ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 1 ค�ำน�ำ จุดเริ่มต้นในการเขียนหนังสือเล ่มนี้เริ่มจาก ผู้เขียนมีความสนใจในเรื่อง ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงได้เริ่มศึกษาค้นคว้าเอกสารต�ำราโบราณจากวัดในชุมชน บ้านเกิดคือวัดศาลาหม้อ รวมไปวัดในชุมชนใกล้เคียงของจังหวัดล�ำปาง พบต�ำราที่ เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์และโหราศาสตร์จ�ำนวนมาก อีกทั้งการบันทึกปฏิทินโบราณ หรือการระบุวันเดือนปีบนหน้าคัมภีร์ใบลานเป็นแบบโบราณ เมื่ออ่านแล้วไม่สามารถ ท�ำความเข้าใจได้จึงเป็นชนวนเหตุให้เริ่มต้นศึกษาในศาสตร์เหล่านี้เป็นต้นมา อนึ่งผู้เขียน พบว่าวิชาดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ที่ศึกษานั้นมิใช่เป็นการศึกษาเพื่อท�ำนายทายทัก แบบหมอดูทั่วไปที่ศึกษาดาราศาสตร์ในด้านการพยากรณ์ด้านเดียว ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ดาราศาสตร์ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คนล้านนาในด้านอื่นๆ อีกมาก วัตถุประสงค์ในการเขียนหนังเล่มนี้เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน ล้านนากับคติความเชื่อเรื่องดวงดาว ที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิต เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานความคิด ที่เกี่ยวกับศาสตร์เรื่องดวงดาว กับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร และมีบทบาทกับวิถีชีวิตคนล้านนาอย่างไร องค์ความรู้เรื่องดาราศาสตร์ล้านนา ที่จริง แล้วเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก แต่ละหัวข้อในหนังสือเล่มนี้จึงสามารถแตกประเด็น ไปสู่เรื่องอื่นๆ ได้อีก ดังเช่นศาสตร์เรื่องดวงดาวของกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับ คนล้านนา หรือเรื่องประเพณีและพิธีกรรมที่สะท้อนถึงฤดูกาล การสังเกตการณ์ทาง ธรรมชาติและอื่นๆ ผู้เขียนจึงเขียนเพื่อให้เห็นภาพรวมในเบื้องต้นเพื่อเป็นพื้นฐาน ความรู้ความเข้าในที่เกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์ล้านนา บางหัวข้อไม่สามารถลงรายละเอียด ไปได้เนื่องจากจะท�ำให้เกิดความสับสนส�ำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านดาราศาสตร์โบราณ เนื้อหาบางส่วนเป็นเนื้อหาที่ผู้เขียนปริวรรตมาจากต้นฉบับอักษรล้านนา โดยเน้นให้ ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ตามรูปแบบส�ำนวนจากเดิม ผู้เขียนหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะยัง ประโยชน์และเป็นความรู้เบื้องต้นส�ำหรับผู้สนใจศึกษาเรื่องดวงดาวในมิติอื่นๆ ต่อไป ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
2 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หนังสือเล ่มนี้จะส�ำเร็จลุล ่วงได้ก็เนื่องจากการอุปถัมภ์ช ่วยเหลือจาก กัลยาณมิตรหลายฝ่าย ผู้เขียนขอขอบพระคุณ พระน้อย นรุตตโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดปงสนุกเหนือ ที่ให้ความอนุเคราะห์ต้นฉบับพับสาของวัด และการอ่านตรวจทาน ต้นฉบับ พร้อมทั้งอ�ำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพอาคารและโบราณ วัตถุของวัด ขอขอบพระคุณท่านพระครูนิมิตรวรธรรม เจ้าอาวาสวัดศาลาหลวง พระครูวิสิฐพัฒนวิมล เจ้าอาวาสวัดศาลาหม้อ และ พระอธิการอนุวัฒน์ สิริภัทโท เจ้าอาวาสวัดชมพูหลวง พระกฤษฏา ขันติโก วัดปงสนุกเหนือ ในการอนุเคราะห์ต้นฉบับพับสาและคัมภีร์ ใบลานที่ใช้ประกอบการเขียน ขอขอบคุณท ่านพระครูอดุลย์สีลกิตติ์ เจ้าอาวาส วัดธาตุค�ำ ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้การค�ำนวณปฏิทินล้านนาและสรรพสาระให้แก่ผู้เขียน ด้วยความเมตตา ขอขอบคุณท่านอาจารย์มาลาค�ำจันทร์ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ผู้ ให้ค�ำชี้แนะเกี่ยวกับการเขียนหนังสือเล่มนี้และเอื้อเฟื้อข้อมูลในการเขียน ขอขอบคุณ ส�ำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏล�ำปางที่ให้ โอกาสในการจัดพิมพ์เพื่อสืบทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษคนล้านนา สืบไป ขอขอบคุณ อ.ฐาปกรณ์เครือระยาคุณวีรศักดิ์ของเดิม อ.ดร.ชาญคณิต อาวรณ์ ครูศรัณ สุวรรณโชติคุณเมธาพร สิงหนันท์ คุณมยุรี ทรายแก้ว คุณพิมพร เหรียญ ประยูร คุณพงศกร นาสาร คุณน้องนุช ไชยจิตร และรุ่นพี่รุ่นน้องทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือ ในการจัดท�ำหนังสือเล่มนี้ให้ส�ำเร็จลุล่วงด้วยดี สุดท้ายนี้ขอยกคุณงามความดีของหนังสือเล ่มนี้แก ่ คุณพ ่อบุญหลาย คุณแม่กาบแก้ว ท�ำทอง และครูบาอาจารย์ของผู้เขียนทุกท่าน ขอขอบพระคุณ ท่าน คณาจารย์คณะวิจิตรศิลป์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการความรู้ ด้านศิลปะและวัฒนธรรม เปิดโลกทัศน์ให้ผู้เขียนได้เข้าใจในบริบทด้านศิลปะและ วัฒนธรรมอันลึกซึ้งและงดงามมาจนถึงปัจจุบัน ธวัชชัย ท�ำทอง พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 3 บทน�ำ ในสังคมบรรพกาล คนสมัยโบราณได้อาศัยหลักการสังเกตท้องฟ้าและดวงดาว เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการด�ำรงชีวิต เริ่มจากการก�ำหนดฤดูกาล เพื่อประโยชน์ต่อ การเกษตรน�ำมาซึ่งอาหาร อันเป็นปัจจัยที่ส�ำคัญต่อการด�ำรงชีวิต รวมถึงการสังเกต ท้องฟ้าและดวงดาวเพื่อการก�ำหนดระยะเวลาในแต่ละวันจนได้พัฒนามาเป็นระบบ วันเดือนปีที่ใช้กันในชุมชนระดับเล็กไปจนถึงระดับบ้าน หรือเมือง จนกลายเป็นที่ ยอมรับ หรือเป็นมติของสังคมที่ใช้ศาสตร์เดียวกัน จนกระทั่งมีการบันทึกเป็นระบบ ปฏิทินที่ใช้กันทั่วโลกการสังเกตและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าและดวงดาว กับสภาวะธรรมชาติต่างๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเพื่อ การอยู่รอด อันเป็นเหตุให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการจนเกิดการสร้างบ้าน เรือนที่อยู่อาศัย เพื่อหลบลี้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติคือแดด ลมฝน อากาศหนาว เย็นเป็นเบื้องต้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสภาวะบนโลกเช่น ปรากฏการณ์น�้ำขึ้น น�้ำลงของทะเล แผ่นดินไหว ลูกเห็บตก ลมพายุฯ ปรากฏการณ์เหล่านี้ย่อมส่งผลให้ มนุษย์เกิดการเรียนรู้จากธรรมชาติ รู้จักการสังเกตการณ์เพื่อเอาชีวิตรอดและปรับ ตัวให้เข้ากับสภาวะทางธรรมชาติในสถานการณ์ต่างๆ และสืบทอดองค์ความรู้เหล่านั้น ต่อกันมาเป็นมุขปาฐะบอกเล่าสืบทอดต่อกันมา การเรียนรู้ท้องฟ้าหรือดาราศาสตร์ของมนุษย์ในยุคบรรพกาลนั้น ก่อให้ เกิดความเชื่อและพิธีกรรมที่แฝงมากับความกลัวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากการ เปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบนโลก อันเชื่อว่าผีหรือเทพเจ้าเป็นผู้ดลบันดาล จึงมีการ ก�ำหนดสมมุติเทพเจ้าต่างๆเป็นผู้ดูแลรักษาธรรมชาตินั้นๆเช่น เจ้าป่าเจ้าเขาผีขุนน�้ำ แม่ธรณีแม่คงคา ผีแถน ฯลฯ เมื่อเกิดความความเปลี่ยนธรรมชาติหรือภัยพิบัติจึง เชื่อว่าเกิดจากเทพเจ้าหรือผีเป็นผู้กระท�ำ จึงต้องมีการร้องขออ้อนวอนบูชาเซ่นไหว้ และพัฒนาจนกลายเป็นแบบแผนที่ชัดเจนขึ้นเรียกว่า พิธีกรรม และปฏิบัติสืบทอด ต่อกันมาจนกลายเป็น ประเพณี ในยุคปัจจุบันพิธีที่กล่าวถึงบางส่วนยังคงอยู่ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
4 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา บางส่วนได้ถูกผนวกเข้ากับความเชื่อทางศาสนา บางส่วนได้สูญหายไปแล้วหลังจาก ที่มนุษย์ได้มีการเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติจากโลกวิทยาศาสตร์ที่มีการตรวจพิสูจน์ ด้วยเหตุและผล เมื่อหลักการและเหตุผลได้เข้ามาบดบังวิถีแห่งความเชื่อดั้งเดิมการ ศึกษาท้องฟ้าและดาราศาสตร์จึงเกิดขึ้นอย่างจริงจัง มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ อักษรขึ้นเป็นต�ำรามากมาย ในล้านนาพบว่ามีการบันทึกเรื่องราวดาราศาสตร์ไว้เป็นจ�ำนวนมาก ส่วนใหญ่ เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนา เป็นการเขียนอธิบายล�ำดับขั้นตอนการก�ำเนิดโลก หรือจักรวาล โดยเนื้อหาของวรรณกรรมต่างๆ เหล่านี้มักจะกล่าวอ้างถึงองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงธรรมเทศนาให้แก่พระอรหันต์สาวก โดยอุปมาว ่า พระพุทธองค์เป็นผู้เล ่าหรือผู้แสดงธรรมเหล ่านั้น คือเรื่องราวดาราศาสตร์และ สอดแทรกเนื้อหาของพระธรรมค�ำสั่งสอนลงไปในเนื้อหาของวรรณกรรมเสมอ ดังเช่น คัมภีร์จักรวาลทีปนี ปฐมมูลโลก ปฐมมูลมูลีอรุณวดีสูตร ไตรภูมิเป็นต้น โดยความ เป็นจริงแล้วศาสตร์ในเรื่องท้องฟ้าและดวงดาวที่ปรากฏในวรรณกรรมนั้นส่วนใหญ่ ล้วนมาจากนิทานมุขปาฐะพื้นบ้านเกือบทั้งสิ้น บางส่วนได้รับการเรียนรู้ถ่ายทอด จากกลุ่มที่พัฒนาการทางวัฒนธรรมที่เจริญกว่า โดยเฉพาะกลุ่มอารยะธรรมจาก จีนและอินเดีย แล้วน�ำมาผสมผสานแต่งขึ้นใหม่และสืบทอดต่อกันมา นอกจากนี้ยังมี ต�ำราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดาราศาสตร์อีกเป็นจ�ำนวนมาก อาทิคัมภีร์สุริยยาตรา จุฬามณีสาร หนังสือการค�ำนวณปั๊กขะตืนหรือต�ำราการค�ำนวณปฏิทินโบราณ ต�ำราโหราศาสตร์ ต�ำรายา ต�ำราช่าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความส�ำคัญของ ดาราศาสตร์ที่มีอิทธิพลต ่อวิถีชีวิตคนล้านนาในอดีต แต่ทว่าปัจจุบันถูกคลี่คลาย และปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปเป็นต�ำราอื่นๆ กลับกลายเป็นว่าวิชาดาราศาสตร์คือวิชา โหราศาสตร์ที่ใช้เพื่อการท�ำนายทายทักตัวบุคคล ดูฤกษ์ยามเท่านั้น จากโหราจารย์ ผู้ศึกษาค�ำนวณการโคจรของดวงดาวเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองหรือสังคมกลับ กลายเป็นว่าผู้ศึกษาโหราศาสตร์คือหมอดูผู้ที่ไม่นิยมหรือไม่เชื่อก็กลับมองว่าศาสตร์ เหล่านี้เป็นเรื่องงมงายไปอีก จึงท�ำให้มีผู้ศึกษาน้อยลง และท�ำให้เนื้อหาที่เป็นแก่น แท้ของดาราศาสตร์เลือนหายไป ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 5 องค์ความรู้ในเรื่องดาราศาสตร์ถือว ่าเป็นเรื่องส�ำคัญที่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนล้านนาเป็นอย่างมาก จากการศึกษาพบว่า วิชาดาราศาสตร์ นั้นมีความส�ำคัญในหลายด้าน ดังเช่นการสร้างระบบปฏิทินขึ้นมาจากการสังเกต ดวงดาวท�ำให้ทราบถึงระยะเวลาที่แน ่นอนของวันเดือนปีต ่างๆ และการค�ำนวณ ระยะเวลาในอนาคต หรือทราบถึงสภาวะอากาศ ฤดูกาล ซึ่งสามารถที่จะคาดคะเน ล่วงหน้า โดยใช้หลักสถิติหรือการคิดค�ำนวณ จนเป็นศาสตร์ที่ได้รับการเชื่อถือและ สืบทอดกันเรื่อยมา เรียกว่า วิชาดาราศาสตร์ ต่อมาภายหลังยังพบว่าการเคลื่อนที่ ของดวงดาวต่างๆ นั้นล้วนมีอิทธิพลและความสัมพันธ์ต่อสภาวะธรรมชาติบนโลก โดยเฉพาะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ซึ่งอาศัยหลักการตีความจากดวงดาว แต่ละกลุ่ม หรือแต่ละดวงที่มีความสัมพันธ์ต่อกันในช่วงระยะเวลาที่ต่างกัน เรียก ว ่าการผสมดาวแล้วตีความหมายจึงที่มาของศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่เรียกว ่า โหราศาสตร์ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือเนื้อหาเรื่องราวเดียวกัน แต่ใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต่าง กันนั่นเอง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
6 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา วันเวลาและฤดูกาล ในสมัยโบราณมนุษย์เชื่อกันว่า โลก คือศูนย์กลางจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์และกลุ่มดวงดาวต่างๆ คือ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์เป็นบริวาร โดย ดวงดาวทั้งหมดจะโคจรรอบโลกเป็นรูปวงกลมตามวิถีของพระอาทิตย์เรียกว ่า “จักรราศี” โดยใน จักราศีนั้นจะแบ่งออกเป็น ๑๒ ส่วนเท่าๆกัน เรียกว่า ๑๒ ราศี จากการสังเกตการณ์บนโลกพบว่าดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้านั้นสามารถแบ่งออกได้ เป็นสองกลุ่มคือกลุ่มดาวที่ไม่เคลื่อนที่เรียกว่ากลุ่มดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวที่เคลื่อนที่ โคจรไม่หยุดนิ่งเรียกว่ากลุ่มดาวเคราะห์ ตามวิถีแห่งดาวเคราะห์ต่างๆ นั้น จะเป็น กลุ่มดาวที่เคลื่อนที่โคจรไปผ่านกลุ่มดาวฤกษ์เสมอ โดยดาวเคราะห์แต่ละดวงจะมี ระยะเวลาในการเคลื่อนที่ไม่เท่ากัน จุดเริ่มต้นของการนับวันเวลานั้น มนุษย์ใช้วิธีการสังเกตดูจากพระอาทิตย์เป็น หลัก พบว่าการโคจรของพระอาทิตย์นั้นจะสถิตหรือเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ ในจักรราศีใช้ระยะเวลาเฉลี่ย ๒๘ - ๓๑ วัน ต่อ ๑ ราศีและวนเวียนกลับมาที่ราศีเดิม หรือพระอาทิตย์วนโคจรรอบจักราศีทั้ง ๑๒ ราศีจะใช้ระยะเวลา ๓๖๕ วัน หรือ ๑ ปี พอดีโดยแบ่งเป็นราศีละ ๓๐ องศา รวม ๑๒ ราศีคือเท่ากับการโคจรเป็นวงกลม ๓๖๐ องศา จากการเฝ้าสังเกตพระอาทิตย์นี้จึงเป็นที่มาของระบบปฏิทินสุริยคติที่ ใช้กันในปัจจุบัน ราศีแต่ละราศีนี้จะมีชื่อต่างกันโดยเริ่มที่ ราศีเมษ พฤษภ เมถุน กรกฏ สิงห์กันย์ตุลย์พิจิก ธนูมังกร กุมภ์และมีน ชื่อของราศีทั้งหมดนี้ คือที่มา ของชื่อเดือนทั้ง ๑๒ เดือนในปัจจุบัน หากมองแบบโลกปัจจุบัน ค�ำว่า วัน มาจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองครบ ๑ รอบโดยการหันเข้าหาแสงพระอาทิตย์เฉลี่ย ๑๒ ชั่วโมงและหันหลังให้พระอาทิตย์ ๑๒ ชั่วโมงรวมเป็น ๒๔ ชั่วโมงคือ ๑ วันพอดีส่วนค�ำว่า เดือน ตามปฏิทินสุริยคติ มากจากการที่พระอาทิตย์โคจรผ่านราศีต่างๆจะใช้เวลา ๒๘ - ๓๑ วันแล้วจึงย้าย ข้ามราศีทุกๆกลางเดือน ราววันที่ ๑๔ ๑๕ หรือ ๑๖ ของทุกเดือน และสุดท้ายค�ำว่า ปี มีที่มาจากการที่พระอาทิตย์วนโคจรรอบจักราศีทั้ง ๑๒ ราศีจะใช้ระยะเวลา ๓๖๕ วัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 7 หรือ ๑ ปีพอดีโดยเริ่มนับที่ราศีเมษเป็นราศีเริ่มต้น ดังนั้น ราศีมีนจึงเป็นราศีสุดท้าย รอยต่อของทั้งสองราศีนี้เมื่อเทียบกับปฏิทินปัจจุบันจะอยู่ในราวกลางเดือนเมษายน กล่าวคือ วันสุดท้ายที่พระอาทิตย์อยู่ในราศีมีน จะประมาณวันที่ ๑๓ หรือ ๑๔ ของ เดือนเมษายน ส่วนวันแรกที่พระอาทิตย์เข้ามาอยู่ในราศีเมษจะประมาณวันที่ ๑๕ หรือ ๑๖ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของวันปีใหม่สงกรานต์คือว่าสุดท้ายที่พระอาทิตย์อยู่ ในราศีมีน จะเรียกว่าวันสังขารล่อง เมื่อพระอาทิตย์คาบเส้นราศีจะเรียกว่า วันเน่า หรือวันเนาว์ และวันที่พระอาทิตย์เข้ามาอยู่ในราศีเมษวันแรกจึงเรียกว่าวัน พญาวัน หรือวันเถลิงศกนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีวันเวลาอีกระบบหนึ่งเรียกว่า ระบบปฏิทินจันทรคติ ที่เกิด จากการสังเกตพระจันทร์ที่หมุนโคจรรอบโลกซึ่งง ่ายกว ่าการดูพระอาทิตย์มาก เนื่องจากสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าคนที่ศึกษาเรื่องพระอาทิตย์กับพระจันทร์จน แตกฉานจะสังเกตเพียงพระจันทร์เท่านั้น ก็จะรู้ได้ถึงต�ำแหน่งพระอาทิตย์ในจักรราศี ได้อย่างลงตัว โดยปกติพระจันทร์จะโคจรรอบโลก ๑ รอบเป็นเวลาเฉลี่ย ๒๙-๓๐ วัน โดยแบ่งเป็นข้างขึ้น ๑๕ วันและข้างแรม ๑๔-๑๕ วัน รวมเป็น ๓๐ วันจึงเป็นที่มา ของค�ำว่า “เดือน” ซึ่งหมายถึงพระจันทร์และเมื่อพระจันทร์เพ็ญหรือพระจันทร์ เต็มดวงตามราศีต่างๆจนครบ ๑๒ ราศีจะหมายถึง ๑ ปีของปฏิทินจันทรคตินั่นเอง โดยปกตินั้นปฏิทินจันทรคติจะก�ำหนดนับปรากฏการณ์ของดวงจันทร์ที่ โคจรบนท้องฟ้าในรอบหนึ่งเดือนและรอบหนึ่งปี คือนับระยะที่พระจันทร์เป็นกึ่งเพ็ญ กึ่งดับ และระยะที่พระจันทร์เพ็ญ พระจันทร์ดับ ในรอบเดือนหนึ่ง รวม ๔ ครั้ง ดังนี้ ๑. พระจันทร์กึ่งเพ็ญ หมายถึง วันเดือนออก หรือวันขึ้น ๘ ค�่ำของทุกๆ เดือนภาษาล้านนามักจะเรียกสั้นๆว่า ออก ๘ ค�่ำ กล่าวคือ ในวันนั้นขณะที่ดวงอาทิตย์ ตกดิน พระจันทร์อยู่บนท้องฟ้าตรงศีรษะ และมีครึ่งซีก พอถึงเวลาเที่ยงคืนจึงลับ จากขอบฟ้าไป ระยะนี้เรียกว่า พระจันทร์กึ่งเพ็ญ ๒. พระจันทร์เพ็ญ หมายถึง วันขึ้น ๑๕ ค�่ำของทุกเดือนภาษาล้านนา เรียกว่า เดือนเป็ง กล่าวคือ ขณะที่ดวงอาทิตย์ตกดินด้านทิศตะวันตก พระจันทร์จะ เริ่มโผล่จากขอบฟ้าตะวันออก พอถึงเวลาเที่ยงคืน พระจันทร์จะตั้งอยู่ตรงศีรษะเช่น เดียวกันกับตอนพระอาทิตย์เที่ยงวัน พอถึงเวลา ๖ โมงเช้าของวันแรม ๑ ค�่ำ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
8 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา พระจันทร์จะลับจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกพร้อมกับพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก สรุปความว่า ในวันนั้นเราจะมองเห็นพระจันทร์ได้ทั้งคืน นับตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน จนถึงพระอาทิตย์ขึ้น ระยะนี้เรียกว่า วันพระจันทร์เพ็ญ หรือ จันทร์เป็ง ๓. พระจันทร์กึ่งดับ หมายถึงวันแรม ๘ ค�่ำ ของทุกเดือน ภาษาล้านนา เรียกว่าวันเดือนแรม หรือออกเสียงว่า แฮม เช่น แฮม ๘ ค�่ำเป็นต้น กล่าวคือ ระยะ เวลาหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว จนถึงเวลาเที่ยงคืน พระจันทร์จึงจะเริ่มโผล่ขึ้น จากขอบฟ้าทิศตะวันออก และเมื่อถึงวันแรม ๙ ค�่ำ ๖ โมงเช้า พระจันทร์ตั้งอยู่บน ศีรษะดุจยามอาทิตย์เที่ยงวัน ๔. พระจันทร์ดับ หมายถึงวันแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค�่ำมักจะเรียกสั้นๆ ว่า เดือนดับ กล่าวคือนับตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินถึงพระอาทิตย์ขึ้นในคืนวันนั้นเราจะ มองไม่เห็นพระจันทร์ดังนี้จึงเรียกว่า พระจันทร์ดับ การนับปฏิทินจันทรคติในรอบเดือนหมายถึง การนับที่เริ่มนับตั้งแต่วันเพ็ญ ถึงวันเพ็ญ คือนับวันเพ็ญในวันนี้จนถึง วันเพ็ญครั้งใหม่ได้จ�ำนวนกี่วัน จ�ำนวนวันที่ นับได้นั้นเป็นการก�ำหนดวันในรอบเดือน ในเดือนหนึ่งๆ ถ้านับตั้งแต่วันเพ็ญมาหา วันเพ็ญ หรือนับตั้งแต่วันดับมาหาวันดับ จะมี ๒๙ วันบ้าง ๓๐ วันบ้างโดยล้านนา ก�ำหนดให้เดือนทางจันทรคติที่เป็นเดือนคู่ดับเต็ม คือมี๓๐ วัน ส่วนเดือนที่เป็นเลข คี่จะมี๒๙ วันหรือเดือนดับในวันแรม ๑๔ ค�่ำ จะเรียกว่า ดับหน หรือ เดือนขาด ดังนั้นจึงก�ำหนดวันในรอบเดือนตามปฏิทินจันทร์คติว่า เดือน เกี๋ยง มี ๒๙ วัน (เดือนเจี๋ยง หรือเดือนอ้าย) เดือน ยี่ มี ๓๐ วัน เดือน ๓ มี ๒๙ วัน เดือน ๔ มี ๓๐ วัน เดือน ๕ มี ๒๙ วัน เดือน ๖ มี ๓๐ วัน เดือน ๗ มี ๒๙ วัน เดือน ๘ มี ๓๐ วัน เดือน ๙ มี ๒๙ วัน (ปีอธิกวาร มี ๓๐ วัน) ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 9 เดือน ๑๐ มี ๓๐ วัน (ปีอธิกมาส มี๖๐ วัน หรือเดือน ๑๐ สองหน) เดือน ๑๑ มี ๒๙ วัน เดือน ๑๒ มี ๓๐ วัน เมื่อรวมหนึ่งปีตามปฏิทินจันทรคติจะมีวันรวมทั้งหมด ๓๕๔ วัน ถ้าปีใดมี อธิกวารมี๓๕๕ วัน ถ้าปีใดมีอธิกมาสมี ๓๘๔ วัน หากปีนั้นมีทั้งอธิกวารและ อธิกมาสมี ๓๘๕ วัน สมัยโบราณชาวบ้านโดยทั่วไปจะนิยมนับวันเวลาตามปฏิทิน แบบจันทรคติมากกว่า ส่วนปฏิทินสุริยคตินั้นนิยมใช้กันแต่ในหมู่นักโหราศาสตร์ โหรหลวง พระสงฆ์เป็นต้น โดยปกติแล้วปฏิทินสุริยคติก�ำหนดให้๑ ปีมี ๓๖๕.๒๕ วันแต่โหราจารย์ ได้ตัดเศษออกให้เหลือ ๓๖๕ วันพอดีเรียกปีนั้นว่า ปกติสุรทิน ส่วนคำ�ว่าปีอธิกสุรทิน๑ หมายถึงปีที่มีระยะเวลา ๓๖๖ วันซึ่งจะเกิดขึ้นในทุกๆ ๔ ปี เนื่องจากการน�ำเศษ ของวันที่เหลือจาก ๓๖๕ วันมาใช้โดยในระยะเวลา ๔ ปีเศษที่เหลือ ๐.๒๕ วันดัง กล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น ๑ วัน โดยได้น�ำเอาวันดังกล่าวมาเพิ่มเติมในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่ง เดิมจากปกติมี๒๘ วันกลายเป็น ๒๙ วันนั่นเอง ภาพลักษณะการโคจรของพระจันทร์ที่สัมพันธ์กับแสงอาทิตย์ ท�ำให้เกิดมุมมองบนโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปตามองศาการหักเหของแสง จึงเป็นที่มาของวันข้างขึ้นข้างแรม และวันเดือนเพ็ญเดือนดับ ๑ ค�ำว่าอธิก(อ่านว่าอะธิกะ) หมายถึงส่วนเกิน เช่นค�ำว่าอธิกมาส หมายถึงเดือนที่เกิน อธิกวาร หมายถึงวันที่ เกินเป็นต้น ส่วนค�ำว่าอธิกสุรทิน หมายถึงวันที่เกินในปฏิทินระบบสุริยคติ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
