The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการปลูกผัก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือการปลูกผัก

คู่มือการปลูกผัก

151 เพลี้ยไฟ เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่เข้าท้าลายพืชตระกูลแตงหลายชนิด เช่น แตงโม เมล่อน โดย การดูดน้้าเลี้ยง และใช้ปากเขี่ยเซลให้เป็นแผลเพื่อดูดน้้าเลี้ยง การท้าลายของเพลี้ยไฟ ต่อส่วนการเจริญเติบโต จะท้าให้ยอดอ่อนแคระแกร็น เติบโตช้า พืชอ่อนแอ และท้า ให้ใบ ล้าต้น แห้งตายได้ เพลี้ยไฟจะมีการแพร่กระจายโดยลม ท้าให้การระบาด เป็นไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุกๆ 5-7 วัน 2. เพิ่มการให้น้้าเมล่อน ในช่วงอากาศร้อน ในตอนกลางวันจะช่วยลดการระบาดได้ 3. ใช้กับดักกาวเหนียว เพื่อดักจับเพลี้ยไฟ ลดการระบาด


152 แมลงวันทอง แมลงวันทองจะท้าลายโดยการเจาะและวางไข่ที่ผล ตัวอ่อนถ้ามีการระบาด รุนแรงจะท้าให้ผลร่วงเน่า หรือแก่ก่อนเวลา ท้าให้ได้ผลมีคุณภาพต่้า การป้องกันก้าจัด 1. ใช้กับดักแมลงวันทอง โดยใช้สารเมทิลยูจีนอล 2. ฉีดพ่นสารสกัด ข่า สะเดา ยาสูบ เพื่อขับไล่ แมลงวันทอง


153 ด้วงเต่าแตง ด้วงเต่าแตง จะพบเป็นปัญหาอยู่ เสมอกับแตงที่เริ่มงอกยังมีใบน้อย การท้าลายยอดแตงโดยแทะกัดกิน ใบหากการระบาดรุนแรงอาจท้าให้ ชะงักการทอดยอดได้ ด้วงเต่าแตง แดงพบระบาดในสวนแตงที่มีวัชพืช ขึ้นหนาแน่น ทั้งนี้เพราะตัวอ่อน อาศัยกัดกินรากพืชจึงมักเป็นปัญหา ในแหล่งปลูกแตงใหม่บริเวณรอบๆที่ไม่มีการไถพรวน และปราบวัชพืชเพียงพอ พบ ระบาดแทบทุกฤดูโดยเฉพาะในช่วงที่แตงเริ่มแตกใบจริง การป้องกันก้าจัด 1. วิธีกลถ้าท้าได้โดยการจับท้าลายด้วยมือจะ ช่วยได้มาก โดยหมั่นดูสวนแตงในเวลาเช้าแดด ยังไม่จัด ขณะเดียวกันภายหลังเก็บเกี่ยวผล เสร็จแล้ว ไม่ควรปล่อยต้นแตงทิ้งไว้ ควรถอน ท้าลายมิฉะนั้นจะกลายเป็นแหล่งสะสมของ ด้วงเต่าแตงต่อไป 2. ใช้กับดักแมลง หรือกาวดักแมลง 3.ไส้เดือนฝอยก้าจัดแมลงฉีดพ่นเพื่อท้าลายตัว อ่อนในดิน 4. ฉีดพ่นสารสกัด ตะไคร้หอม ยาสูบ บอระเพ็ด สะเดา ช่วยขับไล่ด้วงเต่าแตง 5. ใช้เชื้อราเมธาไรเซียมฉีดพ่นเพื่อก้าจัดตัวหนอน ทั้งพื้นดินและบนต้นผัก


154 แมลงหวี่ขาว แมลงหวี่ขาวเข้าท้าลาย พืชตระกูลแตงค่อนข้าง กว้างขวาง โดยทั่วไปแมลง หวี่ขาวจะอยู่บริเวณใต้ใบ อ่อน แมลงชนิดนี้จะเป็น พาหะของโรค ไวรัส ในพืช ตระกูลแตงหลายชนิด การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุกๆ 5-7 วัน ใช้ป้องกันก้าจัดแมลงหวี่ขาว 2. ฉีดพ่นสารสกัดยาสูบ ว่านน้้า หรือหางไหล ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วันสลับกัน 3. เก็บใบที่มีตัวอ่อนแมลงหวี่ขาวไปท้าลาย


155 การพัฒนาของผลและการเก็บเกี่ยว • อายุผล ฤดูร้อนประมาณ 40 วัน, ฤดูฝนประมาณ 43 วัน และฤดูหนาวประมาณ 45 วัน การเก็บเกี่ยว • สีผลเขียวเข้มและตาข่ายขึ้นนูนชัดเจน เต็มผล • นับอายุผลหลังการผสมดอก 43-45 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ • ขั้วผลยกนูน หรือมีแนวแยกตามยาวที่ก้านผล • ถ้าก้นผลนิ่มแสดงว่าสุกมากเกินไป • สภาพต้นต้องสมบูรณ์ ไม่เป็นโรค • ระหว่างการเก็บเกี่ยวเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไม่ควรตั้งผลเมล่อนบนพื้นดิน ควรจัดหา ภาชนะมารองรับ • ผลเมล่อนไม่ควรตากแดดหรือตั้งในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง ควรเคลื่อนย้ายมายังที่ร่ม หรืออุณหภูมิต่้าเพื่อลดอัตราการหายใจของผลผลิต • การตัดขั้วจะเป็นลักษณะเหมือนรูปดาบซามูไร การตัดขั้วลักษณะเหมือนรูปซามูไร


156 การปลูก กะเพราอินทรีย์


157 การเตรียมดิน กะเพราเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลาง การเตรียมดินควรขุดหรือไถดินลึก ประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน ไถพรวนคราด ย่อยดินให้ระ เอียดเก็บเศษวัชพืชออกให้หมด หลังจากนั้นแปลงสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร กว้าง 1 เมตร ยาวตามความเหมาะเว้นช่องว่างระหว่างแปลงประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อยกแปลงเสร็จแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ หว่านให้ กระจายทั่วแปลง คลุกเคล้าให้เข้ากับดินที่จะปลูก และควรใส่ปูนขาวหรือปูนมาร์ล เพื่อลดความเป็นกรดของดิน โดยมี pH ที่เหมาะสม 6.0 – 6.8 วิธีการปลูก การปลูกกระเพราควรกระท้าในตอนเย็น วิธีปลูกนิยมมี 2 วิธีด้วยกัน คือ 1. การเพาะกล้าย้ายปลูก โดยการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลงแล้วใช้แกลบสด แกลบเผาหรือฟาง หว่านหรือคลุมบางๆ แล้วรดน้้าตามทันที หลังจากนั้นรดน้้าทุกเช้า เย็นจนกระทั้งเมื่ออายุได้ 20-25 วัน จึงท้าการย้ายปลูก โดยการถอนต้นกล้าแล้วเด็ด ยอดน้าไปปลูกในแปลง โดยใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร เมื่อถอนกล้าออกจาก แปลงแล้วจะต้องปลูกให้เสร็จภายในวันเดียวกัน หลังจากการปลูกเสร็จควรหาฟาง หรือหญ้าแห้งมาคลุม เพื่อเก็บความชื้นและรดน้้าตามทันที 2. การปักช้า โดยตัดกิ่งที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วปลิดใบออกให้ หมดน้าไปปักช้าในแปลง โดยใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร ใช้หญ้าแห้งหรือฟาง สะอาดคลุมให้ทั่วแปลง และรดน้้าตามทันที


158 การดูแลรักรักษา การให้น้้า กะเพราเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงสม่้าเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการรดน้้าให้ทุกวัน แต่ระวังอย่าปล่อยให้มีการท่วมขังในแปลง การก้าจัดวัชพืช ในระยะแรกควรท้าการพรวนดินและก้าจัดวัชพืชทุกๆ 1-2 สัปดาห์ โดยการใช้มือ ถอน จอบหรือเสียบดายหญ้าออก และควรท้าด้วยความระมัดระวังอย่าให้กระทบต่อ ต้นและราก การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหมัก อัตรา 300-500 กิโลกรัม/ไร่ สัปดาห์ละครั้งหลังการปลูก


159 โรคที่ส้าคัญ ของกะเพรา


160 โรคใบจุด สาเหตุ เกิดจากเชื้อราซูโดโมแนส ซิคลอริไอ (Pseudomonas cichorii) ลักษณะอาการ พบมากในช่วงฤดูฝนโดยจะพบ อาการที่ใบมีจุดสีน้้าตาลเข้มถึงด้า ใบจะ ค่อยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และร่วงตามมา และจะเกิดบริเวณใบล่างก่อน แล้วค่อย รุกลามจนถึงใบส่วนยอด การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการใบจุด ก็ให้เก็บใบที่เป็น โรคไปเผาท้าลายทิ้ง ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาด 2. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส ทุก 5-7 วัน 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลาย เชื้อสาเหตุโรค หรือท้าการปลูกพืชหมุนเวียน โดย หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มกะเพรา โหระพา ติดต่อกันเป็นเวลานาน


161 โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ฟูซาเรียม อ็อกซี่สปอรัม (Fusarium oxysporum) ลักษณะอาการ อาการของโรคนี้จะแตกต่างจากอาการเหี่ยว ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เริ่มแรกใบที่อยู่ต้านล่าง จะมีสีเหลือง ต่อมาใบที่อยู่ถัดชื้นมาจะค่อยๆ เหลือง เพิ่มมากชื้น การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการ ให้ถอนท้าลายโดยการน้าออกนอกแปลง และเผาท้าลาย 2. ฉีดพ่นหรือราดด้วยเชื้อไตรโคเดอร์มา ในบริเวณที่เกิดอาการโรคเหี่ยว 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อสาเหตุโรค และพ่นเชื้อรา ไตรโคเดอร์มาลงไปในดินก่อนท้าการปลูก หรือท้าการปลูกพืชหมุนเวียน โดย หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มกะเพรา โหระพา ติดต่อกันเป็นเวลานาน


162 โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เออร์วิเนีย (Erwinia sp.) ลักษณะอาการ เกิดอาการใบเป็นแผล บริเวณแผลมี น้้า และเมือก และแผลจะค่อยๆขยาย ใหญ่ลุกลามไปทั่วไปจนเน่าตาย ต้นที่ เป็นโรคจะแสดงอาการเหี่ยวทั้งต้นใน วันที่มีอากาศร้อน และ อาจจะพื้นคืนดี ใหม่ในเวลากลางคืน มีอาการอยู่ 2-3 วัน แล้วก็จะเหี่ยวตายไปในที่สุด การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการเหี่ยว ก็ให้ถอนไปเผาท้าลายทิ้ง ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาด 2. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส ทุก 5-7 วัน 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อสาเหตุโรค หรือท้าการปลูกพืช หมุนเวียน โดยหลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มกะเพรา โหระพา ติดต่อกันเป็นเวลานาน


163 แมลงศัตรูที่ส้าคัญ ของกะเพรา


164 เพลี้ยไฟ ลักษณะการเข้าท้าลาย เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่เข้าท้าลายโดยการ ดูดน้้าเลี้ยง และใช้ปากเขี่ยเซลให้เป็นแผล เพื่อดูดน้้าเลี้ยง การท้าลายของเพลี้ยไฟต่อ ส่วนการเจริญเติบโตจะท้าให้ยอดอ่อน แคระแกร็น เติบโตช้า พืชอ่อนแอ และท้า ให้ใบ ล้าต้น แห้งตายได้ เพลี้ยไฟจะมีการ แพร่กระจายโดยลม ท้าให้มีการระบาด เป็นไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรียทุก 5-7วัน 2. เพิ่มการให้น้้าเมล่อน ในช่วงอากาศร้อนในตอนกลางวันจะช่วยลดการระบาดได้ 3. ใช้กับดักกาวเหนียว เพื่อดักจับเพลี้ยไฟลดการระบาด


165 เพลี้ยอ่อน ลักษณะการท้าลาย เพลี้ยอ่อนชนิดนี้สามารถท้าลายพืชได้ ทั้งในระยะตัวอ่อนและตัวเต็มวัย โดยการ ดูดกินน้้าเลี้ยงจากพืชทั้งส่วนยอด ใบอ่อน และใบแก่ ลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดคือ ยอดและใบจะหงิกงอ เมื่อเพลี้ยอ่อนเพิ่มขึ้น เรื่อยๆพืชก็จะเหี่ยว ใบที่ถูกท้าลายจะค่อยๆ มีสีเหลือง แคระแกร็น นอกจากนี้เพลี้ยอ่อน ยังพบตามซอกใบ การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย 60-80 กรัม/น้้า 20 ลิตร 2. ฉีดพ่นสารสกัดใบยาสูบ อัตรา 50-100 ซีซี/น้้าน้้า 20 ลิตร ใช้ช่วงเย็น 3. ใช้กับดักแมลงกาวเหนียว 4. หมักสะเดา หรือ น้้าหมักยาสูบ


166 หนอนชอนใบ ลักษณะการท้าลาย เป็นแมลงศัตรูส้าคัญ ที่ท้าความ เสียหายในระยะแตกใบอ่อน โดยหนอน กัดกินน้้าเลี้ยงจากใบ หนอนชอนใบจะอยู่ ในระหว่างผิวใบ ท้าลายด้านใต้ใบ มากกว่าบนใบ บริเวณที่ถูกท้าลายเห็น เป็นฝ้าขาวปรากฏเป็นทางคดเคี้ยวไปมา ตามทางที่ตัวหนอนเคลื่อนผ่าน ต่อมาใบ จะหงิกงอ การระบาดรุนแรงจะท้าให้ใบ และต้นแคระแกร็น การป้องกันก้าจัด 1. หากพบอาการระบาดหนอนชอนใบ ให้เก็บท้าลายเท่าที่ท้าได้ แล้วฉีดพ่นบีที สลับกับ สารสกัด สะเดา หางไหล ยาสูบ ทุก 5-7 วัน 2. ถ้ามีการระบาดไม่มากให้เก็บส่วนใบที่โดนท้าลายออกจากแปลงเพื่อท้าลายตัว หนอนที่อยู่ภายใน


167 การเก็บเกี่ยว หลังปลูกประมาณ 40-50 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยใช้มือเด็ดหรือกรรไกร ตัดกิ่งที่มียอดอ่อนไปบริโภคถ้าต้นออกดอกควรหมั่นตัดแต่งออกทิ้ง เพื่อให้ต้นมีทรง พุ่มที่แข็งแรงและมีอายุยืนยาวการเก็บเกี่ยวสามารถกระท้าได้ทุก15-20 วัน ไปจนถึง อายุ 7-8 เดือน


168 การปลูก โหระพาอินทรีย์


169 การเตรียมดิน โหระพาเป็นพืชที่มีระบบรากลึก ปานกลาง การเตรียมดินควรขุดหรือ ไถดินประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน ไถพรวน คราด ย่อยดินให้ละเอียด เก็บเศษ วัชพืชออกให้หมด หลังจากนั้นยก แปลงสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร ก ว้ า ง 1 เม ต ร ย าว ต า ม ค ว า ม เหมาะสมเว้นช่องว่างระหว่างแปลงประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อยกแปลงเสร็จแล้วจึง ใส่ปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วอัตรา 1-2ตันต่อไร่ โรยให้ทั่วแปลงหรือหว่านให้กระจายทั่ว แปลง คลุกเคล้าให้เข้ากันกับดินพร้อมที่จะปลูก การปลูก วิธีปลูก การปลูกโหระพาควรกระท้าในตอนเย็น วิธีการปลูกที่นิยมมี 2 วิธีด้วยกัน คือ 1. การเพาะกล้าย้ายปลูก โดยการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลงแล้วใช้แกลบสด แกลบเผาหรือฟาง หว่านหรือคลุมบางๆ แล้วรดน้้าตามทันที หลังจากนั้น รดน้้าทุก วันเช้าและเย็น จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 20-25 วัน จึงท้าการย้ายปลูก โดยการถอนกล้า แล้วเด็ดยอดน้าไปปลูกในแปลง โดยใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร เมื่อถอนกล้า ออกจากแปลงแล้วจะต้องปลูกให้เสร็จภายในวันเดียวกัน หลังจากปลูกเสร็จควรหา ฟางหรือหญ้าแห้งมาคลุมเพื่อเก็บความชื้นและรดน้้าตามทันที 2. การปักช้า โดยตัดกิ่งที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วปลิดใบออกให้ หมดน้าไปปักช้าในแปลง โดยใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร ใช้หญ้าแห้งหรือฟาง แห้งสะอาดคลุมให้ทั่วแปลง และรดน้้าตามทันที


170 การดูแลรักรักษา การให้น้้า โหระพาเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงสม่้าเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการรดน้้าให้ทุกวัน แต่ระวังอย่าปล่อยให้มีการท่วมขังในแปลง การก้าจัดวัชพืช ในระยะแรกควรท้าการพรวนดินและก้าจัดวัชพืชทุกๆ 1-2 สัปดาห์ โดยการใช้มือ ถอน จอบหรือเสียบดายหญ้าออก และควรท้าด้วยความระมัดระวังอย่าให้กระทบต่อ ต้นและราก การใส่ปุ๋ย โหระพาเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย เจริญเติบโตดีควรใส่ปุ๋ยคอกหมัก อัตรา 300-500 กิโลกรัม/ไร่ สัปดาห์ละครั้งหลังการปลูก


171 โรคที่ส้าคัญ ของโหระพา


172 โรคใบจุด สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ซูโดโมแนส ซิคลอริไอ (Pseudomonas cichorii) ลักษณะอาการ พบมากในช่วงฤดูฝนโดยจะ พบอาการที่ใบมีจุดสีน้้าตาลเข้ม ถึงด้า ใบจะค่อยเปลี่ยนเป็นสี เหลือง และร่วงตามมา และจะ เกิดบริเวณใบล่างก่อน แล้ว ค่อยรุกลามจนถึงใบส่วนยอด การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการใบจุด ก็ให้เก็บใบที่เป็นโรค ไปเผาท้าลายทิ้ง ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาด 2. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส ทุก 5-7 วัน 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลาย เชื้อสาเหตุโรค หรือท้าการปลูกพืชหมุนเวียน โดย หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มกะเพรา โหระพา ติดต่อกันเป็นเวลานาน


173 โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ฟูซาเรียม อ็อกซี่สปอรัม (Fusarium oxysporum) ลักษณะอาการ อาการของโรคนี้จะแตกต่างจากอาการเหี่ยวที่ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เริ่มแรกใบที่อยู่ต้าน ล่างจะมีสีเหลือง ต่อมาใบที่อยู่ถัดชื้นมาจะ ค่อยๆ เหลือง เพิ่มมากชื้น การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการ ให้ถอนท้าลายโดยการน้าออกนอกแปลง และเผาท้าลาย 2. ฉีดพ่นหรือราดด้วยเชื้อไตรโคเดอร์มา ในบริเวณที่เกิดอาการโรคเหี่ยว 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อสาเหตุโรค และพ่นเชื้อรา ไตรโคเดอร์มาลงไปในดินก่อนท้าการปลูก หรือท้าการปลูกพืชหมุนเวียน โดย หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มกะเพรา โหระพา ติดต่อกันเป็นเวลานาน


174 โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เออร์วิเนีย (Erwinia sp.) ลักษณะอาการ เกิดอาการใบเป็นแผล บริเวณแผลมีน้้า และ เมือก และแผลจะค่อยๆขยายใหญ่ลุกลามไป ทั่วไปจนเน่าตาย ต้นที่เป็นโรคจะแสดงอาการ เหี่ยวทั้งต้นในวันที่มีอากาศร้อน และ อาจจะพื้น คืนดีใหม่ในเวลากลางคืน มีอาการอยู่ 2-3 วัน แล้วก็จะเหี่ยวตายไปในที่สุด การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการเหี่ยว ก็ให้ถอนไปเผาท้าลายทิ้ง ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาด 2. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส ทุก 5-7 วัน 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อสาเหตุโรค หรือท้าการปลูกพืช หมุนเวียน โดยหลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มกะเพรา โหระพา ติดต่อกันเป็นเวลานาน


175 แมลงศัตรูที่ส้าคัญ ของโหระพา


176 เพลี้ยไฟ ลักษณะการเข้าท้าลาย เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่เข้าท้าลายโดยการ ดูดน้้าเลี้ยง และใช้ปากเขี่ยเซลให้เป็นแผล เพื่อดูดน้้าเลี้ยง การท้าลายของเพลี้ยไฟต่อ ส่วนการเจริญเติบโต จะท้าให้ยอดอ่อน แคระแกร็น เติบโตช้า พืชอ่อนแอ และท้า ให้ใบ ล้าต้น แห้งตายได้ เพลี้ยไฟจะมีการ แพร่กระจายโดยลม ท้าให้มีการระบาด เป็นไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุก5-7 วัน 2. เพิ่มการให้น้้าเมล่อน ในช่วงอากาศร้อนในตอนกลางวันจะช่วยลดการระบาดได้ 3. ใช้กับดักกาวเหนียว เพื่อดักจับเพลี้ยไฟลดการระบาด


177 เพลี้ยอ่อน ลักษณะการท้าลาย เพลี้ยอ่อนชนิดนี้สามารถท้าลาย พืชได้ทั้งในระยะตัวอ่อนและตัวเต็ม วัย โดยการดูดกินน้้าเลี้ยงจากพืชทั้ง ส่วนยอด ใบอ่อน และใบแก่ ลักษณะ อาการที่เห็นได้ชัดคือยอดและใบจะ หงิกงอ เมื่อเพลี้ยอ่อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พืชก็จะเหี่ยว ใบที่ถูกท้าลายจะค่อย ๆ มีสีเหลือง แคระแกร็น นอกจากนี้เพลี้ยอ่อนยัง พบตามซอกใบ การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย 60-80 กรัม/น้้า 20 ลิตร 2. ฉีดพ่นสารสกัดใบยาสูบ อัตรา 50-100 ซีซี/น้้าน้้า 20 ลิตร ใช้ช่วงเย็น 3. ใช้กับดักแมลงกาวเหนียว 4. หมักสะเดา หรือ น้้าหมักยาสูบ


178 หนอนชอนใบ ลักษณะการท้าลาย เป็นแมลงศัตรูส้าคัญที่ท้า ความเสียหายในระยะแตกใบ อ่อน โดยหนอนกัดกินน้้าเลี้ยง จากใบ หนอนชอนใบจะอยู่ใน ระหว่างผิวใบ ท้าลายด้านใต้ ใบมากกว่าบนใบ บริเวณที่ถูก ท้าลายเห็นเป็นฝ้าขาวปรากฏ เป็นทางคดเคี้ยวไปมาตามทางที่ตัวหนอนเคลื่อนผ่าน ต่อมาใบจะหงิกงอ การระบาด รุนแรงจะท้าให้ใบและต้นแคระแกร็น การป้องกันก้าจัด 1. หากพบอาการระบาดหนอนชอนใบ ให้เก็บท้าลายเท่าที่ท้าได้ แล้วฉีดพ่นบีที สลับกับ สารสกัด สะเดา หางไหล ยาสูบ ทุก 5-7 วัน 2. ถ้ามีการระบาดไม่มากให้เก็บส่วนใบที่โดนท้าลายออกจากแปลงเพื่อท้าลายตัว หนอนที่อยู่ภายใน


179 การเก็บเกี่ยว หลังจากปลูกได้ประมาณ 3 เดือน จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และจะสามารถเก็บ เกี่ยวไปได้เรื่อยๆ โหระพามีอายุเฉลี่ยประมาณ 1-2 ปี ปลูกครั้งเดียวแต่สามารถเก็บ เกี่ยวไปได้ตลอด ใช้มือเด็ดหรือกรรไกร ตัดกิ่งที่มียอดอ่อนไปบริโภค แต่สามารถเก็บ เกี่ยวไปได้เรื่อยๆ ทุก 20-30 วัน ถ้าโหระพาออกดอก ควรหมั่นตัดแต่งออกทิ้ง เพื่อให้ โหระพามีทรงพุ่มที่แข็งแรง และมีอายุยืนยาว วิธีเก็บรักษาโหระพา ตัดกิ่งโหระพาที่มียอดอ่อน แล้วน้ามาล้างน้้าให้สะอาด โหระพาเป็นผักที่บอบบาง ช้้าง่ายและเหี่ยวง่ายกว่า เราจะมีวิธีเก็บรักษาให้สดนานๆ คือให้ล้างน้้าให้สะอาดดี แล้วให้สะเด็ดน้้าออกให้หมด แล้วน้ามาห่อด้วยกระดาษหรือผ้าขาวบาง แล้วใส่ถุง หรือกล่องพลาสติก แล้วน้าไปแช่ตู้เย็น จะเก็บไว้ใช้ได้นาน


180 การปลูก กระเจี๊ยบเขียว


181 กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวเจริญเติบโตได้ดี ใน สภาพดินร่วนระบายน้้าดี ไม่ชอบ ความชื้นมากเกินไป ในกรณีที่ระดับ น้้าใต้ดินสูงหรือปลูกในฤดูฝนต้องยก ร่องสูง การเตรียมดินมีความส้าคัญ มาก เนื่องจากระยะเวลาเก็บเกี่ยว ผลผลิตนานถึง 6 เดือน ดินปลูกต้อง ร่วนซุยไม่แน่น การพรวนดินต้องลึก ใส่อินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก มูลเป็ด มูลไก่ ฯลฯ ในอัตรา 500 กิโลกรัม ต่อไร่ การเตรียมดิน ไถตากดินทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วันเพื่อก้าจัดโรค พืช และศัตรูพืช จากนั้นหว่าน ปุ๋ยคอกเสริมคอกเสริมธาตุอาหารในดินประมาณ 0.5-1 ต้นต่อไร่ อาจเลือกติดตั้ง ระบบน้้าแบบสปริงเกลอร์หรือเลือกปล่อยน้้าเข้าร่องแปลงก็ได้ จัดระยะห่างระหว่าง ต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1 เมตร (พร้อมร่องน้้าประมาณ 50 เซนติเมตร) และ ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพความเป็นกรดด่างของดินให้เหมาะสมก่อนปลูก


182 การปลูก กระเจี๊ยบเขียวสามารถท้าการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยน้าเมล็ดพันธุ์ แช่น้้าหมักชีวภาพนาน 15-20 นาที เพื่อก้าจัดโรคที่อาจติดตามมากับเมล็ดพันธุ์ จากนั้นน้ามาผึ่งให้แห้ง ในที่ร่ม ก่อนน้าไปปลูกลงแปลงใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 1 กิโลกรัม/ไร่ สามารถน้าเมล็ดพันธุ์มาท้าการเพาะปลูกได้ โดยเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ สมบูรณ์ ตรงตามสายพันธุ์ที่ต้องการ จากนั้นน้าลงแปลงปลูกได้เลย โดยใช้นิ้วจิ้มดิน เป็นหลุมเล็กก่อนหยอดเมล็ดพันธุ์ประมาณ 3 เมล็ดต่อหลุม จากนั้นประมาณ 45 วัน จึงพร้อมเริ่มเก็บเกี่ยวได้ การปลูกอาจท้าได้ทั้งแบบร่องสวนและ แบบไร่ โดยทั่วไปใช้ระยะระหว่างต้นและ แถว 50x50 เซนติเมตร ปลูกจ้านวน 1-2 ต้นต่อหลุม


183 การดูแลรักษา การให้น้้า กระเจี๊ยบเขียวชอบความชื้นปานกลาง ในช่วงฤดูหนาวและร้อนควรให้น้้าอย่าง สม่้าเสมอ ไม่ควรปล่อยให้แห้ง โดยเฉพาะในช่วงออกดอก และติดฝักปริมาณการติด ฝักจะขึ้นกับการปฏิบัติดูแลรักษาเป็นหลัก มากกว่าขึ้นกับพันธุ์โดยเฉพาะการให้น้้า ในช่วงนี้ควรหมั่นรดน้้าอย่างสม่้าเสมอ เพื่อให้การเจริญเติบของต้นเป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง ฝักมีคุณภาพดี และมีปริมาณฝักที่ได้สูง ถ้าขาดน้้าผลผลิตจะต่้า ฝักเล็กคดงอ ไม่ได้คุณภาพ การให้ปุ๋ย เนื่องจากระยะเวลาในการปลูกยาวนานมาก ดังนั้นการใส่ปุ๋ยจึงต้องให้เพียงพอจึง จะท้าให้ฝักตกและคุณภาพดี ในพื้นที่ที่มีอินทรีย์วัตถุสูง มีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะแปลงที่เคยปลูกผักกินใบมาก่อน ควรใช้ปุ๋ยคอกหมักทุกๆ 10-15 วัน/ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับความยาวนานของการเก็บเกี่ยวผลผลิตและความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วย


184 โรคที่ส้าคัญชอง กระเจี๊ยบเขียว


185 โรคฝักจุดหรือฝักลาย สาเหตุเกิดจากเชื้อราอัลเทอร์นาเรีย (Alternaria sp.) ลักษณะอาการ เชื้อราที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์จะแสดงอาการเมื่อกระเจี๊ยบเขียวเริ่มติดฝักเมื่ออายุ 45-50 วันหลังจากปลูก ท้าให้เกิดเป็นจุดสีด้าหรือสีน้้าตาลเล็ก ๆ เท่าปลายเข็มหมุด ที่ผิวของฝัก แผลเหล่านี้จะกระจายอยู่ทั่วไป จ้านวนแผลจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อ สภาพแวดล้อมเหมาะสม เมื่อระบาดรุนแรงแผลบนฝักจะขยายมองเป็นจุดใหญ่หรือ แผลติดต่อเป็นทางยาวสีน้้าตาลเข้ม การป้องกันก้าจัด 1. ในช่วงเตรียมดินปลูก ควรมีการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อราในดินอย่างน้อย 7 วัน และ ผสมเชื้อราไตโคเดอร์มา ลงไปร่วมกับปุ๋ยคอกเพื่อป้องกันเชื้อราด้วย 2. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือ แบคทีเรีย บีเอส เพื่อป้องกันทุกๆ 5-7 วัน


186 โรคใบจุด สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ซูโดเซอโคสปอร่า (Pseudocercospora sp.) ลักษณะอาการ มักจะเป็นกับต้นกระเจี๊ยบเขียวที่มี อายุตั้งแต่ 60 วัน ขึ้นไป ในระยะเริ่มแรก เชื้อราจะเข้าท้าลายที่ใบล่างของล้าต้น และจะลุกลามขึ้นไปสู่ยอดเมื่อพลิก ด้านล่างของใบดูพบว่าจะมีเชื้อราสีขาว เป็นผงคล้ายแป้ง หรือถ้าระบาดรุนแรง จะมีสีเทาปนด้า ด้านหน้าใบจะเป็นแผลสี เหลืองปนน้้าตาล ต้นทรุดโทรมเร็ว ใบ ร่วงและแห้งตายในที่สุด กระเจี๊ยบเขียวไม่ติดฝักหรือติดฝักน้อย ไม่สมบูรณ์ คดงอ แคระแกร็น ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด การป้องกันก้าจัด 1. ในช่วงเตรียมดินปลูก ควรมีการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อราในดินอย่างน้อย 7 วัน และ ผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มา ลงไปร่วมกับปุ๋ยคอกเพื่อป้องกันเชื้อราด้วย 2. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือ แบคทีเรีย บีเอส เพื่อป้องกันทุกๆ 5-7 วัน 3. เชื้อราชนิดนี้มักแพร่ระบาดมากในฤดูฝนหรือช่วงที่มีความชื้นมาก ในช่วงดังกล่าว ควรงดให้น้้าพืชตามความเหมาะสม


187 โรคเส้นใบเหลือง สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสออก้า เยลโล่ เวน ไวรัส (Okra yellow vein virus) ลักษณะอาการ ต้นกระเจี๊ยบที่เป็นโรค จะแสดงอาการเส้นใบเหลืองยอดเหลือง ฝักมีสีเหลือง ล้า ต้นเหลือง ต้นเตี้ยและแคระแกรน จะระบาดรวดเร็วไปทั้งแปลง มักระบาดมากในช่วง ที่มีการระบาดของแมลงหวี่ขาว เพราะแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะให้โรคไวรัสดังกล่าว การป้องกันก้าจัด 1. หากพบต้นที่แสดงอาการ ให้รีบถอนทิ้งท้าลายเพราะในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษา โรคไวรัสได้ 2. ควบคุมปริมาณการระบาดของแมลงหวี่ขาว โดยฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุกๆ 5- 7 วัน สลับกับสารสกัด สะเดา ยาสูบ หางไหล เป็นประจ้า เพื่อป้องกันการระบาด


188 แมลงศัตรูที่ส้าคัญ ของกระเจี๊ยบเขียว


189 หนอนกระทู้หอม (หนอนหลอดหอม หนอนหอม หนอนหนังเหนียว) ลักษณะ เป็นแมลงจ้าพวกผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก แม่ผีเสื้อวางไข่เป็นกลุ่มสีขาว หนอนโตเต็มที่มีขนาด 3 เซนติเมตร สีของหนอนมีแตกต่างกันได้ เช่น สีเขียวอ่อนเทา น้้าตาล น้้าตาลด้า เป็นต้น ลักษณะที่สังเกตได้ง่ายคือ หนอนมีล้าตัวอ้วนผนังล้าตัว เรียบ มีแนวสีขาวพาดไปตามความยาวด้านข้างของล้าตัวเมื่อโตเต็มที่จะเคลื่อนย้าย มาบริเวณโคนต้น เพื่อเข้าดักแด้ในดิน การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรีย บีทีทุกๆ 5-7 วัน สลับกับฉีดพ่น สารสกัด สะเดา ยาสูบ หนอนตายอยาก โดยฉีดพ่นในช่วงเย็น 2. ควบคุมปริมาณของตัวแม่ผีเสื้อ โดยฉีดพ่น สารสกัดขมิ้นชัน บอระเพ็ด สาบเสือ ในช่วงเย็นเพื่อขับไล่ ป้องกันการวางไข่


190 เพลี้ยจั๊กจั่นฝ้าย ลักษณะ ตัวอ่อนมีสีเขียวอมเหลืองจาง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 มิลลิเมตร ส่วนตัว เต็มวัย มีสีเขียวจาง ปีกโปร่งใส ขนาดล้าตัวยาว 2.5 มิลลิเมตร บินเร็วมากเมื่อถูก รบกวน การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นสารสกัดยาสูบ บอระเพ็ด น้้าส้มควันไม้ สลับกับ เชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุกๆ5-7 วัน 2. ใช้การให้น้้าในเวลากลางวันช่วยลดความรุนแรงในการระบาด


191 หนอนกระทู้ผัก ลักษณะ ลักษณะหนอนจะมีล้าตัวอ้วนผิวหนังเรียบ ลายสีด้าจะสังเกตเห็นแถบด้าที่ คอชัดเจน ตัวโตเต็มที่ประมาณ 3-4 ซม. เคลื่อนไหวช้า การป้องกันก้าจัด 1. หนอนกระทู้ผักสามารถป้องกันจ้ากัดได้ไม่ยาก เมื่อพบกลุ่มไข่หรือหนอนที่ฟักออก จากไข่ควรเก็บท้าลาย หากปล่อยให้หนอนโตจนหนอนจะแยกย้ายหลบซ่อนตัว กัด กินเจาะเป็นรูสึก ในใบ ดอก และฝัก 2. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรีย บีที ทุกๆ 5-7 วัน สลับกับฉีดพ่น สารสกัด สะเดา ยาสูบ หนอนตายอยาก โดยฉีดพ่นในช่วงเย็น3. ควบคุมปริมาณของตัวแม่ผีเสื้อ โดยฉีดพ่น สารสกัดขมิ้นชัน บอระเพ็ด สาบเสือ ในช่วงเย็นเพื่อขับไล่ ป้องกันการวางไข่


192 หนอนเจาะสมอฝ้าย ลักษณะ เป็นแมลงจ้าพวกผีเสื้อกลางคืนขนาดกลาง วางไข่ฟองเดี่ยวตามบริเวณ สวนของพืช เช่น ใบ ดอกตูม และฝัก ไข่มีสีขาวนวล ลักษณะกลมคล้ายฝาชี หนอนโต เต็มที่ ขนาด 4 ซม. มีสีแตกต่างกัน ผิวล้าตัวมีเส้นขนเล็ก ๆ ทั่วไปตรงรอยต่อ ระหว่างปล้อง การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรีย บีที ทุกๆ 5-7 วัน สลับกับฉีดพ่น สารสกัด สะเดา ยาสูบ หนอนตายอยาก โดยฉีดพ่นในช่วงเย็น 2. ควบคุมปริมาณของตัวแม่ผีเสื้อ โดยฉีดพ่น สารสกัดขมิ้นชัน บอระเพ็ด สาบเสือ ในช่วงเย็นเพื่อขับไล่ ป้องกันการวางไข่เป็นมวนตัวค่อนข้างโต ตัวเต็มวัยมีลักษณะ ล้าตัวยาว


193 มวนแดงฝ้าย ลักษณะการท้าลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย จะดูดกินน้้าเลี้ยงจากฝักกระเจี๊ยบเขียว ท้าให้ฝักไม่ สมบูรณ์ แตระแกรน หงิกงอ และไม่ได้คุณภาพ การป้องกันก้าจัด 1. หมั่นตรวจสอบการระบาดของมวนแดงฝ้าย หากพบไม่มากให้จับท้าลายทิ้ง มวน กลุ่มนี้สามารถจับท้าลายได้ง่าย 2. ฉีดพ่นสารสกัดยาสูบ หางไหล สะเดา เพื่อป้องกันก้าจัดทุกๆ 5-7 วัน หากมีการ ระบาด ให้ฉีดพ่นทุกๆ 3 วัน 3. ควรปลูกพืชหมุนเวียน ไม่ปลูกกระเจี๊ยบเขียวซ้้าในแปลงเดิมเป็นเวลานาน รวมทั้ง ไถดินตากแดด เพื่อเป็นการท้าลายไข่ของมวนแดงฝ้ายในดิน


194 การเก็บเกี่ยว กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่โตเร็ว เมื่ออายุได้ 40 วัน จะเริ่มออกดอก หลังดอกบาน 5 วัน ฝักจะยาว 4-9 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตฝักสดได้ มีขนาดและ คุณภาพฝักดี คือ ฝักกระเจี๊ยบมีความอ่อนนุ่มมีรสชาติ และเนื้อสัมผัสที่ผู้บริโภคพอใจ ไม่มีเส้นใยตรงตามที่ตลาดต้องการ ฝักกระเจี๊ยบเขียวโตเร็วมากโดยเฉพาะอากาศร้อน จะเติบโตวันละ 2-3 เซนติเมตร เกษตรกรจึงต้องเก็บเกี่ยวทุกวัน และไม่ควรปล่อยทิ้ง ฝักที่สามารถตัดได้ให้หลงเหลืออยู่บนต้น เพราะต้นจะต้องส่งอาหารมาเลี้ยง ท้าให้ผล ผลิตต่้า เกษตรกรจะสามารถเก็บฝักที่มีคุณภาพดีได้ประมาณ 1-2 เดือน ฝักที่แตก ยอดจะเริ่มหมดและไม่แข็งแรง สังเกตจะมีกิ่งแขนงออกจากต้น 2-3 กิ่ง ควรตัดต้นทิ้ง เพื่อให้แตกแขนงใหม่ซึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้อีกประมาณ 2 เดือน


195 การปลูก มะเขือเปราะอินทรีย์


196 การปลูกมะเขือเปราะ การเตรียมดิน ไถดินให้ลึก 30-40เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10วัน ย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูน ขาวในพื้นที่อัตราส่วน 50 กิโลกรัมต่อไร่ คลุกเคล้าในแปลง ยกแปลงสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 120เซนติเมตร เมื่อเตรียมแปลงปลูกแล้วให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตราไร่ละ 500-1000 กิโลกรัมต่อไร่ หรือรองก้นหลุมประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อ หลุม และควรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา250 กรัม/น้้า50ลิตรผสมน้้าฉีดพ่นให้ทั่วแปลง ปลูกเพื่อป้องกันเชื้อราโรคพืชที่อยู่ในดินจากนั้น พรวนย่อยผิวหน้าดินให้ละเอียด ระยะการปลูก ระยะการปลูกระหว่างต้น 70-80 เซนติเมตร ระหว่างแถว 90-100 เซนติเมตร การเตรียมกล้า แช่เมล็ดไว้ 1 คืน จากนั้นเอามาบ่มผ้าไว้จนรากงอก แล้วเมล็ดมาใส่ดินที่ผสมลงใน ถาดเพาะกล้า (ดินที่ร่อนแล้ว 3 ส่วน ปุ๋ยคออก 1 ส่วน ทรายหรือแกลบ 1 ส่วน) รด น้้าและหยอดเมล็ดที่ลงในถาดหลุมๆ ละ 1-2 เมล็ด รดน้้าเช้า-เย็นประมาณ 14-21 วันแล้วย้ายปลูก


197 การดูรักษา การให้น้้า ควรให้น้้าอย่างสม่้าเสมอ ให้พอเหมาะกับพืชไม่ควรให้แห้งหรือแฉะมากเกินไป (ให้คอยสังเกตที่ดินปลูก) การให้ปุ๋ย หลังย้ายปลูกแล้ว 7-10 วัน ให้ใส่ปุ๋ยหมัก ควรโรยปุ๋ยห่างโคนต้นประมาณ 2-3 เซนติเมตรและรดน้้าทันทีครั้งต่อไปเมื่อต้นพืชอายุได้ 35-40 วัน , 55-60 วันหลังเก็บ เกี่ยวผลรอบแรก ควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้ว (ให้สังเกตพืชด้วยว่า ปุ๋ยหมักเพียงพอกับความต้องการหรือไม่อาจจะให้เพิ่มอีกได้)


198 โรคที่ส้าคัญของ มะเขือเปราะ


199 โรคใบด่างเหลือง สาเหตุ ไวรัส โทเมโท โมเสก ไวรัส (Tomato mosaic virus) แพร่ระบาดได้โดยมีแมลงหวี่ขาว เป็นตัวพาหะ ลักษณะอาการ ยอดอ่อนของมะเขือจะเริ่ม ใบเหลืองทีละยอดก่อน จนเหลือง หมดทั้งต้น ผลมะเขือแสดง อาการเหลืองด่างลาย โดยใบของ มะเขือ จะด่างลายมีสีเหลืองสลับเขียว ต้นชะงักการเจริญเติบโต และอาการที่พบใน ส่วนอื่น ๆ ของพืช เช่น ผลผลิตบิดเบี้ยว ขนาดเล็กกว่าปกติ แต่ถ้าเกิดกับมะเขือที่ยัง เล็กและไม่สมบูรณ์ จะไม่ให้ผลผลิตเลย หากทิ้งไว้นานจ้านวนต้นที่เป็นโรคจะเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว การป้องกันก้าจัด 1. ก้าจัดต้นที่เป็นทันทีส้ารวจแปลงเสมอๆ หากพบ ถอนทิ้งทันที แล้วรีบปลูกซ่อม 2. อย่าให้แมลงหวี่ขาวระบาด โดยใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย และสารสกัดยาสูบฉีดพ่น


200 โรคใบจุด สาเหตุโรค เชื้อรา อัลเทอร์นาเรีย (Alternaria sp.) ลักษณะอาการ อาการของโรคใบจุดขนาดเล็ก การ ขยาย ตัวของโรคใบจุดเกิดเป็นวงไม่ค่อย ชัดเจน และแผลมักมีสีเหลืองล้อมรอบ อาการบนผลเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่ ทั่วไป แผลสีครีม หรือน้้าตาลอ่อน การป้องกันก้าจัด 1. พยายามรักษาความชื้นในแปลงปลูกอย่าให้สูงมากเกินไป 2. ในช่วงการเตรียมดินควรฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาลงในดินเพื่อควบคุมโรค 3. เก็บใบที่เป็นโรคออกไปท้าลายในระยะแรกจะมีการระบาดไม่มาก 4. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุกๆ 7 วันเพื่อป้องกันโรค


Click to View FlipBook Version