ในธุรกิจสร้างสรรค์
เพื่อเพ่ิมศักยภาพของแรงงานไทย และลดการแยง่ ชิงแรงงานต่างด้าวของผู้ประกอบการอนั เปน็ ผลจากการขาด
แคลนของแรงงานไทย และค่าจา้ งของแรงงานตา่ งดา้ วทถี่ ูกกวา่ ซึ่งถึงแม้ว่ากรุงเทพมหานครจะมีนโยบายจัดต้ัง
และพัฒนาศูนย์ฝึกอาชีพข้ึนมาตามทีต่ ่าง ๆ ทั่วกรงุ เทพฯ ก็ควรจะทำให้เกดิ รายไดห้ ลักท่ีมั่นคงมากข้นึ โดยการ
เพิ่มความรู้และความคิดสร้างสรรค์ให้แก่แรงงาน มากไปกว่าการฝึกอาชีพที่เหมาะจะเป็นรายได้เสริมมากกวา่
ซึง่ ไม่ได้ให้รายไดท้ ีไ่ ม่แนน่ อน
นอกจากปัญหาความไม่เท่าเทียมของแรงงานต่างด้าวแล้วยังพบว่ามีปัญหาไม่รู้สิทธิของตนเองทั้งท่ี
ควรจะมีสิทธิที่เท่าเทียมแรงงานไทย ควรได้รับคำแนะนาด้านการฝึกอบรมอาชีพที่ตนเลือกและมีความสนใจ
บนพื้นฐานของความเหมาะสมตามคุณสมบัติทีบ่ ุคคลพึงมีตอ่ การเข้ารับการฝึกอบรมนั้น ประเทศเจ้าบ้านต้อง
พิจารณาวา่ แรงงานข้ามชาติทัง้ หญงิ และชายมคี วามต้องการในเรื่องใดเป็นพเิ ศษหรือไม่ รวมทัง้ การให้โอกาสใน
เรือ่ งการศกึ ษา การเข้ารับการฝึกอบรมและการเรียนร้ทู ่สี ามารถตอ่ ยอดไปไดต้ ลอดชีวติ
วิธีการทางผังเมืองสามารถช่วยควบคุมการพัฒนาจากภายนอกพื้นที่และช่วยรักษาย่านเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ได้ ดังนั้นมาตรการทางผังเมืองจึงควรคำนึงถึงคุณค่าของพื้นที่ในการกำหนดการควบคุมการใช้
ประโยชน์ท่ีดิน ซงึ่ หากต้องการให้พนื้ ท่ีรองรบั การพัฒนาได้เพยี งเพราะเป็นพืน้ ท่โี ดยรอบรถไฟฟ้า อาจจะทำให้
พ้ืนท่ที ม่ี ีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจและมีวิถชี วี ิตสูญหายไป เน่อื งจากไม่สามารถรับมือกับราคาท่ีดินและค่าเช่าท่ีแพง
ขึ้นได้ ต้องออกจากธุรกจิ หรอื ยา้ ยไปทีอ่ ื่น เพื่อป้องกันไม่ใหเ้ กิดผลอย่างในประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังกรณีศึกษา
เมือง Hatton Garden เมืองชายขอบของลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่การพึ่งพาอาศัยกันของย่านนั้นถูก
ทำลายลงด้วยค่าเช่าที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ที่ทำงานฝีมือดั้งเดิมออกไปจากธุรกิจหรือย้ายออกจากพื้นที่ไป ส่งผลให้
ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์หายไปและมีความพยายามที่จะฟื้นฟู แต่ทางที่ดีที่สุดนั้นหากยังไม่กิดขึ้นก็ควรจะ
รักษาพื้นท่ใี ห้ดที ส่ี ุดเพอ่ื ให้คงอยู่ถงึ ความเปน็ พืน้ ทตี่ ้นน้ำของเศรษฐกจิ สร้างสรรคใ์ นเมืองสบื ไป
แนวทางการพฒั นาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลกั ท่จี ะเป็นแรงขับเคล่อื นการพัฒนา ไดแ้ ก่
– ชนชั้นสร้างสรรค์ (Creative Capital) การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์มักจะมุ่งเน้นไปที่ผู้ผลิต
และกลุ่มนักออกแบบหน้าใหม่ เพอ่ื กระตนุ้ ใหเ้ กิดการพัฒนา แตก่ ลุม่ นกั ออกแบบหนา้ ใหม่เองก็มีความต้องการ
ในทักษะการผลติ แบบดง้ั เดิมด้วยเช่นเดียวกัน และกลมุ่ ผ้ผู ลิตเกา่ ก็ต้องปรับตวั ให้เขา้ กับกระแสการพัฒนาใหม่
ๆ จะเห็นได้ว่าทั้งสองกลุ่มต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน แต่ที่สำคัญคือ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องมองไปยังกลุ่มชน
ช้ันแรงงานดว้ ย เน่ืองจากในบรบิ ทของประเทศไทยยังไม่สามารถแยกแรงงานออกจากฐานการผลิตได้ การมอง
แรงงานเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจ เพื่อลดความไม่เท่าเทียมที่
ผลประโยชน์ทงั้ หลายจากการพฒั นาเศรษฐกิจสร้างสรรค์มักจะตกอยู่กับกลุ่มนายทุนมากกวา่ ดังจะเห็นได้จาก
การศกึ ษาทตี่ ัวเลขทางดา้ นเศรษฐกจิ มีการพัฒนาไปในแนวทางทส่ี งู ข้นึ แต่ยงั พบว่ามปี ัญหาแรงงานอยมู่ าก
– การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน หลักโดยทั่วไปของการพัฒนาที่ยัง่ ยืน คือ การสนับสนนุ ให้เกิดการ
มีส่วนร่วมและอยู่บนรากฐานของท้องถิ่นหรือชุมชน การพัฒนาจึงไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจท่ี
ภาครัฐต้องการเพียงอย่างเดียว แต่ควรเป็นการพัฒนาที่มาจากคนพื้นถิ่นดั้งเดิมที่มีส่วนช่วย กำหนดทิศทาง
และการสนับสนุนให้ทุกชนชั้นมีสิทธิเข้ามามีส่วนร่วม การให้การศึกษาแก่แรงงาน การฝึกทักษะที่สามารถ
นำไปสู่ความสรา้ งสรรค์ได้ เพ่ือให้ชนชัน้ แรงงานมบี ทบาทมากขึน้ ในภาคธุรกจิ สรา้ งสรรค์
P a g e | 67
– เมืองที่มีสาธารณูปโภคและบรรยากาศที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาของเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ปัจจุบันพฤติกรรมของคนเลือกเมืองมาก่อนการประกอบอาชีพ ทำให้เมืองมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่ช่วย
สง่ เสริมให้เกดิ การพัฒนาของการรวมกลุ่มเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ การพฒั นาเมืองโดยมุ่งเน้นท่ีย่านเดิมที่มีคุณค่า
มิใช่เพียงแต่จะนำการพัฒนาใหม่ ๆ หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่เข้าไปในพื้นที่ เพื่อรักษาไม่ให้คุณค่าของพื้นท่ี
หายไปพร้อมกบั การพัฒนา และเพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลทีเ่ ปน็ รปู ธรรมในระยะยาว
• การสำรวจศักยภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานวัฒนธรรม: กรณีศึกษาย่าน
เยาวราช-เจรญิ กรงุ
พื้นที่ย่านเยาวราช-เจริญกรุงมีศักยภาพในการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
โครงการวิจัยนี้ได้ศึกษามรดกทางวัฒนธรรม สังคมสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตชุมชนที่มีอยู่เดิม เพื่อหาความ
เป็นไปได้ในการจัดการด้านต่าง ๆ ให้เกิดความสมดุล ทั้งด้านการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทาง
สังคมวัฒนธรรม การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ในเดือนเมษายน 2562 ซึ่งเป็น
เส้นทางเชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับธนบุรีผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นในทางทิศใต้ และเชื่อมรถไฟฟ้ามหานครสาย
เฉลิมรัชมงคล (บางซื่อ-หวั ลำโพง) ผ่านเข้ามาในย่านเยาวราช มีทางเข้าออกที่สถานีวัดมังกรบนถนนเจริญกรงุ
ทำให้การเดนิ ทางเข้ามาในย่านเยาวราชสะดวกข้ึน คาดการณว์ ่าจะมีนักท่องเทีย่ วรายย่อยและผู้คนเดินทางเข้า
มาเพ่มิ มากขน้ึ สง่ ผลให้เกดิ การสรา้ งรายได้แกช่ มุ ชนเพิ่มข้ึนด้วย
อย่างไรกต็ าม ผลกระทบเบือ้ งตน้ ของโครงการรถไฟฟา้ สายสีน้ำเงินยังทำให้มีการขายทดี่ นิ ผลดั เจ้าของ
และเกิดโครงการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ รวมทั้งมีแนวโน้มจะเกิดโครงการขนาดใหญ่และกลาง
ตามมา การพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมเชิงพาณิชย์และการปรับปรุงรูปแบบการท่องเที่ยวย่านเยาวราชจะสร้าง
ผลกระทบกว้างขวาง ในดา้ นหน่ึงจะมผี ้อู าศัยรายใหม่โยกย้ายเข้ามาและเกดิ ผ้ปู ระกอบธุรกิจแบบใหม่ข้ึน ทำให้
เกิดโอกาสทางการค้าและวิถีชวี ิตทสี่ อดคล้องกบั ยุคสมัยในยา่ นเมืองเกา่ มากขึ้น อีกดา้ นหน่ึงชุมชนและผู้อาศัย
เดิมจะสั่นคลอน การค้า ประเพณี และวิถีชุมชนที่เป็นอัตลักษณ์ของย่านเยาวราชซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดใจ
นักทอ่ งเทย่ี วและผคู้ นทวั่ ไปให้มาเยย่ี มเยอื นอาจเปลยี่ นแปลงไป การค้าและบรกิ ารแบบเดมิ ที่ไม่อาจแข่งขันเชิง
ธรุ กจิ สมัยใหม่จะถดถอยและค่อย ๆ สญู ไป การย้ายออกของชมุ ชนผ้อู าศัยเดิมและการรื้อถอนอาคารจะเพิ่มข้ึน
การพัฒนาย่านเยาวราชในอนาคตจงึ จำเป็นต้องศึกษาเพอ่ื วางแผนและปรบั ปรุงทิศทางใหเ้ กิดความย่ังยนื
แนวคิดในการวิจัยเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ผ่านศิลปะและวัฒนธรรม เน้นการบูรณาการองค์ความรู้
หลากหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ผ่านการ
จัดทำแผนที่ทางวัฒนธรรม (Cultural Mapping) เพื่อนำไปสู่การเสนอแนวทางการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรม
(Cultural Space) และแนวคิดในการส่งเสริมผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมในเขตพืน้ ที่เมืองบนฐานการมสี ่วน
ร่วมและความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจบนฐานวัฒนธรรม
ในพน้ื ท่ี
คณะวิจัยแบ่งกรอบการวิจัยออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ชุมชน (2)
ด้านสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง (3) ดา้ นศลิ ปะและการออกแบบ (4) ด้านอาหาร (5) ด้านวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี และ (6) ด้านการบริหารจัดการ ซึ่งจะมีบทบาทที่ช่วยสง่ เสริมการอนุรักษม์ รดกทางวัฒนธรรม
และพัฒนาพื้นที่ผ่านศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงช่วยสนับสนุนให้ผลของการพัฒนานั้นดำรงอยู่อย่าง
ยั่งยืน ทั้งนี้ มีการวางผังของพื้นที่ยอ่ ยเปน็ แผนแม่บทในการอนรุ กั ษ์และพัฒนาพื้นที่ มีการศึกษาในด้านชุมชน
ทั้งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รวมถึงวัฒนธรรมอาหารเพื่อเป็นฐานในการเข้าใจถึงอัตลักษณ์ของชุมชนที่
พัฒนาขึ้นมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และแนวทางในอนาคตที่ชุมชนควรพัฒนาต่อไปท่ามกลางผลกระทบด้าน
P a g e | 68
ต่าง ๆ การศึกษาในเรื่องศิลปะและการออกแบบผลิตภัณฑ์ในบริบทของชุมชนและพื้นที่อันเป็นส่วนหนึ่งของ
การเสริมสร้างอัตลักษณ์และเป็นศักยภาพในการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมและธุรกิจในอนาคต การศึกษาสภาพ
สิ่งแวดล้อมเพื่อแสวงหาแนวทางการลดมลพิษและผลกระทบในพื้นที่ ตลอดจนการศึกษารูปแบบสื่อต่าง ๆ ที่
ชุมชนมีอยู่เพื่อเผยแพร่และประชาสมั พันธข์ ้อมูลข่าวสารของชุมชน นอกจากนี้การสร้างแบบจำลองทางธุรกิจ
ของพืน้ ทีจ่ ะเป็นเคร่ืองมือสำคัญทีช่ ว่ ยให้ชุมชนและพื้นท่ีมีแนวทางในการประกอบอาชีพหรือสร้างทุนทางด้าน
เศรษฐกิจบนฐานวัฒนธรรม เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ด้วยต้นทุนทางศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยให้
ชมุ ชนและพน้ื ทน่ี ั้นดารงอยู่ตอ่ ไปได้ในอนาคตไดจ้ ากจุดแข็งทางศิลปะและวัฒนธรรมของพ้ืนที่37
ผลการทบทวนบริบทและผลสำรวจความต้องการเบื้องต้นในการพัฒนาพื้นที่ทางวัฒนธรรมและ
ผปู้ ระกอบการทางวฒั นธรรมในพ้นื ที่
พ.ศ. 2561 มหาวิทยาลัยศิลปากรได้จัดทำ “โครงการวิจัยการพัฒนาเมืองวัฒนธรรมอัจฉริยะ:
กรณีศึกษาย่านเยาวราช-เจริญกรงุ ” ภายใตค้ วามร่วมมือระหว่างชุมชน ภาคเอกชน ธุรกจิ และภาคีเครือข่าย
ทำให้ทราบปัญหา ความต้องการ และศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่และชุมชน อันเป็นข้อมูลทุนด้านศิลปะและ
วฒั นธรรมท่มี อี ยูเ่ ดิม โดยดำเนินงานดา้ นตา่ ง ๆ ดังนี้
1) ด้านประวัตคิ วามเปน็ มาของพ้นื ที่และข้อมูลด้านวฒั นธรรม มกี ารศกึ ษาวจิ ัยรว่ มกับชุมชนและภาคี
สร้างเครือขา่ ยนกั ประวัตศิ าสตร์ในท้องถ่ินและปราชญช์ มุ ชนโดยคณะโบราณคดี
2) ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑช์ ุมชน ดำเนินงานอยา่ งมีส่วนร่วมกับชุมชนเจริญไชย มกี จิ กรรมอบรมเชิง
ปฏิบตั กิ ารหลายครั้งจนสามารถสร้างสรรคโ์ คมไฟกระดาษและการพบั ดอกไมจ้ นี โดยคณะมณั ฑนศิลป์
3) ด้านศิลปะและการออกแบบ ได้ชุดข้อมูลด้านอัตลักษณ์ของชุมชนและผลกระทบจากการ
เปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่มผี ลตอ่ ชมุ ชน และแนวทางความรว่ มมือในการอนุรกั ษแ์ ละสร้างสรรค์พ้ืนท่ีเพ่ือการ
ต่อยอดทางธุรกจิ
37 งานวจิ ัย การสารวจศักยภาพของการพัฒนาเศรษฐกจิ บนฐานวัฒนธรรม: กรณีศกึ ษาย่านเยาวราช-เจริญกรงุ . รองศาสตราจารย์ ดร.นันทนติ ย์ วา
นิชาชีวะ และคณะ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยบูรณาการงานวิจัยและความร่วมมอื เพ่ือการพฒั นาเชิงพื้นท่ี
กรกฎาคม 2562.
P a g e | 69
4) ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาเมอื งเก่าย่านเยาวราช ศักยภาพของ
พ้ืนท่แี ละชมุ ชน ประเมนิ ศักยภาพในระดับผงั เมอื ง
จากโครงการสำรวจศักยภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานวัฒนธรรม: กรณีศึกษาย่านเยาวราช-
เจริญกรุง ร่วมกับชุมชนและภาคีเครือข่าย พบว่าชุมชนเก่าแก่ในย่านดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการพัฒนา
ของเมืองและการท่องเท่ียวทเ่ี ติบโตอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะตามเสน้ ทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงนิ สว่ นตอ่ ขยาย เกดิ
การรื้อถอนอาคารและชุมชนประวัติศาสตร์ มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของที่ดินเป็นนายทุนเพื่อลงทุนธุรกิจแทน
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายชุมชน เช่น ชุมชนเวิง้ นาครเขษม (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) ชุมชนเจริญไชยท่ีกำลงั
อยู่ในระหวา่ งการต่อรองการอยู่อาศัยกับเจ้าของท่ดี ิน และชุมชนเลื่อนฤทธิ์ท่ีกำลังพัฒนาอาคารประวัติศาสตร์
ของชุมชน ทำใหช้ มุ ชนเก่าแกเ่ หล่าน้ีกำลังสูญเสียอัตลักษณ์และล้มหายไปตามการเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนา
ทางกายภาพของเมอื ง
เยาวราชเป็นชุมชนเมืองเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นย่านพาณิชยกรรม ยังเกาะตัวอยู่รวมกันที่ยังคงความ
เป็นตัวตนของชุมชนอยู่จึงมีไม่มากนัก ชุมชนยังดำรงความย่านประวัติศาสตร์ที่มีศิลปะและวัฒนธรรม มีเกาะ
กลุม่ รว่ มกนั ระหวา่ งผคู้ นในชมุ ชน และมศี กั ยภาพและความตอ้ งการในการพฒั นาเชงิ พื้นที่ในระดบั สงู ไดแ้ ก่
1. ชุมชนเจริญไชย แหล่งผลิตกระดาษไหว้เจ้า ที่ยังคงประเพณีในเทศกาลไหว้เจา้ แบบด้ังเดมิ มีการ
ประดบั จัดวางโตะ๊ ไหวด้ ้วยเคร่ืองไหว้และโคมกระดาษนานาชนิด บา้ นเรือนจะตกแต่งในลักษณะต่าง ๆ เพ่ือสื่อ
ความหมายในเชิงมงคลให้กบั การเฉลมิ ฉลองการเก็บเกีย่ วดว้ ยการไหว้ดวงจันทรใ์ นเวลากลางคืน ภายในชุมชน
มีพิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเล่าเรื่องที่บรรจุเรื่องราวความทรงจำและวัตถุด้านศิลปะและวัฒนธรรมของชุมชนเอาไว้
เชน่ โคมกระดาษแบบต่าง ๆ ที่หาได้ยากยง่ิ การพับกระดาษไหว้เจ้า ประวัตศิ าสตร์ชุมชน อยา่ งไรก็ตามชุมชน
เจรญิ ไชยประสบปัญหาและข้อกังวลเกย่ี วกับวฒั นธรรมประเพณีที่จะสูญหายจากการพฒั นาเมืองในรูปแบบทุน
นยิ ม โดยเฉพาะเมื่อต้องโดนให้ยา้ ยออกจากพน้ื ท่ไี ป
2. ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ เป็นตัวอย่างชุมชนสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศที่กำลังประสบปัญหาการ
เปลย่ี นแปลงเมืองทางกายภาพ และการถกู ไลร่ ือ้ ออกจากพ้นื ทมี่ านานกว่า 11 ปี ชมุ ชนเลอื่ นฤทธไิ์ ด้รวมตัวเป็น
ชุมชนเข้มแข็งและร่วมกันก่อตั้ง “บริษัท ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ จำกัด” โดยมีเจ้าของตึกแถวแต่ละคูหาเป็นห้นุ ส่วน
ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เห็นชอบในอุดมการณ์ของชุมชนในการ
อนุรักษ์ย่านและสภาพแวดล้อม ปัจจุบันชุมชนเลื่อนฤทธิ์ได้อนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นบ้านเรือนของ
ตนเองเรียบร้อยแลว้ แต่ยังไม่แน่ใจในด้านกิจกรรมใดหรือธุรกิจใดที่สามารถสร้างสรรค์พื้นที่ประวัติศาสตร์ท่มี ี
คณุ ค่าใหก้ ลับมาพลกิ โฉมฟื้นคืนขึ้นอีกครัง้
3. ชมุ ชนนานา เดมิ เปน็ ท่ีรู้จักในยา่ นขายยาสมุนไพรจนี ปจั จบุ นั เปน็ แหล่งรวมนักกิจกรรมทางศิลปะ
และวัฒนธรรม โดยเฉพาะกลุม่ คนร่นุ ใหมท่ ่สี ร้างสรรคธ์ รุ กจิ แบบใหมใ่ นพน้ื ที่ โอกาสที่ย่านนี้จะมธี รุ กจิ แบบใหม่
ทต่ี อ้ นรับนักท่องเท่ยี วทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศที่ต้องการกิจกรรมดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมอยู่สูงมาก ซึง่ นัก
กจิ กรรมเหลา่ นต้ี ้องการการรวมตวั เพื่อพลิกฟ้นื ย่านนใ้ี หเ้ ป็นแหลง่ ศิลปะและงานสรา้ งสรรคท์ างวัฒนธรรม
ผลการทบทวนหลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี และสถานภาพความรทู้ างวชิ าการ (Literature Review)
1. การพัฒนาเชิงพื้นที่ มีเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเข็มแข็งของพื้นที่จาก
รากฐานสำคัญ คือ ชุมชนในพื้นที่ โดยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างเครือข่ายหลายภาคส่วนในหลาย
ระดับ ทั้งระหว่างชุมชน หน่วยงานปกครอง นักพัฒนา นักวิชาการ ฯลฯ การพัฒนาเชิงพื้นที่ต้องมาจากการ
ริเริ่มของพื้นที่ (ชุมชน) โดยกำหนดประเด็นปัญหาหรือความต้องการของพื้นท่ี สร้างเครื่องมือ ข้อมูล ความรู้
กลไกความรว่ มมอื เพอ่ื ใหเ้ กิดการพัฒนาอยา่ งย่งั ยืนและปรับตวั ให้ทันต่อการเปลยี่ นแปลง
P a g e | 70
2. แผนที่ทางวัฒนธรรม คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแสดงตัวตนของชุมชนและสังคมในพื้นที่ เป็นการ
สำรวจและบันทึกข้อมูลของมรดกวัฒนธรรมในท้องถิ่นทั้งที่เป็นรูปธรรม เช่น อาคารที่มีคุณค่าทาง
ประวัติศาสตร์ วัดวาอาราม ศาลเจ้า ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ฯลฯ และสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ความ
เชื่อ ตำรับอาหาร ความทรงจำ ฝีมือช่าง ฯลฯ แผนที่ทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือสาคญั ในการเรียนรู้ เข้าใจใน
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และนำไปสู่การอนุรักษ์ จัดการ พัฒนา ฟื้นฟู และต่อยอดอย่างมีส่วนร่วมได้
ตอ่ ไป ทั้งนจี้ ุดมุ่งหมายสำคญั คือ การสรา้ งจิตสำนึกรว่ มในชุมชนและสนบั สนนุ วัฒนธรรมท่หี ลากหลาย ภายใต้
เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรมของพ้นื ท่นี ั้น ๆ
ปัจจุบันมีการใช้แผนที่ทางวัฒนธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่
โดยองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ใช้แผนที่ทางวฒั นธรรมเป็น
เครื่องมือพื้นฐานในการปกป้องรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยให้ชาวเมืองมีส่วนร่วมในการเก็บ
ข้อมูลทางวัฒนธรรม ชมุ ชนจึงเกดิ ความร้คู วามเข้าใจในมรดกวฒั นธรรมของตน อีกทง้ั ยังส่งเสริมความตระหนัก
ถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมที่อยู่ในเมือง สู่การสร้างบันดาลใจและคุณค่าในการรักษามรดกวัฒนธรรม
ของพน้ื ที่ อันเปน็ มติ หิ นง่ึ ในการพัฒนาพ้นื ท่ี
3. เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี
ความคิดสร้างสรรค์ภายใต้ต้นทุนทางสังคมวฒั นธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา แนวคิดดังกลา่ วเปน็
หนึ่งในแนวคิดของเศรษฐกิจกระแสใหม่ที่จัดทำโดยคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
กระแสใหม่ ภายใต้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวไว้ว่า เศรษฐกิจบนฐานวัฒนธรรมมีกลไก
สำคัญในการขบั เคลื่อนระบบเศรษฐกจิ คอื วิสาหกจิ วัฒนธรรม (Cultural Enterprise) คอื การเชอื่ มโยงศิลปิน
ที่สร้างสรรค์กับตลาด ผู้บริโภค การผลิตสินค้าและบริการ โดยยังคงคุณค่าทางศิลปะและวั ฒนธรรม ซึ่งมีทั้ง
การแสวงหากำไรและไม่แสวงหากำไรภายใตท้ นุ ทางวัฒนธรรม อันเปน็ การสร้างความเขม็ แขง็ จากภายใน
ตัวอยา่ งการออกแบบเพอ่ื การพฒั นาพน้ื ที่เมืองเกา่ ในบรเิ วณย่านเยาวราช-เจริญกรุง
กำหนดขอบเขตพน้ื ท่ศี กึ ษาโดยมดี า้ นทศิ เหนือจรดถนนยมราชสุขมุ ดา้ นทศิ ตะวันออกจรดถนนมงั กร
ด้านทศิ ใตจ้ รดซอยวานชิ 1 และดา้ นทิศตะวันตกจรดถนนมหาจกั ร
ขณะเดียวกันคำว่า เมืองสร้างสรรค์ (Creative Cities) ถูกใช้อย่างแพร่หลายควบคู่กับคำว่า
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เชน่ เมอื งสร้างสรรคบ์ างแสน เมอื งแสนสขุ ขอนแก่นเมืองสร้างสรรค์ โดยแนวคิดของ
เมอื งสร้างสรรคจ์ ะต้องตง้ั อยบู่ นรากฐานที่เขม้ แขง็ ของชมุ ชนและท้องถน่ิ องคป์ ระกอบหลกั ของเมืองสร้างสรรค์
คือ ต้นทุนวัฒนธรรมและทรัพยากรมนุษย์ ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์มูลค่า เพิ่มศักยภาพที่มีอยู่เดิมเพื่อให้
สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของพื้นที่ ปัจจยั ทางด้านประชากร อุตสาหกรรม เศรษฐกจิ และกิจกรรมทางด้านศิลปะ
ประเพณี และวัฒนธรรมซึ่งเป็นสินทรัพย์ของแต่ละพื้นที่ เป็นสิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดเมืองสร้างสรรค์ พื้นที่ของ
P a g e | 71
เมืองจะถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เมืองสร้างสรรค์จึงเป็นความเชื่อมต่อระหว่าง
ผู้คน สถานทแี่ ละอตั ลกั ษณห์ ลอมรวมกัน
ที่ประชุมสหประชาชาติว่าดว้ ยการค้าและพัฒนา (UNCTAD) ให้ความหมายของเมอื งสร้างสรรคไ์ วว้ า่
เปน็ เมอื งทีม่ ีกจิ กรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย อันเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกจิ และสังคมของเมือง และต้อง
ประกอบดว้ ยรากฐานท่ีมั่นคงทางสังคมและวัฒนธรรม ยกตัวอยา่ งเมืองคานาซาวา ประเทศญ่ปี ุน่ เป็นต้นแบบ
การพัฒนาท้องถิ่นสร้างสรรค์ด้วยการนำสินทรัพย์วัฒนธรรมในท้องถิ่นที่มีรากเหง้ามายาวนาน ทั้งศิลปะ
หัตถกรรม อาหาร การแสดง มาสร้างคุณค่าผ่านความคิดสร้างสรรค์และการบริหารอย่างชาญฉลาด จนสร้าง
รายไดใ้ หก้ บั คนในพนื้ ทีแ่ ละสรา้ งชอ่ื เสยี งในระดบั ประเทศ
ปัจจุบันการศึกษาเพื่อพัฒนาพื้นที่ในย่านเยาวราชและพื้นที่เกี่ยวเนื่องออกมาในรูปแบบของแผนงาน
หรือชดุ ขอ้ มลู จากหน่วยงานรฐั ท่ีสำคัญ ไดแ้ ก่ การดำเนนิ งานของสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร ตัวอย่างเช่น
โครงการอาคารที่มีคุณค่าในพื้นที่ต่อเนื่องกรุงรัตนโกสินทร์ฝั่งตะวันออก แนวทางการปรับปรุงฟื้นฟูชุมชนริม
คลองรอบกรุงและพ้ืนทต่ี ่อเนื่อง แนวทางในการอนุรกั ษ์ฟ้ืนฟบู ริเวณตลาดน้อยและพ้ืนท่ตี ่อเน่ือง และโครงการ
รกั ษ์ "เจา้ พระยา" ทกุ โครงการจากสำนกั ผงั เมืองมงุ่ เนน้ การศึกษาพื้นที่ในเชงิ ผังเมืองและด้านกายภาพเป็นหลัก
ตัวอย่างที่สำคัญที่เกี่ยวข้อง คือ การจัดทำแผนที่ภูมิทัศน์วัฒนธรรม "ตรอกบ้านพานถม” โดยทำแผนที่ย่าน
ตรอกบ้านพานถม มีการกำหนดสถานที่เพิ่มเติมจากอาคารเก่าและศาสนสถาน คือ ร้านอาหาร และโครงการ
ย่านนวัตกรรมรัตนโกสินทร์ โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นแผนการ
พัฒนาการปรับปรุงพื้นฟูเมืองภายใต้แนวคิดว่าพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์เต็มไปด้วยแหล่งงานสร้างสรรค์ ศิลปะ
วัฒนธรรม การพัฒนาเมืองและชุมชน ไปสู่การสร้างนวัตกรรมหรือใช้นวัตกรรมอันจะก่อให้เกิดประโยชน์เชิง
เศรษฐกิจและสงั คม
จะเห็นได้ว่าการพัฒนาพื้นท่ีย่านชุมชนเยาวราชและพื้นที่เกี่ยวเน่ืองให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้าน
กายภาพของเมือง โดยเฉพาะผังเมอื งและอาคาร ปรากฏเป็นแผนงานและข้อมูล ผู้ใช้งานในแผนคอื หนว่ ยงาน
รัฐเป็นหลัก ยังขาดการประสานความร่วมมือแบบบูรณาการโดยเฉพาะกับชุมชนและเครือข่ายต่าง ๆ ท่ี
เกี่ยวข้อง การเก็บข้อมูลยังไม่ครอบคลุมมรดกวัฒนธรรมสำคัญของพื้นทีท่ ัง้ หมด ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน
ในการกำหนดแผนท่ที างวฒั นธรรมอันเปน็ หวั ใจสำคัญของการพัฒนาเชงิ พนื้ ท่ี
การศึกษาความเป็นจีนและอัตลักษณ์ของย่านยังพบงานวิจัยหลายชิ้น ภาพรวมของงานวิจัยแสดงให้
เหน็ ว่าพ้ืนทีเ่ ยาวราชและพื้นทเี่ ก่ยี วเนื่องเป็นพ้นื ที่เก่าแก่ มีคุณคา่ และอัตลกั ษณด์ ้านประวตั ศิ าสตร์ ศาสนาและ
ความเช่ือ ความเป็นจนี และอาหาร มกี ลุม่ จัดงานเทศกาลและแหล่งเรยี นร้ทู างวัฒนธรรม 2 กลมุ่ คือ กลุ่มแรก
ได้แก่ ผู้จัดระดับหน่วยงาน คือ สำนักงานเขตสมั พันธ์วงศ์ สภาวัฒนธรรมเขตสัมพันธวงศ์ นักการเมืองท้องถิน่
และบริษัทออร์กาไนเซอร์ กลุ่มที่สอง ได้แก่ ผู้จัดระดับชุมชน คือ ชุมชนเวิ้งนาครเกษม ชุมชนตลาดนอ้ ย และ
ชมุ ชนเจริญไชย แต่ยังขาดการประสานร่วมมือกันระหวา่ งเครอื ข่าย
นอกจากนนั้ จะเห็นได้ว่าในรอบ 10 ปีท่ีผา่ นมา แนวทางการใช้กิจกรรมด้านศิลปะร่วมสมัยเพ่ือพัฒนา
พื้นที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นโดยเอกชน โดยเฉพาะพื้นที่เยาวราชและริมแม่น้ำ
เจ้าพระยา เช่น ศิลปะสตรีทอาร์ท “Bukruk” นำศิลปินกราฟิตี้สร้างผลงานกระจายตามจุดต่าง ๆ เพื่อเป็น
จดุ หมายให้นกั ท่องเท่ียวเดนิ กระจายท่วั บรเิ วณยา่ นมากขนึ้ หรอื งาน Bangkok Design week 2019 ยา้ ยพนื้ ที่
แสดงงานออกจากแกลลอรี่ไปสู่พืน้ ที่ของสาธารณะและพืน้ ท่ีของผู้อยู่อาศยั รอบบริเวณงาน อีกทั้งยังมีกลุ่มนัก
กจิ กรรมรวมทงั้ กลมุ่ จากสถาบันการศึกษาผู้ขบั เคลื่อนการใช้ศลิ ปะเพ่ือพัฒนาชมุ ชน เชน่ งานศลิ ปะ ชุมชนสาม
แพร่งโดยกลมุ่ ดินสอสี งานบางมดเฟส โดยสถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี โครงการศลิ ปใ์ นซอยย่านกุฎี
P a g e | 72
จีนโดย UDDC ทั้งหมดนี้มีจุดหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและพัฒนาย่านอย่างยั่งยืน โดยได้รับ
ความร่วมมือจากภาคภี ายในชุมชนและภาคภี ายนอกอกี ดว้ ย
กระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนและภาครัฐยังสามารถสร้างผลผลิตทางศิลปะที่มีประโยชน์ใช้
สอยและถาวรวัตถุได้อีกด้วย เช่น ฝาท่อระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น ในแต่ละเมืองจะแสดงอัตลักษณ์และสิ่ง
สำคญั ของเมอื งนัน้ ๆ กระบวนการออกแบบและการคดั เลือกจะตอ้ งไดร้ บั การเห็นชอบจากคนในชุมชนก่อนจะ
ผลิตจริง ในโครงการวิจัย “การออกแบบประติมากรรมบนพื้นที่สาธารณะกับการมีส่วนร่วมกับชุมชน”
บรเิ วณรมิ คลองโอง่ อา่ ง โดย รศ.จกั รพันธ์ วลิ าสินีกุล ก็เชน่ เดียวกัน ได้เริม่ ตน้ สำรวจรูปแบบทางศิลปะท่ีปรากฏ
อาคารและเรื่องราวท้องถิ่น นำมาใช้เป็นข้อมูลออกแบบผลงานที่แสดงให้เห็นอัตลักษณ์ของคนในชุมชน โดย
อาศัยความมติจากชุมชนเป็นหลักในการเลือกชิน้ งานที่จะติดตั้งในบรเิ วณชุมชน เพื่อทำให้เห็นถึงความเป็นไป
ไดข้ องรปู แบบศลิ ปะทจ่ี ะอยู่ร่วมกนั กลมกลนื กบั กจิ กรรมของคนในชมุ ชน
ตัวอยา่ งการออกแบบฝาท่อ เพ่อื ใช้ส่ือสารอัตลกั ษณใ์ นพื้นท่เี ยาวราช – เจริญกรงุ
กองจัดรูปที่ดินและปรบั ปรุงฟน้ื ฟเู มือง สำนักผงั เมือง กรงุ เทพมหานคร ไดน้ ำผลการวจิ ัยดงั กล่าวไปใช้
และเปน็ แนวทางการออกแบบเพ่ือปรับปรุงภูมิทัศนส์ ่งเสรมิ อัตลักษณ์ชุมชน โครงการปรบั ปรงุ ภมู ทิ ัศน์ริมคลอง
โอ่งอ่าง และโครงการศิลปะชุมชนกจิ กรรมแต้มสี กรุงเทพฯ ปี 2561 โดยสำนักผงั เมืองได้ศึกษาปรับปรุงพืน้ ท่ี
ริมคลองรอบกรุงเทพมหานคร ตลอดเส้นทางจากแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศใต้จรดทิศเหนือ นอกจากนี้ใน
โครงการส่วนต่อจากคลองโอ่งอ่างที่กรุงเทพมหานครมีแผนดำเนินการต่อใช้งานศิลปะโดยให้ชุมชนมีส่วน
ร่วม38 ผลจากการที่นักวิจัยได้เข้าไปร่วมปรับภูมิทัศน์บริเวณคลองโอ่งอ่างร่วมกับกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้
คลองโอ่งอ่างได้รบั การพฒั นาจนได้รางวัลใหญร่ ะดับโลกคือ 2020 Asian Townscape Awards จาก UN-
Habitat Fukuoka ซึ่งเป็นรางวัลต้นแบบในการปรับปรุงภูมิทัศน์ประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาด้าน
ส่งิ แวดล้อม ความปลอดภยั ศลิ ปวัฒนธรรม ท่ีมคี วามสอดคลอ้ งระหว่างภูมิทัศน์ของเมืองกับรปู แบบการดำเนิน
ชีวิตดำเนินการ ซึ่งมีเพียง 6 ประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐ
ประชาชนจีน เนปาล มาเลเซีย และไทย นับเป็นหนึ่งความสำเร็จของการฟืน้ คืนวถิ ีชวี ติ ชุมชนริมคลองได้อย่าง
38 ขา่ วกทม.นำร่องริมคลองโอ่งอ่าง ใช้ฝาท่อระบายนำ้ สุดชิค. เว็บไซตข์ ่าวไทยพบี เี อส 17 กันยายน 2562
https://news.thaipbs.or.th/content/284293
P a g e | 73
ลงตัวกับชีวิตของคนกรุงเทพฯ และเป็นต้นแบบการพัฒนาเมืองที่เหมาะกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน
กรุงเทพฯ ด้วยการปรับปรุงและพฒั นาพ้ืนที่สาธารณะท่ีมีความโดดเด่นอยา่ งเป็นรูปธรรม จนเปน็ ที่ยอมรับและ
พดู ถงึ ในส่อื ต่าง ๆ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง39
การทบทวนเรื่องการพัฒนาพื้นที่เมืองโดยการปกป้องและพัฒนาศิลปะและวัฒนธรรม พบว่ามี
ความจำเปน็ ดา้ นต่าง ๆ ดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ การใชต้ น้ ทนุ มรดกวฒั นธรรมสร้างเศรษฐกจิ โดยเข้าใจในจดุ เด่นของเมอื ง เช่น เมื่อ
นึกถงึ การเรียนรู้ผู้คนส่วนใหญ่จะนึกถึงเมืองออกฟอร์ด เมอ่ื คิดถึงศาสนาส่วนใหญจ่ ะคิดถงึ เมืองเยซูฮาเร็ม เม่ือ
มจี ดุ เด่นหรือเข้าใจในมรดกวัฒนธรรมอันเปน็ ตวั ตนของ พื้นทจี่ ึงเกดิ การเยีย่ มเยือนจากผู้คนในถน่ิ อ่นื กอ่ ใหเ้ กิด
การเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการท่องเที่ยวในแหล่งมรดกวัฒนธรรม ในเชิงเศรษฐกิจการ
อนุรักษฟ์ ้นื ฟูมรดกของเมืองให้มีชีวิตชวี าจากการสรา้ งสรรคจ์ ะทำให้มลู ค่าของทรัพยส์ ินมรดกเพ่ิมสูงข้ึน ส่งผล
ต่อเนื่องใหเ้ กิดการเคลือ่ นไหวของผู้คนและธุรกิจตามมา รวมทั้งการบ่มเพาะธุรกิจขนาดยอ่ ม และส่งผลให้เกิด
การเพม่ิ มลู คา่ ของทรัพยส์ นิ บนทดี่ ิน โดยเฉพาะในบรเิ วณทอี่ ยใู่ กลเ้ คียงกบั ศนู ย์กลางของแหล่ง
2. ด้านสังคม ความเป็นลักษณะเฉพาะตัวทั้งจากประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมที่สะท้อน
ออกมาในพื้นที่ตามอาคาร ภูมิทัศน์ อาชีพ ความเชื่อ หัตถกรรม อาหาร ฯลฯ เมื่อชุมชนทราบถึงความสำคัญ
และความหมายจึงเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนในพื้นที่และเป็นอัตลักษณ์ของเมือง การสนับสนุนทุนทาง
มรดกวัฒนธรรมเหล่านี้ให้ดำรงอยู่ในภาวะที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลง เช่น การต่อยอดให้เกิดช่างฝีมืออย่าง
ต่อเนื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน กิจกรรมทางศิลปะชุมชน จึงสนับสนุนความยั่งยืนทางสังคมและต่อยอด
ให้เกดิ การดำรงมรดกวัฒนธรรมของชมุ ชนเอาไว้
3. ด้านสิ่งแวดล้อม มรดกวัฒนธรรมเมืองในพื้นที่ถูกทำาลายหรือทำให้เสื่อมค่าโดยการ
รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รวมทั้งปัญหาจากมลพิษจากส่ิงแวดล้อมรอบตัว ก่อให้เกิดการทำลายมรดกอย่างไม่รู้ตวั การ
อยู่สบายโดยเฉพาะในส่ิงแวดล้อมทีเ่ หมาะสมจึงเปน็ ส่ิงจำเป็นต่อการพฒั นาพน้ื ท่เี มือง
แผนความร่วมมือของ 5 ภาคีหลัก ประกอบด้วย สถาบันอุดมศึกษา ภาคประชาสังคม/ชุมชน
ภาครัฐ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายศิลปิน และภาคธุรกิจ/เอกชน มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็น
39 ขา่ ว “คลองโอ่งอา่ ง” เจ๋ง! ดงั ไกลไปทว่ั โลก ควา้ รางวัลระดบั โลก 2020 Asian Townscape Awards. เวบ็ ไซตผ์ ้จู ัดการ 12 มีนาคม 2564
https://mgronline.com/travel/detail/9640000024226
P a g e | 74
มหาวิทยาลัยแห่งการสร้างสรรค์ ประกอบด้วยหลายคณะวิชาและคณาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญใน
สาขาวิชาต่าง ๆ ในวิจัยในครั้งนี้ได้รวมศาสตร์ความรู้และคณาจารย์สาขาวิชาต่าง ๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม
ศาสตร์ โบราณคดี จิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มัณฑนศิลป์ วิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอตุ สาหกรรม วิทยาการจัดการ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ปัจจุบันเกิดปัญหาเด่นขึ้นในเมืองอีกอย่างน้อยสองปัญหา ปัญหาแรก ได้แก่ กระบวนการบูรณะและ
ปรับปรุงอาคารหรือย่านใหเ้ ขา้ กบั รสนิยมของชนชั้นกลาง ซึ่งเกิดขึ้นจากการปรับปรุงอาคารของคนในพืน้ ท่ี
เองหรือคนที่เข้ามาใหม่ โดยอาจแตกต่างไปจากกิจกรรมการใช้งานเดิมของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ สำหรับย่าน
เยาวราช สิ่งที่พบคือการเกิดขึ้นของร้านกาแฟ ร้านไอศกรีม หรือที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม ฯลฯ
การเกิดกระบวนการเช่นนี้มีข้อดีคือ กิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้นช่วยฟื้นฟูย่านขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันหากมีจำนวน
มากอาจทำให้เอกลักษณ์ของยา่ นเสยี ไป หรอื ทำให้ผู้ที่อาศัยในพืน้ ท่ีเดิมยา้ ยออก ไม่วา่ จะเป็นด้วยการต้องการ
นำอาคารของตัวเองมาให้เช่าเพ่ือทำกจิ การเชน่ นี้ หรือคา่ เช่าอาจข้ึนราคาจนทำใหผ้ ู้เช่าท่ีเป็นผู้อยู่อาศัยเดิมใน
พื้นที่ไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นได้จึงต้องย้ายออก เป็นต้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทาง
สงั คมอันเป็นปัญหาเชิงโครงสรา้ งที่ใหญเ่ กินกวา่ ด้านกายภาพจะแกป้ ัญหาได้
เรื่องที่สอง คือ การท่องเที่ยวที่เป็นพิษ (Toxic Tourism หรือ Over Tourism) เป็นที่ยอมรับกัน
อย่างหลากหลายว่าการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเป็นรายได้ที่ส ำคัญของหลาย
ประเทศและหลายเมือง ประกอบกับการขนส่งและการเดินทางทางอากาศที่สะดวก ครอบคลุมและราคาไม่
แพง ก่อให้เกิดนักท่องเที่ยวจำนวนมากเพิ่มไปจากเดิมเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ คนเมืองในทวีป
ยุโรป หลายเมอื ง เชน่ เวนสิ บารเ์ ซโลนา่ อัมสเตอรด์ ัม ลสิ บอน และปอรโ์ ต เรมิ่ มีความเห็นวา่ ควรจำกดั จำนวน
นักท่องเทีย่ ว เนอ่ื งจากทำให้เมือง คณุ ภาพชวี ติ และความนา่ อยูข่ องเมืองสำหรบั ประชากรเมืองลดลง จนทำให้
เกดิ กระแสทางสังคมเร่อื งการต่อต้านการทอ่ งเท่ยี วขึ้น รวมถงึ เกดิ การประท้วงขน้ึ ในบางเมือง หากย้อนกลับมา
ดูในเรื่องของความขัดแย้งด้านกิจกรรมการใช้พื้นที่ในย่านเยาวรา ความรำคาญใจของผู้อยู่อาศัยและความ
ต้องการของคนค้าขายบนทางเทา้ ในเวลากลางคืนสำหรบั นักท่องเท่ยี ว จุดเรมิ่ ตน้ ของความไม่พอใจในเร่ืองของ
การท่องเที่ยวได้เกิดขึ้นแล้วและอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมได้ แม้ว่าปัญหาของเยาวราชหรือของ
กรุงเทพมหานครจะมีความแตกต่างไปจากเมืองในประเทศตะวันตกซึ่งมักเป็นพื้นที่ศึกษาวิจัยของนักทฤษฎี
เมอื งทช่ี ใ้ี ห้เหน็ ถงึ ปญั หาของเมอื ง แต่ปรากฏการณ์หลายอยา่ งในย่านเยาวราชและกรุงเทพมหานคร การเรียนรู้
และเปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจในปัญหาจากสิ่งที่เคยมีมาก่อนจะช่วยให้เข้าใจย่านเยาวราช เพื่อนำไปสู่
การกำหนดแนวทาง รปู แบบและกลไกในการพฒั นาพน้ื ทข่ี ้ึนได้
การศึกษาด้านมลภาวะทางอากาศจากกิจกรรมทางความเชื่อ มีงานวิจัยทางห้องปฏิบัติการและการ
ทดลองที่ศึกษามลพิษที่เกิดขึ้นจากการเผาเครื่องกระดาษหรือกระดาษไหว้เจ้าและการจุดธูป อาทิ งานของ
Jetter et al. (2002) ที่ศึกษาการระบายฝุ่น PM2.5 และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนตริกออกไซด์
และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากการจุดธูปชนดิ ต่าง ๆ จำนวน 23 ชนิด พบว่ามีสัมประสิทธิ์การระบายมลพิษของ
PM2.5 อย่ใู นช่วง 5-56 มลิ ลิกรัมตอ่ กรมั ของธปู และเมอ่ื วเิ คราะห์การแพรก่ ระจายของควันธปู ดว้ ยแบบจำลอง
พบว่ามีค่าเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการรับสัมผัส
PM2.5 ของผู้ที่พักอาศัยอยู่ภายในอาคาร การศึกษาในเรื่องนี้มีอย่างต่อเนื่องโดยเน้นการศึกษาองค์ประกอบ
ทางเคมขี อง PM2.5 จากควนั ทเ่ี กิดจากการเผากระดาษไหว้เจา้ และการจุดธูป ดำเนนิ การทั้งในห้องปฏิบัติการ
และในบรเิ วณวัดและศาลเจา้ ซ่ึงมีกจิ กรรมการเผาวสั ดุดังกล่าว
ด้านวัฒนธรรมอาหารมีตัวอย่างของเมืองที่ประสบความสำเร็จด้วยการใช้อาหารเป็นส่วนสำคัญ เช่น
สวเี ดนกบั การประกอบสร้างวัฒนธรรมให้เมืองเป็นเมืองแห่งอาหารในปี 2008 และจากนัน้ มาวงการอาหารท่ัว
P a g e | 75
โลกตนื่ ตัวกับการสร้างอาหารในแนวคิด New Nordic Cuisine และทำให้ทง้ั สวีเดนกับเพ่ือนบ้านประเทศแถบ
สแกนดิเนเวียทิ้งภาพดินแดนอันหนาวเย็นและโต๊ะอาหารที่น่าเบื่อไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญมีคุณค่าทาง
วฒั นธรรมสูงมากจนทำราคาออกมาเปน็ ทุนทางเศรษฐกิจใหช้ าติได้อย่างเขม้ แข็งและครอบคลมุ เส้นทางจากต้น
น้ำสู่ปลายน้ำในกระบวนการอาหารทั้งระบบ “วฒั นธรรมอาหาร” จงึ นำพาความภาคภูมใิ จ ช่วงชิงและปักหมุด
หมายภาพลักษณ์ที่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน และสร้างเมือง (หรือย่าน) ให้เป็นที่จดจำได้ในระดับนานาชาติ
การศึกษาดังกล่าวต้องใช้การบูรณาการศาสตร์ด้านต่าง ๆ หลายด้าน ได้แก่ ศาสตร์และศิลปะอาหาร ศาสตร์
ด้านการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเมือง ซึ่งครอบคลุมถึงด้านพลังงานกับการอยู่อาศัยที่เกี่ยวข้องกับงาน
สถาปตั ยกรรมศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และสิง่ แวดล้อม การพัฒนาตราสญั ลกั ษณ์ การท่องเท่ียวและบรกิ าร
นอกจากนี้ข้อมูลความเป็นมาถึงสัณฐานเมืองทั้งทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีช่วยขยายภาพ
เยาวราชอย่างลึกซึ้ง ความเป็นย่านเก่าแก่และสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร มอบ “เสน่ห์” ให้พื้นท่ี
ศกึ ษานซ้ี ่ึงคอื ยา่ นเยาวราช มนุษยแ์ ละวิถีชีวติ ในชุมชนนีเ้ ปน็ แม่เหล็กดงึ ดูดให้ย่านน้เี ป็นสถานท่ีท่องเท่ียวระดับ
โลก (World Destination) แห่งหนึ่ง เสน่ห์ที่เป็นทรัพย์ประกอบสร้างมาจากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และ
วัฒนธรรมของย่านมีให้เห็น ความหลากหลายทางด้านเช้ือชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยเชื้อสายจนี ทีล่ งหลกั ปกั
ฐานสร้างความมั่งคงเป็นกลุ่มใหญ่ในพน้ื ทนี่ ี้ ชีวติ และกิจกรรมท่ีเข้มข้นทางดา้ นวัฒนธรรมและจติ วญิ ญาณส่งผล
เกีย่ วเน่อื งเชอ่ื มโยงในเชงิ ทุน มศี กั ยภาพทั้งทางด้านเศรษฐกจิ วัฒนธรรม ตลอดจนสังคมใหแ้ กเ่ ยาวราช พ้ืนท่ีนี้
ยงั ทำหนา้ ท่ีเป็นตน้ ทางในการสง่ มอบทนุ ดังกลา่ วขยายไปยังภาคส่วนตา่ ง ๆ ทง้ั ใกล้ไกลในประเทศไทยมาอย่าง
ตอ่ เน่ือง เมอ่ื นึกถึงสินค้าใด ๆ ทต่ี ้ังตน้ มาจากที่นี่จะมีแนวคิดแบบ “เยาวราช” ตราประทับคุณค่าอันน่าเช่ือถือ
ไวร้ องรบั อย่างเปน็ ธรรมชาติได้มาอยา่ งยาวนาน
• การพัฒนาทนุ ทางศิลปะและวฒั นธรรมยา่ นเยาวราช
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยหน่วยบูรณาการวิจัยและความร่วมมือเพื่อพัฒนาเชิง
พื้นที่ (ABC) ได้สนับสนุนทุนวิจัยในโครงการ “การพัฒนาทุนทางศิลปวัฒนธรรมย่านเยาวราช” ภายใต้ชุด
โครงการ “มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่” ครั้งท่ี 3 เพื่อให้
สถาบันอุดมศึกษาเป็นกลไกสำคัญในการอำนวยให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ผ่านศิลปะและวัฒนธรรม
ท้องถิ่นด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏบิ ัติการอย่างมสี ่วนร่วมทีจ่ ะสร้างความร่วมมือกับภาคหี ลักในพื้นท่ี ซึ่งรวม
ไปถงึ พืน้ ทเี่ ยาวราช เจรญิ กรงุ และบริเวณใกลเ้ คยี ง ที่มีเรอ่ื งราวของผู้คนท่ีต้ังถ่ินฐานมาหลายสมยั จนกลายเป็น
ย่านประวตั ศิ าสตรท์ ยี่ ังหลงเหลือแหลง่ ศลิ ปะและวฒั นธรรมตกทอดมาจากอดตี
เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงนิ (หัวลำโพง-บางแค) เปน็ เสน้ ทางเชอื่ มต่อยา่ นประวตั ิศาสตร์เมืองเก่ากรุง
รัตนโกสินทร์กับธนบุรีผ่านถนนเจริญกรุง และมีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวรายย่อยและผู้คนเดิน
ทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้แก่ชุมชนเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี โครงการรถไฟฟ้ามี
ผลกระทบสำคญั ท่ผี ่านมา คือ การขายทีด่ ิน ผลดั เจ้าของและเกิดโครงการพัฒนาท่ีดนิ ขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ มี
แนวโน้มจะเกิดโครงการขนาดใหญ่และกลางเกิดขึ้นตามมา การพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมเชิงพาณิชย์และการ
ปรบั ปรงุ รูปแบบการท่องเท่ียวจะสร้างผลกระทบกวา้ งขวาง การย้ายออกของชุมชนผู้อาศัยเดิมและการร้ือถอน
อาคารจะเพมิ่ ข้นึ
ปัจจบุ นั ชุมชนเกา่ แก่ท่ียงั เกาะตวั อยูร่ วมกันและคงความเปน็ ตัวตนของชมุ ชนจึงมีไม่มากนกั โดยชุมชน
ที่มีศักยภาพและความต้องการในการพัฒนาเชิงพื้นที่ในระดับสูง ได้แก่ ชุมชนเจริญไทย ซึ่งเป็นแหล่งผลิต
กระดาษไหว้เจ้า ชุมชนนานา แหล่งขายยาสมุนไพรจีนที่ปัจจุบันเป็นแหล่งรวมนักกิจกรรมทางศิลปะและ
P a g e | 76
วัฒนธรรม และชุมชนเลื่อนฤทธิ์ ซึ่งเป็นตัวอย่างสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและถูกไล่รื้อถอน แต่
รวมตัวกนั เป็นชมุ ชนเขม้ แขง็ ที่อนุรกั ษ์อาคารประวัติศาสตร์40
จากการทบทวนเรื่องการพัฒนาพื้นที่เมืองโดยการปกป้องและพัฒนาศิลปะและวัฒนธรรม พบว่ามี
ความจำเป็นด้านต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับการดำเนินการศึกษาในโครงการวิจัยนี้มี
เครอ่ื งมอื วิจัย 3 ด้าน คอื
1. การจัดการแผนท่ีทางวัฒนธรรม เปน็ เครือ่ งมือค้นหาต้นทนุ ทางวัฒนธรรม เพ่ือสร้างกระบวนการ
เรียนรู้ตัวตนของย่านร่วมกับชุมชนเจ้าของพื้นที่และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สร้าง
กลไก แนวปฏิบัติในการจดั การมรดกวัฒนธรรม
2. การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรม ได้แก่ การสร้างกิจกรรม การทดลองและการสื่อสาร เป็นเวทีแห่ง
การพบปะแลกเปลี่ยนความรู้และระดมสมองทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ จัดการศิลปะและวัฒนธรรมใน
ชมุ ชน
3. การสร้างวิสาหกิจวัฒนธรรม ได้แก่ การริเริ่มงาน และกิจกรรมทางศิลปะ และวัฒนธรรมใน
รูปแบบและความหมายใหม่ เพื่อสร้างผลผลิตหรือกิจกรรมสรา้ งสรรค์ในงานหรือกิจกรรมทีพ่ ัฒนาจากฐานทนุ
ทางศลิ ปะและวฒั นธรรมของชมุ ชน
ตวั อย่างงานวจิ ัย
➢ การจดั การมลภาวะทางอากาศบนฐานวฒั นธรรมแบบมสี ว่ นรว่ มโดยชุมชน
พ้นื ทเ่ี ยาวราช-เจริญกรุงเป็นแหล่งวัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อ บนพ้ืนฐานจากความศรัทธาของ
ชาวไทยเชื้อสายจนี และกลุ่มนักท่องเท่ียว รวมทั้งเป็นจุดศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงความเชื่อระหว่าง
พิธีกรรมตามประเพณีปฏิบัติกับสินค้าและบริการต่าง ๆ แต่เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาความ
เจริญและความเปน็ เมือง สง่ ผลให้บทบาทของศาลเจ้าลดทอนลงพร้อมกับถูกต้ังคำถามจนเกิดข้อร้องเรียนและ
ข้อพิพาทระหว่างชุมชนกับศาลเจ้า เช่น ปัญหาฝุ่นควันและเศษผงจากการเผาไหม้ของเครื่องกระดาษ นำไปสู่
จดุ บน่ั ทอนความร่วมมือและการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนต่อการสรา้ งการดำรงอยแู่ ละการดำเนนิ งานของศาลเจ้า
คณะวจิ ยั ได้จัดกจิ กรรมการสำรวจคุณภาพส่ิงแวดล้อมเพอ่ื พัฒนาศาลเจ้าและสิ่งแวดลอ้ มในชุมชนย่าน
เยาวราช ณ วดั มังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยย)ี่ เพือ่ สำรวจคา่ ฝุ่น PM2.5 และวดั ระดับค่าเสียง อันจะนำไปสู่การ
ค้นหารูปแบบการจัดการมลภาวะทางอากาศบนฐานวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมโดยชุมชนและภาคีเครือข่ายใน
พื้นที่ย่านเยาวราช-เจริญกรุง จากการสำรวจพบว่าของไหว้ต่าง ๆ และควันธูปทำให้ PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน
40 ข่าว สกสว. เดินหน้าหนนุ งานศิลปวฒั นธรรมยา่ นเยาวราช เตรียมทำฝาทอ่ ติดคิวอารโ์ คด้ บอกเลา่ เรอ่ื งราวชุมชน. เวบ็ ไซต์ศูนยข์ อ้ มูลการวจิ ัย
Digital วช. https://dric.nrct.go.th/News/Detail/1193/2
P a g e | 77
ความปลอดภัยต่อสุขภาพ ผู้ไหว้อาจจะต้องลดจำนวนการจุดธูปเพื่อช่วยกันรักษาคุณภาพอากาศ โดยการ
ตรวจวัดค่าฝุ่นละอองพบว่าเกิน 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากอยู่ในวัดนาน ๆ จะได้รับผลกระทบ
มากขึ้น ทุกคนจึงควรตื่นตัวในการแก้ปัญหา ตระหนักรู้และร่วมกันรณรงค์ว่าจะไหว้เจา้ อย่างไรให้เป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังตรวจวัดระดับเสียงตามชุมชน วัดต่าง ๆ และริมถนนย่านเยาวราช พบว่ามีค่าเฉล่ีย
ประมาณ 80-90 เดซเิ บล โดยแหลง่ กำเนิดเสยี งสำคัญคือ ไมโครโฟนและยานพาหนะ ขณะที่ค่ามาตรฐานอยู่ท่ี
70 เดซเิ บล ผลกระทบในเบอื้ งตน้ กอ่ ใหเ้ กดิ ความรำคาญและอาจทำใหห้ ูอื้อ สูญเสยี การไดย้ ินช่ัวคราว แต่ถ้าได้
ยินเสียงดังติดต่อกันนาน ๆ อาจหูตึง การได้ยินเสื่อมลง ซึ่งเป็นผลกระทบของเมืองที่สำคัญ ทั้งนี้ หลังตรุษจนี
จะทำการวัดค่าเสียงและฝุ่นอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบค่าความแตกต่างที่ได้ระหว่างช่วงที่มีกิจกรรรมกับช่วง
สถานการณ์ปกติ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ก่อนมีวิกฤติ PM2.5 วัดมังกรกมลาวาสได้ร่วมกับสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ในการ
ปรับเปลี่ยนลดจำนวนกระถางธูปและเตาเผากระดาษ เพราะตระหนักถึงสุขภาพของประชาชน เป็นเรื่องที่น่า
กลัว โดยคณะกรรมการวัดและเจ้าอาวาสได้กำชับให้ลดการเผาของสักการะในช่วงเทศกาล ปัจจุบันเหลือ
กระถางธูป 5 กระถาง จากเดมิ 10 กระถาง มคี นคอยเก็บธูปตลอด และใหต้ ้งั อยู่บริเวณด้านนอก เนื่องจากใน
บริเวณวัดแออัด รวมถึงการประกาศประชาสัมพันธ์และติดป้ายแจ้งนักท่องเที่ยวเป็นภาษาจีนติดตามเสาด้วย
นอกจากน้ียงั ติดตั้งเครอื่ งกรองอากาศเพ่ือให้อากาศถา่ ยเท ในอนาคตอาจจะลดจำนวนกระถางธูปและกระดาษ
ให้เหลือน้อยที่สุด ก่อนนี้ทางวัดได้รวบรวมนำกระดาษไปเผาทิ้งในบริเวณชานเมืองกลางแจ้ง แต่ด้วยข้อ
กฎหมายท่หี ้ามทำเช่นนัน้ ทางวัดก็ตระหนักถงึ เร่ืองนี้และจะหากระบวนการปรบั เปล่ยี นเพื่อลด PM2.5 โดยขอ
ความรว่ มมือจากประชาชน ทางวัดและสำนกั งานเขตจะร่วมกันปรับเปลีย่ นวิธกี ารให้เร็วทส่ี ุด
ปัญหาฝุ่นควันและเศษผงในการเผาไหม้ของเครื่องกระดาษในการสักการะบูชาที่มีศาลเจ้าเป็น
ผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวโดยตรง ถูกตอกย้ำจากสภาพปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
หลายหน่วยงาน ได้แก่ กรมการปกครอง กรมอนามัย สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร สำนักป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภยั กรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตสัมพนั ธวงศ์ ต่างมีนโยบายและมาตรการสง่ ตรงมายังศาล
เจ้าในพื้นที่ ทั้งการขอความรว่ มมือและการรณรงค์ประชาสัมพันธใ์ หล้ ดการใช้ธูป การเผาเครื่องกระดาษ และ
การประกอบพิธีกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละออง ส่งผลให้ศาลเจ้าหลายแห่งต้องสร้างระบบการจัดการต่อ
นโยบายซ่ึงส่งตรงมาจากรัฐ
แม้ห้ามประเพณีวัฒนธรรมไม่ได้แต่ต้องยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา จึงต้องร่วมกันแสวงหา
รูปแบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมบนพื้นฐานทางวัฒนธรรม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้คน ชุมชน และ
สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ คณะวิจัยจะทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อภาครฐั หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การ
จัดการศาลเจ้าอื่น ๆ ของประเทศ รัฐจะต้องสร้างพื้นที่สำหรับการเผาที่สมบูรณ์ และจัดการกับวัตถุดิบที่
P a g e | 78
ประกอบพิธีกรรมให้ไร้มลพิษอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีวัดมังกรกมลาวาสเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการเร่ิม
จัดการปัญหา เพราะเป็นผู้นำทางความคิดทางวัฒนธรรมจนี และจะหารือกับเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาสเพ่ือ
จัดการแก้ไขปัญหาอยา่ งย่งั ยนื ต่อไป41
➢ วิถวี ฒั นธรรมดา้ นอาหาร
อาหารเป็นสิ่งสะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีนที่ต่อสู้ดิ้นรนมาแต่ต้น กับข้าวในยุคแรกคือกรวด
แช่น้ำปลาที่สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงที่คนจีนย้ายถิ่นมาใหม่ยังตั้งหลักไม่ได้ จึงเน้นกินข้าวต้มให้หนักท้อง ส่วน
อาหารยุคตอ่ มาคอื กลุ่มเก๊ียม เปน็ อาหารทีใ่ ชค้ วามเค็ม สามารถหยิบจบั มาทำอาหารเช้าได้แบบรวดเรว็ กอ่ นที่
คนในครอบครัวจะออกไปทำมาหากินสู้ชีวิต เช่น เกี๊ยมไฉ่ เต้าหู้ยี้ กาน่าไฉ่ ส่วนประเภทที่ 3 เป็นอาหารพวก
เปิดเตาทำกับข้าว เพราะครอบครัวเริ่มลงหลักปักฐานได้ มีเวลาในการประกอบอาหารมากขึ้น ใช้วัตถุดิบที่ดีขึ้น
ทำให้รสชาติดขี ึ้น เช่น ใบปอ ไฉ่โป๊วผัดไข่ ถั่วทอด นอกจากนี้ยังพบอาหารกลุม่ ที่ได้รับอิทธิพลจากคนไทย คือ
รสเผ็ด คนจีนจงึ ทำอาหารพวกยำ เชน่ ยำไข่เค็ม ยำปลาเคม็ และสดุ ท้ายคอื กลมุ่ เนื้อสัตว์ เมอ่ื พอมีฐานะขึ้นมา
ก็จะมหี มแู ผ่น หมูซอี ๊ิว หมูกรรเชยี งอยใู่ นสำรบั ขา้ วต้ม42
ด้วยเหตุน้ีมหาวิทยาลัยศิลปากรจึงได้ร่วมกับชุมชนย่านเยาวราช-เจริญกรุง จัดสนทนาระดมความรู้
ถอดรหัสวัฒนธรรม “เจียะม้วย”: กินข้าวต้มวิถีคนเยาวราช เพื่อให้คนท้องถิ่นเยาวราชมาร่วมแลกเปลี่ยนวิถี
การกินอยู่ที่สะทอ้ นอตั ลักษณอ์ าหารจนี ทั้งด้านศาสตร์ศิลปะและบริบทความเป็นมาของสังคมของคนไทยเช้ือ
สายจีนตั้งแต่ยุคตั้งรกรากมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยโดย มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับ
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสนุ นั ทา โดยผทู้ มี่ คี วามรแู้ ละผูท้ ี่เกี่ยวขอ้ งได้มาพบปะกับ “ตัวจรงิ ” เจ้าถ่ินเยาวราชใน
บรรยากาศแบบสนิทสนมกันเอง ล้อมวงโต๊ะข้าวต้ม พูดคุย ถกเถียงร่วมค้นหาความเลิศรสที่แท้และสมบูรณ์
แบบของ “เจียะม้วย” ตามแบบฉบบั วิถีคนเยาวราช เร่มิ สำรบั อาหารต้งั แตย่ คุ ก่อร่างสร้างตัวของคนเยาวราชที่
กินข้าวต้มกับกรวดแช่น้ำปลา ข้าวต้มโรยเกลือ พัฒนาการมาจนถึงคนไทยเชื้อสายจีนยุคใหม่ที่มั่งคั่งจน
กลายเป็นรากฐานเศรษฐกจิ ให้สงั คมไทยมาจนปจั จบุ ัน
คนท้องถิ่นเยาวราชและคนไทยเชื้อสายจีนจากจังหวัดต่าง ๆ ที่มาร่วมงานต่างร่วมแสดงความเห็น
ระลึกถึงสำรับข้าวต้มในวัยเด็กของครอบครัวตนเอง โดยมีความแตกต่างกันไปในกลุ่มคนจีนฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว
ไหหลำ จีนแคระ ที่มีวิถีชีวิตต่างกัน การผสมผสานกับวัฒนธรรมหลากหลายที่ปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละตรอก
ย่าน บางคนยอ้ นความหลังวา่ เป็นครั้งแรกไดส้ ัมผัสกรวดแชน่ ้ำปลาในยุคเสือ่ ผนื หมอนใบจากท่ีเคยได้ยินแต่พ่อ
เล่าให้ฟัง บ้างให้ความเห็นรายละเอียดของข้าวต้มที่เน้นดูแลสุขภาพ สูตรอากงอาม่า ความหลากหลายของ
ปลาในอดตี ทม่ี ากกวา่ ปัจจบุ นั การเลอื กผกั ประกอบสำรับทีแ่ ตกตา่ งไปตามความขน้ ของขา้ วตม้ บางคนสะท้อน
ความผูกพนั แบบครอบครัวขยายผ่านอาหารอยา่ งลกึ ซ้ึง เชน่ อากงทีแ่ สดงออกทางความรู้สกึ ไมเ่ ก่ง แต่กลบั เปน็
คนทำอาหารแสนอรอ่ ยให้ลูกหลานทั้งบ้าน
41 ขา่ ว สกสว. หนุนการจัดการศาลเจา้ ลดวกิ ฤติ PM2.5 ยา่ นเยาวราช. เว็บไซต์ สกสว. 27 มกราคม 2563
https://tsri.or.th/th/news/content/448/%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7-
%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%
B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89
%E0%B8%B2-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4-
PM25-
%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%
B8%B2%E0%B8%8A
42 ข่าว สกสว.หนุน “เจยี ะม้วย” ขา้ วต้มวถิ คี นเยาวราช แฝงภมู ปิ ญั ญา สขุ ภาพ และครอบครวั ผกู พัน. เวบ็ ไซตส์ ำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ
วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม 4 มีนาคม 2563.
P a g e | 79
งานกินขา้ วตม้ วิถคี นเยาวราช (เจยี ะมว้ ย) ณ ร้านจ้นิ เฮง ซอยวาณชิ 1
➢ เทศกาลไหว้พระจนั ทร์
เทศกาลไหวพ้ ระจันทร์มคี วามสำคัญรองมาจากเทศกาลตรษุ จีน นักวิจยั ใช้พืน้ ทข่ี องชมุ ชนและเทศกาล
เป็นตัวเชอื่ มคนภายในกบั คนภายนอกให้มองเขา้ มาในพนื้ ที่เยาวราชซง่ึ ยังคงรักษาประเพณีไว้ โดยมีอีกตัวเชื่อม
หนึ่งคือ “โคมไฟ” อนั เปน็ สัญลกั ษณ์การไหว้พระจนั ทร์ในอดตี เพอื่ ใหเ้ กิดองค์ความรู้ แนวคิดเรื่องคุณค่า การ
เปลีย่ นผ่าน และการต่อยอด โดยมองวา่ วัฒนธรรมอาจเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา แต่เราจะปรับเปล่ียนและ
อยกู่ บั วัฒนธรรมเหลา่ นไี้ ดอ้ ยา่ งไร การถ่ายทอดประเพณีไปส่รู นุ่ ลูกรนุ่ หลาน รวมทั้งค้นหากลไกแนวทางจัดการ
ศิลปะของชุมชน และสร้างเวทีพบปะสังสรรค์ทางความคิด โดยได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชน ภาครัฐ
เอกชนเปน็ ภาคสี ำคญั
นายไพศาล หทัยบวรพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมจีน ในฐานะลูกหลานจีนรุ่นที่ 3 ซึ่งเห็นการ
เปลี่ยนแปลงของรูปแบบเทศกาลไหว้พระจันทร์ในประเทศไทยที่นับวันเลือนหายไป ในขณะที่ช่วงเดินทางไป
เยี่ยมบรรพบุรุษทีเ่ มอื งซัวเถา พบว่าการไหว้พระจนั ทร์กลับมาคึกคกั ไหว้กันแทบทุกบ้าน หากชุมชนเล่ือนฤทธิ์
จะรักษาประเพณีนี้ไว้ให้รุ่งเรืองต้องตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เข้าใจถึงแก่นแท้ แม้บางอย่างเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
เพื่อความเหมาะสม และไม่ตกเป็นเหยื่อของซินแสในโซเชียลมีเดียที่ทำให้แก่นแท้ของเทศกาลกลายเป็นเรื่อง
การค้าจนเกินไป การมีศาลเจ้าเพื่อให้คุ้มครองยามเมื่อมาอยู่เมืองไกลเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นหนึ่งใน
ศนู ยก์ ลางทปี่ กปอ้ งคุ้มครองทางจิตใจให้ชาวจีนที่เขา้ มาตั้งรกรากในเมืองไทย คนจนี มีคำสอนวา่ เมื่อกินน้ำต้อง
รพู้ ิกดั ตน้ นำของเรา ว่าเราเปน็ ใครมากจากไหนและเขา้ ใจถึงคุณค่าอยา่ งแท้จริงของการไหว้บรรพบุรุษ
ดร.ปวีณา กลกิจชัยวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางวัฒนธรรม เสนอว่า
ชุมชนเยาวราชไม่ควรเปลี่ยนแปลงตัวเองจนสูญเสียอัตลกั ษณ์ที่มีเสน่ห์ เยาวราชคือความไม่สมบรู ณ์แบบ เป็น
ย่านที่เต็มไปด้วยความจอแจ ผู้คนร้องตะโกนโหวกเหวกในชุมชน และเชื่อมโยงรู้จักกันเกือบหมด ศาลเจ้าที่มี
กลิ่นธูปตลบแต่เต็มไปด้วยความหวังยามต้องการกำลังใจ แม้แต่งกายมอซอแต่เป็นเจ้าสัวผู้ถ่อมตน สิ่งเหล่าน้ี
เป็นสีสันเสน่ห์เฉพาะตัวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างถวิลหา คนสิงคโปร์แม้เจริญร่ำรวยแต่มาเที่ยวเยาวราช
เพราะเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อย่าให้สูญเสียอัตลกั ษณ์เหมือนตรอกข้าวสารทีเ่ ต็มไปด้วยคนขายของต่างชาติ
ร้านกาแฟระดับโลก หรือวดั หลายแห่งในฮอ่ งกงท่ีขาดสสี นั เพราะมีแต่กลอ่ งบริจาคเรยี งราย แก่นแท้การไปศาล
เจา้ คอื สมั ผสั ประสาทรบั รู้ทงั้ 5 ทเ่ี ต็มไปด้วยความเชอ่ื มโยงแบบมนุษยก์ บั มนษุ ย์ดว้ ยกนั
ขณะท่ีพระอาจารย์ ดร.ธวัชชัย แก้วสิงห์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส ระบุว่าสิ่งสำคัญคือวัด
ต้องร่วมมือกับชุมชนในการรักษาศิลปะวัฒนธรรม ทั้งการบูรณะวัดที่ไม่ให้กระทบรูปแบบเก่าแก่ดั้งเดิม การ
เก็บข้อมลู วฒั นธรรมประเพณี เช่น เทศกาลไหวพ้ ระจันทร์ ประเพณชี ุกฮวยฮึ๊ง (พิธีการพ้นจากความเปน็ เด็ก สู่
P a g e | 80
ความเป็นผู้ใหญ่) รวมถึงสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้ผ่านวัดหรือพื้นที่อนุรักษ์ต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้อง
รว่ มกันดแู ล43
กิจกรรม “Moon Festival” ไหวพ้ ระจนั ทร์ วนั ดโู คม ชมศิลปะ ณ ชุมชนเลือ่ นฤทธิ์
43 ขา่ วภาคีจัดเทศกาลไหว้พระจันทร-์ โคมไฟ สบื สานวถิ เี ยาวราชสง่ ต่อคนร่นุ ใหม่. เว็บไซตส์ ำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริมวทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และ
นวตั กรรม 3 ตุลาคม 2563. https://tsri.or.th/th/news/content/549/news
P a g e | 81
• ศลิ ปากรพฒั นาเศรษฐกจิ สร้างสรรค์เพ่อื ความย่ังยนื ของสังคมและชุมชน ระยะท่ี 3
มหาวิทยาลัยศิลปากรมีความเชื่อมโยงกับจังหวัดเพชรบุรี โดยมีวิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรีตั้งอยู่ที่
ตำบลสามพระยา อำเภอชะอา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 เพื่อกระจายการศึกษาไปสู่ภูมิภาค โดยเล็งเห็นว่า
จังหวัดเพชรบุรีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เนื่องจากมีต้นทุนทาง
ศิลปวัฒนธรรมสูงและมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น วัด วัง โบราณสถาน
แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น ทะเล ภูเขา เขื่อน อ่างเก็บน้ำ รวมทั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอีก
หลายแห่ง เหมาะกับการเป็นศูนย์การเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวสาหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศ การ
พัฒนาจังหวัดเพชรบุรีให้เป็นพื้นที่ที่พร้อมรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นให้
พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ท้ังนี้ การ
เตรียมความพร้อมดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาชุมชนในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยใช้องค์ความรู้ของ
มหาวทิ ยาลยั มาตอบโจทย์ชุมชนและสังคม
มหาวิทยาลัยศิลปากรและจังหวัดเพชรบุรีมีความเหมาะสมร่วมกัน เนื่องจากองค์ความรู้หลักของ
มหาวิทยาลัยสามารถสนับสนุนการพัฒนาระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในขณะที่จังหวัดเพชรบุรีมีปัจจัยความ
พรอ้ มที่จะได้รบั การพฒั นา คอื การมีองคป์ ระกอบ 3 ประการ ได้แก่
1. ทกั ษะและความสามารถในความเปน็ ช่างฝีมอื (talent) ที่รู้ลกึ ในเรอื่ งนัน้ และพร้อมที่จะตอ่ ยอดไป
ทำในเรอ่ื งอ่นื ๆ
2. ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเป็นสังคมเปิด (tolerance) ที่คนในสังคมยอมรับในความ
แตกตา่ งทางความคดิ เชื้อชาติ ศาสนา และเพศ
3. โครงสร้างพื้นฐาน (basic requirement) ของสังคมที่เอื้ออำนวยด้านการศึกษา เทคโนโลยีการ
สื่อสาร ระบบโลจิสติกส์ ระบบการเงิน ระบบการผลิตท่ีมีคุณภาพและสุขอนามัย และระบบการคุ้มครอง
ทรัพยส์ ินทางปญั ญา
ขอ้ วิเคราะห์โจทยป์ ญั หาความต้องการของพ้ืนที่
การพัฒนาชุมชนในปัจจุบันเริ่มนำกระบวนการวิจัยเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือหลักที่สำคัญในการพัฒนา
มากขึ้น โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมทางชุมชนที่ตรงกับ
ความตอ้ งการของชุมชนตามอตั ลักษณ์และโอกาสในการต่อยอดความรู้ ภมู ิปญั ญาและเทคโนโลยี ตลอดจนวิถี
ชีวิตและวัฒนธรรมในท้องถิ่น ในการยกระดับรายได้และมาตรฐานการครองชีพให้สูงขึ้น ที่ผ่านมา
กระบวนการวิจัยต้องอาศัยความรู้ที่มีการบูรณาการในหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน มหาวิทยาลัยศิลปากรจึงมี
แผนงานการวิจยั รว่ มกบั สำนักงานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ัย (สกว.) เพื่อบรู ณาการความรู้ไปสชู่ มุ ชนในลักษณะ
การสร้างนวัตกรรมการวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนภายใต้ระบบความคิดที่ให้เกิดผลด้วยระบบเศรษฐกิจ
สร้างสรรคไ์ ปสชู่ มุ ชนเป้าหมาย คือ พ้นื ท่ีชุมชนทัง้ ในเขตเมอื งและนอกเขตเมืองในจังหวัดเพชรบุรี
ที่ผ่านมาคณะวิจัยได้ดำเนินโครงการวจิ ัยพัฒนาพื้นที่ 2 แห่ง คือ หมู่บ้านชาวไทยมุสลิม อำเภอชะอา
และอำเภอบ้านลาด พร้อมกับขยายไปยังพื้นที่อำเภอเมืองในโครงการระยะที่ 2 ซึ่งทั้ง 3 พื้นที่ได้รับความ
ร่วมมือจากชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปน็ อย่างดี จนกระทัง่ เกิดผลสำเรจ็ เชิงพน้ื ทีท่ ่ีได้รับการพัฒนาอย่าง
เป็นรูปธรรมมาเป็นลำดับ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่น การพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเทีย่ วชมุ ชน
การพัฒนาองคค์ วามรจู้ ากภมู ิปญั ญา จนนำไปสแู่ นวทางปฏบิ ัติที่ดใี นการเผยแพรผ่ ลการวจิ ยั ไปสู่ชุมชน นกั วิจัย
ประชาชนทงั้ ในและต่างประเทศ
จังหวัดเพชรบุรีเป็นเมือง 1 ใน 10 จังหวัดเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากกรมทรัพย์สินทาง
ปัญญากระทรวงพาณิชย์ มีทุนทางปัญญาหรือการพัฒนาต่อยอดขยายผลจากสิ่งที่มีอยู่เดิมให้โดดเด่นและมี
P a g e | 82
ศกั ยภาพ มที นุ เดิมทางวัฒนธรรมและอ่นื ๆ มากมาย ตลอดจนมภี าษาเพชรเป็นภาษาพ้ืนบา้ นท่ีเป็นเอกลักษณ์
การวิจัยเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชน และสร้างภาพลักษณ์ในระดับประเทศให้เป็นเมืองของ
ประเทศทใ่ี ห้ความสำคัญกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ ด้านความคิดสรา้ งสรรค์ ท่ผี า่ นมาแมน้ ักวิจยั จะเข้าไปมุ่งศึกษา
และให้ข้อเสนอแนะมากมายแต่ยังขาดองค์ความรู้ที่ทันสมัย และมุ่งพัฒนาพื้นที่ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่นำไปสู่
การสรา้ งรายได้และแก้ปัญหาความยากจนในเขตชนบท หรือแกป้ ัญหาจากกบั ดักรายได้ของคนในเขตเมือง ซึ่ง
อาจต้องบูรณาการความรู้ให้เป็นเมืองที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ดึงดูด จึงต้องใช้แนวคิดด้าน
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ผสมผสานกับการบรู ณาการท้ังศาสตร์และศิลปม์ าขับเคลื่อนผ่านกระบวนการวิจัยสำหรับ
การพัฒนาชมุ ชนและเมืองในจังหวัดเพชรบรุ ีให้เข้าสยู่ ุค Thailand 4.0 ไดต้ ่อไป44
แผนผงั แสดงสถานการณ์พ้ืนท่ี กรอบการวิจยั และความเชอื่ มโยงของการดาเนินงานวิจัยในพนื้ ที่จังหวดั เพชรบรุ ี
ผลการดำเนนิ งาน
- ด้านการบรหิ ารจัดการการวิจัย
การดำเนินการโครงการศิลปากรพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืนของสังคมและชุมชน
ระยะที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา และต่อเนื่องจนมาถึงโครงการระยะที่ 3 ในปัจจุบัน เป็นการดำเนินงานวิจัยเพื่อ
ตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่และชุมชน มหาวิทยาลัยได้ยกระดับการบริหารจัดการการวิจั ยไปสู่การ
จดั การเชิงยทุ ธศาสตรใ์ นการใช้ทุนวจิ ยั เป็นเคร่ืองมือขับเคล่ือนการบรู ณาการการทำงานของคณะต่าง ๆ เข้ามา
ทำงานร่วมกัน มุ่งเน้นให้เกิดการวิจัยเชิงบูรณาการ โดยนำองค์ความรู้หลากหลายศาสตร์และอัตลักษณ์ของ
มหาวทิ ยาลัยลงไปพัฒนาพื้นท่ี และยังคงเลือกพน้ื ที่เดิมในจังหวัดเพชรบรุ ีในการดำเนินงานวิจัยตอ่ เนื่อง โดยมุ่ง
พฒั นาและต่อยอดนวตั กรรมเพอื่ ให้เกดิ ความยั่งยืน
44 งานวจิ ยั โครงการศลิ ปากรพฒั นาเศรษฐกจิ สรา้ งสรรคเ์ พ่อื ความย่ังยนื ของสังคมและชมุ ชน ระยะที่ 3. สำนกั งานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)
โดยหนว่ ยบรู ณาการวิจยั และความรว่ มมือเพื่อพฒั นาเชงิ พื้นท่ี และมหาวิทยาลยั ศิลปากร.
P a g e | 83
โครงการระยะที่ 3 มีคณะวิชาใหม่สนใจเข้าร่วมโครงการอีก 2 คณะวิชา ได้แก่ คณะโบราณคดี และ
คณะเภสัชศาสตร์ โดยนำเงินกองทุนวิจัยและสร้างสรรค์สว่ นของคณะวิชามารว่ มสมทบ โจทย์วิจัยมาจากพ้ืนท่ี
หรือความต้องการของชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน จึงแตกต่างจากการจัดสรร
ทุนวิจยั อืน่ ๆ ท่สี ถาบนั วจิ ัยและพัฒนาเป็นผู้ดำเนนิ การ ซึง่ ส่วนใหญโ่ จทยว์ ิจยั มาจากความตอ้ งการของนักวิจยั
โครงการศิลปากรพัฒนาเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์เพื่อความยัง่ ยืนของสังคมและชุมชนทั้ง 3 ระยะ ตั้งแต่ปี
2557 มีคณะวิชาและสนับสนุนงบประมาณสมทบรวมทั้งสิ้น 10 คณะวิชา ได้แก่ คณะโบราณคดี คณะอักษร
ศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี
อุตสาหกรรม คณะสตั วศาสตร์และเทคโนโลยกี ารเกษตร คณะวิทยาการจดั การ คณะเทคโนโลยสี ารสนเทศและ
การสื่อสาร และวทิ ยาลัยนานาชาติ นอกจากนโ้ี ครงการวิจัยย่อยภายใตโ้ ครงการระยะท่ี 3 คณะผู้วจิ ัยของคณะ
เภสัชศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ร่วมกับคณาจารย์จากคณะมัณฑนศิลป์
ออกแบบบรรจุภัณฑผ์ ลติ ภัณฑ์อาหารและเคร่ืองสำอาง ซง่ึ เปน็ การบูรณาการระหว่างศาสตรแ์ ละศลิ ป์
จากการดำเนินงานโครงการอย่างต่อเนื่องทำให้มหาวิทยาลัยมีความใกล้ชิดกับชุมชน ได้รับความ
ไว้วางใจและร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่และชุมชนต่อไปมากขึ้น เกิดการพัฒนานักวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่เพิ่มข้ึน
และการบูรณาการองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็น
การนำผลงานวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์อยา่ งแทจ้ ริง
- ด้านการวิจยั เพ่อื ตอบโจทยข์ องพื้นที่
โครงการระยะที่ 1 ดำเนนิ การวิจยั ใน 2 พืน้ ที่ คอื พื้นทบ่ี ้านชาวไทยมุสลมิ หมู่ 8 บ้านโครงการพัฒนา
ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และพื้นที่สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด อำเภอบ้านลาด
จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชนและแหล่งท่องเที่ยววิถีเกษตร และขยายพื้นท่ีไปยัง
อำเภอเมืองเพชรบุรี ในโครงการระยะที่ 2 ซึ่งอุดมไปด้วยต้นทุนทางศิลปวัฒนธรรมนำไปสู่การพัฒนาแหล่ง
ท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมตามอัตลักษณ์ของท้องถิ่นได้ ส่วนโครงการระยะที่ 3 ดำเนินงานวิจัยในพื้นที่เดิม
ตามต้องการของพื้นที่และชุมชน ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัตถุดิบใน
ท้องถิ่น การพัฒนาและการสร้างอาชีพเสริมให้กับชุมชน การพัฒนาและส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิง
ชุมชนแบบมีอัตลักษณ์ รวมถึงการพัฒนาระบบการบริหารจัดการเพื่อให้ชุมชนดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้เอง
ตอ่ ไปอย่างย่ังยนื
ผู้วา่ ราชการจังหวัดเพชรบรุ เี ย่ยี มหมบู่ ้านชาวไทยมสุ ลมิ หมู่ที่ 8 ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบรุ ี
อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีประเพณีหลากหลาย มีภาษาถิ่นท่ี
เป็นเอกลักษณ์ และเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของจังหวดั มีสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด ที่มีระบบ
การบริหารจดั การทเี่ ข้มแขง็ อกี ทัง้ เปน็ แหลง่ ผลติ กลว้ ยหอมทองสำหรบั ส่งออกต่างประเทศทสี่ ำคัญ แต่ประสบ
ปัญหามีกล้วยหอมทองตกเกรดจำนวนมาก ไม่สามารถส่งออกได้ และต้องนำมาจำหน่ายในราคาถูก
P a g e | 84
โครงการวิจัยจึงพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์กล้วยหอมทองและผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า
และสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชนและสหกรณ์ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและสื่อส่งเสริม
สนับสนนุ การทอ่ งเท่ยี ว โดยมผี ลการดำเนินงานดงั น้ี
1. การแปรรูปผลผลิตทางเกษตรในท้องถิ่น ได้แก่ ตาลโตนด กล้วยหอมทอง ชมพู่ และละมุด โดย
โครงการระยะที่ 1 ไดแ้ ปรรูปกล้วยหอมทองตกเกรดให้เปน็ ผลิตภณั ฑท์ ี่จำหน่ายได้ในราคาที่เพ่มิ ขึน้ เชน่ กล้วย
หอมทองอบแห้งด้วยระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ (พาราโบล่าโดม) กล้วยหอมทองอบแห้งเคลือบช็อคโก
แลต กล้วยหอมทองทอดกรอบปรุงรส แยมกล้วยหอมทอง รวมทั้งแปรรูปตาลโตนด เช่น ไซรัปตาลโตนด และ
ไอศกรีมตาลโตนด ออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและขยายตลาดให้มากขึ้น นอกจากนี้ในช่วง
ฤดูกาลผลไม้ยังมีผลิตผลทางการเกษตรอื่น ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะละมุดที่สุกเร็วและเน่าเสียง่าย โครงการ
ระยะที่ 3 จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปเพิ่มเติม เช่น ไอศกรีมกล้วยหอมทอง ไอศกรีมชมพู่ ไอศกรีมละมุด
รวมถึงเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงให้ระบบการผลิตของสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด ก้าวสู่มาตรฐาน
การผลิตสินค้าอาหารตามหลักการผลิตที่ดี (GMP) พร้อมกับขยายผลไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
จากกล้วยหอมทองและออกแบบบรรจภุ ัณฑ์ เชน่ เจลขัดผิวจากหยวกกลว้ ย เจลครมี บำรงุ ผิวหนา้ ผสมสารสกัด
จากใบกล้วยหอมทอง ซง่ึ เป็นการนำสง่ิ เหลอื ทง้ิ ทางการเกษตรมาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ละสร้างมูลคา่ เพ่ิม
การต่อยอดพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ไอศกรีมจากตาลโตนดเขา้ รว่ มประกวดในงาน Food Innovation Contest 2016
2. การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศการเรียนรู้วิถีชีวิตเกษตรไทย โดยจัดทำข้อมูลศูนย์
เรียนรูใ้ นชมุ ชน นิทรรศการภาพถา่ ย และพัฒนาหลักสตู รของท้องถิน่ ตลอดจนจัดทำสื่อส่งเสริมสนับสนุนการ
ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ได้แก่ หนังสั้น และเว็บไซต์ “บ้านลาดบ้านเรา” แสดงข้อมูล 4 ภาษา (ไทย อังกฤษ จีน
ญี่ป่นุ ) รวมทั้งพัฒนาศิลปะการแสดงรว่ มสมยั ชุด เรอื่ งเล่าจากสายน้ำ เพือ่ สบื สานและอนุรักษ์ศิลปะการแสดง
ในท้องถนิ่ และส่งเสรมิ การท่องเทีย่ วเชิงวฒั นธรรมอีกด้วย
งานวิจัยทั้ง 3 ระยะที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เน้นการพัฒนาและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งได้
ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย อย่างไรก็ตามการพัฒนาและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น ละมุดและ
ชมพู่ ยังสามารถวิจัยและพัฒนาต่อไปได้อีกเพื่อให้มีความหลากหลายมากข้ึน เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต เพิ่ม
ทางเลือกให้กับผู้บริโภค และเพิ่มโอกาสการขยายตลาดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์ รวมถึงการวิจัยท่ี
ช่วยสง่ เสริมด้านการตลาดของสหกรณ์เพ่อื ใหค้ รบวงจรการผลติ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์
พื้นที่เขตอำเภอเมืองเพชรบุรี/ภาพรวมจังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ที่มีต้นทุนทางศิลปวัฒนธรรมสูงทั้ง
จติ รกรรม ประติมากรรม งานชา่ งสกลุ ต่าง ๆ อาหารทอ้ งถิน่ ทม่ี ีช่ือเสยี ง ประเพณี และแหล่งท่องเทย่ี วมากมาย
เช่น วัด วัง โบราณสถาน ซึ่งมีศักยภาพและสามารถพัฒนาต่อยอดขยายผลจากสิ่งทีม่ ีอยู่เดิมให้โดดเด่นในเชงิ
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ จึงดำเนินงานวิจัยในพื้นที่ในระยะที่ 2 และ 3 เพื่อส่งเสริมสนบั สนุนการท่องเที่ยวและ
การเป็นแหล่งเรยี นรูศ้ ลิ ปวฒั นธรรม ดงั น้ี
P a g e | 85
1. พัฒนาต้นแบบชุมชนเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนถนนวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์แบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็น
แนวทางการพฒั นาและการใช้ประโยชน์ในพ้ืนทเ่ี พอ่ื เป็นแหล่งท่องเที่ยวและส่งเสริมให้เกดิ รายได้ตอ่ ชุมชน โดย
พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวแหล่งใหม่จากความร่วมมือของชุมชน 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนคลองกระแชง ชุมชน
ตลาดริมนำ้ และชมุ ชนวดั เกาะ ภายใต้แนวคดิ “เพลนิ เมอื งเพชร” ซงึ่ ใช้เป็นชือ่ Facebook เพ่ือประชาสัมพนั ธ์
และเป็นช่องทางการติดต่อสำหรับผู้ที่สนใจมาท่องเที่ยวถนนวัฒนธรรมเพื่อสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตและ
ศิลปวฒั นธรรมของจังหวัดเพชรบรุ ี
2. พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ เส้นทาง
ท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้งานศิลปกรรมปนู ปั้นเมืองเพชร การศึกษาหาแนวทาวพัฒนาถ้ำเขาหลวงและสถานที่
เกี่ยวเนือ่ งไปส่กู ารเป็นแหล่งเรยี นรู้ทางประวัติศาสตร์และศลิ ปวัฒนธรรม
3. วิจัยเพื่อค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด
เพชรบุรี และต่อยอดด้วยการพัฒนาสื่อสารสนเทศทั้งในรูปแบบหนังสือประวัติศาสตร์เพชรบุรีเพื่อการ
ท่องเที่ยว E-book สื่อดิจิทัลถ่ายทอดเรื่องเล่าเกร็ดเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตรท์ ี่น่าสนใจของจังหวัดเพชรบรุ ี
และวดี ิทัศนถ์ า่ ยทอดเรอ่ื งราวของศิลปินปนู ปน้ั สกลุ ชา่ งเมืองเพชรฯ
4. จัดทำสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรีและพัฒนาเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ ได้แก่ พัฒนาโปรแกรมประยุกตท์ างระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ พัฒนา Application เส้นทาง
ทอ่ งเทย่ี ว และจัดทำแผนท่ีภาษาและวัฒนธรรมท่ีเช่ือมโยงกับ Application บนอปุ กรณพ์ กพาและนำทางไปสู่
จดุ หมายที่ตอ้ งการ
เสน้ ทางถนนวฒั นธรรมซง่ึ ประกอบด้วยพื้นทใี่ น 3 ชมุ ชน ของอำเภอเมืองเพชรบรุ ี
P a g e | 86
การถ่ายทอดเรอ่ื งเล่าเกรด็ เลก็ เกรด็ นอ้ ยทางประวัติศาสตร์ของเมืองเพชรบุรี ในรปู แบบสอ่ื ดิจิทลั E-Book
(www.pripree24.com)
• โขน : ศิลปะประจำชาตไิ ทยและสือ่ วัฒนธารมในบรบิ ทสังคมรว่ มสมยั
การแสดงโขนถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย มีประวัติมายาวนานตั้งแตส่ มัยกรุงศรี
อยุธยา โขนเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย ซึ่งในอดีตโขนเป็นการแสดงท่ี
รุ่งเรืองมาก เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์ แต่ในปัจจุบันโขนอาจจะถูกลดความนิยมลงไป
เนื่องจากกระแสของโลกาภิวัตน์ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นว่าปัจจุบันมีคน
ไทยดูโขนน้อยมาก แต่พระองค์ท่านทรงตระหนักว่าศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นของล้ำค่า จึงทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้ฟื้นฟูการแสดงโขนขึ้นมา โดยทรงมีพระราชเสาวณีย์ว่า เมื่อไม่มีคนดูโขน ฉันจะดูเอง เพื่อเป็นการ
สะท้อนให้เห็นว่าโขนเป็นวัฒนธรรมของไทยที่มีความสำคัญยิ่ง คู่ควรแก่การอนุรักษ์ ขาดทุนของฉันคือกำไร
ของชาติ และถ่ายทอดใหก้ ารแสดงโขนธำรงอยสู่ บื ไป
งานวิจัยมุ่งศึกษาสถานภาพของโขน นาฏกรรมไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นศิลปะประจำชาติ โดยวิเคราะห์
พัฒนาการและองค์ประกอบของโขนในฐานะศิลปะการแสดงและสื่อวัฒนธรรมในบริบทสังคมร่วมสมัยประจำ
ชาติไทย เพื่อใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจถงึ บทบาทของโขนในอดตี จนนำไปสู่การเปน็ โขนอย่างในปัจจุบัน45
สรปุ ผลการศกึ ษา
• การศึกษาเรื่องโขนในฐานะศิลปะประจำชาติไทย พบว่าศิลปะการแสดงโขนของไทยได้รับ
อิทธิพลมาจากประเทศในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ด้วยกัน และการแสดงของประเทศอินเดีย เนื่องจาก
45 โขน: ศลิ ปะประจำชาติไทยและสื่อวฒั นธรรมในบริบทสงั คมรว่ มสมัย. ฐาปนีย์ สงั สทิ ธวิ งศ์. บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.
P a g e | 87
โขนนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งนำเค้าโครงเรื่องมาจากมหากาพย์รามายณะของอินเดีย ดังนั้นศิลปะในการ
แสดงโขนจึงมลี กั ษณะบางประการที่คล้ายคลึงกับการแสดงของอนิ เดีย โขนจึงไม่ใชศ่ ิลปะที่มีต้นกำเนิดมาจาก
ไทยอย่างแท้จริง ซึ่งเห็นได้จากความหมายของคำว่าโขนนั้นยังไม่มีผู้ใดพบหลักฐานความเป็นมาได้อย่าง
แน่นอน แต่โขนเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในหลายภาษา ได้แก่ โขนในภาษาเบงคาลี โขนในภาษาทมิฬ โขนในภาษา
อิหร่าน และโขนในภาษาเขมร จากข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ยังมิอาจสรุปได้แน่นอนว่าโขนเป็นคำมาจากภาษาใด
แต่ถ้าในปัจจุบันในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าโขนหมายถึงการละเล่น
อย่างหนึ่งคลา้ ยละครรำ แต่เลน่ เฉพาะในเรือ่ งรามเกียรต์ิ โดยผ้แู สดงสวมหังจำลองตา่ ง ๆ ที่เรียกวา่ หวั โขน
โขนรับอิทธิพลวัฒนธรรมมาจากต่างชาติที่เราติดต่อด้วย จึงทำให้องค์ปรกอบที่เกี่ยวข้องกับโขน
ทั้งหลาย ทั้งเนื่อเรื่องในการแสดงบทพากย์และเจรจาโขนต่างนำมาปรับประยุกต์โดยเพิ่มเติมเอกลักษณ์ลงไป
ด้วย ซึ่งแรกเริ่มก่อนที่จะเป็นโขนของไทยในปัจจุบันสันนิษฐานว่าโขนเกิดจากการนำรูปแบบการแสดงอื่นเข้า
มาผสมผสาน ปรบั เปลย่ี น พฒั นา จนกลายเปน็ โขนของไทย โดยโขนพัฒนามาจากการแสดง 3 ประเภท คือ 1)
ชกั นาคดึกดำบรรพ์ 2) การแสดงกระบก่ี ระบอง และ 3) การแสดงหนงั ใหญ่
พฒั นาการของโขน เปลีย่ นแปลงไปตามยุคสมัยนับต้ังแต่กรุงศรีอยธุ ยาทีก่ ารแสดงโขนได้จัดขึ้น ซึ่งใน
แต่ละยุคสมัยนั้นโขนย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของวัฒนธรรมในสมัยนั้น ๆ แต่ยังคงรูปแบบ
ตลอดจนวิธีการแสดง และเรื่องที่ใช้แสดงคือรามเกียรติ์อยู่เช่นเดิม พัฒนาการของโขนเดิมในสมัยอยุธยาตอน
ปลาย โขนเป็นมหรสพเพื่อการเฉลิมฉลองในเหตุการณ์สำคัญ และเป็นเครื่องแสดงบารมีแก่พระมหากษัตริย์
ต่อมาในสมัยอ่ืน ๆ โขนมีพัฒนาการขึน้ ตามลำดับและยังคงจารตี ประเพณีไว้เรอ่ื ยมาจนถงึ ปจั จุบัน เช่น ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงอนุญาตให้พระบรมวงศานวุ งศ์และข้าราชการมลี ะครผูห้ ญิงได้ สมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้มีการแสดงโขนปนละครใน สมัยพระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเกิดโรงเรียนหลวงสอนเกี่ยวกับโขน เป็นต้น แต่มีบ้างสมัยที่โขนเกิดความชะงักในการ
พัฒนา ได้แก่ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งทำนุบำรุงศาสนามากกว่าการแสดงความ
บันเทิง และในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเป็นสมัยที่โขนไม่ได้รับการสนับสนุน
จากรฐั บาลมากนัก เนือ่ งจากในยคุ น้นั กำลงั สร้างลัทธิชาตินิยมแสดงละครปลุกใจ
รูปแบบของการแสดงโขน มีการอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ เห็นได้จากการแสดงโขนจากเดิม
ที่ปรากฏเป็นหลักฐาน ได้แก่ 1) โขนกลางแปลง 2) โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว 3) โขนโรงใน 4) โขนหน้าจอ
และ 5) โขนฉาก เมื่อยุคสมัยและบริบททางสังคมมีความเปลี่ยนแปลง โขนทั้ง 5 ประเภทดังกล่าวได้เกิด
วิวัฒนาการ พัฒนา ผสมผสานจนกลายเป็นโขนที่แสดงอยู่ในปัจจุบัน โดยแบ่งประเภทตามหน่วยงานที่เป็น
ผู้จัดการแสดง ได้แก่ โขนกรมศิลปากร โขนศาลาเฉลิมกรุง โขนตามพระราชดำริในสมเด็จนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ โขนสมัครเล่น และโขนพาณิชย์ การพัฒนาโขนนี้เองส่งผลต่อโขนที่จากเดิมเป็น
“วฒั นธรรมหลวง” แต่ในปัจจบุ นั กลายเป็นโขนมลี ักษณะเปน็ “วฒั นธรรมมวลชน” เพื่อให้โขนเกิดการปรับตัว
ตามยุคสมัย
โขนกับสอื่ วฒั นธรรมในสังคมรว่ มสมยั
โขนถือเป็นส่ือวัฒนธรรมอย่างหน่ึง โดยครูธีรเดช กลิ่นจันทร์ อธิบายว่า การรับสื่อวัฒนธรรมจากโขน
สามารถทำได้โดยการเข้ามานั่งชมในโรงละคร ซึ่งโขนได้ส่งสารให้กับผู้ชมเกี่ยวกับการสอนให้เห็นบาปบุญคณุ
โทษ ฝ่ายธรรมะเป็นฝ่ายชนะ และโขนยังเป็นสื่อวัฒนธรรมที่แสดงออกเพื่อบ่งบอกถึงวัฒนธรรมไทยผ่านการ
แสดงของโขน
สังคมร่วมสมัยจะเป็นสงั คมท่ีให้ความสำคัญกบั การบริโภคสญั ญะ กล่าวคือ คนเราจะไม่ได้มองเห็นสิ่ง
หนึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนอีกสิ่งหนึ่งตรงตามในสิ่งที่เห็น แต่จะมองสิ่งที่เห็นในแง่ของความหมาย ดังนั้นการสื่อ
P a g e | 88
ความให้เข้าใจถึงวัฒนธรรม ศิลปะประจำชาติไทยต่อสาธารณะนั้น อาจมีการนำโขนมาใช้เป็นสื่อได้ จาก
การศกึ ษาโขนในสังคมรว่ มสมยั ที่แสดงถึงสัญญะในสถานทรี่ ่วมสมยั พบวา่ โขนถกู นำไปใชเ้ ปน็ สญั ญะเร่ืองความ
เป็นไทย ซึ่งปรากฏเป็นรูปแบบประติมากรรมรูปการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ รูปหนุมาน รูปยักษ์ที่ตั้งอยู่ใน
สนามบินสุวรรณภูมิ หรือการเปิดสื่อวีดิทัศน์เกี่ยวกับโขนทั่วสนามบิน จึงกล่าวได้ว่าโขนถูกนำมาเป็นสื่อ
วัฒนธรรมในรปู แบบของการสรา้ งสัญญะท่ีส่ือถงึ ความหมายของลักษณะความเปน็ ไทย
โขนเปน็ วฒั นธรรมร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้
โขนไม่ใชก่ ารแสดงทเ่ี กดิ จากวัฒนธรรมของไทย แตเ่ กดิ จากการผสมกันของวฒั นธรรมศิลปะการแสดง
หลากหลายชาติในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ได้แก่ เนื้อเรื่อง เครื่องแต่งตัวที่นำมาจาก
อินเดีย ชื่อโขน ท่าโขน การสวมหน้ากาก ปี่พาทย์รับโขน การพากย์โขนและเจรจาโขน ที่นำรูปแบบมาจาก
ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงถือว่าโขนเป็นสือ่ ทางวัฒนธรรมที่ผูค้ นในภูมภิ าคนี้ตา่ งรับรู้และเข้าใจ
ร่วมกนั ได้ แตจ่ ะมคี วามแตกตา่ งในเรือ่ งรายละเอียดของศลิ ปะและวฒั นะรรม
โขนเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย โดยการลำดับแบ่งชั้นวัฒนะรรมของโรเบิร์ด เรดฟิลด์ แบ่ง
วัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ วัฒนธรรมหลวง (great tradition) และวัฒนธรรมราษฎร์ (little
tradition) โดยวัฒนธรรมหลวงเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงที่ใช้ในการจัดแสดงสำหรับพระมหากษัตริย์ พระ
บรมวงศานวุ งศ์ หรอื เจ้านายชน้ั สงู ทัง้ หลาย สว่ นวัฒนธรรมราษฎร์หมายถงึ วฒั นธรรมท่เี ป็นวิถชี วี ิตของชาวบ้าน
ธรรมดาทวั่ ไป ไม่มีรูปแบบการแสดงท่ีซับซ้อน หรอื องคป์ ระกอบที่หรูหราวิจิตรเทียบเทา่ วฒั นธรรมหลวง และ
มักจัดแสดงกันตามท้องถิ่นที่ชาวบ้านอยู่อาศัยในชนบท มิใช่เมืองหลวงหรือวังหลวง เช่น วัฒนธรรมหลวงแต่
อย่างใด และวัฒนธรรมหลวงมักมีจารีตในการแสดงที่สืบทอดกันมาสัมพันธ์กับแบบแผนความเชื่อ ความคิด
พฤติกรรม และค่านิยม อันเป็นอุดมคติของอารยธรรมนั้น ลักษณะเด่นคือ มีตำราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็น
พื้นฐานของแบบแผนหรือจารีต ผลจากการวางรากฐานเช่นนี้ทำให้วัฒนธรรมหลวงมีแบบแผนที่ค่อนข้าง
ตายตัว เปลย่ี นแปลงได้ช้าและจำกดั อยูแ่ ต่เฉพาะกลุ่มเท่านัน้
ขณะทีว่ ัฒนธรรมราษฎร์มีรปู แบบตรงกันขา้ มกับวัฒนธรรมหลวง เพราะไมม่ ีรากฐานอยู่กับลายลักษณ์
อักษร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการสืบทอด หรือการสร้างสรรค์ จึงต้องอาศัยความจำและเรื่องเล่า ผ่านปากต่อปาก
ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นหลัก ส่งผลต่อวัฒนธรรมราษฎรที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าหรือปรับประยุกต์เข้ากับ
กลุ่มคและสังคมในทุกยุคทุกสมัยได้ แต่นับเป็นสิ่งที่ดีในการเอื้อให้วัฒนธรรมราษฎร์ตอบสนองต่อวิถีชีวิตของ
ผู้คนในสงั คมทีเ่ ปลีย่ นแปลงได้อย่างไม่จำกัดและไมส่ ิน้ สดุ
ความสำคัญของวัฒนะรรมประการหนึ่ง คือ การเปลี่ยนแปลง หรือการเปลี่ยนรูป ที่จะให้วัฒนธรรม
ดำรงอยใู่ นสังคมได้ มเิ ชน่ นัน้ แลว้ การแสดงโขนทจี่ ำกดั เฉพาะกลมุ่ คนชนั้ สงู ในบางระดับอาจสูญหายไปได้ โขนจ
คงมคี วามจำเปน็ ในการปรับตัวเชน่ กนั ปัจจุบันเราจึงพบวา่ มีการแสดงโขนในบางพื้นทท่ี ี่ปรบั ระดับความเข้มข้น
ทั้งเรื่อง ฉาก เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือองค์ประกอบอื่น ให้มีความกลมกลืนหรือร่วมสมัยมากขึ้น หรือ
บางครั้งอาจถูกเรียกว่า “โขนพาณิชย์” ซึ่งหมายถึงการแสดงในเชงิ ธรุ กิจการค้า และผลิตงานศิลปะออกมาไม่
ปราณตี ขัน้ สงู สดุ เพอ่ื การเขา้ ถึงของคนในทุกระดับได้งา่ ยขึน้ เช่น การประดษิ ฐห์ ัวโขนออกจำหน่ายให้กับผู้ชม
เพื่อเข้าถึงความเป็นไทย หรืออนุรักษ์ความเป็นไทยสำหรับคนบางกลุ่มที่บริโภคความเป็นไทยผ่านวัตถุทาง
วฒั นธรรม ตามที่องค์การยเู นสโกได้แบ่งวฒั นธรรมออกเปน็ ‘วัฒนธรรมท่ีจับต้องได้’ และ ‘วัฒนธรรมทจี่ ับตอ้ ง
ไม่ได้’ ในสิ่งเดียวกัน เช่น หัวโขนเป็นอุปกรณ์ที่แสดงออกถึงความเป็นไทย และสามารถสัมผัสจับต้องได้
เคลอื่ นยา้ ยได้ จงึ ถอื เปน็ ทรพั ยากรวัฒนธรรมท่ีจับตอ้ งไดแ้ ละทรัพยากรวัฒนธรรมทจ่ี ับตอ้ งไม่ได้
ดังนั้นการแสดงโขนเพื่อทำหน้าที่เป็นศิลปะประจำชาติยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในโรงละครแห่งชาติ
การจัดแสดงโขนในงานรัฐพิธีรต่าง ๆ ณ ท้องสนามหลวงเป็นประจำ รวมทั้งการนำไปแสดงเผยแพร่ยัง
P a g e | 89
ต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ การจัดแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ รัชกาลที่ 9 ในโอกาสที่ทรงรับรองพระราชอาคันตุกะอย่างเป็นทางการ และส่วนพระองค์
ตลอดมา
ทมี่ า: วิกพิ ีดยี สารานกุ รมเสรี
โขนกบั ความเปน็ ไทย
โขนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคมและวัฒนธรรมไทย เสมือนเหรียญสองด้าน เนื่องจากองค์ประกอบ
ของความเป็นโขนทั้งมวลและคติความเชื่อที่แฝงเร้นในบทโขน ล้วนสามารถอธิบายวัฒนธรรมไทยได้ทั้งส้ิน
และโขนยังเปน็ ศิลปะชัน้ สูงทีส่ ัมพนั ธ์กับโครงสร้างชนชนั้ ทางสังคมของไทยด้วย โดยสมยั เร่ิมแรกโขนถูกยกย่อง
ให้เป็นเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงต้องปฏิบัติตามประเพณีจารีตในการ
บำรุงศิลปะการแสดงโขนให้คงอยู่ โขนกับพระมหากษตั รยิ ์จึงเก่ียวพันกันอย่างแยกไม่ออก ทั้งสองส่ิงต่างต้องมี
หน้าท่ีในการสนองคณุ ประโยบนซ์ ึ่งกนั และกนั จะขาดสง่ิ ใดสิ่งหนึง่ ไม่ได้ เพราะเป็นดั่งสัญลักษณ์ร่วมกัน
ความเป็นไทยที่ถูกปลูกฝังมายาวนาน คือ การยึดมั่นในความดี ละเว้นความชั่ว ความเชื่อในธรรมะ
บทการแสดงโขนที่ถูกหยิบมาสดุ ทา้ ยต่างต้องมบี ทสรปุ ว่าธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ การสอนให้พลเมืองไทย
มีความเชื่อเชน่ นี้ทีแ่ ฝงในส่ือมหรสพล้วนมคี วามหมาย เป็นคำสอนทีล่ ุ่มลึกผ่านบทบาทจากตวั ละครที่เดินเรื่อง
นนั้ ๆ
โขนในยคุ โลกาภิวตั น์
ในโลกปัจจุบันที่มีการสื่อสารไร้พรมแดน โขนจำเป็นต้องปรับรูปแบบเพื่อให้มีความง่ายในการเข้าถึง
โขนกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม อุตสาหกรรมสร้างวัฒนธรรม ทำให้เกิดกระบวนการทำวัฒนธรรมให้
กลายเป็นสินค้าภายใต้กฎกติกาของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ที่แตกต่างจากทุนนิยมแบบเดิม ซึ่งจะผลิตสินค้า
อุปโภคบริโภคเทา่ นั้น แต่สังคมทุนนิยมยคุ ใหม่ทำให้มีการผลิตสนิ ค้าทางวัฒนธรรมขัน้ เพื่อให้ความบันเทิงแก่
ผูค้ น
โขนร่วมสมัยยังมีบทบาทในการเป็นสินค้า หน้าที่ของการแสดงโขนในอดีตเพื่อความบันเทิง แต่ใน
ปจั จุบนั การดำรงอยู่ของโขนจำต้องพจิ ารณาเรื่องรายไดด้ ว้ ย เพราะนักแสดงต่างมีความจำเป็นในการได้รับเงิน
สนับสนุนให้เกิดการจัดแสดงขึ้น ส่งผลให้ต้องจัดแสดงโขนในโรงแรมหรือร้านอาหารเพิ่มเติม ดังนั้นพื้นที่จัด
แสดงโขนจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ เวทีโรงละครศาลาเฉลิมกรุงที่เปิดการแสดงโขนอย่างต่อเนื่อง โดย
ประชาสัมพันธ์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ หรือการรวมไปในลักษณะเป็นชุดท่องเที่ยวแบบแพคเกจทัวร์ ก็ช่วยให้มี
จำนวนผ้ชู มมากขึ้น และการจดั แสดงในสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลยั ต่าง ๆ
ภาวะการร่วมสมัยของโขนในสมัย อ.เสรี หวังในธรรม รับผิดชอบงานกรมศิลปากร จัดแสดงโขนให้มี
รูปแบบไม่ซ้ำแบบเดิมและน่าติดตามกับคนทุกเพศทุกวัย นั่นคือ ปรับเปลี่ยนบทให้เข้าถึงได้มากขึ้น แทรกบท
ตลกขบขัน เปน็ การร่วมเล่นกบั คนดู ซ่งึ นับว่าแตกต่างจากขนบการแสดงท่ผี ่านมา
P a g e | 90
การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมเป็นแนวคิดหนึ่งในการอธิบายรูปแบบในการดำรงอยู่ของโขน การเผยแพร่
นิยมแสดงตามโรงละคร งานพิธีสำคัญ หรืองานที่ต้องการแสดงออกถึงความเปน็ ไทย เพื่อเผยแพร่ต่อผู้บริโภค
หรือผู้ชมเพื่อให้เกิดความบันเทิง ปัจจุบันโขนมีการผลิตซ้ำในรูปแบบของการบันทึกการแสดงสดในสื่อต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้บริโภคหรือผู้เสพเลือกเสพตามเวลาและความสนใจของตนได้ง่ายขึ้นกว่าการไปรับชมที่เวทีการแสดง
นับเป็นช่องทางการเผยแพร่ที่ร่วมสมัยในยุคโลกาภิวัตน์ โดยสามารถสรุปรูปแบบการแสดงโขนร่วมสมัยใน
ปัจจุบันไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื
- โขนแบบ Innovate คือ รูปแบบการแสดงที่ยังคงความดั้งเดิม แต่นำเรื่องของการพาณิชย์มาช่วย
เสริม เชน่ โขนสมเดจ็ พระนางเจ้าสิรกิ ติ พิ์ ระบรมราชินนี าถ
- โขนแบบ Commercialize เปน็ รปู แบบการแสดงทม่ี ีการเปล่ียนแปลงเพือ่ ให้เขา้ กบั ธุรกิจเชงิ พาณิชย์
ได้แก่ โขนในโรงละคร เช่น โรงละครสยามนิรมิต ซึ่งใช้เทคนิคต่าง ๆ โดยเลือกรูปแบบการแสดงตามความ
ต้องการของกลุ่มลูกค้าหลักคือชาวต่างชาติ และโขนในโรงแรมหรือร้านอาหาร เพื่อความบันเทิงและดึงดูด
ลูกคา้ โดยเฉพาะชาวตา่ งชาตใิ ห้มาใช้บริการ
ข้อเสนอแนะ
1. โขนไม่ควรจำกัดการศึกษาในประเทศไทย แต่ควรนำไปศึกษาต่อเรื่องโขนที่มีในประเทศต่าง ๆ ใน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงให้ จะทำให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดในการพัฒนารูปแบบการ
แสดงโขนตอ่ ไป และสนบั สนุนใหโ้ ขนมีโอกาสเปน็ ตัวแทนเผยแพร่วฒั นธรรมใหม้ ากขึน้
2. ศึกษาบทบาทของเทคนิคประกอบการจัดแสดงโขนในปัจจุบัน ได้แก่ ฉาก แสง สี เสียง ซึ่งเป็นส่ิง
สำคัญมากสำหรบั การพัฒนาและการดำรงอยขู่ องโขนต่อไป เนอื่ งจากทำให้ผ้ชู มสนใจชมการแสดงโขนมากข้นึ
3. การศึกษาโขนบทภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยสู่ชาวต่างชาติได้อย่าง
แพรห่ ลาย เพอื่ ไมใ่ หเ้ กิดอุปสรรคด้านภาษา ชาวต่างชาติเข้าใจในการแสดงโขนมากยิง่ ขึ้น ทำใหเ้ กิดอรรถรสใน
การรบั ชม
4. รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับโขน ทั้งเรื่องค่าตอบแทนของผู้แสดงโขน บุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ครผู ู้สอน และสนับสนนุ การเผยแพรก่ ารแสดงโขนใหเ้ ปน็ ท่ีรจู้ ักแก่คนในประเทศและต่างประเทศมากขน้ึ
• แนวทางการสบื สานศลิ ปะมโนราห์ จงั หวัดตรงั
“โนรา” หรอื “มโนราห”์ เปน็ การละเล่นพ้นื เมืองทีส่ ืบทอดกันมานาน และนิยมกนั อย่างแพร่หลายใน
ภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่อง และบางโอกาสมีบางส่วนแสดงตามคติ
ความเชอ่ื ทเี่ ปน็ พิธีกรรม
โนราเปน็ ศลิ ปะพื้นเมืองภาคใต้ แต่คำว่ามโนราห์เป็นคำที่เกิดขึน้ มาเม่ือสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำ
เรื่องพระสุธน-มโนราห์มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำเรียกว่ามโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้นสันนิษฐานกัน
ว่าได้รับอิทธิพลจากการร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัยที่มาจากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จาก
เคร่ืองดนตรีที่เรียกว่า เบ็ญจสงั คีต ซึง่ ประกอบดว้ ย โหมง่ ฉงิ่ ทบั กลอง ป่ใี น ซึง่ เปน็ เครอื่ งดนตรีโนรา และท่า
รำของโนราอีกหลายทา่ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการรา่ ยรำของทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเปน็ กิจลักษณะขึ้นเม่อื
ประมาณปีพทุ ธศกั ราช 1820 ซ่ึงตรงกบั สมัยสโุ ขทัยตอนตน้
ปัจจุบันเชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่หัวเมืองพัทลุง คือ ตำบลบางแก้ว จังหวัดพัทลุง แล้วแพร่
ขยายไปยังหวั เมืองอื่น ๆ ของภาคใต้จนไปถึงภาคกลาง และกลายเปน็ ละครชาตรแี ละจังหวะตะลุง ส่วนการทำ
ชุดมโนราห์เป็นงานศิลปะที่สืบสานมาจากรุ่นบรรพบุรุษที่มีความประณีตอันวิจิตรในแบบเครื่องทรงที่ประดับ
เรือนร่างมโนราห์ ซึ่งปัจจุบันเครื่องแต่งกายชุดมโนราห์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนัดมีความต่างไป
P a g e | 91
จากอดีต เพราะเร่ิมหาความประณตี อันวิจิตรในแบบเคร่อื งทรงท่คี รูมโนราห์รุ่นบรรพบรุ ุษสืบทอดไว้ จึงมคี นรุ่น
ใหม่และคณะมโนราห์ต่าง ๆ ในท้องถิ่น อนุรักษ์ศิลปะการร้อยลูกปัดชุดมโนราห์ในท้องถิ่นภาคใต้แขนงนี้ไว้
ตลอดจนสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ท้องถน่ิ ควบคู่กบั สืบสานศิลป์แขนงน้ีใหค้ งอยสู่ ืบไป ดว้ ยการนำลกู ปัดขนาด
เล็กมาคัดแยกสี ขนาด จากนั้นร้อยเป็นเส้นตามต้องการก่อนนำเส้นด้ายที่ร้อยมาผูกรวมกันเพื่อประกอบเ ป็น
ชิน้ สว่ นต่าง ๆ ของชดุ 46
“ตรัง” เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ที่มีคณะมโนราห์จำนวนมาก โดยเฉพาะที่ “นาโยง” อำเภอเล็ก ๆ
ทางทศิ ตะวนั ออกของจังหวัด ซึง่ หา่ งจากตวั เมืองตรังเพียง 12 กิโลเมตร จากการเก็บข้อมูลพบว่านาโยงมีคณะ
มโนราห์มากถึง 21 คณะ ถือว่ามากที่สุดในจังหวัด ก่อนหน้านี้ในปี 2547 ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถ่ิน
จังหวัดตรัง (สกว.ตรัง) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพ่ือ
ท้องถิ่น ได้ดำเนินโครงการวิจัยศิลปะการแสดงมโนราห์ในพื้นที่ตำบลโคกสะบ้า ซึ่งมีคณะมโนรามากที่สุดใน
อำเภอ ชื่อโครงการว่า “แนวทางการสืบสานศิลปะพื้นบ้านมโนราห์โคกสะบ้า” ได้รับการคัดเลือกให้เป็น
โครงการวิจยั เด่นของสกว.ประจำปี 2549
ผลการวิจัยในครั้งนั้นทำให้มโนราห์โคกสะบ้าได้รับความสนใจจากคนในชุมชนและบุคคลภายนอก
อย่างกว้างขวาง มีจำนวนคณะมโนราห์ในตำบลเพิ่มมากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ วิธีการและขนบการ
แสดงระหว่างคณะ ปรับลดความเป็นตัวตนเพิ่มความเป็นมิตร สามารถนำจุดเด่นของแต่ละคนมาแสดงในโรง
เดียวกันได้ มีการประชุมพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัย โดยได้รับ
แรงบันดาลใจมาจากโครงการสืบสานศิลปะพื้นบ้านมโนราห์ตำบลโคกสะบ้า ยกระดับจากตำบลสู่อำเภอ
วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการเพื่อศึกษาและรวบรวมองคค์ วามรศู้ ิลปะมโนราห์อำเภอนาโยง คน้ หาแนวทางการสืบ
สานและสร้างเครือข่ายมโนราห์อำเภอนาโยง ตลอดจนประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ
สนับสนุนศิลปะมโนราห์ ทั้งนี้เพื่อการพัฒนาและยกระดับให้เกิดความยั่งยืน ทั้งในเรื่องของท่ารำ บทขับ การ
ฝึกลูกศิษย์ ฯลฯ ที่สำคัญอยากให้เกิดการรวมตัวของโนรานาโยง เกิดเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่น มี
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ค้นหาเอกลักษณ์ของความเป็นโนรานาโยง รวมถึงการดำรงและปรับตัว
ท่ามกลางความเปลีย่ นแปลง 47
มโนราห์สำหรับคนปักษ์ใต้โดยเฉพาะคนที่มีเชื้อสายโนราไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดง แต่เป็น
สัญลักษณ์ เป็นสื่อกลางที่ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ ครูหมอโนราและครูหมอตายายที่เป็น
บรรพบรุ ุษกับลูกหลาน ตำนานเร่อื งเลา่ การก่อเกิดมโนราห์มีหลายกระแส เฒ่าคนแก่มกั บอกตอ่ กับลูกหลานว่า
เขานับถือกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษสมัยโบราณนานมาแล้ว ด้วยเชื่อว่าครูหมอโนราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้อง
46 ประวัติความเป็นมาของมโนราห์. เว็บไซต์ 77 ข่าวเด็ด 9 ตุลาคม 2562. https://www.77kaoded.com/news/sakboon/908793
47 งานวจิ ยั แนวทางการสบื สานศลิ ปะมโนราห์ อำเภอนาโยง จังหวดั ตรงั . นางราตรี หัสชัย และคณะ. สำนักงานกองทุนสนับสนนุ การวิจยั ฝา่ ยวิจยั
เพอ่ื ท้องถิน่ .
P a g e | 92
คุ้มครองดูแลลูกหลานให้อยู่เย็นเปน็ สขุ แคล้วคลาดจากภยันตรายต่าง ๆ ลูกหลานทุกข์ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ หาก
เจบ็ ปว่ ยกช็ ่วยให้หาย รวมถึงเปน็ ท่ีพง่ึ พงิ และยดึ เหนีย่ วทางจิตใจ
มโนราห์เปน็ มรดกทต่ี กทอดจากรนุ่ สรู ุ่น ท้ังคนท่ีเปน็ หวั หน้าหรอื เจา้ ของคณะมโนราห์ทตี่ ้องมีคนรับสืบ
ทอดตอ่ และคนที่นบั ถือครูหมอโนรา โดยท่ีครูหมอจะเลือกว่าจะไปอยู่กับลูกหลานคนไหน เช่นเดียวกับกรณีที่
เลือกว่าจะเอาใครเป็นโนรา หากใครไม่รู้ ไม่เชื่อ หรือไม่ศรัทธา ก็จะถูกครูหมอกระทำหรือที่เรียกกันว่า “ถู ก
โนรา” บางรายเจ็บปว่ ยไม่ทราบสาเหตรุ กั ษาอย่างไรก็ไมห่ าย ขณะท่ีบางรายเปน็ บ้าควบคมุ สติตวั เองไม่ได้ หาก
ญาติไม่ร้แู ละแก้ไขใหถ้ ูกต้องอาจรุนแรงถึงข้ันเสียชวี ิต ท้ังนี้ เหนอื การแสดง คอื พิธีกรรม ซึ่งผูกติดอยู่กับความ
เช่ือและความศรทั ธาท่ลี ูกหลานมตี อ่ ครหู มอโนรา การจัดงานรำมโนราหจ์ ึงเป็นการบชู าครหู มอ
การกาศครู เป็นการประกาศเช้ือเชิญให้รวู้ ่ามีการรำมโนราห์เพ่ือการบชู าครู สรรเสริญพระคุณของครู
และเสียงที่ประกาศไปให้ได้ยินก็เพื่ออัญเชิญครูมายังโรงโนรา เพื่อมาเป็นขวัญกำลังใจและปกปักษ์รักษา
คุ้มครองลูกหลาน ทุกครั้งที่มีการรำมโนราห์จึงมีการกาศครูทุกครั้ง เพื่อส่งเสียงเปน็ สัญญาณว่าลกู หลานไมล่ มื
พระคณุ ของครู ต้งั แต่สิง่ ศักดส์ิ ิทธ์ิ บิดามารดา ครหู มอโนรา และครโู นราทป่ี ระสทิ ธิ์ประสาทวชิ าให้ การกาศครู
แสดงใหเ้ ห็นถึงศาสตร์แห่งโนราท่ีให้ความสำคัญกับครู ซง่ึ มใิ ช่เฉพาะเพียงครูโนราทีส่ ั่งสอนและถา่ ยทอดวิชาให้
เท่านั้น แตห่ มายรวมไปถงึ บดิ า มารดา และสิง่ ศกั ด์สิ ทิ ธทิ์ ้งั หลายดว้ ย
การรำ เปน็ องค์ประกอบหลกั ของการแสดงมโนราห์ ซึง่ เกยี่ วข้องสมั พนั ธ์กับท่ารำ หากมองดว้ ยสายตา
จะเห็นว่าท่ารำมโนราห์ไม่เหมือนและซ้ำกับท่ารำแสดงในภาคอื่นของประเทศไทย หรือถ้ามีก็น้อย ท่ารำล้วน
ไดร้ ับการสั่งสอนและถ่ายทอดมาจากครโู นราที่เป็นผู้สอนส่ัง หากเปน็ การฝึกฝนในเบื้องต้นท่ีต้องหัดเป็นลำดับ
แรก ๆ คือ ท่ารำบทครูสอน ท่าสิบสอง ซึ่งท่าสิบสองถือเป็นท่ารำแม่บท มโนราห์แต่ละคณะอาจจะรำไม่
เหมอื นกนั ดว้ ยไดร้ ับการถ่ายทอดมาต่างกัน
การทำบท เป็นการตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้คำร้องและท่ารำสัมพันธ์กัน ท่ารำต้อง
หลากหลายและครบถ้วน สอดคล้องกับคำร้องและจังหวะดนตรีอย่างกลมกลืน การทำบทจึงเป็นการแสดง
ความสามารถของคนรำโนรา และโดยมากเป็นการแสดงร่วมกันของโนราที่ได้รับการฝึกฝนมาจนชำนาญแล้ว
สามารถรับส่งบทกันได้อย่างไหลลื่น ไม่ติดขัด รู้อกรู้ใจกันเป็นอย่างดี หรือนัดแนะเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
การทำบทมกั แทรกเร่อื งราวราวตลกที่สามารถเรียกเสียงหวั เราะจากผู้ชมหนา้ โรงโนราได้
บทโนราที่นิยมนำมาแสดง ได้แก่ บทฟ้าลั่น บทเสียที บทดอกจิกดอกจักร บทไชชายกาน้ำ บทลมพัด
ชายเขา บทแสงทอง บทพลายงาม บทเสือเฒา่ ซ่ึงโนราอำนวย จำเริญรกั ษ์ หวั หนา้ คณะมโนราห์อำนวยจำเริญ
ศลิ ป์ บอกวา่ เป็นบทเสือเฒ่าเป็นบทประจำของจงั หวัดตรงั นอกจากนี้ยงั มีบทที่มาจากวรรณคดี เช่น พระสุธน-
มโนราห์ ไกรทอง ขนุ ชา้ งชุนแผน เปน็ ตน้
เครือ่ งทรงโนรา ตามตำนานเครือ่ งทรงโนราได้รับประราชทานมาจากกษตั ริย์ “คร้งั เข้าเมอื งแลว้ พระ
ยาสายฟ้าฟาด ได้ทรงจัดพิธีรับขวัญขึ้น และให้มีการรำมโนราห์ในงานนี้ โดยได้ประทานเครื่องต้น อันมีเทริด
กำไลแขน ปั้นเหน่ง สังวาลพาดเฉียง 2 ข้าง ปีกนกแอ่น หางหงส์ สนับเพลา ซึ่งเป็นเครื่องทรงของกษัตริย์ให้
เป็นเคร่อื งแต่งตวั โนรา” ววิ ัฒนาการเครื่องทรงมโนราห์ แบง่ เปน็ 3 ยคุ ดังน้ี
- ยุคแรก มโนราห์มีแต่ผูช้ ายจงึ ไม่ใส่เส้ือ ช่วงบนยงั ไม่มีชุดลูกปัด จึงใส่แต่สายสังวาลกับกรองบ่า (อิน
ธนู) โนราผู้ใหญ่สวมเทริด ช่วงล่างแต่งเหมือนมโนราห์ปัจจุบัน แต่หน้าผ้าไม่มีการปักเลื่อม เพียงแต่ใช้ผ้าที่มี
ลวดลาย ส่วนผ้าห้อยใช้ผ้าขาวม้า ตัดแยกเป็นชิ้นเล็ก 3 ชิ้น พาดจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหน่ึง สับหว่างหน้าผ้า
เชน่ ปัจจบุ นั ไมใ่ ส่ถงุ เทา้
- ยุคกลาง เร่มิ มผี ู้หญงิ เข้ามาฝกึ รำ และมีชุดลกู ปดั แต่ทำแบบง่าย ๆ มีช้นิ เดียว โดยใชผ้ า้ สีสวยตัดเป็น
รูปสามเหลี่ยมหน้า-หลัง หรือตัดเป็นรูปโค้ง เจาะตรงกลางสำหรับสวมศีรษะ ด้านล่างผูกด้ายแล้วร้อยลูกปัด
P a g e | 93
เรียกลูกปดั เบือ้ งหรอื ลูกปัดแก้วกาหรำ เปน็ ลายช่อลอกอ ส่วนปลายร้อยเป็นขาอุบะ ส่วนที่เปน็ ผ้าก็ใชล้ ูกปัดปัก
เป็นลายดอกไม้สวยงามเรียกวา่ “ชุดบวั ”
- ยุคปัจจุบัน ใช้ชุดลูกปัด เดิมลูกปัดนำเข้าจากเมืองจีน เรียกลูกปัดกระดูก ปัจจุบันเป็นเรซิ่น หรือ
พลาสตกิ ทำในประเทศไทย มโนราหเ์ มอื งตรงั ทใ่ี ส่ชดุ ลูกปดั เป็นคนแรก คอื มโนราหแ์ ปน้ จึงได้ช่อื วา่ “มโนราห์
แปน้ เคร่ืองงาม”
เครือ่ งทรงมโนราห์ในปจั จบุ นั ใส่เหมือนกันทง้ั ชายและหญงิ คือ ช่วงตัวตอนบน ใส่ชดุ ลกู ปดั สลับสรี อ้ ย
เป็นลวดลายโบราณ เช่น ลายลูกแก้ว แต่ปัจจุบันได้คิดลวดลายใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย เช่น ลายข้าวหลามตัด
ลายดอกไม้ เป็นตน้ ช่วงตัวตอนบนประกอบดว้ ย รอบอก บา่ ปิ้งคอ สายคอ และเทรดิ ที่ใช้สวมศีรษะ ส่วนช่วง
ตัวตอนลา่ ง ประกอบด้วย สนับเพลา ผา้ ยาว หน้าผา้ ผา้ ห้อย ปีก กำไลข้อมือ เลบ็ และถงุ เทา้ ขณะท่ีชุดเครื่อง
ใหญ่ใส่เฉพาะมโนราห์ใหญ่ คือ นายโรง (หัวหน้าคณะ) หรือผู้ที่ผูกผ้าใหญ่มาแล้วเท่านั้น ส่วนที่เพิ่มเติมมาคือ
สายสงั วาล ทบั ทรวง เหนง (ปั้นเหนง่ ) กำไลแขน กำไลข้อมือ
เครอ่ื งดนตรโี นรา ประกอบด้วย กลอง ทับ/โทนชาตรี ปี่ โหมง่ หรือฆ้องคู่ ฉิง่ แตระ แกระ หรอื กรบั
หน้าพราน ถอื เป็นองค์ประกอบสำคัญหน่ึงของมโนราห์ มที งั้ ทีเ่ ปน็ ของหัวหนา้ คณะมโนราห์ที่ไปแสดง
กับของเจ้าบ้านที่รับโนราไปแสดง หน้าพรานเป็นสัญลักษณ์แทนครูหมอโนรา โดยมากนิยมทาสีแดง มีบ้างท่ี
เป็นสีอื่น เช่น ขาว เรียกว่าหน้าทาสี หน้าพรานที่ทำออกมาแต่ละหน้านั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับช่างทีท่ ำและ
ความต้องการของครูหมอโนราว่าจะให้ออกมาในลักษณะใด หากจะนำหน้าพรานขึ้นหิ้งจะต้องผ่านพิธีกรรม
ของมโนราห์ คอื การเบกิ เนตร เปดิ ปากเสียกอ่ น โดยใหห้ วั หน้าคณะเปน็ คนทำพธิ ใี ห้
โอกาสในการแสดงโนรา
การแสดงของโนรานอกจากจะรำตามงานหรือเทศกาลแล้ว ยังต้องเดินทางไปแสดงตามบ้านอื่นหรือ
หัวเมืองอื่นด้วย เรียก “โนราเดินโรง” หรือ “โนราเดินหน” เป็นการเสาะหาประสบการณ์ ฝึกทักษะความ
ชำนาญให้แกค่ นในคณะ หลงั ฤดเู กบ็ เก่ยี วเอาข้าวขึ้นยงุ้ ฉางแลว้ ประมาณเดือนอ้ายปลาย ๆ ถงึ เดือนยี่ก็เริ่มเดิน
โรง กลุ่มคณะมโนราห์ในปัจจุบันจัดกลุ่มได้ดังนี้ กลุ่มที่ 1 คือ คณะมโนราห์โบราณ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด
ของอำเภอนาโยงมีมากถึง 20 คณะ กลุ่มที่ 2 คือ คณะมโนราห์ประยุกต์ คือ โนรารำแสดงบนเวที มีนักร้อง
P a g e | 94
หางเคร่ือง ในอดตี มแี สดงละครแตป่ ัจจุบันได้ยกเลิกไปแลว้ ในอำเภอนาโยงมเี พียงคณะเดยี ว คอื คณะมโนราห์
ครื้นน้อยดาวรุ่ง กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มศิลปินโนราที่ไม่ได้ตั้งเป็นคณะมโนราห์ แต่มีความชำนาญในการรำ
มโนราห์ นักศึกษาที่เรียนจบด้านนาฏศิลป์ นักเรียนในชั้นประถมหรือมัธยมที่หดั รำมโนราห์เป็นความสามารถ
พิเศษ หรอื เป็นชมรมการแสดงในโรงเรยี น
สรุปผลการศกึ ษา
1. การศกึ ษารวบรวมขอ้ มูลองคค์ วามรู้มโนราห์อำเภอนาโยง
ข้อมูลองค์ความรู้มโนราห์อำเภอนาโยงแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ข้อมูลเบื้องต้นของโนรานาโยง
ประกอบดว้ ย สาเหตทุ ่ีทำให้มโนราหน์ าโยงมีมาก บรมครูโนรา ทีต่ ัง้ ของคณะมโนราห์ ประวัตคิ วามเป็นมาของ
มโนราห์แต่ละคณะ การสืบเชื้อสาย และศัพท์เฉพาะโนรา ส่วนที่สอง คือ ข้อมูลองค์ความรู้โนรานาโยง
ประกอบดว้ ย บทกาศครู การรำ การทำบท องค์ประกอบมโนราห์ สาเหตุทต่ี อ้ งรำโนรา การหัดโนรา ฯลฯ
2. แนวทางการสืบทอดในรปู แบบท่เี หมาะสม
โนรานาโยงมีรูปแบบการสืบทอดที่ต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการเรียนรู้และ
ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น การสืบทอดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคณะมโนราห์เท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ
ดว้ ย สามารถสรุปรปู แบบการสืบทอดในแต่ละดา้ น ดงั น้ี
• คณะมโนราห์ มีบทบาทในการสบื ทอดคณะตอ่ เน่ืองจากรนุ่ สู่รุน่ ในรูปแบบ พอ่ -ลกู ลกู ศษิ ย์-อาจารย์
และในวงศ์เครือญาติ รับศิษย์ใหม่และฝึกลูกศิษย์เป็นประจำและต่อเนื่อง ตลอดจนสามารถปรับตัวให้เข้ากับ
สถานการณ์ท่เี ปลย่ี นแปลง แตย่ ังคงรกั ษาเอกลักษณ์ดงั้ เดมิ ไว้
• นางรำ/นกั แสดง มีความเป็นมอื อาชีพ สามารถรำไดก้ บั ทุกคณะ
• ลูกคู่ แต่ละคณะต้องพัฒนาลูกคู่รุ่นใหม่ ฝึกฝนตั้งแต่เด็ก ลูกคู่รุ่นใหม่ต้องเล่นเครื่องดนตรีได้หลาย
ชนดิ สามารถไปเลน่ ไดก้ ับทุกคณะ ทง้ั นค้ี วรมลี กู คูก่ ลาง ไม่สังกดั คณะใด เพื่อให้คณะมโนราห์สามารถติดต่อไป
แสดงได้กรณรี ับงานพรอ้ มกัน
• เจ้าของบ้าน/ผู้ชม รับคณะมโนราห์มารำตามที่ได้สัญญาไว้กับครหู มอโนรา เพื่อสืบทอดมโนราหใ์ ห้
คงอยู่คลู่ กู หลานตอ่ ไป
• หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ททท.สนับสนุนทอ่ งเท่ยี วเชงิ วฒั นธรรม ผ้วู ่าราชการจงั หวดั อำเภอ สนับสนนุ
ใหม้ โนราห์มโี อกาสไดแ้ สดงในงานต่าง ๆ ทั้งในระดบั ท้องถนิ่ และระดับจังหวดั
• เจ้าของภูมปิ ัญญาการร้อยลูกปัดโนรา การทำเคร่ืองดนตรี และการทำหน้าพราน ถา่ ยทอดให้คน
ในครอบครัว และฝึกให้กับเด็ก/เยาวชนที่สนใจ เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบที่น่าสนใจ เป็นของที่ระลึกหรือของที่
นำมาใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้ เชน่ พวงกญุ แจจากลกู ปดั โนรา เคร่ืองดนตรขี นาดจ๋ิว และหน้าพรานขนาดจ๋ิว
3. การสร้างความสมั พันธผ์ า่ นการเรียนร้เู ครือญาตสิ ายมโนราห์ และลักษณะเฉพาะแตล่ ะสาย
โนรานาโยงมีทั้งหมด 5 สาย สายที่ 1 สายลูกศิษย์ขุนศรัทธาใจภักดิ์ (โนราศรีเงิน) สายที่ 2 สายลูก
ศิษยโ์ นราคล้ิง สังฆรักษ์ สายท่ี 3 สายลกู ศิษย์โนราชื่น ณ สงฆ์ สายที่ 4 สายลกู ศิษย์โนราตั้ง อ๋องเซ่ง และสาย
ที่ 5 สานลูกศิษย์โนราช่วย ก่อนทำโครงการแต่ละสายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นพื้นฐาน เนื่องจาก
ประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกันมาก่อน แต่การเข้าร่วมโครงการเปิดโอกาสให้โนราแต่ละคณะแต่ละสายพบปะ
พูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากขึ้นผ่านกิจกรรมต่างในโครงการ ได้แก่ การสร้างความสัมพันธ์เฉพาะสายผ่านการ
สนทนากลุ่มย่อย (focus group) สรา้ งความสมั พนั ธ์โนรานาโยงผา่ นกิจกรรมศึกษาดูงาน กิจกรรมเผยแพร่การ
แสดงโนรานาโยง ทำให้โนราได้วางแผนร่วมกัน รำโรงเดียวกัน สัญจรไปทำกิจกรรมที่บ้านของมโนราห์ เช่น
บ้านมโนราห์ประกิจ หนูแก้ว ส่งผลให้เจ้าของบ้านเข้าใจโครงการและได้เรียนรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมใน
P a g e | 95
โครงการ ชวนกันไปแลโนรา นักวิจัยที่เป็นโนราเมื่อต้องไปเก็บข้อมูลในฐานะนักวิจัย ทำให้ต้องติดตามคณะ
โนราไปเพ่อื เก็บข้อมูล จงึ ได้รจู้ ักและเรยี นรโู้ นราตา่ งตำบลต่างสายโนรา
4. แนวทางในการรักษาไวซ้ ง่ึ เอกลกั ษณม์ โนราหน์ าโยง
โนราแต่ละสายจะมีเอกลักษณ์จำเพาะของตัวเอง แต่สิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของโนรานาโยง คือ การ
ทำพิธกี รรมแบบโบราณ ไม่ตัดตอน ทกุ พธิ ีกรรมทกุ การแสดงจะมีความเกี่ยวข้องกบั ครูหมอโนรา ความเข้มขลัง
ความศักด์สิ ิทธ์ิของพิธกี รรมจึงมอี ยคู่ ่อนข้างมาก แตกต่างจากทอ่ี ่ืน ๆ
แนวทางการรกั ษาเอกลักษณ์ของโนรานาโยง มดี งั น้ี
- การแลกเปลยี่ นเรียนรูร้ ะหวา่ งโนรารนุ่ เกา่ -รนุ่ ใหม่
- การเก็บรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ของโนรานาโยงไวใ้ ห้คนรุน่ หลังศกึ ษา
- การสรา้ งแหล่งเรยี นรูโ้ นราเชงิ ท่องเทย่ี วทางวัฒนธรรม
- ฟื้นฟูชุดการแสดงโบราณที่สวยงามและมีเรื่องราว เช่น การรำเฆี่ยนพราย การรำขอเทริด การรำ
เพลงปี่ การรำเพลงทับ ฯลฯ ที่กำลังจะสูญหาย นำมาถ่ายทอดและสร้างการเรียนรู้แก่โนรารุ่นใหม่ เพื่อนำมา
แสดงให้คนรนุ่ หลังไดร้ บั ชมและมีส่วนรว่ มในการอนุรกั ษศ์ ิลปะการแสดงที่งดงามเปน็ เอกลักษณ์ของโนรานาโยง
ตอ่ ไป
- การรับศษิ ยใ์ หมแ่ ละฝกึ ลกู ศิษยอ์ ยา่ งตอ่ เน่ืองแบบโบราณ
- การฝึกหัดลกู คู่รนุ่ ใหม่ ที่มคี วามเปน็ มืออาชีพ เลน่ ได้กบั ทุกคณะ
- จัดพิธีกรรมโนราโรงครู (ไหว้ครูใหญ่) ระดับจังหวัด เพื่อเผยแพร่ศิลปะมโนราห์และคงรักษาไว้ซึ่ง
เอกลักษณโ์ นราเมืองตรัง
5. ประสานความรว่ มมอื กับหน่วยงานในการสนับสนนุ ศลิ ปะมโนราห์ อำเภอนาโยง
โนรานาโยงเป็นโครงการระดับอำเภอ ซึ่งได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเข้ามา
สนบั สนุน ดงั น้ี
• วัฒนธรรมอำเภอนาโยง เข้าร่วมเป็นทีมวิจัยโครงการ มีบทบาทในการลงพื้นที่เก็บข้อมูล เข้าร่วม
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของโครงการ ตดิ ต่อสถานทีก่ รณีจดั การประชุมทอ่ี ำเภอนาโยง
• กศน.อำเภอนาโยง อาจารย์และนักศึกษาเข้าร่วมเป็นทีมวิจัยในโครงการ นักศึกษามีบทบาทในการ
เก็บข้อมูลและเข้ารว่ มกิจกรรมตา่ งในโครงการ ตลอดจนไดฝ้ ึกหัดรำมโนราหจ์ นสามารถออกงานแสดงได้จากที่
ไมเ่ คยหัดรำมาก่อน
• องค์การบริหารส่วนตำบล 6 ตำบล ตำบลนาข้าวเสีย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเข้าร่วมเป็น
ทีมวิจยั ตำบลละมอเอื้อเฟื้อสถานท่จี ัดกจิ กรรมในโครงการ ส่วนตำบลอ่ืน ๆ นายก อบต. เข้ารว่ มเป็นท่ีปรึกษา
ของโครงการ นอกจากนแ้ี ตล่ ะ อบต. ยังตัง้ งบประมาณสนบั สนนุ คณะมโนราหเ์ ปน็ ประจำทกุ ปี
• กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม สนบั สนนุ งบประมาณฝึกอบรมอบรมเด็กและเยาวชน รอ้ ยลกู ปดั เครือ่ งทรง
โนราเปน็ พวงกุญแจ สรอ้ ยขอ้ มือ สร้อยคอ ฝกึ หดั ลกู คู่โนรา และฝึกหัดรำโนรา
• มหาวิทยาลัยราชภัฏภเู ก็ต วิทยาเขตตรงั ใหก้ ารสนับสนนุ อปุ กรณร์ ้อยลูกปัดโนรา คริสตสั เพ่อื ร้อย
เปน็ เครอื่ งประดบั โดยจา้ งอาจารย์มาสอน 50 ชัว่ โมง สอนเด็กและเยาวชนท่ีสนใจ
• ทอ่ งเท่ยี วและกฬี าอำเภอนาโยง สนบั สนนุ งบประมาณและวิทยากรสอนรำโนรา
• มหาวิทยาลัยทักษิณ นำโดยนายพิทยา บุษรารัตน์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา
นักวิจัยวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน นิสิตและอาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์และคณะมนุษยศาสตร์และ
สงั คมศาสตร์ ลงพน้ื ทีเ่ กบ็ ข้อมูลโนรานาโยงเพ่อื นำขอ้ มูลท่ไี ด้ไปประกอบการขึน้ ทะเบียนมโนราหเ์ ป็นมรดกโลก
P a g e | 96