4.6 ข้อกำาหนดเกี่ยวกับความเร็วของรถ
มาตรา 67 4
�
ี
ผู้ขับข่ต้องขับรถด้วยอัตราความเร็วตามท่กาหนดในกฎกระทรวง หรือตาม
ี
เครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ในทาง
้
ิ
ั
ึ
่
ี
ื
ื
่
่
้
ั
�
็
เครองหมายจราจรทตดตงไว้ตามวรรคหนง จะกาหนดอัตราความเรวขนสงหรอ
ู
ขั้นต�่าก็ได้ แต่ต้องไม่เกินอัตราความเร็วที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 68
่
ี
้
ึ
ี
ผู้ขับขซึ่งจะเล้ยวรถ ให้รถอื่นแซงหรือผ่านขนหน้า จอดรถ หยุดรถ หรือกลับรถ ตัวอย่าง การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
ต้องลดความเร็วของรถ ป้ายจ�ากัดความเร็ว
มาตรา 69
ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางเดินรถบนเนินเขา บนสะพาน ที่เชิงสะพาน ที่แคบ ทางโค้ง
ทางลาด ที่คับขัน หรือที่มีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนท�าให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้
ในระยะหกสิบเมตร ต้องลดความเร็วของรถในลักษณะที่จะให้เกิดความปลอดภัย
มาตรา 70
ผู้ขับข่ซึงขบรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางข้ามเส้นให้รถหยด หรือวงเวียน
ุ
่
ี
ั
ต้องลดความเร็วของรถ
4.7 การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน
มาตรา 71
ภายใต้บังคับมาตรา 21 และมาตรา 26 เมื่อผู้ขับขี่ขับรถมาถึงทางร่วมทางแยก
ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังนี้
ั
ี
1) ถ้ามีรถอ่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับข่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกน้น
ื
ผ่านไปก่อน
2) ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับข ่ ี
ี
ต้องให้รถท่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใด
มีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับข่ซึ่งขับรถในทางเอก
ี
มีสิทธิขับผ่านไปก่อน
3) ถ้าสัญญาณจราจรไฟสีเขียวปรากฏข้างหน้า แต่ในทางร่วมทางแยกมีรถอื่น
ี
หยุดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านพ้นทางร่วมทางแยกไปได้ ผู้ขับข่จะต้อง
ี
หยุดรถท่หลังเส้นให้รถหยุดจนกว่าจะสามารถเคล่อนรถผ่านพ้นทางร่วม
ื
ทางแยกไปได้
101
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 72
ทางเดินรถทางเอกได้แก่ทางเดินรถ ดังต่อไปนี้
(1) ทางเดินรถที่ได้ติดตั้งเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นทางเดินรถทางเอก
(2) ทางเดินรถที่มีป้ายหยุดหรือป้ายที่มีค�าว่า “ให้ทาง” ติดตั้งไว้ หรือทางเดินรถ
ึ
ี
ึ
�
ท่มีคาว่า “หยุ”ด หรือเส้นหยุดซ่งเป็นเส้นขาวทึบ หรือเส้นให้ทางซ่งเป็น
เส้นขาวประบนผิวทาง ให้ทางเดินรถที่ขวางข้างหน้าเป็นทางเดินรถทางเอก
ี
ื
(3) ในกรณีท่ไม่มีเคร่องหมายจราจรตาม (1) หรือไม่มีป้ายหรือเส้น หรือข้อความ
ี
บนผิวทางตาม (2) ให้ทางเดินรถท่มีช่องเดินรถมากกว่าเป็นทางเดินรถทางเอก
่
(4) ถนนทตดหรอบรรจบกบตรอกหรอซอย ให้ทางเดนรถทเป็นถนนเป็น
ี
ิ
ื
่
ี
ั
ื
ั
ทางเดินรถทางเอก
ทางเดินรถอื่นที่มิใช่ทางเดินรถทางเอกตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นทางเดินรถทางโท
มาตรา 73
ี
ั
ในกรณีท่วงเวียนใดได้ติดต้งสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจร ผู้ขับข ี ่
ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรนั้น
ถ้าไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรตามวรรคหน่ง เมื่อผู้ขับข ี ่
ึ
ขับรถมาถึงวงเวียน ต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ ซึ่งขับรถอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตน
ขับผ่านไปก่อน
ี
ื
ในกรณีท่พนักงานเจ้าหน้าท่เห็นสมควรเพ่อความปลอดภัยหรือ ความ
ี
สะดวกในการจราจร จะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอ่นนอกจากท่บัญญัต ิ
ี
ื
ไว้ในวรรคหน่งหรือวรรคสองก็ได้ ในกรณีเช่นน้ผู้ขับข่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจร
ี
ี
ึ
ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ก�าหนดให้
มาตรา 74
ี
ผู้ขับข่ซึ่งขับรถออกจากทางส่วนบุคคล หรือทางเดินรถในบริเวณอาคาร
ื
ี
เมื่อจะขับรถผ่านหรือเล้ยวสู่ทางเดินรถท่ตัดผ่าน ต้องหยุดรถ เพ่อให้รถท่กาลัง
ี
�
ี
ผ่านทางหรือรถท่กาลังแล่นอยู่ในทางเดินรถผ่านไปก่อน เม่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว
ื
ี
�
จึงขับรถต่อไปได้
102
4.8 รถฉุกเฉิน
4
การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 75
ในขณะที่ผู้ขับขี่ขับรถฉุกเฉินไปปฏิบัติหน้าที่ ผู้ขับขี่มีสิทธิดังนี้
(1) ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ ใช้เสียงสัญญาณไซเรน หรือเสียงสัญญาณ
อย่างอื่นตามที่อธิบดีก�าหนดไว้
(2) หยุดรถหรือจอดรถ ณ ที่ห้ามจอด
(3) ขับรถเกินอัตราความเร็วที่ก�าหนดไว้
(4) ขับรถผ่านสัญญาณจราจรหรือเคร่องหมายจราจรใดๆ ท่ให้รถหยุด
ี
ื
แต่ต้องลดความเร็วของรถให้ช้าลงตามสมควร
(5) ไม่ต้องปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัติน หรือข้อบังคับการจราจร
ี
้
เกี่ยวกับช่องเดินรถ ทิศทางของการขับรถหรือการเลี้ยวรถที่ก�าหนดไว้
ในการปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณี
มาตรา 76
ี
ี
เมื่อคนเดินเท้า ผู้ขับข หรือผู้ข่หรือควบคุมสัตว์ เห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัต ิ
่
หน้าท่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ หรือได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน หรือเสียงสัญญาณ
ี
ี
ี
่
�
ี
อย่างอื่นตามท่อธิบดีกาหนดไว้ คนเดินเท้า ผู้ขับข หรือผู้ข่หรือควบคุมสัตว์ ต้องให้รถ
ฉุกเฉินผ่านไปก่อน โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
ุ
ึ
้
ิ
ื
(1) สาหรบคนเดนเท้าต้องหยด และหลบให้ชดขอบทาง หรอขนไปบนทาง
ั
�
ิ
เขตปลอดภัย หรือไหล่ทางที่ใกล้ที่สุด
�
่
ู
ี
ุ
ั
(2) สาหรับผู้ขบขต้องหยดรถหรือจอดรถให้อย่ชิดขอบทางด้านซ้าย หรือ
ในกรณีท่มีช่องเดินรถประจ�าทางอยู่ทางด้านซ้ายสุดของทางเดินรถ
ี
ต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดช่องเดินรถประจ�าทาง แต่ห้ามหยุดรถหรือ
จอดรถในทางร่วมทางแยก
(3) ส�าหรับผ้ข่หรือควบคุมสัตว์ต้องบังคับสตว์ให้หยุดชิดทาง แต่ห้ามหยุด
ู
ี
ั
ในทางร่วมทางแยก
ในการปฏิบัติตาม (2) และ (3) ผู้ขับขี่ และผู้ขี่ หรือควบคุมสัตว์ต้องรีบกระท�าโดย
เร็วที่สุดเท่าที่จะกระท�าได้ และต้องใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณี
103
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.9 การลากรถหรือการจูงรถ
มาตรา 77
ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถทุกชนิดลากรถหรือจูงรถอื่นไปในทางเกินหน่งคัน เว้นแต่
ึ
จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี
วิธีลากรถหรือจูงรถ และการมีเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยในการลากรถหรือ
จูงรถให้ก�าหนดในกฎกระทรวง
4.10 อุบัติเหตุ
มาตรา 78
ผู้ใดขับรถ หรือข่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล
ี
่
ี
ื
ี
หรือทรัพย์สินของผู้อ่น ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับข หรือผู้ข่หรือควบคุมสัตว์
หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถหรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้ง
ี
ี
แสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ท่ใกล้เคียงทันท กับต้องแจ้งชื่อตัว
ี
ชื่อสกุล และที่อยู่ของตน และหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในกรณีที่ผู้ขับขี่ หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไป หรือไม่แสดงตัวต่อพนักงาน
ิ
้
ั
ุ
่
ิ
ี
้
เจ้าหนาท ณ สถานท่เกดเหต ให้สนนษฐานวาเป็นผกระทาความผด และให้พนักงาน
ิ
่
�
ู
ี
ี
ี
่
่
ื
ี
ั
�
ึ
ั
เจ้าหน้าทมีอานาจยดรถคนทผ้ขบขหลบหนหรอไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขบข จนกว่า
่
ี
่
ู
ี
ั
ี
ี
คดีถึงท่สุดหรือได้ตัวผู้ขับข ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อพนักงาน
่
เจ้าหน้าท่ภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหต ให้ถือว่ารถน้นเป็นทรัพย์สินซ่งได้ใช้ในการ
ึ
ั
ุ
ี
กระท�าความผิด หรือเกี่ยวกับการกระท�าความผิด และให้ตกเป็นของรัฐ
บันทึก
104
4.11 รถจักรยาน
4
การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 79
ทางใดที่ได้จัดท�าไว้ส�าหรับรถจักรยาน ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องขับในทางนั้น
มาตรา 80
�
�
ี
ี
รถจักรยานท่ใช้ในทางเดินรถ ไหล่ทาง หรือทางท่จัดทาไว้สาหรับรถจักรยาน
ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องจัดให้มี
(1) กระดิ่งที่ให้เสียงสัญญาณได้ยินได้ในระยะไม่น้อยกว่าสามสิบเมตร
(2) เครื่องห้ามล้อที่ใช้การได้ดี เมื่อใช้สามารถท�าให้รถจักรยานหยุดได้ทันที
ึ
(3) โคมไฟติดหน้ารถจักรยานแสงขาวไม่น้อยกว่าหน่งดวงท่ให้แสงไฟส่องตรงไป
ี
ข้างหน้าเห็นพ้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่าสิบห้าเมตร และอยู่ในระดับ
ื
ต�่ากว่าสายตาของผู้ขับขี่ซึ่งขับรถสวนมา
(4) โคมไฟติดท้ายรถจักรยานแสงแดงไม่น้อยกว่าหน่งดวงท่ให้แสงสว่างตรงไป
ึ
ี
ข้างหลัง หรือติดวัตถุสะท้อนแสงสีแดงแทน ซึ่งเมื่อถูกไฟส่องให้มีแสงสะท้อน
105
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 81
ในเวลาต้องเปิดไฟตามมาตรา 11 หรือมาตรา 61 ผู้ขับข่รถจักรยานอยู่ในทางเดินรถ
ี
�
้
ี
ื
ไหล่ทาง หรือทางทจัดทาไวสาหรับรถจักรยาน ต้องจุดโคมไฟแสงขาวหน้ารถ เพ่อให ้
่
�
ผู้ขับขี่หรือคนเดินเท้า ซึ่งขับรถหรือเดินสวนมาสามารถมองเห็นรถ
มาตรา 82
ี
ผู้ขับข่รถจักรยานต้องขับให้ชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถ ไหล่ทางหรือทางท ่ ี
�
�
�
ี
ี
ี
จัดทาไว้สาหรับรถจักรยานให้มากท่สุดเท่าท่จะทาได้ แต่ในกรณีท่มีช่องเดินรถประจ�า
ทางด้านซ้ายสุดของทางเดินรถต้องขับขี่รถจักรยานให้ชิดช่องเดินรถประจ�าทางนั้น
มาตรา 83
ี
ในทางเดินรถ ไหล่ทาง หรือทางท่จัดทาไว้สาหรับรถจักรยาน ห้ามมิให้
�
�
ผู้ขับขี่รถจักรยาน
(1) ขับโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
(2) ขับโดยไม่จับคันบังคับรถ
(3) ขับขนานกันเกินสองคัน เว้นแต่ขับในทางที่จัดไว้ส�าหรับรถจักรยาน
(4) ขับโดยนั่งบนที่อื่นอันมิใช่อานที่จัดไว้เป็นที่นั่งตามปกติ
ั
�
(5) ขับโดยบรรทุกบุคคลอื่น เว้นแต่รถจักรยานสามล้อสาหรับบรรทุกคน ท้งน ้ ี
ตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจราจรก�าหนด
(6) บรรทุก หรือถือสิ่งของ หีบห่อ หรือของใดๆ ในลักษณะท่เป็นการกีดขวาง
ี
การจับคันบังคับรถ หรืออันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
(7) เกาะหรือพ่วงรถอื่นที่ก�าลังแล่นอยู่
บันทึก
106
4.12 รถบรรทุกคนโดยสาร
4
การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 85
ั
ิ
ุ
ห้ามมให้เจ้าของรถบรรทกคนโดยสาร หรือผู้ขบขรถบรรทกคนโดยสาร
ี
ุ
่
ี
รับบรรทุกศพ หรือคนท่เป็นโรคเรื้อน หรือโรคติดต่อท่ต้องแจ้งความตามกฎหมาย
ี
ว่าด้วยโรคติดต่อร่วมไปกับคนโดยสารอื่น เว้นแต่
ั
(1) ในกรณีท่รถบรรทุกคนโดยสารน้นไม่ใช้บรรทุกคนโดยสารอื่น จะบรรทุกคน
ี
ท่เป็นโรคเร้อน หรือโรคติดต่อ ท่ต้องแจ้งความตามกฎหมายว่าด้วยโรค
ี
ื
ี
ติดต่อก็ได้
ี
ั
(2) ในกรณีท่รถบรรทุกคนโดยสารน้นไม่ใช้บรรทุกคนโดยสารอื่น จะบรรทุกศพ
ร่วมไปกับญาติ หรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับศพนั้นก็ได้
มาตรา 86
ี
ห้ามมิให้เจ้าของรถบรรทุกคนโดยสาร ผู้ขับข่รถบรรทุกคนโดยสาร ผู้เก็บ
ี
ี
ค่าโดยสาร หรือบุคคลใดท่มีส่วนได้เสียเก่ยวกับรถบรรทุกคนโดยสาร เรียกให้คน
้
�
่
ึ
ื
ขนรถโดยส่งเสียงอออึง หรอในลกษณะทกอความราคาญใหแกคนโดยสารหรอผูอ่น
้
่
ื
้
ื
้
ั
ี
่
ื
หรือต้อน ดึง เหนี่ยว หรือยึดยื้อ คนหรือสิ่งของของคนนั้น เพื่อให้คนขึ้นรถบรรทุกคน
โดยสารคันใดคันหนึ่ง
มาตรา 87
ี
่
็
ุ
ื
ู
ู
ุ
ั
ห้ามมิให้เจ้าของรถบรรทกคนโดยสาร ผ้ขบขรถบรรทกคนโดยสาร หรอผ้เกบ
ค่าโดยสาร ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยไม่มีเหตุอันสมควร
มาตรา 88
ี
ผู้ขับข่รถบรรทุกคนโดยสารต้องหยุดรถและส่งคนโดยสารท่เคร่องหมายหยุดรถ
ื
ี
ประจ�าทาง หรือ ณ สถานที่ตามที่ตกลงกันไว้ แล้วแต่กรณี
107
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 89
ห้ามมิให้ผ้ขบขรถบรรทกคนโดยสาร หรือผ้เกบค่าโดยสารรับบรรทกคนโดยสาร
ี
ุ
ั
ู
่
ู
็
ุ
เกินจ�านวนที่กฎหมายก�าหนด
�
ในการนับจานวนคนโดยสารให้ถือว่าเด็กอายุไม่เกินสิบปีจ�านวนสองคนเท่ากับ
คนโดยสารหนึ่งคน
มาตรา 90
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถบรรทุกคนโดยสาร
(1) ขับรถเที่ยวเร่หาคนขึ้นรถ
(2) จอดรถเป็นคันหัวแถวของรถคันอื่นห่างจากเครื่องหมายจราจรเกินหนึ่งเมตร
(3) จอดรถห่างจากท้ายรถคันหน้าเกินหนึ่งเมตร
มาตรา 91
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถบรรทุกคนโดยสาร หรือผู้เก็บค่าโดยสาร
(1) สูบบุหรี่หรือคุยกันในขณะขับรถ หรือในขณะท�าหน้าที่เก็บค่าโดยสาร
ี
(2) กล่าววาจาไม่สุภาพ เสียดส ดูหมิ่น ก้าวร้าว หรือแสดงกิริยาในลักษณะดัง
กล่าวต่อคนโดยสารหรือผู้อื่น
มาตรา 92
ี
ี
ื
้
�
เมื่อจะเติมนามันเช้อเพลิงชนิดไวไฟท่มีจุดวาบไฟในอุณหภูมิย่สิบเอ็ด
องศาเซลเซียส หรือต�่ากว่านั้น ผู้ขับขี่รถบรรทุกคนโดยสารต้องหยุดเครื่องยนต์ และ
ต้องให้คนโดยสารลงจากรถทุกคนด้วย
บันทึก
108
4.13 รถแท็กซี่
4
การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 93
ี
ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถแท็กซี่ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร เว้นแต่การบรรทุกน้น
ั
น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ตน หรือแก่คนโดยสาร
ี
ในกรณีท่ผู้ขับข่รถแท็กซี่มีความประสงค์จะไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ให้แสดง
ี
ป้ายงดรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร
วิธีการแสดงป้ายและลักษณะของป้ายงดรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ให้เป็นไปตาม
กฎหมายว่าด้วยรถยนต์
มาตรา 94
�
ี
�
ี
ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถแท็กซี่รับบรรทุกคนโดยสารเกินจานวนท่ได้กาหนดไว้
ในใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
�
ในการนับจานวนคนโดยสารให้ถือว่าเด็กอายุไม่เกินสิบปีจ�านวนสองคนเท่ากับ
คนโดยสารหนึ่งคน
มาตรา 95
ห้ามมิให้ผู้ใด
ี
ื
ี
�
(1) เรียกให้คนข้นรถแท็กซ่โดยส่งเสียงอ้ออึง หรือในลักษณะท่ก่อความราคาญ
ึ
ให้แก่คนโดยสารหรือผู้อื่น
(2) ต้อน ดึง เหนี่ยว หรือยึดยื้อคนหรือสิ่งของของคนนั้น เพื่อให้คนขึ้นรถแท็กซี่
คันใดคันหนึ่ง
มาตรา 96
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่เรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ปรากฏจากมาตรแท็กซี่
ลักษณะและวิธีการใช้มาตรแท็กซี่ ให้เป็นไปตามที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
109
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 97
คนโดยสารต้องช�าระค่าโดยสารตามอัตราที่ปรากฏจากมาตรแท็กซี่
มาตรา 98
้
บทบัญญัติมาตรา 96 และมาตรา 97 จะใช้บังคับในทองที่ใด และจะใช้บังคับกับ
รถแท็กซี่ทุกประเภท หรือบางประเภทโดยมีเงื่อนไขอย่างใด ให้เป็นไปตามที่ก�าหนด
ในพระราชกฤษฎีกา
ี
ในท้องท่ใดท่มิได้มีพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหน่งใช้บังคับ ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถ
ึ
ี
ี
แท็กซี่ในท้องท่น้น เรียกเก็บค่าโดยสารเกินราคาท่ตกลงกันไว้กับคนโดยสาร และคน
ี
ี
ั
โดยสารต้องช�าระค่าโดยสารตามที่ตกลงไว้นั้น
บทบัญญัติในวรรคสอง ให้ใช้บังคับแก่กรณีของรถแท็กซ่ประเภทท่มิได้กาหนดไว้
�
ี
ี
ในพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งด้วย
มาตรา 99
ในขณะขับรถ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่
(1) สูบบุหรี่ เปิดวิทยุ หรือกระท�าด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่ก่อความร�าคาญ
ให้แก่คนโดยสาร
ื
ึ
(2) ย่นมือ แขน หรือส่วนใดส่วนหน่งของร่างกายออกนอกรถ เว้นแต่เป็นการ
กระท�าเพื่อให้สัญญาณตามมาตรา 37
(3) จับคันบังคับรถด้วยมือเพียงข้างเดียว เว้นแต่มีเหตุจ�าเป็น
ี
�
(4) ใช้เสียงสัญญาณเมื่อเข้าไปในบริเวณโรงพยาบาล สถานท่ทางาน หรือ
สถานศึกษา
(5) ใช้เสียงสัญญาณแตรเพื่อเร่งรถอื่น
ื
ี
(6) แซงหรือตัดหน้ารถอ่นในลักษณะฉวัดเฉวียนเป็นท่น่าหวาดเกรงว่า
จะเกิดอันตราย
(7) ขับรถเข้าในบริเวณบ้านของผู้อื่น
ี
�
ื
(8) รับคนโดยสารภายในบริเวณท่เจ้าพนักงานจราจรได้กาหนดเคร่องหมาย
จราจรห้ามรับคนโดยสาร
ั
ิ
ื
ี
ู
ี
(9) กล่าววาจาไม่สภาพ เสยดส ดหมน ก้าวร้าว หรอแสดงกริยาในลกษณะ
ุ
ิ
่
ดังกล่าวต่อคนโดยสารหรือผู้อื่น
มาตรา 100
ี
ี
ี
ี
ผู้ขับข่รถแท็กซี่ต้องพาคนโดยสารไปยังสถานท่ท่ว่าจ้างตามเส้นทางท่สั้นท่สุด
ี
หรือเส้นทางที่ไม่อ้อมเกินควร และต้องส่งคนโดยสาร ณ สถานที่ตามที่ตกลงกันไว้
ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถแท็กซี่พาคนโดยสารไปทอดท้งระหว่างทางไม่ว่าด้วยประการใดๆ
ิ
ี
110
4
การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
การแต่งกายที่เหมาะสมของผู้ขับขี่รถแท็กซี่
มาตรา 101
ผู้ขับข่รถแท็กซี่ต้องแต่งกาย และมีเคร่องหมายเย็บติดหรือปักไว้ท่เคร่องแต่งกาย
ื
ี
ี
ื
ื
ื
�
ี
ลักษณะเคร่องแต่งกายและเคร่องหมายให้เป็นไปตามท่อธิบดีประกาศกาหนด
ในราชกิจจานุเบกษา
�
ความในวรรคหน่งให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกาหนดหกสิบวันนับแต่วันท่ประกาศของ
ึ
ี
อธิบดีใช้บังคับ
มาตรา 102
เมื่อรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ผู้ประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร โดยใช้รถ
แท็กซี่ในท้องที่ใด ต้องจอดพักรถ ณ สถานที่ที่ใดเป็นการเฉพาะ ก็ให้กระท�าได้โดย
ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
่
ั
ี
่
ในพระราชกฤษฎกาดังกล่าว ให้ระบุท้องท และวธีการเกยวกบการจัดให้
ี
ี
ิ
มีที่จอดพักรถด้วย
บันทึก
111
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.14 คนเดินเท้า
เมื่อขับรถเข้าไปในที่ชุมชน ต้องให้ความระมัดระวังกับผู้สัญจร หรือคนเดินเท้า
มาตรา 103
ื
ิ
ิ
ี
ิ
่
ี
ู
ทางใดทมทางเท้าหรอไหล่ทางอย่ข้างทางเดนรถ ให้คนเดนเท้าเดนบนทางเท้า
หรือไหล่ทาง ถ้าทางนั้นไม่มีทางเท้าอยู่ข้างทางเดินรถให้เดินริมทางด้านขวาของตน
มาตรา 104
ึ
ภายในระยะไม่เกินหน่งร้อยเมตรนับจากทางข้าม ห้ามมิให้คนเดินเท้าข้ามทาง
นอกทางข้าม
มาตรา 105
ี
คนเดินเท้าซ่งประสงค์จะข้ามทางเดินรถในทางข้ามท่มีไฟสัญญาณจราจรควบคุม
ึ
คนเดินเท้า ให้ปฏิบัติตามไฟสัญญาณจราจรที่ปรากฏต่อหน้า ดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีแดง ไม่ว่าจะมีรูปหรือข้อความเป็นการห้ามมิให้
คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้คนเดินเท้าหยุดรออยู่
ี
บนทางเท้า บนเกาะแบ่งทางเดินรถ หรือในเขตปลอดภัย เว้นแต่ทางใดท่ไม่มี
ทางเท้า ให้หยุดรอบนไหล่ทางหรือขอบทาง
(2) เม่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเขียว ไม่ว่าจะมีรูปหรือข้อความเป็นการอนุญาตให ้
ื
คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถได้
(3) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเขียวกะพริบทางด้านใดของทาง ให้คนเดินเท้า
ิ
ุ
่
ทยงมิได้ข้ามทางเดนรถหยดรอบนทางเท้า บนเกาะแบ่งทางเดนรถ หรอใน
ื
ิ
ั
ี
เขตปลอดภัย แต่ถ้าก�าลังข้ามทางเดินรถให้ข้ามทางเดินรถโดยเร็ว
112
มาตรา 106
คนเดินเท้าซึ่งประสงค์จะข้ามทางเดินรถในทางข้าม หรือทางร่วมทางแยก 4
ที่มีสัญญาณจราจรควบคุมการใช้ทาง ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) เมือมีสัญญาณจราจรไฟสีแดงให้รถหยดทางด้านใดของทาง ให้คนเดนเท้า
่
ุ
ิ
ข้ามทางเดินรถตามที่รถหยุดนั้น และต้องข้ามทางเดินรถภายในทางข้าม
(2) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเขียวให้รถผ่านทางด้านใดของทาง ห้ามมิให้
คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถด้านนั้น
(3) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอ�าพัน หรือไฟสีเขียวกะพริบทางด้านใดของ
ี
ทาง ให้คนเดินเท้าท่ยังมิได้ข้ามทางเดินรถหยุดรอบนทางเท้าบนเกาะแบ่ง การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
�
ทางเดินรถ หรือในเขตปลอดภัย แต่ถ้ากาลังข้ามทางเดินรถอยู่ในทางข้าม
ให้ข้ามทางเดินรถโดยเร็ว
มาตรา 107
คนเดินเท้าซึ่งประสงค์จะข้ามทางเดินรถในทางท่มีพนักงานเจ้าหน้าท่แสดง
ี
ี
้
ั
่
้
ื
ั
็
สญญาณจราจร ใหปรากฏ ไม่วาจะเปนสัญญาณดวยมอและแขน หรือเสียงสญญาณ
นกหวีด ให้ปฏิบัติตามมาตรา 106 โดยอนุโลม
มาตรา 108
ห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินเป็นขบวนแห่ หรือเดินเป็นขบวนใดๆ ในลักษณะท ่ ี
เป็นการกีดขวางการจราจร เว้นแต่
(1) เป็นแถวทหารหรือต�ารวจ ที่มีผู้ควบคุมตามระเบียบแบบแผน
ี
(2) แถว หรือขบวนแห่ หรือขบวนใดๆ ท่เจ้าพนักงานจราจรได้อนุญาต และปฏิบัต ิ
ตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจราจรก�าหนด
มาตรา 109
ห้ามมิให้ผู้ใดกระทาด้วยประการใดๆ บนทางเท้า หรือทางใดๆ ซึ่งจัดไว้สาหรับ
�
�
คนเดินเท้าในลักษณะที่เป็นการกีดขวางผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร
มาตรา 110
ี
ห้ามมิให้ผู้ใดซ้อ ขาย แจกจ่าย หรือเร่ยไรในทางเดินรถ หรือออกไปกลางทาง
ื
โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือเป็นการกีดขวางการจราจร
113
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.15 สัตว์และสิ่งของในทาง
มาตรา 111
ี
่
ห้ามมิให้ผู้ใดข จูง ไล่ต้อน หรือปล่อยสัตว์ไปบนทาง ในลักษณะท่เป็นการกีดขวาง
ี
การจราจร และไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ
มาตรา 112
การข จูง หรือไล่ต้อนสัตว์ไปบนทาง ให้ผู้ข่หรือควบคุมสัตว์ปฏิบัติตาม
ี
ี
่
บทแห่งพระราชบัญญัตินี้ว่าด้วยรถโดยอนุโลม
มาตรา 113
�
ั
เจ้าพนักงานจราจรมีอ�านาจออกคาส่งห้ามข จูง ไล่ต้อน หรือปล่อยสัตว์
ี
่
ี
่
ไปบนทางใดๆ เมื่อพิจารณาเห็นว่าการข จูง ไล่ต้อน หรือปล่อยสัตว์ดังกล่าว
จะกีดขวางการจราจร หรือจะก่อให้เกิดความสกปรกบนทาง
มาตรา 114
ื
ั
ิ
ึ
ิ
ห้ามมิให้ผู้ใดวาง ต้ง ย่น หรือแขวนส่งใดส่งหน่ง หรือกระทาด้วยประการใดๆ
�
ั
ุ
ในลักษณะท่เป็นการกีดขวางการจราจร เว้นแต่ได้รับอนญาตเป็นหนงสือ จากเจ้า
ี
พนักงานจราจร แต่เจ้าพนักงานจราจรจะอนุญาตได้ต่อเม่อมีเหตุอันจ�าเป็น และ
ื
เป็นการชั่วคราวเท่านั้น
ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติในวรรคหน่ง นอกจากจะมีความผิดตามมาตรา 148 แล้ว
ึ
ั
เจ้าพนักงานจราจรมีอ�านาจส่งให้ผู้ฝ่าฝืนร้อถอน หรือเคล่อนย้ายสิ่งกีดขวาง
ื
ื
ดังกล่าวได้ ถาไม่ยอมรื้อถอนหรือเคลื่อนย้าย ให้เจ้าพนักงานจราจรมีอ�านาจรื้อถอน
้
หรือเคลื่อนย้ายได้
มาตรา 115
�
ี
ห้ามมิให้ผู้ใดแบก หาม ลาก หรือนาส่งของไปบนทาง ในลักษณะท่เป็นการ
ิ
กีดขวางการจราจร
114
4.16 รถม้า เกวียนและเลื่อน
4
การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 116
ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถม้า หรือเกวียนหรือเล่อนท่เทียมด้วยสัตว์ จอดรถม้า หรือเกวียน
ี
ื
ี
ื
ั
ี
หรือเล่อนในทางโดยไม่มีผู้ควบคุม เว้นแต่ได้ผูกสัตว์ท่เทียมน้นไว้ไม่ให้ลากรถม้า หรือ
เกวียน หรือเลื่อนต่อไปได้
มาตรา 117
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถม้าปล่อยสายบังเหียนในเวลาขับรถม้า
มาตรา 118
ี
การขับรถม้า หรือเกวียน หรือเล่อนท่เทียมด้วยสัตว์ ให้ผู้ขับข่ปฏิบัติตามบท
ื
ี
แห่งพระราชบัญญัตินี้ว่าด้วยรถโดยอนุโลม
บันทึก
115
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.17 เขตปลอดภัย
มาตรา 119
ี
ห้ามมิให้ผู้ขับข่ขับรถเข้าไปในเขตปลอดภัย เว้นแต่ในกรณีจ�าเป็น และได้รับ
อนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
การขับขี่ในลักษณะที่ไม่ปลอดภัย
มาตรา 120
ห้ามมิให้ผู้ขับข่ขับรถถอยหลังในลักษณะท่ไม่ปลอดภัย หรือเป็นการกีดขวางการ
ี
ี
จราจร
มาตรา 121
ผู้ขับขรถจักรยานยนต์ต้องน่งคร่อมบนอานทจัดไว้ส�าหรับให้ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์
ี
่
ี
ั
ี
่
ี
�
น่ง ถ้าพนักงานเจ้าหน้าท่ได้กาหนดไว้ในใบคู่มือจดทะเบียนให้บรรทุกคนโดยสารได้
ั
ี
�
ั
คนโดยสารจะต้องน่งซ้อนท้ายผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ และน่งบนอานท่จัดไว้สาหรับ
ั
ี
คนโดยสารหรือนั่งในที่นั่งพ่วงข้าง
มาตรา 122
ี
ึ
�
ี
ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องสวมหมวกท่จัดทาข้น
โดยเฉพาะ เพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่ และโดยสารรถจักรยานยนต์
ี
ี
ึ
ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ตามวรรคหน่ง ขับข่รถจักรยานยนต์ในขณะท ่ ี
�
ึ
คนโดยสารรถจักรยานยนต์มิได้สวมหมวกท่จัดทาข้นโดยเฉพาะเพ่อป้องกันอันตราย
ื
ี
ึ
ื
ลักษณะ และวิธีการใช้หมวกเพ่อป้องกันอันตรายตามวรรคหน่ง ให้เป็นไป
ตามที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช หรือผู้นับถือ
ี
ลัทธิศาสนาอื่น ท่ใช้ผ้า หรือส่งอ่นโพกศีรษะตามประเพณีนิยมน้น หรือบุคคลใด
ิ
ั
ื
ที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
116
มาตรา 123
ั
ี
ั
ี
ี
ี
ั
ห้ามมิให้ผู้ขับข่รถยนต์ยอมให้ผู้อื่นน่งท่น่งตอนหน้าแถวเดียวกับท่น่งผู้ขับข่รถยนต์ 4
เกินสองคน
่
ี
ั
ี
่
ั
ั
่
็
ั
ิ
ั
ู
ผ้ขบขรถยนต์ต้องรดร่างกายด้วยเขมขดนรภยไว้กบทนงในขณะขบข ่ ี
ั
ั
ี
ั
รถยนต์ และต้องจัดให้คนโดยสารรถยนต์ ซึ่งน่งท่น่งตอนหน้าแถวเดียวกับ
ั
ที่นั่งผู้ขับขี่รถยนต์ รัดร่างกายไว้กับที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์ และ
ั
คนโดยสารรถยนต์ดังกล่าวต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับท่น่งในขณะโดยสาร
ี
รถยนต์ด้วย
ประเภทหรือชนิดของรถยนต์ ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัยตามวรรคสอง การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
ให้เป็นไปตามที่อธิบดีก�าหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 124
�
ห้ามมิให้ผู้ใดกระทาด้วยประการใดๆ อันเป็นเหตุให้ผู้ขับข่มองไม่เห็นทางด้านหน้า
ี
ี
หรือด้านข้างของรถได้โดยสะดวกในขณะขับรถ หรือในลักษณะท่เป็นการกีดขวาง
การควบคุมบังคับรถ
ห้ามมิให้ผู้ใดเกาะ ห้อยโหน หรือย่นส่วนหน่งส่วนใดของร่างกายออกไปนอก
ื
ึ
ตัวถังรถยนต์โดยไม่สมควร หรือนั่งหรือยืนในหรือบนรถยนต์ ในลักษณะที่อาจก่อให้
เกิดอันตราย ในขณะที่รถยนต์เคลื่อนที่อยู่ในทางเดินรถ
ห้ามมิให้ผู้ใดข้นหรือลงรถโดยสารประจาทาง รถบรรทุกคนโดยสาร รถโรงเรียน
ึ
�
ี
่
หรือรถแท็กซี ในขณะท่รถดังกล่าวหยุดเพ่อรอสัญญาณไฟจราจร หรือหยุดเพราะ
ื
ติดการจราจร
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หรือผู้เก็บค่าโดยสาร รถโดยสารประจ�าทาง รถบรรทุกคนโดยสาร
�
่
รถโรงเรียน หรือรถแท็กซี ยินยอมให้ผู้ใดกระทาการใดๆ ตามวรรคสองหรือวรรคสาม
117
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 125
การขับรถผ่านทางแคบระหว่างภูเขา หรือระหว่างเนิน หรือการขับรถในทางเดินรถ
ี
บนภูเขาหรือบนเนิน ผู้ขับข่ต้องขับรถให้ชิดขอบทางด้านซ้าย และเมื่อถึงทางโค้ง
ผู้ขับขี่ต้องใช้เสียงสัญญาณเพื่อเตือนรถอื่นที่อาจสวนมา
มาตรา 126
ี
ห้ามมิให้ผู้ขับข่ใช้เกียร์ว่างหรือเหยียบคลัทช์ ในขณะท่ขับรถลงตามทางลาด
ี
หรือไหล่เขา
มาตรา 127
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ
ี
�
(1) ตามหลังรถฉุกเฉินซึ่งกาลังปฏิบัติหน้าท่ในระยะ
ต�่ากว่าห้าสิบเมตร
(2) ผ่านเข้าไป หรือจอดในบริเวณเขตปฏิบัติการดับ
เพลิง
ื
ี
(3) ทับสายสูบดับเพลิงท่ไม่มีเคร่องป้องกันสายสูบ
ี
่
ิ
ในขณะเจ้าหน้าทดับเพลิงปฏบัติการตามหน้าท ี ่
ี
เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากเจ้าหน้าท่ดับเพลิงซึ่ง
ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้น
มาตรา 128
ิ
ู
ห้ามมิให้ผู้ใดวาง เท หรือท้งเศษแก้ว ตะป ลวด
้
ื
�
นามันหล่อล่น กระป๋องหรือส่งอื่นใด หรือกระทาด้วย
ิ
�
�
ประการใดๆ บนทางอันอาจทาให้เกิดอันตรายหรือ
เสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล หรือเป็นการกีดขวาง
การจราจร
มาตรา 129
ิ
ึ
ผู้ใดรู้ว่ามีส่งใดส่งหน่งตามมาตรา 128 อันอยู่ใน
ิ
ความดูแลของตน ตก หก หรือไหลอยู่บนทาง ผู้นั้นต้อง
จัดการเก็บกวาดของดังกล่าวออกจากทางทันที
มาตรา 130
ห้ามมิให้ผู้ใดเผา หรือกระทาด้วยประการใดๆ ภายในระยะห้าร้อยเมตรจาก
�
ทางเดินรถ เป็นเหตุให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใด ในลักษณะที่อาจท�าให้ไม่ปลอดภัยแก่
การจราจรในทางเดินรถนั้น
มาตรา 131
ิ
ี
ั
�
ผู้ใดเคล่อนย้ายรถท่ชารุดหรือหักพังออกจากทาง ผู้น้นต้องจัดการเก็บส่งของ
ื
ที่ตกหล่นอันเนื่องจากความช�ารุดหรือหักพังของรถออกจากทางทันที
118
มาตรา 132
ในขณะท่ใช้รถโรงเรียนรับส่งนักเรียน เจ้าของรถหรือผู้ขับข่รถโรงเรียนต้องจัดให้ 4
ี
ี
มีข้อความ “รถโรงเรียน” ขนาดสูงของตัวอักษรไม่น้อยกว่าสิบห้าเซนติเมตร ติดอยู่
ด้านหน้า และด้านหลังของรถ
ถ้ารถโรงเรียนมีไฟสัญญาณสีแดงปิดเปิดเป็นระยะติดไว้ด้านหน้าและด้านหลัง
ของรถ เพื่อให้รถที่สวนมาหรือตามหลังเห็นได้โดยชัดเจน เมื่อน�ารถนั้นไปใช้ในทาง
โดยไม่ได้ใช้รับส่งนักเรียน ให้งดใช้ไฟสัญญาณสีแดง และต้องปิดคลุมข้อความว่า
รถโรงเรียน การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 133
รถท่เข้าขบวนแห่ต่างๆ หรือรถท่นามาใช้เฉพาะเพ่อการโฆษณาสินค้า หรือ
ี
ื
�
ี
ี
มหรสพท่แห่หรือโฆษณาไปตามทาง จะต้องรับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร
เว้นแต่ขบวนแห่หรือการโฆษณานั้นเป็นของทางราชการ
ี
รถท่ใช้โฆษณาสินค้าหรือมหรสพดังกล่าวในวรรคหน่ง ถ้าเข้าขบวนแห่
ึ
ที่รับอนุญาตแล้ว และในการอนุญาตนั้นได้ระบุรถที่ว่านี้ไว้ด้วยแล้ว รถนั้นไม่จ�าเป็น
ต้องได้รับอนุญาต
มาตรา 134
ห้ามมิให้ผู้ใดแข่งรถในทาง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าพนักงาน
จราจร
ห้ามมิให้ผู้ใดจัด สนับสนุน หรือส่งเสริมให้มีการแข่งรถในทาง เว้นแต่จะได้
รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าพนักงานจราจร
บันทึก
119
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.18 อำานาจของเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 135
�
เพ่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร เจ้าพนักงานจราจรมีอานาจ
ื
ี
ี
�
ี
กาหนดให้บริเวณหรือพ้นท่ใดท่เจ้าของท่ดินได้เปิดให้ประชาชนใช้ในการจราจร
ื
เป็นทางตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 136
ให้อธิบดีมีอานาจแต่งต้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามท่จะกาหนด และผ่านการอบรม
ั
�
ี
�
ื
ี
ี
ตามหลักสูตรอาสาจราจร เพ่อให้ทาหน้าท่ช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าท่ของพนักงาน
�
เจ้าหน้าที่
ี
คุณสมบัติของผู้ท่จะได้รับการอบรม รายละเอียดเก่ยวกับการฝึกอบรมหลักสูตร
ี
อาสาจราจร และหน้าท่ของอาสาจราจร ตลอดจนเครื่องแบบ เคร่องหมาย ให้เป็น
ี
ื
ไปตามที่อธิบดีก�าหนด
มาตรา 137
ในการปฏิบัติหน้าท่ท่ได้รับมอบหมายของอาสาจราจรตามพระราชบัญญัติน ้ ี
ี
ี
ให้อาสาจราจรเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 138
ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุเกิดขึ้น ท�าให้ไม่ปลอดภัย หรือไม่สะดวกใน
การจราจรในอาณาบริเวณใด เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าท่มีอานาจ
�
ี
ี
ั
ดาเนินการได้ตามท่เห็นสมควร และจ�าเป็นเก่ยวกับการจราจรในอาณาบริเวณน้น
ี
�
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร ดังต่อไปนี้
(1) ห้ามรถทุกชนิดหรือบางชนิด หรือคนเดินเท้า เดินในทางสายใด หรือเฉพาะทาง
ตอนใด
(2) ห้ามหยุดหรือจอดรถในทางสายใด หรือเฉพาะทางตอนใด
(3) ห้ามเลี้ยวรถ กลับรถ หรือถอยหลังรถ ในทางสายใดหรือเฉพาะทางตอนใด
(4) ก�าหนดทางสายใด หรือเฉพาะทางตอนใดให้รถเดินได้ทางเดียว
ทั้งนี้ ชั่วระยะเวลาเท่าที่จ�าเป็น
120
มาตรา 139
ั
่
ในทางสายใดหรือเฉพาะทางตอนใด ทเจ้าพนกงานจราจรเหนว่าถ้าได้ 4
ี
็
ี
ออกประกาศข้อบังคับหรือระเบียบเก่ยวกับการจราจรแล้วจะเป็นการปลอดภัย
และสะดวกในการจราจร ให้เจ้าพนักงานจราจรมีอ�านาจออกประกาศข้อบังคับหรือ
ระเบียบ ดังต่อไปนี้
(1) ห้ามรถทุกชนิด หรือบางชนิดเดิน
(2) ห้ามหยุดหรือจอด
(3) ห้ามเลี้ยวรถ กลับรถ หรือถอยหลังรถ
(4) ก�าหนดให้รถเดินได้ทางเดียว การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
(5) ก�าหนดระยะเวลาจอดรถในทางแคบหรือที่คับขัน
(6) ก�าหนดอัตราความเร็วของรถในทางภายในอัตราที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
(7) ก�าหนดช่องหรือแนวทางเดินรถขึ้นและล่อง
(8) ก�าหนดทางเดินรถทางเอกและทางเดินรถทางโท
(9) ก�าหนดการจอดรถหรือที่จอดพักรถ
(10) ก�าหนดระเบียบการใช้ทางหรือช่องเดินรถส�าหรับรถบางประเภท
(11) ก�าหนดระเบียบเกี่ยวกับการใช้รถโรงเรียน
(12) ก�าหนดระเบียบเกี่ยวกับการบรรทุกคนโดยสารส�าหรับรถจักรยาน
(13) ควบคุมขบวนแห่หรือการชุมนุมสาธารณะ
(14) ควบคุมหรือห้ามเลี้ยวรถในทางร่วมทางแยก
�
ื
ั
(15) ขีดเส้นหรือทาเคร่องหมายจราจรบนผิวทาง หรือติดต้งสัญญาณจราจร หรือ
เครื่องหมายจราจร
้
ี
(16) กาหนดระยะทางตอนใดให้ขับรถล�าเข้าไปในเส้นก่งกลางของทางท่เจ้า
�
ึ
พนักงานจราจรก�าหนดไว้ได้
ี
ี
(17) กาหนดระเบียบเก่ยวกับการจอดรถท่ช�ารุด หักพัง ตลอดจนรถท่ซ่อมแซมในทาง
ี
�
(18) ก�าหนดระเบียบการข้ามทางของคนเดินเท้าบนทางที่ไม่มีทางข้าม
(19) ก�าหนดการใช้โคมไฟ
(20) ก�าหนดการใช้เสียงสัญญาณ
(21) ก�าหนดระเบียบการอนุญาต และการใช้รถที่มีล้อ หรือส่วนที่สัมผัสกับผิวทาง
ไม่ใช่ยาง
121
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 140
เมื่อเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่พบด้วยตนเอง หรือโดย
ี
ี
การใช้เครื่องอุปกรณ์ใดๆ ว่าผู้ขับข่ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัต ิ
้
ี
ั
ี
ื
แห่งพระราชบัญญัติน หรือกฎหมายอ่นอันเก่ยวกับรถน้นๆ จะว่ากล่าว ตักเตือนผู้ขับข ี ่
ี
ี
หรือออกใบส่งให้ผู้ขับข่ช�าระค่าปรับตามท่เปรียบเทียบก็ได้ ในกรณีท่ไม่พบตัวผู้ขับข ี ่
ี
ั
ให้ติดหรือผูกใบสั่งไว้ที่รถที่ผู้ขับขี่เห็นได้ง่าย และถ้าไม่สามารถติดหรือผูกใบสั่งไว้ที่
รถได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ส่งใบส่งพร้อมพยานหลักฐานโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
ั
ตอบรับไปยังภูมิล�าเนาของเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถ ภายในระยะเวลาตามที่ผู้
บัญชาการต�ารวจแห่งชาติก�าหนด นับแต่วันที่เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้า
หน้าท่พบการกระทาความผิด และให้ถือว่าเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถได้รับใบส่ง
ั
�
ี
เมื่อพ้นก�าหนดสามสิบวันนับแต่วันส่ง
�
ี
สาหรับความผิดท่กาหนดไว้ในมาตรา 157/1 มาตรา 159 มาตรา 160 มาตรา 160
�
ทวิ และมาตรา 160 ตรี ห้ามมิให้ว่ากล่าวตักเตือน หรือท�าการเปรียบเทียบ
ึ
ี
ั
ี
ในการออกใบส่งให้ผู้ขับข่ช�าระค่าปรับตามท่เปรียบเทียบตามวรรคหน่ง
เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับรถไว้เป็นการ
ี
่
ั
็
้
ี
ุ
้
้
้
ชัวคราวกได แตตองออกใบรับแทนใบอนญาตขบรถใหแกผูขบข่ไว และเจ้าพนักงาน
้
่
ั
่
ี
�
จราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ต้องรีบนาใบอนุญาตขับรถท่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบ
ี
พนักงานสอบสวนภายในแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่ออกใบสั่ง
ใบรับแทนใบอนุญาตขับรถท่ออกให้ตามวรรคสาม ให้ใช้แทนใบอนุญาตขับรถ
ี
ี
่
ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน เม่อเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท หรือ
ื
่
ี
ี
ั
ู
�
ั
ั
พนกงานสอบสวนได้ว่ากล่าวตกเตือน หรือทาการเปรยบเทยบปรับ และผ้ขบขได้ช�าระ
ี
ค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว ให้คืนใบอนุญาตขับรถทันที
ั
ี
ในกรณีเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ออกใบส่งแต่ไม่พบตัวผู้ขับข ี ่
ให้สันนิษฐานว่าเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถเป็นผู้กระทาผิดดังกล่าว เว้นแต่
�
สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้อื่นเป็นผู้ขับขี่
การกาหนดจ�านวนค่าปรับตามท่เปรียบเทียบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ท่อธิบด ี
�
ี
ี
ก�าหนด
�
ใบส่งและใบรับแทนใบอนุญาตขับรถ ให้ทาตามแบบท่เจ้าพนักงานจราจรกาหนด
ั
�
ี
122
มาตรา 141
ผู้ขับข่หรือเจ้าของรถซ่งได้รับใบสั่งตามมาตรา 140 อาจเลือกปฏิบัติอย่างใด 4
ี
ึ
อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
ี
�
ี
(1) ช�าระค่าปรับตามจ�านวนท่ระบุไว้ในใบสั่ง หรือตามจานวนท่พนักงานสอบสวน
ี
ั
ี
�
ี
ี
แจ้งให้ทราบ ณ สถานท่ท่ระบุไว้ในใบส่ง หรือสถานท่ท่อธิบดีกาหนดโดย
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ภายในวัน เวลา ที่ระบุไว้ในใบสั่ง
(2) ชาระค่าปรับตามจ�านวนท่ระบุไว้ในใบส่งโดยการส่งธนาณัต หรือการส่ง
ี
ั
�
ิ
ั
ั
ต๋วแลกเงินของธนาคารโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ส่งจ่ายให้แก่อธิบด ี
ั
ี
พร้อมด้วยสาเนาใบส่งไปยังสถานท และภายในวัน เวลา ท่ระบุไว้ในใบส่ง การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
่
�
ั
ี
เมื่อผู้ได้รับใบส่งได้ช�าระค่าปรับครบถ้วนถูกต้องแล้ว ให้คดีเป็นอันเลิกกัน
ั
และในกรณีท่เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ได้เรียกเก็บ
ี
ี
ใบอนุญาตขับรถไว้ ให้เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานสอบสวนรีบจัดส่ง
ื
ั
ใบอนุญาตขับรถท่เรียกเก็บไว้คืนให้แก่ผู้ได้รับใบส่งโดยเร็ว และให้ถอว่าใบรับ
ี
ั
การส่งธนาณัต หรือใบรับการส่งต๋วแลกเงินประกอบกับใบสั่ง เป็นใบแทน
ิ
ใบอนุญาตขับรถได้เป็นเวลาสิบวัน นับแต่วันท่ส่งธนาณัต หรือต๋วแลกเงิน
ั
ิ
ี
ดังกล่าว วิธีการช�าระค่าปรับโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และวิธีการส่ง
ี
�
่
้
ิ
้
ี
่
ู
้
่
้
ใบอนญาตขบรถคนใหแกผไดรับใบสังใหเป็นไปตามระเบียบทอธบดกาหนด
ั
ุ
ื
มาตรา 141 ทวิ
ั
ู
้
่
ั
ั
ในกรณีท่ผ้ขับขหรือเจ้าของรถซึ่งไดรับใบสงไม่ปฏิบติตามมาตรา 141 ใหพนกงาน
ี
้
่
ี
สอบสวนมีอ�านาจดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ทราบที่อยู่ของผู้ขับขี่ หรือที่อยู่ของเจ้าของรถ ให้พนักงานสอบสวน
ี
ี
ออกหมายเรียกผู้ขับข่หรือเจ้าของรถ ให้มารายงานตัวท่พนักงานสอบสวน
้
ในกรณีดังกล่าวน ผู้ได้รับหมายเรียกต้องมารายงานตัวตามวัน เวลา และ
ี
�
ณ สถานท่ท่ระบุไว้ในหมายเรียก และให้พนักงานสอบสวนดาเนินการ
ี
ี
เปรียบเทียบ และว่ากล่าวตักเตือนผู้ได้รับหมายเรียกดังกล่าว
(2) ในกรณีท่ไม่อาจส่งหมายเรียกให้แก่ผู้ขับข หรือเจ้าของรถได้ให้พนักงาน
ี
ี
่
สอบสวนแจ้งเป็นหนังสือไปยังนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และ
ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก เพอใหนายทะเบียนแจ้งใหผู้มาติดต่อ
้
ื
้
่
ขอช�าระภาษีประจาปีส�าหรับรถคันน้นไปรายงานตัวท่พนักงานสอบสวน
ั
ี
�
ตามหมายเรียก ถ้าผู้มาติดต่อขอช�าระภาษีประจ�าปีเป็นเพียงตัวแทน
ของเจ้าของรถ ให้ผู้มาติดต่อแจ้งให้เจ้าของรถทราบ เพ่อไปรายงานตัว
ื
ี
ท่พนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ในกรณีดังกล่าวน ให้นายทะเบียน
้
ี
�
ั
งดรับช�าระภาษีประจ�าปีสาหรับรถคันน้นไว้เป็นการช่วคราว จนกว่าจะได้
ั
ั
รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่าได้มีการปฏิบัติตามหมายเรียกน้นแล้ว
ิ
การงดรับช�าระภาษีประจ�าปีไม่เป็นเหตุให้ผู้น้นไม่ต้องช�าระเงินเพ่ม
ั
ื
ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ หรอกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
แล้วแต่กรณี
123
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
มาตรา 142
เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอ�านาจสั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถในเมื่อ
(1) รถนั้นมีสภาพไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6
ั
ี
(2) เห็นว่าผู้ขับข่หรือบุคคลใดในรถน้นได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทแห่ง
พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอันเกี่ยวกับรถนั้นๆ
ในกรณีที่ มีพฤติกรรมอันควรเชื่อว่า ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ให้เจ้า
ั
ี
พนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้า ท่ส่งให้มีการทดสอบผู้ขับข ี ่
ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันท่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่
ี
ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ทดสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงาน
�
สอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าท่มีอานาจกักตัวผู้น้นไว้ ดาเนินการทดสอบได้ภายใน
ี
ั
�
ี
ิ
ระยะเวลาเท่าท่จ�าเป็นแห่งกรณ เพ่อให้การทดสอบเสร็จส้นไปโดยเร็ว หากผู้น้นยอม
ี
ื
ั
ให้ทดสอบและผลการทดสอบปรากฏว่าไม่ได้ฝ่าฝืน มาตรา 43 (1) หรือ (2) ก็ให้
ปล่อยตัวไปทันที
ี
ี
ในกรณีท่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับข่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมา
ื
ั
อย่างอ่น หากผู้น้นยังไม่ยอมให้ทดสอบตามวรรคสามโดยไม่มีเหตุอันควร ให้
สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นฝ่าฝืนมาตรา 43 (2)
้
การทดสอบตามมาตราน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่กาหนดในกฎ
ี
ี
�
กระทรวง
มาตรา 143
ถ้าปรากฏว่าผู้ขับขี่น�ารถที่มีสภาพไม่ถูกต้องตามมาตรา 6 ไปใช้ในทาง นอกจาก
จะต้องรับโทษตามบทบัญญัตินั้นๆ แล้ว เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
มีอ�านาจสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่ ซ่อมหรือแก้ไขรถให้ถูกต้อง
มาตรา 143 ทวิ
เจ้าพนักงานจราจร พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการมีอ�านาจสั่งให้ผู้ขับขี่หยุด
ี
ั
ื
�
รถเพ่อทาการตรวจสอบในเมื่อรถน้นมีสภาพไม่ถูกต้องตามท่บัญญัติไว้ในมาตรา 10
้
็
ทวิ และมีอ�านาจสั่งเปนหนังสือใหระงับการใช้รถนั้นเป็นการชั่วคราว และใหเจ้าของ
้
รถหรือผู้ขับขี่ซ่อมหรือแก้ไขรถให้ถูกต้อง
124
มาตรา 144
�
ั
ี
เมื่อเจ้าของรถหรือผู้ขับข่ได้ซ่อมหรือแก้ไขรถถูกต้องตามคาส่งเจ้าพนักงานจราจร 4
พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการ ซึ่งสั่งตามมาตรา 143 หรือมาตรา 143 ทวิ แล้ว
ี
ั
�
ให้นารถไปให้เจ้าพนักงานจราจร หรือผู้ท่อธิบดีแต่งต้งให้มีอานาจตรวจรถ
�
ตรวจรับรอง เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่จะน�ารถออกใช้ในทางได้เมื่อได้รับใบตรวจรับรอง
การตรวจรับรองรถตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามวิธีการที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 145
บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัติน้นอกจากความผิดท่กาหนดโทษไว้ในมาตรา การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
ี
ี
�
157/1 มาตรา 159 มาตรา 160 มาตรา 160 ทวิ และ มาตรา 160 ตรี ให้พนักงาน
�
สอบสวนผู้มีอานาจทาการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
�
มีอ�านาจเปรียบเทียบหรือว่ากล่าวตักเตือนได้
มาตรา 146
ี
เงินค่าปรับตามพระราชบัญญัติน้ท่ได้รับในกรุงเทพมหานคร หรือในจังหวัดใด
ี
หรือในท้องถิ่นที่กระทรวงมหาดไทยประกาศก�าหนด ให้แบ่งให้แก่กรุงเทพมหานคร
หรือเทศบาลในจังหวัดน้น เพ่อใช้ในการดาเนินการเก่ยวกับการจราจร ในอัตรา
ี
�
ั
ื
ี
ร้อยละห้าสิบของจ�านวนเงินค่าปรับ หรือให้ตกเป็นของท้องถ่นท่กระทรวงมหาดไทย
ิ
ประกาศก�าหนดทั้งหมด
บันทึก
125
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.19 กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการขับรถ
ี
�
ี
ี
กฎหมายท่เก่ยวข้องกับการขับรถท่สาคัญท่ผู้ขับรถจ�าเป็นต้องร นอกจากพระราช
ี
ู้
บัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และพระ
ราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 ดังนี้
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522
รถที่อยู่ในความควบคุมตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ประกอบด้วย
• รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง)
•รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน ซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่ง
เพื่อสินจ้าง ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก
• รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ซึ่งมีน�้าหนักไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม ซึ่งมิได้ใช้ประกอบ
การขนส่งเพื่อสินจ้าง ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก
• รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ซึ่งใช้รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน
• รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน
• รถยนต์บริการ ซึ่งใช้รับจ้างบรรทุกคนโดยสารหรือให้เช่าไม่เกิน 7 คน
• รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
• รถจักรยานยนต์สาธารณะ
• รถสามล้อส่วนบุคคล
• รถยนต์รับจ้างสามล้อ
• รถบดถนน
• รถแทรกเตอร์
• รถพ่วง
• รถใช้งานเกษตรกรรม
บันทึก
126
1. การจดทะเบียน เครื่องหมาย และการใช้รถ
4
ู้
ู
่
1.1 รถทนามาใช้ต้องจดทะเบียนแล้ว และเสียภาษีประจ�าปีครบถ้วนถกต้องผใด
�
ี
ใช้รถโดยไม่จดทะเบียน หรือช�าระภาษี ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ี
่
ี
1.2 รถทจะขอจดทะเบียนได้ต้องเป็นรถทมีส่วนควบและเครองอุปกรณ์สาหรบ
่
ื
ั
�
่
�
ี
รถครบถ้วนถูกต้องตามท่กาหนดในกฎกระทรวง และผ่านการตรวจสภาพรถตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการและเง่อนไขท่กาหนดในกฎกระทรวงในเวลาท่ขอจดทะเบียนแล้ว
ี
ื
ี
�
ผู้ใดใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ส�าหรับรถไม่ครบถ้วนถูกต้องตามที่ก�าหนด
ึ
ิ
ิ
ในกฎกระทรวง หรือเพ่มส่งใดสิ่งหน่งเข้าไปอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือ การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
จิตใจของผู้อื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ี
ี
1.3 การขอจดทะเบียนรถให้ย่นค�าขอต่อนายทะเบียนแห่งท้องท่ท่ตนมีภูมิลาเนา
ื
�
1.4 รถท่จดทะเบียนแล้วต้องมีและแสดงแผ่นป้าย และเคร่องหมายครบถ้วนถูก
ื
ี
ต้องตามที่ก�าหนดในกฎกระทรวง ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ี
ี
1.5 การเปล่ยนแปลงสีของรถให้ผิดไปจากท่จดทะเบียนไว้ เจ้าของรถต้องแจ้ง
นายทะเบียนภายใน 7 วัน นับต้งแต่วันเปลี่ยนแปลงสี ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ
ั
ไม่เกิน 2,000 บาท
1.6 ในการโอนรถที่จดทะเบียนแล้ว ผู้โอนและผู้รับโอนต้องแจ้งต่อนายทะเบียน
ภายใน 15 วัน นับแต่วันโอนรถ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ี
่
ี
1.7 การย้ายรถไปไว้ต่างท้องท ให้เจ้าของรถแจ้งต่อนายทะเบียนท้องท่ภายใน
15 วัน นับตั้งแต่วันย้าย ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ึ
ี
ี
1.8 รถท่จดทะเบียนแล้ว ห้ามมิให้เปล่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนหน่งส่วนใดให้
�
ผิดไปจากรายการท่จดทะเบียนไว้และใช้รถน้น เว้นแต่เจ้าของรถต้องนาไปให้นาย
ี
ั
ทะเบียนตรวจสภาพก่อนผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
1.9 “ป้ายแดง” เป็นเคร่องหมายพิเศษท่กรมการขนส่งทางบก ออกให้แก่บริษัท
ื
ี
ั
ื
�
�
จ�าหน่ายรถส�าหรับใช้ติดรถเพ่อนาไปส่งให้ลูกค้า หรือนาไปซ่อมแซมเท่าน้น หาก
�
ี
�
นารถท่ติดป้ายแดงซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนและเสียภาษีประจาปีให้ถูกต้องมาใช้บน
ถนน มีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
10,000 บาท
127
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
2. รถที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน
2.1 รถของกรมต�ารวจที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่อธิบดีกรม
ต�ารวจก�าหนด
2.2 รถของสานักพระราชวังท่จดทะเบียน และมีเคร่องหมายตามระเบียบท ี ่
ื
ี
�
เลขาธิการพระราชวังก�าหนด
2.3 รถที่เจ้าของแจ้งการไม่ใช้รถ
ี
2.4 รถท่ผู้ผลิตหรือประกอบเพ่อจ�าหน่าย หรือผู้นาท่เข้ามาเพ่อจาหน่าย ผลิต
�
ี
ื
ื
�
ประกอบ หรือน�าเข้า และยังมิได้จ�าหน่ายแก่ผู้อื่น
3. รถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
3.1 รถดับเพลิง
3.2 รถพยาบาลที่มิใช่เป็นรถส�าหรับรับจ้าง
3.3 รถของกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา
และราชการส่วนท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น ทั้งนี้เฉพาะรถที่มิได้ใช้ในทางการค้าหรือก�าไร
3.4 รถบดถนนของรัฐวิสาหกิจ
3.5 รถแทรกเตอร์ของรัฐวิสาหกิจ
3.6 รถของสภากาชาดไทย
3.7 รถของบุคคลใครผู้แทนทางการทูต คณะผู้แทนทางกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือทบวงการช�านัญ
พิเศษแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประจ�าอยู่ในประเทศไทย
3.8 รถใช้งานเกษตรกรรมตามลักษณะและเงื่อนไขที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
บันทึก
128
4. กำาหนดประเภทของรถยนต์และแบบของเข็มขัดนิรภัย
1.4.1 ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กาหนดคุณลักษณะและการติดตั้ง 4
�
เข็มขัดนิรภัยส�าหรับรถยนต์ พ.ศ. 2553 โดยมิให้ใช้บังคับแก้รถยนต์สี่ล้อ
เล็ก รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้างรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล และรถยนต์สามล้อ
รับจ้าง และได้ก�าหนดคุณลักษณะเข็มขัดนิรภัย มี 2 แบบ คือ
(1) แบบรัดหน้าตักและพาดไหล่ (Three-point belt)
(2) ปบบรัดหน้าตัก (Lap belt)
1.4.2 เข็มขัดนิรภัยให้มีลักษณะและต�าแหน่งที่ตั้ง ดังนี้ การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
ั
ี
่
็
ิ
ั
ี
ั
(1) ทน่งตอนหน้าของรถท่อยู่ด้านริมสุด ต้องตดต้งเขมขดนิรภัยตามข้อ
้
1.4.1 (1) และในต�าแหนงระหวางที่นั่งตอนเดียวกัน ตองติดตั้งเข็มขัด
่
่
นิรภัยตามข้อ 1.4.1 (1) หรือข้อ 1.4.1 (2)
(2) ที่นั่งตอนสองของรถของรถที่นั่งอยู่ด้านริมสุด ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัย
ตามข้อ 1.4.1 (1) ส่วนต�าแหน่งระหว่างที่นั่งตอนเดียวกัน ต้องติดตั้ง
เข็มขัดนิรภัยตามข้อ 1.4.1 (1) หรือ ข้อ 1.4.1 (2)
ี
ั
ั
�
ั
ี
(3) ท่น่งตอนสามและตาแหน่งท่น่งอื่น ต้องติดต้งเข็มขัดนิรภัยตามข้อ
1.4.1 (1) หรือข้อ 1.4.1 (2)
1.4.3 รถยนต์ดังต่อไปนี้ ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 เป็นต้นไปต้อ
ติดตั้ง\เข็มขัดนิรภัยตามลักษณะและต�าแหน่งที่ก�าหนดไว้ในข้อ 1.4.1 (1)
(1) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน
(2) รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด
(3) รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน
(4) รถยนต์บริการ
ิ
ี
่
รถยนต์ข้างต้น ทจดทะเบียนต้งแต่วันท 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไปต้องตดตง
ั
้
ั
่
ี
เข็มขัดนิรภัยตามลักษณะและตาแหน่งท่กาหนดไว้ในข้อ 1.4.2 (2) และ (3) เป็นการ
�
�
ี
เพิ่มเติมขึ้น
ี
1.4.4. รถยนต์ดังต่อไปน ท่จดทะเบียนต้งแต่วันท 1 มกราคม 2537 เป็นต้นไป ต้อง
ี
ั
้
่
ี
ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยตามลักษณะและต�าแหน่งที่ก�าหนดไว้ในข้อ 1.4.2 (1)
(1) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน
(2) รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
129
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
5 ภาษีประจำาปี
การเสียภาษีรถประจ�าปี เจ้าของรถต้องช�าระล่วงหน้าคราวละ 1 ปี หากไม่เสียภาษีภายในเวลาที่ก�าหนด ต้อง
ช�าระเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน ของจ�านวนภาษีที่ค้างช�าระ และรถที่ค้างช�าระภาษีประจ�าปีติดต่อกันครบ 3 ปี
ให้การจดทะเบียนรถเป็นอันระงับไป
ี
การตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจ�าปี ให้เจ้าของรถท่จดทะเบียนในเขตตามประกาศนายทะเบียน ใน
ประเภทรถต่อไปนี้ น�ารถไปตรวจสภาพก่อนเสียภาษีได้ไม่เกิน 3 เดือน ณ สถานตรวจสภาพรถที่ได้รับอนุญาต
จากกรมการขนส่งทางบกก่อนเสียภาษีประจ�าปี
1. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่มีอายุ
ครบ7ปีนับแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
2. รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานครบ 5 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
�
หมายเหต : ผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถ และต้องมีใบอนุญาตขับรถและสาเนาภาพถ่ายใบคู่มือจด
ุ
ทะเบียนรถในขณะขับรถ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจ�าคุกหรือปรับตามฐานความผิด
6. การยึดและการเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
1.6.1 กรณียึดใบอนุญาตขับรถ
ผู้ใดได้รับใบอนุญาตขับรถแล้วหากปรากฏว่า
• ต้องค�าพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระท�าผิดตามพ.ร.บ.นี้หรือกฎกระทรวงที่ออกตาม พ.ร.บ. นี้
ั
�
• ไม่ปฏิบัติตามคาส่งอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ตามกฎหมายว่า
ี
ด้วยการจราจรทางบก
�
�
�
ี
• ต้องคาพิพากษาถึงท่สุดว่าได้กระทาความผิดฐานขับรถหรือกระทาการใดๆอันน่าจะเป็นภัยต่อประชาชน
หรือ
• มีผู้กล่าวโทษว่าท�าลายความสุขของประชาชนในถนน หรือ ทางหลวงโดยขู่เข็ญ ดูหมิ่น รังแก หรือ รบกวน
คนขับรถด้วยกันหรือผู้โดยสาร
นายทะเบียนมีอ�านาจเรียกใบอนุญาตขับรถมายึดไว้ได้ แต่ห้ามมิให้ยึดเกิน 1 ปี
ี
ในกรณีท่ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะรถยนต์สามล้อสาธารณะหรือรถจักรยานยนต์สาธารณะเป็นผ ู้
ี
ต้องหาในคดีอาญาประเภทความผิดเก่ยวกบความสงบสุขของประชาชน ความผิดเก่ยวกบการกอให้เกิดภยนตราย
ี
ั
่
ั
ั
ต่อประชาชน ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อร่างกาย ความผิดต่อ
ิ
เสรีภาพ ความผิดฐานลักทรัพย์และว่งราวทรัพย์ ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์
ความผิดฐานยักยอก ความผิดฐานรับของโจร และความผิดฐานท�าให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา
ั
ี
ี
�
หรือความผิดเก่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือโดยคาส่งท่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้จ�าคุก เว้นแต่ เป็นโทษส�าหรับความผิดที่ได้กระท�าโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือ พ้นโทษมาแล้วไม่
น้อยกว่า 3 ปี ให้นายทะเบียนหรือผู้ตรวจการซึ่งอธิบดีมอบหมายยึดใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะหรือรถยนต์
ี
�
ั
ี
สามล้อสาธารณะแล้วแต่กรณ ต้งแต่วันท่ย่นฟ้องศาลจนถึงเวลาท่ศาลมีคาพิพากษาถึงท่สุด และในระหว่างเวลา
ี
ื
ี
ดังกล่าว ห้ามมิให้นายทะเบียนต่ออายุใบอนุญาตขับรถ
1.6.2 กรณีเพิกถอนใบอนุญาต
หากปรากฏในภายหลังว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่ก�าหนด
ไว้ส�าหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถประเภทนั้น ให้นายทะเบียนสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถนั้น
130
7. การฝึกหัดขับรถ
ผู้ใดหัดขับรถยนต์ต้องมีผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี 4
ควบคุมอยู่ด้วยในการฝึกหัดขับรถห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ฝึกหัดและควบคุมอยู่ในรถ
ถ้ามีการเสียหายเกิดขึ้น ผู้ควบคุมต้องรับผิดทางแพ่ง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ฝึกหัด
ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามค�าสอนในเวลาที่ขับอยู่นั้น
8. บทกำาหนดโทษ
• ผู้ใดขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษจ�าคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือ การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจ�าทั้งปรับ
ุ
ิ
• ผู้ใดขับรถเมื่อใบอนุญาตขับรถส้นอาย หรือระหว่างถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
หรือถูกยึดใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
่
ั
ุ
ั
• ผใดขบรถโดยไมแสดงใบอนญาตขบรถ และส�าเนาภาพถายใบคมือจดทะเบียน
่
่
ู
ู
้
รถต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
• ผู้ใดยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ หรือมีประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้เข้า
ขับรถของตน หรือรถที่ตนเป็นคนขับ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
บันทึก
131
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
พระราชบัญญัติทางหลวงพ.ศ.2535
1. ทางหลวงตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535
มี 5 ประเภท คือ
(1) ทางหลวงพิเศษ
(2) ทางหลวงแผ่นดิน
(3) ทางหลวงชนบท
(4) ทางหลวงท้องถิ่น
(5) ทางหลวงสัมปทาน
ทางหลวงพิเศษ คือ ทางหลวงท่จัดหรือทาไว้เพ่อให้การจราจรผ่านได้ตลอดรวดเร็ว
ี
ื
�
ี
�
เป็นพิเศษ ตามท่รัฐมนตรีประกาศกาหนดและได้ลงทะเบียนไว้เป็นทางหลวงพิเศษ
ั
�
โดยกรมทางหลวงเป็นผู้ดาเนินการก่อสร้าง ขยาย บูรณะ และบ�ารุงรักษา รวมท้ง
ึ
ี
ควบคุมให้มีการเข้าออกได้เฉพาะ โดยทางเสริมท่เป็นส่วนหน่งของทางหลวงพิเศษ
ตามที่กรมทางหลวงจัดท�าขึ้นไว้เท่านั้น
ทางหลวงแผ่นดิน คือ ทางหลวงสายหลักท่เป็นโครงข่ายเชื่อมระหว่างภาค จังหวัด
ี
ี
อาเภอ ตลอดจนสถานท่ท่สาคัญ ท่กรมทางหลวงเป็นผู้ดาเนินการก่อสร้าง ขยาย
ี
�
�
�
ี
บูรณะ และบ�ารุงรักษา และได้ลงทะเบียนไว้เป็นทางหลวงแผ่นดิน
ี
�
ทางหลวงชนบท คือ ทางหลวงท่กรมทางหลวงชนบทเป็นผู้ดาเนินการก่อสร้าง
ขยายบูรณะ และบ�ารุงรักษา และได้ลงทะเบียนไว้เป็นทางหลวงชนบท
ิ
�
ิ
ี
ทางหลวงท้องถ่น คือ ทางหลวงท่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นเป็นผู้ดาเนินการ
ก่อสร้าง ขยาย บูรณะ และบ�ารุงรักษาและได้ลงทะเบียนไว้เป็นทางหลวงท้องถิ่น
ี
ทางหลวงสัมปทาน คือ ทางหลวงท่รัฐบาลได้ให้สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วย
ทางหลวงที่ได้รับสัมปทาน และได้ลงทะเบียนไว้เป็นทางหลวงสัมปทาน
บันทึก
132
2. อัตราความเร็ว
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้ก�าหนดความเร็วในกรณีปกติส�าหรับรถดังต่อไปนี้ 4
(1) รถบรรทุกที่มีน�้าหนักรถรวมทั้งน�้าหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม หรือ รถบรรทุกคนโดยสาร ให้ขับในเขต
กรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ไม่เกิน ชั่วโมงละ 60 กิโลเมตร หรือนอกเขตดังกล่าว
ให้ขับไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร
ี
(2) รถยนต์อื่นนอกจากรถท่ระบุไว้ใน (1) ขณะท่ลากจูงรถพ่วงรถยนต์บรรทุกท่มีนาหนักรถรวมท้งนาหนัก
ั
�
้
�
ี
ี
้
ุ
บรรทกเกน 1,200 กโลกรัม หรือรถยนต์สามล้อให้ขบในเขตกรงเทพมหานคร เขตเมืองพทยา หรือเขต
ิ
ั
ุ
ั
ิ
เทศบาล ไม่เกินชั่วโมงละ 45 กิโลเมตร หรือนอกเขตดังกล่าว ให้ขับไม่เกินชั่วโมงละ60กิโลเมตร การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
(3) รถยนต์อ่นนอกจากระบุไว้ใน (1) หรือ (2) หรือรถจักรยานยนต์ให้ขับในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมือง
ื
พัทยา หรือเขตเทศบาล ไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร หรือนอกเขตดังกล่าว ให้ขับไม่เกิน 90 กิโลเมตร
่
้
ี
ั
่
ในเขตทางทมีเครืองหมายจราจรแสดงวาเป็นเขตอนตรายหรอเขตใหขบรถช้าๆใหลดความเรวลงและเพมความ
่
ั
ิ
ื
็
้
่
�
�
ี
่
ื
ี
ึ
ระมัดระวังข้นตามสมควร และในกรณีท่มีเคร่องหมายจราจรกาหนดอัตราความเร็วตากว่าท่กาหนดข้างต้น ให้ไม่
�
เกินอัตราความเร็ว ที่ก�าหนดไว้นั้น
�
นอกจากน พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 ให้อานาจรัฐมนตรีสามารถออกกฎกระทรวงกาหนดอัตรา
�
้
ี
ี
่
ความเร็วของยานพาหนะท่เดินรถในทางหลวงแต่ละประเภทได้ เช่น กฎกระทรวง ฉบับท 3 (พ.ศ. 2542) ออก
ี
ตามความในพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 กาหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงพิเศษ
�
หมายเลข 7 ทางสายกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ถนนกาญจนาภิเษก) ทาง
สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้
ิ
ิ
ั
ื
ุ
ี
ี
�
่
(1) รถบรรทกทมนาหนกรถรวมทงนาหนกบรรทกไม่เกน 1,200 กโลกรม หรอ รถบรรทกคนโดยสาร ให้ใช้
ุ
ุ
้
�
ั
ั
้
ั
้
ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 100 กิโลเมตร
(2) รถบรรทุกอื่นนอกจากรถที่ระบุไว้ใน (1) รวมทั้งรถบรรทุกหรือรถยนต์ขณะที่ลากจูงรถพ่วง ให้ใช้ความเร็ว
ไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร
(3) รถยนต์อื่นนอกจากรถที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ให้ใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 120 กิโลเมตร
ในเขตทางที่มีป้ายหรือเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตราย หรือเขตให้ขับรถช้าๆให้ลดความเร็ว และ
ใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นตามสมควร
�
�
่
ในกรณีท่มีป้ายหรือเครื่องหมายจราจรกาหนดอัตราความเร็วตากว่าอัตราท่กาหนดไว้ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน
ี
�
ี
อัตราความเร็วที่ก�าหนดไว้นั้น
ำ
้
3. นาหนักบรรทุก
พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 ให้อานาจผู้อานวยการทางหลวงในแต่ละ
�
�
ี
ั
้
ประเภทออกประกาศห้ามใช้ยานพาหนะบนทางหลวงโดยท่ยานพาหนะน้นมีนาหนัก
�
น�้าหนักบรรทุกหรือน�้าหนักลงเพลาเกินกว่าที่ก�าหนด หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจ
ท�าให้ทางหลวงเสียหายได้หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจ�าคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับ
ไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจ�าทั้งปรับ
133
บทที่ 4 การขับขี่ตามกฎหมายจราจร
4.20 ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติในการใช้ทางหลวง
1. ห้ามมิให้ผู้ใดท�าให้เสียหาย ท�าลาย ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลง ขีดเขียน เคลื่อนย้าย รื้อถอน หรือท�าให้ไร้ประโยชน์
่
ื
ื
่
ื
่
ื
่
ซึงเครองหมายจราจร ป้ายจราจร เครองหมายสัญญาณ เครองหมายสัญญาณไฟฟ้า เครองแสดงสัญญาณ
่
อุปกรณ์อ�านวยความปลอดภัย รั้ว หลักส�ารวจ หลักเขต หรือหลักระยะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งหรือท�าให้ปรากฏ
ในเขตทางหลวง หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจ�าคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือท้งจ�าท้งปรับ
ั
ั
2. กรณียานพาหนะใดๆ เคร่องยนต์ หรือเครื่องอุปกรณ์เกิดขัดข้องหรือช�ารุดบนทางจราจรจนไม่สามารถเคลื่อนท ่ ี
ื
ต่อไปได้ ผู้ใช้ยานพาหนะซึ่งอยู่ในวิสัยและพฤติการณ์ท่สามารถเคลื่อนท่ยานพาหนะน้นได้ต้องนายานพาหนะ
�
ี
ั
ี
�
น้นเข้าจอดบนไหล่ทาง หรือ ถ้าไม่มีไหล่ทางให้จอดชิดซ้ายสุดในลักษณะท่ไม่กีดขวางการจราจร และจะต้องนา
ั
ี
ยานพาหนะนั้นออกไปให้พ้นทางจราจรหรือไหล่ทางโดยเร็วที่สุด และถ้าจ�าเป็นต้องหยุดหรือจอดยานพาหนะ
อยู่บนทางจราจรหรือไหล่ทางผู้ใช้ยานพาหนะต้องแสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณใดๆ ให้เพียงพอที่ผู้ใช้ยาน
พาหนะอ่น จะมองเห็นยานพาหนะท่หยุดหรือจอดอยู่ได้โดยชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร และหาก
ี
ื
ี
ี
เกิดข้นในเวลาท่แสงสว่างไม่เพียงพอท่ผู้ใช้ยานพาหนะอื่น จะมองเห็นยานพาหนะท่หยุดหรือจอดอยู่ได้โดย
ึ
ี
ชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร ต้องเปิดหรือจุดไฟให้มีแสงสว่างเพียงพอที่จะเห็นยานพาหนะนั้นได้
3. ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ ขาย แจกจ่าย หรือเรี่ยไรบนทางจราจรและไหล่ทาง ต้องระวางโทษจ�าคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ
ปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจ�าทั้งปรับ
4. ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น�้าเสีย น�้าโสโครก เศษหิน ดิน ทราย หรือ สิ่งอื่นใดในเขตทางหลวง หรือ
กระท�าด้วยประการใด เป็นเหตุให้ขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล เศษหิน ดิน ทราย ตกหล่นบนทางจราจรหรือไหล่ทาง
ต้องระวางโทษจ�าคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจ�าทั้งปรับ
5. ห้ามมิให้ผู้ใดข จูงไล่ต้อน ปล่อย หรือเล้ยงสัตว์บนทางจราจร ทางเท้า หรือไหล่ทางต้องระวางโทษจ�าคุกไม่เกิน
่
ี
ี
3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาทหรือทั้งจ�าทั้งปรับ
บันทึก
134
5
บทที่
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
การขับรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วสูง อาจก่ออันตรายร้ายแรงได้
หากเกิดอุบัติเหต ผู้ขับรถยนต์จึงต้องมีความรับผิดชอบ และตระหนักถึงอันตรายท่อาจเกิดข้นได้ ดังน้น ผู้ขับข ่ ี
ึ
ั
ุ
ี
จึงต้องเรียนรู้เทคนิคในการขับรถยนต์อย่างถูกต้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ตนเอง และเพื่อนร่วมทาง
135
5
บทที่ เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.1 ท่าทางในการขับรถ
5.1.1 ท่าทางในการนั่ง
ั
ี
• ผู้ขับรถยนต์ต้องน่งขับในลักษณะท่ถูกต้อง เพ่อลดความเมื่อยล้า และสามารถ
ื
ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสด
�
ั
ี
• ท่น่งผู้ขับต้องไม่ห่างพวงมาลัยจนเกินไป ซึ่งจะทาให้ควบคุมรถได้ไม่ถนัด
ขณะเดียวกันต้องไม่ชิดมากเกินไป ซึ่งจะท�าให้เกิดปัญหาในการขยับตัวได้
• ผู้ขับขี่ต้องปรับที่นั่งให้เหมาะสมก่อนขับรถ
ึ
• ใช้มือข้างหน่งจับพวงมาลัย และใช้มืออีกข้างยกตัวล็อกใต้ท่น่งเพ่อให้สามารถ
ื
ั
ี
ขยับที่นั่งเข้าออกได้
่
่
ื
ั
ี
• ในการปรบตาแหน่งทน่งควรให้เข่างอเล็กน้อย เพอให้สามารถเหยียบเบรกและ
ั
�
คันเร่งได้ถนัด
• ผู้ขับขี่ต้องปรับพนักพิงให้เหมาะสม
• ผู้ขับข่ต้องปรับความสูงของท่หนุนศีรษะให้พอดีก่งกลางศีรษะ ซึ่งตรงกับระดับห ู
ึ
ี
ี
และตา ด้วยการกดปุ่มล็อกแล้วปรับขึ้นหรือลง ทั้งนี้ ไม่ควรพิงศีรษะขณะขับรถ
• ผู้ขับขี่และคนโดยสารทุกคนจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยก่อนออกรถ โดย
่
จะต้องปรับระดับความสูงของเข็มขัดนิรภัยไม่สูงหรือตาเกินไป อยู่ในแนวหัวไหล่
�
และสะโพก และกดหัวเข็มขัดเมื่อต้องการปลดออก
136
5.1.2 การจับพวงมาลัย
5
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
รถขนาดเล็ก รถขนาดใหญ่
จับแบบ 10 นาฬิกา และ 2 นาฬิกา จับแบบ 9 นาฬิกา และ 3 นาฬิกา
5.2 การใช้ความเร็วอย่างเหมาะสม
5.2.1 ความเร็ว และระยะหยุดปลอดภัย
ี
ี
�
ื
ี
ในการขับรถท่ปลอดภัย ผู้ขับข่ต้องไม่ใช้ความเร็วเกินอัตราท่กฎหมายกาหนด เน่องจากผู้ออกแบบและก่อสร้าง
�
ทางได้คานวณความเร็วท่เหมาะสมสาหรับทางแต่ละช่วงไว้ การฝ่าฝืนอาจนามาซึ่งอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุได้
ี
�
�
ขณะขับรถ ผู้ขับขี่ต้องมีความพร้อมที่จะเหยียบเบรกและหยุดรถให้ปลอดภัยได้เมื่อมีความจ�าเป็น
137
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.2.2 การรักษาระยะจากรถคันหน้าเพื่อความปลอดภัย
ระหว่างขับรถ ผู้ขับข่ต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มีความเหมาะสม และ
ี
เพียงพอที่จะหยุดรถได้อย่างปลอดภัย เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วลง
ผู้ขับข่ต้องสังเกตลักษณะการขับรถของรถคันหน้าตลอดเวลา และลดความเร็วลง
ี
ล่วงหน้าก่อนที่รถจะเข้าใกล้รถคันหน้า จนอาจเกิดอันตรายได้
5.2.3 การเบรกด้วยเงื่อนไขต่างๆ
กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น รถคันหน้าเกิดอุบัติเหต เห็นส่งกีดขวาง
ุ
ิ
บนทางกะทันหัน ผู้ขับข่ต้องต้งสติให้มั่นและไม่ต่นตระหนก จับพวงมาลัยให้มั่น
ั
ื
ี
เหยียบเบรก มองกระจกข้างทั้งสองด้านว่ามีระยะห่างจากรถที่ตามมาเพียงพอที่จะ
เปลี่ยนเลน เพื่อหลบหลีกได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ หากสามารถท�าได้ให้ควบคุมรถ
หลีกสิ่งกีดขวาง จากนั้นให้หยุดรถในบริเวณที่ปลอดภัย และแจ้งเหตุ
5.2.4 การชะลอความเร็วอย่างปลอดภัย
�
�
ี
ในการลดหรือชะลอความเร็ว ผู้ขับข่ต้องไม่ทาอย่างกะทันหัน เพราะจะทาให้รถท ี ่
ตามมาอาจลดความเร็วตามไม่ทัน และอาจเกิดอุบัติเหตุได้
ั
ื
ผู้ขับข่ต้องมองกระจกมองหลัง และกระจกมองข้างท้งสองด้าน เพ่อตรวจสอบ
ี
ระยะห่างของรถคันท่ตามมา มีระยะห่างเพียงพอท่จะลดความเร็วตามได้อย่าง
ี
ี
ื
ั
ปลอดภัยหรือไม่ หากมีระยะเพียงพอให้เหยียบเบรก และปล่อยหน่งคร้งเพ่อเตือน
ึ
รถคันอื่นที่ตามมา จากนั้นจึงเหยียบเบรกเพื่อลดความเร็วตามที่ต้องการ
138
5.2.5 ผลเสียของการขับรถเร็วกว่ากำาหนด
5
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
การขับรถเร็วเกินอัตราท่กฎหมายกาหนด เป็นสาเหตุหลักอันดับต้นของอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย
�
ี
ิ
ี
�
�
โดยจากระบบข้อมูลคดีอุบัติเหตุจราจรของสานักงานตารวจแห่งชาต ในช่วงสิบปีท่ผ่านมามีอุบัติเหตุความเร็ว
ึ
ั
เกิดข้นเฉลี่ยปีละ 16,000 ราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 19 ของอุบัติเหตุทางถนนท้งหมด สถานการณ์
ย่งน่าวิตกเมื่อพิจารณาจากข้อมูลสถิติอุบัติเหตุบนโครงข่ายทางหลวง ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเอ้ออานวยให้ผู้ขับข ่ ี
ื
ิ
�
�
็
่
ิ
ุ
ั
ใช้ความเรวมากกว่าถนนทวไป โดยระหว่างปี พ.ศ. 2544–2554 มีอุบัตเหตบนทางหลวงทเจ้าหน้าทตารวจ
ี
่
ี
่
สันนิษฐานว่ามีสาเหตุจากการใช้ความเร็ว คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 76 และปัจจุบันยังไม่มีแนวโน้ม
ิ
ุ
ู
ั
ุ
ั
ิ
่
ี
่
่
ี
ี
ู
่
ึ
่
้
ี
่
ิ
่
ั
ุ
ี
้
ั
ทจะลดลง เชนเดยวกบความรนแรงทเกดขนกบผประสบอบตเหต ปจจุบันเพมสงขนในชวง 2 ปทผานมา โดยเฉลย
้
่
ึ
ี
ื
อุบัติเหตุเน่องจากความเร็วบนท่เกิดข้นบนทางหลวงทุกๆ 10 คร้ง จะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ
ั
ึ
ี
อย่างน้อย 8 ราย
การขับรถด้วยความเร็วนั้นส่งผลดังนี้
1. โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากคนขับจะควบคุมรถ หยุดรถ และหลบหลีกอุบัติเหตุได้ยากขึ้น เมื่อใช้
อัตราความเร็วสูง
2. ความรุนแรงในการบาดเจ็บ เนื่องจากการชนที่ความเร็วสูงๆ แรงปะทะที่เกิดขึ้นจะยิ่งมากขึ้น
3. การสิ้นเปลืองพลังงาน เพราะเครื่องยนต์ต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์เร็วขึ้น จาก
ึ
ิ
ื
�
ึ
้
การทดสอบรถยนต์พบว่า อัตราการใช้นามันเชื้อเพลิงจะสูงข้นอย่างชัดเจนเม่อใช้ความเร็วเพ่มข้น และ
ความเร็วที่เหมาะสมจะใช้ปริมาณน�้ามันน้อยที่สุด
ี
�
4. มลพิษทางอากาศ การใช้ความเร็วท่ไม่เหมาะสมโดยขับเร็วเกิน เครื่องยนต์ต้องทางานหนัก สารพิษ
ี
ท่ถูกปล่อยออกมามาก คือ คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ จากการศึกษา
พบว่า สารพิษเหล่านี้จะออกมาจากเครื่องยนต์ได้น้อยที่สุดที่ความเร็วประมาณ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
139
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.2.6 ข้อควรคำานึงถึงความเร็วที่ปลอดภัย
ี
ความเร็วท่ปลอดภัยคือ ความเร็วท่เหมาะสมกับสภาพถนน สภาพอากาศ สภาพการจราจร ซึ่งเป็นความเร็วท่ไม่
ี
ี
ี
ื
ึ
ั
ก่ออันตรายแก่ผู้อ่น หากขับรถด้วยความเร็วท่ปลอดภัยแล้วเกิดอุบัติเหตุข้นจะต้องไม่มีความรุนแรงถึงข้นเสียชีวิต
การจ�ากัดความเร็วเพื่อความปลอดภัย
ี
�
ความเร็วจ�ากัด คือ ความเร็วท่คานึงถึงอุบัติเหตุท่อาจเกิดบนท้องถนน ปริมาณของรถยนต์และคนเดินเท้า
ี
่
�
่
ระยะห่างระหว่างสีแยก ความพร้อมของสิงอานวยความปลอดภัย และสภาพบ้านเรือนสองข้างทาง โดยมีจุด
ประสงค์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนน ป้องกันมลภาวะของเสียงและแรงสั่นสะเทือน สามารถท�าให้การ
จราจรเป็นไปอย่างราบรื่น ฉะนั้น ความเร็วจ�ากัดจึงถือเป็นความเร็วที่ปลอดภัยได้
5.2.7 ข้อแนะนำาของการใช้ความเร็ว ในถนนประเภทต่างๆ
• ถนนในเขตเมือง หรือย่านชุมชน รถทุกประเภท ต้องใช้ความเร็วต�่า ไม่เกิน 50 กม./ชม.
ั
ี
• ถนนนอกเขตเมือง 2 เลน ขับข่สวนทาง ต้องใช้ความระมัดระวัง ใช้ความเร็วได้ต้งแต่
60 - 90 กม./ชม. โดยเฉพาะรถบรรทุกวัตถุอันตราย ต้องใช้ความเร็วต�่า
ิ
ึ
• ถนนนอกเขตเมือง 4 เลนแบ่งช่องจราจร ใช้ความเร็วเพ่มข้นได้ ในรถบางประเภท
ความเร็วนี้ไม่แนะน�าในกรณีเป็นถนนโค้ง มีความลาดชัน
• ทางพิเศษ มีหลายช่องจราจร หรือถนนท่ไม่มีทางร่วมทางแยกตัดผ่าน ไม่มีคน สัตว์เลี้ยง
ี
รถจักรยาน หรือจักรยานยนต์ รถทุกประเภทใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ ยังมุ่งเน้นที่ความ
ปลอดภัยตามสภาพถนน ความเร็วนี้ไม่แนะน�าในกรณีเป็นถนนโค้ง มีความลาดชัน
ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ต้องใช้ความเร็วตามที่ถนนแต่ละประเภทก�าหนดอย่างเคร่งครัด และเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม
140
5.2.8 ความเร็วที่ปลอดภัยในเวลากลางคืน
ื
ุ
แสงสว่างมีอิทธพลต่อสายตาของมนษย์ เวลากลางคนทมแสงน้อย สายตาของคนเราจะมองเหนไม่ชัด 5
ี
ี
็
ิ
่
ี
ึ
ิ
ี
ั
ั
ยกเว้นส่งท่ส่องแสง หรือวัตถุท่สะท้อนแสงได้เท่าน้น นอกจากน้น ยังข้นอยู่กับระยะทาง เม่อผสมกับ
ื
ความเหน่อยและล้าจากการทางานในเวลากลางวัน ย่งจะทาให้ผู้ท่ขับข่กลางคืนมีการตัดสินใจ
ื
�
�
ี
ี
ิ
ี
ความระมัดระวังลดลง ประสิทธิภาพในการขับข่ลดลง การขับรถในเวลากลางคืนจึงอันตรายมากกว่า
และพบว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในเวลากลางคืนสูงกว่ากลางวันถึง 3 เท่า
ี
�
่
อุบัติเหตุร้ายแรงมักจะเกิดในช่วงเวลาพลบคา และในช่วงเวลากลางดึก เป็นเพราะผู้ขับข่บางกลุ่ม ขับข ่ ี
ภายหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยไม่ได้ค�านึงถึงอันตราย ยิ่งกลางคืนถนนโล่ง สามารถใช้ความเร็วได้สูง
ื
รถน้อย ก็อาจลดความระมัดระวังลงเม่อเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน การตัดสินใจในการแก้ใขสถานการณ์ม ี เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
�
ี
ประสิทธิภาพลดลง จึงทาให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และมักเป็นอุบัติเหตุท่รุนแรง เมื่อต้องขับรถในเวลากลางคืน
ควรขับด้วยความระมัดระวังกว่าปกติ
5.2.9 ความเร็วที่ปลอดภัยกับระยะทาง
ิ
�
่
โดยปกติไฟสูงหน้ารถจะส่องได้ไกล 100 เมตร ในกรณีไฟตาจะสามารถมองเห็นส่งกีดขวางได้ชัดเจน
�
ี
ไม่เกินระยะ 40 เมตร เพราะฉะน้น การขับรถในเวลากลางคืน โดยคานึงถึงระยะทางท่ไฟหน้าส่องไปถึง
ั
กับระยะทางที่สามารถหยุดรถได้จึงเป็นเรื่องส�าคัญมาก
5.2.10 สภาพอากาศกับความเร็วที่ปลอดภัย
ื
�
ในเวลาท่ทัศนวิสัยไม่ด มีหมอกจัด หรือฝนตกหนัก การควบคุมความเร็วเป็นเร่องสาคัญมาก โดยเฉพาะ
ี
ี
่
่
ื
ื
่
ิ
ั
ื
อยางยงถนน ทฝนเพงตกใหมๆ จะลนมาก การเบรกกะทนหน จะสงผลใหรถลนไถลลงขางทาง หรอไปชนกบรถคนอน
่
ั
้
่
่
ิ
ั
ั
่
่
่
้
ี
ื
ี
�
่
ั
หรืออาจถึงข้นพลิกควาได้ เมื่อขับรถในทัศนวิสัยท่ไม่ดีต้องลดความเร็ว ห้ามเบรกกะทันหัน หรือหักหลบทันท ี
่
ี
ห้ามเร่งความเร็ว หรือลดความเร็วในทันท ควรขับด้วยความเร็วท่สม�าเสมอ รักษากฎความปลอดภัย โดยเว้นระยะ
ี
ห่างจากรถคันหน้า ให้เพียงพอในระยะที่สามารถจะหยุดรถได้อย่างปลอดภัย
141
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.3 การใช้ช่องทางเดินรถ
5.3.1 ผู้ขับขี่ต้องขับขี่ในช่องทางเดินรถของตนเอง
ี
ต้องไม่ขับคร่อมเส้นแบ่งช่องจราจรและไหล่ทาง ท้งน ให้สังเกตจากเส้นแบ่ง
ั
้
ช่องจราจรและเส้นไหล่ทางที่ผู้ขับขี่มองเห็นด้านหน้า
5.3.2 ผู้ขับขี่รถทุกประเภทต้องขับรถในช่องทางด้านซ้าย
ี
ั
การใช้ทางเดินรถท่ได้จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ต้งแต่สองช่อง
�
ข้นไป หรือท่ได้จัดช่องเดินรถประจาทางไว้ในช่องเดินรถซ้ายสุด ผู้ขับข่ต้องขับรถ
ี
ึ
ี
ในช่องซ้ายสุดหรือใกล้กับช่องเดินรถประจ�าทาง เว้นแต่ในกรณีต่อไปน ให้เดินทาง
้
ี
ขวาของทางเดินรถได้เป็นการชั่วคราว
(1) ในช่องเดินรถนั้นมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิดการจราจร
(2) ทางเดินรถนั้น เจ้าพนักงานจราจรก�าหนดให้เป็นทางเดินรถทางเดียว
(3) จะต้องเข้าช่องทางให้ถูกต้องเมื่อเข้าบริเวณใกล้ทางร่วมทางแยก
(4) เมื่อจะแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น
(5) เมื่อผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ารถในช่องเดินรถด้านซ้าย
ั
ี
ท้งน เพ่อความปลอดภัยส�าหรับรถท่มีความเร็วตาและเปิดโอกาสให้รถท่มี
ี
ี
ื
�
้
่
ความเร็วมากกว่าสามารถแซงได้อย่างปลอดภัย
142
5.3.3 การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
ั
ื
ี
รถท่วไปจะต้องใช้ช่องทางเดินรถด้านซ้าย ในกรณีท่มีการแซงรถคันอ่น ผู้ขับข ่ ี 5
ื
ึ
ต้องกลับเข้าสู่ช่องทางเดินรถด้านซ้าย เม่อผ่านข้นหน้ารถท่ถูกแซงเรียบร้อยแล้ว
ี
ี
ี
และผู้ขับข่ต้องไม่ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจรโดยการเปล่ยนไปใช้ช่องทาง
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
เดินรถด้านซ้าย เมื่อมีรถที่มีความเร็วสูงกว่าก�าลังจะแซง
ี
ในการเปล่ยนช่องทางเดินรถ ผู้ขับข่ต้องตรวจสอบ
ี
ระยะห่างจากรถคันอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อหลีกเลี่ยงการ
เฉี่ยวชนกัน โดยปฏิบัติดังนี้
1. มองกระจกมองหลังเพื่อดูต�าแหน่งรถที่ตามมา
ี
2. มองกระจกข้างซ้ายหรือขวาในทิศทางท่ต้องการจะ
เปลี่ยนช่องทางเดินรถไป
ื
3. มองผ่านหัวไหล่เพ่อตรวจสอบรถท่อยู่ด้านข้างและ
ี
ลดพื้นที่จุดบังสายตา
4. เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
ก่อนที่จะเปลี่ยนช่องทางเดินรถไม่น้อยว่า 30 เมตร
5. เปลี่ยนช่องทางเดินรถด้วยความระมัดระวัง
6. ปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เมื่อรถกลับสู่ทิศทางตรงแล้ว
143
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
ั
ี
ในการเปล่ยนช่องทางเดินรถน้น ผู้ขับข่ต้องประเมินความเร็วของรถท่อยู่ในช่องทางท่จะเปลี่ยนไปด้วย
ี
ี
ี
ื
�
ึ
ี
ิ
ึ
โดยหากรถท่กาลังตามมามีความเร็วสูงข้น ผู้ขับข่ก็ต้องเผ่อระยะทางสาหรับการเปล่ยนช่องทางเพ่มข้น และหาก
ี
ี
�
รถที่ตามมามีความเร็วสูงกว่า ผู้ขับขี่ก็ต้องหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนช่องทางและต้องรอจังหวะอื่น
กรณีความเร็วรถที่ตามมาใกล้เคียงกัน ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนช่องทางเดินรถได้อย่างปลอดภัย
กรณีความเร็วรถที่ตามมาสูงกว่า ผู้ขับขี่จะมีระยะปลอดภัยส�าหรับการเปลี่ยนช่องทางเดินรถลดลง
ิ
ื
กรณีท่ระยะห่างของรถท่ตามมาไม่เพียงพอ ผู้ขับข่ต้องลดความเร็วลงเพ่อรอจังหวะหรือเพ่มความเร็วเพ่อแซง
ี
ี
ี
ื
รถที่อยู่ในช่องทางเดินรถที่จะไป
144
5.4 การแซง
5
5.4.1 การแซงคันหน้า
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
ก่อนที่จะขับรถแซงรถคันหน้าผู้ขับขี่ต้องตรวจสภาพการจราจร ดังนี้
1. รถที่ก�าลังสวนมาด้านหน้า
2. รถที่ก�าลังตามมาด้านหลัง
3. สิ่งกีดขวางด้านหน้ารถที่จะแซง
ี
4. ความเร็ว และระยะห่างของรถท่จะแซง โดยจะต้องพิจารณาระยะห่างของ
ี
ี
ิ
รถท่จะแซงไปถึงจุดท่มีส่งกีดขวางหรือรถท่สวนมาว่ามีเพียงพอหรือไม่
ี
ึ
ี
ึ
ี
โดยผู้ขับข่ต้องการระยะเพ่มข้นเมื่อความเร็วของรถท่ถูกแซงมากข้น
ิ
หรือมีรถที่สวนทางมา
ในการแซงรถคันหน้า จะต้องแซงด้านขวาเท่าน้น ยกเว้นในกรณีท่รถคันหน้า
ั
ี
ก�าลังจะเลี้ยวขวา
145
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.4.2 ในการแซงรถคันหน้า มีกระบวนการ ดังนี้
1. ต้องแน่ใจว่าไม่ใช่เขตพื้นที่ห้ามแซง
2. ตรวจสอบสภาพการจราจร และประเมินสถานการณ์
3. เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา
ิ
ี
ี
4. หลังจากเปิดสัญญาณไฟเล้ยวประมาณ 3 วินาท จึงเพ่มความเร็วขับแซง
รถคันหน้า โดยเว้นระยะห่างให้ปลอดภัย
5. เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
ี
ี
6. ขับแซงต่อไปจนมีระยะห่างจากรถท่ถูกแซงเพียงพอ จึงเปล่ยนช่องทาง
เดินรถเข้าสู่ช่องทางเดิม
7. ปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
146
5.4.3 การขับรถผ่านคนเดินเท้า
ในการขับรถผ่านคนเดินเท้า 5
เมื่อเห็นว่าไม่มีรถอื่นด้านข้าง หรือ
ตามมาด้านหลัง ให้ผู้ขับข่เว้นระยะ
ี
ห่างจากคนเดินเท้า ไม่น้อยกว่า
1 เมตร เมื่อขับรถผ่านทางด้านหน้า
และไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร หากขับ
ผ่านทางด้านหลัง เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.4.4 การกลับรถอย่างปลอดภัย
ี
จุดกลับเป็นอีกหน่งสถานการณ์ท่มีอุบัติเหตุเกิดข้นบ่อยคร้ง
ึ
ึ
ั
ึ
โดยมีรูปแบบการเกิดอุบัติเหตุท่เกิดข้นจ�านวนมาก เช่น การชนท้าย
ี
ั
และการถูกชนด้านข้างจากรถท่มาทางตรง ดังน้น ในการกลับรถบนถนน
ี
อย่างปลอดภัย ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติ ดังนี้
1. เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา ก่อนถึงจุดกลับรถไม่น้อยกว่า 30 เมตร
2. มองกระจกมองท้าย และกระจกมองข้าง ตรวจสอบระยะห่าง
ระหว่างรถท่ตามมาว่า เพียงพอท่จะลดความเร็วได้อย่าง
ี
ี
ปลอดภัยหรือไม่
3. ลดความเร็วลงให้เหมาะสมกับการเลี้ยวเพื่อกลับรถ
ี
4. ลดความเร็ว และมองรถท่สวนทางมาว่ามีระยะห่างเพียงใด
หรือหยุดให้ทางแก่ท่านหรือไม่
�
่
5. คงขับรถด้วยความเร็วตา และระมัดระวังรถอ่นท่อาจอยู่ในตาแหน่ง
ื
�
ี
จุดบอดการมองเห็น
ั
ี
ิ
6. ตรวจสอบรถท่ว่งสวนเข้ามาอีกคร้ง หากจะเห็นว่ามีระยะ
ี
ไม่เพียงพอ หรือรถเคล่อนท่เข้ามาด้วยความเร็ว ให้หยุดรถ
ื
เพ่อรอจังหวะท่รถท้งช่วงหรือให้ทาง ท้งน ในการเล้ยวหรือหยุด
ั
ี
ี
้
ื
ิ
ี
รอ จะต้องเว้นระยะของรถให้ห่างจากเกาะกลางถนนพอสมควร
เพื่อมิให้รถเฉี่ยวชนกับเกาะกลางถนน
7. เมื่อเห็นว่าปลอดภัย ให้หมุนพวงมาลัยเลี้ยวเพ่อกลับรถโดย
ื
ใช้ความเร็วต�่า และขับรถชิดด้านขวาที่สุดเท่าที่ท�าได้
8. มองทางด้านหน้า ค่อยๆ เพ่มความเร็ว และหมุนคืนพวงมาลัย
ิ
เพื่อให้รถมุ่งหน้าตรงตามปกติ
9. เร่งเครื่องจนความเร็วเป็นไปตามปกติ
10. เมื่อเห็นว่าปลอดภัยให้เปลี่ยนไปใช้ช่องทางเดินรถด้านซ้าย
147
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.5 การขับรถทางโค้ง
5.5.1 การควบคุมพวงมาลัย
1. เริ่มหมุนพวงมาลัย ณ จุดเริ่มของโค้ง
2. ปรับวงเลี้ยวของรถให้เหมาะสมกับความโค้งของทาง
3. ประคองพวงมาลัยตามระหว่างขับรถในโค้ง
4. เริ่มหมุนพวงมาลัยกลับเพื่อคืนล้อไปสู่ทางตรง
5. ปรับวงเลี้ยวของพวงมาลัยให้เหมาะสมกับความโค้ง
6. คืนพวงมาลัยให้ทิศทางของรถตรงเช่นเดิม
5.5.2 มุมมองของผู้ขับรถ
ั
ั
ี
่
ู
่
1. ในการขบขทางโค้ง ผ้ขบขต้องมองไปข้างหน้าตงแต่จุดท ่ ี
้
ั
ี
เริ่มโค้งจนถึงปลายโค้ง เพื่อสังเกตรถคันอื่นที่อาจตามหรือ
สวนทางมา
ี
2. ในเวลากลางคืน ผู้ขับข่จะสังเกตความโค้งของถนนได้จาก
ั
ี
เส้นแบ่งช่องจราจรและเส้นไหล่ทางท่โค้ง รวมท้งป้ายเตือน
หลักน�าทาง และราวรั้วกันชนที่โค้งตามความโค้งของทาง
148
5.5.3 การใช้ความเร็ว
ี
การขับรถในทางโค้ง ผู้ขับข่ต้องใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพของทาง โดย 5
เฉพาะสภาพผิวทางหากถนนล่น รัศมีของโค้งแคบ หรือทางไม่ได้ยกระดับรับโค้ง
ื
ี
ี
ื
ึ
ิ
�
่
ผู้ขับข่จะต้องใช้ความเร็วท่ตาย่งข้น เน่องจากการใช้ความเร็วของรถสูงจะส่งผลให้
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
รถอาจลื่นไถลออกจากโค้ง เสียการควบคุม และเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงได้
ถนนแบบไม่ยกสูง จะใช้ความเร็วได้น้อยกว่าแบบยกสูง
5.5.4 การเปลี่ยนเกียร์
์
่
้
์
กระบวนการเปลี่ยนเกียรของรถจะท�าใหเครื่องยนตท�างานไม่สม�่าเสมอ สงผลให ้
ั
ล้อหมุนไม่สม�าเสมอและรถอาจเสียการควบคุมได้ ดังน้น ผู้ขับข่ต้องเปลี่ยนเกียร์ก่อน
่
ี
รถถึงบริเวณทางโค้ง ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์ และเหยียบเบรกเมื่ออยู่ในโค้ง
5.5.5 การแซง
ื
ั
�
่
ั
ั
ี
่
่
ิ
ผู้ขบขต้องไม่แซงรถคนอืนในบรเวณทางโค้ง เนองจากระยะการมองเห็นจากด
ประกอบกับระหว่างขับรถในทางโค้ง ผู้ขับขี่จะต้องควบคุมรถให้สอดคล้องกับความ
โค้งของทาง จึงอาจเฉี่ยวชนกับรถคันอื่นหรือชนประสานงากับรถที่สวนมาได้
บันทึก
149
บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
5.6 การขับรถในเมืองและในชุมชน
ี
ี
ื
ี
พ้นท่เขตเมืองและชุมชนเป็นบริเวณท่มีคนพลุกพล่าน อาจมีเด็กเล็ก หรือสัตว์เล้ยง
ั
ข้ามถนนในระยะกระชั้นชิด ดังน้น ผู้ขับข่จึงจ�าเป็นต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถ
ี
เพิ่มมากขึ้น โดยปฏิบัติ ดังนี้
1. ใช้ความเร็วตา โดยปฏิบัติตามป้ายจ�ากัดความเร็วซึ่งจะจ�ากัดความเร็ว
�
่
แตกต่างกันในแต่ละบริเวณ
ื
ี
ี
ี
ู่
2. เม่อขับรถผ่านรถคันอื่นท่จอดอย ผู้ขับข่ต้องเตรียมพร้อมท่จะหยุดรถหากมีคน
เดินเท้าข้ามถนนกะทันหัน
ี
3. ผู้ขับข่ต้องไม่หยุดรถหรือจอดรถกีดขวางการจราจร ซึ่งจะทาให้เกิดการจราจร
�
ติดขัดและผิดกฎหมาย
5.7 การขับรถขึ้นเนินลงเนิน
ึ
ึ
ี
ในการขับรถข้นเนินลงเนิน รถจะได้รับผลจากแรงเสียดทานท่เพ่มข้นขณะข้นเนิน
ิ
ึ
และแรงดึงลงขณะลงเนิน ผู้ขับขี่จึงควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง โดยปฏิบัติ ดังนี้
1. ใช้ความเร็วรถท่เหมาะสมขณะข้นเนิน กรณีรถเกียร์ธรรมดาให้ใช้เกียร์ตา
่
ึ
�
ี
ื
ึ
�
ื
ซึ่งจะมีกาลังเคร่องยนต์ในการขับเคล่อนมากข้น สาหรับเกียร์อัตโนมัต ิ
�
ในปัจจุบันจะสามารถปรับก�าลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมได้เอง
2. ลดความเร็วลงเมื่อใกล้ยอดเนิน เนื่องจากระยะการมองเห็นจะลดลง
3. เปลี่ยนเกียร์ต�่าขณะลงเนิน เพื่อลดการใช้งานระบบเบรก
ในการใช้เกียร์ขณะขับรถลงทางชัน มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
่
การขับรถลงเนินหรือทางลาด ใช้เกียร์ตาสาหรับรถระบบเกียร์ธรรมดาและ D2
�
�
หรือ L ส�าหรับเกียร์อัตโนมัติ เพื่อใช้แรงเครื่องยนต์ช่วยลดความเร็ว และแบ่งภาระ
�
ื
การทางานของระบบเบรก เน่องจากการใช้เบรกในทางลงเนินเป็นระยะเวลานาน
ติดต่อกันจะท�าให้ระบบเบรกช�ารุด และอาจเกิดอุบัติเหตุได้
การลงเนินด้วยเกียร์ว่าง การลงเนินด้วยเกียร์ต�่า
150