The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จักรวาลพระเวทย์, 2023-11-06 04:16:28

ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา

ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา

142 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา คนทุกข์ร้อนเข็ญใจอยู่ในเมืองทั้งหลายก็เข้าไปสู่อารามชาวเจ้าทั้งหลาย ก็เอาเข้าตังหลาย มาหื้อหมากินชายทุกขะตะคนนั้นก็อยากข้าวมากนักหันแม่หมาตัวนั้นกินข้าวเลิกซาก กับด้วยอาหารสันนั้นอาจกล่าวว่า โอยหนอส่วนว่ากูนี้บ่ห่อนว่าจักได้กินยังข้าวน�้ำ โภชนะอาหารบ่เท่าหมาหมู่นี้สักตัว ชาวเจ้าได้ยินค�ำสันนั้นก็เอาข้าวหื้อมานพผู้นั้น กินจนอิ่มชายผู้หนึ่งบ่อาจจักอยู่ได้ ตายแล้วไปเข้าท้องแม่หมาตัวนั้นเกิดออกไปเป็น หมาตัวหนึ่งแห่งน้องญิงชาวเจ้า น้องญิงชาวเจ้าก็เอาไปเลี้ยงหมาน้อยตัวนั้นตราบเต้า ใหญ่มา คนทั้งหลายหันฉันนั้นเขาก็เยาะยายเล่นว่าเป็นผัวนาง นางแม่ญิงก็เขินนัก นางผู้นั้นก็เอาไหมาผูกกับคอหมาตัวนั้นก็เอาไปทอดเสียยังในแม่น�้ำหั้นแล เทวดา ใคร่หื้อปรากฏแก่คนทั้งหลายเหตุเข้าใจผิดจึงแปลงรูปหมากับไหน�้ำผูกกับคอเอาไว้ ในอากาศแล คนตังหลายที่ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักได้พลัดพรากพ่อแม่แต่น้อยจักได้ ทุกข์ไร้เข็ญใจ จักได้ไปทางต่างประเทศแห่งอื่นหื้อได้แหนโภชนะอาหารแลน�้ำเยียว จักว่าได้ตายดิกน�้ำ ๙๐ ชะแลฤกษ์ตัวนี้เหมือนดั่งชาวเจ้าหมายคนขี้ทุกข์ก็ว่าแล ๑๖. กลุ่มดาววิสาขะ หรือดาวงู๙๑ หมวดฤกษ์เพชฌฆาต นิทานดาววิสาขาฤกษ์ กล่าวไว้ว่า ยังมีพราหมณ์ผู้หนึ่งมีลูกศิษย์๔๐๐ คนมาเรียนศาสตร์แลศิลป์ล�ำลูกศิษย์ ๔๐๐ คนนั้นมีผู้หนึ่งกระท�ำมิจฉาจารกับเมียพรามณ์ผู้เป็นอาจารย์แห่งตน พายหน้า แต่นั้นอาจารย์ก็หันเหตุแต่นั้นก็เอาเหล็กเสียบเสีย ลวดตายไปเข้าท้องแม่งัวตัวหนึ่ง พราหมณ์อาจารย์ถามพญาอินทร์ว่ามันไปเกิดที่ใดพญาอินทร์ว่ามันไปเข้าท้องแม่งัวแล ว่าอั้น พรามณ์ก็ไปเอาในท้องแม่งัวมาแล้วกล่าวว่ากูบ่ใคร่หันสูทั้งหลายกระท�ำร้าย แก่ครูบาอาจารย์ว่าอั้นแล้วก็ขุดดินเป็นหลุมแล้วก็เอาลูกงัวตัวนั้นไปฝังเสีย งัวตัวนั้น ได้เป็นวิสาขะฤกษ์แล คนตังหลายที่ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักกระท�ำร้ายแก่พี่น้องวงศา ครูบาอาจารย์ตายแล้ว จักไปปรากฏเป็นฤกษ์วิสาขา ๑๗.กลุ่มดาวอนุราช หรือดาวคันฉัตร๙๒ หมวดฤกษ์ราชา นิทานดาวอนุราช ฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีชายผู้หนึ่งไปแปลงร้านในนาแล้วอยู่เฝ้านาหั้นและละอ่อนน้อย ๙๐ จมน�้ำตาย๙๑ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่า ดาวไม้ส้าว ในผังกระบวนดาวฤกษ์ฉบับวัดศาลาหม้อเรียกว่า ดาวมอนไต บางฉบับเรียกว่า ดาวด้งมอน๙๒ บางฉบับเรียกว่า ดาวฉัตรพญาอินทร์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 143 ลูกเจ้านาผู้นั้นร้องไห้เอาลูกนกเหนือปลายไม้ชายผู้พ่อมันก็ยิงนกด้วยหน้าไม้ก็ถูกนก ปักกับต้นไม้ติดอยู่หั้นแล เทวดาก็เอามือไว้ในอากาศซากนกตัวนั้นลมพัดตกลงมาหั้น เหตุนั้น คนตังหลายที่ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้จักเป็นพยาธิมากนักตั้งแต่น้อยจนใหญ่ จักมีศัตรูมากนัก ๑๘. ดาวเชษฐะ หรือว่าดาวไห๙๓ หมวดฤกษ์สมโณ นิทานดาวเชษฐะฤกษ์ กล่าวไว้ว่า ยังมีเจ้าระษีตนหนึ่งเดินบิณฑิบาตยังมีเทวดาตนหนึ่งชื่อมณีโทสะหันเจ้า ระษีตนนั้นก็ถามว่าเจ้ากูอยู่ที่ใดจา เจ้าระษีก็กล่าวว่าเราอยู่นันทะณีอันควรชมชื่นยินดี พุ้นแล เทวดาก็กล่าวว่าผ้าอันเจ้านุ่งนั้นเป็นอันงามนักแท้นอ มีที่ใดจา เจ้าระษีกล่าว ว่ามีที่กัลป์ละปัณณะสาลาเรารอดจุก�ำแล เทวดาก็ตอบว่าข้าจักตามเจ้าไปข้าใคร่ได้ ผ้าจีวร ระษีก็ตอบว่ายังมีมากนักจักใคร่ได้เท่าใดก็ได้ตามพึงใจ เทวดาก็เมือตามหลัง เจ้าระษีรอดถึงสาลาแล นางเทวดาถามระษีว่าต้นไม้ผ้าจีวรมีที่ใดจา เจ้าระษีจึงบอก ว่านางจุ่งอยู่หั้นกองผ่อเต๊อะต้นไม้ผ้าจีวรนั้น ๗ วันผ้าจึงมานางก็อยู่เสี้ยงกาละกับเจ้า ระษีแล้วก็ประสูติได้ลูกชายผู้หนึ่งแล ลูกผู้นั้นใหญ่มาดั่งอั้นพญากินเมืองก็จุติตายหา ผุ้จักแทนบ่ได้ก็เอากุมารน้อยผู้นั้นมาเสวยราชสมบัติ เมื่อจุติตายก็ได้มาเกิดเป็นฤกษ์เชษฐะ คนตังหลายอันได้เกิดในฤกษ์นี้จักได้เสวยราชสมบัติแม่จักประเสริฐกว่าพ่อก็มีแล ๑๙. กลุ่มดาวมูลละ หรือดาวช้างน้อย หมวดฤกษ์ทลิทโท นิทานดาวมูลละ ฤกษ์กล่าวว่า มีบุคคลสองพี่น้องอยู่ในบ้านอันหนึ่งผู้น้องมีเมียผู้พี่บ่มีเมีย เมื่อชายผู้ น้องไปไถนาชายผู้พี่ก็ท�ำมิจฉาจารกับเมียผู้น้องยังสงเสพด้วยกันดั่งอั้น งูอสรพิษก็มา ตอดขาทั้งสองตายผู้น้องก็หันขาทั้งสองบ่พรากกันสันนี้ก็ลือชาไปรอดยังท้าวพญา ปรากฏไปชั้นฟ้าทั้ง ๖ เทวดาว่าบุคคลผู้กระท�ำโทษแก่ผู้ตายก็บ่จักพรากกันได้สันนี้ก็ จักใคร่หื้อปรากฏแก่โลกตังมวลก็เอาเมื่อไว้ในอากาศก็เกิดเป็นฤกษ์ช้างน้อย คนตัง หลายอันเกิดมายังในฤกษ์ตัวนี้ย่อมกระท�ำด้วยมิจฉาจารกับเมียท่านแล ๒๐. กลุ่มดาวปุพพาสาฬห หรือดาวกุณฑล๙๔ หมวดฤกษ์มหัทธโน นิทาน ๙๓ ฉบับวัดปงสนุกเรียกว่า ดาวสายดือ๙๔ บางฉบับเรียกว่าดาวแม่จีไฟ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


144 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ดาวปุพพาสาฬห กล่าวไว้ว่า ยังมีไม้ผ้าด�ำต้นหนึ่งมีอันไกลบ้านอันหนึ่ง มีนกมาอยู่ใน ไม้ต้นนั้นก็มาออกลูกคาบหนึ่ง แม่นกก็ไปคาบเอาหนูน้อยตัวหนึ่ง มาไว้ในรังแล้ว ใส่ใจว่าลูกหนูน้อยตัวนั้นเป็นลูกแห่งตัว ก็ป้อนลูกหนูตัวนั้นใหญ่ออกมาเล่นกับลูกนก วันหนึ่งลูกหนูนั้นก็ขบปากลูกนกได้พลัดตกไปยังน�้ำสมุทรแล้วเกิดยังในฤกษ์ปุพภาสาคะ คนตังหลายอันได้เกิดมาในฤกษ์นี้จักมีพยาธิแลจักได้พลัดพรากพ่อแม่แต่น้อย ๒๑. กลุ่มดาวอุตราสาฬห หรือดาวขอไล่หมวดฤกษ์โจโร นิทานดาว อุตรสาฬหฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีเจ้าระษีผู้หนึ่ง มีลูกญิงผู้หนึ่งพญาครุฑใคร่ได้ลูกระษีตนนั้น ก็ได้เนรมิตเป็นมานพมาอุปฐากระษีตนนั้น ในกาละลางคาบก็สั่งเจ้าระษีเมือหานางเทวี เจ้าระษีใส่ใจว่าเป็นคนแต้ก็หื้อลูกญิงแก่พญาครุฑนั้นแล พญาครุฑก็รักนางผู้นั้นมาก นักก็เมือเอาไว้ในปราสาทนางผู้นั้นก็ทรงคัพพะ พญาก็อุปฐากรักษานางนั้นได้ยังกลิ่น รสแล้วมัวเมาตายไปพญาครุฑก็ได้มาสู่ส�ำนักเจ้าระษีก็มาบังเกิด โศกทุกข์ก็บินไปใน อากาศ ลมพัดปลายปีกพญาครุฑก็ตายไปเกิดเป็นฤกษ์ชื่อว่าอุตรสาคะ คนตังหลายที่ ได้เกิดมาฤกษ์นี้จักมีวิริยะอุตสาหะหื้อท่านผู้อื่นรักตนแม้นผู้ญิงคันว่าทะรงก็แสลง อาหารตายด้วยเหตุอันกินอาหาร แม้นผู้ชายจักตายด้วยเหตุผู้ญิงหรือเมียตนแล ๒๒. กลุ่มดาวศรวณะหรือดาวคานหาม๙๕ หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล นิทานดาว ศรวณะฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีต้นตาลและต้นมะปิน๙๖ ใหญ่นักอยู่ใกล้กันมีกระต่ายตัว หนึ่งเข้าไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลกาละเมื่อเดือน ๗ มะปินก็สุกหล่นใส่ใบตาล เสียงดังขะ โล้มโท้มทั้ม กระต่ายก็สะดุ้งตกใจร�่ำเปิงว่าแผ่นดินจักหล่มไปพายใต้ก็ดีเป็นดั่งว่าฟ้า ลั่นลงหนีบกับดินก็ดีก็จักตายเสียนั้นชะแล มันคิดฉันนี้มะปินก็ตกลงใส่ใบตาลแถม มันก็สะดุ้งตกใจกลัวก็เต้นแล่นหนีสัตว์ทั้งหลายในป่าเขาหันกระต่ายแล่นหนีสันนั้นก็ ถามว่าว่าท่านแล่นหนีด้วยเหตุสันใด กระต่ายกล่าวว่าแผ่นดินฟ้าหลั่งลงมาพายหลังนี้ สัตว์ทั้งหลายก็แล่นมัวเมาด้วยค�ำกระต่ายนั้นแล คนตังหลายที่ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้ จักฟังค�ำส่อค�ำร่ายบ่มีค�ำรู้พิจารณาแล ๙๕ ฉบับวัดปงสนุกเหนือและในผังกระบวนดาวฤกษ์ฉบับวัดศาลาหม้อเรียกว่า ดาวเหล็กจาร บางฉบับก็ เรียกว่า ดาวคานหามผี๙๖ มะตูม ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 145 ๒๓. กลุ่มดาวธนิษฐา หรือดาวไซหลวง๙๗ หมวดฤกษ์เทศาตรี นิทานดาว ธนิษฐาฤกษ์กล่าวไว้ว่ายังมีคนปาลาผู้หนึ่งไปหาหลัวหันควายเถื่อนในป่าก็มาเจียรจา กันซึ่งว่าดูราเพื่อนทั้งหลายข้าได้หันยังควายตัวหนึ่ง ดีกล่าวไปหาหลัวว่าอั้นแล้วก็ไป ไล่เอาควายตัวนั้นควายตัวนั้นก็ขวิดตายก็ได้เป็นฤกษ์ชื่อ ทะณิสาทะ คนทั้งหลายที่ ได้เกิดมาในฤกษ์ตัวนี้คันไปแอ่วป่าหื้อแหนแก่สัตว์ร้านทั้งหลายนี้เต๊อะ ๒๔. กลุ่มดาวศตภิษัช หรือดาวไม้ส้าว๙๘ หมวดฤกษ์เทวีศตภิษัชฤกษ์ยังมี ควายผู้ ๔ ตัวปากันไล่ขบหมูเถื่อนตัวหนึ่งมีก�ำลังมากนัก แม่นว่าพรานป่าทั้งหลาย เฝ้าแวดอยู่หมูเถื่อนตัวนั้นแล่นหนีบ่อาจจักพ้นได้ก็ถึงซึ่งอันวินาศตายไปแล้วก็ได้เกิด เป็นฤกษ์สัตตะภิสสะ คนตังหลายอันได้เกิดมายังในฤกษ์นี้จักมีภัยมากนักแล ๒๕. กลุ่มดาวปุพพภัทรบท หรือดาวนราชน้อย๙๙ หมวดฤกษ์เพชฌฆาต นิทานดาวปุพพภัทรบทฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งข้าวของฉิบหายตายเสี้ยง ก็ยังเหลือลูกญิงผู้หนึ่งเอาเจ้ามหาเศรษฐีผู้หนึ่งมีข้าวของมากนักประมาณว่าได้ ๘๐ โกฏิเศรษฐีผู้นั้นเอ็นดูขูณาเคารพคบย�ำมากนักก็แปลงเรือนหื้ออยู่พายวันออกเรือน แห่งตนยามเศรษฐีผู้นั้นจุติตายไปสวรรค์ เศรษฐีหลวงผู้นั้นก็เอานางผู้นั้นเป็นเมียแทนอยู่ กันก็มีลูกผู้หนึ่งแถมบ่นานเท่าใดนางก็ได้จุติตายไปเกิดเป็นฤกษ์ปุพพะภัทรา คนตังหลาย อันเกิดมายังฤกษ์ตัวนี้จักได้แทนเรือนอันใหญ่จักได้เป็นดีจักมีข้าวของมากนักแล ๒๖. กลุ่มดาวอุตราภัทรบท หรือดาวนางสาลาราม๑๐๐ หมวดฤกษ์ราชา นิทานดาวอุตราภัทรฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีพญาตนหนึ่งเอาธนูไปป่าไปยิงกวางตัวหนึ่ง ใหญ่มีก�ำลังมากนักมันก็เข้ามาก๋วมต้นขาพญาก็หักเสียจักลุกก็บ่ได้มันก็ค่อยคลาน เข้าไปสู่โก๋นไม้๑๐๑จึงพ้นภัยเมื่อลูนก็ลวดตายเสียหั้นลวดได้เกิดเป็นฤกษ์อุตระภัทร คนตังหลายที่ได้เกิดมายังฤกษ์ตัวนี้หื้อหลีกเว้นภัยอันเหลือก�ำลังตนนั้นเต๊อะ ฤกษ์นี้ รวมกันเรียกว่าพิดานหลวงแล ๙๗ บางฉบับเรียกว่า ดาวสายกุบ ดาวเกียงปืน๙๘ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่า ดาวตีนกา๙๙ ในผังกระบวนดาวฤกษ์ฉบับวัดวัดศาลาหม้อ เรียกว่า ดาวพิดานหลวง ดาวทรายค�ำตัวผู้๑๐๐ ฉบับวัดปงสนุกเหนือเรียกว่าดาวพิดานหลวงก�้ำเหนือ บางฉบับเรียกว่าดาวช้างอ้ายก�่ำ ดาวทรายค�ำตัวแม่๑๐๑ โพรงไม้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


146 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ๒๗. กลุ่มดาวเรวตีหรือดาวปลาสะเพียน๑๐๒ หมวดฤกษ์สมโณ นิทานดาว เรวตีฤกษ์กล่าวไว้ว่า ยังมีชายผู้หนึ่งมีลูกสามคนพ่อลูกพากันไปดักไซใหญ่ในแม่น�้ำ มี วันหนึ่งปลาใหญ่ก็เข้าไปถูกยังไซหลวงอันนั้นพรานปลาสี่คนพ่อลูกก็ขี่เรือไปยอไซก็บ่ อาจจะยกไซได้ ก็จ�ำลูกผู้หนึ่งด�ำลงไปปลาตัวใหญ่ก็กลืนกินเสีย ปางนั้นผู้พ่อก็ด�ำลง เล่าน�้ำก็พัดไปในไซปลาตัวนั้นก็จวกกินแถมลูกผู้หนึ่งว่าเขาสังบ่ออกมาจึงด�ำลงไป แถมปลาก็จวกกินแถม ลูกผู้หนึ่งก็ลงไปแถมปลาก็จวกกินแถมปลาก็กินเสี้ยง ๔ คน พ่อลูกเหตุนั้นเทวดาจักใคร่หื้อปรากฏแก่โลก จึงได้เมือในอากาศเพื่อหื้อคนทั้งหลาย รู้ว่ากระท�ำอันใดบ่พิจารณาแลย่อมฉิบหายดั่งพรานปลาสี่คนนั้นแลคนทั้งหลายที่ เกิดในฤกษ์นี้กระท�ำการอันใดบ่พิจารณาแลควรแหนควรเว้นบ่ควรรีบกระท�ำแล นอกจากนี้ในผังกระบวนฤกษ์แบบล้านนายังมีดาวช้างหลวงที่อยู่ศูนย์กลาง จักรราศีซึ่งจะขึ้นทางทิศเหนือและหมุนรอบตัวเอง ในตำ�ราได้จ�ำแนกชื่อกลุ่มดาวช้างหลวง ทีละดวงไว้ดังนี้ลูกเก๊าชื่อ ขตุลูกถ้วนสองชื่อมูฬหะ ถ้วนสามชื่อปุตยะ ลูกถ้วนสี่ชื่ออัถรี ลูกถ้วนห้าชื่ออังคาระลูกถ้วนหกชื่อวสีมะลูกถ้วนเจ็ดชื่อ มะลิจิลูกน้อยอันเรียงกัน อยู่นั้นชื่อ รุทธันติ จากนิทานดาวฤกษ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ยังพบการใช้ดาวฤกษ์ในการท�ำนาย ทายทักชะตาเกิดของผู้ที่เกิดวันต่างๆด้วยวิธีเอาเกณฑ์เดือนตั้งเอา ๒ คูณบวกด้วย ดิถีวัน จ�ำนวนที่ได้เป็นต�ำแหน่งดาวฤกษ์ประจ�ำชะตาเกิด แต่หากคูณและบวกแล้วมี จำ� นวนเกิน ๒๗ ก็ให้เอา ๒๗ ลบ แล้วนับเศษที่เหลือเป็นฤกษ์เกิดโดยมีฝอยท�ำนายชะตา ของคนที่เกิดในฤกษ์ต่างๆซึ่งอาศัยสรุปจากเนื้อหานิทานดาวฤกษ์ข้างต้นดังนี้๑๐๓ บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑ มีปัญญาฉลาดมากนักแม่นท่านจักปองฆ่าก็บ่ได้ เหตุอัสสะวิณีหากรักษา แม่นผู้ญิงก็จักได้เป็นเทวีใหญ่กว่าเพิ่น แหนด้วย ท้าวพญา หมอโหราอาจารย์สัตว์ทั้งหลาย ราชสีห์ช้างม้าวัวควาย เสือหมีผีป่ามีที่นั้นเต๊อะ บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒ ตัวภรณีผู้ใดเกิดร่วมฤกษ์ตัวนี้จักได้เป็น ท้าวพญาแต่น้อยแล ท่านจักปองฆ่ามันก็บ่ได้เหตุพระภรณีหากรักษายิ่งก็ฉันเดียวแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๓ จักมีตัวรูปงามปัญญามากมี เป็นศัตรูแก่ ครูบาอาจารย์มักกระท�ำมิจฉาจารกับด้วยเมียท่านผู้ใหญ่ยิ่งก็ฉันเดียวแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๔ มักกระท�ำมิจฉาจารกับด้วยเมียท่าน ยิ่งก็ฉันเดียวแล ๑๐๒ ฉบับวัดนาคตหลวงเรียกว่า ดาวนางราชหลวง๑๐๓ ต้นฉบับจากพับสาวัดชมพูหลวง อ.เมือง จ.ล�ำปาง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 147 บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๕ เทียรย่อมมีโศกทุกข์ หาสุขบ่ได้ น�้ำตาตก บ่ขาดหน้าแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๖ จักมีปัญญาฉลาดนักจักได้เป็นใหญ่แต่น้อย เท่าบ่อยู่ที่เกิด มักพลัดพรากพ่อแม่เมื่อยามน้อย บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๗ มักมีรูปผางร้ายนัก เท่าว่ามีวัตถุสมบัติมาก นักจักมีลูกผู้เดียวเป็นที่อาศัยแห่งท่านแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๘ อยู่จักวุฒิจ�ำเริญด้วย พหุธนา จักได้แทนที่ สมบัติมีรูปงามนักแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๙ ไปสู่สงครามจักตาย บ่อั้นจักทุกข์ก่อนท่าน ทั้งหลาย บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๐ หื้อหมั่นกระท�ำพาชนิยกรรม๑๐๔ จักสมฤทธี เท่าหื้อแหนสัตว์ในบ้านในป่าอันพฤษะเพิงกลัวนั้นแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๑ จักมีสุขแลปัญญา จักได้เป็นคหบดี อามาตย์ผู้ใหญ่แล เท่ามักกระท�ำร้ายแก่ตนมีศีลแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๒ มีรูปงาม หมั่นปฏิบัติท้าวพญา จักได้เป็น ขุนผู้ใหญ่ เท่าแหนเมียท่านแท้เตอะ บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๓ บ่ควรไปสู่ภริยาตระกูลใหญ่กว่าตนคันจัก เป็นใหญ่เที่ยงจักวินาศ บ่วุฒิสักอันแล เท่าดีกระท�ำไร่นาค้าขายสิ่งเดียวแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๔ จักมีปัญญาและมีรูปงาม เป็นที่อาศัยแห่ง คนทั้งหลายจักมีภัยแต ่นที บ่ดีค้าขายทางเรือจักมักเป็นภัย เท่าดีเสพกับด้วย ท้าวพญา ๑๐๕ จักมีสุขแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๕ จักได้พลัดพรากจากพ ่อแม ่แต ่น้อย มักเป็นพยาธิหาอาหารในนทีใหญ่สระหนองบ่ดีไปมักเป็นภัยควรมีสมบัติไว้ชุอันแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๖ มักกระท�ำร้ายแก ่ครูบาอาจารย์ตน มีสุขแต่น้อย เมื่อแก่เป็นทุกข์นักแล ๑๐๔ การค้าขาย๑๐๕ คบค้าสมาคมกับขุนนาง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


148 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๗ มักเป็นพยาธิเจ็บหัว ขัดแหล่ขัดหลัง มัก เป็นลมแต่น้อย คันไปค�่ำมาคืนท่านมักยกโทษใส่ หื้อแหนป่า ศัตรูอยู่ใกล้ตน อย่าใจบาป หื้อหมั่นกระท�ำบุญจักพ้นภัยชุอันแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๘ ตระกูลฝ่ายแม่ ประเสริฐกว่า ตระกูลฝ่ายพ่อ จักมีสุขแต่น้อยแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๑๙ มักกระท�ำมิจฉาจารเล่นชู้กับด้วยเมียท่านแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๐ พ่อแม่ตายแต่น้อย บ่ได้อยู่ที่เกิดตนแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๑ มักมีอุตสาหะวิริยะเป็นที่จ�ำเริญใจแก่คน และเทวดาทั้งหลาย คันผู้ญิงทรงคัพภะ๑๐๖ หื้อแต่งอาหารหอมหวานกินดีคันผู้ชาย จักตายเพื่อรักลูกเมีย อย่าไปค�่ำมาคืนมักเป็นภัยแก่ตน บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๒ จักฉิบหายด้วยโกรธะมานะแห่งตนแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๓ มักโกรธะนักจะกินแหนงใจเมื่อภายลูน อย่าไปอยู่ป่ามักเป็นภัย บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๔ ไปสงครามจักมีภัย อย่าใจบาปจักฉิบหาย บ่วุฒิแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๕ จักมีข้าวของมากนักเชื้อไพร่จักได้เป็นขุน ผู้ใหญ่จักได้เมียผู้หนุ่มหื้ออยู่ตามกอง๑๐๗ เต๊อะ บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๖ หื้อแหมผู้ใหญ่และสัตว์ป่าทั้งหลายแล บุคคละญิงชายเกิดฤกษ์ตัวที่ ๒๗ จักกระท�ำอันใดก็ดีหื้อพิจารณาดูหื้อหัน แจ้งก่อนแล้วจึงกระท�ำ บ่อั้นมักเป็นพยาธิภัยเท่าดีเสพกับด้วยกัลยาณมิตรผู้ดีแล ๑๐๖ ตั้งครรภ์๑๐๗ คลองจารีตประเพณี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 149 ภาพโยคสะเปา โหราศาสตร์แบบล้านนาที่ใช้ตัวเลขดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ตัว วางไว้บนต�ำแหน่ง ต่างๆ ของสะเปาเพื่อการท�ำนายดวงชะตาของบุคคลตามฤกษ์ก�ำเนิดและอายุ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


150 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ต�ำราพรหมชาติล้านนา คนล้านนาเชื่อว่ามนุษย์เกิดจากพรหม จึงเป็นที่มาของค�ำว่าพรหมชาติแท้ ที่จริงน่าจะเป็นต�ำราที่รับอิทธิพลจากความเชื่อเรื่องชาติก�ำเนิดของระบบวรรณะใน อินเดีย เป็นการระบุที่มาแห่งชาติก�ำเนิดของคนในวรรณะชั้นต่างๆ ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ภายหลังอาจจะมาคลี่คลายให้เข้ากับสังคมวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้ซึ่งมีคติความเชื่อ เรื่องขวัญเป็นทุนเดิมคือการแตกกระจายตัวของขวัญ ที่อยู่ในร่างกายคน จึงผูกโยง เรื่องของวิญญาณที่จะมาเกิดนั้นแตกออกมาจากขวัญส่วนต่างๆ ของพรหม โดยใช้ ระบบปีเกิดมาเป็นตัวก�ำหนดที่มาแห่งการก�ำเนิด จากการค้นคว้าท�ำให้พบว่าต�ำรา พรหมชาติในล้านนามีมากมายหลายส�ำนวนซึ่งผู้เขียนได้เลือกจ�ำแนกออกมาเป็น ตัวอย่างเพื่อพอให้เห็นภาพรวมดังนี้ ประเภทที่ ๑ ต�ำราระบุว่าเมื่อวิญญาณถือก�ำเนิดออกมาจากพรหมนั้นจะมี การแบ่งวิญญาณนั้นเป็นวรรณะต่างๆคือเทวดา คน และยักษ์๑๐๘ เมื่อจะมาเกิดเป็น มนุษย์วิญญาณจะต้องเข้าไปพักหรือไปสิงตามต้นไม้ประจ�ำปีเกิดก่อน เมื่อมาเกิดแล้ว ต้องมีของมงคลประจ�ำตัวอะไรบ้างและควรจะเลือกคู่ครองลักษณะใดดังนี้ บุคคลผู้ใดเกิดปีไจ้ ลุกหัวพรหมลงมาเกิดวงศาเทวดา สิงไม้ไคร้๑๐๙ นามหนู ธาตุน�้ำ อาทิตย์เป็นใจมันอยู่นั้นยังมีสมบัติเสียไร่นากินดีเต้าหื้อฟังค�ำอยู่แก้จึงดีแล ทือดาบ ๑๗ ไม้แทก๑๑๐ ปลายเพียง ทือแก้วปัทรา ผิวแดงคันบ่อั้นก็แก้วมหานิล กับทั้งทอง ขวานฟ้าผ่า จึงดี บ่มีศาสตร์ศิลป์เป็นรูปหนูเลี้ยงงัวแดงไว้เงิน ๗ ก�ำ รองพื้นถงเป้ง๑๑๑ ขุนนางรักแล เอาเมียแม่น้อยต�่ำด�ำแดงกะดีนักแล บ่อั้นก็แม่หม้ายขาวสูงดีแล ปีเป้าลุกบ่าพรหมลงมาเกิด วงศายักษ์สิงไม้กล้วย๑๑๒ นามว่าธาตุดิน ๔ เป็นใจมันยังมีประหยาหื้อข้าวของแดงไว้เป็นของหมั้นดีแล หื้อเอาแก้วฟ้าลูก ๑ กับ ทองขวานฟ้าลูกเป้งรูปงัว ทือแก้วเหลืองแก้วขาว ถงเป้งขาวเหลืองแก้วมุก ทือดาบ ๑๐๘ บางฉบับระบุเป็นผีเสื้อ๑๐๙ บางฉบับเป็นไม้มะพร้าว๑๑๐ แต้ก หมายถึง การทาบเพื่อวัดขนาด๑๑๑ ถงเป้ง หมายถึง ถุงใส่ลูกเป้ง ซึ่งจะมีระบุว่าต้องเป็นรูปอะไรส่วนใหญ่จะเป็นรูปปีนักษัตรประจ�ำปี เกิด เป้งท�ำมาจากโลหะส�ำริด ความหมายของถุงเป้งคือ กระเป๋าเงินของคนโบราณ๑๑๒ บางฉบับระบุไม้ตาล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 151 ๑๗ ไม้ แทกปลายเพียงดี คันบ่อั้น ๑๘ ไม้แทกปลายบัวก็ดีไว้เงิน ๘ ก�ำรองพื้นถงเป้ง เอาเมียแม่น้อยขาวเหลือง คันบ่ขาวแดงต�่ำกะเลี้ยงงัวเหลืองดีนักแล เกิดปียีลุกบ่าซ้ายพรหมลงมาเกิดวงศายักษ์ สิงไม้รังนามเสือธาตุไม้ ราหู เป็นใจยังมีประหยาแล ลูกเป้งรูปเสือ ถงเป้งลายแดงท่าน จ่างสนส่อหัวเสียขวัญ ทือดาบ ๑๙ ไม้แทกปลายเพียง ทือแก้วประก�ำรากแล แก้วปัพภา น�้ำด�ำก็ดี ทือดาบ ๑๗ ไม้ แทกก็ดีแก้วชายค�ำก็ดีเลี้ยงงัวแดงไว้เงิน ๔ ก�ำรองพื้นถงเป้ง เอาเมียแม่น้อยสูงแว้น ด�ำแดงผิวเส้าดอกเนื้อ ขุนนางรักแล เกิดปีเหม้าลุกบ่ามือพรหมมาเกิด วงศาคนสิงไม้หวาย๑๑๓ นามหมา ถงเป้ง ขาวธาตุไม้ ๖ เป็นใจ ก�ำมันบ่หมั้นบ่เที่ยงมีคันบ่หมารูปเป็นรูปหมาตัว ๑ ถงเป้งขาว หม่นไว้ถง ๑ ไว้กับถงอย่าหื้อขาด ทือดาบ ๑๗ ไม้แทกปลายเหลี้ยม ทือแก้ววิฑูรย์น�้ำ ค�้ำก่ดี แก้วบัวระกตยอดเต้าก่ดี เอาเมียแม่น้อยคิงแลบขาวเขียวคันบ่อั้นก็แดงต�่ำ ๑ เลี้ยงงัวผิวมุกผิวซายเหิดดีนักแล เกิดปีสี ลุกหัวเข่าพรหมมาเกิดวงศาเทวดาสิงไม้สรี บ่อั้นก็ไม้สะเคียน นามงู ตัวหลวง ธาตุดิน ๗ เป็นใจดีเมื่อยังน้อย ดีแก่มาเป็นทุกข์บ่มีสุขสักคาบแล ถงเป้งลาย ด�ำลูกเป้งรูปนาค คันบ่อั้นก็รูปราชสีก็ดี ทือแก้ววิฑูรน�้ำเผิ้ง แก้วปะจ�ำกาน แก้วน�้ำเข้า แก้วปลีก กับทองขวานฟ้า๑๑๔ จึงดีเทวดารักษาแล เลี้ยงงัวมุกงัวแก้ว ทือดาบ ๑๔ ไม้ แทกปลายบัวก็ดี ๑๕ ไม้แทกปลายก้อยก็ดี หอเรือนนอนคืนนางรักเอาเมียแม่ใหญ่ ขาวสูงไว้เงิน ๓ ก�ำในถงเป้งอย่าขาดดีแล เกิดปีใส้ ลุกฝ่าตีนพรหมมาเกิดวงศาคนสิงไม้ยาง๑๑๕ นามงูน้อยธาตุไฟ ๑ เป็นใจยามน้อยทุกข์มากนักเมื่อแก่จึงดีแล ลูกเป้งรูปงู ถงเป้งด�ำแดง บ่อั้นก็เหลือง ภายนอกขาวปอดไว้เงินขวัญถง ๓ ก�ำ ทือดาบ ๑๒ ไม้แทกปลายเหลี้ยม บ่อั้นก็ ๑๗ ไม้แทกปลายเพียงไว้ข้างซ้าย แก้ววชิระเป๊ก แก้วปลีกขาวเหลือง กับด้วยทองขวาน ฟ้า เอาเมียแม่น้อยสูงแวนดีแล เลี้ยงงัวด�ำปอดดีแล เกิดปีสะง้า ลุกสายดือพรหมมาเกิด วงศาเทวดาสิงในเก๊ากล้วย บ่อั้นก่เก๊า อ้อย นามม้า ธาตุไฟ ๑ เป็นใจ ลูกเป้งรูปม้า ถงเป้งหม่นไว้เงิน ๔ ก�ำ เป็นขวัญถง ทือ แก้วประท�ำราก แก้วมหามณีแล เลี้ยงงัวด�ำ๑๑๓ บางฉบับระบุไม้งิ้ว๑๑๔ ขวานทองส�ำริด๑๑๕ บางฉบับเป็นต้นไทร ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


152 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ทือดาบ ๑๘ ไม้ บ่อั้นแทก ๑๔ ไม้ปลายบัวไว้ข้างนอน เอาเมียแม่ใหญ่ด�ำแดง คันบ่ ขาวแดงแม่น้อยงามเที่ยงดีนักแล เกิดปีเม็ด ลุกตีนซ้ายพรหมมาเกิด วงศาเทวดาสิงไม้ตาล๑๑๖ ธาตุดิน ๓ เป็นใจนามแพะ มันบ่ฟังค�ำไผแล ถงเป้งหม่นภายนอกด�ำในแดง ลูกเป้งรูปแพะไว้เงิน ขวัญถง ๗ ก�ำอย่าขาด ทือดาบ ๑๖ ไม้แทกคันบ่อั้นก็ ๑๗ไม้ แทกปลายเพียงแล ทอง ขวานฟ้าไว้ในถง เลี้ยงงัวด�ำหม่นคันบ่อั้นแดง ทือแก้วปะท�ำรากแก้ววิฑูรแก้วนิล เอา เมียด�ำแดงมอยดีนักแล เกิดปีสัน ลุกหัวเข่าพรหมมาเกิดวงศายักษ์สิงไม้เดื่อ๑๑๗ นามวอกธาตุเหล็ก ๔ เป็นใจเมื่อยามน้อยทุกข์มากนัก แก่จึงดีมีสุขแล ลูกเป้งรูปวอก ถงเป้งขาวภายนอก ด�ำแล ทือแก้วมหานิลคันบ่อั้นก็แก้วปะทบ ไว้ถง ๑ ก�ำเป็นขวัญถงเป้งแล ทือดาบ ๑๗ ไม้แทกปลายเหลี้ยมก็ดี ๑๘ ไม้แทกปลายเพียงก็ดีบ่มีสัตรูแล เลี้ยงงัวมุกงัวแดง เอาเมียแม่ด�ำแดงก็ดีมีข้าวของดีแล เกิดปีเล้า ลุกหลังพรหมมาเกิดวงศายักษ์นามไก่สิงไม้ม่วง ธาตุเหล็ก ๕ เป็นใจเป็นนักบวชจึงดีแล เป็นคนแก่มาจักสุขสน้อย ลูกเป้งรูปไก่ถงเป้งในขาวนอก เหลือง คันบ่อั้นในลายนอกขาว ทือแก้วประท�ำรากดี แก้วปัพภาน�้ำเหลือง ทือดาบ ๑๙ ไม้แทกปลายเพียง เอาเมียแม่ขาวเหลืองไว้เงิน ๙ ก�ำเป็นขวัญถงเป้งอย่าหื้อขาด เอาเมียแม่ขาวเหลืองหน้ากว้างเลี้ยงงัวนิลผิงค�ำจอมเป็นเก๊าดีแล เกิดปีเส็ด ลุกกวงเหน่า๑๑๘ พรหมมาเกิด วงศายักษ์สิงไม้ทัน๑๑๙ เป็นที่รักแก่ ท่าน ธาตุเหล็กนาม กระต่าย ๔ เป็นใจเมื่อน้อยเป็นทุกข์เมื่อใหญ่จึงดีมีสุขแล ถงเป้ง ลายหม่นภายในแดงรูปเป้งรูปกระต่ายแล้ว ไว้เงินขวัญถงก�ำ ๑ เป็นขวัญถงอย่าหื้อ ขาด ทือแก้วบัวระกด แก้วมหานิลแล แก้วนิลประทบ ทือดาบ ๑๕ ไม้แทกปลายเหลี้ ยมบ่อั้นก็ ๑๙ ไม้แทกก็ดีไว้ข้างที่นอนป่างซ้าย เอาเมียแม่น้อยขาวเขียวเลี้ยงงัวด�ำไว้ ของที่เมียจึงดีแล ๑๑๖ บางฉบับระบุเป็นไม้บริกาชาติ๑๑๗ บางฉบับเป็นต้นมะขุน๑๑๘ รูกลวงที่หัวเหน่า๑๑๙ บางฉบับระบุว่าเปิ้งหนองสระดอกบัว ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 153 เกิดปีไก้ ลุกบ่าเก๊าแร้๑๒๐ พรหมมาเกิด วงศาคนมาสิงไม้เท่า นามช้างธาตุน�้ำ เป็นใจฮอมสังบ่สู้ขึ้นหลายถงเป้ง ๒ ชั้นน้อยขาวในแดงลูกเป้งรูปช้างไว้ช้างก�ำเป็น ขวัญถงอย่าหื้อขาด ทือแก้วผิงเหลืองวิฑูรน�้ำค�ำ เลี้ยงงัวฮ่างดอก คันบ่งัวค�ำทือดาบ ๑๕ ไม้แทกปลายบัว ไว้ปายข้างสลีอยู่ เอาเมียใหญ่ขาวเหลืองหื้อเป็นเจ้าเข้าของจึงดี แล กล่าวปีเกิดทั้งหลายก็แล้วนี้แล ประเภทที่ ๒ คือความเชื่อเรื่องชาติก�ำเนิดที่เกิดจากปู่แถนย่าแถนเป็นผู้น�ำ พามาเกิดโดยปู่แถนจะเป็นผู้ปั้น หรือหลอมหล่อให้ออกมาเป็นมนุษย์ ในต�ำราระบุ ถึงบุคคลควรจะระลึกถึงบุญคุณปู่แถนย่าแถนด้วยการท�ำพิธีส่งแถนบูชาแถนเพื่อให้ อยู ่วุฒิจ�ำเริญสวัสดีแต่หากไม่ส่งไม่บูชาก็ถือว ่าเป็นคนที่ไม ่รู้จักกตัญญูรู้คุณผู้ให้ ก�ำเนิดปู่แถนย่าแถนก็จะสาปแช่งบุคคลที่เกิดในปีเกิดแต่ละปีไว้พร้อมระบุกาลชะตา ที่เจ็บป่วยหรือเสียชีวิต ดังนี้ ที่นี้จักกล่าวด้วยก�ำเนิดปีเกิดคนทั้งหลายญิงชายลงมาเกิดก่อนแล ผู้ใดเกิด ปีรวายไจ้ถือหาบลงมา เกิด ปีเต่าไจ้นั่งและถือถงลงมาเกิด ปีเปิกไจ้ตกต้นไม้ตายแล้ว ลงมาเกิดปีกาบไจ้นั้นถือถงลงมาเกิดธาตุน�้ำแล เมื่อลูนปู่แถนหลวงบอกหื้ออยู่แปลง เบ้าได้อยู่น้อยหนึ่ง รุ้งคาบเอาหนีแลสัวะตก แล้วได้มาเกิดหล่อออกแล้ว ได้กับเสีย เท่ากันแล นางหลวงได้สั่งว่าหื้อได้ส่งครัวกูหื้อพ่อแม่ซิ่นผืน ๑ เสื้อผืน ๑ เงินบาท ๑ สร้อยสังวาลย์เครื่อง ๑ ข้าวเปลือกฉาง ๑ ข้าวสารฉาง ๑ แล้วกูจักค�้ำชูข้าวของหื้อ ไหลหลั่งมา เป็นดีมีสุขทุกอันชะแล คันว่ามึงบ่ส่งหื้อกูนั้นหื้ออายุมึงนั่ง ๑๗ ปีหื้อมึง ตายแท้ หื้อมึงตายลงด�ำลงแดงบวมพองตายว่าอั้นแล ปู่แถนแช่งว่าสันนี้เยื่อง ๑ ว่า หื้อตายเสือขบงูตอด ว่าอั้นปู่แถนแช่งว่าฉันนี้ พี่น้องตระกูลได้เลี้ยงมึงหื้อชังมึงคันว่า มึงบ่ส่งหื้อกูหื้อมึงมีอายุได้ ๗๗ ปีหั้นตายเดือน ๓ ออก ๓ ค�่ำหั้นหื้อมึงวายหั้นแท้แล ผู้ใดเกิดมาปีดับเป้าถือดาบลงมาเกิด ปีเมิงเป้าขี่สะเปาลงมาเกิด ปีกัดเป้า ช้างแทงตายแล้วลงมาเกิด ปีล้วงเป้าเพิ่นกัง๑๒๑ ลงมาเกิด ปีก่าเป้ามีม้าลงมาเกิดผัว เมียเดียวกันธาตุดินเตาไฟ ลุกที่ปู่แถนมาเกิดปู่อมลมปั้นหล่อได้ดี ได้กินแหนงมีลูก ๒ คนเอาเมียแม่ร้างแม่หม้ายพอประมาณเป็นสาวจี๋จึงดี คนผู้นี้ป้าว๑๒๒ มันมีกลางขา ๑๒๐ รักแร้๑๒๑ ผูกหรือมัดตัว๑๒๒ รอยต�ำหนิ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


154 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตาบอดเบื้องขวาแล ปู่แถนแช่งว่าหื้อมึงเป็นพยาธิอายุได้ ๑๑ ปีหั้นทีนึ่ง ได้ ๕๑ หั้นที นึ่ง แน่แท้แล เยื่อง ๑ หื้อมันตกต้นไม้ตายช้างแทงตายงัวขวิดตาย เพิ่นข้าฆ่าตายเพิ่น ฟันแทงแช่งว่าสันนี้แล เหตุว่าจ่ายมภิบานเอาดินมาปั้นเบ้าเตาไฟปู่แถนก็ว่า จ่ายมภิบาล๑๒๓ ก็ว่าแล คางจักหวิดก�ำซ้ายผีเทวดาล้อมอยู่ทุกวัน ปู่แถนว่าหื้อส่งหื้อกูหื้อมี ซิ่นผืน ๑ เสื้อผืน ๑ เงิน ๒ ต่อมค�ำ ๓ ซีกเบี้ย ๒ ร้อยไก่ ๙ ตัวส่งหื้อพ่อแม่เต๊อะคันว่า บ่ส่งหื้อกู ปู่แถนย่าแถนแช่งว่าหื้อมึงตายจมน�้ำ หลุท้อง ถูกคนท�ำร้ายท่านตาย บ่อั้นก็ หื้อเสือหมีหมา ว้อขบตาย คันว่ามึงส่งหื้อกูแล้วหื้อมึงล้างมือเป็นดีมีอายุหมั้นยืนยาว ได้ ๘๐ ปีตายเดือน ๖ ออก ๘ ค�่ำแล ผู้ใดเกิดมาปีรวายยีถือจ้อง ลงมาเกิด ปีกาบยีถือถงลงมาเกิดมีผีตัว ๑ ใหญ่ เท่าควายมาใจหาปู่แถนดาปั้นเบ้าแล ซ�้ำสั่งหื้อกูมีไก่คู่ ๑ เงินบาท ๑ เบี้ย ๕๐๐ ซิ่น ผืน ๑ เสื้อผืน ๑ ข้าวเปลือกฉาง ๑ ข้าวสารฉาง ๑ คันบ่ส่งหื้อกูหื้อมึงฉิบหายตายเป็น บ้าเมาไปใบ้ง่าว งก เป็นแห้งแข็งขาหักตาบอดอายุได้ ๑๗ ปีทีหนึ่ง ๑๙ ปีทีนึ่งคันว่า มึงส่งหื้อกูหื้อมึงมีอายุหมั้นยืนยาวสมฤทธีเป็นดีแลเต๊อะ ผู้ใดเกิดปีเมิงเหม้าขี่ปราสาทลงมาเกิด ปีล้วงเหม้าดูกหักแตกตายแล้วลงมา เกิด ปีก่าเหม้าขี่ปราสาทลงมาเกิด ปีดับเหม้าถือหาบลงมาเกิดก�ำเสียมลงมาเกิด ธาตุ ไม้ลูกนางสิขาเลี้ยงนางมโนรา ปู่แถนหลวงมักขี้ค้านกระท�ำเพียร นางอัสสะมุกขีปั้น เบ้าปู่แถนหล่อออกซ�้ำ สั่งว่าหื้อมึงส่งหื้อกูมีไก่ตัว ๑ เบี้ยพัน ๑ หมากพัน ๑ เกลือ ก้อน ๑ เงิน ๓๐ เฟื้องหื้อส่งไปหาพ่อพญาแถนเต๊อะหากจักเป็นดีมีสุขชะแลคันมึงมา บ่ส่งหื้อกูมึงตายเมื่ออายุได้ได้ ๒๙ ปีจึงลาภะสะการอันใหญ่แล ๗๙ ปีหั้นตายบ่อั้นก็ หื้อเป็นเปี้ยเป็นง่อยสิบวันหวานซาววันไข้เต๊อะ ๗๐ ปีหั้นตายคันว่ามึงส่งหื้อกู หื้อมึง มีอายุหมั้นยืนยาวได้ ๙๙ ตายแท้แล ผู้ใดเกิดปีสีท่านหามมาเกิด ปีกดสีท่านกังลงมาเกิดแล ปีเต่าสีท่านหามลง มาเกิด ปีกาบสีขี่ควายลงมาเกิด ปีรวายสีท่านมัดลงมาเกิด ธาตุดินดูกเงือก ลูกอ้าย แถนเอาดินใต้ลุ่มมาปั้นเบ้าหล่อ เอาเมียแม่ร้างแม่หม้ายดี แปลงเรือนขึ้นวาคืบดีหื้อ ได้ส่งมาหื้อกูหื้อซิ่นผืน ๑ เสื้อผืน ๑ หมาตัว ๑ เงินบาท ๑ ค�ำ ๓ ซีกหื้อส่งไปหาปู่แถน ย่าแถนเต๊อะ จักมีอายุหมั้นยืนยาว ๗๐ ปีหั้นชะแลคันว่าบ่ส่งหื้อกูปู่แถนซ�้ำแช่งว่าหื้อ มึงมีอายุได้ ๙ ปีหั้นจักตายที่หนึ่ง ๑๒ หั้นที่ ๑ หื้อเพิ่นเอามีดฟันแทงบุบตีบวมพอง ตายฟ้าผ่าควายขวิด หลุท้องเป็นฝีตายปู่แถนย่าแถนแช่งว่าสันนี้แล ๑๒๓ จ่ายมพบาล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 155 ปีเมิงไส้กินเหล้าแล้วลงมาเกิด ปีดับไส้ขี่สะเปา ลงมาเกิดแลหื้อส่งเสีย หื้อ มีเงิน ๓ ก�ำสิ้นผืน ๑ เสื้อผืน ๑ ไก่ตัว ๑ ส่งเสียหนทางไว้หนเหนือเต๊อะ มีอายุได้ ๗๐ ปีหั้นจักตายแน่ คันบ่ส่งหื้อกูปู่แถนแช่งว่าหื้อมึงตายหลุท้องบวมพองลงเลือดตายกิ้ว เลือดกิ้วยางตายลงตายภายแล คันว่าส่งหื้อกูยังดีมีเมื่อเถ้าชะแลลุกตีนแถนมาเกิดแล ผู้ใดเกิดปีกาบสะง้าท่านหามลงมาเกิดแล ปีเต่าสะง้าขี่สะเปาลงมาเกิด ปีร วายสะง้า ก�ำละบัตหมากค�ำ ลงมาเกิด ปีเปิกสะง้า ทือก๋งจูงงัวลงมาเกิด สวกไม้เท้าลงมาเกิด ลุกตีนแถนลงมามีผะหยาปัญญามักสอนท้าวพญาแล ปุริสารทปั้นเบ้าปู่แถนน้อยปั้น ลงมาหล่อ ธาตุไฟใจรีบบ่กลัวใจไผมีบ่ปอดเป็นป้าวเป็นฝีหื้อได้ส่งไปหาพ่อแม่ หื้อมี เบี้ยพัน ๑ ฝ้ายพัน ๑ เกลือ ๒ ก้อนไก่ ๒ ตัวเป็ดตัว ๑ปลา ๙ ตัวนกตัว ๑ ส่งหื้อกูแล้ว ก็จักมั่งมูลด้วยข้าวของสัมปัตติชะแล อายุได้ ๑๙ จักได้หนีเสียที่อยู่อายุได้ ๗๐ หั้นที่ หนึ่งคันว่าส่งหื้อกูแล้วจักหื้อมีอายุหมั้นยืนยาวได้ ๙๒ หั้นร�่ำนั้นอยู่ด้วยบุญชะแล ปีล้วงเม็ดช้างแทงแล้วลงมาเกิด ปีกัดเม็ดนอนกินน�้ำ ถือหาบลงมาเกิด ปีก่า เม็ดถือค้อนเหล็กแล้วลงมาเกิด ปีดับเม็ดถืออาวุธลงมาเกิด ปีเมิงเม็ดช้างแทงตาย แล้วลงมาเกิดยังจิ่มข้าวของแล อรหันตาปั้นเบ้าพญาจุ่งหล่อออกเกิดมาแล้วท่านมัก ชังอายุได้ ๑๐ ปีจักตายควายขวิดที่หนึ่ง ๑๓ หั้นที่หนึ่ง ๑๕ หั้นจักตายที่ ๑ แลหื้อมึง ส่งหื้อกูหื้อมีซิ่นผืน ๑ ผ้าผืน ๑ เงิน ๓ ก�ำค�ำ ๑ ซีกไก่เหลืองตัว ๑ เบี้ยร้อย ข้าวเปลือกฉาง ๑ ข้าวสารฉาง ๑ พริกหน้อย ๑ เกลือห่อ ๑ ส่งหื้อกูเต๊อะ จักมีอายุได้ ๙๗ เสี้ยงหั้นแล คันว่ามึงบ่ส่งหื้อกูปู่แถนแช่งว่าหื้อมึงตายหลอดหลุลงเลือด หื้อตายกั้นตายอยากแล อย่าได้หื้อหันหน้าพี่น้องสักคนหื้อเป็นก�ำพร้า หื้อเป็นข้าไร้หัวเรือนไปปากย�ำค�ำพิษ สุดแต่ละอ่อนก็หื้อด่าลูกมึงเป็นดั่งลูกหมาลูกงัวควายนั้นเต๊อะปู่แถนย่าแถนแช่งไว้ดั่งนี้ ผู้ใดเกิดปีเต่าสันถือดาบลงมาเกิด ปีกาบสันเพิ่นจูงแขนลงมาเกิด ปีรวายสัน ขี่สะเปาลงมาเกิด ปีเปิกสันเพิ่นมัดศอกลงมาเกิด ปีกดสันถือหาบลงมาเกิดแลลุก ปากแถนลงมาเกิด ผีเสื้ออยู่จอมหัวเอาเก๊าไม้สรีมาปั้นเบ้า ท้าวทั้ง ๙ หล่อแล้วหื้อได้ ส่งหื้อกูหื้อมีผ้า ๙ ผืนเงินก�ำ ๑ค�ำ ๓ ซีกเบี้ย ๔ ร้อยหื้อส่งไปหาพ่อแม่เต๊อะหากจักมี เข้าของเงินค�ำหล้างมีเป็นดีมีอายุยืนได้ ๙๓ ปีหั้นแล คันว่าบ่ส่งหื้อกูหื้อมึงเป็นเปี้ย เป็นค่อมเป็นเหลืองเป็นป้างเป็นปุ๋ม แม่ญิงก็หื้ออัตตาแอวหัก หูหนวก เงิกข้างูขบ เจ็บท้องไฟไหม้เป็นลอก ตายตกน�้ำตายเต๊อะแถนแช่งว่าสันนี้แล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


156 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ปีล้วงเล้าขี่ช้างลงมาเกิด ปีก่าเล้าขี่คอแม่มาเกิด ปีเมิงเล้าถือถงนอนลงมา เกิดลุกตีนแถนลงมาเกิดแลเทวดาปั้นเบ้าจ่ายมภิบาลหล่อมักเสียของพี่น้องแล พี่น้อง มักชังเมื่อภายลูนเขาก็ยังอ่อนหาอย่างเก่าแลอายุ ๙๙ ปีหั้นตายแน่กันว่าบ่ส่งหื้อกู ยามน้อยท่านจักดูแควนอายุ ๙ ปีเป็นร้ายทีนึ่ง ได้ ๑๓ ทีนึ่ง จักตายก็บ่ ๗๗ หั้นบ่อั้น ก็ ๙๐ หั้นปู่แถนแช่งว่าหื้อมึงตายกั๊ดขี้กั๊ดเยี่ยวบวมพอง เป็นนิ่วเป็นฝีตายกิ้วเลือดกิ้ว ยางตายไฟไหม้เสือขบท่านผู้มัดใส่กังกาตายเต๊อะแช่งว่าสันนี้แล้วหื้อส่งหื้อกูมีหมูตัว ๑ เสื้อผืน ๑ เงินบาท ๑ เบี้ยร้อยพริกห่อข้าวเปลือกฉาง ๑ ข้าวสารฉาง ๑ ส่งเสียเต๊อะ ผู้ใดเกิดปีกาบเส็ดถือวีลงมาเกิด ปีรวายเส็ดถือดาบกับล่าฟันกันมาเกิดดูกหมา ปีเปิกเส็ดฟ้อนแล่นลงมาเกิด ปีกดเส็ดถือหาบลงมาเกิด ปีเต่าเส็ดถืออาวุธลงมาเกิด มือขวาถือดอกบัวลงมาแล ปู่แถนปั้นเบ้าหล่อยามขวายใจร้อนนักคันว่าบ่ส่งหื้อกูมัน ซ�้ำแช่งว่า หื้อมึงเป็นร้างเป็นหม้าย หื้อได้ถูกราชวัตรผู้ใหญ่หื้อตายเพิ่นแทงหื้อเพิ่นบาป ไหมใส่โทษ พี่น้องมึงก็อย่าหื้อได้นับมึงมีเข้าของก็หื้อมีผู้มาเบียนมึงเต๊อะ ๓ ปีไปหา ๕ ปีหื้อ เป็นเปี้ยเป็นค่อมเป็นง่อยตาจิตาฟางตามืดไป คันว่าบ่ใช่ผู้มีบุญอย่าโผดมึงได้ อายุได้ ๙ ปี ๑๐ ปีหั้นทีนึ่ง บ่อั้นเดือน ๙ เดือน ๔ จักตายบ่อั้น ๗๐ จักตายทีนึ่ง หื้อมึงเป็นทุกข์ ด้วยผัวเมีย ๓๐ ปีหั้นจักเป็นเคราะห์แล จักมีโชคน้อยหนึ่ง ๕๐ ปีหั้นทีหนึ่ง ๕๙ ปีจัก ได้พรากที่อยู่พี่น้องปู่แถนแช่งว่าสันนี้หื้อไปส่งเหีย หื้อเบี้ยพัน ๑ ฝ้าย ๗ เส้น หื้อปอ ว่าหมาตัว๑ เกลือร้อย ๑ เงินบาท ๑ ค�ำ ๓ ซีก ผ้าผืน ๑ เสื้อผืน ๑ ส่งหื้อพ่อแม่เต๊อะ หากมีเข้าของมากนักชะแลจึงจักมีอายุหมั้นยืนยาว ได้ ๘๓ หั้นจักตายแท้นาบ่ได้จุแล ผู้ใดเกิดปีดับไก๊ สวกเท้าลงมาเกิด ปีเมิงไก๊ถือถงลงมาเกิด ปีกดไก๊ขี่ปราสาท ลงมาเกิดแล ดูกหมา ปีล้วงไก๊ ถือกงกาลงมาเกิด ปีก่าไก๊กอดแม่แล้วจิ่งลงมาเกิดเป็น ลูกเก๊าแถน แถนเถ้าอยู่ปากแจ่งเอาดินทางหลวงมาปั้นเบ้า ปู่แถนหากหล่อหากเผาแล มักเจ็บหัวแลคันว่าไปอยู่ไหนก็บ่มั่นหั้นแล คันว่าบ่ส่งหื้อกูปู่แถนแช่งว่าดังนี้ หื้อมึงยะ อันใดอย่าสมฤทธีสักอันหื้อกินบกจกลง ริปองอันใดก็หื้อเพิ่นบาปไหมใส่โทษมึง มี ช้างม้างัวควายก็หื้อฉิบหายตายเสี้ยง ตัวมึงก็หื้อตายเพิ่นฆ่าฟันแทงหื้อท่านมัดผูกบุบ ตีแลหื้อเป็นพยาธิร้ายเป็นหิวเป็นแจ แม่นว่ามึงมีผัวและมีเมียก็หื้อเล่นชู้จากกัน หื้อ ได้เป็นข้าไร้หัวเรือนไปแม่นว่ามีลูกก็หื้อสอนยาก หื้อตายเป็นร้างเป็นหม้ายปู่แถนย่า แถนแช่งว่าดังนี้แล คันว่าจักส่งไปหากูนั้น หื้อมี ผ้าผืน ๑ เสื้อผืน ๑ ค�ำ ๓ ซีกเบี้ยร้อย ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 157 ๑ พริกหม้อ ๑ เกลือหม้อ ๑ ข้าวเปลือกฉาง ๑ ข้าวสารฉาง ๑ ข้าวตอกดอกไม้เทียน คู่ ๑ ส่งเสียเต๊อะหากจักมีอายุหมั้นยืนยาวเป็นดีมีข้าวของมากนักชะแล ประเภทที่ ๓ ต�ำราพรหมชาติอีกประเภทหนึ่ง ก�ำหนดลักษณะบุคคลที่เกิด ในแต่ปีด้วยการใช้ตัวเลขซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของดวงดาวเป็นตัวก�ำหนดลักษณะบุคคล ตามความหมายของดาวนั้นๆ บุคคลผู้ใดเกิดปีไจ้แล ปีเม็ด ๑ เป็นหัวเจียรจาบ่ถูกใจคนตังหลายแล ท้าวพญาแลผู้ ญิงยอรักสน้อย ๓ เป็นใจมักเหล้นชู้หลายคันผู้ญิงจักมีลูก ๒ คนจักได้กินแรงแต่ว่ามัก เคียดสน้อยแล ๖ อยู่ลิงกาม๑๒๔ แรงนักแล ๔ และ ๒ เป็นมือกระท�ำการดีพอเลี้ยง ตนแล ๕ และ ๗ อยู่ตีนเทียวทางบ่สู้อดเมื่ออายุได้ ๑๕ ปีจักได้พรากที่อยู่ตนแล้ว เมื่อลูนจักมีโชคสน้อย เมื่อยามน้อยญาติพี่น้องจักพึ่งบ่ได้ ได้ ๑๑ ปีร้ายที่ ๑ ได้ ๑๖ ร้ายที่ ๑ อายุได้ ๖๓ จึงตายแล ผู้ใดเกิดปีเปล้า ปีสัน ๒ เป็นหัวเจียรจารู้หลวกเพิงใจผู้ญิงเรียนคุณดี คันใจ ประสงค์เป็นจาค�ำดี ช่วยท่านว่าหาคุณบ่ได้แล ๔ เป็นใจดีเท่าว่าใจอ่อนมักจาเถิง ถ้อยค�ำมักส่อเสียหื้อมีค�ำร้ายแก่ท่าน เท่าว่าขางเมีย สน้อยแล ๗ เป็นลิงกามแรงนัก ภาพการก�ำหนดลักษณะบุคคลตามปีเกิดโดยใช้ดาวพระเคราะห์วางไว้บนต�ำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย ๑๒๔ กามารมณ์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


158 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ผู้หญิงใคร่หื้อใฝ่นอนงันจุวันแล ๕ แล ๓ เป็นมือ ๖ อยู่ตีน เทียวทางอดเป็นพ่อค้าดี จักมีลูกสิบคน จักมีเงิน ๕ พัน อายุ ๓๑ ร้ายทีนึ่ง อายุได้ ๗๐ ตายแล ผู้ใดเกิดปียี ปีเล้า ๓ เป็นหัวปากจาท่านบ่เพิงใจหลาย ๒ เป็นใจมักใจอ่อน คันเป็นผู้หญิงมักเคียดนัก เท่าพลันหาย เป็นดีมีข้าวของ เท่าเมียมีบ่ซื่อต่อแล ๗ เป็นตีน เมื่อยามน้อยเป็นทุกข์สน้อย อายุ ๓๑ ปีเลี้ยงตน มีพี่น้องพึ่งบ่ได้ ย่อมพึ่งท่านผู้อื่นต่อ เถ้าอายุได้ ๘๔ ตายแล ผู้ใดเกิดปีเส็ด ปีเหม้า ๔ เป็นหัว เท่าพอใจผู้หญิงมักมีชู้หลายแล ๖ เป็นใจ มักอวดอ้างท่านเท่าทุกข์ตัวเองมีคนรักแล ๒ เป็นลิงกามแรงนักยังรู้หลวกดีแล ๑ กับ ๓ เป็นตีนแรงป้อยนักไปค้าขายดี จักมีเงิน ๕ พัน ข้า ๕ คน ยะไร่นาสวนดี เมื่อยัง น้อยทุกข์สน้อย อายุได้ ๑๐ปีร้ายทีนึ่ง ๒๕ ร้ายทีนึ่ง อายุได้ ๖๑ ตายแล ผู้ใดเกิดปีไก๊ ปีสี ๕ เป็นหัวยังรู้หลวกเจียรจาค�ำผู้ฟังค�ำ ๗ เป็นใจแรงเคียด สน้อยเท่าปันหาย ยังใจบุญมักช่วยท่านกระท�ำการแต่เท่าว่าหาคุณบ่ได้ ๓ อยู่ลิงกาม แรงนัก ผู้หญิงใฝ่เพิงใจนักแล ๖ เป็นมือกระท�ำการศาสตร์ศิลป์ดี ๒ แล ๔ เป็นตีนมักแรง เทียวทางดี อายุได้ ๑๒ ปีร้ายทีนึ่ง จักได้พลัดจากที่อยู่ตน ไปอยู่ที่อื่น อายุได้ ๙๓ ตายแล จักได้กินแรงลูกเอ้ยอ้าย จักมีบุญกว่าท่าน จักมีเงิน ๒ ชั่งค�ำ กับ ๕ พันกับทั้งข้าคนแล ผู้ใดเกิดปีใส้ ๖ เป็นหัวเจียรจาบ่ปอใจผู้หญิงนึ่ง ซื่อต่อชู้นึ่ง ลูกเมียนึ่ง ๔ เป็นลิงกามพอประมาณ ๗ กับ ๒ เป็นมือ กระท�ำการนานแลเท่าว่าดี ๓ กับ ๕ เป็น ตีนมักเทียวทางทุกแห่ง อดอาสาขุนจักได้เป็นใหญ่ดี จักได้เป็นดีย้อนเมียแลท่านผู้อื่น อายุ ๑๖ ไปหาซาวปีจักมีโชค อายุ ๒๐ ถึง ๒๖ ปีจักอยู่สบายมีข้าหญิงข้าชาย ๑๐ คนชะแล ๒๗ ร้ายทีนึ่งอายุ ๘๙ เสี้ยงหั้นแล ผู้ใดเกิดปีสง้า ๗ เป็นหัวเจียรจาถ้อยค�ำบ่กลัวไผ ๒ เป็นใจ เป็นพระดี ๓ เป็นมือกระท�ำการบ่สู้จ่างหลาย ๖ เป็นตีนเทียวทางบ่อด เมื่อน้อยพ่อแม่ได้กินแรง อายุ ๒๑ ปีเป็นทุกข์ทีนึ่ง ๓๑ ปีทีนึ่ง อายุ ๖๓ จึงตายแล ประเภทที่ ๔ การก�ำหนดชะตาปีเกิดของบุคคลที่เกิดปีต่างๆ ด้วยฝอย ท�ำนาย๑๒๕ ตามหลักเลข ๗ ตัว หรือเลขแปดตัวโดยจะมีตารางปีเกิดที่สัมพันธ์กับฝอย ท�ำนายเสมอ ๑๒๕ หมายถึงค�ำอธิบาย ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 159 ส ภาพตารางวิชาเลข ๗ ตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในต�ำราโหราศาสตรภาคพยากรณ์แบบล้านนา ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


160 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา โหราเลข ๗ ตัวของบุคคลผู้เกิดปีใดพิจารณาดูเต๊อะ ๑ เป็นธนาบ่มีข้าวของ ย่อมหุมเสี้ยง คันใคร่หื้ออยู่ยังของแห่งตนหื้อแปลงถงเป้งในแดงนอกดอกค�ำ เงิน ขวัญถง ๔๐ แก้วน�้ำค�ำ ดาบ ๑๗ ไม้ปลายเหลี้ยมเอาเมียแม่น้อยผิวแดงหน้ามน สน้อยดีแล ๒ เป็นธนามีข้าวของมากนักจ่ายสน้อย ถงเป้งในเหลืองน้อยเดียวเงิน ๒๐ เป็นขวัญถง ทือดาบ ๑๒ ไม้ปลายเพียง ทือแก้วน�้ำข้าวของ แก้วเหลือง เอาเมียแม่ น้อยสูงแลบขาวเหลืองหน้าเหลี้ยมสน้อยดีแต้แล ๓ เป็นธนามีข้าวของบ่สู้อยู่หลาย ถงเป้งในหม่นน้อยแดงก�่ำเงิน ๓๐ เป็นขวัญถง ทือดาบ ๑๕ ไม้ปลายเหลี้ยมแก้งมุก แดงเอาเมียต�่ำด�ำแดงหน้ายาวดีแล ๔ เป็นธนามีข้าวของมากถงเป้งในเขียวนอกขน เงิน ๔๐ เป็นขวัญถงตือดาบ ๑๕ ไม้ปลายเหลี้ยม ทือแก้วบัวระกดเอาเมียแม่ต�่ำขาวดี แล ๕ เป็นธนาข้าวของบ่สู้หมั้นเต้าได้กินย้อนผะหยาตน ถงเป้งในขนนอกแดงดอก ค�ำเอาเมียแม่หลวงขาวสูงแดงหน้าลายดีแล ๖ เป็นธนามีข้าวของบ่ไร้ ถงเป้งในขาว กางขนนอกเหลือง ทือดาบ ๑๒ ไม้แก้วลายแก้วน�้ำเข้าเงิน ๔๐ เป็นขวัญถง เอาเมีย แม่หลวงสูงขาวหน้าลายอ้อนสน้อยดีแล ๗ เป็นธนามีข้าวของมั่น ถงเป้งในแดงดอก ค�ำน้อยด�ำ ทือแก้วน�้ำผึ้ง งัวไหมเป็นเก๊า เงิน ๗๐ เป็นขวัญ เอาเมียแม่สูงด�ำเพิงดีแท้แล ประเภทที่ ๕ ต�ำราพรหมชาติที่ระบุลักษณะบุคคลด้วยระบบทักษาโดยจะ ตีความหมายจากภูมิทักษากับต�ำแหน่งร่างกาย ยกตัวเช่น มูลละกับขาขวา หมายถึง บุคคลนั้นพึงจากบ้านเดินทางไปท�ำงานหาเงินเลี้ยงชีพ หรือ มนตรีกับองคชาติหมาย ถึงบุคคลนั้นจะต้องมีคู่ที่อายุมากกว่า ศรีอยู่หน้าผาก หมายถึงบุคคลในปีนั้นมักเป็น คนมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาเป็นต้น จุดที่พึงระวังในชะตาเกิดคือกาลกิณีซึ่ง เป็นการเตือนเจ้าชะตาเกิดให้พึงระวังเช่น กาลกิณีอยู่หน้าผากให้ระวังเสียชื่อเสียง กาลิกิณีอยู่ข้างขวาอาจจะพลัดพรากจากพ่อตั้งแต่เล็ก เป็นต้น ทั้งนี้ต้องดูองค์ประกอบ อื่นๆคือเดือนเกิดและวันเกิดประกอบกัน โดยแต่ละปีจะมีต�ำแหน่งทักษาที่ต่างกันดังนี้ บุคคลหญิงชายผู้ใดเกิดปีไจ้ บริวารอยู่บ่าก�้ำขวา อายุอยู่หน้าผาก เตจ๊ะอยู่ บ่าซ้าย ศรีอยู่ข้างก�้ำซ้าย มูลละอยู่ขาก�้ำซ้าย อุตสาหะอยู่องคชาติ มนตรีอยู่ขาขวา กาลกิณีอยู่ข้างก�้ำขวา เกิดปีเป้า บริวารอยู่หน้าผาก อายุอยู่บ่าซ้าย ศรีอยู่ขวาซ้าย มูลละอยู่ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 161 องคชาติ อุตสาหะอยู่ขาขวา มนตรีอยู่ข้างก�้ำขวา กาลกิณีอยู่บ่าขวา เกิดปียี บริวารอยู่บ่าข้างซ้าย อายุอยู่ขี้ข้างซ้าย เตจ๊ะอยู่ขี้ข้างซ้าย ศรีอยู่ องคชาติ มูลละอยู่ขาขวา อุตสาหะอยู่ข้างก�้ำขวา มนตรีอยู่ข้างก�้ำขวา กาลกิณีอยู่ บ่าข้างขวา เกิดปีเหม้า บริวารอยู่ข้างก�้ำซ้าย อายุอยู่ข้างก�้ำซ้าย เตจ๊ะอยู่องคชาติ ศรี อยู่ขาขวา มูลละอยู่หน้าผาก อุตสาหะอยู่บ่าขวา มนตรีอยู่ขี้ข้างป่างขวา กาลกิณีอยู่ บ่าซ้าย เกิดปีสี บริวารอยู่ขาก�้ำซ้าย อายุอยู่องคชาติ เตจ๊ะอยู่ขาก�้ำขวา ศรีอยู่ขี้ข้าง ก�้ำขวา มูลละอยู่บ่าขวาอุตสาหะอยู่หน้าผาก มนตรีอยู่บ่าซ้าย กาลกิณีอยู่ขี้ข้าง ป่างซ้าย เกิดปีใส้ บริวารอยู่องคชาติ อายุอยู่ขาขวา เตจ๊ะอยู่ข้างขวา ศรีอยู่บ่าขวา มูลละหน้าผาก อุตสาหะอยู่บ่าซ้าย มนตรีอยู่ข้างซ้าย กาลกิณีอยู่ขาซ้าย เกิดปีสะง้า บริวารอยู่ขาขวา อายุอยู่ข้างขวา เตจ๊ะอยู่บ่าขวา ศรีอยู่หน้า ผาก มูลละบ่าซ้าย อุตสาหะอยู่ข้างก�้ำซ้าย มนตรีอยู่ขาซ้าย กาลกิณีอยู่องคชาติ เกิดปีเม็ด บริวารอยู่ข้างขวา อายุอยู่บ่าขวา เตจ๊ะอยู่หน้าผาก ศรีอยู่บ่าซ้าย มูลละอยู่ข้างซ้าย อุตสาหะอยู่ขาซ้าย มนตรีอยู่องคชาติ กาลกิณีอยู่ข้างกล�้ำขวา เกิดปีสัน บริวารอยู่บ่าขวา อายุอยู่หน้าผาก เตจ๊ะอยู่บ่าป่างซ้าย ศรีอยู่ ข้างซ้าย มูลละขาซ้าย อุตสาหะอยู่องคชาติ มนตรีอยู่ขาขวา กาลกิณีอยู่ขี้ข้างป่างขวา เกิดปีเล้า บริวารอยู่หน้าผาก อายุอยู่บ่าซ้าย เตจ๊ะอยู่ข้างก�้ำซ้าย ศรีอยู่ขาซ้าย มูลละองคชาติ อุตสาหะอยู่ขาขวา มนตรีอยู่ข้างขวา กาลกิณีอยู่บ่าขวา เกิดปีเส็ด บริวารอยู่บ่าซ้าย อายุอยู่ข้างซ้าย เตจ๊ะอยู่ขาซ้าย ศรีอยู่องคชาติ มูลละอยู่ขาขวา อุตสาหะอยู่ข้างก�้ำขวา มนตรีอยู่บ่าขวา กาลกิณีอยู่หน้าผาก เกิดปีไก๊ บริวารอยู่ข้างป่างซ้าย อายุอยู่ขาข้างซ้าย เตจ๊ะอยู่องคชาติ ศรีอยู่ ขาขวา มูลละอยู่ข้างก�้ำขวา อุตสาหะอยู่บ่าขวา มนตรีอยู่หน้าผาก กาลกิณีอยู่บ่าซ้าย นอกจากนี้ยังมีต�ำราพรหมชาติล้านนาส�ำนวนอื่นๆ อีกมากที่ระบุลักษณะ ของบุคคลที่เกิดในแต่ละปีว่ามีบุคลิก ลักษณะเฉพาะเป็นอย่างไร พึงกระท�ำการใดให้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


162 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา เป็นมงคลกับตนเอง โดยจะระบุไว้ว่าคนเกิดปีไหนควรสร้างกองบุญกุศลด้วยวิธีใด เช่น สร้างบ่อน�้ำ สร้างศาลา ธรรมมาส วิหาร อุโบสถ สร้างถนน สะพาน เพื่อ อานิสงส์ที่ได้จะค�้ำจุนผู้ที่เกิดปีนั้นๆ ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป นอกจากนี้ยังมีธรรม ประจ�ำปีเกิด และพระธาตุประจ�ำปีเกิดเพื่อให้ผู้ที่เกิดในปีต่างๆได้หาโอกาสในการ เดินทางไปไหว้พระธาตุประจ�ำปีเกิดของตนหรือหากไม่สามารถเดินทางไปได้ก็พึง ระลึกและสวดมนต์ในบทค�ำไหว้พระธาตุตนเองเสมอ จากภาพรวมในเรื่องพรหมชาติล้านนานั้นสะท้อนให้เห็นว่า คนล้านนาให้ ความส�ำคัญกับเรื่องพรหมชาติและดวงดาวเป็นอย่างมาก แต่ละส�ำนวนชี้ให้เห็นว่า วิถีชีวิตของคนล้านนาโบราณถูกก�ำหนดกรอบพื้นฐานการด�ำรงค์ชีวิตด้วยต�ำราต่างๆ เหล่านี้ซึ่งปัจจุบันยังสามารถพบเห็นได้จากจารีตประเพณีที่ยังคงสืบทอดกันอยู่ เช่น การฟังธรรมปีเกิด หรือการไหว้พระธาตุประจ�ำปีเกิด ส่วนข้าวของเครื่องใช้ที่ระบุไว้ ตามต�ำราที่เป็นของมงคลบางส่วนเลือนหายไป แต่ก็คงปรากฏให้พบเห็นเป็นโบราณ วัตถุต่างๆ ที่สร้างขึ้นจากต�ำราดังกล่าว ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 163 ภาพแสดงตารางนับอายุเพื่อการท�ำนายชะตาอายุจร โดยใช้หลักการนับเลขสัตตเคราะห์ คือเลข ๗ ตัว ภาพแสดงตารางนับอายุเพื่อการท�ำนายชะตาอายุจรตามผังจักราศี ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


164 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพแสดงตารางนับอายุเพื่อการท�ำนายชะตาอายุจร ตามผังทักษาดาวอัฐเคราะห์ ภาพต�ำราเพื่อใช้ตรวจดวงชะตาเพื่อพิธีกรรมการส่งเคราะห์นรา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 165 ขวัญกับดวงดาว ขวัญ คือวิญญาณหรือพลังงานที่สถิตอยู่ในร่างกายมนุษย์ สัตว์ รวมไปถึง พืชพรรณธรรมชาติต่างๆ ภูเขา ป่าไม้ชุมชนหมู่บ้าน และเมือง เป็นความเชื่อโบราณ ของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน ความเชื่อเรื่องขวัญเป็นความ เชื่อมีมาควบคู่กันกับความเชื่อเรื่องผีก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาครอบง�ำองค์ความรู้ และความเชื่อในพื้นที่ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะเห็นได้จากประเพณีการบายศรีสู่ขวัญ หรือประเพณีที่เกี่ยวกับขวัญที่มีอยู่โดยทั่วไปโดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ไท ความเชื่อเรื่องขวัญในกลุ่มชาวไทเขินและไทลื้อนั้นจะเรียกขวัญว่า ก๋วน ซึ่ง ในภาษาท้องถิ่นล้านนาค�ำว่า ก๋วน ตรงกับภาษาไทยกลางคือ กวน เป็นค�ำกิริยาที่ หมายถึงการหมุนหรือวน เช่น กวนขนม กวนข้าวทิพย์ เป็นต้น ลักษณะของขวัญ โดยทั่วไปหมายถึงจุดที่ขนหรือเส้นผม ขมวดเข้าหาศูนย์กลางเป็นรูปแบบก้นหอย ตามจุดต่างๆ ในร่างกาย ภาพถ่ายจักรราศีที่มีลักษณะการขดม้วน เป็นรูปก้นหอยหรือรูปขวัญ ที่มา:http://board.postjung.com ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


166 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา เมื่อศาสนาพุทธได้เข้ามาเผยแผ่ในภูมิภาคนี้ความเชื่อเรื่องขวัญก็ยังคงอยู่ โดยได้ผนวกเชื่อมโยงกับพุทธศาสนาในแง่ของหลักคิดเรื่อง วิญญาณ หรือพลังงานที่ สิงสถิตอยู่ในที่ต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว โดยมีความเชื่อมโยงและความต่างระหว่าง ของใหม่คือพุทธศาสนาและของเดิมที่เป็นความเชื่อเรื่องผีซ้อนทับกันอยู่ดังนี้ ตามความเชื่อเรื่อง ขวัญ หรือ วิญญาณของมนุษย์นั้นจะถูกแบ่งออกเป็น ๓๒ ส่วน โดยเรียกว่า ๓๒ ขวัญตามองค์ประกอบหรืออวัยวะของร่างกายที่แบ่งเป็น ๓๒ ประการ โดยเชื่อว่า อวัยวะทุกส่วนของร่างกายมีขวัญก�ำกับอยู่ หากมองตาม หลักปรัชญาของพุทธศาสนา อวัยวะหรือร่างกายมนุษย์ คือรูปธรรม ส่วนขวัญหรือ วิญญาณ คือนามธรรม ซึ่งในความเชื่อเรื่องวิญญาณนี้ปรัชญาทางพุทธศาสนา และ ความเชื่อเรื่องผีนั้นมีความแตกต่างกันคือ ตามหลักพุทธศาสนา วิญญาณของมนุษย์ และสัตว์นั้นถือว่าเป็น เอกวิญญาณ คือวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกเมื่อตาย หรือเกิดใหม่ ผลกรรมของสัตว์เหล่านั้นจะน�ำพาวิญญาณให้ไปสู่ภพภูมิตามผลแห่ง อัตตะภาวะกรรมของตน๑๒๖ แต่ในขณะที่ความเชื่อเรื่องผีนั้นถือว่า วิญญาณหรือขวัญ จะถูกแบ่งเป็นหน่วยย่อย ๓๒ ส่วน โดยแต่ละส่วนนั้นสามารถแตกแยกกระจายกันไป เกิดใหม่ได้ขวัญสามารถหลุดออกจากร่างกายก่อนหรือหลังเสียเสียชีวิตก็ได้มีความเชื่อ ว่าบุคคลคนหนึ่งเมื่อเสียชีวิตไปแล้วขวัญ หรือวิญญาณ สามารถกระจายไปเกิดใหม่ ได้อีกเป็นจ�ำนวนหลายคน บางครั้งเชื่อว่าเด็กทารกหลายคนเกิดจากขวัญของคนๆ เดียว โดยแต่ละคนนั้นจะมาจากขวัญส่วนต่างๆ ของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว๑๒๗ ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญในล้านนา สะท้อนผ่านพิธีกรรมต ่างๆ เช่น พิธี บายศรีสู่ขวัญ พิธีเลี้ยงขวัญ การบูชาขวัญ การผูกข้อมือในโอกาสต่างๆ เป็นต้น โดย สาเหตุที่จะประกอบพิธีดังกล่าวนั้นมีหลายประการ เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้าน ใหม่ งานท�ำบุญวันเกิด หรือการท�ำพิธีก่อนที่บุคคลจะออกเดินทางไกล การกลับมา จากแดนไกลโดยสวัสดิภาพ รวมไปถึงในยามที่แขกต่างถิ่นมาเยือนและสะเดาะเคราะห์ ให้กับผู้ที่ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วยด้วยอาการต่างๆ เชื่อว่าสาเหตุต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นเหตุให้ขวัญในร่างกายหลุดล่องลอย หรือตกหล่นไป เนื่องจากขวัญรู้สึกหลงใหล ๑๒๖ ในทางพุทธศาสนา วิญญาณถือเป็นส ่วนหนึ่งในขันธ์ ๕ คือองค์ประกอบของมนุษย์ โดยมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแตกขับไปอาจจะท�ำให้เสียชีวิตหรือเป็นคนไม ่ สมประกอบได้ ๑๒๗ ยกตัวอย ่างในปัจจุบันมักจะมีพระสงฆ์ในล้านนาหลายรูปอ้างตัวว ่าเกิดมาจากขวัญต ่างๆ ของ ครูบาศรีวิชัย ซึ่งการที่หลายรูปอ้างว่าตนเองมีอดีตชาติเป็นครูบาศรีวิชัยเหมือนกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ส�ำหรับสังคมล้านนา ด้วยเหตุผลเพราะความเชื่อเรื่องขวัญนั่นเอง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 167 ลืมตัว ตกใจ หรือตื่นกลัว เมื่อขวัญบางส่วนหลุดออกไปจากร่างกาย ร่างกายมนุษย์ จึงไม่ครบองค์ประกอบ ๓๒ ขวัญ ร่างกายที่ไม่สมดุลจึงเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย ไม่สบายต่างๆ นานา ถือว่าเป็นคนพิการในนามธรรม๑๒๘ จึงจ�ำเป็นต้องประกอบ พิธีกรรมต่างๆ ขึ้น เพื่อเรียกขวัญกลับมาสู่ร่างกายให้ครบสมบูรณ์ทั้ง ๓๒ ขวัญ พิธีกรรมที่เกี่ยวกับขวัญนั้นมีหลายรูปแบบ โดยที่นิยมกันมากที่สุดคือ พิธีการ สู่ขวัญ เรียกขวัญ หรือ ฮ้องขวัญ พิธีกรรมนี้จะมีองค์ประกอบส�ำคัญคือบายศรีซึ่ง ภายในมักจะใส่ข้าวสุกไข่ต้ม กล้วยน�้ำว้าสุกและขนมหวานต่างๆและจะมีปู่อาจารย์ หรือพ่อหนานเป็นผู้ประกอบพิธี โดยจะกล่าวค�ำฮ้องขวัญ หรือเรียกขวัญ ด้วย บทวรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นแล้วอ่านด้วยท�ำนองที่ไพเราะอ่อนช้อยตามส�ำเนียงและ ท่วงท�ำนองพื้นถิ่น โดยเนื้อหาของบทฮ้องขวัญมักจะกล่าวเรียกขวัญที่หลุดล่องลอย ไปจากร่างกายบุคคลนั้นๆ ให้กลับมาสู่ร่างกายดังเดิม โดยมีของล่อขวัญคือบายศรีที่ ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้หรือกระดาษที่มีสีสัน รวมถึงอาหาร ที่อยู่ในบายศรี การฮ้องขวัญที่มีลักษณะการหลอกล ่อด้วยท ่วงท�ำนองคล้ายบทเพลงและของล่อ ขวัญ สะท้อนให้เห็นว่าลักษณะจริตของขวัญนั้นเหมือนเด็ก ที่ต้องคอยหลอกล่อ หรือปลอบประโลมด้วยวิธีการต่างๆและ ในตอนจบของพิธีฮ้องขวัญจะต้องมีการผูก ข้อมือด้วยด้ายสีขาวเสมอ เพื่อรับขวัญ หรือมัดขวัญไม่ให้ไปไหนโดยมักกล่าวว่า มัด มือซ้ายขวัญมา มัดมือขวาขวัญอยู่ สามสิบสองขวัญเจ้าหื้ออยู่กับเจ้ากับจอม หรือ การให้พรอวยพรให้หายเจ็บป่วย หรือเดินทางโดยสวัสดิภาพ เจริญรุ่งเรือง เป็นต้น บางครั้งมีการให้พรด้วยภาษาบาลีที่เป็นมงคลคาถาต่างๆ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าในร่างกายของคนเรามีจุดที่ ขวัญอ่อน อยู่ทุกคน จุดนั้น จะเป็นทางออกของขวัญ หรือจะเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยไม่สบายวิธีการตรวจ สอบว่าบุคคล มีขวัญอ่อนที่จุดใดบ้าง โหราจารย์ล้านนาจะใช้วิธีการตรวจดวงชะตา โดยใช้วันเดือนปีเกิดของบุคคลนั้นๆ มาตรวจสอบแล้ววางต�ำแหน่งดวงดาวไว้ตามจุด ต่างๆ ของร่างกาย๑๒๙ จุดใดก็ตามที่เป็นจุดกาลกิณี หรือจุดใดก็ตามที่วางต�ำแหน่ง ๑๒๘ เฉกเช่นเดียวกันกับบุคคลที่พิการทางรูปธรรม หรือร่างกายไม่ครบองค์ประกอบ ๓๒ ประการ ในภาษา ล้านนาจะเรียกว่า คนไม่สม องก๊ะ คือคนไม่สมองค์ประกอบนั่นเอง๑๒๙ ดังได้กล่าวไว้ในบทเรื่องพรหมชาติล้านนา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


168 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพต�ำราพรหมชาติไทเขิน ที่ระบุต�ำแหน่งดวงดาวไว้บนร่างกายคนตามปีเกิด ต�ำแหน่งที่เสียในร่างกายถือว่าเป็นต�ำแหน่งที่ขวัญอ่อน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 169 ดาวแล้วเป็นดาวคู่ศัตรูให้โทษของเจ้าชะตาจุดนั้นของร่างกายถือว่าเป็นจุดที่ขวัญอ่อน จุดที่ขวัญอ่อนนี้ถือว่ามีส�ำคัญเป็นอย่างมาก จึงต้องดูแลรักษาขวัญให้อยู่ดีเสมอ ตำ�แหน่ง ขวัญอ่อน มักจะมีผลต่อลักษณะของบุคคลในรูปแบบต่างกัน เช่น บุคคลใดก็ตามที่ ขวัญอ่อนบริเวณหัว มักจะเป็นผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ หรือเป็นคนที่สามารถสื่อวิญญาณ เป็นร่างทรงหมอผีหรือบุคคลที่มีขวัญอ่อนบริเวณมือ มักจะเกิดอุบัติเหตุกับมือบ่อยๆ หรือมือไม่มีแรงมือพิการ เป็นต้น ในกลุ่มชาวไทใหญ่จะใช้วิธีตรวจสอบดวงชะตาเพื่อหาจุดที่ขวัญอ่อนเช่นกัน เมื่อตรวจจนได้ต�ำแหน่งที่แน่นอนแล้วจะมีการสักตึด ค�ำว่าตึดในที่หมายถึงการปิด กั้นไม่ให้ขวัญหนีและเพื่อเพิ่มพลังอ�ำนาจแก่ขวัญในต�ำแหน่งนั้น หรือการป้องกันภัย ที่จะเกิดขึ้นตรงจุดที่ขวัญอ่อน โดยจะสักเป็นรูปเส้นวนแบบก้นหอย หรือรูปขวัญติด อยู่บริเวณนั้นๆ นอกจากนี้ยังมีการดูแลรักษาขวัญด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเลี้ยงขวัญ การเหน็บดอกไม้บนมวยผมการโพกผ้าบนศีรษะเพื่อรักษาขวัญไม่ให้หนี เนื่องจาก ถือว่าขวัญที่อยู่บนหัวเป็นจุดที่ส�ำคัญที่สุด นอกจากนี้การผูกข้อมือ หรือน�ำฝ้ายมาผูก ที่คอเด็ก ก็เป็นนัยยะหนึ่งของการรักษาขวัญ โดยอาศัยคุณอ�ำนาจของดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง โดยใช้ฝ้ายขาว ๙ เส้นเป็นสัญลักษณ์เป็นต้น นอกจากความเชื่อเรื่องขวัญที่มีในมนุษย์แล้ว ยังเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนมีขวัญหรือวิญญาณสถิตอยู่ ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนผ่านพิธีกรรมและนิทานมุข ปาฐะ เช่น กล่าวกันว่าในครั้งบุพกาล คน สัตว์ต้นไม้หรือก้อนหิน สามารถพูดสื่อสาร กันได้นิทานท้องถิ่นในเขตจังหวัดล�ำปางเรื่องหนึ่ง ได้อ้างถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งมีการ สร้างวัดพระธาตุล�ำปางหลวงว่า ทั้งคน สัตว์และสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนร่วมแรงร่วมใจ ในกองบุญกุศลในการสร้างพระธาตุล�ำปางหลวง ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วสารทิศ ครั้งหนึ่ง บ่าผา๑๓๐ จ�ำนวนมากได้กลิ้งมาเพื่อจะไปร่วมสร้างพระธาตุล�ำปางหลวง พอ มาถึงกลางป่าแห่งหนึ่งได้พบนกกระถัวหงอก๑๓๑ บ่าผาจึงได้เอ่ยถามถึงเส้นทางไปยัง พระธาตุล�ำปางหลวง แต่นกกระถัวได้ตอบบ่าผาว่า “ข้าอยู่นี่มาจนหัวหงอกก็ยังบ่ รู้จักวัดล�ำปางหลวงเลย” เมื่อบ่าผาได้ยินดังนั้นจึงหยุด กองทับถมกัน ณ บริเวณนั้น กลายเป็นที่ตั้งของวัดท่าผา อ�ำเภอเกาะคา ในปัจจุบัน ด้านหลังของวัดเป็นป่าชุมชน มีชื่อว่า แพะผายาย๑๓๒ เนื่องจากปรากฏก้อนหินขนาดใหญ่วางเรียงตัวกันเป็นแนวยาว ๑๓๐ ก้อนหินผา๑๓๑ นกกระตั้ว๑๓๒ ค�ำว่า ยาย ในที่นี้หมายถึงการเรียงตัวเป็นแนว หรือการแผ่กระจาย ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


170 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตรงสู่วัดท่าผา จึงโยงเข้ากับนิทานว่า บ่าผาที่เรียงแถวกลิ้งกันมานั้นได้หยุดชะงัก เพียงแค่นั้นและสร้างเป็นวัดท่าผาแทน เป็นต้น นิทานลักษณะนี้จะพบว่ามีอยู่มากในล้านนา โดยแต่ละท้องถิ่นจะมีเรื่องราวต่างกันออกไป สิ่งส�ำคัญที่ได้จากนิทานดังกล่าวคือ การสะท้อนแนวคิดของของคนโบราณว่าทุกอย่างในโลกล้วนมีขวัญหรือวิญญาณ สถิตอยู่ ซึ่งขัดกับความเชื่อทางพุทธศาสนา เนื่องจากทางพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์ และสัตว์บางจ�ำพวกเท่านั้นที่มีวิญญาณ หรือประกอบด้วยขันธ์ห้า ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ เหลือถือว่าถือไม่มีวิญญาณ แต่มีสัญชาติญาณ เช่น แมลงถือว่าไม่มีวิญญาณ แต่มี สัญชาติญาณ รู้จักการกิน การขับถ่าย และการสืบพันธุ์ หรือต้นไมยราบที่ใบจะมี การขยับห่อใบเมื่อถูกสัมผัส ก็เนื่องจากสัญชาติญาณของต้นไมยราบนั้น แต่ไม่ใช่ ด้วยเหตุผลทางมโนวิญญาณ เป็นต้น ภาพต�ำราการดูขวัญม้า ในสมัยโบราณจะต้องดูลักษณะม้าที่มีรูปร่างที่ดีและเลือกม้าตัว ที่มีต�ำแหน่งขวัญมงคลตามต�ำรา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 171 ในส่วนพิธีกรรม จะเห็นได้จากพิธีการบายศรีสู่ขวัญหรือเอาขวัญให้กับสัตว์ หลายชนิดเช่น ควาย ช้าง ม้า หรือ การท�ำขวัญข้าว เป็นต้น แต่ละพิธีนั้นได้สะท้อน ถึงแนวคิดเรื่องขวัญหรือวิญญาณ ของสรรพสิ่ง เป็นการให้ความสำ�คัญกับสิ่งเหล่านั้น ในฐานะผู้มีพระคุณ และรักษาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์จึงต้องทะนุถนอมขวัญของ สิ่งต่างๆ ดังกล่าว พิธีสู ่ขวัญของคนในล้านนา มีการแบ่งแยกออกเป็นหลายประเภท เช่น การสู่ขวัญผู้ป่วย การสู่ขวัญลูกแก้ว การสู่ขวัญบุคคลธรรมดา และสู่ขวัญเจ้านาย เป็นต้น แต่ละพิธีจะมีเนื้อหาในวรรณกรรมที่ใช้ประกอบพิธีที่ต่างกัน เนื่องด้วยความ แตกต่างทางด้านเหตุผล จุดมุ่งหมายหรือบริบทของบุคคลนั้นๆ เช่น การสู่ขวัญผู้ ป่วยมุ่งเน้นการให้ขวัญกลับมาสู่สภาวะที่ร่างกายสมบูรณ์เป็นปกติการสู่ขวัญลูกแก้ว มุ่งเน้นให้ขวัญของผู้ที่จะบวชเรียนนั้นสมบูรณ์ เพื่อที่ได้มีสติปัญญาที่ดีในการศึกษา พระธรรม และระลึกถึงผู้มีพระคุณ เป็นต้น นอกจากนี้ผู้เขียนได้พบพับสาฉบับหนึ่ง โดยบังเอิญจากร้านขายของโบราณ ในพับสามีข้อความระบุปีที่เขียนว่า ศักราช ๑๒๒๘ ตัวปีรวายยีเดือนเจียงออก ๔ คำ �่ วัน ๗ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๓ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๙ เนื้อหาระบุว่าเป็นค�ำเรียกขวัญเจ้าหลวงเชียงใหม่ ประพันธ์โดยพญาพื้นพิทธาจารย์ ผู้เขียนจึงได้ตัดทอนบางส่วนเพื่อให้เห็นเนื้อหาในการเรียก ขวัญเจ้านาย พอสังเขปดังนี้ .....อัชชะสุอัชเช ศักราชขึ้นเรืองฤทธิ์ มหิทธิโกแวนยิ่ง เทพท้าวมิ่งมเหศักดิ์ อัครบวรสุริยะตนใหญ่ เสด็จยาตร์ยายยามดี จันธิมาราศียายถูก ลุลาบลูกมหาชัย อังคารไปสู่เมษ ได้กระเษตรตัวดี ๑๓๓ ศุกร์เตียววิถีถึงตาชั่ง ๑๓๔ พุธนั่งตากันย์ ๑๓๕ พระหัสเทียวผันเข้าสู่ เข้าร่วมหมู่ปลาสะเพียน ๑๓๖ ราหูเวียนเป็นคู่เข้าร่วมอยู่ดาวไซ ๑๓๗ รุ่งเรืองไรด้วยโสมะโชค อุตมะโยคค�้ำคุณคง นวางค์ลงในตาเกษตร ราศีเมษแม่น ภุมโม ๑๓๘ จุ่งเตื่อมแถมมโนเชาลูกประเสริฐ ลูกนี้เลิศลิไทย โลกลือไกลซราบ เป็นชัย ยะปราบศัตรู พระสัพพัญูผ่านแผ้ว นั่งแท่นแก้วผาบพ้นมาร มหามังคละการวันดี พิเศษ โลกเนกอโนมัย คุณาคุนัง อธิปัตตัยยะเตโชชัยซราบ ริตตาผาบเปรมปรีด์ ๑๒๘ ดาวอังคารเป็นดาวเกษตรเจ้าเรือนในราศีเมษ๑๒๙ ดาวศุกร์เป็นดาวเกษตรเจ้าเรือนในราศีตุลย์สัญลักษณ์รูปตราชั่ง๑๓๐ หมายถึงดาวพธอยู่ในช่องราศีกันย์ความหมายคือดาวพุธเป็นดาวเกษตรเจ้าเรือนในราศีกัน๑๓๑ ดาวพฤหัสเข้าร่วมหมู่ปลาสะเพียนหมายถึง ดาวปลาสะเพียนเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ประจ�ำในราศีมีน การที่ ดาวพฤหัสเข้าร่วมกับดาวปลาสะเพียนก็หมายถึงดาวพฤหัสอยู่ในราศีมีน ซึ่งเป็นดาวเกษตรเจ้าเรือน๑๓๒ ราหูเข้าร่วมดาวไซหมายถึงราหูสถิตอยู่ในราศีกุมภ์ซึ่งเป็นเกษตรเจ้าเรือน๑๓๓ ภุมโม หมายถึง ดาวอังคาร ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


172 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา อัชชะสุ อัชไชยะสวัสสะดีไขข่าว มังคละกล่าวกถา ชาติกาก�ำเนิดพระองค์เกิดมา อเนกชาปางก่อน บ่หยุดหย่อนด้วยศรัทธา กัตตกาธิการ ป�่ำเปงสมภารแก่กล้า ได้ เกิดในฟากฟ้าเมืองสวรรค์ ส่วนบุญพาผันลงมาเกิด เอาปฏิสนธิก�ำเนิดในมหาสา ระขะกูล ลวดได้ทะรงปัญญาธิคุณอันสักสวาด เจื่องเจ้าหากได้ตั้งก�ำปรารถนา บุพชาติกาก�ำเนิดพระองค์เจ้าก�ำเนิดมาพายหลัง อนันตังหลายเผ่า เกิดแล้วเล่าหลายครา เจ้าเกิดมาเป็นที่คนลือชาอวดอ้าง เป็นเกตุเกล้าหมวดปฐวี สมภารมีได้สร้างแล้ว จุ่ง เป็นแก้วแก่อุบัตติเหตุเสี้ยงกิเลสสันตาระเมื่อนั้น จิตตะวิญญาณเท่าเส้นผมผ่าแปด จึ่งแขวดเข้าตั้งในกระหม่อมจอมขวัญ แห่งพระองค์พระพ่อ อันหลอมหล่อในกระดูก พระองค์เจ้า จึ่งเกิดมาเป็นลูกเอาปฏิสนธิ์ กุจสิมังพ้นจากท้องราชมาดาวิชาตก อายตนะ ทั้งหกเกิดพร้อมบัวรมวล กระสดควรสังเวท เวทนาติดข้องอยู่ในโลกา เป็นอันสืบสายกันมาบ่ พราก เอาปฏิสนธิยากใส่จัด เป็นปรวัตถะว่าได้สิบเดือนเต็มตัน นับวันว่าได้ ๒๙๕ วัน ปั๋นเป็นยามว่าได้ ๔๗๒๐ ยาม นับนาทีเตื่อมตามว่าได้ ๑๗๗๐๐ ลูกลมกัมมัชชะวาด ต้องถูก ขันธะห้าลูกเจ้าเกิดมา รูปาขันธะลูกเก๊าอาจารย์เจ้าเรียกว่าขันใส่ดิน วิญญาณขันธ์ใส่ลม เวทนาขันธ์ใส่น�้ำ สังขาระขันธ์ซ�้ำใส่ไฟ มีแต่ใบขันเปล่า อาจารย์ เจ้าเรียกว่า สัญญาณะขันธ์ อัชชะสุมา สวัสเส ล�ำดับปีและเดือนวันยามใหม่หม้า แต่ หนุ่มหน้าปานกลาง สุขะทุกขาอทุกขะมะสุขากายนยังสารูป จักสะหลูบด้วยคาถา.. คราบัดนี้ผู้ข้าพระบาททั้งหลาย หมายมีพระราชปิตา ราชมาดา เจ้าพ่อเจ้า แม่ วรเชษฐา แล พระอนุชา เจ้าพี่ เจ้าน้อง เจ้าป้า เจ้าอา เจ้าลูก เจ้าหลาน เจ้าเหลน อัครชะเป็นเชื้อชาติ วงศานุศาส สโมธมาส พร้อมความคุณ ทั้งท้าวพญาขุน ผู้น้อย ผู้ใหญ่ ทั้งชาวบ่าวไพร่ ปัชชาชม ไวยยาวัจจักก๋ม บุรีสิทธิโย... สามสิบสองพระเทพาเจ้า จุ่งมาเสวยกู ทุกเสี้ยงหมู่มามวล หันทะควรแม่น ขวัญเจ้าไปอยู่เมืองอุดรกรูคลาดค้อย ที่พระยอดสร้อยเมืองใจ มัจฌาติปิงคือปลาหลิด ไหลลุ่มน�้ำ งูเงือกถ�้ำโคหาต๋าวเท สามสิบสองขวัญอย่าไปหยุดอยู่ช้าทุกเสี้ยงกูมามา กายัทธะวะติ๋งสา อย่าไปอยู่ดอยด่านห้วย เหวเลิ้กห้วยหินผา พลิกไพล่หน้าแหงนถี่ บ่ใช่เป็นที่เมืองคน หากเป็นที่พนาสนไกลกว้างกว่า อย่าไปลักล่าเล่นเทียวหนี อย่า ไปอยู่จิ่มแม่หูรีปากกว้าง ที่ย่าคิงสว่างด�ำนิล เป็นที่บ่เกยไป คือที่แม่ห่มดินทางผ่า ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 173 ห่มฟ้าหมอกเหมยขาว ที่นั้นเป็นที่ตึ๊กหนาวควรพราก แม่นเมืองนาคและฟากฟ้าตังหก สะดือดงป่าคูตาวะเตวะกายาสัพเพ ขวัญเจ้าอย่าไปสนุกเสพสู่ ลักล่าเล่นชู้ยินดี สามสิบสองขวัญเจ้าอย่าไปอยู่ที่เมืองกินรีแลเขตค้าย เมืองผีแมนมหานทีสมุทรแม่กว้าง ยาวยานคว้างสาคร สามสิบสองขวัญเจ้าอย่าลงล่าเล่นจรผายผ้า หากเป็นท้องน�้ำท่า ที่ปลาอานนท์ ตาวะเตอย่าไปหลงเววนร้องไห้ แก่ป่าไม้ดอยดิน สามสิบสองขวัญเจ้า อย่าไปเววนแว่ อย่าไปอยู่เงื้อมแฮ่หินผา พื้นสมุทรคงคาต�่ำไต้ ที่ทับน้อยใหญ่สุมกัน อย่าไปที่สัตตภัณฑ์เจ็ดยอด อย่าไปกึ๊ดจอดดาไป ที่นั้นไกลบ่ใช่ใกล้ อย่ากึ๊ดได้ไหลหา จุ่งมาเสวยนคราเมืองมิ่ง สุขสร้างสิ่งนพบุรี จุ่งมาอยู่สุขศรีสะอาด ในหอมุนธิรรา ชนิเว-สน อันเป็นไชยมงคลใหญ่กว้าง ปอแหล่งช้างได้แสนพาย ๓๔๕๗ หลังยายแผ่กว้าง จุ่งมานั่งสว่างเสวยรมณ์ กับนางนาฏสนมแฝงใฝ่ กับแก้วแก่นไธ้แม่เทวี มาทรงมกุฏเภณี เครื่องง้า ตังขะหมวดเกล้ามาลา ทรงเครื่องภัณฑาแสนสิ่ง เครื่องยศยิ่งแสนสี สุบ สอดปั๋นสามทีมุกมาศร้อย ทังเครื่องสร้อยสังวาล เครื่องเคราคราญครบคราด รัตตะคต คาดเข็มขัด กัณฑลทัดต่อต๊าง สะเองคาดข้างทอท�ำ ใสแพงค�ำเครื่องท้าว แขนสอด ม้าวสุบแหวน ค่าควรแสนควรล้าน ควรค่าบ้านเมืองไท ถือสะหลีกัญไชยวะวาด ข้า เสิกขยาดกลัวต๋าย ทรงเสื้อน�้ำค�ำลายเข้มขาบ เมืองมาบแดงเหลือง ผ้ายกผ้าปูมเรือง หลายหลาก ทังกระโถนคนโทพานหมาก พระเจื่องเจ้าหากเคยเสวย จุ่งมาสถิต ชมเชยสายศ พระกรดสัปปะโทนวิเศษเทียมเงา นั่งแผ่นผืนโกเชาเจื๋อลวด เหนือแท่น ท้าวอาสนา ประเหมือนดั่งอินตาธิราช อยู่ท่ามกลางเทวะชาติสาวสวรรค์ หื้อเสมอ ดั่งพระจันทร์เทียวหว่ายฟ้า ปราศจากกลีบฝ้าอยู่กลางดาว จุ่งหื้อเป็นฉัตรคันยาวใบ ใหญ่ ปกห่มใคว่เย็นเมือง เตจ๊ะเรืองใหญ่กว้าง เป็นเจ้าช้างเปิ้งปถวี มหานคระบุรี เมืองเทศ เมืองลูกนี้วิเศษเชียงคราน มีทาสท้าวปราการเขื่อนขั้น ท่อน�้ำดั้นเข้าแจ่ง หัวริน ยุต่างกินยุต่างอาบ แก่นสุภาพว่านพบุรี อินทขิลมีหมายโลก มั่งมูลโชคลาภามี พุทธศาสนาแลอาวาส พระบาทพระธาตุที่ไหว้แลปูจา พระพุทธพระธรรม พระสังฆา อันสักสวาด ไตรรัตนชาติยิ่งอุลลาน ยุต่างท�ำทานผายแผ่กว้าง ยุต่างสร้างกองกุศล เป็นมหามณฑลเมืองเทศ มีพระเพชรราชธานี ดุริยะนนถีมี่นันเกิดก้อง พิพาดฆ้อง ส่งเสียง มระนาดตะโพนสลับสิ่ง หมากโขงหมากหิ่งเดงกังสะดาน ระฆังปี่แตรถะแหลเหิน ขลุ่ยแคนแนผับเผินแผ่นเกิดก้อง กะโลงซอจ๊อยร้องขับเสพา ท�ำเพลงท้องมาสทุก ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


174 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาษา สงเสพพระราชาใฝ่เฝ้า ทุกค�่ำเช้าหากปุนวอน ประดุจดั่งสวรรค์นครฟากฟ้า ลือโลกหล้าแดนดิน สามสิบสองขวัญพระภูมินทร์เจื่องเจ้า จุ่งอยู่เป็นปิระเก๊าแก่ระถะ ประชา เป็นที่ปิยะวันตาเรืองรุ่ง สุขจุ่งนิรันดร์เสมอดั่ง วิฑูรย์ทันท้องเทศ ลูกวิเศษค่า ควรเมือง หื้อมีเตจ๊ะเรื่องโลกหล้า ใต้ลุ่มฟ้าอย่ามีอันใดมาประจน หื้อมีฤทธีทนแพร่ กว้าง จุ่งอยู่เป็นเจ้าช้าง เปิ้งปฐวีแด่เต๊อะ ชยะตุภะวัง.....ถวายไหว้สา จากวรรณกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบริบทของเจ้านายที่เป็นสมมุติเทพ ดังนั้นเมื่อขวัญเจ้านายหลุดล่องลอยไปย่อมไปหลงอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าขวัญของ บุคคลธรรมดา ในเนื้อหาได้ระบุว่าขวัญเจ้านายได้ล่องลอยหลงไปอยู่ตามป่าหิมพานต์ เขาสัตบริภัณฑ์ทั้ง ๗ เมืองนาคบาดาล ซึ่งสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ถือว่าไม่ใช่สถานที่บน โลกมนุษย์จึงเชิญขวัญให้กลับมาด้วยของล่อขวัญที่พิเศษกว่าบุคคลธรรมดาสามัญที่ ใช้เพียงข้าว ไข่ต้ม ขนมหวาน เสื้อผ้าใหม่ แต่ของล่อขวัญเจ้านายนั้นคือ เครื่องยศ เครื่องประดับต่างๆ ผ้าไหมแพรพรรณ ราชบัลลังก์ เสนาอ�ำมาตย์ และนางสนม บริวาร ของล่อขวัญที่ส�ำคัญอีกประการหนึ่งคือการให้ขวัญของเจ้าหลวงกลับมาสู่ เมืองเชียงใหม่อันเป็นเมืองที่งดงาม อุดมสมบูรณ์และพรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้เจ้าหลวงได้เป็นที่พึ่งหรือเป็นมิ่งขวัญแก่ประชาไพร่ฟ้าสืบต่อไป นั่นเอง นอกจากนี้ขวัญยังมีบทบาทที่ส�ำคัญทั้งในระดับชุมชนและระดับเมือง คน โบราณถือว่า ชุมชนและเมืองนั้นมีชีวิต ดังนั้นการวางต�ำแหน่งสถานที่ต่างๆ ของเมือง จึงก�ำหนดให้มีนามดั่งสิ่งมีชีวิต เช่น หัวเมือง ตัวเมือง ใจบ้าน สะดือเมือง เป็นต้น จะ พบว ่าผังเมืองต ่างๆในล้านนานั้นส ่วนใหญ ่จะมีต�ำแหน ่งที่เรียกว ่าสะดือเมืองเป็น จุดศูนย์กลางเมือง โดยมักเป็นที่ตั้งวัดประจ�ำเมือง หรือเสาหลักเมืองเสมอ ยกเว้น เพียงเมืองน่านและเมืองแพร่เท่านั้นที่เรียกต�ำแหน่งนี้ว่า มิ่งเมือง โดยเสาหลักเมืองน่าน จะเรียกว่า เสามิ่ง ค�ำว่า มิ่ง แท้จริงแล้วหมายถึง มงคล หรือดีงามในภาษาไทย ต่อมานิยมใช้ ค�ำว่ามงคลซึ่งมาจากค�ำว่ามังคละในภาษาบาลีแทน บางครั้งใช้ร่วมกันว่า มิ่งมงคล โดยต�ำแหน่งของ เสามิ่ง หรือวัดมิ่งเมืองนั้น คือต�ำแหน่งเดียวกันกับ เสาหลักเมือง และวัดสะดือเมืองของหัวเมืองอื่นๆ ในล้านนา นอกจากนี้ยังปรากฏค�ำว่า มิ่งขวัญ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 175 ซึ่งมักจะหมายถึงจุดศูนย์รวมที่ดีงาม หรือเป็นมงคล เช่น ในหลวงคือมิ่งขวัญของปวง ชนชาวไทย ดังนั้นในหลวงคือจุดศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทย เป็นต้น จาก ข้อความดังกล่าว ท�ำให้สามารถแตกประเด็นไปถึงเรื่องของการวางผังเมืองของคน โบราณว่า ต�ำแหน่งที่เรียกว่า สะดือเมือง หรือมิ่งเมืองนั้นแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็น ความเชื่อเรื่องขวัญนั่นเอง กล่าวคือหากพิจารณาลักษณะนามของค�ำว่า ขวัญ ที่ กล่าวมาข้างต้นคือการวนขดเป็นก้นหอยเข้ามาสู่จุดศูนย์กลาง ซึ่งสอดคล้องสัมพันธ์ กับการสร้างเมืองโบราณที่เป็นรูปหอยสังข์ รูปแบบของหอยและขวัญมีลักษณะ เดียวกันดังนั้น แนวคิดการสร้างเมืองโบราณจึงจ�ำเป็นต้องมีขวัญเมือง คือ จุดศูนย์กลางของเมือง ซึ่งการขดหรือวนของก้นหอยนั้น ไม่จ�ำเป็นต้องอยู่ศูนย์กลาง เมืองเสมอไปแต่ให้ความส�ำคัญกับต�ำแหน่งของขวัญเมืองที่เหมาะสม เป็นต�ำแหน่งที่ เป็นภูมิสถานที่เป็นมงคล เพื่อเป็นจุดเชื่อมระหว่างฟ้ากับเมือง คือจุดเชื่อมระหว่างผี แถนซึ่งเป็นผู้ปกป้องกับเมืองอุปมาดังสายสะดือที่เป็นจุดเชื่อมระหว ่างแม ่กับลูก นั่นเอง ภาพการสร้างเจดีย์ทรายเพื่อการสะเดาะเคราะห์โดยการเรียงขดเป็น รูปก้นหอยเข้าหาศูนย์กลาง ที่มา : อ.ฐาปกรณ์ เครือระยา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


176 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นอกจากนี้ยังพบผังแบบก้นหอยหรือการขดของขวัญได้ในพิธีกรรมอื่นๆ เช่น การถวายเจดีย์ทราย ๑๐๘ กอง ของชาวเชียงตุงและชาวล�ำปาง เพื่อสะเดาะเคราะห์ และอุทิศแด่ผู้ที่ล่วงลับ โดยจะวางเจดีย์ทรายทั้งหมดเรียงเป็นรูปขวัญ หรือก้นหอย เข้าสู่ศูนย์กลางซึ่งเป็นเจดีย์ทรายกองใหญ่ สอดคล้องสัมพันธ์กับคติการสร้างพระธาตุ กลางเมืองหรือต�ำแหน่งสะดือเมือง นอกจากนี้ยังพบการวนลักษณะดังกล่าว ใน พิธีกรรมฟ้อนผี ที่จะต้องใช้ผ้าเวียนผามที่วนจากรอบนอกผามหรือปะร�ำพิธีเข้า สู ่ศูนย์กลางเป็นรูปขวัญหรือก้นหอย ซึ่งจุดศูนย์กลางของผามฟ้อนผีนี้จะเป็นจุดที่ ส�ำคัญในการในการลงผีหรือเข้าทรง เป็นต้น การนับภูมิทักษาตามหลักทักษาปกรณ์คือเวียนขวาและเมื่อนับวนจนครบ ทกช่องแล้วจะต้องวนเข้าสู่จุดศูนย์กลางก่อนจึงจะกลับไปนับที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อ ลากเส้นตามการนับทักษาปกรณ์แล้วจะพบว่า เป็นการนับวนลักษณะคล้ายก้นหอย เช่นกัน ดังนั้นการสร้างเมือง หรือผังที่เกี่ยวข้องกับหอยหรือขวัญ ที่มักจะโยงไปถึง เรื่องจุดศูนย์กลางของเมืองคือ ใจเมือง สะดือเมือง ขวัญเมือง หรือมิ่งเมือง อาจจะ เป็นคติความเชื่อดั้งเดิมในการจ�ำลองจักรวาลแบบโบราณของคนแถบนี้ก่อนที่ระบบ ความเชื่อเรื่องดวงดาวและจักรวาลจากอินเดียจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อวิถี ชีวิตของคนล้านนา จึงเป็นเหตุผลที่ผู้เขียนระบุไว้ในเรื่องทักษาเมืองว่า ต�ำแหน่งดาว เกตุ หรือเกตุเมือง กับสะดือเมืองนั้น มาจากคนละคติความเชื่อ เพียงแต่ทั้งสองอยู่ ร่วมกันมานานดังได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น ภาพวิธีการนับตารางทักษาวนเป็นรูปก้นหอย ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 177 ภาพแผนภูมิทักษาปกรณ์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


178 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ระบบทักษา ค�ำว่า ทักษา มาจากรากศัพท์ค�ำว่าทักษิณา หมายถึงการเวียนขวา โดยจะมี ภูมิทักษาซึ่งโหราจารย์สมัยโบราณได้มีการเขียนก�ำหนดแผนภูมิทักษาขึ้น เพื่อก�ำหนด วางต�ำแหน่งดาวพระเคราะห์ คือดาวอัฐเคราะห์ หรือพระเคราะห์ทั้ง ๘ ได้แก่ พระอาทิตย์พระจันทร์พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์พระพฤหัสบดีพระราหูและ พระศุกร์ตามล�ำดับ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๘ ช่องตามทิศทั้ง ๘ คืออีสาน บูรพาอาคเนย์ ทักษิณ หรดีประจิม พายัพ และอุดร โดยเริ่มจาก ๑ หรือพระอาทิตย์แล้วเวียน ทักขิณาวัฏไปทางหมายเลข ๒ ๓ ๔ ๗ ๕ ๘ และ ๖ ตามล�ำดับตัวเลขข้างต้น โดย แต่ละดาวพระเคราะห์จะถือว่าเป็นเทวดาผู้รักษาทิศต่างๆ ประจ�ำทิศที่เกิดของดาว กล่าวคือ พระอาทิตย์เกิดทิศอีสาน พระจันทร์เกิดทิศตะวันออก พระอังคารเกิดทิศ ตะวันออกเฉียงใต้พระพุธเกิดทิศใต้พระเสาร์เกิดทิศตะวันตกเฉียงใต้พระพฤหัสบดี เกิดทิศตะวันตก พระราหูเกิดทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และพระศุกร์เกิดทิศเหนือ ต่อ มาภายหลังมีการเพิ่มดาวขึ้นอีก ๑ ดวงกลายเป็นดาวนพเคราะห์คือดาวเกตุ จึงวาง ต�ำแหน่งดาวเกตุไว้ที่ศูนย์กลางผังทักษานั่นเอง สิ่งส�ำคัญของระบบทักษาอีกอย่างหนึ่งคือ ภูมิทักษาหรือทักษาปกรณ์ที่จะ ใช้ตีความหมายของเรื่องราวต่างๆ ตามค่าของดาวประจ�ำทิศนั้นๆ คือ บริวาร อายุ เดช ศรีมูลละ อุตสาหะ มนตรีและกาลกิณี ทั้งหมดนี้ล้วนมีความหมายที่แตกต่าง กันออกไป การตีความหมายของทักษาปกรณ์นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ทักษาตีความเรื่องใด เช่น ทักษากับตัวบุคคล ทักษากับตัวบ้านเรือนที่อยู่อาศัย วัดวาอาราม หรือทักษาเมือง โดยจะจ�ำแนกระบบทักษาและความหมายของการใช้สอยใน วิถีชีวิตคนล้านนาให้ เห็นพอสังเขปดังนี้ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 179 ทักษากับตัวบุคคล ในวิถีชีวิตคนล้านนาระบบทักษานั้นจะมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่ในวิถีชีวิต ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนตาย ความเชื่อ จารีตประเพณีหลายอย่าง ล้วนมีที่มาจาก แนวคิดในระบบทักษาทั้งสิ้น ตั้งแต่การเกิด เรามักจะผูกติดกับการจดจ�ำวันเกิดของ ตัวเราเอง เชื่อว่าผู้ที่เกิดในช่วงเวลาของแต่ละวันจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวนั้นๆ เมื่อก�ำหนดรู้ดวงดาวประจ�ำตัวแล้ว ความหมายของดาวในด้านต่างๆ ก็จะมีผลท�ำให้ ผู้ที่เกิดภายใต้อิทธิพลของดวงดาวนั้นมีบุคลิกลักษณะหรือรูปร่างเป็นไปตามความหมาย ของดาวไปด้วย ดังนั้นบุคคลที่เกิดในแต่ละวันพึงอาศัยความเป็นมงคลตามความหมาย ของดวงดาวประจ�ำตัวเพื่อให้ชีวิตสมบูรณ์และเจริญก้าวหน้าต่อไป นอกจากนี้โหราจารย์ล้านนาได้ก�ำหนดรูปสัตว์ต่างๆ เป็นตัวแทนของดวงดาว โดยก�ำหนดให้แต่ละช่องในผังทักษาจะมีสัตว์ประจ�ำหนึ่งตัว ซึ่งสัตว์เหล่านั้นก็จะเป็น สัตว์ประจ�ำทิศไปด้วย สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันเกิดจึงถือว่ามีคุณแก่ตน จึงเรียก สัตว์เหล่านั้นว่า “ตัวเปิ้ง” หรือมักจะเรียกวันเกิดอีกอย่างว่านาม เช่น นาม ๑ นาม ๒ หรือ นามวัว นามรุ้งก็ได้ตามต�ำราดาวเสวยอายุนับตามอายุตกตามช่องทักษา หาก ภาพต�ำแหน่งสัตว์ตัวเปิ้งในผังทักษา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


180 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา อายุตกที่ช่องตรงกันข้ามกับวันเกิด แล้วเกณฑ์ชะตาอยู่ในต�ำแหน่งที่เสีย หรือไม่ สบายเจ็บป่วยก็มักจะมีพิธีการส่งเคราะห์ที่เรียกว่า “ส่งเปิ้งส่งชน”โดยจะท�ำสะตวง เป็นรูปตารางเก้าห้อง ซึ่งตารางเก้าห้องก็คือการจ�ำลองมาจากผังทักษา แล้วปั้นรูป สัตว์ที่เป็นตัวเปิ้งใส่ลงไป ส่วนตัวชนนั้นหมายถึงสัตว์คู่ตรงข้าม นั่นเอง เริ่มจากการเกิด คนล้านนาจะตั้งชื่อให้เด็กที่เกิดใหม่ง่ายๆ ตามวันเกิดของตน เช่น เกิดวันจันทร์ก็ชื่อจัน เกิดวันพุธชื่อปุ๊ดเกิดวันพฤหัสบดีชื่อผัดเป็นต้น นอกจากน ี้ ยังมีชื่ออื่นๆ ที่มีความหมายตรงกับวันเกิดเช่น ชื่อแก้วเกิดวันจันทร์ ชื่อเขียวเกิดวันพุธ ชื่อออนเกิดวันอังคาร เป็นต้น หากเป็นขุนนางหรือเจ้านายการตั้งชื่อมักจะวิจิตร มากกว่าสามัญชนทั่วไป โดยการตั้งชื่อนั้นอาศัยหลักการดังนี้ การตั้งชื่อบุคคลจะอาศัยหลัก อายตนะ หรือ มหายตนะ อันมีความหมาย ว่า การเชื่อมต่อ เครื่องติดต่อ ภาษาหรือสิ่งที่เป็นสื่อส�ำหรับติดต่อกันเพื่อให้เกิดการ รับรู้ท�ำให้เกิดความรู้สึกขึ้น อายตนะตามหลักพุทธศาสนามี๖ อย่างคือ หูตา จมูก ลิ้น กายใจซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นเครื่องมือรับรู้รูป เสียงกลิ่น รสสัมผัสจิตใจอารมณ์ ตามล�ำดับ อายตนะ ๖ นี้ส่งผลถึงเจ้าชะตาในมุมมองของความรู้สึกนึกคิด นิสัยใจคอ และมุมมองของคนรอบข้างที่มีต่อเจ้าชะตา อายตนะในการตั้งชื่อตามหลักทักษานั้น จะมีหลักการคิดค�ำนวณแบบเดียวกันกับเลขศาสตร์ โดยใจความหลัก คือตัวอักขระ แต่ละตัว จะมีเลขก�ำลังดาวพระเคราะห์ก�ำลังเทวดาทั้ง ๘ แฝงอยู่ซึ่งจะส่งผลต่อถึง นิสัยใจคอของเจ้าชะตา อายตนะดังกล่าวแบ่งตามดาวพระเคราะห์ ในหลักทักษา ได้ดังนี้ นาม ๑ พระอาทิตย์ อ และ สระต่างๆ แบบล้านนา คือ อะอาอีอุอูเอ้โอ้ นาม ๒ พระจันทร์ ก , ข , ค , ฆ , ง นาม ๓ พระอังคาร จ , ฉ , ช , ซ , ฌ , ญ นาม ๔ พระพุธ ฎ , ฏ , ฐ , ฑ , ฒ , ณ นาม ๗ พระเสาร์ ด , ต , ถ , ท , ธ , น นาม ๕ พระพฤหัสบดี บ , ป , ผ , ฝ , พ , ฟ , ภ , ม นาม ๘ พระราหู ย , ร , ล , ว นาม ๖ พระศุกร์ ศ , ษ , ส , ห , ฬ , ฮ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 181 (หมวดอักษรทั้งหมดล้านนาจะออกเสียงอะ เช่นวรรคแรกออกเสียงว่ากะ ขะก๊ะ ฆะ งะ เป็นต้น) เมื่อทราบพื้นฐานดังนี้แล้ว การจะตั้งชื่อให้เป็นมงคลนั้น จะอาศัยหลัก ทักษาปกรณ์ของคนเกิดวันต่างๆ มาก�ำหนดตามความหมาย ยกตัวอย่างเช่น คนเกิด วันอาทิตย์ ให้พึงเว้น นาม ๖ หรือดาวศุกร์เป็นหลัก คืออักษร ศ, ษ, ส, ห, ฬ, ฮ เนื่องจาก ดาว ๖ เป็นกาลกิณีแก่วันอาทิตย์จึงถือว่าไม่เป็นมงคล เป็นต้น ควรเลือก อักษรในหมวดที่เป็นต�ำแหน่ง บริวาร อายุ เดช ศรีมูลละ หรือมนตรีเป็นต้น บาง ต�ำราให้เว้นอุตสาหะ เนื่องจากจะท�ำให้เจ้าชะตาเหนื่อยยากล�ำบาก หรือมีอุปสรรค ในชีวิต ต�ำราการตั้งชื่อแบบล้านนานั้นมีหลายส�ำนวน ส่วนใหญ่จะอาศัยหลักทักษา ทั้งสิ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ผิว่าลูกผู้ใดเกิดวัน ๑ หื้อใส่ชื่อนาม ๒ จักมีอายุยืนแล ผิว่าเกิดวัน ๒ หื้อใส่ชื่อนาม ๔ นาม ๕ จักได้เป็นใหญ่แก่ท่านทั้งหลายแล ผิว่าเกิดวัน ๓ หื้อใส่ชื่อนาม ๖ นาม ๗ จักเป็นผู้รู้หลวก ผิว่าเกิดวัน ๔ หื้อใส่ชื่อนามจันทร์มันรักพ่อแม่ ผิว่าเกิดวัน ๕ หื้อใส่ชื่อนาม ๑ นาม ๕ มีประหยา๑๓๙ อายุยืน ผิว่าเกิดวัน ๖ ใส่ชื่อนาม ๖ นาม ๓ อายุยืนแล ผิว่าเกิดวัน ๗ หื้อใส่ชื่อนาม ๕ นาม ๑ มีประหยาอายุยืนแล นอกจากการตั้งชื่อบุคคลทั่วไปแล้ว การบวชพระสงฆ์ในพุทธศาสนาจะต้อง มีการตั้งชื่อหรือฉายาใหม ่ไม ่เอาชื่อทางโลกหรือชื่อเดิม เพราะคนที่บวชในบวร พุทธศาสนาถือว่าได้เกิดใหม่ โดยพระอุปัชฌาย์จะตั้งชื่อใหม่ให้โดยอาศัยหลักทักษา ในการตั้งชื่อ ทั้งพระภิกษุ และสามเณร (ปัจจุบันคงเหลือแต่พระภิกษุเท่านั้น) โดย อาศัยเกณฑ์อยู่สามประการคือ วันเกิดของเจ้าชะตา วันบวช และวันเกิดหรืออายุพ่อ แม่สัมพันธ์กับผู้บวช ดังนี้แล้วจึงตั้งชื่อใหม่ให้โดยจะเว้นอักษรที่มาจากต�ำแหน่งกาลกิณี เป็นส�ำคัญ ยกตัวอย่างเช่น พระสงฆ์ที่เกิดวันอาทิตย์จะได้ฉายาว่า อุทะโย อนาลโย อภินันโท เป็นต้น หรือเกิดวันจันทร์จะได้ชื่อฉายาใหม่ว่า กิตติญาโณ กตปุญโญ กัน ตะสีโล เป็นต้น ๑๓๙ หมายถึง ปัญญา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


182 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ทักษากับการรักษาโรค ในยุคสมัยที่วิทยาการการแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนดังปัจจุบัน หลักการและ วิธีการรักษาผู้ป่วยของคนโบราณนั้นล้วนอาศัยหลักการจากวิชาโหราศาสตร์ซึ่งจะ แตกออกมาเป็นวิชาโลกธาตุที่เน้นเรื่องของธาตุอันเป็นแม่ธาตุปรุงแต่งที่ท�ำให้เกิด มนุษย์ขึ้นมาโดยประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่คือ ธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) ธาตุน�้ำ(อาโปธาตุ) ธาตุลม (วาโยธาตุ) และธาตุไฟ (เตโชธาตุ) โดยการรักษาผู้ป่วยในสมัยโบราณนั้นจะ อาศัยวิชาทักษาและธาตุประจ�ำดวงดาวเป็นหลักกล่าวคือ อาทิตย์และเสาร์ ธาตุไฟ จันทร์และพฤหัสบดีธาตุดิน อังคารและราหูเป็นธาตุลม พุธและศุกร์เป็นธาตุน�้ำ นอกจากนี้วันเดือนปีเกิดหรือดวงชะตาของผู้ป ่วยยังเป็นปฐมบทของการวินิจฉัย เบื้องต้นของอาการป่วย เนื่องจากหมอผู้รักษานั้นต้องศึกษาถึงธาตุก�ำเนิดของผู้ป่วยก่อน กล่าวคือ ส ภาพตารางธาตุในผังทักษา ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 183 ธาตุก�ำเนิด หมายถึง การถอดรหัสธาตุตามวันเดือนปีเกิดของบุคคลนั้น เพื่อรู้ถึงธาตุในร่างกายโดยยึดหลักการจากเรื่องดวงดาวทั้งหมด โดยจะดูธาตุประจ�ำ ปีเกิด ธาตุประจ�ำเดือนเกิด และธาตุประจ�ำวันเกิดทั้งสามธาตุ แล้วสรุปผลจาก ตำ�แหน่งดาวในวันเดือนปีเกิดว่าบุคคลนั้นประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น คนเกิดปีฉลูหรือปีเป้า เดือน ๖ วันอาทิตย์สามารถถอดธาตุก�ำเนิดได้ดังนี้ปีฉลูเป็น ธาตุดิน เดือน ๖ เป็นธาตุไฟ และวันอาทิตย์ธาตุไฟ แสดงว่าบุคคลนี้ในร่างกายมีธาตุ ไฟสูง ไม่ควรทานอาหารรสเผ็ดรสจัด เพราะจะท�ำให้ธาตุไฟก�ำเริบง่ายหรือมักจะ ก�ำเริบออกมาในลักษณะตุ่มหรือฝีไม่ชอบอากาศร้อน หรือเป็นคนใจร้อนหงุดหงิดง่าย เมื่อทราบดังนี้หมอผู้รักษาพึงตรวจสอบอาการและแก้ไขโดยการปรับธาตุให้สมดุล ก่อนที่จะรักษาขั้นต่อไป เป็นต้น นอกจากนี้การโคจรของดวงดาวแต่ละวันเดือนปี ยังส่งผลท�ำให้ธาตุในร่างกาย แปรปรวนไปด้วย ในช่วงที่เจ็บป่วยไม่สบายจะถือว่าเกิดจากธาตุต่างๆ บกพร่อง จึง มีการปรุงยาพื้นฐานเพื่อปรับสภาพของธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุลปกติ ยาที่ เป็นพื้นฐานของต�ำรายาของหมอโบราณ๑๔๐ เรียกว่า ยาธาตุ คือยาที่กินเพื่อปรับธาตุ ในร่างกายโดยจะมีสมุนไพร ๔ ชนิดที่เป็นสมุนไพรแม่ธาตุคือ ปิ๊ดปิวแดง๑๔๑ เป็น สมุนไพรประจ�ำธาตุไฟ ขิงแกง เป็นสมุนไพรประจ�ำธาตุดิน ดีปลีและปูนก๑๔๒ เป็น สมุนไพรประจ�ำธาตุลม และจะค่าน๑๔๓ เป็นสมุนไพรประจ�ำธาตุน�้ำ วิธีการคือน�ำ สมุนไพรทั้งสี่ตัวนี้มาตากแห้ง แล้วต�ำหรือบดให้ละเอียด ผสมน�้ำผึ้งกินเพื่อปรับธาตุ ให้สมดุลในเบื้องต้น ภาพดอกปิ๊ดปิวหรือเจตมูลเพลิงอันเป็นแม่ธาตุไฟมีทั้งสีแดงและสีขาว ๑๓๖ เจตมูลเพลิงแดง หรือไฟใต้ดิน๑๓๗ ใบชะพลู๑๓๘ เถาสะค้าน ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


184 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา เมื่อหมอพิจารณาและถอดรหัสธาตุก�ำเนิดแล้วก็จะกลับมาตรวจสอบอายุ ว่าอายุจรในปีที่เจ็บป่วยนี้ลงตามผังของตารางดาวอัฐเคราะห์ทั้ง ๘ ในช่องใด เมื่อได้ ต�ำแหน่งอายุจรแล้วก็จะให้ปรับเรื่องอาหารการกินเป็นเบื้องต้นตามความหมายของ ต�ำแหน่งดาว ดังตัวอย่างของต�ำราการปรับอาหารให้ถูกต้องตามธาตุเกิดและอายุจร แบบล้านนาดังนี้ สิทธิการพี่หนานน้อยจักกล่าวธาตุคนญิงจายทั้งหลายก่อนแล บุคคละผู้ใด เป็นพยาธิโรคาบ่รู้หายนั้นหื้อดูธาตุเต๊อะตกอันใดเสียจักรู้ชะแลหื้อไล่ตางสิบลงตาง ลุ่มเท่าอายุแล้วดูของกินผู้เป็นพยาธินั้นเต๊อะ คันว่าตก ๑ หื้อกินหมากกอก มะริดไม้ กล้วยใต้ แตงลาย อ้อยเล่ม ปลาเต๊าะ ปลา สะวาย ปลาดุก ปลาสป้าก แกงใส่ยอดส้มป่อย จิ้นหมูจิ้นฟานแล ยาชะเอมก่อ ซีหิง เขียว ก่องข้าวเขียวฝนกิน หากเจ็บหัวใบขมิ้นตั้ง ต�ำครอบหัวแล คันว่าตก ๒ หื้อกินหมากกอก หมากนอย หมากแตง มะกล้วยก๋า น�้ำนมมะตัน มะฮืน น�้ำอ้อย น�้ำตาล จิ้นเป็ด ไข่เป็ด ปลาค้าว ปลาก่อ ปลาหลิมแกงใส่ส้มหมากนาว ผัก ขี้ขวง มะเขือก้าว ปลาเต๊าะ ปลาสะวาย ปลาสป้าก ปลาแข้ ปลากด ปลาแกด กุ้ง จิ้น ไก่เผือก ยามันไม้หางก่าน ไม้ขี้เหล็ก เดื่อปอง แกนข้าวสาลี ผักหิมแดง งาด�ำ พริกน้อย ขิงแกง ต�ำเป็นก้อนกินแลคันว่าเจ็บหัวหื้อเอาใบส้มป่อย ขมิ้นต�ำครอบแล คันว่าตก ๓ หื้อกินหมากชุกหมากเต้า มะกล้วยเต้ด กล้วยใต้ อ้อยเล่ม มันแกว มะ ถั่ว มะบวบ มะห่อย บะนอย ผักบุ้ง ผักเดื่อเกี๋ยง หน่อไม้รวก กันเจ็บหัวเอาส้ม เตงเคงต�ำข่มหัวแล คันว่าตก ๔ หื้อกินมะกล้วยเต้ด น�้ำนม มะตื๋น มะตัน หน่อไม้รวก มะเขือก้าว ผัก ขี้ขวง ผักเผ็ด ปลาหลิม ปลาก่อ ปลาค้าวแกงใส่น�้ำมะนาว ไก่ด�ำ จิ้นเป็ดไข่เป็ด คันว่าตก ๕ หื้อกิน แตงซั้ง แตงลาย โป่งกอก มะเฟือง มะขาม ปลาเต๊าะ ปลาสะวาย ปลาสป้ากปลาเพี้ย ปลาดุก ปลากด ปลาแกด แกงใส่ยอดส้มป่อย หน่อปง ผักแคบ ผักขี้ขวง หมากนะ ยาหื้อเอาขมิ้นขึ้น แก่นจัน ต�ำเป็นลูกกลอนกินแล คันว่าตก ๖ หื้อกินเดื่อเกลี้ยง หน่อไม้รวก หมากนอนข้อง ผักบุ้งปิ๋ง ผักกาดน�้ำ หมาก พร้าว แตงลาย แตงซั้ง หมากเฟือง หมากโอ หมากม่วง หมากฝาง หมากฟัก ผักหม ผักหนอก ผักแคบอ้อยด�ำแล ยาเป้าทั้งสอง ใบหนัด น�้ำเผิ้ง ดินไฟ ต�ำเป็นลูกกินแล ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 185 คันว่าตก ๗ หื้อกินกล้วยน�้ำนม น�้ำตาลก้อน หมากตื๋น หมากตัน หมากหนัด หมากหนุน หมากฟักแก้ว มะเขือก้าว ผักเผ็ดผักขี้ขวง มะฟักหม่น จิ้นเป็ด ไข่เป็ด น�้ำผึ้ง ด้วงต่อ ปลาค้าว ปลาก่อ ปลาหลิม แกงใส่น�้ำส้มหมากนาว ยาไม้ตื๋นไม้ตัน ไม้หนุนฝนกินหายแล คันว่าตก ๘ หื้อกินน�้ำตาลทราย หมากพร้าว กล้วยเชียงราย หมากฟักหม่น ผักกาด จิ้นงัว จิ้น ควาย จิ้นหมู หมากเฟือง หมากเกี๋ยง หมากม่วง หมากฝาง หมากลิ้ว หมากโว ยาหัวสามเปื่อน รากหมากโอ ฝนใส่เหล้ากินก่อได้ คันว่าอิดใจ รากหญ้าคา หญ้าผากควาย รากแคว้งขาว ต้มใส่ข้าวจ้าวกินดีแล นอกจากนี้ยังมีวิธีวินิจฉัยโรคเฉพาะทางอื่นๆ ที่มีการรักษาหลากหลายรูปแบบ โดยหลักการคือการรักษาด้วยสมุนไพร นอกจากเรื่องของธาตุในร่างกายบกพร่องแล้ว คนโบราณเชื่อกันว่าสาเหตุของความเจ็บป่วยนั้นมีอีกหลายประการ โดยส่วนใหญ่มัก จะกล่าวถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยว่ามาจากการถูกผีโดนผีทัก หรือไปกระท�ำการ ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่มีผีสิงสถิตอยู่ซึ่งเป็นเหตุให้หมอโบราณจ�ำเป็นต้องประกอบ พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เพื่อช่วยในการรักษาอีกวิธีหนึ่ง หมอจึงต้องเรียนรู้คาถาอาคม และพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพิธีกรรมในท้องถิ่นหลายอย่างท�ำขึ้นเพื่อรักษา อาการความเจ็บป่วย เช่น พิธีกรรมการสืบชะตา การส่งเคราะห์แบบต่างๆ ยกตัวอย่าง พิธีการส่งเทวดา ๙ หมู่ ซึ่งเป็นตัวแทนของดาวนพเคราะห์ เพื่อขอคุณอ�ำนาจแห่ง ดาวนพเคราะห์นั้นช่วยปกป้องคุ้มครองหรือดลบันดาลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีและ หายจากความเจ็บป่วย โดยมีค�ำกล่าวโองการที่มีเนื้อหา ดังนี้ เทวตาดูรา เทวดา ๙ ตนบัดนี้ผู้มีชื่อว่าดั่งนี้ก่มาทะรงยังพยาธิโรคาเป็นสันนี้ จักถูกต้อง ป้อนลัคนาชาตาปีเดือนวันยามเยื่องใดก่บ่รู้ จักพาถูกตัวเปิ้งตัวชนแลตัวเสวย แลยอดโหราทับต้องโหราก่บ่รู้ใดอันใดเป็นใหญ่กว่าเคราะห์ทั้งหลายก่เท่าเทวดา ๙ ตนหากครอบง�ำตังมวลสันนี้ ตูข้าก่ตกแต่งเครื่องขียาปูชาต่างๆสันนี้เพื่อหื้อเจ้าพยาธิ ผู้นี้อยู่ดีมีสุขพ้นจากอุปัทวะกังวล อนทะรายตังมวลแต้ดีหลี เทวเตดูราเทวดา ๙ ตน คือว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ คละรักเลยเทียว เทศท้าวทัสสะ ๑๒ รวายสีหาก มาบังเกิดมีตามโลกแต่ปะถะมะกับหัวที่ลัคนาศัตรูแลปาปะเคราะห์เทียวเทศเถิงย่อม ปองหื้อเป็นโทษพ่องหื้อเป็นโสกามะระณาเมี้ยนชาติ พ่องหื้อพลัดพรากที่อยู่ หื้อ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


186 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา บังเกิดเป็นหมู่โรคาฝูงเป็นมิตรก็ยังมีเมตตาหื้อมีลาบหากเป็นสภาวะแห่งเทวดาทั้งหลาย บัดนี้ปาปะเคราะห์หากมา ต้องลัคนาชาตามีชื่อว่า ......ดังเหตุนั้นผู้ข้าจึงจักได้มา ตกแต่งยังโภชนะอาหารแลเครื่องขียาปูชานะขะตะฤกษ์เพื่อหื้อหายยังโรคาแล อากาศหื้อหายยังพยาธิกังวลเมืองพะ หื้อหายทะเคราะห์ ในตนจุเยื่องจุประการจึงได้ ตกแต่งเครื่องนะขัตตะฤกษ์ทั้งหลายแลตับตองโหราชาตา ด้วยข้าวน�้ำโภชนะอาหารนาๆ ต่างๆ ทั้งขาทะนิยะโภชะนิยะแกงส้มแกงหวานของไขว่ใส่เบี้ยร้อยหมากไหมใส่เป็น สัมบัตติ มีจิ้นเนื้อแลปลาปิ้งใหม่ ลูกไม้ใส่คิลา มีตังบุพผาแลข้าวตอกดอกไม้แลหมาก พลูแต่งตามสะพราด ก็ขออังคราด ราธนาเจ้าทั้งหลาย เสียกับบริวารเลยมะหมู่ เอา กันอยู่ส�ำราญแรกแต่กาลนี้ไปพายหน้า หื้อเจ้าพยาธิอันใดมาปูชานี้จุ่งหื้อหายเสียยัง โสกาแลอาพาธ จุ่งหื้อหายตังพยาธิแลกังวลอย่าหื้อมีเคราะห์เกตุในตนสักหยาด หื้อ เหมือนดั่งต่อมน�้ำกลิ้งตกจากใบบัวใบบอน ภัยยะโรคาอันเปิงกลัวมี ๕ ตนว่าจมน�้ำ จมไฟอันยิ่งท้าวพญาเสนาอ�ำมาตย์ภัยยาอันเกิดแต่เชื้อชาติเนื้อกล้าคะนองแล ภัยยา อันเกิดแต่พื้นกองหญ้าหอกดาบ ก็หื้อหายไปด้วยอานุภาพอันได้ปูชาเทวดา ๙ หมู่ ตั้งแต่วันนี้ไปเมื่อหน้า จุ่งหื้อเจ้าพยาธิผู้นี้อยู่สุขส�ำราญ จุ่งหื้อมีลาภะสะการต่อหน้า หื้อได้เสื้อผ้าแลเงินค�ำ กระท�ำอันใดก็หื้อสมฤทธี จุเยื่องหื้อมีอายุยิ่งยืนยาวกว่าร้อยปี จุ่งหื้อมีสวัสดีแก่เจ้าหอเจ้าเรือนแลของเลี้ยงของดู จุเยื่องจุประการดีหลีแด่เต๊อะ นอกจากนี้ผังดวงดาวในหลักทักษานั้นยังมีคติเรื่อง ตัวเปิ้งตัวชน คือการ กำ� หนดค่าดาวให้กลายเป็นรูปสัตว์ประจำ�วันเกิดของตนคือตัวเปิ้ง หากหมอตรวจสอบ ดวงชะตาแล้วมีเคราะห์หรืออิทธิพลของดาวอื่นๆ ให้โทษดังนี้แล้วก็จะท�ำพิธีส่งหรือ บูชาเพื่อร้องขอคุณดาวที่ให้โทษนั้น ให้ลดเคราะห์หายเบาบางลงไป คือ ตัวชน ดังตัวอย่างเนื้อหาในพิธีการส่งชนดังนี้ ดูราเจ้าพญาชนทั้งหลายคือว่าชนตัวอยู่พายหลังอย่าได้มาอยู่ถ้าชนตัวพาย หน้า อย่าได้อยู่สัพพะกองทั้งหลายคือว่า ชนงัวชนควายตัวกล้าชนช้างชนม้าชนราชสี ก็อย่าได้มาราวีชนเสือชนหมีผีป่าชนครุฑนาคน�้ำก็อย่ามาขบ ชนกบชนเขียดหมูแมว อย่าได้มาใกล้ชนเจ็บชนไข้อย่าได้มีสักยาด ชนหอกชนดาบ เถี่ยนกล้า ชนมีดพร้าก็ อย่าหื้อได้มาฟัน ชนสัพพะการทุกอันทุกสิ่ง ก็อย่าหื้อได้มาบีบเบียนจุ่งหื้อได้อยู่สุข ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 187 เสถียรทุกค�่ำเช้าแลงงาย สัพพะกังวล อนทะราย๑๔๔ แลพยาธิก็หื้อได้คาคลาดจากสัน ตระแห่งตนตัวคนผู้นี้แล้ว ขอราทธะนาเจ้าพญาชนทั้งหลายจุ่งมารับเอายังสัพพะบัณณาการ หลายเยื่องหลายอัน แล้วน�ำมายังเป็นเครื่องปะริก�ำปูชาแก่สุท่านทั้งหลายขอหื้อหาย เสียยังโรคาแล อากาศหื้อหายเสียยังพยาธิทั้งมวลหื้อได้อยู่สรวงสวรรค์ทุกค�่ำเช้าอัน ด้วยได้มาปูชาแก่สูเจ้าทั้งหลายในกาละวันนี้แด่เต๊อะ ภาพสะตวง ๙ ห้อง เมื่อดวงชะตาของบุคคลใดตกในต�ำแหน่งมีเคราะห์หรือดวงชะตา ตกในต�ำแหน่งเสีย จึงมักมีการส่งเคราะห์ หรือบูชาพระเคราะห์ทั้ง ๙ ด้วยสะตวง ๙ ห้อง ตามผังทักษาพร้อม ใส่เครื่องพลีต่างๆ ลงใน สะตวงแต่ละช่อง บางครั้งมีการปั้นรูปสัตว์ ตัวเปิ้งลงไป ในสะตวงด้วยจึงเรียกว่าส่งเปิ้งส่งจน ๑๔๔ อันตราย ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


188 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างเรื่องพิธีกรรมกับการรักษาโรคมาพอสังเขปที่จริงแล้ว ยังมีพิธีกรรมอีกมากมายอันเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยตามความเชื่อโบราณ เช่น การสืบชะตา การส่งเคราะห์นรา ส่งเคราะห์๙ ห้อง ส่งแถน บูชาพ่อเกิดแม่เกิด รดน�้ำมนต์ ท�ำเทียนบูชา ฯลฯ ทั้งนี้เป็นไปตามวิถีความเชื่อของคนโบราณซึ่งระบบ การรักษายังไม่ประสบความส�ำเร็จนักการรักษาด้วยยาสมุนไพรและวินิจฉัยโรคเป็น ไปตามนี้ ท�ำให้คนในสมัยโบราณเจ็บป่วยและเสียชีวิตโดยง่าย ระบบทักษาที่กล่าว มาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนทั่วไปนอกจากนี้ยังมีเรื่องการ ใช้หลักทักษามาเป็นตัวก�ำหนดอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้หลายประการดังปรากฏใน ต�ำราพรหมชาติล้านนา เช่น การระบุสีถุงเป้งหรือกระเป๋าเงินให้ถูกต้องตามโฉลกสี ในทักษา อัญมณีประจ�ำตัว การใช้ดาบประจ�ำตัวที่อาศัยหลักก�ำลังดาวมาเป็นตัว ก�ำหนดความยาวของใบดาบ หรือปลายดาบแบบต่างๆ ซึ่งก�ำหนดมาจากวันเดือนปี ของผู้ใช้รวมถึงการทิศทางของบ้าน ต�ำแหน่งของบ้านกับที่ดิน ซื้อสัตว์เข้าบ้าน ภาพตารางทักษาที่ใช้ก�ำหนดในพิธีกรรมถวายข้าวเพื่อสะเดาะเคราะห์ตามทิศและก�ำลัง ของดาวพระเคราะห์ ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 189 ตัวอย ่างจากต�ำราทักษาในการดูทิศทางต�ำแหน ่งบ้านเรือนแบบล้านนา ฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงต�ำแหน่งต่างๆ ของบ้านไว้ดังนี้ ผิว่า บริวาร อยู่พายใดหื้อไว้งัวแม่งัวนมแล ลูกบ้านอยู่พายนั้นเน้อ อายุอยู่ หนใดหื้อไว้พ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่อยู่พายนั้น น�้ำบ่อก็อยู่พายนั้นดีแล เตชะ อยู่พายใดหื้อ ไว้หอกดาบ สรีอยู่พายใดหื้อไว้แก้วทั้งสามอยู่พายนั้น อุตสาหะหื้อไว้ลูกบ้านอยู่พาย นั้น มูลละไว้เสียข้าวอยู่พายนั้น อุตสาหะหื้อไว้งัวนาควายนาอยู่พายนั้น หนกาละกิณี อยู่หนใด หื้อไว้กองหญ้ากองขี้เหยื้อแลมูตตะอาจมแล ภาพผังต�ำแหน่งการสร้างเรือนตามทิศทักษา ภาพผังจักรราศีที่ใช้ในการหาฤกษ์ยามในการซื้อสัตว์เลี้ยง ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


190 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นอกจากนี้ในวิถีชีวิตผู้คนล้านนา มักจะผูกพันกับการหาฤกษ์ยามที่ดีส�ำหรับ การด�ำเนินชีวิตเสมอ มักเรียกกันว่า หามื้อจันทร์วันดี ซึ่งมื้อจันทร์วันดีนี้หรือวันที่ เป็นมงคลและอัปมงคลนั้นแท้ที่จริงเกิดจากการตีค่าความหมายดาว และการเปลี่ยน สัญลักษณ์ดาวเคราะห์ต่างๆ ให้เป็นตัวเลข มื้อจันทร์วันดีจึงหมายถึง ตัวเลขของวัน เดือนปีที่สัมพันธ์กันแล้วตีความตามความหมายตามหลักของดวงดาว จึงเกิดเป็นวัน มงคลและวันอวมงคล ท่านพระครูอดุลสีลกิตต์เจ้าอาวาสวัดธาตุค�ำ เมืองเชียงใหม่ผู้ เป็นปราชญ์แห่งล้านนาท่านหนึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับมื้อจันทร์วันดีไว้ว่า “ตำ�ราที่เกี่ยวข้อง กับวันดีวันเสียเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่เรียกกันว่าโหราศาสตร์ ซึ่งเกิดจากการคิดค�ำนวณ โดยอาศัยธรรมชาติสิงแวดล้อม และจากการบัญญัติขึ้นของผู้มีอิทธิพลในสังคม เช่น ผู้น�ำประเทศ ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ นักดาราศาสตร์ นักพยากรณ์ ได้ท�ำการ รวบรวมเป็นต�ำราไว้และใช้สืบต่อกันมานานจนเกิดการลอกเลียนแบบต่อๆกันมา” ตัวอย่างของความสัมพันธ์ตัวเลขกับค่าดาวกับวันที่นิยมใช้กับงานมงคลที่ ชัดเจนต�ำราหนึ่งคือ วันดิถีทั้งห้า คือ ปุณณาดิถีไชยยาดิถี ริตตาดิถีภัตราดิถีและ นันตาดิถี วันต่างๆเหล่านี้ล้วนเกิดจากความสัมพันธ์ของตัวเลขที่ผ่านการเปลี่ยนค่า ความหมายมาจากดวงดาวทั้งสิ้น เช่น วันนันตาดิถีนั้น ต้องเป็นวันศุกร์ขึ้นหรือแรม ๑ ค�่ำ ๖ ค�่ำ ๑๑ ค�่ำ นั่นคือการจับคู่ตัวเลข ๑ กับ ๖ หมายถึงคู่พระอาทิตย์กับดาวศุกร์ เป็นดาวคู่มิตรที่ให้คุณแก่กัน จึงเหมาะแก่งานมงคลเป็นต้น นอกจากการจับคู่ดาวที่ เป็นดาวคู่มิตรแล้วยังมีดาวคู่ธาตุคู่สมพงศ์อื่นๆเช่น คู่ ๓ กับ ๘ เป็นวันไชยยาดิถีคู่ ๔ กับ ๒ เป็นภัทราดิถีนอกจากจะจับคู่ดาวแล้วการย�้ำก�ำลังดาวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งใน การใช้ก�ำหนดวันดิถีทั้ง ๕ ด้วยเช่น วันพฤหัส ขึ้นหรือแรม ๕ ค�่ำ เป็นปุณณาดิถีหรือ วันศุกร์ขึ้นหรือแรม ๖ ค�่ำ ก็เป็นวันนันตาดิถีเป็นต้น ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


ธวัชชัย ทำ�ทอง 191 ภาพตารางวิธีการดูฤกษ์มงคล วันดิถีทั้งห้า จากความเชื่อเรื่องอ�ำนาจแห่งดวงดาวดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าที่จริงแล้วการหา ฤกษ์ยามดีแบบล้านนานั้น ล้วนมีที่มาจากการก�ำหนดสัญลักษณ์ดวงดาวให้เป็น ตัวเลขแล้วจับคู่และก�ำหนดวันตามความหมายของดาว หรือข้อห้ามของวันขึ้นมาให้ เหมาะสมกับกิจการต่างๆ ในวิถีชีวิต ซึ่งความเชื่อเรื่องฤกษ์งามยามนี้ ปัจจุบันยังมี ความส�ำคัญและคงอยู่ในวิถีชีวิตคนล้านนา ส ํ าน ั กศิ ลปะและว ั ฒนธรรม มหาว ิ ทยาล ั ยราชภ ั ฏล ํ าปาง


Click to View FlipBook Version