42 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา อชวิถีนั้น ก็ได้ชื่อว่านาคะวิถีอันฝนจักตกมากนัก เมื่อวัสสาวราหกเทวบุตรออกจาก วิมานอันเป็นทิพย์พอแก่กาละเวลาแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่วิมานแห่งตนฝนก็บ่ตกนักก็บ่ ร้อนนัก เนื้อหาจากอรุณวดีสูตรในส่วนนี้ชี้ให้เห็นว่า หากวิถีโคจรของพระอาทิตย์ เข้ามาใกล้โลกมากจะท�ำให้ผิวโลกร้อนจึงกลายเป็นฤดูร้อนและไม่มีฝนตก เนื่องจาก ให้เหตุผลว่าเทวดาผู้ดลบันดาลให้เกิดฝนตกคือ วัสสาวราหกเทวบุตรไม่สามารถออก มาจากวิมานของตน จึงไม่สามารถเนรมิตฝนให้ตกได้คัมภีร์ฉบับนี้เดินเรื่องด้วยการ ถามตอบของพระมหาเถรกับวัสสาวราหกเทวบุตรเพื่อจะเชื่อมเนื้อหาของ วรรณกรรมให้มีอรรถรสขึ้นดังนี้ พระมหาเถระได้กล่าวถามเรื่องเหตุแห่งฝนตกกับวัสสาวราหกเทวบุตร วัส สาวราหกเทวบุตรจึงตอบพระมหาเถระว่า ข้าใคร่หื้อฝนตกยามใด ฝนก็ย่อมตกยาม นั้นตามใจอันมักแห่งข้า ขอเจ้ากูจุ่งเมือสู่ศาลานั้นเต๊อะ พระมหาเถระจึงกลับเข้าสู่ ศาลาแห่งตน เมื่อนั้นเทวบุตรตนนั้นก็ขับฟ้อนและซอ๒๔ ด้วยเสียงอันเป็นทิพย์แห่งตน แล้วก็ยกมือขึ้น เมฆะห่าฝนอันใหญ่ก็บังเกิดขึ้นมา แล้วฝนก็ตกลงทั่วด้าวสามโยชน์ รอดทุกเบื้องทุกพาย ในขณะที่เทวบุตรตนนั้นขับฟ้อนและยกมือขึ้นนั้นแล นอกจากวัสสาวราหกแล้วยังปรากฏเทวดาอีก ๕ กลุ่มผู้ดลบันดาลให้เกิด สภาวะการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอันนอกเหนือจากฤดูกาลปกติเช่น อากาศหนาวจัด ในฤดูฝน พายุฝนตกในฤดูร้อน หรืออากาศผิดปกติต่างๆ ด้วยเชื่อว่าสาเหตุเกิดจาก การดลบันดาลให้เกิดจากเทวดาต่างๆ ดังปรากฏในคัมภีร์ว่า ส่วนว่า วราหกเทวบุตรเจ้าก็มี๕ จ�ำพวก อันนึ่งชื่อสีตะวราหก อันนึ่งชื่อ อุณหะวราหก อันหนึ่งชื่อตาวาวราหก อันหนึ่งชื่ออัพพาวราหก อันหนึ่งชื่อว่า วัสสาว ราหก ฤดูแลอากาศอันหนาวและเย็นกว่าปกตินั้นหากเกิดแต่อนุภาวะแห่งเทวบุตร ตนที่ชื่อ สีตะวราหกแล ฤดูแลอากาศอันร้อนกว่าปกติร้อนในฤดูหนาว ร้อนในฤดู ฝนหากเกิดแต่อนุภาพแห่งอุณหะวราหกเทวบุตรหื้อเกิดเป็นแล อัพภาหรือฝ้าเมฆ ฝนอันใดเกิดเมื่อฤดูหนาวฤดูร้อนอันบ่ใช่ปกติฤดูขึ้นมาเทาปกด�ำพระจันทร์แลพระอาทิตย์ไว้ กระท�ำหื้อฟ้ามืดมัวมากนัก ก็เป็นด้วยอานุภาพแห่งเทวดาตนชื่ออัพภาวราหกนั้นแล ส่วนลมอันเกิดมีในฤดูหนาวฤดูร้อนอันบ่ใช่ปกติฤดูควรเพิงกลัว ลมอันนั้นหากเป็น ๒๔ ซอ ในที่นี้หมายถึงการขับร้อง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 43 อานุภาพแห ่งวาตาวราหก แลเมฆฝนอันตกด้วยดีในฤดูเกิดด้วยอานุภาพแห ่ง วัสสาวราหกนั้นแล ในคัมภีร์อรุณวดีสูตรได้กล่าวถึงเหตุผล ๘ ประการที่เมฆฝนตกลงมาบนโลก ประการแรกคือ ด้วยอานุภาพแห่งนาคทั้งหลายออกมาเล่นน�้ำ ประการที่สอง ตกมา ด้วยอานุภาพแห่งครุฑทั้งหลาย ประการที่สาม ตกลงด้วยอานุภาพแห่งเทวบุตรเทวดา ทั้งหลาย ประการที่สี่ ตกลงด้วยอานุภาพแห่งสัจจะกิริยาแห่งสัปปุริสะเจ้าทั้งหลายตน มีบุญสมภาร ประการที่ห้าตกด้วยฤดูกาลหากน�ำพาให้เกิด ประการที่หกตกลงด้วย อ�ำนาจแห่งมารทั้งหลาย ประการที่เจ็ด ตกด้วยอานุภาพแห่งขีนาสาวก อรหันต์เจ้า ทั้งหลาย และเหตุประการที่แปด ตกลงด้วยอานุภาพอันกระท�ำให้ฉิบหายแก่โลก คือ กาละเวลาเมื่อม้างกัปด้วยน�้ำ ส่วนสาเหตุที่ฝนไม่ตกนั้นมี ๕ ประการตามคัมภีร์ กล่าวไว้คือ อันนึ่ง เตโชธาตุมีอากาศพายบนเป็นอันกล้าแข็งนัก แม่นว่าเมฆอันใหญ่หากเกิดมีก็จักกลับ หายเสีย ก็เพราะเหตุย้อนเตโชธาตุนั้นแล อันนึ่งชื่อวาโยธาตุคือลมในอากาศกล้า คะนองนักก�ำจัดยังฝ้าเมฆอันใหญ่หื้อหายเสียก็มีแลอันนึ่งพญาไอศวรอสุรินท์รับเอา น�้ำในอากาศด้วยฝ่ามือไปถอก๒๕ เสียยังในมหาสมุทร อันนึ่งเทวดาตนชื่อวัสสาวรา หกอยู่ด้วยประมาทบ่กระท�ำกิจอันจักหื้อฝนตก อันนึ่งท้าวพญาเสนาอามาตย์ผู้เป็น ประธานแก่คนทั้งหลายบ่ประกอบชอบด้วยธรรมฝนก็ลวดบ่ตกก็มีแล เมื่อท้าวพญา บ่ประกอบชอบในธรรมเทวดาทั้งหลายก็บ่ชื่นชมยินดีปิติดั่งอั้น ฤดูกาลก็บ่บัวรมวลด้วย ดีฟ้าฝนก็บ่ตกแล แม่นท้าวพญาประกอบชอบธรรมดั่งอั้นพระจันทร์พระอาทิตย์ก็น�ำไป ดีนักกับตามคลองแห่งฤดูบัวรมวลชุอันแท้แล นอกจากนี้ยังมีวิธีการท�ำนายฝนด้วยการสังเกตสัตว์ต่างๆ ในธรรมชาติเช่น การสังเกตปูซึ่งปกติจะท�ำรูสองอันอยู่ใกล้น�้ำ ปีใดก็ตามที่ปูทั้งหลายปิดรูล่างไว้แล้ว เข้าออกรูบนปีนั้นฝนไม่มาก ปีใดก็ตามที่ปูทั้งหลายปิดรูบนไว้แล้วเข้าออกรูล่างปีนั้น ฝนจะตกมาก หรือสังเกตจากการท�ำรังของนกกระจอก หากปีใดสร้างรังในที่ต�่ำใกล้ หนองน�้ำ ปีนั้นฝนจะแล้ง ปีใดก็ตามนกกระจอกท�ำรังอยู่ปลายไม้ที่สูงปีนั้นฝนจะตกมาก เป็นต้น ๒๕ เททิ้ง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
44 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพวงโคจรของพระอาทิตย์ที่เคลื่อนตัวขยับเข้าออกจากศูนย์กลางคือโลกหรือเขา พระสุเมรุ อันเป็นเหตุท�ำให้เกิดฤดูกาล ที่มา:สมุดภาพไตรภูมิฉบับอักษรธรรมล้านนา และอักษรขอม.กรมศิลปากร ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 45 พระอาทิตย์และพระจันทร์ ตามหลักดาราศาสตร์กลุ่มดาวเคราะห์ในระบบสุริยะทั้งหมดนั้น พระอาทิตย์ และพระจันทร์ถือว่ามีอิทธิพลต่อโลกมากที่สุด โดยนอกจากจะเป็นตัวก�ำหนดฤดูกาล แล้วยังเป็นตัวก�ำหนดกาลเวลาคือ กลางวันและกลางคืน ต่อเนื่องมาถึงเรื่องของ อุณหภูมิบนโลก ด้วยพระเคราะห์ทั้งสองดวงนี้ท�ำให้อุณหภูมิบนพื้นโลกมีความสมดุล และอบอุ่นพอดีกับการอยู่อาศัยของสรรพสัตว์และเกิดขึ้นของสรรพสิ่งบนโลก แสง พระอาทิตย์ในเวลากลางวันให้ความร้อนในยามกลางวัน และยามกลางคืนโลกก็จะ คลายความร้อนจนเย็นลง จากการที่แสงของพระอาทิตย์ส่องพื้นโลกทีละครึ่งซีกใช้ เวลาประมาณ ๑๒ ชั่วโมง ด้านที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์ก็จะระบายความร้อนจากผิวโลก ได้พอดีคือกลางคืน โดยถือเอาพระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ ต�ำนานมูลโลกได้กล่าวถึงลักษณะสัณฐานของพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ว่า โลกแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ราบเพียงทางบน มนทางลุ่ม เป็นดั่งหน่วยมะโอ ปาดเกิ่ง๒๖ เหตุนี้แลคนเราอยู่ทางลุ่มจึงหันมน ทางบนพระอาทิตย์ราบเพียงดั่งหน้า กลองชัยกว้าง ๕๐ โยชน์มีปราสาททิพย์ตั้งอยู่บนหลังพระอาทิตย์พระอาทิตย์นั้นสูง ๑๒ โยชน์กว้าง ๑๒ โยชน์เท่ากัน แล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ มีเทวบุตรอยู่ในปราสาท ที่นั้นประมาณ ๑๐๐ ตน เทวบุตรเหล่านั้นทรงผ้ากัมพลทิพย์แดงงามเป็นดั่งดอกใหม่ มีอายุเท่ากับพระอาทิตย์เสวยของทิพย์ทุกตน พื้นปราสาทนั้นมีทางรถจักรแก้วทิพย์ เจ็ดประการพาเอาพระอาทิตย์เดินไปในอากาศ ส่วนโลกพระจันทร์กว้าง ๔๙ โยชน์ มีปราสาททิพย์อยู่บนหลังพระจันทร์สูง ๑๒ โยชน์กว้าง ๑๒ โยชน์เท่ากัน แล้วด้วย แก้ว ๕ ประการมีเทวดาอยู่ในปราสาทที่นั้นประมาณพันตน ทรงผ้าส�ำลีอ่อนนวล เป็นดั่งฝ้ายขาว เทวดาเสวยของทิพย์ทุกตนมีอายุเท่าพระจันทร์ พื้นปราสาทแห่ง พระจันทร์มีทางรถจักรแก้วทิพย์๕ ประการพาเอาพระจันทร์เดินเทียวแวดเขาสิเนโร การตีความเรื่องพระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นได้มีการอธิบายความไว้ หลากหลายรูปแบบนอกจากสัญลักษณ์ของกลางวันและกลางคืนแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ ๒๖ ส้มโอผ่าครึ่ง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
46 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ของเพศหญิงเพศชายในอุดมคติซึ่งมักจะโยงต่อไปถึงเรื่องซ้ายและขวา ซึ่งคนโบราณ มักจะมีการกล่าวค�ำว่า หญิงซ้ายชายขวาเสมอ เรื่องซ้ายและขวานั้นปรากฏ อีกนัย ยะหนึ่งคือ ขวามงคลและซ้ายอวมงคล โดยสังเกตได้จากการเดินเวียนรอบสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต้องเดินเวียนขวาคือการเดินประทักษิณ หรือทักษิณาวัฏ โดยการ หันข้างขวาของผู้เดินเข้าหาศูนย์กลาง หรือตัวอาคารนั้นๆ ส่วนการเวียนซ้ายนิยมใช้ กับการเดินเวียนรอบศพ หรือเมรุซึ่งถือเป็นงานอวมงคลนั่นเอง อย่างไรก็ตามทั้งซ้าย และขวาก็ไม่สามารถจะแยกขาดออกจากกันได้ เนื่องจากว่าทั้งสองคือสมดุลยภาพ แห่งทุกสรรพสิ่งที่จะช่วยประคับประคองให้โลกจรรโลงอยู่ได้เป็นหลักการความเชื่อ เดียวกันกับศาสตร์หยินและหยางของจีน สัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นยังสามารถสื่อความหมายไป ถึงเรื่องของภูมิศาสตร์ในการตั้งเมืองโบราณ ยกตัวอย่างการตั้งเมืองเชียงใหม่อันเป็น ชัยภูมิที่ดีสามารถสื่อถึงเมืองที่มีความหมายในอุดมคติตามหลักจักรวาล จุดเด่นหลัก ของภูมิศาสตร์เมืองเชียงใหม่คือเมืองเชียงใหม่ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มเชิงเขา มีดอยสุเทพอยู่ เบื้องหลัง ด้านหน้าเมืองทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศแห่งพระจันทร์มีแม่น�้ำปิงเป็นสายน�้ำหลัก ที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคและเป็นเส้นทางสัญจรที่ส�ำคัญ สัญลักษณ์ดังกล่าว ดอยสุเทพ หรือภูเขา คือสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และความเป็นผู้ชาย คือ หนักแน่นมั่นคง เปรียบเป็นธาตุดินและธาตุไฟ แม่น�้ำปิง คือสัญลักษณ์แห่งพระจันทร์คือผู้หญิง อัน สื่อถึงธาตุน�้ำและธาตุลม คือ ความอ่อนโยน และแปรปรวน การแพร่กระจาย๒๗ โดย ทั้งสองอยู่ขนาบเมืองเชียงใหม่ ดอยสุเทพอยู่ฝั่งขวาของเมืองและแม่น�้ำปิงอยู่ฝั่งซ้าย ของเชียงใหม่จึงถือว่าเป็นชัยภูมิที่ดีอุปมาดั่งเขาพระสุเมรุหรือจักรวาลที่พระอาทิตย์ และพระจันทร์เป็นบริวาร ๒๗ อุปมาดั่งศิวะลึงค์ที่ตั้งอยู่บนฐานโยนีอันเป็นสัญลักษณ์แห่งเพศหญิงและเพศชายเมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกันจึง เป็นสัญลักษณ์ของการก�ำเนิดและความอุดมสมบูรณ์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 47 ภาพพระประธานภายในวิหารน�้ำแต้มวัดพระธาตุล�ำปางหลวง ที่มีฉากผนัง ด้านหลังตกแต่งด้วยจิตรกรรมลายค�ำรูปต้นศรีมหาโพธิ์ พระอาทิตย์พระจันทร์ ส อยู่ด้านขวาและด้านซ้ายขององค์พระพทธรูป ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
48 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ก�ำเนิดสุริยคราส และจันทรคราส สมัยโบราณนั้นการเกิดสุริยคราส และจันทรคราสถือเป็นเรื่องอาถรรพ์หรือ ลางบอกเหตุความมืดมัว ความชั่วร้ายต่างๆ ซึ่งเกิดจากราหูดังนั้นราหูในทัศนะคน โบราณจึงมักเป็นเรื่องร้ายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยความที่ราหูมีอ�ำนาจจึงจ�ำเป็น ต้องกราบไว้บูชาราหูกันตามความเชื่อ การเกิดจุดคราสนั้นคนสมัยโบราณจะเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า กบกินเดือน จะค่านตือเดือน โดยค�ำว่าจะค่านนี้น่าจะเพี้ยนมาจากค�ำ ว่าจันทคราสนี่เอง นิทานมุขปาฐะเกี่ยวกับเรื่องราหูกับจุดคราสนี้มีมาก ซึ่งมักจะ อ้างอิงถึงความชั่วร้ายของราหูทั้งสิ้น คัมภีร์อรุณวดีสูตรส�ำนวนล้านนาได้กล่าวถึง การก�ำเนิด สุริยคราส และจันทรคราสไว้ว่า ในเมื่อพระจันทร์พระอาทิตย์มีอานุภาพมากนักฉันนี้ เหตุใดผู้คนจึงโจทนา กล่าวว่า เมื่อราหูอสุรินทะนี้เข้ามาตือเอามณฑลพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้นจัก กลืนกินได้รือ เมื่อถามฉันนั้นปริหารักบุคคลก็เพิงกล่าวว่า ดังจักหื้อกลืนกินก็ได้แม่น จักอมไว้ก็ได้ดีหลีเหตุว่าราหูอสุรินทะนั้นมีตนอันใหญ่สูงนัก มีขนาดได้๔ พัน ๘ ร้อย โยชน์จักนับเป็นวาได้๘ โกฏิปลาย ๘ ล้านวา นับแต่ข้างขวาถึงซ้ายได้พันปลาย ๒ ร้อยโยชน์วัดราหูที่ทัดอกราหูได้พันปลาย ๒ ร้อยโยชน์เป็น ๑๙ โกฏิปลาย ๒ ล้าน วาแล ตนตัวของราหูหนาตั้งแต่อกเมือถึงหลังได้๖๐๐ โยชน์เป็นโกฏิปลาย ๑๐๐ วา หัวราหูยาวแต่คางขึ้นถึงกระหม่อม ได้๑๐๐ โยชน์เป็น ๑๖๐ โกฏิวาแล หน้าผาก ราหูยาวลุ่มบนได้๓๐๐ โยชน์ เป็น ๔ โกฏิปลาย ๘ ล้านวาแล หว่างคิ้วทั้งสองแห่ง ราหูกว้างได้ ๕๐ โยชน์เป็น ๘ ล้านวา ปากราหูยาว ๒ ร้อยโยชน์เป็น ๓ โกฏิปลาย ๒ ล้านวา ปากราหูลึกเมือในถึงที่สุดรูคอ ได้๓๐๐ โยชน์เป็น ๔ โกฏิปลาย ๘ ล้าน ฝ่าตีนฝ่ามือราหูหนาได้๒๐๐ โยชน์เป็น ๓โกฏิปลาย ๒ ล้านวา ปล้องนิ้วมือและอัน และอัน ยาวได้๕๐ โยชน์เป็น ๘ ล้านวา ดัง๒๘ราหูยาวแต่หัวคิ้ว ลงได้๓๐๐ โยชน์ เป็น ๔ โกฏิปลาย ๖ ล้านวา คิ้วและตาราหูยาว ๖ ร้อยโยชน์เป็นโกฏิปลาย ๑๐๐ วา และ ๙๖ โกฏิวาแล ๒๘ จมูก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 49 อันว ่าราหูอสุรินทะมีตนใหญ ่มากนักฉันนี้ เมื่อมันเห็นพระจันทร์และ พระอาทิตย์อันรุ่งเรืองงาม หากเดินเทียวไปในอากาศ มันมีความอิจฉาขอยอันมาก มันอดบ่ได้ก็ขึ้นไปสู่วิถีคลองหนทางเทียวแห่งพระจันทร์และพระสุริยะ อ้าปากอัน กว้างได้๒๐๐ โยชน์นั่งอยู่ต้อนพระจันทร์พระสุริยะอาทิตย์อยู่พายหน้าแล ในกาลนั้น จันทร์วิมานแลสุริยวิมานก็เข้าไปในปากราหูเป็นประดุจดั่งเข้าไปในรูอันลึกได้๑๐๐ โยชน์นั้น ส่วนเทวดาทั้งหลายอันอยู่ภายในวิมานทั้งสองรู้ว่ามีภัย จึงพากันกลัวตาย จึงพร้อมกันร้องหุยทีหนึ่งทีเดียวด้วยเสียงอันดังมากนัก ราหูนั้นลางคาบกั้นวิมานด้วยมือ ลางคาบมาคีบไว้ใต้คางแห่งตน บางคาบก็แมบลิ้นออกลุ่มคางแล้วกั้งไว้ด้วยลิ้นตน แล้วก็อมไว้ในปากตน ประดุจดั่งกินนั้นไว้ในละแวกปากภายในเขี้ยวแห่งตน ถึงแม้ ราหูจะบีบเบียนฉันนั้นก็ดี ราหูก็บ่อาจห้ามยังก�ำลังแรงแห่งพระอาทิตย์พระจันทร์นั้นได้ เมื่อราหูอม วิมานทั้งสองไว้แม่นคิดใส่ใจว่าตนจักห้ามก�ำลังแห่งวิมานทั้งสองว่าบ่หื้อ เทียวไปได้อั้นแล จักจั้งไว้ก็บ่ได้ตามก�ำลังวิมานทั้งสอง จึงเลิกม้างยังขม่อมหัวแห่งราหู แม่นกั้งไว้ด้วยฝ่ามือ ด้วยลิ้นด้วยปากราหู ก็หากไปด้วยก�ำลังแห่งอันแรงแห่งวิมาน ทั้งสองนั้นสิ่งเดียวแล ข้อความดังกล่าวได้สื่อถึงรูปลักษณะและขนาดของราหู ซึ่งอุปมาว่าเป็น เทวบุตรตนหนึ่งที่มีความอิจฉาริษยาต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่ส่องแสงรัศมี จ�ำรัสในจักรราศีและท้องฟ้า จึงเข้าขวางเส้นทางโคจรพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพื่อปิดบังรัศมีแห่งดาวพระเคราะห์ทั้งสองนั้นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การกลืนกิน เอา คางหนีบไว้เอามือบังหรือแลบลิ้นออกมาบังไว้ซึ่งจินตนาการของคนโบราณดังกล่าว ได้สื่อถึงลักษณะการเกิดสุริยคราส หรือจันทรคราสแบบต่างๆ เช่น กินแบบเต็มดวง หรือกินแบบไม่เต็มดวง เมื่อราหูอมวิมานทั้งสองไว้ก็ไม่สามารถที่จะหยุดก�ำลังแห่ง วิมานทั้งสองไม่ให้โคจรต่อไปได้ ก�ำลังของวิมานทั้งสองก็จักเลิกม้างยังขม่อมหัวแห่ง ราหูหรือทะลุผ ่านหัวของราหูออกไป ไม่ว่าจะเป็นการกินด้วยวิธีใด สะท้อนถึง ลักษณะราหูตามหลักความเป็นจริงว่า ราหูมิได้เป็นดาวพระเคราะห์แต่เป็นเพียงจุด ส คราสหรือเงาของโลก ที่ไปสัมพันธ์กับพระจันทร์และพระอาทิตย์นั่นเอง ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
50 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพยันต์ราหู เครื่องรางที่นิยมสร้างขึ้นเพื่อแก้อาถรรพ์อันเกิดจากราหู โดยนิยมสร้างด้วยกะลาตาเดียว มักจะท�ำเป็นคู่คือ สุริยะประภาและจันทรประภา คือการจ�ำลองเหตุการณ์ สุริยคราสและ จันทรคราสขึ้นแล้วอาศัยอ�ำนาจแห่งพุทธคุณช่วยให้สุริยเทวบุตรและจันทรเทวบุตร รอดพ้นจากภัยที่เกิดจากราหู อุปมาดั่งบุคคลผู้มีภัยอันตรายจากสิ่งต่างๆ อ�ำนาจพุทธคุณ จากยันต์กะลาราหูนี้จะช่วยให้พ้นภัยนั่นเอง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 51 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว คนโบราณจึงช่วยกันตีฆ้องร้องป่าว เคาะ ต้นไม้ตีปี๊บ ฯลฯ เพื่อจะได้ช่วยกันขับไล่ราหูให้พ้นจากพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ เพื่อให้ความสมบูรณ์แห่งธรรมชาติกลับคืนมาอีกครั้ง อีกนัยยะหนึ่ง คือการร้องขอ พลังอ�ำนาจแห่งดาวทั้งหลายที่ก�ำลังกลืนกินกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสมสู่ของ ดวงดาว อันเป็นต้นก�ำเนิดและน�ำพามาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้นักปราชญ์ล้านนาผู้ประพันธ์คัมภีร์ฉบับนี้ได้ผูกโยงปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติดังกล่าวให้เชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวทางพุทธศาสนาโดยได้กล่าวว่า สุริยเทวบุตรและจันทร์เทวบุตร ได้อธิษฐานจิต ร้องขอพลานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าเข้า มาช่วยเหลือให้ตนทั้งสองพ้นจากทุกขภาวะอันเกิดจากราหูดังนี้ ส ่วนเทวบุตรทั้งสองอันถูกราหูกลืนกินอยู ่นั้นก็กลัวมากนักก็พากันสั่น ระสายไปมา จึงระนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่า ภันเตข้าแด ่เจ้ากูตน พ้นจากอุปัทวะกังวลอันเป็นทุกข์ทั้งมวล บัดนี้ตนข้าก็ได้ถึงยังทุกข์อันเป็นกังวล คือได้ถึง อ�ำนาจแห่งข้าศึกก็มีฉันนี้แล ขอพระพุทธเจ้าจุ่งเป็นที่พึ่งแก่ข้าผู้อุปัทวะ ทั้งมวลอัน หันมาป่านนี้เต๊อะ พระพุทธเจ้าตนประกอบด้วยมหากรุณาก็ปรารภซึ่งขาทั้งสองแล้ว ก็กล่าวคาถาถึงราหู ว่าดูราอสุรินทะ ขาทั้งสองได้ถึงซึ่งพระตถาคตผู้เป็นอรหันตา สัมมาสัมพุทธะด้วยอาการว่าขอเป็นที่พึ่ง พระตถาคตทั้งหลายเทียรย่อมกรุณาโลก ทั้งมวลดีหลี เหตุดั่งอั้นท่านราหูจุ่งวางเทวบุตรทั้งสองนั้นเสียเต๊อะ พระพุทธเจ้าจึง กล่าวพระปริตรสูตรหื้อเป็นที่พึ่งแก่เหล่าเทวบุตรทั้งสองตน เมื่ออั้นราหูอสุรินทะเทวบุตร ก็เป็นอันด่วนอันรีบมากนัก ก็สวะวาง ยังจันทร์เทวบุตรและ สุริยเทวบุตรเสีย แล้ว ราหูจึงหนีไปยังที่อยู่แห่งพญาไอศวรตนชื่อเวปจิตติอสุรินทร์เมื่อเข้าไปแล้วก็ยังตกใจ กลัวสะหลั้งเส้นขนลุกอยู่ทีหนึ่ง พญาไอศวรตนชื่อเวปจิตติก็เอ่ยถามยังราหูว่า เหตุใด ท่านมีสภาวะดังนี้ด้วยอันรีบอันด่วนปลงวางยังจันทวิมานแลสุริยะวิมาน แลท่านเป็น สภาวะอันสะดุ้งตกใจกลัวเหตุดังรือถึงเข้ามายืนอยู่ที่นี้นั้นจา เมื่อนั้นราหูจึงกล่าวแก่ พญาไอศวรว่า อะหังอันว่าข้านี้อันพระพุทธเจ้าตนประเสริฐหากหื้อข้ากลัวด้วยคาถา คันว่าได้ยินแล้วบ่วางเสียดั่งอั้นหัวแห่งข้าจักแตกเป็น ๗ เสี่ยงชะแล การที่พระพุทธเจ้าได้เข้ามาว่ากล่าวตักเตือนราหู และช่วยเหลือสุริยเทวบุตร และจันทรเทวบุตรนั้น เป็นภาพสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ในบุญบารมีและพลานุภาพ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
52 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เหนือสิ่งใดแม้แต่พระราหูผู้ทรงอ�ำนาจ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ผู้เป็นที่พึ่งแก ่เหล ่าสรรพสิ่งในจักรวาลก็ยังต้องมาพึ่งในบารมีแห ่ง พระพุทธองค์ ย�้ำเตือนถึงความเป็นพระไตรโลกนาถ หรือผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลกทั้งสาม ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสมัยโบราณเมื่อเกิดเหตุการณ์ประหลาดหรือเกิดอาเพทขึ้น ที่ คนเมืองเรียกว่า ขึด จึงมักมีการนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ชัยปริตรคาถา เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆออกไปให้พ้นภัยด้วยเหตุผลจากนิทานดังกล่าว ภาพอธิบายการเกิดสุริยคราสและจันทรคราส ซึ่งจะมีชื่อเรียกและความหมายต่างๆ คือ ๑ ปัททวาสัพพโรคาภวิสติ ๒.ราชะวุฒิสัพพะสุขขาภวิสะเร ๓.สัพพะสัตโตอุปัททโวโลเกภวิสเรติ ๔.ปริปุณเณวุฒิโกโลเกพหุเทโวสุขิโตโหติ ๕.ทุกขิภิกขะภยังปนุสสะทุกขังภวิสะเร ๖.อัคคิภยังจะรังจะเรอุปัททวังทุกขังสัพพชนัง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 53 ตามหลักโหราศาสตร์ ราหูถือว่ามีอิทธิพลต่อชะตาของบุคคลโดยทั่วไป ใน ต�ำราโหราศาสตร์ล้านนาหลายฉบับได้กล่าวลักษณะบุคคลที่เข้าข่ายมีเคราะห์หนัก หรือเจ็บป่วย เนื่องด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในสมัยนั้นว่าเกิดจากอิทธิพล ของราหู จึงมีพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับราหูหลายอย่างด้วยเชื่อว่าจะช่วยให้ เคราะห์กรรมเหล่านั้นเบาบางลง เช่น การส่งพระราหู บูชาพระราหูยันต์พระราหู กะลาราหู เป็นต้น โดยเฉพาะการบูชาหรือส่งพระราหูได้มีการจ�ำแนกรายละเอียด ของเภทภัย อันเกิดจากราหูไว้อีกหลายประเภทเช่น ราหูไฟ ราหูน�้ำเน่า ราหูค้อน ก้อม ราหูขี่ดาบ ราหูเชือกเหล็ก ราหูเทครัว ราหูมรณา ราหูก�ำเนิดซึ่งราหูต่างๆเหล่า นี้มีนัยความหมายที่เกี่ยวข้องกับลักษณะเคราะห์กรรมที่แฝงไว้เช่น ราหูน�้ำเน่า คือ ราหูที่ท�ำให้เกิดอาเพศที่ท�ำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ราหูเชือกเหล็กคือราหูที่เป็นเหตุให้ ต้องโทษใส่ขื่อคาจองจ�ำ ราหูเทครัว คือราหูที่เป็นเหตุให้สูญเสียบุคคลในครอบครัว หรือราหูมรณาคือราหูที่เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติหรือโรคภัยร้ายแรงมากสุดถึงขั้นเสีย ชีวิตเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีต�ำนานที่เป็นเรื่องมุขปาฐะเล่าสืบทอดกันมาเกี่ยวกับเหตุ ของการเกิดสุริยคราสและจันทรคราสว่า ครั้งหนึ่งมีพี่น้องสามคนอยู่ร่วมกันอย่าง แร้นแค้น วันหนึ่งมีงานบุญเกิดขึ้นในชุมชน พี่ทั้งสองจึงไปช่วยงานบุญนั้นโดยการ ช่วยท�ำอาหาร ด้วยความหิวน้องคนเล็กจึงเข้าไปรบเร้าขอกินอาหาร พี่ทั้งสองก็ไม่ ยอมตักให้เพราะยังไม่ถึงเวลาอันควร เมื่อพี่ทั้งสองเผลอ น้องคนเล็กจึงได้หยิบป้าก๒๙ มาเลียและคาบเพื่อให้ได้รสน�้ำแกง เมื่อพี่ทั้งสองมาเห็นจึงใช้ป้าก นั้นตีที่หัวและ ด่าทอท่ามกลางผู้คน ท�ำให้น้องคนเล็กรู้สึกอับอายขายหน้าและผูกพยาบาทไว้ว่า เกิดชาติหน้าฉันใดจะตามจองเวรพี่ทั้งสองคนนี้ตลอดไป หลังจากที่ทั้งสามพี่น้องได้ จุติตายไปแล้ว พี่คนโตก็ได้ไปเกิดเป็นสุริยเทวบุตร คนที่สองไปเกิดเป็นจันทร์เทวบุตร ส่วนน้องคนสุดท้องไปเกิดเป็นอสุรินทราหู ด้วยเหตุนี้ราหูซึ่งมีจิตผูกพยาบาทพี่ทั้งสอง เมื่อมีโอกาสจะใช้ปากของตนคาบพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ ด้วยเหตุเพราะตนเอง อับอายเนื่องจากการใช้ปากคาบป้ากในอดีตชาตินั่นเอง ๒๙ ทัพพี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
54 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพผ้ายันต์พระสิงห์หลวงแบบล้านนา เดิมใช้เป็นผ้าเพดานหรือนิยมเขียนเป็นรูปจิตรกรรม ไว้บนเพดานเหนือองค์พระพุทธรูปในศรีลังกา ต่อมานิกายลังกาวงศ์ได้ส่งต่อมาถึง อาณาจักรมอญ พุกาม พม่า และล้านนา ตัวยันต์เป็นการขึ้นโครงด้วยผังจักรราศี มี พระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลางจักรวาลล้อมรอบด้วยพระอรหันต์และเป็นองค์ประกอบอื่นๆ อัน เป็นมงคลอันมีที่มาจากพุทธประวัติโดยจะถูกจัดให้อยู่ในวงกลมซึ่งแบ่งออกเป็น ๑๒ ช่อง ตามผังจักราศี สะท้อนถึงความหมายว่าพระพุทธองค์คือศูนย์กลางผู้เป็นพระโลกนาถ และพระจักรพรรดิ แห่งพุทธจักรวาล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 55 พุทธศาสนากับดาราศาสตร์ ความเกี่ยวข้องในเรื่องดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์กับพระพุทธศาสนานั้น มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ตามพุทธประวัติเมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงประสูติได้รับการ ท�ำนายทายทักจากเหล่าพราหมณ์ต่างๆ ถึงดวงชะตาก�ำเนิดของพระองค์ว่าจะได้ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระพุทธเจ้า แต่มีเพียงอสิตะดาบสและโกณทัญญะพราหมณ์ เท่านั้นที่ท�ำนายและยืนยันว่าพระองค์จะได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นมหาศาสดาแห่งโลก อย่างแน่นอน ภายหลังโกณทัญญะพราหมณ์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูผู้สอนศาสตร ศิลป์ต่างๆ ให้แก่เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชโกณ ทัญญะพราหมณ์จึงตาม ไปเป็นสาวกและหลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จ ไปประกาศพระศาสนาโดยเลือกโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้าก่อน ภายหลังจากเทศนา ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร โกณทัญญะพราหมณ์จึงได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ และเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา พื้นฐานวิชาดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ที่แพร่หลายสืบต่อกันมานั้น เริ่มต้น จากสังคมและวัฒนธรรมอินเดีย จึงเป็นศาสตร์หนึ่งที่พระพุทธองค์ได้รับการถ่ายทอด จากราชครูต่างๆดังนั้นพระองค์จึงทรงมิได้ปฏิเสธหลักวิชาดาราศาสตร์แต่ไม่มุ่งเน้น ให้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ เนื่องจากพระองค์ได้ศึกษาจนเข้าใจและทรงเห็นว่า วิชา โหราศาสตร์จะเป็นอุปสรรคขวางทางเข้าสู่พระนิพพาน ด้วยเหตุผลคือ หากพระสงฆ์ หรือพุทธศาสนิกชนมัวแต ่สนใจเรื่องโหราศาสตร์ก็จะยึดติดกับโลกแห ่งอดีตและ อนาคตยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้จักปล่อยวาง หรือคาดหวังสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตอันเป็นบ่อเกิดแห่งตัณหา จึงไม่เหมาะแก่การศึกษาเพื่อบรรลุธรรม เพราะ หัวใจหลักของค�ำสอนในพุทธศาสนาอย่างหนึ่งคือ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้ปัจจุบัน เห็นปัจจุบันนั่นเอง อีกทั้งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อพระสงฆ์ผู้ศึกษาที่อาจจะหลงระเริงกับ วิชาต่างๆ เหล่านี้เพื่อลาภสักการะและเข้าข่ายอวดอุตริมนุษย์ธรรมอันเป็นอาบัติหนัก ของพระวินัยสงฆ์ที่ทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นหลายคัมภีร์ที่เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนา ในล้านนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์นี้มักจะกล่าวบทน�ำใน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
56 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ลักษณะเดียวกัน คือค�ำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มี ประโยชน์อะไรกับตัวผู้ถามเลย มิได้มีสาระแก่นสารอันใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อหนทาง สู่พระนิพพาน แต่สุดท้ายพระพุทธองค์ก็ได้เล่าเพื่อไขปัญหาคาใจแก่พระภิกษุเหล่านั้นเสมอ โดยเรื่องส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นให้เห็นสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติการ กำ� เนิดโลก ดวงดาว และจักรวาล เพื่อความเข้าใจในเหตุและผล หรือปัจจัยที่ปรุงแต่งขึ้น ชี้ให้เห็นที่มาและความเป็นไปของโลก เรียกว่าวิชา โลกธาตุ เนื้อหาของวิชาโลกธาตุโดยย่อนั้นกล่าวว่า ห้วงอวกาศนั้น จักรวาลหรือจะ เรียกอีกชื่อว่า โลกธาตุ มีอยู่มากมายจ�ำนวนนับไม่ถ้วน พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดง บอกลักษณะของโลกนี้ว่า มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน�้ำ คือแผ่นดินตั้งอยู่บนมหาสมุทร น�้ำ ตั้งอยู่บนลม คือมหาสมุทรตั้งอยู่บนชั้นบรรยากาศ ลมตั้งอยู่บนอากาศ ชั้นบรรยากาศ ตั้งอยู่ในชั้นอวกาศ ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่ลมใหญ่พัดบนโลกนั้น ลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน�้ำให้ไหว น�้ำไหวแล้วย่อมยังแผ่นดินให้ไหวตามไปด้วย ดังนั้นเหตุการณ์ที่ ปรากฏขึ้นบนโลกนี้ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผลต่อเนื่องซึ่งกันและกันเสมอ แท้ที่จริงแล้วตามหลักศาสนาพุทธถือว่าจักรวาลที่เราอยู่นี้เป็นเพียงส่วน หนึ่งของโลกธาตุเท่านั้น ต�ำราได้กล่าวถึงลักษณะสัณฐานของโลกธาตุไว้ว่า โลกธาตุ มีแสนโกฏิจักรวาลหรือ ๑ ล้านล้านจักรวาลคือแบ่งเป็น จักรวาลขนาดเล็กเช่น สุริย จักรวาล จักรวาลขนาดกลาง เช่น กาแล็คซี่ และจักรวาลขนาดใหญ่ หรือเอกภพ ๑,๐๐๐ จักรวาลขนาดเล็กเป็น ๑ โลกธาตุขนาดเล็ก ๑,๐๐๐ จักรวาลขนาดกลาง เป็น ๑ โลกธาตุขนาดกลาง ๑,๐๐๐ จักรวาลขนาดใหญ่เป็น ๑ โลกธาตุขนาดใหญ่ ดังนั้น ๑,๐๐๐ จักรวาลขนาดเล็กจึงเป็น ๑ จักรวาลขนาดกลาง ๑,๐๐๐ จักรวาล ขนาดกลางจึงเท่ากับ ๑ จักรวาลขนาดใหญ่ และ ๑,๐๐๐ โลกธาตุขนาดเล็กเป็น ๑ โลกธาตุขนาดกลาง ๑,๐๐๐ โลกธาตุขนาดกลางเป็น ๑ โลกธาตุขนาดใหญ่ โลกธาตุ ขนาดใหญ่จึงมี๑,๐๐๐ โลกธาตุ เมื่อรวมจักรวาลทั้งสิ้น จะได้แสนโกฏิจักรวาล แต่ในความรู้อันไม่มีขอบเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และ ด้วยญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ ทรงพบว่าในแต่ละจักรวาล มีโลกมนุษย์อยู่อย่างเรานี้๔ โลก มีโลกที่มีความเป็นอยู่ประณีตไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณ มีอารมณ์ทางจิตอยู่อย่าง เดียวตลอดเวลา อีก ๒๐ โลกเรียกว่า พรหมโลก ส่วนโลกที่มีความเป็นอยู่ที่ทุกข์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 57 ทรมานเดือดร้อนมีอยู่ ๔ โลกคือ นรก เปรต อสุรกายและดิรัจฉาน รวมทั้งหมดเป็น ๓๑ ภูมิโดยสรรพสัตว์ที่เกิดในภูมิต่างๆ ทั้ง ๓๑ ภูมินี้สายตาของมนุษย์มองเห็นได้ เพียง ๒ ภูมิคือ มนุษย์ด้วยกันและสัตว์ดิรัจฉานบางจ�ำพวก ภูมิต่างๆเหล่านี้จะเป็น ที่อยู่ของเหล่าสรรพสัตว์หลังความตายที่ท�ำกรรมดีหรือกรรมชั่ว หรือไม่ดีไม่ชั่วก็ตาม ผลของกรรมจะชีน�ำให้วิญญาณเหล่านั้นไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ซึ่งจะเป็นที่รองรับ ชีวิตที่อยู่ในสภาวะทางวิญญาณตามผลกรรมที่เคยกระท�ำไว้ นอกจากนี้แนวทางพุทธศาสนายังได้กล่าวถึงความไม่เที่ยงใดๆ ในโลกธาตุ นี้คือการล่มสลายไปของโลกธาตุต่างๆ อันมีเหตุให้สูญสิ้นไป แล้วกลับมารวมตัวกัน ตามกฎของไตรลักษณ์คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และวนเวียนเป็นวัฏจักร โดย แต่ละจักรวาลจะมีผลต่อเนื่องสัมพันธ์กันทั้งหมด ด้วยการแตกสลายและท�ำลายล้าง จากธาตุต่างๆ กล่าวคือ การสิ้นสลายไปของจักรวาลขนาดเล็กเป็น ๑ จุลกัปป์ จักรวาลขนาดเล็กแตก ๗ ครั้งในครั้งที่ ๘ จักรวาลขนาดกลางจะแตกเรียกว่า มัชฌิมกัปป์ จักรวาลขนาดกลางแตก ๗ ครั้งในครั้งที่ ๘ จักรวาลขนาดใหญ่จะแตกเรียกว่า มหากัปป์ จักรวาลขนาดเล็กแตกด้วยธาตุไฟ จักรวาลขนาดกลางแตกด้วยธาตุน�้ำ จักรวาล ขนาดใหญ่แตกด้วยธาตุลม ในวันสิ้นโลกคัมภีร์มูลโลกได้กล่าวว่า ดวงอาทิตย์จะมี ขนาดใหญ่ขึ้นถึง ๗ เท่า หรืออาจมีมากถึง ๗ ดวง ถ้าหากขึ้นพร้อมกันทั้งหมดแล้ว โลกก็จักเป็นอันร้อนอันไหม้เกิดเป็นเปลวเป็นล�ำม้างแท่งหินทั้ง ๔ ทวีปและเขาสิเนโร เขาสัตตภัณฑ์ ๗ ยอด ลงลึกแสน ๒ หมื่นโยชน์แตกกระจัดกระจายเป็นมุกเป็นมุ่น เป็นเม็ดหินเม็ดทรายใหญ่ เป็นฝุ่นเป็นดินไป เป็นที่น่าสังเกตถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับโลกธาตุ ซึ่งภายหลัง ได้มีการค้นพบจักรวาลอื่นๆตรงตามค�ำกล่าวของพระพุทธองค์โดยโลกวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ เหลือเพียงแต่นักดาราศาสตร์ยังไม่พบดาวดวงอื่นนอกเหนือจากโลกของ เราที่มีสิ่งมีชีวิตด�ำรงอยู่ ในทางพุทธศาสนาได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ในส่วนสรรพชีวิตใน ภูมิอื่นๆ นั้นมีเพียงมนุษย์ผู้ฝึกจิตไว้ดีเท่านั้นจึงจะมองเห็นได้ยกตัวอย่างสัตว์หรือสิ่ง มีชีวิตมากมายที่อยู่ในโลกบางชนิด ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นโปร่งใสจนสายตาของ มนุษย์มองไม่เห็น อุปมาเป็นดั่งโลกในอีกมิติหนึ่งซึ่งเป็นคนละภพภูมิกับมนุษย์ ภูมิที่ เป็นเทวดาหรือภูตผีนั้นคนธรรมดาทั่วไปจึงไม่สามารถมองเห็นได้เช่นกัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
58 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา แนวคิดเรื่องของโลกธาตุและการก�ำเนิดโลกทางพุทธศาสนานั้น ชี้ให้เห็นถึง วงจรของการเวียนว่ายตายเกิด เป็นวัฏจักรของทุกสรรพสิ่งในแดนโลกธาตุนี้เป็นกฎ ไตรลักษณ์ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้น�ำให้เห็นทางสว่าง คือ สภาวะแห่งความเป็นจริงในธรรมชาติ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ธรรมมะ การระบุถึงช่วง เวลาในการสิ้นสูญของโลกธาตุหรือช่วงเวลาที่เรียกว่า การม้างกัปป์ จึงเป็นรอยต่อ ส�ำคัญของการก�ำเนิดและเริ่มต้นใหม่ของทุกสรรพสิ่งในแดนโลกธาตุ เป็นการเลี่ยง บาลีที่จะตอบค�ำถามของคนทั่วไปว่า มนุษย์เกิดมาจากไหน หรือสรรพสิ่งในโลกเกิด ขึ้นเมื่อใด เพราะเป็นค�ำถามที่ไม่สามารถจะตอบได้อย่างชัดเจน เป็นอจินไตยปัญหา ไม่มีค�ำตอบที่สิ้นสุด จึงใช้วรรณกรรมเหล่านี้เป็นค�ำตอบ เช่น ค�ำตอบในเรื่องการ ก�ำเนิดมนุษย์นั้นคือเหตุผลในเรื่องของบุพกรรมหรือกุศลกรรมเก่าที่สร้างมาแต่ชาติ ปางก่อนจึงได้เกิดเป็นพรหมชั้นสูง ที่ไม่ถูกไฟม้างกัปป์เผาท�ำลาย หลังจากอุณหภูมิ โลกเย็นลงจึงได้จุติลงมาเป็นโอปปาติกะ ลงมากินง้วนดิน จนกลายเป็นต้นกำ� เนิดเผ่าพันธุ์ มนุษย์ในเวลาต ่อมา เป็นต้น เมื่อมีค�ำถามต ่อไปอีกว ่า โลกจะสิ้นอายุขัยเมื่อไหร ่ ค�ำตอบก็คือการแบ่งช่วงเวลา ออกเป็นกัปป์ต่างๆ เช่น ในช่วงเวลาที่เราอยู่ในโลก ปัจจุบันนี้จะเรียกว่า ภัทรกัปป์ ในภัทรกัปป์นี้ก�ำหนดช่วงเวลาของโลกด้วยช่วงเวลา ในพุทธศาสนาซึ่งจะมีพระพุทธเจ้าทั้งหมด ๕ พระองค์โดยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จะมีช่วงอายุศาสนายาวนานถึง ๕,๐๐๐ ปี เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจนครบห้า พระองค์แล้ว จึงถือว่าครบช่วงเวลาของภัทรกัปนี้ และเกิดไฟม้างกัปป์ขึ้นอีกครั้ง เป็นต้น ทั้งหมดคือค�ำตอบที่เตรียมไว้ดีแล้ว ซึ่งพระสงฆ์ที่ศึกษาคัมภีร์เหล่านี้นี้จน แตกฉาน จะสามารถสอดแทรกหลักธรรมที่โน้มน้าวให้คนประพฤติดีทำ�ดีตามแนวทาง พุทธศาสนา ผลตอบแทนของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่บุคคลต่างๆ ได้กระท�ำนั้น ค�ำตอบจะโยงไปที่วรรณกรรมอีกฉบับหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวคือ วรรณกรรมเรื่องไตรภูมิหรือจักรวาลทีปนี เพื่อชี้ให้เห็นรายละเอียดปลีกย่อยของ สถานที่อยู่ตามผลกรรมที่สร้างไว้ทั้งภูมิสุขาวดีและอบายภูมิ การที่วิชาโลกธาตุเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในพระพุทธศาสนาจึง ท�ำให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาถึงเรื่องดาราศาสตร์ไปด้วย และเป็นการง่าย ที่จะต่อยอดศึกษาในเรื่องโหราศาสตร์ พระสงฆ์ที่เรียนส่วนใหญ่จะศึกษาไว้เพื่อใช้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 59 ช่วยเหลือชาวบ้าน จะเห็นได้ว่าบทบาทพระสงฆ์กับโหราศาสตร์ในล้านนานั้นมีการ ผสมกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ออกทั้งทางตรงและทางอ้อมกล่าวคือ พิธีกรรมทาง พุทธศาสนาในล้านนานั้นมักจะพบว่า พิธีกรรมบางอย่างเป็นพิธีที่มีเฉพาะถิ่นล้านนา ซึ่งไม่ใช่วิถีพุทธเถรวาทแบบลังกาวงศ์ทั่วไป เช่น พิธีสืบชะตาสะเดาะเคราะห์ พิธี ถอนขึดต่างๆ พิธีบวชนาค พิธีที่เกี่ยวข้องกับงานศพหรือภูตผีเป็นต้น พิธีต่างๆเหล่านี้ พระสงฆ์ล้วนมีบทบาทในการประกอบพิธี ซึ่งหลายพิธีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากคติ ความเชื่อเดิม คือการนับถือผีและคติทางโหราศาสตร์ ในประวัติศาสตร์ล้านนาจะ พบพระสงฆ์ในบทบาทของโหราจารย์ผู้พยากรณ์เหตุการณ์โดยตรง เช่น ก�ำเนิดทิพย์ จักรวงศ์ในเมืองล�ำปางนั้น เกิดจากการค�ำนวณโหราศาสตร์เพื่อหาผู้ที่จะกอบกู้บ้าน เมืองจากท้าวมหายศเจ้าเมืองล�ำพูน โดยต�ำนานกล่าวว่าผู้ค�ำนวณเลขโหรานั้นคือ ครูบาวัดพระแก้วชมพู นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรูปที่มีชื่อเสียงทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์เช่น ครูบาวัดหนองเงือกล�ำพูน ครูบาญาณสมุทรวัดศาลา ครูบาอาโนชัย ธรรมจินดามุนีวัดปงสนุกเหนือครูบาโสภาวัดฝายหิน ครูบาเถิ้มวัดแสนฝาง เป็นต้น การศึกษาโหราศาสตร์ของพระสงฆ์สมัยก่อนนั้นเป็นไปเพื่อท�ำความเข้าใจ โลกและความเป็นไปของมนุษย์และเห็นวัฏฏะสงสารการเวียนว่ายตายเกิดที่เห็นจาก การโคจรของดวงดาววนเวียนอยู่เช่นนั้นไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อเข้าใจแล้วจึงเกิดการปลง สังเวช ดังนั้นพระเถระที่เรียนโหราศาสตร์จนถึงที่สุดแล้ว มักจะปล่อยวางและหันมา ศึกษาเรื่องวิปัสสนากรรมฐานเป็นส่วนใหญ่ หากจ�ำเป็นจะต้องใช้ก็เพื่อประโยชน์ของ บ้านเมืองหรือใช้ช่วยเหลือชีวิตของบุคคล เป็นที่พึ่งที่ปรึกษาเพื่อหาทางออกที่ดีแก่ ชีวิต โดยใช้องค์ความรู้ด้านโหราศาสตร์ช่วยแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ อันแตกแขนงออกมา เป็นเรื่องการท�ำนายทายทัก เรื่องยาสมุนไพร และเรื่องพิธีกรรม เพื่อให้อยู่สุขสวัสดี ไม่ใช่เป็นการดูดวงทายทักพร�่ำเพรื่อทั่วไปแบบปัจจุบัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
60 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพลักษณะกลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆจ�ำนวน ๒๗ กลุ่ม ที่มา:สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับอักษรธรรมล้านนาและอักษรขอม.กรมศิลปากร ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 61 การสังเกตดวงดาวกับการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์บ้านเมืองทางธรรมชาติ จากการเฝ้าสังเกตและบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ นับตั้งแต่อินเดียมาจนถึงล้านนา มักจะมีการบันทึกเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของ ดวงดาวที่การโคจรไปสัมพันธ์กันกับดวงดาวเคราะห์หรือดาวฤกษ์ในรูปแบบต่างๆ พร้อมกันนั้นได้ประพันธ์นิยายหรือต�ำนานที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวขึ้น เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและบ่งชี้ถึงที่มาของดาว เมื่อมาถึงล้านนา โหราจารย์ล้านนาได้มีการ บันทึกสืบต่อมาจนเป็นต�ำราการดูดาวเพื่อท�ำนายทายทัก หรือการศึกษาเพื่อเป็น ประสบการณ์และเตรียมการแก้ไขส�ำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยหลักการโคจรของดาวนพเคราะห์ทั้งหมดเคลื่อนที่ไปตามราศีต ่างๆ กระทบดาวเคราะห์ด้วยกันหรือไปสถิตร่วมดาวฤกษ์ การโคจรสัมพันธ์กันของดาว ทั้งสองกลุ่มนั้นจะมีผลแตกต่างกันในด้านต่างๆ ทั้งดีและร้าย หรือการเปลี่ยนแปลง สภาวะธรรมชาติที่ผิดปกติจึงมีการบันทึกไว้เป็นต�ำราเพื่อการศึกษาสืบทอดต่อกันมา ต�ำราการดูดาวนี้ผู้เขียนได้ปริวรรตมาจากพับสาเล่มหลวง ของวัดปงสนุก เหนือ จังหวัดล�ำปาง เป็นหลัก เดิมเป็นบันทึกของครูบาอาโนชัย หรือ พระธรรม จินดามุนี เจ้าอาวาสวัดปงสนุกเหนือ เจ้าคณะจังหวัดล�ำปางรูปแรก ประกอบกับ ต�ำราดาราศาสตร์วัดป่าตันกุมเมือง จังหวัดล�ำปาง วัดสันป่าเลียง จังหวัดเชียงใหม่ วัดหนองเงือก จังหวัดล�ำพูน ต�ำราโหราศาสตร์ของวัดชมพูหลวง อ�ำเภอเมืองล�ำปาง และต�ำราโหราศาสตร์ของวัดศาลาหม้อ อ�ำเภอเกาะคา จังหวัดล�ำปาง โดยผู้เขียนได้ แบ่งกลุ่มหมวดหมู่ในการสังเกตดวงดาวตามต�ำราไว้ดังนี้ การสังเกตจันทคราส ๑.การสังเกตและบันทึกการเกิดจันทคราสในวันหนไทกล่าวไว้ว่า จันทคราส ทือวันไจ้ข้าวจักแพง ทือวันเป้าฝนจักแล้ง ทือวันยีคนจักทุกข์ยาก ทือวันเหม้าข้าวจักถูก ทือวันสีจักแพ้สัตว์สี่ตีนในเถื่อน ทือวันไส้น�้ำและลมมีมาก ทือวันสง้า แพ้ขุนเมือง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
62 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ทือวันเม็ดของจักแพง ทือวันสันจักมีสุขมากนัก ทือวันเล้าไฟจักไหม้บ้านไหม้เมือง ทือวันเส็ดจักแพ้ของเลี้ยงแพ้ขุนเมือง ทือวันไก๊คน ทั้งหลายจักตายเจ็บไข้มากแล ๒. การสังเกตและบันทึกการเกิดจันทคราสในวันเม็งกล่าวว่า ผิว่าจันทคราส ทือวัน ๑ จักเป็นอุบาทว์บ้านเมือง สัตว์สี่ตีนสองตีนจักตาย ทือวัน ๒ ข้าวจักแพง จักเสีย บ้านเมือง ทือวัน ๓ คนช้างม้าจักตายฟ้าฝนจักแล้ง ทือวัน ๔ ขุนเมืองและสัตว์สี่ตีน จักตายขุนเมืองแลบ้านเมืองมักมีอุบาต ทือวัน ๕ บ้านเมืองจักมีภัย ข้าวจะแพงมาก ทือวัน ๖ น�้ำและไฟและลมก็เสมอเท่าว่าช้างม้าจักตายคนทั้งหลายจักได้พลัดพราก จากที่อยู่แล ทือวัน ๗ น�้ำมาก เงือกจา ลมจา ผีจา ข้าวจักแพงขุนเมืองนางเมืองจักมี อุบาทว์เคราะห์บ้านเคราะห์เมืองจักมีมากชะแล ๓.การสังเกตและบันทึกการเกิดจันทคราสในเดือนต่างๆกล่าวไว้ว่า จาด้วย จันทะสุริยา อันราหูอสุรินทะจับมีสันนี้ จับเดือน ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ คนทั้งหลายอยู่บ่วุฒิ อันนึ่งจักบังเกิดด้วยภาวะอันอดอยากมากนักแล จับเดือน ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑ ๒ ๓ ๔ ข้าวกล้าไร่นาดีบริมวลด้วยฟ้าฝน คนทั้งหลายอยู่สุขส�ำราญบานสุขนักแล จับวัน ๑ และ ๔ จักแล้งข้าวกล้าจักตาย จับวัน ๑ วัน ๕ คนทั้งหลายอยู่สุขส�ำราญบานใจ จับ วันแรมค�่ำนึ่งฝนมีน�้ำมาก จับแรม ๒ ค�่ำจักมีทินาธิกกะปีนั้น จับแรม ๓ค�่ำแรม ๓ ค�่ำ จักมีอธิกมาสปีนั้นแล จับวัน ๑ ๒ ๓ ๕ ไพร่น้อยจับด้วยการทุกข์มากนัก ขุนนางอยู่ สุขส�ำราญ จับวัน ๔ วัน ๖ คนทั้งหลายอยู่สวัสดีมากนัก จับวัน ๗ วัน ๒ จักเกิดด้วย กรียุคฆ่าฟันกันชะแล คันมีวรรณะขาวคนทั้งหลายอยู่ดีมีสุข มีวรรณะแดง บ้านเมือง ทั้งหลายเป็นทุกข์ด้วยอาหารและไฟจักไหม้มีวรรณะแหล้ข้าวก�่ำฟ้าฝนดีน�้ำมาก มี วรรณะเขียว ลมมาก จักแล้งเกิดด้วยทุกภิขภัยอยากข้าว จักเกิดด้วยโจรมากมากนัก มีวรรณะอันด�ำ บ้านเมืองจักควรด้วยกรียุคฆ่าฟันกัน มีวรรณะเหลืองนั้นสัตว์ทั้ง หลายฉิบหายด้วยพายุมากนัก มีวรรณะหม่น ท้าวพญาเสนาอามาตย์อยู่ดีมีสุขเท่า ว่าแพ้แม่มานชะแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 63 การสังเกตฟ้าร้อง ที่นี้จักกล่าวด้วยฟ้าร้องครางเดือนหกฟ้าร้องรวนลมหัวปี ผิว่าร้องวัน ๑ บ้านเมืองจักเสียบ่อั้นคนทั้งหลายจักพ่ายหนีมากแล ผิว่าร้องวัน ๒ เงือกจาผีจา เสือจา เสิกจา หวั่นไหวนัก ผิว่า ร้องวัน ๓ ฝนมีมากนักกลางปีหล้าปีปูปลามักกัดรวงข้าว ฟ้าร้องวัน ๔ ลูกเห็บจักตกมาก ผิว่าร้องวัน ๕ ข้าวนาดีปานกลาง ผิว่าร้องวัน ๖ ต้น ข้าวงามลามปีลาบลมนักแล ผิว่าร้องวัน ๗ น�้ำมาก ข้าวบ่ดีรวงข้าวบ่สู้หลายสมณะ พราหมณ์มักเจ็บไข้แล การดูแผ่นดินไหว การสังเกตและบันทึกการเกิดแผ่นดินไหวในวันหนไทกล่าวว่า ผิว่าแผ่นดิน ไหว วันไจ้เป้าวันยีจักแพ้แม่มาน ผิว่าไหววันเหม้าสีวันไส้วันสะง้าข้าวจักตายซง บ้าน เมืองจักเป็นเสิกเสือแล ผิว่าไหววันเม็ดสันดั่งอั้น สัตว์สี่ตีนจักเสียชะแล ผิไหววันเล้า วันเส็ดวันไก๊ดั่งอั้น บ้านเมืองจักตื่นต้วงหวั่นไหวเคราะห์เกณฑ์จักมีบ้านเมืองจักหลุ จักปังเสียแล ผิว่าแผ่นดินไหวยามเช้าจักใกล้รุ่งจักแพ้ขุนเมือง ผิว่าไหวยามกองงาย ปีนั้นข้าวน�้ำดีแล ผิว่าไหวยาม ถะแหล(แตร)จักใกล้เที่ยง ขุนผู้ใหญ่จักมีอุบาทว์มัก ตายแล ผิว่าไหวยามเที่ยงแท้คนทั้งหลายจักพังพ่ายหนีชา ผิว่ายามตูดจ้ายข้าวไร่ข้าว นาจักตายชงและผิว่าไหวยามกองแลงข้าวจักแพงจักอึบมากนักผิว่าไหวยาวพลันค�่ำ ดั่งอั้น บ้านเมืองจักหวั่นไหวชะแล ผิว่าไหวยามกองเดิก จักแพ้สัตว์สี่ตีนชะแล การสังเกตและบันทึกการเกิดแผ่นดินไหวในวันเม็งกล่าวว่า แผ่นดินไหววัน ๑ ฝนบ่มีแล แล้งนัก วัน ๒ ข้าวน�้ำดีเต้าแตงหน่วยไม้ดีนักแล ลูกผู้เกิดในวันนี้มีประ หยาดีนัก วัน ๓ บ้านเมืองจักเป็นศึก ร้อนไหม้โจรภัยมีมาก วัน ๔ ผู้ประหยาจักมา เมือง วัน ๕ เจ้าเมืองจักได้ช้างหลวงงวงใหญ่ต่างเมืองจักมีเครื่องปัณณาการแล วัน ๖ ท้าวพญาขุนเมืองจักเป็นค�ำ วัน ๗ แพ้สมณะพราหมณ์แล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
64 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพตัวอย่างต�ำราการบันทึกการสังเกตุดวงดาวที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง กับสภาวะธรรมชาติ และเหตุการณ์ในบ้านเมือง จากพับสา วัดหนองเงือก จังหวัดล�ำพูน และ วัดป่าตันกุมเมือง จังหวัดล�ำปาง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 65 การสังเกตดวงอาทิตย์ เดือน ๖ กลางวันตือกุบ ๓๐ สองเผาสามเผาสี่เผาห้าเผาดั่งอั้น จักเป็นภัย แก่ขุนเมืองแล เงาเหลืองเงาด�ำเกี้ยว ๓๑ ตะวันอยู่บ่พราก ขุนเมืองจักมีใจคดต่อเจ้าเมืองแล ตาวันออกหมอก เป็นดั่งรูปงู อยู่ท่ามกลางตะวันดั่งอั้น คนทั้งหลายจัก เจ็บไข้มากจักมี กันว่ารูปงูนั้นเป็นตัวเผือกคนทั้งหลายจักอยู่สุขบาน กันเป็นตัวด�ำฝนจักตกนักแล ภายเหนือตะวันเป็นดั่งควันไฟเส้าอยู่ บ้านเมืองจักแล้งสามปีชะแล ตะวันเป็นขอบด�ำบ่รุ่งบ่ใสบ้านเมืองจักแล้งจักมีศึกชา ตะวันเป็นหมอกเป็นเส้นแดงอยู่จางราง อยู่พาดใต้ฟ้าดั่งอั้น ไร่นาจักราบ เสียบ่ดี ตะวันภายในด�ำ อยู่ทางขอบพ้อยเหลือง คนเล็งดูบ่สู้หันถี่ คนทั้งหลาย จักผิดเถียงกันมาก บ่อั้นก่มักเจ็บไข้ ผีห่า มักตกบ้านตกเมืองชะแล ๓๐ พระอาทิตย์ทรงกลด๓๑ อ้อม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
66 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันแดงเปิด เล็งดูคราสองวันสามวัน คนทั้งหลายจักตายมากนักแล ตะวันออกหมอกเป็นดั่งหูอยู่สองป้าง บ่เป็นภัยสัง ผิว่ายังเป็นอยู่พ้นปี ข้ามปีไปจักมีอุบาทว์ชะแล ตะวันออกหมอกเป็นดั่งควันอยู่ป้างข้างใต้เหนือ ปีนั้นจักไหม้ใจคนศึกชะแล ตะวันออกหมอกเป็นใบยมแวดดั่งอั้น คนทั้งหลายจักรักจักเรียมกัน เป็น ถ้อยเป็นค�ำด้วยกันบ่ขาดแล ตะวันออกหมอกเหลืองมาเกี้ยวอ้อมอยู่ วันนึ่งสองวันดั่งอั้น ฝนตกก่มาก ศึกก่จักมี ดาวเข้าอยู่กลางตะวันปีนั้นคนทั้งหลายจักฉิบหายมากแล ตะวันออกเป็นสองลูกอยู่ประมาณเก้าวันสิบวัน คนจักชิงกันเป็นเจ้าชะแล กลางใจตะวันด�ำมืดอยู่สองวันสามวันจิ่งจักแจ้งมาดั่งอั้น ของแดงจักแพง คนทั้งหลายบ่คบบ่ย�ำ ๓๒ กันคนทั้งหลายมีวิวาทบ้านเมืองจักรบราบปราบกันแล ๓๒ คบย�ำ หมายถึง เคารพ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 67 ตะวันเป็นหูย้อยไขว่กันทั้งสองฝ่ายดั่งนี้ ฝนจักตกมากนัก แผ่นดินก่จัก ไหวปอบ่าหินผาฟัดกันชะแล ตะวันพายเหนือตะวันย้อยห้อยอยู่ยังฟ้ายังดิน อยู่ปอสองวันบ่หาย ผู้ใหญ่ จักฆ่าจักฟันกันตายชะแล ตะวันบ้างเกิ่ง ๓๓ อยู่ปุ่นเดือนนึ่ง จักได้ออกศึกใหญ่ปอ ๗ วัน ๗ คืนชะแล ตะวันด�ำเกิ่งขาวเกิ่ง บ้านเมืองจักรกรามเสียชะแล ตะวันเป็นหมอกเป็นหางเหลือง อยู่ทิป ๓๔ ทั้ง ๔ เป็นอยู่ดีมีสุขค้าขายเป็น ดีมากชะแล ตะวันแตกเป็นลูกเล็กลูกน้อยดั่งนี้ไฟจักไหม้บ้านไหม้เมืองคนทั้งหลายจัก ได้เป็นทุกข์นักแล ตะวันออกเป็นสี่กีบ แล้วผิวเขียวก่มี ด�ำก่มี มืดมืดอยู่ดั่งอั้นคนทั้งหลาย จักเจ็บไข้มากนักศึกก่จักมีบ่คราสชะแล ๓๓ ครึ่ง๓๔ หมายถึง ทวีป ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
68 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันแผ่หยาดยายกันอยู่เป็นดั่งมีหลายหัว ของเลี้ยงจักแพง ลูกเห็บจักตก คนเมืองเยียะสร้างใดบ่เป็นนั้นแล ตะวันเป็นหมอกด�ำก่ดีเขียวก่ดีอ้อมเอื้อมอยู่ คนทั้งหลายและชาวเมือง ทั้งมวลบ่มีภัยเยื่องใดอยู่ดีมีสุขชะแล ป้างข้างตะวันมีหมอกเอื้อมอยู่สองปายดั่งนี้ เมืองจักลุลายลามเสียชะแล กลางตะวันหมอกขาวเป็นเส้นมาผ่ากลางอยู่สันนี้บ้านเมืองบ่เป็นสัง ผิว่า เส้นแดงจักมีภัยสะน้อยชะแล ตะวันเป็นต่อมนึ่ง ฝนตกนัก เป็นสองต่อมบ่มีลม เป็นสามต่อมบ่มีฝน เป็นสี่ต่อมแล้งนัก เป็นห้าต่อมบ้านเมืองจักลุลามเสียชะแล ตะวันเป็นขอบสี่แจ่งจะเป็นอุบาทว์แก่นางญิงทั้งหลาย เยียะนาบ่มีน�้ำ รามเสียชะแล ตะวันออกเป็นลูกอยู่ปอปีบ่หาย คนทั้งหลายจักร้อนใจด้วยภัยหลาย ประการชะแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 69 ตะวันเป็นปีกเป็นฝากันดั่งนี้ ปีนั้นขุนเมืองจักไข้เป็นทุกข์นักชะแล ในตะวันเป็นรูปนกสี่ตีน คนทั้งหลายจักตายจากกัน คนทั้งหลายจักกระท�ำ บาปมากนักแลปีนั้น ตะวันเป็นตุ่มเป็นหนามออกแวดล้อมดั่งนี้เที่ยงจักได้ออกไปศึกบ่คลาดบ่ครา หัวศึกจักตายมากนักชะแลปีนั้น ตะวันเป็นควันด�ำสองเส้นมาไคว่กันอยู่ดั่งนี้ คนทั้งหลายจักกั้นอยาก ทุกข์ยาก บ้านเมืองจักหลากคราสูญเสียชะแล ตะวันเป็นรูปนกอ้าปีกอยู่ใต้เหนือ ฟ้าจักแล้งข้าวเกิดรามเสียชะแล ตะวันเป็นขอบอยู่ปายใต้ดั่งนี้ คนทั้งหลายจักปากันอึบ ๓๕ กั้นอยาก ปากัน ตายมากชะแล ขุนเมืองจักร้อนใจมากชะแล ปายเหนือตะวันมีหมอกเหลืองมาจ�้ำอยู่พ้นหลายวัน ขุนเมืองและนางเมือง จักได้เถิงโศกทุกข์ ๓๕ หมายถึง ที่อับทึบ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
70 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันมีรูปค้อนเหล็กแทงไคว่เกี๋ยง๓๖ อยู่ ขุนผู้น้อยจักชิงเป็นใหญ่ แล เมืองใต้ฟ้าจักมีเสิกจา ตะวันมีรูประสัน๓๗ เหล็กมาแทงทบออกสันนี้ ขุนก่ใจบ่ห้อย บ่เปิงใจ บ่ทัด ใจเจ้าตน คนทั้งหลายยังเมืองจักอึบยากนักแล ตะวันมีหมอกขาวสองอันมาเอื้อมอยู่ บ่รุ่งเรืองบ่ใสบ่สว่าง คนทั้งหลาย จักได้ร้อนไหม้ในใจ ด้วยภัยต่างๆ นาๆ ตะวันออกหมอกเป็นรูปดาบทางเหนือผ่าเข้าตะวัน ศึกจักมี จักได้ร้อนใจ คนทั้งหลายนักแล ตะวันออกหมอกเป็นเส้นด�ำแทงเข้าตะวันนี้ ๔ ทิป จักมีอุบาทว์เจ็บไข้ มากนัก ตะวันออกหมอกมาอุ้มสองฝ่ายดั่งนี้ คนต่างประเทศจักเข้ามา ๓๖ ไคว่เกี๋ยง หมายถึงกากะบาตร ดังเช่นช่องที่เจาะเป็นรูปกากบาทตามก�ำแพงเมืองจะเรียกว่า “ฮูเกี๋ยง”๓๗ ลูกศร ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 71 เหนือตะวันเป็นขอบแดงมีฝ่ามือมากั้ง จักเป็นศึก คนผู้ดีจักเป็นทุกข์มาก ตะวันผ่ากันเป็นสองลูก บ้านเมืองจักเป็นศึก ร้อนไหม้เสียสองเท่าสาม เท่าชะแล กลางตะวันมีขอบห้าขอบ ๓๘ มีขอบเหลืองดีแท้บ่เป็นสัง ๓๙ คันว่าขอบขาว ฝนมาก คันว่าขอบด�ำก�่ำอยู่ดั่งอั้นใต้ฟ้านาคก่จักยุ่งมี่นัน เมืองคนจักมี ศึกพ้นวันนึ่งจักดีมาชะแล ตะวันเป็นขอบด�ำ นาคน�้ำจักยุ่งนัก เมืองคนจักมีศึก พุ่นสี่วันจิ่งคืนดีมา ตะวันซ้อนกันเป็นสี่ลูกด้วยหมอกฟ้าหากกระท�ำหื้อเป็นแถวซ้อนกันดั่ง หันนี้ ทิปทั้งสองทิปอยู่พายเหนือจักร้อนใจเป็นทุกข์ ทิปทั้งสองทิปฝ้าย ใต้บ่าเป็นสังแล ตะวันบ้างเกิ่งเป็นรูปดาบอยู่ใต้ ขุนผู้ใหญ่ฟ้าว้อง ๔๐ จักเป็นศึกหลวง พื้นฟ้า ปายวัน ออกนึ่งจา ๓๘ ไม่เป็นไร๓๙ เสียงอันดัง๔๐ เมืองว้อง คือหัวเมืองของจีนฮ่อโบราณ ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลยูนนาน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
72 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันเป็นรูปหอกสองเล่มดั่งนี้ เมืองว้องและเจ้าฟ้าว้องจักหลอนฆ่าฟัน กันตายร้อนใจคนทั้งหลายมากนัก ๔๑ การสังเกตพระจันทร์ ที่นี้จักกล่าวจันทร์เล็งส่องโลกโลกาก่อนแล พระจันทร์เล็งส่องใสแล หมอกเหลืองแตกมาล้อมอยู่ดั่งนี้ ฝนมีมาก ฝนตกบ่ขาดน�้ำจักนอง พระจันทร์มีหมอกขาวหมอกเหลืองมาเกี้ยวขุ่นมัวอยู่ดั่งอั้นบ้านเมืองก่จัก ตื่นต้วง กันหมอกขาวมาเกี้ยวหมอกด�ำดั่งอั้นปีนั้นหรือสองปี จักเจ็บไข้ มากนักแล พระจันทร์ผ่ากันด้วยหมอกหากกระท�ำจักมีเคราะห์เกณฑ์มากชะแล พระจันทร์หมอกเป็นไม้ง�้ำอยู่ดั่งอั้นข้าวไร่นาเป็นต้นแล้ว มอดแมงกินเสีย ขุนว่าจักกินได้บ่จา พระจันทร์ออกมาขับเสี้ยงเดือนนึ่ง หมอกบ่อ้อมบ่ง�ำดั่งอั้นเมืองคนจักมี ศึกจักบังเกิดหื้อมีชา ๔๑ น่าสังเกตว่าการสังเกตดวงดาวของล้านนาได้ให้ความส�ำคัญกับสถานการณ์ในเมืองฮ่อ ซึ่งลักษณะ ดวงดาวหลายรูปแบบสื่อถึงเมืองๆ นี้บางครั้งใช้ค�ำว่าเมืองใต้ฟ้า หรือเมืองฮ่อลุ่มฟ้า ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 73 พระจันทร์มีฝ้ากาบฟ้ามาเซาอยู่ทั้งนอกและใน นานปีนึ่ง ฝนบ่ตกปอ เดือนนึ่งเมืองคนบ่เป็นสัง จันทคราสตือเดือนน้อย ปอเกิ่งคืนคายเสียดั่งอั้นบ้านเมืองบ่เป็นสังแล พระจันทร์ผ่ากันลูกพญาเมืองใต้ฟ้า จักได้ก�ำดาบก�ำหลาว ฆ่าฟันกันเที่ยงแท้ ดาวเข้าในพระจันทร์บ้านเมืองจักยุ่งเสียกู่ที่กู่เมืองชะแล พระจันทร์เป็นหมอกขอบดั่งอั้น คันผิวเส้า จักมีลมมาก คันด�ำจักมีฝนตก บ่สู้เป็นห่า ข้าวบ่สู้มากราบไปเสียชะแล พระจันทร์มีหมอกมาเป็นรูปดาบ ปลายดาบไปพายใดพายนั้นจักเป็นศึก บ่คราดชะแล พระจันทร์เป็นตุ่มแดง ดังต่อมเลือดนั้น เมืองจักแห้งแล้ง แต่เดือนสี่ถึง เดือนเจ็ดคันเป็นต่อมด�ำ แควนจักแรงชะแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
74 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ต่อมขาวในขาวออมเหลือง หันเมื่อเดือนดังนี้ ภูเขาแดนเมืองมัททะราช เมืองมธุรา พญาทั้ง ๒ เมืองจักรบกัน ถ้าว่าเดือนขึ้นใส่ดั่งนี้สัพพะพิสสฤกษ์แควนทักขิณะทิสใส่ ฝนบ่มีแล ถ้าว่าเห็นเดือนขึ้นเป็นดั่งนี้ใส่สัพพะพิสสฤกษ์ ทิศหนอุดรฝนจักดีแล เห็นเดือนขึ้นดั่งนี้จักมีความสุขแล เดือนขึ้นดั่งนี้ชะตาเจ้าบ้านเจ้าเมืองจักขาดแล เห็นเดือนขึ้นดั่งนี้รูปปะโยรสัพ กษัตริย์ทั้งหลายจักอิ่มด้วยข้าวน�้ำโภชนะ อาหารจักสุขสวรรค์ม่วนมนตรีชะแล เดือนขึ้นดั่งนี้เจ้าเมืองจักได้สัพพะข้าวของสัมปัตติบรโภคมากแล เดือนขึ้นดั่งนี้เจ้าเมืองจักรักใฝ่แปงกัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 75 เมื่อเห็นเดือนขึ้นดั่งนี้ ไพร่ฝ้าจักฆ่าเจ้าเมือง กบฏแล ถ้าว่าดาวพุธเหลื่อมอยู่ดั่งนี้เสิกจักมาจักเกิดอุบาทว์ทุกภิขภัยกับบ้านเมืองแล ถ้าว่าดาวเสาร์ขึ้นอยู่กับเดือนดั่งนี้ เสิกจักมากับบ้านกับเมืองเป็นอุบาทว์ บ้านเมืองแล ถ้าว่าดาวพระหัสอยู่พื้นเดือนดั่งนี้ ข้าเสิกศัตรูจักกระท�ำร้ายแก่เจ้าเมืองแล ยามเมื่อเดือนผงขึ้นหันดั่งนี้ฝนจักดีน�้ำมากแล ยามเมื่อเดือนขึ้นแล้วหันดั่งนี้เมืองใต้จักเป็นอุบาทบ้านเมืองจักเพิงแกน มากนักแล หันสีเหลืองอยู่ในข้างนึ่งดั่งนี้ผู้หันจักตายแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
76 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หันพระจันทร์ขึ้นดั่งนี้ปลายเหลืองจักเกิดอุบาทว์แก่ชาวบ้านชาวเมืองจัก ยากแค้นเคิงมากแล เดือนออกดังนี้ผีตองปรากฏในอากาศเข้ากลางผัด ๓ วันรือ ๗ วันจักเสียเมืองแล เดือนออกดั่งนี้เจ้าเมืองจักตาย คันว่าหันเมื่อเดือนออกยังผงคืนตราบถึง ๘ ค�่ำมีดังนี้ เขาจักกระท�ำร้าย แก่เจ้าเมืองแล เดือนขึ้นในแดงขอบขาวดั่งนี้จักมีโทษ ๔ ประการคือ โจร โรคา ข้าวแพง ข้าเสิกจักมาเมืองแล เดือนขึ้นดั่งนี้กลางหม่นนอกขาว ผู้หันนั้นจักถึงแก่ความสุข จักได้ลาภ สการแล เดือนขึ้นแดงในกลางเหลืองนอกขาว พญาเจ้าเมืองคนทั้งหลายจักเกิด ส อุบาทว์มากนัก ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 77 หันพระจันทร์ขึ้นดั่งนี้ข้าเสิกจักมาถึงเมืองแล เมื่อเดือนขึ้นดั่งนี้ราชะทั้งหลายจักชมชื่นยินดีมากนัก เมื่อเดือนลงดั่งนี้ อุบาทว์จักเกิดมีแก่คนทั้งหลายมากนักแล เดือนเป็งขึ้นในแดงขอบขาวต่อมขาวแวดดั่งนี้ริพลโยธาจักสั่นระสาย เดือนขึ้นในแดงรอบขาวนอกเหลืองเดือนแรมจักไกล้ดับดวงพระจันทร์ เป็นดั่งเดือนเป็ง เจ้าเมืองจักตาย บ่อั้นจักได้หนีเสียเมือง จักมีภัยอันใหญ่แล เมื่อเดือนแรมจักไกล้ดับออกมาดั่งนี้ ริพลโยธาจักสั่นระสายแล เดือนขึ้นขอบบนขาวขอบลุ่มเหลืองดั่งนี้จักเกิดอุบาทว์มีแก่สัตว์ในน�้ำทั้ง มวลแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
78 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา พระจันทร์หมอกด�ำไหลมาห้อยอยู่สองป่างสันนั้นบ้านเมืองทั้งหลายกัน ได้ว่า พ้นจากเคราะห์เกณฑ์อยู่เย็นเป็นสุขชะแล พระจันทร์มีขอบหลายชั้นเมืองใต้ฟ้าจักมีไฟไหม้ ศึกก่จักมี พระจันทร์เป็นสองผากบ้านเมืองจักมีศึกมาก พระจันทร์มีดาวเข้ามาห้าลูกล้อมอยู่ ลูกเห็บตกมากปีนั้น พระจันทร์มีฝ้าด�ำมาเกี้ยวอยู่จักมีภัยอันใหญ่จา คันว่าฝ้าเหลืองจักมีอุบาทว์ คันว่าฝ้านั้นขาวดั่งอั้นคนทั้งหลายจักอยู่ดีมีสุข พระจันทร์มีฝ้าหมอกเป็นเขาจักเป็นแก่สัตว์ของเลี้ยงทั้งมวลแลเมื่อ ปายลูนจักสุขแล พระจันทร์ด�ำเส้าเสียทั้งมวลบ่หันใต้ฟ้า จักมีภัยฉิบหายมากค้างคาใจนักชะแล พระจันทร์เป็นหลายขอบแล้วย้อยลงสองป่าง เมืองใต้ฟ้าจักมีหัวช้าง หัวม้า คัวช้างคัวม้ากลัวเก๊ากันบ่ขาดชะแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 79 พระจันทร์ด�ำเสียผากนึ่งทังนอกนั้น พ้อยมีรูปกระต่ายเผือกดั่งอั้นบ้าน เมืองจักเป็นศึกบ่คลาดชะแล พระจันทร์หมอกเป็นขอบด�ำชั้นนั้น ข้าวจักแพงศึกจักมีชะแล พระจันทร์กลายเป็นขอบแดงแวดดั่งนี้เคราะห์เกณฑ์จักมีสามปีร้ายแท้แล พระจันทร์เป็นหมอกเป็นขอบมาง�ำอยู่ คนเมืองจักทุกข์ยากผานใจ พระจันทร์ด�ำเสียทั้งลูกอยู่น้อยนึ่ง ดาวมาเกี้ยวกันแวดอยู่ดั่งนี้ศึกจักมี ตั้งแต่เดือนสี่ไปฟ้าจักแล้ง รอดเดือนห้าเดือนหกของค่าจักแพงถึงเดือน เจ็ดจักมีภัย ถึงเดือนแปดไฟจักไหม้ ถึงเดือนเก้าฟ้าจักแรงแดด ถึงเดือน สิบจักแพ้ของเลี้ยง ถึงเดือนสิบเอ็ดเดือนสิบสองข้าวจักแพงของจักแพงกุสิ่งกุอัน พระจันทร์เป็นรูปหนูเผือกอยู่ในเดือนเมื่อเดือนบ่เป็งเตื่อจักมีภัย เมื่อเป็งมณฑลเต็มแล้วบ้านเมืองจักดีมาอยู่สุขใจ พระจันทร์เป็นรูปคนขี่ม้าตือแส้อยู่ในเดือนบ่ดีแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
80 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา พระจันทร์หันเป็นรูปคนอยู่ในเดือนหกหัวปีฝนจักตกนักถึงเมื่อหล้าปีจักรู้ ข่าวศึกมาแล การสังเกตลักษณะการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว นักขัตฤกษ์คือว่าดาวแตกเป็นห้ากิ่งดังนี้ลมจักมีมาก คนทั้งหลายจักมี เคราะห์อุบาทว์นักจักมีชะแล ดาวออกควันอ้อมอยู่ดั่งนี้ บ้านเมืองจักแล้งข้าวกล้าบ่ดีแล ดาวออกหางยาวดังนี้คนทั้งหลายจักมีอุบาทว์เจ็บไข้มากนักชะแล ดาวเป็นสี่ขอบห้าขอบดั่งนี้ก่แดนว่าจักแล้งถ้วนสามปีชะแล ดาวมีขนออกจุด้านจุพายดั่งนี้คนเมืองจะได้ผัดแผกันชะแล ดาวขนสามลูกออกมาเรียงกันอยู่ หัวเมืองไฟจักไหม้ชะแล ดาวเป็นสองขอบแล้วเป็นหางหย่อนลงดั่งนี้ หางออกหนใด บ้านเมือง หนนั้นจักอยู่เป็นสุขชะแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 81 ดาวเป็นสี่หางดั่งนี้ บ้านเมืองจักเป็นศึกคนทั้งหลายจักได้พ่ายหนีเสีย เมืองชะแล ดาวออกหางพายวันออก จักแพ้คนทั้งหลายหื้อเป็นอุบาทว์แล ดาวเป็นรูปช้างดั่งนี้ปีนั้นลมจักมีมากชะแล ดาวมีสองขอบสามขอบแล้วตอมกันเป็นสามลูกดั่งนี้ ข้าวจักแพงปุ่นสามปีแล ดาวเป็นหางหย่อนลงใต้ ไฟจักไหม้ปลาอยู่น�้ำก่บ่เย็นใจชะแล ดาวเป็นหางตกพายใต้เรียงกันดั่งนี้จักมีศึกจา ดาวออกหางเป็นเครือสี่ลูกดั่งนี้หัวบ้านหัวเมืองจักมีศึกชะแล ดาวด�ำเสียทั้งลูกแล้วเงาขอบนอกเหลืองนั้นบ้านเมืองบ่หมั้นบ่เที่ยงจักได้ ส พุพายชะแล ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
82 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ดาวเป็นหางก�๊ำฟ้าดั่งนี้ป่างตังบนพ้อยมัวอยู่จักแล้วพอ ๑,๐๐๐ วันชะแล ดาวพายในขาวขอบนอกพ้อยด�ำอยู่ดั่งนี้เคราะห์เมืองมีมากชะแล ดาวเป็นขอบแล้วหมอกเป็นใบเป็นแจ่ง ๔๒ รับดาวสันนี้ ผิว่าเป็นลายเขียว อยู่ป้างใต้ฝนมากนักแล ผิว่าหางอยู่พายใต้แพ้สัตว์อยู่เหนือแผ่นดินแล ดาวเป็นหางหย่อนลงไปใต้ฟ้าเป็นดั่งหางตุงดั่งอั้น ฟ้าจักผ่าแผ่นดิน ลูกเห็บ ตกมาเป็นต่อมเป็นก้อนก่จักตกจุที่จุแห่งชะแล ดาวเป็นขอบแล้วออกหางยาวดั่งนี้ข้าวจักแพง คนทั้งหลายจักมีอุบาทว์ เจ็บไข้มากนักแล ดาวสี่ลูกเป็นสี่แจ่งแล้วดาวลูกนึ่งมาห้อยแล้วออกหางหย่อนลงดั่งนี้ เมื่อ เดือนขึ้นบ่เป็นสัง เมือเดือนแรมข้าวจักแพงชะแล ดาวสี่แจ่งมีลูกนึ่งเอาหางขึ้นเมือบนดั่งนี้ ปรากฏในเมืองอันใดเมืองอันนั้น แผ่นดินจักไหวพอหื้อแผ่นดินแตกชะแล ๔๒ มุม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 83 ดาวยายกัน ๔๓ เป็นถ้อยดั่งนี้ แล้วดาวหางมาอยู่กลางดั่งอั้น อุบาทว์จักเกิด มีนักตนทั้งหลายจักกั๊ดใจผานใจมากนักชะแล ดาวหกลูกมาล้อมดาวหางดั่งนี้คนทั้งหลายจักอยู่ดีมีสุขตามใจชะแล ดาวหางมาออกหว่างกลางเครือสามลูกดั่งนี้ คนทั้งหลายจักพากันกั้นอยาก มากนักแล ดาวหางออกที่ใกล้พระจันทร์ดั่งนี้ เมืองใหญ่จักปูจาเมืองน้อยชะแล ดาวหางออกผ่ากลางพระจันทร์ดั่งอั้น คนทั้งหลายจะได้พรากจากกันชะแล ดาวหางมาผ่าดาวเครือสามลูก ผิว่าเงาแดงเงาขาวศึกจักมี จักร้อนใจคน ทั้งหลายชะแล ดาวหางออกมาผ่าดาวช้างหลวงดังนี้ บ้านเมืองจักมีศึกบ่ขาด ข้าวก่จัก แพงชะแล ดาวหางนี้ออกพายหัวเมืองฝนจักตกแล ๔๓ เรียงกัน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
84 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ลักษณะดาวกระทบ (ดาวเข้าเดือน เดือนเข้าดาว) - ผิว่าดาว ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ดาว ๕ ลูกนี้เข้าเดือนบ้านเมืองจักกั้นอยาก ฟ้าฝนแล้งคนทั้งหลายลักแลมแกมโจรก่จักมีมาก บ้านเมืองตื่นต้วง สนั่นหวั่นไหว คนใจหาญจักตายมากนักชะแล - ผิว่าดาว ๓ มาอยู่แอ้มเดือนพายวันตก บ้านเมืองจักนันเนืองมาก เจ้าบ้านเจ้าเมืองจักตายชะแล - ผิว่าดาว ๗ มาอยู่ตางหน้าเดือนดั่งอั้น หอกดาบบ่ได้ใส่ฝักสักเตื่อ จัก เป็นศึกบ่ขาดบ้านเมืองจักกั้นอยากชะแล - ผิว่าเดือนสี่เข้าเดือนดังอั้น คนลักคนโจรมีมากนัก นอกบ้านริมเมือง จักเสียแล - ดาว ๕ เข้าเดือนดั่งอั้นเสนาอามาตย์ผู้ใหญ่ จักลักซื้อลักขาย จักขัด ขุนเมือง จักมีวิวาทกันมากนักแล - ผิว่าดาว ๖ เข้าเดือนดั่งอั้น ขุนจักล้มชิงกันชะแล ทั้งหลายฝูงกล่าว มานี้ กันเป็นเมื่อเดือนขึ้นรอดเป็ง เท่าจักมีถ้อยค�ำบ่ดาย กันเป็นเมื่อ เดือนแรมบ่ดีชะแล - ผิว่าดาว ๗ และดาว ๓ หากเตียวกันไปก่อนหน้าเดือนดั่งอั้น ตั้งวันที่ หันไปปุ่น ๖ เดือนไปหน้า ขุนเมืองทั้งหลายจักได้อยู่เย็นเป็นสุขนักแล - ผิว่าดาว ๔ นั้นถูกเดือนเมื่อเดือนเที่ยงปู่นเดือนนึ่ง ขุนเมืองจักมีลาภะ เป็นใหญ่กว่าเก่าชะแล - ผิว่าดาว ๕ ไปก่อนหน้าเดือนดั่งอั้น ฝนจักตกหัวปีเมื่อหล้าปี ๔๔ ก่เสมอกันดีคนทั้งหลายจักได้อยู่ดีมีสุขชะแล - ผิว่าดาว ๕ เข้าเดือนเมื่อเดือนเที่ยงดั่งอั้น ขุนผู้ใหญ่จักหลุจักวาย พ้นไปได้ ๗ เดือนจักเป็นอุบาทว์กั้นอยากมากนักชะแล เพิ่นที่อื่นจัก มาแพ้ เหยียบย�่ำค�ำรามชะแล - ผิว่าดาว ๗ มาอยู่พายวันตกเดือน คนบ้านคนเมืองทั้งหลายจักมี ความสัพพะสวัสดีชะแล๔๔ ท้ายปี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 85 - ผิว่าดาว ๖ มาอยู่หน้าเดือนพ้นเสียเดือนนึ่ง ตั้งเดือนนั้นไปได้ ๕ เดือน เจ้าเมืองจา นางเมืองจา จักมีอุบาทว์ใหญ่บ่มีคลาดชะแล - ยามเดือนเที่ยง ดาว ๖ ถูกเดือน ปุ่น ๒ เดือน ๓ เดือนไปหน้า เหตุการณ์บ้านเมืองจักมีท้าวพญา จักได้กั๊ดอกยากใจ จักได้เสียข้าว ของชะแล ดาว ๖ ถูกเดือนเมื่อเดือนจ้าย ไปพายหน้าปุ่น ๖ เดือน จักมีลาภะชะแล - ดาว ๗ ถูกเดือนปายวันออก ขอบบ้านแคมเมือง ๔๕ จักหุยเนืองนัน เจ้าเมืองจักตาย คนทั้งหลายจักกั้นอยาก คนโจรจักมีชะแล - ดาว ๗ คันถูกเดือนเมื่อเที่ยง จักได้ข้าวของมากนัก แลดาว ๗ ถูก เดือนพายวันตก นักปราชญ์บัณฑิตจักได้อภิเษกนักฝูงเก่าจักหาย นักปราชญ์ใหม่จักเข้ามาอยู่แทนชะแล - คิมหันอุตตุ ดาว ๓ ถูกเดือนคนทั้งหลายจักมีศึกแก่กันชะแล - เหมันตอุตตุ ดาว ๗ ดาว ๓ ผ่าเข้าเดือน พ้นไป ๒ เดือนจักได้ความ สวัสดี - คิมหันอุตตุดาว ๗ ดาว ๓ ถูกเดือนดีแล - วัสสานะอุตุ ดาว ๗ ดาว ๓ ถูกเดือนจักเป็นอุบาทว์ใหญ่ชะแล - เหมันตอุตตุดาว ๗ ดาว ๓ ถูกเดือนบ้านเมืองจักมีอุบาทว์ - ดาว ๕ ดาว ๖ ถูกกันบ่คากัน พ้น ๖ เดือนเจ้าจักตายแล - ดาวมาฆะมอนทราย มูลช้างน้อย ปลาในค�ำ ดาวทบศอก ดาวตีช้าง น้อยพายหลัง ดาวคานหามผี ฝูงนี้เข้าถูกในเดือนดั่งอั้นขุนหัวศึก ๔๖ จักตายชะแล - ผิว่าดาววิสาขาสวนผัก กิตติกาดาววี ภรณีดาวก้อนเส้าค�ำ ปุสยะดาว ขาเปี้ย มาฆะดาวมอนทราย ๑๓ ๑๔ ปักกจริยามูลตัง กันเข้าเดือน ดั่งอั้น เหนือแผ่นดินทั้งมวลจักยุ่งจักเป็นศึกแผ่นดินปอเป็นฝุ่นชะแล - ดาว ๕ ถูกดาวมอนทราย และดาวสวนผัก ศึกจักมีชะแล ๔๕ หัวเมืองชายแดน๔๖ แม่ทัพ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
86 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา - ดาว ๗ ถูกดาวทบศอก ถูกดาวควันไฟ ถูกดาวมุคาง ถูกดาวงวงช้างน้อย ถูกดาวตีนช้างน้อย ถูกดาวปลาในค�ำ ดั่งอั้นบ้านเมืองจักเสียชะแล - ดาว ๓ ถูกดาวมอนทรายถูกดาว ช้างน้อย ถูกดาวปลาในค�ำ ถูกดาว เรือนห่าง ถูกดาวทบศอก ถูกดาวดังว่ามานี้ อามาตย์และผู้ใหญ่ จัก ตายมาก หอกดาบจักลุกเหลื้อมดั่งสายไฟบ้านเมืองจักฆ่าแทงกันชะแล - ดาว ๓ ถูกเดือนพายวันตก เมื่อเดือนขึ้นหาเดือนเป็ง สัตว์อยู่เถื่อน จักสิบหายตาย - ดาว ๕ ถูกเดือนพายวันออก ฝนจักตกหัวปีหล้ามี ดีด้วยคัวเครื่อง ปลูก คนทั้งหลายมักเจ็บท้องชะแล - ดาว ๕ ถูกเดือนเมื่อเดือนเที่ยง บ้านเมืองจักกั้นอยากเจ็บไข้มีอุบาทว์ปุ่น ๗ เดือนชะแล - ดาว ๕ ถูกเดือนเมื่อเดือนเที่ยง พายวันตกดั่งอั้นเจ้าใหญ่ขุนใหญ่จัก ตาย ดาว ๕ ถูกคิมหันต์กันพ้นไป ๖ เดือน ๗ เดือน ๘ เดือน ๙ เดือน ขุนเมืองหลวงจักตาย ดาว ๕ ถูกเมื่อเหมันต์กันพ้นไป ๖ เดือน อามาตย์ขุนใหญ่จักได้ความสวัสดีชะแล ถูกวัสสานะกันพ้นไป ๖ เดือน นั้นจักมีอุบาทว์ชะแล - เหมันต๋า ดาว ๕ ดาว ๓ ถูกกัน กันพ้นไป ๖ เดือนบ้านใหญ่เมืองหลวง จักมีอุบาทว์แล - ดาวเรือนห่าง ดาวต่อไก่ ถูกเดือน บ้านเมืองจักยุ่งชะแล - ดาววีดาวคางถูกเดือน คนทั้งเมืองจักเจ็บไข้ออกตุ่มออกสุก ออกแดงชะแล - ดาวหัวเนื้อถูกเดือนเมื่อเดือนเที่ยงจักแพ้สัตว์สี่ตีนชะแล - ดาวไม้คานหามผี ถูกเดือน ขุนจักตายขอบบ้านริมเมืองจักเสียชะแล - ดาว ๔ ถูกเดือนฟ้าจักแล้งแดด กั้นอยากนัก - ดาว ๕ ถูกเดือนขุนจักได้พรากเสียเมือง - ดาว ๖ ถูกเดือนลูกเจ้าหลานขุนจักตาย จักยากใจขุนเมืองชะแล - ดาว ๗ ถูกเดือนบ้านเมืองจักเป็นภัยด้วยหอกดาบชะแล - ดาว ๗ ดาว ๔ ดาว ๕ เข้าสามลูกนี้ เป็นคุณแก่กัน แลดาว ๓ ดาว ๔ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 87 ดาวราหู เข้าสามลูกนี้ยายีต่อกันก่เป็นเหตุอันต่างๆ - ผิว่าดาวคุณเป็นดาวยายีส่องเหลื้อมอยู่ขุนผู้ใหญ่จักมีศึกแก่กันชะแล ผิว่าดาวคุณนั้นแควนส่องแจ้ง ดาวขุนเมืองนางเมืองอยู่ดี ดาวคุณจัก แพ้ชะแล - ผิว่าดาวยายีนั้นแควนส่องใส ขุนเมืองนามดาวยายีจักแพ้ชะแล - ผิว่าดาว ๓ ถูกดาวขอบด้ง บ้านเมืองจักกั้นอยากชะแล - ดาว ๓ ถูกดาวตีนช้างน้อย คนจักกั้นอยากใต้ฟ้าเหนือดิน น�้ำห้วยหนอง ร่องรู จักแห้งเสี้ยงแล คนก่จักออกสุกร้อนไหม้เป็นพยาธิชะแล - ดาว ๓ ถูกดาววีถูกดาวปลาในค�ำ น�้ำก่หลาย ไฟก่จักไหม้ - ดาว ๓ ถูกดาวรวงข้าว ถูกดาวงาช้างของปลูกบ่ดีแล กล่าวห้องนักขัตฤกษ์เข้าถูกต้องกันก่แล้ว หนี้ห้องนึ่งก่อนแล ผิว่าดาววีแฝงกันไปดั่งนี้ ดาววีป้อยเข้าเดือน แผ่นดินก่ไหวดั่งอั้นเป็น นิมิต คนทั้งหลาย จักมีทางเจ็บทางไข้จักมีเคราะห์เกณฑ์แก่เหล่าสมณะ พราหมณ์ในวัด เดือน ๑๐ บ้านเมืองจักยุ่งนักชะแล ผิว่าดาวต่อไก่เข้าเดือน จักเป็นเคราะห์แก่สมณะพราหมณ์ก่จักตาย ช้าง ม้า ขุนเมือง นางเมืองก่จักตายชะแล ผิว่าเดือนถูกดาวเรือนห่าง จักเป็นภัยคนโจรจักมีมากนัก เจ้าเมือง ขุนเมืองผู้ใหญ่จักร้อนใจนักตายแล ผิว่าเดือนผ่าดาวสะเปา จักเป็นภัยแก่เสนาอามาตย์ จักแพ้ช้างม้า ปูปลา อยู่ในน�้ำก่จักตายชะแล ผิว่าผ่าดาวห่างเรือน จักเป็นภัยแก่สมณะ พราหมณ์ยังอาวาสจักตายแล พญาก่ยังจักตายบ่ครา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
88 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ผิว่าเดือนมาอยู่ท่ามกลางดาววีและดาวคางดั่งนี้ เมียขุนเสนาและ นางราชเทวีจักตาย คนเมืองจักกั้นอยากออกตุ่มสุกตุ่มใสและฝีชะแล ผิว่าเดือนมาอยู่หว่างกลางดาวต่อไก่และดาวห่างเรือนจักเป็นอุบาทว์แก่ อามาตย์และข้าคนทั้งหลาย - ผิว่าดาวสามเข้าเดือนเมื่อเดือนเที่ยง ลูนนั้นได้เดือนนึ่ง เจ้าเมืองจัก ได้ลาภ ผิว่าดาวนั้นอยู่พายหนวันออกลูนนั้น ๖ เดือนเจ้าเมืองจักได้ ความสวัสดีชะแล ล�้ำ ๖ เดือนไปจักมีอุบาทว์ออบบ้านแคมเมืองจัก เสียชะแล - ผิว่าดาว ๔ เข้าเดือนฝนบ่มีหลายข้าวบ่ดี หมากเต้าหมากแตงบ่ดี คนทั้งหลายกั้นอยากผีร้ายเบียน คนทั้งหลายจักตายมากนัก - ผิว่าดาว ๕ เข้าเดือนจักแพ้เจ้าบ้านเจ้าเมืองจักมีอุบาทว์ผิว่าเข้าเมื่อ เดือนเที่ยงบ่ดีแท้แล ลูนนั้นไปได้ปอ ๗ เดือนจึ่งจักดีมา - ผิว่าดาว ๕ เข้าเดือนพายวันออก ฝนจักดีบัวรมวลชุอัน ผิว่าเข้าเข้า ทางวันตกเจ้าเมืองจักได้ลาภอันเปิงใจ - ดาว ๖ เข้าเดือนจักได้เป็นภัยใหญ่แก่บ้านเมืองจักปองแพ้ปองเหลือแล ผิว่าดาว ๖ เข้าพายวันออกลูนนั้นได้เดือนนึ่ง นางราชเทวีจักมรณาแล ผิว่าเข้าเดือนเที่ยงลูนนั้นไปสองเดือนขุนเมืองจักได้ลาภ กันเข้า เดือนพายวันตกลูนนั้นได้นาน ๖ เดือนขุนเมืองจักได้นางชะแลผิว่า ดาวนั้นบ่ห่อนได้หันบ่ห่อนมีแลออกมาเป็นหมู่เป็นจุมดั่งอั้น หรือ ออกมาหื้อหันตั้งเดือน ๔ ๕ ๖ ถึงเดือน ๑๐ ออกมาจักหันเหตุใหญ่ชะแล - ผิว่าดาว ๗ เข้าเดือนจักมีศึก เข้าพายวันออกจักสิบหายโจรแล ลูน นั้นจึ่งจักดีมา - ผิว่าดาว ๓ เข้าเดือนเมื่อฤดูฝนบ้านเมืองจักเป็นศึก ผิว่าเข้าฤดูหนาว ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 89 จึ่งอยู่สวัสดีแล - ผิว่าดาว ๗ ดาว ๓ เข้ากันเมื่อฤดูหนาวจักอยู่สวัสดีแล - ผิว่าดาว ๓ ดาวราหูเข้ากัน เมื่อฤดูหนาวเดือนสาม เดือนสี่ ขอบบ้านริมเมืองจักตื่นต้วงคัดใจจักมีศึกชะแล ดาว ๕ ดาว ๖ เข้ากันเมื่อเดือน ๕ ๖ ๗ ฤดูร้อน ขุนเมืองผู้ใหญ่จักตาย ดาว ๓ ดาว ๘ ดาว ๑ ดาว ๖ สี่ลูกนี้เข้ากัน ขุนเมืองจักถูกโทษใหญ่แล ดาว ๗ ดาว ๔ ดาว ๕ สามลูกนี้เข้ากันขุนเมืองจักมีโทษแล - ดาวยายี ๔๗ สี่ลูกดาว คุณสามลูก ขดเข้ากันจักมีศึก - คิมหันอุตุ วัสสาอุตุ เหมันต์อุตุ สามฤดูนี้กันตะวันตกดาว ๖ ออกมา จักมีศึกบ่คลาดชะแล - เมื่อวันพ้อยหันดาวสว่างใสพายวันออกเดือนใดก่ดี บ้านเมืองจัก บ่ทัดกันแล ดาวออกเมื่อวันพายวันตกจักเป็นอุบาทว์แล ผิว่าดาว ๗ ดาว ๓ เข้ากันเดือนใดก่ดี ตะวันก่ออกควัน เดือนนั้นแผ่นดินไหว ดั่งอั้น เจ้าเมืองพายหนวันออกจักปองฆ่ากันตายด้วยอุปนิขิตในใจบ่ หื้อใผรู้ด้วยอุบาย ๔๗ ดาวปาปะเคราะห์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
90 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ผิว่าดาว ๕ ดาว ๗ เข้ากัน พ่อศึกใหญ่จักได้เป็นเจ้าชะแล เมื่อโพธิสัตว์เจ้าได้เป็น เชสุกุมาร วันนั้น ดาว ๕ ดาว ๓ และเดือนออกแฟกัน ๔๘ ตะวันก่ออกควัน พุทธรูปเจ้าก่ออกเหงื่อ เจ้าเชสุกุมารได้เป็นหัวเสิก แล้วพ้อยตายเล่าแล ก่เหตุว่าดาว ๓ และดาว ๕ เข้ากันกับเดือนนั้นแล ตะวันออกควัน พระพุทธรูปเจ้าออกเหงื่อนั้นแล - ในเมื่อพญาอาภัยทุฏะตายวันนั้นอรหันตาก่เข้ามาเมือง ผียักก่มาร้องมาหืด ดาว ๓ ก่เข้าเดือนเกณฑ์เดือนก่ถูกอันเดียวกัน ดาวอยู่ฟ้าก่มาหากันหนใต้ เมื่อพญา อาภัยตายวันนั้นแล ตะวันออกควัน ตะวันออกควันวัน ๑ คันหันเมื่อจ้าย ๔๙ เจ้าอยู่พายวันออกจักตาย ตะวันออกควันวัน ๒ หนพายวันตกเจ้าเมืองจักพรากที่อยู่ที่กิน ตะวันออกควันวัน ๓ บ้านเมืองใดอยู่ใกล้แม่น�้ำใหญ่จักเป็นอุบาทว์เจ็บไข้ ตะวันออกควันวัน ๔ คนผู้มั่งมีเป็นสะค่วยเศรษฐีจักมีอุบาทว์ ๔๘ ออกคู่ขนานกัน๔๙ ช่วงเวลาบ่าย ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง
ธวัชชัย ทำ�ทอง 91 ตะวันออกควันวัน ๕ เจ้าเมืองจักได้ลาภสักการ แก้วแหวนช้างม้าเงินค�ำ ชะแล ตะวันออกควันวัน ๖ เจ้าเมืองจักอยู่ชุ่มเย็น ได้นางอันประเสริฐ ตะวันออกควันวัน ๗ ผืนดินจักไหวฝนห่าใหญ่จักตก การสังเกตดาวควัน ๕๐ หันดาวควันพายวันออกผู้น้อยจักปองเจ้าเมืองหื้อตาย หันดาวควันพุ่งขึ้นเมือเหนือ บ้านเมืองใหญ่จักเสียชะแล หันดาวควันพายใต้เมือง เจ้าเมืองอายุบ่ยืน หันดาวควัน พายวันตก จักมีศึกมีเสือ ผู้เป็นขุนจักเอากันเป็นกันฟื้นเจ้าเมือง ๕๑ หันดาวควัน พายหัวเมือง เจ้าเมืองจักอยู่ดีมีสุข มีอายุมั่นยืนยาวกว่าคน ทั้งหลายจะบัวระมวลด้วยปัจจัยทั้งสี่ ๕๐ ดาวหาง หรือมีลักษณะดั่งเปลวควัน๕๑ ก่อกบฏต่อเจ้าเมือง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง