92 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หันดาวควัน ออกสีขาวสีเขียว บ้านเมืองจักได้อยู่เป็นสุขอิ่มเต็ม ผิว่าหัน ควันดาว สีด�ำก่ดี สีแดงก่ดี ก่จักมีศึกมีเสือคนทั้งหลายจักได้เจ็บไข้มากนัก เดือนผ่าดาวดังนี้เมื่อพญาอภัย จักตายวันนั้นแผ่นดินเมืองก่แตกเป็น สองกีบ เดือนก่ผ่าดาววีดาวเขียงค่อมก่ออกควัน หันดาวควันทั้งสี่ลูกควันออกสี่ทิศ ปรากฏในเมืองใดเมืองนั้นจักเป็นศึกสี่ ทิศดั่งกันเสี้ยงแล วัน ๑ หันดาวควันพายวันตกดั่งอั้น เมืองพายวันออกจักมีศึกแล วัน ๒ หันดาวควันพายวันออก บ้านเมืองพายวันตกจักมีศึกจา วัน ๓ ผิหันดาวควัน เจ้าเมืองอันอยู่ริมฝั่งน�้ำใหญ่จักมาตกเมือง วัน ๔ ผิหันดาวควัน ขุนเมืองจักได้พรากจากกัน ส วัน ๕ ผิหันดาวควัน เจ้าเมืองจักได้ช้างหลวงงวงใหญ่บ่คลาดแล ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 93 วัน ๖ ผิหันดาวควัน คนผู้มีรูปงามจักมาติเตียนเจ้าเมือง ผิหันดาวควันวัน ๗ ฝนจักตกมากนักชะแล ดาว ๕ ดาว ๖ มาผ่าเดือนจักแพ้นางเมือง จักคัดยากใจแก่คนทั้งหลาย ดาว ๗ ผ่าเดือนศึกจักมียังขอบบ้านริมเมือง ดาว ๓ ผ่าเดือน ศึกจักมีฝนจักแล้งข้าวจักแพง ดาวดวงใดผ่าเดือนไปวันตกวันออกหนเหนือและหนใต้ จักแพ้สมณะ พราหมณ์และนางท้าวพญาแล เดือนผ่าเรียงดาวห่างเรือนจักแพ้ขุนเมือง เดือนมาผ่าดาวต่อไก่ ขุนผู้มีบุญผู้นึ่งจักมาเกิด เมื่อพญาจักกวัติมาเกิด ก่ดั่งนี้ เมื่อเจ้าสีธาตุ ๕๒ มาเกิดเป็นพระเจ้าก่มีสันนี้ ๕๒ เจ้าชายสิทธัตถะ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
94 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ดาวห่างเรือนและดาวต่อไก่ไปทางเหนือเดือน จักแพ้ผู้ใหญ่ เมื่อพระเจ้า จะเข้าสู่นิพพานก่มีสันนี้ บ้านเมืองจักเสียแล ดาวออกควัน พระจันทร์ก่ตือ พระอาทิตย์ก่ตือร่วมวัน บ้านเมืองจักสนั่น หวันไหว คนเมืองจักตื่นต้วง อามาตย์ขุนใหญ่จักเป็นไพร่ อุบาทว์ใหญ่ พยาธิ์ใหญ่จักมีแล หันดาวสะเปาเป็นดั่งหย่อนลงมา แผ่นดินนั้นขุนเสนาอามาตย์จักเพียร ลาจากขันธ์ทั้งห้า เดือนพายเหนือท้องดาวสะเปาลายพ้อย จักแพ้ช้างม้างัวควายสัตว์สี่ตีน แพ้ชุอันแล ดาวสี่ขี่เหนือเดือนไป จักเป็นภัยแก่นางเทวีและนางเจ้าเรือนหลวง ๕๓ แล ตะวันตือกุบ วัน ๑ ตะวันตือกุบไฟจักไหม้เมือง บ่อั้นพายวันออกจักมีศึกแล วัน ๒ ตะวันตือกุบ ขุนเมืองจักได้เมียผู้ดีผู้งาม ๕๓ นางเรือนหลวงคือภรรยาของขุนนาง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 95 วัน ๓ ตะวันตือกุบ แขกบ้านนายเมืองจักเอาเครื่องปัณณาการของฝาก มาสืบปฏิญาณบ้านเมือง แต่ไฟจักไหม้หื้อกระท�ำบุญเสียจิ่งดี วัน ๔ ตะวันตือกุบบ้านเมืองจักมีศึกมีเสือบ้านเมืองจักตื่นต้วงแล วัน ๕ ตะวันตือกุบ อามาตย์ขุนเมืองจักปองฆ่ากันตายแล วัน ๖ ตะวันตือกุบ เจ้าเมืองจักได้ลาภะอันยิ่ง วัน ๗ ตะวันตือกุบ ฟ้าฝนจักดีคนทั้งหลายจักอิ่มเต็มแล แล้วจักมีศึกแล ผิว่าตะวันตือกุบเป็นสองขอบซ้อนกัน นานได้สองเดือนปลาย ๒๑ วัน เจ้าเมืองจักฆ่าฟันกันตายบ่คลาดแล ตะวันออกมาแล้วยามนึ่งพ้อยตือกุบ เจ้าบ้านเจ้าเมืองจักตาย บ้านเมือง จักยุ่งแล ตะวันเที่ยงแล้วตือกุบเจ้าเมืองนางเมืองจักเป็นอุบาทว์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
96 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันจ้ายแล้วพ้อยตือกุบจักเป็นภัยอุบาทว์ ตะวันตกแล้วตือกุบจักมีศึกแล พระจันทร์ตือกุบ ๕๔ วัน ๑ พระจันทร์ตือกุบฟ้าฝนดี วัน ๒ พระจันทร์ตือกุบฟ้าฝนดีข้าวไร่ข้าวนาเต้าแตงดี วัน ๓ พระจันทร์ตือกุบ ฝนบ่มีหลายจักเป็นภัยแก่เจ้าบ้านเจ้าเมือง วัน ๔ พระจันทร์ตือกุบ ฝนตกดีคนทั้งหลายจักได้อิ่มเต็มอยู่เป็นสุข วัน ๕ พระจันทร์ตือกุบเจ้าเมืองจักได้นางแลช้างม้าชะแล วัน ๖ พระจันทร์ตือกุบสะค่วยเศรษฐีจักอยู่ดีมีโชค ได้ลาภใหญ่ดี ๕๔ พระจันทร์ทรงกลด ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 97 วัน ๗ พระจันทร์ตือกุบ ขอบบ้านริมเมืองจักตื่นต้วง คนทั้งหลายจักเจ็บ ไข้มากนัก ดาว ๓ ดาว ๗ ดาวม้าหางฮ่อน ดาวก้อนเส้าค�ำ ดาวสี่ลูกนี้มาตอมเข้ากัน เจ้าขุนผู้ใหญ่กินบ้านกินเมือง เจ้าหัวศึกจักตายแล ดาว ๗ มาเข้าดาวสวนผักดั่งอั้นคนทั้งหลายจักกั้นอยาก ดาว ๕ ไปก่อนหน้าดาว ๗ ไปตวยหลัง ดาว ๓ไปตามหลังดั่งอั้น คนเมือง ใหญ่จักตายจักได้เจ็บไข้กั้นอยากมากนักแล เมื่อเจ้าสารามจักม้างปัญจขันธ์ ดาวก่เรียงกันดั่งนี้ดาว ๖ ก่ออกควันแล การสังเกตเมฆฝ้า ตะวันก�ำลังออกออกมามีฝ้าเป็นรูปนกเก๊า ๕๕ จับอยู่เหนือตะวัน คนทั้งหลาย จักผิดกันจักเป็นภัยแก่เจ้าเมืองแล เมื่อเดือนก�ำลังออกมา ทางเหนือเดือนมีฝ้าเป็นรูปนกยางขาว บ้านเมือง จักอยู่ดีมีสุข ผิว่าเป็นรูปราชสีห์ ขุนหัวศึกจักได้เป็นใหญ่ ไพร่ผู้น้อยจักได้ เป็นขุนบ่คลาดชะแล ๕๕ นกเค้าแมว, ต�ำราดูดาวฉบับวัดหนองเงือกกล่าวว่า หากเกิดเงารูปนกเค้าแมวในตะวันจะเกิด อุบาทว์แก่เมือง หากเป็นรูปกาในตะวัน คนจักเป็นโทษมากนัก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
98 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ฝ้าเป็นรูปเสืออยู่เหนือเดือน คนทั้งหลายจักเป็นภัยอุบาทว์ ฝ้าเป็นรูปนาค คนทั้งหลายจักได้เจ็บไข้มากนักแล ฝ้าเป็นรูปช้างดั่งนี้ ขอบบ้านริมเมืองจักอยู่เย็นใจ เจ้าเมืองจักได้ข้าส่วยไร่ นามาแถมชะแล เดือนออกมาแล้วเอาปากไปทางวันตกดั่งนี้ตั้งเดือนนั้นไปพายหน้า ได้ ๖ เดือนจักเป็นอุบาทว์แก่ช้างม้า ข้าคนจักเสียชะแล ประการนึ่ง เมื่อยามหัวค�่ำก่ดี ยามเที่ยงวันก่ดี ยามเช้าก่ดี ยามจ้ายก่ดี ฝ้า เป็นรูปตุงออกมาปายหนเหนือเป็นสายไปวันตกผ่านท้องฟ้าอยู่ดั่งนี้ คน ทั้งหลายจักอิ่มเต็มเป็นดีมีสุข ผิว่าออกหนเหนือไปวันออกก่ดีไปหนใต้ ก่ดี บ้านเมืองพายฝ่ายนั้นจักมีเจ็บไข้มากนักแล ยามกลางวันเที่ยงหันฝ้าเป็นรูปตุงเป็นสายไปในอากาศกลางหาวเมือวัน ตกวันออกก่ดี เรียงตะวันไปวันตกวันออกดั่งอั้นบ้านเมืองจักเสีย กันไป หนใต้หนเหนือบ้านเมืองจักหวั่นไหวชะแล ผิว่าหันฝ้ารูปตุงหนวันออกไปเหนือ วัน ๑ จักเป็นศึกลู่ชิงกัน ฝนห่าใหญ่ จักตกข้าวน�้ำเต้าแตงจักดี หล้าปีฝนบ่มีแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 99 หันฝ้าเป็นรูปตุงพายเหนือวัน ๒ คนทั้งหลายจักอยู่ดีมีสุข ฝนหัวปีกลางปีดี หล้าปีบ่มี เต้าแตงของปลูกบ่ดีหลาย หันฝ้าเป็นรูปตุงวัน ๓ หนหรดีจักเป็นเสิก จักเจ็บไข้ ฝนหัวปีบ่ดี หางปีดี หันฝ้ารูปตุงวัน ๔ หนหรดี บ้านเมืองพายนั้นจักมีอุบาทว์ฝนบ่มีหลาย หันฝ้าเป็นรูปตุงวัน ๕ เจ้าเมืองหนนั้นจักได้ลาภส่วยเชาช้างม้าข้าคนมากนักแล หันฝ้าเป็นรูปตุงวัน ๖ ขอบบ้านริมเมืองจักมีศึก ท้าวขุนฝูงรู้หลวกจักมี อุบาทว์ ฝนหัวปีจักดีแล หันฝ้าเป็นรูปตุงวัน ๗ บ้านเมืองจักอยู่เย็นใจ คนทั้งหลายอิ่มเต็ม ฟ้าฝน ข้าวกล้าไร่นาดีจุแห่งแล หันเมฆะในอากาศเมื่อโสธการดั่งนี้ริพลโยธาหารจักสั่น ระสายมากนักแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
100 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ดาวฤกษ์กับลางบอกเหตุ เดือนเข้าดาวภรณี ดาวเขียงค่อม ดั่งอั้นเมืองพุก�่ำจักเสียแล กิตติกา ดาววีเข้า เดือน เมืองทั้งหลายจักเสียแล โรหิณีดาวคางเข้าเดือน เมืองสิงขยาจักเสียแล มิคคสีละดาวหัวเนื้อก้อนเส้าค�ำ เข้าเดือน เมืองตะโก้งจักเสียแล อัทรา ดาวเรือนห่าง เข้าเดือน เมืองทวาย หรือเมืองละเขืองก่ว่าแล จักเสียแล ปุณนัพพัสสุ ดาวสะเปา เข้าเดือน เมืองลังกาจักเสียแล ปุษสยะ ดาวขาเปี้ยเข้าเดือน เมืองขรอมจักเสียแล อัสเลส ดาวคอกม้าเข้าเดือน เมืองบ่อแสงจักเสีย มาฆะดาวรวงข้าวเข้าเดือน เมือง เวสาลี แลเมืองสะถุ่งก่ว่าแล จักเสียเมืองแล ปุรพผลคุณณี ดาวตีนเถื่อนก�้ำหน้าเข้าเดือน เมืองพาราณสีจักเสียแล เมืององเครก ก่ว่าแล อุตรผลคุณีดาวตีนเถื่อนก�้ำหลังเข้าเดือน เมืองมิถีลานครจักเสียแล หัสสถะ ดาวทบศอกเข้าเดือน เมืองจ�ำปานครจักเสียแล จิตตะ ดาวหมูกางค�ำ ดาวใต้ไฟหลวงก่ว่า เข้าเดือนเมืองสาวัตถีก่ว่าเมืองธัญวดีก่ว่าจักเสียเมือง ชะแล สวัสติ ดาวไต้ไฟน้อยก่ว่าเข้าเดือนเมืองเจตุดรนครจักเสียแล วิสาขา ดาวกงเกีย รดาวด้งก่ว่าเข้าเดือนเมืองตักสีลาก่ว่าเมืองซางทอยก่ว่าจักเสียแล อนุราธะ ดาวฉัตรคัน คดเข้าเดือนเมืองอังครัฐจักเสียแล เชษฐะดาวช้างพังของ ดาวสายดือก่ว่าเข้าเดือน เมืองกลิงคราชจักเสียแล มูลละ ดาวงาช้างน้อยเข้าเดือนเมืองเปียรชนาเลกจักเสีย ปุพพสาธะ ดาวตีนช้างน้อยก�้ำหน้าเข้าเดือนเมืองมุตะมะจักเสียชะแล อุตราสาธะ ดาวตีนช้างน้อยก�้ำหลังเข้าเดือนเมืองวิเทหราชจักเสียชะแล ศรวณะ ดาวคานหามผีเข้า เดือนเมืองยวนสุโขก่ว่า เมืองละกอนก่ว่าจักเสียชะแล ธนิษฐา ดาวเกียงปืนก่ว่า ดาวสายกุบก่ว่า เข้าเดือนเมืองโกสัมพีจักเสียแล ศตภิษัช ดาวไม้ส้าวเข้าเดือน เมืองราชคหะนคร จักเสียแลปุพพภัทรบท ดาวทรายค�ำตัวผู้เข้าเดือน เมืองอินทปัฐนครจักเสียชะแลอุตร ภัทรบท ดาวทรายค�ำตัวแม่ เข้าเดือนเมืองกบิลภัตรจักเสียชะแล เรวตีดาวปลา สะเพียนเข้าเดือนเมืองกุสินารายจักเสียชะแล ๕๖ ดาวฤกษ์กับนามเมือง อัสสวิณี ม้าหางฮ่อนเป็นนามเมืองขอม ๕๖ หัวเมืองเมืองต่างๆโดยเฉพาะเมืองในพุทธประวัติที่ปรากฏบางเมืองเป็นชื่อหัวเมืองในล้านนา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 101 ภรณี ดาวเขียงค่อมเป็นนามเมืองพุกาม กิตติกา ดาววี เป็นนามเมืองหริภุญชัย โรหิณี ดาวคางเป็นนามเมืองอโยธิยา มิคสีละ ดาวหัวเนื้อ เป็นนามเมืองหงสาวดี อัทรา ดาวเรือนห่างเป็นนามเมืองมูลเขือง ปุนัพพสุ ดาวสะเปาเป็นนามเมืองลังกา ปุสยะ ดาวขาเปี้ยก่ว่า ดาวเรือนห่างก่ว่า เป็นนามพญาจักรวัตติราช อัสเลส ดาวม้าฆาเหลือง เป็นนามเมืองบ่อแสง มาฆะ ดาวรวงข้าว ดาวงูก่ว่า เป็นนามเมืองเวสาลี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
102 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ปุพผลคุณ ดาวตีนเถื่อนก�้ำหน้า ก่ว่าดาวเนื้อทรายตัวผู้ก่ว่าเป็นนาม เมืองพาราณสี อุตรผลคุณ ดาวตีนเถื่อนก�้ำหลัง ก่ว่า ดาวเนื้อทรายตัวแม่ก่ว่า เป็นนาม เมืองมิถิลานคร หัสถะ ดาวทบศอก เป็นนามเมืองจ�ำปานคร จิตรา ดาวมุกางค�ำก่ว่า ดาวไฟใต้หลวงก่ว่า เป็นนามเมือง สาวัตถี สวัสสะติ ดาวไฟใต้น้อย เป็นนามเมืองเชตุตุลนคร วิสาขา ดาวกงเกวียน เป็นนามเมืองตักสีลา อนุราธ ดาวฉัตรคันคด เป็นนามเมืองอังครฐะ เชษฐะ ดาวช้างพังของ เป็นนามเมืองกลิงครฐะ มูลละ ดาวงวงช้างน้อยเป็นนามเมือง เปียรชนาเลก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 103 ปุพสาทะ ดาวตีนช้างน้อยก�้ำหน้า เป็นนามเมืองมุททะหม อุตราสาทะดาวตีนช้างน้อยก�้ำหลัง เป็นนามเมืองวิเทหะ สลาวัณณะ ดาวไม้คานหามผี เป็นนามเมือง สุโข ก่ว่า ไทว่าละกอน ธนิษฐา ดาวเกียงปืน เป็นนามเมืองโกสัมพี ศตภิษัช ดาวไม้ส้าวแง่ม เป็นนามเมืองราชคหะ ปุพพภัทรบท ดาวทรายค�ำตัวผู้ เป็นฤกษ์มหาสารีบุตรเถรเจ้าแล อุตราภัทรบท ดาวทรายค�ำตัวแม่เป็นฤกษ์มหาโมคคัลลานเถรเจ้าแลเป็น นามเมืองกบิลพัสดุ์ ส เรวตี ดาวปลาไนค�ำ เป็นฤกษ์นางศรีมหามายา เป็นนามเมืองกุสินารายณ์ ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
104 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ดวงดาวกับลางบอกเหตุในประวัติศาสตร์ เหตุอุบาทว์สมัยพระยาเมืองเกษเกล้า ที่นี้จักกล่าวเหตุอุบาทว์อันปรากฏในรัชสมัยพระยาเมืองเกษเกล้าก่อนแล ปีกดยีสักราชได้ ๘๙๒ ตัว ไฟไหม้โรงหลวงหลังเจ้าพระยาเมืองแก้ว สร้างนั้นเสีย ปีร้วงเหม้า สักราชได้๘๙๓ ตัว เดือน ๖ ไฟไหม้บ้านท่าแพ เสียของคนทั้งหลายมากนัก เจ้าพระยาเกษแม ่ลูกย ่าหลานทานเงินแก ่ชาวท ่าแพ พุ่น ๒ หมื่นเงิน ปีเต่าสี สักราชได้๘๙๔ ตัว ปกโรงหางหลังหลวงแทน ปีก่าไส้สักราชได้๘๙๕ ตัว เจ้าพระยาเกษ เอาแขกใต้ไปไหว้พระธาตุละพูน เถิงเดือน ยี่ออก ๘ ค�่ำ เม็งวันไทกาบยียามกลอง คราด หันอุบาทว์ผีพุ่งใต้ในอากาศทั่วทิศทังมวลหันอากาศเป็นดังดาวชิดนั้น เถิงเดือน ๓ ไม้หมากยังเมืองหนองขวางต้นใหญ่พอตกปลี รู้ย้ายคลาจากที่ไปทั่วทิศทังมวล หนเหนือไปพุ่น ๑๑ วา ปีกาบสง้าสักราช ๘๙๖ ตัว เดือนเจียง มหาเทวีอโนชา แม่พระยาเกษสุรคุต กล่าวด้วยเหตุในสมัยพระยาเมืองเกษเกล้าก็บัวรมวลลง เท่านี้ ก่อนแล เหตุอุบาทว์ในสมัยพระยาแม่กุ กล่าวด้วยอุบาทว์ในรัชสมัยพระยาแม่กุก็ปรากฏมีดั่งนี้แล ปีรวายยีสักราช ได้๙๑๘ ตัว เดือนยี่ พระเป็นเจ้าแม่กุเสด็จไปกระท�ำบุญพระมหาธาตุล�ำปางยังเมือง ตาล๕๗ หันอุบาทว์เกิดมี๒ อันเยื่อง ๑ หันรูปฝ้า เป็นนาคเทียวเอาหัวเมือวันตก เอา หางเมือวันออก เอาหลังเมือเหนือ ท้องเมือใต้ยาวพุ่น ๗ วาปลาย อันหันดาวพฤหัสเป็นควันเป็นหาง ทวนกระแสเมือเหนือนานเดือนปลายจึง หาย ถัดนั้นมาปีเมืองไส้ สักราชได้ ๙๑๙ ฟ้ามังทราหงสาวติเข้าเวียงพิงค์ เถิงวัน เดือน๗ เป็ง วัน ๗ ไท ยามกลองงายได้เวียงเชียงใหม่แล ๕๗ ปัจจุบันอยู่ในเขตต�ำบลเวียงตาล อ�ำเภอห้างฉัตร จังหวัดล�ำปาง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 105 เหตุลางอันม่านจักเสื่อมถอยฤทธิ์จากล้านนา ทีนี้จักกล่าวเหตุลางอันม่านจักเสื่อมถอยฤทธีไปจากเวียงเชียงใหม่ก่อนแล สักราช ๑๑๓๐ ตัว ปีเปิกไจ้ฉัตรธาตุเมืองแช่หนองหักลง เดือน ๙ แรม ๖ ค�่ำ เอาฉัตรธาตุละ พูนขึ้นต่าง อภัยคามณีตายแล้ว แมงแหนมวยคามณีมาแทน อยู่เชียงใหม่ สกเดียวนี้ เถิงสักราช ๑๑๓๑ ตัว ปีกัด เดือน ๑๑ ออก ๔ ค�่ำ วัน ๑ ดาวควันทิศวันออก เดือน เจียงแรม ๖ ค�่ำ ดาวควันแถมควันเชือนไปวันตก เถิงเดือน ๔ เชคคายน้อยพรหม ฟื้นแมงเหนมวยโป่หัวขาวยังเชียงใหม่บ่แพ้ เชคคายน้อยพรหมตายก็ปีนั้น โป่ซุกขุปปสีห แลชุโป่ ไปตีผ้าขาวพันนาได้นางสาม...มาถวายกษัตริย์อังวะก็ปีนั้น ฟ้าผ่าเล่มข้าว ของกษัตริย์อังวะก็ปีนั้น ม่านป่าวกันควากหูทือลาน๕๘ ก็ปีนั้นแล สก ๑๑๓๒ ตัว ปีกดยี อังคารเทียวร่วมศุกร์ อุบาทว์เกิดแก่สัตว์สี่ตีนสองตีนมากนัก กระต่ายตัวหนึ่งมีหัว เดียวมีตัว ๓ ตัว ยังเกาะเชียงภลูเดือน ๗ ออก ๓ ค�่ำ วัน ๒ ทัพชาวใต้พระโกษาปาน เป็นหัวมีคน ๗ พันมารบเชียงใหม่ มาตั้งอยู่ประตูหล่ายแคงได้๙ วัน เถิงวัน ๓ เดือน ๗ ออก ๑๑ ค�่ำ แตกหนีล่องไป เดือน ๗ แรม ๘ ค�่ำ ไฟไหม้เมืองอังวะ ไหม้หนอีสาน เกี้ยวไปเหนือเกี้ยวไปวันตก เถิงวัดพระนอนจึงดับ จาด้วยทัพชาวใต้บ่แล้วเดือน ๘ ออก ๑๑ ค�่ำ ยามมืดซะลุ้ม ทัพชาวใต้แตกไป หมู่ชาวเชียงใหม่ทวยรบเอ็งทุ่งพระบาท สีนาท๕๙ชาวใต้ถูกเชคคายซ้ายตาย สก ๑๑๓๓ ตัว ปีร้วงเหม้า๖๐ ดวงดาวกับลางบอกเหตุจากบันทึกครูบาอาโนชัย ศักราชได้๑๑๘๑ ปีกัดเหม้า สังขารไปเดือน ๖ แรม ๔ ค�่ำ เน่า ๒ วัน วัน ๗ เป็นพระยาวันแลเดือนเจียงออกพรรษาได้๑ วัน จันทคราสกินเสี้ยง เชียงใหม่ได้ช้างเผือก เดือนยี่แจ้ห่มเมืองละกอนก็ได้ช้างเผือก ปี๑๑๘๒ สังขารไปเดือน ๗ ออกค�่ำ พระยา วันออก ๓ ค�่ำ เดือน ๗ แรม ๗ ค�่ำวัน ๔ ดาวบิ่นขึ้นเมือเหนือ๖๑ชุหน่วยแรม ๑๐ ค�่ำ วัน ๗ ซ�้ำบิ่นเมือเหนือแถมมาก อัศจรรย์ใจมีมากแล ศักราชได้๑๒๒๐ เดือน ๑๑ ออก ๒ ค�่ำวัน ๔ พญาธนัญชัยกินข้าวแล้วไป ไล่ควายเข้าสวน ขึ้นมาต�ำหมากบ่ตันเคี้ยวลวดตาย ถึง ๑๒ ค�่ำ วัน ๗ พญาอ�ำนาจ ๕๘ เจาะหูเพื่อใส่ลาน ค�ำว่าลานในที่นี้หมายถึงเครื่องประดับท�ำจากแผ่นโลหะมีค่ารีดบางเป็นแผ่นยาวแล้ว ม้วนส�ำหรับใส่รูหู๕๙ ปืนคาบศิลา ๖๐ สรรพ์นิพนธ์ล้านนาคดีเ ล่มที่ ๑ หน้า ๖ ๑๐ และ ๑๒๖๑ ดาวหันหน้าขึ้นด้านเหนือ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
106 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ลมขึ้นลวดตาย ๑๔ ค�่ำ เอาพญาธนัญชัยไปเสีย ถึงเดือนเป็งวัน ๓ ยามตูดจ้ายแผ่น ดินไหวถึงปถมะยามจันทคราสจับกัน ถึงเวลามัชฌิมยามพญาบุญชูไข้สะอื้นลวดตาย แถมอายุพญาธนัญชัยได้๘๐ ทัด อายุพญาอ�ำนาจได้๖๔ อายุพญาบุญชูได้๗๕ ปีแล ศักราชได้๑๒๒๓ ตัวปีลวงเล้า เดือน ๙ แรม ๑๒ ค�่ำวัน ๔ ดาวควันออก เดือน ๑๐ ออก ๑๐ ค�่ำ เจ้าแม่ฟองแก้วไข้ลุกบ้านดอนมูลมาตายใส่หล้อง๖๒วัน ๑๑ ค�่ำ วัวกระทิงมาขวิดยังคนบ้านเอื้อม คนทั้งหลายยิงบ่ถูก ใกล้ก็ลวดยิงบ่ออกแถมหนีไป ทางใดบ่รู้แล เจ้าหลวงกับเจ้าหอหน้าก็บ่ทัดบ่แม่นกัน๖๓ ตั้งแต่เดือน ๙ จึงไปเชิญเอา เจ้าหลวงเชียงใหม่เข้ามารอดเมืองละกอน เดือน ๑๒ ดับ วัน ๕ ไทยกาบสัน เจ้าทั้ง สองเป็นฉันทะกันแล้วเจ้าหลวงเชียงใหม่จึงออกจากเมืองละกอน ในเดือนเจียงออก ๑๓ ค�่ำ วัน ๔ ไทเปิกเส็ดอายุเจ้าหลวงญาณรังสีได้๗๔ อายุเจ้าหอหน้าได้๖๖ บ่ทัด กันหั้นก�ำนึ่ง ดาวควันก่ออกถึงเดือน ๓ ออก ๑๒ ค�่ำ วัน ๖ ไทรวายสัน ฝ้าอยู่บนฟ้าก็ เป็นรูปตุงหว่ายหน้าไปวันออกซ้วยเหนือแล บุพพนิมิตร้ายแก่บ้านเมือง พทธพิมพสวลา ปีต น�้ำตาพระพุทธรูปตก เหงื่อพระพุทธรูป เกทโลหิตดุปัง เจติยะแตก เลือดออก เหงื่อออก ถูปสุสภิชุชเต ถูปัง สถูปแตกเป็นควันออก อสุสผลิเตภคฺคัง ฟ้าผ่าที่อยู่แล้วทั้ง ๓ ที่วิเศษ ยกฺขวา รุตฺตคีตัง ผียักษ์ขับ ผีไห้ผีใคร่หัว มหิทญผลิเต แผ่นดินแตกแผ่นดินควันออกไฟไหม้แผ่นดิน โตยากิมิรุธีรัง สระน�้ำเป็นเลือดเป็นหนอน พยัคฆาทิปุเรปวิฎฐัง ตัวป่ามีต้นว่าเสือ หมีเข้าเมือง สัตว์ตัว.. ห่อนมาพ้อยมา สมณกุลวิวาทัง ชาวเจ้าสมณะมักผิดกัน อินทธนุขิตฺตอากาเส หันพรายยิงธนูในอากาศเมื่อวัน เมื่อคืนเป็น ผีรุ่งในอากาศ ๖๒ โลงศพ๖๓ ไม่ลงรอยกัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 107 รวินฺโท ยมโก หันพระอาทิตย์๒ ลูก ปุพฺพนิมิตทังหลายฝูงนี้ อันบ่อห่อนเกิดมีแต่ก่อน หลอนเกิดมีสันก็หื้อ ทวายว่าร้ายเต๊อะ๖๔ นอกจากต�ำราที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีเรื่องเล่าจากการสังเกตดวงดาวต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการเดินทางของคนโบราณ โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้ากองคาราวาน วัวต่าง ที่ต้องเดินทางข้ามป่าเขาไปค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างเมือง โดยปกติพ่อค้า วัวต่างจะเดินทางวันละ ๖ – ๗ ชั่วโมงเท่านั้น กล่าวคือเริ่มเดินทางตั้งแต่ตอนเช้ามืด แล้วไปหยุดพักช่วงก่อนเที่ยง เพื่อปลดสัมภาระและปล่อยวัวพักออกไปหากิน จะไม่ นิยมเดินทางกันในช่วงบ่ายเนื่องจากอากาศร้อน อาจจะทำ� ให้วัวหงุดหงิดและเดินไม่ไหว เนื่องจากของที่ต่างบนหลังวัวจะมีน�้ำหนักมาก เมื่อพักผ่อนแล้วเวลาเช้ามืดพ่อค้าวัว ต่างจะคอยสังเกตดาวช้างหลวงว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ดาวช้างหลวงปกงวง คือดาวส่วน ที่เป็นงวงช้างตั้งขึ้น แสดงว่าเป็นเวลาใกล้สว่าง ก็จะเตรียมสัมภาระออกเดินทางต่อไป และในเวลาพลบค�่ำทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้จะมีดาวอีกกลุ่มหนึ่งชื่อว่า ดาว พร้าวเจียน๖๕ เป็นดาวที่นักเดินทางใช้สังเกตยามพลบค�่ำ เพื่อระบุต�ำแหน่งทิศหรือ เป็นแผนที่บนท้องฟ้า ในยามที่ดาวช้างหลวงยังไม่ปรากฏ นอกจากนี้ยังมีดาวหมูกอง หรือ ดาวผกาย๖๖ ซึ่งเชื่อว่าเป็นดาวที่หมูป่าจะคอยใช้ดูเป็นสัญญาณออกหากิน พรานป่าจะสังเกตดาวดวงนี้เพื่อออกล่าสัตว์ในป่า นอกจากนี้ยังมี ดาวหมาหลับ เป็นดาวที่โจรขโมยรอคอย เนื่องจากหากดาวดวงนี้ขึ้นตรงหัว หมาจะหลับ รวมไปถึง กลุ่มชาวประมงเมืองฮอดและดอยเต่า จะสังเกตดาวปลาตะเพียนขึ้นกลางหัว ถือ เป็นเวลาที่เหมาะกับการออกหาปลาในยามกลางคืนเนื่องจากปลาจะออกมาว่ายเล่น บนผิวน�้ำ เป็นต้น ๖๔ สุริยยาตรา และจุฬามณีสาร หน้า ๑๓๕๖๕ หมายถึงต้นมะพร้าวที่เอียง ดาวกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าเป็นดาวกลุ่มใดบนท้องฟ้า ข้อมูลจากการ สัมภาษณ์พ่อหนาอิ่นค�ำ ธนัญชัย บ้านพร้าวหนุ่ม อ�ำเภอแม่แจ่ม และหลวงพ่อเบญจมิน สุตา วัด บ้านดงหาดนาค อ�ำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่๖๖ หมายถึงดาวศุกร์บางครั้งเรียกดาวประกายพรึก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
108 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ค�ำสอนของครูบาอภิชัยขาวปีได้กล ่าวถึงการเอาตัวรอดจากการหลงป ่า ด้วยการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้าได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ถ้าหลงป่าเมื่อคืนหื้อแหงน ผ่อฤกษ์ดาวตามฤดูถึงเดือน ๑๒ เดือนเกี๋ยง เดือนยี่ เดือน ๓ ใน ๔ เดือนนี้หื้อผ่อดู ดาวช้างน้อยมีหนใดหนนั้นเป็นทิศตะวันตก หัวช้างน้อยมีหนใดหนนั้นเป็นทิศตะวันออก ท้องช้างน้อยมีหนใดหนนั้นเป็นทิศใต้ หลังช้างน้อยมีหนใดหนนั้นเป็นทิศเหนือ ถ้ารู้ ทิศต่างๆแล้วหื้อพิจารณาถ้าเราออกจากบ้านมาทิศใดหื้อกลับไปตามทิศแห่งดาวนั้น ในเดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ๖ และเดือน ๗ ใน ๔ เดือนนี้ดาวสะเปาออกมา หื้อแหงนผ่อดูดาวสะเปา ท้ายหัวดาวสะเปามีหนใดหนนั้นเป็นทิศตะวันตก ท้องดาว สะเปามีหนใดหนนั้นเป็นทิศตะวันออก ถ้ารู้ทิศเหนือทิศใต้แล้วยังบ่รู้หนเหนือหนใต้ หื้อผ่อดูดาวเต่าที่อยู่ในท้องสะเปานั้น หัวเต่ามีหนใดหนนั้นเป็นทิศเหนือ ก้นดาวเต่า มีหนใด หนนั้นเป็นทิศใต้หากพิจารณาดูหื้อถี่เต๊อะ ในเดือน ๘ เดือน ๙ เดือน ๑๐ และเดือน ๑๑ ใน ๔ เดือนนี้ดาวช้างหลวง ออกมา หื้อแหงนดูดาวช้างหลวง ปลายงวงช้างหลวงมีหนใดหนนั้นเป็นทิศตะวันออก หัวช้างหลวงมีหนใด หนนั้นเป็นทิศตะวันตก ท้องช้างหลวงมีหนใดหนนั้นเป็นทิศเหนือ หลังช้างหลวงมีหนใดหนนั้นเป็นทิศใต้ หากอากาศเป็นฝ้าเป็นหมอกผ่อบ่หันดาวหื้อ นอนหลับเสียที่นั้นเต๊อะ อย่าได้เดินไปจักหลงป่าเป็นแน่ หากนอนอยู่ที่นั้นจนแจ้ง ตะวันออกเราจักรู้ทิศแล การสังเกตดวงดาวของคนล้านนานั้นยังมีอีกมาก แต่ละท้องถิ่นจะมีวิธีการ สังเกตดวงดาวบนท้องฟ้าที่แตกต่างกันออกไป เมื่อความเจริญเข้ามาสู่ท้องถิ่นทั้ง ไฟฟ้า ถนนหนทาง รถยนต์ โทรศัพท์ วิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาการสังเกตท้องฟ้าและ ดวงดาวจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีชีวิตคนล้านนา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 109 การตีความหมายดาวนพเคราะห์ ท�ำให้วิชาดาราศาสตร์กลายเป็นโหราศาสตร์ ดาวนพเคราะห์ ดาวนพเคราะห์ตามความหมายแล้ว หมายถึงดวงดาว ๙ ดวง อันหมายถึง พระอาทิตย์ จันทร์อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์เสาร์ราหูและเกตุ แท้ที่จริงกลุ่มดาว นพเคราะห์ทั้งหมดนี้มีดวงดาวที่เกิดจากธาตุทั้งสี่ หรือมหาภูติรูป เพียง ๗ ดวง เท่านั้น โหราจารย์สมัยโบราณได้เพิ่มราหูซึ่งเป็นจุดคราสของดวงดาวเข้ามาเป็นดาว เคราะห์ด้วย จึงเรียกว่าดาวอัฐเคราะห์ ต่อมาให้เพิ่ม พระเกตุขึ้นมาโดยถือเป็นอีก ด้านหนึ่งของจุดคราสหรือฝั่งตรงข้ามราหูตามต�ำนานฝ่ายฮินดูได้กล่าวถึง พระราหู ว่าได้แอบเข้าไปดื่มน�้ำอมฤทธิ์ซึ่งเป็นน�้ำแห่งความเป็นอมตะ แต่พอกินลงไปแค่ครึ่ง ตัวก็ถูกกงจักรแห่งพระนารายณ์ตัดเหลือครึ่งท่อน ท่อนล่างที่ถูกตัดไปจึงกลายเป็น พระเกตุ ถือเป็นวิญญาณธาตุ เมื่อรวมเอาพระเกตุเข้าร่วมกับกลุ่มดาวอัฐเคราะห์คือ ๘ ดวงเดิมจึงกลับกลายเป็นดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง ซึ่งเรียกติดปากกันโดยทั่วไป ทั้งๆ ที่โลกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้พบดาวเคราะห์ในจักรวาลนี้เพิ่มเติมอีกหลายดวง เช่น ดาวพลูโต เนปจูน แต่ก็ยังนิยมเรียกกลุ่มดาวเคราะห์ว่า ดาวนพเคราะห์เช่นเดิม คนโบราณให้ความส�ำคัญกับดาวเคราะห์ในยุคแรกเริ่มด้วยการก�ำหนดเป็น วันต่างๆ ตามชื่อดวงดาวทั้งเจ็ดวัน คือ วันอาทิตย์วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วัน พฤหัสบดีวันศุกร์และวันเสาร์ต่อมาในภายหลังได้เพิ่มราหูเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถ ขยายวันเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากจะท�ำให้ระบบปฏิทินเดิมเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็น เรื่องใหญ่ โหราจารย์จึงเลือกวางราหูไว้ที่วันพุธกลางคืน ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางในสัปดาห์ พอดี นอกจากนี้ดาวพระเคราะห์ทั้ง ๘ ดวงยังเข้ามามีอิทธิพลต่อช่วงเวลาในแต่ละ วันเรียกว่ายามอัฐกาล ซึ่งจะแบ่งเป็นช่วงกลางวัน ๘ ยาม กลางคืน ๘ ยาม โดยดาว พระเคราะห์ต่างๆจะหมุนเวียนกันเข้ามาครองเวลา ในล้านนาก็แบ่งออกเป็น ๘ ยาม เช่นกัน ตามตารางดังนี้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
110 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นอกจากนี้ยังพบว ่าระบบการนับวันของล้านนามีหลายประเภท หาก สังเกตการนับวันในปฏิทินล้านนานั้นจะพบว่ามีสามระบบ กล่าวคือ ระบบที่ ๑ เรียกว ่าวันเม็ง หรือการนับแบบมอญ คือนับวันอาทิตย์ วันจันทร์วันอังคาร จนถึงวันเสาร์ ระบบที่ ๒ คือการนับวันแบบจันทรคติกล่าวคือ การนับวันข้างขึ้น วันข้างแรม ระบบที่ ๓ คือการนับวันแบบหนไต การนับแบบนี้จะมีแม่มื้อและลูกมื้อ ก�ำกับกันอยู่ จะมีวิธีการค�ำนวณที่ซับซ้อน๖๗ แม่มื้อวันไตทั้งหมดมี๑๐ ชื่อคือ กาบ ดับ รวาย เมือง เปิก กัด กด ร้วง เต้า ก่า ลูกมื้อมีทั้งหมด ๑๒ ตัวคือ ไจ้เป้า ยีเห ม้า สีไส้สะง้า เม็ด สัน เล้า เส็ด ไก๊ การนับจะต้องน�ำแม่มื้อและลูกมื้อมาจับคู่กัน เช่น กาบเส็ด ก่าเหม้า เมืองเป้า เปิกยีเป็นต้น ภาพตารางยามปัญจขันธ์ฟ้าฟีก หรือยามอัฐกาลแบบล้านนาจากวัดศาลาหลวง อ�ำเภอเกาะคา จังหวัดล�ำปาง ๖๗ หาวันแม่มื้อลูกมื้อต้องอาศัยเศษตัวเลขท้ายจากการค�ำนวณหรคุณวันซึ่งจะอยู่ในวิธีการค�ำนวณปั๊กขะตืน หรือปฏิทินล้านนา ซึ่งผู้เขียนไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้เนื่องจากมีรายละเอียดมาก จึงเขียนให้ทราบพอเป็น พื้นฐานเท่านั้น ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 111 จุดเปลี่ยนที่ท�ำให้หลักวิชาดาราศาสตร์กลายเป็นโหราศาสตร์คือการตีความหมาย และก�ำหนดสัญลักษณ์ของดวงดาวต่างๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากการสังเกตดวงดาว บนท้องฟ้าของคนโบราณพบว่า ระบบการโคจรของดวงดาวแต่ละดวงนั้นมีอิทธิพล ต่อความเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติเสมอ เช่น พระอาทิตย์มีผลต่อฤดูกาลและอุณหภูมิ พระจันทร์มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อระบบน�้ำขึ้นน�้ำลงในแม่น�้ำและทะเล การหมุนโคจร ไปในราศีต่างๆ ของดวงดาวจะสร้างปรากฏการณ์ในธรรมชาติขึ้นมาแบบซ�้ำๆ และมี การจดบันทึกเป็นต�ำราสถิติขึ้น จึงมีการศึกษาความสัมพันธ์ของดวงดาว และตีความ หมายเพื่อใช้ในเชิงสถิติจนเป็นต�ำราที่ใช้ในการท�ำนายทายทักและคาดเดาเหตุการณ์ สภาวะธรรมชาติไว้ล่วงหน้า ซึ่งต่อมาถูกปรับเปลี่ยนคลี่คลายและน�ำมาใช้ในการคาดเดา หรือดูดวงชะตาเสียเป็นส่วนใหญ่ วิชาดาราศาสตร์จึงถูกแยกออกมาเป็นวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือเรื่องเดียวกัน การสังเกตการเคลื่อนตัวของดาวพระเคราะห์แต่ละดวงกับการโคจรผ่าน ราศีแต่ละราศีนั้น จะใช้เวลาในการเดินทางไม่เท่ากัน การเดินทางของดาวต่างๆ เหล่านี้เรียกว่า “ดาวจร” โดยเรียงล�ำดับพระเคราะห์ต่างๆ ได้ดังนี้ ๑. พระอาทิตย์ อัตราการโคจร ราศีละประมาณ ๑ เดือน เมื่อพระอาทิตย์ จรจนครบ ๑๒ ราศีจึงเป็น ๑ ปีการจรหรือการเดินของพระอาทิตย์เป็นการเดินแบบ ปกติไม่เดินแบบวิกลคติ๖๘ ๒. พระจันทร์ อัตราการโคจรราศีละ ๒ วันครึ่ง เมื่อโคจรรอบ ๑๒ ราศี แล้ว จึงเป็น ๑ เดือนการโคจรของพระจันทร์เป็นการเดินปกติไม่เดินแบบวิกลคติ ๓. ดาวอังคาร อัตราการโคจรราศีละประมาณ ๔๕ วัน แต่ก็ไม่มีความ แน่นอนบางครั้งก็พักนิ่งอยู่ในราศีเดียวถึง ๘ เดือนก็มี ๔. ดาวพุธ อัตราการโคจร ราศีละประมาณ ๒๙-๓๑ วัน หรือโดยเฉลี่ย ๓๐ วัน แต่ก็ไม่มีความแน่นอนหรือไม่เสถียรมากที่สุด ในกลุ่มบรรดาดาวเคราะห์ บางครั้ง นิ่งอยู่กับที่ บางครั้งเดินเร็ว บางครั้งถอยหลัง จึงมักนิยมกล่าวกันว่า วันพุธรวนเร ๕. ดาวพฤหัสบดี อัตราการโคจร ราศีละประมาณ ๑ ปีเป็นการจรแบบ เดินปกติไม่เดินแบบวิกลคติแต่ก็มีบางครั้งที่มีการเดินเร็วหรือช้ากว่าปกติเล็กน้อย ๖๘ หมายถึงการโคจรที่ใช้เวลาไม่แน่นอน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
112 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ๖. ดาวศุกร์ อัตราการโคจร ราศีละประมาณ ๓๐ วัน เหมือนกับดาวพุธคือ โคจรราศีละ ๒๙- ๓๑ วัน ๗. ดาวเสาร์ อัตราการโคจร ราศีละประมาณ ๒ ปี๖ เดือน การจรแบบ เดินปกติไม่เดินแบบวิกลคติ ๘. ราหูอัตราการโคจร ราศีละ ๑ ปี๖ เดือนเป็นการเดินปกติไม่เดินแบบ วิกลคติแต่เดินสวนทางกับดาวอื่นๆ ๙. เกตุ อัตราการโคจร ราศีละประมาณ ๕๕ วัน เดินปกติไม่เดินแบบวิกลคติ แต่เดินสวนทางกับดาวอื่นเช่นเดียวกันกับราหู จากการที่ดาวพระเคราะห์แต่ละดวงจรไปในราศีต่างๆ ด้วยเวลาที่ต่างกัน จึงท�ำให้รูปแบบของดาวพระเคราะห์ที่จรอยู่ในจักรราศีมีการเปลี่ยนแปลงต�ำแหน่ง อยู่ตลอดเวลา การสังเกตการณ์โคจรของดวงดาวแต่ละดวงกับการท�ำมุมสัมพันธ์กัน ของดาวพระเคราะห์ในผังจักรราศีทั้ง ๑๒ ราศีจึงย่อมมีความเปลี่ยนแปลงต่อสภาวะ ต่างๆ บนโลกด้วยเช่นกัน โดยมีชื่อเรียกต่างกันตามต�ำแหน่งดาว เช่น ดาวสองดวงอยู่ ในราศีเดียวกัน เรียกว่า ดาวกุม ตำ�แหน่งดาวในสองดวงอยู่ในราศีตรงข้ามกันเรียกว่า ดาวเล็ง หรือท�ำมุมฉาก ๙๐ องศา เรียกว่าจตุโกณ หรือท�ำมุมฉาก เป็นต้น อีกประการหนึ่งคือการสังเกตการโคจรของดาวพระเคราะห์ที่ไปสถิตร่วม กับดาวฤกษ์ในราศีต่างๆ ซึ่งจะตีความหมายตามดาวพระเคราะห์ร่วมกับความหมาย ของฤกษ์ที่ร่วมกันอยู่ โดยดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ดวงนั้นต่างก็มีความหมายที่แตกต่างกัน ไปมีทั้งดีและเสีย จึงเป็นคติส�ำคัญของคนไทยโบราณที่นิยมในการหาฤกษ์ยามที่ดีใน การกระท�ำการมงคลต่างๆ อยู่เสมอ โดยการสังเกตพระจันทร์ ซึ่งเป็นดวงดาวที่ สังเกตได้ง่ายและโคจรรวดเร็วที่สุดในบรรดาดาวนพเคราะห์ทั้งหมด การจรเข้าสู่ฤกษ์ ของพระจันทร์จะเรียกว่าจันทร์เสวยฤกษ์ แม้ดาวพระเคราะห์ดวงอื่นจะโคจรอยู่กับ ดาวฤกษ์เช่นเดียวกันกับพระจันทร์แต่จะให้ความส�ำคัญกับพระจันทร์เป็นหลัก ส่วน ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ก็ควรอยู่ในต�ำแหน่งที่ดีฤกษ์ที่ดีและราศีที่ดีเหมาะสมการงาน มงคลนั้นๆ ด้วยเช่นกัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 113 รูปพรรณของดาว และความหมายของดาวพระเคราะห์ตามคัมภีร์เฉลิม ไตรภพ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าศาสตร์หรือต�ำราที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวในล้านนา หรือภูมิภาคนี้ทั้งหมดล้วนมีที่มาจากอินเดีย โดยรับผ่านมาทางศาสนาฮินดู ดังนั้น พื้นฐานเรื่องดวงดาวและโหราศาสตร์ต่างๆ นั้นจึงมีรากเดียวกัน แต่มักจะมีการปรับปรุง หรือเพิ่มเติมตามเหตุปัจจัยต่างๆเช่นศาสนาพุทธ หรือลัทธิความเชื่อท้องถิ่น โดยการ ตัดทอนเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของตน และสอดแทรกเนื้อหาที่สัมพันธ์กับลัทธิ ตนขึ้น โดยนักบวชหรือปราชญ์โหราจารย์ของบ้านเมืองนั้นๆ ได้เขียนหรือแต่งเพิ่มเติม จนเป็นต�ำราเฉพาะถิ่นขึ้นมา ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงเรื่องลักษณะพื้นฐานของดวงดาวจึง มักจะมีที่มาหรือต�ำนานจากเรื่องเดียวกัน แม้ในปัจจุบันก็ยังมีการปรับปรุงเนื้อหา ความหมายของดาวขึ้นใหม่อยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ทันกับยุคสมัย โดยจะเขียนเป็นต�ำราไว้ ส�ำหรับผู้ที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ เพื่อเป็นนักพยากรณ์หรือหมอดูมืออาชีพ เมื่อ เข้าใจพื้นฐานความหมายของดาวตามต�ำราแล้ว ผู้ที่จะเป็นนักพยากรณ์จ�ำเป็นจะต้องรู้จัก การพลิกแพลงในการตีความหมายของดาวอยู่เสมอ จึงเป็นเหตุให้หลายคนมองว่า โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ไม่เสถียร จึงไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือในวงวิชาการมากนัก ความหมายของดาวพระเคราะห์แบบพื้นฐานที่ใช้ในเรียนการสอนวิชาโหราศาสตร์ ปัจจุบันมีดังนี้ ๑. พระอาทิตย์กำ� เนิดขึ้นจาก พระอิศวรเป็นผู้ร่ายพระเวทย์ให้ราชสีห์๖ ตัว ป่นเป็นธุลีแล้วห่อด้วยผ้าสีแดงและพรมด้วยนํ้าอำ�มฤต แล้วจากนั้นจึงเกิดเป็นเทวบุตร มีสีกายสีแดง วิมานสีแดง ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ พระอาทิตย์จึงมีก�ำลัง ๖ เป็นดาว บาปเคราะห์บางตำ�ราก็ว่า เป็น อัพยากฤต คือเป็นกลาง พระอาทิตย์เป็นดาวธาตุไฟ ใช้สัญลักษณ์เป็นเลข ๑ เป็นดาวเกษตร หรือเจ้าเรือน๖๙ ในราศีสิงห์ราศีธาตุไฟ ซึ่งใน บรรดาดาวทั้งหมดมีดาวอาทิตย์ กับราหู เท่านั้นที่เป็นเจ้าเรือน ราศีธาตุที่ตรงกับ ธาตุตนเอง ที่มีไฟลุกโชติช่วงมีแสง พลังงานในตัวเอง เป็นดาวที่ใหญ่ที่สุดในระบบ สุริยะจักรวาล เป็นดาวที่ให้แสงสว่างแก่ดาวเคราะห์ดวงอื่น ๖๙ ในผังจักราศีทั้ง ๑๒ ช่องจะมีการก�ำหนดดวงดาวประจ�ำราศีทุกราศีเรียกว่าดาวเจ้าเรือน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
114 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ความหมายทั่วไป คือ ผู้ชาย ร่างกาย สามีบิดา อ�ำนาจ ยศศักดิ์ชื่อเสียง สูงศักดิ์ผู้น�ำ รักศักดิ์ศรีมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ความเย่อหยิ่ง ทิฐิหรูหราโอ่อ่า รักความยุติธรรม จริงจัง ใจร้อนวู่วาม ไฟ ความร้อน ไฟฟ้าแสงสว่าง อุปกรณ์ไฟฟ้า ภาษาโหราศาสตร์ทั่วไปจะเรียกว่า ทายยศศักดิ์อัครฐานให้ดูจากต�ำแหน่งของพระอาทิตย์ ว่าอยู่ในราศีหรือภพที่ดีหรือไม่ บุคคล พระราชา เชื้อพระวงศ์ นายกรัฐมนตรีเจ้านาย หัวหน้า ผู้บังคับ บัญชา ผู้มีอ�ำนาจ ข้าราชการ บิดา สามี สถานที่ พระราชวัง สถานที่ราชการ รัฐสภา สถานที่มีไฟ แสงสว่าง ความร้อนสูง โรงไฟฟ้า รูปร่าง ผิวสองสีขาวแดง หน้ามน หน้าผากแคบ ตาเป็นประกาย มี สีแดง ผิวไม่หยาบไม่ละเอียด ๒. พระจันทร์ ถือก�ำเนิดขึ้นจาก พระอิศวรเป็นผู้ร่ายพระเวทย์ให้นางฟ้า ๑๕ องค์เป็นธุลีแล้วห่อด้วยผ้าสีนวล ประพรมด้วยนำ �้อ�ำมฤต บังเกิดเทวบุตร ผิวกาย สีนวล วิมานแก้วสีมุกดา ทรงม้าเป็นพาหนะ พระจันทร์จึง มีก�ำลัง ๑๕ เป็นดาว ศุภเคราะห์ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๒ ดาวจันทร์เป็นบริวารของโลก เป็นดาวธาตุดิน หรือดินชุ่มน�้ำ เพราะดาวจันทร์เป็นดาวเกษตร แม่ธาตุน�้ำ ในราศีกรกฏ ดาวจันทร์ เป็นดาวที่คู่กับ ดาวอาทิตย์อย่างสนิทแนบแน่น แต่ก็เป็นไปในลักษณะคู่ขนานกันไป คือ พระราชา พระราชินี ขวา ซ้าย กลางวัน กลางคืน ความหมายทั่วไป ดาวจันทร์คือ สตรีจุดเจ้าชะตาหญิง ภรรยา มารดา ประชาชนคนทั่วไป ครอบครัว หลักฐาน ฐานะ จิตใจ อารมณ์จินตนาการ ช่างฝัน นัยน์ตา (ตาซ้าย) การเดินทาง ขนส่ง น�้ำ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน�้ำใจ สุภาพอ่อนหวาน รัก ครอบครัว สิ่งที่ท�ำเป็นกิจวัตรประจ�ำวันทายจริต จิตใจ ให้ดูจากต�ำแหน่งของ พระจันทร์ว่าอยู่ในราศีหรือภพที่ดีหรือไม่ บุคคล พระราชินีสตรีสูงศักดิ์ พยาบาล แม่บ้าน แม่ครัว คนครัว นักเดิน ทาง กะลาสีเรือ คนขับรถ ชาวประมง แพทย์ผดุงครรภ์ผู้ให้บริการแก่บุคคลทั่วไป ประชาชนทั่วไป ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 115 สถานที่ โรงพยาบาล ท่าเรือ ท่ารถ ท่าขนส่ง สถานที่ที่เกี่ยวกับน�้ำ สระว่ายน�้ำ บ่อน�้ำ แหล่งน�้ำต่างๆ ตลาด แหล่งชุมชน รูปร่าง อรชร ผิวงามตางาม ผิวขาว หรือขาวเหลือง มีน�้ำมีนวล หน้ารูปไข่ ๓. พระอังคาร ก�ำเนิดขึ้นจาก พระอิศวรร่ายพระเวทย์ ให้กระบือ ๘ ตัว เป็นธุลีห่อด้วยผ้าสีแก้ว เพทาย ประพรมด้วยน�้ำอ�ำมฤต บังเกิดเป็นเทวบุตร สีกาย เป็นสีแก้วเพทาย อาภรณ์คือแก้วโกเมน วิมานสีทับทิม ทรงมหิงสาเป็นพาหนะ พระอังคารจึงมีก�ำลัง ๘ เป็นดาวบาปเคราะห์ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๓ ลักษณะ ทั่วไปของดาวอังคาร มีขนาดใกล้เคียงกับโลก เป็นดาวธาตุลม หรือลมกรด เพราะ ดาวอังคาร เป็นเกษตร เจ้าเรือนราศีเมษ ธาตุไฟ ซึ่งเด่นกว่า ที่ราศีพิจิก ธาตุน�้ำ ดาวอังคารมีสีแดง โหราศาสตร์ถือว่า พระอังคารเป็นเทพแห่งสงคราม ความหมายทั่วไป ผู้ชาย วัยฉกรรจ์สามีการกระท�ำ การงาน ความขยัน กล้าแข็งกล้าหาญ เอาจริงเอาจังกระตือรือร้น ภาระความรุนแรงแตกหัก ความขัดแย้ง การต่อส ู้แข่งขัน อุบัติเหตุกะทันหัน ทำ�ลาย ของแหลมคม โลหะอาวุธ เครื่องจักรกล ทายความกล้าแข็ง ขยันให้ดูที่ดาวอังคาร บุคคล ทหาร ต�ำรวจ เจ้าหน้าที่ปราบปราม ผู้ถืออาวุธ นายช่าง ช่างเทคนิค ช่างที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ศัลยแพทย์ ช่างตัดผม ช่างตีเหล็ก นักมวย นักกีฬา ครูพละ สถานที่ ค่ายทหารสถานีต�ำรวจสรรพาวุธ ร้านขายอาวุธ ร้านเหล็กสนามกีฬา ตึกศัลยกรรม รูปร่าง หน้ากระดูก ล�่ำเตี้ย แบบมะขามข้อเดียว เกร็ง ก�ำย�ำล�่ำสัน มีกล้ามเนื้อ หุ่นนักกีฬา ผิวขาวแดง (บางต�ำราว่า ด�ำ หรือด�ำแดง) กร้านหยาบ ตาโปน ผมหยักศก ๔. พระพุธ ถือก�ำเนิดจากพระอิศวร ร่ายพระเวทย์ด้วย คชสาร ๑๗ เชือก ป่นเป็นธุลีห่อด้วยผ้าสีเขียวมรกต ประพรม น�้ำอ�ำมฤต บังเกิดเป็นเทวบุตรสีกายเป็น สีแก้วมรกต ทรงช้างเป็นพาหนะ พระพุธจึงมีก�ำลัง ๑๗ เป็นดาวศุภเคราะห์ ใช้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
116 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๔ เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่สุด ในระบบสุริยะจักรวาล และ อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ตามหลักโหราศาสตร์ดาวพุธจะอยู่ห่างจาก ดาวอาทิตย์ ได้ไม่เกิน ๒๘ องศาถ้าดาวพุธอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ตั้งแต่ ๒๗ – ๒๘ องศาดาวพุธ จะให้คุณในดวงชะตาอย่างเต็มที่ ดาวพุธเป็นดาวธาตุน�้ำ อันหมายถึง นำ �้ ทะเล, นำ �้บ่อ เพราะดาวพุธได้ต�ำแหน่งเข้มแข็งในราศีกันย์ ธาตุดิน จึงเป็นดินที่อุ้มน�้ำ ดาวพุธมี ลักษณะการโคจรที่ปรวนแปร รวนเร มักจะเดินวิกลคติ อยู่บ่อยๆ จึงเป็นเหตุให้ โบราณมักจะไม่เริ่มต้นท�ำอะไร หรือให้ฤกษ์กับกิจการที่ต้องการให้ด�ำเนินการคงอยู่ ยืดยาวออกไป เช่น การแต่งงาน เพราะพุธรวนเร ความหมายทั่วไป อ่อนวัยสิ่งใหม่การติดต่อสื่อสารความคิดการวางแผน การเจรจา การติดต่อสื่อสาร ค�ำพูด ช่างพูด งานเขียน เอกสาร ตัวแทน นายหน้า เพื่อน ข้อมูลข่าวสาร ไหวพริบปฏิภาณ เปลี่ยนใจง่าย รวนเร ปรับตัวเข้ากับคนอื่น หรือสภาพแวดล้อมได้ดีทายเจรจาอ่อนหวานให้ดูดาวพุธ บุคคล นักพูด นักเขียน นักคิด นักวางแผน ตัวแทนนายหน้า คนกลาง ล่าม พ่อค้าแม่ค้า นักบัญชีบุรุษไปรษณีย์คนถ่ายเอกสาร เสมียน นักการทูต คนมาใหม่ พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงรูปร่างหน้าแป้นหน้ามน รูปร่างไม่ใหญ่ เจ้าเนื้อท้วม ผิวขาว ตะโพกใหญ่ หน้าอกใหญ่คอสั้น ผมเรียบดก สถานที่ โรงพิมพ์ องค์การโทรศัพท์ ห้องประชุม เวทีปราศรัย ประตู หน้าต่าง ห้องประชาสัมพันธ์ตึกใหม่อาคารใหม่ ๕. พระพฤหัส ก�ำเนิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทย์ให้ฤๅษี๑๙ ตน เป็นธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ ประพรมน�้ำอ�ำมฤต บังเกิดเป็นเทวบุตร มีสีกายดั่งแก้ว ไพฑูรย์มีวิมานบุษราคัม ทรงกวางทองเป็น พาหนะ พระพฤหัสบดีมีก�ำลัง ๑๙ เป็น ศุภเคราะห์ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๕ ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ ดวงใหญ่ ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ทางโหราศาสตร์ ถือว่าเป็นประธานของฝ่าย ดาวศุภเคราะห์ ดาวพฤหัสบดีเป็น ดาวธาตุดิน คือดินแข็ง เพราะดาวพฤหัสบดีอยู่ ราศีธนูธาตุไฟ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 117 ความหมายทั่วไป คุณธรรมความดีใฝ่ในบุญกุศล โชคลาภ ความส�ำเร็จ การเจริญเติบโต การเกิด การปกป้องคุ้มครอง การช่วยเหลือ กฎหมาย ระเบียบ แบบแผน หลักการ ประเพณีการพิพากษา ตัดสินความต่างๆ ครูอาจารย์ พระ นักบวช ผู้ทรงศีล ความมีสติการอดทนอดกลั้น ยับยั้งชั่งใจ ศาสนา วิชาการ ความรู้ ต่างประเทศ ทายปัญญาบริสุทธิ์ทายพฤหัสบดี บุคคล ครูอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ พระ นักบวช ผู้ทรงศีล นักกฎหมาย ทนาย ผู้พิพากษา แพทย์ผู้คุ้มครอง รูปร่าง รูปร่างใหญ่ท้วม เจ้าเนื้อ ค่อนข้างอ้วน ผิวสองสีค่อนขาว หน้าใหญ่ หน้าผากใหญ่แก้มใหญ่ มีแผลเป็น ต�ำหนิที่ใบหน้า สถานที่ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล วัด รัฐสภา หอสมุด ศาล สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ศาลาพักร้อน หอประชุมทางศาสนา ๖. พระศุกร์ก�ำเนิดจาก พระอิศวร ร่ายพระเวทให้โค ๒๑ ตัว ป่น เป็นธุลี ห่อด้วยผ้าสีประภัสสรประพรมน�้ำอ�ำมฤต บังเกิดเป็นเทพ มีกายเป็นสีประภัสสร มี วิมานสีทอง ทรงโคอุสุภราชเป็นพาหนะ พระศุกร์จึง มีก�ำลัง ๒๑ เป็นศุภเคราะห์ใช้ สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๖ ลักษณะทั่วไป เป็นดาวธาตุน�้ำ อันหมายถึง น�้ำฝน น�้ำที่ เคลื่อนไหวได้ เพราะดาวศุกร์เป็นเกษตร ในราศีตุลย์ ธาตุลม ดาวศุกร์มองเห็นได้ เฉพาะในเวลาเช้ามืดหรือหัวค�่ำเท่านั้น ขณะปรากฏในท้องฟ้าเวลาหัวค�่ำทางทิศ ตะวันตก เรียกว่า “ดาวประจ�ำเมือง” พรานป่าล้านนาจะเรียกว่า “ดาวหมูกอง” ภาคกลางนิยมเรียกว่า “ดาวประกายพรึก” หรือ “ดาวรุ่ง” ในด้านความร�่ำรวย ความสุขสมหวังความรัก จึงใช้ดาวศุกร์ตีความในเรื่องกิเลสก�ำหนัดโภคทรัพย์ให้ดู จากดาวศุกร์ ความหมายทั่วไป ผู้หญิง ภรรยา ความรัก ความหวัง ความสุข ความ สวยงาม ศิลปะ บันเทิงรื่นรมย์ดนตรีเพศสัมพันธ์กิเลส การเงิน เงินสด สิ่งหอม หวาน สิ่งฟุ่มเฟือย บุคคล กวีศิลปิน นักร้อง นักดนตรีดารา นักแสดง นางแบบ ครูสอนศิลปะ นายธนาคาร สมุห์บัญชีแม่สื่อ พ่อสื่อ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการให้ความ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
118 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา รื่นรมย์ทางเพศ พ่อค้าปลีก คนท�ำขนม คนขายน�้ำหอม รูปร่าง หน้าแป้น (บางต�ำราว่าหน้ายาว) สูงเพรียว หน้าท้องแบนราบ หุ่นดี มีเสน่ห์ ผิวค่อนข้างขาว (บางต�ำราก็ว่าขาวผ่อง) คอยาว แขนขายาว ผมบางและ สลวย สถานที่ สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเงิน เช่น ธนาคาร กระทรวงการคลัง โรงกษาปณ์ ร้านขายของค้าปลีก และสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งรื่นรมย์ โรงแรมโรง ละคร ห้องแสดงศิลปะ โรงเรียนสอนร้องเพลง เต้นร�ำ ๗. พระเสาร์ ก�ำเนิดจาก พระอิศวร ร่ายพระเวทย์ด้วยพยัคฆ์๑๐ ตัว ป่น เป็นธุลีห่อด้วยผ้าสีด�ำ ประพรมน�้ำอ�ำมฤต บังเกิด เป็นเทพ มีสีกายเป็นสีด�ำ วิมาน สีมรกต ทรงเสือเป็นพาหนะ พระเสาร์จึงมีก�ำลัง ๑๐ เป็นดาวบาปเคราะห์ ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๗ ลักษณะทั่วไปของดาวเสาร์ถือว่าเป็นดาวขนาดใหญ่ รองจากดาวพฤหัสบดี เป็นประธานของดาว บาปเคราะห์ เป็นดาวธาตุไฟ คือไฟ สุมขอนที่ค่อยๆร้อนแต่ร้อนนาน เพราะดาวเสาร์เป็นเกษตร ราศีมังกร ธาตุดิน ความหมายทั่วไป เป็นดาวที่ให้คุณให้โทษช้าๆ แต่หนักแน่นมั่นคง สะสม ในระยะยาวในเชิงลบ จึงนิยมกล่าวว่า ทายโทษทุกข์ให้ทายจากดาวเสาร์เป็นดาวที่ ให้ความทุกข์แต่ในทางบวกก็ให้ความทรหดอดทนต่อสภาพที่เลวร้ายได้ดีมีลักษณะ เป็นดังไฟสุมขอน คุกรุ่นแล้วดับยาก เมื่อเข้าร่วมกับดาวดวงใดมักหน่วงเหนี่ยวให้ เฉื่อยชาลงคิดรอบคอบ ตรึกตรอง วิตกกังวล วัสดุล่าช้า เนิ่นนาน เก่าโบราณ ของเก่า เหน็ดเหนื่อย โรคเรื้อรัง สันโดษ ความทุกข์ โทษ ความยากจน การพลัดพราก โยกย้าย ความตระหนี่ มัธยัสถ์ บุคคล คนแก่คนหัวโบราณ ผู้ใช้แรงงาน คนงาน เจ้าของโรงงาน เกษตรกร สัปเหร่อ คนที่ยุ่งเกี่ยวกับงานศพ ช่างก่อสร้าง คนที่เกี่ยวข้องกับงาน เกษตรกรรม อสังหาริมทรัพย์ป่าไม้ผู้คุมนักโทษ คนแขก รูปร่าง รูปร่างสูง ผิวคล�้ำค่อนข้างด�ำ กร้าน หน้ากระดูกและตกกระโหนก แก้มสูง คิ้วเข้ม จมูกงุ้ม ริมฝีปากหนา หน้าตาออกเป็นคนแขก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 119 สถานที่ พื้นที่เกษตรกรรม ที่นา ไร่สวน กระทรวงเกษตรฯ กรมป่าไม้ป่าไม้ โรงสีข้าว โกดังเก็บวัสดุต่างๆ ป่าช้า ห้องเก็บศพ เรือนจ�ำ สถานที่โบราณ อาคารเก่า ๘.พระราหูก�ำเนิดจากพระอิศวร ร่ายพระเวทด้วยหัวผีโขมด ๑๒ หัว เป็น ธุลีห่อด้วยผ้าสีทองสัมฤทธิ์ประพรมน�้ำอ�ำมฤต บังเกิดเป็นเทพ สีกายเป็นทองส�ำริด วิมานสีนิล ทรงครุฑเป็นพาหนะ พระราหู จึงมีก�ำลัง ๑๒ เป็นดาวบาปเคราะห์ใช้ สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๘ ราหูในทางโหราศาสตร์ไม่จัดว่าเป็นดาว เพราะเป็นจุดคราส เกิดจากจุดตัดของการโคจรของโลก ราหูจึงเป็นเงา แต่ก็เรียกๆ กันไปว่า ดาวราหู เพราะเรียกกันติดปากราหูนั้นท�ำให้เกิดจันทรุปราคา และสุริยุปราคา ราหู เป็นธาตุ ลม อันหมายถึงลมพายุ เพราะราหูเป็นเจ้าเรือนเกษตรในราศีกุมภ์ธาตุลม เช่นกัน ความหมายทั่วไป ความมืดมัว เงา มายา ภาพยนตร์ โจร ความลุ่มหลง เล่ห์เหลี่ยม ไหวพริบปฏิภาณ การเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านดีและร้าย ผันผวนไม่ แน่นอน เสี่ยงโชค คดีความ สิ่งผิดกฎหมาย การหลอกลวง ภัยมืด อุบัติเหตุหลบซ่อน อบายมุข สังคม ยาเสพติด สุรา สิ่งมอมเมา สารเคมีของหมักดอง ขยะ บุคคล นักเลง ผู้มีอิทธิพล นักพนัน นักค้าของเถื่อน คนขายเหล้า ผู้ติดยา เสพติด ติดเหล้า โจร ขโมย คนจรจัด คนจีน นักมายากล รูปร่าง รูปร่างอ้วนล�่ำใหญ่ลงพุงผิวด�ำ แขนขาใหญ่ศีรษะใหญ่ หัวล้าน หัวเถิก ผมบาง ตาวาว ตาพอง ตาหยีมีลักษณะเหมือนคนจีน หรือเป็นคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สถานที่ โรงเหล้า สถานที่ที่เป็นแหล่งอบายมุข สิ่งเสพติด โรงภาพยนตร์ กิจกรรม โรงงานเคมีโรงกลั่นน�้ำมัน ๙. พระเกตุตามคัมภีร์กล่าวว่าพระอิศวรทรงร่ายพระเวทย์ให้พระยานาค ๙ ตัวเป็นธุลีห่อด้วยผ้าสีทองค�ำ ประพรมด้วยนํ้าอ�ำมฤต บังเกิดเป็นเทพ มีสีกาย ทองค�ำ อันสุกสกาวดังเปลวไฟ ทรงนาค เป็น พาหนะเกตุ มีก�ำลัง ๙ เป็นดาวบาป เคราะห์ใช้สัญลักษณ์แทนด้วยเลข ๙ ลักษณะทั่วไปดาวเกตุไม่มีเรือนเกษตรของตัวเอง เป็นวิญญาณธาตุ เป็นท่อนหางของราหูโหราศาสตร์สากลทั่วไป ก�ำหนดให้เกตุและ ราหู มีระยะเชิงมุมห่างกัน ๑๘๐ องศาเสมอ คืออยู่ในมุมเล็งหรือตรงข้ามกันตลอด ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
120 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา แต ่ส�ำหรับโหราศาสตร์ไท ใช้วิธีการค�ำนวณแบบสุริยยาตรา เกตุจึงไม ่ได้อยู ่ใน ต�ำแหน่งเล็งราหูแบบสากล เกตุเมื่อเข้าร่วมกับ ดาวใด ก็มักจะสนับสนุนให้ดาวนั้น ท�ำหน้าที่ได้มากยิ่งขึ้น มีพลังมากขึ้น ความหมายทั่วไป แสง รังสีกระแสคลื่น ดาวหาง การเคลื่อนไหว คนบ้า วิกลจริต คนผิดปกติความผันผวน วุ่นวาย กังวล ความผิดปกติผิดธรรมชาติเหนือ ธรรมชาติสัมผัสที่หก วิญญาณ เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดินทางไกล ต่างแดนถิ่นไกล ต่าง ประเทศ โหราศาสตร์อิทธิฤทธิ์ บุคคล นักเดินทาง นักผจญภัยจารชน คนต่างชาติโหร หมอดูคนทรงช่าง วิทยุโทรทัศน์ผู้แสวงบุญ คนแก่คนพิการ หญิงมีครรภ์ สถานที่ วัดร้าง เทวาลัยร้าง บ้านร้าง สถานที่ที่มีวิญญาณสิงสถิต สถานที่ ลึกลับ ตึกสูง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์วัด โบสถ์ต�ำหนักร่างทรง สถานีวิทยุโทรทัศน์โรงไฟฟ้า ในเนื้อหาที่มาของดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ ที่กล่าวมาข้องต้นนี้เป็นเนื้อหา ต�ำราที่ได้รับมาจากคติในศาสนาฮินดูโดยได้ประพันธ์ขึ้นมาเป็นนิทานต้นก�ำเนิดดาว พระเคราะห์พร้อมกับนิทานชาติเวรซึ่งจะเป็นที่มาของเหตุผลและความหมายของ การกระทบกันของดาวโดยเขียนระบุละเอียดไว้อย่างมากซึ่งแตกต่างจากของล้านนา ซึ่งเขียนสรุปโดยสั้นๆ ดังที่กล่าวมาในบทก�ำเนิดโลกและดวงดาว ซึ่งเนื้อหาที่มามี ลักษณะที่คล้ายคลึงกันแต่ผิดเพี้ยนกันในส่วนรายละเอียดที่มาบางประการ ต�ำรา ลักษณะนิสัยประจ�ำวันเกิดของคนล้านนาได้สรุปลักษณะบุคคลและนิสัยใจคอของ บุคคลที่เกิดในวันต่างๆ โดยอ้างอิงตามลักษณะดาวข้างต้นไว้เป็นภาพรวมโดยมัก ประพันธ์เป็นวรรณกรรมบทค่าวกลอนไว้หลายส�ำนวนโดยตัวอย่างดังนี้ คนเกิดวันอาทิตย์ย่อมมีใจหาญ หันเมียท่านงาม มักม่ายเข้าฟั้น มันบ่กลัว ขามทุกข์โทษเมื่ออั้นพายลูนมันโลภเมถุนกระท�ำคุณ แก่ท่านบ่ขึ้น จันโทเรยมีรูปกาย งามต�่ำตุ้ย หัวหลูดบ่าลุ้ย สมแสงหน้าบุญแยง อังคารเรย มันช่างจาแข็ง ค�ำแรงโกรธก้อม จาค�ำใดมาเยียะค้อนแลไม้ จาส่องหน้าเก่งปูนเคย พุธโธเรย มีปัญญาญาณทุ่นช้า หน้าเหิดแห้นเอายาวเป็นที่รัก หมู่ร้างชุมสาว มีตัวยาว ขาวด�ำต�่ำตุ้ยราหูแถม ว่าหื้อมี พร้อมชู่เยี่ยง อันนั้นแล พระหัส มีสติประหญา ปัญญาเร่งแรงแก่กล้า สติปัญญามีชุ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 121 เยื่องอัน สุกขะ สัปปะหลี้ จากค�ำดีนอกลิ้น จาค�ำหวาน มาพานน�้ำมิ้น จาส่องหน้า เก่งปูนเคย โสรีเรย ใจหาญหาดกล้า ย่างช้าย่อมกัดใน ความคดเลี้ยว บ่มีในใจ จาค�ำได ช่างปุดสะบั้น เหตุว่าโวหาร ค�ำมันบ่นัก ค�ำหลวกบ่หลาย มางืดในชาย มันทึงทุ่นช้า คันได้เป็น พานิชพ่อค้า ก็จักพาเป็นเหยื่อแมงงุน นอกจากนี้ในล้านนายังพบว่ามีการประพันธ์นิทานต้นก�ำเนิดดาวพระเคราะห์ ที่น่าจะมีการคัดลองและปรับปรุงจากของดั้งเดิมคืออินเดีย ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนที่มา บางประการออกไปเพื่อลดความซับซ้อน เนื่องจากต�ำนานการก�ำเนิดดาวของอินเดีย นั้นมักจะอ้างถึงเทพเจ้าของศาสนาฮินดูเสมอ ซึ่งเทพเจ้าเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในวิถีความ เชื่อของชาวล้านนา จึงมีการดัดแปลงนิทานดังกล่าวให้เข้ากับความเชื่อท้องถิ่นและ พุทธศาสนา จากเทพเจ้าผู้สร้างจักรราศีและดวงดาวคือพระนารายณ์กลับกลายเป็น พระสิทธิฤๅษีพระราหูที่ถูกกงจักรของพระนารายณ์ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปว่า พระราหู ถูกดาบสลีกัญชัยของพระอินทร์ฟันขาด เป็นต้น ยกตัวอย่างนิทานก�ำเนิดดาวส�ำนวน ล้านนาดังนี้ ที่นี่จักจาด้วยนิยายวันก่อนแล เมื่อปฐมกัปป์หัวทีวันนั้นยังมีระษีตนหนึ่ง ชื่อว่าพระสิทธิระษีว่าอั้น ระษีเจ้าตนนั้นจึงขงขวายหามายังพญา ๖ ตน แล้วน�ำมา หลอมหล่อหื้อเป็นผู้เดียว ใส่ชื่อว่าหนึ่งหรือว่าพระอาทิตย์ว่าอั้นจึงหามายังนาง ๑๕ คน มาหล่อหื้อเป็นผู้เดียวใส่ชื่อว่าสองหรือพระจันทร์แล ว่าอั้นจึงหาคนหาญ ๘ คน มา หล่อหื้อเป็นผู้เดียว ใส่ชื่อว่าสามหรืออังคารแล ว่าอั้นจึงหามายังจ่าเมือง ๑๗ คน มา หล่อหื้อเป็นผู้เดียวใส่ชื่อว่าสี่หรือพุธแล ว่าอั้นจึงหามายังนักปราชญ์๑๙ คน มาหล่อ หื้อเป็นผู้เดียว ใส่ชื่อว่าห้าหรือพฤหัสแล ว่าอั้นจึงหามายังนางเฒ่าแก่ ๒๑ คนมา หล่อหื้อเป็นผู้เดียวใส่ชื่อว่าศุกร์หรือหกนั้นแล ว่าอั้นจึงเอามายังนายช้าง ๑๐ คน มา หล่อหื้อเป็นผู้เดียวใส่ชื่อว่าเสาร์หรือว่าเจ็ดแล ว่าอั้นจึงหามายังแม่หม้าย ๑๒ คน มี ผัวตึง ๑๒ ก็ตายเสี้ยงมาหล่อกับกันหื้อเป็นผู้เดียว ใส่ชื่อว่าราหูหรือว่าแปดอั้นแล จากนิทานดังกล่าวจึงเป็นที่มาของก�ำลังดวงดาวพระเคราะห์ สัญลักษณ์ วัตถุที่น�ำมาสร้างดาวต่างๆ นั้นจะสะท้อนถึงความหมายของดาวนั้นๆ ซึ่งจะกล่าวใน บทต่อไป ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
122 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นิทานชาติเวร ที่มาของดาวคู่มิตรคู่ศัตรูแบบล้านนา การศึกษาโหราศาสตร์นั้นนอกจากจะรู้ความหมายของดาวแล้ว สิ่งส�ำคัญ อีกเรื่องหนึ่งที่พึงรู้ในหลักโหราศาสตร์คือ การอ่านค่าดาวกระทบ หรือการผสมดาว ต่างๆกล่าวคือเมื่อดาวเคราะห์โคจรหรือท�ำมุมส่งถึงกันในลักษณะต่างๆย่อมส่งผลที่ มีความหมายต่อเรื่องราวที่จะใช้ในการพยากรณ์นั้นๆ โหราจารย์ล้านนาได้ก�ำหนด พื้นฐานคู ่ดาวไว้ตายตัวโดยได้ผูกนิทานชาติเวรแบบพื้นบ้านไว้ท ่องจ�ำและเข้าใจ บริบทหรือสาเหตุแห่งการเป็นมิตรหรือศัตรูไว้อย่างคร่าวๆ ดังนี้ มิตรปี แบ่งเป็นสี่กลุ่มคือ ปีไจ้ปีสง้าปีสัน ปีเป้าปีเม็ดปีเล้า ปียีปีสีปีเส็ด และ ปีเหม้า ปีใส้ปีไก๊ ศัตรูปี แบ่งเป็นสี่กลุ่มเช่นกันคือ ปีไจ้ปีเม็ดปียี ปีเหม้าปีเส็ดปีใส้ ปีสะง้าปีเป้าปีสัน และปีเล้าปีสีปีไก๊ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 123 วันมิตรน้อย ๑ กับ ๖ ๓ กับ ๕ ๒ กับ ๘ ๗ กับ ๔ วันมิตรหลวง ๑ กับ ๕ ๒ กับ ๔ ๓ กับ ๖ ๗ กับ ๘ วันศัตรูหลวง ๑ กับ ๓ ๒ กับ ๕ ๔ กับ ๘ ๖ กับ ๗ วันศัตรูน้อย ๑ กับ ๗ ๒ กับ ๘ ๓ กับ ๕ ๔ กับ ๖ นิทานชาติเวรในส�ำนวนล้านนา จักกล่าวยังนิทานเหตุแห่งดาวทั้งหลายเข้ากันอันดีบ่ดีแล จันทร์เป็นลูกผัด อาทิตย์เป็นพญา ผัดว่าจักหื้อจันทร์แก่อังคารว่าอั้น อาทิตย์ คนิงใจว่ากูได้เป็นพญา ควรกูเรียนสิบประคุณหื้อถองแต้ว่าอั้น จึงไปเรียนสิบประคุณกับด้วยผัดจนจบถอง แต้ผัดจึงลวดหื้อจันทร์แก่พญาอาทิตย์ เมื่อพญาอาทิตย์ได้จันทร์แล้วก็เอาจันทร์ใส่ ในขะอูป๗๐ อมไปแล ยังมีวันหนึ่งอาทิตย์ก้าย๗๑ แล้วคายอูบออก อังคารมีฤทธีนัก ลวดเข้าอยู่ด้วยจันทร์ในอูปนั้น อาทิตย์บ่รู้เรื่อง ผัดจึงบอกอาทิตย์เมื่ออาทิตย์รู้จึง เคียด๗๒ ถอดมีดสะหลีกัญไชยไล่ฆ่าอังคารไปหั้นแล อังคารเป็นผีฮุ่งแล่นขึ้นอากาศ ซัดมีดสะหลีกัญไชยลวดถูกหัวอาทิตย์แล จันทร์ลวดเคียดหื้อผัดว่าบัดนี้ ข้าหากเล่นชู้ด้วยอังคารดาย บัดนี้ผัดผู้เป็น พ่อพ้อยบอกอาทิตย์ผู้เป็นผัวแห่งข้าเป็นเหตุหื้ออาทิตย์ไล่ฆ่าอังคารไปฉันนี้ ด้วยเหตุ นี้จันทร์ลวดเคียดหนีจากผัดแล เหตุอันอาทิตย์เคียดถอดมีดสะหลีกัญไชยพุ่งขึ้นไป ถูกอังคารหั้น เหตุนั้นอังคารถูกอาทิตย์ก็เป็นศัตรูกันแล อันหนึ่งพุธไปกู้เงินราหู เมื่อได้เงินแล้วลวดลักหนีไป ราหูลวดเคียดใช้เสาร์ ไปทวงเงินคืนมา พุธจึงเอาเงินหื้อราหูแต่ราหูลวดบ่าเอา จุ๊หมาขบพุธเสียหั้นแล เหตุนี้ ราหูถูกพุธก็เป็นศัตรูกันแล เสาร์กับราหู จึงเป็นมิตรกันแล เสาร์เป็นงูอังคารเป็นเขียด ยังมีในวันหนึ่งงูกินเขียด ศุกร์เป็นรุกขเทวดา อยู่ รักษาต้นไม้ผ่อหันก็ คนิงใจว่า จะยะอย่างใดงูบ่หื้อเคียดเขียดบ่หื้อตายชะแล ว่าอั้น จึงเอากิ่งไม้ซัดลงถูกหลังงู งูก่อลวดเคียด เหตุนั้นศุกร์และเสาร์ถูกกันก่อเป็นศัตรูกันแล อังคารกับศุกร์จึงเป็นมิตรกันแล ราหูเป็นช่าง อาทิตย์เป็นพญา จันทร์เป็นเทวี อังคารเป็นคนหาญ พุธเป็น ๗๐ อูป หรือ ขะอูป เป็นภาชนะเครื่องเขินชนิดหนึ่งมีฝาปิดยอดแหลมนิยมสร้างจากไม้กลึงหรือไม้ไผ่ สานขดแล้วทายางรักตกแต่งลวดลาย ๗๑ เบื่อหน่าย๗๒ โกรธ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
124 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา พวกน้อย ผัดเป็นอาจารย์ ศุกร์เป็นเสนา เสาร์เป็นนายช้าง นัยยะหนึ่งว่าเมื่อปฐมกัป ป์หัวที วันนั้นพญาเคราะห์ทั้ง ๘ ตน เป็นต้นว่าอาทิตย์ถึงราหู เกิดมาร่วมพ่อแม่ เดียวกัน ยังมีวันหนึ่งเขาตังหลายอู้จากันว่า เราตังหลายอยู่จิ๋ม๗๓ กันอี้ เป็นอันยาก ภายหน้าชะแล เราทั้งหลายจะเยียะดังฤๅดีจา ว่าอั้นจึงสมมุติอาทิตย์เป็นพญา หื้อผัด เป็นอาจาริยะแล อังคารและศุกร์เป็นอ�ำมาตย์ อาทิตย์หื้ออยู่หนอีสาน จันทร์หื้ออยู่ หนบุพพะ อังคารหื้ออยู่หนอาคไนย์ พุธหื้ออยู่หนทักขิณะ ผัดหื้ออยู่หนปัจจิม ศุกร์ หื้ออยู่หนอุตระ เสาร์หื้ออยู่หนหรดี หนพายัพนั้นหาไผอยู่บ่าได้แล้วจึงหื้อผีเสื้อผู้หนึ่ง อยู่รักษา คือว่าราหูเทวดานิมิตหื้อเขา เป็นเทวดาอยู่ร่วมหั้นแล ยังมีวันหนึ่ง อาทิตย์และจันทร์เทียวไปอุปถากผัด อังคารมักชอบจันทร์ ผัด รู้ว่าเขามาจิ่มกัน ๓ คน จึงปูสาดไว้รอถ้าเขา ๓ คน อาทิตย์มารอดจึงถามผัดว่า จักปู สาดไว้ ๓ ผืนอั้นจักเยียะดังฤๅจา ผัดก็คนิงใจว่า อาทิตย์บ่รู้ว่าจันทร์มีชู้สมสู่มักกับ ด้วยอังคารชะแล ผัดจึงคนิงใจว่าฉันนี้ เมื่อกูบ่บอกพญาอาทิตย์ดังอั้น พญาก็จักตาย เมื่อกูบอกพญาอาทิตย์ อังคารก็จักตาย เมื่อกูบอกสองขาก็จักตายผู้หนึ่งบ่บอกก็จัก ตายผู้หนึ่ง เมื่อกูบอกฉันนี้สองขาก็บ่ตายซักคนชะแล ผัดจึงกล่าวว่า ดูรามหาราช สูมาจิ่มกัน ๓ คนดาย วันนี้เหตุดังอั้นเราจึงปูสาดไว้ถ้า ๓ อันเพื่ออั้นแล ยามนั้น อังคารได้ยินจึงแล่นหนีไป ยามนั้นอาทิตย์รู้จึงเคียดแก่อังคาร ถอดมีดสะหลีกัญไชย ไล่ฆ่าอังคารไป ผัดจึงห้ามว่า ดูรามหาราชเจ้า ข้าจักห้ามผิว่าบ่ฟังก�ำข้าดังอั้น แต่นี้ เมื่อหน้า ท่านอย่ามาสู่ข้าเน้อ พญาอาทิตย์บ่ฟังแล พญาอาทิตย์ลวดแปลงหน้าล่อผัด ซัดมีดสะหลีกัญไชยไปถูกอังคาร เหตุดังนี้พระอาทิตย์ถูกอังคารเลือดจักตกด้วยเหตุ นี้แล จันทร์จึงเคียดแก่ผัด ว่ากูหากเล่นชู้กับอังคารดาย ผัดอันเป็นพ่อก็พ้อยบอกผัว กูไล่ฆ่าอังคารไปฉันนี้จา เหตุดังอั้น ผัดถูกกับจันทร์จักเป็นค�ำด้วยผู้หญิง อาทิตย์ถูก กับอังคารผัวเมียผิดกัน อาทิตย์ถูกผัดจักมีลาภชะแล ยังมีวันหนึ่ง เสาร์มักหลับนัก ศุกร์ต้มน�้ำอาบหื้อผัดจุวัน ศุกร์ต้มน�้ำอาบ แล้ว เสาร์หลับตื่น มันรู้ว่าน�้ำอุ่นแล้ว มันก็ฟั่งไปบอกผัดว่าในกาลบัดนี้ควรแก่เจ้ากู แล้วแล ผัดก็ไปตามค�ำจุวันแล วันหนึ่ง ศุกร์คนิงใจว่ากูอุปถากผัดฉันนี้หาเหตุการณ์ หาคุณบ่ได้ ผิกูจักส�ำแดงคุณวิเศษแก่เสาร์ก่อน ยังมีในวันหนึ่งศุกร์ต้มน�้ำอาบไว้แล้ว๗๓ รวมกัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 125 เอาไปไว้ที่ลับที่หนึ่ง เสาร์หลับตื่นไปบอกผัดดั่งจุวันนั้นแล เมื่อนั้นผัดไปหาน�้ำอาบบ่หัน ผัดลวดเคียดแก่เสาร์นั้นแล เสาร์ลวดเคียดแก่ศุกร์ว่าแต่นี้ไปเมื่อหน้า ราเปลี่ยนมือ ต้มน�้ำอาบแก่กัน แลวันแลเทื่อเต๊อะ ว่าอั้นศุกร์กล่าวว่าสันนี้กันราต้มน�้ำอาบหื้อมึง เอาผ้าอาบน�้ำกับเกิบตีนไปไว้เนอ ว่าอั้นยังมีในวันหนึ่งเสาร์ต้มน�้ำอาบไว้ที่หนึ่ง มัน ป้อยเข้าอยู่ในหม้อน�้ำอาบที่นั้น ศุกร์หลับตื่นคนิงใจว่า กูจักดูน�้ำอาบก่อน เสาร์ป้อย กระท�ำต่อกูเล่าจา ว่าอั้นศุกร์ลวดไปดูน�้ำอาบแต้หั้นแล ศุกร์ป้อยหันเสาร์ลงอยู่ในหม้อน�้ำ ศุกร์จึงเอาไม้ เหลี้ยมแทงลงไปถูกหัวเสาร์เล่าแล เหตุดังนั้นศุกร์และเสาร์ถูกกันจึง เจ็บหัวเพื่ออั้นแล จึงมีในวันหนึ่ง ศุกร์หลับบ่าตื่นเทื่อ เสาร์อุ้มเอาศุกร์ทอดตกแอวลวดหักไป แล เหตุดังอั้นศุกร์ถูกเสาร์อย่าขึ้นต้นไม้ใหญ่ หื้อแหน๗๒ ช้างม้างัวควาย๗๓ เดียวจักเสีย องก๊ะ จะแล ยังมีวันหนึ่งพุธหันราหูกินน�้ำใจใคร่๗๔ พญาอินทร์ พุธไปบอกพญาอินทร์ว่า ราหูลักกินน�้ำใจใคร่ ว่าอั้นพญาอินทร์ถามว่า ดูรา ราหูมึงมาลักกินน�้ำใจใคร่กูเยีย ะสังเด ราหูกล่าวว่า ข้าบ่ได้กิน ผู้ใดว่าข้ากิน พุธฟังดั่งอั้นจึงกล่าวว่า มึงกินแลเหตุใด มึงจึงว่าบ่กินว่าอั้น พญาอินทร์ลวดเอามีดสะหลีกัญไชยซัดไปตกแอวราหูปุดไปหั้น แล เหตุว่าดังอั้นราหูถูกพุธจ่างเจ็บแอวเมื่อนั้นแล ยังมีในวันหนึ่ง อาทิตย์และจันทร์เทียวไปหันราหูหลังบ่มี จึงกล่าวว่าดูรา ราหู ท่านมีก�ำลังแรงนักยังจักแล่นขดเผือได้บ่จา ราหูลวดเคียดแก่อาทิตย์และจันทร์ หั้นแล มันก็กล่าวว่า เขืออวดว่าเขือมียศหนักศักดิ์ใหญ่ แม่นว่าท้าวพญาใหญ่ก็บ่ดูแค วนกูได้แล ว่าอั้นก็กาไว้หั้นก่อน รากูจักกระท�ำหื้อเขือทั้งสองอายแก่ท่าน หื้อหายศบ่ ได้แม่นแต้จะแล ว่าอั้นเหตุนั้นราหูถูกอาทิตย์ท่านจักดูแควน เมื่ออั้นแล นิยายวัน แล้วเท่าอี้ก่อนแล เนื้อหาจากนิทานดาวนั้นจึงเป็นสาเหตุแห่งการจับคู่ดาวต่างๆ ว่ามีคุณหรือ โทษต่อกันอย่างไร เมื่อดาวต่างๆ กระทบกันจะเกิดเหตุการณ์ดีร้ายก็ขึ้นอยู่กับลักษณะ ของดาว ความหมายและดาวกระทบ เป็นที่มาของความเชื่อในแขนงอื่นๆ มากมาย ๗๒ ระวัง๗๓ พิการ๗๔ ในต�ำนานของฮินดูคือน�้ำอมฤต ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
126 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา จากเนื้อหานิทานดาวดังกล่าว พบการใช้คติการก�ำหนดค่าดาวแบบล้านนาเพื่อใช้ใน การหาวันที่เหมาะกับการท�ำไร่นาอีกส�ำนวนหนึ่งว่า๗๕ นักปราชญ์ครูบาว่าไว้วัน ๑ เท่าดีแรกนาตั้งไถนา วันผัดเป็นอาจารย์ควรดี หว่านกล้า วันศุกร์เป็นช่างค�ำควรปลูกไม้ วันพุธเป็นพ่อครัวเก๊า ควรเกี่ยวข้าวดีเอา วันเสาร์เป็นนายคมนาคม เอาข้าวใส่เยียดีเที่ยงหมั้น วันจันทร์เป็นนางเทวีเก๊า ควร เอาข้าวออกเยียดีวันอังคารเป็นพวกน้อยผู้กล้า ควรดีแรกเพี้ยวไร่นาดีแล นอกจากนี้การศึกษาและท�ำความเข้าใจดาวพระเคราะห์นั้นยังมีการจ�ำแนก กลุ่มดาวออกเป็นสองกลุ่มคือ ดาวโสมะเคราะห์หรือดาวศุภเคราะห์และดาวยายีหรือ ดาวปาปะเคราะห์กล่าวคือ ดาวศุภเคราะห์คือความหมายของดาวที่ดีศุภะ หมายถึง ความดีงาม ความสุขต่างๆ อันประกอบด้วย จันทร์พุธ พฤหัสและศุกร์ซึ่งแสดงเป็น ตัวเลขประจ�ำตัวของกลุ่มดาวศุภเคราะห์ได้แก่ ๒ ๔ ๕ ๖ ซึ่งตัวเลขทั้งสี่นี้ในต�ำรา ล้านนาการค�ำนวณหาวันฟ้าตีแส่ง เศษที่ค�ำนวณได้จ�ำนวน ๒ ๔ ๕ ๖ ถือว่าเป็นวันดี ควรแก่กระท�ำการมงคล เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้มาจากเลขของดาวศุภเคราะห์นี่เอง ส่วนเศษที่ลงจ�ำนวน ๐ ๑ ๓ ๗ ๘ ถือว่าไม่ดีไม่ควรกระท�ำการมงคล เนื่องจากกลุ่ม หลังนี้จัดเป็นดาวปาปะเคราะห์ หมายถึงดาวที่ให้โทษทุกข์หรือดาวพระเคราะห์ฝ่าย ที่บันดาลให้โทษมากกว่าให้คุณ อันได้แก่ อาทิตย์ อังคาร เสาร์ ราหูและเกตุ บาง ต�ำราพระอาทิตย์จัดให้อยู่หมวดกลางๆ ไม่ดีไม่ร้าย ตัวเลขสัญลักษณ์ของดาวปาปะ เคราะห์เรียงตามล�ำดับได้แก่ ๑ ๓ ๗ ๘ ๙ ๗๕ ต้นฉบับพับสาจากวัด ชมพูหลวง ต�ำบลชมพูอ.เมืองล�ำปาง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 127 ก�ำลังดาวพระเคราะห์ จากต�ำนานดาวพระเคราะห์จะพบว่าดาวแต่ละดวงจะถูกสร้างขึ้นจากวัตถุ หรือสิ่งมีชีวิตต่างชนิดและจ�ำนวนที่ต่างกัน จึงเป็นที่มาของก�ำลังดาวพระเคราะห์ดังกล่าว นั่นเองยกตัวอย่างเช่น พระจันทร์สร้างจากนางฟ้า ๑๕ คน ก�ำลังดาวของพระจันทร์ จึงเท่ากับ ๑๕ ดังนั้นก�ำลังดาวต่างๆ จึงมีความต่างกันทั้งหมด มีผลกับการท�ำนาย ทายทักทางโหราศาสตร์เป็นอย่างมาก นิยมใช้ค�ำนวณช่วงอายุของบุคคลโดยจะมี ดาวพระเคราะห์ เหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลต่อเจ้าชะตาในแต่ละช่วงอายุ และสัมพันธ์ กับวันเกิดของบุคคลเจ้าชะตาเรียกกันว่าดาวเสวยอายุยกตัวอย่างเช่น บุคคลเกิดวันอาทิตย์ พระอาทิตย์ ก�ำลัง ๖ เสวยอายุ ตั้งแต่ แรกเกิด ถึง ๖ ปี พระจันทร์ ก�ำลัง ๑๕ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๖ ปี ถึง ๒๑ ปี พระอังคาร ก�ำลัง ๘ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๒๑ ปี ถึง ๒๙ ปี พระพุธ ก�ำลัง ๑๗ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๒๙ ปี ถึง ๔๖ ปี พระเสาร์ ก�ำลัง ๑๐ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๔๖ ปี ถึง ๕๖ ปี พระพฤหัสบดี ก�ำลัง ๑๙ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๕๖ ปี ถึง ๗๕ ปี พระราหู ก�ำลัง ๑๒ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๗๕ ปี ถึง ๘๗ ปี พระศุกร์ ก�ำลัง ๒๑ เสวยอายุ ตั้งแต่ ๘๗ ปี ถึง ๑๐๘ ปี การที่ดาวต่างๆ เข้ามาเสวยอายุหมายถึงดวงดาวเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อความเป็น ไปของเจ้าชะตา เช่น พระอังคาร เสวยอายุ ๘ ปีส่งผลให้ตกต�่ำอย่างมากในทุกด้าน ของการด�ำเนินชีวิต ไม่ว่า ความรัก การงาน คู่ครอง การลงทุน การค้าขาย อุบัติเหตุ การสูญเสียทรัพย์สิน ทะเลาะขัดแย้งกัน เป็นคดีความ จิตใจจะวุ่นวายมากไม่สงบสุข แต่เมื่อพ้นจากอ�ำนาจของดาวอังคารแล้วเกณฑ์ดาวเสวยอายุต่อมาคือ ดาวพุธ ก็จะ ตีความว่าต่อไปภาคหน้าอีก ๑๗ ปีตามกำ�ลังดาวพุธเสวยอายุ ๑๗ ปีจะส่งผลให้เจ้าชะตา มีโชคดีหรือโดดเด่นในด้านความรัก และหน้าที่การงาน จะมีโชคลาภ จิตใจสงบ อยากเข้าหาธรรมะ มีจิตใจปลอดโปร่ง ถ้ายังไม่มีคู่ก็จะมีคู่ ยังไม่แต่งงานจะได้แต่งงาน หรือคนรักคู่ครองที่จากไปจะหวนกลับมาคืนดีกันเป็นต้น แต่ใช่ว่าดาวพระเคราะห์ แต่ละดวงจะมีผลต่อดวงชะตาตลอดเวลาที่ครองอายุเสมอไป เนื่องจากยังมีดาวแทรก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
128 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ในช่วงดาวพระเคราะห์เสวยอายุ อาจจะทำ� ให้เจ้าชะตามีชีวิตผกผันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดังค�ำที่นิยมพูดกันกับชะตาบุคคลที่ชีวิตก�ำลังเจริญรุ่งเรืองแต่ก็มีเหตุขัดข้องท�ำให้ วุ่นวายหรือชีวิตตกต�่ำคือ “พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” กล่าวคือ ดาวศุกร์เป็นดาว ศุภเคราะห์เมื่อเข้าเสวยอายุจึงให้คุณแก่เจ้าชะตา เมื่อดาวเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ เมื่อเข้าแทรกอายุจึงให้โทษ ตามนิทานชาติเวรที่กล่าวถึงที่มาของเหตุของดาวศุกร์ และดาวเสาร์ว่าเป็นคู่ดาวที่ขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ผู้ท�ำนายก็จะตีความว่าชีวิตของ บุคคลผู้เป็นเจ้าชะตาจะขึ้นลงไม่แน่นอนนั่นเอง นอกจากนี้เกณฑ์เสวยอายุยังสัมพันธ์กับการไหว้พระประจ�ำวันเกิดซึ่งตามหลัก แล้วจะต้องไหว้พระประจ�ำวันเกิดแล้วเวียนต่อไปตามดาวพระเคราะห์เสวยอายุ เช่น เกิดวันอาทิตย์พระประจ�ำวันเกิดคือปางถวายเนตร เมื่อพ้นครบ ๖ ปีแล้วก็จะเปลี่ยน เป็นบูชาพระปางห้ามญาติแทน เนื่องจากเป็นปางประจ�ำวันจันทร์ที่ก�ำลังเสวยอายุอยู่ และพอครบ ๑๕ ปีแล้วจึงเปลี่ยนเป็นการบูชาพระปางไสยาสน์ ซึ่งเป็นพระประจ�ำ วันอังคารเป็นต้น ก�ำลังของดวงดาวต่างๆ ที่ปรากฏในต�ำราโหราศาสตร์ ยังส่งผลถึงต�ำรา พรหมชาติแบบล้านนาในเรื่องอื่นอีก เช่น การใช้ดาบประจ�ำตัว ควรใช้ดาบที่มีความ ยาวกี่ไม้ ซึ่งจ�ำนวนของความยาวมักจะเป็นจ�ำนวนของก�ำลังดาวพระเคราะห์เหล่านี้ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังระบุถึงลักษณะของปลายดาบ ว่าควรใช้ปลายแบบไหนจึงจะ เหมาะสมกับดวงชะตา โดยถือตามโฉลกของคนที่เกิดในช่วงปีนักษัตรต่างๆ สัมพันธ์ กับรูปร ่างสัณฐานของคนในทวีปต ่างๆ ในจักรวาล ซึ่งมีสัณฐานของใบหน้าเป็น วงกลม สี่เหลี่ยมแหลมโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยวและโค้งรีอันเป็นที่มาของดาบปลายตัด ปลายแหลมใบคา ดาบปลายว้าย ดาบปลายบัว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการระบุสี ของเชือกดาบให้สัมพันธ์ชะตาเพื่อเป็นมงคลกับตนเอง รวมถึงระบุ เรื่อง ถุงเป้ง ซึ่ง หมายถึงกระเป๋าเงินของคนโบราณ ว่าควรใช้สีไหนอย่างไรจึงจะเป็นมงคล และ อัญมณีมงคลใดที่ควรเหมาะกับเจ้าชะตาควรจะเลือกหามาเก็บไว้ติดตัว เป็นต้น ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 129 ภาพโยคม้า พื้นฐานโหราศาสตร์แบบล้านนาที่ใช้ตัวเลขดาว พระเคราะห์วางไว้บนต�ำแหน่งต่างๆ ของม้า ภาพโยคช้าง พื้นฐานโหราศาสตร์แบบล้านนาที่ใช้ตัวเลขดาวพระ เคราะห์วางไว้บนต�ำแหน่งต่างๆ ของช้าง เช่นเดียวกันกับโยคม้า ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
130 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ความหมายของดาวฤกษ์แบบล้านนา การศึกษาเรื่องดาวฤกษ์นั้น พึงท�ำความเข้าใจองค์ประกอบอื่นๆ อีกสาม หัวข้อหลักดังนี้ ๑. จักรราศี คือการแบ่งวงโคจรของดวงดาวทั้งหมดออกเป็น ๑๒ ส่วนโดย แบ่งออกเป็นส่วนละ ๓๐ องศา เรียกว่า ๑ ราศีรวมทั้งหมดมี๑๒ ราศีก็จะเป็น วงกลม ๓๖๐ องศาพอดีหรือที่เรียกกันว่ากลุ่มนักษัตร เป็นการแบ่งเพื่อการค�ำนวณ เวลาและฤดูกาล ราศีทั้ง ๑๒ ราศีมีชื่อก�ำกับซึ่งเป็นที่มาของชื่อเดือนต่างๆ เรียงตาม ล�ำดับแบบสากลคือ ๑. ราศีเมษ (Aries) รูปแกะ ๒. ราศีพฤษภ (Taurus) รูปโค ๓. ราศีเมถุน (Gemini) รูปคนคู่ ๔. ราศีกรกฏ (Cancer) รูปปู ๕. ราศีสิงห์(Leo) รูปสิงโต ๖. ราศีกันย์(Virgo) รูปหญิงสาวถือรวงข้าว ๗. ราศีตุลย์(Libra) รูปคนถือตราชั่ง ๘. ราศีจิก (Scorpio) รูปแมงป่อง ๙. ราศีธนู(Sagittarius) รูปคนโก่งคันศร ๑๐. ราศีมกร (Capricorn) รูปมกรหรือแพะทะเล ๑๑. ราศีกุมภ์(Aquarius) รูปคนเทน�้ำ ๑๒. ราศีมีน (Pisces) รูปปลาคู่ ความต่างในเรื่องของราศีในต�ำราล้านนานั้นมีความผิดเพี้ยนไปจากสากล ทั่วไปบ้างเล็กน้อย กล่าวคือรูปสัญลักษณ์ของราศีมีความต่างกัน จากคัมภีร์สุริยยาตรา ฉบับวัดชมพูหลวงได้ระบุว่า ราศีเมษมีรูปแพะ ราศีประสบมีรูปงัว ราศีเมถุนมีรูปบ่าวสาว กอดกัน ราศีกรกัฏ มีรูปปลาและปู ราศีสิงห์มีรูปเสือและสิง ราศีกันย์มีรูปสาวกับ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 131 แม่ร้างปั่นฝ้าย ราศีตุลย์มีรูปชั่งกับยอย ราศีประจิกมีรูปปลาเป้า ราศีธนูมีรูปคนยิง ธนู มังกรมีรูปนาคแลมังกร ราศีกุมภ์มีรูปไหดอกไม้ ราศีมีนมีรูปฟองน�้ำสมุทร ส่วน เนื้อหารายละเอียดอื่นๆ นั้นเป็นไปตามหลักสากลทั่วไป นอกจากนี้แต่ละราศีจะถูกแบ่งย่อยออกเป็น ๓ ส่วนๆละ ๑๐ องศาเรียกว่า ตรียางค์ดังนั้น ๑ ราศีจะเท่ากับมี๓ ตรียางค์ใน ๑ ตรียางค์แบ่งย่อยออกเป็น ๓ นวางค์ ๑ นวางศ์เท่ากับ ๓ องศา ๒๐ ลิปดา ๑ องศา เท่ากับ ๖๐ ลิปดา ๑ ลิปดาเท่ากับ ๖๐ ฟิลิปดา ในสมัยโบราณการบันทึกวันเวลา มิได้มีปฏิทินส�ำเร็จรูปดังปัจจุบัน ผู้บันทึก ต้องมีความเข้าใจเรื่องดาราศาสตร์เป็นเบื้องต้น มักจะเขียนบันทึกวันเวลาตามต�ำแหน่ง ดวงดาวบนท้องฟ้าจริง ยกตัวอย่างเช่น ยามกองงาย วัน ๑ เดือนกิตติกาเป็ง ปีกัดเป้า คำ�ว่าเดือนกิตติกา หมายถึงชื่อเดือนที่มาจากกลุ่มดาวฤกษ์ที่สถิตตายตัวอยู่ในราศีต่างๆ หากระบุว่าเป็นเดือนกิตติกาแสดงว่า ช่วงเวลานั้นพระอาทิตย์ก�ำลังเข้าเสวยฤกษ์ ภาพการแบ่งจักราศีออกเป็นหน่วยย่อย วงกลมนอกสุดคือต�ำแหน่งดาวฤกษ์ ๒๗ กลุ่ม วงที่ ๒ คือต�ำแหน่ง นวางศ์ วงที่ ๓ คือต�ำแหน่งตรียางค์ วงที่ ๔ คือต�ำแหน่งดาวเจ้าเรือน ใน ๑๒ ราศี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
132 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา กิตติกาอยู่ในราวช่วงเดือน ๘ เหนือในราศีพฤษภ ขณะที่บางต�ำราจะบันทึกว่าเป็น เดือนวิสาขะ ด้วยเหตุผลว่า โดยปกติแล้ววันที่พระจันทร์เพ็ญเต็มดวง พระอาทิตย์ และพระจันทร์จะต้องอยู่ราศีตรงข้ามกันเสมอ ด้วยเหตุนี้เดือน ๘ เป็ง พระจันทร์ จะต้องอยู่ในราศีตรงข้ามพระอาทิตย์ตามกฏ เมื่ออาทิตย์อยู่สถิตร่วมกับดาวกิตติกา ในราศีพฤษภ พระจันทร์จึงจะต้องอยู่ในราศีพิจิกซึ่งเป็นราศีตรงข้าม โดยพระจันทร์ จะเสวยฤกษ์วิสาขะพอดีจึงได้บันทึกเป็นเดือนวิสาขะ ดังนั้นต้องพึงสังเกตเสมอว่า ผู้บันทึกตั้งใจระบุเดือนจากต�ำแหน่งพระอาทิตย์หรือเดือนพระจันทร์ ๒. ฤกษ์หลวง มี๙ ฤกษ์คือการจัดหมวดหมู่ กลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ตัว ให้ เข้าหมวดหมู่ตามความหมายของดาวฤกษ์นั้นๆ มักจะใช้เป็นตัวเลือกหลักในการหา ฤกษ์ยามในการท�ำการมงคลโดยมีความหมายต่างๆ ตามฤกษ์ดังนี้ ๑. ทลิทโทฤกษ์ หรือต�ำราล้านนาบางฉบับเรียก อัตตะโนฤกษ์ รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๑ ๑๐ และ ๑๙ หมายถึงฤกษ์แห่งผู้ขอ หรือขอทาน ผู้มักน้อย ผู้ที่มีความมานะบากบั่นด้วยตนเอง สร้างด้วยฐานะด้วยตนเอง ฤกษ์นี้นิยมใช้กับการเจรจาความ การร้องทุกข์การกู้ยืม การสู่ขอแต่งงาน สมัครงาน เป็นต้น ๒. มหัทธโนฤกษ์รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๒ ๑๑ และ ๒๐ คือฤกษ์ แห่งพ่อค้า คหบดีเศรษฐีผู้รุ่งเรือง เป็นฤกษ์ที่นิยมใช้กับงานมงคลต่างๆ เช่นขึ้นบ้านใหม่เปิดร้าน บางแห่งใช้ เป็นฤกษ์แต่งงาน หรือลาสิกขาบท เป็นต้น ๓. โจโรฤกษ์รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๓ ๑๒ และ ๒๑ คือฤกษ์แห่ง ผู้ปล้น ขโมย นักเดินทาง ผู้ค้นหา ไม่นิยมให้เป็นฤกษ์การมงคลเท่าไหร่นัก สมัยโบราณใช้ฤกษ์นี้ในการออกรบ ชิงบ้านเมืองหรือปล้นค่าย ฤกษ์นี้ดูผิวเผิน จะเป็นฤกษ์เสียแต่ก็ให้คุณใน ด้านการขนส่ง การเดินทาง การค้นคว้า นักวิจัย เป็นต้น ๔. ภูมิปาโลฤกษ์รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๔ ๑๓ และ ๒๒ หมายถึง ผู้รักษาแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่นิยมใช้กับการเกษตร การซื้อที่ดิน ก่อสร้าง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 133 ยกศาลพระภูมิเป็นต้น ๕. เทศาตรีฤกษ์หรือบางต�ำราเรียกว่า เทศสันถีรวมเอาฤกษ์บน กลุ่มที่ ๕ ๑๔ และ ๒๓ คือฤกษ์แห่งนักท่องเที่ยว หญิงบริการ นักบริกรต่างๆ นักร้อง นักแสดง นักดนตรีฯลฯ เป็นฤกษ์ที่ใช้กับโรงมหรสพ ร้านอาหาร ร้านเหล้า สถานบริการ ด้านต่างๆ หรือตลาด เป็นต้น ๖. เทวีฤกษ์ รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๖ ๑๕ และ ๒๔ หมายถึง นางพญา ความงาม ความหรูหรามีเสน่ห์ นิยมใช้กับการเปิดร้านเสริมสวย หรือเข้าหาผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิง คนที่เกิด ในฤกษ์นี้หากเป็นหญิงจะสบายหากเป็นชายก็จะเรียกว ่านารี อุปถัมภ์นั่นเอง ๗. เพชฌฆาตฤกษ์รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๗ ๑๖ และ ๒๕ คือ ฤกษ์แห่งนักฆ่า เหมาะส�ำหรับผู้ที่ขายเนื้อสัตว์ หรือทหารต�ำรวจ หมอ พยาบาล ไม่นิยมใช้กับงานมงคลแต่ใช้ ในเรื่องอื่นๆ เช่นการตัดสินคดีความ การเดินทัพในสมัยโบราณ หรือประกอบ พิธีกรรมต่างๆ ๘. ราชาฤกษ์รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๘ ๑๗ และ ๒๖ คือผู้เป็นใหญ่ พระเจ้าแผ่นดิน เหมาะส�ำหรับงานของบ้านเมือง ราชพิธี การเข้ารับ ต�ำแหน่งใหม่ หรือเข้าหาผู้ใหญ่เป็นต้น ๙. สมโณฤกษ์รวมเอาฤกษ์บนกลุ่มที่ ๙ ๑๘ และ ๒๗ หมายถึง ฤกษ์แห่งนักบวช ผู้ที่ชอบสันโดษ หรือถูกกักขังก็ได้ ฤกษ์นี้นิยมใช้กับ งานบวช งานวัด หรือพิธีกรรมในศาสนา เป็นต้น ๓. ดาวฤกษ์มี๒๗ กลุ่มเรียกว่าฤกษ์บน หรือฤกษ์น้อย เมื่อเข้าใจกลุ่มฤกษ์ หลวงทั้ง ๙ ฤกษ์แล้ว ตามหลักโหราศาสตร์แล้ว ฤกษ์หลวงทั้งหมดจะมีฤกษ์ย่อย ประจ�ำแต่ละฤกษ์โดยจะมีจ�ำนวนเท่ากันคือ ๑ ฤกษ์หลวงจะมี ๓ ฤกษ์ย่อย รวม จ�ำนวนเป็น ๒๗ ฤกษ์พอดีดังได้อธิบายไว้ในข้างต้น โดยกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ นี้จะ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
134 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา กระจายอยู่ในราศีต่างๆโดยมีระยะห่างที่ไม่เท่ากัน แต่จะคงอยู่ในราศีแต่ละราศีตาม สภาพนั้นตลอดเวลาไม่เคลื่อนที่ การที่กลุ่มดาวฤกษ์อยู่ประจ�ำที่ เมื่อพระจันทร์โคจร ผ่านเข้าไปในหมู่ดาวฤกษ์นั้นครบ ๒๗ ฤกษ์ก็จะเป็นเวลา ๑ เดือนตามหลักจันทรคติ การหาฤกษ์ดีก็คือจังหวะช่วงที่พระจันทร์โคจรไปพบกับดาวฤกษ์กลุ่มต่างๆที่มีความหมาย ที่ดีจึงมีการสมมติชื่อกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ กลุ่มพร้อมความหมายของหมู่ดาว แต่ละ ฤกษ์ที่ดีร้ายแตกต่างกันออกไปโดยจะมีนิทานดาวฤกษ์ที่จะบอกที่มาและความหมาย ของแต่ละดวงดาวก�ำกับไว้ดังนี้๗๖ ๑. ดาวอัศวินีหรือดาวม้าหางฮ่อน๗๗ หมวดฤกษ์ทลิทโท ตามต�ำนานนิทาน ดาวฤกษ์กล่าวว่า กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่งมีข้าวของ ๑๘ โกฏิก็ฉิบหายเสี้ยงลวด เป็นคนทุกข์ไร้เข็ญใจ วันหนึ่งนั้นคนตังหลายเล่นมหรสพลูกชายเศรษฐีจึ่งกล่าวกับ พ่อแม่ว่าจุ่งประดับตัวข้าด้วยเครื่องประดับทั้งหลายข้าจักเล่นมหรสพดีหลีเศรษฐีทั้ง ภาพต�ำแหน่งดาวฤกษ์ที่สถิตย์ อยู่ในแต่ละราศี ที่มา:สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับอักษรธรรมล้านนาและ อักษรขอม.กรมศิลปากร ๗๖ ต้นฉบับนิทานดาวฤกษ์ที่ใช้ปริวรรตนี้เป็นพับสาเรื่องนิทานดาวฤกษ์ของวัดศาลาหม้อ อำ�เภอเกาะคา จังหวัดล�ำปางเป็นหลัก และเปรียบเทียบชื่อดาวฤกษ์กับส�ำนวนอื่นๆ๗๗ ฉบับวัดปงสนุกเหนือกล่าวว่า “อัสสวิณีมี๙ ลูก เป็นดั่งหัวม้า ชื่อว่างูห้อยส้าวแล ในผังกระบวนดาวฤกษ์ ฉบับวัดศาลาหม้อ เรียกดาวงูน้อย” ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 135 สองก็กล่าวว่าเจ้าลูกรักเราทั้งหลายฉิบหายเสียเสี้ยงเป็นคนทุกข์ไร้เข็ญใจลูกเศรษฐี น้อยใจยิ่งนัก จึงกล่าวกับพ่อแม่เป็นเจ้าจุ่งขงขวายหาค�ำปันหนึ่งเพื่อข้าจักไปเมืองตัก ศิลาเพื่อเรียนเอาศาสตร์และศิลป์เพื่อเป็นของจ้างแก่อาจารย์เมื่อนั้นเศรษฐีทั้งสองก็ เขาะขอดข้าวของพอได้๕๐๐ ค�ำไปยืมผู้อื่น ๕๐๐ ค�ำ ลูกเศรษฐีผู้นั้นก็ไปเรียนเอา ศาสตร์และศิลป์ก็เนรมิตเอารูปสัตว์ทั้งหลายประมาณปีหนึ่งเจ้าค�ำ ๕๐๐ ก็ถามเอา เงินว ่าจะเอาพันหนึ่งลูกเศรษฐีกล ่าวว ่าพ ่อแม ่เป็นเจ้าอย ่าได้เคิงใจเต๊อะที่นั้นลูก เศรษฐีจึงเนรมิตรูปสัตว์ต่างๆไปขายมากนัก ลวดเป็นดีมีข้าวของมาดั่งเก่าพายหน้า แต่นั้นลูกเศรษฐีก็ได้เนรมิตตนเป็นรูปม้ามังคละแล้วบอกพ่อตนเอาไปขายแก่พญาเจ้า เป็นค่าค�ำพันหนึ่งเหตุนั้นบุคคลตังหลายอันเกิดมายังฤกษ์ตัวนี้มีประหยารู้ศาสตร์ และศิลป์แม้นท่านใคร่หื้อตายก็บ่ตายแล ยังมีสหายผู้ประเสริฐอันประกอบไปด้วย ก�ำลังบริสุทธิ์มากนักได้เป็นใหญ่แก่ท่านทั้งหลายเมื่อได้จุติก็ได้มาเกิดเป็นดาว ๙ ลูก แม่นผู้หญิงได้เกิดมาฤกษ์ตัวนี้ก็ฉันเดียวกันแล ๒.กลุ่มดาวภรณีหรือดาวเขียงก้อม บ้างก็เรียกเขียงค่อม หมวดฤกษ์มหัทธ โน คนทั้งหลายที่ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักได้เป็นใหญ่เป็นท้าวพญาในเมื่อยังน้อยแล แม่นว่าข้าศึกศัตรูมากระท�ำเบียนหื้อตายดั่งอั้นก็บ่ตายเทวดารักษาในผู้ที่เกิดมาฤกษ์ นี้อุปปัทวะทั้งหลายมีมากข้าศึกจักมาผจญก็อาจแพ้ได้ จักสมมโนรสความปรารถนา แห่งตนเป็นคนผู้น้อยจักได้เป็นนายช้างฤกษ์ตัวนี้มีรูปเสมอดั่งกุบมี๘ ลูกนา ๓. กลุ่มดาวกิตติกา หรือดาววี๗๘ หมวดฤกษ์หลวง โจโร ฤกษ์ นิทานดาว กิตติกาฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีพญาตนหนึ่งมักใคร่หื้อลูกยิงผู้หนึ่งแก่อาจารย์ผู้ประกอบด้วย ประหยายังมีชายหนุ่มผู้ประกอบด้วยประหยารู้ศาสตร์แลศิลป์ตังมวลมีวัณณะงาม มากนักเป็นลูกศิษย์ผู้นั้นรู้ว่าพญาจะหื้อลูกสาวแก่อาจารย์ตนศิษย์ผู้นั้นใคร่ได้ลูกสาว พญาก็มาส�ำแดงตนแห่งศาสตร์แลศิลป์แห่งตนมากนัก ส�ำแดงคุณมากเท่าใดเสนา อ�ำมาตย์ก็เจียรจาว่าจะหื้อลูกยิงแก่อาจารย์ มานพร�่ำเปิงว่าจักหื้อลูกพญาเข้าอ�ำนาจ ๗๘ วีหมายถึงพัด ภาคกลางเรียกดาวกลุ่มนี้ว่าดาวลูกไก่ วรรณกรรมล้านนา หรือนิทานที่มักจะเอามา แต่งเป็นขับซอจึงมีชื่อต�ำนานไก่น้อยดาววี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
136 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา แก่กูเมื่อถึงวันถ้วน ๗ อาจารย์ก็ร�่ำเปิงว่าจักหื้อนางผู้นั้นเข้าอ�ำนาจแห่งกูเมื่อนั้นลูก ศิษย์ก็รู้ค�ำมักแก่พญา ก็มาแตลง๗๙ มาเป็นแมงภู่จับอยู่ดวงดอกไม้อันลูกสาวพญา เล่นนั้น อาจารย์หันลูกศิษย์จับอยู่ดวงดอกไม้ลูกสาวพญาก็ขอเอาดวงดอกไม้อันนั้น แก่ลูกสาวพญานั้นแล มานพก็สอนลูกพญานั้นแลว่าอย่าเอาใส่มือท่านอาจารย์เน้อ จุ่งซัดตกเหียลานหั้นเต๊อะส่วนอาจารย์ก็ส�ำแดงศาสตร์แลศิลป์แก่พญาได้เล็งดูมานพ ก็ร�่ำเปิงว่าผิว่าบ่ได้ไปกับลูกสาวพญาอาจารย์ก็เที่ยงได้ลูกสาวพญา อาจารย์จึงกล่าว แก่พญาว่าข้าแด่มหาราชเจ้าข้าขอดอกไม้แห่งลูกมหาราชเจ้าพญาจึงกล่าวกับลูกสาว ตนว่าเจ้าลูกยิงจุ่งได้เอาดอกไม้หื้ออาจารย์เต๊อะ ลูกสาวพญาว่าอาจารย์ใคร่ได้ก็เอาเต๊อะ นางก็บ่ใส่มืออาจารย์ลวดซัดตกลงดินแมงภู่ตัวนั้นก็แปรเป็นเม็ดข้าวสาร อาจารย์ก็ แปรเป็นไก่ผู้สับกินข้าวสารอันนั้นลูกศิษย์ว่ากูจักแพ้ไก่ผู้จึงแปรเป็นเสือแผ้ว อาจารย์ ก็แปรเป็นเสือโคร่งปรากฏแก่หมู่คนทั้งหลายคนทั้งหลายก็ห้ามเสือบ่หื้อกระร้ายแก่ กันได้ลวดแปลเป็นลูกศิษย์ดั่งเก่าในกาละนั้นลูกศิษย์ก็เอาลูกสาวพญาเป็นเมียอยู่ต่อเต้า อายุก็จุติตายได้มาเกิดเป็นฤกษ์กิตติกาแลคนทั้งหลายที่เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักมีรูป อันงามมีประหยาฉลาดรู้ศาสตร์และศิลป์ จักมักกระท�ำโทษแก่อาจารย์บ่รู้คุณท่าน กระท�ำมิจฉาจารก็จักได้เมียผู้ประเสริฐจักเสียองก๊ะเหตุศัตรูมีมากนักศัตรูจักกระท�ำ ดั่งอั้นหื้อตาย ก็บ่ตาย พ้นจากศัตรูดั่งพระจันทร์พ้นจากราหูนั้นแลฤกษ์ตัวนี้มีรูปเสมอ ดั่งก่องข้าวเปลือกก็ว่ามีสัณฐานดั่งเขาแพะก็ว่าแล ๔. กลุ่มดาวโรหิณี หรือดาวคาง๘๐ หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล ต�ำนานนิทาน ดาวฤกษ์โรหิณีฤกษ์กล่าวว่า ยังมีแม่ยักษ์ขีณีผู้หนึ่งมีลูก ๔ คนเดินหาอาหารทิศทั้ง ๔ ทิศละคนแม่ยักษ์ผู้นั้นได้ชายผู้หนึ่งมาร�่ำเปิงว่าจักฆ่ากินว่าอั้นก็เอาไปไว้หน้าตูบแห่ง ตนส่วนว่าชายผู้นั้นผู้เป็นผัวลูกยักษ์ทั้ง ๔ พายลูนก็ได้เป็นผัวแม่ยักษ์เล่าแลแม่ยักษ์ก็ ฆ่าลูกทั้ง ๔ เสียยักษ์ตัวนั้นตายก็ได้มาเกิดเป็นฤกษ์โรหิณีในอากาศบุคคลทั้งหลายที่ เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักมีโกรธามากนัก หาค�ำพิจารณาบ่ได้จักกระท�ำตามโกรธะแห่ง ตนจักฉิบไปดั่งอั้นแล ๗๙ แปลงกาย๘๐ บ้างก็เรียกว่าดาวคางหมูบ้างก็เรียกดาวขะโจมหัว ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 137 ๕. กลุ่มดาวมิคคสีละ หรือดาวหัวเนื้อ หมวดฤกษ์หลวงเทศาตรีต�ำนาน นิทานได้กล่าวถึงกลุ่มดาว มิคคสีละฤกษ์ไว้ว่า ยังมีพญาตนหนึ่งรู้ศาสตร์แลศิลป์อัน ยิงธนูไปไล่เนื้อทั้งหลายในป่าก็หันยังลูกเนื้อสัตว์ตัวหนึ่งพญาร�่ำเปิงว่าเหตุกูไล่แม่มัน หนีแลก็เกิดสังเวทอินดูจิ่งเอามาเลี้ยงไว้รักษาใกล้โรงแห่งตนในกาละนั้น พญาก็ไปใจ ดูเนื้อตัวนั้นนางเทวีหันพญาไปสู่เนื้อดั่งอั้นก็บังเกิดหวงแหน นางก็หื้อฆ่าเนื้อตัวนั้น เสียเมื่อภายลูน พญารู้ว่าเนื้อตัวนั้นตายก็น้อยใจมากนัก ร�่ำเปิงว่าลูกเนื้อตัวนี้กูอินดู จึงเอามาเลี้ยงนางเทวีพ้อยหื้อท่านฆ่าเสียพญาบังเกิดโศกทุกข์มากนักลวดตายไปเกิด เป็นฤกษ์มิคคะสีละฤกษ์ตัวนี้มีรูปเสมือนดั่งหัวเนื้อคนทั้งหลายเกิดมาในฤกษ์ตัวนี้มี ทุกข์มากนัก จักตายทุกขเวทนาน้อยใจตาย น้อยใจในสิเนหาท่านผู้อื่นแล ๖. กลุ่มดาวอารทราหรือดาวหมาแดง๘๑ หมวดฤกษ์หลวงเทวีฤกษ์ นิทาน ดาวอารทราฤกษ์กล่าวว่า มีนางผู้หนึ่งทรงคัพพะมีรูปโฉมอันงามนักนางผู้นั้นเคียด แก่ผัวตนหนีไปสู่ป่าเกิดลูกในป่าลวดละเสียเทวดาอินดูกุมารผู้นั้นก็เอาไปเลี้ยงไว้บ่ หื้อมีอันตรายรายกุมารผู้นั้นใส่ใจยังเทวดาอันรักษาตนว่าเป็นพ่อเป็นแม่อยู่ในป่าที่นี้ คนทั้งหลายก็ถามกุมารว่าเจ้าลุกที่ใดมาอยู่ที่นี่กุมารตอบว่าข้าลุกแต่ฟ้าลงมาแลว่า อั้น ค�ำอันนั้นก็เล่าลือชาปรากฏไปรอดพญา พญาอัศจรรย์ใจมากนักก็หื้อคนไปเฝ้า เลี้ยงดูด้วยใจอันดีมากนักคนลุกจากทิศทั้ง ๔ มากระท�ำปูชาแลกุมารได้เครื่องปูชา มากนักก็เรียนเอาศาสตร์แลศิลป์มีประหยารู้จบเพททั้งมวลแล้วก็หื้อยศบริวารแก่ กุมารแลตั้งไว้ในฐานันตะอันวิเศษอยู่เสี้ยงกาละอันนานต่อเต้าอายุตนจุติตายก็ได้ เมือเกิดเป็นฤกษ์อทะราแลคนตังหลายเกิดในฤกษ์ตัวนี้จักได้พลัดพรากพ่อแม่แต่ น้อยไปอยู่ที่อื่นจักสมฤทธิบริมวล รู้ศาสตร์และศิลป์มากนัก ๗. กลุ่มดาวปุนัพพสุหรือดาวสะเปา หมวดฤกษ์เพชฌฆาต นิทานดาวปุนัพพสุฤกษ์ กล่าวว่ายังมีแม่ยักษ์ผู้หนึ่งเนรมิตเป็นคหบดีผู้มีข้าวของมากอยู่ในทิศหนวันออกกับ ลูกชายทั้งหลายก็มีลูกผู้หนึ่งอยู่เสี้ยงกาละอันนาน แม่ยักษ์ผู้นั้นก็ตายคนทั้งหลายก็ ส่งสการซากแม่ยักษ์นั้นจึงแต่งแป๋งใส่รถว่าชักไปเผาลวดขึ้นไปในอากาศกับรถนั้น เทวดาทั้งหลายว่าจุ่งหื้อปรากฏแก่คนทั้งหลายอันอยู่ในโลกนี้เต๊อะขอหื้อรถอันนั้น ๘๑ บางฉบับเขียนเป็นดาวหมากแดง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
138 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ปรากฏเป็นฤกษ์ในอากาศแลคนตังหลายอันเกิดมาในฤกษ์ตัวนี้สมฤทธิมีข้าวของ มากนักแต่เต้าว่ามีรูปผางร้ายเป็นดั่งแม่ยักษ์นั้นแล จักมีลูกผู้เดียวฤกษ์ตัวนี้มีรูปเป็น ดั่งสะเปาและผู้ชายอันเกิดมาในฤกษ์สมฤทธิมีข้าวของมากนัก อดร้อนอดหนาวทุก อันได้เป็นที่พึ่งที่อาศัยแก่คนมากนัก ๘. กลุ่มดาวปุษยะ หรือดาวหางเหลือง๘๒ หมวดฤกษ์หลวง ราชาฤกษ์นิทาน ดาวปุษยะฤกษ์กล่าวว่า ยังมีพญาตนหนึ่งเสวยราชสมบัติบ้านเมืองชอบราชธรรม มากนักด้วยอานุภาวะปฏิบัติดีก็ลือชาไปทั่วทิศจ�ำเริญใจแก่เทวดาทั้งหลายนัก พญา ตนนั้นคันตายคนทั้งหลายกระท�ำสรีระส ่งสการเอาขึ้นใส ่จองค�ำขึ้นเมือในอากาศ พญาตนลูกก็ได้เป็นพญาแทนพ่อร�่ำเปิงว่ากูได้เสวยราชสมบัติแทนพ่อกูก็บ่หื้อเสีย กองปฏิบัติตามประเวณีพ่อตนบ่หื้อถอยสักอัน ก็ปรารถนาว่ากูตายก็หื้อขึ้นเมือเกิด กับจองค�ำอันนี้เต๊อะว่าอั้นแล้วก็เอาเชือก ๔ เส้นผูกกับจองค�ำแขวนไว้แลพญาตนลูก อยู่ต่อเต้าเสี้ยงอายุคันจุติตายบ่ทันเผาก็ขึ้นเมือเกิดมาในฤกษ์ตัวนั้นบุคคลที่เกิดใน ฤกษ์ตัวนี้จักปฏิบัติตามประเวณีขะกูลพ ่อแม ่ จักได้แทนพ ่อแม ่ตนตัวจักมีรูปงาม เหมือนยวงฝ้าย ฤกษ์ตัวนี้มีสัณฐานดั่งเสาป้องก๋อนมีวัณณะเป็นดั่งไฟไหม้แล ๙.กลุ่มดาวอสิเลสดาวคอกม้า หรือดาวเรือนห่าง หมวดฤกษ์สมโณ นิทาน ดาวอาสเลสฤกษ์ กล่าวไว้ว่ายังมีพญาตนหนึ่งเสวยราชสมบัติหาลูกชายบ่ได้คันตาย แล้วอ�ำมาตย์ผู้ใหญ ่แทนเป็นพญาส ่วนนางเทวีก็อยู ่ด้วยยักษ์ผู้หนึ่งบ ่นานเท ่าใดก็ ประสูติลูกชาย ลูกผู้นั้นก็ถึงวัยใหญ่ขึ้นมาแล้วก็รู้ว่าราชสมบัติทางแม่มีมากนัก ก็ได้ ไปขงขวายหาริพลทั้งหลายก็ได้ริพลคนศึก ๘๐๐ คนไปตั้งทางทิศหนวันออกเวียงหั้น แล ในกาละนั้นท้าวพญาทั้งหลายต่างประเทศก็มาด้วยค�ำว่าเมืองอันนี้ก็มีแต่ราชเทวี ก็บ่ได้เสวยราชสมบัติอ�ำมาตย์ผู้น้อยก็บ่ควรเป็นเจ้าเสตะฉัตรเราจักไปเอาสมบัติก็มา จักรบเอาเมืองนั้น เมื่อนั้นอ�ำมาตย์ผู้เป็นพญาจิ่งจาด้วยริพลว่าราชสมบัติทั้งมวลฝูงนี้ จุ่งไว้แต่แม่เทวีเสวยเต๊อะเราจักพร้อมกันรบพร้อมด้วยริพลทั้งหลายฝูงนี้อ�ำมาตย์แล ลูกราชเทวีคันไปแล้วหับประตูเวียงไว้ลี้พลทั้งหลายก็ไปกับด้วยกันก็ได้ฆ่าลูกยักษ์ ผู้นั้นตายเทวดาก็ไว้เสี้ยงกาละอันนานก็ปาดชิ้นเป็น ๗ ส่วนตากไว้แล้วลูกยักษ์ผู้นั้นก็ ๘๒ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่า ดาวพญาธรรม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 139 ไปเกิดเป็นฤกษ์อาสาเลสบุคคลที่เกิดภายใต้ฤกษ์นี้คันว่าได้ไปสู่สงครามจักตายก่อนท่าน อายุบ่ยืนฤกษ์ตัวนี้มี๓ ลูก เหตุว่าลี้พลมีสามตนแล ๑๐. กลุ่มดาวมาฆะ หรือดาวรูปนาค๘๓ หมวดฤกษ์ทลิทโท นิทานมาฆะฤกษ์ กล่าวว่ายังมีพญาตนหนึ่งมีนางเรือนหลวง ๕๐๐ คนบ่มีลูกสักคนพญาหาลูกชายบ่ได้ สักคนพญาก็ออกจากเวียงกับด้วยนางทั้งหลายไปสู่ป่าถามเจ้าระษีว่าใคร่หื้อมีลูกจัก หื้อกระท�ำด้วยประการสันใด เจ้าระษีกล่าวว่าผิว่ามหาราชเจ้าจักใคร่ได้ลูกชายนั้นจุ่ง ปิดเอาลูกไม้หัวมันทั้งหลายกระท�ำปูชาเต๊อะพญาก็หื้อนางเรือนหลวงทั้งหลาย กระท�ำปูชาตามค�ำเจ้าระษีกล่าวนั้นปูชาแล้วปรารถนาเอาลูกผู้ชายก็ได้ตามค�ำมักค�ำ ปรารถนาแต้แลคนตังหลานอันได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้มีข้าวของมากนักเปิงแหนที่สัตว์ ในป่าในดอยเต๊อะฤกษ์ตัวนี้เป็นดั่งปากงอนไถ ๑๑.กลุ่มดาว ปุรพผลคุนีหรือแพะตัวผู้๘๔ หมวดฤกษ์มหัทธโน นิทานดาวฤกษ์ ปุรพผลคุนีฤกษ์ ยังมีเจ้าระษีตนหนึ่งภาวนาอยู่ในป่าหิมพานต์ใกล้ที่อยู่ยักษ์ผู้หนึ่ง ยักษ์ผู้นั้นได้ยินเสียงระษีตนนั้นภาวนาก็ขนลุกเสี้ยงจุเส้น ยักษ์ผู้นั้นมีใจมักใคร่ฆ่าเจ้า ระษีภายหน้าแต่นั้น วันหนึ่งเจ้าระษีลืมกรรมฐานภาวนาดั่งอันยักษ์ผู้นั้นแปรมาเป็น เสือโคร่งมาฆ่าเจ้าระษีก็ตายไปเสือโคร่งตัวนั้นก็ตายไปสันเดียวกันเทวดากล่าวว่าสัน นี้ส ่วนผียักษ์ผู้นั้นมันมีก�ำลังมากนักได้กระท�ำร้ายแก ่เจ้าระษีตนมีศีลมันก็ถึงอัน ฉิบหายตายไปเทวดาก็เมือเอาไว้ในอากาศเพื่อหื้อโลกทั้งหลายรู้ว่ากระท�ำร้ายแก่ผู้มี ศีลเหตุนั้นแล คนตังหลายอันเกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักมีประหยามากนักจักกระท�ำกุศล บุญมาก แม้นจุติตายก็ได้มาเกิดบนอากาศด้วยกุศลบุญอันได้กระท�ำ คนทั้งหลายที่ ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักสุขใจได้เป็นคหบดีเศรษฐีเพิงเหียแท้แล ๑๒. กลุ่มดาวอุตตรผลคุนี หรือดาวแพะตัวเมีย๘๕ หมวดฤกษ์โจโร นิทาน ดาวอุตรผลคุนีฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งจะเดินแอ่วค้ายังมีวันหนึ่งมันล�ำบาก ๘๓ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่าดาวงูห้อยส้าวน้อยในผังกระบวนดาวฤกษ์ฉบับวัดศาลาหม้อเรียกว่าดาวงูหลวง๘๔ บางต�ำราเรียกว่า ดาวพิดานน้อย ก�้ำวันออก๘๕ บางฉบับเรียกว่า ดาวพิดานน้อย ก�้ำเหนือ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
140 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ด้วยอันเทียวทาง มันหันไม้นิโครธต้นหนึ่งมีลมอันเย็นมันก็เข้าไปนอนในร่มไม้ในเมื่อ ปัทมะยามล่วงแล้วถึงปัจฉิมะนางเทวธิดาตนหนึ่งก็เอาเพศเป็นดั่งผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้ามา ในที่นั้น ลูกชายเศรษฐีหันใจใสว่า ผู้หญิงคนนี้ควรกระท�ำสัพพะด้วยนางเทวธิดาผู้นั้น ลุกเสพเสี้ยงกาละหลายคาบลวดประสูติได้ลูกชายผู้หนึ่ง เมื่อถึงวัยขึ้นใหญ่ ก็ไปบ�ำเริญ พญาเสี้ยงกาละ อันนั้นก็เป็นอ�ำมาตย์ใหญ่มีรูปอันงามนักนางเทวีแห่งพญามีใจปฏิบัติกับ ด้วยอ�ำมาตย์ผู้นั้นก็ลวดกระท�ำมิจฉาจารกันด้วยราชเทวีหั้นแล พญารู้ว่าอ�ำมาตย์แล นางเทวีกระท�ำสภาวะเสพดั่งอั้นพญาก็ฆ่ายังอ�ำมาตย์ใหญ่ผู้นั้นเสีย แลเทวดาก็เอา เครื่องประดับเมือไว้ในอากาศวิมานหื้อโลกทั้งหลายได้หันยังกรรมอันบ่ควรกระท�ำแล คนตังหลายอันได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้ มีรูปอันงามอาสาขุนจักได้เป็นใหญ่จักตายด้วย เมียท่านแล ฤกษ์ตัวนี้รอมกันเหมือนจองนั้นแล ๑๓. กลุ่มดาวหัตถะ ดาวศอกคู้ หรือดาวทบศอก หมวดฤกษ์ภูมิปาโล นิทานดาวหัตถะหรือหัสสะฐะฤกษ์ได้กล่าวไว้ว่า ยังราชสีสามตนยังมีในป่าหิมพานต์ และยังมีราชสีตัวหนึ่งอยู่ในคูหาค�ำแลมีหมาจิ้งจอกอยู่ในคูหาแก้วผลึก หมาจิ้งจอก ตัวนั้นก็ไปสู่ราชสีตัวหนึ่งอยู่ในคูหาค�ำที่นั้น ในเมื่อราชสีตัวพี่ไปหากินอาหารไป่ทันมาเทื่อ หมาจิ้งจอกตัวนั้นก็ว่าแก่น้องญิงราชสีว่า ดูรานางจุ่งเป็นบาทบริจาคบ�ำเริญข้าทั้งมวลเต๊อะ น้องญิงราชสีได้ยินดั่งอั้นก็เคียดมากนักก็กล่าวว่า หมาจิ้งจอกขี้เรื้อนดั่งลือจักมาเป็น ผัวกูดั่งอั้นหมาจิ้งจอกตัวนั้นบ่ควรกล่าวต่อราชสี บ่อาจจะเดินไปหากินอาหารก็เข้าไป นอนอยู่ในคูหาที่นั้นนางราสีตนน้องคันว่าพี่เอาอาหารมาว่าดูราน้องญิงจุ่งกินอาหาร เต๊อะ นางราชสีตนนั้นก็กล่าวว่าข้าบ่อาจกินอาหารได้แล้วอันบอกเหตุอันหมาจิ้งจอก มาบอกตนแก่ราชสีตนพี่ ราชสีตนพี่ก็มีความเคียดมากนักก็แล่นไปด้วยอันรีบ หมาจิ้งจอก อยู่แก้วคูหาอันผลึกใส่ใจว่า อากาศจักผลึกขึ้นอกราชสีตนนั้นถึงเหลี้ยมคูหาลวดตาย หั้นแล ราชตัวพี่ถ้วนสองมาเล่าแลก็บอกสันเดียวกันนั้นมันก็เคียดแล่นไปด้วยด่วนรีบ ทิ่มคูหาเหลี้ยมก็ลวดตายไป ราชสีตัวถ้วนสามมานางก็บอกเหตุทั้งมวล ราชสีตัวพี่ กล่าวว่าหมาจิ้งจอกตัวถ่อยร้ายมันอยู่ที่ใดรอยมันอยู่คูหาแก้วผลึกพิจารณาหันรอย ตีนเทียวเข้าเทียวออกในคูหาอันนั้นก็ร้องด้วยเสียงอันดังมากจิ้งจอกตัวนั้นก็ขดตาย อยู่ในคูหาแก้วผลึกนั้นแล เทวดาจึงใคร่หื้อปรากฏแก่โลกจึงเอารอยตีนหมาจิ้งจอก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 141 ตัวนั้นเมือไว้ในอากาศปรากฏเป็นฤกษ์หัสสะฐะดั่งนี้แล ศอกคู้ก็ว่าแลฤกษ์ตัวนี้มีสัณฐาน เหมือนศอกคู้เป็นดั่งดอกปุ๋มป๋านั้นแล คนตังหลายอันได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้กระท�ำไร่นา ศาสตร์และศิลป์จักสมฤทธิเป็นดีมีข้าวของคนที่ได้เกิดมาในฤกษ์นี้จักได้เป็นสมณะ พรามณ์เท่าแป้นฝ่ามือขอกินจักได้เลี้ยงชีวิตแล ๑๔.กลุ่มดาวจิตรา หรือดาวไฟน้อย๘๖ หมวดฤกษ์เทศาตรี นิทานดาวจิตรา ฤกษ์กล่าวว่า๘๗ยังมีพญาตนหนึ่งมีลูกญิงประกอบด้วยรูปอันงามนักในกาละเมื่อนาง เกิดมา พรามณ์ทั้งหลายท�ำนายว่าลูกญิงผู้นี้จักเข้๘๘ จะขบตายว่าอั้นพญาว่าเป็นฉันนั้นแท้ เราจักรักษานางไว้นานประมาณเท่าใดจึงจักพ้นจากภัยอันจักเข้กินนั้นจาพราหมณ์ ตอบว่ารักษาไว้นานซาวปีจึงพ้น หื้อพญารักษาไว้พอนางอายุได้ซาวปีบ่หื้อลงน�้ำกาละนั้น พญาตนพ่อไปแอ่วเล่นในป่า ลูกสาวพญานั้นไปไหว้แม่ตนว่าใคร่ลงน�้ำในดินแลพญาตน แม่กล่าวว่าบุตรตรีดูราเจ้าลูกรักแม่นจักเข้จักกินเจ้าเสีย นางผู้ลูกก็กล่าวว่าบ่ไปเล่น ที่ไกลที่ลึกแม่ตนเจ้าจึงได้ขุดสระอันหนึ่งไว้วันออกกระท่อมที่นี้หื้อข้าเต๊อะ นางผู้แม่ ก็กระท�ำตามลูกตนนางก็หื้อเอาเรือเล่มใหญ่ใส่น�้ำเต็มเรือหื้อเป็นสระแล้วนางลูกญิงกับ เพื่อนทั้งหลายก็เล่นน�้ำในมหานาวานั้นหนาวนัก ก็ขึ้นนั่งเหนือแคมเรือผิงแดดอยู่ใน กาละนั้นยังมีพญานาคตัวหนึ่งเอาหัวมาบุ ่นออกมาพ้นแผ ่นดินลูกสาวพญาหันตา พญานาคใส่ใจว่าเป็นแก้ว ใคร่ได้มากนักหื้อเพื่อนเล่นลงไปเอา พญานาคก็หลับตา เสียบ่หัน พอลูกพญาเล็งดูนาคตัวนั้นก็เมินตาลูกสาวพญาลงไปเพื่อว่าจักเอาพญานาคตัวนั้น ก็แปรเป็นจักเข้ยับเอาลูกสาวพญาไปเหตุนั้นเทวดาทั้งหลายก็หื้อปรากฏแก่โลกทั้งมวล หื้อรู้ว่าเป็นกรรมวิบากบ่อาจจะพ้นได้แล จึงเมือเอาไว้ในอากาศเป็นฤกษ์ชื่อว่าฤกษ์ จิตรานั้นแลคนตังหลายที่ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักมีภัยอันเกิดแต่น�้ำ ๑๕. กลุ่มดาวสวัสติหรือดาวไฟหลวง๘๙ หมวดฤกษ์เทวีนิทานดาวสาติหรือ เรียกอีกชื่อว่าดาวสวัสติฤกษ์ได้กล่าวไว้ว่า ยังมีมานพผู้หนึ่งพ่อแม่ตายแต่น้อยเป็น ๘๖ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่า ดาวใต้ไฟน้อย๘๗ ท�ำนาย๘๘ จระเข้๘๙ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่า ใต้ไฟหลวง บางฉบับเรียกว่า ดาวด้งมอน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง