43
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ทรงให้ความสาคัญกับการพัฒนาการเกษตรเป็นอย่างย่ิง
ในชว่ งแรกของการพฒั นาทฤษฎีใหม่นั้น พระองค์ทรงใชพ้ นื้ ทบี่ รเิ วณวังสวนจติ รลดารโหฐานเปน็ สถานที่
ทาการศึกษา ค้นควา้ ทดลอง จากนั้นได้ขยายไปยงั โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดารติ ามจงั หวัดต่าง
ๆ ปัจจุบันมีโครงการพระราชดารแิ ละโครงการตามแนวพระราชดารมิ ากกว่า ๔,๕๐๐ โครงการ โดย
โครงการพระราชดารสิ าคัญโครงการหน่ึงต้ังอยู่ ณ วัดมงคลชยั พัฒนา ตาบลห้วยบง อาเภอเฉลิมพระ
เกียรติในจงั หวัดสระบุร ี ซง่ึ ถือเปน็ พนื้ ทแี่ รกท่ไี ด้นา “ทฤษฎีใหม่” ด้านการเกษตรสู่การปฏิบัติอยา่ งเป็น
รปู ธรรมจนประสบความสาเรจ็ เปน็ ต้นแบบของการทาเกษตรทฤษฎีใหม่ทว่ั ประเทศ
หัวใจสาคัญของทฤษฎีใหม่ “ทฤษฎีใหม่นั้นยดื หยุน่ ได้ และต้องยืดหยุ่น เหมือนชวี ติ ของเรา
ทกุ คนต้องมียดื หยุน่ …”
พระราชดารสั ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัว ณ สวนสมเด็จพระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี
จงั หวัดเพชรบุร ีเมื่อวนั ท่ี ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๑
แนวพระราชดารเิ มื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
ชใี้ ห้เห็นว่า อาชพี ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือ การเกษตรกรรมโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเกษตรกร
รายย่อย มีสมาชกิ ครอบครวั เฉลี่ยประมาณครอบครวั ละ ๔-๖ คน ส่วนใหญ่มีฐานะค่อนข้างยากจน มี
ทด่ี ินทากินน้อย หรอื บางรายไม่มีทดี่ ินทากินเลย
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวทรงพระราชทาน “ทฤษฎีใหม่” เพ่ือเป็นแนวทางแก้ไขปญั หา
โดย ประยุกต์ใชห้ ลักการของเศรษฐกิจพอเพียง รูจ้ กั พอ ไม่โลภ ไม่เบียดเบียน พึ่งตนเอง พึ่งกันเอง
เขา้ กับการทาการเกษตรแนวใหม่อยา่ งเปน็ รปู ธรรม
โดยเรม่ ิ จากการศึกษาข้อมูลจนพบว่า เกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีพื้นที่เฉลี่ยอยู่ประมาณ
ครอบครวั ละ ๑๐-๑๕ ไร่ ( ค่าเฉลี่ยของการถือครองท่ดี ินในขณะน้ัน) จงึ ทรงคิดคานวณ จาแนกการใช้
พื้นทีดินเพื่อการดาเนินชวี ติ โดย มีเป้าหมายหลัก คือ ทาอย่างไรให้ มีข้าว ปลา อาหาร เพียงพอและ
ปลอดภัยตลอดปี จากผืนดินจานวนน้อยท่ีมีอยู่ เพือ่ ทจ่ี ะได้ประหยัดค่าใชจ้ า่ ยทต่ี ้องจา่ ยไปกับค่าอาหาร
และ ของกินของใช้ต่าง ๆ เพื่อให้มีรายได้เหลือพอสาหรบั จับจ่ายใช้สอยในส่ิงที่จาเป็นสาหรบั ชีวติ
นอกจากน้ันยัง มีความม่ันคงในที่อยู่อาศัย เมื่อมีความม่ันคงในชวี ติ ก็ดาเนินชวี ติ ด้วยความรกั ความ
สามัคคี และเอ้ืออาทรกันในระดับทส่ี ูงขึน้ ไปคือระดับชุมชน
สรุปแนวคิด ขั้นตอนการดาเนินงาน
พระองค์ท่านทรงพระราชทานดารใิ ห้ทดลอง “ทฤษฎีใหม่” ขึ้นครงั้ แรกทวี่ ัดมงคลชยั พัฒนา
เม่ือ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ โดยพระราชทานทนุ ทรพั ยส์ ่วนพระองค์ ( เพ่ือซอ้ื ทด่ี ินจานวน ๑๕ ไร่ ใกลว้ ดั มงคลชยั
พฒั นาทดลองทาทฤษฎีใหม่จากน้ันขยายโครงการไปยังทอี่ ่ืน ๆ อีก เชน่ ทอ่ี าเภอเขาวง จงั หวัดกาฬสินธุ์
และภายหลังได้ทรงสรปุ แนวคิดเปน็ วธิ กี าร ดาเนินงาน “ทฤษฎีใหม่” ๓ ข้ันตอน ดังน้ี
ข้ันตอนท่ี๑ การผลิตเพื่อพออยู่ พอกิน และพ่ึงตนเองได้ (Self Sufficiency of Economy)
คาถาม ทาอยา่ งไรให้ พออยู่ พอกิน พงึ่ ตนเองได้ ? (ทาไมต้อง พ่ึงตนเอง?
คาตอบ คือ ทาให้ผืนดินท่ีมีอยู่ใชป้ ระโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เพ่ือการพออยู่ (ท่ี อยู่อาศัย)
พอกิน (อาหาร) พึ่งตนเองได้ (อาชพี ทม่ี ่ันคง) จงึ ต้องมีการแบง่ พน้ื ทอี่ อกเปน็ ส่วนๆ (การวางแผน) และ
ใชพ้ นื้ ทใี่ ห้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยแบ่งพ้ืนทอ่ี อกเปน็ ส่วนๆ อยา่ งครา่ ว ๆ (Tentative) ดังน้ี
44
ส่วนท่ี ๑ พื้นทร่ี อ้ ยละ ๓๐ ขุดบอ่ น้า ปลูกพืชนา้ เชน่ ผักบุง้ ผักกระเฉด ทา เล้าสัตว์บน ขอบสระนา้
ส่วนท่ี ๒ พ้ืนทร่ี อ้ ยละ ๓๐ ทานา
ส่วนท่ี ๓ พื้นทร่ี อ้ ยละ ๓๐ ปลกู พชื ไร่ พชื สวน ไม้ผล ไม้ยนื ต้น ไม้ใชส้ อย(ปา่ 3อยา่ ง ประโยชน์4อยา่ ง)
ส่วนท่ี ๔ พื้นทีร่ อ้ ยละ ๑๐ ปลูกบ้านพัก โรงเรอื น โรงเพาะเห็ด ผักสวนครวั ไม้ประดับ กอง
ฟาง กองปุ๋ยหมัก ถนนหนทาง ที่จอดรถ ที่ต้องพ่ึงตนเอง เพราะทฤษฎีเก่าส่งเสรมิ ให้เกษตรกรพึ่ง
ภายนอก จงึ ทาให้เกษตรกรยากจน
ขั้นตอนท่ี ๒ การรวมพลงั หรอื รว่ มแรงกันในรปู กลมุ่ หรอื สหกรณ์
คาถาม ทาอยา่ งไรให้กล่มุ และสหกรณ์ รวมทง้ั ชุมชนเข้มแข็งและมีความยั่งยนื
คาตอบ คือ การรวมกลุ่มกัน (พ่ึงพากันเอง) เพื่อเป็นการสรา้ งความเข้มแข็งโดยแปรพลัง
เกษตรกร สู่การสรา้ งความเขม้ แขง็ และยงั่ ยืนให้กับชุมชน ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
๑.การผลิต : การวางแผนการผลิต (แผนผังฟารม์) การเตรยี มดิน (เทคนิคกสิกรรม
ธรรมชาติ) การจดั การแหล่งน้า เตรยี มปัจจัยการผลิต พันธุพ์ ืช ตัวอ่อนสัตว์ และประมง ปุ๋ย (ฮิวมัส)
สมุนไพร ยาพืชสัตว์ คน และ ปจั จยั การผลิตอ่ืน ๆ
๒.การตลาด : การเตรยี มลานตากข้าว การจดั หายุ้งฉางเอาไวเ้ ก็บผลผลิต เครอ่ ื งสีข้าว
แปรรูปผลผลิตเพ่ือสรา้ งมูลค่าเพิ่ม การรวมกลุ่มกันขายให้ขายในทีไ่ ม่ไกลก่อน เพ่ือลดค่าใชจ้ า่ ยในการ
ขนส่งผลิตผลทางการเกษตร และเพ่ือความมั่นคงของจานวนผลผลิตและคุณภาพผลผลิตมีผลผลิตท่ี
ปลอดภัยและมีปรมิ าณไม่มากนัก ทาให้มีอานาจต่อรองจนถึงกาหนดราคา ในห่วงโซอ่ ุปทาน
๓.การเป็นอยู่ : การดูแลชีวติ ความเป็นอยู่ของคนในชุมชนร่วมกัน เช่น อาหาร
เครอ่ ื งนุ่งห่ม ยารกั ษาโรค ด้วยการเผ่ือแผ่ แบ่งปัน ระหว่างคนในชุมชนหรอื การต้ังรา้ นค้าสหกรณ์
ชุมชน เพอื่ ลดค่าใชจ้ า่ ยในการเดินทาง และลดต้นทนุ จากการซอ้ื เปน็ จานวนมาก ๆ
๔.ธนาคารเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสวัสดิการ : การจัดการด้านสาธารณสุขของชุมชน
(ปลอดภัย) ด้วยการรว่ มมือกันจัดหาบรกิ ารสวัสดิการสังคมพื้นฐานสาหรบั ชุมชน เช่น สถานบรกิ าร
สาธารณสุขชุมชน บรกิ ารด้านสุขอนามัย หรอื การต้ังกองทนุ กู้ยืมเพ่ือการทากิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
เชน่ สัจจะออมทรพั ย์ ธนาคารข้าว ธนาคารโคกระบอื ธนาคารต้นไม้ ฯลฯ
๕.การศึกษา : การให้ความรูข้ องชุมชน รวมตัวกันสรา้ งความเข้มแข็งด้านการศึกษา
โดยมีบทบาทด้านการส่งเสรมิ การศึกษาชุมชน การสิบทอดภูมิปัญญาท้องถ่ิน ศูนย์ฝึกอบรมส่ังสอน
แบบเบด็ เสรจ็
๖.สังคมและศาสนา : มีการสืบทอดทางวัฒนธรรม การส่งต่อประเพณีและการสืบทอด
ศาสนา การปลกู ฝังคณุ ธรรมจรยิ ธรรมให้กับคนในชุมชน (กาหนดเปน็ ตัวชวี้ ัดชุมชนเขม้ แข็ง ด้านคุณธรรม)
ข้ันตอนที่ ๓ การติดต่อประสานเพอ่ื หาแหล่งทนุ หรอื แหลง่ เงนิ
คาถาม ทาอย่างไรให้กลมุ่ / ชุมชนมีความเข้มแขง็ และย่ังยนื
คาตอบ คือ การประสานความรว่ มมือไปยังบรษิ ัทเอกชน แหล่งทุน และบรษิ ัทด้านพลังงาน
เพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นที่ ๓ ของการพึ่งตนเอง พึ่งกันเองโดยการขอรบั การสนับสนุนด้านเงนิ ทนุ จาก ธนาคาร
บรษิ ัท ห้างรา้ น หรอื หน่วยงานเอกชน ให้ความสาคัญกับการได้ประโยชน์รว่ มกันทงั้ สองฝ่าย เชน่ บรษิ ัท
ห้างรา้ น ได้ซ้ือข้าว และผลผลิตทางการเกษตรราคาถูกจากเกษตรกรโดยตรง แลกเปลี่ยนกับการให้
พน้ื ทใ่ี นการจาหน่ายสินค้า บรษิ ัทได้ทากิจกรรมทร่ี บั ผิดชอบต่อสังคม (CSR)
45
โดยรายละเอียดของแต่ละขั้นตอน เม่ือนาไปปฏิบัติจรงิ จะทาได้อย่างไรจะได้กล่าวถึงต่อไป
เหตุผลทเี่ รยี กวา่ ทฤษฎีใหม่ :
คาถาม ทาไมถึงเรยี กว่าใหม่
คาตอบ เพราะวา่
มีการบรหิ ารและจัดแบ่งท่ีดินเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชดั เจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของ
เกษตรกรซึง่ ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ตัวอย่าง การประยุกต์ของปราชญ์ชาวบ้านอีสาน
“เกษตรประณีต ๑ ไร่ “ แบง่ พนื้ ท๑ี่ ไรเ่ ทา่ กับ ๑,๖๐๐ ตารางเมตร เปน็ ต้น
มีการคานวณโดยหลักวชิ าการ เกี่ยวกับการออกแบบพ้ืนที่กักเก็บน้าตามปรมิ าณน้าฝน
ท่ีจะกักเก็บให้เพียงพอ ต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปีอย่างคร่าวๆ
(Tentative) ที่ได้คานวณปรมิ าณการระเหยของนา้ ไวด้ ้วย) ต้องมีแหล่งนา้ ของตนเองท่ี
สามาถนามาใชใ้ นการทาการเกษตรตลอดปี
มีการวางแผนทส่ี มบูรณ์แบบ สาหรบั เกษตรกรรายย่อยโดยมีถึง 3 ขน้ั ตอน
ระบบการผลิตที่ตอบสนองความต้องการด้านอาหาร ปัจจยั การผลิต การแปรรูป การ
รวมกลุ่ม จัดการวางแผนด้านการตลาดผลผลิต รวมตัวกันเป็นเครอื ข่ายความร่วมมือ
และทาธรุ กิจกับทนุ ใหญ่ ตัดคนกลาง
มีการกาหนดมาตรฐานระบบการตรวจสอบรบั รอง ขายสินค้าท่ีต้องแปรรูปก่อนไม่ขาย
เป็นวัตถุดิบ กาหนดราคา เป็นราคาท่ียุติธรรม และขายในที่ไม่ไกลก่อน เพื่อพรอ้ ม
สามารถค้าขายแข่งขนั ได้
ความแตกต่างของทฤษฎีเก่า กับทฤษฎีใหม่
ทฤษฎีใหม่ในพระราชดารขิ องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะเป็นการบรหิ าร
จดั การพ้ืนทจ่ี านวนน้อยแล้ว ความสาคัญท่ีย่ิงกว่าน้ันคือ“เป็นแนวทางในการดาเนินชวี ติ ” เพ่ือนาไปสู่
การพ่ึงตนเองได้ ซงึ่ เป็นความแตกต่างท่ีสาคัญของทฤษฎีใหม่ นอกจากน้ันยังมีความแตกต่างในการ
จดั การด้านต่าง ๆ ดังนี้
ทฤษฎีเก่า ทฤษฎีใหม่
การจดั การพนื้ ที่ เกษตรเชงิ เดี่ยว ปลกู พชื ชนิดเดียว แบ่งพื้นที่ 30 : 30 : 30 : 10 เปน็ ระบบเกษตร
ผสมผสาน เต็มพนื้ ที่
การเตรยี มดิน ปอกเปลือก ใชป้ ุย๋ เคมี ปูนขาว ทานาแบบขนั้ บันได ลดการชะล้างหน้าดิน
ปุย๋ คอก ปุย๋ พืชสด ปลูกแฝกยดึ หน้าดิน ลดการพงั ทลายของดิน
ปลกู แฝกรอบโคนต้นไม้ชว่ ยกักเก็บน้าในดิน
การจดั การนา้ ระบบเขอ่ื นกักเก็บน้า และปลอ่ ยน้า ขุดสระโดยการคานวณปรมิ าณนา้
ตามระบบชลประทาน มีขอ้ จากัด ให้เพยี งพอต่อการทานา ทาสวน จดั หา
ทาได้เพยี ง ๓๐% ของพ้ืนทเี่ กษตร แหลง่ น้าเสรมิ โดยการใชท้ ฤษฎีอ่างใหญ่
เติมอ่างสารอง และบ่อเกษตรกร
อาหาร ขายผลผลติ เพียงไม่ก่ีชนิดเพอ่ื นาเงนิ ปลกู ทกุ อย่างทตี่ ้องกิน ปลกู ขา้ ว พอกิน
ไปซอื้ อาหารและค่าใชจ้ า่ ยในครวั เรอื น ในครวั เรอื น ปลกู ผักสวนครวั พชื น้า ปลกู ผลไม้
ตลอดทง้ั ปี เลย้ี งปลา เลย้ี งไก่พง่ึ ตนเองได้ด้านอาหาร
46
ทอี่ ยู่อาศัย ขายผลผลติ เพือ่ นาเงนิ ไปสรา้ งบา้ น ทาบ้านดิน ปลูกไม้เพ่ือสรา้ งบา้ น
เวลาทง้ั ชวี ติ ทง้ั ชวี ติ ในการหาเงนิ ทาเฟอรน์ ิเจอร์ และเครอ่ ื งเรอื น
ลดค่าใชจ้ า่ ยด้านอาหาร พอมีเหลือ
เสื้อผ้า/ ขายผลผลติ เพอื่ นาเงนิ ไปซอ้ื เสื้อผา้
เครอ่ ื งนงุ่ ห่ม เพื่อจบั จา่ ยใชส้ อยในสิ่งทจ่ี าเปน็
ข้าวของ ขัดสน เม่ือราคาผลผลติ ตก หรอื พ่งึ ตนเองได้แมม้ ีภัยธรรมชาติ
ได้รบั ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พึ่งตนเอง ด้วยปุย๋ ชวี ภาพ ลดการใชเ้ คมี
ใชธ้ รรมชาติชว่ ยธรรมชาติ สมุนไพรบาบัด
สุขภาพ เจบ็ ปว่ ยจากเกษตรเชงิ เด่ียว ภมู ิปญั ญาชาวบา้ นใชส้ มุนไพรต้านโรค
จากการใชย้ าฆา่ แมลง และสารเคมี
ต้องหาเงนิ มารกั ษา
พ่ึงพาราคาตลาด ขนั้ ที่ 1 พอกิน พออยู่
พึง่ พาพ่อค้าคนกลาง ปลูกของทกี่ ิน กินของทปี่ ลูก
แลกผลิตผลเปน็ เงนิ
เพ่อื ซอื้ สินค้า/อาหาร พงึ่ ตนเองได้
ขายทดี่ ินทากิน ขนั้ ที่ 2 รวมกลุม่ ในรปู สหกรณ์
ทง้ิ แผ่นดินเกิด เดิน
ทางเข้าทางานในเมือง รว่ มมือกันด้านการผลิต การตลาด
ดูแลชความเปน็ อยู่ การศึกษา
สาธารณสุข สังคม ศาสนา
ปญั หาครอบครวั ปัญหาคณุ ภาพชวี ติ ความยากจน ขนั้ ที่ 3 ประสานแหลง่ ทนุ
ปัญหาสังคม วกิ ฤตการณ์ความขัดแย้ง ก้าวสู่ข้นั พฒั นา รว่ มกล่มุ
การค้า พัฒนาอาชพี และ
ชุมชนแออัด ทรพั ยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม
คณุ ภาพชวี ติ
ครอบครวั อยูร่ ว่ มกัน สรา้ งงาน สรา้ งรายได้ มีอาชพี เสรมิ
แก้ปญั หาความยากจน อยู่อย่างพอเพียง
ฟ้ ืนฟูทรพั ยากรธรรมชาติ ดิน นา้ ปา่
สืบทอดภมู ิปญั ญาและวฒั นธรรม ชุมชนเขม้ แขง็ ย่งั ยืน
47
จากทฤษฎีใหม่ สู่การปฏิบัติ
ทฤษฎีใหม่ มีเป้าหมายขั้นต้น เพ่ือการพึ่งตนเองให้ได้และพรอ้ มที่จะก้าวสู่ความเข้มแข็งด้วย
การรวมกลุ่มชุมชน สรา้ งความรว่ มมือในรูปแบบของสหกรณ์ เพื่อดูแลกันและกันในชุมชน สืบทอดภูมิ
ปญั ญาทอ้ งถ่ิน โดยมีศาสนาเป็นศูนย์กลาง ก่อนขยายสู่ข้ันท่สี าม คือ การต่อยอดความยั่งยืนในรูปของ
การเชอื่ มโยงแหล่งทนุ ภายนอกและบรษิ ัทพลังงานเพ่ือขยายรูปแบบการผลิตสู่วสิ าหกิจชุมชนด้วยการ
สนับสนุนของธนาคาร และบรษิ ัทห้างรา้ น หน่วยงานต่าง ๆ ในพ้ืนที่ เป็นการสรา้ งความยั่งยืนในระยะ
ยาวได้
จากทฤษฎี ดังท่ี ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดูเหมือนว่าสามารถดาเนินการได้เป็นขั้นเป็นตอนและน่าจะ
สาเรจ็ ได้โดยงา่ ย แต่การจะนา ๓ ขัน้ ตอนของทฤษฎีใหม่ ไปปฏิบตั ิให้สาเรจ็ นั้นมีส่ิงทตี่ ้องคานงึ ถึงหลาย
ประการและทีส่ าคัญต้องไม่ลืมเรอ่ ื งของ “ความยืดหยุน่ ” ซง่ึ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวได้ทรงกล่าวไว้
บ่อยครงั้ ว่า “อย่าติดตารา”เหตุเพราะว่าตาราที่เราใช้กันอยู่ยังไม่มีตาราเล่มใดที่จะมีแนวทางการ
แก้ปัญหาทเี่ กิดขึ้นได้ จงึ ได้ทรงพระราชดารนิ ั้นเปน็ “ทฤษฎีใหม่”ย่อมยงั ไม่มีในตาราใด ๆ และได้ทดลอง
ปฏิบัติจนได้ผลจรงิ แล้วจงึ เขียนเป็นทฤษฎีใหม่น้ีข้ึน สิ่งต่าง ๆ ท่ีทรงกาหนดขึ้นก็เป็นเพียงการคานวณ
อย่างครา่ วๆ หรอื สูตรครา่ วๆ (Tentative Formula) เม่ือนาไปปฏิบัติจาเปน็ อย่างยิ่งทจี่ ะต้องคานงึ ถึง
ความเหมาะสมของสภาพพืน้ ทแ่ี ละปจั จยั อ่ืน ๆ ทแ่ี ตกต่างกันไปตามแต่ละครอบครวั ซง่ึ มีความแตกต่าง
กันไป ตาม “ภมู ิสังคม”
ขั้นตอนที่ ๑ การผลิตเพอ่ื พออยู่ พอกินและพ่งึ ตนเองได้ พออยู่ พอกิน
ขั้นที่ ๑ ของทฤษฎีใหม่มีหลกั สาคัญ คือ การผลิตเพอื่ พออยู่ พอกินและ พึ่งตนเองได้
พ่งึ ตนเองได้ ด้วยการจดั การ ๓ อยา่ ง คือ
๑. การจดั การทดี่ ินขนาดเล็กเพอื่ ให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามทฤษฎีใหม่
๒. การจดั การบรหิ ารแหลง่ นา้ ให้มีน้าใชไ้ ด้ตลอดปี
๓. การจดั การด้านการเกษตร เพ่อื การ พออยู่ พอกิน พึ่งตนเองได้
การจดั การทด่ี ินขนาดเล็กเพอ่ื ให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามทฤษฎีใหม่
ส่วนท่ี ๑ พ้นื ทรี่ อ้ ยละ ๓๐ ขุดบอ่ น้า ปลูกพชื นา้ เชน่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด ทาเลา้ สัตว์บนสระนา้
ส่วนที่ ๒ พืน้ ทร่ี อ้ ยละ ๓๐ ทานา
ส่วนท่ี ๓ พน้ื ทรี่ อ้ ยละ ๓๐ ปลูกพืชไร่ พชื สวน ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใชส้ อย
ส่วนท่ี ๔ พื้นทรี่ อ้ ยละ ๑๐ บา้ นพัก โรงเรอื น โรงเพาะเห็ด ผักสวนครวั ไม้ประดับ กองฟาง
กองปุย๋ หมัก
จากหลักการน้ีลองแบง่ ทด่ี ินตามสัดส่วนดังทกี่ าหนดไวซ้ ง่ึ ต้องไม่ลมื วา่ หลกั การน้ีเปน็ แต่เพียง
“สูตรครา่ วๆ”เทา่ น้ัน ดังนั้นสามารถปรบั เปลย่ี นได้ตามสภาพพ้นื ที่ โดยมีสิ่งทต่ี ้องคานงึ ถึงทส่ี าคัญ คือ
๑.ผืนท่นี า ต้องผลติ ข้าวได้เพยี งพอเลย้ี งสมาชกิ ในครอบครวั ( เหลือแล้วจงึ ขาย ) แต่ต้องผ่าน
ขัน้ ตอนการทาบุญ ทาทาน แบ่งปนั แปรรปู เก็บรกั ษา แล้วจงึ ให้ขายได้ ขายในทไี่ ม่ไกล
๒.บ่อน้า ต้องสามารถกักเก็บน้าไว้ได้เพียงพอใชต้ ลอดท้ังปี ท้ังสาหรบั ท่ีนา ที่ไร่ สวน ผักสวน
ครวั และน้ากิน น้าใชใ้ นครวั เรอื น (หากขุดสระได้ปรมิ าณน้าไม่พอใชท้ ง้ั ปี ต้องรว่ มมือ กันบรหิ ารจดั การ
แหลง่ น้า โดยใชร้ ะบบอ่างใหญ่เติมอ่างเล็ก อ่างเลก็ เติมสระนา้ )
48
๓.การจัดการด้านการเกษตร ( การวางผังฟารม์ ) เพ่ือการพออยู่ พอกิน มีเป้าหมายเพื่อให้
พ่ึงตนเองได้โดยเลือกให้เหมาะสมกับสภาพพน้ื ที่ ปรมิ าณน้า ความชานาญ และ รปู แบบของการใชช้ วี ติ
๔.ทฤษฎีใหม่ เปน็ แนวทางการดาเนินชวี ติ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง(เศรษฐกิจการเกษตร
แบบพอเพียง) มีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับท่ีประหยัดก่อน โดยอาศัย
ความรว่ มมือรว่ มใจ และความสามัคคีของคนในชุมชน ชว่ ยเหลือกันและกัน เพื่อ “ลดรายจ่าย” ให้ได้
มากทสี่ ุด ซงึ่ จะนาไปสู่การพงึ่ ตนเองได้แบบ พออยู่ พอกิน พอใช้ (พอรม่ เย็น)
ตัวอย่างการแบ่งพื้นที่ สาหรบั ทดี่ ินจานวน ๑๕ ไร่
บ้าน นายแสนยา พื้นท่ี ๑๕ ไร่ จ.น่าน มีฝนตกปานกลาง ห่างไกลระบบชลประทาน
ทานา พื้นทเ่ี ฉล่ีย ประมาณ ๕ ไร่ ขุดสระนา้ พ้ืนที่เฉล่ียประมาณ ๔ ไร่
ผลิตข้าวให้เพียงพอทงั้ ครอบครวั ทัง้ ปี
เหลือจงึ ขายโดยการรวมกลมุ่ สหกรณ์ ขุดสระลกึ ๔ เมตร หรอื พิจารณาตาม
ลักษณะพ้ืนที่ เพ่ือให้มีนา้ ในปรมิ าณ
พื้นทส่ี วน ๔ ไร่ ปลูกผลไม้ ปลูกไม้ยืนต้น เพียงพอต่อการใชท้ ง้ั ปี จากนั้นเล้ียง
ไม้ใชส้ อย สมุนไพร ปลกู ป่า ๓ อย่าง ปลา ปลูกผักบงุ้ ผักกระเฉด เพื่อใช้
ประโยชน์ ๔ อย่าง เพ่ือทาฟืน สรา้ งบ้าน เปน็ อาหาร
บนพื้นท่ีตามคันนา พ้ืนท่ีทเี่ หลือ และ
บรเิวณโดยรอบท่ีดิน พ้ืนที่ ๒ ไร่ สรา้ งบ้าน
โรงเรอื น โรงเห็ด ผกั สวนครวั
ไม้ดอก ไม้ประดับ สรา้ ง
รายได้เสรมิ
ตัวอยา่ งการแบง่ พน้ื ที่ สาหรบั ทดี่ ินจานวน 15 ไร่ (พืน้ ทม่ี ีฝนตกบ่อย)
บ้าน นายเหมือง พื้นท่ี 15 ไร่ จ.ชุมพร มีฝนตกตลอดปี
ทานา พ้ืนท่ี ๕ ไร่ ขุดสระนา้ พ้ืนที่ ๓ ไร่
ผลิตข้าวพอกินทงั้ ครอบครวั ท้งั ปี ขุดสระลกึ ๔ เมตร
มีนา้ ในปรมิ าณเพียงพอต่อการใช้
ตลอดท้งั ปี
พื้นทีส่ วน ๕ ไร่ ปลูกผลไม้ ปลกู ไม้ยืนต้น พ้ืนท่ี ๒ ไร่ สรา้ งบ้าน
ไม้ใชส้ อย สมุนไพร ปลกู ปา่ ๓ อยา่ ง โรงเรอื น โรงเห็ด ผกั
ประโยชน์ ๔ อยา่ ง เพ่ือทาฟืน สรา้ งบา้ น สวนครวั ไม้ดอก ไม้
บนพ้ืนท่ตี ามคันนา พ้ืนท่ีที่เหลือ และ ประดับ สรา้ งรายได้เสรมิ
บรเิวณโดยรอบท่ีดิน
49
เกษตรทฤษฎีใหม่: ศาสตรพ์ ระราชาสู่โคก หนอง นา โมเดล
เทคนิคการสรา้ งหลุมขนมครกในไร่ คือการนา
ศาสตรพ์ ระราชา รว่ มกับภูมิปัญญาท้องถ่ิน นามาสู่การ
ออกแบบพื้นท่ี 1 พื้นที่ จานวนกี่ไรก่ ็ได้ ให้สามารถเก็บ
น้าฝนในพ้ื นที่น้ัน ๆ ไว้ให้ ได้ ท้ัง 100 % โดยต้ องมีการ
คานวณปรมิ าณน้าฝนที่ตกลงมา น้าสาหรบั การบรโิ ภค และ
ปลูกข้าวซ่ึงเป็นหลักการสาคัญ ของเกษตรทฤษฎีใหม่
นอกจากน้ันยังนาศาสตรพ์ ระราชาด้านการจัดการ ดิน น้า
ป่า มาใช้เพื่อฟ้ ืนฟูระบบนิเวศในภาพรวม ทั้งการก้ันฝาย
ชะลอน้า ฝายชุม่ ชนื้ การบาบัดน้าเสีย การปลูกแฝก และป่า
3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ส่วนภูมิปัญญาท้องถ่ินน้ันได้แก่
การนาดินที่ขุดจากหนอง มาทาโคก การขุดหนองคดโค้ง
เพ่ือเพ่ิมพื้นทร่ี อบหนอง และเพื่อให้เป็นทอ่ี ยู่อาศัยของปลา
การขุดคลองไส้ไก่ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ การยกหัว
คันนาสูงเพอ่ื กักเก็บนา้ ฝน การทานานา้ ลกึ โดยใชร้ ะดับนา้ ในทอ้ งนาควบคุมวชั พชื และศัตรูพชื
หลุมขนมครก เม่ือนามาปฏิบัติ จะแตกต่างตามพื้นที่ลุ่ม และพ้ืนท่ีสูง แบ่งได้เปน็ 2 รูปแบบ คือใน
พื้นทลี่ ุม่ ใชร้ ูปแบบ“โคก หนอง นา โมเดล” ในพื้นทสี่ ูง ใชก้ าร“เปลี่ยนเขาหัวโล้นเป็นเขาหัวจุก” เชน่
1. พ้ืนท่ีลุ่ม : โคกหนองนา โมเดล คือ รูปธรรมของหลุมขนมครก ซงึ่ เรยี กให้ง่ายต่อการจดจา
– โคก การนาดินทไี่ ด้จากการขุดหนอง นามาถมเปน็ โคกเพ่อื สรา้ งทอี่ ยูอ่ าศัย ปลูกผัก เล้ยี งสัตว์
รวมทั้งปลูกต้นไม้ตามแนวทางศาสตรพ์ ระราชา คือ “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ได้แก่ ไม้เพ่ือ
บรโิ ภค (พอกิน) เพ่ือใชส้ อยในครวั เรอื น (พอใช)้ และเพ่ือสรา้ งที่อยู่อาศัย (พออยู่) ป่าทั้ง 3 อย่าง ให้
ประโยชน์อย่างท่ี 4 คือชว่ ยสรา้ งสมดุลระบบนิเวศ (พอรม่ เย็น) ปลูกเป็นป่า 5 ระดับคือ สูง กลาง เตี้ย
เรย่ ี ดิน และพืชหัว ใบไม้ทีร่ ว่ งหลน่ ชว่ ยปกคลุมหน้าดินเพ่ิมความชุม่ ชน้ื * น้าใต้ดินท่ีสะสมไวใ้ ต้โคก เม่ือ
ฝนตกลงมาบนโคกทมี่ ีต้นไม้จานวนมาก น้าจะค่อยๆ ไหลซมึ ลงมาเก็บไว้ใต้โคก รากต้นไม้ซง่ึ ต่างระดับ
กันจะชว่ ยรกั ษาหน้าดิน และกักเก็บน้าไว้ใต้ดินกลายเป็นแหล่งกักเก็บน้าใต้ดิน ชว่ ยสรา้ งความชุม่ ชน้ื
เพ่ิมความอุดมสมบูรณ์ให้กับพนื้ ดิน
– หนอง ขุดหนองให้ขอบมีความคดโค้ง เพ่ือให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของปลา ปรบั พื้น
หนองให้มีความลึกหลายระดับ ส่วนที่แสงแดดส่องถึง ปลาจะสามารถวางไข่ได้ดี * คลองไส้ไก่ ช่วย
กระจายน้ารอบพ้ืนท่ี ขุดให้มีลักษณะคดเค้ียว เพ่ือให้น้าไหลผ่านทั่วพื้นที่ เพิ่มความชุม่ ชนื้ ให้กับผืนดิน
ส่งผลดีต่อการทาเกษตรและการปลูกพืชผล * ฝายชะลอน้า รบั และชะลอน้าท่ีไหลมาจากแม่น้าหรอื
พนื้ ที่ข้างเคียง ชว่ ยดักตะกอนดินไม่ให้ไหลลงมาสะสมในหนอง คลอง บึง และเขอ่ื น นอกจากนั้นยังเปน็
การเพิ่มแหล่งกักเก็บน้าในพ้นื ที่
– นา ยกหัวคันนา เพ่ือเพ่ิมพ้ืนท่กี ักเก็บน้าไว้ในนา โดยให้มีความสูงประมาณ 1 เมตร และป้ ัน
หัวคันนาให้มีความกว้างเพ่ือปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” และปลูกแฝก เพ่ือป้องกันการ
พังทลายของคันนา คันนาจะใชเ้ ป็นเครอ่ ื งมือในการปรบั ระดับน้าเข้านาตามความสูงของต้นข้าว เกิด
เปน็ นานา้ ลึก ใชน้ ้าในการควบคุมวชั พืชและแมลงตามภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น
50
2. พืน้ ทส่ี ูง : เปลย่ี น “เขาหัวโลน้ ” เป็น “เขาหัวจุก”
เมื่อประยุกต์ใช้ โคกหนองนา โมเดล ให้เข้ากับภูมิสังคม พ้นื ท่ีภูเขา คือโคกตามธรรมชาติ จงึ ไม่
จาเป็นต้องสรา้ งโคกอีก ส่วนหนองน้ันเปลี่ยนเป็นการกั้นฝายในพ้ืนท่ีรอ่ งเขาเพื่อเก็บน้าไว้ ทานา
ข้ันบันได โดยยกหัวคันนาสูงและกว้าง เพื่อเก็บน้าฝนที่ตกลงมาบนภเู ขาให้ได้มากท่สี ุด สรา้ งบ่อเก็บน้า
จากวัสดุในพ้ืนท่ีไว้ด้านบน เพ่ือปล่อยน้าผ่านคลองไส้ไก่ หรอื ที่เรยี กว่า ลาเหมือง กระจายให้ทั่วพ้ืนท่ี
และปลูกแฝกเพ่ือป้องกันการพังทลายของดิน ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง เพ่ือพอกิน พออยู่
พอใช้ และคืนความรม่ เย็นให้ระบบนิเวศ รูปแบบนี้จะใชพ้ ้ืนท่ีเพียง 10 ไร่ สามารถให้ผลผลิต มากกว่า
การปลกู ขา้ วโพดทง้ั ภูเขา
51
– โคก พื้นทส่ี ูงในลกั ษณะภูเขาเป็นโคกโดยธรรมชาติ จงึ เน้นการปลูก “ปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4
อย่าง” เพื่อชว่ ยสรา้ งสมดุลระบบนิเวศ แต่เนื่องจากพื้นท่ีขาดความชุ่มช้ืน จึงต้องเพิ่มความชุ่มชน้ื ให้
กลับคืนมาด้วยการสูบนา้ จากรอ่ งเขามาทบี่ อ่ เก็บนา้ และกระจายผ่านลาเหมืองให้ทว่ั พืน้ ท่ี “เขาหัวจุก”
– หนอง เกิดจากการกักน้าไว้ในรอ่ งเขาให้เพิ่มระดับสูงขึ้นด้วยการทาฝายชะลอน้า บ่อเก็บน้า
สรา้ งบ่อเก็บน้าไว้บนที่สูง โดยใชว้ ัสดุท่ีหาได้ง่ายในพ้ืนท่ี เชน่ ไม้ไผ่ ทาบ่อโครงไม้ไผ่ฉาบปูน สูบน้าจาก
ฝายข้ึนบ่อด้วยพลังงานทดแทน เม่ือน้าเกินปรมิ าณกักเก็บของบอ่ ปล่อยนา้ ไหลลงคลองไส้ไก่ หรอื “ลา
เหมือง” ซง่ึ ขุดไล่ตามระดับชน้ั ความสูงของพน้ื ท่ี เพอื่ กระจายความชุม่ ชนื้
– นา ทานาขั้นบันได ยกหัวคันนาสูงและกว้าง เพ่ือกักเก็บน้าฝนท่ีตกลงมาไว้ในท้องนา และ
ปลูกแฝกชะลอการพังทลายของดิน ทานานา้ ลึกเปน็ นาอินทรยี ์โดยการใชน้ ้าควบคมุ วชั พืช และเรง่ ระดับ
ความสูงของต้นขา้ ว เพิ่มผลผลติ
๑. เกษตรทฤษฎีใหม่(1/8): ศาสตรพ์ ระราชาสู่โคก หนอง นา โมเดล
๒. เกษตรทฤษฎีใหม่(4/8): โคก หนอง นา พลิกฟ้ ืนพ้ืนท่ีแล้ง ตอนที่ 1
๓. เกษตรทฤษฎีใหม่(5/8): โคก หนอง นา พลิกฟ้ ืนพื้นท่ีแล้ง ตอนที่ 2
๔. เกษตรทฤษฎีใหม่(6/8): โคก หนอง นา ดาราโมเดล ตอนที่ 1
๕. เกษตรทฤษฎีใหม่(7/8): โคก หนอง นา ดาราโมเดล ตอนที่ 2
๖. เกษตรทฤษฎีใหม่(8/8): โคก หนอง นา โมเดลเพื่อการจดั การนา้ อยา่ งย่ังยืน
52
1.5 วธิ ปี ฏิบัติอยา่ งเปน็ ระบบ เปน็ ขนั้ เป็นตอน มนษุ ยใ์ นระบบ
เศรษฐกิจพอเพียง : ต้องลงมือทา หรอื ททท. ทนั -ทนั -ที (ทาตามลาดับ เปน็ ข้ัน เปน็ ตอน)
ทาตามลาดับขน้ั
ในการทรงงาน พระองค์จะทรงเรม่ ิ ต้นจาก
ส่ิงท่ีจาเป็นของ ประชาชนท่ีสุดก่อน ได้แก่
สาธารณสุข เม่ือมีรา่ งกายสมบูรณ์แข็งแรง
แลว้ ก็จะสามารถทาประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไป
ได้ จากน้ันจะเป็นเร่อื ง สาธารณู ปโภคขั้น
พ้ืนฐาน และสิ่งจาเป็นในการประกอบอาชีพ
อาทิ ถน น แห ล่งน้ าเพ่ื อ การเกษ ต ร การ
อุปโภคบรโิ ภค ท่ีเอื้อประโยชน์ต่อประชาชน
โดยไม่ทาลายทรพั ยากรธรรมชาติ รวมถึงการ
ให้ความรูท้ างวชิ าการและ เทคโนโลยีที่เรยี บ
ง่าย เน้ น การปรับ ใช้ภูมิ ปัญ ญ าท้อ งถิ่ น ท่ี
ราษ ฎ รส าม ารถ น าไป ป ฏิ บั ติ ได้ แ ละเกิ ด
ประโยชน์สูงสุด ดังพระบรมราโชวาทเมื่อวนั ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ความตอนหนง่ึ ว่า “…...การพัฒนา
ประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับขั้น
ต้ อ ง ส ร้า ง พื้ น ฐ า น คื อ มี ค ว า ม
พอมีพอกิน พอใชข้ องประชาชนส่วน
ใหญ่เป็นเบ้ืองต้น ก่อน ใชว้ ธิ กี ารและ
อุปกรณ์ท่ีประหยัด แต่ถูกต้องตาม
หลักวชิ าการ
เ ม่ื อ ไ ด้ พื้ น ฐ า น ท่ี มั่ น ค ง พ ร้อ ม
พอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จงึ ค่อย
สร้างค่ อย เสรมิ ความเจรญิ และ
ฐานะเศรษฐกิจข้ันท่สี ูงขึ้นโดยลาดับต่อไป หากมุ่ง แต่จะทุ่มเทสรา้ งความเจรญิ ยกเศรษฐกิจให้รวดเรว็
แต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธก์ ับสภาวะของประเทศและของ ประชาชน โดย
สอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรอ่ ื งต่างๆ ข้ึน ซ่งึ อาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ใน
ทส่ี ุด ดังเห็นได้ท่ี อารยประเทศกาลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในเวลาน้ี การชว่ ยเหลือ
สนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชพี และต้ัง ตัวให้มีความพอกิน พอใชก้ ่อนอ่ืนเป็นพ้ืนฐานนั้น เป็น
ส่ิงสาคัญอย่างย่ิง ยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอท่ีจะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถ สรา้ งความ
เจรญิ ก้าวหน้าระดับท่ีสูงได้ต่อไปโดยแน่นอน ส่วนการถือ หลักที่จะส่งเสรมิ ความเจรญิ ให้ค่อยเป็นไป
ตามลาดับ ด้วยความ รอบคอบระมัดระวังและประหยัดน้ัน ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลว และ
เพอื่ ให้บรรลผุ ลสาเรจ็ ได้แน่นอนบรบิ ูรณ์............”
53
ในการทรงงานพระองค์ จะทรงเรม่ ิ ต้น
จากส่ิ งท่ีจาเป็นขอ งป ระชาชนที่สุ ดก่ อ น
ได้แก่ สาธารณสุข เมื่อมีรา่ งกายสมบูรณ์
แข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถทาประโยชน์ด้าน
อื่ น ๆ ต่ อ ไ ป ไ ด้ จ า ก น้ั น จ ะ เ ป็ น เ ร่ อื ง
สาธารณูปโภค ข้ันพื้นฐานและสิ่งจาเป็นใน
การ ประกอบอาชพี อาทิ ถนน แหล่งน้า เพื่อ
ก า รเก ษ ต ร ก า ร อุ ป โภ ค บ ร โิ ภ ค ท่ี เอื้ อ
ป ร ะ โย ช น์ ต่ อ ป ร ะ ช า ช น โด ย ไม่ ท า ล า ย
ทรพั ยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้
ทางวชิ าการและเทคโนโลยีที่เรยี บง่าย เน้น
ก ารป รับ ใช้ภู มิ ปั ญ ญ าท้ อ งถ่ิ น ที่ ราษ ฎ ร
สามารถนาไปปฏิบตั ิได้และเกิด ประโยชน์สูงสุด
ดังพระบรมราโชวาท เม่ือ
วันท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗
ความตอนหนึ่งว่า "………..การ
พัฒนาประเทศจาเป็น ต้องทา
ต า ม ล า ดั บ ข้ั น ต้ อ ง ส ร้า ง
พ้ื น ฐ า น คื อ ค ว า ม พ อ มี พ อ กิ น
พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่
เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วธิ ีการ
แ ละอุ ป กรณ์ ท่ีป ระห ยั ดแ ต่
ถูกต้องตามหลักวชิ าการ เมื่อ
ไ ด้ พื้ น ฐ า น ท่ี ม่ั น ค ง พ ร้อ ม
พอ ส ม ควรแ ละปฏิ บั ติ ได้ แ ล้ว
จงึ ค่อยสรา้ งค่อยเสรมิ ความเจรญิ และฐานะเศรษฐกิจขั้นท่ีสูงข้ึนโดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทมุ่ สรา้ ง
ความเจรญิ ยกเศรษฐกิจให้รวดเรว็ แต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธก์ ับสภาวะของ
ประเทศและของประชาชน โดยสอดคลอ้ งด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรอ่ ื งต่างๆขึ้น ซง่ึ อาจกลายเป็น
ความยุง่ ยากล้มเหลวได้ในท่สี ุด ดังเห็นได้ท่อี ารยประเทศกาลงั ประสบปญั หาทางเศรษฐกิจอยา่ งรุนแรง
ในเวลานี้ การชว่ ยเหลือสนับสนุนประชาชน ในการประกอบอาชพี และตั้งต้วให้มีความพอกิน พอใชก้ ่อน
อื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นส่ิงสาคัญอย่างย่ิงยวด เพราะผู้ที่มีอาชพี แลฐานะเพียงพอท่ีจะพึ่งตนเอง ย่อม
สามารถสรา้ งความเจรญิ ก้าวหน้าระดับที่สูงได้ต่อไปโดยแน่นอน ส่วนการถือหลักท่ีจะส่งเสรมิ ความ
เจรญิ ให้ค่อยเป็นไปตามลาดับ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดน้ัน ก็เพื่อป้องกันความ
ผิดพลาดล้มเหลวและเพอื่ ให้บรรลุผลสาเรจ็ ได้แน่ นอนบรบิ ูรณ์............."
54
ขนั้ ตอนการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั ว
ทรงศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เป็นข้ันเป็น
๔. การดาเนินงานตามโครงการ ตอนอย่างละเอียดก่อนทุกครง้ั ในการ
๕. การติดตามผลงาน จดั วางแผนโครงการใดโครงการหนึ่ง
ก่อนจะมีพระราชดารนิ ั้น ข้ันตอนต่างๆ
๑. การศึกษาขอ้ มลู พอจะกล่าวได้ดังต่อไปน้ี
ก่อนจะเสด็จพระราชดาเนินยงั พื้นทใ่ี ดๆนั้น จะทรง ๑. การศึกษาข้อมูล
ศึ กษาข้อมูลจากเอกสารและแผนท่ีต่ างๆ ที่มีอยู่ ๒. การหาข้อมูลในพน้ื ท่ี
เพ่ือให้ทราบถึงสภาพในท้องถิ่นนั้นๆ อย่างละเอียด ๓. การศึกษาข้อมูลและการจดั ทา
ก่อนเสมอ โครงการ
๒. การหาขอ้ มลู ในพน้ื ที่
เมื่อเสด็จฯ ถึงพืน้ ทนี่ ้ันๆ จะทรงหาข้อมูล
รายละเอียดเพ่มิ เติมอีกครง้ั หนง่ึ เพ่อื ให้ได้ขอ้ เทจ็ จรงิ
และข้อมูลล่าสุด อาทเิ ชน่
๑. ทรงสารวจพน้ื ที่ เสด็จพระราชดาเนิน
ทอดพระเนตรพน้ื ทจี่ รงิ ทค่ี าดวา่ ควรจะดาเนินการ
พัฒนาได้
๒. ทรงสอบถามเจ้าหน้าที่ เม่ือทรงศึกษาจาก
ข้อมูลเอกสาร และทรงได้ข้อมูลจากพ้ืนที่จรงิ แล้วจะ
ทรงปรกึ ษากับเจา้ หน้าทฝ่ี ่าย ต่างๆถึงความ เหมาะสม
ความเป็นไปได้อีกครงั้ หนงึ่ พรอ้ มทง้ั คานวณวเิ คราะห์
ทันที ด้ วยว่าเม่ื อดาเนิ นการแล้วจะได้ ประโยชน์
อย่างไรแ ละคุ้มค่ ากั บการลงทุน หรอื ไม่ เพียงใด
อยา่ งไรแลว้ จงึ พระราชทานพระราชดารใิ ห้เจา้ หน้าท่ีที่
เก่ียวข้องไปพิจารณาในขั้น รายละเอียดตามข้ันตอน
ต่อไป
55
๓. การศึกษาขอ้ มลู และการจดั ทาโครงการ
เม่ือเจา้ หน้าที่ผู้เก่ียวข้องได้รบั พระราชทานพระราชดารแิ ลว้ จะไปศึกษาขอ้ มูลรายละเอียดต่างๆ อีก
ครงั้ หนง่ึ เพอ่ื ประกอบการจดั ทาโครงการให้เปน็ ไปตามแนวทางพระราชดารทิ ไ่ี ด้พระราชทานไว้ อย่างไร
ก็ตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดารอิ ยู่เสมอว่า พระราชดารขิ องพระองค์เป็นเพียง
ขอ้ เสนอแนะเท่าน้ัน เม่ือรฐั บาลได้ทราบแล้ว ควรไปพิจารณาวเิ คราะห์กล่ันกรองตามหลักวชิ าการก่อน
เมื่อมีความเป็นไปได้และมีประโยชน์คุ้มค่า และเห็นควรทา เป็นเรอ่ ื งที่จะต้ องพิจารณาตัดสินใจเอง
และในกรณีทว่ี เิ คราะห์พจิ ารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมสามารถล้มเลิกได้
๔. การดาเนินงานตามโครงการ
เมื่อจดั ทาโครงการเสรจ็ เรยี บรอ้ ย และผ่านการพิจารณาจากหน่วยเหนือตามลาดับข้ันตอน จนถึง
การอนุมัติโครงการและงบประมาณแล้ว หน่วยงานที่เก่ียวข้องจะดาเนินการปฏิบัติงานในทันที โดยมี
สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการ อันเน่ืองมาจากพระราชดาร ิ(สานักงาน กปร.)
เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานและประสานแผนต่างๆ ให้แต่ละหน่วยงานได้ดาเนินการ
สนับสนุนสอดคล้องกัน และ/หรอื อาจจัดต้ังองค์กรกลางที่ประกอบด้วยแต่ละฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง เป็นผู้
ควบคุมดูแลให้การดาเนินการต่างเปน็ ไปด้วยความเรยี บรอ้ ย มีประสิทธภิ าพ
๕. การติดตามผลงาน
ในการติดตามผลงานการดาเนินงานน้ัน แต่ละหน่วยงาน รวมทงั้ สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพ่ือ
ประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดาร ิ จะได้มีการติดตามประเมินผลเปน็ ระยะๆ แต่ทส่ี าคัญ
คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จฯกลับไปยังโครงการน้ันด้วยทุกครง้ั เมื่อมีโอกาส เพื่อ
ทอดพระเนตรความก้าวหน้าและติดตามผลงานต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความเรยี บรอ้ ย ในกรณีท่ีเกิดมี
ปญั หาอุปสรรคต่างๆ จะทรงชแ้ี นะแนวทางการแก้ไขปญั หาน้ัน ให้สาเรจ็ ลลุ ่วงไป
ความประทบั ใจ
หลักการทรงงานน้ีเปน็ หลักการทรงงานทด่ี ีและยงั สาคัญกับการทางานเนื่องจากเราควรทจ่ี ะวางแผน
อยา่ งเปน็ ระบบ เพ่อื ทจ่ี ะให้งานออกมาดีเปน็ ระบบระเบยี บ
56
1.6 ทาแบบคนจน (เอามื้อสามัคคี)
ผมสงสัยมานานวา่ ทาไม อ.ยกั ษ์ (ดร.ววิ ัฒน์ ศัลยกาธร) ต้องเรม่ ิ สอนทฤษฎีตอนตี ๕ ออกเรยี น
ภาคปฏิบัติตอนมองเห็นลายฝา่ มือ... แต่คลิปทฟี่ ังมาทงั้ หมดทา่ นไม่ได้บอกไว้ วนั นี้เจอคลปิ ทที่ า่ นพูด
เรอ่ ื งน้ีไวช้ ดั เจนย่ิงนัก ... ทา่ นใดใครด่ ูเองเชญิ เถิดครบั ... แต่หากชอบอ่านเลือ่ นผ่านไปเลยครบั (ผม
เขียนบันทกึ น้ีโดยเอาความรเู้ ดิมทเ่ี คยฟังทา่ นมาหลายคลิปมาเติมด้วย)
เกรน่ ิ ก่อน (สิ่งทผ่ี มเพิง่ จะเข้าใจเปน็ ครง้ั แรก)
เพิ่งเข้าใจวา่ ทาไมการศึกษาไทยสมัยใหม่จงึ ล้มเหลว ล้มเหลวในทนี่ ี้ หมายถึง การศึกษาสมัยน้ี
ทาให้คนทง้ิ ถิ่น ทงิ้ บ้านทงิ้ เรอื น
เพ่งิ เข้าใจว่า "คนจนเขาทางานแบบไหน" ทง้ั ๆ ทผี่ มเองก็ผ่านความยากจนแบบนั้นมาด้วย
ตนเอง แค่ฟังทา่ นพูด ภาพในอดีตทั้งหลายมันรวมลงในใจผมวา่ ใช่ ใชเ่ ลย ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็
สอนแบบนี้... ผมลมื คาสอนของทา่ นไปนานก่ีปเี น่ีย
เพิ่งจะเขา้ ใจวา่ หนงั สือพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" ตีความว่า "ต้นมะม่วง" ก็คือ "ประเทศ
ไทย" ... ในใจมีเสียงกังวาลว่า ...อ้อ...เข้าใจแลว้
การศึกษาแบบคนจน-คนรวย
คนจนตั้งตนอยู่ในความลาบาก (ฝนื กิเลส) กุศลจงึ เจรญิ ผู้คนจงึ ใจดี มีเมตตา เอื้อเฟ้ ือ แบ่งปนั
... แต่การศึกษาในปจั จุบนั สอนให้นิสิตนักศึกษา ตั้งตนอยู่ในความสบาย (ตามใจกิเลส) สังคม
จงึ เส่ือมลงอยา่ งเห็นได้ชดั
คนจนต่ืนตี ๔ เรม่ ิ เรยี นรูแ้ ละทางานตอนตี ๕ นอนเรว็ ตื่นเชา้ เขา้ วดั วันโกณวนั พระ แต่
การศึกษาสมัยใหม่ ทาให้คน ตื่นสาย นอนดึก เทย่ี วกลางคืน ไม่เข้าวดั หยุดเสาอาทติ ย์
การศึกษาแบบคนรวย(แบบทนุ นิยม) ทาให้คนท้ิงถ่ิน ยง่ิ เก่งยิง่ ทง้ิ ชุมชนเรว็ ใครเก่งทสี่ ุดจะถูก
ส่งเสรมิ ให้ทงิ้ บา้ นเข้าเมือง เม่ือสาเรจ็ การศึกษาได้ทางานทต่ี ้ังตนอยู่ในความสบาย หาเงนิ เพอื่
ซอื้ ความสบาย นาเงนิ ซอื้ ความสบายให้พอ่ แม่ทอ่ี ยูท่ บ่ี ้าน .... จงึ กระตุ้นให้คืนอื่นๆ เกิดกิเลส
อยากสบายและมีหน้าตาเปน็ เจา้ เปน็ นายบา้ ง จงึ แห่กันทง้ิ บา้ นทง้ิ เรอื นเขา้ กรงุ มุ่งหาเงนิ ซอื้ ขา้ ว
กิน (ทง้ั ที่ตนเองปลูกกินเองได้) ... จนเปน็ ทม่ี าของหนี้สินและความจน(จรงิ )
คนทเ่ี คยสบายแลว้ เปน็ เรอ่ ื งยากทจ่ี ะกลบั ไปลาบาก(กาย) ยิ่งเด็กรนุ่ หลงั ทไ่ี ม่ได้รบั การปลูกฝัง
ให้ผ่านการตั้งตนอยูใ่ นความยากลาบากกับชวี ติ "แบบคนจน" เลย จงึ ไม่มีทางทกี่ ารศึกษาแบบ
คนรวย จะทาให้คนกลับไปอยูบ่ ้านเกิดภูมิลาเนาของตนเอง
การศึกษาแบบคนจน
คือการศึกษาบนฐานชวี ติ จรงิ ๆ ของชาวบ้าน มีลาดับข้ันการศึกษาพัฒนา ๓ ขน้ั ตอน คือ
o การศึกษาเพ่อื ให้เปน็ ผู้มีวนิ ัย มีคณุ ธรรม ... เปน็ คนดี มีสัมมาสามัญสานึก
o การศึกษาเพื่อให้สามารถประกอบอาชพี ทามาหากินได้ (สัมมาอาชวี ะ) ... พ่งึ ตนเอง
o การศึกษาให้เกิดความเชย่ี วชาญ เปน็ ปราชญ์ เปน็ ครู พฒั นาต่อยอดหรอื สรา้ งภูมิ
ปญั ญา และสอนลกู หลานต่อไป ...แบง่ ปนั ชว่ ยเหลือคนอื่นได้
57
วธิ กี ารศึกษาแบบคนจน ควรจะ
o ฝึกให้ชนิ กับการฝืนกิเลส รูจ้ กั กิเลส เอาชนะกิเลส โดยการสรา้ งปญั ญาในตนเอง เชน่
สอนให้รจู้ กั ศีล เบญจศีล เบญจธรรม
ต่ืนเชา้ (กิเลสชอบนอนตื่นสาย) เพียรทางานหนัก (กิเลสชอบสบาย) ขยนั
(กิเลสชอบข้ีเกียจ)
ฝึกวนิ ัยในทกุ กิจกรรม ทกุ กิจวัตร ทกุ อรยิ าบท (ปูพ้ืนไปสู่การปฏิบัติธรรม เจรญิ
สติ เจรญิ ปญั ญาภายใน) ตั้งแต่เทา้ ถึงเส้นผม ตั้งแต่รองเทา้ ถึงหมวก ตั้งแต่เชา้
ถึงคา่ ต้ังแต่ต่ืนจนหลับ
เขา้ วัด ฟังธรรมะ เสียสละ ทาเพือ่ สวนรวม ผ่านกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์
พรอ้ มๆ กับการรกั ษาและทานุวฒั นธรรมประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษ (บวร
บา้ น วดั โรงเรยี น)
o ฝกึ ให้รสู้ ึกปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ดาเนินชวี ติ และพฒั นาชวี ติ ตามลาดับขัน้ ด้วย
ความรแู้ ละความดี
พอกิน
พอใช้
พออยู่
พอรม่ เย็น
สั่งสมบุญ เรม่ ิ จากการดูแลตอบแทนบุญคณุ พอ่ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ปา้ น้า
อา ญาติ มิตร สหาย และผู้มีพระคณุ ทัง้ หลาย
ทาทาน อามิสทาน อภัยทาน ธรรมทาน ฯลฯ
ขาย ค้าขายแลกเปล่ียน ขยายความความสุขความสาเรจ็ ให้เจรญิ ข้ึน
รว่ มตัวกันสรา้ งเครอื ข่าย สู่ความสามัคคี พอเพียง ม่ังค่ัง ยง่ั ยืน
อ.ยักษ์ทา่ นบอกวา่ ... พดู แบบนี้มาก็นานแลว้ แต่ไม่มีมหาวทิ ยาลยั ใดทาเลย....ผมเอาเรอ่ ื งน้ีมา
คุยกับน้อง ๆ ท่ีทางาน น้องอาจารยบ์ อกว่า ยากมากนะครบั
ผมยอมรบั วา่ เพิ่งจะเขา้ ใจก็คราวนี้เองว่า ทใี่ นหลวง ร.๙ ทรงตรสั ว่า "ให้ทาแบบคนจน" นั้น
สาหรบั ด้านการศึกษาเปน็ แบบนี้เอง
เอามื้อสามัคคี คือ อะไร
การเอาม้ือสามัคคี เปน็ กิจกรรมที่กระตุ้นการบรโิ ภคภาคครวั เรอื นและเอกชน ผ่านกิจกรรมการ
พัฒนาและสนับสนุนพ้ืนท่ีครวั เรอื นต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชวี ติ ระดับครวั เรอื น ในโครงการพัฒนา
พื้นท่ีต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา พช.” ที่แสดงให้
เห็นถึงการรว่ มแรงรว่ มใจกัน ชว่ ยเหลือซงึ่ กันและกัน ตามวัฒนธรรมและวถิ ีชวี ติ เดิมท่ีพบในทุกพ้ืนที่
เปน็ กระบวนการทางาน
“ทาแบบคนจน” เพ่ือขับเคล่ือนศาสตรพ์ ระราชาสู่การปฏิบัติ การใชก้ ิจกรรมเอามื้อสามัคคีมา
ขับเคล่ือนการพัฒนาพ้ืนท่ีต้นแบบในแต่ละแปลง จึงเป็นการรอ้ ื ฟ้ ืนเอาวถิ ีชวี ติ ดั้งเดิมวัฒนธรรมอันดี
ของคนไทยย้อนกลับมาปฏิบัติให้เกิดการปฏิบัติตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ รวมทั้ง สรา้ งความเป็นจิต
อาสาพัฒนาชุมชน จนเกิดเครอื ข่ายทมี่ ีพลงั และความสามัคคี
58
การเอามื้อสามัคคี เปน็ การเรยี นรจู้ ากการฝึกปฏิบัติจรงิ โดยมีการแบง่ หน้าทว่ี างแผนการเอา
มื้อสามัคคี เรม่ ิ จากการสรา้ งความรู้ เตรยี มความพรอ้ มกิจกรรม จากน้ันแบ่งหน้าที่ แบง่ คน แบ่งงาน
ภายใต้แนวคิด “คึกคัก คล่องแคลว่ ครน้ ื เครง” และการลงมือปฏิบัติจรงิ ซงึ่ กิจกรรมเอามือ้ สามัคคี เปน็
การเรยี นรู้ 10 ขัน้ ตอนตามหลกั กสิกรรมธรรมชาติ เชน่ การรว่ มกันเอามื้อห่มดิน รว่ มกันปลกู หญา้ แฝก
การปลูกปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ปลูกปา่ 5 ระดับ การขุดคลองไส้ไก่ การทาหลุมขนมครก การ
ป้ นั คันนา การทาแซนด์วชิ ปลา ทาปุย๋ ชวี ภาพ ปลกู ดอกไม้ลอ่ แมลง รวมทงั้ การปลูกพืชผักสวนครวั และ
พชื เศรษฐกิจ เชน่ ข่า กลว้ ย ฝรง่ั มะม่วง พะยูง ยางนา เปน็ ต้น
เมื่อเสรจ็ จากกิจกรรมลงมือปฏิบัติก็มีทานอาหารรว่ มกัน โดยแต่ละคนนาอาหารจากบ้านตนเอง
ซง่ึ เปน็ ผลผลิตจากการทาเกษตรมาแบ่งปนั กัน และในระหว่างการทานอาหารก็จะมีการแบ่งปนั
ความรสู้ ึกดีๆ การล้อมวงสนทนา
เกิดการแลกเปลยี่ นประสบการณ์ทไ่ี ด้ทาจรงิ ซง่ึ นอกจากจะพัฒนาพืน้ ทขี่ องครวั เรอื นต้นแบบ
ตามหลักกสิกรรมธรรมชาติแลว้ ยังก่อให้เกิดการเรยี นรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ จากการฝกึ ปฏิบัติของ
ผู้เขา้ รว่ มเอาม้ือสามัคคีทกุ คน เกิดเครอื ขา่ ยเอามื้อสามัคคีของครวั เรอื นต้นแบบ ทจ่ี ะคอยชว่ ยเหลอื
กันเอามื้อสามัคคีในแปลงอื่นๆ ในพนื้ ทเ่ี ครอื ข่าย ซง่ึ จะก่อให้เกิดความสามัคคีปรองดองกัน ชว่ ยเหลอื
เก้ือกูลซงึ่ กันและกัน สามารถเปน็ พลังของชุมชนทเี่ ข้มแขง็ ได้ สามเรอ่ ื งน้ีจะทาให้ครวั เรอื นมีความมั่นคง
พออยู่ พอกิน พอใช้ และพอรม่ เยน็ พรอ้ มรบั มือกับปญั หาด้านต่างๆ ได้ และทสี่ าคัญคือ มีการปรบั
ทศั นคติให้ประชาชนได้เห็นถึงความสาคัญของการศึกษา การได้รบั การเรยี นรูต้ ลอดเวลาตลอดชวี ติ
เพื่อนาความรแู้ ละคุณธรรมมาเปน็ พน้ื ฐานในการดารงชวี ติ น่ันเอง
ขอบคุณ
chaba2550
59
สรุป
การแปลงปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นนามธรรม สู่การปฏิบัติ
แบบเป็นขั้น เป็นตอน ด้วยศาสตรพ์ ระราชการ 5 ระดับ คือ
1. ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. แนวคิดทฤษฎี วา่ ด้วยเรอ่ ื ง ดิน น้า ปา่ คน และทฤษฎีใหม่
3. วธิ ปี ฏิบตั ิอย่างเป็นขน้ั เปน็ ตอน
4. เทคนิค นวัตกรรม เคล็ดวชิ า บทเรยี นจานวนมาก
5. การบรหิ ารแบบคนจน
60
บทที่ 2
2.1 หลักกสิกรรมธรรมชาติ
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรจากภายนอก /ภายใน
วัตถุประสงค์ : เพอ่ื สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจแก่ผู้เขา้ อบรมถึง“หลักกสิกรรมธรรมชาติ”
เวลาสอน : จานวน 3-6 ชวั่ โมง
รูปแบบการสอน : การบรรยายให้ความรู้ และใชส้ ่ือเพ่ือสรา้ งแรงบันดาลใจ
หัวใจของหลักกสิกรรมธรรมชาติ
คือ “เล้ียงดิน ให้ดินเล้ียงพืช” เราไม่
เผา ไม่ทาลายหน้าดิน ไม่ปอกเปลือก
เปลือยดิน แต่นาเศษไม้ ใบหญ้า เศษ
ฟาง มาห่มดินไว้และรดด้วยปุย๋ น้าหมัก
แห้งชาม นา้ ชาม แลว้ ปล่อยให้จุลนิ ทรยี ์
ทาหน้าที่ของมัน น่ันคือหลักการคืน
ชีวติ ให้แผ่นดิน เพราะดินมันตายแล้ว
ดิ นตายหมายถึงในดิ นไม่มีสิ่งมีชีวติ
หลงเหลือ ไม่มีจุลินทรยี ์ ไม่มีไส้เดือน
ไม่มีแมลงเล็กๆ เพราะการใช้สารเคมี
ใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าจนดินตาย
ห ม ด ส้ิ น เร า จึ ง ต้ อ ง “ คื น ชี ว ิต ใ ห้
แผ่นดิน” ……....
เม่ือเราห่มดินด้วยฟางไอน้าท่ี
ระเหยจากดินในเวลากลางคืนจะขึ้นมา
ติดอยู่กับเศษซากใบไม้และฟางที่ห่มไว้
กลายเป็นน้าเป็นความช้ืนที่เพียงพอ
สาหรบั พืชได้อยู่รอด แต่ต้องเป็นพืชที่
เ ล้ี ย ง แ บ บ ธ ร ร ม ช า ติ ป ลู ก แ บ บ
ธรรมชาติ ไม่ปรนเปรอด้วยน้า ด้วยปุ๋ยจนอ่อนแอ หากินเองไม่เป็น รากพืชที่เพาะปลูกแบบธรรมชาติ
จะยาวและแขง็ แรง เพราะต้องหาอาหารกินเอง อย่าลมื วา่ ต้นไม้น้ันมี “ชวี ติ ”
เมื่อมีชวี ติ ก็เข้าตามกฎพื้นฐานคือต้องการเอาชวี ติ ตัวเองให้รอด พืชจึงแกรง่ พอที่จะรอดจาก
อากาศทแ่ี ห้งแลง้ แปรปรวน แต่เราต้องชว่ ย คือชว่ ยปรบั สภาพแวดล้อมทเ่ี ราทาลายลงไปให้หมดความ
สมดุลนี่แหละให้กลับสู่ความสมดุล โดยคืน จุลินทรยี ์ดีให้กลับสู่พ้ืนดิน ซง่ึ จุลินทรยี ์น้ันก็อยู่ในน้าหมัก
ปุย๋ หมักทเี่ ราหมักจากเศษใบไม้ และเติมหัวเชอื้ จุลนิ ทรยี ์ลงไป หรอื เก็บจุลินทรยี ์ตามธรรมชาติมาเล้ียง
ให้เพิ่มจานวน แล้วจุลินทรยี ์ก็จะไปทาหน้าที่ย่อยฟาง ย่อยใบไม้ ซงึ่ เป็นปุ๋ยชน้ั ดีของพืช ปุ๋ยจงึ มาจาก
เศษซากพชื ซากสัตว์ ข้วี ัว ขค้ี วาย ต่างๆ ทเ่ี ราใส่เข้าไป
61
จากนั้นจุลินทรยี ป์ ลายรากของต้นไม้แต่ละชนิดจะได้มาย่อยเอาไปเปน็ อาหารตามความชอบของ
พืชแต่ละต้นในแต่ละชว่ งเวลา จะเติมฮอรโ์ มนให้เขาในเวลาทพ่ี ืชต้ังทอ้ งก็ได้ ก็เหมือนเราบารุงครรภ์ก็
ต้องเพ่ิมอาหารดีๆ .... นั้นคือหลักการทากสิกรรมธรรมชาติ งา่ ยๆ แต่ต้องรูจ้ กั ธรรมชาติ และให้อาหาร
พชื ทเี่ ปน็ ธรรมชาติ จงึ ปฏิเสธปุย๋ เคมี และยาฆ่าแมลงทกุ ชนิด เพราะจะไปฆ่าแมลงดีๆ ทมี่ ากินแมลงตัว
รา้ ยตายไปด้วย และปฏิเสธเคมีทม่ี าในรปู ของกากขยะนา้ มัน N P K ทกุ ชนิด เพราะเราไม่จาเปน็ ต้องซอื้
เราสรา้ งอาหารพชื ได้ด้วยตัวเอง ประหยัด พึ่งตนเองได้
“ถ้าเราเรม่ ิ ปลูกจากการเผา ทาลาย เราก็จะสลายอาหารพืชทด่ี ีทส่ี ุดไปด้วยไฟ”
“ถ้าเราเรม่ ิ ปลกู จากการฆ่า เราก็เรม่ ิ ต้นวงจร “ระบบนิเวศอาหาร” ด้วยการทาลาย”
“ถ้าเราเรม่ ิ ปลกู จากการ “ให้” ให้จากใจเราเอง ให้กับธรรมชาติ ให้กับโลก เราก็จะอยู่ในโลกน้ีได้”
“ถ้าทกุ คนเรม่ ิ จากตนเอง เราก็จะมีกัลยาณมิตร เป็นเครอื ข่ายท่ีมีคุณธรรม เปน็ เพ่ือน เป็นมิตร
กัน ดูแลกันไปตลอดชวี ติ ”
วงจรแห่งความเจรญิ จงึ เรม่ ิ ต้นได้จากจุดเล็กๆ ในใจของแต่ละคนท่ีมองเห็นความเชอื่ มโยงของ
ทกุ สรรพส่ิงบนโลกนี้ และเมตตาต่อกัน ต่อๆ กันไป
จากหลกั กสิกรรมธรรมชาติเล็กๆ “เลยี้ งดิน ให้ดินเล้ยี งพชื ” จงึ สามารถสรา้ งแหล่งอาหารเล้ียงดู
ผู้คน และสรา้ งแหล่งพักพิงด้วยใจของคนท่ีเต็มไปด้วยเมตตาและการให้อันเป็นแก่นของปรชั ญา
เศรษฐกิจพอเพียงที่เชอื่ ว่า Our Loss is Our Gain ยิ่งให้ไปย่ิงได้มา เป็นแหล่งพักใจท่ามกลางความ
แลง้ รอ้ น โลภ ของสังคมทมี่ ุ่งแขง่ ขนั อย่างทกุ วันนี้
“การห่มดิน”
ศาสตรก์ ารเล้ยี งดินด้วยการห่มดินของพระราชา เรยี นรศู้ าสตรพ์ ระราชา “เลี้ยงดิน ให้ดินเลย้ี ง
พชื ” ดินทดี่ ีนั้น จะมีส่วนประกอบของดินทดี่ ีตามธรรมชาติ
1 อินทรยี ์วัตถุ 3-5% /หรอื ส่ิงมีชวี ติ เลก็ ๆ 1-2%
2 นา้ หรอื ความชน้ื 25% องค์ประกอบของดินดี
3 อากาศ 25%
4 แรธ่ าตุหรอื สารอาหาร 45%
- อินทรยี ว์ ัตถุ ก็คือเศษซากพืช, ซากสัตว์, มูลสัตว์ทยี่ อ่ ยสลายแลว้ และส่ิงมีชวี ติ เลก็ ๆ อยา่ งเชน่
จุลนิ ทรยี ์, เชอื้ รา, ไส้เดือน, แมงมุม และมด สิ่งมีชวี ติ เหล่าน้ีจะคอยเก้ือกลู ผลประโยชน์ให้กับพืช
- ความชนื้ ก็คือ น้า ซงึ่ น้าเป็นหัวใจสาคัญของทุกชวี ติ แน่นอนว่าถ้าพ้ืนที่ใดไม่มีน้าหรอื ไม่มี
ความชนื้ อยูเ่ ลย ก็จะไม่มีสิ่งมีชวี ติ ใดเติบโตอยู่ได้เชน่ กัน
- อากาศ บางทา่ นอาจจะสงสัยว่า.. ดินต้องมีอากาศด้วยหรอ? ถ้าเล่าย้อนกลับไปในชว่ งท่ีเรยี น
อยู่ประถม ในการทดลองวทิ ยาศาสตร์ คณุ ครูให้นาดินมาโรยลงในน้าและสังเกตการเปล่ียนแปลง จาได้
แม่นเลยว่าพยายามสังเกตหลายอย่างมาก แต่ก็ตอบไม่ถูกสักที สุดท้ายคุณครูก็เฉลยว่า “เราจะเห็น
ฟองอากาศลอยขน้ึ มา” เปน็ อะไรทเ่ี ห็นได้ชดั เจนมาก น่ีจงึ เปน็ ข้อพิสูจน์หนง่ึ ทบ่ี ง่ บอกว่าในดินก็มีอากาศ
อยูด่ ้วย
- สารอาหารต้องบอกก่อนว่า..ดินเปน็ เพยี งโครงสรา้ งท่ีเอาไวย้ ึดเกาะ แต่ไม่ได้ทาให้ต้นไม้โต สิ่ง
ทจี่ ะทาให้ต้นไม้โตได้น้ัน ก็คือ สารอาหาร ซง่ึ มันก็มาจาก อินทรยี ์วัตถุ, ปุ๋ย และจุลินทรยี ์ ตัวอย่างเชน่
62
การปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ ต้นผักจะลอยอยู่ในน้าโดยใชโ้ ครงสรา้ งพลาสติกในการยึดเกาะและเติบโต
ด้วยสารอาหารจากปุย๋ ทลี่ ะลายอยู่ในน้า โดยทไี่ ม่ต้องใชด้ ินแม้แต่น้อย
“การเลีย้ งดินด้วยการห่มดิน เปน็ การสรา้ งระบบนิเวศให้ฟ้ ืนกลบั คืนมาอยา่ งสมบูรณ์อีกครงั้ ”
วธิ กี ารเลยี้ งดิน ด้วยศาสตร์ “การห่มดิน”
ข้ันตอนแรก การปรุงอาหารเล้ียงดิน นามูลสัตว์หรอื ปุ๋ยหมัก มาโรยรอบตรงพุ่มใต้ต้นไม้ เพ่ือ
เปน็ ประโยชน์ ดังต่อไปน้ี
กระตุ้นให้จุลินทรยี ์สรา้ งอาหารสาหรบั พืช ปรบั ปรุงโครงสรา้ งดินให้ดี รว่ นทรุยขึ้น ชว่ ยดูดซบั
ธาตุอาหารไว้ให้แก่พืช **อธบิ ายเสรมิ ปกติแลว้ เวลาทเ่ี ราใส่ปุย๋ ต้นพืชจะไม่ได้นาปุ๋ยนั้นไปใชไ้ ด้ทงั้ หมด
ปุย๋ บางอย่างพชื ดูดไปได้ชา้ อาจถกู การชะล้างจากน้าฝนหรอื นา้ ทเ่ี รารดไปก่อนได้ ชว่ ยปรบั ค่า กรด-ด่าง
ของดินให้เหมาะสมกับการเติบโตของพืช ชว่ ยกาจัดและต่อต้านเชอื้ โรคในดิน ทาให้พืชต้านทานโรค
และแมลงได้ดี
ข้นั ตอนท่ี 2 การห่มดิน ในขั้นตอนนี้เราจะนาศาสตรก์ ารห่มดินของพระราชา ในหลวงรชั กาลท่ี9
มาปรบั ใช้ โดยการนาฟางข้าวหรอื เศษพืชที่หาได้ง่าย เชน่ ใบไม้ ก่ิงไม้ หญ้าแห้ง วัชพืชต่างๆ มาคลมุ ให้
ทว่ั บรเิ วณทรงพุ่มทเี่ ราได้โรยมูลสัตว์ไว้แล้ว ความหนา1 ฝ่ามือและห่างจากโคนต้นประมาณ 1 คืบ เพ่ือ
รกั ษาความชน้ื และความรอ้ นหน้าดิน ทาให้ส่ิงมีชวี ติ เล็กๆในดินเกิดการขยายตัวมากขึ้น
ขั้นตอนท่ี 3 ให้คอยรกั ษาความชน้ื ภายใต้ฟางเอาไว้ โดยการรดน้าตามปกติ เพื่อเพ่ิมจานวนส่ิงมีชวี ติ
เล็กๆในบรเิ วณน้ันให้มีมากๆ และเสรมิ ด้วยน้าหมักจุลินทรยี ์ ไม่ต้องเยอะ ซงึ่ ที่เราเรยี กว่า แห้งชาม น้า
ชาม เชน่ จุลินทรยี ์สังเคราะห์แสง ทที่ าได้งา่ ยในเวลา 1 เดือน เพื่อให้จุลินทรยี ท์ าการยอ่ ยอาหารบรเิ วณ
น้ันออกมาให้กับพืช
การเชค็ ความสมบูรณ์จากรากพืช
การห่มดิน จะทาให้รากพืชบางส่วนงอกขึ้นมาหาอาหารบนดิน ซงึ่ รากพืชนั้นสามารถบ่งบอกถึง
ความสมบูรณ์ของต้นพืชได้ โดยการเปิดหน้าดินเล็กน้อยแล้วสังเกตทป่ี ลายราก ถ้าปลายรากยาวอวบ
สดใสมีจานวนมากแสดงว่าต้นสมบูรณ์ดี แต่ถ้าปลายรากเรยี วเลก็ ก็แสดงวา่ ความสมบูรณ์ยังน้อย
ประโยชน์ของฟางขา้ ว
เปน็ อาณาจกั รของสัตว์ ทเี่ ปน็ มิตรกับต้นพืช ชว่ ยปรบั โครงสรา้ งของดินให้เกิดความสมดุล ชว่ ย
ลดการระบาดของแมลงศัตรพู ชื ชว่ ยเพ่มิ ปรมิ าณอินทรยี ์วตั ถุในดิน และชว่ ยรกั ษาความชน้ื หน้าดิน
มีคากล่าวหนงึ่ วา่ “ฟางข้าวเปรยี บเสมือนรถมือหนงึ่ ส่วนมูลวัวมูลควายเปรยี บเสมือนรถมือสอง”
วัว-ควาย พวกมันกินหญ้ากินฟางไปบารุงรา่ งกาย ส่วนท่ีเหลือก็ขับถ่ายออกมา ประโยชน์จึงเหลืออยู่
น้อยเม่ือเทยี บกับฟางทยี่ งั ไม่ได้ถกู นาไปใชง้ านเลย
ดังคากล่าวอีกคาหนง่ึ วา่
“ต้องใชม้ ูลววั มูล/ควาย 10 ส่วน จงึ จะเทยี บเทา่ ฟาง 1 ส่วน”
ถ้าหากเรานาฟางขา้ วมาใช้ 130 กิโลกรมั เมื่อมันยอ่ ยสลายแล้ว เราจะได้สารอาหารโดยประมาณดังน้ี
N ไนโตรเจน 8 ขดี
P ฟอสฟอรสั 1 ขดี
K โพแทสเซยี ม 2 กิโลกรมั
SiO2 ซลิ ิกา 13 กิโลกรมั
63
“ฟางข้าว” ธาตุสิลิกาอยู่มาก ซงึ่ จะชว่ ยสรา้ งความแขง็ แรงและความทนทานต่อโรคแมลงให้กับ
ต้นพืชได้อยา่ งดี อยา่ ปลอกเปลือก เปลอื ยดิน.....ให้...ห่มดิน…เลย้ี งดิน ให้ดินเล้ยี งพืช
การห่มดิน คืออะไร การห่มดิน คือ เป็นการปอ้ งกันการระเหยของความชนื้ ทอี่ ยู่ในดิน และเป็น
ที่อาศัยของจุลินทรยี ์ที่มีประโยชน์ จุลินทรยี ์ชอบอยู่ในที่มืดที่มีความชุม่ ชน้ื ซงึ่ จะทาให้จุลินทรยี ์ทางาน
และขยายตัวได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ และจะทาให้ดินมีความสมบูรณ์
การห่มดิน เปน็ วธิ ปี อ้ งกันไม่ให้หญา้ ขนึ้ ในพน้ื ทเี่ ราได้ด้วย เพราะหญา้ โดนคลุมไว้
การห่มดิน เปน็ วธิ กี ารเพิ่มอินทรยี วัตถุให้กับดินหรอื เปน็ การปรบั ปรุงดินก่อนการเพาะปลกู ดิน
ทด่ี ีสังเกตจะมีเชอ้ื ราเกิดข้ึนและต้องใชร้ ว่ มกับนา้ หมักชวี ภาพจะทาให้ดินมีความสมบูรณ์ย่งิ ขึน้ ปลูกหญ้า
แฝกด้วย ใบแฝกก็ตัดมาห่มดินได้ก็เปน็ การดี
การห่มดิน เพื่อให้จุลินทรยี ์ในดินมีความอุดมสมบูรณ์ถ้าเปลือยดินไว้จะทาให้จุลินทรยี ์ตาย
ต้นไม้จะไม่สามารถเจรญิ เติบ
ปญั ญาธรรมชาติรกั ดินต้องปรบั ปรุง
เรอ่ ื งการห่มดินสรุปว่า เป็น “ปัญ ญ าธรรมชาติ ” “รกั ดินต้องปรบั ปรุง รักท้องทุ่งต้องใช้
อินทรยี วัตถุไปปรบั ปรุงดิน” ชว่ งก่อนปี 2553-2554 มีการศึกษาและให้ความสาคัญในเรอ่ ื งนี้ อ.ววิ ัฒน์
ศัลยกาธร กลา่ วไว้ว่าพืชพันธหุ์ รอื ต้นไม้ไม่วา่ พืชชน้ั สูงพชื ชนั้ ต่า ไม้ใหญไ่ ม้เล็กก็ต้องการความสมดุลทาง
ธรรมชาติเชน่ เดียวกันทั้งส้ินบางครงั้ สิ่งท่ีเขาขาดไปเราก็สามารถแต่งเติมธรรมชาติให้เขาได้เชน่ กันโดย
ไม่ทง้ิ ความจรงิ ของธรรมชาติเชน่ การห่มดิน
นักวชิ าการเสรมิ อีกว่า การรกั ษาดินโดย (1) ไม่ซ้าเติมดินคืนจุลินทรยี ์ให้ดินชว่ ยปลุกพระแม่
ธรณีคืนชพี (2) ต้องมีความเขา้ ใจในพื้นทแี่ ต่ละแห่งแล้วลงมือทาอยา่ งมีความหวงั ใบไม้แห้งกิ่งไม้แห้งที่
ล่วงหล่นยามแลง้ อย่ากวาดออกไปปล่อยให้ล่วงหล่นมาห่มดินให้ค่อยๆเรยี กความชนื้ เพิม่ ข้ึนมา(3) ยาม
ท่ฝี นฟ้าคะนองเทน้ามาให้ก็จาบังหน้าดินไม่ให้ถูกกระแทกอย่างรุนแรง แถมยังกักเก็บน้าไว้ให้หน้าดิน
ได้นาน (4) เมื่อมีความชนื้ ความอบอุ่นเหล่าส่ิงมีชวี ติ ตัวเล็กตัวน้อยก็จะมาอาศัยอยู่สรา้ งกิจกรรมตาม
ธรรมชาติแล้วจะนามาการฟ้ ืนแผ่นดิน
ต่อมามีการศึกษาเรยี นรูต้ ่อยอดจากประสบการณ์นาแนวคิดการทาเกษตรผสมผสานตามแนว
ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาปรบั ใช้ โดยการปรบั คุณภาพดินด้วยการ “ห่มดิน” ด้วยฟาง
ข้าว เป็นต้น เพื่อทาให้ดินมีชีวติ การรกั ษาไม้ยืนต้นเดิมท่ีมีอยู่ในพ้ืนที่สวน และเสรมิ พันธุ์ไม้ใหม่ ที่
เหมาะสมกับพืชเดิมท่ีมีอยู่ ด้วยแนวคิดการปลูกพืช 5 ระดับ คือ พืชใต้ดิน พืชเลื้อย พืชพ้นดิน พืชยืน
ต้นระดับกลาง และไม้ยนื ต้นระยะยาว ในพ้ืนทเ่ี ดียวกัน
ดิน เป็นทรพั ยากรธรรมชาติท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิงต่อสิ่งมีชวี ติ เพราะคนเราใชท้ รพั ยากรดิน
เปน็ ท้งั ที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งสรา้ งอาหาร เครอ่ ื งน่งุ ห่ม และยารกั ษาโรค แถมยังใชเ้ ป็นแหล่งกักเก็บน้า
เพ่ือการอุปโภค บรโิ ภค จึงกล่าวได้ว่า ดินเป็นทรพั ยากรข้ันมูลฐาน เป็นตัวการให้ มนุษย์เก็บเกี่ยว
ผลประโยชน์จากทรพั ยากรอ่ืน ๆ ได้เพม่ิ มากข้นึ อยา่ งมหาศาล
การเกษตรทไี่ ม่ทาลายธรรมชาติ ไม่ทาลายดิน ไม่ใชส้ ารเคมีทเ่ี ปน็ อันตรายต่อดิน และให้ความสาคัญกับ
การปรบั ปรงุ ดิน เปน็ หัวใจสาคัญทจี่ ะรกั ษาดินเอาไว้ได้
การ “ห่มดิน” หรอื “คลุมดิน” โดยใชฟ้ าง เศษหญ้า หรอื ใบไม้ท่ีสามารถย่อยสลายได้เองตาม
ธรรมชาติ และใส่อาหารให้แก่ดิน ด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรยี ์ชวี ภาพลงไป เพื่อให้อาหารแก่ดิน แล้วดินจะ
64
ปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรยี ์เรยี กหลักการน้ีว่า “เล้ียงดิน ให้ดิน
เลย้ี งพืช” การปฏิบัติเชน่ นี้ จะทาให้ดินกลบั มามีชวี ติ เปน็ การ “คืนชวี ติ ให้แผ่นดิน”
ประโยชน์ของการห่มดิน
1 เปน็ ทอ่ี ยู่อาศัยของจุลินทรยี ์
2 เปน็ อาหารให้สัตวห์ น้าดิน เชน่ ไส้เดือน ก้ิงกือ ฯลฯ ซง่ึ ชว่ ยพรวนดินและถ่ายมูลเปน็ ปุย๋ ให้พืช
3 เก็บรกั ษาความชน้ื
4 เม่ือยอ่ ยสลายจะกลายเปน็ ฮวิ มัส ซง่ึ เปน็ ปุ๋ยให้กับพชื
ประโยชน์ของจุลินทรยี ์
1 ชว่ ยตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศ ซง่ึ ในอากาศมีก๊าชไนโตรเจนอยู่ถึง 78%
2 ชว่ ยย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์
3 ช่วยย่อยแรธ่ าตุท่ีอยู่ในหิน ลูกรงั ทราย เช่น ธาตุอาหาร กลุ่ม เหล็ก แมงกานีส สังกะสี
ฟอสฟอรสั เปน็ ต้น
4 ชว่ ยผลติ ฮอรโ์ มนให้พืช
5 ชว่ ยผลติ สารปอ้ งกันโรคพชื
วธิ กี ารห่มดิน
ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรอื ใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้น โดยเว้นให้ห่างจากโคน
ต้นไม้ 1 คืบ ห่มหนา 1 คืบ ถึง 1 ฟุต ทาเปน็ วงเหมือนโดนัท โรยด้วยปุย๋ คอก (มูลสัตว)์ บาง ๆ และรด
ด้วยนา้ หมักชวี ภาพผสมน้าเจอื จาง อัตราส่วน 1 : 50-100
ห่มดินในที่ดินผืนใหม่ที่เพ่ิงขุดปรบั พ้ืนท่ี หรอื ดินท่ีเสื่อมสภาพ เพื่อปรบั ปรุงคุณภาพของดิน
ก่อนเรม่ ิ การเพาะปลูก ด้วยการห่มฟาง เศษหญ้า หรอื ใบไม้ ให้หนาอย่างน้อย 1 ฟุต ทงั้ แปลง โรยด้วย
ปุย๋ คอก แลว้ ราดรดด้วยน้าหมักชวี ภาพผสมน้าเข้มข้น อัตราส่วน 1 : 10
โดยวธิ นี ้ี เป็นการระเบิดดินทแ่ี ห้งแข็ง ให้มีความชุม่ ชนื้ (ฟางห่มคลุมดินเพื่อลดการระเหยของ
น้าในดิน ปุ๋ยคอกท่ีใส่เพ่ือเพิ่มอินทรยี วัตถุ น้าหมักทาหน้าท่ีย่อยสลายท้ังปุ๋ยและฟาง ให้กลายเป็น
อินทรยี วตั ถไุ ด้เรว็ ข้ึน) ซงึ่ วธิ นี ้ีอาจต้องใชเ้ วลา 3 เดือนขนึ้ ไป โดยยังไม่ควรปลูกพืชใด ๆ เพราะน้าหมักท่ี
เขม้ ขน้ อาจทาให้ต้นไม้ตายได้
เกษตรกรรม กับ กสิกรรม
คาวา่ กสิกรรม และ เกษตรกรรม ต่างกันอยา่ งไร
คาว่า กสิกรรม กับคาว่า เกษตรกรรม มีความหมายต่างกัน ดังน้ี
คาว่า กสิกรรม มาจากคาบาลีว่า กสิกมฺม (อ่านว่า กะ-สิ-กัม-มะ) ซึ่งหมายถึง การเพาะปลูก,
การไถ ในภาษาไทยคาว่า กสิกรรม เขียนคาว่า กรรม ตามแบบสันสกฤต คือ ก ไก่ ร หัน ม ม้า
หมายถึง การทาไรไ่ ถนา ใชต้ รงกับคาภาษาอังกฤษว่า farming (อ่านวา่ ฟารม์ -มิ่ง)
ส่วนคาวา่ เกษตรกรรม มาจากคาสันสกฤตว่า เกฺษตฺร (อ่านว่า เกฺสด-ตฺระ) ซง่ึ หมายถึง “นา” กับ
คาว่า กรฺม (อ่านว่า กัร-มะ) ซึง่ หมายถึง การกระทา คาว่า เกษตรกรรม ใช้ตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า
agriculture (อ่านวา่ อะ-กฺร-ี คัล-เชอ่ ร)์ หมายถึง การใชป้ ระโยชน์จากทด่ี ิน เชน่ การเพาะปลกู พชื ต่าง ๆ
การปา่ ไม้ รวมทงั้ การเล้ยี งสัตว์ และการประมงด้วย
65
เกษตรกรรม คือวถิ ีชวี ติ แห่งสังคมไทย
สังคมไทยมีรากฐานมาจากสังคมเกษตรกรรมการสังคมไทยมีรากฐานมาจากสังคมเกษตรกรรม
การปลกู ข้าวเปน็ การผลติ ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ วถิ ีชวี ติ ของคนเพาะปลูกข้าวจงึ เปน็ พื้นฐานสาคัญ
ในการรงั สรรค์วัฒนธรรมในด้านต่างๆ ท้ังวัฒนธรรมการเมือง การปกครอง วัฒนธรรมการกินอยู่
วฒั นธรรมทางความคิด ความเชอื่ วัฒนธรรมทางภาษา และตลอดจนการแสดงออกต่างๆ ซงึ่ รวมเรยี ก
ได้วา่ เปน็ วฒั นธรรมข้าว (Rice Culture)
ในด้านการเมือง การปกครอง หรอื การจดั ระเบียบทางสังคมของ ชุมชน วัฒนธรรมข้าว เชน่
สังคมไทยในอดีต สุภางค์ จนั ทวานิช เสนอบทความไว้ใน งานสัมมนา "วัฒนธรรมข้าวในสังคมไทย" ว่า
วธิ กี ารเพาะปลูกข้าวแบบนาดาเป็นเงอ่ ื นไขสาคัญทท่ี าให้เกิดการจดั ระเบียบการปกครองแบบศักดินา
ขึ้น เน่ืองจากในการเพาะปลูกข้าวแบบนาดาซ่งึ เป็นวธิ กี ารผลิตของชุมชนท่ีต้ังถิ่นฐานมั่นคงมีการนา
ระบบชลประทานเข้ามาชว่ ยในพ้ืนที่ที่น้าหลากเข้าไปไม่ถึง ต้องใชแ้ รงงานจานวนมาก ต้ังแต่เรม่ ิ ทาคัน
น้า ขุดคลองส่งน้า ตกกล้า ทานา จนไปถึงการเก็บเก่ียวผลผลิต ดังน้ัน แรงงานจงึ เปน็ ปัจจยั สาคัญใน
การผลิตของสังคมศักดินาจานวนแรงงานในสังกัด ผนวกกับขนาดทด่ี ินท่ีใชเ้ พาะปลูก จงึ เป็นตัววัดยศ
ของผู้ปกครอง ดังน้ัน ศักดินา จงึ หมาย อานาจในการถือทนี่ า เปน็ ตัวกาหนดขนาดทด่ี ินทีเ่ พาะปลูกข้าว
และจานวนแรงงานทใี่ ชใ้ นการเพาะปลูก เนื่องจากการเพาะปลูก คือ หัวใจของการผลิตในสังคมศักดินา
จึงต้องกาหนดให้มีการดูแลกิจกรรมการปลูกข้าวเป็นพิเศษ กรมหลักในจตุสดมภ์ ซง่ึ เป็นหลักสาคัญ
ของการปกครองของไทยมาต้ังแต่สมัยกรุงศรอี ยุธยา จึงปรากฏ กรมนา มีเสนาบดีนา หรอื เกษตราธิ
การ มีหน้าทด่ี ูแลนาหลวง สนับสนุนให้ ราษฎรทานา เก็บภาษีนา ซอ้ื ข้าวเข้าฉางหลวง ตลอดจนตั้งศาล
ชาระความเกี่ยวกับทนี่ า และวัวควาย
เกษตรกรรมคือวถิ ีชวี ติ แห่งสังคมไทย
การจัดการระเบียนการปกครองด้วยระบบศักดินา ได้ดาเนินมาจนถึงสมัยรตั นโกสินทร์ ใน
รชั กาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปฏิรูป การปกครองเป็นระบบมณฑล
เทศาภิบาล และยกเลิกระบบศักดินาไป มีการ ต้ังกระทรวงเกษตรพนิชการขึ้นแทนกรมนา เมื่อวันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ต่อมาเปล่ียนชอื่ เปน็ กระทรวงเกษตราธกิ าร และ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใน
ปจั จุบัน
ถึงแม้ระบบศักดินาจะถูกยกเลิกไป แต่ความสัมพันธแ์ บบอุปถัมภ์ระหว่าง “นาย” กับ “ไพร"่
ยังคงตกค้างอยู่ในสังคมไทย ระบบอุปถัมภ์แบบ “นาย กับบ่าว” ได้ววิ ัฒน์มาเปน็ “เจา้ นายกับลูกน้อง”
ในปจั จุบนั สรปุ ได้ว่าแม้ การเพาะปลกู ข้าวจะไม่ใชก่ ารผลิตทส่ี าคัญทสี่ ุดอีกต่อไป แต่ระเบียบสังคมทถี่ ูก
สรา้ งขึน้ จากสังคมวฒั นธรรมขา้ วกลบั ฝงั รากลกึ ย่ิงในสังคมไทย
ในด้านความคิดความเชอ่ื ของชุมชนในวัฒนธรรมข้าวแสดงออกในรูปของ พิธกี รรมเพ่ือความ
อุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นการอ้อนวอนธรรมชาติ หรอื เทพแห่งธรรมชาติ ให้อานวย
ความอุดมสมบูรณ์แก่ผลผลิตทไ่ี ด้ลงแรงผลติ ไป ซงึ่ รวมความถึงความอยู่เย็นเปน็ สุขของครอบครวั และ
ความมั่นคงของชุมชน พิธกี รรมที่เก่ียวกับข้าวและการทานา หรอื รวมเรยี กว่า พิธกี รรมที่เก่ียว ข้องกับ
การเพาะปลกู จงึ เปน็ พิธกี รรมสาคัญของชุมชนวฒั นธรรมข้าว เชน่ สังคมไทย
66
หากจะนับเวลากิจกรรมตั้งแต่เรม่ ิ ทานาถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต ต้องใช้เวลา ถึง ๙ เดือน ตลอด
ระยะเวลาดังกล่าว คนไทยได้จัดให้มีพิธีกรรมในทุกข้ันตอน เรม่ ิ ต้ังแต่ พิธกี รรมบวงสรวง อ้อนวอน
เสี่ยงทายในชว่ งก่อนการเพาะปลูก หรอื ขณะเพาะปลูก เชน่ พิธเี ซน่ ไหว้ผีบ้านผีเมือง หรอื อารกั ษ์ หลัก
เมือง พิธกี รรม ขอฝน ฯลฯ เม่ือเพาะปลูกก็มีการอ้อนวอนขอให้การเพาะปลูกดาเนินไปด้วยดี เชน่ พิธี
แรกไถนา พิธเี ชญิ ขวัญแม่โพสพลงนา ฯลฯ มีการจดั พิธกี รรมเพื่อการบารุง รกั ษาต้นกล้าให้เจรญิ งอก
งาม เชน่ พิธรี บั ขวัญแม่โพสพ ฯลฯ เม่ือถึงฤดูกาล เก็บเกี่ยวก็มีพิธแี สดงความอ่อนน้อมต่อ ธรรมชาติ ที่
บันดาลให้ได้ผลผลติ เชน่ พิธที าขวญั ขา้ ว ทาขวัญลาน ทาขวัญอุ้งข้าว เปน็ ต้น ทา้ ยสุดก็ คือพธิ กี รรมเพื่อ
เฉลิมฉลองผลผลิตท่ีได้ เชน่ พิธกี วนข้าวทิพย์ พิธบี ุญข้าวจี่ ฯลฯ ตลอดจนแสดง ความกตัญญูต่อผู้มี
บุญคณุ ในการเพาะปลูก ซง่ึ ได้แก่ พิธสี ู่ขวญั วัวควาย เปน็ ต้น
เม่ือสังคมไทยรบั ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ เข้ามาในภายหลัง ศาสนาทั้งสองก็ได้ผสม
กลมกลืนกับความเช่ือดั้งเดิมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ในพิธีกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกมีการ
ผสมผสานแนวคิดไว้อย่างชดั เจน ดังเชน่ พระราชพธิ จี รดพระนงั คัลแรกนาขวัญ เปน็ ต้น
ในปัจจุบันเมื่อความต้องการข้าวมีมากข้ึน มีการนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามามีบทบาทในการ
ผลิต พิธกี รรมเหล่าน้ีค่อยๆ ลดบทบาทลงจากการอ้อนวอน เพ่ือขอฝนจากเทวดา เปลี่ยนเป็นการทา
ฝนเทียม หรอื ใช้เทคโนโลยี การชลประทานจากการใช้แรงงานวัวควายเปลี่ยนมาเป็นใช้แรงงาน
เครอ่ ื งจกั รกล จากการอ้อนวอนขอความเมตตาจากเทวดาเพ่ือความอุดมสมบูรณ์ เปล่ยี นเปน็ การใส่ปุย๋
ใชย้ าฆ่าแมลง ฯลฯ เทคโนโลยีทนั สมัยเหล่าน้ีได้เข้ามาแทนที่พิธกี รรมดั้งเดิม จงึ ปรากฏว่าพิธกี รรมใน
การเพาะปลูกของคนไทยเปน็ พธิ กี รรมทห่ี มดไปเรว็ ทส่ี ุดก่อนพิธกี รรมประเภทอื่นๆ
กสิกรรม
การกสิกรรม หมายถึงการเพาะปลูกพชื หรอื การนาพืชมาปลกู เพื่อใชป้ ระโยชน์ในการบรโิ ภคหรอื
ใชส้ อยน้ัน เชอ่ื กันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์เรม่ ิ รูจ้ ักการตั้งถิ่นฐานเปน็ หลักแหล่งก่อนยุคประวัติศาสตรท์ ี่
เรยี กวา่ นีโอลทิ คิ (neolithic age) เมื่อประมาณ 10,000 ปกี ่อน ค.ศ. มาแลว้ เม่ือกล่าวถึงประวัติหรอื
การพัฒนาการของการกสิกรรมซงึ่ ถือได้ว่าเป็นอารยธรรมสาคัญอย่างหน่ึงของมนุษย์นั้นอาจจะแบ่ง
ออกเปน็ ยุคต่างๆทม่ี ีการเปล่ียนแปลงครงั้ ใหญ่ๆ จากหลกั ฐานทางโบราณคดีละทางประวตั ิศาสตรอ์ ื่นๆ
ประวัติการกสิกรรมของประเทศไทย
การกสิกรรมของประเทศไทยเชื่อว่ามีมานานต้ังแต่สมัยดึกดาบรรพ์มาแล้ว ท้ังน้ีเน่ืองจากว่า
ดินแดนทเ่ี ปน็ คาบสมุทรอินโดจนี น้ีมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพชื พรรณธญั ญาหารมากทส่ี ุดแห่งหนง่ึ ของ
โลก จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่าเม่ือประมาณ 10,000 ปีท่ีผ่านมาน้ันมีมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทาง
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เชน่ ในบรเิ วณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เลย หนองคาย
นครพนม อุบลราชธานี เป็นต้น รูจ้ ักบรโิ ภคอาหารชนิดต่างๆ มากกว่า 100 ชนิดแล้ว มีหลักฐานการ
ปลูกข้าวที่บ้านโนนนกทา จงั หวัดขอนแก่น เม่ือ 6,000 ปี และภาพเขียนที่ผาแต้ม ท่ีอาเภอโขงเจยี ม
จงั หวัดอุบลราชธานี แสดงการปลูกข้าวในพ้ืนทนี่ ้าขงั และมีการควบคุมน้า มีการเล้ยี งสัตว์ เชน่ วัว ควาย
ไก่ กับมีเครอ่ ื งมือจบั ปลาใหญ่ในแม่น้าโขง ส่วนทจ่ี งั หวัดอุดรธานีพบแหล่งอารยธรรมโบราณบ้านเชยี ง
ซงึ่ รจู้ กั เล้ยี งหม่อนไหมและกัญชา สาหรบั ทอผ้าใชก้ ่อนประเทศจนี ถึง 1,000 ปี ทง้ั ยังมีเครอ่ ื งป้ นั ดินเผา
67
มีลวดลายสวยงาม นอกจากนี้ในชว่ งเวลาดังกล่าวยังพบการถลุงเหล็กในอิสานตอนใต้หลายแห่งเพ่ือ
นาไปใชเ้ ปน็ เครอ่ ื งมือทางการเกษตร เชน่ ไถหัวโลหะท่ใี ชล้ ากจูงด้วยสัตว์เลี้ยง เป็นต้น เป็นการแสดง
ให้เห็นวา่ อารยธรรมของชุมชนโบราณในแถบนี้มีมานานไม่แพแ้ หลง่ อารยธรรมในยุคเดียวกันของอิยิปต์
โบราณดังได้กล่าวมาแล้วตอนต้น ครน้ั มาในช่วงระหว่าง 6,000-1,200 ปี มีการสรา้ งเมืองสรา้ ง
อาณาจกั รมากขึ้นมีการกสิกรรมและเลี้ยงสัตว์เป็นหลักแหล่งมากข้ึน เชน่ อาณาจกั รขอม จาปา และ
เมืองโบราณของไทยหลายแห่งโดยได้รบั อิทธิพลทางด้านอารยธรรมและศาสนาจากอินเดียและ
ทางด้านเศรษฐกิจ การค้าและการกสิกรรมจากจนี อิทธพิ ลของอาณาจกั รขอมได้แผ่ความเจรญิ มาทาง
ภาคอีสานและภาคกลาง เชน่ อาณาจักรทวาราวดี ซ่ึงมีหัวเมืองสาคัญต่างๆ เชน่ อู่ทอง นครชยั ศร ี อู่
ตะเภา จนั เสน กาแพงแสน เสมา เปน็ ต้น ได้กลายเปน็ ศูนย์กลางการค้าทส่ี าคัญมีสินค้าจาพวกสมุนไพร
ท่ไี ด้จากปา่ เป็นหลัก ได้แก่ พรกิ ไทย ดีปลี กระวาน กานพลู เปน็ ต้น มีหลักฐานปรากฏว่าหลายหัวเมือง
รจู้ กั การขุดคชู กั นา้ เพื่อการกสิกรรม
ตัวห้า ตัวเบียน การจดั การแมลงด้วยระบบนิเวศที่สมดุล
ตัวห้า ตัวเบียน คืออะไร
ตัวห้า – ห้าห่ัน – สัตวห์ รอื แมลงทล่ี า่ แมลงและหนอนทก่ี ินพชื เปน็ อาหาร
ตัวเบียน – เบยี ดเบียน – สัตวห์ รอื แมลงทเ่ี ปน็ ปรสิต เบยี ดเบียนแมลงและหนอนทกี่ ินพชื เปน็ อาหาร
สาเหตุของการท่ีศัตรูพืชทั้งหนอนและแมลงเข้าทาลายสวนของหลายๆ คน เกิดจากการใช้
ปุย๋ เคมี(ปุย๋ สังเคราะห์)มาเป็นระยะเวลานานจนมีการสะสมส่วนทเ่ี หลือของ N (Nitrogen) กลายเปน็ ไน
เตรทท่ีดึ งดูดแ มลงเลือดสี ฟ้ าเข้าม า แ ละมี การศึ กษาพบว่าการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์ ( Synthetic
Fertilizers) ดึงดูดแมลงศัตรูพืช (แหล่งที่มา Earth Kind Gardening, 1993) และการศึกษาวจิ ัย
หลายชน้ิ หลงั จากน้ันก็ยนื ยนั วา่ การใชป้ ุย๋ เคมีสังเคราะห์ดึงดูดให้โรคและแมลงศัตรพู ชื เข้ามารุมทง้ึ พืช
เมื่อพืชถูกแมลงศัตรูพืชรบกวน ชาวสวนก็ไปซอ้ื ยาฆ่าแมลงมาใชฉ้ ีดพ่น ฆ่าท้ังแมลง หนอน ท่ี
เป็นศัตรูกับพืชในแปลง แล้วก็ฆ่าแมลงตัวห้าตัวเบียนที่เป็นตัวควบคุมปรมิ าณประชากรของศัตรูพืช
ของคุณไปซะด้วยเลย แล้วหลังจากนั้นก็ต้องใชย้ าฆ่าแมลงตลอดเป็นวงจรอุบาทว์เรอ่ ื ยไปเพราะไม่มี
ยาม ไม่มีผู้พทิ กั ษ์ (ตัวหา้ ตัวเบยี น) คอยชว่ ยปกปอ้ งชว่ ยกาจดั ศัตรพู ชื ให้
การป้องกันกาจัดศัตรูพืช ในทางธรรมชาติ(เกษตรอินทรยี ์) เราให้ความสาคัญกับตัวห้า-ตัว
เบียน มากท่ีสุดครบั สาหรบั คนทใ่ี ชส้ ารเคมีในการป้องกันกาจดั ศัตรูพืชก็อยากให้ลองทบทวนค่านิยมดู
ใหม่ แล้วหันมาหาใช้วธิ ีป้องกันและกาจัดศัตรูพืชโดยวธิ ีธรรมชาติ หรอื โดยการใช้สารสกัดจาก
ธรรมชาติมาทดแทนสารเคมีอันตรายกัน
วันนี้เรามาทาความรูจ้ กั กับ ตัวหา้ และตัวเบียนกันเถอะ
ตัวหา้ เปน็ ส่ิงมีชวี ติ ทกี่ ินศัตรพู ชื เปน็ อาหารครบั ซง่ึ แบ่งตัวห้าออกเปน็ 2 กลมุ่ ดังน้ี
- กลุม่ ทเ่ี ปน็ แมลง เชน่ แมลงปอ ด้วงเต่า มวน แมลงชา้ ง แมลงหนีบ เปน็ ต้น
- กลุม่ ทไี่ ม่ใชแ่ มลง เชน่ แมงมุม ไร นก งู มด เปน็ ต้น
ตัวห้า 1 ตัว ตลอดชว่ งชีวติ สามารถกินศัตรูพืชได้เป็นจานวนมาก จึงมีบทบาทสาคัญในการ
ควบคุมปรมิ าณศัตรูอย่างย่ิง ขอยกตัวอยา่ งดังต่อไปนี้
- มวนเพชฌฆาต มวนพิฆาต ชอบกิน หนอนทกุ ชนิดและแมลงทมี่ ีลาตัวน่มุ
68
- แมลงชา้ งปกี ใส ด้วงเต่าตัวห้า ชอบกิน เพล้ียชนิดต่างๆ ไขแ่ ละหนอนศัตรูพชื
- ไรตัวห้า ชอบกิน ไรศัตรพู ชื และเพล้ียไฟ
- แมลงหางหนีบ ชอบกิน เพล้ยี ชนิดต่างๆ ไข่ และหนอนศัตรูพืช รวมทง้ั แมลงทมี่ ีลาตัวอ่อนน่มุ
ข้อเปรยี บเทยี บระหว่างการใชส้ ารเคมีและการใชต้ ัวหา้ ควบคุมศัตรูพืช
ใชส้ ารเคมีกาจดั แมลงและหนอน ผลท่ไี ด้
* แก้ปญั หาได้เฉียบพลันแต่ชว่ งระยะส้ัน ๆ
* สิ้นเปลอื งเพราะต้องเสียค่าสารเคมีและค่าจา้ งพน่
* สารเคมีทกุ ชนิดอันตรายต่อคน สัตวแ์ ละส่ิงแวดลอ้ ม (ตกค้าง สะสม โดยเฉพาะในตัวเราเอง)
* ทาให้แมลงต้านทานสารเคมี(ด้ือยา)และเกิดศัตรพู ืชชนิดใหม่ ถึงใชห้ ลายตัววนกันก็เถอะ
การมีตัวหา้ ผลท่ีได้
* แก้ปญั หาได้อยา่ งยง่ั ยนื
* ประหยดั ไม่ต้องซอ้ื (ขยายพันธเุ์ อง) ไม่ต้องจา้ ง (กินศัตรูพืชในสวนเรา)
* ปลอดภัยเพราะมีอยูใ่ นธรรมชาติ
* ชว่ ยให้ธรรมชาติสมดุลไม่มีศัตรพู ืชระบาด
ตัวเบียน ตัวเบียดเบียนตามธรรมชาติของศัตรพู ชื
ตัวเบยี น สัตว์ทเี่ บียดเบียนอยู่บนหรอื อยูใ่ นศัตรูพืชเพ่ือการขยายพันธแุ์ ละเจรญิ เติบโต หรอื อยู่
ด้วยจนครบวงจรชวี ติ ทาให้เหยื่ออ่อนแอและตายในทส่ี ุดมีทง้ั ทเ่ี ปน็ แมลงและสัตวอ์ ื่นๆ เชน่ แตนเบยี น
และไส้เดือนฝอย เปน็ ต้น
ตัวเบียนแตกต่างจากตัวห้าตรงท่ีสามารถเข้าทาลายศัตรูพืชได้ทุกระยะ เชน่ ตัวเบียนไข่ ตัว
เบียนหนอน ตัวเบียนดักแด้ ตัวเบียนตัวเต็มวัย ตัวเบียนต้องดารงชวี ติ จนครบวงจรชีวติ ในเหยื่อจึง
เสาะหาศัตรพู ชื เพือ่ เปน็ แหล่งอาหารและขยายพันธุ์
แม้ตัวเบียนมีความจาเพาะเจาะจงต่อศัตรูพืชแต่ก็เป็นแมลงที่มีมากท้ังชนิดและปรมิ าณจึงมี
บทบาทในการลดปรมิ าณศัตรพู ชื ลงอย่างมาก
ตัวอย่างตัวเบียนชนิดต่างๆและเป้าหมาย
- แตนเบยี นไข่ทรคิ โคแกมม่า ตัวเมียวางไขใ่ นไข่แมลง
- แตนเบยี น หนอน ชอนใบส้ม ตัวเมียวางไข่ในหนอน
- แตนเบียนมวนลาไย ตัวเมียวางไข่ในมวนลาไย
- แตนเบียนหนอนโคทเี ชยี ตัวเมียวางไขใ่ นตัวหนอน
- ไส้เดือนฝอยตัวเบยี น เข้าไปอาศัยกินและขยายพันธุ์ ปล่อยสารพิษในเหย่ือทเี่ ปน็ หนอนชนิดต่างๆ
วธิ แี ก้ไขและฟ้ ืนคืนกระบวนการท้งั หมด
หยุดการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์(ปุ๋ยเคมี) สารกาจัดวัชพืช สารกาจัดศัตรูพืช เพื่อเปล่ียนมาเป็น
กระบวนการธรรมชาติ (ข้นั ตอนนี้ใชร้ ะยะเวลา แต่ผลทจี่ ะได้ค้มุ ค่า)
หันมาใส่ปุย๋ ชวี ภาพ ปุย๋ หมักชวี ภาพ นา้ หมักชวี ภาพแทน ระหว่างการฟ้ ืนคืนนี้ ดินในแปลงทเ่ี คย
ใชเ้ คมียงั คงมีปุย๋ สังเคราะห์หลงเหลอื อยู่ ซง่ึ แน่นอนจะยงั มีแมลงศัตรูพชื รบกวนอยู่ได้จากการดึงดูดเข้า
มา ให้ใชว้ ธิ กี ารปอ้ งกันแบบธรรมชาติแทนครบั สูตรหมักไล่แมลง นา้ ส้มควนั ไม้ สารสะเดาหมัก เชอ้ื บีที
บวิ เวอเรยี เมธาไรเซยี ม ฯลฯ
69
ปลูกพชื สมุนไพรแทรกแซมไว้ระหวา่ งพืชประธาน เชน่ ตะไคร้ ข่า ขิง ไพร กระวาน กระชาย ฯลฯ
แมลงจะหนีพืชจาพวกน้ี แถมเก็บขายได้อีกด้วยครบั
เม่ือผ่านไประยะหนึ่ง (แต่ละสวนใชเ้ วลาไม่เท่ากันนะครบั ขึ้นอยู่กับสภาพดินเสียมากน้ อยแค่
ไหน) ดินเรม่ ิ มีหญ้าปกคลุม ดินมีชวี ติ มีไส้เดือน มีสัตวห์ น้าดิน สัตว์ในดิน มีหยากไยแ่ มงมุมในสวน น่ัน
ละครบั ตัวหา้ ตัวเบยี น ยามผู้ดูแลรกั ษาสวนของคุณได้กลับมาแล้ว ถึงตรงน้ีเบยี รด์ ีใจด้วยครบั แสดงว่า
กระบวนการสมดุลธรรมชาติถูกฟ้ ืนคืนมาได้แล้ว
สุดทา้ ยแลว้ ถ้ายังคงทาเกษตรแบบเคมี เราจะเปน็ อินทรยี ์ได้หรอื ไม่ แน่นอนว่าหลายๆ คนกลัว
ว่าแมลงศัตรพู ืชจะมารุมแทะสวนของเราเพราะไม่ได้ใชส้ ารเคมีปอ้ งกัน แต่อยา่ ลมื ว่า
1. ใชป้ ุย๋ เคมีดึงดูดแมลงศัตรพู ืช
2. เขา้ วงจรใชส้ ารกาจดั ศัตรพู ชื ตัวหา้ ตัวเบียนตายไปด้วย แต่สวนเรามี
3. สวนเราพืชแข็งแรงทนทานต่อโรคและแมลง สวนเบียรไ์ ม่เคยฉีดยาเกี่ยวกับแมลงเลย ไม่มี
ปญั หาใดๆ เลย ผลผลติ ก็สวยงาม รสชาติก็ดี ราคาก็ได้สูงกวา่ เพราะขายเองได้
กระแสอาหารสุขภาพกาลังเปน็ ทตี่ ้องการของตลาดมากข้นึ เรอ่ ื ยๆ เม่ือยุคสมัยเปลยี่ นไป ความรู้
ท่ีมากข้ึนทาให้เราเข้าใจมากข้ึนว่าส่ิงใดดีหรอื ไม่ดีกับเรา วันน้ีอยู่ที่คุณตัดสินใจว่าจะนาหน้าคนอ่ืนไป
ก่อน หรอื ถึงเวลาทคี่ ุณจะต้องเปลี่ยนบา้ งแล้วถึงค่อยมาทาตามหลงั เกษตรอินทรยี ค์ ือวถิ ีทยี่ ่ังยืน
70
2.2 นิยาม 5
(กาหนดอันแน่นอน, ความเปน็ ไปอันมีระเบยี บแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ
- orderliness of nature; the five aspects of natural law)
1. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรอื ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะดินน้า
อากาศ และฤดูกาล อันเปน็ สิ่งแวดล้อมสาหรบั มนุษย์-physical inorganic order; physical laws)
2. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพนั ธุ์ มีพันธกุ รรมเปน็ ต้น - physical organic order;
biological laws)
3. จติ ตนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ียวกับการทางานของจติ - psychic law)
4. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนษุ ย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทา -
order of act and result; the law of Kamma; moral laws)
5. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธแ์ ละอาการท่ีเป็นเหตุเป็นผลแก่กันแห่งส่ิง
ท้ั ง ห ล า ย - order of the norm; the general law of cause and effect; causality and
conditionality) ที่มา
71
ในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท แบ่งนยิ าม 5 มีรายละเอียด ดังน้ี
1. อุตุนิยาม (Physical Laws) หมายถึง ธรรมชาติท่ีเกี่ยวกับอุณหภูมิและฤดูกาล เป็น
ปรากฏการณ์ทเี่ ก่ียวกับ ดิน นา้ ลม ฟ้าอากาศ อันเปน็ ส่ิงแวดลอ้ มสาหรบั มนุษย์
2. พีชนิยาม (Biological Laws) หมายถึง กฎเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์
เมล็ดพชื รวมทง้ั พันธุกรรม
3. จติ ตนิยาม (Psychological Laws) หมายถึง กฎธรรมชาติเกี่ยวกับกลไกทางานของจติ กฎ
ทก่ี าหนดว่าองค์ประกอบของจติ แบบนี้จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมทางจติ และการทางานของจติ
4. กรรมนิยาม (Moral Laws) หมายถึง กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ
กระบวนการให้ผลของกรรม ระบบจรยิ ธรรม เป็นการให้ผลของกรรมที่ประกอบด้ วยความจงใจ แบ่ง
ออกเปน็ 2 ฝ่าย ฝา่ ยกรรมดีและฝา่ ยกรรมชวั่ ได้แก่ กระบวนการให้ผลของกรรมระบบจรยิ ธรรม
5. ธรรมนิยาม (Causal Laws) หมายถึง กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพันธแ์ ละความเปน็ เหตุ
เปน็ ผลหรอื เปน็ ปจั จยั แก่กันของส่ิงทงั้ หลาย (สมภาร พรมทา, 2540)
หลักนิยาม 5 จึงเปน็ เรอ่ ื งของกฎของกระบวนการธรรมทางกายภาพทไี่ ม่มีชวี ติ (อุตุ นิยาม) กฎ
ทางชวี ภาพ (พีชนิยาม) กฎทางจติ วทิ ยา (จติ วทิ ยา) กฎของพฤติกรรมมนุษย์ (กรรมนิยาม) และกฎของ
พฤติกรรมมนุษย์ (ธรรมนิยาม)
สรรพส่ิงลว้ นเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
สรรพสิ่งทเี่ ปน็ สังขตธรรมล้วนดาเนินไปตามระเบียบที่แน่นอน เรยี กว่ากฎธรรมชาติหรอื นิยาม
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือ กฎเกณฑ์ย่อยๆ ที่ควบคุมความเปน็ ไปของสังขตธรรม ได้แก่
อุตุนิยาม พีชนิยาม จติ ตนิยาม และกรรมนิยาม ส่วนทีส่ อง คือกฎเกณฑ์ใหญ่ท่คี วบคุมกฎเกณฑ์ย่อยๆ
หรอื ความเป็นไปของสังขตธรรม กฎเกณฑ์นั้นคือ ธรรมนิยาม ส่วนสังขตธรรม ได้แก่นิพพานน้ันไม่
ดาเนินไปตามกฎเกณฑใ์ ด ไม่ว่าจะเป็นอุตุนิยม พีชนิยาม จติ ตนิยาม กรรมนิยาม หรอื ธรรมนิยาม (ไตร
ลักษณ์และปฏิจจสมุปบาท) กฎเกณฑ์หรอื นิยามท่ีควบคุมความเป็นไปของสังขตธรรม ประกอบด้วย
นิยามทง้ั 5 ประการ ดังนี้
1. อุตุนิยาม คือ ความสม่าเสมอคงทใี่ นธรรมชาติ ส่วนท่เี กี่ยวกับวตั ถุหรอื กฎธรรมชาติเก่ียวกับ
วัตถุที่ไม่มีชวี ติ เชน่ สสารและพลังงาน ดังที่ (สมภาร พรมทา, 2546) ได้สรุปเนื้อหาของอุตุนิยามจาก
เนื้อหาที่กระจัดกระจายอยู่ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาไว้ 4 ประการ คือ (1) วัตถุทุกอย่ างมี
ความสัมพนั ธถ์ ึงกัน (2) ระหวา่ งวตั ถุทงั้ สองชน้ิ ท่ีเกี่ยวเน่ืองกัน ในแงท่ ส่ี ่ิงหนงึ่ เปน็ สาเหตุและอีกส่ิงหนึ่ง
เป็นผล มีระเบียบความสม่าเสมอและกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน (3) ภายในวัตถุแต่ละชนิ้ มีความเป็นระเบียบ
สม่าเสมอและมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน (4) ในโลกแห่งวัตถุ สาเหตุอย่างเดียวย่อมส่งผลเหมือนกัน อุตุ
นิยามนั้นเป็นกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ซง่ึ สามารถนามาอธบิ ายปรากฏการณ์ทางวัตถุต่างๆ ได้ เชน่
อธิบายอุณหภูมิหรอื สภาพภูมิอากาศ ฤดูกาล และการเคลื่อนท่ีของวัตถุ รวมทั้งปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติต่างๆ
2. พีชนิยาม คือ ความสม่าเสมอคงทีใ่ นธรรมชาติ ส่วนท่ีเก่ียวกับสิ่งมีชวี ติ เชน่ มนุษย์ พืช สัตว์
เน้ือหาของพชี นิยาม คือ (1) ส่ิงมีชวี ติ ทกุ ชนิดมีความสัมพนั ธเ์ นื่องกันไป (2) ระหว่างสิ่งมีชวี ติ สองหน่วย
ท่ีเกี่ยวเนื่องกันในแง่ท่ีสิ่งหน่ึงเป็นสาเหตุและอีกสิ่งหนึ่งเป็นผล มีระเบียบ ความสม่าเสมอ และมี
72
กฎเกณฑ์ที่แน่นอน (3) ภายในส่ิงมีชีวติ แต่ละหน่วยมีความเป็นระเบียบ ความสม่าเสมอ และมี
กฎเกณฑ์ทแ่ี น่นอน (4) ในโลกแห่งสิ่งมีชวี ติ สาเหตุอย่างเดียวกันย่อมส่งผลเหมือนกัน
3. จิตตนิยาม คือ ความสม่าเสมอคงท่ีในธรรมชาติ ส่วนที่เก่ียวข้องกับจิตใจหรอื เป็นกฎ
ธรรมชาติที่เก่ียวกับกลไกการทางานของจติ เนื้อหาของจติ ตนิยาม คือ (1) จติ ทุกดวงมีความสัมพันธ์
เน่ืองกัน (2) ระหว่างจิตสองดวงทเี่ กี่ยวเน่ืองกันในแง่ท่ีดวงหน่ึงเป็นสาเหตุ และอีกดวงหนง่ึ เป็นผล มี
ระเบียบ ความสม่าเสมอและมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน (3) ภายในจติ แต่ละดวงมีความเป็นระเบียบ ความ
สม่าเสมอและมีกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน (4) ในโลกแห่งจิต สาเหตุอย่างเดียวกันย่อมก่อให้เกิดผลอย่าง
เดียวกัน
4. กรรมนิยาม คือ ความสม่าเสมอคงทใี่ นธรรมชาติ ส่วนทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการให้ผลของกรรม หรอื
กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมท่ีประกอบด้วยความจงใจ (เจตนา) ท้ังการกระทาดีและการ
กระทาท่ไี ม่ดี ดังทด่ี ังที่ สมภาร พรมทา ได้กลา่ วถึงเน้ือหาของนิยาม คือ (1) กรรม หรอื การกระทาที่เกิด
จากความจงใจ ทุกอย่างมีผลสนองตอบผู้กระทาเสมอ ยกเว้นกรรมที่ไม่อาจส นองตอบ เพราะตัว
ผู้กระทากรรมไม่มีตัวตนในสังสารวัฏอีกแล้ว (อโหสิกรรม) (2) กรรมมีสองประเภท คือ กรรมดีและ
กรรมชวั่ กรรมดีย่อมก่อให้เกิดผลตอบสนองที่ดี กรรมชัว่ ย่อมก่อให้เกิดผลตอบสนองชว่ั เสมอ (3)
ระหว่างกรรมและผลของกรรม มีระเบียบ ความสม่าเสมอและกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน กรรมอย่างเดียวกัน
กระทาโดยบุคคลทีม่ ีคุณสมบัติเหมือนกัน และกระทาต่อสิ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันย่อมอ านวยวบิ าก
เหมือนกัน นอกจากนิยามทั้ง 4 ซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ความเป็นไปของสังขตธรรมท้ังหลายแล้ว ยังมี
กฎเกณฑ์หรอื นิยามที่ครอบคลุมนิยามท้ัง 4 ดังกล่าว กฎเกณฑ์น้ันเรยี กว่า ธรรมนิยาม ส่วนอสังขต
ธรรม ได้แก่ นิพพานน้ันมิได้ดาเนินไปตามนิยามทั้ง 4 และกฎธรรมนิยามหรอื กฎอื่นใด ดังนั้น จงึ กล่าว
ได้วา่ ธรรมนิยาม คือกฎเกณฑท์ ค่ี วบคุมความเปน็ ไปของสรรพส่ิงยกเวน้ อสังขตธรรม
5. ธรรมนิยาม กฎทวั่ ไปแห่งความเป็นสาเหตุเป็นผล เปน็ กฎทคี่ รอบคลุมความเปน็ ไปของสังขต
ธรรม ได้แก่ อุตุนิยาม พีชนิยาม จติ ตนิยาม และกรรมนิยาม ธรรมนิยามมีเน้ือหาโดยท่วั ไปว่า “เม่ือส่ิงนี้
มี สิ่งน้ีจงึ มี เพราะสิ่งน้ีเกิดขึ้น ส่ิงน้ี จงึ เกิดขึ้น เพราะเม่ือสิ่งนี้ไม่มี ส่ิงนี้จงึ ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ ส่ิงน้ีจงึ ดับ”
(ขุ.อุ. (ไทย) 25/3/174)หรอื กล่าวอีกนัยหนึง่ วา่ ทกุ สิ่งลว้ นอิงอาศัยกันในฐานะทีส่ ่ิงหนงึ่ เปน็ สาเหตุ อีก
ส่ิงหน่ึงเป็นผล ธรรมนิยามนี้เป็นกฎเกณฑ์ใหญ่ท่ีครอบคลุมนิยามหรอื กฎเกณฑ์เฉพาะทั้ง 4 ดังกล่าว
ธรรมนิยามเปน็ กฎเดียวกันกับหลักไตรลักษณ์และหลกั ปฏิจจสมุปบาท กฎธรรมชาติหรอื ธรรมนิยาม ซง่ึ
ประกอบไปด้วยไตรลักษณ์และปฏิจจสมุปบาท ในขณะที่กฎ 4 ข้อแรก กระทาการภายในขอบเขตของ
ตน แต่กฎขอ้ สุดทา้ ยคือกฎแห่งความเปน็ เหตุเปน็ ผลแก่กันแห่งส่ิงทง้ั หลายกระทาการภายในของกฎ 4
ขอ้ แรก ทาให้กฎแต่ละข้อสัมพันธก์ ัน ข้อน้ีหมายถึงว่า ศีลธรรมของมนุษย์ ซงึ่ เปน็ พฤติกรรมของมนุษย์
(กรรมนิยาม)
คลิป อาจารยย์ ักษ์ สอนหลักคิดของการทา "กสิกรรมธรรมชาติ" ด้วยนยิ าม 5 ความยาว 8.36 นาที
https://www.youtube.com/watch?v=Sox4N3UhsEs
73
2.3 หลักการปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง
พระราชดารกิ ารพัฒนาป่าไม้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการ
ผสมผสานการอนรุ กั ษ์ ดิน น้า และการฟ้ ืนฟทู รพั ยากรปา่ ไม้ ควบค่กู ับความต้องการด้านเศรษฐกิจ
ปลกู ปา่
1. ปา่ ไม้ใชส้ อย คือ ไม้โตเรว็ เชน่ สะเดา ไม้ไผ่
2. ปา่ ไม้เศรษฐกิจ คือ เชน่ ไม้สัก ประดู่ พะยูง
3. ปา่ ไม้กินได้ คือ ไม้ผล เชน่ กล้วย มะม่วง และผักกินใบต่าง ๆ
ได้ประโยชน์
1. ไม้ใชส้ อย สาหรบั ใชใ้ นครวั เรอื น เชน่ นามาสรา้ งบ้าน ทาเล้าเป็ด เล้าไก่ ด้ามจอบเสียม ทา
หัตถกรรม หรอื กระทง่ั ใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลิง (ฟืน) ในการหุงต้ม
2. เปน็ แหล่งรายได้ของครวั เรอื น เปน็ พืชทส่ี ามารถนามาจาหน่ายได้ ซง่ึ ควรปลูกพืชหลากหลาย
ชนิดเพ่อื ลดความเส่ียงเรอ่ ื งราคาตกต่าและไม่แน่นอน
3. นามาเปน็ อาหาร นามาเปน็ อาหาร ทงั้ พชื กินใบ กินผล กินหัว และเปน็ ยาสมุนไพร
4. ประโยชน์ในการช่วยอนุรกั ษ์ดินและน้า การปลูกพืชท่ีหลากหลายอย่างเป็นระบบ จะชว่ ย
สรา้ งสมดุลของระบบนิเวศ ชว่ ยปกปอ้ งผิวดินให้ชุม่ ชนื้ ดูดซบั น้าฝน
ขอ้ คานงึ ในการปลกู ปา่ 3 อย่าง
1. การปลูกชว่ งแรกควรเลือกปลูกไม้เบิกนา เช่น แค มะรุม สะเดา กล้วย อ้อย ไผ่ ข้าวและ
พืชผัก ทงั้ นี้ เพราะเปน็ พชื อาหารและไม้ใช้ สอยเล็กๆน้อยๆ ทโี่ ตและให้ผลผลติ เรว็ สามารถคลมุ ดินและ
ดูดซบั ความชุม่ ชน้ื โดยควรเน้นปลูกพชื กินได้ ทโ่ี ตไวเพ่ือเปน็ แหลง่ อาหาร และไม้ใชส้ อย
74
2. ไม้ปลกู เพอื่ อยูอ่ าศัย หรอื ไม้เศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรอื ไม้ระดับสูง ควรปลกู ในปที ่ี 2
3. ไม้สมุนไพร ส่วนใหญ่จะเปน็ ไม้พุ่มเตี้ย ไม้เรย่ ี ดิน และไม้หัวใต้ดิน มักจะเจรญิ เติบโตได้ดี ใน
ทร่ี ม่ และรม่ ราไร
4. นาขา้ วควรเลือกทาในพ้ืนทใี่ ห้เหมาะสม สามารถให้ผลผลิตเพียงพอ ตลอดทงั้ ปี
5. ควรขุดรอ่ งน้าขนาดเลก็ เพื่อเก็บน้าและความชุม่ ชนื้ แก่ต้นไม้ อีกท้งั สามารถใชเ้ ลย้ี งปลาเพื่อ
เปน็ อาหาร และหมุนเวยี นน้าไปสู่บ่อขนาดใหญ่
แนวคิดการปลูก ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง
เป็นแนวคิดของการผสมผสานการอนุรกั ษ์และฟ้ ืนฟูทรพั ยากรป่าไม้ ควบคู่กันไปกับการพัฒนา
ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยส่งเสรมิ ให้ชาวบ้านได้ตระหนักและเห็นคุณค่าจากปา่ ไม้ทป่ี ลูกโดยจาแนก
ตามการใชป้ ระโยชน์ดังนี้
ประโยชน์เพ่ือให้ “พออยู่” คือการปลูกต้นไม้ท่ใี ชเ้ น้ือไม้และไม้เชงิ เศรษฐกิจให้เป็นปา่ ไม้กลุ่มนี้เป็นไม้
อายุยาวนานซึ่งจะเน้นประโยชน์ในเน้ือไม้ได้เพ่ือสรา้ งบ้าน ทาเครอ่ ื งเรอื น และถือได้ว่าเป็นการออม
ทรพั ย์เพื่อสรา้ งความม่ันคงในอนาคตต้นไม้กลุ่มนี้ ได้แก่ ตะเคียนทอง ยางนา แดง สัก ประดู่ พะยอม
พะยูง เปน็ ต้น
ประโยชน์เพ่ือให้ “พอกิน” คือการปลูกต้นไม้ท่ีกินได้รวมท้ังเป็น สมุนไพร ไม้ในกลุ่มน้ี เชน่ แค มะรุม
ทเุ รยี น สะตอ ผักหวาน ฝาง แฮ่ม กลว้ ย ฟักขา้ ว เปน็ ต้น
ประโยชน์เพื่อ “พอใช”้ คือการปลูกต้นไม้สาหรบั ใชส้ อยในครวั เรอื น อาทิ เผาถ่าน ทางานหัตถกรรมหรอื
ทานา้ ยาซกั ลา้ งไม้ในกล่มุ นี้ เชน่ ประคาดีควาย หวาย ไผ่ หมีเหม็น เปน็ ต้น
ประโยชน์เพ่ือ “พอรม่ เย็น” คือประโยชน์อย่างท่ี 4 ท่ีเกิดจากการ ปลูกป่า 3 อย่าง “พอรม่ เย็น” คือป่า
ทง้ั 3 อยา่ งจะชว่ ยฟ้ ืนฟรู ะบบนิเวศดินและน้า ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ รม่ รน่ ื เยน็ ฉา่ ขึน้ มา
หลกั การที่ 1 การสรา้ ง “ป่าเปยี ก”
วธิ ที ่ี 1 ทาระบบปอ้ งกันไฟไหม้ปา่ โดยใชแ้ นวคลองส่งน้า และแนวพชื ชนิดต่าง ๆ ทป่ี ลูกไว้
วธิ ที ่ี 2 สรา้ งระบบการควบคมุ ไฟปา่ ด้วยปา่ เปยี ก โดยอาศัยชลประทานและน้าฝน
วธิ ที ่ี 3 ปลูกต้นไม้โตเรว็ คลุมแนวรอ่ งน้า เพื่อให้เกิดความชุม่ ชน้ื แผ่ขยายออกไปทัง้ สองรอ่ งน้า
ซงึ่ จะชว่ ยปอ้ งกันไฟปา่ เน่ืองจากไฟปา่ จะเกิดขึ้นหากขาดความชุม่ ชนื้ ของสภาพปา่
วธิ ที ี่ 4 สรา้ งฝายชะลอความชุม่ ชนื้ หรอื ท่เี รยี กว่า “Check Dam” เพ่ือปิดก้ันรอ่ งน้าหรอื ลาธาร
ขนาดเล็กๆ เพื่อใชเ้ ก็บกักน้าและตะกอนดินไว้บางส่วน โดยน้าท่ีเก็บไว้จะซมึ เข้าไปสะสมในดิน ทาให้
ความชุม่ ชน้ื ขยายเข้าไปทง้ั สองด้านจนกลายเปน็ ปา่ เปยี ก
วธิ ที ี่ 5 สูบน้าจากท่ีสูงแล้วปล่อยให้ไหลลงมาทลี ะน้อย เพื่อชว่ ยเสรมิ การปลูกปา่ บนพื้นทส่ี ูงใน
รูป “ภูเขาปา่ ” ให้กลายเปน็ ปา่ เปยี กชว่ ยปอ้ งกันไฟปา่ ได้
วธิ ที ี่ 6 ปลูกต้นกล้วย ซง่ึ สามารถอุ้มน้าไว้ได้มากกว่าพชื ชนิดอื่น ในพนื้ ทท่ี กี่ าหนดให้เปน็ ชอ่ งวา่ ง
ของปา่ กวา้ ง 2 เมตร เพ่อื เปน็ แนวปะทะกับไฟปา่
75
ทฤษฎีการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกตามหลักการฟ้ ืนฟูสภาพป่าด้วยวัฏจกั รธรรมชาติ (Natural
Reforestation) การปลูกปา่ โดยไมต่ ้องปลกู มี 3 วธิ ดี ังน้ี
ปล่อย ถ้าเลือกพื้นท่ีเหมาะสมแล้วควรทิ้งป่าไว้ตรงน้ัน ไม่ต้องไปปรบั สภาพอื่นใดป่าจะเติบโต
ขึ้นมาเปน็ ปา่ สมบูรณ์ได้เอง
ปละ ในสภาพป่าเต็งรงั ปา่ เส่ือมโทรมไม่ต้องไปทาอะไรเพราะตอไม้จะแตกก่ิงออกมาอีก ถึงแม้
ต้นไม่สวยแต่จะกลายเปน็ ต้นไม้ใหญไ่ ด้
ประคับประคอง ไม่รงั แกปา่ หรอื ต้นไม้ เพียงแต่ค้มุ ครองให้เจรญิ เติบโตตามธรรมชาติเทา่ นั้น
หลักการท่ี 2 ปลูกป่าในทสี่ งู
ใช้ไม้จาพวกท่ีมีเม็ดท้ังหลาย ข้ึนไปปลูกบนยอดท่ีสูง เมื่อโตมีเมล็ดพันธุ์ โดยจะลอยตกลง
มาแล้วงอกในทตี่ า่ ต่อไป เปน็ การขยายพันธุโ์ ดยธรรมชาติ
หลักการที่ 3 ปลูกปา่ ธรรมชาติ
ปลูกต้นไม้ดั้งเดิม ศึกษาก่อนว่าพันธุ์พืชพันธุ์ไม้ด้ังเดิมมีอะไร เป็นอย่างไรแล้วปลูกเพิ่มเติม
ตามที่เหมาะสม งดปลูกไม้ต่างถิ่น ไม่ควรนาไม้แปลกปลอมหรอื พันธุต์ ่างถิ่นเข้ามาปลูกโดยยังไม่ได้
ศึกษาอยา่ งแน่ชดั
ขอ้ คานงึ ในการปลกู ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
ไม้เบิกนา ไม้สะเดา มะรุม แค กล้วย อ้อย และพืชผักอายุส้ัน ควรหามาปลูกก่อนเพ่ือสรา้ ง
แหล่งอาหารให้กับครอบครวั
ไม้เพ่ืออยู่อาศัย ควรปลูกหลังจากปลูกไม้ในขอ้ ที่ 1 ประมาณ 1-2 ปี
ไม้สมุนไพร จะเจรญิ เติบโตได้ดีเม่ือมีความรม่ รน่ ื เพียงพอ นาขา้ ว กาหนดพื้นทใ่ี ห้เหมาะสมหาก
มีพ้ืนทเ่ี พียงพอ เพื่อเก็บข้าวไว้กินระหว่างปีโดยไม่ต้องซอ้ื รอ่ งน้า ควรขุดรอ่ งน้าขนาดเล็กเพ่ือให้ความ
ชุม่ ชนื้ กับพื้นดินและต้นไม้ ซง่ึ จะทาให้สามารถเล้ียงปลาธรรมชาติเพ่ือใชเ้ ป็นอาหาร โดยขุดให้เชอื่ มต่อ
กับบ่อขนาดใหญ่ปลูกต้นไม้ให้หลากหลาย เพ่ือใชป้ ระโยชน์ได้หลากหลาย ชว่ ยลดค่าใชจ้ า่ ย สรา้ งความ
ม่ันคงซง่ึ เปน็ การเสรมิ สรา้ งภมู ิค้มุ กันในครอบครวั และชุมชน
วธิ กี ารปลูกต้นไม้ แบบหลุมพอเพียง.....ปลูกทกุ อย่างในหลุมเดียว ลดภาระการรดนา้ ปลูกซ้า
หลมุ พอเพียง คือ การปลูกพืชหลายอย่างในหลุมเดียว หลมุ ทว่ี ่าน้ีไม่ได้สภาพเปน็ หลุมลึก ๆ แต่
เปน็ การปลกู พืชเปน็ กลุ่ม ขนาดทีน่ ่าลองทาคือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร แต่สาหรบั คนท่ีมีพ้ืนท่ี
ว่าง เพ่ือเตรยี มปลูกพืช อาจจะทาหลายๆหลุม ขนาดท่ีกาลังพอแรง คือขนาดกว้าง 80 – 100
เซนติเมตร จะทาวงกลมหรอื สี่เหลี่ยมก็ได้ ระยะห่างระหวา่ งหลุม 4x4 เมตร ถ้ามีพืน้ ที่ 1 ไร่ จะได้ 100
หลมุ หรอื ถ้าไม่มีทเ่ี ปน็ ผืนก็สรา้ งหลมุ ไวต้ ามหัวไรป่ ลายนา มุมบ้าน หลงั ครวั ขอบบ่อนา้ รมิ ทางเดิน
หลุมพอเพียง เปน็ วธิ กี ารบรหิ ารจดั การสิ่งทอี่ ยู่ในหลุม เรม่ ิ จากเตรยี มพื้นทตี่ ามขนาดท่ีกาหนด
แล้วก็ปลูกหญ้าแฝกเป็นรูปวงกลมหรอื เป็นล็อกสี่เหล่ียม จากนั้นปลูกไม้ในหลุมน้ี ลงได้ถึง 4 – 5
ประเภทในหลุมเดียว เพ่ือลดภาระการรดน้า ปลูกซ้า และเกื้อต่อการกาจัดศัตรูพืชเพราะให้ทุกอย่าง
เก้ือกลู อันเอง
76
ต้นไม้ทจี่ ะปลูกในหลมุ แบ่งเป็น 5 ประเภท
1. ไม้พเี่ ลี้ยง เป็นไม้ทใ่ี ห้รม่ เงา เก็บน้า เก็บความชนื้ โดยเฉพาะชว่ งรอ้ นหรอื หน้าแลง้ เชน่ กล้วย
นา้ ว้า กลว้ ยหอม ควรปลูกทางทศิ ตะวันตก เพราะชว่ ยบงั แสงชว่ งบา่ ยทอ่ี ากาศรอ้ นจดั เปน็ พ่ีเลี้ยงให้พืช
ทไ่ี ม่ชอบแดดจดั มาก ได้กล้วยเครอื แรกเมื่อปลูก 1 ปี ก็ตัดทง้ิ ปล่อยหน่อใหม่ให้ทางาน
2. ไม้ฉลาด เป็นไม้ข้ามปี ที่สามารถเอาตัวรอดได้ดี เก็บผลได้นานพอสมควร เช่น ชะอม
ผักหวาน มะละกอ ผักต้ิว ผักเม็ก เรม่ ิ เก็บกินได้ต้ังแต่ 1 เดือนไปเรอ่ ื ยๆ
3. ไม้ปัญญาอ่อน หรอื ไม้รายวัน เป็นไม้ล้มลุกปลูกงา่ ย ตายเรว็ ต้องคอยปลูกใหม่ ดูแลรดน้า
ทุกวัน แต่เก็บผลได้เรว็ ได้ทุกวัน เช่น พรกิ มะเขือ กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ข่า ฟักทอง แตงไทย
แตงกวา ผักบุง้ จนี คะน้า เปน็ ต้น เรม่ ิ เก็บกินได้ต้ังแต่ 15 วัน
4. ไม้บานาญ เปน็ ไม้ผลยืนต้น ใชเ้ วลาปลูก 2 - 4 ปี แต่เม่ือให้ผลผลิตแล้ว เก็บกิน เก็บขายได้
เรอ่ ื ย ๆ เชน่ ขนนุ มะม่วง มะนาว กระท้อน เงาะ ทุเรยี น มังคุด ยางพารา เปน็ ต้น ในหลมุ หนึง่ ควรเลือก
ปลูกแค่ประเภทเดียว
5. ไม้มรดก เปน็ กลุ่มไม้ใชส้ อยที่อายุยืน ใชเ้ วลาปลูกนาน เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน ตัดขาย
ก็ได้เงนิ ก้อนใหญ่หรอื จะเอาไว้ใชซ้ อ่ มแซมบ้านก็ได้ เชน่ ประดู่ สักทอง ยางนา สะเดา พะยูง ชงิ ชนั ไม้
พวกน้ีเปน็ ไม้ใหญ่ ปลูกฝ่ งั ตรงขา้ มกับต้นกลว้ ย
พื้นทใี่ ต้รม่ เงาหรอื บรเิ วณหลุมท่มี ีการเตรยี มดินใส่ปุย๋ ปรบั ปรุงดินรดน้าและดูแล ยังสามารถใช้
ประโยชน์ได้อีกมาก แทนทจี่ ะปลอ่ ยให้วชั พชื ข้ึนเปน็ ภาระทตี่ ้องคอยกาจดั การปลูกพืชบางอย่างทม่ี ีกลิ่น
เฉพาะ ชว่ ยไล่แมลงศัตรูพืช นอกจากน้ันยังเป็นกุศโลบายทีท่ าให้พืชหลักที่ต้องการปลูก เชน่ ไม้ผล ไม้
ยืนต้น ไม้ป่ายืนต้น เจรญิ เติบโตและมีโอกาสรอดสูง เพราะผู้ปลูกจะคอยห่วงใย หม่ันดูแล ทาให้พืช
หลัก ดังกล่าวเจรญิ เติบโตดีกว่าปกติอีกด้วย และหากพืชชนิดใด ชนิดหน่ึงจะเบียดเบียนพืชอ่ืนมาก
เกินไปก็คอยควบคุมให้เหมาะสม ตัดแต่งทรงพุ่ม จดั พืชหรอื เถาเลื้อยให้เหมาะสม สาหรบั พืชพ่ีเลี้ยงก็
ไม่ต้องมาก ในหน่ึงหลุมปลูกกล้วยเพียง ๑ -๒ ต้น เท่าน้ัน คือ ต้นที่กาลังให้เครอื อีกหน่งึ ต้นสารองไว้
สาหรบั เครอื ต่อไปนอกน้ันให้ขุดหน่อไปขายหรอื ไปปลูกทอ่ี ่ืน
การปลูกหญ้าแฝกล้อมต้นไม้หลักไม่ว่าจะอยูใ่ นรูปแบบหลุมพอเพียงหรอื ไม้เดี่ยวรากหญ้าแฝก
จะเป็นรา่ งแหในแนวดิ่งชว่ ยยึดดินให้คงรูปเปรยี บเสมือนกระถางธรรมชาติ เพราะปมรากแฝกจะ ชว่ ย
เพ่ิมธาตุอาหารในดิน ชว่ ยดูดซบั น้าในดินไว้ แทนท่ีจะซมึ หายลงใต้ดินอย่างรวดเรว็ กอแฝกทีเ่ บียดชดิ
ชว่ ยดักตะกอนดินซงึ่ รวมปุย๋ ทใี่ ส่ และ ใบแฝกทต่ี ัดมาคลมุ ดินยงั ชว่ ยรกั ษาดินให้ชุม่ ชน้ื ในทสี่ ุดก็ย่อย
77
2.4 การปลูกป่า ไม้ 5 ระดับ
ปลกู ไม้ 3 อยา่ ง คือ
1. ปา่ ไม้ ใชส้ อย: สามารถนาไม้มาใชท้ า
ถ่าน ฟืน ให้พลงั งาน ก่อสรา้ งทาคอก
สัตว์ ทากสิกรรมต่างๆ
2. ปา่ ไม้ ทใ่ี ชใ้ นการก่อสรา้ ง : สามารถ
นาไม้มาใชส้ รา้ งบา้ นเรอื น
เฟอรน์ ิเจอร์
3. ปา่ ไม้ กินได้ : นาผลไม้ทไ่ี ด้มากินได้
นามาเปน็ อาหาร ยารกั ษาโรค
เครอ่ ื งดื่ม เชน่ พชื ผัก สมุนไพร
ผลไม้
ปลูกไม้ ประโยชน์ 4 อย่าง คือ
1. พออยู่ หมายถึง ไม้ยนื ต้น ไม้
เศรษฐกิจ ปลกู ไวใ้ ชก้ ่อนสรา้ งทาที่
อยู่อาศัย ซอ่ มแซมบ้านเรอื น ออม
เงนิ และจาหน่าย
2. พอกิน หมายถึง การปลูกพืชผัก
สมุนไพร และผลไม้ทก่ี ินได้
3. พอใช้ หมายถึง ปลูกไม้ไวใ้ ชส้ อย
และพลังงาน เชน่ ไม้ฟืน และไม้ไผ่ เปน็ ต้น
4. ประโยชน์ต่อระบบนิเวศ สรา้ งความสมบูรณ์และก่อให้เกิดความหลากหลายทางชวี ภาพในพืน้ ทป่ี า่
ปา่ ไม้ 5 ระดับ คือ
1. ไม้สูง : จะมีความสูงจากพ้นื ดินต้ังแต่ 240 ซม. ขนึ้ ไป เปน็ ไม้ทใี่ ชป้ ลกู เพื่อเปน็ รม่ เงา
2. ไม้กลาง : จะมีความสูงจากพืน้ ดินไม่เกิน 180 ซม.
3. ไม้เต้ีย : จะมีความสูงจากพน้ื ดินไม่เกิน 45 ซม.
4. ไม้เรย่ ี ดิน, ไมเ้ ลื้อย : จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 30 ซม. ประโยชน์ของไม้คลุมดิน คือ ยดึ หน้าดิน
เอาไว้ไม่ให้พงั ทลายเวลาโดนน้าพัด ลดความรอ้ นระอุของดิน
5. ไม้หัวใต้ดิน : เปน็ ไม้ทมี่ ีหัวอยู่ใต้ดิน
ตัวอย่างไม้แต่ละประเภท
1. ไม้สูง : ไม้ยนื ต้น ไม้เศรษฐกิจ ออมเงนิ ชว่ ยรกั ษาระบบนิเวศ เชน่ ตะเคียน ยางนา เต็ง รงั มะค่า
มะฮอกกานี ประดู่ ต้น สัก พยุง ฯลฯ
2. ไม้กลาง : ไม้ทม่ี ีความสูงเปน็ รองกลุ่มไม้ยืนต้น เชน่ สะเดา ข้ีเหลก็ มะขาม มะกรดู มะนาว มะพรา้ ว
ส้มโอ ขนุน ทเุ รยี น มะม่วง ดอกแค กลว้ ย ชะอม พชื ไร่ พชื สวน ทกุ ชนิด ฯลฯ
78
3. ไม้เต้ีย : ต้นไม้ทมี่ ีทรงพมุ่ เตี้ย เชน่ พรกิ มะเขอื กะเพรา ตะไคร้ ข้าว ฟ้า ทะลายโจร ทานตะวัน ไม้
ดอก พชื สมุนไพรต่างๆ ฯลฯ
4. ไม้เรย่ ี ดิน : ไม้เลอ้ื ย เชน่ บวบ น้าเต้า ถ่ัว แตง มะระ ตาลึง ผักบุง้ พืชผักต่างๆ ฯลฯ
5. ไม้หัวใต้ดิน : ปลูกพชื ทม่ี ีหัวฝงั ดิน เชน่ ขงิ ขา่ หัวหอม กระเทยี ม สายบัว เผือก มนั ถ่ัวลสิ ง ฯลฯ
วธิ ปี ลูกปลูกไม้ 3 ชนิด ในพื้นทเ่ี ดียวกัน ดังน้ี
1. ไม้ใชส้ อย : ( ไม้โตเรว็ 5-10 ปใี ชไ้ ด้, ไม้ฟืน ) จานวน 100 ต้น/ไร่ ใชร้ ะยะปลูก 4 x 4 เมตร
2. ไม้ก่อสรา้ ง : ( ไม้โตชา้ , ไม้เนื้อแข็ง, ไมเ้ ศรษฐกิจ, ไม้ยนื ต้น ) จานวน 100 ต้น/ไร่ ใชร้ ะยะปลูก 4 x 4
เมตร
3. ไม้ปา่ กินได้ : จานวน 25 ต้น/ไร่ ใชร้ ะยะปลูก 4 x 4 เมตร และปลกู ไม้ชน้ั ลา่ งแซม ปลกู พชื หัว
สมุนไพร และพชื ล้มลุก
การเลือกชนิดพันธไุ์ ม้ปลกู
1. ไม้ใชส้ อย
หมายถึง ไม้ทสี่ ามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้อเนกประสงค์ในการก่อสรา้ ง ทาเครอ่ ื งมือกสิกรรม ทา
เฟอรน์ ิเจอร์ ประดิษฐกรรมฟืนและถ่านฯ ซง่ึ ชนิดไม้ทป่ี ลูกสามารถตัดฟันนามาใชป้ ระโยชน์ได้ในชว่ ง
ระยะเวลาอันสั้น 5 – 10 ปี ส่วนใหญ่จะเน้นหนักพันธไุ์ มโ้ ตเรว็ เปน็ หลกั แต่หากในบางพ้ืนที่ทม่ี ีการใช้
ประโยชน์ไม้ขนาดเล็ก เพื่ออุตสาหกรรมประดิษฐกรรม พันธไุ์ ม้มีค่าเศรษฐกิจบางชนิด เชน่ ไม้สัก ก็
จดั เปน็ ไม้ใชส้ อย ทง้ั นี้การแบง่ หมวดหมู่ขน้ึ อยู่กับวัตถปุ ระสงค์การใชเ้ ปน็ หลกั
ชนิดไม้ทเี่ หมาะสมสาหรบั ปลกู เปน็ ไม้ใชส้ อย ควรมีลกั ษณะดังนี้
1) เปน็ ชนิดไม้ทหี่ าพันธุไ์ ด้งา่ ยและโตเรว็ ในทอ้ งถิ่นนั้น มีเรอื นยอดขนาดปานกลาง รวมถึง
ความสามารถต้านทานต่อปจั จยั แวดล้อมทไี่ ม่เหมาะสมได้ดี
2) ให้ผลผลติ ด้านเน้ือไม้สงู และมีก่ิงก้านมากพอสมควร
3) มีระบบรากค่อนข้างลึกเพอ่ื ลดการแก่งแย่งธาตุอาหารจากพชื เกษตร และพ้นอันตรายจากการไถ
พรวน
4) ปลูกและบารงุ รกั ษาได้งา่ ย
5) มีอายุการตัดฟันในระยะสั้น 5 – 15 ปี และมีความสามารถในการสืบต่อพนั ธโุ์ ดยวธิ งี า่ ย ๆ เชน่ แตก
หน่อได้ดี
6) เปน็ ชนิดไม้ทใี่ ห้ค่าความรอ้ นสูงเพ่อื ใชเ้ ปน็ ฟืนถ่าน
7) เปน็ ไม้ทใี่ ชป้ ระโยชน์ได้อเนกประสงค์ เชน่ ใบ ดอก ผล ใชเ้ ปน็ อาหารได้
8) สามารถชว่ ยให้การปรบั ปรุงดินได้ดี
การเลือกชนิดไม้ปลูก นอกจากจะต้องเปน็ ชนิดไม้ทคี่ วรมีลักษณะดังกลา่ วข้างต้นแล้ว การเลอื กชนิดไม้
ปลกู ยงั จะต้องคานงึ ถึงความต้องการ ปจั จยั แวดลอ้ ม ของพันธไุ์ ม้ชนิดนั้น ๆ โดยพนั ธไุ์ ม้แต่ละชนิดจะมี
ความต้องการปจั จยั แวดลอ้ มทแ่ี ตกต่างกัน ปจั จยั แวดลอ้ มทส่ี าคัญ และมีผลกระทบ ต่อการ
เจรญิ เติบโตของต้นไม้ประกอบด้วย สภาพภูมิอากาศ ดิน แมลงและเชอ้ื โรคการทผ่ี ู้ปลูกได้ทราบขอ้ มูล
ว่าพันธไุ์ ม้ชนิดใด ชอบขึ้นในสภาพแวดล้อมอย่างไร จะเปน็ ประโยชน์ต่อการเลอื กชนิดไม้ปลูกเปน็ อย่าง
มาก
79
ชนิดพันธุไ์ ม้เลอื กปลกู อาจเปน็ ทมี่ ีอยู่ในทอ้ งถ่ินน้ันหรอื นามาจากแหลง่ อ่ืน แต่ในทางปฏิบตั ิทด่ี ี ควร
เลือกชนิดพันธไุ์ ม้ทอ้ งถิ่นเปน็ อันดับแรกเสียก่อน เพราะจะเปน็ วธิ กี ารทป่ี ระหยดั และปลอดภัยทส่ี ุด
ส่วนการเลือกชนิดพันธุไ์ มต้ ่างถ่ินนามาปลูก ควรเปน็ อันดับรองและมีความแน่ใจข้ึนได้ดี ดังนั้นการได้
ทราบความต้องการปจั จยั แวดลอ้ มของพนั ธไุ์ ม้บางชนิดเสียก่อน ก็จะเปน็ ประโยชน์ต่อการตัดสินใจ
เลือกชนิดไม้ปลูก ไม้โตเรว็ ในรูปของฟืนและถ่านขณะนี้ความต้องการเกี่ยวกับการใชป้ ระโยชน์ใน
รปู แบบต่าง ๆ มีมากขึน้ อยา่ งรวดเรว็ จนปา่ ธรรมชาติ มิอาจสนองตอบได้ทนั ทว่ งที
การปลกู ไม้ไวใ้ ชส้ อยสาหรบั ชุมชน จงึ เกิดขึน้ อยา่ งมากมายทวั่ ทกุ ภาคของประเทศไทย
โดยเฉพาะการปลูกไม้โตเรว็ สาหรบั ใชส้ อย และฟ้ ืนฟูสภาพพื้นดินทเี่ สื่อมโทรมในปจั จุบนั ให้ดีขึ้น พนั ธุ์
ไม้ทก่ี รมปา่ ไม้ได้แนะนาให้ประชาชนปลูก ได้แก่ ยูคาลปิ ตัส สนประดิพัทธ์ กระถินยกั ษ์ สะเดา เลย่ี น
กระถินณรงค์ สะแก ขี้เหลก็ สนทะเล และพุทรา เปน็ ต้น
2. ไม้ทใี่ ชใ้ นการก่อสรา้ ง
ไม้เปน็ วสั ดุซงึ่ มนษุ ย์รจู้ กั กันอยา่ งแพรห่ ลาย มีการนามาใชป้ ระโยชน์เปน็ เวลานาน ตั้งแต่อดีต
จนถึงปจั จุบนั เนื้อไม้เปน็ ส่วนทไี่ ด้จากไม้ยนื ต้น ซงึ่ นาไปใชส้ อยในรูปต่าง ๆ มากกว่าส่วนอื่น ส่วนของ
เนื้อไม้อาจแบง่ ได้ 3 ลักษณะ
1. ใชจ้ ากเน้ือไม้โดยตรง : เชน่ ไม้กระดาน ไม้ก่อสรา้ งต่าง ๆ เครอ่ ื งเรอื น ฯลฯ
2. ใชจ้ ากเซลล์ในเนื้อไม้ : เชน่ กระดาษ หีบห่อ ฯลฯ
3. ใชจ้ ากอณหู รอื สารเคมีจากไม้ : เชน่ ยา กาวเคมี เครอ่ ื งนงุ่ ห่ม ไหมเทยี ม พลาสติก ฯลฯ
นาไม้มาใชเ้ ปน็ วสั ดุก่อสรา้ งและเครอ่ ื งใชต้ ่าง ๆ ได้ จากไม้ยนื ต้น 3 ประเภท
1. ไม้ใบรูปเขม็ : พวกไม้สน (Pine)
2. ไม้ใบกว้าง : ทใี่ ชก้ ันทว่ั ไปในบา้ นเราและรจู้ กั กันดีท่ัวไป เชน่ ไม้สัก ไม้ยาง ฯลฯ
3. ไมไ้ ผแ่ ละปาล์ม : ไมไ้ ผเ่ ปน็ ทรี่ จู้ กั กันดี ส่วนไม้พวกปาลม์ ได้แก่หวาย มะพรา้ ว ตาล หมาก
ชนิดของไม้ทเี่ หมาะสมใชใ้ นงานก่อสรา้ งและการใชส้ อยอ่ืน ๆ
1. เสา : ได้แก่ เต็ง ตะเคียนทอง รงั แดง เคี่ยม มะค่าโมง ประดู่ เคี่ยมคะนอง สัก เขลง
กันเกรา หลุมพอ เลียงมัน ตีนนก
2. เสาเขม็ : ได้แก่ เต็ง รงั ต้ิว แต้ว พลวง ตะแบก สนทะเล สนประดิพัทธ์ ยางพารา ยูคาลิปตัส
3. แบบหลอ่ คอนกรตี : ได้แก่ กะบาก งว้ ิ สมพง เผิง
4. หมอนรถไฟ : ได้แก่ เต็ง รงั แดง มะค่าโมง กันเกรา ตะเคียนชนั มะค่าแต้ เลยี งมัน เขลง็ พันจา
เคี่ยม บุนนาค สักทะเล เคี่ยมคะนอง ซาก ตีนนก หลุมพอ
5. ไม้ขีดไฟ ไม้จมิ้ ฟัน : ได้แก่ มะกอก ตีนเปด็ ปออีเก้ง ปอฝา้ ย ลุ่น กระเจา อ้อยชา้ ง มะยมปา่
งว้ ิ ไข่เนา สาโรง ซอ้
6. ด้ามเครอ่ ื งมือ : ได้แก่ กระถินพิมาน ชงิ ชงั ฝรงั่ หลุมพอ กระพ้ีเขาควาย พลวง ชุมเห็ด
เลียงมัน แดง แก้ว พะวา เหลาเตา เต็ง มะเกลอื ตะเคียนหนู รกฟ้า ขานาง พยุง ตะแบก
7. เครอ่ ื งเรอื น : ได้แก่ ประดู่ ชงิ ชงั พยุง มะเกลอื มะค่าโมง มะม่วงปา่ ยมหอม ตาเสือ กันเกรา
จาปาปา่ ตะแบก เสลา สัก กระพเ้ี ขาควาย ดาดง จนั ดง
80
3. ไม้กินได้
ไม้ทกุ ชนิดมีคุณสมบตั ิทใี่ ห้คุณค่าในทกุ ๆ ด้านได้อยา่ งเอนกประสงค์ และมีไม้บางชนิดมี
คุณลกั ษณะเพิ่มเติม สามารถให้ประโยชน์ทใี่ ชส้ ่วนต่าง ๆ เปน็ อาหารได้ แบ่งออกเปน็ 5 ประเภท ดังนี้
1) ประเภททก่ี ินใบและยอดอ่อน : ได้แก่ กันเกรา ข้เี หล็กบา้ น ถ่อน เพกา มะกอกปา่ มะม่วงปา่
สะเดา สะตอ หวา้ นนทรปี า่ ฯลฯ
2) ประเภทที่กินดอก : ได้แก่ ข้เี หลก็ บา้ น พะยอม เพกา สะเดา ฯลฯ
3) ประเภททก่ี ินผล : ได้แก่ ก่อ นางพญาเสือโครง่ มะกอกปา่ มะเกลือ มะขามปอ้ ม
มะม่วงปา่ หวา้ หวาย ฯลฯ
4) ประเภททก่ี ินฝกั : ได้แก่ แดง เพกา มะค่าแต้ มะค่าโมง สะตอ เหรยี ง ฯลฯ
5) ประเภททก่ี ินหัว ราก หน่อ และอื่น ๆ : ได้แก่ ไผ่ต่าง ๆ สีเสียดแก่น หวาย นนทรปี า่
ประเภทและลักษณะการเจรญิ เติบโตของไม้
การเจรญิ เติบโตของพนั ธไุ์ ม้ ลักษณะเฉพาะพันธไุ์ ม้ทสี่ าคัญซงึ่ เปน็ ตัวแทนของไม้แต่ละประเภท
เพอ่ื ประกอบการพิจารณาและตัดสินใจปลกู โดยแยกกลมุ่ ชนิดพรรณไม้ตามลกั ษณะการเจรญิ เติบโต
ภายใต้สภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมของไมแ้ ต่ละชนิด ออกเปน็ 5 กลมุ่ โดยพิจารณาเมื่อต้นไม้ มอี ายุและ
โตได้ขนาดเส้นรอบวงทร่ี ะดับอก 100 ซม. หรอื มขี นาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 ซม. ซง่ึ เปน็ ขนาดจากัดท่ี
เรม่ ิ นาไปใชป้ ระโยชน์ได้ ดังน้ี
1. ไมโ้ ตเรว็ มาก
คือ ไม้ทใ่ี ชเ้ วลาในการเจรญิ เติบโตจนถึงขนาดทกี่ าหนด เม่ืออายุ 5 – 10 ปี โดยมีอัตราการ
เจรญิ เติบโตทางเส้นรอบวงมากกวา่ 5 ซม. ต่อปี หรอื มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพ่ิมขึ้นมากกวา่ ปลี ะ 1.5 ซม.
เชน่ ไม้สะเดาเทยี ม ตะกู เลีย่ น กระถินณรงค์ กระถินเทพา ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซสิ
2. ไมโ้ ตเรว็
คือ ไม้ทใี่ ชเ้ วลาในการเจรญิ เติบโตจนถึงขนาดทก่ี าหนดประมาณ 10 – 15 ปี โดยมีอัตราการ
เจรญิ เติบโตทางเส้นรอบวงปลี ะประมาณ 5 ซม. หรอื มีเส้นผ่าศูนยก์ ลางของลาต้นทร่ี ะดับอกเพ่ิมขนึ้ ปี
ละ 1.5 ซม. ได้แก่ ไม้สะเดา ขเ้ี หล็ก ถ่อน สีเสียดแก่น โกงกาง สนทะเล สนประดิพทั ธ์
3. ไมโ้ ตปกติ
คือ ไม้ทใี่ ชเ้ วลาในการเจรญิ เติบโตจนถึงขนาดทเี่ รม่ ิ ใชป้ ระโยชน์ได้เม่ืออายุ 15 – 20 ปี โดยมี
อัตราการเจรญิ เติบโตทางเส้นรอบวง 2.5 – 4 ซม./ปี หรอื มีเส้นผ่าศูนยก์ ลางเพิ่มขึ้น 0.8 – 1.2 ซม./ปี
ได้แก่ ไม้สัก สนสามใบ สนคารเิ บยี
4. ไมโ้ ตคอ่ นขา้ งชา้
คือ ไม้ทใี่ ชเ้ วลาในการเจรญิ เติบโตจนถึงขนาดจากัดต่าสุดทเี่ รม่ ิ ใชป้ ระโยชน์ได้ (เส้นรอบวงของ
ลาต้นทร่ี ะดับอก 100 ซม.) เม่ืออายุ 20 – 25 ปี โดยมีอัตราการเจรญิ เติบโตทางเส้นรอบวง 1.0 –
2.5 ซม./ ปี หรอื มีอัตราการเจรญิ เติบโตทางเส้นผ่าศูนยก์ ลาง 0.3 – 0.8 ซม./ปี ได้แก่ ไม้ประดู่ ยางนา
แดง หลุมพอ
81
5. ไมโ้ ตชา้
ได้แก่ ไม้ทมี่ ีอายุตัดฟัน 25 – 30 ปี จงึ จะโตได้ขนาดจากัดที่สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ โดยมี
อัตราการเจรญิ เติบโตทางเส้นรอบวงน้อยกว่า 1 ซม./ปี หรอื มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึน้ น้อยกว่า 0.3
ซม./ปี เชน่ ไม้ตะเคียนทอง พะยูง ชงิ ชนั มะค่าโมง เต็ง รงั
พื้นทท่ี เี่ หมาะกับการปลกู ไม้แต่ละประเภท
ภาคเหนือ :
สัก สนเขา (Pinus) ยมหอม ยมหิน มะค่าโมง ตะเคียนทอง ประดู่ปา่ แดง ยางนา ตะแบก จาปี
ปา่ จาปาปา่ แอปเปลิ ปา่ กาลังเสือโครง่ นางพญาเสือโครง่ มะม่วงปา่ ตะกู มะกอกปา่
ตีนเปด็ หวา้ เพกา ราชพฤกษ์ นนทรปี า่ ก่อ ทะโล้ มะขามปอ้ ม เส้ียว สะเดา ข้ีเหลก็ บ้าน บง ไผ่
ต่าง ๆ หวาย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ :
สัก มะค่าโมง มะค่าแต้ ตะเคียนทอง ยมหิน ประดู่ปา่ แดง
ยางนา พะยอม ตะแบก สนเขา (Punus) ชงิ ชงั พะยูง มะม่วงปา่ เต็ง รงั เหียง พลวง นนทร ี
ปา่ ถ่อน พฤกษ์ ขี้เหล็กบ้าน สะเดา สีเสียดแก่น สาธร สนเขา บง ไผ่ต่าง ๆ หวาย
ภาคกลาง – ตะวนั ตก :
ประดู่ปา่ สะเดา สีเสียดแก่น ตะกู มะปนิ กฤษณา สัก
ยมหอม ยมหิน ตะเคียนทอง แดง ยางนา ยางแดง ตะแบก มะม่วงปา่ นนทรปี า่ ไผ่ต่าง ๆ หวาย
กันเกรา มะเกลือ ตีนเปด็ นางพญาเสือโครง่ ขเ้ี หล็กบ้าน มะขามปอ้ ม สนทะเล ทองหลาง
ภาคใต้ :
ประดู่ปา่ ทงั มะม่วงปา่ หลมุ พอ ตะกู ตะเคียนทอง ตะเคียนชนั ตาแมว เคี่ยม ยางนา กันเกรา ไข่เขยี ว
ทงุ้ ฟ้า ขเ้ี หลก็ บา้ น ยมหิน ทเุ รยี นปา่ สะตอ เหรยี ง พะยอม ไผ่ต่าง ๆ หวาย
เคล็ดลับการปลูกไม้เศรษฐกิจให้ต้นโตเรว็
นอกจากดินดี แสงแดดถึงแลว้
ควรศึกษาต้นไม้แต่ละชนิดว่าชอบน้าประมาณไหน เชน่ บางชนิดไม่ค่อยชอบนา้ บางชนิดชอบน้า
เยอะ
ควรปลูกเว้นระยะห่าง 6 x 6 เมตร แล้ว ขั้นกลาง 3 เมตรด้วย ไม้ผล หรอื ผลไม้
82
2.5 คือ 10 ขั้นตอน การลง /ตรวจ แปลง ตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ
หลักจากที่ผู้เข้ารว่ มอบรมได้เรยี นรูเ้ รอ่ ื ง หลักกสิกรรมธรรมชาติ และข้ันตอนการลงแปลงตาม
หลกั กสิกรรม 10 ขน้ั ตอน คือ 1) การจดั การกลุม่ สารวจพ้ืนที่ แบ่งหน้าที่ แบ่งคน และแบง่ งาน 2) การ
เตรยี มดินขุดรอ่ งน้า หรอื ทาฝายกั้นน้า 3) การปลูกป่า 5 ระดับ 4) การปลูกแฝกเพื่ออนุรกั ษ์หน้าดิน
และน้า 5) การปลูกดอกไม้เพื่อบรหิ ารจัดการแมลงในพ้ืนท่ี 6) การห่มดินด้วยฟาง เศษใบไม้แห้ง 7)
การเลยี้ งดินโดยการใส่ปุย๋ อินทรยี ์ (แห้งชาม น้าชาม)
8) การทอ่ งคาถาเล้ียงดินทง้ั 5 ภาษา 9) การทาพ้ืนที่ให้สวยงามเป็นศิลปะ แปลงมีความเรยี บรอ้ ย 10)
การจดั เก็บอุปกรณ์ ล้างทาความสะอาดนาไปเก็บให้เรยี บรอ้ ย
83
บทท่ี 3 ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรจากภายนอก /ภายใน
วัตถุประสงค์ : เพอ่ื สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจแก่ผู้เขา้ อบรมถึง “ทฤษฎีบนั ได 9 ข้ันสู่ความพอเพยี ง”
เวลาสอน : จานวน 3 ชว่ั โมง
รูปแบบการสอน : การบรรยายให้ความรู้ และใชส้ ่ือเพ่ือสรา้ งแรงบนั ดาลใจ
ทฤษฎีบนั ได 9 ข้ันสู่ความพอเพียง เปน็ แนวทางทใี่ ชล้ าดับขั้นเพื่อเดินตามไปทีละข้ัน ค่อยๆ ก้าว
ไปแบบยง้ั ยืนและม่ันคง ซงึ่ หากใครทาตามได้ รบั รองว่าไม่มีจนแน่นอน โดยแต่ละขั้นจะมี ดังนี้
บนั ไดขนั้ ที่ 1-4 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขนั้ พื้นฐาน
ขนั้ ท่ี 1 พอกิน
พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คือ ความต้องการปัจจัย 4 และประการสาคัญท่ีสุดของปัจจยั 4
คือ อาหาร ข้ันที่ 1 ของแนวทางแก้ปญั หาทย่ี ั่งยืนคือ ตอบคาถามให้ได้ว่า “ทาอย่างไรจงึ จะพอกิน” โดย
ให้ความสาคัญกับ ข้าวปลาอาหาร ไม่ให้ความสาคัญกับเงนิ ซ่ึงเป็นเพียงแค่ “ตัวกลาง” ในการ
แลกเปลย่ี นตามมาตรฐานสากล โดยยดึ หลกั ว่า “เงนิ ทองเปน็ ของมายา ขา้ วปลาสิของจรงิ ”
เกษตรกรต้องเรม่ ิ จากการอยู่ให้ได้โดยไม่ใชเ้ งนิ มีอาหารพอมี พอกิน ด้วยการปลูกพืช
ผัก ผลไม้ ให้พอกิน ชาวนาต้องเก็บข้าวไว้ให้เพยี งพอสาหรบั การมีกินทั้งปี ไม่ขายข้าวเปลือกเพ่ือนาเงนิ
ไปซอ้ื ข้าวสาร
นอกจากน้ัน หัวใจสาคัญของ “พอกิน” ยังมีความหมายรวมไปถึงความปลอดภัยในอาหาร
กินอย่างไรให้มีสุขภาพดี ไม่สะสมเอาความเจบ็ ไข้ได้ปว่ ยไว้ในรา่ งกาย นี่คือความหมายของบันไดขั้นที่ ๑
ทเี่ กษตรกรต้องก้าวข้ามให้ได้
84
ขน้ั ท่ี 2-4 พอใช้ พออยู่ พอรม่ เย็น
เกิดขึ้นได้พรอ้ มกัน ด้วยคาตอบเดียวคือ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ซง่ึ ป่า 3
อย่างจะให้ทั้ง อาหาร เครอ่ ื งน่งุ ห่ม สมุนไพรสาหรบั รกั ษาโรค ทั้งโรคคน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สาหรบั
ทาบ้านพักท่ีอยู่อาศัย และให้ความรม่ เย็นกับบ้าน กับชุมชน กับโลกใบนี้ ซึ่งเป็นแนวทางในการ
แก้ปญั หาความยากจนของเกษตรกรไทย
ซ่ึงได้รบั การพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จรงิ และยังสามารถย้อนกลับไปแก้ไข
ปัญหาหนี้สินซ่ึงสะสมพอกพูนจากการทา เกษตรเชิงเดี่ยว ปัญหาความเส่ือมโทรมของทรพั ยากร
ปัญหาความขาดแคลนนา ภัยแล้ง ทั้งหมดล้วนแก้ไขได้จากแนวคิดปา่ 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างของ
องค์พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวฯ
บนั ไดขนั้ ที่ 5-9 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขนั้ ก้าวหน้า
ขน้ั ที่ 5-6 บุญและทาน
เครอื ข่ายเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อม่ันว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้นการ
แลกเปลี่ยนทางการค้า แต่เน้นการทาบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทานและ
สะสมโดยมอบให้เปน็ ทรพั ย์สินส่วนรวมโดยวดั หรอื ศาสนสถานตามแต่ละศาสนาเปน็ ศูนยก์ ลาง
เป็นการฝึกจิตใจ ให้ละซง่ึ ความโลภ และกิเลสในการอยากได้ ใครม่ ี ลดปัญหาช่องว่าง
ระหว่างชนชน้ั ตามความหมายอันลึกซง้ึ ของคา “ย่ิงทายิ่งได้ ย่ิงให้ย่ิงมี” การให้ไปคือได้มา และเชอื่ มั่น
ในฤทธิข์ องทาน ว่าทานมีฤทธจิ์ รงิ และจะส่งผลกลับมาเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร เป็นเครอื ข่ายที่
ชว่ ยเหลอื กันในทกุ สถานการณ์ แม้ในวันทโ่ี ลกน้ีประสบกับวกิ ฤตการณ์
ขนั้ ท่ี 7 เก็บรกั ษา
ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพ่ึงตนเองได้ พอมี พอเหลอื ทาบุญ ทาทานแล้ว คือการรจู้ กั เก็บ
รกั ษา ซงึ่ เปน็ การต้ังอยู่ในความไม่ประมาท และการรูจ้ กั เก็บรกั ษา ยังเปน็ การสรา้ งรากฐานของการเอา
ตัวรอดในเวลาเกิดวกิ ฤตการณ์ โดยยดึ แนวทางตามวถิ ีชวี ติ ชาวนาสมัยก่อนซง่ึ เก็บรกั ษาขา้ วไว้ในยุ้งฉาง
เพอื่ ให้พอมีกินข้ามปี คัดเลือกและเก็บรกั ษา “ข้าวพันธุ”์ ไว้สาหรบั เปน็ พันธขุ์ ้าวในปตี ่อไป
ซงึ่ ผิดกับวถิ ีชาวนาในปัจจุบันที่ใชว้ ธิ กี ารขายข้าวทั้งหมด แล้วนาเงนิ ท่ีขายได้ไปซอื้ พันธุ์
ข้าวเพ่ือปลูกในปีต่อไป ส่งผลให้เกิดการขาดความม่ันคงและเปรยี บเสมือนการใชช้ วี ติ อยู่บนเส้นทาง
สาย ความประมาท เพราะหากเกิดภัยแล้ง น้าท่วม ผลผลิตไม่ได้ตามท่ีตั้งใจไว้ ย่อมหมายถึงปัญหา
หนี้สินและการขาดแคลนพันธขุ์ ้าวสาหรบั ปลกู ในปตี ่อไป
นอกจากเก็บพันธุข์ ้าวแล้ว ยังเน้นให้รูจ้ กั วธิ กี ารถนอมอาหาร การสะสม อาหารไว้กินใน
ยามหน้าแล้ง ด้วยการแปรรูปอาหารหลากชนิด อาทิ ปลารา้ ปลาแห้ง มะขามเปียก พรกิ แห้ง หอม
กระเทยี ม เพอื่ เก็บไวก้ ินในอนาคต
85
ขน้ั ท่ี 8 ขาย
เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใชเ่ ศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใชเ่ ศรษฐกิจหลังเขา การค้า
ขายสามารถทาได้ แต่ทาภายใต้การรูจ้ ักตนเอง รูจ้ กั พอประมาณ และทาไปตามลาดับ โดยของท่ีขาย
คือ ของที่เหลือจากทุกข้ันแล้วจึงนามาขาย เช่น ทานาอินทรยี ์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทาลาย
ธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน เก็บไว้ทาพันธุ์ ทาบุญ ทาทาน แล้วจงึ นามาขายด้วยความรูส้ ึกของ
การ “ให้” อยากทจ่ี ะให้ส่ิงดี ๆ ทเ่ี ราปลกู เอง เผื่อแผ่ให้กับคนอ่ืน ๆ ได้รบั สิ่งดี ๆ นั้น ๆ ด้วย
การค้าขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง จงึ เปน็ การค้าทมี่ องกลับด้าน “เพราะรกั คณุ จงึ
อยากให้คุณได้รบั ในส่ิงดี ๆ” พอเพยี งเพอื่ อุ้มชู เผื่อแผ่ แบง่ ปนั ไปด้วยกัน
ขนั้ ท่ี 9 เครอื ขา่ ย กองกาลังเกษตรโยธนิ
คือการสรา้ งกองกาลงั เกษตรโยธนิ หรอื การสรา้ งเครอื ข่ายเชอ่ื มโยงทงั้ ประเทศ เพือ่ ขยาย
ผลความ สาเรจ็ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวถิ ีการดาเนินชวี ติ ของคนใน
สังคม ในชุมชน เพ่ือการแก้ปัญหาวกิ ฤต 4 ประการ อันได้แก่ วกิ ฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ
วกิ ฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช วกิ ฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพงวกิ ฤตความขัดแย้งทาง
สังคม
เครอื ข่ายกสิกรรมธรรมชาติ มูลนิธกิ สิกรรมธรรมชาติ ได้น้อมนาศาสตรพ์ ระราชามาสู่การ
ปฏิบัติ ในระยะเวลากว่า ๓๐ ปีท่ีผ่านจนได้ผลจรงิ ในการปฏิบัติเพ่ือแก้ไขปญั หาท้งั ด้านดิน น้า ปา่ และ
คน จนพัฒนาเป็นหลักการ แนวปฏิบัติตามศาสตรพ์ ระราชา อย่างเป็นข้ันเป็นตอน เรยี กว่า “ทฤษฎี
บันได ๙ ข้นั สู่ความพอเพียง ม่ังค่ัง ยงั่ ยืน”
86
บทท่ี 4 พัฒนา 3 ขุมพลัง (พลังกาย พลังใจ พลังปญั ญา)
วทิ ยากรผู้สอน : ทมี เจา้ หน้าทจ่ี าก สพจ.จงั หวดั /อาเภอ
วตั ถปุ ระสงค์ : เพือ่ ให้ผู้เขา้ อบรมได้เตรยี มความพรอ้ มรา่ งกายและจติ ใจก่อนการเรยี นรใู้ นวชิ าต่อไป
เวลาสอน : 08.00 – 09.00 น. จานวน ๑ ชวั่ โมง ต่อวัน
รปู แบบการสอน : 1) นง่ั สมาธิ กาหนดลมหายใจ
2) ออกกาลงั กาย
ขอบเขตเนื้อหาวชิ าทส่ี อน :
เป็นกิจกรรมท่ีจัดขึ้นในชว่ งเชา้ ก่อนทากิจกรรมอ่ืน ๆ เบ้ืองต้นใชเ้ พลงประกอบกิจกรรมสรา้ ง
ความตื่นตัวแก่ผู้เข้าอบรม จากนั้นเป็นกิจกรรมออกกาลังกายรว่ มกันโดยให้ผู้เข้ารว่ มอบรมส่งตัวแทน
ออกมาด้านหน้าห้องประชุม หรอื สถานทเ่ี หมาะสาม เพื่อนาการออกกาลังกาย วันละ 1 คน จากน้ันเป็น
การนง่ั สมาธเิ พือ่ กาหนดลมหายใจ 5 – 10 นาที หรอื หลังจากทมี่ ีการออกกาลังกาย จะให้ผู้เข้าอบรมชม
วดิ ีทศั น์ต่างๆ (ตามความเหมาะสม) เพอื่ สรา้ งแรงบันบาลใจในการทาเกษตรตามหลกั กสิกรรมธรรมชาติ
ก่อนทจี่ ะแจง้ กาหนดการกิจกรรมในวนั น้ัน ๆ
ผลการเรยี นรขู้ องผู้เขา้ รว่ มการอบรม :
เพื่อให้ผ้เู ข้าอบรมได้เตรยี มความพรอ้ มก่อนเรม่ ิ กิจกรรมต่าง ๆ ผู้เขา้ อบรมมีการตื่นตัว ละเกิด
ความสนใจในกิจกรรมทจ่ี ะต้องเรยี นรใู้ นวนั นั้น ๆ และสรา้ งบรรยากาศความสนกุ สนานเปน็ กันเอง
ภาพกิจกรรมระหว่างการอบรม
87
บทท่ี 5 ยุทธศาสตรก์ ารขับเคลื่อนปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบตั ิ
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายนอก /ภายใน
วัตถปุ ระสงค์ : เพ่ือเรยี นรหู้ ลกั การจดั ทายุทธศาสตรก์ ารขับเคล่อื นปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
เวลาสอน : 09.00 – 12.00 น. จานวน 3 ชวั่ โมง
รปู แบบการสอน : การฟังบรรยาย แบง่ กลุ่มระดมความคิดและนาเสนอผลงาน
ขอบเขตเนื้อหาวชิ าทสี่ อน :
ยุทธศาสตร์ หมายถึง เปา้ หมาย หรอื ทศิ ทาง นโยบาย และกระบวนการทอี่ งค์การตัดสินใจเลอื ก
เกี่ยวกับการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรทม่ี ีอยู่อย่างจากัดเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวัง
ของผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง โดยมีอนาคตเป็นตัวกาหนด โดยการค้นหาเปา้ หมายยุทธศาสตร์ ต้องประเมิน
ด้วย 4 รู้ ประกอบด้วย
1. ประเมินตนเอง (รเู้ รา) คือ รขู้ ้อดี ขอ้ ด้อย ของตนเอง
2. ประเมินสภาพภายนอก (รเู้ ขา) คือ รขู้ อ้ ดี ข้อด้อย ของเขา
3. ประเมินสภาพอากาศ (รฟู้ ้าดิน) คือ รูส้ ถานะสภาพปรมิ าณฝน สภาพดิน ปรมิ าณลม สภาพ
แสงอาทติ ย์
4. ประเมินสถานการณ์ (รูส้ ถานการณ์) คือ รูว้ กิ ฤติสถานการณ์ทงั้ 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านภัย
ธรรมชาติ ด้านโรคระบาด ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมโลก (สงคราม)
ยุทธวธิ ี หมายถึง แผนการดาเนินการ วธิ กี ารแบบเปน็ ข้ันเปน็ ตอน ตอบคาถามดังนี้
ใคร (Who)
ทาอะไร (What)
ทไี่ หน (Where)
เมื่อไหร่ (When)
อย่างไร (How)
88
ประกอบด้วย
1. การรว่ มกลุ่มเปา้ หมาย (คน) คือ กลุ่มเปา้ หมายคนทมี่ ีความรู้ มีความสนใจคนทพี่ รอ้ ม
ดาเนินงาน
2. กาหนดพ้ืนที่ คือ การแบง่ งาน แบง่ คน สู่ยุทธการทจี่ ะต้องดาเนินการ
3. กาหนดแผนการขับเคล่ือน คือ โครงการและกิจกรรมทด่ี าเนินการ
4. การต่อยอด คือ การดาเนินการต่อเน่ือง
ยุทธการ หมายถึง กระบวนการดาเนินงาน หรอื ขบวนการดาเนินงาน เชน่ “จอบเปลีย่ นโลก”
“เล็ก แคบ ชดั ”
โดยมีตารางการดาเนินงาน ประกอบด้วย
วนั ไหน แปลงพ้ืนทใ่ี คร กิจกรรม ผู้รบั ผิดชอบ
โดยสรุป ยุทธศาสตร์ (เปา้ หมาย)
นาสู่
ยุทธวธิ ี (แผนการดาเนินการ/วธิ กี ารทางาน)
ยุทธการ (แนวทางการทางาน)
ผลการเรยี นรูข้ องผเู้ ขา้ รว่ มการอบรม :
การแบง่ กลุ่มระดมความคิดและนาเสนอผลงานยุทธศาสตร์
89
บทที่ 6 เรยี นรู้ 9 ฐานเรยี นรู้ สู่เศรษฐกิจพอเพียง
1. ฐานคนติดดิน : ป้ นั ดินให้เปน็ บ้าน
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายใน /ภายนอก
วัตถุประสงค์ : เพ่ือให้ผู้เข้าอบรมได้เรยี นรูก้ ารสรา้ งบ้านจากดิน
เวลาสอน : 1-2 ชว่ั โมง
รูปแบบการสอน : บรรยายให้ความรู้ หรอื ลงมือปฏิบัติจรงิ
ขอบเขตเน้ือหาวชิ าทสี่ อน :
“บ้านดิน” ใช้วัสดุจากธรรมชาติ อย่างดิน, แกลบ, น้า, และดินเหนียว เพ่ือสรา้ งเป็นบ้านท่ีไม่
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถป้องกันไฟและความรอ้ นได้ดี เน่ืองจากเป็นบ้านท่ี
ผลิตจากผนังดินซึ่งมีความหนา นอกจากน้ีบ้านดินยังเป็นบ้านที่เหมาะกับประเทศในเขตรอ้ นอย่าง
ประเทศไทยอีกด้วย เน่ืองจากอุณหภูมิภายในบ้านดิน จะอยู่ท่ีประมาณ 24 – 26 องศาเซลเซียส
ตลอดทง้ั ปี ซงึ่ เป็นอุณหภูมิที่มนุษย์สามารถอยู่ได้อย่างสบาย ไม่จาเป็นต้องติดแอร์ อีกท้ังฝาผนังบ้าน
ดินยังสามารถดูดซมึ ความชนื้ ได้ดี ดังน้ันบ้านดิน จงึ ชว่ ยปรบั ความชน้ื ภายในได้เปน็ อย่างดี งบประมาณ
ในการสรา้ งบ้านดินแต่ละหลัง ก็น้อยแสนน้อยเมื่อเทียบกับการสรา้ งบ้านไม้หรอื บ้านปูน 1 หลังใน
ปัจจุบัน เพราะวัสดุหลักๆ ทีน่ ามาใชเ้ ป็นวัสดุท่หี าได้ทว่ั ไป และอาศัยแรงงานในพ้ืนท่ีชว่ ยกันค่อย ๆ ลง
แรงสรา้ งจนกลายเป็นบ้านดินคุณภาพแข็งแรง โดยใช้ทุนเพียงเล็กน้อย บ้านดินจึงเป็นอีกหน่ึง
ทางเลอื กสาหรบั คนทอี่ ยากมีบ้าน
การทาบ้านดิน มีขน้ั ตอน ดังน้ี
1. ขัน้ ตอนในการสรา้ งบา้ นดินหลังจากมีสถานทแี่ ลว้ ก็คือ การคานวณหาจานวนก้อนอิฐทจี่ ะใช้
โดยได้สรา้ งบลอ็ กไม้ขนาด 20 X 40 X 10 cm. ไว้เรยี งกัน 5 บล็อก หรอื บางทเี่ ห็นทา 1 ก้อน 1 บล็อก
ซง่ึ มีหน้าตาอย่างนี้
90
2. วัสดุทใี่ ชก้ ็มี ดินอะไรก็ได้ ยกเว้นดินทรายดินเหนียว และดินที่มีหินเจอื ปนเพราะเวลาย่าดิน
หินจะบาดเท้า นอกน้ันใชไ้ ด้หมด ส่วนผสมก็มี แกลบดิบและน้า เม่ือได้ครบแล้วก็นวดดินให้เข้ากันแล้ว
นามาเทใส่ในบลอ็ กไม้ไวส้ ักพักแล้วดึงบลอ็ กออก ไม่ต้องปล่อยไว้นานกดดินในบล็อกให้แน่น เต็มบล็อก
ถ้ากดดินไม่เต็มจาทาให้ก้อนอิฐดินไม่สวยและไม่แขง็ แรง
3. เมื่อได้จานวนทตี่ ้องการแลว้ ก็ตากดินทป่ี ้ นั ไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แลว้ พลกิ ก้อนดินต้ังขึน้ ไว้
เพ่ือตากให้แห้ง อีก 1 สัปดาห์ ค่อยเก็บหรอื เอาไปใชก้ ่อ
91
4. เม่ืออิฐดินแห้งได้ทแ่ี ลว้ ก็นามาก่อบรเิ วณทเ่ี ตรยี มไว้ โดยวางเรยี งๆกันข้นึ ไป นวดดินไวเ้ ชอื่ ม
กันระหว่างก้อนอิฐดิน เหมือนก่ออิฐทมี่ ีปูน เป็นตัวเชอ่ื มประสาน การก่ออิฐดินก็ก่อไปตามแบบ หรอื
แปลนทเี่ ราต้องการ แต่หลังน้ีมีพนื้ ทเี่ ทไวก้ ่อนแล้วจงึ ไม่มีแบบอะไรมากคิดว่าจะทาทรงไหนก็ก่อไปเลย
แนะนาวา่ ควรมีแบบไวก้ ่อนจงึ จะทาได้สวย
หากจะกันห้องหรอื ทาเตียงทาอะไรควรก่อไปตั้งแต่เรม่ ิ ต้นเพราะก้อนอิฐดินจะได้วางสลับกันทาให้
โครงสรา้ งแข็งแรงมากข้นึ สังเกตว่าหลงั นี้ไม่มีเสาอาศัยก้อนอิฐดินก่อขน้ึ ไปเลย
92
5. เมื่อก่ออิฐได้รปู ทรงตามต้องการแล้วก็เตรยี มทาหลงั คา ซงึ่ หลังนี้เปน็ การทดลองจงึ เตรยี มจะ
ใชด้ ินทาหลงั คา ซง่ึ ไม้รองหลังคาเปน็ ส่ิงจาเปน็ และใชป้ รมิ าณมาก
6. เม่ือวางโครงหลังคาเรยี บรอ้ ยก็คือการมุง อย่างทบ่ี อกก่อนหน้าน้ีวา่ เปน็ การทดลองใชด้ ินมุง
หลงั คา ซงึ่ ก็ไม่ยากคือนวดดินเหนียวแล้วราดบนโครงหลังคาทที่ าไวไ้ ด้เลย