93
7. เมื่อมุงหลงั คาเสรจ็ แล้วก็คือการฉาบและตกแต่ง ซงึ่ ก็นาดินมานวดเหมือนการป้ นั ก้อนอิฐ
ดิน แลว้ นามาฉาบทาผิว ให้เรยี บ
กาลังฉาบเสาหน้าบา้ น
- ฉาบแลว้ ทงิ้ ไวใ้ ห้ดินแห้งซกั ระยะก่อนจะทาสีหรอื ไม่ก็ได้
- ภายในห้องก็ทาชอ่ งระบายอากาศ แล้วแต่ชอบจะทาแบบไหนก็ได้
- การตกแต่งขึน้ อยูก่ ับความชอบใจ หากจะทาห้องนา้ ควรมีการติดกระเบื้องซง่ึ ก็ไม่ได้ยากอะไร
ในการติดกระเบ้อื งในบ้านดิน
การตกแต่งสุดทา้ ย คือการลงสี โดยใชด้ ินสีธรรมชาติ ซงึ่ จะเป็นสีแดง ส่วนใหญ่ จะทา
ให้บา้ นสวยขน้ึ
เทคนคิ ทาบา้ นดินโดยโจน จนั ได
94
2. ฐานคนเอาถ่าน : แปลงกิ่งไม้เปน็ ถ่าน
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายนอก/ภายใน
วตั ถุประสงค์ : เพือ่ ให้ผเู้ ข้าอบรมได้เรยี นรกู้ ารทาเตาเผาถ่านและประโยชน์จากการเผาถ่าน
เวลาสอน : 1 ชวั่ โมง
รูปแบบการสอน : บรรยายให้ความรแู้ ละหรอื ลงมือปฏิบตั ิจรงิ
ขอบเขตเนื้อหาวชิ าทส่ี อน :
ในอดีต ถ่านเปน็ ทรี่ จู้ กั กันในทกุ ครอบครวั สามารถผลิตเองได้ เปน็ การพง่ึ ตนเอง แต่เตาถ่านใน
อดีตเป็นเตาหลุมผีหรอื เตาดิน จงึ ต้องใชไ้ ม้ใหญ่ๆ และเลือกไม้มาทาการเผาถ่านจึงเป็นส่วนหน่ึงของ
การทาลายปา่ ใชท้ รพั ยากรธรรมชาติส้ินเปลือง ไม้จงึ หมดไปอย่างหน้าใจหาย ในปจั จุบนั ได้มีการพัฒนา
เตาเผาถ่านในหลายรูปแบบ แถมยังใชไ้ ม้กิ่งเลก็ ๆ ไม้แห้ง เศษไม้ ผลไม้ ดอกไม้ และยังสามารถใชง้ าน
ได้ในหลายรูปแบบ ได้ของแถมที่มากด้วยคุณค่าอีกด้วย เม่ือพูดถึงถ่านก็ต้องนึกถึงไม้ที่จะนามาเผา
ตรงกับแนวพระราชดารสั ของพระองค์ทา่ น
ในเรอ่ ื งของ ป่า ๓ อย่างประโยชน์ 4อย่าง บ้านเราเจรญิ เติบโตมาด้วยภาคเกษตร การทา
การเกษตรก็ต้องใช้น้า ถ้าหมดป่าเราจะหมดน้า ต้นกาเนิดของน้า คือ ป่า ก่อนท่ีเราจะเผาถ่าน เรา
จะต้องปลกู ต้นไม้ให้เป็นต้นทนุ ก่อน เม่ือต้นไม้โตจะมีแขนงงอกออกมาทขี่ า้ งลาต้น เราก็ทาการตัดแต่ง
ก่ิงนามาเป็นดอกเบ้ีย ต้นทุนเราก็ยังอยู่ เราจะใชโ้ ดยไม่รูจ้ กั หมด เป็นการสะสมไปในตัว เตาเผาถ่าน
ของเราต้นทุนต่าสามารถให้ผลผลิตสูง ทาจากถัง ๒๐๐ ลิตร ที่เป็นถังเหล็ก หรอื ทาด้วยถัง ๒๐ -๓๐
ลิตรก็ได้ ทาครง้ั เดียวจะอยู่ได้ถึง ๒ -๓ ปี เป็นการประหยัดเวลาและประหยัดไม้ ในการเผาถ่านแต่ละ
ครงั้ จะได้ของแถมทม่ี ากด้วยคุณค่า เปน็ การสลายตัวของสารอาหารท่อี ยู่ในเน้ือไม้ สีน้าตาลอมแดงหรอื
เรยี กวา่ นา้ ส้มควันไม้ สามารถนามาใชป้ ระโยชน์ทงั้ ในด้านการเกษตร ในครวั เรอื น ปศุสัตว์อุตสาหกรรม
วัสดุอุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการทาเตาเผาถ่าน
1. ถังน้ามัน ๒๐๐ ลติ ร (ถังเหลก็ ) ๑ – ๒ ใบ
2 .อิฐบล็อก ๘ – ๑๐ ก้อน
3. ทอ่ ใยหิน ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลาง ๔ น้ิว ยาว ๑ เมตร
4. ดิน และทราย
5. สังกะสีหรอื กระเบอ้ื ง แผ่นเรยี บ
6. ไม้ยาวประมาณ ๔๐ – ๗๕ เซนติเมตร ๑๒ – ๑๕ ทอ่ น
7. ไม้หมอน ตัดไม้ยาว ๒๐ เซนติเมตร หรอื ประมาณ ๒ คืบ จานวน ๓-๕ ทอ่ น เพอื่ เปน็ ชอ่ ง
ระบายอากาศ
ขัน้ ตอนการติดตั้งเตาเผาถ่าน
1. นาถัง ๒๐๐ ลิตร ตัดฝาด้านบนออกให้สามารถเปดิ ปดิ และยึดกับตัวถังได้ เจาะรทู ฝ่ี าถังเปน็
รปู ส่ีเหลี่ยม ขนาด ๒๐x๒๐ ซม. ตรงก้นถังเจาะรวู งกลมเส้นผ่าศูนยก์ ลาง ๔ น้ิว
2. ปูพ้ืนด้วยทรายหรอื ดินให้มีขนาดความกว้างยาวเทา่ ขนาดถัง แลว้ นาถังมาวางลงไป
3. ประกอบข้องอ ๙๐ องศา กับใยหินทที่ าหน้าทเ่ี ปน็ ปลอ่ งควัน พรอ้ มเชอ่ื มรอยต่อโดยใชด้ ิน
เหนียวผสมขเ้ี ถ้าแกลบ แลว้ ใชก้ รวด หิน หรอื อิฐหักรองรบั น้าหนักของทอใยหิน
95
4. หุ้มถังด้วยดินเหนียวหนา ๓๐ ซม. หรอื ใชไ้ ม้ตีกรอบล้อมถังและถมดินลงไปให้ทว่ มถัง เพ่อื
เปน็ ฉนวนปอ้ งกันความรอ้ น จากน้ันใส่ตะแกรงเหล็กในถังก่อนจดั เรยี งไม้พ้ืนทไี่ ม่สดหรอื แห้งเกินไป
โดยควรใชฟ้ ืนทตี่ ัดเก็บไว้ในทร่ี ม่ ๑ - ๒ อาทติ ย์ เรยี งซอ้ นกันจนเต็มเตา โดยเรยี งฟืนขนาดเลก็ ไว้
ขา้ งลา่ งฟืนใหญ่ไวข้ า้ งบน
5. ทาการปดิ ฝาถัง พรอ้ มใชด้ ินเหนียวผสมแกลบดาอุดรอยแยกถัง เพอื่ ปอ้ งกันไม่ให้อากาศเข้า
ตามรอยแยก จากน้ันนาอิฐบล็อกมาวางให้ตรงชอ่ งหน้าเตาทเ่ี จาะไว้
ทตี่ ้ังของเตาถ่าน ควรทาหลงั คามุงกันแดดกันฝน เพื่อความคงทนและสะดวกในการทางานหน้า
เตา ส่วนตาแหนง่ ทใี่ ชจ้ ุดไฟหน้าเตา ควรขุดให้ลาดเอียงเขา้ หาปากเตาเลก็ น้อย และควรให้อยูต่ า่ กว่า
พืน้ เตาเพื่อให้ความรอ้ นเขา้ ได้งา่ ย
http://online.anyflip.com/zzbjs/svqm/mobile/index.html
E-book ฐานคนเอาถ่าน
ศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรธี รรมราช
การเผาถ่าน
1. การจุดไฟหน้าเตา ควรจุดให้ห่างปากเตาประมาณ ๑ ฟุต
ปล่อยให้อากาศรอ้ นเทา่ นน้ั ทไ่ี หลเข้าไปในเตา ขัน้ ตอนนี้เปน็ การอบไม้
ฟืนให้แห้ง ควรให้ความรอ้ นจากหน้าเตาแบบค่อยเปน็ ค่อยไป ไม่เรง่ รดั
โหมไฟจนเกินไป เพ่อื ให้ไมใ้ นเตาถูกอบแห้งอย่างทว่ั ถึงสม่าเสมอ ซงึ่ ใช้
เวลาประมาณ ๒ ชว่ั โมง โดยสังเกตควนั สีขาว
ของความชน้ื จากเนื้อไม้ทปี่ ากทอ่ ใยหิน
2. การควบคุมไฟเตา เม่ือไม้ฟืนภายในเตาเรม่ ิ ติดไฟลกุ ไหม้ซงึ่ เปน็ ข้ันตอนทจ่ี ะกลายเปน็ ถ่าน
ให้หยุดเติมไฟจากภายนอก และลดชอ่ งอากาศทหี่ น้าเตาให้เล็กลงประมาณฝาขวด ปล่อยให้เตาเผาไหม้
ต่อไปด้วยความรอ้ นจากภายในเตาเทา่ นั้น โดยสังเกตดูควนั ที่ปากทอ่ ซงึ่ จะเปลีย่ นเปน็ สีขาวอมน้าตาล
ฉนุ แสบตา ให้ดักเก็บนา้ ส้มควนั ไม้ในชว่ งน้ี จะได้น้าส้มควันไม้ทม่ี ีคุณภาพสูง อุณหภูมิทปี่ ล่องควันจะอยู่
ที่ ๘๒ –๑๒๐ องศา ขัน้ ตอนน้ีเปน็ ชว่ งทจี่ ะทาให้ถ่านปลอดภัยจากสารทาร์ หรอื น้ามันดิน ซง่ึ เปน็ พษิ ต่อ
พชื ดิน รวมทง้ั เปน็ สารก่อมะเรง็ จงึ เหมาะสมในการดักเก็บน้าส้มควันไม้
3. การปดิ เตา ในชว่ งถ่านสุกซงึ่ เปน็ ชว่ งทไ่ี ม้กลายเปน็ ถ่านอย่างสมบูรณ์สังเกตวา่ ควัน
จะเปลีย่ นเปน็ สีขาวอมนา้ เงนิ ในชว่ งควนั สีนา้ เงนิ ใส ให้ขยายหน้าเตาครง่ ึ หนงึ่ ปล่อยไวป้ ระมาณ ๓๐ –
๔๕ นาที จงึ ปดิ หน้าเตา ทงิ้ ไว้อีกประมาณ ๑๕ –๒๐ นาที จงึ ปดิ หน้าเตาด้วยดินเหนียวรวมทงั้ รอยรว่ั อ่ืน ๆ
อย่าให้มีควนั เลด็ ลอดออกมาได้โดยเด็ดขาด และใชผ้ ้าห่อทรายชุบนา้ ปดิ ลงไปทปี่ ากปล่อง จากนั้นทิง้ เตา
ไว้ ๑ คืน ให้เยน็ ลงจนสามารถเปดิ เตา ห้ามใชน้ า้ รดเตา ถ่านออกมาได้ในเชา้ ของวนั ถัดไป ถ่านคุณภาพ
จะมีลักษณะเปน็ มันวาว แก่นไม้มักมีรอยแตกเปน็ รูปดอกไม้ หากใชน้ ้ิวสัมผสั จะมีฝุ่นถ่านสีดาติดมือมา
น้อยมาก เมื่อนาไปใชใ้ ห้ความรอ้ นสูง
96
การเก็บนา้ ส้มควนั ไม้
1. การดักเก็บนา้ ส้มควนั ไม้ ให้สังเกตสีของควนั เปน็ สีเหลอื งน้าตาลปนเทา โดยการนา
กระเบื้องเคลือบสีขาวมาอังทปี่ ล่องไฟดูจะเปน็ สีน้าตาล จากน้ันนาทอ่ ไม้ไผ่ทเ่ี ตรยี มไว้มาวางต่อกับปล่อง
ควันโดยตั้งทอ่ ไม้ไผ่ให้เอียงชนั ขึน้ ไปประมาณ ๔๕ องศา ห่างข้ึนไป ๑ ขอ้ ไม้ไผ่ ใชเ้ ลื่อยตัดเปดิ ท่อไม้ไผ่
ให้เปน็ รู เพอ่ื ให้นา้ ส้มควนั ไม้หยดลงมาแล้วหาขวดมารองรบั น้า
2. ทรี่ ะยะห่างขึน้ ไปอีก ๑ ขอ้ ไม้ไผ่หรอื ราว ๔๐ ซม. ให้ติดต้ังระบบควบแน่นด้วยการใชผ้ ้า
ชุบนา้ มาพนั รอบทอ่ และใชข้ วดพลาสติกบรรจุน้าเจาะรูทฝ่ี าขวด ให้น้าหยดตรงบรเิ วณทพี่ ันผ้า เพอ่ื ให้
ทอ่ เย็นตลอดเวลา
3. หม่ันตรวจควันทป่ี ลอ่ งเปน็ ระยะ เม่ือสีนา้ ส้มควันไม้เขม้ และมีความหนืดมาก จงึ หยุด
เก็บนา้ ส้มควันไม้
คุณภาพของเน้ือไม้ทจ่ี ะนามาเผา
1. ไมแ้ ห้ง สารอาหารหมดจากเนื้อไมแ้ ลว้ ไม่ต้องเก็บนา้ ส้มควนั ไม้ สามารถเผาเปน็ ถ่านได้
2. ไม้พอหมาด ไม้ทต่ี ัดไวป้ ระมาณ ๓ –๔ สัปดาห์ คุณภาพของน้าส้มควันไมจ้ ะดี
3. ไมส้ ด ต้องจุดไฟหน้าเตานานเนื่องจากความชนื้ สูง ส้ินเปลืองฟืนทใ่ี ชจ้ ุดหน้าเตา
คณุ ภาพของนา้ ส้มควนั ไม้ทไ่ี ด้พอใช้
ถ่านไม้ไผ่ ถ่านมีประโยชน์ต่อภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ในภาคการเกษตรเราใชผ้ สม
เปน็ อาหารสัตว์ ส่วนในภาคอุตสาหกรรม ใชเ้ ปน็ ส่วนประกอบของเครอ่ ื งสาอาง สบู่ และยาสระผม ถ่าน
นอกจากจะชว่ ยในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติทางด้านพลังงานได้อย่างมากมายมหาศาลแล้ว ถ่านก็
ยงั มีผลดีต่อโลกทง้ั ทางตรงและทางอ้อมอีกมาก ไม่ใชเ่ ฉพาะด้านอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติเพยี งอย่าง
เดียว ยงั ชว่ ยฟ้ ืนฟูเยยี วยารกั ษาสภาพทเ่ี สียไปของอากาศบนผิวโลกอีกด้วย
ถ่านมีคุณสมบตั ิพเิ ศษคือ รพู รุนมากมายโดยเฉพาะถา่ นไม้ไผ่จะมีรพู รุนมากกวา่ ถ่านทว่ั ไป
หลายเทา่ ตัว รพู รนุ ทม่ี ีมากมายจะทาหน้าทด่ี ูดซบั กักเก็บอาหาร เม่ือฝงั หรอื ผสมถ่านลงไปในดินจะชว่ ย
เก็บรกั ษาอาหารและแรธ่ าตุทพ่ี ชื ต้องการ และชว่ ยให้ออกซเิ จนถ่ายเทได้ดียิ่งข้ึน ไปกวา่ น้ันถ่านยังมีแร่
ธาตุมากมายหลายชนิดทม่ี ีประโยชน์ต่อพชื และเพ่มิ ประสิทธภิ าพของปุย๋ โดยเฉพาะปุย๋ อินทรยี ์
ประโยชน์ของถ่านไม้ไผ่
1. ทาสบู่ ระงบั กลิ่นตัว กล่ินเหล้าเบียร์
2. ดูดสารพษิ ในขา้ ว
3. ลา้ งผัก โดยการบดถ่านให้เปน็ ผงผสมกับน้า
4. ลา้ งสารพิษในรา่ งกาย
ถ้าถ่านทไ่ี ด้จากการเผามีคุณภาพดีจะมีค่ากระแสไฟฟ้าสูง ซง่ึ ถ่านดังกลา่ วจะนาไปทายาสีฟัน
โดยนาไปบดผสมกับเกลือ การบูร พมิ เสนและสามารถนามาทาเปน็ สบู่ถ่านและหมอนถ่านได้
คนเอาถ่านVol2 - การทาเตาเผาถ่าน : ศูนยบ์ ่มเพาะวสิ าหกิจ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏภูเก็ต
https://www.youtube.com/watch?v=f7RKPEuWnxw
97
98
3. ฐานคนมีไฟ : ไบโอดีเซล พลังงานทดแทน
หลักสูตร วทิ ยากรจติ อาสาพัฒนาชุมชนตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
วธิ กี ารเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารบรรยายสาธติ และปฏิบัติพรอ้ มกัน 40 นาที แล้วให้
ทกุ คนในกลมุ่ ได้รว่ มซกั ถามถึงการทาน้ามันไบโอดีเซล ในประเด็น
ความจาเปน็ ในการทา ประหยัดจรงิ หรอื ไม่
“…นา้ มันปาลม์ ทราบว่าดีเปน็ น้ามันทด่ี ีใชง้ านได้ ใชบ้ รโิ ภคแบบใชน้ ้ามันมาทอดไขไ่ ด้ มาทาครวั ได้
เอานา้ มันปาลม์ มาใส่รถดีเซลได้ กาลงั ของนา้ มันปาลม์ นี้ดีมากได้ผล เพราะว่าเม่อื ได้มาใส่รถดีเซล
ไม่ต้องทาอะไรเลย ใส่เขา้ ไป แลน่ ไป คนทแี่ ล่นตามบอกว่าหอมดี…”
- พระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
การทานา้ มันไบโอดีเซล
1. หลักการและความสาคัญ (หัวใจสาคัญ : เพ่ือทาให้สามารถพึ่งตนเองได้ด้านพลงั งาน)
ประวตั ิ “นา้ มันไบโอดีเซล”
แนวความคิดในการนา ไบโอดีเซล มาเปน็ เชอ้ื เพลงิ นั้น เกิดขึน้ ในปี 1987 เมื่อ ดร.รดู อล์ฟ
ดีเซล ได้คิดค้นและสรา้ งเครอ่ ื งยนต์ดีเซลเครอ่ ื งแรกขน้ึ มา แรงจูงใจของเขาคือการนาเสนอเครอ่ ื งจกั ร
ให้กับบรษิ ัทขนาดเล็กต่าง ๆ ซง่ึ เปน็ จุดทท่ี าให้เขาพยายามคิดค้นสรา้ งเครอ่ ื งยนต์ทม่ี ีประสิทธภิ าพ
มากกวา่ เครอ่ ื งยนต์ไอนา้ ขนาดใหญ่
และมีราคาแพง รวมถึงเครอ่ ื งยนต์ประเภทเผาไหม้ภายในซงึ่ ผลิตขนึ้ โดย นิคลอส ออตโต้ ในปี 1876
เครอ่ ื งยนต์ต้นแบบของ ดร.ดีเซลนั้น สามารถทางานด้วยกาลังของเครอ่ ื งยนต์เองเปน็ ครง้ั
แรกทเี่ มือง ออกซเ์ บริ ก์ (เยอรมัน) เม่ือวนั ท่ี 10 สิงหาคม 1893 ซง่ึ ภายหลังถกู ประกาศให้เปน็ "วันไบ
โอดีเซลนานาชาติ"
หลังจากทไ่ี ด้ทาการทดลองเก่ียวกับเชอ้ื เพลงิ หลายๆครงั้ น้ัน เขาได้แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะ
ของเครอ่ ื งยนต์ประเกท "จุดระเบดิ ด้วยการอัด" ทมี่ ีความเสถียรในงานแสดงเครอ่ ื งยนต์โลกทกี่ รงุ ปารสี
ในปี 1900
ซง่ึ ได้รบั รางวลั กรงั ปรซี ์ (รางวลั สูงสุด) เน่ืองจากเครอ่ ื งยนต์นั้นทางานได้โดยใช้ นา้ มันถั่ว เพียงอยา่ ง
เดียว
ดร.ดีเซล กลา่ วไว้ในปี 1912 ขณะบรรยายวา่ "การนา
น้ามันจากผักมาใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลงิ ในปจั จุบนั น้ัน อาจดู
ไม่ใช่
เรอ่ ื งทสี่ ลกั สาคัญเทา่ ไหร่ แต่ในอนาคดน้ามันเหลา่ น้ี
อาจมีความสาคัญเทยี บเทา่ กับนา้ มันปโิ ตรเลยี มและ
น้ามันถ่านหินในปจั จุบนั "
99
ประวัติ “น้ามนั ไบโอดีเซลในไทย”
ปี พ.ศ. 2526 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู ิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ
บพิตร ทรงมีพระราชดารใิ ห้มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ สรา้ งโรงงานสกัดน้ามันปาลม์ ขนาดเลก็ ที่
สหกรณ์นิคมอ่าวลกึ จงั หวัดกระบ่แี ละทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งโรงงานสกัดน้ามันปาล์ม
บรสิ ุทธขิ์ นาดเลก็ กาลังผลิตวันละ 110 ลิตร ทศี่ ูนยศ์ ึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเน่ืองมาจาก
พระราชดาร ิจงั หวดั นราธวิ าส
ปี พ.ศ. 2528 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ
บพติ ร พระราชดาเนิน พรอ้ มด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยาม
บรมราชกมุ าร ีทอดพระเนตร โรงงานสกัดน้ามันปาลม์ สาธติ ทมี่ หาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทรแ์ ละมีพระ
ราชดารสั ให้ไปทดลองสรา้ งโรงงานให้กลุม่ เกษตรกรทม่ี ีความพรอ้ มในพ้ืนทจ่ี รงิ
ปี พ.ศ. 2529 มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทรจ์ ดั สรา้ งโรงงานสกัดน้ามันปาล์มทดลองขน้ึ ทสี่ หกรณ์
นิคมอ่าวลึก จงั หวัดกระบี่
ปี พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ
บพติ ร มีพระราชกระแสให้สรา้ งโรงงานแปรรปู นา้ มันปาลม์ ขนาดเล็กครบวงจร ทศี่ ูนย์ศึกษาการพัฒนา
พิกลุ ทองอันเนื่องมาจากพระราชดารจิ งั หวดั นราธวิ าส ซง่ึ แลว้ เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2533
ปี พ.ศ. 2543 โครงการส่วนพระองค์สวนจติ รลดาและกองงานส่วนพระองค์ วงั ไกลกังวล
อาเภอหัวหิน จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ เรม่ ิ การทดลองนาน้ามันปาลม์ มาใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลิงสาหรบั
เครอ่ ื งยนต์ดีเซล จากการทดสอบพบว่า น้ามันปาล์มบรสิ ุทธ์ิ 100% สามารถใชเ้ ปน็ น้ามันเชอื้ เพลงิ
สาหรบั เครอ่ ื งยนต์ดีเซล โดยไม่ต้องผสมกับนา้ มันเชอ้ื เพลงิ อ่ืน ๆ หรอื อาจใชผ้ สมกับนา้ มันดีเซลได้
ตั้งแต่ 0.01% ไปจนถึง 99.99%
ปี พ.ศ. 2544 เม่ือวนั ท่ี 9 เมษายน พ.ศ. 2544 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหา
ภมู ิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้คณุ อาพล เสนาณรงค์
องคมนตร ีเปน็ ผู้แทนพระองค์ยน่ื จดสิทธบิ ัตร "การใชน้ ้ามันปาลม์ กล่ันบรสิ ุทธเ์ิ ปน็ น้ามันเชอ้ื เพลิง
สาหรบั เครอ่ ื งยนต์ดีเซล"
และโครงการน้ามันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ามันปาล์ม ได้รบั เหรยี ญทองประกาศนียบตั ร
สดุดีเทดิ พระเกียรติคุณพรอ้ มถ้วยรางวัล พระอัจฉรยิ ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวไมเ่ พียง
ประจกั ษ์ในหมู่พสกนิกรชาวไทยเทา่ น้ัน แต่ยงั ขจรขจายไปในเวทนี านาชาติอีกด้วย
นา้ มันไบโอดีเซล (Biodiesel) ทางเลือกหนง่ึ ของพลังงานทดแทน เปน็ ผลติ ภัณฑ์ทไ่ี ด้จากการ
นาน้ามันพืชชนิดต่างๆ หรอื น้ามันสัตว์มาสกัดเอายางเหนียวและสิ่งสกปรกออก จากนั้นนาไปผ่าน
กระบวนการทางเคมีโดยการเติมแอลกอฮอล์ เชน่ เอทานอลหรอื เมทานอล และมีตัวเรง่ ปฏิกิรยิ า เชน่
โซเดียมไฮดรอกไซต์ (โซดาไฟ) ภายใต้สภาวะที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อเปล่ียนโครงสรา้ งน้ามันจาก
Triglycerides เป็น Organic Acid Esters เรยี กว่า “ไบโอดีเซล” และได้กลีเซอรอล เปน็ ผลพลอยได้
ใชเ้ ปน็ วัตถุดิบสาหรบั อุตสาหกรรมยา เครอ่ ื งสาอาง
วตั ถปุ ระสงค์ของกระบวนการดังกล่าวคือ ชว่ ยปรบั ปรุงคุณสมบัติของนา้ มันในเรอ่ ื งความหนืด
ให้เหมาะสมกับการใชง้ านกับเครอ่ ื งยนต์ดีเซลและเพมิ่ ค่า Cetane number
100
การใชไ้ บโอดีเซลสามารถลดมลพิษทางอากาศ ซงึ่ เปน็ ผลจากการเผาไหม้ในเครอ่ ื งยนต์ได้ส่วน
หนง่ึ เน่ืองจาก องค์ประกอบของไบโอดีเซลไม่มีธาตุกามะถัน แต่มีออกซเิ จนเปน็ องค์ประกอบ ประมาณ
10% โดยนา้ หนักจงึ ชว่ ยการเผาไหม้ได้ดีลดมลพิษซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ไฮโดรคารบ์ อนมอนนอกไซด์ ได้
นอกจากน้ีไบโอดีเซล มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นดีกว่าน้ามันดีเซล น้ามันเชอื้ เพลิงชนิดนี้ ใน
ระดับชุมชนสามารถทาการผลิตได้จากพืชน้ามันในท้องถิ่น เช่น น้ามันสบู่ดา หรอื โดยการใช้น้ามัน
ประกอบอาหารที่ใช้แล้วจากกิจการต่าง ๆ ในครวั เรอื น รา้ นอาหาร กลุ่มผลิตผลิตภัณฑ์ OTOP หรอื
โรงงานอุตสาหกรรม อาหารในชุมชนซงึ่ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร หรอื เป็นการ
เพ่ิมคุณค่าของน้ามันทใี่ ชแ้ ล้ว และชว่ ยลดปรมิ าณของเสียที่จะทาให้เกิดมลพิษต่อส่ิงแวดล้อมในชุมชน
อีกด้วย
2.สถานท่ี
2.1 โครงสรา้ งประจาฐานเรยี นรู้
ฐานการทานา้ มันไบโอดีเซล เปน็ ฐานทใี่ ชก้ ารบรรยายและอธบิ ายข้นั ตอนการทาน้ามันไบโอ
ดีเซล โดยไม่ได้สาธติ จรงิ เนื่องจากเวลาจากัด(การทาจรงิ ต้องใชเ้ วลาหลายวนั ) แต่ใชก้ ารอธบิ าย
ขั้นตอนการทาจากวสั ดุและอุปกรณ์จรงิ และตัวอยา่ งผลทไ่ี ด้ จงึ มโี ครงสรา้ งของฐานเรยี นรู้ ดังนี้
1) โต๊ะตัวยาว สาหรบั ตั้งตัวอย่างวสั ดุตามข้ันตอนการทาน้ามันไบโอดีเซล
และพน้ื ทสี่ าหรบั ตั้งตัวอยา่ งหม้อและถังแก๊ส
2) ปา้ ยข้อมูลบอกข้นั ตอนการทาน้ามันไบโอดีเซล
3) พื้นท่นี ง่ั ฟังบรรยาย สาหรบั ผู้เข้ารบั การเรยี นรใู้ นฐาน พรอ้ มเก้าอ้ีนง่ั
2.2 ขนาดพ้ืนที่
จุดบรรยายและอธบิ ายขั้นตอนการทานา้ มันไบโอดีเซล พน้ื ท่นี งั่ ฟังบรรยาย สาหรบั ผู้เขา้ รบั การ
เรยี นรใู้ นฐาน ขนาดโดยประมาณ 4 x 1 เมตร ขนาดโดยประมาณ 5 x 4 เมตร
101
2.3 ตัวอย่างแผนผังจุดเรยี นรู้
2.4 ส่ือการสอน
1) ปา้ ยบอกชอ่ื ฐานเรยี นรู้
2) ปา้ ยข้อมูล
3) เอกสารความรู้
2.5 วสั ดุอุปกรณ์ประจาฐาน สาหรบั อธบิ ายและแสดงให้ดูประกอบการอธบิ าย
1) หม้อสแตนเลส และถัง 2) ขวดนา้ มันทใ่ี ชแ้ ลว้ 3) ขวดน้ามันตามผลลัพทท์ ไี่ ด้ตาม
แก๊ส ขั้นตอน
4) แอลกฮอล์ 5) ตาชงั่ 6) โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ)
7) เทอรโ์ มมิเตอร์ 8) ไม้พาย 9) อุปกรณ์ประจาตัววทิ ยากร
- ถงุ มือ ผ้าปดิ จมูก และหน้ากาก
ปอ้ งกันสารเคมี
102
3. วทิ ยากรหลัก เปน็ ผู้บรรยายและอธบิ ายขน้ั ตอนการทานา้ มันไบโอดีเซล
4. วธิ กี ารนาเสนอ/กิจกรรม
4.1 แนะนาตัววทิ ยากร
4.2 อธบิ ายประวัติความเปน็ มาและความสาคัญ ของน้ามันไบโอดีเซล
4.3 อธบิ ายส่วนผสม วสั ดุและอุปกรณ์การทาน้ามันไบโอดีเซล
4.4 อธบิ ายวธิ ที านา้ มันไบโอดีเซล
4.5 อธบิ ายประโยชน์และการนาไปใช้
4.6 เปดิ โอกาสให้ถามข้อสงสัย และแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์การทาและการใชน้ ้ามันไบ
โอดีเซล
5. เทคนิคประจาฐาน
ใชก้ ารเรยี นรผู้ ่านการฟังบรรยายและอธบิ ายข้นั ตอนการทาน้ามันไบโอดีเซล โดยมีตัวอยา่ งผลท่ี
ได้ในแต่ละข้นั ตอนมาประกอบการอธบิ าย เพ่อื ให้เห็นภาพจรงิ และเข้าใจได้งา่ ยขึน้ โดยไม่ต้องสาธติ จรงิ
เนื่องจากขนั้ ตอน
การทาน้ามันไบโอดีเซล ต้องใชก้ ารผสมและทง้ิ ระยะเวลาสารเคมใี นการทาปฏิกรยิ าเปน็ เวลานาน จงึ
ต้องทาไวล้ ่วงหน้าแล้วนาผลมาแสดงประกอบการอธบิ าย และมีปา้ ยขอ้ มูลทเ่ี ปน็ ภาพเข้าใจงา่ ย
6. ปญั หา/อุปสรรค
- ไม่มีตัวอยา่ งในการอธบิ ายถึงการนาไปใช้ อาทิ นานา้ มันไบโอดีเซลทผ่ี ลติ ได้ ไปเติมรถทใ่ี ช้
นา้ มันดีเซล แลว้ สามารถสตารท์ ติด ทาให้ขาดความน่าเชอ่ื ถือ ถึงการนาไปใชไ้ ด้จรงิ
- การอธบิ ายถึงประโยชน์ทย่ี งั คลมุ เครอื ไม่แน่ชดั ยังไม่สามารถสรุปได้วา่ เปน็ ประโยชน์สูงสุด
หรอื ยัง เน่ืองจากตอนนี้การทาน้ามันไบโอดีเซลเอง มีค่าใชจ้ า่ ยสูงกว่าการซอื้ นา้ มันดีเซลจากป๊ มั มาใช้
7. แนวทางแก้ไขปญั หา/ขอ้ เสนอแนะ
จากปญั หาและอุปสรรคขา้ งต้น มีการแก้ปญั หาดังกล่าว ด้วยการให้ผเู้ ขา้ รบั การเรยี นรใู้ นฐานน้ี
แลกเปลีย่ นความรแู้ ละประสบการณ์กัน จะทาให้ผู้เคยปฏิบัติเลา่ และการนั ตีวา่ สามารถนาไปใชไ้ ด้จรงิ และมี
ประโยชน์อยา่ งไร
ขอ้ เสนอแนะ : วทิ ยากรควรหาข้อมูลเพม่ิ เติม และทาความเขา้ ใจประโยชน์การทานา้ มันไบโอ
ดีเซลให้ได้อย่างลกึ ซง้ึ และเก็บรวบรวมข้อมูลประสบการณ์ผู้ทร่ี ว่ มแลกเปล่ียนเรยี นรใู้ นฐาน ไว้เป็น
ข้อมูลศึกษาต่อไป เพราะประโยชน์ของการใชน้ า้ มันไบโอดีเซล มีประโยชน์ทอี่ าจจะยังเห็นไม่ชดั และมี
ความแตกต่างกันในบรบิ ทของแต่ละคนทจี่ ะมองเห็นประโยชน์ได้แตกต่างกัน อาทิ คนทอี่ ยู่บนพน้ื ที่
ห่างไกล บนภูเขา ทหี่ าป๊ มั น้ามันได้ยาก และคนทรี่ กั ส่ิงแวดล้อม มองวา่ น้ามันทใ่ี ชแ้ ลว้ จะเปน็ ขยะท่ี
กาจดั ได้ยาก หากลงแม่นา้ ไปจะทาให้แม่นา้ เน่าเสีย หรอื เปน็ การเตรยี มตัวในอนาคตทร่ี าคานา้ มันจะพงุ่
สูงข้ึน หรอื นา้ มันขาดแคลน เปน็ ต้น
103
8. ข้อมูลประจาฐาน
สูตรการทานา้ มันไบโอดีเซลจากนา้ มันพชื หรอื นา้ มันสัตว์ทใี่ ชแ้ ลว้
เมทลิ แอลกอฮอล์ (เมทานอล) (ลิตร) โซเดียมไฮดรอกไซต์ (โซดาไฟ)
(กรมั )
นา้ มันพืช,สัตว์ (ลิตร)
อัตราคานวณ (15 – 20%) อัตราคานวณ (6 – 6.25%)
120 24 800
75 15 500
60 12 400
30 6 200
25 5 150
7.5 1.5 50
3.75 0.75 25
วธิ กี ารทานา้ มันไบโอดีเซล
1) นาน้ามันพชื หรอื น้ามันสัตว์ทใี่ ชแ้ ลว้ กรองเอาเศษอาหารทปี่ นออก แลว้ ยกข้ึนดั้งไฟ
- หากมีน้าผสมอยใู่ นนา้ มัน (ลักษณะขาวข้น) ต้องต้มน้ามันในอุณหภมู ิประมาณ 110 องศา
นานประมาณ 10 นาที แลว้ ดับไฟ (ขณะต้มจะมีฟองน้าผุดข้ึน และมีเสียงดังก้นหม้อ)
- หากไม่มีนา้ ปน (น้ามันใส) ต้มนา้ มันอุณหภมู ิ 57 องศาแล้วดับไฟ ความรอ้ นจะขนึ้ ถึง 60 องศา
2) นาเมทลิ แอลกอฮอล์ ใส่ลงในภาชนะคลา้ ยแกลลอนทม่ี ีฝาปดิ และนาโซดาไฟใส่ลงไป ปดิ
ฝาแล้วเขย่าจนละลายหมด ณ เวลาใกล้เคียงกับนา้ มันอุณหภูมิที่ 60 องศา (ระหว่างเขย่า ควรหยุดเปดิ
ฝาคลายให้ไอรอ้ นระเหยออกจากแกลลอน แล้วจงึ เขยา่ อีกครงั้ ) ขัน้ ตอนนี้ควรทาด้วยความระมัดระวงั
อยา่ สัมผัสส่วนผสมนห้ี รอื สูดดมไอระเหย และอย่าทาให้เกิดประกายไฟ ควรทาในสถานทอ่ี ากาศถ่ายเท
ได้ดี (หากมีการสัมผัสให้ลา้ งน้าสะอาดทนั ท)ี
3) เมื่ออุณหภูมินา้ มันทต่ี ้ม 60 องศาพอดีแล้ว ให้ยกน้ามันลงจากเตา แล้วนาส่วนผสมของขอ้
2 เทผสมลง แล้วกวนให้เข้ากันเปน็ เนื้อเดียวกัน พกั ทง้ิ ไว้ค้างคืน
4) ตอนเชา้ จะพบว่ามีฝ้าลอยอยูบ่ นผิวหน้าให้ตักออก แลว้ พกั ของเหลวใสตอนบน (ไบโอดีเซล)
ไวป้ ระมาณ 7 วัน ค่อยนาไปใชเ้ ติมเปน็ เชอื้ เพลิงแทนน้ามันดีเซล ส่วนชนั้ ลา่ งเปน็ ของแข็งสีน้าตาล คือ
กลเี ซอรนี สามารถ นาไปทาเปน็ สบูธ่ รรมชาติเพ่ือใชล้ า้ งทาความสะอาดพืน้ หรอื ทาเปน็ เชอื้ เพลงิ ติดไฟ
เพม่ิ เติม : เมื่อผสมส่วนผสมเขา้ กันแลว้ หลงั จากกวนส่วนผสม ผลทไ่ี ด้ คือ
- ได้เปน็ ของเหลวคลา้ ยเจล โดยไม่มีการแยกตัว หมายความว่า “โซดาไฟมากไป”
- ได้เปน็ 3 ส่วน คือ ไบโอดีเซล (ส่วนบน), นา้ มันทย่ี ังไม่ทาปฏิกรยิ า (ส่วนกลาง), กลเี ซอรนี
(ส่วนลา่ ง) หมายความว่า “โซดาไฟน้อยไป”
- หากใชโ้ ซดาไฟทช่ี น้ื หรอื มีนา้ ปนอยู่ ก็จะได้ ส่วนที่ 4 คือ สบู่
และควรทดสอบหาค่าของโซดาไฟ ตามความเหมาะสมของน้ามันแต่ละแหล่งทไ่ี ด้มา ในจานวน
ทนี่ ้อยก่อน เพ่อื ปอ้ งกันความเสียหาย เนื่องจากคุณสมบตั ิของนา้ มันทแ่ี ตกต่างกัน
104
ขอ้ ควรระวังในการใชง้ านโซดาไฟ
ถึงแม้โซดาไฟ จะใชง้ านกันมากในวงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้
งานเน่ืองจากเปน็ สารเคมี ดังน้ันเวลาใชง้ านจงึ ควรระมัดระวังเปน็ พิเศษ
1) ละอองของโซเดียมไฮดรอกไซต์หรอื โซดาไฟ ทาให้เกิดการอักเสบทเี่ ยื่อบุระบบทางเดิน
หายใจ หากสูดเอาไอหรอื ฝนุ่ โซดาไฟเข้าไป อาจมีผลให้เกิดการระคายเคือง และอักเสบทป่ี อด
2) การสัมผัสกับผิวหนงั ที่มีความเขม้ ขน้ สูงจะทาให้เกิดเปน็ แผลพพุ อง และเป็นแผลเปน็ ได้
หรอื การสัมผัสกับไอของโซเดียมไฮดรอกไซต์ เปน็ เวลานานจะทาให้ผิวหนงั แห้ง แตกสะเก็ดเปน็ แผลได้
ระวงั อยา่ ให้โซดาไฟถูกผิวหนงั
3) เม่ือสัมผัสกับตาจะทาให้เกิดอาการระคายเคือง ทาลายเน้ือเยอ่ื แผลพพุ อง เปน็ ต้อหินหรอื
ต้อกระจกและอาจตาบอดได้
4) เม่ือเขา้ สู่ปาก และทางเดินอาหารจะทาให้เกิดการกัดกรอ่ นอยา่ งรุนแรงต่อเนื้อเยือ่ ทางเดิน
อาหาร ทาให้เปน็ แผลทชี่ อ่ งปาก และลาคอไหม้ ปวดทอ้ ง ทอ้ งเสีย อาเจยี น วงิ เวยี น จนถึงตายได้ และ
อาจจะกลายเปน็ มะเรง็ ในระยะเวลา 10 - 20 ปไี ด้
5) ขณะใชง้ าน ควรสวมผ้าปดิ จมูก สวมถุงเทา้ ถงุ มือ แวน่ ตากันสารเคมี และสวมชุดปอ้ งกัน
สารเคมีให้เรยี บรอ้ ย
การใชน้ า้ มันไบโอดีเซล ควรหม่ันตรวจไส้กรองดีเซล และเปลี่ยนตามกาหนด หรอื ถ่ายนา้ จากกรอง
ดักนา้ บอ่ ย ๆ เพ่ือปอ้ งกันการอุดตันของสบู่ หากเครอ่ ื งยนต์มีอาการสะดุด ให้ตรวจสอบระบบท่อน้ามัน
และไส้กรองน้ามันดีเซล
โจน จนั ใด ชวี ติ งา่ ยๆ
นา้ มันพชื ทใี่ ชแ้ ล้วใชท้ าไบโอดีเซลแบบงา่ ยๆ
105
4. ฐานคนรกั ษ์แม่ธรณี : เลี้ยงดินให้ดินเลี้ยงพืช
ปุย๋ อินทรยี ช์ วี ภาพ (ปุ๋ยแห้ง)
หลักสูตร วทิ ยากรจติ อาสาพัฒนาชุมชนตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
วธิ กี ารเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารบรรยายพรอ้ มกับการปฏิบัติจรงิ รวม 45 นาที
แล้วให้ทกุ คนในกลุ่มได้ลงมือปฏิบัติจรงิ พรอ้ มกับการ
แลกเปลีย่ นเรยี นรไู้ ปพรอ้ มๆกัน
ปุย๋ หมักชวี ภาพ
การทาปุย๋ หมักชวี ภาพเปน็ การลดต้นทนุ การผลติ ให้แก่เกษตรกร อีกทงั้ บางส่วน หากมีมาก
สามารถแบง่ จาหน่ายเพือ่ สรา้ งอาชพี เสรมิ และรายได้แก่เกษตรกรอีกหนง่ึ ทาง ซง่ึ สามารถนาวัสดุทม่ี ีใน
พ้ืนทใ่ี ชเ้ พื่อการทาปุย๋ หมักชวี ภาพได้ ดังน้ี คือ
ส่วนผสม 1 กระสอบ
1. มูลสัตว์ แกลบดิบ 1 กระสอบ
2. แกลบดิบ 2 กิโลกรมั
3. ราหยาบละเอียด 1 กระสอบ
4. อ่ืนๆ เชน่ กากถ่ัว, เศษใบไม้ (ถ้ามี) ใส่จนพอหมาด
5. ผสมน้าหมักชวี ภาพ 1 ส่วน ต่อน้า 10 ลิตร
106
วธิ กี ารทา
1. นาส่วนผสมตั้งแต่ ขอ้ 1 ถึง 4 คลุกเคล้าให้เขา้ กัน
2. เกลยี่ กองปุย๋ ทผี่ สมเขา้ กันแล้วออกบางๆ รดด้วยน้าหมักชวี ภาพ ทผ่ี สมต่อนา้ 10 บนกองปุย๋
ให้ชุม่ พอหมาด(ความชนื่ ประมาณ 30-35%)
3. คลุกให้เข้ากันอีกครง้ั
4. เม่ือคลกุ เข้ากันเสรจ็ เรยี บรอ้ ย กรณีท่ี 1 ใส่ในถุงกระสอบ กองทงิ้ ไวเ้ วน้ ชอ่ งว่าง เพอื่ ระบาย
อากาศบางส่วนระหวา่ งกอง กรณีท่ี 2 กองไว้ในทร่ี ม่ ใชก้ ระสอบหรอื พลาสติกคลุมกอง ปุย๋ ทงิ้ ไว้ กลับ
ทกุ 5-7 วัน ซง่ึ ทง้ั 2 กรณีจะต้องรอให้ปุย๋ เย็นก่อน (ความรอ้ นของกองปุย๋ เทา่ กับ อากาศ ) จงึ จะ
นาไปใชป้ ระโยชน์ได้
การทาปุ๋ยหมกั แบบไมก่ ลับกอง “ วศิ วกรรมแม่โจ้ ”
ความจาเปน็ ของการผลิตปุย๋ อินทรยี ์
ในการเพาะปลกู ของเกษตรกรส่ิงทมี่ ีความจาเปน็ และสาคัญทส่ี ุด คือความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ความอุดมสมบูรณ์ของดินจะได้มาจากการทมี่ ีอินทรยี วัตถุสะสมอยู่ในดินอยู่มาก จุลนิ ทรยี ์ดินจะใช้
อินทรยี ว์ ตั ถเุ ปน็ สารอาหาร แล้วปลดปล่อยแรธ่ าตุทจี่ าเปน็ ให้แก่พชื ในปรมิ าณทพี่ ชื ต้องการอยา่ ง
เพยี งพอ ซง่ึ ได้แก่ ธาตุอาหารหลกั (ไนโตรเจน-N ฟอสฟอรสั -P2O5 และ โพแทสเซยี ม-K2O) ธาตุ
อาหารรอง (ซลั เฟอร์ แคลเซยี ม และแมกนีเซยี ม) และจุลธาตุ (แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม
เหลก็ คลอรนี และสังกะสี) ดังนั้น การเติมความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินวธิ หี นง่ึ คือการใชป้ ุย๋ หมักหรอื ปุย๋
อินทรยี ์ซง่ึ นอกจากจะเปน็ การเพ่มิ แรธ่ าตุให้กับพืชแลว้ ปุย๋ อินทรยี ์ยังชว่ ย ลดความเปน็ กรดของดินท่ี
เกิดจากการใชป้ ุย๋ เคมีและยาฆ่าหญ้าอยา่ งยาวนาน ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ในอดีตก่อนทจ่ี ะมีการผลติ ปุย๋ เคมีขนึ้ ในโลก เกษตรกรในประเทศไทยก็ได้มีการสรา้ ง
ความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินในการเพาะปลกู โดยการใชม้ ูลสัตวต์ ่างๆ เชน่ มูลโค มูลกระบือ และมูลไก่
เปน็ ต้น ประเทศไทย ในขณะน้ันสามารถส่งออกข้าวเปน็ ที่ 1 ของโลกมาโดยตลอด ทง้ั ๆทไี่ ม่มีปุย๋ เคมีใช้
แต่ปจั จุบนั ภายหลงั จากการ “ปฏิวัติเขยี ว” หรอื การนาปุย๋ เคมีเขา้ มาจาหน่ายในประเทศไทย
ประมาณ เม่ือปพี .ศ.2503 การเกษตรกรรมของไทยก็ได้ใชป้ ุย๋ เคมีสารเคมีและยาฆ่าหญ้าอย่างหนัก
โดยลืมทจ่ี ะเติมความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน
107
อย่างแต่ก่อน การใชป้ ุย๋ เคมีและสารเคมีอยา่ งยาวนาน 40-50 ปี ได้ทาให้ดินเพาะปลูก
เสื่อมสภาพลงอยา่ งมาก กลายเปน็ ดินทแี่ น่น แขง็ และ เปน็ กรด รากพชื ไม่สามารถชอนไชหาอาหารได้
ดีความเปน็ กรดของดิน ทาให้เกิดการละลายของธาตุอะลูมิเนียมออกมาแล้วดูดซมึ เขา้ ทางรากพชื ทาให้
พชื ไม่แขง็ แรงกลายเปน็ โรคงา่ ยและเชอ้ื ราทเี่ ปน็ โรคพืชบางชนิดยังทางาน ได้ดีในดินทเี่ ปน็ กรดอีกด้วย
ทาให้เกษตรกรต้องใชป้ ุย๋ เคมีและสารเคมีเพ่ิมมากข้ึน ทกุ ปที าให้มีต้นทนุ สูงขึ้นและ
ในขณะเดียวกัน การเผาทาลายเศษพชื ในแต่ละครงั้ ก็ส่งผลให้อินทรยี วัตถแุ ละจุลนิ ทรยี ์ดินทมี่ ี
อยูน่ ้อยพลอยสลายตัวหายไป อีก เพ่ือให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินกลับคืนมาเกษตรกรจงึ ควรงดการ
เผาเศษพืช และนาเศษพืชมาผลติ เปน็ ปุย๋ อินทรยี ค์ ุณภาพดีแล้วนาไปปรบั ปรงุ บารุงดินเพอื่ เพ่มิ
อินทรยี ์วัตถเุ พิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ทจี่ ะส่งผลให้การใชป้ ุย๋ เคมีและสารเคมีลดลง ซงึ่ หมายถึง
ต้นทนุ การผลิตก็จะลดลง ผลผลติ เพม่ิ มากข้นึ มีผลกาไรมากขน้ึ ดินเพาะปลกู จะกลบั มาเปน็ ดิน ดาทฟ่ี ู
น่มุ โครงสรา้ งเม็ดดินจะรว่ นซุยขึ้น มีไส้เดือนกลับคืนมาทช่ี ว่ ยการชอนไช ของรากพชื พชื ก็จะกลับมา
แข็งแรง เกษตรกรและประชาชนจะมีสุขภาวะทดี่ ี จากการลดควันพิษจากการเผาและลดการใชส้ ารเคมี
ปจั จุบนั เกษตรกรจานวนมากเรม่ ิ หันกลบั มาลดต้นทนุ ทางการเกษตร โดยทาการหมักปุย๋ อินทรยี ์
สาหรบั ใชใ้ นพื้นทขี่ องตนเอง แต่ปญั หาทพ่ี บส่วนใหญ่คือจะต้องใชแ้ รงงานคนจานวนมากในการกลับ
กองปุย๋ ทกุ ๆ 7 วนั ซงึ่ เปน็ วธิ ที ยี่ ุ่งยาก และเสียค่าใชจ้ า่ ยมาก ทาให้ทาง ผศ.ธรี ะพงษ์ สวา่ งปญั ญางกูร
มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ได้คิดค้นวธิ กี ารทาปุย๋ หมักทง่ี า่ ย ประหยัด และได้ผลดีข้นึ มา โดยเรยี กนวตั กรรม
ใหม่น้ีวา่ “วศิ วกรรมแม่โจ”้ ขน้ั ตอนวธิ กี ารเปน็ เชน่ ไรติดตามได้ในฉบับน้ีเลยครบั
ข้นั ตอนท่ี 1 นาเศษข้าวโพดหรอื ฟางขา้ ว 4 ส่วนกับมูลสัตว์ 1 ส่วนโดยปรมิ าตร วางสลบั กันเปน็ ชนั้
บางๆ สูงไมเ่ กินชนั้ ละ 10 เซนติเมตร จานวน 15 - 17 ชน้ั รดนา้ แต่ละชน้ั ให้มีความชนื้ ขนึ้ กองเป็นรูป
สามเหลยี่ มทม่ี ีความสูงไม่ตา่ กวา่ 1.50 เมตร ฐานกว้าง 2.5 เมตร ส่วนความยาวของกองจะยาวเทา่ ไรก็
ได้ขึน้ อยูก่ ับปรมิ าณเศษพืชและมูลสัตวท์ ม่ี ี ความสาคัญของการทตี่ ้องทาเปน็ ชนั้ บาง ๆ 15 - 17 ชน้ั ก็
เพือ่ ให้จุลินทรยี ท์ ม่ี ีอยูใ่ นมูลสัตว์ได้ใชท้ งั้ ธาตุคารบ์ อน (มีอยู่ในเศษพืช) และธาตุไนโตรเจน (มีในมูล
สัตว์) ในการเจรญิ เติบโตและสรา้ งเซลล์ของจุลินทรยี ์ ซง่ึ จะทาให้การย่อยสลายวตั ถดุ ิบเปน็ ไปได้อยา่ ง
รวดเรว็ โดยการวางกองปุย๋ หมักสามารถวางไว้กลางแจง้ ได้เลย ไม่ต้องมีการปดิ คลมุ
108
ขั้นตอนท่ี 2 รกั ษาความชน้ื ภายในกองปุย๋ ให้มีความเหมาะสมอยเู่ สมอตลอดเวลา (มีค่าประมาณรอ้ ยละ
60 – 70) โดยมี 2 ขนั้ ตอนดังน้ี
ขน้ั ตอนท่ี 1 รดนา้ ภายนอกกองปุย๋ ทุกเชา้ (ถ้าฝนตกก็ให้งดขัน้ ตอนน้ี)
ขั้นตอนที่ 2 ใชไ้ ม้แทงกองปุย๋ ให้เปน็ รูลึกถึงข้างล่างแลว้ กรอกนา้ ลงไประยะห่างของรูประมาณ
40 เซนติเมตร ทาขน้ั ตอนทสี่ องน้ี 5 ครง้ั ระยะเวลาห่างกัน 10 วนั เมื่อเติมนา้ เสรจ็ แลว้ ให้ปดิ รเู พือ่
ไม่ให้สูญเสียความรอ้ นภายในกองปุย๋ ข้นั ตอนทส่ี องนี้แม้วา่ อยใู่ นชว่ งของฤดูฝนก็ยังต้องทา เพราะ
น้าฝนจะไม่สามารถไหลซมึ เขา้ ไปในกองปุย๋ ได้ การทฝ่ี นไม่สามารถชะล้างเข้าไปในกองปุย๋ ได้เกษตรกรจงึ
สามารถผลติ ปุย๋ อินทรยี ด์ ้วยวธิ นี ี้ในฤดูฝนได้ด้วย
ภายในเวลา 5 วันแรก กองปุย๋ จะมีค่าอุณหภมู ิสูงขึ้นมาก บางครงั้ สูงถึง 70 องศาเซลเซยี ส ซง่ึ เปน็ เรอ่ ื ง
ปกติสาหรบั กองปุย๋ ทท่ี าได้ถูกวธิ ี อันเกิดจากกิจกรรมการยอ่ ยสลายของจุลนิ ทรยี ์ และความรอ้ นสูงน้ียัง
เปน็ สภาวะแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมกับการทางานของจุลนิ ทรยี ์ในกองปุย๋ อีกด้วย หลังจากนั้นอุณหภูมิจะ
ค่อย ๆ ลดลงจนมีค่าอุณหภูมิปกติทอ่ี ายุ 60 วัน
109
ขัน้ ตอนที่ 3 เม่ือกองปุย๋ มีอายุครบ 60 วัน ก็หยุดให้ความชน้ื กองปุย๋ จะมีความสูงเหลอื เพยี ง 1 เมตร
แล้วทาปุย๋ อินทรยี ใ์ ห้แห้งเพือ่ ให้จุลินทรยี ์สงบตัวและไม่ให้เปน็ อันตรายต่อรากพืช วธิ กี ารทาปุย๋ อินทรยี ์
ให้แห้งอาจทาโดยทงิ้ ไว้ในกองเฉยๆ ประมาณ 1 เดือน หรอื อาจแผ่กระจายในทรี่ ม่ อากาศถ่ายเทให้มี
ความหนาประมาณ 20 – 30 ซม. แล้วเกลี่ยไปมา ซงึ่ จะแห้งภายในเวลา 3 – 4 วัน ก็สามารถนาไปใช้
บารงุ พชื และปรบั ปรงุ ดินในพน้ื ทขี่ องเกษตรกรได้ทนั ที หรอื จะนามาปน่ ละเอียดเพ่อื จาหน่ายสรา้ ง
รายได้ก็เข้าที
ขอ้ ห้ามของการผลติ ปุย๋ อินทรยี ว์ ธิ ี “วศิ วกรรมแม่โจ้ ”
1. ห้ามขนึ้ เหยยี บกองปุย๋ ให้แน่น หรอื เอาผ้าคลุมกองปุย๋ หรอื เอาดินปกคลุ มด้านบนกองปุย๋
เพราะจะทาให้อากาศไมส่ ามารถไหลถ่ายเทได้สะดวก
2. ห้ามละเลยการดูแลความชน้ื ทงั้ 2 ขน้ั ตอน เพราะถ้ากองปุย๋ แห้งเกินไปจะทาให้ต้องใช้
ระยะเวลาหมักนานขนึ้ และปุย๋ มีคุณภาพต่า
3. ห้ามวางเศษพืชหนาเกินไป เพราะจะทาให้จุลนิ ทรยี ท์ มี่ ีในมูลสัตวไ์ ม่สามารถเขา้ ไปยอ่ ยสลาย
เศษพืชได้
4. ห้ามทากองปุย๋ ใต้ต้นไม้ เพราะความรอ้ นของกองปุย๋ จะทาให้ต้นไม้ตายได้
5. ห้ามระบายความรอ้ นจากกองปุย๋ เพราะความรอ้ นจะชว่ ยให้จุลินทรยี ท์ างานได้ดีมากขน้ึ และ
ยงั ชว่ ยให้เกิดการไหลเวยี นของอากาศผ่านกองปุย๋ อีกด้วย
ปุ๋ยนา้ หมักชวี ภาพ นา้ หมัก ๗ รส
น้าหมักสมุนไพร 7 รส เป็นสูตรที่ผสมขึ้นมาจากสมุนไพรท่ีมีรสจืด ขม ฝาด เมาเบื่อ เปรย้ ี ว
หอมระเหย และ เผ็ดรอ้ น หรอื อาจกล่าวได้ว่าเป็นสูตรที่รวมรสของสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการกาจดั
แมลงศัตรูพืชเข้าไว้ในสูตรเดียวกัน เพื่อเพ่ิมประสิทธภิ าพในการป้องกันกาจัดแมลงศัตรูพืชผัก ซ่ึงมี
ความหลากหลายและสามารถพัฒนาความต้านทานสารกาจดั แมลงได้ภายในเวลาไม่นาน ดังน้ันการรวม
พิษของพืชที่มีผลต่อระบบการทางานของแมลงศัตรูพืชเอาไว้ภายในสูตรเดียว จงึ เปน็ อีกหน่ึงวธิ ที ่จี ะลด
ปัญหาการดื้อยาของแมลงลงได้ โดยการทาน้าหมักสมุนไพร 7 รสน้ันเป็นการเลือกเอาสมุนไพรรส
ต่างๆ มาทานา้ หมักจุลนิ ทรยี ์ชวี ภาพ เพ่ือประโยชน์ทางการเกษตร ซง่ึ สามารถใชไ้ ด้กับนาข้าว และพชื ผัก
ทกุ ชนิด
110
ปุ๋ยนา้ หมกั สมุนไพร 7 รส ประกอบด้วย
1. สมุนไพรรสจดื ได้แก่ ใบกลว้ ย ผักบุ้ง รางจดื และพืชสมุนไพรทมี่ ีรสจดื ทกุ ชนิด
สรรพคุณ : จะเปน็ ปุย๋ บารุงดิน ให้ดินมีความรว่ นซุย โปรง่ และทาให้ดินไม่แขง็ และสามารถใชบ้ าบัดนา้
เสียได้ด้วย
2. สมุนไพรรสขม ได้แก่ ใบสะเดา บอระเพ็ด ใบข้ีเหลก็ และพืชสมุนไพรทมี่ ีรสขมทกุ ชนิด
สรรพคุณ : สามารถฆ่าเชอ้ื แบคทเี รยี เพ่อื สรา้ งภมู ิค้มุ กันให้กับพืช
3. สมุนไพรรสฝาด ได้แก่ ปลีกล้วย เปลอื กมังคุด เปลอื กฝรง่ั มะยมหวาน และพืชสมุนไพรทมี่ ี
รสฝาดทกุ ชนิด
สรรพคณุ : ฆ่าเชอ้ื ราในโรคพชื ทกุ ชนิด
4. สมุนไพรรสเมาเบือ่ ได้แก่ หัวกลอย ใบ/เมล็ดสบู่ดา ใบน้อยหน่า และพืชสมุนไพรทม่ี ีรสเมา
เบื่อทกุ ชนิด
สรรพคณุ : ฆ่าเพลยี้ หนอนและแมลง ในพืชผักทกุ ชนิด
5. สมุนไพรรสเปรย้ ี ว ได้แก่ มะกรดู มะนาว กระเจยี๊ บ และพืชสมุนไพรทมี่ ีรสเปรย้ ี วทกุ ชนิด
สรรพคุณ : ไลแ่ มลงโดยเฉพาะ
6. สมุนไพรรสหอมระเหย ได้แก่ ตะไครห้ อม ใบกะเพรา ใบเตยและพชื สมุนไพรทมี่ ีรสหอมระเหย
ทกุ ชนิด
สรรพคุณ : จะเปน็ นา้ หมักทเี่ ปล่ียนกลิ่นของต้นพชื เพ่อื ปอ้ งกันไม่ให้แมลงไปกัดกินทาลาย
7. สมุนไพรรสเผ็ดรอ้ น ได้แก่ พรกิ ขงิ ข่า และพืชสมุนไพรทมี่ ีรสเผ็ดรอ้ นทกุ ชนิด
สรรพคุณ : ไลแ่ มลง และทาให้แมลงแสบรอ้ น
การทาปุย๋ นา้ (นา้ หมัก)
วตั ถุดิบ
1. พืช(สับหรอื บด) 3 ส่วน
2. น้าตาล 1 ส่วน
3. หัวเชอ้ื 1 ส่วน
4. น้า 10 ส่วน
วธิ กี ารทา
1) สับเศษผัก/เศษอาหาร/เศษผลไม้ ให้ละเอียด
2) ละลายกากน้าตาล/น้าตาลทรายแดง กับนา้ แลว้ นาเศษอาหาร/เศษผัก/เศษผลไม้ ทสี่ ับให้
ละเอียดแลว้ คลกุ เคลา้ ให้เขา้ กัน
3) นาส่วนผสมทค่ี ลุกเคล้ากันเสรจ็ เรยี บรอ้ ยเทใส่ถังหมักทเ่ี ตรยี มไว้เว้นชอ่ งวา่ ง ประมาณ 1/4
ของถังหมัก ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 90 วนั หรอื 3 เดือน จงึ นาน้าหมักไปใชป้ ระโยชน์
ก่อนนานา้ หมักไปใชป้ ระโยชน์สังเกต ดังน้ี
1. สี ของนา้ หมักจะมีสีน้าตาลเข้ม หรอื อาจมีราขาวขึน้ บนผิวหน้าของน้าหมัก
2. กลนิ่ ของน้าหมักจะออกเปรย้ ี ว
3. รสชาติ ของนา้ หมักจะมรี สเปรย้ ี ว
4. ค่าความเปน็ กรด-ด่าง (pH) ประมาณ 3
111
การนาไปใชป้ ระโยชน์ การใชป้ ระโยชน์
มีความเข้มข้นมากสามารถทาให้พชื ตายได้
อัตราส่วน ลดกลิ่นกองขยะ คอกสัตว์ และห้องน้า
นา้ หมักชวี ภาพ 100 % ใชร้ ดนา้ พชื ผัก ต้นไม้
นา้ หมักชวี ภาพ 1 ส่วนต่อน้า 10 ส่วน เหมาะสาหรบั การลา้ งพื้นคอกสัตวเ์ ล้ียง
นา้ หมักชวี ภาพ 1 ส่วนต่อนา้ 200 ส่วน
น้าหมักชวี ภาพ 1 ส่วนต่อนา้ 500 ส่วน
112
5. ฐานคนมีน้ายา : นา้ ยาอเนกประสงค์ (ลดรายจา่ ยในครวั เรอื น)
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายนอก /ภายใน
วตั ถุประสงค์ : เพ่อื ให้ผู้เขา้ อบรมได้เรยี นรกู้ ารทานา้ ยาอเนกประสงค์เพือ่ ใชเ้ องหรอื เพือ่ จาหน่าย
เวลาสอน : จานวน ๑-2 ชว่ั โมง
รูปแบบการสอน : บรรยายให้ความรแู้ ละหรอื ลงมือปฏิบัติจรงิ
ขอบเขตเนื้อหาวชิ าทส่ี อน :
นา้ ยาอเนกประสงค์ สูตรน้าหมักผลไม้รสเปรย้ ี ว เปน็ มรดกทางภมู ิปญั ญาของไทย มีคุณสมบัติ
เด่นคือ มีความเป็นกรดสูงใชส้ าหรบั การทาความสะอาดในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดี ใชไ้ ด้ท้งั ล้างจาน ซกั ผ้า
ขัดห้องน้า ล้างรถ ถูบ้าน ล้างเชด็ ทาความสะอาดอุปกรณ์ท่ีทาจากทั้งจากโลหะหรอื อโลหะ ข้อดี ก็คือ
ค่อนข้างจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะมีจุลินทรยี ์ชนิดดีจากน้าหมักผลไม้รสเปรย้ ี วเป็นตัวชว่ ยย่อย
สลายและขจดั ส่ิงสกปรก ท้งั สารเคมี สีและกล่ิน เชน่ ถ้านาไปซกั ผ้า จะชว่ ยปอ้ งกันเชอื้ ราได้ ขัดห้องน้า
ก็จะช่วยกาจัดกล่ินได้ น้าท่ีเหลือจากการล้างจาน ซักผ้า ก็สามารถนาไปรดต้นไม้ ช่วยย่อยสลาย
สารอาหารในดินให้เปน็ ปุย๋ ต่อไปได้ นอกจากนี้ต้นทนุ การผลิตก็ต่า สามารถทาใชไ้ ด้เองอย่างงา่ ยๆ
สูตรการทานา้ ยาอเนกประสงค์ (สูตรหมอเขยี วทวี )ี หรอื สูตรอื่นๆ ก็ได้ตามวทิ ยากรแต่ละพ้นื ท่ี
วัสดุ/วตั ถุดิบ
1. นา้ หมักผลไม้รสเปรย้ ี ว จานวน ๕ ลติ ร
2. เกลือแกง จานวน ๑ กิโลกรมั
3. N70 จานวน 1 กิโลกรมั
4. นา้ ด่างขีเ้ ถ้า จานวน ๕ ลิตร
5. นา้ สะอาด(ไม่ใชน้ ้าประปา/ไม่ใชน้ า้ ฝน) จานวน 10 ลติ ร
6. ถังพลาสติก + ไม้พาย
วธิ ที า
1. นา N 70 และเกลอื แกงใส่ถังแลว้ คนผสมทงั้ 2 ให้เขา้ กันจนกลายเปน็ สีขาวนวล
2. คอยเติมน้าหมักผลไม้รสเปรย้ ี วและคนไปเรอ่ ื ย ๆ และเติมน้าหมักฯ จนครบทงั้ 3 ลิตร
3. ค่อยเติมน้าขเ้ี ถ้าจนครบทงั้ 1 ลติ ร
4. คนไปเรอ่ ื ย ๆ และเติมน้าเปล่าจนครบทงั้ 10 ลติ ร คนไปเรอ่ ื ย ๆ จนส่วนผสมทง้ั หมด
เขา้ กันและคนจนฟองยุบ ทงิ้ ไวป้ ระมาณ 6 ชว่ั โมงแลว้ จงึ กรอกใส่ขวดเพอ่ื ใชต้ ่อไป
วธิ ใี ชแ้ ละประโยชน์
น้ายาอเนกประสงค์สามารถใชเ้ ปน็ นา้ ยาลา้ งจาน นา้ ยาซกั ผ้า นา้ ลา้ งห้องน้า รวมถึงการทา
ความสะอาดส่ิงของต่าง ๆ หากต้องการฟองจานวนมากให้เติมปรมิ าณ N70 เพมิ่ ข้ึน หากต้องการให้
นา้ ยาขจดั คราบไขมันได้ดีให้เพม่ิ ปรมิ าณน้าขเ้ี ถ้า
จดั ทาโดย มูลนิธแิ พทย์วถิ ีธรรมแห่ง
ประเทศไทย ศูนย์เรยี นรสู้ ุขภาพตามแนว
เศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ ๑
ดอนตาล จงั หวดั มุกดาหาร
ขอบคณุ
113
6. ฐานคนรกั ษ์ป่า (ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง)
หลักสูตร วทิ ยากรจติ อาสาพฒั นาชมุ ชนตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
วธิ กี ารเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารบรรยาย 10 นาที โดยให้แบง่ กลมุ่ โดยให้พูดเรอ่ ื งปลูกปา่ 3 อยา่ ง
ประโยชน์ 4 อยา่ ง และ เรอ่ ื งปลกู ไม้ 5 ระดับ ส่งตัวแทน ได้ออกไปนาเสนอ
หลักการปลูกปา่ 3 อยา่ งประโยชน์ 4 อย่าง
พระราชดารกิ ารพัฒนาปา่ ไม้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ในการ
ผสมผสานการอนุรกั ษ์ ดิน น้า และการฟ้ ืนฟูทรพั ยากรปา่ ไม้ ควบค่กู ับความต้องการด้านเศรษฐกิจ
ปลูกปา่
1. ปา่ ไมใ้ ชส้ อย คือ ไมโ้ ตเรว็ เชน่ สะเดา ไม้ไผ่
2. ปา่ ไม้เศรษฐกิจ คือ เชน่ ไม้สัก ประดู่ พะยูง
3. ปา่ ไม้กินได้ คือ ไม้ผล เชน่ กลว้ ย มะม่วง และผักกินใบต่าง ๆ
ได้ประโยชน์
1. ไมใ้ ชส้ อย สาหรบั ใชใ้ นครวั เรอื น เชน่ นามาสรา้ งบา้ น ทาเลา้ เปด็ เลา้ ไก่ ด้ามจอบเสียม ทาหัตถกรรม
หรอื กระทง่ั ใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลิง (ฟืน) ในการหุงต้ม
2. เปน็ แหลง่ รายได้ของครวั เรอื น เปน็ พชื ทส่ี ามารถนามาจาหน่ายได้ ซง่ึ ควรปลูกพชื หลากหลายชนิด
เพ่ือลดความเส่ียงเรอ่ ื งราคาตกต่าและไม่แน่นอน
3. นามาเปน็ อาหาร นามาเปน็ อาหาร ทง้ั พืชกินใบ กินผล กินหัว และเปน็ ยาสมุนไพร
4. ประโยชน์ในการชว่ ยอนุรกั ษ์ดินและนา้ การปลูกพืชทห่ี ลากหลายอยา่ งเปน็ ระบบ จะชว่ ยสรา้ งสมดุล
ของระบบนิเวศ ชว่ ยปกปอ้ งผิวดินให้ชุม่ ชน้ื ดูดซบั นา้ ฝน
เทคนิคการปลูกปา่
แบ่งปา่ ออกเปน็ 5 ระดับ ตามชน้ั ความสูงของต้นไม้และ
ระบบนิเวศของปา่ ดังนี้
1. ไม้ระดับสูง อาทิ ตะเคียน ยางนา มะค่าโมง สะตอ
มะพรา้ ว ฯลฯ
2. ไม้ระดับกลาง อาทิ ผักหวานปา่ ติ้ว พลู กาลังเสือ
โครง่ กลว้ ย ฯลฯ
3. ไม้พมุ่ เตี้ยอาทิ ผักหวานบา้ น มะนาว พรกิ ไทย, ย่านาง
, เสาวรส ฯลฯ
4. ไม้เรย่ ี ดิน อาทิ หน้าวัว ผักเสี้ยน มะเขอื เทศ แตงกวา
ถ่ัวถ่ัวฝกั ยาวสะระแหนง่ ฯลฯ
5. ไม้หัวใต้ดิน อาทิ ข่า ตะไคร้ ขม้ิน ไพล เผือก มัน บุก
กลอย ฯลฯ
114
ขอ้ คานงึ ในการปลูกปา่ 3 อยา่ ง
1. การปลูกชว่ งแรกควรเลือกปลูกไม้เบกิ นา เชน่ แค มะรมุ สะเดา กลว้ ย อ้อย ไผ่ ขา้ วและ
พืชผัก ทงั้ น้ี เพราะเปน็ พืชอาหารและไม้ใช้ สอยเลก็ ๆ น้อยๆ ทโี่ ตและให้ผลผลิตเรว็ สามารถคลมุ ดิน
และดูดซบั ความชุม่ ชนื้ โดยควรเน้นปลูกพชื กินได้ ทโ่ี ตไวเพ่อื เปน็ แหลง่ อาหาร และไม้ใชส้ อย
2. ไม้ปลูกเพ่ืออยู่อาศัย หรอื ไม้เศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรอื ไม้ระดับสูง ควรปลกู ในปที ี่ 2
3. ไมส้ มุนไพร ส่วนใหญ่จะเปน็ ไม้พุ่มเตี้ย ไม้เรย่ ี ดิน และไม้หัวใต้ดิน มักจะเจรญิ เติบโตได้ดี ใน
ทรี่ ม่ และรม่ ราไร
4. นาขา้ วควรเลอื กทาในพื้นทใี่ ห้เหมาะสม สามารถให้ผลผลิตเพยี งพอ ตลอดทัง้ ปี
5. ควรขุดรอ่ งนา้ ขนาดเล็กเพ่ือเก็บน้าและความชุม่ ชน้ื แก่ต้นไม้ อีกทง้ั สามารถใชเ้ ลย้ี งปลาเพอ่ื
เปน็ อาหาร และหมุนเวยี นนา้ ไปสู่บอ่ ขนาดใหญ่
แนวคิดการปลูก ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
เปน็ แนวคิดของการผสมผสานการอนรุ กั ษ์และฟ้ ืนฟูทรพั ยากรปา่ ไม้ ควบค่กู ันไปกับการพัฒนา
ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยส่งเสรมิ ให้ชาวบา้ นได้ตระหนักและเห็นคณุ ค่าจากปา่ ไม้ทป่ี ลูกโดยจาแนก
ตามการใชป้ ระโยชน์ ดังนี้
ประโยชน์เพื่อให้ “พออยู่” คือการปลกู ต้นไม้ทใี่ ชเ้ นื้อไม้และไมเ้ ชงิ เศรษฐกิจให้เปน็ ปา่ ไม้กลมุ่ น้ีเปน็ ไม้
อายุยาวนานซงึ่ จะเน้นประโยชน์ในเนื้อไมไ้ ด้เพ่ือสรา้ งบ้าน ทาเครอ่ ื งเรอื น และถือได้วา่ เปน็ การออม
ทรพั ยเ์ พอื่ สรา้ งความมั่นคงในอนาคตต้นไม้กลุ่มน้ี ได้แก่ ตะเคียนทอง ยางนา แดง สัก ประดู่ พะยอม
พะยูง เปน็ ต้น
ประโยชน์เพอ่ื ให้ “พอกิน” คือการปลูกต้นไม้ทก่ี ินได้รวมทง้ั เปน็ สมุนไพร ไม้ในกลุ่มน้ี เชน่ แค มะรมุ
ทเุ รยี น สะตอ ผักหวาน ฝาง แฮม่ กล้วย ฟักขา้ ว เปน็ ต้น
ประโยชน์เพื่อ “พอใช”้ คือการปลูกต้นไม้สาหรบั ใชส้ อยในครวั เรอื น อาทิ เผาถ่าน ทางานหัตถกรรมหรอื
ทานา้ ยาซกั ล้างไม้ในกล่มุ นี้ เชน่ ประคาดีควาย หวาย ไผ่ หมีเหม็น เปน็ ต้น
ประโยชน์เพอ่ื “พอรม่ เยน็ ” คือประโยชน์อยา่ งท่ี 4 ทเี่ กิดจากการ ปลูกปา่ 3 อย่าง “พอรม่ เยน็ ” คือปา่
ทง้ั 3 อย่างจะชว่ ยฟ้ ืนฟรู ะบบนิเวศดินและน้า ให้กลบั มาอุดมสมบูรณ์ รม่ รน่ ื เยน็ ฉ่าขึน้ มา
หลักการที่ 1 การสรา้ ง “ปา่ เปยี ก”
วธิ ที ่ี 1 ทาระบบปอ้ งกันไฟไหม้ปา่ โดยใชแ้ นวคลองส่งนา้ และแนวพชื ชนิดต่างปลูกไวต้ ามแนวคลอง
วธิ ที ี่ 2 สรา้ งระบบการควบคุมไฟปา่ ด้วยปา่ เปยี ก โดยอาศัยชลประทานและน้าฝน
วธิ ที ี่ 3 ปลูกต้นไม้โตเรว็ คลุมแนวรอ่ งน้า เพอื่ ให้เกิดความชุม่ ชน้ื แผ่ขยายออกไปทง้ั สองรอ่ งนา้ ซง่ึ จะชว่ ย
ปอ้ งกันไฟปา่ เนื่องจากไฟปา่ จะเกิดขนึ้ หากขาดความชมุ่ ชนื้ ของสภาพปา่
วธิ ที ี่ 4 สรา้ งฝายชะลอความชุม่ ชน้ื หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “Check Dam” เพือ่ ปดิ กั้นรอ่ งนา้ หรอื ลาธารขนาด
เลก็ ๆ เพือ่ ใชเ้ ก็บกักนา้ และตะกอนดินไว้บางส่วน โดยนา้ ทเี่ ก็บไวจ้ ะซมึ เข้าไปสะสมในดิน ทาให้ความชุม่
ชน้ื ขยายเขา้ ไปทงั้ สองด้านจนกลายเปน็ ปา่ เปยี ก
วธิ ที ่ี 5 สูบนา้ จากทส่ี ูงแล้วปล่อยให้ไหลลงมาทลี ะน้อย เพ่อื ชว่ ยเสรมิ การปลูกปา่ บนพนื้ ทสี่ ูงในรูป “ภเู ขา
ปา่ ” ให้กลายเปน็ ปา่ เปยี กชว่ ยปอ้ งกันไฟปา่ ได้
115
วธิ ที ่ี 6 ปลกู ต้นกลว้ ย ซงึ่ สามารถอุ้มนา้ ไวไ้ ด้มากกว่าพชื ชนิดอ่ืน ในพนื้ ทท่ี ก่ี าหนดให้เปน็ ชอ่ งว่างของปา่
กว้าง 2 เมตร เพือ่ เปน็ แนวปะทะกับไฟปา่
ทฤษฎีการปลูกปา่ โดยไม่ต้องปลกู ตามหลักการฟ้ ืนฟูสภาพปา่ ด้วยวฏั จกั รธรรมชาติ (Natural
Reforestation) การปลกู ปา่ โดยไม่ต้องปลูกมี 3 วธิ ี ดังนี้
ปลอ่ ย ถา้ เลอื กพืน้ ทเี่ หมาะสมแล้วควรทงิ้ ปา่ ไวต้ รงน้ัน ไม่ต้องไปปรบั สภาพอื่นใดปา่ จะเติบโตข้นึ มาเปน็
ปา่ สมบูรณ์ได้เอง
ปละ ในสภาพปา่ เต็งรงั ปา่ เสื่อมโทรมไม่ต้องไปทาอะไรเพราะตอไม้จะแตกกิ่งออกมาอีก ถึงแม้ต้นไม่
สวยแต่จะกลายเปน็ ต้นไม้ใหญไ่ ด้
ประคับประคอง ไม่รงั แกปา่ หรอื ต้นไม้ เพียงแต่ค้มุ ครองให้เจรญิ เติบโตตามธรรมชาติเทา่ น้ัน
หลักการท่ี 2 ปลกู ป่าในทส่ี ูง
ใชไ้ มจ้ าพวกทม่ี ีเม็ดทงั้ หลาย ขนึ้ ไปปลูกบนยอดทส่ี ูง เมื่อโตมีเมลด็ พันธุ์ โดยจะลอยตกลง
มาแล้วงอกในทต่ี า่ ต่อไป เปน็ การขยายพนั ธโุ์ ดยธรรมชาติ
หลักการท่ี 3 ปลกู ปา่ ธรรมชาติ
ปลกู ต้นไม้ดั้งเดิม ศึกษาก่อนวา่ พนั ธุพ์ ืชพนั ธุไ์ ม้ดั้งเดิมมีอะไร เปน็ อย่างไรแลว้ ปลูกเพิ่มเติมตามท่ี
เหมาะสม งดปลกู ไม้ต่างถิ่น ไม่ควรนาไม้แปลกปลอมหรอื พันธุต์ ่างถ่ินเข้ามาปลกู โดยยงั ไม่ได้ศึกษา
อย่างแน่ชดั
ขอ้ คานงึ ในการปลูกป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง
ไม้เบิกนา ไม้สะเดา มะรมุ แค กล้วย อ้อย และพืชผักอายุสั้น ควรหามาปลกู ก่อนเพือ่ สรา้ งแหล่งอาหาร
ให้กับครอบครวั
ไม้เพอ่ื อยู่อาศัย ควรปลกู หลงั จากปลูกไม้ในขอ้ ท่ี 1 ประมาณ 1-2 ปี
ไม้สมุนไพร จะเจรญิ เติบโตได้ดีเม่ือมีความรม่ รน่ ื เพยี งพอ นาข้าว กาหนดพนื้ ทใ่ี ห้เหมาะสมหากมีพืน้ ท่ี
เพยี งพอ เพอ่ื เก็บขา้ วไว้กินระหวา่ งปโี ดยไม่ต้องซอื้ รอ่ งนา้ ควรขุดรอ่ งน้าขนาดเล็กเพ่อื ให้ความชุม่ ชน้ื
กับพ้ืนดินและต้นไม้ ซงึ่ จะทาให้สามารถเลี้ยงปลาธรรมชาติเพื่อใชเ้ ปน็ อาหาร โดยขุดให้เชอื่ มต่อกับบ่อ
ขนาดใหญ่ปลกู ต้นไม้ให้หลากหลาย เพือ่ ใชป้ ระโยชน์ได้หลากหลาย ชว่ ยลดค่าใชจ้ า่ ย สรา้ งความม่ันคง
ซง่ึ เปน็ การเสรมิ สรา้ งภมู ิค้มุ กันในครอบครวั และชุมชน
วธิ กี ารปลูกต้นไม้ แบบหลุมพอเพยี ง.....ปลูกทกุ อยา่ งในหลุมเดียว ลดภาระการรดน้า ปลกู ซา้
หลุมพอเพียง คือ การปลูกพืชหลายอย่างในหลมุ เดียว หลุมทว่ี ่าน้ีไม่ได้สภาพเปน็ หลุมลึก ๆ แต่
เปน็ การปลกู พชื เปน็ กลุ่ม ขนาดทนี่ ่าลองทาคือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร แต่สาหรบั คนทมี่ ีพ้ืนท่ี
ว่าง เพื่อเตรยี มปลูกพืช อาจจะทาหลายๆหลุมขนาดทกี่ าลังพอแรง คือขนาดกวา้ ง 80-100 เซนติเมตร
จะทาวงกลมหรอื สี่เหล่ียมก็ได้ ระยะห่างระหว่างหลุม 4x4 เมตร ถ้ามีพื้นท่ี 1 ไร่ จะได้ 100 หลุม หรอื
ถ้าไม่มีทเ่ี ปน็ ผืนก็สรา้ งหลุมไว้ตามหัวไรป่ ลายนา มุมบา้ น หลงั ครวั ขอบบอ่ น้า รมิ ทางเดิน ได้หมด
หลมุ พอเพียง เปน็ วธิ กี ารบรหิ ารจดั การสิ่งทอี่ ยูใ่ นหลุม เรม่ ิ จากเตรยี มพ้นื ทตี่ ามขนาดทกี่ าหนด
แลว้ ก็ปลูกหญ้าแฝกเปน็ รูปวงกลมหรอื เปน็ ล็อกสี่เหล่ียม จากน้ันปลกู ไม้ในหลุมน้ี ลงได้ถึง4-5 ประเภท
ในหลุมเดียว เพื่อลดภาระการรดนา้ ปลูกซ้า เกื้อต่อการกาจดั ศัตรูพชื เพราะให้ทกุ อยา่ งเกื้อกูลอันเอง
116
ต้นไม้ทจ่ี ะปลูกในหลมุ แบ่งเปน็ 5 ประเภท
1. ไม้พีเ่ ลีย้ ง เปน็ ไม้ทใ่ี ห้รม่ เงา เก็บน้า เก็บความชนื้ โดยเฉพาะชว่ งรอ้ นหรอื หน้าแล้ง เชน่ กล้วย
น้าว้า กล้วยหอม ควรปลกู ทางทศิ ตะวนั ตก เพราะชว่ ยบงั แสงชว่ งบ่ายทอี่ ากาศรอ้ นจดั เปน็ พี่เล้ยี งให้พืช
ทไี่ ม่ชอบแดดจดั มาก ได้กลว้ ยเครอื แรกเม่ือปลกู 1 ปี ก็ตัดทงิ้ ปล่อยหน่อใหม่ให้ทางาน
2. ไม้ฉลาด เปน็ ไม้ขา้ มปี ทสี่ ามารถเอาตัวรอดได้ดี เก็บผลได้นานพอสมควร เชน่ ชะอม
ผักหวาน มะละกอ ผักติ้ว ผักเม็ก เรม่ ิ เก็บกินได้ต้ังแต่ 1 เดือนไปเรอ่ ื ยๆ
3. ไม้ปัญญาอ่อน หรอื ไม้รายวนั เปน็ ไม้ล้มลุกปลูกงา่ ย ตายเรว็ ต้องคอยปลกู ใหม่ ดูแลรดน้า
ทกุ วัน แต่เก็บผลได้เรว็ ได้ทกุ วนั เชน่ พรกิ มะเขอื กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ขา่ ฟักทอง แตงไทย
แตงกวา ผักบุ้งจนี คะน้า เปน็ ต้น เรม่ ิ เก็บกินได้ตั้งแต่ 15 วนั
4. ไม้บานาญ เปน็ ไม้ผลยืนต้น ใชเ้ วลาปลูก 2 - 4 ปี แต่เม่ือให้ผลผลติ แลว้ เก็บกิน เก็บขายได้
เรอ่ ื ย ๆ เชน่ ขนนุ มะม่วง มะนาว กระทอ้ น เงาะ ทเุ รยี น มังคดุ ยางพารา เปน็ ต้น ในหลมุ หนง่ึ ควรเลือก
ปลกู แค่ประเภทเดียว
5. ไม้มรดก เปน็ กลุ่มไม้ใชส้ อยทอ่ี ายุยนื ใชเ้ วลาปลูกนาน เก็บไว้เปน็ มรดกให้ลูกหลาน ตัดขาย
ก็ได้เงนิ ก้อนใหญ่หรอื จะเอาไวใ้ ชซ้ อ่ มแซมบ้านก็ได้ เชน่ ประดู่ สักทอง ยางนา สะเดา พะยูง ชงิ ชนั ไม้
พวกน้ีเปน็ ไม้ใหญ่ ปลูกฝ่ งั ตรงข้ามกับต้นกล้วย
พืน้ ทใี่ ต้รม่ เงาหรอื บรเิ วณหลุมทม่ี ีการเตรยี มดินใส่ปุย๋ ปรบั ปรงุ ดินรดน้าและดูแล ยังสามารถใช้
ประโยชน์ได้อีกมาก แทนทจ่ี ะปลอ่ ยให้วัชพชื ข้นึ เปน็ ภาระทต่ี ้องคอยกาจดั การปลูกพชื บางอย่างทมี่ ีกลิ่น
เฉพาะ ชว่ ยไลแ่ มลงศัตรพู ชื นอกจากน้ันยังเปน็ กุศโลบายทที่ าให้พชื หลกั ท่ตี ้องการปลูก เชน่ ไม้ผล ไม้
ยนื ต้น ไม้ปา่ ยนื ต้น เจรญิ เติบโตและมีโอกาสรอดสูง เพราะผู้ปลกู จะคอยห่วงใย หม่ันดูแล ทาให้พืช
หลกั ดังกล่าวเจรญิ เติบโตดีกว่าปกติอีกด้วย และหากพืชชนิดใด ชนิดหน่ึงจะเบียดเบียนพชื อ่ืนมาก
เกินไปก็คอยควบคมุ ให้เหมาะสม ตัดแต่งทรงพมุ่ จดั พชื หรอื เถาเลอื้ ยให้เหมาะสม สาหรบั พืชพเี่ ลย้ี งก็
ไม่ต้องมาก ในหนงึ่ หลมุ ปลูกกล้วยเพยี ง ๑ -๒ ต้น เทา่ น้ัน คือ ต้นทก่ี าลังให้เครอื อีกหนง่ึ ต้นสารองไว้
สาหรบั เครอื ต่อไปนอกนั้นให้ขุดหน่อไปขายหรอื ไปปลกู ทอ่ี ่ืน
การปลูกหญ้าแฝกลอ้ มต้นไม้หลกั ไม่ว่าจะอยูใ่ นรูปแบบหลุมพอเพยี งหรอื ไม้เด่ียวรากหญา้ แฝก
จะเปน็ รา่ งแหในแนวด่ิงชว่ ยยดึ ดินให้คงรูปเปรยี บเสมือนกระถางธรรมชาติ เพราะปมรากแฝกจะ ชว่ ย
เพิ่มธาตุอาหารในดิน ชว่ ยดูดซบั นา้ ในดินไว้ แทนทจี่ ะซมึ หายลงใต้ดินอย่างรวดเรว็ กอแฝกทเี่ บยี ดชดิ
ชว่ ยดักตะกอนดินซง่ึ รวมปุย๋ ทใี่ ส่ และ ใบแฝกทตี่ ัดมาคลุมดินยงั ชว่ ยรกั ษาดินให้ชุม่ ชน้ื ในทสี่ ุดก็ย่อย
เครอ่ ื งมือ 1 พนั ธไุ์ ม้ หรอื เมลด็ พันธุ์ ทจ่ี ะปลูก
2 ปุย๋ นา้ หมักรสจดื และปุย๋ แห้ง (แห้งชาม น้าชาม)
3 ฟาง หรอื เศษใบไม้
4 จอบ เสียม
สภาพแวดลอ้ ม อยใู่ นสถานทจ่ี รงิ ได้ฝกึ ปฏิบัติจรงิ แบบ on the Jop training
เงอ่ ื นเวลา 45 นาที เนื่องจากเวลาในการเรยี นรนู้ ้อย ให้วทิ ยากรหรอื ครูพาทาจะต้องใชว้ ธิ กี าร
แลกเปลย่ี นเรยี นรู้
117
7. ฐานคนรกั ษ์น้า (การจดั การและอนุรกั ษ์น้า)
หลกั สูตร วทิ ยากรจติ อาสาพฒั นาชุมชนตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
วธิ กี ารเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารบรรยาย 30 นาที แลว้ ให้ทกุ คนซกั ถามพดู กัน
ในกลุ่ม ฝึกปฏิบตั ิจรงิ ได้ถือจอบ ถือเสียม มาชว่ ยกัน
ขุดคลองไสไ้ ก่เพอ่ื สรา้ งชุม่ ชนื้ ให้กับพนื้ ท/ี่ ต้นไม้
ฝายชะลอนา้ หรอื ฝายชะลอความชุม่ ชนื้
ซง่ึ หมายถึงสิ่งก่อสรา้ งทขี่ วางทางก้ันลานา้ ขนาดเลก็ ในบรเิ วณต้นนา้ หรอื พ้ืนทท่ี ี่มีความลาดชนั
สูงเพอื่ ให้น้าทไ่ี หลมาแรงสามารถทจี่ ะชะลอการไหลชา้ ลง และเก็บกักตะกอนเพื่อไม่ให้ลงไปสู่บรเิ วณลุ่ม
น้าตอนล่าง
ประเภทของฝายชะลอนา้ หรอื ฝายชะลอความชุม่ ชน้ื แบ่งได้ 2 ประเภท
1. ฝายต้นนา้ ลาธารหรอื ฝายชะลอความชุม่ ชน้ื เปน็ ฝายทกี่ ักเก็บนา้ ให้ไหลชา้ ลงและสามารถซมึ
ลงใต้ผิวดิน เพอื่ สรา้ งความชุม่ ชน้ื ให้แก่พืน้ บรเิ วณนั้น
2. ฝายดักตะกอนดิน ทราย เปน็ ฝายทด่ี ักตะกอนดินและทรายไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งนา้ เบื้องลา่ ง
รูปแบบของฝาย สามารถแบง่ ออกได้ 3 แบบ
1. แบบทอ้ งถิ่นเบือ้ งต้นหรอื ทเี่ รยี กกันทวั่ ไปวา่ “ฝายแม้ว” เปน็ การก่อสรา้ งด้วยวสั ดุทมี่ ีอยูต่ าม
ธรรมชาติเชน่ กิ่งไม้ ทอ่ นไม้ ขนาบด้วยก้อนหินขนาดต่างๆ ในลาห้วย หรอื รอ่ งนา้ โดยจะสามารถดัก
ตะกอน ชะลอการไหลของนา้ และเพิ่มความชุม่ ชนื้ ให้แก่บรเิ วณพืน้ ทร่ี อบๆ ฝายได้
2. แบบเรยี งด้วยหินค่อนข้างถาวร เปน็ การก่อสรา้ งด้วยการเรยี งหินเปน็ ผนงั กั้นน้าจะก่อสรา้ ง
บรเิ วณตอนกลางและตอนล่างของลาห้วยหรอื รอ่ งนา้ จะสามารถดักตะกอนและเก็บกักน้าในชว่ งฤดู
แล้งได้บางส่วน
3. แบบคอนกรตี เสรมิ เหลก็ เป็นการก่อสรา้ งแบบถาวร ส่วนมากจะดาเนินการในบรเิ วณตอน
ปลายของลาห้วยหรอื รอ่ งนา้ ทาให้สามารถดักตะกอนและเก็บกักน้าในฤดูแล้งได้ดี ค่าก่อสรา้ งขึน้ อยู่กับ
ขนาดของลาห้วย ซงึ่ ควรมคี วามกว้างไม่เกิน ๕ เมตร
ประโยชน์ของฝายชะลอนา้
1. ชว่ ยเก็บกักนา้
2. ชว่ ยลดความรุนแรงของการเกิดไฟปา่
3. ชว่ ยลดการพงั ทลายของหน้าดินและลดความรนุ แรงของกระแสน้าในลาห้วย
4. ชว่ ยกักเก็บตะกอนและวสั ดุต่างๆทไ่ี หลลงมากับนา้ ในลาห้วย
5. ชว่ ยเพม่ิ ความหลากหลายทางชวี ภาพ
6. เปน็ ทอี่ ยู่อาศัยของสัตวน์ ้าและใชเ้ ปน็ แหล่งนา้ เพอื่ การอุปโภคบรโิ ภค
118
วธิ กี ารทาฝายชะลอนา้
1. แนวทางการก่อสรา้ งฝายต้นนา้ ลาธาร/ฝายชะลอนา้
1 การเลอื กสถานทก่ี ่อสรา้ ง
ในการเลอื กจุดทก่ี ่อสรา้ งฝายต้นนา้ ลาธารปจั จยั สาคัญทค่ี วรคานงึ ถึงคือ ประโยชน์ทจ่ี ะได้รบั จาก
ฝาย ไม่วา่ จะเปน็ ด้านการอนรุ กั ษ์ต้นนา้ ด้านนิเวศวทิ ยาปา่ ไม้ ด้านเกษตรกรรม ตลอดจนด้านชุมชน
นอกจากน้ีการกาหนดพ้ืนทที่ จ่ี ะก่อสรา้ ง ยงั ต้องขน้ึ อยู่กับสภาพพ้ืนทค่ี วามจาเปน็ และความเหมาะสม
อ่ืน ๆ ประกอบอีกด้วย
2 การเลือกวสั ดุสาหรบั ก่อสรา้ ง
รูปแบบของฝายต้นนา้ ลาธาร สามารถแบ่งแยกออกตามวัสดุทใี่ ชใ้ นการก่อสรา้ งเปน็ 2 แบบ
ด้วยกัน คือวัสดุ ทห่ี าได้จากธรรมชาติ เชน่ เศษไม้ ปลายไม้ และเศษวัชพชื หินขนาดต่างๆที่หาได้ใน
พน้ื ท่ี และวสั ดุทจี่ ะต้องจดั ซอื้ เชน่ ปูนซเี มนต์ เหลก็ เส้น กรวด ทราย การเลือกวสั ดุแต่ละชนิดข้ึนอยู่กับ
ชนิด ขนาดและวัตถุประสงค์ รวมทง้ั สภาพพน้ื ที่ ปรมิ าณนา้ และปจั จยั ต่างๆ ในแต่ละจุด
3 การกาหนดขนาดของฝาย
ขนาดของฝายไม่มีการกาหนดขนาดตายตัว ข้ึนอยูก่ ับปจั จยั ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
3.1 พ้ืนทร่ี บั นา้ ของแต่ละลาห้วย
3.2 ความลาดชนั ของพื้นท่ี
3.3 สภาพของดิน/การชะลา้ ง
พงั ทลายของดิน
3.4 ปรมิ าณนา้ ฝน
3.5 ความกวา้ ง-ลกึ ของลาห้วย
3.6 วตั ถุประสงค์ของการก่อสรา้ ง
4. วธิ กี ารก่อสรา้ ง
การก่อสรา้ งฝายแต่ละฝายขึ้นอยู่กับชนิดและวสั ดุทใี่ ช้ ถ้าเปน็ ฝายผสมผสาน เชน่ ฝายเศษไม้
และฝายกระสอบทราย เปน็ เพยี งการนาวัสดุดังกล่าวมาวางกองรวมกันเพอ่ื ขวางรอ่ งห้วย โดยใชห้ ลกั
เสาไม้ หรอื เสาคอนกรตี ปกั ยดึ ให้ลกึ พอสมควรก็เพยี งพอ เนื่องจากฝายดังกลา่ วส่วนใหญจ่ ะอยูใ่ นระดับ
ต้น ๆ ของลาห้วย ซง่ึ มีปรมิ าณน้าและความรนุ แรงของการไหลไม่มาก จงึ ไม่จาเปน็ ต้องการความ
แข็งแรงนัก ประกอบกับฝายดังกล่าวมีวตั ถปุ ระสงค์เพียงเพ่ือกรองตะกอนไว้เพียงบางส่วนเทา่ นั้น ไม่มี
การเก็บกักนา้ จงึ สามารถสรา้ งได้ทว่ั ๆ ไปไม่มขี อ้ กาหนดมากนัก
ส่วนฝายกึ่งถาวร และฝายถาวร เชน่ ฝายหินเรยี งและฝายคอนกรตี เสรมิ เหล็กนั้น ในการ
ก่อสรา้ งควรเน้นเรอ่ ื งความแขง็ แรงเปน็ หลกั ควรมีการวางฐานรากทแ่ี ข็งแรงให้เพยี งพอ โดยการ
เจาะลกึ ลงไปในพ้นื ทร่ี อ่ งห้วยให้ถึงดินแขง็ หรอื ชนั้ หินประมาณ 1 เมตร และมีสันฝายลกึ เข้าไปในผนงั
รอ่ งห้วยทง้ั สองด้านอยา่ งน้อยขา้ งละ 1.00 - 1.50 เมตร ทง้ั น้ีขึ้นอยูก่ ับสภาพของดินในแต่ละห้วยด้วย
หรอื อาจใชว้ ธิ กี ารอยา่ งอื่นเพือ่ เสรมิ ความแข็งแรงของตัวฝายให้มากขึน้ ก็ได้ อนง่ึ ในการก่อสรา้ งฝายแต่
ละชนิด ถ้าเปน็ ฝายก่ึงถาวรหรอื ฝายถาวรทมี่ ีการเก็บกักนา้ ควรคานงึ ถึงทางระบายน้าหรอื ทางนา้ ลน้ ให้
เพยี งพอกันกับปรมิ าณน้าทไี่ หลผ่าน ไม่เชน่ น้ันอาจจะกระทบกระเทอื นกับโครงสรา้ งของฝายน้ัน ๆ ได้
119
การจดั การนา้ บนพืน้ ทส่ี ูงตามศาสตรพ์ ระราชา (ฝายชะลอนา้ )
วัตถุประสงค์
1. อธบิ ายเรอ่ ื งฝายชะลอน้าแต่ละรูปแบบ
2. อธบิ ายการสรา้ งฝายแต่ละรปู แบบ
3. อธบิ ายประโยชน์ของฝายชะลอนา้
กิจกรรม
1. ศึกษารปู แบบฝายชะลอนา้ ฟังบรรยายพรอ้ มเอกสาร
2. ศึกษาวธิ กี ารสรา้ งฝายแต่ละรูปแบบ ฟังบรรยายพรอ้ มเอกสาร
3. ลงมือปฏิบตั ิการสรา้ งฝายชวั่ คราว
คลองไส้ไก่
- คลองไส้ไก่ คือ การขุดรอ่ งนา้ ในทด่ี ิน เปน็ หนง่ึ ในรูปแบบหลมุ ขนมครกเพ่ือกักเก็บน้าและ
กระจายความชุม่ ชน้ื ไปทว่ั บรเิ วณพื้นทเ่ี พาะปลูก
- คลองไส้ไก่ คือ การขุดรอ่ งน้าในทด่ี ิน เปน็ หนงึ่ ในรปู แบบหลมุ ขนมครกเพื่อกักเก็บน้าและ
กระจายความชุม่ ชนื้ ไปทว่ั บรเิ วณพน้ื ทเ่ี พาะปลกู เปรยี บเสมือนลาธารทม่ี ีความคดเคี้ยว มีการไหลตก
กระทบ นา้ ทไ่ี หลผ่านจะซมึ ลงสู่พื้นดินทาให้เกิดความชุม่ ชน้ื
วธิ ขี ุดคลองไส้ไก่
ให้ขุดเปน็ รอ่ งโดยมีความกวา้ งและความลกึ 50 เซนติเมตรโดยนาดินทไ่ี ด้จากการขุดมาถมใน
ฝ่ งั ตรงข้ามของแหล่งนา้ ทไี่ หลมาทาคันดินให้กว้าง 1 เมตรแล้วปลกู แฝกเพือ่ ลดการพังทลายของคัน
ดิน ปลูกไม้ผลและผักสวนครวั ไว้เปน็ แหลง่ อาหาร
น อ ก จ า ก น้ี ให้ ขุ ด ห ลุ ม เล็ ก ๆ
(หลุมขนมครก) เพื่อให้น้าท่ีไหลมา
ตกในหลุม เป็นการชะลอน้าที่ไหล
ผ่านไม่ให้ไหลแรงเกินไป รวมถึงการ
ทาฝายเล็ก ๆ เป็นระยะ ๆ เพ่ือชะลอ
น้า ทาให้น้าซมึ ลงใต้ดินได้มากท่ีสุด
และยังเป็นการล็อกตะกอนดินทเี่ กิด
จ าก ก ารทั บ ถ ม กั น ขอ งใบ ไม้ แ ล ะ
อินทรยี วัตถุต่าง ๆ ซงึ่ อุดมด้วยธาตุ
อาหารทจี่ าเปน็ แก่พืช
120
การขุดคลองไส้ไก่มี 3 แบบ คือ
1. คลองไส้ไก่บนพ้ืนทล่ี าดเอียงทเี่ ปน็ ภเู ขา
จะขุดคลองไส้ไก่เพื่อรบั นา้ จากบรเิ วณพ้ืนทล่ี าดชนั ให้ลงมาสู่คลองไส้ไก่ เพอื่ ให้น้าไหลเอ่ือย ๆ ซึมลงดิน
ให้มากทส่ี ุดแล้วไหลผา่ นไปยังพืน้ ทต่ี า่ สุด
2. คลองไส้ไก่บนพน้ื ทเี่ นิน
จะขุดคลองไส้ไก่เพ่อื เปลย่ี นทางน้าให้ไหลมายังพื้นทเ่ี พาะปลูก เพ่อื ให้เกิดความชุม่ ชน่ื ของพน้ื ท่ี
3. คลองไส้ไก่บนพนื้ ทรี่ าบล่มุ
จะขุดคลองให้คดโค้งให้นา้ ไหลเอื่อยแล้วค่อย ๆ ไหลแบบเคลือ่ นตัวตลอดเวลา นอกจากกระจายความ
ชุม่ ชน้ื แลว้ ยังทาให้อากาศเข้ามาแทรกในนา้ ทาให้น้าไม่เน่า
ประโยชน์ของคลองไส้ไก่
กักเก็บนา้ ให้ซมึ ลงดิน
เปล่ียนทางนา้ ให้กระจายสู่พ้นื ทเี่ พาะปลูก
ลอ็ กตะกอนดินหรอื ธาตุอาหาร
ปอ้ งกันการพังทลายของหน้าดิน
เครอ่ ื งมือ จอบ เสียม และใจ
สภาพแวดล้อม อยู่ในสถานทจ่ี รงิ ได้ฝึก
ปฏิบตั ิจรงิ แบบ on the Jop training
เงอ่ ื นเวลา 45 นาที เนื่องจากเวลาในการ
เรยี นรมู้ ีจากัดหรอื เวลาน้อย ทาให้วทิ ยากรหรอื ครจู ะต้องใชว้ ธิ กี ารแลกเปล่ยี นเรยี นรู้
121
8. ฐานคนรกั ษ์แม่โพสพ (นาข้าวอินทรยี ์)สู่วถิ ีชาวนาไทย
หลักสูตร วทิ ยากรจติ อาสาพฒั นาชุมชนตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
วธิ กี ารเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารบรรยาย 30 นาที แล้วให้ทกุ คนซกั ถามพูดกัน
ในกลมุ่ หรอื ฝกึ ปฏิบัติจรงิ ในพ้ืนทปี่ ลูกข้าว/ดานา (ถ้าม)ี
“...ขอบใจทนี่ าสิทธบิ ัตรนี้ ซง่ึ ถือวา่ เปน็ การประกันวา่ การขา้ วไทยเปน็ ของไทยแท้ ซง่ึ คน
หนักใจวา่ เราเป็นขา้ วไทยมานานแลว้ จะกลายเปน็ ต้องไปกนิ ขา้ วฝรงั่ เพราะว่าสิทธบิ ตั รนี้
เปน็ ของฝรง่ั แต่วา่ มาอย่างนี้ ก็ถอื วา่ เปน็ ว่าเราได้รบั ประกันวา่ เราเปน็ ขา้ วไทย และจะกิน
ขา้ วไทยต่อไป ฉะนั้นการทมี่ สี ิทธบิ ตั รนี้ ก็เปน็ สง่ิ ทสี่ าคัญ และกห็ วงั วา่ จะต้องทกุ คนจะ
รกั ษาความเป็นไทยได้ด้วยรบั ประทานกินขา้ วไทย ไมต่ ้องกนิ ขา้ วฝรงั่ ...”
พระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวฯ
ณ พระตาหนักเป่ ยี มสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรขี นั ธ์ เม่ือวนั ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒
ขา้ วเปน็ พชื ทหี่ ลอ่ เลยี้ งเผ่าพันธคุ์ นไทยมานับต้ังแต่โบราณกาล โดยมีการค้นพบหลักฐานทช่ี วี้ ่า
ได้เกิดภูมิปญั ญาการปลูกขา้ วด้วยการปกั ดาในวัฒนธรรมบ้านเชยี งซง่ึ มีอายุไม่ต่ากวา่ ๕,๐๐๐ ปี และ
จากการตรวจพบเมลด็ ขา้ วเก่าแก่อายุมากกว่า ๖,๐๐๐ ปี ผสมอยู่ในภาชนะดินเผาทโ่ี นนนกทา จงั หวดั
ขอนแก่น สนับสนุนแนวคิดทวี า่ บรรพบุรุษของเราชาวเอเชยี อาคเนย์ ได้เรม่ ิ ทาการปลกู ขา้ วก่อนทวี่ ถิ ี
แห่งข้าวจะแพรห่ ลายเขา้ ไปสู่ประเทศอินเดีย จนี ญป่ี ุน่ และเกาหลี
คนไทยผูกพนั นับถือและบูชาข้าวในนามเรยี กขาน “แม่โพสพ” เทพธดิ าประจาต้นข้าว ซง่ึ เชอ่ื วา่
คอยชว่ ยเหลอื ชาวนาให้สามารถทานาได้พอกินและพอสาหรบั จุนเจอื เพอ่ื นมนษุ ย์ ดังคาอธษิ ฐานของ
ชาวนาในอดีตระหว่างทาการหว่านเมล็ดพนั ธขุ์ า้ ว ๓ กาแรก ลงบนผืนนา โดยกาที่ ๑ กล่าวว่า “ทาบุญ”
กาที่ ๒ กล่าวว่า “ทาทาน” และกาท่ี ๓ กลา่ ววา่ “เล้ียงชวี ติ ”
122
ในขณะทค่ี นไทยบรโิ ภคข้าวเฉลย่ี ๑๕๐-๓๐๐ กิโลกรมั ต่อคนต่อปี และขา้ วกลายเปน็ อาหาร
หลักของคนทวั่ โลกกว่า๔,๐๐๐ ล้านคน ทาให้ประเทศไทยส่งออกขา้ วได้มากกว่า ๗ ลา้ นตันต่อปี โดยใน
ปพี .ศ. ๒๕๕๐ มียอดการส่งออกมากถึง ๙.๒ ล้านตัน
ด้วยเหตุปจั จยั หลายอยา่ งทงั้ ด้านเศรษฐกิจและนโยบายรฐั นับจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
แห่งชาติฉบบั ที่ ๑ จนถึงปจั จุบนั ส่งผลให้วถี ีการปลูกข้าวด้วยความละเมียด ทะนุถนอมและเคารพ
เกื้อกูลต่อแม่โพสพ ธรรมชาติ และเพอื่ นมนษุ ย์ ผืนดินของบรรพชนชาวนาไทยได้เปล่ียนแปลงไปจาก
วถิ ีดั้งเดิมอยา่ งส้ินเชงิ
การทานาเพ่ือการ “ทาบุญ ทาทาน
เลี้ยงชีวติ เคารพเก้ือกูลในแม่โพสพและ
ธรรมชาติ” เปล่ียนเป็นการผลิตเพื่อขาย
และการให้ค่ากับผลกาไรและศรทั ธาในเงนิ
ทองเป็นที่ต้ัง ส่งผลให้เกิดการขยายพื้นท่ี
ทานาอย่างกว้างขวาง
ข้อมูลจากทางสานักงานเศรษฐกิจ
การเกษตร ปีพ.ศ. ๒๕๕๐/๒๕๕๑ ระบุว่า
ประเทศไทยมีพื้ นที่เพ าะปลูกข้าวนาปี
๕๗.๔๒ ลา้ นไร่ ผลติ ข้าวเปลือกได้ ๒๓.๓๙ ลา้ นตัน แต่ขณะเดียวกันชาวนาไทยกลับยากจนข้นแค้น เป็น
หน้ีสิน ทดี่ ินหลดุ มือ
จากการทานาทไี่ ม่ต้องใชเ้ งนิ สักบาทในอดีต ต้นทนุ การผลติ ขา้ วเฉลีย่ ปพี .ศ. ๒๕๕๑ เพิ่มสูงขึน้
ถึง ๖,๐๐๐ บาท/ไร่ ซง่ึ ในรายการนี้รวมถึงค่าซอื้ ปุย๋ และสารเคมีจากต่างประเทศทเี่ พิ่มปรมิ าณมากขึ้นใน
ทกุ ๆ ปี ปุย๋ ฝรง่ั เบยี ดแทนทม่ี ูลจากควายอดีตเพือ่ นค่กู ายคูใจของบรรพชนชาวนาไทย ซงึ่ นอกจากคอย
ชว่ ยเหลือชาวนาในด้านแรงงานแลว้ ยงั ผลิตปุย๋ ธรรมชาติให้แก่ชาวนาอีกด้วย โดยควายรนุ่ ทม่ี ีน้าหนัก
ประมาณ ๒๕๐ กิโลกรมั ๑ ตัว จะถ่ายมูลสดเฉลย่ี วันละ ๑๓.๕ กิโลกรมั หรอื คิดเปน็ มูลแห้ง ๔ กิโลกรมั
วถิ ีชาวนายุค “เงนิ ทองเป็น
ให ญ่ ” ที่ดูเหมือนว่าจะเป็น
ความหวังอันเรอื งรองของพี่
น้องชาวนา ได้ส่งผลสะท้าน
สะเทือนต่อระบบนิเวศนาข้าว
จากที่เคยอุดมสมบูรณ์ดังคา
กลา่ วทวี่ ่า “ในน้ามีปลา ในนามี
ข้าว” กลับล่มสลายกลายเป็น
ผืนนาอันไรซ้ งึ่ ชวี ติ
123
ไม่มีปูปลาในนาข้าวเฉกเชน่ ในอดีต ควายเหล็กหรอื รถไถนาจากต่างชาติบุกทลายไปทั่วทุกพ้ืนท่ี ผืนนา
ไทยทเ่ี คยอุดมก็โทรมทรุดลงอย่างรวดเรว็ ราวกับคนป่วยที่กาลังสิ้นลม ซง่ึ นั่นก็พอๆ กับวถิ ีชาวนาไทยที่
ลมหายใจเรม่ ิ รวยรนิ ภาพของชาวนาไทยผู้เคยได้รบั การยกย่องเป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” กลับ
กลายเปน็ ภาพของผู้ที่อุดมด้วยปญั หาหน้ีสิน ทดี่ ินเปล่ียนมือเปน็ แหล่งชุมนุมของปญั หาสุขภาพท้งั กาย
และใจ และไรซ้ งึ่ ศักดิ์ศร ี ทง้ั หมดคือจุดเรม่ ิ ต้นของคาถามแห่งยุคสมัยทว่ี ่า...ข้าวทเี่ รากินและส่งขายกัน
ทกุ วนั นี้ ยังจะสามารถเรยี กว่า “ข้าวไทย” ได้อยู่หรอื ไม่
นาขา้ วอินทรยี .์ ..ก้ชู วี ติ ชาวนาไทย
นาข้าวอินทรยี ์ เปน็ ระบบการผลิตข้าวทไี่ ม่ใชส้ ารเคมีทางการเกษตรทกุ ชนิดเปน็ ต้นว่า ปุย๋ เคมี สาร
ควบคุมการเจรญิ เติบโต สารควบคมุ และกาจดั วัชพชื สารปอ้ งกันกาจดั โรค แมลง และสัตว์ศัตรูขา้ ว
ตลอดจนสารเคมีทใ่ี ชร้ มเพอื่ ปอ้ งกันกาจดั แมลงศัตรขู า้ วในโรงเก็บการผลิตขา้ วอินทรยี ์ นอกจากจะทา
ให้ได้ผลผลิตขา้ วทมี่ ีคุณภาพสูงและปลอดภัยจากสารพษิ แล้ว ยังเปน็ การอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ
และเปน็ การพฒั นาการเกษตรแบบยง่ั ยืนอีกด้วย
การผลติ ข้าวอินทรยี เ์ ปน็ ระบบการผลติ ทางการเกษตรทเี่ น้นเรอ่ ื งของธรรมชาติเปน็ สาคัญ ได้แก่ การ
อนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ การฟ้ ืนฟูความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ การรกั ษาสมดุลธรรมชาติและ
การใชป้ ระโยชน์จากธรรมชาติ เพ่อื การผลติ อย่างยัง่ ยนื เชน่ ปรบั ปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการ
ปลูกพชื หมุนเวยี น การใชป้ ุ๋ยอินทรยี ์ในไรน่ าหรอื จากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลง และสัตว์ศัตรูข้าวโดย
วธิ ผี สมผสานไม่ใชส้ ารเคมี
124
การเลอื กใชพ้ นั ธขุ์ ้าวทเี่ หมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ ชว่ ยรกั ษาสมดุลของศัตรู
ธรรมชาติ การจดั การพืชดิน และน้า ให้ถกู ต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพอื่ ทาให้ต้นข้าว
เจรญิ เติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจดั การสภาพแวดลอ้ มไม่ให้เหมาะสมต่อ
การระบาดของโรคแมลง และสัตวศ์ ัตรขู ้าว เปน็ ต้น การปฏิบตั ิเชน่ น้ีสามารถทาให้ต้นขา้ วทปี่ ลกู
ให้ผลผลิตสูงในระดับทนี่ ่าพอใจ โดยมเี ทคนิคและวธิ กี ารดังน้ี
๑. ยอ่ ยฟางและตอซงั ให้เปน็ ปุย๋ หลังการเก็บเก่ียว อยา่ เผาฟางตอซงั หรอื หญ้า เพราะจะเปน็
การทาลายหน้าดินและจุลินทรยี ์ทม่ี ีประโยชน์ในดิน ควรปลอ่ ยน้าเข้านาให้ได้ระดับความลกึ ๕ - ๑๐ ซม.
แทน จากนั้นใชน้ า้ หมัก หยดไปกับนา้ ในอัตราไรล่ ะ ๑ ลติ ร ปล่อยทง้ิ ไวป้ ระมาณ ๓ - ๗ วัน นา้ หมักจะ
กระตุ้นจุลินทรยี ใ์ นดินให้ทาการย่อยฟาง สังเกตได้โดยเม่ือหยบิ ฟางข้นึ ดูจะพบว่าฟางเป่ อื ยยุย่
กลายเปน็ ปุย๋ อยา่ งดี
นอกจากนี้ การหมักฟางยงั ให้ประโยชน์อีกหลายประการคือ ได้ปุย๋ หมักอินทรยี ์ชวี ภาพจากฟาง
ข้าว ซงึ่ ชว่ ยปรบั สภาพโครงสรา้ งดินให้รว่ นซุยและฟขู ึ้น ทั้งยงั ชว่ ยเพมิ่ จุลินทรยี ์ทม่ี ีประโยชน์ในดิน เม่ือ
ฟางยอ่ ยสลายดีแล้วก็สามารถทาเทอื กหว่านหรอื ปกั ดาได้ทนั ที โดยไม่ต้องไถคราด ชว่ ยประหยดั
ค่าใชจ้ า่ ยข้นึ ทง้ั ยงั สามารถปรบั ค่าความเปน็ กรด-ด่างในดินให้อยู่ในระดับทเ่ี หมาะสมต่อการทานาขา้ ว
คือประมาณ pH ๖.๕
๒. ทบุ ทาเทอื ก หลงั จากฟางย่อยสลายดีแลว้ หากมีนา้ ขงั หรอื มีความชนื้ มากพอสามารถทบุ ทา
เทอื กได้ทนั ที และควรคราดพนื้ ทนี่ าให้เสมอกัน จะทาให้สามารถควบคมุ ระดับนา้ ได้ดี นอกจากนั้นยงั
สามารถควบคุมวัชพชื ได้อกี ด้วย ทาให้การงอกของต้นขา้ วเปน็ ไปอยา่ งสมา่ เสมอ สะดวกต่อการทา
กิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเปน็ การใส่ปุย๋ การเก็บเก่ียวผลผลิต ถ้าพืน้ ทไ่ี ม่เรยี บมีนา้ ขัง อาจทาให้เมลด็ ข้าว
ทแ่ี ชน่ ้าเน่าเสียหายได้
๓. การเตรยี มเมลด็ พันธขุ์ ้าวสาหรบั เพาะปลกู ก่อนการหวา่ น หรอื การปกั ดาควรนาเมล็ดพนั ธุ์
ข้าวทค่ี ัดไว้มาแชห่ รอื คลกุ กับนา้ หมัก (ทมี่ ีส่วนผสมของสมุนไพรทมี่ ีฤทธใ์ิ นการขบั ไลห่ รอื กาจดั โรคและ
แมลงศัตรพู ชื ) หรอื แชห่ มักในนา้ เชอ้ื ราไตรโคเดอรม์ า ทง้ิ ไว้ ๑-๒ คืน เมื่อนาไปหวา่ นจะชว่ ยในการ
ปอ้ งกันโรคพืชและแมลงศัตรพู ชื รบกวน อีกท้ังยังทาให้อัตราการงอกสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากน้ียงั ชว่ ยให้
ใชเ้ วลาในการเพาะต้นกล้าสั้นลง ต้นกลา้ ทไี่ ด้สมบูรณ์แขง็ แรงงา่ ยต่อการยา้ ยกล้าและสามารถฟ้ ืนตัวเรว็
125
๔. การหวา่ นกล้าและการดานา หลังจากได้เมลด็ พันธทุ์ คี่ ัดเลอื กแลว้ ก็ทาการหว่านเมลด็ ลงใน
แปลงเพาะทเี่ ตรยี มไว้โดยอาจแบง่ จากทน่ี า ๑ งาน เพอ่ื ทาการตกกลา้ การตกกล้าจะใชเ้ มลด็ พันธขุ์ ้าว ๑
ถังครง่ ึ ต่อแปลงเพาะขนาด ๑ งาน จะได้ต้นกลา้ ทน่ี าไปปกั ดาในพืน้ ที่นาประมาณ ๕ ไร่ และเม่ือต้นกล้า
เรม่ ิ ขน้ึ ควรให้นา้ หมัก ในปรมิ าณ ๑ ลติ รต่อ ๑ ไร่ หยดไปกับน้าหรอื ฉีดพ่น โดยผสมนา้ หมัก ๑ ลิตร ต่อ
นา้ ๔๐๐ ลิตร เม่ือต้นกล้าอายุได้ประมาณ ๓๐ วัน ก็สามารถนาไปปกั ดาได้ โดยต้องตัดใบออกให้เหลือ
ความยาวจากรากประมาณ ๒๐ ซม. เพ่อื ลดการคายน้าทาให้ต้นขา้ วฟ้ ืนตัวเรว็
ในกรณีทเ่ี ปน็ นาหว่าน หลังจากทบุ ทาเทอื กเรยี บรอ้ ยแลว้ ใชเ้ มลด็ พนั ธทุ์ เี่ ตรยี มไวป้ ระมาณ ๑
ถังครง่ ึ ต่อนา ๑ไร่ การหว่าน ควรหวา่ นให้กระจายทว่ั ทง้ั แปลง และไม่ควรใชเ้ มลด็ พนั ธมุ์ ากเกินไป เพราะ
จะทาให้ต้นขา้ วขึน้ หนาแนน่ ส่งผลให้ต้นข้าวแคระแกรนและสิ้นเปลืองต้นทนุ ในการใส่ปุย๋ เพมิ่ มากขึน้
๕. ให้อาหารดินเพือ่ บารุงดิน และเรง่ จุลนิ ทรยี ใ์ นดิน หลงั ปกั ดาหรอื หวา่ นเมล็ดแลว้ ๑๐-๑๕ วัน
ควรให้ปุย๋ หมักแห้งอินทรยี ์ชวี ภาพ และฉีดพ่นด้วยปุย๋ นา้ หมักชวี ภาพเพื่อเรง่ ราก และสรา้ งอาหารตาม
ธรรมชาติให้เพียงพอต่อความต้องการของต้นกล้า โดยจุลนิ ทรยี ใ์ นดินจะชว่ ยย่อยดิน ทราย และ
สารอาหารในดินปอ้ นให้แก่รากกล้า จะส่งผลให้รากลึกเรง่ การแตกรากของข้าวได้มากข้ึน ทาให้ต้นขา้ ว
แขง็ แรง กอมีขนาดใหญ่ รากหาอาหารได้ดี มีภมู ิต้านทานโรคและแมลงสูง
เม่ือขา้ วออกรวงเต็มทตี่ ้นจะไม่ลม้ ขา้ วแตกกอได้มาก ทรงพมุ่ ต้ังตรงลาต้นแกรง่ เหนียว ใบ
แขง็ แรงต้ังตรงรบั แสงแดดได้ดี ทาให้สังเคราะห์แสง และปรงุ อาหารได้ดี โดยสีของใบจะเปน็ สีเขียว
นวล ไม่ใชส่ ีเขยี วเขม้ บ้าใบเหมือนใชป้ ุย๋ เคมี ซงึ่ สีของใบนี้จะข้นึ อยู่กับความเขม้ ของแสง และปรมิ าณของ
ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์
๖. บารุงดินเรง่ จุลินทรยี ์ ก่อนข้าวตั้งทอ้ ง
ประมาณ ๑๕ วัน ควรบารุงดินด้วยปุ๋ยหมักแห้ง
อินทรยี ์ชีวภาพ และปุ๋ยน้าหมักอินทรยี ์ชีวภาพ
กระตุ้นการทางานของจุลินทรยี ์ในดินให้เรง่ ย่อย
สลาย และสารองอาหารให้เพียงพอกับความ
ต้องการของต้นข้าวในขณ ะต้ังท้อง และเมื่อ
อาหารเพยี งพอต้นข้าวจะมีลาต้นอวบใหญ่ ปล้อง
ยาวใหญ่ พรอ้ มอุ้มท้อง และเม่ือข้าวตั้งท้องก็จะ
ได้ข้าวที่ท้อง อวบยาว ส่งผลให้รวงยาวใหญ่ เมล็ดมีขนาดสม่าเสมอ มีจานวนเมล็ดมาก (๒๕๐-๓๕๐
เมล็ดต่อ ๑ รวง) เมล็ดข้าวเต็มโครง (ไม่มีเมล็ดลีบ) เมล็ดใส (ไม่มีท้องไข่ปลา) รสชาติดี มีกลิ่นหอม
นา้ หนักดี (ถังละ ๑๑.๕ – ๑๒ กก.) ผลผลิตได้มาตรฐาน เปน็ ทต่ี ้องการของตลาด ราคาสูง
นอกจากทาให้ต้นข้าวแข็งแรง แล้วการใชป้ ุย๋ อินทรยี ช์ วี ภาพยังชว่ ยฟ้ ืนฟูดินให้กลบั มาอุดม
สมบูรณ์ หลงั จากเปลยี่ นมาทานาแบบชวี ภาพ โดยการไม่เผาฟางและใชป้ ุย๋ อินทรยี ์ชวี ภาพ โครงสรา้ ง
ดินจะค่อยๆ ดีขนึ้ ดินดารว่ นซุย ค่าความเปน็ กรด-ด่างมีความเหมาะสมมีอาหารพชื ตามธรรมชาติเพม่ิ
มากข้ึน เนื่องจากจุลินทรยี ์ในดินทางานได้อย่างเต็มท่ีและมีประสิทธภิ าพ ชว่ ยให้ลดการใชป้ ุย๋ และ
สารเคมี จงึ ประหยัดต้นทนุ ได้มากขึน้
126
9. ฐานคนรกั ษ์สุขภาพ วถิ ีสุขภาพแบบพอเพียง
หลกั สูตร วทิ ยากรจติ อาสาพัฒนาชุมชนตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
วธิ กี ารเรยี นรู้ ใชว้ ธิ กี ารบรรยายสาธติ และปฏิบตั ิพรอ้ มกัน 40 นาที แลว้ ให้
ทกุ คนในกลุ่มได้รว่ มกจิ กรรมด้วย
บรรพบุรุษของเราเคยพูดไว้ว่า “ใจเปน็ นาย กายเป็นบ่าว” น้ันสอดคล้องกับผลการวจิ ัยจานวน
มากที่สะท้อนว่า ภาวะจติ ใจท่ีไม่สบายน้ัน ส่งผลสะเทือนจนก่อให้เกิดโรคทางกายอีกมากมายตามมา
การทากสิกรรมธรรมชาติ และประคองตนในวถิ ีพอเพียงน้ัน ทาให้เกิดสิ่งแวดล้อมทด่ี ี ได้ดารงสติให้เกิด
เป็นสมาธพิ รอ้ มกับการทางาน ส่งผลให้จติ พบกับความสงบเย็น ผลหลังจากนั้นคือการได้มาซง่ึ อาหาร
คุณภาพดีไรส้ ารพิษ ครอบครัวไรห้ นี้สิน และความโลภเบาบางลง ทาให้ราอยู่ดีกินดี ซ่ึงถือเป็น
“ภมู ิคุ้มกันทางส่ิงแวดล้อมกายและใจ"
วัตถุดิบ (สมุนไพรฤทธเิ์ ย็น) 2. ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์)
4. มะละกอครง่ ึ สุกครง่ ึ ดิบ
1. ใบย่านาง 6. หยวกกลว้ ย 7. ดินสอพอง
3. ใบเตย
5. วอเตอรเ์ ครส
8. ผงถ่าน
อุปกรณ์ 2. ผ้าขนหนู
4. กระบวยสแตนเลส
1. กะละมังใบเลก็ ใบใหญ่ 6. ผ้าขาวบาง
3. ถังนา้ ใบใหญ่มีฝาปดิ
5. เครอ่ ื งป่ นั
การพอกหน้าด้วยสมนุ ไพร
วธิ ที า
นาผงดินสอพองกับผงถ่าน และนา้ ใบย่านาง ผสมให้เขา้ กัน แลว้ นามาพอกหน้าทงิ้ ไว้ 2o นาที
แล้วเชด็ หรอื ลา้ งหน้าตามปกติ
นา้ ป่ ันหยวกกล้วย
วธิ ที า
1. ทาความสะอาดหยวกกล้วยแล้วนามาตัดเปน็ ทอ่ น ๆ
2. นาหยวกกล้วย และน้าเย็นป่ นั ให้เข้ากัน
3. นานา้ ป่ นั จากหยวกกลว้ ยกรองใส่ผ้าขาวบาง แล้วค้ันเอาแต่น้าสามารถนามาดื่มได้ปกติ
127
การแชม่ อื แชเ่ ทา้
มือและเทา้ เปน็ ทท่ี รี่ า่ งกายขับพิษออก ซง่ึ การแชม่ ือแชเ่ ทา้ เปน็ การใชฤ้ ทธข์ิ องนา้ อุ่นและ
สมุนไพร คลายกล้ามเน้ือเพ่ือให้รา่ งกายได้ขับพษิ ออกได้อย่างเต็มที่ และชว่ ยปรบั สมดุลรา่ งกาย หาก
ปฏิบตั ิอยา่ งต่อเน่ือง จะชว่ ยกระตุ้นการไหลเวยี นโลหิต ลดอาการชาทปี่ ลายมือและเทา้ และความ
เจบ็ ปวดต่างๆ บนรา่ งกาย ชว่ ยให้หลับสบาย วธิ กี ารทาไม่ยาก ใชเ้ วลาไม่นาน
การแชม่ ือแชเ่ ทา้ มือและเทา้ ของคนเรา เปน็ อวัยวะทใ่ี ชร้ ะบายเอาพิษออกจากรา่ งกายและใชร้ บั
สิ่งทมี่ ีประโยชน์เข้ามาในรา่ งกาย เมื่อคนเราใชม้ ือและเทา้ ในกิจวัตรประจาวันมากกวา่ ส่วนอื่น กล้ามเน้ือ
ทมี่ ือและเทา้ จะเกิดอาการเกรง็ ค้าง ของเสียทจ่ี ะระบายออกทางมือและเทา้ ก็จะไม่สามารถระบายออก
ได้ และสิ่งทเี่ ปน็ ประโยชน์ก็ไม่สามารถเขา้ มาได้ เพราะกล้ามเนื้อทเี่ กรง็ ค้างจะขวางทางระบายของพิษ
จงึ มีศาสตรข์ องการขูดกัวซา การกดจุด และการแชม่ ือแชเ่ ทา้ เพอื่ ทาการคลายเส้นเอ็นทเ่ี กรง็ ค้าง
การแชม่ ือ-แชเ่ ทา้ เปน็ ทางเลอื กอีกทางทส่ี ะดวก สามารถทาได้ด้วยตนเองในระยะเวลาทไี่ ม่มาก
นัก การแชม่ ือ-แชเ่ ทา้ ควรใชส้ มุนไพรฤทธทิ์ เี่ หมาะกับตนเอง ถ้าผู้ปว่ ยมีอาการรอ้ นเกินควรใชส้ มุนไพร
ฤทธเิ์ ยน็ เชน่ ยา่ งนาง ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) หญา้ ปกั กิ่ง รางจดื ผักบุ้ง บัวบก เปน็ ต้น ถ้าผู้ปว่ ย
มีอาการเยน็ เกินให้ใชส้ มุนไพรฤทธร์ิ อ้ น เชน่ ขมิ้น ขิง ตะไคร้ ไพร ใบมะกรดู เปน็ ต้น เลอื กสมุนไพร
อย่างใดอยา่ งหนงึ่ หรอื หลายอยา่ งรวมกันให้ได้ประมาณ 1 กามือ ต้มกับน้า 1-2 ลิตรจนเดือด แลว้ ผสม
กับนา้ ธรรมดาให้อุ่นแค่พอรูส้ ึกสบาย ถ้าไมม่ ีสมุนไพรเลย ก็ใชน้ ้าเปล่าต้มให้เดือดแลว้ ผสมนา้ ธรรมดา
ให้อุ่นก็ได้ จากน้ันแชม่ ือและเทา้ แค่พอทว่ มขอ้ มือขอ้ เทา้ 3 นาที แล้วยกขน้ึ จากนา้ อุ่น 1 นาที ทาซา้ จน
ครบ 3 รอบ ในการแชแ่ ต่ละรอบไม่ควรแชเ่ กิน 3 นาที ถ้าแชเ่ กิน 3 นาทมี ักจะพบวา่ มีอาการอ่อนเพลีย
หรอื ไม่สบายในรา่ งกาย เพราะพิษจะเคลือ่ นออกได้แค่ประมาณ 3 นาที ถ้าแชต่ ่ออีก หลงั จากนั้นพษิ
ของนา้ อุ่นจะเคลือ่ นเขา้ ทารา้ ยรา่ งกาย โดยสามารถทาวันละประมาณ 1-2 ครงั้ ถ้าใชส้ มุนไพรฤทธเ์ิ ย็น
ต้มแลว้ รูส้ ึกไมส่ บายก็ปรบั ใชส้ มุนไพรฤทธร์ิ อ้ นต้มได้ถ้ารูส้ ึกสบายกว่า
การแชม่ ือแชเ่ ทา้ จะชว่ ยกระตุ้นการไหลเวยี นของเลอื ดจากปลายเทา้ ไปทว่ั รา่ งกาย ทาให้ลดอาการ
เมื่อยลา้ เกิดการผ่อนคลายรา่ งกายและจติ ใจ ส่วนคนทป่ี วดปลายเทา้ มีอาการชาหรอื ปวดขา ปวดเขา่
สามารถแชเ่ พ่ือลดอาการอกั เสบ (ยกเวน้ ในขณะทบี่ วมอักเสบหรอื มีการติดเชอ้ื ) ลดปวดได้ การแช-่ มือ
แชเ่ ทา้ ก็ไม่ได้หมายความวา่ ทกุ คนจะรสู้ ึกดีขึ้นได้อย่างมากในทนั ที บางคนก็ดีข้ึนอย่างรวดเรว็ บางคนก็
ค่อยๆดีข้นึ แต่วธิ นี ี้ก็เปน็ ส่วนหนงึ่ ในการชว่ ยระบายพิษออกจากรา่ งกายได้
ประโยนชข์ องการแชม่ อื แชเ่ ทา้ :
• ลดการเกรง็ ค้างของกล้ามเน้ือบรเิ วณมือ และเทา้
• ลดอาการเจบ็ ปวดของกลา้ มเนื้อ และขอ้ กระดูก ลดอาการชาทป่ี ลายมือ บรเิ วณขาและแขน
• ลดอาการอักเสบ
• ระบายพิษ ดีทอ็ กซ์
• กระตุ้นการไหลเวยี นเลอื ด
มือและเทา้ ของคนเราเปน็ อวัยวะทใี่ ชร้ ะบายเอาพษิ ออกจากรา่ งกาย เม่ือเราใชม้ อื และเทา้ ใน
กิจวตั รประจาวันมากกว่าส่วนอื่น กลา้ มเน้ือทม่ี ือและเทา้ จะเกิดอาการเกรง็ ค้าง การขูดกัวซา และการ
แชม่ ือแชเ่ ทา้ เปน็ ประจาน้ัน จะทาให้คลายการเกรง็ ค้าง เพมิ่ การไหลเวยี นเลือด และระบายพษิ ได้
128
วธิ กี ารแช่
1. เลือกสมุนไพร ใชส้ มุนไพรฤทธท์ิ เ่ี หมาะกับตนเอง ถ้ารา่ งกายรอ้ น ควรใชส้ มุนไพรฤทธเ์ิ ย็น ถ้า
รา่ งกายเยน็ เกินให้ใชส้ มุนไพรฤทธริ์ อ้ น หากไม่มีสมุนไพร ใชแ้ ค่นา้ เปลา่ ก็ได้ อ่านเพ่มิ เติมเรอ่ ื ง ฤทธิ์
รอ้ น-เย็นได้ ทน่ี ่ี
2. นาสมุนไพรประมาณ 1 กามือ ต้มกับน้า 1-2 ลติ ร จนเดือดประมาณ 5 นาที แลว้ ผสมกับนา้
ธรรมดาให้เทา่ ทร่ี สู้ ึกสบาย (หรอื ผสมให้อุ่นจดั จะได้ผลดี หากทนได้ไม่ต้องฝนื มาก)
3. แชม่ ือและเทา้ ในภาชนะทเี่ ตรยี มไว้ ให้ระดับนา้ ทว่ มขอ้ มือขอ้ เทา้ แช่ 3 นาที แล้วยกขน้ึ จาก
นา้ อุ่นพกั ไว้ 1 นาที แลว้ ทาซา้ อีก 2 รอบ สามารถเติมน้ารอ้ นเพมิ่ ได้ หากนา้ เรม่ ิ เย็นลง
ควรร:ู้ ในการแชแ่ ต่ละรอบไม่ควรแช่
นานเกินไป ถ้าแชน่ านเกินเวลาทแ่ี นะนา คือ 3
นาที มักจะพบว่ามีอาการอ่อนเพลยี หรอื ไม่
สบายในรา่ งกาย เน่ืองจากอุณหภูมิของรา่ งกาย
เรม่ ิ ขึ้นสูง
สภาพแวดลอ้ ม อยใู่ นสถานทจี่ รงิ ได้ฝกึ ปฏิบตั ิ
จรงิ แบบ on the Jop training
เงอ่ ื นเวลา 45 นาที เน่ืองจากเวลาในการเรยี นรู้
มีจากัดหรอื เวลาน้อย ทาให้วทิ ยากรหรอื ครู
จะต้องใชว้ ธิ กี ารแลกเปลยี่ นเรยี นรู้
129
บทท่ี 7 หลักการออกแบบเชงิ ภูมสิ ังคมและการออกแบบโคกหนองนาเบ้อื งต้น
วทิ ยากรผู้สอน : เครอื ข่ายครพู าทาทจี่ บหลกั สูตรจติ อาสาพฒั นาชุมชน จากเครอื ข่ายกสิกรรมฯ
วตั ถุประสงค์ : 1) เพื่อให้ผู้เขา้ อบรมทราบถึงแนวคิดการออกแบบโคก หนอง นา ตามภูมิสังคม
2) เพอ่ื ให้ผู้เขา้ อบรมสามารถคานวณหาปรมิ าณน้าฝนในพื้นทข่ี องตนเองได้
เวลาสอน : จานวน ๓ - 6 ชวั่ โมง
รูปแบบการสอน : การฟังบรรยายและใชก้ รณีตัวอย่าง
ขอบเขตเน้ือหาวชิ าทสี่ อน :
เปน็ วชิ าการบรรยายโดยวทิ ยากรทม่ี ีความรู้ ความเชยี่ วชาญเฉพาะทางในการออกแบบพ้ืนทเ่ี พอ่ื
การจดั การพืน้ ทที่ กี่ ่อประโยชน์สูงสุด รวมไปถึงการออกแบบพ้ืนทเี่ พื่อรองรบั ปรมิ าณนา้ ฝนเพอ่ื ใชใ้ นการ
อุปโภค บรโิ ภคของเจา้ ของพ้ืนที่ โดยพจิ ารณาการออกแบบตามภมู ิสังคม คือ การออกแบบพ้นื ท่ีท่ี
สอดคลอ้ งกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ วถิ ีชวี ติ ค่านิยม ความหลากหลายของวัฒนธรรม และ
ประเพณีทอี่ ยูร่ อบ ๆ บรเิ วณนั้น ประกอบไปด้วยแนวคิด 4 แนวคิด ดังน้ี
1. แนวคิดการทาโคก หนอง นา โมเดล เปน็ การจดั การพื้นทซ่ี งึ่ เหมาะกับการทาเกษตร (การ
จดั การพืน้ ทเี่ พ่ือการกสิกรรม) แลว้ มีการทาเกษตรแบบผสมผสานทฤษฎีใหม่ (30 : 30 : 30 : 10) โดย
ยดึ แผนการจดั การน้าของชลประทานคือ การทาอ่างใหญ่เพ่อื เติมอ่างเลก็ และอ่างเลก็ เติมน้าเขา้ สระนา้
แต่ในพืน้ ทที่ อี่ ยู่นอกเขตชลประทาน เจา้ ของพืน้ ทจี่ ะต้องจดั การนา้ ด้วยตัวเอง โดยยดึ หลกั การทว่ี า่ ฝน
ตกเทา่ ไรต้องกักเก็บน้าไวใ้ ห้ได้ทง้ั หมด ไม่ทงิ้ การปลูกข้าว และต้องปลูกปา่ (วนเกษตร) ควบค่กู ับการ
ปฏิบตั ิงานตามหลักการทรงงานของพระราชา คือ ต้องไม่ติดตารา ต้องมีความยดื หยุ่นในการทางาน ทา
ตามภมู ิสังคมและทาแบบคนจน(ค่อย ๆ ทา ทาตามกาลัง) ซงึ่ การจดั การพ้ืนทเี่ หล่านี้แปลงเปน็ คาไทย
งา่ ยๆ คือ “โคก หนอง นา” ซง่ึ โคก หนอง นา โมเดลนี้ แต่ละพืน้ ทจี่ ะมีสัดส่วนการกักเก็บนา้ คือ พน้ื ท่ี
โคกสามารถกักเก็บนา้ ในพื้นดินได้กวา่ 50 % ของปรมิ าณนา้ ฝนทต่ี ก ส่วนพ้ืนทีห่ นองน้าสามารถกักเก็บ
น้าได้ทง้ั หมด 100 % ของปรมิ าณนา้ ฝนทต่ี ก ส่วนนาก็สามารถกักเก็บนา้ ได้ทงั้ หมด 100 % ของ
ปรมิ าณน้าฝนทตี่ กในพืน้ ทเ่ี ชน่ เดียวกัน มีแนวทางการปฏิบัติในพ้ืนท่ดี ังน้ี
1) ดินทขี่ ุดทาหนองน้าน้ันให้นามาทาโคก บนโคกปลูก “ปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง”
ตามแนวทางพระราชดาร ิ
2) หนองนา้ น้ันเพ่ือให้นา้ กระจายไปเต็มพืน้ ทใี่ ห้ขุด “คลองไส้ไก่” หรอื คลองระบายน้ารอบพืน้ ที่
โดยขุดให้คดเค้ียวไปตามพืน้ ทเ่ี พ่อื ให้นา้ กระจายเต็มพ้นื ทเ่ี พม่ิ ความชุม่ ชน้ื ลดพลังงานในการรดน้า
ต้นไม้
3) ทา ฝายทดน้า เพอื่ เก็บน้าเข้าไว้ในพน้ื ทใ่ี ห้มากทส่ี ุด โดยเฉพาะเม่ือพนื้ ทโี่ ดยรอบไม่มีการ
กักเก็บน้า ซงึ่ นา้ จะหลากลงมายงั หนองนา้ และคลองไส้ไก่ ให้ทาฝายทดน้าเก็บไวใ้ ชย้ ามหน้าแล้ง
4) พ้ืนทน่ี านั้นให้ยกคันนาให้สูงและกว้าง โดยสูง 1 - 1.2 เมตร ความกวา้ งตามความเหมาะสม
เพ่ือให้นาสามารถกักเก็บน้าไวไ้ ด้ในยามนา้ หลาก
130
5) การทานา ให้ทานานา้ ลึกปลูกข้าวอินทรยี ์พน้ื บา้ น โดยเรม่ ิ จากการฟ้ ืนฟูดินด้วยการทาเกษตร
อินทรยี ์ คืนชวี ติ เล็ก ๆหรอื จุลนิ ทรยี ก์ ลับคืนแผ่นดิน ข้าวพนั ธพุ์ ืน้ เมืองทเ่ี ติบโตด้วยดินทอี่ ุดมจะมี
ภมู ิค้มุ กันต่อโรคและแมลง
6) ควบคุมปรมิ าณน้าในนาเพือ่ คุมหญ้า ทาให้ปลอดสารเคมีได้ปลอดภัยทง้ั คนปลูก คนกิน
7) บนคันนา และโดยรอบพื้นทีป่ ลกู พชื ผัก สวนครวั เลยี้ งหมู เลยี้ งไก่ เลีย้ งปลา ทาให้พออยู่
พอกิน พอใช้ พอรม่ เย็น เปน็ เศรษฐกิจพอเพยี งขน้ั พ้ืนฐาน ก่อนเขา้ สู่ขั้นก้าวหน้า คือ ทาบุญ ทาทาน
เก็บรกั ษา ค้าขาย และเชอ่ื มโยงเปน็ เครอื ข่าย
8) การพัฒนาแหล่งนา้ ในพ้นื ที่ ทง้ั การขุดลอก หนอง คู คลอง เพอ่ื กักเก็บน้าไวใ้ ชย้ ามหน้าแล้ง
และเพม่ิ การระบายนา้ ยามนา้ หลาก
2. หลักการคานวณเชงิ ปรมิ าณ เปน็ หลักการคานวณเพ่ือหาปรมิ าณน้าฝนทต่ี กในพ้ืนท่ขี องเรา
โดยสิ่งที่เราใชเ้ ป็นเครอ่ ื งมือในการกักเก็บน้าฝนคือ การขุดสระหรอื การขุดบ่อน้า โดยเราจะต้องคิด
เสมอว่าเราต้องกักเก็บน้าฝนทุกหยดเพื่อไว้ใช้ตลอดปีหรอื เราต้องกักเก็บน้าฝนในพ้ืนท่ีของเราให้
ได้มากท่ีสุด สิ่งที่เราควรรู้ เพ่ือประกอบการคานวณการเก็บน้าฝนไว้ในสระน้าหรอื บ่อน้านั้น เราต้องรู้
ปรมิ าณน้าฝนทต่ี กในพื้นที่ของเราให้ได้เสียก่อน โดยใช้เครอ่ ื งมือ search engine ค้นหาปรมิ าณน้าฝน
ท่ีตกในเขตพ้ืนท่ีท่ีต้องการ จานวนพื้นที่ท่ีเราต้องการทาโคก หนอง นา ข้อมูลเพียง 2 อย่างก็ทาให้เรา
ทราบแล้วว่าเราต้องกักเก็บน้าเพ่อื ใชใ้ นการบรโิ ภคจานวนเทา่ ใด
หลักการสาคัญของโคก หนอง นา โมเดล คือ การเก็บกักน้าทต่ี กลงมาจากฟ้าไว้ให้ได้มากท่ีสุด
โดยสามารถเก็บไว้ในสภาพทอ่ี ยู่ในธรรมชาติ ได้แก่
หนองนา้ การขุดหนองหรอื สระเก็บนา้ ทด่ี ี ควรมีลักษณะคดโค้ง และมีความต่างระดับลึกต้ืน
เพราะการขุดหนองลงไปเปน็ รูปสี่เหลยี่ มหน้าตัด ทาให้ปลาไม่สามารถวางไขไ่ ด้ เพราะปลาจะวางไข่
บรเิ วณตะพกั ส่วนความลึก ของหนองข้ึนอยู่กับปรมิ าณนา้ ฝนทตี่ กในพนื้ ท่ี พระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยูห่ ัว(รชั กาลท่ี 9) ทรงคานวณน้าอยา่ งละเอียด พบว่าใน 1 ปี มีวันทฝ่ี นไม่ตก 300 วนั ซง่ึ วันทฝ่ี น
ไม่ตกนี้ นา้ จะระเหยไปวนั ละ 1 เซนติเมตร ดังน้ัน
ใน 1 ปี น้าจงึ ระเหยไป 3 เมตร การขุดบ่อจงึ ต้องขุดลึกมากกว่า 3 เมตร เพือ่ ให้มีน้าเหลอื พอใน
หน้าแล้ง หรอื ชว่ งทฝี่ นทง้ิ ชว่ ง
โคก นาดินที่ขุดจากหนองน้ามาทาเปน็ โคก บนโคกสามารถปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
คือใชเ้ ป็นไม้ใชส้ อยเพ่ือสรา้ งบ้านเรอื น และชว่ ยสรา้ งความรม่ เย็น ความชุม่ ชน่ื ในพื้นท่ี ควรปลูกป่าเป็น
ไม้ 5 ระดับ ได้แก่ ไม้สูง ไม้กลาง ไม้เต้ีย ไม้เรย่ ี ดินและพืชหัวใต้ดิน เพ่ือให้รากสานกันหลายระดับราก
พืชจะทาหน้าทเ่ี ก็บกักน้าไว้ใต้ดิน นอกจากน้ีควรปลูกแฝกเพ่ือชว่ ยป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ป่า
ที่อยู่บนโคกสามารถกักเก็บน้าใต้ดินไว้ประมาณ 50% ของปรมิ าณน้าฝนที่ตกลงมา ตาแหนง่ ของป่าควร
อยูท่ ศิ ตะวันตกเพ่ือชว่ ยบังแสงอาทติ ย์ยามบ่าย
นา ควรทาคันนาสูงอยา่ งน้อย 1 เมตร เพราะเม่ือฝนตกลงในพื้นทนี่ า จะสามารถเก็บน้าได้
เทา่ กับความสูง×ความสูง×ความยาวของคันนา เชน่ นา 1 ไรม่ ีขนาด 1,600 ตร.ม. เม่ือยกคันนาสูง 1
เมตร จะสามารถเก็บน้าได้ 1,600 ลบ.ม. แต่น้าทเี่ ก็บไว้ในนาจะค่อย ๆ ซมึ ลงดินอยา่ งน้อย 50 %
จงึ เหลอื น้าทอี่ ยู่บนผิวดินครง่ ึ หนงึ่ ของปรมิ าณน้าทง้ั หมด คือ 800 ลบ.ม. แต่นา้ ทซ่ี มึ หายไปจะชว่ ยสรา้ ง
131
ความชุม่ ชน่ื และเก็บน้าไวเ้ ปน็ นา้ ใต้ดิน นอกจากน้ีการสรา้ งคันนาทใ่ี หญจ่ ะทาหน้าทเี่ หมือนเข่อื นชว่ ย
เก็บน้าไว้ในนาและสามารถปลกู พืช ผักหรอื ไม้ผล ได้อกี ด้วย
คลองไส้ไก่ ควรขุดคลองไส้ไก่ให้คดเคี้ยวทวั่ พื้นทเ่ี พ่อื เปน็ ทางนา้ บนดินส่งความชุม่ ชน่ื ไปท่ัวพ้นื ที่
โดยไม่ต้องเสียค่าใชจ้ ่ายสาหรบั การติดตั้งท่อส่งน้าหรอื สปรงิ เกอร์ ซงึ่ ตลอดแนวคลองไส้ไก่ก็สามารถ
ปลูกพืชผัก ผลไม้ต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในแนวคลองไส้ไก่ควรขุดบ่อพักน้าหรอื หลุมขนมครกไว้เปน็ ระยะ เพ่ือ
ดักเก็บนา้ ไวซ้ งึ่ บ่อพักนา้ จะชว่ ยเพม่ิ ความชนื่ สัมพัทธใ์ นพน้ื ที่ และลดภาระทต่ี ้องคอยรดนา้ พชื อยู่ตลอด
อยา่ งไรก็ตามเพือ่ ให้การคานวณออกแบบพืน้ ที่ โคก หนอง นา ให้งา่ ยต่อการเรยี นรตู้ ่อผู้อบรม
สามารถแยกการคานวณ ออกเปน็ 3 ส่วน ดังน้ี
1) หาปรมิ าณนา้ ฝนทต่ี กทงั้ ปใี นพ้ืนทข่ี องตัวเอง มีสูตรการคานวณ ดังนี้
ปริมาณน้าฝนทตี่ ้องกกั เก็บ = จ้านวนไร่ × ขนาดพืนที่จา้ นวน 1 ไร่ × ปริมาณน้าฝน/ปี
2) การคานวณหาพ้นื ทกี่ ารทานา เปน็ การคานวณหาพ้ืนทก่ี ารทานาเพอ่ื การบรโิ ภค
ตลอดทง้ั ปี โดยอ้างอิงจากจานวนสมาชกิ ในครอบครวั ทม่ี ีการบรโิ ภคขา้ วตลอดทง้ั ปี มีสูตรการคานวณ
2 สูตร ดังนี้
2.1) สูตรจานวนขา้ วสารทบ่ี รโิ ภคทง้ั ปี
จ้านวนข้าวสารทีบ่ ริโภคทงั ปี = จา้ นวนคนใน ครัวเรอื น × จา้ นวนขา้ วสารที่บริโภคตอ่ คนตลอดทงั ปี
2.2) สูตรการคานวณหาพน้ื ทน่ี า จ้านวนข้าวเปลือกทผ่ี ลติ ไดต้ ่อไร่ × 45 %
100
พืนที่นา = จา้ นวนขา้ วสารท่บี รโิ ภคทงั ปี
วทิ ยากรยกตัวอย่างในการคานวณการหาปรมิ าณน้าฝนเพ่อื ทาโคกหนองนา ดังนี้ ครอบครวั หนง่ึ
มีพน้ื ทที่ งั้ หมด 90 ไร่ 2 งาน ปรมิ าณน้าฝนทีต่ กตลอดทงั้ ปอี ยู่ท่ี 1,100 มิลลิเมตร/ปี ครอบครวั มีสมาชกิ
ทง้ั หมด 25 คน จงคานวณหาปรมิ าณน้าฝนทีต่ ้องกักเก็บ จานวนพื้นท่นี าทเี่ พียงพอต่อการบรโิ ภคทง้ั ปี
และพื้นทขี่ ุดสระเพอ่ื กักเก็บนา้
พืน้ ทข่ี นาด 90 ไร่ 2 งาน คิดเปน็ ตารางเมตรได้ ดังนี้ 1 ไร่ = 1,600 ตร.ม.
ดังน้ัน 90 ไร่ 2 งาน = (90 × 1,600) + 800
= 144,800 ตร.ม.
ปรมิ าณนา้ ฝนทต่ี กทงั้ ปใี นพ้ืนท่ี = 144,800 ตร. × 1.1 ม.
= 159,280 ลูกบาศ์เมตร
พ้ืนทที่ านา = 25 คน × 110 กก./คน/ปี 600 กก./ไร่ × 45
100
= 2,750 กก. (คิดเปน็ 3,000 กก.) 270 กก./ไร่
= 3,000 /270
= 11.11 คิดเปน็ 11 ไร่ 1 งาน
132
พื้นท่ี จานวน 11 ไร่ 1 งาน สามารถกักเก็บนา้ ฝนได้ 100 %
พน้ื ท่นี ามีขนาด = 11.1 ไร่ × 1,600 ตร.ม.
= 17,600 (คิดเปน็ 18,000 ตร.ม.)
ดังน้ันนา 11 ไร่ 1 งาน กักเก็บน้าได้ = 18,000 ตร.ม. × 1.1 ม.
= 19,800 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
3) การคานวณหาพ้ืนทข่ี องสระนา้ หรอื บอ่ นา้
การขุดแบบคดเค้ียวมีตะพักนา้ ตามโคก หนอง นา โมเดล เพอ่ื รองรบั ปรมิ าณนา้ ทตี่ กใน
พื้นทท่ี ง้ั ปี ต้องขุดสระขนาด เทา่ ใด
พืน้ ทข่ี นาด 1 งาน มีเส้นระยะขอบสระยาว 80 ม. และมีส่วนทเ่ี ปน็ ตะพักลาดชนั ไม่ได้ขุด ยาว 16.5 ม.
ดังน้ัน พ้ืนทข่ี นาด 1 งาน ไม่ถูกขุด = 80 × 16.5
= 1,320 ตร.ม.
เม่ือพืน้ ทข่ี นาด 1 งาน ขุดลึก 5 เมตร = 400 ตร.ม. × ความลึก 5 ม. = 2,000 ตร.ม.
ดังน้ัน พน้ื ทขี่ นาด 1 งาน ขุดลึก 5 เมตร = 2,000 – 1,3200
= 680 ตร.ม.
พืน้ ทขี่ นาด 1 ไร่ มีเส้นระยะขอบสระยาว 160 ม. และมีส่วนทเ่ี ปน็ ตะพักลาดชนั ไม่ได้ขุด ยาว 16.5 ม.
ดังนั้น พืน้ ทข่ี นาด 1 ไร่ ไม่ถกู ขุด = 160 × 16.5
= 2,640 ตร.ม.
เมื่อพ้ืนทข่ี นาด 1 ไร่ ขุดลกึ 5 เมตร = 1,600 ตร.ม. × ความลกึ 5 ม. = 8,000 ตร.ม.
ดังนั้น พ้นื ทขี่ นาด 1 ไร่ ขุดลกึ 5 เมตร = 8,000 – 2,640
= 5,360 ตร.ม.
ซง่ึ เมื่อขุดดินขนาด 1 ไร่ ความลึก 5 เมตร สามารถถมทใี่ นระดับความสูง 1 เมตร ได้ 3.25 (คิดเป็น 3 ไร่ 1 งาน)
ดังนั้น พื้นทท่ี ใี่ ชจ้ รงิ ไปแลว้ คือ ขุด 1 ไร่ + ถม 3 ไร่ 1 งาน = 4 ไร่ 1 งาน (คิดเปน็ 4.25)
ฉะน้ัน พ้ืนทท่ี ต่ี ้องขุดและถม 90 ไร่ 2 งาน = 90.50/4.25
= 21.29 (คิดเป็น 21 ไร่ 1 งาน)
ดังน้ัน พ้ืนทข่ี ุดบอ่ นา้ 21 ไร่ 1 งาน รองรบั ปรมิ าณนา้ ฝน = 21.25 × 1,600 ×1.1
= 37,400 ลบ.ม.
และ พืน้ ทโี่ คกมีขนาด = 21.25 × 3.25
= 69.06 (คิดเปน็ 70 ไร)่
ซง่ึ พ้ืนทโี่ คกสามารถรองรบั ได้ 50 % = 70 × 1,600 × 1.1
= 123,200/2
= 61,600 ลบ.ม.
133
ดังน้ันสรปุ ได้ดังน้ี 1) พืน้ ที่ 90 ไร่ 2 งาน รองรบั นา้ ฝนได้ปรมิ าณ 159,280 ลูกบาศ์เมตร/ปี
2) พื้นทที่ านาสาหรบั คน 25 คน ทต่ี ้องบรโิ ภคทงั้ ปี จานวน 3,000 กก. คิดเปน็ 11 ไร่ 1
งาน รองรบั นา้ ฝนได้ 19,800 ลบ.ม./ปี
3) พื้นทข่ี ุดสระนา้ จานวน 21 ไร่ 1 งาน รองรบั น้าฝนได้ 37,400 ลบ.ม./ปี
4) พื้นทโี่ คก จานวน 70 ไร่ รองรบั น้าฝนได้ 61,600 ลบ.ม.
3. หลักความสัมพนั ธต์ ามภมู ิสังคม การออกแบบพน้ื ทแี่ ปลงเพ่ือจดั เก็บนา้ ในระดับไรน่ า ใช้
หลกั การออกแบบตามหลักภมู ิสังคมมาประยุกต์กับการออกแบบผังแปลง โดยหลกั การมีปจั จยั หลกั ที่
สาคัญของการออกแบบพื้นท่ี ภมู ิ คือ สภาพทางกายภาพ เชน่ สภาพดิน นา้ ลม ไฟ(แสงแดด) สังคม
วฒั นธรรม ความเชอ่ื ภูมิปญั ญาด้ังเดิมทอี่ ยู่ในพ้นื ท่ี ซง่ึ ในการออกแบบจะให้ความสาคัญกับ “สังคม”
มากกวา่ “ภูมิ” คือต้องออกแบบตามสังคมและวฒั นธรรมของคนทอี่ ยู่ แม้วา่ ภมู ิประเทศจะเหมือนกันก็
ตาม หากสังคมต่างกันการออกแบบก็จะต่างกันออกไปมีหลักพจิ ารณา ดังน้ี
1) ปรมิ าณน้าฝนเฉลีย่ ต่อปที ตี่ กในพืน้ ท่ี
2) ความสูง – ตา่ ของพน้ื ทแี่ ละทศิ ทางการไหลของนา้ ในแปลง
3) การวางองค์ประกอบของพนื้ ทใี่ ห้มีความสัมพันธส์ อดคล้องภูมิสังคม ดังนี้
นา้ : สระนา้ ควรวางในตาแหนง่ ท่ีลมรอ้ นพัดผ่าน (จากทศิ ตะวันตกเฉียงใต้
ไปทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) และขุดเลยี นแบบธรรมชาติ
ดิน : เราต้องรจู้ กั ลักษณะของดินเพื่อทจ่ี ะวางแผนขุดสระน้าอย่างหมาะสม หรอื
ต้องปรบั สภาพดินอยา่ งไร ซงึ่ ตาแหนง่ ของโคกควรวางในตาแหนง่ ทางทศิ ตะวนั ตก
เพอ่ื ให้ต้นไม้ใหญบ่ ังแสงแดดในตอนบา่ ย เปน็ ต้น
ลม : ควรศึกษาทศิ ทางลมว่าลมรอ้ น ลมหนาว และลมฝนพดั มาทางทศิ ใด
โดยทวั่ ไปลมฝนหรอื ลมมรสุมจะพดั มาทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ ส่วนลมหนาวหรอื ลม
ขา้ วเบาจะพัดมาทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ดังนั้น การวางตาแหนง่ อาคารบา้ นเรอื น
ไม่ควรวางขวางทศิ ทางลมหนาว นอกจากนี้ การออกแบบบ้านให้มีทศิ ทางของชอ่ งลม
สอดรบั กับลมท่พี ัดมาแต่ละฤดูกาล ซง่ึ จะชว่ ยเรอ่ ื งของการลดใชพ้ ลงั งานในบ้าน ชว่ ยทา
ให้บา้ นเยน็ อยู่สบายมากขน้ึ
ไฟ (แสงแดด) : สารวจทศิ ทางแสงแดด ทศิ ทางการข้นึ และลงของดวงอาทติ ย์
ในแต่ละฤดูกาล เพือ่ ให้การวางตาแหนง่ ของแต่ละกิจกรรมเหมาะสมทสี่ ุด เชน่ บา้ นให้
หน้าต่างบา้ นรบั แสงตอนเชา้ การวางตาแหนง่ ให้เงาต้นไม้บังแดดในยามบา่ ย การวาง
ตาแหนง่ แปลงนาให้วางในแนวทศิ ตะวันออก - ตะวันตก เปน็ ต้น
คน : ถือเปน็ ตัวแปรทส่ี าคัญ ควรจะออกแบบให้เหมาะสมกับฐานะและกาลัง
ของเจา้ ของทด่ี ิน และประโยชน์ใชส้ อยเปน็ หลกั
4. หลักการเขียนแบบ เปน็ การถ่ายทอดความคิดสรา้ งสรรค์ด้วยการเขียนหรอื วาดเส้น รูปภาพ
สัญลกั ษณ์ และรายการประกอบแบบ ลงบนกระดาษเขยี นแบบหรอื คอมพิวเตอรเ์ พอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทางใน
การสรา้ งหรอื การซ่อมแซมช้ินงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง โดยแบบจะแสดงรายละเอียดหรอื
ข้อกาหนดของงานท่ชี า่ งหรอื ผู้ปฏิบัติงานต้องเข้าใจตรงกันกับผู้ออกแบบ สามารถอ่านแบบได้ถูกต้อง
134
และปฏิบัติตาม รูปแบบรายการท่กี าหนดไว้ได้ ลักษณะของแบบโดยทว่ั ไปมี 3 ลกั ษณะ ได้แก่ รูปแปลน
และรูปด้าน รูปตัด และรูปขยาย ซงึ่ การเขียนแบบสามารถเขียนได้ 2 ลักษณะคือ การเขียนแบบด้วยมือ
เปลา่ และเขียนแบบด้วยเครอ่ ื งมือและอุปกรณ์
ผลการเรยี นรูข้ องผู้เข้ารว่ มการอบรม :
ผู้เข้าอบรมมีส่วนรว่ มในการเรยี นรูเ้ นื่องจากวทิ ยากรได้ยกตัวอย่างการคานวณเพ่ือออกแบบ
พ้ืนท่ีตามโมเดล โคก หนอง นา ทาให้ผู้เข้าอบรมทราบว่าการออกแบบต้องคานวณหาพ้ืนท่ีแบ่งเป็น 3
ส่วน คือพื้นทข่ี องโคก ของหนอง และนา ซงึ่ ทาให้ผู้เข้าอบรมสามารถคานวณอย่างครา่ ว ๆ ได้ หลังจาก
ฟังบรรยายมีการให้ใบงานให้แต่ละกลุม่ ชว่ ยกันคิดคานวณและออกแบบพื้นทที่ โ่ี ครงการจดั เตรยี มไว้
สรปุ หลักการออกแบบและการออกแบบโคก หนอง นา เบื้องต้น
1 หลักการออกแบบตามหลกั ภูมิสังคม ดิน น้า ลม ไฟ พชื คน
2 การสารวจพนื้ ที่ ก่อนการออกแบบ
3 ขน้ั ตอนออกแบบโคก หนอง นา ด้วยตนเอง
หัวใจ คือ การอยู่รว่ มกับธรรมชาติ โดยไม่ฝนื ธรรมชาติ
เกษตรทฤษฎีใหม่(2/8): หลักการออกแบบพื้นที่ด้วยภูมิสังคม
เกษตรทฤษฎีใหม่(3/8): การคานวณการเก็บนา้ ด้วยโคก หนอง นา โมเดล
135
Work Shop “การจดั การพื้นท่ี ดิน นา้ ปา่ คน”
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายนอก /ภายใน
วตั ถุประสงค์ : 1) เพือ่ ให้ผู้เข้าอบรมสามารถคานวณหาปรมิ าณนา้ ฝนในพนื้ ทข่ี องตนเองได้
2) ผู้เข้าอบรมมีหลกั คิดในการออกแบบพ้ืนทขี่ องตนเองตามความสัมพนั ธข์ อง ดิน นา้
ปา่ และคน
เวลาสอน : จานวน 3 ชว่ั โมง
รูปแบบการสอน : 1) ฟังบรรยาย
2) การลงมือปฏิบัติในพน้ื ทท่ี ก่ี าหนด
ขอบเขตเน้ือหาวชิ าทส่ี อน :
เน้ือหาวชิ านี้เปน็ ความต่อเนื่องจากวชิ า การออกแบบเชงิ ภูมิสังคมไทยตามหลกั การพัฒนาอยา่ ง
ยง่ั ยืนเพือ่ รองรบั ภัยพบิ ตั ิ ซง่ึ ผู้เขา้ อบรมต้องคานวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ตามทไี่ ด้รบั มอบหมาย โดยมีการ
ออกแบบเบื้องต้น ในกระดาษฟลติ ชารต์ จากนั้นแต่ละกลุม่ ต้องลงไปออกแบบในพ้ืนทท่ี จี่ ดั ไว้ นั้นคือ
ลานดินสวนหย่อมของศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครราชสีมา ซง่ึ วทิ ยากรผู้สอนมีโจทยแ์ ก่ผู้เข้าอบรม
เพื่อฝึกการคานวณหาพ้นื ท่ใี นการออกแบบโคก หนอง นา ดังน้ี
ขอ้ 1 สาหรบั สีนาเงนิ มีขนาดพนื้ ที่ 9 ไร่ 3 งาน ปรมิ าณนา้ ฝน 1,300 มม./ปี ระดับน้าทว่ มปกติ
0.5 เมตร ผิดปกติ 0.75 เมตร พ้นื ทีต่ ่ากวา่ ระดับถนน 1 เมตร ครอบครวั มีสมาชกิ 6 คน ดังรปู
ข้อ 2 สาหรบั สีเหลือง มีขนาดพ้ืนท่ี 15 ไร่ 2 งาน ปรมิ าณน้าฝน 1,100 มม./ปี ระดับ น้าท่วมปกติ
2 เมตร ตา่ กว่าระดับบถนน 1 เมตร มีสมาชกิ ในครอบครวั 8 คน ดังรูป
136
ข้อ 3 สาหรบั สีแดง ขนาดพ้ืนท่ี 3 ไร่ 1 งาน ปรมิ าณน้าฝน 900 มม./ปี ระดับน้าท่วมปกติ
1 เมตร พน้ื ทต่ี า่ กวา่ ระดับถนน 0.75 เมตร ครอบครวั มีสมาชกิ 4 คน ดังรปู
ข้อ 4 สาหรบั สีชมพู ขนาดพื้นที่21 ไร่ 2 งาน ปรมิ าณน้าฝน 1,200 มม./ปี ระดับน้าท่วมปกติ
0.75 เมตร พ้ืนทต่ี า่ กวา่ ระดับถนน 1.5 เมตร ครอบครวั มีสมาชกิ 15 คน ดังรปู
ขอ้ 5 สาหรบั สีเขียว ขนาดพื้นท่ี 35 ไร่ ปรมิ าณนา้ ฝน 1,500 มม./ปี ระดับน้าทว่ มปกติ 1 เมตร
พืน้ ท่ีตา่ กว่าระดับถนน 1.5 เมตร ครอบครวั มีสมาชกิ 7 คน ดังรูป
137
บทท่ี 8 ถอดรหัส “พระมหาชนก”
ถอดรหัส “พระมหาชนก” จากมมุ มองด้านการพัฒนามนษุ ย์และองคก์ าร
อัจฉรยิ ภาพอนั สรา้ งสรรค์ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว
คติธรรมการพัฒนามนษุ ยต์ ามแนวทาง “การฟ้ ืนฟูต้นมะมว่ ง”
ภาวะผู้นาที่ดีย่อมแตกต่างจากปุถุชนธรรมดาท่ัวไปทั้งหลาย เม่ือเห็นภัยพาล คืบคลานเข้ามา
หรอื เห็นปญั หาเกิดข้ึน ปุถชุ นมักจะตื่นตระหนก รา่ รอ้ งโวยวาย กล่าวโทษใส่รา้ ยกัน คนเหลา่ น้ีมัก “พลิก
วกิ ฤติให้กลายเปน็ หายนะ” ในทางตรงขา้ มผู้ทม่ี ีภาวะผู้นาคือผู้ทต่ี ั้งอยู่ในสติสัมปชญั ญะ ใชป้ ญั ญา เรยี ก
ระดมผู้รูม้ าชว่ ยกันขบคิดเพื่อแสวงหาทางออกและฟ้ ืนฟูกู้ปัญหาเหล่านั้น พระมหาชนกคือแบบอย่าง
แห่งภาวะผู้นา เม่ือเห็นปญั หา แม้ตนเองจะมีความทุกข์ใจหนักหนากับปญั หาท่ีเกิดข้ึน แต่ก็ตั้งสติเรยี ก
ระดมปราชญ์ราชบัณฑิต แล้วเตือนสติว่าแทนที่จะมาน่ังพร่าบ่นเสียอกเสียใจ แต่ควรจะมาชว่ ยกันคิด
แ ละด าเนิ น การ “พ ลิก วกิ ฤต ให้ กลาย เป็น โอ กาส ” ม าก กว่า ใน ต อ น น้ี พ ระอั จ ฉ รยิ ภ าพ ขอ ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ปรากฏให้เห็นเด่นชดั อีกครงั้ เม่ือทรงนาเสนอ “แนวทางการฟ้ ืนฟูต้น
มะม่วง” อย่างเปน็ ระบบถูกต้องตามหลักวชิ าถึง 9 วธิ กี าร ดังทปี่ รากฏในตอนท่ี 35
(ตอนที่ 35) อุทจิ จพราหมณ์มหาศาลรบี มาเฝ้าพระราชา พรอ้ มด้วยลกู ศิษย์สองคน คือ จารุ
เตโชพราหมณ์และคเชนทรสิงหบณั ฑิตสองคนนี้ คนแรกชานาญการปลูก คนท่ีสองชานาญการถอน
ทนั ใดทม่ี าถึง คเชนทรสิงหบณั ฑติ ก็ทรุดลงแทบพระบาทของพระราชาแล้วทลู วา่ “ขา้ พระองค์ผิดไป
เอง เม่ือเหลา่ อมาตยข์ อให้ขา้ พระองค์ชว่ ยเก็บมะม่วงถวายพระอุปราช ขา้ พระบาทจงึ นาเอา “ยนั ตกล
เก็บเกี่ยว” มาใช้ มิได้คิดว่าจะทาให้ต้นมะม่วงถอนรากโค่นลงมา พระพุทธเจา้ ขา้ ขอรบั .”
138
พระราชตรสั ว่า: “อยา่ โทมนัสไปเลย อาจารยผ์ ู้ดารกิ าร ต้นมะม่วงโค่นไปแลว้ ณ บดั น้ีปญั หาคือ
ฟ้ ืนฟูต้นมะม่วงได้อยา่ งไร เรามีวธิ เี ก้าอยา่ งทอี่ าจใชไ้ ด้
หนง่ึ เพาะเม็ดมะม่วง สอง ถนอมรากทย่ี ังมีอยูใ่ ห้งอกใหม่ สาม ปกั ชาก่ิงทเ่ี หมาะแก่การปกั
ชา ส่ี เอาก่ิงดีมาเสียบยอดกื่งของต้นทไี่ ม่มีผลให้มีผล ห้า เอาตามาต่อก่ิงของอีกต้น หก เอาก่ิงมาทาบ
ก่ิง เจด็ ตอนกิ่งให้ออกราก แปด รมควันต้นทไ่ี ม่มีผลให้ออกผล เก้า ทา”ชวี าณสู งเคราะห์” ทา่ น
พราหมณ์มหาศาล จงให้พราหมณ์อันเตวาสิกไปพจิ ารณา” อุทจิ จพราหมณ์รบั สนองพระราชโองการ ว่า:
ขา้ พระองค์ผู้ทรงภมู ิปญั ญา จะให้คเชนทรสิงหบัณฑติ นาเครอ่ ื ง ‘ยนั ตกล’ ไปยกต้นมะม่วงให้ตั้งตรง
ทนั ที และจะให้จารเุ ตโชพราหมณ์เก็บเม็ดและกิ่ง ไปดาเนินการตามพระราชดาร”ิ พระราชโปรดให้สอง
คนน้ันรบี ไป แต่ขอให้พราหมณ์มหาศาลคอยรบั พระราชดารติ ่อไป
มีประเด็นท่ีน่าสนใจและเห็นวา่ เปน็ ประเด็นทส่ี าคัญเป็นอยา่ งยิง่ ในตอนท่ี 35 นี้ก็คือ
วธิ ี 9 อย่างในการฟ้ ืนฟูต้นมะม่วง ผู้เขียนได้เคยสอบถามความคิดเห็นจากนักวชิ าการด้าน
การเกษตรบางทา่ น พบว่า แนวทางการฟ้ ืนฟูต้นมะม่วงท้งั 9 วธิ กี ารน้ัน ถือเป็นภูมิปญั ญาที่สาคัญและ
ล้าลึกอยา่ งยิง่ ในวชิ าการทางเกษตรศาสตร์ สะทอ้ นให้เห็นว่าผู้ประพันธ์ “พระมหาชนก” ได้ศึกษาค้นคว้า
ศาสตรท์ างด้านนี้มาอย่างลึกซงึ้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนบทความน้ีมิได้เป็นนักวชิ าการที่มีความรูค้ วาม
เขา้ ใจทางการเกษตร แต่ผู้เขียน – ในฐานะของนักวชิ าการด้านการพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์และองค์การ
– ใครข่ อตั้งข้อสังเกตในทน่ี ้ีวา่ น่ีคือ “รหัสนัยทล่ี ึกซงึ้ ” ยง่ิ นักและน่าจะเปน็ รหัสนัยทน่ี ักวชิ าการด้านการ
พัฒนาทรพั ยากรมนุษย์และองค์การพึงขบคิดตีประเด็นให้แตกว่าจะถอดรหัสแนวทางการ “ฟ้ ืนฟูต้น
มะม่วง” ทง้ั 9 วธิ กี ารให้ออกมาเป็นแนวทางที่เหมาะสมกับการ “ฟ้ ืนฟูทรพั ยากรมนุษย์ในองค์การ” ได้
อย่างไร?
เนื่องด้วยภูมิปัญญาอันมีขอบเขตจากัดของผู้เขียนเอง ในท่ีน้ีผู้เขียนจึงใครข่ อนาเสนอแนว
ทางการถอดรหัสการฟ้ ืนฟูทรพั ยากรมนุษย์ตามแนวทางการฟ้ ืนฟูต้นมะม่วงท้ัง 9 วธิ ี โดยเป็นการ
นาเสนอในลักษณะของการยกรา่ งเป็น “ประเด็นตั้งต้น” (Proposition) เพ่ือท่ีจะเช้ือชวนให้บุคคล
ทว่ั ไป รวมท้ังปราชญ์ ผู้รู้ นักวชิ าการและผู้ปฏิบัติงานท่ีเชย่ี วชาญและทสี่ นใจในด้านการบรหิ ารจดั การ
และพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์และองค์การ จะได้เข้ามารว่ มกันขบคิดถกแถลงแสวงหาทางออกรว่ มกันว่า
“แนวทางการฟ้ ืนฟูทรพั ยากรมนุษย์และองค์การ” แต่ละข้อของ “การฟ้ ืนฟูต้นมะม่วง” ท้ัง 9 ข้อ แท้ที่
จรงิ แล้วคืออะไร มีนัยยะความหมายอะไร และมีเครอ่ ื งมือทีเ่ หมาะสมด้านการพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์
และองค์การอะไรท่ีจะใช้เพ่ือการฟ้ ืนฟูทรพั ยากรมนุษย์และองค์การได้อย่างไรบ้าง? ท้ังนี้ ใครข่ อให้
ผู้อ่านจนิ ตนาการถึงบรบิ ทองค์การทกี่ าลังเผชญิ กับปญั หาคุณภาพของบุคลากรตกต่า แม้บางองค์การ
จะเปน็ องค์กรทม่ี ีศักยภาพดี แต่บุคลากรบางกลมุ่ กลบั ไรผ้ ลงาน คนดีคนเก่งถูกทาลายเสียขวญั กาลงั ใจ
จนหมดพลังในการทางาน คาถามคือ เราจะฟ้ ืนฟูคนและองค์การเหล่านี้ – โดยใชแ้ นวทางการฟ้ ืนฟูต้น
มะม่วง 9 ข้อ – อย่างไร? ในการนี้ ผู้เขยี นขอนาเสนอแนวทางการตีความตามหลักการพฒั นาทรพั ยากร
มนุษยแ์ ละองค์การเปน็ การต้ังต้น ดังนี้
1. เพาะเม็ดมะมว่ ง (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงพระนิพนธเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษว่า
Culturing the seeds) ผู้เขียนใครข่ อถอดรหัสนัยน้ีในเชงิ การพัฒนาทรพั ยากรมนุษยว์ ่าการ “เพาะ
เม็ดมะม่วง” น่าจะหมายถึง “การบ่มเพาะบุคลากรรนุ่ ใหม่” หรอื “การพฒั นาบุคลากรพันธใุ์ หม่” ขึ้นมา
139
2. ถนอมรากทย่ี งั มีอยู่ให้งอกใหม่ (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงพระนิพนธเ์ ปน็
ภาษาอังกฤษว่า Nursing the roots so they grow again) ผู้เขียนใครข่ อถอดรหัสนัยนี้ในเชงิ การ
พัฒนาทรพั ยากรมนุษย์และองค์การว่า “ราก” หมายถึง องค์ความรู้ ภูมิปญั ญา ขีดความสามารถด้ังเดิม
(Competence) ทอี่ งค์กรมีอยู่ เพยี งแต่ทผ่ี ่านมาอาจจะขาดการเอาใจใส่ดูแลและพัฒนาส่ิงเหล่าน้ี
ขน้ึ มาเทา่ น้ัน (คลา้ ยๆกับ การทสี่ ังคมไทยเคยมีภูมิปญั ญาดั้งเดิม แต่ขาดการเหลยี วแล เพราะมัวแต่
หลงไหลได้ปลมื้ ไปกับภูมิปญั ญาตะวันตก จนในทส่ี ุดภูมิปญั ญาด้ังเดิมทเ่ี ปน็ “รากเหงา้ ” ทแ่ี ทจ้ รงิ ถูก
ละเลย หรอื ถกู ทาลายสูญหายไปอยา่ งน่าเสียดาย)
3. ปกั ชากิ่งทเี่ หมาะแก่การปกั ชา. (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ทรงพระนิพนธเ์ ปน็
ภาษาอังกฤษว่า Culturing (cutting) the branches) การปักชากิ่งคือการตัด/นากิ่งทเ่ี หมาะสมไป
ปกั ลงในวัสดุชาเพ่ือให้เกิดรากข้นึ มา เปน็ วธิ กี ารทงี่ า่ ย ได้ผลเรว็ และต้นทนุ ต่า จุดสาคัญจุดหนงึ่ ในทน่ี ี้
คือ การได้มาซง่ึ “ก่ิงทเ่ี หมาะ” แก่การปกั ชา หากจะถอดรหัสนัยนี้ในเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละ
องค์การ ก็อาจตีความได้ว่า “ก่ิงทเ่ี หมาะ” ก็คือ กล่มุ คนทเี่ ปน็ กลมุ่ “คนดีคนเก่ง”
4. เอาก่ิงดีมาเสียบยอดก่ิงของต้นทไี่ ม่มีผลให้มีผล. (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัว ทรงพระ
นพิ นธเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษวา่ Grafting on the other tree.) การเสียบยอดคือการนาเอากิ่งของยอด
พันธทุ์ ดี่ ีไปเสียบทาบกับยอดของต้นทไ่ี ม่มีผล โดยมีเปา้ ประสงค์หลักเพ่ือให้ได้ผลผลติ จากต้นเดิมทเ่ี รว็
กว่าการเรม่ ิ ปลูกใหม่ หากจะถอดรหัสนัยนี้ในเชงิ การพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละองค์การ ก็อาจตีความ
ได้ว่า “กิ่งดี” คือกลุ่มคนทเี่ ปน็ กลุ่ม “คนดีคนเก่ง” ซงึ่ หมายถึงกลุ่ม “ดาวดวงเด่น” และ “กลุ่มม้างาน” อัน
เปน็ กลมุ่ ทเ่ี หมาะแก่การขยายพนั ธุ์
5. เอาตามาต่อก่ิงของอีกต้น. (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวทรงพระนิพนธเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษวา่
Bud-grafting on the other tree.) การต่อกิ่งเปน็ วธิ กี ารขยายพนั ธุพ์ ชื อีกแบบหนงึ่ โดยเอาตาของ
ต้นไม้ต้นหนงึ่ ทมี่ ีคุณภาพดีไปติดทตี่ ้นหรอื กิ่งของอีกต้นหนง่ึ ซงึ่ เปน็ ชนิดเดียวกันเพ่ือหวงั ให้เกิดต้นตอ
หรอื กิ่งทมี่ ีคณุ ภาพดีในต้นไม้น้ัน หากจะถอดรหัสนัยน้ีในเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์และองค์การ ก็
อาจตีความได้วา่ “ตา” หมายถึงแงค่ ิด มุมมอง คุณลกั ษณะทดี่ ีของบุคลากรกล่มุ ทมี่ ีคุณภาพ
6. เอาก่ิงมาทาบกิ่ง. (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวทรงพระนิพนธเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษว่า
splicing (approach grafting) the branches.) การทาบก่ิง เปน็ วธิ กี ารขยายพันธทุ์ ใ่ี ห้ได้ต้นพันธดุ์ ี
ซงึ่ มีลกั ษณะทางสายพนั ธุเ์ หมือนต้นแม่วธิ หี นงึ่ โดยก่ิงพันธุด์ ีจะทาหน้าทเี่ ปน็ ลาต้นของต้นพืชใหม่ ส่วน
ต้นตอที่นามาทาบติดกับกิ่งของต้นพนั ธุด์ ีจะทาหน้าที่เปน็ ระบบราก เพ่ือหาอาหารให้กับต้นพันธุด์ ี หาก
จะถอดรหัสนัยนี้ในเชงิ การพัฒนาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองค์การ ผู้เขียนมีความเห็นว่าสามารถตีความได้
หลายประการ
> การระดมกลมุ่ คนดีคนเก่งให้มาทางานรว่ มกันในลกั ษณะ Talent Project Team หรอื
Talent Taskforce
> การพฒั นาบุคลากรกลมุ่ คนดีคนเก่งทมี่ ีคุณภาพให้เปน็ “วทิ ยากรต้นแบบ”
> การเอาความรู้ เทคนิค ประสบการณ์ของบุคลากรมาแลกเปลี่ยนเรยี นรแู้ บ่งปันรว่ มกัน
(Knowledge sharing)
140
7. ตอนกิ่งให้ออกราก. (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงพระนพิ นธเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษวา่
layering the branches.) การตอนก่ิงคือการทาให้ก่ิงหรอื ต้นพชื เกิดรากขณะทตี่ ิดอยู่กับต้นแม่ ทาให้
ได้ต้นพชื ใหม่ ทม่ี ีลักษณะทางสายพนั ธเุ์ หมอื นกับต้นแม่ทกุ ประการ เม่ือถอดรหัสนัยนี้ในเชงิ การพัฒนา
ทรพั ยากรมนษุ ย์และองค์การ ผู้เขยี นมีความเห็นวา่ สามารถตีความได้วา่ การ “ตอนกิ่งให้ออกราก” คือ
การทอ่ี งค์กรเสรมิ สรา้ ง “กล่มุ คนดีคนเก่ง” ทเี่ คย “ถูกบน่ั ทอนจนสูญเสียขวัญ เสียกาลงั ใจและความ
มั่นใจ” ให้กลับมามีพลงั มคี วามเขม้ แข็ง มีความมั่นใจทจ่ี ะกลับมาสรา้ งสรรค์ผลงานทด่ี ีได้อีกครงั้ หนง่ึ
8. รมควนั ต้นทไ่ี ม่มีผลให้ออกผล. (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ทรงพระนิพนธเ์ ปน็
ภาษาอังกฤษวา่ Smoking the fruitless tree, so that it bears fruit..) การรมควนั เปน็ ภมู ิปญั ญา
โบราณ ทกี่ ระทาในชว่ งทใี่ บมะม่วงสะสมอาหารไวเ้ ต็มทแี่ ล้ว การรมควันจะเรง่ ให้ใบแก่ของมะม่วงหลุด
รว่ งก่อนเวลาปรกติ ก่อนท่ีใบจะรว่ ง อาหารทสี่ ะสมทใ่ี บจะเคลอื่ นยา้ ยกลบั ไปสะสมทป่ี ลายยอด ทาให้มี
สภาพเหมาะสมแก่การผลติ าดอก นอกจากน้ียงั พบว่า ในควนั ไฟมีแก๊สเอทลิ นี (ethylene) ซงึ่ เปน็ สาร
ตัวการสาคัญทกี่ ระตุ้นให้มะม่วงออกดอกอีกด้วย ผู้เขยี นใครข่ อถอดรหัสนัยนี้ในเชิงการพัฒนา
ทรพั ยากรมนษุ ย์และองค์การวา่ หมายถึง “การบาบดั ฟ้ ืนฟูคนทมี่ ีแววมีศักยภาพได้ฉายแววหรอื เปลง่
ศักยภาพของตนข้นึ มาอีกครงั้ ”
9. ทา ‘ชวี าณูสงเคราะห์’ (พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ทรงพระนพิ นธเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษว่า
Culturing the cells in a container.) ชวี าณูสงเคราะห์ บ้างก็ว่าหมายถึงการนาเอาเซลล์ของ
เนื้อเยื่อออกมาเพาะใหม่ บา้ งก็วา่ คือการปลกู เน้ือเย่ือ บ้างก็หมายถึงการเพาะพันธใุ์ นหลอดแก้ว สรุป
โดยรวม น่าจะหมายถึงการการเพาะเซลลท์ จี่ ะได้มาซง่ึ พนั ธไุ์ ม้ใหม่ทม่ี ีความแกรง่ กล้าและให้ดอกออก
ผลได้ดีกว่าเดิม ผู้เขยี นใครข่ อถอดรหัสนัยน้ีในเชงิ การพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละองค์การว่าหมายถึง
การทอี่ งค์กรรเิ รม่ ิ โครงการบ่มเพาะสรา้ งสรรค์ค่านิยม วฒั นธรรมองค์การใหม่ อันเปน็ ค่านิยมวฒั นธรรม
ทเ่ี หมาะกับยุคสมัย และจะชว่ ยสรา้ งเสรมิ ความแข็งแกรง่ ให้กับองค์การอยา่ งย่งั ยืนในอนาคต
หลกั การฟ้ ืนฟูต้นมะม่วงด้วย 9 วธิ กี าร สะทอ้ นให้เห็นถึงหลักคิดแบบ “มนุษย์นิยม”
(Humanism) และ “มนษุ ยธรรมนิยม” (Humanitarianism) ทใ่ี ห้ความเอาใจใส่ดูแลบุคลากร
ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเปน็ กลุ่มคนทมี่ ีผลงานดีหรอื ยงั ไม่มีผลงานชดั เจนก็ตาม ด้วยหลักความคิด
พ้ืนฐานในแงบ่ วกทเ่ี ชอื่ วา่ คงไม่มีมนษุ ย์คนใดทอ่ี ยากเปน็ คนไม่เก่งไม่ดี มนุษยท์ กุ คนล้วนแลว้ แต่อยาก
เปน็ คนดีคนเก่ง และมนุษย์ทกุ คนย่อมสามารถพัฒนาฟ้ ืนฟูได้ องค์กรทด่ี ีจงึ ควรมีความมุ่งมั่นทชี่ ดั เจน
ในการเปดิ โอกาสและพัฒนาบุคลากรเพื่อดึงเอาความสามารถและความดีงามของบุคลากรออกมา
ผเู้ ขียน ผศ.ดร.สมบัติ กสุ ุมาวลี | คณะพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ นดิ ้า
141
1. ถอดบทเรยี นผา่ นส่ือแผน่ ดินไท ตอน “แผ่นดินวกิ ฤต”
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายใน /ภายนอก
วัตถุประสงค์ : 1) เพ่ือให้ผเู้ ขา้ อบรมได้ชมส่ือเพ่ือสรา้ งแรงบนั ดาลใจ
2) เพ่ือสรา้ งแรงบนั ดาลใจและตระหนักในการทาหลักกสิกรรมธรรมชาติ
เวลาสอน : 15.30 – 16.30 น. จานวน 1 ชวั่ โมง
รูปแบบการสอน : ชมสื่อสรา้ งแรงบนั ดาลใจ
ขอบเขตเนื้อหาวชิ าทส่ี อน : คลิปวดี ีทศั น์ แผ่นดินไท “แผ่นดินวกิ ฤติ”
ผลการเรยี นรขู้ องผู้เข้ารว่ มการอบรม :
เมื่อทนุ นิยมเติบโตอยา่ งไรข้ อบเขต ความโลภครอบงาโลกไปทกุ หัวระแหง มนุษย์ตักตวงเอา
ความรา่ รวยจากโลกเกินพอดี จงึ เกิดภาวะวกิ ฤติข้นึ ทัว่ แผ่นดินโลก รวมถึงแผ่นดินไทย ทปี่ ระสบภัย
พิบตั ิทเ่ี กิดข้นึ ส่งผลให้เกิดวกิ ฤติทางด้านสิ่งแวดล้อม วกิ ฤติด้านสังคม วกิ ฤติด้านเศรษฐกิจ และวกิ ฤติ
ด้านการเมือง หนทางใดทีจ่ ะแก้วกิ ฤติแผ่นดิน
ภัยพบิ ตั ิของธรรมชาติทเี่ กิดขน้ึ จากสภาพดิน ฟ้า อากาศ การทาการเกษตรขาดทนุ ขาดแคลน
น้า พน้ื ทแี่ ห้งแลง้ ไม่มีทที่ ากิน และภาวะขาดแคลนส่งผลให้แรงงานจากชนบท เดินทางสู่เมืองหลวงเพอ่ื
หางานทาแย่งชงิ การทางาน อาหารเพ่อื ความอยู่รอด แรงงานจากชนบทเปน็ เพยี งเปน็ แรงงานรบั จา้ ง
ทนุ มนุษย์ของนายจา้ ง แรงงานชนบทไรภ้ มู ิค้มุ กันของสังคม ขาดความม่ันคงในชวี ติ จนกลายเปน็ ภาวะ
ของความยากจนทแ่ี ทจ้ รงิ
วกิ ฤติด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้โรงงานขนาดใหญ่ ทม่ี ีแรงงานกว่า 4,000 คน ต้องปดิ โรงงาน
แรงงานกว่า 4,000 คน ต้องตกงาน แรงงานผู้หญงิ ทสี่ ูงอายุไมส่ ามารถไปหางานทาทอี่ ่ืนได้ แรงงาน
ไม่ได้รบั เงนิ ชดเชยรายได้ ขาดความม่ันคงในชวี ติ
หนทางทจ่ี ะแก้วกิ ฤติแผ่นดิน คือ ยดึ การดาเนินชวี ติ ตามแนวหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
แผ่นดินไท ตอนท่ี 2 ชะตากรรมเกษตรเชงิ เด่ียว (Rip From DVD)
หมายเหตุ ส่ือวดิ ีทศั น์ แผ่นดินไท มีท้ังหมด 5 ตอน สามารถเลือกใชต้ ามสถานการณ์และเหมาะสม ตาม ภูมิ
สังคม ของแต่ละพื้นที่......
142
2. ถอดบทเรยี น ประสบการณ์กับปราชญ์ชาวบา้ น “วถิ ีภูมปิ ญั ญาไทยกับการ
พ่ึงตนเอง”
วทิ ยากรผู้สอน : วทิ ยากรภายใน /ภายนอก
วัตถุประสงค์ : 1) เพอ่ื ให้ผูเ้ ข้าอบรมได้เรยี นรจู้ ากผู้ทป่ี ฏิบตั ิจรงิ จนเป็นทย่ี อมรบั
2) เพ่อื สรา้ งแรงบนั ดาลใจในการประยุกต์ศาสตรพ์ ระราชาสู่การปฏิบัติจนเปน็ ท่ียอมรบั
เวลาสอน : 15.30.00 – 16.30 น. จานวน 1 ชว่ั โมง
รูปแบบการสอน : การบรรยายสรา้ งแรงบันดาลใจ
ขอบเขตเนื้อหาวชิ าทส่ี อน :
นายเลีย่ ม บุตรจนั ทา หรอื พอ่ เล่ยี ม ถือเปน็ ผู้รดู้ ้านเกษตรทคี่ นทว่ั ไปรจู้ กั กันดีทสี่ ุดคนหนง่ึ พ้ืน
เพเปน็ คนชาวอีสาน จงั หวดั บุรรี มั ย์ อาชพี แต่เดิม ปลูกอ้อย และมันสาปะหลัง และทามานานต้ังแต่เด็ก
หรอื ต้ังแต่รนุ่ พ่อ-แม่ จนครอบครวั มีหน้ีสินพอกพูน เน่ืองจากเก็บเกี่ยวผลผลติ ได้เพียงปลี ะ 1 ครงั้
(เกษตรเชงิ เดี่ยว) แต่ค่าใชจ้ า่ ยมีอยู่ทกุ วัน จนทะเลาะกับสมาชกิ ในครอบครวั เนื่องจากปญั หาหน้ีสิน
สุดทา้ ยก็หาทางออกด้วยการกินเหลา้ เพราะความกลัดกลมุ้ จนติดเป็นนิสัย
จนเม่ือปี 2529 จากการทพี่ ่อเลีย่ มมีวถิ ีชวี ติ ไม่ต่างไปจากเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ทปี่ ลกู พืช
เชงิ เดี่ยวอยา่ งมันสาปะหลัง อ้อย ทกุ ปจี นต้องประสบปญั หาหน้ีสิน ค่าปุย๋ ค่ายา และหนี้เงนิ กู้ทพ่ี อกพนู
รวมถึงการติดเหล้า จงึ ได้ตัดสินใจขายทด่ี ินในจงั หวัดบุรรี มั ย์ เพอ่ื นาเงนิ ไปใชห้ น้ีทง้ั หมด เหลือเงนิ จาก
การใชห้ น้ีจานวน 1 แสนบาท จงึ อพยพถ่ินฐานพรอ้ มภรรยา และลกู อีก 1 คน มาอยูอ่ าเภอสนามชยั เขต
จงั หวัดฉะเชงิ เทรา และซอื้ ทดี่ ิน 1 แปลง จานวน 50 ไร่ พรอ้ มแผ้วถางปา่ จนเปน็ พ้ืนทโี่ ล่ง โดยประกาศ
จะไม่ปลกู มัน และอ้อย อีกต่อไป
แต่สุดทา้ ยค่ชู วี ติ ภรรยาก็ชกั ชวนปลูกข้าวโพดเพราะเห็นเกษตรกรรายอื่น ๆ ทาแล้วได้กาไรดี
จงึ นาเงนิ ทเ่ี หลอื มาลงทนุ แต่ก็ขายได้ปลี ะ 1 ครงั้ เหมือนเดิม จากนั้นก็นาเงนิ ทไ่ี ด้ไปใชจ้ า่ ยเพื่อให้ครบปี
สุดทา้ ยก็กลายเปน็ หนี้สินอีกเชน่ เดิม และปี 2536 ยอดหน้ีก็เพม่ิ จานวนมหาศาล สุดทา้ ยก็กินเหลา้
และเมาเหมือนเดิม
จากนั้นปี 2539 พ่อเล่ียม ได้ตัดสินใจออกเรยี นรเู้ ข้ารว่ มการฝกึ อบรมและศึกษาจากวทิ ยากร
หลายทา่ น มีการพดู ถึงชาวนา ชาวไรว่ ่าโง่ และได้อธบิ ายวา่ โงอ่ ยา่ งไร จงึ ได้เขา้ ใจ เพราะส่ิงทเี่ ขาวา่ โงน่ ั้น
คือตัวเรา นอกจากน้ียงั ได้พดู ถึงศาสตรพ์ ระราชา และปรชั ญาของพระเจา้ อยู่หัวรชั กาลที่ 9 ด้วยการ
พ่งึ พาตนเอง โดยวทิ ยากรเหล่าน้ัน ได้แนะนาให้เรม่ ิ จากทาบัญชคี รวั เรอื น และเม่ือส้ินปี มาดูจงึ รวู้ ่า
รายจา่ ยทจี่ า่ ยไป เราสามารถทาเองได้ สาคัญกว่าน้ัน เสียเงนิ ไปกับการซอื้ เหล้า และเลน่ การพนัน
ดังนั้นในปี 2540 จงึ ประกาศเปน็ วาระครอบครวั วา่ จะไม่ปลูกอะไร เพอ่ื นาไปขายอีกแลว้ แต่จะ
ปลูกส่ิงทเี่ รากิน ทงั้ ข้าว พืชผัก และผลไม้ต่าง ๆ รวมถึงได้ไปฟัง ดร.สุเมธ ตันติเวชกลุ เลขาธกิ าร มูลนิธิ
ชยั พฒั นา และพ่อใหญว่ บิ ูลย์ เข็มเฉลิม ปราชญ์ชาวบา้ นจงั หวัดฉะเชงิ เทรา พูดถึงเรอ่ ื งปา่ 3 อย่าง
ประโยชน์ 4 อยา่ ง ทส่ี รา้ งประโยชน์และคณุ ค่ามหาศาล
จงึ ได้เรม่ ิ ปลกู ปา่ ตั้งแต่ปี 2542 ท้ังไม้กินผล ไม้ยนื ต้น และไม้ใชส้ อยต่าง ๆ ผสมกับพชื ผัก
หลากหลายชนิด ปจั จุบันมีเน้ือทป่ี า่ ประมาณ 13 ไร่ มีทกุ อย่างทเ่ี ราอยากกิน ทาให้ไม่ต้องซอ้ื อะไร