10 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ส่วนปฏิทินจันทรคตินั้นปกติ๑ ปีจะมีระยะเวลา ๓๕๔ วัน น้อยกว่าปฏิทิน สุริยคติถึง ๑๑.๒๕ วัน จ�ำนวนที่น้อยกว่า ๑๑.๒๕ วันดังกล่าวจะมีผลต่อระบบ ปฏิทินทั้งสองระบบซึ่งต้องใช้ควบคู่กัน กล่าวอธิบายคือเมื่อระยะเวลาผ่านไป ๓ ปี ช่วงความห่างของจ�ำนวนวันระหว่างปฏิทินทั้งสองระบบ ก็จะมากขึ้นถึง ๓๓.๗๕ วัน หรือมากกว่า ๑ เดือนเลยทีเดียว จ�ำนวนวันที่น้อยกว่าปฏิทินสุริยคติจนมากกว่า ๑ เดือนนี้โหราจารย์จึงบัญญัติให้เพิ่มเดือนขึ้นอีก ๑ เดือน เรียกว่าเดือนอธิกมาส จึง เป็นที่มาของการมีเดือน ๑๐ สองหนในล้านนา หรือ เดือน ๘ สองหนตามแบบภาค กลาง คือการเพิ่มเดือนจากปีปกติของปฏิทินจันทรคติที่มีอยู่ ๑๒ เดือนให้เป็น ๑๓ เดือน เมื่อเพิ่มเดือนแล้วยังปรากฏวันที่เป็นส่วนต่างอีก ๓ - ๔ วัน ก็มักจะน�ำมาเฉลี่ย ใช้เป็น วันอธิกวาร หรือไปเฉลี่ยกับเศษวันของปฏิทินจันทร์คติในปีต่อไป ดังนั้น การเพิ่มเดือนอธิกมาสจึงไม่มีความแน่นอนแต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ ๒ – ๓ ปีต่อครั้ง ส่วนปีใดต้องเพิ่มอธิกมาสนั้นจะมีวิธีการสังเกตได้ที่ช่วงปีใหม่สงกรานต์ โดยดูจากวันพญาวัน โดยก�ำหนดตั้งกฎไว้ว่า วันพญาวันนั้นต้องไม่เกินเดือน ๗ ขึ้น ๑ ค�่ำถึงแรมสามค�่ำ หรือเรียกว่าช่วงดิถี๒ วัน ๑ - ๑๘ ในปีนั้นไม่มีอธิกมาส คือมีเดือน ๑๐ หนเดียว แต่ถ้าหากวันพญาวันเป็นวันแรม ๔ ค�่ำ จนถึง แรม ๑๔ ค�่ำเดือน ๗ หรือตั้งแต่ดิถี๑๙ - ๒๙ ในปีนั้นต้องมีอธิกมาส คือมีเดือน ๑๐ สองหน ส�ำหรับการดูปฏิทินในระบบปัจจุบันว ่าเป็นปีที่มีอธิกวาร ให้สังเกตดูว ่า เดือน ๙ ในปีใดเป็นเดือนดับหนคือเดือนดับวันแรม ๑๔ ค�่ำ ปีนั้นไม่มีอธิกวาร โดย จะเรียกว่า ปกติวาร เดือน ๙ ปีใดที่เดือนดับในวันแรม ๑๕ ค�่ำ ปีนั้นเรียกว่าอธิกวาร คือเพิ่มเดือน ๙ ให้เป็นเดือนเต็ม เพื่อท�ำวันขึ้นแรมให้ตรงกับวันกึ่งเพ็ญ วันเพ็ญ วันกึ่งดับ และวันดับอยู่เสมอ ความส�ำคัญของปฏิทินทั้งสองระบบนี้นอกจะใช้ในการสังเกตรู้วันเดือนปี เพื่อก�ำหนดกาลเวลาแล้วยังเป็นตัวก�ำหนดช่วงฤดูกาลอีกด้วย ในประเทศไทยกำ�หนด ฤดูกาลออกเป็น ๓ ฤดูคือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว การก�ำหนดวันเริ่มต้นและวัน สิ้นสุดของแต่ละฤดูกาลโหราจารย์ได้ก�ำหนดไว้ดังนี้ ๒ ดิถีในที่นี้หมายถึง การนับวันทางจันทรคติโดยการนับวันข้างขึ้นข้างแรมในแต่ละรอบเดือน เช่นขึ้น ๑ คำ�่ เรียกดิถี๑ แรม ๑ คำ�่ เรียกว่าดิถี๑๖ หากเดือนใดที่พระจันทร์ดับเต็มหรือเดือนคู่ก็จะมีดิถี๓๐ เดือนใดที่ เดือนขาดหรือดับหน จะมีดิถี๒๙ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 11 ๑ คิมหันต์ฤดู(ฤดูร้อน) เริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑ ค�่ำ เดือน ๗ ถึงวัน แรม ๑๕ ค�่ำเดือน ๑๐ หรือช่วงราวเดือน เมษายนถึงเดือนกรกฎาคม ๒ วัสสานะฤดู๓ (ฤดูฝน) เริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑ ค�่ำ เดือน ๑๑ ถึงวัน แรม ๑๕ ค�่ำเดือน ยี่ หรือช่วงเดือนสิงหาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน ๓ เหมันต์ฤดู(ฤดูหนาว) เริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑ ค�่ำ เดือน ๓ ถึงวัน แรม ๑๕ ค�่ำ เดือน ๖ ช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือนมีนาคม นอกจากนี้ผู้เขียนได้พบบันทึกการระบุวันเดือนตามปฏิทินจันทร์คติส�ำนวน หนึ่งที่กล่าวไว้ว่า วันแรมค�่ำนึ่ง เดือนกัตติกามาถึงเดือนมิคคะสิระเป็งเป็นเดือนนึ่ง เดือนมิคคะสีระแรมค�่ำนึ่งถึงปุสยะเป็งเป็นสองเดือน เดือนปุสยะแรมค�่ำนึ่งมาถึง เดือนมาฆะเป็งเป็นสามเดือน เดือนมาฆะแรมค�่ำนึ่งมาถึงเดือนผละคุณณะเป็งเป็น ๔ เดือนระดูหนาวแล เดือนผละคุณณะแรมค�่ำมาถึงเดือนวิสาขะเป็งเป็นสองเดือน เดือนวิสาขะแรมค�่ำนึ่งมาถึงเดือนเชษฐะเป็งเป็นสามเดือน เดือนเชษฐะแรมค�่ำมาถึง เดือนอาสาฬหะเป็ง เป็น ๔ เดือนระดูร้อน อาสาฬหะแรมค�่ำนึ่งมาถึงเดือนสราวัณณะเป็ง เป็นเดือนนึ่ง เดือนสราวัณณะแรมค�่ำมาถึงเดือนโปฐะบทเป็งเป็นสองเดือน เดือนโปฐะ บทแรมค�่ำนึ่งมาถึงเดือนอัสสะยุชชะเป็งเป็นสามเดือน เดือนอัสสะยุชชะแรมค�่ำนึ่ง มาถึงกิตติกาเป็งเป็น ๔ เดือนระดูฝนแลเดือนดังกล่าวนี้เป็นเดือนตามจันทรคติที่นับ ตามพระจันทร์ที่จะเต็มดวงในต�ำแหน่งดาวฤกษ์ราศีละ ๑ ครั้งเมื่อเพ็ญครบ ๑๒ ครั้ง จึงเป็น ๑ ปีพอดี การก�ำหนดฤดูกาลต ่างๆ เหล่านี้หมายความว ่าในแต ่ละเดือนจะค ่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากจุดเริ่มต้นฤดูไปสู่กลางฤดูและปลายฤดู ยกตัวอย่างเช่น เดือน ๙ นั้นถือเป็นช่วงกลางฤดูร้อน อากาศจะร้อนจัดแทบทั้งเดือนและจะค่อยๆ ลดลงไป เป็นลำ�ดับจนถึงเดือน ๑๑ ฝนจะตกชุกที่สุดซึ่งเป็นกลางฤดูฝน และค่อยๆเบาบางลง ไปจนถึงเดือน ๓ จะเริ่มหนาวจัดและค่อยๆ อบอุ่นจนถึงเดือน ๗ จึงจะเริ่มร้อนจัด เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงฤดูกาลต่างๆ ดังกล่าวมานี้โดยความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้น จากอิทธิพลของพระอาทิตย์ แต่ทว่าเรานิยมใช้ ปฏิทินจันทรคติจนเคยชินจึงเอา ปฏิทินจันทรคติมาเป็นตัวก�ำหนดฤดูกาลต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ปัจจุบันชาวตะวันตก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
12 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ส่วนใหญ่จะก�ำหนดฤดูกาลด้วยดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น กล่าวคือวันที่ ๒๑ มีนาคม ของทุกปี ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ วันที่ ๒๑ มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นฤดูร้อน วันที่ ๒๒ กันยายน ของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง และวันที่ ๒๒ ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาว หากก�ำหนดฤดูกาลในประเทศไทยซึ่งมีเพียง ๓ ฤดูด้วยการหมายเอาดวง อาทิตย์แบบชาวตะวันตกก็สามารถท�ำได้เช่นกัน กล่าวคือ หมายเอาระยะที่ดวง อาทิตย์โคจรเข้าสู่อัสสวิณี-ทลิทโทฤกษ์ คือระยะที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษ หรือ ประมาณวันที่ ๑๓ - ๑๔ เมษายนเป็นวันเริ่มต้นฤดูร้อน ระยะที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้า สู่ราศีสิงห์ หรือประมาณวันที่ ๑๖ - ๑๗ สิงหาคม เป็นวันเริ่มต้นฤดูฝน ระยะที่ดวง อาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีธนูประมาณวันที่ ๑๖ - ๑๗ ธันวาคม เป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาว เป็นต้น เมื่อเข้าใจถึงระบบปฏิทินไทยทั้งสองแบบนี้แล้ว สิ่งส�ำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ปฏิทินสุริยคติเป็นการคิดค�ำนวณจากวิถีเส้นทางเดินโคจรของดวงอาทิตย์ซึ่งจะใช้ ระยะเวลาโคจรสม�่ำเสมอ และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลต่างๆ ส่วนลักษณะ ปฏิทินจันทรคตินั้น เป็นของไม่ตายตัวไม่สม�่ำเสมอดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ดังนั้น จึงมีความจ�ำเป็นที่จะต้องจัดปฏิทินจันทรคติให้เข้ากับระบบการโคจรของดวงอาทิตย์ อยู่เสมอ กล่าวคือระยะที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษคือกลางเดือนเมษายน เดือนในปฏิทิน จันทรคติจะต้องไม่เกินสิ้นเดือน ๖ ถึงสิ้นเดือน ๗ ระยะที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีสิงห์จะ ต้องไม่เกินสิ้นเดือน ๑๐ ถึงสิ้นเดือน ๑๑ ระยะที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีธนูจะต้อง ไม่เกินสิ้นเดือนยี่ถึงเดือน ๓ ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ฤดูต่างๆ จะผิดเพี้ยนไป กล่าวคือ เดือน ๗ จะไม่ใช่ฤดูร้อน เดือน ๑๑ จะไม่ตรงฤดูฝน หรือเดือน ๓ จะไม่ใช่ฤดูหนาว เป็นต้น ปฏิทินจันทรคติที่ใช้กันในปัจจุบัน เมื่อดวงอาทิตย์เดินเข้าราศีเมษ จะอยู่ ประมาณช่วงต้นเดือน ๗ พอดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีสิงห์จะอยู่ประมาณเดือน ๑๑ พอ ดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีธนูจะอยู่ช่วงเดือน ๓ เมื่อเวลาผ่านไป ๒ - ๓ปีอาทิตย์อยู่ใน ราศีเมษ เป็นเดือน ๘ หรือดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีสิงห์เป็นเดือน ๑๒ พอดวงอาทิตย์เข้า สู่ราศีธนูเป็นเดือน ๔ เมื่อเกิดระยะห่างระหว่างปฎิทินทั้งสองระบบแบบนี้จะท�ำให้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 13 ฤดูกาลต่างๆ ในประเทศไทยผิดเพี้ยนไปถึง ๑ เดือน และจะส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่อง การเพาะปลูกของชาวบ้าน เนื่องจากเกษตรกรไม่มีความรู้ความเข้าใจในการเทียบ ปฏิทินทั้งสองแบบนี้ และพากันยึดถือแต่ปฏิทินจันทรคติ พอถึงก�ำหนดเดือนทาง จันทรคติที่เคยท�ำมาก็เริ่มเพาะปลูก ภายหลังฝนทิ้งช่วงเนื่องจากยังไม่ใช่ฤดูกาลที่แท้ จริงจึงเป็นเหตุให้เดือดร้อนกันโดยทั่วไป ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
14 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ก�ำเนิดโลก ปฐมบทแห่งการก�ำเนิดโลกในทัศนะคติของคนล้านนานั้น ส่วนใหญ่เป็น ข้อมูลที่มาจากเอกสารโบราณที่เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนา โดยการเขียนเชื่อมโยง ต�ำนานการเกิดโลกกับคติทางพุทธศาสนา บางครั้งมีการสอดแทรกนิทานหรือต�ำนาน พื้นเมืองที่มาจากมุขปาฐะ เข้ามาเสริมเติมแต่งจึงท�ำค�ำสอนทางพุทธศาสนาในล้านนา ให้ผิดเพี้ยนจากของเดิมอยู่บ้าง การสอดแทรกนิทานท้องถิ่นเข้าไปผสมผสานกับวรรณกรรม ทางพุทธศาสนานั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่มีอยู่ทั่วไป นอกจากเรื่องของการก�ำเนิดโลก และคติธรรมแล้ว บางครั้งก็แฝงความตลกขบขันแบบคนพื้นเมืองจนกลายเป็นลักษณะ เฉพาะของท้องถิ่น โดยแต่ละฉบับหรือแต่ละส�ำนวนก็จะมีลักษณะที่คล้ายกัน ผู้เขียน จึงน�ำมาสรุปให้เห็นภาพถึงวิวัฒนาการการก�ำเนิดโลกในทัศนะของคนล้านนาไว้ดังนี้ จากต�ำนานปฐมมูลมูลีได้กล่าวอ้างถึงสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ได้เทศนา ธรรมอันเป็นปฐมก�ำเนิดแห่งโลกไว้โดยย่อคือ เมื่อครั้งที่โลกยังไม่อุบัติขึ้น จักรวาล นี้เป็นเพียงแต่อากาศเวิ้งว้าง ยังไม่มีรูปนามใดๆ มีเพียงฤดูกาลสองฤดูคือ เหมันตา อุตุกาล และคิมหันตาอุตุกาล กล่าวคือ ผู้เขียนต�ำนานพยายามชี้ให้เห็นว่าเหมันตอุตุ และคิมหันตาอุตุหมายถึงอุณหภูมิความร้อนกับความเย็นในชั้นอวกาศมากระทบกัน เป็นปฐม โดยมีวาโยธาตุหรือ ลม เป็นตัวขับเคลื่อนให้สภาวะอากาศร้อนและเย็นทั้งสอง กระทบกันอย่างไม่ขาดสาย ก่อให้เกิดการก่อตัวของธาตุที่จับต้องได้ต�ำนานได้กล่าว ถึงขนาดของก้อนธาตุที่มีการจับตัวกันในครั้งนั้นไว้ว่า มีความหนาแน่นได้๙ แสน ๔ หมื่นโยชน์ ก�ำเนิดเป็นพื้นดินและพื้นน�้ำ โดยมีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว เป็นตัวปรับ สภาพให้พื้นผิวโลกปรากฏเป็นดังปัจจุบัน ต�ำนานดังกล่าวสอดคล้องกันกับต�ำนานปฐมมูลโลกส�ำนวนครูบาอภิชัยขาว ปีได้กล่าวว่า ตั้งแต่ปฐมกัปหัวทีเมื่อแผ่นดินยังบ่มีเทื่อมีแต่อากาศกับลมกวนกันผัด ปั่นไปมา นานๆไปเปลวลมกับอากาศก็กระทบกระทั่งกันไปๆ มาๆเกี้ยวหวันกันเป็น เปลวเป็นล�ำ เกิดร้อนขึ้นร้อนขึ้นลวดเกิดเป็นเปลวไฟ ตั้งอยู่บนลมหนา ๓ ล้าน ๔ แสนโยชน์ นานๆ ไปเปลวไฟนั้นก็ผัดปั่นกับลม หวันกันโท้ไปโท้มา๓ บ่แพ้เปลวลม ๓ พันกันโย้ไปโย้มา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 15 เพราะเปลวลมนั้นหนาได้๕ ล้าน ๓ แสน ๔ หมื่น ๒ พันโยชน์ก็ลวดอุ่นๆ เย็นๆ ก็ เกิดเป็นควันเป็นอายเป็นเหื่อ นานๆไปก็กลายเป็นน�้ำตั้งอยู่บนไฟ หนาได้๔ ล้าน ๓ แสน ๒ หมื่น ๔ พันโยชน์นานๆ เปลวไฟนั้นก็ผัดปั่นกับน�้ำนั้น ก็เดือดผุดขึ้น น�้ำนั้นบ่แพ้ เปลวไฟ เพราะเปลวไฟนั้นหนากว่า น�้ำก็แข็งเป็นแผ่นหิน หาขอบหาริมบ่ได้หาที่ทึก ที่เท้าบ่ได้๔ หนาได้๒ แสน ๔ หมื่นโยชน์จึงเกิดเป็นแผ่นดินขึ้น ต ่อมาได้ก�ำเนิดเป็นแร ่ธาตุต ่างๆ มากมาย เมื่อสภาวะอากาศเย็นลงจึง ปรากฏไคลสองชนิด ไคลทั้งสองนั้นก็บังเกิดเป็นหญ้ากับแก้และหญ้าหนวดหนูเป็นปฐม หลังจากนั้นหญ้าทั้งหลายก็บังเกิดเป็นเครือเขาเถาวัลย์และกำ� เนิดเป็นต้นไม้ทั้งแบบที่ เป็นต้นและแบบเป็นกอ ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นจึงเริ่มปรากฏสิ่งมีชีวิตอันเกิดจากธาตุทั้งสี่ ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ จึงเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณ ปฐวีธาตุได้ให้ก�ำเนิด ด้วงและ หนอน วาโยธาตุให้กำ� เนิดแมงควั่นทรายควั่นดิน เตโชธาตุให้กำ� เนิดแมงพริ้ง แมงคับ และอาโปธาตุ ได้ให้ก�ำเนิดแมงแดง เป็นต้น สัตว์ทั้งหลายนี้ไม่รู้จักกลัวความตาย ตายและเกิดอยู่เช่นนั้นนานนับอสงไขยกัปป์ จึงได้เกิดใหม่เป็นสัตว์ที่รู้จักกลัวตาย และเริ่มมีเลือดมีกระดูกเท่าเส้นหญ้าคา การตายเกิดของสัตว์เหล่านั้นวนเวียนอยู่เป็น เวลานานไม่อาจคณานับช่วงเวลาได้เนื่องจากยังไม่มีการนับปีเดือนวัน ต่อมาพรหมเป็นผู้ลิขิตให้ปฐวีธาตุก่อก�ำเนิดผู้หญิงขึ้นก่อนชื่อ อิตถังไคยยะ สังกะสี เพื่อให้เป็นผู้แต่งแปงเจตนาแห่งโลก กล่าวอุปมาเป็นดั่งผู้ลิขิตความเป็นไป ของโลก นางผู้นี้ดมดอกไม้เป็นอาหาร นางได้ร�ำพึงว่า บนพื้นธรณีนี้มีแต่ต้นไม้เส้น หญ้าเครือเขามากมายจนนางหาที่อยู่ที่ส�ำราญไม่ได้จึงสร้างสัตว์ต่างๆ ขึ้นเพื่อให้มา กินหญ้าและพืชพรรณต่างๆ อย่างละสองตัว คือ หนูวัว เสือ กระต่าย นาค งู ม้า แพะ วอก ไก่ หมา และช้าง โดยเรียกชื่อสัตว์ต่างๆ เหล่านี้ว่า ไจ้เป้า ยีเหม้า สีไส้ สะง้า เม็ด สัน เล้า เส็ด ไก๊ ชื่อของสัตว์เหล่านี้ต่อมาได้กลายมาเป็นที่มาของการนับ ปีนักษัตรแบบล้านนา ๔ หาที่สุดไม่ได้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
16 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นางผู้นี้ได้เห็นสัตว์กินอิ่มก็กล่าวว่า “เต่า” เห็นสัตว์กินอาหารอันควรกินก็ กล่าวว่า “ก่า” เมื่อนางเห็นอาหารหลุดออกปากสัตว์ตัวใดนางก็กล่าวว่า “กาบ” สัตว์ตัวใดมีลูก นางก็กล่าวว่า “ดับ” สัตว์ตัวใดท่าวล้ม นางก็กล่าวว่า “รวาย” สัตว์ ฝูงนั้นหลับนางก็กล่าวว่า “เมิง” สัตว์ฝูงนั้นได้อาหารนางก็กล่าวว่า “ร้วง” หากหนู ได้กินอิ่มนางก็ร้องว่า “เต่าไจ้” ดั่งนี้แล ซึ่งค�ำกล่าวของนางเหล่านี้ได้กลายมาเป็น ที่มาของการนับวันแบบกลุ่มชาติพันธุ์ไท เรียกว่า ลูกวันแม่วัน หรือ ลูกปีแม่ปี ภาพผังแม่ปีลูกปีวันหนไต ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 17 ก�ำเนิดมนุษย์ เมื่อกาลเวลาผ่านไปนางอิตถังไคยยะสังกะสีได้สร้างสัตว์ต่างๆ ขึ้นทั้งบนบก และในนำ �้ สัตว์เหล่านั้นได้ขยายแพร่พันธุ์มากขึ้น จนทำ� ให้นางไม่มีดอกไม้ส�ำหรับใช้ดม เป็นอาหาร พืชพรรณต่างๆ บนโลกก็วินาศฉิบหายไป นางจึงคิดหาวิธีไม่ให้สัตว์เหล่านั้น ตายแล้วกลับมาเกิดอีก ต่อมาได้เกิดผู้ชายขึ้นจากเตโชธาตุชื่อว่า นาปุงสังไคยยะ สังกะสี อันมีที่มาจากพรหม ชายผู้นี้เห็นสัตว์ทั้งหลายกระท�ำเมถุนธรรมหรือการ สืบพันธุ์ด้วยกันก็พิจารณาว่า สัตว์ต่างๆ เหล่านี้ดูช่างมีความสุขจากการกระท�ำเมถุนธรรมนี้ ส่วนตนเองนั้นมีอัตตะภาวะรูปมีองคชาติจึงควรเป็นที่รมณีย์แก่ใจเช่นเดียวกันกับ สัตว์เหล่านั้น ชายคนแรกของโลกจึงได้ออกเดินทางตามหาคู่ จนได้พบกับนางอิตถัง ไคยยะสังกะสี เมื่อชายหญิงทั้งสองได้พบกันและอยู่ร่วมกันจึงได้มีการเสพเมถุนธรรมต่อ มาจึงให้ก�ำเนิดมนุษย์ขึ้นต�ำนานกล่าวอุปมาว่า มนุษย์คู่แรกนี้มีลูกโดยวิธีการการปั้น ขึ้นจากปฐวีธาตุ จ�ำนวนสามคนคือ อิตถีลิงค์หรือเพศหญิง ปุริสะลิงค์หรือเพศชาย นปุงสะกะลิงค์หมายถึงไม่ใช่เพศชายหรือหญิง ประกอบกับการที่จะเป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ได้นั้นต้องอาศัยธาตุต่างๆ และด้วยเหตุปัจจัยอื่นที่ปรุงแต่งขึ้นตามหลักพุทธ ศาสนา ต�ำนานได้กล่าวว่า ปฐวีธาตุช่วยให้มีสติอันมั่น แล้วใส่เตโชธาตุเข้าสู่ภายในให้ เป็นก�ำลัง ใส่อาโปธาตุให้เป็นวรรณะ ใส่วาโยธาตุให้เป็นอิทธิ ใส่จักขุอินทรีย์ ให้ เห็นรูปารมณีย์ ใส่โสตินทรีย์ให้รู้ยังสัททารมณีย์ ใส่ฆานินทรีย์ให้รู้ยังคันธรัสสะรมณ์ ใส่ชิวหาอินทรีย์ให้รู้รัสสะรมณ์ใส่กายินทรีย์ให้รู้โผฏฐัพพา ใส่มนินทรีย์ให้รู้ชาติ เวทนาทั้งสามประการคือ ผัสสะ เวทนา สัญญา เมื่อนั้นภูมิจิตวิญญาณก็เข้าไปสู่ มนุษย์สารูปนั้น อยู่เป็นแด้๕ นานประมาณสิบเดือนจึงแตกออกเป็นมนุษย์ มนุษย์ทั้งสามคนเมื่อพ่อแม่จุติตายไปแล้วเขาได้ให้ก�ำเนิดมนุษย์รุ่นที่สี่ขึ้น จ�ำนวน ๑๓ คน คือลูกผู้ชาย ๗ ลูกผู้หญิง ๖ ส่วนว่าเขาทั้งหลายอันเป็นลูกก่อยู่ สามัคคีร่วมกันสืบมา มีบุคคลหนึ่งมีอายุครบ ๒๑ ปีได้เป็นพยาธิเจ็บป่วยในกาลบัดนั้น ๕ แด้หมายถึง ดักแด้หรือตัวอ่อนที่สัตว์ที่ก�ำลังเจริญเติบโตในไข่ หรือในท้องแม่ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
18 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้วิธีการรักษา จึงทดลองให้ผู้ที่เจ็บป่วยนั้นน�ำสัตว์มาปล่อยหลากหลายชนิด เพื่อสะเดาะเคราะห์ก็ไม่หาย แต่พอปล่อยวัวก็หายจากโรคภัย อีกคนหนึ่งอายุ ๓๓ ก็ เป็นพยาธิเจ็บป่วยเช่นกันพอปล่อยเสือจึงหาย อีกคนอายุ ๒๖ เจ็บป่วยเป็นพยาธิเอา งูมาปล่อยจึงหาย หญิงผู้หนึ่งอายุ๓๐ ปีเจ็บป่วยเป็นพยาธิเอานกรุ้งมาปล่อยจึงหาย ชายผู้หนึ่งอายุ๒๐ ปีเป็นพยาธิเอาช้างมาปล่อยจึงหาย และมีอีกคนหนึ่งอายุ๕๐ ปี เป็นพยาธิเอาราชสีห์มาปล่อยจึงหาย จากต�ำนานดังกล่าว สัตว์เหล่านี้จึงกลายเป็น ที่มาของตัวเปิ้งหรือสัตว์ประจ�ำดวงดาวซึ่งมักปรากฏในผังภูมิทักษาแบบล้านนาและ ยังเป็นที่มาของการท�ำบุญปล่อยสัตว์ตามความเชื่อและพิธีกรรมการส่งตัวเปิ้งตัวชน หรือหนึ่งในพิธีสะเดาะเคราะห์แบบล้านนา นอกจากนี้ต�ำนานยังได้อธิบายถึงคติความเชื่อเรื่อง ที่สิงสถิตของวิญญาณ ก่อนลงมาเกิดเป็นมนุษย์เดิมเชื่อว่า วิญญาณที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นจะต้องมี ภูมิอาศัยอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ ตามปีเกิดหากไม่เป็นไปตามนี้วิญญาณนั้นจะไปเกิดภูมิ อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งต่อมาคตินี้ได้มีการปรับคติความเชื่อเรื่องนี้จากภูมิที่สิงสถิตวิญญาณ ตามต้นไม้ประจ�ำปีเกิดมาเป็นชุธาตุ หรือพระธาตุประจ�ำปีเกิดแทน ดังนี้ขาทั้งสอง หรือมนุษย์คู่แรกนี้ยังได้เล็งเห็นยังภพภูมินิกายหรือวิญญาณ อันเทียรย่อมอาศัยกับ ด้วยไม้ทั้งหลายเป็นต้นว่า ไม้พร้าว ไม้หมากแง ไม้งิ้วเผือกงิ้วแดง ไม้ปาแป้ง ต้นกล้วย ไม้ม่วง ไม้ขนุน ไม้ก่อ ไม้กระดูก สหมังคละไม้ทั้งหลายฝูงนั้นหากเป็นมนุษย์ชาติแล ภูมินิกายหรือวิญญาณทั้งหลายฝูงใด บ่ได้มาอาศัยซึ่งต้นไม้ต่างๆ ดังกล่าว บ่ห่อนว่า จักได้มาปฏิสนธิในท้องแห่งคน เท่าจักไปปฏิสนธิในท้องสัตว์เดรัจฉานสิ่งเดียวแล ภาพสัตว์ตัวเปิ้งในผังทักษา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 19 การก�ำเนิดมนุษย์ในต�ำนานมูลโลกได้กล่าวถึง เหตุการณ์หลังจากไฟม้างกัปป์ดิน บนโลกจะมีความหอมไปถึงชั้นพรหม พรหมสองผัวเมียได้ลงมากินรสแห่งแผ่นดินก็ ลวดเสียฤทธีแห่งความเป็นพรหมไป จึงต้องอาศัยอยู่บนโลก ต่อมามีลูก ๕ คน สลับ หญิงชาย ชายคนที่ ๒ และหญิงคนที่ ๓ เอากันเป็นผัวเมีย ชายคนที่ ๔ และหญิงคน ที่ ๕ เอากันเป็นผัวเมีย สองคู่ผัวเมียเป็นผู้ให้ก�ำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่อมาพรหมผัว เมียคู่แรกคู่แรกได้จุติตายไป ส่วนลูกทั้ง ๔ คนที่จับคู่เป็นผัวเมียพี่น้องก็มีลูกมากพวง หลวงหลาย ก็หาสังจักกินจักบริโภคบ่ได้ จึงได้ขอวานอินทร์วานพรหม ขอให้ได้ ของกินของบริโภคต่างๆ ด้วยค�ำปรารถนา ข้าวทิพย์ก็กลิ้งมาจากป่าไม้หิมพานต์เข้า มาเต็มบ้านเต็มเมืองต�ำนานได้กล่าวถึงลักษณะของข้าวทิพย์นี้ว่า มีขนาดเม็ดใหญ่ ๗ ก�ำมือ๖ ข้าวนี้วิเศษนัก บ่ได้ต�ำบ่ได้ตาก เอามีดถะถากนึ่งหุงกินเลี้ยงอินทรีย์ใหม่หม้า บ่ต้องหว่านกล้าไถนา ส่วนหญิงคนแรกนั้นไม่มีคู่ ชื่อ ย่าโหวา ท�ำหน้าที่สร้างสัตว์ ต่างๆ ขึ้นบนโลกโดยการเนรมิตให้เกิดขึ้น ต�ำนานกล่าวไว้ว่า ย่าโหวา บ่มีลูกมีผัวอยู่ บ่ดายเป็นอันเปล่า ก็แปลงสัตว์ทั้งหลายเหนือหน้าแผ่นดินนี้เว้นแต่แผ่นดิน น�้ำ และ ต้นไม้หญิงผู้เป็นพี่เค้าบ่ได้แปลง มันแปลงสัตว์ทั้งหลายนั้นบ่ใช่มันแปลงด้วยตีนด้วยมือ ภาพต้นไม้ประจ�ำปีเกิดที่ระบุในต�ำราพรหมชาติล้านนาเชื่อว่าดวงวิญญาณทั้งหลายที่จะได้ เกิดเป็นมนุษย์นั้นวิญญาณจะต้องมาพักอยู่ที่ต้นไม้นั้นๆ ก่อน หากไม่เป็นไปตามนี้ วิญญาณทั้งหลายก็จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๖ ต�ำนานเมล็ดข้าวนี้ได้ขยายความต่อเนื่องไปเป็นต�ำนานแม่โพสพ หรือปรากฏในค�ำเรียกขวัญข้าวของล้านนา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
20 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หากแต่มันคิดในใจว่าจักแปลงสัตว์อันนั้น ก็จักเป็นสัตว์อันนั้น ต�ำนานไฟม้างกัปและไตรภูมิฉบับล้านนา กล่าวถึงการก�ำเนิดมนุษย์ไว้ว่า การก�ำเนิดขึ้นของมนุษย์ยุคแรกนั้นมีที่มาจากพรหมที่จุติจากชั้นอาภัสราพรหม แล้ว เกิดใหม่ในลักษณะโอปปาติกะ๗ มีแสงรัศมีอันรุ่งเรืองทุกคน ต่อมาหลังจากที่ไฟม้าง กัปได้เย็นลงโลกกลับสู่สภาวะปกติ กลิ่นหอมของง้วนดินบนโลกได้ส่งกลิ่นล่องลอยขึ้น ไปถึงชั้นพรหม เมื่อพรหมทั้งหลายได้กลิ่นก็ลงมาลิ้มลองรสชาติของง้วนดินนั้น จึงได้ เกิดความเสื่อมจากความเป็นพรหม คือเริ่มเกิดรสะตัณหา คือติดใจในรสชาติรัศมี ของพรหมเหล่านั้นก็พลันหายไป พรหมเหล่านั้นจึงกลับกลายเป็นมนุษย์โดยปริยาย ด้วยเหตุนี้คนสมัยโบราณมีความเชื่อว่า หากผู้หญิงท้องแล้วอยากกิน อิบ๘ แสดงว่า ลูกในท้องเป็นพรหม หรือเทวดามาเกิด หากอยากกินผลไม้พืชผักต่างๆ แสดงว่าเป็น รุกขเทวดามาเกิด แต่ถ้าหากอยากกิน ส้าเนื้อ หลู้ลาบดิบของสดของคาว แสดงว่า ลูกในท้องเป็นยักษ์มาเกิด เมื่อพรหมทั้งหลายกลับกลายเป็นมนุษย์เนื่องจากได้สัมผัสรสชาติการกิน ง้วนดิน จึงเกิดการปรุงแต่งตนเองขึ้นจากผลกรรมและผลจากการปรุงแต่งจากธาตุ ต่างๆ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์แต่ละคนมีวรรณะที่แตกต่างกัน บางคนมีวรรณะที่สวยงาม บางคนมีวรรณะที่น่าเกลียดหรืออัปลักษณ์มนุษย์จึงรู้จักการอิจฉาริษยากัน ด้วยเหตุ ดังนี้รสชาติอันหอมหวานแห่งง้วนดินนั้นจึงหายไป ต่อมาก็ได้เกิดเครือผักบุ้งที่มีรสชาติ อันหอมหวาน มนุษย์ทั้งหลายจึงกินเครือผักบุ้งนั้นเป็นอาหารแทน วรรณะของเขา ทั้งหลายก็เปลี่ยนแปลงและต่างกันยิ่งท�ำให้เกิดการริษยากันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เครือ ผักบุ้งอันหอมหวานนั้นก็หายไปอีก ต่อมาเกิดข้าวสาลีที่มีรสชาติดี เขาทั้งหลายจึงได้รู้จักการหุงต้มปรุงอาหาร ทวารอันเป็นที่ไหลออกแห่งมูตรอาจมจึงบังเกิดขึ้น เพศหญิงชายจึงบังเกิดขึ้น เมื่อมีเพศ กามตัณหาราคะจึงบังเกิดขึ้นนั่นเอง เมื่อก�ำเนิดเพศ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักความละอาย เป็นเหตุให้รู้จักการการเสาะหาเครื่องนุ่งห่มเพื่อปกปิดเพศนั้นเสีย ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่ม เห็นแก่ตัว เริ่มรู้จักมีการสะสมเมล็ดข้าวสาลีเพราะขี้เกียจออกไปเก็บเกี่ยว เมล็ดข้าว ที่แต่เดิมไม่มีเปลือกก็บังเกิดเปลือกห่อหุ้มนั่นเอง ๗ การผุดขึ้นหรือเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่เพื่อผ่านการปฏิสนธิแต่เกิดขึ้นจากผลแห่งกรรมของดวง วิญญาณนั้นๆ ๘ อิบ หมายถึงดินโป่ง มีกลิ่นหอมและมีรสเค็มอ่อนๆ ในอดีตจะมีขายตามท้องตลาดทั่วไป นอกจากจะเป็นที่ชื่นชอบของหญิงมีครรภ์แล้ว หลังคลอดยังนิยมหามากิน เนื่องจากเชื่อว่าจะช่วยบ�ำรุงแม่ลูกอ่อนให้มีน�้ำนม มากขึ้น ชุมชนที่อยู่ใกล้ป่าเขามักจะไปหาขุดตามป่าแล้วน�ำมาท�ำความสะอาดแล้วตากแห้งเก็บไว้กิน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 21 เมื่อมนุษย์เริ่มมีความโลภ ความโกรธและความหลง เริ่มรู้จักการท�ำร้ายซึ่ง กันและกัน การแก่งแย่งฉกชิงทุบตีกัน จึงได้มีการเลือกผู้น�ำขึ้นเพื่อควบคุมสังคมโดย การสมมุติพญาหรือผู้เป็นใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นผู้ปกครองชุมชนหรือสังคม นอกจากนี้ยังมีมุขปาฐะอื่นๆ ที่เล่าถึงการก�ำเนิดมนุษย์อีกหลายเรื่องตามนิทาน ที่เล่าสืบกันมาแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นเช่น มนุษย์ในโลกเกิดจากการที่พระฤๅษี ได้เอาเหล็กเผาไฟจนแดงแล้วแทงไปที่น�้ำเต้า ผู้คนทั้งหลายจึงไหลออกมาจากรูน�้ำเต้า หรือมนุษย์มีบรรพบุรุษที่มาจากสัตว์เดรัจฉานต่างๆเช่น นาคช้าง เสือราชสีเป็นต้น ต�ำนานที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ได้สะท้อนถึงวิวัฒนาการของมนุษย์จากวรรณกรรม ที่ปรากฏพบในล้านนา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักคือ กลุ่มแรกเป็นนิทาน ปรัมปราพื้นบ้านที่ปรากฏในภูมิภาคนี้คือปู่สังกะไส ย่าสังกะสี หรือปู่เยอ ย่าเยอ มนุษย์คู่แรกในวัฒนธรรมลาว ต�ำนานปฐมมูลมูลีนี้คาดว่าน่าจะเป็นวรรณกรรมที่ เขียนขึ้นจากการรวบรวมต�ำนานท้องถิ่นที่บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนกลุ่มที่สองเป็น วรรณกรรมที่มาจากพุทธศาสนา ตั้งแต่การอธิบายต้นก�ำเนิดของมนุษย์โดยอาศัย หลักการทางพุทธศาสนามาอธิบายของเหตุของการก�ำเนิดมนุษย์ด้วยผลกรรม จน กระทั่งการเรียนรู้เพื่อการด�ำรงชีวิต รู้จักการหาอาหาร หาเครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัย จนถึงรู้จักการรวมตัวเป็นสังคมขนาดเล็ก ชนเผ่า การมีผู้น�ำและพัฒนาการเป็นสังคม ใหญ่ในที่สุด ภาพสลุงเงินที่ตอกดุนลายเป็นรูปต้นไม้พร้อมสัตว์ประจ�ำปีเกิดในจักรราศี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
22 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ก�ำเนิดจักรราศี เมื่อพรหมทั้งหลายกินง้วนดินแล้วรัศมีแห่งร่างกายพรหมเหล่านั้นได้หาย ไปกลายเป็นมนุษย์ โลกจึงมีแต่ความมืดมัว มนุษย์ทั้งหลายต่างพากันกลัวในความมืดนั้น จึงปรารถนาให้มีแสงสว่างขึ้น จึงปรากฏมีพระอาทิตย์ขึ้นตามค�ำปรารถนาของมนุษย์ เหล่านั้น พ้องกันกับต�ำนานมูลโลกที่กล่าวไว้ว่า ผีแถน เทวดาพรหมต่างๆทีลงมาจุติ อยู่บนโลกและอยู่ในวิมานต่างๆ ผ่อบ่หันอันใดเป็นอันมืดอันตัน ก็พร้อมกันวานอินทร์ วานพรหมขอพระอาทิตย์ออกมาลูก ๑ และพระจันทร์ออกมาลูก ๑ ก็เป็นอันแจ้งล�้ำไป จึงขอให้พระอาทิตย์และพระจันทร์เดินเทียวไปมา พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ทวย กันไปทวยกันมา๙ เวลาเมื่อแจ้งก็แจ้งล�้ำ เวลามืดก็มืดล�้ำ จึงขอวานอินทร์วานพรหม เสียใหม่ว่า หื้อพระอาทิตย์ไปเมื่อนึ่ง พระจันทร์ไปเมื่อนึ่ง ถ้าพระอาทิตย์ลงแล้ว หื้อ พระจันทร์ออกมา พระจันทร์ลงแล้วหื้อพระอาทิตย์ออกมาก็ยังบ่รู้เมื่อวันเมื่อคืน ย้อนว่าพระจันทร์แจ้งล�้ำไป จึงขอหื้อพระจันทร์นั้นมัวไปแถม พญาอินทร์จึงเอาไม้ โพธิ์ไทรเข้าปลูกไว้หน้าพระจันทร์พระจันทร์จึงมัวไป ด้วยเหตุนี้จึงรู้เวลากลางคืนกลางวัน ในต�ำนานปฐมมูลมูลีกล่าวว่า เมื่อมนุษย์ถือก�ำเนิดออกมาแล้วต่างก็เจ็บป่วยไม่สบาย เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ด้วยเหตุนี้ปู่สังกะไสและย่าสังกะสีจึงได้ ปรับสภาพอากาศของโลกให้เป็นฤดูกาลอยู่เป็น ๓ ช่วงเวลา คือฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ตั้งแต่นั้นมา ต่อมาทั้งสองได้ปรึกษากันว่า มนุษย์ทั้งหลายยังไม่รู้จักอายุ แห่งสังขาร ไม่รู้ว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง หาสิ่งที่จะมาเป็นสักขีไม่ได้จึงได้ก�ำหนดตั้ง อายุปีเดือน วัน และยามไว้โดยได้สร้างช้างมโนสิลาตัวหนึ่งขึ้น มีขนาดตัวใหญ่มาก เฉพาะส่วนฝ่าเท้ากว้างแสนหนึ่งหมื่นโยชน์มีตัวเขียวดั่งแก้วมหานิล มีตีนขาวดั่งแก้ว วิฑูรย์ มีงาแดงดั่งแก้วก๊อ๑๐ มีหัวเหลืองดั่งค�ำ มีเขี้ยวอันด�ำดั่งแก้วมหานิล ช้างตัวนี้ สร้างจากเตโชธาตุ มีน�้ำและลมเป็นอาหาร พร้อมกันนั้นได้สร้างเขาสุเมโรอันหนึ่ง ด้วยหิน ลวงกว้างและลวงยาวมีสี่แสนสี่หมื่นโยชน์ตั้งเหนือหลังช้างตัวนั้น ช้างมโน ศิลาตัวนี้จึงเป็นที่มาของค�ำว่า ดาวช้างหลวง อันอยู่ศูนย์กลางจักรราศีแบบล้านนา๙ ตามกันไปตามกันมา ๑๐ แก้วก๊อ หมายถึงทับทิม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 23 จากนั้นทั้งสองได้กระท�ำคามรายสี๑๑ ขึ้นรวมได้สิบสองคาม กระทำ� เป็นยนต์ หมุนมีรูปดั่งแมงดานั้น และแต่งยังจันทคราสได้๒๗ ตระกูล๑๒ คือ ทลิทโท ๓ ตระกูล มหัธโน ๓ ตระกูล โจโร ๓ ตระกูล ภูมิปาโล ๓ ตระกูล เทสสันตรี๓ ตระกูล เทวี๓ ตระกูล พิชฆาต ๓ ตระกูล ราชา ๓ ตระกูล สมณะ ๓ ตระกูล เมื่อชุอันแล้วก็หื้ออยู่ ในคามสิบสองราศีหั้นแล กล่าวอธิบายคือ กลุ่มดาวฤกษ์ได้ถูกจัดออกเป็น ๒๗ กลุ่ม ดาวเรียกว่าฤกษ์น้อย หรือฤกษ์บน โดยทั้งหมดนี้จะถูกจัดแบ่งให้อยู่ในกลุ่มใหญ่กลุ่ม ละ ๓ ฤกษ์น้อยทั้งหมด ๙ กลุ่ม เรียกว่ากลุ่มฤกษ์หลวง ดาวฤกษ์ทั้งหมดนี้จะถูกจัด ให้อยู่ตามช่องราศีทั้ง ๑๒ ราศีที่มีรูปคล้ายท้องแมงดาและถูกกระท�ำให้เป็นดั่งยนต์ หมุน ซึ่งหมายถึงการที่ดวงดาวเหล่านี้หมุนโคจรรอบโลกนั่นเอง ดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ตัว แบบล้านนา มักจะเขียนก�ำกับด้วยบาลีเป็นชื่อต่างๆไว้ดังนี้ ภาพผังจักรราศีแบบล้านนาหรือมักเรียกกันว่ากระบวนดาวฤกษ์ อันมีดาวช้างหลวงเป็นศูนย์กลาง ๑๑ คามะ หรือคาม หมายถึงบ้านเรือน คำ�ว่าคามรายสีหมายถึงดาวเจ้าเรือน หรือสร้างเรือนที่เป็นที่สิงสถิต แห่งดวงดาวต่างๆ ๑๒ ในที่นี้หมายถึงดาวฤกษ์๒๗ กลุ่ม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
24 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา อัสสะวิณีดาวม้าหางฮ่อน ภรณีดาวเขียงก้อม กิติกาดาววี โรหิณีดาวคาง มิคสิระดาวหัวเนื้อ อารทราดาวหมาแดง ปุณณพัสสุดาวสะเปา ปุสสยะดาวหางเหลือง อัสสเลสดาวเรือนห่าง มาฆะดาวรูปนาค ปุพพผลคุณีดาวรูปแพะตัวผู้อุตตรผลคุณี ดาวรูปแพะตัวเมีย หัสสถะ ดาวทบศอก จิตรา ดาวไฟน้อย สวัสสะดีดาวไฟหลวง วิสาขา ดาวงูอนุราทะ ดาวคันฉัตร ชถ หรือ เชษฐะดาวพิดาน มูลละ ดาวช้างน้อย ปุพพสาธะดาวกุณฑลอุตตราสาทะดาวเหล็กจารสารวัณณะดาวคานหาม ธนิษฐะ ดาวไซหลวง สัตตพิสสะ ดาวไม้ส้าว ปุพพภัทรา ดาวนลาสน้อย อุตรภัทร ดาวนางลา สาราม หรือดาวช้างอ้ายก�่ำ เรวตีดาวนางราชะหลวง ดาวปลาสะเพียนค�ำ ก็ว่าแล นักขัตฤกษ์๒๗ ตัวก็มีดั่งนี้แล นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงดาวพระเคราะห์ที่โคจรตามราศีต่างๆ ไว้ว่า ดาวทั้ง หลายฝูงเศษหลอเหลือกว่านั้นเป็นต้นว่า อาทิตย์จันทร์อังคาร พุธ ผัด ศุกร์ เสาร์ ราหูเกตุ นักขัตฤกษ์ทั้งหลายฝูงนั้นก็เทียว ผัดตสิน๑๓ ไปใน ๑๒ ราศีอันผัดไปเที่ยง นักประดุจดั่งกงจักรนั้นแล กล่าวคือ กลุ่มดวงดาวที่เหลือคือ กลุ่มดาวพระเคราะห์ ทั้ง ๙ ดวงก็จะเดินประทักษิณไปเรื่อยๆประดุจดั่งกงจักรนั่นเอง ภาพผังจักรราศีที่กล่าวถึงใน ต�ำนานปฐมมูลมูลีว่ามีสัณฐานดั่งแมงดา ๑๓ ประทักษิณ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 25 เมื่อนั้นขาทั้งสองก็ได้สร้างสุริยะวิมานด้วยแก้ววิฑูรย์น�้ำไฟ ให้เทียวตามราศี อันนั้นหื้อส่องแจ้งรุ่งเรือง เดือนละ ๑ ราศี สุริยะวิมานอันนั้นย้ายไป ๑๒ เทื่อจึ่งเรียก ว่า ๑ ปีแล และยังสร้างจันทรวิมานจากแก้ววิฑูรย์น�้ำเงินแต่งเป็นฝักหอยงั้ว หื้อเป็น สี่เหลี่ยม หื้อเทียวเข้าเทียวออกตามราศี๑๕ วันพึงย้ายไปหน้า เมื่อเข้าหาสุริยะหว่าย หน้าเข้า เมื่อหันหลังออกจากสุริยะหากว่าถ้วน ๑๕ เทื่อ เป็นวัน ๓๐ สิบวันเรียกว่า เดือนหนึ่งแล แต่งหื้อเป็นคามราศีผัดไปเป็นดั่งลูกกลมนั้นแล้ว เอาก๋วม๑๔ เขาสิเนโร หื้อต�่ำสูงเสียกันเป็นดั่งแถวดอกไม้เกี้ยวหัวหั้นแล ปลายเขายุคันธรนั้นอยู ่ชั้นฟ้า จตุมหาราชิกา ปลายเขาสิเนโร ตั้งตาวติงสาแล ๑๔ ครอบ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
26 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพรอยพระพุทธบาทจ�ำลองประดับมุกวัดพระสิงห์วรวิหาร เป็นรูปจักรวาลตามคติล้านนา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 27 จักรวาล เขาพระสุเมรุ หรือ โลกในอุดมคติ การก�ำเนิดเรื่องราวของโลกในอุดมคติจากนักปราชญ์โบราณนั้น เป็นอุบาย เพื่อควบคุมผู้คนให้ประพฤติอยู่ในกุศลกรรมและอธิบายผลของกุศลกรรมแลอกุศล กรรมด้วยการสร้างภาพเรื่องราวชีวิตหลังความตาย หรือโลกหน้าของบุคคลผู้ประพฤติตน ดีชั่วต่างๆ โดยอาศัยรูปแบบความเป็นจริงในธรรมชาติของโลกมนุษย์นี้มาเป็นพื้นฐาน ในการคิดและแต่งเป็นวรรณกรรมที่ใช้กับพุทธศาสนาในล้านนาคือ เรื่อง โลกธาตุ จักรวาลคติหรือมักจะรู้จักกันในชื่อไตรภูมิ ในไตรภูมิส�ำนวนล้านนานี้ได้อธิบายถึงเขาพระสุเมรุหรือโลกในอุดมคติ เป็นแกนกลางจักรวาล ล้อมรอบด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง ๗ และทวีปทั้ง ๔ ด้านบน เป็นสวรรค์ชั้นต่างๆ ๖ ชั้น สูงขึ้นไปเป็นชั้นพรหม และอรูปพรหมต่างๆ ที่น่าสนใจคือ เมื่อดูแผนผังของจักรวาลคติดังกล่าวจะพบว่าล้วนมีที่มาจากระเบียบการโคจรของ ดวงดาวและพระอาทิตย์ในจักรราศีต่างๆ ทั้งสิ้น โดยมีความสอดคล้องกับคัมภีร์สุริยยาตรา อันเป็นต�ำราการค�ำนวณดวงดาวหรือปฏิทินแบบโบราณที่ยังคงใช้กันโดยทั่วไป ในไตรภูมิฉบับพระร่วงได้กล่าวถึงรูปร่างเขาพระสุเมรุไว้ว่า เขาพระสุเมรุ นั้นมีความกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ลึกลงไปใต้น�้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์หนา ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยมีสภาพกลมแลไส้โดยรอบ ดังนั้นสัณฐานที่แท้จริงของเขาพระสุเมรุตามไตรภูมิ ฉบับพระร่วงอาจจะเป็นทรงกลมก็เป็นได้ แต่ในคัมภีร์ส�ำนวนฝ่ายล้านนาได้กล่าวต่างออกไป ในต�ำนานปฐมมูลมูลีได้ กล่าวถึง ปู่ย่าสังกะสีทั้งสองได้สร้างช้างมโนสิลาไว้ เพื่อรองรับเขาพระสุเมรุซึ่งสร้าง จากหินโดยมีความกว้างและยาวมี๔ แสน ๔ หมื่นโยชน์ นอกจากนี้ในต�ำนานมูล โลกได้กล่าวถึงสัณฐานของเขาพระสุเมรุที่ต่างไปจากต�ำราอื่นๆ ไว้ว่า บนโลกนี้ยังมี เขาพระสุเมรุตั้งอยู่ท่ามกลาง หยั่งลงไปหมื่นโยชน์นับตั้งแต่หน้าแท่งหินขึ้นไป ๘ หมื่น ๔ พันโยชน์ ตีนเขากว้างหมื่นโยชน์ ป่องกึ่งกลางเหมือนดั่งหน่วยหมากหลอด๑๕ ที่ป่องกึ่งกลางนั้นกว้าง ๔ หมื่น พันโยชน์ปลายเขากว้างหมื่นโยชน์ ๑๕ มีสัณฐานเหมือนลูกส้มหลอด ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
28 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพปราสาทรูปช้างหรือรูปนกหัสดีลิงค์ ตามคติความเชื่อชาวล้านนาจะน�ำเอา ดวงวิญญาณผู้ตายกลับสู่เขาพระสุเมรุอันมีปราสาททิพย์วิมานเป็นที่อยู่ ไม่ใช่นกหัสดีลิงค์ ที่ท�ำหน้าที่คาบศพไปทิ้งนอกจักรวาล ตามไตรภูมิพระร่วง นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงองค์ประกอบของสัณฐานจักรวาลว่า รอบเขาพระสุเมรุ จะมีภูเขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง ๗ ล้อมรอบอยู่ซึ่งต�ำรากล่าวต่างกันสองกลุ่มคือ ส่วนใหญ่ จะกล่าวถึงเขาสัตตบริภัณฑ์ไว้ว่าล้อมรอบเขาพระสุเมรุเป็นสัณฐานวงกลม แต่ฉบับ มูลโลกได้กล่าวว่า เขาสัตตภัณฑ์ล้อมรอบเขาพระสุเมรุเป็นสัณฐานสี่เหลี่ยม แวดเขา สิเนโรตก ๔ ด้าน ด้านไหนแล ๗ ลูก ด้านวันตกแล้วด้วยหิน เหนือแล้วด้วยแก้ว ด้าน วันออกแล้วด้วยค�ำ ด้านใต้แล้วด้วยเงิน เขาสัตตภัณฑ์๔ ด้านนี้กว้างกีดเท่ากัน แต่ต�่ำ สูงหลั่นลงบ่เท่ากัน ยอดเขาสัตตภัณฑ์ทั้ง ๔ ด้านนี้มีวิมานปราสาทเป็นที่อยู่แห่งท้าว ทั้ง ๔ ด้านแลหลัง เป็นที่อยู่แห่งพญาใหญ่ ๔ ตนคือ ด้านวันตกเป็นที่อยู่แห่งพญาวิรูปักษ์ อันเป็นใหญ่แก่นาคได้พันตน ด้านวันออกเป็นที่อยู่แห่งพญาคันธัพพะ๑๖ อันเป็นใหญ่ แก่คันธัพพะพันตน ด้านเหนือเป็นที่อยู่แห่งพญากุเวระเป็นใหญ่แก่ยักษ์ได้พันตน และ ด้านใต้เป็นที่อยู่แห่งพญากุมภัณฑ์เป็นใหญ่แก่กุมภัณฑ์ได้พันตนแล๑๗ นอกจากนี้ยัง มีป่าหิมพานต์อันเป็นที่อยู่แห่งบริวารแห่งพญาทั้งสี่ตน และเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๑๖ พญาธตรัฐ๑๗ พญาวิรุฬหก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 29 ถัดออกจากเขาสัตตบริภัณฑ์และป่าหิมพานต์ เป็นที่ตั้งของทวีปทั้ง ๔ คือ อมรโคยานทวีป หนวันตก อุตรโขรุทวีปหนเหนือ๑๘ บูรพวิเทหะทวีปหนวันออก และ ชุมพูทวีปหนใต้๑๙ โดยแต่ละทวีปมีสัณฐานที่ต่างกัน ตั้งอยู่เป็นเกาะกลางน�้ำโดยมี สีทันดรสมุทรคั่นอยู่ โอบล้อมเขาพระสุเมรุไว้ต�ำนานมูลโลกได้กล่าวว่า ทั้ง ๔ ทวีปนี้ อ้อมจอดบ่มีขุนบ่มีสบ๒๐ กว้าง ๒ หมื่นโยชน์ลึกหมื่นโยชน์แม่สมุทรนี้บ่มีน�้ำ มีแต่ ทรายไหลอ้อมทวีปทั้ง ๔ เหมือนมดด�ำมดแดงไต่ขอบด้ง ข้อความดังกล่าว ชี้ให้เห็น ถึงความสัมพันธ์กับรูปแบบการใช้ลานทรายในเขตพุทธาวาสของวัดในล้านนาที่ อุปมาเป็นดั่งสีทันดรสมุทรตามผังจักรวาลคติ นอกจากนี้ในต�ำนานมูลโลกส�ำนวน ครูบาอภิชัยขาวปีได้กล่าวถึงขอบจักรวาลว่ามีความกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดโดยเปรียบ เทียบไว้ว่า“ถ้าเราจักเดินไปหื้อสุดขอบจักรวาลนั้น หื้อผ่ออากาศนั้นเต๊อะอากาศสุด ไหนขอบจักรวาลสุดหั้น อากาศบ่สุด ขอบจักรวาลก็บ่สุด ถึงจะตายไป แสนเช่น ล้าน เช่น ก็บ่หันที่สุดขอบจักรวาล” ภาพพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ เป็นการบูชาท้าว จตุโลกบาลอันอยู่ปลายเขายุ คันธร โดยมีวิมานของ พระอินทร์อยู่บนยอด เขาพระสุเมรุ ๑๘ บางส�ำนวนเขียนว่า อุตรขูทิป หรือ อุตรกุรุทวีป๑๙ ชมพูทวีป ในวรรณกรรมล้านนาส่วนใหญ่มักปรากฏเขียนว่า ชุมพู(จุม-ปู)๒๐ ไม่มีต้นน�้ำและปากน�้ำ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
30 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ส่วนด้านบนคือท้องฟ้านั้นพระอาทิตย์พระจันทร์รวมถึงดาวพระเคราะห์ต่างๆ จะหมุนโคจรรอบเขาพระสุเมรุอยู่ตลอดเวลา ดังกล่าวไว้ในไตรภูมิฉบับพระร่วงว่า จากก�ำแพงจักรวาลถึงเขายุคนธร หว่างกลางเป็นหนทางพระอาทิตย์และพระจันทร์ แลพระนวเคราะห์ ดวงดาวทั้งหลายแต่งเทียวไปมาในหนทางวิถีให้เรารู้จัก ปีแล เดือนวันคืน ซึ่งมีความคล้ายกันกับล้านนาที่กล่าวว่า พระอาทิตย์เทียวเดินแวดไป เพียงปลายเขาสิเนโร พระจันทร์เทียวทางลุ่ม พระอาทิตย์เทียวตางบน ต�ำนานปฐม มูลมูลีได้พรรณนาว่า ปู่สังกะไสย่าสังกะสีได้แต่งหื้อเป็นคามราศีผัดไปเป็นดั่งลูกกลม นั้นแล้ว เอาก๋วมเขาสิเนโร หื้อต�่ำสูงเสียกันเป็นดั่งแถวดอกไม้เกี้ยวหัวหั้นแล ปลาย เขายุคันธรนั้นอยู่ชั้นฟ้าจตุมหาราชิกา ปลายเขาสิเนโร ตั้งตาวติงสาแล ข้อความดัง กล่าวสื่อให้เห็นว่า ดวงดาวต่างๆหมุนโคจรรอบเขาพระสุเมรุ ในผังจักรวาลยังปรากฏทวีปต่างๆ ๘ ทวีปโดยให้ความส�ำคัญกับ ๔ ทวีป ตามทิศหลัก ๔ ทิศคือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศใต้และทิศตะวันตก อันเป็น ต�ำแหน่งของทวีปทั้ง ๔ คือ อุตรกุรุทวีป บูรพวิเทหะทวีป ชมพูทวีป และอมรโคยาน ทวีป ดังได้กล่าวไว้ในไตรภูมิพระร่วงว่า คนทั้งหลายอันชื่อว่ามนุษย์นี้มี ๔ จ�ำพวก จ�ำพวกหนึ่งเกิดและอยู่ในชมพูทวีป คนจ�ำพวกหนึ่งเกิดอยู่ในแผ่นดินบูรพะวิเทหะ เบื้องตะวันออกเรา คนจำ� พวกหนึ่งเกิดแลอยู่ในแผ่นดินอุตรกุรุทวีปอยู่ฝ่ายเหนือเรานี้ คนจ�ำพวกหนึ่งเกิดและอยู่ในแผ่นดินอมรโคยานทวีปเบื้องตะวันตกนี้ คนอันอยู่แผ่น ดินชมพูทวีปอันเราอยู่นี้หน้าเขาดั่งดุมเกวียน ฝูงคนอันอยู่ในบูรพวิเทหะหน้าเขาดั่ง เดือนเพ็ญแลกลมดังหน้าแว่น ฝูงคนอันอยู่ในอุตรกุรุนั้น แลหน้าเขาเป็นสี่มุมดังท่าน แกล้งถากไว้ให้เป็นสี่เหลี่ยมกว้างและรีนั้นเท่ากัน ฝูงคนอันเกิดอยู่ในแผ่นดินอมรโคยาน ทวีปนั้น หน้าเขาดั่งเดือนแรมแปดค�่ำนั้นแล ข้อความดังกล่าว ท่านอาจารย์ประยูร อุลุชาฏะ หรือ อาจารย์พลูหลวง ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ผู้เป็นปราชญ์ทางด้านดาราศาสตร์และ โหราศาสตร์ไทยได้วิเคราะห์ไว้ว่า ทวีปดังกล่าวนั้นแท้ที่จริงมิใช่ทวีปหรือแผ่นดินที่ อยู่บนโลก แต่ผู้ประพันธ์คัมภีร์สื่อความหมายทวีปเหล่านี้เป็นทิศทั้งสี่บนผังจักรราศี มากกว่าที่จะตีความเป็นอื่น ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 31 ภาพลักษณะบุคคลที่เกิดอยู่ในทวีปทั้งสี่ ที่มา:สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับอักษรธรรมล้านนาและอักษรขอม.กรมศิลปากร ภาพผังจักรราศีกับทวีปทั้งสี่ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
32 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ยังมีข้อความอีกมากที่สื่อถึงการเชื่อมโยงในเรื่องความเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันระหว่างเขาพระสุเมรุกับโลก ประเด็นส�ำคัญอีกประการหนึ่งได้กล่าวถึงทวีป ต่างๆว่าชมพูทวีป และอุตรกุรุทวีปมีช่วงเวลากลางคืนและกลางวันเสมอกัน และถ้า พระอาทิตย์โคจรไปหนทางโคณวิถี หรือช่วงฤดูหนาวเวลาในบูรพะวิเทหะทวีปจะ พลันค�่ำนานรุ่ง ถ้าพระอาทิตย์โคจรข้ามพ้นโคณวิถีวันใดก็ถือว่าพ้นฤดูหนาว ย่างเข้า ฤดูร้อน ในอชวิถีเมื่อพระอาทิตย์ เข้าสู่อุตรกุรุทวีปขึ้นเทียมมณฑลท่ามกลางคือราศีเมษ โดยมีช่วงรอยต่อส�ำคัญคือฤกษ์ตัวที่ ๒๗ หรือฤกษ์ตัวสุดท้ายในราศีมีนชื่อ เรวตีฤกษ์ กับฤกษ์ตัวที่ ๑ ในราศีเมษคือ อัศวินีฤกษ์ถือเป็นวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน และถือเป็นวันปีใหม่เนื่องจากพระอาทิตย์ได้โคจรในจักรราศีจนครบ ๑๒ ราศีซึ่งใช้ เวลา ๑๒ เดือนคือ ๑ ปีพอดี การสังเกตการโคจรของพระอาทิตย์ตามคัมภีร์อรุณวดีสูตรได้กล่าวว่า เมื่อ เดือนทั้งหลาย ๖ อันเริ่มตั้งแต่เดือน ๙ เป็นต้นไปพระอาทิตย์ออกหนีไกลเขาสิเนโร ล�ำดับไปใกล้ขอบจักรวาล เมื่อเดือน ๓ ถึงขอบจักรวาล เป็นเดือนทั้ง ๖ นั้นแล นับ เดือน ๓ เป็นต้นพระอาทิตย์ก็หนีเสียจากขอบจักรวาลพ้อยละขอบจักรวาลไว้ปาย หลังสันนี้แล ก็เทียวล�ำดับเข้ามาใกล้เขาสิเนโร ส่วนพระอาทิตย์นี้แถม ๖ เดือนต้น จากเขาสิเนโรก็ไปสู่ที่ใกล้ขอบจักรวาลว่า ๖ เดือนนั้นแล ในเดือน ๙ พระอาทิตย์ก็ เดินในที่ใกล้เขาสิเนโรท่ามกลางทวีปแท้แล้ว พ้อยล�ำดับออกไกลเขาสิเนโร เถิงเดือน สิบสองเดือนเจียงหั้น ก็จักหันด้วยท่ามกลางทวีปแท้บ่ไกลเขาสิเนโรบ่ไกลขอบจักรวาลนัก วันแลคืนทั้งหลายก็เสมอกันดีนักบ่พลันค�่ำนานรุ่งแล แดนแต่นั้นพ้อยสามเดือนหัน พระอาทิตย์ก็ไปเทียวที่ใกล้ขอบจักรวาลภายหน้าแต่นั้นก็ล�ำดับเข้ามาถึงเดือน ๖ ก็ ไปเสมอทัดท่ามกลางเขาสิเนโรบ่ไกลขอบจักรวาล ที่นั้นวันแลคืนเท่ากันดีจากนั้นก็ ล�ำดับเข้าสู่สิเนโรเดือน ๙ ก็มาเทียวเข้าใกล้เขาสิเนโร เมื่อวันก็นานนักกว่าเมื่อคืนแล ข้อความดังกล ่าวได้อธิบายถึงการโคจรของพระอาทิตย์ที่อุปมาเขา พระสุเมรุหรือเขาสิเนโรแทนโลก โดยได้กล่าวถึงวิถีโคจรของพระอาทิตย์ที่มีการขยับ เข้าออกจากโลกส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเวลาในแต่ช่วงฤดูกาลคือ ช่วงเวลา เดือน ๑๒ หรือราวเดือนกันยายนและเดือน ๖ หรือช่วงเดือนมีนาคมเวลากลางวัน และกลางคืนยาวเท่ากัน ช่วงเดือน ๙ หรือประมาณเดือนมิถุนายนพระอาทิตย์เข้า ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 33 ใกล้เขาสิเนโรคือช่วงที่พระอาทิตย์เข้าใกล้โลกมากที่สุดส่งผลให้อากาศร้อนและช่วง เวลากลางวันจะยาวกว่ากลางคืนส่วนเดือน ๓ พระอาทิตย์ขยับตัวออกห่างจากเขาสิ เนโร หรือช่วงเดือนธันวาคมส่งผลให้กลางคืนยาวนานกว่ากลางวันนั่นเอง คัมภีร์ดังกล่าวได้กล่าวถึงอิทธิพลแห่งแสงพระอาทิตย์ไว้ว่า พระอาทิตย์ยัง กระท�ำโลกให้ส่องแจ้งด้วยรัศมีวันละ ๓ ทวีปแล พระอาทิตย์กระท�ำแวดจักรวาลด้วย ประการดั่งนี้ พระอาทิตย์หากขึ้นมาในชมพูทวีปเมื่อใด เป็นกลางวันเที่ยงในบูรพวิเทหะ หนวันออก เป็นกลางวันตกในอุตรกุรุทวีปหนเหนือ อมระโคยานทวีปเป็นเที่ยงคืน หากขึ้นมาในบูรพวิเทหะทวีปก�้ำวันออก เป็นเที่ยงวันในอุตรกุรุทวีปหนเหนือ เป็นวันตก ในอมรโคยานทวีป เป็นเที่ยงคืนในชมพูทวีป หากพระอาทิตย์ขึ้นอุตรกุรุทวีป เป็น เที่ยงวันในอมรโคยาน แลเป็นตะวันตกในชมพูทวีป บูรพวิเทหะเป็นเที่ยงคืนแล พระอาทิตย์ขึ้นที่อมรโคยานทวีป เป็นเที่ยงวันในชมพูทวีป เป็นกลางวันตกในบูรพวิเทหะ และเป็นเที่ยงคืนในอุตรกุรุทวีป หากว่าพระอาทิตย์ตกลงไปวันออกคือบูรพวิเทหะ ทวีป ก็จะปรากฏกึ่งหนึ่งในอมรโคยานทวีป หากว่าตกในชมพูทวีปก็ปรากฏกึ่งหนึ่ง ในอุตตระกุรุทวีป หากว่าลับไปในอมรโคยาน ก็ปรากฏกึ่งหนึ่งในบูรพวิเทหะทวีป กล�้ำวันออก พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็เทียวแวดเป็นวงเข้าสิเนโรกระท�ำรัศมีส่อง แจ้งทั่วไปก็มีสันนี้แล ภาพวงโคจรของพระอาทิตย์ที่วนรอบโลก หรือเขาพระสุเมรุเป็นเหตุให้เกิด แสงสว่างหรือ ความมืดในทวีปต่างๆ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
34 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นอกจากนี้ยังมีต�ำราที่กล่าวถึงการสังเกตการโคจรของพระอาทิตย์ด้วยการ ดูเงาของตนเองโดยระบุว่า เมื่อผ่านพ้นช่วงสงกรานต์มาถึงราวเดือน ๙ หรือราว เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พระอาทิตย์เดินบนยอดเขายุคันธร ครั้นเมื่อตะวันยาม เที่ยงเราเหยียบเงาหัวเราแล ข้อความดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าในช่วงเดือนนี้พระอาทิตย์ ได้กระท�ำมุมฉากกับพื้นโลกยามเที่ยงวัน จากต�ำราดูเงาของล้านนาได้กล่าวว่า เมื่อ ๑ อยู่กรกฏ เที่ยงวันเงาบ่มีแล เมื่อ ๑ อยู่สิงห์เที่ยงวันมีเงาฝ่าตีนนึ่ง เมื่อ ๑ อยู่พิจิก เที่ยงวันมีเงา ๔ ฝ่าตีน เมื่อ ๑ อยู่ธนูเที่ยงวันมีเงา ๕ ฝ่าตีน เมื่อ ๑ อยู่มกร เที่ยงวัน มีเงา ๖ ฝ่าตีน เมื่อ ๑อยู่มีน เที่ยงวันมีเงา ๔ ฝ่าตีน เมื่อ ๑ อยู่เมษ เที่ยงวันมีเงา ๓ ฝ่าตีน เมื่อ ๑อยู่พฤกษ์เที่ยงวันมีเงา ๒ ฝ่าตีน เมื่อ ๑ อยู่เมถุน เที่ยงวันมีเงา ๑ ฝ่า ตีน ต�ำราดูเงาดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า เลข ๑ หมายถึงพระอาทิตย์เมื่อ ๑ สถิต หรืออยู่ในราศีใดก็จะถือเป็นชื่อเดือนนั้นๆ เช่น ๑ อยู่ราศีเมษ แสดงว่าเป็นช่วงเดือน เมษายน การสังเกตการณ์พระอาทิตย์ด้วยการนับเงาแบบชาวล้านนา บ่งบอกถึงวง โคจรพระอาทิตย์ที่จะมีการขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก โดยใน แต่ละเดือนพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกและขยับองศาไปตามแกนเหนือใต้ เล็กน้อยท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเงาจนเป็นที่สังเกตของคนล้านนา โบราณและได้มีการบันทึกเป็นต�ำราไว้ ภาพวงโคจรการขึ้นลงของพระอาทิตย์ที่มี การเคลื่อนที่ตามทิศเหนือ ใต้ จึงท�ำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงของเงาในยามเที่ยงวันตามต�ำราข้างต้น ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 35 อีกต�ำนานหนึ่งที่มีความส�ำคัญและเกี่ยวเนื่องกับการมองโลกเป็นเขา พระสุเมรุนั่นคือ ต�ำนานวันสงกรานต์ ที่เล่าขานสืบต่อกันมาถึงเรื่องนายธรรมบาล และท้าวกบิลพรหม ซึ่งกล่าวไว้ว่า พระอินทร์ได้ส่งธรรมบาลเทวบุตร จุติลงมาเกิด เป็นบุตรเศรษฐี มีชื่อว่าธรรมบาลกุมาร เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถฉลาดรอบรู้ ศิลปศาสตร์ ทั้งยังสามารถเรียนรู้ภาษาสัตว์ต่างๆ เป็นที่ยกย่องแก่คนทั้งหลายใน ชมพูทวีป จากคำ�ร�่ำลือดังกล่าวท�ำให้ท้าวกบิลพรหมใคร่ทดสอบความสามารถของธรรมบาล กุมาร จึงเสด็จมายังโลกมนุษย์เพื่อพบกับธรรมบาลกุมาร เพื่อทดสอบถามปัญหาคือ ตอนเช้าราศีอยู่ที่ใด กลางวันราศีอยู่ที่ใด ตอนเย็นราศีอยู่ที่ใด โดยตกลงกันว่า ถ้าหาก ธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบค�ำถามได้ภายใน ๗ วัน จะต้องตัดศีรษะบูชาท้าวกบิล พรหม แต่ถ้าสามารถตอบได้ ท้าวกบิลพรหม จะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมารเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปได้๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังไม่สามารถคิดค�ำตอบได้จึงหนีเข้าป่าไป แต่ระหว่างที่นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็ได้ยินพวกนกแร้งคุยกันว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องออกหา อาหารแล้ว เนื่องจากจะรอกินร่างกายของธรรมบาลกุมารที่ไม่สามารถตอบค�ำถามของ ท้าวกบิลพรหมได้ นกแร้งทั้งสองยังได้พูดคุยถึงเรื่องค�ำถามแห่งท้าวกบิลพรหมและ พูดถึงค�ำตอบว่า ตอนเช้าราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงต้องเอาน�้ำล้างหน้า กลางวันราศีอยู่ ที่อก มนุษย์จึงเอาน�้ำลูบพรมที่หน้าอก ตอนเย็นราศีอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงเอาน�้ำล้างเท้า เมื่อธรรมบาลกุมารได้ยินดัง จึงได้ค�ำตอบ ซึ่งท�ำให้ท้าวกบิลพรหมจ�ำต้องตัดเศียร ตามค�ำสัญญา แต่ด้วยว่าเศียรของท้าวกบิลพรหมนั้น หากตกต้องพื้นดิน พื้นดินก็จะ ลุกเป็นไฟ หากตกลงในมหาสมุทร น�้ำก็จะเหือดแห้งหมด หากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล ท้าวกบิลพรหมจึงเรียกธิดาทั้ง ๗ มา โดยให้นำ�พานมา รองรับเศียรของตนแล้วน�ำไปแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลา ๖๐ นาที๒๑ ๒๑ ๖๐ นาทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเวลา ๑ ชั่วโมงแบบที่ใช้กันในปัจจุบัน แต่ ๖๐ นาทีตามต�ำนานดังกล่าวหมาย ถึงเวลา ๑ วัน ซึ่งเป็นหน่วยนับเวลาแบบโบราณ โดยสามารถจำ�แนกหน่วยย่อยของเวลาใน ๑ วันตามแบบ โบราณได้ดังนี้ ๑๐ อักขระเท่ากับ ๑ ปราณ ๘ ปราณเท่ากับ ๑ พิชนา ๕ พิชนาเท่ากับ ๑ บาท ๔ บาทเป็น ๑ นาทีและ ๖๐ นาทีเท่ากับหนึ่งวัน โดยแบ่งเป็นภาคกลางวัน ๓๐ นาทีและภาคกลางคืน ๓๐ นาทีแต่โดย ส่วนใหญ่แล้ว ก่อนที่จะมีนาฬิกาแบบสมัยปัจจุบัน คนสมัยโบราณมักจะนิยมนับเวลาตามยามมากกว่ากล่าว คือ ใน ๑ วันแบ่งออกเป็น ๑๖ ยาม แบ่งเป็นภาคกลางวัน ๘ ยามและภาคกลางคืนอีก ๘ ยาม หากเทียบกับ เวลาแบบปัจจุบัน ๑ ยามเท่ากับเวลา ๑.๓๐ ชั่วโมง เริ่มยามแรกที่เวลา ๖ โมงเช้าถึง ๗.๓๐นาฬิกานับไป เรื่อยๆจนกระทั่งเช้าอีกวันจนครบ ๑๖ ยาม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
36 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา แล้วน�ำเข้าไปเก็บในมณฑปถ�้ำคันธธุลีที่เขาพระสุเมรุพอครบก�ำหนด ๑ ปีพระอาทิตย์ เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ก็ให้ธิดาทั้ง ๗ ผลัดกันน�ำเศียร มาแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุ แล้วจึงน�ำไปเก็บไว้ตามเดิมเป็นประจ�ำทุกปี นิทานธรรมบาลนี้ได้อธิบายถึงระบบ การโคจรของพระอาทิตย์ที่วนรอบเขาพระสุเมรุ ๑ รอบเป็นเวลา ๑ ปีพอดีและ การน�ำเอาเศียรของท้าวกบิลพรหมออกมาแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุนั้นถือเป็นวัน ส�ำคัญในรอบปีคือวันมหาสงกรานต์หรือวันพญาวัน จากที่ได้กล่าวมานั้น แสดงถึงแนวคิดของคนโบราณที่มองโลกเป็นศูนย์กลาง จักรวาล จากการมองดวงดาวบนท้องฟ้ารวมถึงพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่หมุน โคจรรอบโลก ทั้งนี้คนสมัยโบราณได้ยึดถือตามสิ่งที่มองเห็นได้จากพื้นโลกเป็นเกณฑ์ มองออกไปบนท้องฟ้าจึงเชื่อว่ามีสวรรค์วิมานบนท้องฟ้าอยู่จริง ตามความเชื่อเรื่อง ภพภูมิในหลักศาสนา จึงได้อุปมาจ�ำลองจักรวาลคติหรือเขาพระสุเมรุขึ้นมาจากภูมิ สถานของโลกที่เป็นจริงนั่นเอง ลักษณะของดวงดาวตามวรรณกรรมนั้นมักจะนิยามว่า ดวงดาวต่างๆ คือ วิมานที่สถิตของเหล่าเทวดาทั้งหลายและเทวดาเหล่านั้นเป็นผู้ขับเคลื่อนดวงดาว เหล่านั้นให้หมุนไปตามเส้นวิถีโคจร รอบเขาพระสุเมรุ จึงพบว่ามีการบันทึกรูป ดวงดาวที่เขียนให้มีลักษณะเป็นดั่งวิมานหรือวิมานที่ตั้งอยู่บนราชรถของเหล่าเทวดา นอกจากนี้ยังพบในวรรณกรรมมหาชาติเวสสันดรชาดกแบบล้านนา ได้กล่าวถึงดาว ภาพวิมานราชรถของพระอาทิตย์พระจันทร์ วัดหัวเวียง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ที่มา : อ.ฐาปกรณ์ เครือระยา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 37 พระเคราะห์และดาวฤกษ์โดยการอุปมาเป็นราชรถของพญาสัญชัย โดยมีเนื้อความที่ สอดคล้องเป็นร้อยกรองไว้ว่า รถทั้งหลายมีมากลางเล่มชอนด้วยอุสุภรราชตัวใหญ่ลางเล่มก็มาใส่กวางค�ำ ลางล�ำก่อมาใส่แพะผู้ลากซุยซาย รถทังหลายสัพพะเรศ ควรสังเกตไว้หื้อเป็นตรา เล่มหนึ่งชื่อสุริยาทัณฑราช เล่มหนึ่งชื่อว่าจันทมาสมณฑล เล่มหนึ่งชื่อว่าอังคารพล วิเศษ เล่มหนึ่งชื่อว่าพุธเพศเพลาศรีเล่มหนึ่งชื่อว่าผัสสวดีครูโลก เล่มหนึ่งชื่อว่าสุกร โชคเพลาพิมาน เล่มหนึ่งชื่อว่าเสารีสถานสงโสด เล่มหนึ่งชื่อว่าราหูโคตรผิวเขียว เล่ม หนึ่งชื่อว่าเปลียวปล่องฟ้า เล่มหนึ่งชื่อว่าอัสสวดี ม้าหางห่อน เล่มหนึ่งชื่อว่าผรณี วอนใจโลก เล่มหนึ่งชื่อว่ากิตติโชศชุมศรีเล่มหนึ่งชื่อว่าโรหิณีแดงเพริศ เล่มหนึ่งชื่อ ว่ามิคสิระเลิศฤาชัย เล่มหนึ่งชื่อว่าอัทธราพิชัยประสาท เล่มหนึ่งชื่อว่าปุณณพะสุราช พิมาน เล่มหนึ่งชื่อว่าปุสสบัวยานอุ้มตุ้มราชรถหุ้มกรกัฎ เล่มหนึ่งชื่อว่าหัสเลศมาฆพิ เสสลายลุม บุพพภรคุณคามยศยิ่ง อุตรพระทรงคุณสิ่งใสศรีเล่มหนึ่งชื่อว่าหัสสวดี ชมชื่น จิตระหื้อหอสาร สารทมานในดูวิลาส วิสาขาสุชชนาตาวิฆาต เล่มหนึ่งชื่อว่า อนุราธราชา เขฏฐวดีแถวถั่วธรณีสัพพคัพคังถวายเถิง สัตตพิศเพิงควรคาด บุพพา อาจเพิงพออุตรพระทรงทอยศยิ่ง เล่มหนึ่งชื่อว่าเรวตีขิ่งไขศรีเล่มหนึ่งชื่อว่ามาตลีไข โลกหล้า ขึ้นขี่ฟ้าเสวยผล เล่มหนึ่งชื่อว่าวิไชยนต์ยศทราบ พระยาอินทรขี่ปราบ ไอศวร รถทั้งมวลยกเยิ่ง เยียะบิดเบิ่งผ้ายชูชัย ในจักรวาลคติส�ำนวนล้านนานอกจากจะกล ่าวถึงกลุ ่มดวงดาวต ่างๆซึ่ง อุปมาว่าเป็นปราสาทวิมานที่อยู่บนท้องฟ้าแล้วยังปรากฏชื่อเหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในภพ ภูมิต่างๆ ในจักรวาลไว้โดยละเอียดโดยจ�ำแนกออกเป็นกลุ่มต่างๆคือ ๑. กลุ่มที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าคือ เทวดาและพรหมต่างๆ คือ พญาประชาบดี พญาวรุณ พญาอีสาน พญาธตรัฐ พญาวิรุฬหะ พญาวิรูปักขะ พญาเวสุวัณ จันท เทวบุตรสุริยะเทวบุตร มาตะริเทวบุตร วิสุกัมม์เทวบุตร ปัญจะสิกขะเทวบุตรตน จ�ำกองบุญกองกุศล พญาอินทร์ตนเป็นใหญ่ในสวรรค์ตนชื่อว่า มฆะวา อินตาธิราช เทวดาตนอยู่ชั้นฟ้ายามา เทวดาตนอยู่ชั้นฟ้าตุสิตา เทวดาตนอยู่ชั้นฟ้านิมมานรดี เทวดาตนอยู่ชั้นฟ้าปรินิมมัตตะวัสสะวดีพญาพรหมทั้งหลายอันอยู่ในพรหมโลก ๑๖ ชั้น พญาตนชื่อสานังกุมาระ สหัมปติมหาพรหม ฆติกามหาพรหม เมฆระ เทวบุตร พรหมเทวดา รุกขเทวดา บัพพัตตะเทวดา อากาสะเทวดา นทีเทวดา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
38 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา รฐปาลเทวดา เทวดา ๗ พันตนอันรักษาแผ่นดิน เทวราช ๖ พันตนอันอยู่รักษา ป่าไม้หิมพานต์ พราหกเทวบุตรตนรักษาฝน ปจุณณะเทวบุตรตนรักษาแดด ปัชชุณณะเทวบุตรตนรักษาลม จุฬรฐเทวบุตร มหารฐเทวบุตร อเนกสุวรรณ เทวบุตร นางสุรสะดีตนรักษาธรรม แปดหมื่นสี่พันขันธ์ นางวสุนทราธรณีตน จ�ำน�้ำหยาดหมายตาน พญาเคราะห์ทั้ง ๙ เทวดาตนรักษานักขัตตฤกษ์๒๗ ตัว สุพรหม เมฆันตรเทวบุตร กุมภิระเทวบุตร ๒. กลุ่มที่อยู่เบื้องล่างต�่ำลงมาจากชั้นเทวโลกคือสัตว์ทั้งหลายคือ มนุษย์เดรัจฉานและ สัตว์นรกทั้งหลาย สัตว์ที่อยู่บนบกมี๙ โกฏิสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในน�้ำมี๑๐ โกฏิ กุมภัณฑ์อสุระทั้งหลาย พญาตนชื่อปรมถะ พญาตนชื่อสมนุปรา พญายมราช ตนชื่อยมะโลกะ พญายมราชตนชื่อยะมะมัง พญายมตนชื่อยะมะกะ พญายมตน ชื่อติโส สิริคุตตะอามาตแห่งพญายมตนจ�ำบาปแห่งคนทั้งหลาย พิศนูเทวบุตร อันเป็นช่างเค้าแห่งพญาอินทร์พญาพิสสนูเอลาปัตถะนาคอขิสังขะนาคจุฬวารานาค มหาสังขะธระรฐะนาค มุนิกาละนาค จกังเคนาโธนาค วธระสานาค ปนันทะนาค สุมโนนโรนาค มหากาละนาค ปลาหลวงอนันทะ ปลาหลวงติปิงคระ ปลาหลวงตัว ชื่อมหาติปิงคระ ปลาหลวงตัวชื่อติมินทะ พญาครุฑเวนะไตยยะ พญาครุฑตน ชื่อจิตราสุบันณา พญาไอศวรตนชื่อเวปจิตติพญาโสมะ พญาปรไมยศวรตนอยู่ ดอยมัณทะคีรีพญากัณหัสสะและพญารฐปาละเจ้าเมืองต่างๆ ๓. กลุ่มพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์คือโพธิสัตว์๕๐๐ ตนอันจักมาภายหน้าเวเมตตรัยยะ โพธิสัตว์อุตโรโพธิสัตว์เจ้า ราโมโพธิสัตว์เจ้า ปเสโนโพธิสัตว์เจ้า โกสะระภิกขุ โพธิสัตว์เจ้า ทีฆะโสโพธิสัตว์เจ้า สังกิจจโจโพธิสัตว์เจ้า สุโภณโตโพธิสัตว์เจ้า ไทยะพราหมโณโพธิสัตว์เจ้า นาราคิรีโพธิสัตว์เจ้า ปริเรยยะโพธิสัตว์เจ้า โพธิสัตว์ เจ้าแปดหมื่นสี่พันตนอันจักมาภายหน้า มหาอุปคุตเถระเจ้า อนุเมรฐเถระเจ้า ธัมมะสาระเถระเจ้า เขมาวัตตะเถระเจ้าอระหันตาเจ้าทั้งสี่ตนนี้ยังบ่นิพพานเตื่อแล เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิจักวาลทั้งหลายนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีฤทธิ์อ�ำนาจต่างกันไป ทั้งดีและร้ายมักปรากฏชื่อตามวรรณกรรมทางพุทธศาสนา แต่ละนามที่กล่าวมานั้น ล้วนมีบทบาทต่อวิถีชีวิต และพิธีกรรมของคนล้านนา รวมถึงงานศิลปกรรมที่ปรากฏ ตามศาสนสถาน เพื่อร้องขอคุณอ�ำนาจในการปกป้องหรือความช่วยเหลือด้วยการ บูชาเซ่นสรวงด้วยวิธีการต่างๆ เป็นโลกอีกมิติหนึ่งที่คนปกติไม่สามารถเข้าถึงได้นอก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 39 จากการปฎิบัติตามหลักพุทธศาสนาและชีวิตหลังความตาย แต่ผู้คนโดยทั่วมักจะถูก สอนให้เชื่อว่ามิติหรือภพภูมิดังกล่าวคือเรื่องที่มีอยู่จริง เมื่อเกิดความเชื่อย่อมสามารถ ก�ำหนดผู้คนให้อยู่ในกรอบของจารีตประเพณีได้โดยง่ายสังคมบ้านเมืองจึงอยู่ได้อย่างสงบสุข ภาพจิตรกรรมจากพับสา รูป วิมานราชรถแห่งพระอาทิตย์ และพระจันทร์ที่ โคจรรอบเขาพระสุเมรุ ที่มา:สมุดภาพไตรภูมิฉบับ อักษรธรรมล้านนา และอักษรขอม.กรมศิลปากร ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
40 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ก�ำเนิดฤดูกาล จากต�ำนานปฐมมูลมูลีที่ได้กล่าวถึงว่า เมื่อมนุษย์ถือก�ำเนิดออกมาแล้ว ทั้งสาม ต่างก็เจ็บป่วยไม่สบายเนื่องจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ปู่สังกะไสและย่า สังกะสีทั้งสอง จึงได้ปรับสภาพอากาศของโลกขึ้นใหม่ให้เป็นฤดูกาลโดยแบ่งออก เป็นสามช่วงในรอบปีคือฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน แต่ความเป็นจริงแล้วความ เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นฤดูกาลต่างๆนั้นเกิดจาก วิถีโคจรของพระอาทิตย์ที่วน รอบจักรราศีและขยับตัวเคลื่อนที่เข้าออกจากโลก เป็นสิ่งส�ำคัญที่บ่งบอกถึงฤดูกาล ต่างๆ โดยแบ่งวงโคจรของพระอาทิตย์ที่วนรอบโลกออกเป็นสามส่วนกล่าวคือ ฤดูกาล ละ ๔ เดือนหรือ ๔ ราศีทั้งหมด ๓ ฤดูรวมเป็น ๑ ปีโดยจะเรียกช่วงเวลาดังกล่าว ตามวิถีโคจรของพระอาทิตย์ว่า โคณวิถีอชวิถีและนาควิถีอันหมายถึงฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ตามล�ำดับ เริ่มจากโคณวิถีคือ ราศีธนูมังกร กุมภ์และมีน อชวิถีหรือฤดูร้อน เริ่มจาก ราศีเมษ พฤษภ เมถุน และกรกฎ และนาควิถีเริ่มจากราศีสิงห์กันย์ตุลย์และพิจิก ดังปรากฏในต�ำนานอรุณวดีสูตรได้กล่าวถึงเรื่องฤดูกาลไว้ว่า วิถีแห่งการหนทางเทียวของพญานักขัตฤกษ์ทั้งสอง๒๒ มี๓ วิถีอันหนึ่งชื่อ อชวิถีอันหนึ่งชื่อ นาควิถีอันหนึ่งชื่อโคณะวิถีส่วนว่าอชวิถีคือหนทางเทียวของแพะ๒๓ นาควิถีคือหนทางเทียวของนาค โคณะวิถีคือหนทางเทียวแห่งวัว ส่วนว่าแพะทั้งหลาย บ่เพิงใจน�้ำเทียรย่อมหย้านกลัวน�้ำนัก นาคทั้งหลายย่อมเพิงใจน�้ำ น�้ำย่อมจ�ำเริญใจ แก่นาค ส่วนวัวทั้งหลายนั้นเป็นอันเสมอด้วยน�้ำก็บ่ปอเพิงใจ แต่ก็บ่กลัวน�้ำ เทียร ย่อมสนุกแก่วัวทั้งหลายย้อนว่าบ่ฝนนักบ่แดดนักเป็นอันเพิงใจแก่วัว เหตุดั่งนี้หากว่า พระจันทร์พระอาทิตย์ทั้งสองลงมาสู่อชวิถีหนทางแพะเทียว กาลนั้นฝนมาตรหยาด น�้ำก็บ่ตกลงมาแล พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นสู่นาควิถีเมื่อใด เมื่อนั้นฝนก็ตกลง มามากนัก ประดุจดั่งอากาศทั้งมวลเป็นช่องเป็นรู หากพระจันทร์แลพระอาทิตย์ขึ้น มาสู่โคณวิถีทางวัว ฝนก็พอประมาณอากาศก็เสมอบ่ร้อนนักบ่เย็นนัก ๒๒ หมายถึงพระอาทิตย์และพระจันทร์๒๓ ไตรภูมิฉบับพระร่วงเรียกว่า อัชชะวิถีหมายถึงทางเดินของม้า ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 41 นอกจากนี้ต�ำรายังได้กล่าวถึงการโคจรของพระอาทิตย์ในแต่ละฤดูกาลโดย การสังเกตจากโลกไว้ว่าวัสสานะอุตุทักขิณายาณะ หมายถึงช่วงฤดูฝนพระอาทิตย์ ย้ายเมือใต้ เหมันตาอุตุช่วงฤดดูหนาวพระอาทิตย์ย้ายเมือใต้วสันตะอุตุหรือช่วงฤดู ใบไม้ผลิคือปลายฤดูหนาวอาทิตย์พระอาทิตย์ย้ายเมือเหนือคิมหาอุตุฤดูร้อนพระอาทิตย์ ย้ายเมือเหนือ พระอาทิตย์จักเทียวทักขิณายานะหนใต้ ๖ เดือน อุตตะรายะหน เหนือ ๖ เดือน จึงเป็นปีนึ่งแล ประการนึ่ง หากพระอาทิตย์เดินทางลงมาในอชวิถีคือช่วงฤดูร้อน เทวบุตร ตนชื่อว่า วัสสาวราหก ตนใจรู้ด้วยฝนหรือผู้ให้ก�ำเนิดฝน สะดุ้งตกใจกลัวพระอาทิตย์ เทวบุตรตนนั้นจักออกจากที่อยู่คือวิมานแห่งตนบ่ได้ อันจักมีใจจะขงขวาย จะออก มาเดินเล่นก็บ่ได้เทวบุตรตนนั้นเท่าอยู่ในปราสาทวิมานแห่งตนเหตุดั่งนี้วิถีอันสุริยะ วิมานลงมาเทียวแวดต�่ำจึงชื่อว่าอชวิถีฝนจึงบ่ตกแล ก็เป็นอันพึงใจแพะนักแล เมื่อพระอาทิตย์เทียวไปด้วยวิถีอันอื่น วัสสาวราหกเทวบุตร ก็ออกจากวิมาน แห่งตน ก็มีใจมักขงขวายเล่นตามเพิงใจ สุริยะวิมานก็เมือขึ้นสูงกว่ากองถนนแห่ง ภาพแผนผังการโคจรของพระอาทิตย์รอบจักรราศีอันเป็นต้นก�ำเนิดของฤดูกาล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง