10.3 ความพร้อมของรถจักรยานยนต์
ี
ตรวจสอบก่อนขับข่รถจักรยานยนต์ นักขับข่ท่ดีจะต้องรอบรู้ เร่อง “รถ” หมั่น 10
ี
ื
ี
ตรวจตราและซ่อมแก้ไข ข้อบกพร่อง เข้าใจและเรียนร้ การทางานของอุปกรณ์
�
ู
รวมทั้งระบบต่างๆ ของรถจักรยานยนต์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. อุปกรณ์ และส่วนควบคุมต่างๆ ของรถจักรยานยนต์
• คันบังคับ (แฮนด์) • มือเบรก และคันเบรก • คันเร่ง
• มือคลัตช์ • ขาเปลี่ยนเกียร์
2. สวิทช์ต่างๆ
• สวิทช์กุญแจ • สวิทช์ ไฟเลี้ยว • สวิทช์ไฟหน้า
10.4 วิธีการตรวจสอบสภาพรถจักรยานยนต์ เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
รถจักรยานยนต์ จะต้องมีการดูแลรักษาและตรวจสภาพให้มีความพร้อมอยู่เสมอ โดยมีวิธีการตรวจสอบดังนี้
1. น�้ามัน เปิดดูถังน�้ามันมีน�้ามันเพียงพอหรือไม่ในการเดินทางแต่ละเที่ยว
้
ี
�
2. นามันเคร่อง ต้องดูระดับของนามันเคร่องอยู่ในระดับท่ก�าหนดไว้หรือไม่ ความสะอาดของนามันเครื่อง
ื
้
�
ื
�
้
ดูความหนืดของน�้ามันเครื่องเพื่อลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
3. ยาง
• ตรวจดูว่ายางทั้ง 2 ล้อ อ่อนหรือแข็งเกินไปหรือไม่ มีตะปู เข็มหรือหินที่ติดอยู่ในร่องยางหรือไม่
• ตรวจดูรอยสึกของยางและรอยฉีกขาด โดยดูจากดอกยางต้องตรวจดูซี่ล้อด้วยว่าหลวมหรือไม่
• ตรวจความดันลมของยางโดยกดยางล้อหน้าและหลังด้วยนิ้วโป้ง (ในกรณีที่ไม่มีเครื่องวัดลมยาง)
ั
ั
4. โซ่ ตรวจสอบความตึงของโซ่ให้หย่อนประมาณ 10–20 มิลลิเมตร (ขณะต้งรถอยู่บนขาต้ง) และหยอด
น�้ามันโซ่ด้วย
5. เครื่องยนต์ ตรวจเครื่องยนต์ว่ามีรอยรั่วที่ส่วนใดบ้าง และมีน�้ามันเครื่องหล่อลื่นเพียงพอหรือไม่
6. เบรก
• ตรวจเบรกหน้าโดยใช้มือทั้งสองจับคันบังคับ (แฮนด์) แล้วจูงรถเคลื่อนไปข้างหน้าจากนั้นให้บีบเบรกหน้า
ี
ื
• ตรวจเบรกหลังโดยการข้นน่งบนรถ และใช้ขาซ้ายแตะพ้นขาขวาอยู่ท่ขาเบรกดันรถไปข้างหน้าแล้วกดเบรก
ึ
ั
�
7. คลัตช์ ตรวจดูสายคลัตช์ว่าหลุดหรือขาดบ้างหรือไม่ ตรวจการทางานของคลัตช์ โดยใช้มือบีบคลัทช์
8. ระบบไฟและแตร ตรวจสอบไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้ายและแตรว่าสามารถใช้ได้หรือไม่
9. แบตเตอรี่ ตรวจระดับน�้ากลั่นของแบตเตอรี่ว่าแห้งต�่ากว่าก�าหนดหรือไม่
10. กระจกมองหลัง ตรวจดูว่ากระจกมองหลังอยู่ในตาแหน่งท่มองเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ และควรทาความสะอาดเป็น
�
�
ี
ประจ�า
�
11. ที่วางเท้า ตรวจดูว่าที่วางเท้ายื่นออกมาหรือยัง ยางหุ้มขาดหรือไม่ หากที่วางเท้าไม่ยื่นออกมาตามตาแหน่ง
ที่ถูกต้องจะทาให้ขับขี่ด้วยท่าที่ถูกต้องไม่ได้ ไม่สะดวกต่อการใช้เบรกและการเปลี่ยนเกียร์
�
12. การติดเครื่อง ตรวจสอบโดยการติดเครื่องแล้วฟังดูว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่
251
บทที่ 10 การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
ี
10.5 การขับข่ต้องคานึงถึงสภาพถนน ดิน ฟ้า อากาศและสภาพแวดล้อม
ำ
1. ฝน
การขับขี่รถจักรยานยนต์ขณะฝนตกผู้ขับขี่มักจะก้มหน้าอยู่เสมอ จึงควรลด
ี
ความเร็ว และระวังทางข้างหน้าให้มาก ควรสวมหมวกนิรภัยท่มีท่บังลมท่เล่อน
ี
ี
ื
ี
ึ
ิ
ั
ข้นลงได้ เวลาฝนตกถนนลื่น ดังน้นควรระมัดระวังเวลาเล้ยวโค้งจะต้องท้งระยะ
ระหว่างรถให้เพียงพอและมากกว่าปกติ
2. ลม
เมื่อลมพัดมาแรง อาจท�าให้ฝุ่นละออง หรือผงทรายปลิวเข้าตาได้ จึงควรใส่
หน้ากากและผ้าปิดจมูก เมื่อขับขี่ผ่านทางออกของอุโมงค์ หุบเขา ถนนที่มีตึกสูง
ตั้งอยู่ลมจะแรงมาก จึงควรที่จะลดความเร็ว และเว้นระยะให้ห่างจากรถอื่นเพื่อ
ความปลอดภัย
3. กลางคืน
ื
ิ
ในเวลากลางคืนหากส่งแวดล้อมไม่ดีจะทาให้ผู้ใช้รถคนอ่นสังเกตเห็น
�
จักรยานยนต์ได้ไม่ชัดเจน จึงจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับรถยนต์ รถ
บรรทุก ที่กาลังจอดอยู่ สิ่งกีดขวาง ถนนโค้งมุม หรือเว้าควรใช้ไฟสูงและไฟต�่าให้
�
ถูกจังหวะ
4. ถนน
สภาพของถนนเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ในการขับขี่
ื
จะต้องทราบถึงลักษณะของถนนว่าเป็นอย่างไร ลาดยาง ลูกรัง คอนกรีต เพ่อ
จะได้ใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพของถนน ให้ความสนใจกับป้ายเตือน
ื
่
ื
ข้างทางเพอจะได้ทราบว่าถนนข้างหน้าเป็นอย่างไร เพอทท่านจะได้สามารถ
่
่
ี
ี
เตรียมตัวรับกับสภาพถนนข้างหน้าได้ล่วงหน้า ศึกษาเส้นทางท่ท่านจะไป
พร้อมท้งวางแผนการเดินทาง สภาพถนนท่มีลักษณะทางร่วมทางแยก เส้นทาง
ี
ั
ิ
รถไฟตัดผ่านวงเวียน สะพาน ฯลฯ จะต้องเพ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ และ
ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายบังคับอย่างเคร่งครัด
5. การขับขี่บนถนนที่สภาพไม่ดี
�
ถนนขรุขระ มีกรวด ทราย ผู้ขับขี่ จะรักษาการทรงตัวลาบาก จึงควรลดเกียร์
ให้ต�่าลง ลดความเร็ว การบังคับคันบังคับ (แฮนด์)จะต้องได้สมดุลกับการเคลื่อน
�
ไหวของลาตัวที่เปลี่ยนไปตามสภาพถนน
�
6. วิธีการจะทาให้รถวิ่งได้สมดุลบนถนนกรวด
�
• กระชับเข่าทั้งสองข้างเข้ากับถังน�้ามันตามความจาเป็น
่
่
ี
ั
• ถอนก�าลงทแขนและบา เพอใหการเคลอนไหวของรางกายมีความยดหยนไดบ้าง
้
่
ื
ุ
ื
่
้
ื
่
่
�
ึ
ั
�
• ยกสะโพกข้นทาให้ตาแหน่งของแรงถ่วงท้งหมดจะสูงข้นสามารถท่จะปรับการ
ึ
ี
ทรงตัวได้ง่าย
่
• หากขบขรถโดยไม่แนบเขากบถงนามัน การเคลอนไหวของคนและรถจะไม่พรอม
ั
�
ั
ื
่
่
้
้
ี
ั
�
�
เพรียงกัน การกระชับรถด้วยเข่ากะทันหันจะทาได้ช้าและทาให้บังคับรถได้ยาก
• การให้แรงไปยังขาและแขนมากเกินไปจะท�าให้การบังคับคันบังคับ (แฮนด์)
ไม่มั่นคง
252
10.6 การประกันภัย
การประกันภัย คือการประกันความเสียหาย อันเกิดจากการใช้รถยนต์ จ�าแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 10
1. การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Third Party Insurance)
หมายถึง การประกันภัยรถยนต์ท่ถูกบังคับโดยกฎหมาย เพ่อความคุ้มครองต่อความสูญเสียของชีวิต ร่างกาย
ี
ื
ี
บุคคล ผู้ประสบภัยจากรถยนต์ ในปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายท่เรียกว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัย
ื
่
่
ี
จากรถ พ.ศ. 2535” (พ.ร.บ.) เพ่อให้ประชาชนผู้ประสบภัยได้รับความคุ้มครอง และการชดใช้ค่าเสียหายทแนนอน
รวดเร็ว และเป็นธรรม
2. การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Motor Insurance)
หมายถึง การประกันภัยท่เกิดข้น โดยความสมัครใจของเจ้าของรถยนต์ ผู้ครอบครองรถยนต์ หรือผู้ขับข่รถยนต์
ี
ึ
ี
โดยไม่ได้เกิดจากการถูกบังคับโดยกฎหมายแต่อย่างใด การประกันภัยรถยนต์ท่ใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาด
ี
ประกันภัย ในปัจจุบันนี้เป็นการประกันภัยในภาคสมัครใจ แบ่งออกเป็น 2 แบบ การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
2.1. กรมธรรม์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ (Un-Named Driver) เป็นกรมธรรม์แบบเดิมที่คุ้มครอง ผู้ขับขี่คนใด
ก็ได้ที่ผู้เอาประกันภัย ยินยอมให้ขับขี่เสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย
2.2. กรมธรรม์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่ (Named Driver) เป็นกรมธรรม์แบบใหม่ที่น�าเอาอายุผู้ขับขี่มาเป็นองค์
ประกอบในการก�าหนดอัตราเบี้ยประกันภัย และคุ้มครอง แต่ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดต่อค่าเสียหายที่เกิด
ี
ี
ั
้
ข้นของอุบัติเหตุแต่ละคร้งด้วย กรมธรรม์แบบน ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นบุคคลธรรมดาท่ใช้รถส่วนบุคคล และ
ึ
สามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ได้ ไม่เกิน 2 คน
ในปัจจุบันน้นประเภทของประกันภัยรถยนต์ ได้มีการเพ่มข้นอีกหลายรูปแบบด้วยกัน โดยหลักแล้วมาจากประเภทของประกันภัย
ึ
ิ
ั
ทั้ง 2 ประเภท ประเภทของประกันภัยที่เกิดขึ้น มีประกันภัยรถยนต์ 2+ และประกันภัยรถยนต์ 3+
10.7 การศึกษาเส้นทางก่อนเดินทาง
ื
ศึกษาเส้นทางก่อนการเดินทางทุกครั้ง เน่องจากหากต้องเดินทางไป
ี
ในเส้นทางท่ไม่เคยไปมาก่อน อาจะเกิดความวิตกกังวล ลังเลและเครียด
ี
เน่องจากผู้ขับข่จะต้องใช้ประสาทสัมผัสทุกส่วน เช่น สายตามองป้าย
ื
บอกทาง บางครั้งเมื่อมีสิ่งรบกวนอื่นๆ เช่น ฝนตก หมอกควัน ที่มองไม่
เห็นป้ายหรือเครื่องหมายนาทาง จะเพ่มความวิตกกังวลให้กับผู้ขับข ี ่
�
ิ
�
ั
ึ
การเตรยมตวศกษาเสนทางจึงมประโยชนในการนามากาหนดระยะทาง
ี
์
�
้
ี
เส้นทางที่ผู้ขับขี่เลือก และลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุได้
253
บทที่ 10 การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
10.8 สังคมนาเมา
ำ
้
ั
ื
ื
ื
ี
สถิติคนไทยด่มเคร่องด่มแอลกอฮอล์ติดอันดับโลกน้น แสดงว่าผู้ขับข่ใน
ประเทศไทยก็เสี่ยงต่อการดื่มสุราเช่นกัน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน อัตราการเกิด
ื
อุบัติเหตของผู้ใช้เคร่องด่มแอลกอฮอล์ นอกจากจะสูงมากแล้วยังก่อความเสยหาย
ุ
ื
ี
ั
ต่อชีวิต และทรัพย์สินท้งของตนเองและผู้อ่น หลายคร้งพบว่าคู่กรณีของคนท่ด่ม
ื
ี
ื
ั
สุรามักเป็นผู้ท่มีประโยชน์ต่อสังคมท่ไม่น่าสูญเสีย ผลกระทบเหล่าน้วัดประเมินค่า
ี
ี
ี
ั
�
ี
เป็นจานวนเงินไม่ได้ แต่น่นหมายถึงคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมท่มีค่ามากกว่า
ค�านวณเป็นต้นทุน
10.9 การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“แอลกอฮอล์” มีฤทธิ์กดการท�างานของประสาทส่วนกลาง ท�าให้การท�างานของร่างกายช้าลง ประสาทตาจะ
หย่อนสมรรถภาพ การรับรู้ภาพและเสียงช้าลง ขอบเขตการมองเห็นแคบลง การเห็นภาพและคาดคะเนระยะทาง
ผิดไปส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะทาให้ความ
�
สามารถในการขับขี่ลดลงร้อยละ 8 และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติ หากระดับ
แอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่า
พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2557 ก�าหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดส�าหรับผู้ขับขี่ไม่เกิน 50
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากเจ้าพนักงานตรวจพบหรือผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่รับการตรวจ จะต้องระวางโทษจา
�
คุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจ�าทั้งปรับ และพักใช้ใบอนุญาต 6 เดือนหรือ
เพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
ี
ี
ในกรณีท่ตรวจแล้วพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือเกินกว่าท่กฎหมาย
ก�าหนดไม่มากนัก และผู้ที่ถูกตรวจไม่แน่ใจในผลการตรวจวัดฯ หรือคิดว่าตัวเองไม่เมาเหล้าถึงขนาดนั้น ผู้ที่ถูก
ตรวจมีสิทธ์ตามกฎหมาย ท่จะร้องขอการตรวจพิสูจน์ได้โดยวิธีการตรวจจากปัสสาวะ และตรวจวัดจากเลือด
ี
ิ
ี
ี
�
ี
�
โดยแจ้งกับเจ้าหน้าท่ท่ทาการตรวจวัด ซึ่งการตรวจวัดน้จะกระทาภายใต้การกากับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพ
�
เวชกรรมตามกฎหมาย
การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ของผู้ขับขี่ยานพาหนะ
254
10.10 การใช้ยา
“ยา”หลายชนิดมีผลข้างเคียงต่อร่างกายทาให้เกิดอาการง่วงซึม เวียนศีรษะ ฯลฯ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพ 10
�
ในการขับขี่ลดลง น�าไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ เทียบเท่ากับการดื่มแอลกอฮอล์ แบ่งประเภทได้ดังต่อไปนี้
ี
ี
1. ยาท่หาซ้อได้ท่วไปท่มีผลทาให้สมรรถนะในการขับขี่ลดลงอย่างรุนแรง ผู้ใช้ยาน้ควรงดการขับข่โดย
ี
�
ื
ี
ั
สิ้นเชิง เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้เวียนศีรษะเมารถกลุ่ม (Dimenhydrinate) ผลข้างเคียงท�าให้ง่วงซึม เวียนศีรษะ
มึนงง มองไม่ชัด และผลนี้ อาจยาวนานได้ถึง 24 ชั่วโมง ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ ยาแก้แพ้ Chlopheniramine
(CPM) ยาแก้แพ้ชนิดที่ระบุว่า “ไม่มีอาการง่วง” แต่ยังพบผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ มึนงง มองเห็นไม่ชัด
เช่น Cetirizineหรือ Loratadine ผู้ใช้ยานี้ควรงดเว้นการขับขี่
ี
ี
ิ
2. ยาทแพทย์สั่ง ทมผลทาให้สมรรถนะในการขับขีลดลงอย่างรุนแรง ผู้ใช้ยาน้ควรงดการขับข่โดยส้นเชิง
่
ี
่
�
่
ี
ี
เช่น ยานอนหลับ ยารักษาโรคทางจิตเวช และยารักษาโรคทางระบบประสาททุกชนิด ผลข้างเคียงกระทบ
การทางานของ ระบบประสาทอย่างมาก เช่น เวยนศีรษะ ง่วงซึม ตาลาย มองเห็นภาพซ้อน อ่อนเพลีย การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
ี
�
ั
ี
่
่
โดยเฉพาะยากนชัก ผ้ใช้ยานควรงดเว้นการขบข ยารักษาโรคเบาหวาน โดยเฉพาะชนดฉด (อนซลน) เพม
้
ี
ั
ิ
ู
ู
ิ
ี
ิ
ิ
ิ
ี
ความเส่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุถึง 2 เท่าจากปกต ผลข้างเคียงท่รุนแรง หากผู้ป่วยฉีดยาเกินขนาดโดยไม่ได้
ี
ต้งใจ หรือไม่ได้รับประทานอาหารทาให้เกิดภาวะนาตาลในเลือดตา ซึ่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงท่รุนแรง เช่น
้
ั
�
�
�
่
ี
เวียนศีรษะ กระวนกระวาย ใจสั่น ง่วงซึม ชัก หรือ หมดสต และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา ในทาง
ิ
�
่
ี
�
ู
ิ
ั
ตรงกนข้ามหากผ้ป่วยฉดยาตากว่าขนาดทแพทย์กาหนดหรือรบประทานอาหารหวานมากเกนไป อาจทาให้
่
ี
�
ั
้
เกิดภาวะนาตาลในเลือดสูง ก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ง่วงซึม อ่อนเพลีย ซึ่งมีผลต่อการขับข ี ่
�
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดฉีดอินซูลิน ควรงดการขับขี่โดยสิ้นเชิง
3. ยาที่หาซื้อได้ทั่วไป ที่มีผลลดสมรรถนะในการขับขี่ ผู้ใช้ยานี้ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ ได้แก่
3.1 ยาลดกรด รกษาโรคกระเพาะบางชนด เช่น Ranitidine ผลข้างเคยงคอ เวยนศรษะ มึนงง ยาแก้ปวด
ี
ี
ั
ิ
ื
ี
ั
คลายกล้ามเน้อ รู้จักในชื่อยาแก้อักเสบหรือยาแก้ปวดคลายเส้น โดยท่วไปจะไม่มีผลข้างเคียงต่อการขับข ่ ี
ื
แต่จากการศึกษาพบว่า ยาแก้ปวดบางชนิดมีผลข้างเคียง เช่นเวียนศีรษะ มึนงง อยู่ด้วย หรือยาแก้ปวด
บางชนิดมียาแก้แพ้เป็นส่วนประกอบ
3.2 ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของสารโคเดอีน หรือที่เรารู้จักกันในรูปของยาแก้ไอน�้าด�า เกิดผลข้างเคียงคล้ายกับ
ยาแก้แพ้ เช่น เวียนศีรษะ ง่วงซึม มึนงง มองไม่ชัด ซึ่งอาการเหล่านี้จะรุนแรงมากขึ้น หากรับประทานกับ
ยาที่ให้ผลข้างเคียงคล้ายกัน เช่น ยาแก้แพ้ หรือยานอนหลับ
3.3 ยาแก้ปวดท้อง ยาลดกรด คลื่นไส้อาเจียน บางชนิดท�าให้เกิดอาการง่วงซึม มึนงงเวียนศีรษะ แตกต่างกัน
ตามตัวยา โดยเฉพาะยาแก้ปวดท้อง (Hyoscine) ซึ่งพบผลข้างเคียงเหล่านี้ได้มากกว่ายาชนิดอื่น
4. ยาที่แพทย์สั่งบางชนิด มีผลรบกวนสมรรถนะในการขับขี่ ผู้ใช้ยานี้ควรหลีกเลี่ยง การขับขี่ เช่น ยารักษา
โรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคหัวใจ ซึ่งประกอบด้วยยาหลายกลุ่ม เช่น ยาขับปัสสาวะ ยากลุ่มขยาย
หลอดเลือด ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ผลข้างเคียง ได้แก่ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย กระวนกระวาย
ยารักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหอบหืด มักเป็นยาพ่น ผลข้างเคียง เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เวียนศีรษะ
กระวนกระวาย ปวดเมื่อย และอ่อนเพลีย ทั้งระยะสั้นและระยะยาว แม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามในการขับขี่หลังจาก
ใช้ยาน้โดยตรง แต่ผู้ขับข่ควรใช้ความระมัดระวัง พิจารณาสภาพร่างกายและผลข้างเคียงท่เกิดข้นของยาอย่าง
ึ
ี
ี
ี
รอบคอบก่อนการขับขี่
255
บทที่ 10 การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
กล่าวโดยสรุป ผลข้างเคียงของยาหลายชนิดมีผลต่อการขับขี่ยานพาหนะ
• ยาที่แพทย์สั่ง เช่น ยานอนหลับ ยารักษาโรคทางจิตเวช ยารักษาโรคทางระบบประสาททุกชนิด และยารักษา
เบาหวานชนิดฉีด (อินซูลิน) มักมีผลข้างเคียงทางด้านระบบประสาทอย่างมาก เช่น เวียนศีรษะ ง่วงซึม ตาลาย
มองเห็นภาพซ้อน อ่อนเพลีย โดยเฉพาะยากันชัก
• ผู้ที่ซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาแก้แพ้ทั่วไป ควรงดการขับขี่ยานพาหนะ โดยเด็ดขาดและระลึกไว้เสมอว่า
ผลข้างเคียงของยาอาจอยู่นาน ถึง 24 ชั่วโมง
• ผู้ขับขี่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยา แก้ไอ แก้ปวดท้อง แก้ปวดกล้ามเนื้อคลายเส้น
�
ี
ี
ี
• ผู้ขับข่ท่รับประทานยาเป็นประจ�าตามคาสั่งแพทย์ ท่ตัวยามีผลข้างเคียงทาให้เวียนศีรษะ มึนงง ควรหลีกเลี่ยง
�
การขับขี่ในขณะรับประทานยาเหล่านี้
NOTE
256
10.11 โรคที่มีผลต่อการขับขี่
ี
เน่องจากต้องรับมือกับสภาวะความเครียด และใช้สมาธิอย่างต่อเน่องเป็นเวลานานๆ ในการขับรถ ผู้ขับข่จ�าเป็น 10
ื
ื
ี
ต้องมีสภาวะร่างกายท่แข็งแรงสมบูรณ์ หากมีโรคประจ�าตัว ควรมีข้อควรระวัง จ�าแนกตามชนิดของโรคต่างๆ ดังน ้ ี
1. โรคเบาหวาน
ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมักเกิดจากภาวะน�้าตาลในเลือดต�่า ความเสี่ยงนี้แตกต่างกันตามความรุนแรง
ของโรค โดยอาจมีอาการใจสั่น กระสับกระส่าย คลื่นไส้ เหงื่อออก หรือรู้สึกหิว ซึ่งควรรับประทานน�้าผลไม้ หรือ
นมทันที หากภาวะน�้าตาลในเลือดต�่ารุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดอาการ มึนงง ตัวเย็น หลงลืม ชัก หมดสติ
และเสียชีวิตได้
ี
1) ผู้ท่รักษาโดยการควบคุมอาหารอย่างเดียว หากไม่มีผลข้างเคียงจากโรค เช่น ภาวะตาพร่ามัวจากเบาหวาน การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
สามารถขับขี่รถได้ตามปกติ
ิ
่
ี
ู้
ี
�
้
2) ผู้ท่รักษาโดยยากิน ซึ่งไม่มีผลความเส่ยงต่อภาวะนาตาลในเลือดตา สามารถขับขรถได้ตามปกต ผท่รักษา
ี
ี
่
�
่
�
้
ี
ี
้
โดยยากินซ่งอยู่ในกลุ่มยาท่มีความเส่ยงต่อภาวะนาตาลในเลือดตา และไม่มีอาการแสดงของภาวะนาตาล
�
ึ
�
ในกระแสเลือดต�่าในระดับ ซึ่งต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นใน 3-12 เดือนที่ผ่านมา สามารถขับขี่ได้
�
�
้
�
่
้
โดยต้องระมัดระวังและตระหนักถึงภาวะนาตาลในเลือดตาและมีการตรวจดูระดับนาตาลในเลือด อย่าง
น้อย 2 ครั้งต่อวัน
ี
ี
�
3) ผู้ป่วยท่เป็นโรคเบาหวาน ท่รับการรักษาโดยการฉีดอินซูลิน ต้องไม่มีอาการของภาวะระดับนาตาลใน
้
เลือดต�่าในระดับซึ่งต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นใน 3-12 เดือนที่ผ่านมา สามารถขับขี่รถได้โดยต้อง
�
ระมัดระวังและตระหนักถึงอาการแสดงของภาวะนาตาลในเลือดตา และมีการตรวจระดับนาตาลในเลือด
่
�
้
้
�
อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน และต้องผ่านการตรวจสายตา อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ซึ่งมีภาวะน�้าตาลในเลือดต�่า
ซึ่งไม่ปรากฏอาการ ควรงดการขับขี่จนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ โดยสรุปแล้วผู้ป่วยโรคเบาหวาน
�
่
ควรตระหนักถึงอาการของภาวะนาตาลในเลือดตาชนิดเบาและรุนแรง โดยควรหยุดพักการขับข่เป็นระยะๆ
�
ี
้
ั
และรับประทานอาหารว่าง รวมท้งเตรียมของหวานไว้ใกล้ตัว สาหรับเมื่อเผชิญสัญญาณเตือนของภาวะ
�
้
�
นาตาลในเลือดตา ปฏิบัติตามคาแนะนาของแพทย์ และใส่ป้ายสายคล้อยข้อมือ เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็น
�
�
่
�
โรคเบาหวาน เพื่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือ หากมีภาวะน�้าตาลในเลือดต�่าชนิดรุนแรง
257
บทที่ 10 การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
2. โรคลมชัก
ี
ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถท่มีประวัติการชัก ควรได้รับการพิจาณาโดยแพทย์อย่างระมัดระวังทุกกรณ ผู้ซ่งมี
ึ
ี
อาการชักจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาจ�าเป็นต้องได้รับการรักษาจนไม่มีอาการ อย่างน้อย 6 เดือน ผู้ขับขี่ที่มี
อาการชัก 2ครั้งขึ้น ภายในระยะเวลา 5 ปี และไม่มีการชักโดยปราศจากปัจจัยกระตุ้นเกิดขึ้นในระยะเวลา 1 ปี
อย่างไรก็ตาม การชักบางชนิดจะได้รับการงดเว้น เช่น การชักจากการปรับยาและเกิดขึ้นมากกว่า 6 เดือนก่อน
ขอรับใบอนุญาตขับรถ การชักที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับที่เกิดขึ้นนานกว่า 1 ปีก่อนขอรับใบอนุญาตขับรถ โดยไม่
เคยพบการชักขณะตื่น หรือการชักที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับที่เกิดขึ้นนานกว่า 3 ปีก่อนขอรับใบอนุญาตขับรถ โดย
พบการชักโดยปราศจากปัจจัยกระตุ้น (Unprovoked Seizure) ขณะตื่นนานกว่า 3 ปีก่อนขอรับใบอนุญาตร่วม
ด้วย การชักชนิดแยกส่วนซึ่งเกิด (Isolate Seizure) นานกว่า 6 เดือนก่อนขอรับใบอนุญาตขับรถ หรือนานกว่า
1 ปี หากมีโรคซึ่งเป็นสาเหตุการชักนั้นและอาจเพิ่มความเสี่ยงในอนาคต และทั้งสองกรณีต้องไม่พบการชักโดย
ปราศจากปัจจัยกระตุ้น
ั
ึ
ี
�
สาหรับผู้ขับข่รถสาธารณะ เช่น รถประจ�าทาง ซึ่งมีอาการชัก 2 คร้งข้นไป หรือจ�าเป็นต้องใช้ยากันชักเพ่อ
ื
ี
ควบคุมอาการใน 10 ปี ท่ผ่านมานับจากการชักครั้งสุดท้ายและไม่ได้ใช้ยากันชักใดๆ การชักชนิดแยกส่วน
ี
ื
ซึ่งไม่มีการชักโดยปราศจากปัจจัยกระตุ้น และไม่ได้ใช้ยากันชักเพ่อควบคุมอาการ นานกว่า 5 ปี สามารถขับข่รถได้
3. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
ี
ี
ี
ิ
ผู้ขับข่รถยนต์ท่เคยผ่านการผ่าตัดหัวใจ หรือเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจสามารถขับข่ได้ตามปกต โดยพึงระวัง
ถึงความปลอดภัยของตนเอง อย่างไรก็ตาม ควรหยุดขับขี่อย่างน้อย 1 เดือน หลังจากได้รับการผ่าตัดหัวใจ หรือ
มีอาการเจ็บหน้าอก หากมีอาการเจ็บหน้าอกขณะพัก หรือเมื่อเกิดความเครียด ควรหยุดขับขี่จนกว่าจะสามารถ
ื
ี
ี
ควบคุมอาการได้ ในกรณีท่ผู้ขับข่ได้รับการใส่เคร่องกระตุ้นหัวใจ ควรหยุดขับข่ทุกกรณ จนกว่าจะได้รับการรับรอง
ี
ี
ี
จากผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ผู้ขับข่รถสาธารณะควรหยุดการขับข่ทุกกรณ จนกว่าจะได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญ
ี
ี
ด้านโรคหัวใจ
4. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
สามารถท�าการขับขี่รถต่อไปได้ หากไม่มีอาการที่ส่งผลต่อการควบคุมยานพาหนะ
5. โรคไต เช่น ภาวะไตวายเรื้อรัง หรืออยู่ระหว่างการฟอกเลือด
�
่
ิ
่
้
่
ี
่
้
ี
สามารถขบขรถได ยกเวนวาพบปญหาในดานเกลือแรอยางรุนแรง จนทาใหเสยงตอการหมดสต หรือไมสามารถ
ั
้
้
่
่
่
ั
ควบคุมรถได้ ไม่ควรขับขี่รถสาธารณะ
6. โรคหอบหืดและถุงลมโป่งพอง
สามารถขับขี่ได้ตามปกติ หากไม่มีอาการระดับที่เสี่ยงต่อการหมดสติ หรือไม่สามารถควบคุมรถได้
7. ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง หรืออยู่ระหว่างรับการรักษาโดยเคมีบำาบัดหรือรังสีรักษา
ี
สามารถขับข่รถได้ หากไม่มีการกระจายตัวไปยังสมอง หรืออ่อนเพลียมากจากอาการแสดงของมะเร็ง
(Cachexia)หรือ แพร่กระจายไปยังแขนขา ท�าให้ไม่สามารถควบคุมยานพาหนะได้
258
8. ผู้เป็นใบ้
สามารถขับขี่รถได้ตามปกติ 10
9. ผู้ติดเชื้อ HIV
สามารถขับขี่รถได้ตามปกติ
10. โรคความดันโลหิตสูง
ี
ผู้ขับข่รถยนต์ส่วนตัวสามารถขับข่ได้ถามปกต นอกจากจะพบผลข้างเคียงจากยาดังท่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ผู้ขับข ่ ี
ี
ี
ิ
รถยนต์สาธารณะไม่ควรขับขี่เมื่อความดันโลหิตขณะพักผ่อนสูงกว่า 180/100 ค่าใดค่าหนึ่ง
11. สายตา และการมองเห็น
ผู้ที่สูญเสียดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง สามารถขับขี่ได้ หากสายตาเป็นไปตามที่ก�าหนด ผู้ขับขี่ต้องได้รับการตรวจ การเตรียมความพร้อมก่อนขับขี่รถจักรยานยนต์
่
ุ
สายตา โดยไมพบภาวะลานสายตาแคบ หรอภาวะเหนภาพซ้อน/เบลอ ทไม่สามารถควบคมได สาหรับลานสายตา
ี
้
่
�
ื
็
มีข้อก�าหนดดังนี้
1) ลานสายตา (Visual Field) สาหรับผู้ขับข่รถยนต์ส่วนตัว ต้องมีความกว้างของลานสายตามากกว่าหรือ
ี
�
เท่ากับ120 องศา โดยแบ่งเป็น 50 องศา ด้านซ้ายและขวา 20 องศา ด้านบนและล่าง โดยไม่พบความ
ผิดปกติในช่วง20 องศาตรงกลางลานสายตา
2) ลานสายตา (Visual Field) ส�าหรับผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะ จ�าเป็นต้องมีข้อก�าหนดที่สูงกว่าผู้ขับขี่รถยนต์
ส่วนตัว โดยต้องมีความกว้างของลานสายตามากกว่าหรือเท่ากับ 160 องศา โดยแบ่งเป็น 70 องศา ด้าน
ซ้ายและขวา 30 องศา ด้านบนและล่าง โดยไม่พบความผิดปกติในช่วง 30 องศาตรงกลางลานสายตา
3) ภาวะบกพร่องทางสายตาที่ส�าคัญ (Visual Disability) ผู้ที่ตาบอดสีไม่สามารถขอรับใบอนุญาตขับรถได้
ึ
ี
ผู้ท่เห็นภาพซ้อน ควรหยุดขับข่จนกว่าจะได้การรักษาโดยจักษุแพทย์ ผู้ป่วยท่พ่งสูญเสียดวงตาไปข้างหน่ง
ี
ึ
ี
ึ
จ�าเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวต่อการมองเห็นด้วยตาข้างเดียว ซึ่งข้นกับสภาพร่างกายของและบุคคล
ผู้ขับขี่จึงควรใช้ความระมัดระวังในช่วงนั้น
4) ความสามารถในการมองเห็น (Visual Acuity) ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวและสาธารณะ ต้องมีค่าสายตาที่สูง
กว่า 20/60, 6/12, 0.5 หรือไม่สามารถมองเห็นเลขทะเบียนของรถคันหน้าที่อยู่ห่าง 20 เมตร ขณะใส่แว่น
สายตาไม่ควรขับขี่ ผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะซึ่งสายตาข้างใดข้างหนึ่งแย่กว่า จ�าเป็นต้องมีค่าสายตาข้างที่
ปกติมากกว่าหรือเท่ากับ 0.8 (6/7.5) และ 0.1(6/60) ในข้างที่แย่กว่า
12. Driver Drowsiness Detecting
ปัจจุบันในรถบางรุ่นจะมีระบบตรวจจับภาวการณ์เหนื่อยล้าและง่วงนอนของผู้ขับขี่ โดย
ี
1) การตรวจจับลักษณะการเคล่อนท่ของยานพาหนะ เช่น การขับออกนอกเลน การเหยียบคันเร่ง การหมุน
ื
พวงมาลัย
2) การตรวจจับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ เช่น การหาว การกะพริบตา และการเคลื่อนไหวของศีรษะ
�
ื
3) การตรวจจับลักษณะทางร่างกาย เช่น คลื่นไฟฟ้าสมอง คล่นไฟฟ้าหัวใจ เมื่อตรวจพบจะทาการกระตุ้น
ส่งเสียง หรือ สัญญาณเตือนผู้ขับขี่ต่อไป
259
บันทึก
260
11
บทที่
เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ื
�
บนท้องถนนในประเทศไทย คนจานวนมากเลือกใช้จักรยานยนต์เน่องจากราคาไม่แพง ประหยัดเชื้อเพลิง
ใช้พ้นท่จอดน้อย และสามารถแทรกระหว่างรถยนต์ได้ในกรณีท่สภาพการจราจรติดขัด แต่เน่องจากรถจักรยานยนต์
ี
ี
ื
ื
ี
ิ
ู้
ั
ู
ั
่
่
้
ั
ู้
ั
ไม่มีโครงสร้างทจะป้องกนผขบขเมื่อเกดอบัติเหต จึงทาใหผขบข และผ้โดยสารได้รบอันตรายมากเมือเกิดอุบัตเหต ุ
ี
่
ุ
ุ
�
ี
่
ิ
ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงจ�าเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ถูกต้องและปลอดภัย
261
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11
บทที่ เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.1 ส่วนประกอบของรถจักรยานยนต์
1. คันบังคับ (แฮนด์) 2. ไฟหน้า 3. ไฟเลี้ยวด้านหน้า 4. กระจกมองข้าง
5. ถังน�้ามัน 6. ที่นั่ง (เบาะนั่ง) 7. ไฟท้าย 8. ไฟเลี้ยวด้านท้าย
262
11
9. เครื่องยนต์ 10. แป้นเกียร์ 11. ที่พักเท้าผู้ขับขี่ 12. ขาตั้งข้าง
13. ขาตั้งกลาง 14. โซ่ 15. ที่พักเท้าผู้โดยสาร 16. ท่อไอเสีย เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
17. เบรกล้อหลัง 18. แป้นเบรกเท้า 19. เบรกล้อหน้า 20. กระจกมองข้างด้านซ้าย
21. หน้าปัดความเร็ว 22. หน้าปัดสัญญาณต่างๆ 23. ระดับน�้ามันเบรก 24. กระจกมองข้างด้านขวา
25. คันคลัตช์ หรือคันเบรกหลัง กรณีรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ 26. สวิตช์ไฟเลี้ยว 27. ปุ่มแตร
28. สวิตช์ไฟหน้า 29. ฝาถังน�้ามัน 30. ช่องเสียบกุญแจ 31. ปุ่มสตาร์ทมือ
32. คันเร่ง 33. คันเบรกมือ
263
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.2 การตรวจสอบความพร้อมของรถจักรยานยนต์
1. “น�้ามัน” ตรวจสอบว่ามีน�้ามันเพียงพอ
ี
2. “ยาง” ตรวจสอบลมยางด้วยการบบ ยางไม่แบน
ั
หรือไม่ร่ว และมีดอกยางลึกมากกว่า 1.6 มิลลิเมตร
ั
3. “ไฟส่องสว่าง” เปิดไฟท้งหมดว่าสามารถใช้งานได้
ั
ี
โดยทดสอบไฟหน้า ท้งไฟสูงและไฟตา ไฟเล้ยวซ้าย
�
่
ลมยางอ่อน เป็นหน่งใน
ึ
สาเหตุหลักของการเกิดยาง และขวาทั้งด้านหน้าและหลัง ไฟท้าย ไฟเบรก และ
ระเบิดขณะขับขี่ ไฟสัญญาณบริเวณหน้าปัดสัญญาณ
เข็มวัดระดับน�้ามัน
ตรวจสอบลมยางด้วยการใช้นิ้วกด จุดสะพานยาง
4. “แตร” กดทดสอบการท�างานของแตร
ื
5. “นามันเคร่อง” เมื่อดับเคร่องยนต์และจอดอยู่ใน
�
ื
้
�
แนวระดับ ตรวจดูระดับของนามันเคร่องอยู่ในระดับ
้
ื
ที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต�่า
6. “โซ่” ตรวจดูว่าโซ่ลื่นด้วยการทดสอบหมุนล้อหลัง
ต�าแหน่งแท่งวัดน�้ามันเครื่อง
�
ื
ึ
ี
ตรวจดูความตึงโดยโซ่ท่ตงเกินไปจะทาให้เคร่อง
ท�างานหนัก และหย่อนเกินไปจะเสี่ยงอันตรายที่โซ่
จะหลุดและเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น เมื่อกดโซ่ควรให้
ตัวได้ 10 – 20 มิลลิเมตร
่
ู
ี
ี
่
7. “คันเร่ง” ตรวจดคันเร่งวายังคงดดกลบทนททปล่อย
ั
ี
ั
โซ่ควรให้ตัวได้ 10-20 มิลลิเมตร
้
�
8. “เบรก” ตรวจดูระดับนามันเบรกและทดสอบว่า
�
ทางานได้ด ตรวจคันเบรกมือและแป้นเบรกเท้าว่า
ี
ดีดกลับทันทีที่ปล่อย
9. “คลัตช์” ตรวจดูว่าระดับของคันคลัตช์จะต้อง
ไม่หลวมเกินไป โดยตรวจว่าขยับอิสระได้ไม่เกิน
ตัวอย่างการปรับกระจกมองข้าง
20 มิลลิเมตร
10. “กระจกมองข้าง” ตรวจสอบและปรับมุมมองให้ได้
ระดับสายตาอยู่เสมอ โดยสามารถมองเห็นระดับ
ื
พ้นอยู่ก่งกลางกระจกและมองเห็นหัวไหล่ตนเอง
ึ
เล็กน้อย
ระดับของน�้ามันเบรก
“อนๆ” ตรวจสอบใบอนุญาตขับรถ สาเนาคู่มือรถ
�
ื
่
แผ่นป้ายทะเบียน และหลักฐานการเสียภาษี เป็นต้น
264
11.3 การแต่งกายสำาหรับขับขี่รถจักรยานยนต์
ในการขับขี่จักรยานยนต์ ผู้ขับขี่ควรจะต้องสวมใส่ชุดที่เหมาะสม และใช้อุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย 11
และลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ดังนี้
1. ต้องสวมหมวกนิรภัยแบบเต็มศีรษะ ท่ได้รับมาตรฐาน
ี
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย(มอก.) ซึ่ง
ผ่านการทดสอบแล้วว่าช่วยลดอันตรายจากแรง
กระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้
2. ท่บังลมของหมวกนิรภัยต้องมีลักษณะใสเพียงพอ
ี
ี
ท่จะมองเห็นสภาพถนนได้อย่างชัดเจน แม้ในเวลา
กลางคืน เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
3. ควรสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เพื่อลดการ
บาดเจ็บ เมื่อมีการล้มและไถลบนพื้นถนน
4. ควรสวมถุงมือที่คลุมนิ้วและสวมรองเท้าหุ้มส้น เพื่อ
ลดอันตรายที่อาจเกิดกับนิ้วมือและนิ้วเท้า
ื
ึ
5. ระวัง ไม่ควรปล่อยส่วนใดส่วนหน่งของเคร่องแต่งกาย
จนอาจไปพันกับล้อได้
ี
ี
6. การสวมหมวกนิรภัยท่ถูกต้อง มีขนาดพอดีกับศีรษะ ปรับสายรัดคางให้กระชับกับศีรษะพอด ไม่หลวมหรือแน่น
จนเกินไป โดยอาจเหลือช่องว่างเพียงพอที่จะสอดนิ้วเข้าไปได้ เพื่อความสบายในการสวมใส่
11.4 ท่าทางในการขับขี่พื้นฐาน
11.4.1 การจูงรถจักรยานยนต์ไปด้านหน้า
1. จับคันบังคับ (แฮนด์) ทั้งสองมือ พร้อมวางต�าแหน่ง
นิ้วมือไว้ที่คันเบรกมือ
2. พยุงรถจักรยานยนต์ชิดกับตัวผู้จูง
3. ดันรถจักรยานยนต์ไปด้านหน้า
4. บีบเบรกมือหากต้องการลดความเร็วหรือป้องกันการ
ไหล่ของรถ
ื
5. ผลักคันบังคับ (แฮนด์) ไปทางซ้ายหรือขวา เพ่อบังคับ
ให้รถไปในทิศทางที่ต้องการ
265
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.4.2 การจูงรถจักรยานยนต์ถอยหลัง
1. จับคันบังคับ (แฮนด์) ด้วยมือซ้าย และใช้มือขวาจับ
บริเวณที่นั่งหรือตัวรถ
2. มองไปด้านหลัง และดันรถจักรยานยนต์ไปด้านหลัง
3. พยุงรถจักรยานยนต์ไว้ให้ชิดกับตัวผู้จูงตลอดเวลา
11.4.3 การยกรถจักรยานยนต์ขึ้นจากทางด้านซ้าย
ั
1. จับคันบังคับ (แฮนด์) ด้วยมือท้งสองข้าง บังคับ
ทิศทางของรถไปด้านขวา
2. บีบคันเบรกมือเพื่อห้ามล้อหน้า
ึ
3. ยกรถจักรยานยนต์ข้น โดยใช้ต้นขาและเอวในการ
ช่วยพยุงรถ
11.4.4 การยกรถจักรยานยนต์ขึ้นจากทางด้านขวา
1. ตั้งขาตั้งด้านข้าง เพื่อป้องกันรถล้มไปทางด้านซ้าย
2. จับคันบังคับด้วยมือขวา บังคับทิศทางของรถไป
ด้านซ้าย ใช้มือซ้ายจับที่นั่งหรือตัวรถ
3. บีบคันเบรกมือเพื่อห้ามล้อหน้า
ึ
4. ยกรถจักรยานยนต์ข้น โดยใช้ต้นขาซ้ายและเอวช่วย
ในการพยุงรถขึ้น
266
11.4.5 การตั้งรถจักรยานยนต์ด้วยขาตั้งข้าง
ื
ั
1. ใช้มือท้งสองจับคันบังคับ (แฮนด์) เพ่อพยุงรถ 11
ให้ตั้งตรง
2. บีบคันเบรกมือ เพื่อห้ามล้อหน้าและป้องกันรถไหล
ั
ื
ั
ั
3. ต้งขาต้งข้างด้วยเท้า โดยให้ขาต้งง้างไปจนสุดเพ่อ
ความปลอดภัย
4. เอียงรถจักรยานยนต์ลงจนขาตั้งข้างแตะพื้น
ั
ั
5. ตรวจสอบว่ารถสามารถต้งได้อย่างม่นคงแล้วให้หัน
ทิศทางของรถไปด้านซ้าย
11.4.6 การนำารถจักรยานยนต์ลงจากขาตั้งกลาง เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
1. ใช้มือซ้ายจับคันบังคับ (แฮนด์) บังคับทิศทางตรง
2. ใช้มือขวาจับบริเวณที่นั่งหรือตัวรถด้านท้าย
3. ใช้เท้าขวาเหยียบที่ตั้งกลางลงจนแตะพื้น
4. ตรวจสอบว่าขาตั้งแตะพื้นเท่ากันทั้งสองด้าน
้
ั
�
5. ท้งนาหนักตัวกดลงท่ขาต้ง จะทาให้รถถูกดึงถอยหลัง
ี
ิ
�
เล็กน้อย และตั้งอยู่บนขาตั้งกลาง
6. เมื่อตั้งรถเรียบร้อยหันรถไปด้านซ้าย
�
ี
คาเตือน: ผู้ขับข่ต้องต้งรถบนพ้นท่แข็ง และอยู่
ี
ื
ั
แนวระดับเท่านั้น
11.4.7 การนำารถจักรยานยนต์ลงจากขาตั้งกลาง
1. ยืนด้านข้างรถจักรยานยนต์โดยให้ล�าตัวชิดกับตัวรถ
และคันบังคับ (แฮนด์)
2. ก้าวเท้าซ้ายให้อยู่หน้าขาขวา
3. จับคันบังคับ (แฮนด์) บังคับด้วยมือทั้งสองข้าง และ
บังคับรถในทิศทางตรง
4. ตรวจสอบรถด้านหลังที่อาจผ่านมา
5. ใช้มือทั้งสองข้างยกคันบังคับ (แฮนด์) ขึ้น แล้วผลัก
รถจักรยานยนต์ไปด้านหน้า
ั
�
6. เมื่อรถจักรยานยนต์ลงจากขาต้งกลางให้ทาการ
บีบเบรกมือเพ่อป้องกันรถไหล่ และนารถมาพิงไว้
ื
�
กับล�าตัว
�
คาเตือน: ผู้ขับข่ต้องไม่เบรกก่อนท่รถจักรยานยนต์
ี
ี
�
จะลงจากขาต้งกลาง เพราะจะทาให้รถไม่สามารถ
ั
เคลื่อนที่ไปด้านหน้าเพื่อลงจากขาตั้งได้
267
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.4.8 ท่าทางในการขี่
1. สายตา ต้องมองไปท่ถนนด้านหน้าเป็นมุมกว้าง ไม่จ้องอยู่เพียง
ี
จุดเดียว
2. ท่าทาง ไม่เกร็งไหล่ เพราะจะท�าให้การควบคุมรถไม่มีประสิทธิภาพ
3. แขน ปล่อยแขนจับคันบังคับ (แฮนด์) ไม่ตึงหรือหย่อนจนข้อศอกกาง
5. มือ จับคันบังคับ (แฮนด์)เบาๆ บริเวณกึ่งกลางที่จับข้อมืออยู่ในแนว
เดียวกับแขน และวางนิ้วไว้ที่เบรกและคลัตช์
6. สะโพก อยู่ในต�าแหน่งที่นั่งคนขับขี่
7. เข่า หันไปทางด้านหน้ารถ หนีบถังน�้ามัน (ถ้ามี)
8. เท้า วางบนท่พักเท้า ปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า และอยู่ในตาแหน่ง
ี
�
แป้นเกียร์และแป้นเบรก
9. ไม่ควรตั้งล�าตัวตรงเกินไป
10. ไม่ควรมองใกล้เกินไป
11. ไม่ควรถ่างขาหรือยกขาออก ซึ่งจะท�าให้การทรงตัวไม่มั่นคง
11.4.9 การควบคุมพื้นฐาน
ิ
ื
การบิดคันเร่ง ใช้มือขวาหมุนทวนเข็มนาฬิกาเพ่อเพ่ม การใช้เบรกมือ ใช้มือขวาบีบคันเบรกเพื่อห้ามล้อหน้า และ
ความเร็ว และหมุนตามเข็มนาฬิกาเพื่อลดความเร็ว ปล่อยเพื่อยกเลิกการเบรก
ื
การใช้เบรกเท้า เหยียบแป้นเบรกเพ่อห้ามล้อหลัง และ การใช้คลัตช์ ใช้มือซ้ายบีบคันคลัตช์เพื่อตัดการส่งก�าลัง
ี
ี
�
ปล่อยเพื่อยกเลิกการเบรก จากเครื่องยนต์ก่อนท่จะทาการเปล่ยนเกียร์ และค่อยๆ
ปล่อยคลัตช์ เพ่อให้เคร่องยนต์ได้ส่งกาลังไปใช้ในการขับข ่ ี
�
ื
ื
268
11.5 การควบคุมพื้นฐาน
ื
ผู้ขับข่ควรจะต้องเรียนรู้การควบคุมเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ข้นพ้นฐาน เพ่อ 11
ี
ื
ั
เข้าใจเทคนิคในการขับขี่รถจักรยานยนต์ให้มีความปลอดภัย ดังต่อไปนี้
11.5.1 การสตาร์ท และดับเครื่องยนต์
1. บิดกุญแจไปที่สถานะเปิด (ON)
2. เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N)
3. กรณรถจักรยานยนต์ระบบเกยร์อตโนมัต ให้บีบ
ี
ั
ี
ิ
คันเบรกค้างไว้
4. กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือใช้เท้าเหยียบคันสตาร์ท
เพื่อให้เครื่องยนต์เริ่มท�างาน เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ช่องเสียบกุญแจ 5. บิดคันเร่งเล็กน้อยเพ่อรักษารอบเคร่องยนต์ไม่ให้ดับ
ื
ื
11.5.2 การดับเครื่องยนต์
1. เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N)
2. บิดกุญแจไปที่สถานะปิด (OFF)
11.5.3 การใช้สัญญาณไฟเลี้ยว
1. ดันไปด้านซ้าย ส�าหรับให้สัญญาณเลี้ยวซ้าย
2. ดันไปด้านขวา ส�าหรับให้สัญญาณเลี้ยวขวา
3. กดตรงกลาง เพื่อปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
11.5.4 การควบคุมไฟหน้า และการใช้แตร
1. กดปุ่มแตร เพื่อให้สัญญาณแตร
2. กดปุ่มขึ้นลงเพื่อเลือกใช้ไฟสูง หรือไฟต�่า
ปุ่มแตร และปุ่มไฟสูง-ไฟต�่า
269
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
115.5.5 การออกตัวและการหยุด
�
่
ื
�
1. ขณะเคร่องยนต์กาลังทางาน บีบคลัตช์ (กรณีรถทมีคลัตช์) ใส่เกียร์ แล้วค่อยๆ
ี
บิดคันเร่ง
2. ค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ (กรณีรถที่มีคลัตช์) เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์กระตุกและดับ
3. ใช้เท้าประคองรถ จนรถเคลื่อนที่ได้ระยะหนึ่งจึงยกเท้าขึ้น
4. กรณีหยุดรถ ให้ใช้เท้าทั้งสองข้างประคองรถจักรยานยนต์ก่อนที่รถจะหยุดนิ่ง
11.5.6 การเปลี่ยนเกียร์
ี
รถแต่ละรุ่นแต่ละย่ห้ออาจจะมีลักษณะการเปลี่ยนเกียร์ท่แตกต่างกัน ผู้ขับข่ต้อง
ี
ี
ศึกษาจากคู่มือการใช้งานให้เข้าใจก่อนขับขี่
ี
ี
ึ
คันเกียร์ (กรณีท่ไม่ใช่รถเกียร์อัตโนมัติ) ผู้ขับข่ต้องใช้เท้าโยกข้น-ลง
เพื่อเปลี่ยนเกียร์
1. ก่อนเปลี่ยนเกียร์ ผู้ขับขี่ต้องเบาเครื่องยนต์ด้วยการผ่อนคันเร่ง
2. บีบคลัตช์ (กรณีรถจักรยนต์ที่มีคลัตช์)
3. ท�าการเปลี่ยนเกียร์
4. ปล่อยคลัตช์ (กรณีรถจักรยานยนต์ที่มีคลัตช์)
5. บิดคันเร่งเพื่อใช้ความเร็วตามต้องการ
บันทึก
270
11.5.7 การเลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสม
ผู้ขับขี่ควรเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรถจักรยานยนต์ ดังนี้ 11
เลือกใช้เกียร์ที่สูงขึ้นตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ผู้ขับขี่ควรเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับแรงเครื่องยนต์ที่ต้องการ เช่น กรณีขับขี่ขึ้นทางชัน เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างก�าลังขับ (แรงบิด) กับเกียร์ต่างๆ ควรเลือกใช้เกียร์ที่ต�่าลงเพื่อให้เครื่องยนต์มีก�าลังมากขึ้น
ผู้ขับขี่ควรเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมเพื่อช่วยเบรกหรือชะลอความเร็ว (Enging brake)
ความสัมพันธ์ของแรงฉุดของเครื่องยนต์ กับการใช้เกียร์ต่างๆ หมายความว่า ควรใช้เกียร์ให้ต�่าลง เพื่อช่วยลดความเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
271
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.5.8 มุมมองระหว่างการขับขี่
1. ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ควรมองไปด้านหน้าให้ไกลและมองเป็นมุมกว้าง
2. ควรมองกระจกข้างเพื่อตรวจสอบรถที่ตามมาทุกๆ 5 – 10 วินาที หรือในขณะลดความเร็ว
11.5.9 การมองกระจกมองข้าง
ผู้ขับขี่ควรตระหนักถึงภาพรถที่ปรากฏในกระจกมองข้าง ดังนี้
1. ภาพรถขนาดเล็ก หมายถึง รถยังคงอยู่ห่างจากผู้ขับขี่ ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนช่องทางได้อย่างปลอดภัย
ี
ี
ี
ั
2. ภาพรถขนาดใหญ่ หมายถึง รถอยู่ใกล้ทางด้านหลังผู้ขับข ผู้ขับข่ไม่ควรเปล่ยนช่องทางขณะน้น และควร
่
รอจังหวะอื่นต่อไป
3. ภาพรถที่มองเห็นเพียงส่วนท้าย หมายถึง รถอยู่ใกล้มาก ผู้ขับขี่ไม่สามารถเปลี่ยนช่องทางได้
ั
ี
ี
ึ
ี
4. ภาพรถท่เคยมองเห็นหายไป หมายถง รถอยู่ด้านข้างผขับข ผู้ขบข่ต้องใช้ความระมัดระวังขับข่ในช่องทางตนเอง
ี
่
ู้
เท่านั้น
272
11.6 การใช้ความเร็วอย่างเหมาะสม
11
11.6.1 ความเร็ว และระยะหยุดปลอดภัย
1. ในการขับขี่รถที่ปลอดภัย ผู้ขับขี่ต้องไม่ใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายก�าหนด
้
ั
ื
่
เนองจากผูออกแบบและกอสร้างทางได้คานวณความเร็วท่เหมาะสมสาหรบทาง
่
�
�
ี
แต่ละช่วงไว้ การฝ่าฝืนอาจน�ามาซึ่งอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุได้
ี
่
ี
2. ขณะขับข ผู้ขับข่ต้องมีความพร้อมท่จะเบรกและหยุดรถให้ปลอดภัยได้เมื่อมี
ี
ความจ�าเป็น
11.6.2 การรักษาระยะระหว่างรถคันหน้าเพื่อความปลอดภัย
(การรักษาระยะห่างสัมพันธ์กับความเร็ว)
ี
ี
่
1. ระหว่างขับข ผู้ขับข่ต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มีความเหมาะสม และ เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
เพียงพอที่จะหยุดรถได้อย่างปลอดภัย เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วลง
ี
ี
่
ั
่
2. ผ้ขบขต้องสงเกตลกษณะการขับขของรถคนหน้าตลอดเวลา และลดความเรว
ั
ั
็
ู
ั
ลงล่วงหน้าก่อนที่รถจะเข้าใกล้รถคันหน้า จนอาจเกิดอันตรายได้
11.6.3 การเบรกด้วยเงื่อนไขต่างๆ
กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น รถคันหน้าเกิดอุบัติเหต เห็นส่งกีดขวาง
ิ
ุ
ั
ั
ี
ื
บนทางกะทันหัน ผู้ขับข่ต้องต้งสติให้ม่นและไม่ต่นตระหนก จับคันบังคับ (แฮนด์)
ั
ให้มั่น เหยียบเบรก มองกระจกข้างท้งสองด้านว่ามีระยะห่างจากรถท่ตามมา
ี
ื
่
ี
่
่
ี
ื
เพยงพอทจะเปลียนเลนเพอหลบหลีกได้อย่างปลอดภัยหรอไม่ หากสามารถทาได้
�
ให้ควบคุมรถหลีกสิ่งกีดขวาง จากนั้นให้หยุดรถในบริเวณที่ปลอดภัยและแจ้งเหตุ
11.6.4 การชะลอความเร็วอย่างปลอดภัย
�
ั
ั
�
ู
ั
ี
ในการลดหรอชะลอความเรว ผ้ขบขต้องไม่ทาอย่างกะทนหน เพราะจะทาให้
ื
็
่
รถที่ตามมาอาจลดความเร็วตามไม่ทันและอาจเกิดอุบัติเหตุได้
่
ื
ี
ผู้ขบขต้องมองกระจกมองหลังและกระจกมองข้างทงสองด้าน เพ่อตรวจสอบ
้
ั
ั
ี
่
ี
ระยะห่างของรถคันท่ตามมา หรือมีระยะห่างเพียงพอท จะลดความเร็วตามได้
อย่างปลอดภัยหรือไม่ หากมีระยะเพียงพอให้เหยียบเบรก และปล่อยหน่งครั้ง
ึ
เพื่อเตือนรถคันอื่นที่ตามมา จากนั้นจึงเหยียบเบรก เพื่อลดความเร็วตามที่ต้องการ
273
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.6.5 การรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้าเพื่อความปลอดภัย
ผู้ขับขี่ต้องรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากความเร็วที่ใช้ในขณะนั้น โดยต้อง
ค�านึงถึงกรณีฉุกเฉินที่รถด้านหน้าอาจหยุดกะทันหันได้
ผู้ขับขี่ควรสังเกตต�าแหน่งของรถคันอื่นๆ ที่ใช้ถนนร่วมกัน เพื่อประเมินสถานการณ์ในการขับขี่เป็นระยะๆ
ื
ี
การรักษาระยะห่างท่ปลอดภัยจากรถคันอ่น ระยะห่างจากรถด้านหน้าและด้านหลังควรห่างประมาณ 3 วินาท ี
ซึ่งสามารถสังเกตระยะโดยการนับเวลาในใจ 3 วินาที ว่าผู้ขับขี่เคลื่อนที่ไปถึงจุดที่รถคันหน้าเคยอยู่ก่อน หรือไม่
หากไปถึงก่อนแสดงว่าระยะน้อยเกินไป ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วลง เพื่อเพิ่มระยะห่าง
ระยะห่างด้านข้าง ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ควรห่างจากรถคันอื่นไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร เพื่อป้องกันความผิดพลาด
ี
ี
ี
ในการขับข่ของรถคันดังกล่าว ท่อาจส่ายไปมาได้ หรือหากรถท่อยู่ด้านข้างเป็นรถบรรทุก หรือรถขนาดใหญ่ ผู้ขับข ี ่
ก็จะได้รับผลกระทบจากแรงลมที่เกิดจากรถดังกล่าวอีกด้วย
ึ
ี
ี
ึ
ี
ึ
นอกจากน วิธีการในการนับระยะเวลา 3 วินาท ผู้ขับข่อาจนับในใจว่า “หน่งพันหน่ง” “หน่งพันสอง”
้
“หนึ่งพันสาม”
11.6.6 การใช้เบรกอย่างถูกวิธี
ี
กรณีท่มีความจ�าเป็นต้องหยุดรถ หรือลดความเร็ว
ี
ื
ผู้ขับข่จะต้องใช้เบรกอย่างถูกวิธีเพ่อไม่ให้เกิดอันตราย โดย
ั
ี
ผู้ขับข่ต้องใช้เบรกท้งล้อหน้าและล้อหลังควบคู่กัน ทงน ี ้
ั
้
ื
�
เน่องจากการใช้เบรกล้อหน้าเพียงอย่างเดียว อาจจะทาให้
ตัวผู้ขับข่พุ่งไปด้านหน้า และหากใช้เบรกล้อหลังเพียง
ี
อย่างเดียวก็จะท�าให้รถลื่นไถลเสียการทรงตัวได้
ในรถบางรุ่น เบรกอาจอยู่ที่แป้นเท้าด้านขวา
ื
เมื่อรถใกล้หยุดให้ใช้เท้าซ้ายแตะพ้นเพ่อพยุงรถ และวางเท้าขวาไว้บนแป้นเบรกเท้า เพ่อเตรียมความพร้อม
ื
ื
ในการใช้เบรกหากรถลื่นไถล
274
11.6.7 การใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ในการใช้ความเร็ว ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมในถนนว่าต�าแหน่ง และความเร็วของ 11
รถคันอื่นเป็นเช่นไร เพื่อตัดสินใจใช้ความเร็วให้เหมาะสม
หากที่รถที่ขับขี่อยู่ห่างจากคันหน้ามากเกินไปจนท�าให้มีรถต่อท้าย แสดงว่าผู้ขับขี่ก�าลังใช้ความเร็วน้อยเกินไป เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
หากผู้ขับขี่ใช้ความเร็วมากเกินไป จะเสี่ยงมากหากมีสิ่งกีดขวาง เพราะอาจจะไม่สามารถหยุดรถได้ทันและเฉี่ยวชนกับสิ่งกีดขวางเหล่านั้น
275
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.7 การแซง
11.7.1 หลักการประเมินระยะในการแซง
ื
ี
ี
ี
ี
ในการแซงผู้ขับข่ต้องพิจารณาระยะเวลา และพ้นท่ว่างท่จะใช้ในการแซงได้อย่างปลอดภัย และกรณีท่ม ี
ระยะในการแซงไม่เพียงพอ ผู้ขับขี่ต้องไม่แซงเป็นอันขาด
ี
จากภาพ ผู้ขับข่จักรยานยนต์จะสามารถแซงได้เฉพาะในกรณีท่สามารถไปถึง
ี
ี
ี
ี
จุด A ได้ โดยรถท่ถูกแซงและรถท่สวนทางยังมาไม่ถึงจุดดังกล่าว ผู้ขับข่จะต้อง
ประมาณระยะทางของรถที่สวนทางมา ความเร็วของรถที่ถูกแซง ความเร็วของรถที่
สวนทาง และความเร็วท่จะต้องใช้ เพ่อให้สามารถแซงได้อย่างปลอดภัย เมื่อพิจารณา
ื
ี
แล้วว่าสมรรถนะของรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่อยู่เพียงพอจึงปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้สัญญาณไฟเล้ยวขวา โดยยังคงรักษาระยะห่าง
ี
จากรถคันหน้าให้ปลอดภัยเช่นเดิม
2. มองกระจกข้างตรวจสอบรถท่ตามมา ประเมิน
ี
ความเร็ว และต�าแหน่งรถที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
3. เพิ่มความเร็ว และเปลี่ยนช่องทางจราจรเพื่อแซง
ี
ี
4. ตรวจสอบรถท่เก่ยวข้องอีกคร้ง หากไม่ปลอดภัย
ั
ให้ลดความเร็ว และเปลี่ยนเลนกลับ
็
่
ั
่
ี
5. เมือเหนวาปลอดภย ให้แซงรถทช้ากวา โดยเวนระยะ
่
้
่
ห่างด้านข้างให้ปลอดภัย และบีบแตรถ้าจ�าเป็น
ื
่
เพอให้รถทถกแซงทราบว่ามีรถจักรยานยนต์กาลังแซง
ู
่
�
ี
ี
6. เมื่อรถสามารถแซงข้นหน้ารถท่ช้ากว่าแล้ว ให้
ึ
สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
ี
ี
7. ห้ามผู้ขับข่เปลี่ยนเลนกลับกะทันหันตัดหน้ารถท่ถูกแซง
8. เมื่อรถจักรยานยนต์ได้ผ่านรถท่ถูกแซงเป็นระยะพอ
ี
ี
สมควรแล้ว จึงเปล่ยนช่องทางจราจรมาใช้ช่องทางเดิม
9. ปิดสัญญาณไฟเลี้ยว และขับขี่ต่อไปตามปกติ
276
11.7.2 กรณีมีรถตามมาขณะแซง
�
ื
ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์อาจพบเหตุการณ์ว่ามีรถคันอ่นกาลังมาในช่องทางท่จะต้อง 11
ี
ี
ั
ี
�
�
ใช้ในการแซง ดังน้น ผู้ขับข่จะต้องทาการประเมินความเร็วรถว่าจะสามารถทาการ
�
ี
ี
้
แซงได้สาเร็จก่อนท่รถท่ตามมาจะมาถึงหรือไม่ หากรถดังกล่าวขับมาดวยความเร็ว
ผู้ขับข่จะต้องลดความเร็ว และให้รถคันดังกล่าวไปก่อนจึงทาการแซง
�
ี
่
ี
ิ
ี
ั
ู
ี
็
่
่
็
ี
่
กรณรถทตามมามีความเรวไม่มาก ผ้ขบขสามารถทจะเพมความเรว และ เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
เปลี่ยนเลนไปใช้ช่องทางร่วมกับรถคันดังกล่าวได้ แต่ผู้ขับข่ต้องมั่นใจก่อนมี
ี
ระยะทางเพียงพอ และสมรรถนะของรถจักรยานยนต์ท่ขับข่สามารถแซงได้
ี
ี
อย่างปลอดภัย
ี
ึ
กรณีท่รถท่ตามมาในช่องทางท่ต้องใช้ในการแซงมีมากกว่าหน่งคัน ผู้ขับข ี ่
ี
ี
�
ื
ิ
รถจักรยานยนต์ต้องใช้ความระมัดระวังเพ่มข้น เพ่อแทรกเข้าไปอยู่ในตาแหน่งระหว่าง
ึ
ี
ี
รถดังกล่าว โดยผู้ขับข่ควรลดความเร็วลงเพ่อให้รถคันท่มาเร็วผ่านไปก่อน ลดเกียร์ลง
ื
�
ื
ื
ี
ิ
เพ่อเพ่มกาลังของเคร่องยนต์ เมื่อเห็นว่ารถคันท่ตามมาอยู่ห่างเพียงพอให้เร่ง
อย่างรวดเร็ว เพื่อเปลี่ยนเลนเข้าไปใช้ช่องทางร่วมกับรถดังกล่าวตามภาพ
ี
่
่
ุ
กรณทส่งกดขวางอย่ด้านหน้าและมีรถตามอย่างต่อเนอง ผู้ขบข่จะต้องหยดรถ
ู
ี
ี
ั
ิ
ี
ื
รอจนกว่ารถดังกล่าวจะผ่านพ้นไป จึงค่อยเปลี่ยนช่องทางไปด้วยความปลอดภัย
277
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.7.3 กรณีขับขี่ผ่านสิ่งกีดขวาง
ในการขับข่ผ่านรถท่จอดอยู่ ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ต้องตระหนักว่าอาจมีสิ่งท ่ ี
ี
ี
ี
ไม่คาดคิดเกิดข้นได้ เช่น การเปิดประต การท่มีคนเดินข้ามถนน เป็นต้น ดังน้น
ึ
ั
ี
ู
็
ผู้ขบข่จะต้องลดความเรวขณะขับขผ่านและเว้นระยะห่างจากรถท่จอดอย่ ู
ี
ี
่
ี
ั
ื
ี
ิ
ไม่น้อยกว่า 1 เมตร และกรณีเป็นส่งกีดขวางอ่นท่วางอยู่ ผู้ขับข่ควรเว้นระยะห่าง
ี
ไม่น้อยกว่า 0.5 เมตร
ี
กรณีผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ขับข่ผ่านคนเดินเท้า หากขับข่สวนกับคนเดินเท้า
ี
ี
ี
ี
ผู้ขับข่จะต้องเว้นระยะห่างจากคนเดินเท้าไม่น้อยกว่า 1 เมตร และในกรณีท่ขับข่ผ่าน
ี
้
ึ
ิ
่
ั
คนเดินเท้าจากทางด้านหลง ผู้ขบขจะต้องเว้นระยะห่างเพมขนเป็น 1.5 เมตร
ั
่
ี
เน่องจากคนเดินเท้าไม่สามารถมองเห็นรถจักรยานยนต์ จึงอาจข้ามถนนอย่าง
ื
กะทันหันได้
278
11.7.4 การขับขี่ตามรถยนต์อย่างปลอดภัย
ี
ในการขับข่รถจักรยานยนต์ตามหลัง 11
รถยนต์น้น ผู้ขบข่ไม่ควรอยู่ใกล้รถยนต์
ั
ี
ั
ท่อยู่ด้านหน้าในด้านซ้าย เพราะจะถูก
ี
ี
รถยนต์ดังกล่าวบดบัง ทาให้รถอ่นท่ขับ
�
ื
สวนทางมาสังเกตเห็นได้ยาก ดังนั้น ผู้ขับขี่
ื
ควรขับข่ตามรถยนต์อ่นโดยชิดทางด้านขวา
ี
11.7.5 เขตพื้นที่ห้ามแซง
ื
ี
ั
บางเขตพ้นท่ของถนนมีสภาพทางกายภาพท่จ�ากัดหรือมีการจราจรคับค่ง
ี
ื
ี
ื
ื
�
กฎหมายจึงได้กาหนดให้เป็นเขตพ้นท่ห้ามแซง เน่องจากการแซงในพ้นท่ดังกล่าว เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ี
จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้ทางอื่นได้
ห้ามแซงใกล้ทางร่วมทางแยก
ี
ื
ื
เน่องจากเขตพ้นท่ทางร่วมทางแยกอาจจะมีเหตุท่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น
ี
การที่รถเลี้ยวกีดขวางรถที่แซงอย่างกะทันหันในลักษณะต่างๆ เป็นต้น
ห้ามแซงในทางโค้ง
�
ี
ื
ื
เน่องจากเขตพ้นท่ทางโค้งจะทาให้
�
ระยะการมองเห็นจากัด และผู้ขับข ่ ี
รถจักรยานยนต์จะไม่สามารถมองเห็นรถ
ี
ท่สวนทางมา ซึ่งนาไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
�
ห้ามแซงบริเวณที่ระยะการมองเห็นจ�ากัด
ิ
ื
ื
ี
เน่องจากอาจมีคนเดินข้ามถนน หรือส่งกีดขวางอ่นอยู่บนถนนท่ผู้ขับข่มองไม่เห็นได้
ี
279
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ห้ามแซงขณะรถอื่นก�าลังแซง
เนื่องจากผู้ขับขี่จะไม่สามารถมองเห็นรถที่อาจสวนทางมาได้
ห้ามแซงรถมากกว่าหนึ่งคัน
เนื่องจากจะท�าให้ยากล�าบากต่อการเปลี่ยนเลนกลับ ในกรณีที่มีรถสวนมาหรือมีเหตุฉุกเฉินอื่น
บันทึก
280
11.8 การใช้ช่องทางเดินรถ
11
11.8.1 ผู้ขับขี่ต้องขับขี่ในช่องทางเดินรถตนเอง
ผู้ขับข่ต้องไม่ขับคร่อมเส้นแบ่งช่องจราจร และ
ี
ไหล่ทาง ท้งน ให้สังเกตจากเส้นแบ่งช่องจราจร และ
ั
ี
้
เส้นไหล่ทางที่ผู้ขับขี่มองเห็นด้านหน้า
11.8.2 ผู้ขับขี่รถทุกประเภทต้องขับรถในช่องทางด้านซ้าย เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ี
ึ
ั
การใช้ทางเดินรถท่ได้จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ต้งแต่สองช่องข้นไป
ี
ี
หรือท่ได้จัดช่องเดินรถประจ�าทางไว้ในช่องเดินรถซ้ายสุด ผู้ขับข่ต้องขับรถในช่อง
้
่
ิ
่
้
ี
้
ิ
ซายสด หรอใกลกบชองเดนรถประจ�าทาง เวนแตในกรณตอไปน ใหเดนทางขวาของ
่
ี
้
ั
ุ
ื
้
ทางเดินรถได้เป็นการชั่วคราว
1. ในช่องเดินรถนั้นมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิดการจราจร
2. ทางเดินรถนั้น เจ้าพนักงานจราจรก�าหนดให้เป็นทางเดินรถทางเดียว
3. จะต้องเข้าช่องทางให้ถูกต้องเมื่อเข้าบริเวณใกล้ทางร่วมทางแยก
4. เมื่อจะแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น
5. เมื่อผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ารถในช่องเดินรถด้านซ้าย
่
้
�
ั
ี
ี
ื
�
ี
ท้งน เพ่อความปลอดภัยสาหรับรถท่มีความเร็วตา และเปิดโอกาสให้รถท่ความเร็ว
มากกว่าสามารถแซงได้อย่างปลอดภัย
ี
รถจักรยานยนต์จะต้องใช้ช่องทางเดินรถด้านซ้าย ในกรณีท่มีการแซงรถคันอื่น
ี
ึ
ี
ผู้ขับข่ต้องกลับเข้าสู่ช่องทางเดินรถด้านซ้าย เมื่อผ่านข้นหน้ารถท่ถูกแซงเรียบร้อยแล้ว
ี
ี
่
ั
ี
และผู้ขบข่ต้องไม่ขับขในลักษณะกีดขวางการจราจร โดยการเปล่ยนไปใช้ช่องทาง
เดินรถด้านซ้าย เมื่อมีรถที่มีความเร็วสูงกว่าก�าลังจะแซง
281
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.8.3 การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
ี
ี
ในการเปล่ยนช่องทางเดินรถ ผู้ขับข่ต้องตรวจสอบรถระยะห่างจากรถคันอื่น
ที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อหลีกเลี่ยงการเฉี่ยวชนกัน โดยปฏิบัติดังนี้
1. มองกระจกข้างซ้ายหรือขวาในทิศทางท่ต้องการจะเปล่ยนช่องทางเดินรถ
ี
ี
เพื่อดูต�าแหน่งรถที่ตามมา
2. มองผ่านหัวไหล่เพื่อตรวจสอบรถที่อยู่ด้านข้าง และลดพื้นที่จุดบังสายตา
ี
ี
ี
3. เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงเปิดสัญญาณไฟเล้ยวก่อนท่จะเปล่ยนช่องทาง
เดินรถไม่น้อยว่า 30 เมตร
4. เปลี่ยนช่องทางเดินรถด้วยความระมัดระวัง
5. ปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เมื่อรถกลับสู่ทิศทางตรงแล้ว
11.8.4 การกลับรถ
จุดกลับรถเป็นอีกหน่งสถานท่ซึ่งมี
ี
ึ
ึ
ั
อุบัติเหตุเกิดข้นบ่อยคร้ง โดยมีรูปแบบการเกิด
อุบัติเหตุท่เกิดข้นจ�านวนมาก เช่น การชนท้าย
ึ
ี
ี
การชนด้านข้างของรถท่กาลังกลับรถ และ
�
การถูกชนด้านข้างจากรถที่มาทางตรง ดังนั้น
ในการกลับรถบนถนนอย่างปลอดภัย ผู้ขับข ี ่
ต้องปฏิบัติ ดังนี้
1. เปลี่ยนมาใช้ช่องทางจราจรด้านขวา
ี
2. เปิดสัญญาณไฟเล้ยวขวา ก่อนถึงจุด
กลับรถไม่น้อยกว่า 30 เมตร
3. ลดความเร็วลงให้เหมาะสมกับการเล้ยว
ี
เพื่อกลับรถ
4. ควบคมรถจักรยานยนต์ให้ใกล้เส้นเพอ
่
ื
ุ
ความสะดวกในการเลี้ยว
5. ลดความเร็ว เปลี่ยนเกียร์ต�่า
6. หยุดรถ และมองรถที่สวนเข้ามาว่ามีระยะ
ื
้
่
ี
่
หางเพยงใด หรอหยดใหทางแก่ทานหรอไม่
ุ
ื
7. เมื่อเห็นว่าปลอดภัย ให้ออกรถโดยใช้
เกียร์ตาแล้วเพ่มความเร็ว และเกียร์ให้สูงข้น
ึ
ิ
่
�
8. เมื่อเห็นว่าปลอดภัยให้เปล่ยนไปใช้
ี
ช่องทางเดินรถด้านซ้าย
282
11.9 การขับขี่ทางโค้ง
11
11.9.1 ลักษณะการขับขี่
1. มองไปบริเวณโค้งล่วงหน้า เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
2. ผ่อนคันเร่งลดความเร็วก่อนถึงโค้ง เอียงตัวปรับตามสภาพ
11.9.2 ระมัดระวังรถอื่นที่อยู่หลังโค้ง
ี
ี
ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ต้องตระหนักเสมอว่าในการขับข่ในทางโค้งอาจจะมี
ั
ี
ั
รถหรือสิ่งกีดขวางอื่นอยู่ด้านหลังโค้งได้ ดังน้น ผู้ขับข่จะต้องลดความเร็วทุกคร้ง
เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
115.9.3 การใช้ความเร็ว – ไม่ใช้ความเร็วเกินกำาหนด
�
่
ี
ั
การขับข่รถในทางโค้ง ผู้ขับขต้องใช้ความเร็วตาให้เหมาะสมกบสภาพของทาง
่
ี
โดยเฉพาะสภาพผิวทางหากลื่น รัศมีของโค้งแคบ หรือทางไม่ได้ยกระดับรับโค้ง
ผู้ขับขี่จะต้องใช้ความเร็วที่ต�่ายิ่งขึ้น เนื่องจากการใช้ความเร็วของรถสูง จะส่งผลให้
รถอาจลื่นไถลออกจากโค้ง เสียการควบคุม และเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงได้
11.9.4 การเปลี่ยนเกียร์
�
�
ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์ขณะกาลังขับข่อยู่ในทางโค้ง เพราะอาจจะทาให้การทางาน
�
ี
ของเครื่องยนต์ไม่สม�่าเสมอ และรถเสียการควบคุมได้
283
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.9.5 การเบรก
ี
ควรเบรกก่อนถึงบริเวณโค้ง และขณะขับข่อยู่ในโค้งต้องไม่เบรกอย่างรุนแรง
�
ั
ื
เพราะการเบรกล้อหน้าหรือหลังอย่างรุนแรง จะทาให้ล้อน้นเกิดการล่นไถล ส่งผล
ให้รถเสียการควบคุมได้
11.9.6 การแซง
ควรหลีกเล่ยงการแซง
ี
ี
ขณะขับข่อยู่ในบริเวณ
โค้ง เน่องจากมีระยะการ
ื
ี
มองเห็นท่จ�ากัด และอาจ
ถูกรถยนต์ หรือรถบรรทุก
เบียดได้
บันทึก
284
11.10 การขับรถในเมืองและในชุมชน
ี
พ้นท่เขตเมือง และชุมชนเป็นบริเวณท่มีคนพลุกพล่าน อาจมีเด็กเล็กหรือสัตว์ 11
ี
ื
ั
เลี้ยงข้ามถนนในระยะกระชั้นชิด ดังน้น ผู้ขับข่จึงจาเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง
ี
�
ในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น โดยควรปฏิบัติ ดังนี้
�
1. ใช้ความเร็วตา โดยปฏิบัติตามป้ายจ�ากัดความเร็ว ซึ่งจะจ�ากัดความเร็ว
่
แตกต่างกันในแต่ละบริเวณ
2. เมื่อขับข่รถผ่านรถคันอ่นท่จอดอยู่ ผู้ขับข่ต้องเตรียมพร้อมท่จะหยุดรถหากมี
ี
ี
ี
ี
ื
คนเดินเท้าข้ามถนนกะทันหัน
ี
�
3. ผู้ขับข่ต้องไม่หยุดรถ หรือจอดรถกีดขวางการจราจร ซึ่งจะทาให้เกิดการจราจร
ติดขัดและผิดกฎหมาย
11.10.1 เด็กเล็ก เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ื
เด็กอาจจะข้ามถนนโดยไม่ดูรถให้ดีก่อน เด็กตัวเล็กและอาจเคล่อนท่เร็วซึ่งจะ
ี
ี
ี
�
ิ
ทาให้ยากต่อการสังเกตเห็น ดังน้น ผู้ขับข่จึงต้องระมัดระวังอย่างย่งเมื่อขับข่ผ่าน
ั
ย่านที่พักอาศัยและโรงเรียน
กรณีคนข้ามถนนกะทันหัน
่
ี
ี
ในพ้นท่ชุมชน อาจมีผู้เรียกรถแท็กซ ซึ่งอาจจะส่งผลให้รถแท็กซี่ท่อยู่ด้านหน้า
ี
ื
เบรกกะทันหันเช่นกัน ดังน้น ผู้ขับข่จึงต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษเมื่อขับข ่ ี
ั
ี
ตามรถยนต์ หรือรถแท็กซี่
เมื่อรถคันหน้าหยุด อาจมีบางอย่างที่เรามองไม่เห็น การแซงจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเสษ
ในบางกรณีคนเดินเท้าอาจข้ามถนนกะทันหัน ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรเผื่อระยะห่าง
เพิ่มขึ้น เมื่อขับขี่ผ่านคนเดินเท้าที่มีท่าทางจะข้ามถนน
กรณีผู้สูงอายุหรือคนพิการ
ั
ผู้สูงอายุและคนพิการจะใช้เวลาในการข้ามถนนมากกว่าบุคคลท่วไป และ
ี
บางคนอาจมีข้อจ�ากัดในการได้ยินเสียงหรือการมองเห็นด้วย ดังน้น ผู้ขับข่จะต้อง
ั
ี
ื
ลดความเร็วให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และเผ่อระยะห่างเพ่มข้น โดยผู้ขับข่ต้อง
ึ
ิ
ระลึกเสมอว่า ต้องพร้อมที่จะหยุดรถให้คนข้ามถนนไปก่อนเสมอ
285
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
กรณีป้ายรถโดยสารประจ�าทาง
ี
ี
ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ไม่ควรขับข่ใกล้จุดจอดรถโดยสารประจ�าทาง เน่องจาก
ื
ี
บริเวณดังกล่าวจะมีรถโดยสารออกจากจุดจอดในลักษณะท่มองไม่เห็นรถ
จักรยานยนต์ท่มาใกล้ได้ เน่องจากทิศทางของรถจักรยานยนต์อยู่ในตาแหน่งของ
�
ี
ื
จุดบังสายตาของผู้ขับขี่รถโดยสาร
11.11 การขับรถขึ้นเนินลงเนิน
ึ
ิ
ึ
ี
ึ
การขับรถข้นเนินลงเนิน รถจะได้รับผลจากแรงเสียดทานท่เพ่มข้นขณะข้นเนิน และแรงดึงลงขณะลงเนิน
ผู้ขับขี่จึงควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง โดยปฏิบัติ ดังนี้
่
1. ใช้ความเร็วรถท่เหมาะสมขณะข้นเนิน กรณีรถเกียร์ธรรมดาให้ใช้เกียร์ตา ซึ่งจะมีกาลังเคร่องยนต์ในการ
�
ื
�
ี
ึ
ขับเคลื่อนมากขึ้น ส�าหรับเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันจะสามารถปรับก�าลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมได้เอง
2. ลดความเร็วลงเมื่อใกล้ยอดเนิน เนื่องจากระยะการมองเห็นจะลดลง
3. เปลี่ยนเกียร์ต�่าขณะลงเนิน เพื่อลดการใช้งานระบบเบรก
ลักษณะท่าทางในการขับขี่
่
ั
ี
ั
ผู้ขบขจะต้องโน้มตวมาด้านหน้า
เล็กน้อยขณะรถขึ้นเนิน เพื่อให้น�้าหนักอยู่
ี
ท่ล้อหน้าเพ่มข้น และต้องเอนตัวไปด้าน
ิ
ึ
ี
หลังขณะลงเนิน เพ่อเพ่มแรงกดท่ล้อหลัง
ื
ิ
เพื่อความสะดวกในการทรงตัว
286
ในการใช้เกียร์ขณะขับขี่ลงทางชัน มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
ี
ื
ื
การขับข่ลงเนินหรือทางลาด ให้เกียร์ตาเพ่อใช้แรงเคร่องยนต์ช่วยลดความเร็ว 11
่
�
้
�
่
และแบ่งภาระการทางานของระบบเบรก เนองจากการใชเบรกในทางลงเนนเป็นระยะ
ิ
ื
เวลานานติดต่อกัน จะท�าให้ระบบเบรกช�ารุด และอาจเกิดอุบัติเหตุได้
ผู้ขับขี่ควรเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมเพื่อช่วยเบรกหรือชะลอความเร็ว เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.12 การใช้ถนนร่วมกับรถประเภทอื่น (รถยนต์ และคนเดินเท้า)
11.12.1 การให้ทาง
ี
ี
ในการขับข่บนถนร่วมกับรถยนต์ และรถอื่น แม้ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์จะมี
ความคล่องตัวสูงในการขับขี่ แต่จะต้องปฏิบัติตามกฎและเครื่องหมายจราจรอย่าง
เคร่งครัดเช่นกัน รวมทั้งจะต้องให้ทางกับรถที่มีสิทธิดีกว่า เช่น ขณะที่ขับรถออกจาก
ที่จอดรถ ซอย หรือจุดกลับรถ เป็นต้น
11.12.2 จุดบังสายตา
�
ี
ี
ในการขับข่รถจักรยานยนต์ผู้ขับข่ต้องคานึงถึงข้อจากัดของสายตา และกระจก
�
มองข้างในการมองเห็นรถคันอื่นในบางจุด ปรากฏตามภาพ
ดังน้น ผู้ขับข่จะต้องตรวจสอบจุดท่เป็นจุดอับสายตาเป็นระยะๆ ด้วยการมองผ่าน
ั
ี
ี
ั
หัวไหล่ โดยหันศีรษะมาท้งหมดอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับไปมองสภาพการจราจรด้าน
ั
หน้าเช่นเดิม ท้งน ผู้ขับข่จักรยานยนต์จะต้องตรวจสอบจุดบังสายตาทุกครั้งก่อนท ี ่
้
ี
ี
จะออกรถ เลี้ยวรถ และเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
287
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ี
ี
ขณะเดียวกันผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ก็ไม่ควรขับข่ในตาแหน่งท่เป็นจุดบังสายตา
�
ี
ของรถยนต์ เพราะผู้ขับรถยนต์อาจมองไม่เห็นและเปลี่ยนช่องทางเดินรถกะทันหัน
ซึ่งอาจจะเกิดการเฉี่ยวชนขึ้นได้
จุดบังสายตาของรถยนต์ จุดบังสายตาของรถยนต์ ขนาดใหญ่
11.13 การโดยสารรถจักรยานยนต์
11.13.1 การบรรทุกผู้โดยสาร
ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ต้องจัดให้ผู้โดยสารแต่งกายเรียบร้อย สวมหมวกนิรภัย
ี
และนั่งในลักษณะที่ปลอดภัย
11.13.2 จำานวนผู้ซ้อนท้าย
ี
�
กฎหมายกาหนดให้ผู้ข่รถจักรยานยนต์สามารถบรรทุกคนโดยสารได้เพียงคนเดียว
ั
เท่าน้น
11.13.3 การสวมหมวกนิรภัย
ิ
ั
่
ี
้
ั
ุ
ี
่
ั
เพอความปลอดภยผู้ขบขต้องจดให้ผู้โดยสารสวมหมวกนรภยทกครังทโดยสาร
ื
ั
่
รถจักรยานยนต์ โดยผู้ข่รถจักรยานยนต์จะต้องรับโทษหากผู้โดยสารไม่สวม
ี
หมวกนิรภัย
288
11.14 การบรรทุกสิ่งของ
1. การบรรทุกสิ่งบริเวณที่ว่างหลังผู้ขับขี่ จะต้องระมัดระวังมิให้สิ่งของตกหล่น 11
2. สิ่งของที่บรรทุก จะต้องมีน�้าหนักไม่เกิน 150 กิโลกรัม ตามที่กฎหมายก�าหนด
3. ไม่ควรวางของไว้ในตระกร้าหน้ารถจนบังไฟส่องสว่าง
ี
ิ
�
ื
4. ไม่ควรแขวนส่งของไว้ท่บริเวณคันบังคับ (แฮนด์) เน่องจากทาให้เกิดปัญหาในการ
บังคับทิศทางขณะเลี้ยวได้
11.15 เทคนิคการขับขี่ผ่านทางแยก
11.15.1 การขับขี่เข้าสู่ทางแยก
กรณีเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลัก เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
• ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวังรถที่วิ่งอยู่ในทางหลักทั้งทางซ้ายและขวา
• เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา
ี
ื
• ให้ทางกับรถท่อยู่ในทางหลักไปก่อน เพ่อรอจังหวะท่รถท้งช่วงระยะห่างเพียงพอ
ี
ิ
ื
ื
่
ี
• ขณะออกตัวผู้ขับข่จะต้องเปล่ยนไปใช้เกียร์ตา เพ่อให้เคร่องยนต์มีแรงในการ
ี
�
ออกตัวมากขึ้น
กรณีเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลัก
289
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
กรณีเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางโท
• ผู้ขับขี่ต้องเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
• พิจารณาลักษณะความโค้งของทางเลี้ยว เพื่อปรับลดความเร็วให้เหมาะสม
• ตรวจสอบจุดบังสายตาทางด้านซ้าย
• ลงความเร็วลง และเริ่มควบคุมรถเข้าสู่ทางโค้ง
• ใช้สายตามองผ่านไปทั้งทางโค้ง เพื่อเตรียมรับเหตุการณ์และสิ่งกีดขวางที่อาจอยู่ด้านหลังโค้ง
• คงใช้ความเร็วคงที่จนกระทั่งขับขี่ผ่านโค้ง
กรณีเลี้ยวขวาเข้าทางโท
• ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณเลี้ยวขวา ลดความเร็ว และขับขี่ชิดเส้นแบ่งช่องทางเดินรถด้านขวา
• ให้ทางรถในทางหลัก โดยควรหยุดที่ระยะห่างจากกึ่งกลางทางแยก เพื่อให้รถอื่นสามารถเลี้ยวรถผ่านไปได้
อย่างปลอดภัย
• รอจนกว่ารถจะทิ้งช่วง โดยห่างเพียงพอที่จะเลี้ยวรถได้ทันแล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางโท
ี
ี
ี
• ก่อนเล้ยวรถเข้าทางโท ผู้ขับข่ต้องตรวจดูจนมั่นใจได้ว่าจะไม่ชนคนเดินเท้าท่ข้ามถนน
290
11.15.2 แนวล้อรถบรรทุกขณะเลี้ยว
11
ี
แนวล้อหลังรถบรรทุกจะเบียดเข้าสู่ด้านในของวงเล้ยวรถจักรยานยนต์ จึงห้าม เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
ขับขี่ชิดด้านข้างรถบรรทุกที่ก�าลังเลี้ยว เพราะอาจถูกเฉี่ยวชนได้
บันทึก
291
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.16 การหยุดรถ และจอดรถ
11.16.1 ความหมายของการหยุด และจอด
การจอดรถ (Park )ตามมาตรา พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 54
ี
หมวด 4 วรรค 2 ให้ความหมายว่า ผู้ขับข่ต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ
และจอดรถให้ด้านซ้ายของรถขนานชิดกับขอบทางหรือไหล่ทางในระยะห่างไม่
ื
ื
ิ
ิ
่
่
เกนยสบห้าเซนตเมตร หรอจอดรถตามทศทางหรอด้านหนงด้านใดของทางเดนรถ
ิ
ี
ิ
ึ
ิ
�
ี
ี
ท่เจ้าพนักงานจราจรกาหนดไว้ แต่ในกรณีท่มีช่องเดินรถประจ�าทางอยู่ทางด้าน
ซ้ายสุดของทางเดินรถ ห้ามมิให้ผู้ขับข่จอดรถในลักษณะดังกล่าวในเวลาท่กาหนด
�
ี
ี
ให้ใช้ช่องเดินรถประจ�าทางนั้น
ี
การหยุดรถ (Stop) ในส่วนท่เก่ยวกับสัญญาณจราจร มีบัญญัติไว้ในมาตรา
ี
ี
ื
22 ผู้ขับข่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเคร่องหมายจราจรท่ปรากฏข้างหน้า
ี
�
ในกรณีท สัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอาพัน ให้ผู้ขับข่เตรียมหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด
ี
ี
่
ี
เพ่อเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณท่จะปรากฏต่อไปดังกล่าวใน (2) เว้นแต่ผู้ขับข่ท่ได้
ื
ี
ี
เลยเส้นให้รถหยุดไปแล้วให้เลยไปได้ สัญญาณจราจรไฟสีแดง หรือเครื่องหมาย
จราจรสีแดงที่มีค�าว่า “หยุด” ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด
การหยุดรถ และจอดรถ จะเกิดขึ้นจากสาเหตุดังต่อไปนี้
• การจอดเพื่อรอผู้โดยสาร
• การจอดรอเพื่อน�าสินค้าขึ้นหรือลงจากรถ
• การจอดเนื่องจากรถเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นกับรถหรือผู้ขับขี่
11.16.2 สถานที่ห้ามหยุดรถ
ี
1) ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีท่ไม่มี
ช่องเดินรถประจ�าทาง
2) บนทางเท้า
3) บนสะพานหรือในอุโมงค์
4) ในทางร่วมทางแยก
5) ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ
6) ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ
7) ในเขตปลอดภัย
8) ในลักษณะกีดขวางการจราจร
292
11.16.3 สถานที่ห้ามจอดรถ
1) บนทางเท้า 11
2) บนสะพานหรือในอุโมงค์
3) ในทางร่วมทางแยก หรือในระยะสิบเมตรจากทางร่วมทางแยก
4) ในทางข้าม หรือในระยะสามเมตรจากทางข้าม
5) ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามจอดรถ
6) ในระยะสามเมตรจากท่อน�้าดับเพลิง
7) ในระยะสิบเมตรจากที่ติดตั้งสัญญาณจราจร
8) ในระยะสิบห้าเมตรจากทางรถไฟผ่าน
9) ซ้อนกันกับรถอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว
ิ
10) ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดนรถ หรือในระยะห้าเมตรจากปากทางเดินรถ เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11) ระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทาง หรือในระยะสิบเมตรนับจากปลายสุดของ
เขตปลอดภัยทั้งสองข้าง
12) ในที่คับขัน
13) ในระยะสิบห้าเมตรก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจ�าทาง และเลยเครื่องหมาย
ไปอีกสามเมตร
14) ในระยะสามเมตรจากตู้ไปรษณีย์
15) ในลักษณะกีดขวางการจราจร
11.16.4 วิธีการจอดรถที่ปลอดภัย
ื
1) ดูกระจกมองหลังเพ่อตรวจว่ามีรถตามมาในระยะกระช้นชิดหรือไม่ เม่อเห็นว่า
ื
ั
ปลอดภัยให้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อให้รถที่ตามมาทราบว่าก�าลังจะจอด
2) ผ่อนคันเร่ง ดูกระจกมองข้าง
3) สังเกตจุดที่อาจมองไม่เห็น และเหยียบเบรก
4) จอดรถชิดขอบทางด้านซ้าย ขนานชิดกับขอบทาง หรือไหล่ทางในระยะห่าง
ื
ี
ี
ไม่เกิน 25 เซนติเมตร เพ่อหลีกเล่ยงไม่ให้รถจักรยานยนต์แทรกเข้ามาขับข่ใน
พื้นที่ระหว่างตัวรถและขอบทางได้
�
ี
�
5) ดึงเบรกมือ และเปล่ยนเกียร์มาในตาแหน่งเกียร์ว่างสาหรับเกียร์ธรรมดา หรือ
P ส�าหรับเกียร์อัตโนมัติ
293
บทที่ 11 เทคนิคและมารยาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์
11.16.5 การจอดรถในกรณีฉุกเฉิน
ี
ี
ี
หากมีความจ�าเป็นท่ผู้ขับข่ต้องจอดรถเป็นกรณีฉุกเฉิน ผู้ขับข่จะต้องคานึงถึง
�
ความปลอดภัย และปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
1) เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ใช้รถคันอื่นทราบและหลบหลีก
�
ี
ื
2) นารถออกจากผิวการจราจร เพ่อไม่ให้กีดขวางการจราจร และหลีกเล่ยง
อุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการถูกรถคันอื่นเฉี่ยวชน
ื
ี
3) นาป้ายสัญญาณหรือวัสดุอ่นมาวางก่อนถึงจุดท่รถจอดเป็นระยะไม่น้อยกว่า
�
ื
ื
20 เมตร เพ่อให้ผู้ขับข่อ่นทราบ และเตรียมตัวหลบหลีกหรือลดความเร็วล่วงหน้า
ี
ี
ี
4) แจ้งเหตุหรือขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานท่เก่ยวข้อง เช่น แจ้งเหตุด่วนเหต ุ
ร้าย 191 แจ้งต�ารวจทางหลวง 1193 แจ้งต�ารวจจราจรกลาง 1197 (ส�าหรับ
พื้นที่กรุงเทพมหานคร) เป็นต้น
บันทึก
294
รายนามที่ปรึกษา
บุคลากรหลัก
นางณัฐกานต์ ไวยเนตร ผู้จัดการโครงการ
นพ.วรสิทธิ์ ศรศรีวิชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการ
นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้เชี่ยวชาญด้านการบาดเจ็บและการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
พ.ต.ท.อมรชัย ลีลาขจรจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
นางศรินทร สนธิศิริกฤตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมศาสตร์
บุคลากรสนับสนุน
นพ.ศุภฤกษ์ ถวิลลาภ ผู้ช่วยด้านการบาดเจ็บและการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
ดร.นันทพร กลิ่นจันทร์ ผู้ช่วยด้านการบาดเจ็บและการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
น.ส.สุทธิลักษณ์ หนูรอด ผู้ช่วยด้านการบาดเจ็บและการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
น.ส.วันวิสา สรีระศาสตร์ ผู้ช่วยด้านพฤติกรรมศาสตร์
น.ส.พิจิตรา ธรรมสถิตย์ ผู้ช่วยด้านพฤติกรรมศาสตร์
น.ส.ณิชชา ช�านิยนต์ ผู้ช่วยด้านพฤติกรรมศาสตร์
พ.ต.ต.สิทธิชัย สิทธิประภา ผู้ช่วยด้านกฎหมาย
พ.ต.ต.กฤษฎิพัจน์ ศรีอ่อน ผู้ช่วยด้านกฎหมาย
พ.ต.ท.ประวิทย์ สุขใส ผู้ช่วยด้านกฎหมาย
น.ส.ทิพย์สุคนธ์ เนื้อทอง ผู้ช่วยด้านวิชาการ
นายภูวดล ไวยเนตร เลขานุการ