101 โรคเหี่ยวจากเชื้อรา สาเหตุ เชื้อราฟิวซาเลื่ยม ออกซี่สปอร์ลัม (Fusarium oxysporum) ลักษณะอาการ เชื้อสาเหตุเข้าสู่ต้นพืชทางราก ในระยะต้นอ่อนใบเลี้ยงจะเหี่ยว เปลี่ยนเป็นสี เหลือง ร่วง พืชแสดงอาการเหี่ยวเฉาจากส่วนยอดลงมา ส่วนของเถาของต้นที่โตแล้ว จะแสดงอาการใบล่างเหลืองโดยอาการเริ่มต้นแสดงหลายอย่างเช่น ต้นแตก เกิด อาการเน่าที่โคนและซอกใบ ถ้าเกิดอาการเน่า และพบเชื้อราสีขาวบริเวณรอยแตก หลังจากนั้นพืชจะแสดงอาการเหี่ยวและตาย การป้องกันก้าจัด 1. ปรับสภาพความเป็นกรด – ด่าง ของดิน ปลูกให้เหมาะสมคืออยู่ที่ pH 6.5 2. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดม สมบูรณ์ของดิน 3. ถอนต้นที่เป็นโรค(เผา)ทิ้งและป้องกันโรค โดยการใช้ไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน หรือราดดินก่อนปลูก
102 แมลงศัตรูพืช ตระกูลแตงที่ ส้าคัญ
103 เพลี้ยไฟ ลักษณะการท้าลาย เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่เข้าท้าลายพืชตระกูลแตงหลายชนิด เช่น แตงโม เมล่อน โดย การดูดน้้าเลี้ยง และใช้ปากเขี่ยเซลให้เป็นแผลเพื่อดูดน้้าเลี้ยง การท้าลายของเพลี้ยไฟ ต่อส่วนการเจริญเติบโต จะท้าให้ยอดอ่อนแคระแกร็น เติบโตช้า พืชอ่อนแอ และท้า ให้ใบ ล้าต้น แห้งตายได้ เพลี้ยไฟจะมีการแพร่กระจายโดยลม ท้าให้การระบาด เป็นไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุกๆ 5-7 วัน 2. เพิ่มการให้น้้าเมล่อน ในช่วงอากาศร้อน ในตอนกลางวันจะช่วยลดการระบาดได้ 3. ใช้กับดักกาวเหนียว เพื่อดักจับเพลี้ยไฟ ลดการระบาด
104 แมลงวันทอง แมลงวันทองจะท้าลายโดยการเจาะและวางไข่ที่ผล ตัวอ่อนถ้ามีการระบาด รุนแรงจะท้าให้ผลร่วงเน่า หรือแก่ก่อนเวลา ท้าให้ได้ผลมีคุณภาพต่้า การป้องกันก้าจัด 1.ใช้กับดักแมลงวันทอง โดยใช้สารเมทิลยูจีนนอล 2. ฉีดพ่นสารสกัด ข่า สะเดา ยาสูบ เพื่อขับไล่แมลงวันทอง
105 เต่าแตง โดยปกติทั่วไปเต่าแตงจะมีสีของ ล้าตัว 2 สี คือ ชนิดสีด้า และเต่า แตงชนิดสีแดง เต่าแตงเป็นแมลงปีก แข็งขนาดล้าตัวยาวประมาณ 0.8 เซนติเมตร มีทั้งสีแดง สีน้้าตาล เกื อ บ ด้ า แ ต่ สี แ ด งจ ะ พ บ เห็ น มากกว่า อย่างไรก็ตามในต่างประเทศลักษณะของเต่าแตงจะมีสี และ ลักษณะต่างกัน ออกไปเช่นตัวอ่อนอาศัยอยู่ในดิน การเข้าท้าลายจะเข้าแทะกัดกินใบและยอดอ่อน นอกจากนี้เต่าแตงยังสามารถเป็นพาหะของเชื้อไวรัสได้อีกด้วย การป้องกันก้าจัด 1. ใช้กับดักแมลงหรือกาวดักแมลงหรือจับท้าลาย 2. ไส้เดือนฝอยก้าจัดแมลงฉีดพ่นเพื่อท้าลายตัวอ่อนในดิน 3. ฉีดพ่นสารสกัด ตะไคร้หอม ยาสูบ บอระเพ็ด สะเดา ช่วยขับไล่ด้วงเต่าแตง
106 แมลงหวี่ขาว ลักษณะการท้าลาย แมลงหวี่ขาวเข้าท้าลายพืช ตระกูลแตงค่อนข้างกว้างขวาง โดยทั่วไปแมลงหวี่ขาวจะอยู่ บริเวณใต้ใบอ่อน แมลงชนิดนี้ จะเป็นพาหะของโรค ไวรัส ใน พืชตระกูลแตงหลายชนิด การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย ทุกๆ 5-7 วัน ใช้ป้องกันก้าจัดแมลงหวี่ขาว 2. ฉีดพ่นสารสกัดยาสูบ ว่านน้้า หรือหางไหล ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วันสลับกัน 3. เก็บใบที่มีตัวอ่อนแมลงหวี่ขาวไปท้าลาย
107 การเก็บเกี่ยวแตงกวา การเก็บเกี่ยวแตงมักเริ่มเก็บเกี่ยวหลังจากหยอดเมล็ดได้ประมาณ 40 วัน และจะ เก็บไปเรื่อยๆ ได้อีกประมาณ 1 เดือน การเก็บควรค้านึงถึงขนาดของผลและ จุดประสงค์ของการใช้ ส้าหรับใช้ในการดองนั้นมักเก็บเมื่อผลมีอายุได้ 3-4 วัน หลังจากผสมเกสร ในการบริโภคสดมักเก็บเมื่ออายุ 6-7 วัน หลังจากผสมเกสร ระยะ ผสมเกสรเป็นระยะที่ดอกแตงบาน หากทิ้งผลที่มีอายุมากไว้กับต้น ต้นจะโทรม ผลจะ มีสีเขียวปนขาว แตงแก่จะมีสีเหลือง หลังจากเก็บเกี่ยวมาได้ 2-3 วัน คุณภาพจะ เสื่อมลง แตงกวาพันธุ์พื้นเมืองของไทยจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 7-10 เซนติเมตร พันธุ์ต่างประเทศจะมีขนาดของผลประมาณ 20-25 เซนติเมตร และผลอ่อนจะมีสี เขียวเข้มมาก
108 การปลูก ผักกาดหอมอินทรีย์
109 การเตรียมดิน ไถพรวนดินตากไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อท้าลายวัชพืช และศัตรูพืชบางชนิดที่ อยู่ในดิน จากนั้นจึงไถพรวนเก็บเอาเศษวัชพืชออก แล้วเตรียมแปลงขนาดกว้าง 1- 1.2 เมตร โดยมีความยาวตามลักษณะของพื้นที่ แล้วจึงใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไป เพื่อปรับ โครงสร้างของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโต สภาพดินควรร่วนซุย มีความอุดม สมบูรณ์ และมีอินทรียวัตถุสูง ควรมีหน้าดินลึก และอุ้มน้้าได้ดีปานกลาง พื้นที่ปลูก ควรโล่ง และได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ เนื่องจากผักกาดหอมมีลักษณะบาง ไม่ทนต่อ ฝน ดังนั้นในช่วงฤดูฝนควรมีแสลนด้วย วิธีปลูก 1. การปลูกผักกาดหอม โดยใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 50 กรัม ซึ่งจะได้กล้าส้าหรับปลูก ในแปลง 1 ไร่ เมื่อท้าการหว่านเมล็ดพันธุ์แล้วให้ใช้ดินผสมมูลสัตว์หว่านโรยทับหน้า แปลงอีกครั้ง คลุมด้วยฟาง หรือจะใช้วิธีโรยเป็นแถว ให้แต่ละแถวห่างกัน ประมาณ 10 เซนติเมตรคลุมด้วยฟาง และรดน้้าให้ชุ่ม
110 2. เมื่อมีอายุประมาณ 15-20 วัน หลังเมล็ดงอก หรือมีใบแท้ 3-5 ใบ เลือกต้นกล้าที่ สมบูรณ์ไว้โดยมีระยะระหว่างต้น และแถวที่ 30-40 ซม. 3. รดน้้าเป็นประจ้าทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นไม่รดจนแฉะเกินไปและใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักทุก 10-15 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และปริมาณปุ๋ย คอกที่ใช้ 4. ควรก้าจัดวัชพืชเป็นประจ้า เพื่อป้องกันการเกิดโรคและแมลง 5. ในพื้นที่ปลูก 100 ตารางวา หว่านเมล็ดประมาณ 0.2 กิโลกรัม จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ประมาณ 150 กิโลกรัม โดยในฤดูหนาวจะเหมาะสมการปลูกผักกาดหอมมากที่ และ มีรอบระยะเวลาในการหว่านเมล็ดทุกๆ 10-15 วัน/ครั้ง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ต่อเนื่อง ทุกวัน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ผักกาดหอมเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดิน เหนียว ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย แต่สามารถปลูกผักกาดหอม ได้ผลดีที่สุดในดิน ร่วน ซึ่งมีการระบายน้้า และระบายอากาศดี มีความชื้นในดินพอสมควร พื้นที่ปลูก ผักกาดหอมควรให้ได้รับแสงเต็มที่ตลอดวัน เพราะผักกาดหอมต้องการแสงเต็มที่ ตลอดวัน ผักกาดหอมเป็นพืชฤดูเดียวเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น ระดับ อุณหภูมิที่เหมาะสมนั้นถ้าเป็นผักกาดหอมใบจะอยู่ระหว่าง 21-26 องศาเซลเซียส และผักกาดหอมสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี
111 การดูแลรักษา การรดน้้า เนื่องจากผักกาดหอมเป็นผักรากตื้นจึงไม่สามารถดูดน้้าในระดับลึกได้ จึงควรให้ น้้าอย่างสม่้าเสมอและเพียงพอ โดยในระยะ 2 สัปดาห์ แรกหลังจากย้ายปลูกควรให้ น้้าทุกวันในตอนเช้าและเย็น โดยใช้บัวฝอยละเอียดรดรอบๆ โคนต้น ไม่รดจนแฉะ เกินไป และให้น้้าแบบวันเว้นวันในสัปดาห์ต่อๆ มา ส้าหรับผักกาดหอมใบนั้นควรจะมี การให้น้้าอย่างสม่้าเสมอและเพียงพอ เนื่องจากอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ส่วน ผักกาดหอมห่อหัวนั้นควรดูจากสภาพความชื้นในดินเป็นส้าคัญ แต่ในระยะที่ก้าลังห่อ หัวอยู่นั้นไม่ควรให้น้้าไปถูกหัวเพราะอาจท้าให้เกิดโรคเน่าเละได้ การใส่ปุ๋ย ช่วงเตรียมดินควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้นประมาณ 1-2 ตันต่อไร่ เมื่อ ผักกาดหอมอายุได้ 7 วัน ควรใส่ปุ๋ยน้้าหมัก โดยละลายน้้ารดในอัตรา 100ซีซีต่อน้้า 1 ปี๊บ รดวันเว้นวัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะแรก เมื่อผักการหอมอายุได้ 15-20 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 300-500 กิโลกรัมต่อไร่ และใส่ทุกๆ 7-10 ครั้ง ตลอดจนเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินแต่ละแห่งด้วย
112 โรคของพืช ตระกูล ผักกาดหอม
113 โรคเน่าเละ สาเหตุเกิด จากเชื้อแบคทีเรียเออร์วิเนีย (Erwinia sp.) ลักษณะอาการ อาการทั่วไปที่เกิดกับผักกาดหอมห่อเริ่มจากแผลรอยช้้าเล็ก ๆ เป็นจุดฉ่้าน้้า เมื่อ สิ่งแวดล้อมเหมาะสมแผลจะขยายตัวทุกทิศทาง ทั้งด้านยาว กว้างและลึก เนื้อเยื่อ ของพืชส่วนนั้นจะอ่อนยุบตัวลงและเน่าอย่าง รวดเร็ว มีเมือกเยิ้ม มีกลิ่นแรงมาก กลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นเฉพาะของโรคนี้ หลังจากนั้นผักจะเน่ายุบตายไปทั้งต้น ซึ่งอาจแห้ง เป็นสีน้้าตาลอยู่บนผิวดิน อาการเน่ามักจะเริ่มที่โคนก้านใบ หรือตรงกลางล้าต้นก่อน การป้องกันก้าจัด 1. ในการเก็บเกี่ยวควรใช้มีดที่คมตัดให้ขาดเพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลช้้า เพื่อป้องกันการเกิดแผลซึ่งจะเป็นทางเข้าท้าลายของเชื้อ 2. หลังจากเก็บเกี่ยวควรผึ่งผักไว้ในที่โปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อให้แผลตรงรอยตัด แห้ง และทาปูนแดงที่แผลด้วย 3. การบรรจุภาชนะต้องระวังอย่าให้เกิดการเบียด ซึ่งจะท้าให้เกิดแผลช้้าหรือฉีกขาด ควรล้างหรือท้าความสะอาดภาชนะเสียก่อน 4. ฉีดพ่นเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ บาซิลลัส หรือบีเอส (Bacillus subtilis)
114 โรคขอบใบทอง สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซานโทโมแนสแคมเพสทริส (Xanthomonas campestris) พบระบาดทั่วไปในฤดูฝนหรือฤดูที่มีความชื้นสูง ลักษณะอาการ เชื้อสาเหตุสามารถเข้าท้าลายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต โดยจะพบว่าที่ขอบใบ หรือใบเลี้ยงมีอาการไหม้แห้ง เส้นใบเน่าเป็นสีด้า ใบที่แสดงอาการจะบางกว่าปกติ โดยอาการจะเริ่มเหลืองและแห้งตายบริเวณขอบใบขึ้นก่อน แล้วค่อย ๆ ลามลึกเข้า มาในเนื้อใบตามแนวเส้นใบที่อยู่ระดับเดียวกันจนจรดแกนกลางของใบ การป้องกันก้าจัด 1. ปลูกพืชหมุนเวียน โดยหลีกเลี่ยงพืชตระกูลกระหล่้า 2. เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่สะอาดปราศจากโรค 3. ในช่วงการเตรียมดินปลูกควรฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาลงในดิน หรือคลุกเมล็ด ก่อนปลูก 4. หากพบการระบาดให้ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุกๆ 5-7 วัน 5. ฉีดพ่นเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ บาซิลลัส หรือบีเอส (Bacillus subtilis)
115 โรคใบจุด สาเหตุ เกิดจากเชื้อราเคอร์โคสโปร่า ลองกิสสิมา (Cercospora longissima) ลักษณะอาการ อาการมักพบที่ใบแก่และใบล่างของต้น โดยอาการเริ่มแรกจะเกิดเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้้าตาล โดยเริ่มจากขอบใบแล้วต่อมาจุดแผลจะขยายสู่ส่วนกลางของใบ ขอบแผลมี สีน้้าตาลเข้ม ส่วนกลางของแผลจะแห้งและเป็นจุดสีฟางข้าว ท้าให้ดูคล้ายตากบ เมื่อ แผลลุกลามมารวมกันมาก ๆ จะท้าให้เกิดอาการใบไหม้ ทั้งใบ การป้องกันก้าจัด 1. โดยการก้าจัดวัชพืชในแปลงปลูกอยู่เสมอ และเก็บใบหรือส่วนที่เป็นโรคไปเผา ท้าลาย 2. ฉีดพ่นหรือรดเชื้อราไตรโคเดอร์มาก่อนปลูกหรือเมื่อพบการระบาด ของเชื้อราก่อโรค
116 แมลงศัตรูพืช ตระกูล ผักกาดหอม ที่ส้าคัญ
117 เพลี้ยอ่อน ลักษณะการท้าลาย จะเกาะติดเป็นกลุ่มสีด้าตามต้น, ใบ โดยดูดกินน้้าเลี้ยง ท้าให้ชะงักการ เจริญเติบโต มีมดเป็นตัวน้าพามา จึงควรหาทางก้าจัดมดไม่ให้เข้าไปในแปลงปลูก การปลูกบนร่องที่มีน้้าล้อมรอบ ไม่ควรให้ไม้ทอดสะพานติดกับร่อง เพราะมดจะใช้ เป็นทางเดินน้าเพลี้ยอ่อนเข้ามาภายในแปลง การป้องกันและก้าจัด 1. หมั่นส้ารวจว่ามีการระบาดของเพลี้ยอ่อนหรือไม่ หากพบ ให้เก็บท้าลาย และฉีด พ่น เชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือสารสกัดยาสูบ ผสมกับน้้ายาล้างจานหรือสารจับใบ เล็กน้อย ทุกๆ 3-7 วัน ควรฉีดพ่นในช่วงเย็น 2. อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยอ่อน คือด้วงเต่า จะช่วยควบคุมปริมาณของเพลี้ย อ่อนไม่ให้เกิดการระบาดมากเกิน
118 หนอนกระทู้ผัก ลักษณะการท้าลาย จะเช้ากัดกินใบและล้าต้น ตลอดช่วงระยะเวลาชองการ เจริญ เติบ โตของผักกาดห อม ลักษณ ะหนอนจะมีล้าตัวอ้วน ผิวหนังเรียบ ลายสีด้าจะสังเกตเห็น แถบด้าที่คอชัดเจน ตัวโตเต็มที่ ประมาณ 3-4 ซม. และเคลื่อนไหว ช้า การป้องกันและก้าจัด 1. หนอนกระทู้ผักสามารถป้องกันจ้ากัดได้ไม่ยาก เมื่อพบกลุ่มไข่หรือหนอนที่ฟักออก จากไข่ควรเก็บท้าลาย หากปล่อยให้หนอนโตจนหนอนจะแยกย้ายหลบซ่อนตัว กัด กินเจาะเป็นรูลึกในใบ ดอก และฝัก 2.ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรีย บีที ทุก 5-7 วัน สลับกับฉีดพ่น สารสกัด สะเดา ยาสูบ หนอน ตายอยาก โดยฉีดพ่นในช่วงเย็น 3. ควบคุมปริมาณของตัวแม่ผีเสื้อ โดยฉีดพ่น สารสกัดขมิ้นชัน บอระเพ็ด สาบเสือ ในช่วงเย็นเพื่อขับไล่ ป้องกันการวางไข่ 4. ใช้ไส้เดือนฝอยก้าจัดแมลง อัตรา 1 ภาชนะบรรจุ/น้้า 10 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน ครั้ง
119 การเก็บเกี่ยวผักกาดหอม ผักกาดหอมจะเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกได้ประมาณ 40-45วัน ควรตัดทันที เพราะถ้าผักกาดหอมแก่จะท้าให้มีความเหนียวกระด้าง และมีรสชาติขม ไม่น่า รับประทาน และราคายังตกอีกด้วย วิธีตัดผักกาดหอมก็ง่ายๆ โดยใช้มีดตัดตรงโคน แล้วน้าไปชุบน้้าเพื่อล้างน้้ายางออก มัดรวมเป็นมัดๆและจัดจ้าน่ายต่อไป
120 การปลูก พริกอินทรีย์
121 การเตรียมดินแปลงปลูก พริกสามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุก ชนิด แต่ควรเป็นดินร่วนที่มีความอุดม สมบูรณ์ มีการระบายน้้าดี ควรไถดิน ตากไว้ 7-10 วัน ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ย หมัก อัตรา 500 กก./ไร่ และควรใส่ปูน ขาวหรือปูนมาร์ล เพื่อลดความเป็นกรด ของดิน pH ที่เหมาะสม 6.0-6.8 การเพาะกล้า ควรเพาะเมล็ดเป็นต้นกล้าในกระบะ เพาะก่อน โดยห่อเมล็ดในถุงผ้า และแช่น้้า ไว้ 1 คืนหรือแช่เชื้อราไตรโครเดอร์มา จากนั้นน้าไปล้างผ่านน้้าไหลอย่างน้อย 30 นาที เก็บถุงผ้าไว้ในที่ร่มและชื้นอีก 2-3 วัน เมื่อเมล็ดงอกตุ่มรากสีขาวเล็กๆแล้ว จึงน้าไปเพาะใช้เมล็ด 50 กรัม/ไร่ เพาะ กล้าในถาดเพาะขนาด 104 หลุม โดย ผสมดินปลูก ขุยมะพร้าวหรือแกลบเผา และปุ๋ยหมัก อัตรา 1:1:1 จากนั้นอีก 30 วัน สามารถน้าต้นกล้าจากถาดเพาะลง ปลูกในแปลงได้ต่อไป
122 การปลูก ควรปลูกให้มีระยะห่าง ระหว่างต้น 50-60 ซม. ระหว่างแถว 100 ซม.ปลูกเป็น แถวในเขตชลประทาน ควรยกแปลงให้ให้มีขนาดกว้าง1 เมตรยาวประมาณ 20 เมตร มีร่องทางเดินกว้าง1 เมตรร่องน้้ากว้าง50 ซม.
123 การดูแลรักษาพริก การให้น้้า พริกเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้้ามากเกินไปควรให้น้้าอย่างสม่้าเสมอ เฉพาะในช่วง แรกของการเจริญเติบโต การให้น้้าทุกครั้งอย่าให้จนเปียกแฉะเกินไป และไม่ควร ปล่อยให้ดินแห้งมากจะท้าให้ชะงักการเจริญเติบโต ควรเตรียมการระบายน้้าไว้ ส้าหรับในฤดูฝนด้วย การก้าจัดวัชพืช หลังจากปลูกพริกแล้ว เมื่อพริกมีอายุประมาณ 20 วัน ควรถอนวัชพืชที่งอก ขึ้นมาและถ้าพบว่าดินจับตัวกันแน่นก็ให้พรวนดิน เพราะถ้าดินแน่นจะท้าให้พริก แคระแกร็นได้ การใส่ปุ๋ย 1. ใช้ปุ๋ยฮอร์โมนน้้าหมัก (น้้าหมักปลา) อัตรา1 ลิตร/น้้า 50 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน จนพริกเริ่มแตกตายอด 2. หลักปลูก 15 วัน ใส่ปุ๋ยมูลไก่ อัตรา 200 กิโลกรัม/ไร่ หว่านหรือโรยให้ทั่วแปลง 3. เมื่อพริกเริ่มออกดอก ใส่ปุ๋ยมูลไก่ อัตรา 200 กก./ไร่ หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยมูลไก่ อัตรา 300 กก./ไร่ เดือนละ 1 ครั้ง
124 โรคที่ส้าคัญ ของพริก
125 โรคแอนแทรกโนส (กุ้งแห้ง) สาเหตุ เชื้อรา คอเลกโตรไทครัม แคปซิไซ (Colletotrichum capsici) ลักษณะอาการ อาการเริ่มแรกจะปรากฏเป็น วงกลมช้้าสีน้้าตาล เนื้อเยื่อบุ๋มลึกลง ไป จุดช้้าสีน้้าตาลนี้จะค่อยๆ ขยายวง กว้างออกไปเป็นแผลวงกลม หรือวงรีรูปไข่ ซึ่งจะท้าให้ผลพริกเน่าหมดทั้งผลและร่วง ก่อนที่ผลจะแดงเต็มที่ และเมื่อน้าไปตากแห้งก็มักจะเกิดการเน่ามากขึ้นอีก เมล็ด พริกจากผลที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรน้าไปเก็บไว้ท้าพันธุ์ต่อไป การป้องกันก้าจัด 1. แช่เมล็ดพันธุ์ในน้้าอุ่น อุณ หภูมิ ประมาณ 50-55 องศาเซลเชียล 15-20 นาทีก่อนปลูกจะช่วยท้าลายเชื้อที่อาจติด มากับเมล็ดพันธุ์ได้ 2. การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ฉีดพ่น ในช่วงเตรียมดิน เพื่อท้าลายเชื้อราที่พัก ตัวอยู่ และควรเก็บผลพริกที่เป็นโรคออก จากแปลงไปท้าลาย 3. ใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลรัส ซับทิริส ฉีด พ่นทุกๆ 5-7 วัน
126 โรคกล้าเน่าตาย สาเหตุเกิดจากเชื้อราพิเที่ยม อะฟานิเดอร์มาตัม(Pythium aphanidermatum) ลักษณะอาการ อาการทั่วไปที่พบเห็นคือ ต้นกล้าพริกจะเหี่ยวแห้งตาย เนื่องจากเชื้อราจะเข้า ท้าลายบริเวณโคนต้นและราก การป้องกันก้าจัด 1. แช่เมล็ดพันธุ์ด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มาก่อนน้าไปเพาะกล้า 2. ในวัสดุเพาะหรือดินเพาะให้คลุกหรือพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาลงไปก่อนท้าการ เพาะกล้า 3. หลังกล้างอก 3วัน ให้ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาหรือแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส
127 โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ลาสโตรเนีย โซลานาซีเอลัม (Ralstonia solanacearum) ลักษณะอาการ ต้นพริกที่เป็นโรคจะแสดงอาการเหี่ยวทั้งต้นในวันที่มีอากาศร้อน และอาจจะพื้น คืนดีใหม่ในเวลากลางคืน ต้นพริกจะมีอาการเช่นนี้อยู่ 2-3 วัน แล้วก็จะเหี่ยวตายไป ในที่สุด การเหี่ยวของต้นพริกที่เป็นโรคนี้จะไม่แสดงอาการใบเหลืองของใบที่อยู่ ตอนล่างๆ มาก่อนเลย การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นพริกที่แสดงอาการเหี่ยว ก็ให้ถอนไปเผาท้าลายทิ้ง ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ ระบาดของโรค 2. ฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส ทุก 5-7 วัน 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อท้าลายเชื้อสาเหตุโรค หรือท้าการปลูกพืช หมุนเวียน โดยหลีกเลี่ยงการปลูกพืชในกลุ่มพริก มะเขือ ติดต่อกันเป็นเวลานาน
128 โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ฟิวซาเรียม ออกซี่ สปอร์ลัม (Fusarium oxysporum) ลักษณะอาการ อาการของโรคนี้จะแตกต่างจากอาการ เหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เริ่มแรกใบ พริกที่อยู่ต้านล่างจะมีสีเหลือง ต่อมาใบที่ อยู่ถัดชื้นมาจะค่อย ๆ เหลือง เพิ่มมากชื้น ต้นพริก มักจะแสดงอาการของโรคนี้ ใน ระยะที่พริกก้าลังให้ผลผลิต การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการ ให้ถอนท้าลาย โดยการเผาไฟ ราดด้วยเชื้อไตรโคเดอร์มา ในบริเวณที่เกิดอาการโรคเหี่ยว 2. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพื่อ ท้าลายเชื้อสาเหตุโรค และพ่นเชื้อราไตรโค เดอร์มาลงไปในดินก่อนท้าการปลูก หรือ ท้าการปลูกพืชหมุนเวียน โดยหลีกเลี่ยงการ ปลูกพืชในกลุ่มพริก มะเขือ ติดต่อกันเป็น เวลานาน
129 โรคใบด่างของพริก สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส ไวรัสโทเมโท โมเสกไวรัส (Tomato mosaic virus ) ลักษณะอาการ ใบพริกแสดงอาการต่าง บางครั้งพบจุด แผลสีน้้าตาลเฉพาะแห่งบนใบ ใบเสียรูป บิด เบี้ยว ใบเรียวเล็กคล้ายเน้นด้าย เนื่องจาก เนื้อใบไม่เจริญเป็นปกติใบร่วงหลุดได้ ง่าย ดอกร่วง ผลมีขนาดเล็ก ปริมาณผลผลิตพริก ลดลง ผลอาจมีอาการด่างและผิวขรุขระบิด เบี้ยว ต้น เตี้ยแคระแกร็น การแพร่ระบาด ไวรัส CMV ถ่ายทอดได้โดยวิธีกล มีเพลี้ย อ่อนเป็นพาหะน้าโรค การป้องกันก้าจัด 1. ก้าจัดต้นพริกที่เป็นโรคในแปลงปลูกทันทีที่พบอาการของโรค ด้วยการถอนไป ท้าลายทันที 2. ควบคุมพาหะของโรคด้วยการใช้เชื้อราบิวเวอร์เรียฉีดพ่นสลับกับสารสกัดยาสูบ เพื่อก้าจัด เพลี้ยอ่อน
130 โรคใบหงิกเหลืองของพริก สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส เปปเปอร์ เยลโล่ ลีฟ เคอ ไวรัส(Pepper yellow leaf curl virus) ลักษณะอาการ ใบพริกด่างเหลืองเป็นขีดหรือหย่อมโปร่งแสง ระหว่างเส้นใบ บางครั้งมี เส้น ใบเหลืองเป็นร่างแหบริเวณโคนใบ ใบโค้งงอ หงิกย่นบิดเบี้ยว ยอดเป็นกระจุก และ ต้นแคระแกร็น การแพร่ระบาด ไวรัสแพร่ระบาดโดยแมลงหวี่ขาว เป็นพาหะน้าโรค การป้องกันก้าจัด 1. ควบคุมจ้านวนประชากรแมลงหวี่ขาว ซึ่งเป็นพาหะน้าโรค โดยฉีดพ่นเชื้อราบิว เวอร์เรียทุกๆ 5-7 วัน หากมีการระบาดอาจจ้าเป็นต้องฉีดพ่นทุกๆ 3 วัน 2. ขุดต้นพริกที่เป็นโรคไปเผาท้าลาย 3. ไม่ปลูกพืชหมุนเวียนที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อไวรัส พืชตระกูลมะเขือ เช่นมะเขือเทศ มะเขือเปราะ
131 การขาดธาตุแคลเซียมของพริกหรือโรคกุ้งแห้งเทียม สาเหตุขาดธาตุแคลเซียม ลักษณะอาการ พริกที่ขาดธาตุแคลเซียม จะพบอาการผิดปกติเกิดขึ้นที่ผล พบทั้งผลอ่อนและผล แก่ ใกล้เก็บเกี่ยว เริ่มแรกผลพริกจะมีอาการผิดปกติเหมือนถูกแดดเผา หรือเหมือน ถูกน้้าร้อนลวกเป็นรอยไหม้หรือมีลักษณะด่างเป็นทางยาวสีน้้าตาล โดยเฉพาะด้านที่ ลูกแสงแดดมาก การป้องกันก้าจัด 1. เมื่อพบว่าผลพริกแสดงอาการขาดแคลเซียม ให้รีบด้าเนินการเก็บเกี่ยวผลพริกที่ แสดง อาการผิดปกติดังกล่าวออกจากแปลงปลูกทั้งหมด ทั้งผลขนาดเล็กและขนาด ใหญ่ หากเก็บไว้จะสิ้นเปลืองอาหารจากต้นพริก 2. ในการปลูกพริกในช่วงฤดูแล้ง ควรรดน้้าพริกที่ปลูกอย่างสม้่าเสมอไม่มาก หรือ น้อย เกินไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนแสงแดดจัด อุณหภูมิสูง ควรรดน้้าพริกทุกวัน โดยเฉพาะช่วงตอนเช้า น้้าจะช่วยละลายแร่ธาตุให้รากพืชดูดธาตุแคลเซียมไปใช้ ประโยชน์ได้มากขึ้น 3. ใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในช่วงการเตรียมดินอย่างน้อย 50-100 กก.กรัมต่อไร่ หรือ ใช้รองก้นหลุมปลูกพริก
132 แมลงศัตรูที่ส้าคัญ ของพริก
133 เพลี้ยไฟพริก ลักษณะและการท้าลาย เพลี้ยไฟเป็นแมลงประเภทที่มีปากแหลม ยาวใช้ดูดน้้าเลี้ยงจากส่วนของพืช ชอบท้าลาย ส่วนอ่อน ๆ เช่น ยอด ตาดอก ใบอ่อน และใบ โดยทั่วไป เพลี้ยไฟจะระบาดมากในฤดูแล้ง หรือในช่วงฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานเมื่อพริกถูก เพลี้ยไฟดูดกินน้้าเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน หรือใบ อ่อนจะท้าให้ ใบอ่อน หรือยอดอ่อนนั้นหงิก ขอบใบจะหงิกและม้วนห่อขึ้นด้านบนทั้งสอง ข้าง การป้องกันก้าจัด 1. ควรหมั่นตรวจดูเพลี้ยไฟ ในขั้นต้นควรเพิ่มความชื้นโดยการให้น้้าในช่วงเวลา กลางวัน จะช่วยลดการระบาดได้ 2. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย สลับกับสารสกัดยาสูบ ทุกๆ 5-7 วัน 3. ใช้กับดักกาวเหนียวทาถุงพลาสติกติดบนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีเหลือง จะช่วยลด ปริมาณเพลี้ยไฟ
134 ไรขาว ลักษณะและการท้าลาย ไรขาวไม่ใช่แมลง แต่เป็นสัตว์ จ้าพวกเดียวกับแมงมุมขนาดเล็ก มาก จนมองด้วยตาเปล่าเกือบไม่ เห็น ไรขาวจะดูดกินน้้าเลี้ยงของ พริก เช่นเดียวกับแมลงประเภทปาก ดูด อื่นๆโดยเฉพาะตามตาดอกใบอ่อนหรือยอดที่แตกใหม่ ไรขาวระบาดทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนในช่วงที่มีความชื้นสูงไรขาวจะดูดกินน้้าเลี้ยงในส่วนอ่อน ๆ ของพริก ใบอ่อนที่ยอดจะหงิกเล็กเรียว แหลม ก้านใบยาวเปราะหักง่ายใบพริกจะ ม้วนงอลง ด้านล่าง การป้องกันก้าจัด 1. ตัดส่วนของพืชที่ถูกท้าลายน้าไปท้าลาย 2. พ่นสารป้องกันก้าจัดไร เช่น ก้ามะถันผง ไม่ควรพ่นขณะที่มีแดดจัดจะท้าให้ใบไหม้
135 เพลี้ยอ่อน ลักษณะและการท้าลาย เป็นแมลงจ้าพวกปากดูด ดูด กินน้้าเลี้ยง พริกที่ถูกเพลี้ยอ่อน ท้าลายจะเห็นใบเป็นคลื่น ผิวใบ เป็นมันคล้ายถูก ชะโลมด้วย น้้า มัน ใบส่วนยอดจะเรียวเล็กหงิก ใบแก่จะมีขนาดพื้นที่ใบเกือบเท่า ใบปกติ แต่เนื้อใบเป็นคลื่น และ ม้วนงอเห็นได้ชัดเจน เพลี้ยอ่อนนอกจากจะดูด กินน้้าเลี้ยงจากส่วนอ่อน ๆ ของพริกแล้ว เพลี้ยอ่อนยังเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสมายัง ต้นพริกได้อีกด้วย การป้องกันก้าจัด 1. เนื่องจากเพลี้ยอ่อนมีแมลงศัตรูธรรมชาติหลายชนิด จึงควรอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ ต่างๆ เช่น ด้วงเต่าลายหยัก หรือ ด้วงเต่าสีส้ม หรอด้วงเต่าลายขวาง 2. ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย สลับกับ สารสกัดจากยาสูบ ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน โดยผสม น้้ายาล้างจานเล็กน้อย และฉีดพ่นในช่วงเย็นหรือแสงแดดไม่จัด
136 เพลี้ยแป้ง ลักษณะการท้าลาย เพลี้ยแป้งจะดูดกินน้้าเลี้ยงจากบริเวณกิ่ง ใบ ช่อดอก ผลอ่อน ผลแก่ มีมดเป็น พาหะช่วยพาไปตามส่วนต่าง ๆ ของพืช ส่วนของพืชที่ถูกท้าลายจะแคระแกรนและ เกิดราสีด้าท้าให้ผลผลิตเสียหาย การป้องกันและก้าจัด 1. หมั่นส้ารวจแปลงปลูก หากพบการระบาดของเพลี้ยแป้งให้เก็บท้าลายทิ้งแล้วฉีด พ่นด้วย เชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือ สารสกัดยาสูบทุกๆ 3-5 วัน โดยผสมน้้ายาล้างจาน เล็กน้อย 2. ควบคุมปริมาณมด เพราะมดเป็นพาหะของเพลี้ยแป้ง 3. เพลี้ยแป้ง มีศัตรูตามธรรมชาติอยู่มาก เช่น ด้วงเต่า แมลงช้างปีกใส แมลงเหล่านี้ จะช่วยควบคุมปริมาณของเพลี้ยแป้งได้
137 แมลงหวี่ขาว ลักษณะและการท้าลาย แมลงหวี่ขาวมีการระบาดตลอดทั้งปี และมักท้าความเสียหายให้กับพริกที่ปลูกใน ฤดูแล้งและต้นฤดูฝน ซึ่งมีอากาศร้อนแห้งแล้ง อุณหภูมิและความชื้นสูง ถ้าการ ระบาดของแมลงหวี่ขาวเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการระบาดของเพลี้ยอ่อนจะเพิ่ม ความรุนแรงของการท้าลายพืชได้มาก ท้าความเสียหายโดยทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ดูดกินน้้าเลี้ยงจากใบพริกท้าให้ใบเหลืองซีด ถ้าระบาดมากในระยะแรกของการ เจริญเติบโต จะท้าให้ต้นแคระแกร็น ผลผลิตลดลง และแมลงหวี่ขาวยังเป็นพาหะของ โรคไวรัสอีกด้วย การป้องกันก้าจัด 1. หมั่นตรวจแปลงเมื่อพบแมลงหวี่ขาวให้ ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย สลับกับสารสกัด จากยาสูบ ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน โดยผสมน้้ายาล้างจานหรือสารจับใบเล็กน้อยจะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพ 2. ใช้กับดักกาวเหนียวทาถุงพลาสติกติดบนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีเหลือง จะช่วยลด ปริมาณแมลงหวี่ขาว
138 การเก็บเกี่ยวพริก พริกจะออกดอกหลังจากย้ายปลูกแล้วประมาณ 60-70 วัน หลังจากนั้นจะเริ่ม เก็บเกี่ยวผลสุกได้เมื่อพริกมีอายุประมาณ 90 - 100 วัน ซึ่งจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ทุกๆ 5-7 วัน หรือเดือนละ 4-6 รุ่น ถ้ามีการบ้ารุงรักษาดีและให้น้้าอย่างเพียงพอ พริกอาจจะมีอายุการเก็บเกี่ยวได้ถึง 1 ปี
139 การปลูก เมล่อนอินทรีย์
140 เมล่อน การเตรียมดินและแปลงปลูก • ดินที่ปลูกควรเป็นดินที่มีค่าความ เป็นกรด ด่าง (pH) ควรอยู่ระหว่าง 6.5-7 เนื่องจากแตงเมล่อนมีระบบ รากแก้วอาจเจริญในแนวดิ่งลึก 80-120 cm.รากแขนงจะเจริญใน แนวนอนอยู่อย่างหนาแน่น ใน ระดับ 30 cm.จากผิวดิน • ไม่ร้อนจนเกินไป อุณหภูมิจะอยู่ ที่ ป ระ ม าณ 2 5 – 3 5 อ งศ า เซลเซียส ต้องการแสงแดดที่เพียงพอให้อบอุ่น และความชื้นสัมพัทธ์ต่้า • การเตรียมดินควรไถดะหน้าเพื่อตากแดดฆ่าเชื้อโรคประมาณ 14 วัน(โดยปิด โรงเรือนให้มิดชิดพยายามไม่ให้มีอากาศภายในและภายนอกมีการถ่ายเทอากาศ เพื่อ เพิ่มอุณหภูมิในโรงเรือนให้สูงมากยิ่งขึ้น) •หลังจากนั้นให้พรวนดิน พร้อมกับยกแปลงให้สูงขึ้น 35 ซม. สันแปลงห่างกัน 1.5 เมตร • วางสายน้้าหยด ในลักษณะหงาย ให้น้้า เพื่อความชุ่มชื่นของดิน • คลุมด้วยพลาสติก เพื่อรักษาความชื้นให้กับดินและกับวัชพืช พร้อมกับเจาะหลุม ปลูกไว้ให้ห่างกันประมาณ 50 x 60 ซม. หากเป็นพื้นที่ ที่มีการเพาะปลูกติดต่อมาหลายครั้ง ควรกระท้าดังนี้ - ควรจะพักการเพาะปลูกประมาณ 2-4เดือน - เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นบ้าง เช่นพืชตระกูลถั่ว - ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา พร้อมกับปุ๋ยคอก ในการช่วยปรับปรุงสภาพของดิน
141 การเพาะกล้าการเพาะกล้า และการย้ายกล้า วิธีการเพาะกล้า 1. การบ่มเมล็ด 1.1 น้าเมล็ดพันธุ์เมล่อนแช่ในน้้าสะอาด โดยให้เมล็ดทุกส่วนถูกน้้า แช่เมล็ดนาน 20 นาที 1.2 น้าเมล็ดมาวางในกระดาษเพาะกล้าหรือผ้าขาวบางชุบน้้ามาดๆ แล้วจึงห่อเมล็ด (ไม่ควรวางหนาแน่นเกินไป ) 1.3 ห่อกระดาษเพาะเมล็ดอีกครั้งด้วยถุงพลาสติกใสหรือถุงใส่แกง เก็บในที่อุณหภูมิ 28- 30 องศาเซลเซียส โดยใส่ในภาชนะที่มิดชิด เช่น กระติกน้้าเพื่อรักษาอุณหภูมิ นานประมาณ 24 ชั่วโมง * ค้าแนะน้า เมื่อเปิดซองเมล็ดพันธุ์แล้วควรเพาะให้หมดในคราวเดียว เพราะเมล็ดพันธุ์ที่ เหลือเปอร์เซ็นต์ความงอกจะลดลง จึงควรเลือกซื้อปริมาณตามความต้องการใช้ 2. การเพาะกล้า • บรรจุวัสดุเพาะกล้า (พีทมอส เป็นวัสดุเพาะ) ลงในถาดเพาะกล้าขนาด 50 หลุม ไม่ แน่นเกินไป รดน้้าให้ชุ่ม • น้าเมล็ดจากข้อ 1.3 มาหยอดลงในถาดเพาะ โดยวางให้เมล็ดอยู่ในแนวนอนท้ามุมประมาณ 45 องศา และปลายรากแทงลงวัสดุเพาะ ระวัง อย่าให้รากอ่อนของเมล็ดหักหรือแห้ง กลบด้วย วัสดุเพาะกล้า แล้วกดทับเบาๆ • รดน้้าให้ชุ่ม น้าไปเก็บในโรงเรือนเพาะกล้า หรือบริเวณที่มีแสงแดด • รดน้้าทุกวัน เพื่อให้วัสดุเพาะกล้าชุ่มอยู่เสมอ จนอายุกล้าได้ 10 - 12 วัน
142 3. การย้ายกล้า ควรย้ายกล้าเมื่อมีใบแท้ 2 ใบ หรืออายุ ไม่เกิน 12 วัน(หลังจากหยอดเมล็ด) ข้อควร ระวังในการย้ายกล้าลงปลูกในแปลง ควร ปฏิบัติดังนี้ • ก่อนปลูก 2 วัน ควรรดน้้าแปลงให้ชุ่ม • ควรย้ายกล้าในช่วง เย็น อากาศไม่ร้อนแดด ไม่จัด • หลุมปลูกควรมีความลึกและกว้าง เท่ากับ ขนาดหลุมของถาดเพาะกล้า • ควรระวังอย่าให้วัสดุเพาะแตกหรือรากขาด เพราะจะท้าให้ต้นกล้าชะงักการ เจริญเติบโต(ควรฉีดพ่นไตรโคเดอร์มาป้องกันเชื้อรา) • เวลาย้ายต้นกล้าจากถาดเพาะลงแปลง ให้จับบริเวณปลายยอดไม่ควรดึงหรือบีบ บริเวณโคนต้น • กลบดินครอบคลุมโดนต้นกล้า การขึ้นยอดและเตรียมค้าง •ช่วงเวลาที่ควรใช้ในการขึ้นยอดที่สุดคือช่วงเช้า •การจัดเถาของเมล่อนคือ 1เถา ต่อ เมล่อน 1ต้น และเมื่อเริ่มออกยอด ให้ท้าการพัน ยอดไว้กับเชือก พยายามอย่าปล่อยให้ยอดเลื้อย ควรท้าอย่างน้อย 2วัน/ครั้ง การเด็ดแขนง • ให้เด็ดแขนงข้อที่ 1 – 8 ออก เมื่อเมล่อนอายุ 9 - 14 วันหลังย้ายปลูก • การเด็ดแขนงควรท้าในขณะที่แขนงยังมีขนาดเล็ก และท้าในตอนเช้าจะท้าให้แผล แห้งเร็ว แล้วให้ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มา • เมื่อเด็ดออกจะท้าให้ยอดแตงเจริญเติบโตได้เร็ว
143 การเตรียมค้างผูกเชือก และขึ้นยอด • การขึ้นยอดควรท้าช่วงเช้า • ควรจัดเถาเมล่อน 1 เถาต่อต้น เมื่อเมล่อนเริ่มทอดยอด ให้พันยอดกับเชือก 2 วัน ต่อครั้ง อย่าปล่อยให้ยอดเลื้อย การตัดแต่งแขนงและไว้แขนงก่อนผสม ต้าแหน่งที่ไว้แขนงผสมดอก • ให้เลี้ยงแขนงข้อ 9 -12 เอาไว้ผสม • ควรเด็ดยอดแขนงให้เหลือ 2 ใบ • เหนือข้อที่ 12 ให้เด็ดแขนงย่อยออก • เด็ดยอดในข้อที่ 25 ให้มีจ้านวนใบ 22 - 25 ใบ การผสมเกสร • ดอกเมล่อนเป็นสมบูรณ์ คือมีเกสรตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน • ดอกตัวผู้จะอยู่ระหว่างข้อบนล้าต้น • การผสมเกสรควรท้าในตอนเช้าเวลา 7.00 – 10.00 น. • เลือกผสมดอกเพียง 2 - 3 แขนงต่อต้น• ควรจดบันทึกที่ดอกบานหรือจ้านวนดอกที่ ผสมในแต่ละวัน(ใช้ไหมพรมหลากสีพันขั้วผล เพื่อก้าหนดวันเก็บเกี่ยว)
144 การคัดเลือกผล • เลือกแขนงที่มีผลรูปทรงไข่ ผลใหญ่ • ผลสมบูรณ์ที่สุด ไม่มีรอยขีดข่วน • ไม่มีโรค และแมลงเข้าท้าลาย • เมื่อได้ลูกที่สมบูรณ์แล้ว ควรตัดลูกที่ไม่ต้องการทิ้งให้เหลือไว้เพียง 1 ผล • ควรปรับเพิ่มปริมาณการให้น้้าและใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักเพื่อให้ผลโตได้เต็มที่ไม่เกิน 18 วันหลังผสมเกสร • ให้น้าเชือกมาแขวนผลให้อยู่ในที่โปร่งและได้รับแสงสม่้าเสมอ การแขวนผล • ใช้เชือกคล้องที่ขั้วผลไว้เพื่อรับน้้าหนัก โดยยึดผลไว้กับค้างที่ยึดต้นเมล่อน • ควรแขวนผลให้ขนานกับพื้นเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานในฟาร์ม การแขวนผลเมล่อน
145 โรคที่ส้าคัญของ เมล่อน
146 โรคเหี่ยวจากเชื้อรา เชื้อสาเหตุ เชื้อราฟิวซาเลียม ออกซีสปอร์ลัม (Fusarium oxysporum) ลักษณะอาการ เชื้อสาเหตุเข้าสู่ต้นพืชทางราก ในระยะต้นอ่อนใบเลี้ยงจะเหี่ยว เปลี่ยนเป็นสี เหลือง ร่วง พืชแสดงอาการเหี่ยวเฉาจากส่วนยอดลงมา ส่วนของเถาของต้นที่โตแล้ว จะแสดงอาการใบล่างเหลืองโดยอาการเริ่มต้นแสดงหลายอย่างเช่น ต้นแตก เกิด อาการเน่าที่โคนและซอกใบ ถ้าเกิดอาการเน่า และพบเชื้อราสีขาวบริเวณรอยแตก หลังจากนั้นพืชจะแสดงอาการเหี่ยวและตาย การป้องกันก้าจัด 1. ปรับสภาพความเป็นกรด – ด่าง ของดินปลูกให้เหมาะสมคืออยู่ที่ pH 6.5 2. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน 3. ถอนต้นที่เป็นโรคทิ้ง (เผาท้าลาย)และป้องกันโรคโดยการใช้สารจุลินทรีย์เช่น ไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน หรือราดลงดินก่อนปลูก
147 โรคต้นแตกหรือยางไหล สาเหตุ เกิดจากเชื้อราไมโคสเฟอเรลล่า เมโล นิส (Mycosphaerella melonis) ลักษณะอาการ อาการที่แสดงในใบแก่ แผลจะมีลักษณะ กลม สีน้้าตาลอมแดง หรือมีสีด้า ขนาด ประมาณ 5 มิลลิเมตร รอบแผลจะมีสีเหลือง หลังจากนั้นแผลจะฉีกขาดหรือร่วง อาการเริ่มแรกจะปรากฏที่ขอบใบและขยายเข้า ไปที่ส่วนกลางของใบ การเข้าท้าลายส่วนของล้าต้น อาการที่ปรากฏคือ จะมีแผล เชื้อ สาเหตุจะสร้างเมือกเหนียวสีน้้าตาล หรือน้้าตาลอมแดง การป้องกันก้าจัด 1. การปลูกพืชหมุนเวียน 2. ใช้พันธุ์ต้านทานโรค 3. ป้องกันโรคโดยการใช้สารจุลินทรีย์เช่น ไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน หรือ ราดลงดินก่อนปลูก
148 โรคราแป้ง สาเหตุเชื้อราอออิเดียม (Oidium sp.) ลักษณะอาการ เชื้อสาเหตุเข้าท้าลายพืชตระกูลแตงทุกชนิดแพร่กระจายโดยลม ลักษณะอาการ ขั้นต้น จะปรากฏเป็นจุดเหลืองอ่อนที่ ล้าต้น ยอดอ่อน ทั้งด้านบนและด้านล่างของใบ เมื่อแผลมีการขยายใหญ่ขึ้น จะมีสปอร์ของเชื้อราสีขาวคล้ายแป้งปกคลุม หลังจากนั้น ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้้าตาลและแห้งกรอบ การป้องกันและการก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มา เพื่อป้องกันทุกๆ 5-7 วัน 2. ฉีดพ่นด้วยก้ามะถัน ชนิดละลายน้้าอัตรา 30- 40 กรัม ต่อน้้า 20 ลิตร ฉีดในสภาพ อุณหภูมิต่้า ในกรณีที่อุณหภูมิสูงจะมีผลท้าให้ใบของเมล่อนไหม้ได้
149 โรคราน้้าค้าง สาเหตุ เชื้อรา ซูโดเฟอโรโนสปอร์ร่า คูเบนซิส (Pseudoperonospora cubensis) เป็นโรคที่ส้าคัญของพืชตระกูลแตงในเขตร้อนและกึ่งร้อน แพร่กระจายโดยลม ฝน และเครื่องมือการเกษตร ลักษณะอาการ อาการเริ่มแรกจะพบที่ใบล่าง โดยเกิดเป็นจุดสีเหลืองหรือสีน้้าตาลขนาดเล็ก แล้ว ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นรูปเหลี่ยมอยู่ระหว่างเส้นใบ นอกจากนี้สามารถตรวจสอบ บริเวณใต้ใบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้ามืด จะปรากฏเส้นใยเชื้อราสีขาว หรือสีเทา ใบพืชจะแห้งตายแต่ก้านใบจะชูขึ้น ขอบใบม้วน ใบจะร่วง การป้องกันก้าจัด 1. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโรเดอร์มาเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการระบาด ทุกๆ 5-7 วัน 2. ราน้้าค้างจะพบมาในช่วงที่อากาศชื้นและเย็น ดังนั้นในช่วงอากาศดังกล่าว ให้ฉีด พ่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิริส ทุกๆ 3-5 วัน 3. เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรเก็บซากพืชออกจากแปลงให้หมดเพราะจะเป็นแหล่ง สะสมโรค 4. ควรสลับหมุนเวียนพืชปลูกบ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของโรค
150 แมลงศัตรูพืชที่ ส้าคัญในเมล่อน