The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yoyea.lotus, 2022-03-26 04:06:31

คู่มือสอนขับรถ.indd

5.8 การใช้ถนนร่วมกับรถประเภทอื่น (จักรยานยนต์ และจักรยาน)
5
5.8.1 การใช้ถนนร่วมกับรถจักรยานยนต์
• ไม่ควรขับจี้ท้ายรถคันหน้า
• เหยียบคันเร่งด้วยความนุ่มนวล โดยไม่ให้ผู้โดยสารในรถ รู้สึกหวาดกลัว หรือผู้
ใช้รถใช้ถนนอื่นๆ เกิดความรู้สึกหวาดกลัวที่จะเกิดอุบัติเหตุ






• ขณะมีนาท่วมขังควรใช้ความเร็วตา เพ่อไม่ให้นากระเซ็นไปโดนคนเดนเท้า


หรือรถคันอื่น
• หยุดมองหลังผ่านกระจกว่ามีรถตามมาหรือไม่ ควรให้สัญญาณล่วงหน้าในระยะท ี ่

เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟเบรก หรือสัญญาณไฟเล้ยวซ้าย ลดความเร็ว เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
ลงอย่างช้าๆ


• การชะลอความเร็ว และรถคนใดถึงทางร่วมทางแยกก่อนกไปก่อน หากมีรถมา
ถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน ก็ควรให้รถที่อยู่ทางซ้ายไปก่อน หน้า 170
• บนถนนที่มีมากกว่าสองเลนขึ้นไปนั้น เราไม่ควรขับแช่ขวา เนื่องจากจะกีดขวาง จุดบอด
รถคันอื่นที่ต้องการแซง และจุดอับสายตา


5.8.2 การใช้ถนนร่วมกับรถจักรยาน
• ตรวจสอบจุดอับสายตาทุกครั้ง อาจจะมีรถจักรยานขี่ข้างทาง หรือขี่สวนทางมา
• เมื่อเวลาเข้าออกช่องทาง บริเวณแหล่งชุมชน สวนสาธารณะ ให้ระวัง อาจมี

ผู้ขี่จักรยานผ่านเข้าออก






จากจุดบอดรอบคัน โดยเฉพาะวัตถุ หรือเด็ก ที่มีความสูงไม่พ้นตัวรถ







บันทึก


























151

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.9 การใช้ทางพิเศษ (ทางด่วน) และทางหลวงพิเศษ

5.9.1 วิธีใช้ทางด่วนและทางหลวงพิเศษ
ทางพิเศษ (ทางด่วน) และทางหลวงพิเศษ จะแตกต่างจาก


ถนนโดยท่วๆ ไป เพราะได้รับการออกแบบให้รถบางประเภท
ใช้และสามารถใช้อัตราเร็วสูงกว่าและปลอดภัยมากกว่า การ
ขับขี่บนทางพิเศษ (ทางด่วน) และทางหลวงพิเศษ จะต้องทราบ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้
1. ต้องมีใบอนุญาตขับรถท่ตรงกับประเภทของรถยนต์

ผู้ฝึกหัดขับไม่ควรขับขี่บนทางด่วนหรือบนทางหลวง
2. ต้องทราบเครื่องหมายจราจรต่างๆ สัญญาณเตือน ฯลฯ


3. ต้องพร้อมและต่นตัวในการขับข่ในทุกแห่ง ตลอดระยะทาง
4. ไม่ควรใช้ทางด่วนถ้าผู้ขับข่รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงล้า และ

ไม่ค่อยสบาย
5. เมื่ออ่อนเพลียหรือเหนื่อยอ่อนควรพักผ่อนก่อนเดินทาง
6. ห้ามหยุดหรือจอดรถ ยกเว้นมีเหตุฉุกเฉิน และ

ต้องจอดชิดขอบทาง
7. รถบางประเภท หามใชทางพเศษ (ทางดวน) และทางหลวง




พิเศษ

8. ต้องแน่ใจว่ารถยนต์ของผู้ขับข่มีสภาพด และปลอดภัย

ต่อการขับขี่
5.9.2 การใช้ความเร็วบนทางพิเศษ (ทางด่วน) และทางหลวงพิเศษ








ความเรวทใช้วงบนทางด่วนหรอทางพเศษ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กาหนดทางหลวงพเศษ


หมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์) และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก) ก�าหนดให้ใช้ความเร็ว



ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ ชั่วโมง ดังนนทางด่วนและทางพิเศษท่ไม่ใช่มอเตอร์เวย และถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกจะ

ต้องใช้ความเร็วตามกฎหมายอ้างอิงความเร็วในเขต/ นอกเขตเทศบาล คือได้ไม่เกิน 80 และ 90 กิโลเมตร/ ชั่วโมง

















152

5.9.3 ป้ายแนะนำาเส้นทางและป้ายประชาสัมพันธ์ทางพิเศษ
5

ป้ายแนะน�าจราจรแขวนสูง (Overhead Sign)

เป็นป้ายสีเขียวติดต้งไว้ในระดับเหนือศีรษะ สาหรับ

แนะนาเส้นทางบนทางพเศษเป็นระยะๆ ก่อนถง



เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
ทางออกทางพิเศษแต่ละทางออกที่ระยะ 1,000 เมตร,
500 เมตร และบริเวณทางออก เพ่อให้ผู้ใช้บริการได้

เตรียมตัว และ สามารถเข้าช่องทางไปสู่จุดหมายปลาย
ทางได้ถูกต้อง
























ป้ายก�าหนดความเร็วและปิดช่องจราจรฉุกเฉิน (Matrix Sign)


เป็นป้ายสัญญาณท่ติดต้งบริเวณเกาะกลางของ ทางพิเศษเป็นระยะๆ ข้อมูลส่วนใหญ่ท่ปรากฏบนป้าย



สัญญาณดังกล่าวจะเป็นตัวเลขแสดงความเร็วท่ควรใช้บนทางพิเศษในขณะน้น เช่น กรณีฝนตก หรือมีหมอก
หนาแน่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังแสดงสัญลักษณ์บอกสภาพของช่องทางวิ่งว่าเปิดหรือปิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการแจ้ง
หรือเตือนให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้า เมื่อมีอุบัติเหตุหรือซ่อมทาง



















ป้ายปรับเปลี่ยนข้อความ (Variable Message Sign : VMS)


เป็นป้ายอิเล็กทรอนกส์ทแจ้งข้อมูลต่างๆ ให้ผู้ใช้บริการทราบ ซึ่งส่วนใหญ่จะแจ้งสภาพการจราจรบนทางพิเศษ

หรือค�าแนะน�าต่างๆ แก่ผู้ใช้บริการโดยจะติดตั้งไว้บริเวณก่อนทางเข้าด่านฯ และบนทางพิเศษ



153

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.9.4 วิธีการชำาระค่าทางพิเศษ
กรณีช�าระค่าผ่านทางด้วยเงินสด
ขับรถเข้าด่านเก็บค่าผ่านทางฯ ท่ทางข้นชาระค่าผ่านทางฯ ด้วยเงินสดหรือคูปอง



ผ่านทาง
กรณีการช�าระผ่านทางด้วย Easy Pass หรือ M Pass
กรณีใช้บัตร Easy Pass หรือ M Pass ให้เข้าช่องทางอัตโนมัติ Easy Pass หรือ



M Pass ทงนเคร่องจะทาการตดเงนตามอตราค่าผ่านทางโดยอัตโนมัต ควรขบรถ








เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 5 เมตร โดยใช้ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตร/
ชั่วโมง

สาหรับทางพิเศษบูรพาวิถ และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสด์)


มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษตามระยะทาง ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถชาระค่าผ่านทางฯ

ดังนี้
กรณีการช�าระผ่านทางด้วยเงินสด
• ขับรถเข้าด่านเก็บค่าผ่านทางฯ ที่ทางขึ้น
• รับบัตร IC CARD (Integrated Circuit Card)
• ขับรถจนถึงด่านเก็บค่าผ่านทางฯ ที่ทางลง
• คืนบัตร IC CARD ให้พนักงานเพื่อค�านวณอัตราค่าผ่านทางพิเศษ


• รอชาระค่าผ่านทางพิเศษด้วยเงินสดตามจ�านวนเงินท่จะปรากฏบนตู้บอกราคา
• ต้องการใบรับค่าผ่านทางฯ โปรดแจ้งพนักงาน



• สังเกตสัญญาณไฟท่ตู้บอกราคาเม่อไฟแดง เปล่ยนเป็นไฟเขียว ไม้ก้นอัตโนมัต ิ

จะยกขึ้นจากนั้นจึงเคลื่อนรถออกจากช่องทาง
กรณีการช�าระผ่านทางด้วย Easy Pass




• กรณีใช้บัตร Easy Pass ให้เข้าช่องทางอัตโนมัต Easy Pass ท้งน้เคร่องจะ
ท�าการตัดเงินตามอัตราค่าผ่านทางโดยอัตโนมัติ
5.9.5 รถที่ห้ามใช้ทางพิเศษ














รถจักรยาน ล้อเลื่อน รถจักรยานยนต์
ตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน










154

5.9.5 รถที่ห้ามวิ่งบนทางด่วนหรือทางพิเศษ (ต่อ)
5






เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์





รถยนต์สามล้อ รถแทรกเตอร์และรถบดถนน รถฝึกหัดขับหรือรถทดลองเครื่อง

ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์














รถที่ใช้เฉพาะเพื่อการโฆษณา รถที่มีความสูง/ ความกว้าง รวม รถยนต์ซึ่งบรรทุกคนในกระบะ
สิ่งของที่บรรทุกเกินก�าหนด ท้ายโดยไม่มีหลังคาปกปิดมิดชิด
















รถซึ่งบรรทุกสัตว์หรือสิ่งของในกระบะท้าย โดย รถบรรทุกวัตถุอันตราย (ตามข้อบังคับเจ้าพนักงาน
ไม่ผูกมัดให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันให้สัตว์ สิ่งของ จราจรในทางพิเศษ เรื่องการห้ามรถยนต์บรรทุกวัตถุ
ที่บรรทุกตกหล่น รั่วไหล หรือปลิวออกไปจากรถ อันตรายเดินทางในทางพิเศษ พ.ศ. 2555)


รถบรรทุกส่วนบุคคล ที่มีน�้าหนักรถไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม ที่มีน�้าหนักรถ


รวมนาหนักบรรทุกเกิน 4,000 กิโลกรัม (ตามข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจร




ในทางพิเศษ เร่องการห้ามรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลท่มีนาหนักรถรวมนา


หนักบรรทุกเกินกว่าที่ก�าหนดเดินในทางพิเศษ)









155

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.10 การบรรทุกคนโดยสาร

5.10.1 การจัดที่นั่งสำาหรับผู้โดยสาร
ผู้ขับข่ต้องจัดท่น่งให้ผู้โดยสาร โดยต้องจัดให้มีส่งป้องกันมิให้คนตกหล่น กรณ ี




รถกระบะหรือรถบรรทุกส่วนบุคคล สามารถต่อเติมกระบะท้ายเป็นท่น่งโดยสารได้


ต้องแจ้งการดัดแปลงสภาพภายในระยะเวลาที่ก�าหนด
5.10.2 ลักษณะการโดยสาร
การบรรทุกคนโดยสาร หากบรรทุกผู้โดยสารมากเกินไปจะส่งผลถึงการทรงตัว

ของรถและอาจเกิดอันตรายได้ และผู้โดยสารควรน่งโดยสารในท่ซึ่งจัดไว้ให้ โดย

ไม่เป็นอุปสรรคในการควบคุมรถของผู้ขับขี่

1. กรณีรถบรรทุกคนโดยสาร ผู้ขับข่จะบรรทุกผู้โดยสารได้ไม่เกินจ�านวน
ที่ได้รับอนุญาต



2. กรณีรถจักรยานยนต์ ผู้ขับข่รถจักรยานยนต์ต้องน่งคร่อมบนอานท่จัดไว้สาหรับ

ให้ผู้ขับขี่ คนโดยสารจะต้องนั่งซ้อนท้ายผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และนั่งบนอาน
ที่จัดไว้ส�าหรับคนโดยสาร หรือนั่งในที่นั่งพ่วงข้าง
3. กรณีรถยนต์ ห้ามมิให้ผู้ขับรถยนต์ยอมให้ผู้อ่นน่งท่น่งตอนหน้าแถวเดียวกับ




ที่นั่งผู้ขับรถยนต์เกินสองคน
5.10.3 การใช้เข็มขัดนิรภัย
ผู้ขับรถยนต์ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับท่น่งในขณะขับรถยนต์ และ








ต้องจัดให้คนโดยสารรถยนต์ ซึ่งน่งท่น่งตอนหน้าแถวเดียวกับท่น่งผู้ขับข่รถยนต์
รัดร่างกายไว้กับท่น่งด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์ และคนโดยสารรถยนต์


ดังกล่าว ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะโดยสารรถยนต์ด้วย
5.11 การบรรทุกสิ่งของ
5.11.1 ป้องกันสิ่งของที่บรรทุก

1. ผู้ขับซึ่งขับรถบรรทุกสัตว์หรือสิ่งของ ต้องจัดให้มีส่งป้องกันมิให้ คน สัตว์ หรือ
ส่งของท่บรรทุกตกหล่น ร่วไหล ส่งกล่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ




อันอาจก่อเหตุเดือดร้อน ร�าคาญ ท�าให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ท�าให้เสื่อมเสีย
สุขภาพอนามัยแก่ประชาชน หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สิน
2. ผู้ขับรถ จึงมีหน้าที่ใช้อุปกรณ์ป้องกันมิให้สิ่งของที่บรรทุกตกหล่นในทาง



3. กรณีท่มีส่งของตกหล่น และสร้างความเสียหายแก่รถคันอ่น ผู้บรรทุกจะต้อง
รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าว









156

5.11.2 นาหนักที่เหมาะสม


การบรรทุกส่งของเกินอัตรานาหนักท่ได้รับอนุญาต จะส่งผลให้ประสิทธิภาพ 5




และความปลอดภัยของรถลดลงจนอาจเกิดอันตรายได้
ประเภทรถ อัตราการบรรทุก
รถจักรยานยนต์ 50 กิโลกรัม
รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง 150 กิโลกรัม


รถจักรยานสองล้อ 30 กิโลกรัม
รถจักรยานตั้งแต่สามล้อขึ้นไป 150 กิโลกรัม เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์




5.11.3 ความสูงที่เหมาะสม





ความสูงของการบรรทุกจะส่งผลให้รถพลิกควาได้ง่ายข้น ดังน้น ผู้ขับข่จึงต้อง
ไม่บรรทุกสิ่งของสูงเกินก�าหนด ดังนี้
ประเภทรถ ความสูงบรรทุก
รถมีความกว้างไม่เกิน 2.3 เมตร บรรทุกสูงไม่เกิน 3 เมตร จากพื้นทาง

รถมีความกว้างเกิน 2.3 เมตร บรรทุกสูงไม่เกิน 4 เมตร จากพื้นทาง

รถบรรทุกตู้สินค้า บรรทุกสูงไม่เกิน 4.2 เมตร จากพื้นทาง



5.11.4 ความกว้าง และความยาวที่เหมาะสม





































157

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.12 การขับรถในเวลากลางคืน

5.12.1 ข้อปฏิบัติ
1. การขับรถในเวลากลางคืน หรือในสภาพแวดล้อมหรือทัศนวิสัยไม่ดี ผู้ขับขี่ต้อง

เปิดไฟส่องสว่างเพ่อเพ่มระยะการมองเห็นด้านหน้า และช่วยให้รถท่ตามมา


สามารถมองเห็นรถได้ในระยะที่ไกลมากขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัย


2. ผู้ขับข่ต้องขับรถไปตามถนนโดยอยู่ก่งกลางช่องทางเดินรถตนเอง โดยการสังเกต
เส้นแบ่งช่องทางจราจรและเส้นไหล่ทางเพื่อน�าทางในการขับขี่














5.12.2 การประมาณระยะของรถที่สวนทาง



1. ในเวลากลางคืน ผู้ขับข่สามารถทราบได้ว่ารถท่อยู่ด้านหน้าเป็นรถท่เคล่อนท ี ่



สวนมาหรือไม่ โดยการสังเกตจากสีของไฟ หากเป็นสีแดงแสดงว่าเคลื่อนท่ไป
ในทางเดียวกัน แต่หากเป็นสีเหลืองหรือขาวแสดงว่าเป็นรถที่สวนทางมา ซึ่งจะ
มองเห็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อรถเคลื่อนที่

2. ในการประมาณระยะห่างของรถยนต์ท่สวนทาง สามารถประมาณจากระยะห่าง
ของดวงไฟเปรียบเทียบกับแนวถนนได้ ในกรณีจักรยานยนต์ผู้ขับข่ต้องคิดไว้ก่อน

กว่าอาจจะอยู่ใกล้















สีของไฟหน้ารถ สีของไฟท้ายรถ



















158

5.13 การขับรถขณะฝนตก
5
5.13.1 ข้อปฏิบัติ
1. เปิดที่ปัดน�้าฝน และเปิดไฟส่องสว่างเพื่อเพิ่มระยะการมองเห็นของรถคันอื่น
2. หากที่ปัดน�้าฝนเสีย/ช�ารุดควรจะเปลี่ยน เพราะจะไมสามารถมองเห็นทางในระยะ

ท่จ�าเป็นได้ ส่งผลให้ไม่อาจเบรกรถได้ทันกรณีจ�าเป็น และเสี่ยงท่จะเกิดอุบัติเหตุได้



3. เลือกใช้ความเร็วท่เหมาะสมในกรณีขับรถขณะฝนตก และควรตรวจสอบ
สภาพดอกยาง ความลึกดอกยางให้อยู่ในสภาพท่ใช้งานได้ และควรเช็กสภาพ

ก่อนทุกคร้งท่จะมีการขับรถให้เป็นประจ�าสม�าเสมอ เพราะหากยางมีความลึก



ของดอกยางไม่เพียงพอ การรีดน�้าออกจากยางจะท�าได้ไม่ดี อาจท�าให้รถลื่นไถล เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
เสียการควบคุมได้
4. กรณีขับรถผ่านบริเวณน�้าท่วมขัง ผู้ขับขี่ควรปิดการท�างานของเครื่องปรับอากาศ





เพ่อป้องกันนาท่อาจกระเด็นเข้าสู่บริเวณพัดลมเครื่องปรับอากาศ ถูกพัดไปท่ว
บริเวณห้องเครื่องยนต์ ซึ่งอาจท�าให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร และเครื่องยนต์ดับได้



5.13.2 การเบรก


ในระหว่างท่สภาพถนนเปียกจะทาให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนของยางลดลง
ส่งผลให้ต้องการระยะทางในการเบรกมากข้น และมีโอกาสเสี่ยงท่จะเกิดสภาวะ


ล้อล็อก (Brake Lock) ซึ่งจะท�าให้รถลื่นไถล และเสียการควบคุมได้ ดังนั้น ผู้ขับขี่
ควรจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนในการเบรก ดังนี้
1. เหยียบแป้นเบรกอย่างรวดเร็วให้ทันตามสถานการณ์
2. กรณีรถท่ใช้ระบบเบรกท่วไป ให้ปล่อยแป้นเบรกเพ่อป้องกันล้อล็อก แล้วเหยียบ



อีกครั้ง โดยท�าเช่นนี้ 2 – 3 ครั้ง จะรถชะลอความเร็ว หรือหยุดตามต้องการ
3. กรณีรถให้ระบบเบรก ABS (Anti Brake Lock System) ให้เหยียบเบรกโดย





ใช้นาหนักให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ไม่ต้องใช้วิธการยาเบรก เพราะระบบ

ABS จะทาการเพมและลดแรงเบรกอัตโนมัต ซึงอาจส่งผลให้เกิดการส่น





สะเทือนได้
5.13.3 การใช้สัญญาณไฟ
ในการขับรถระหว่างฝนตก ผู้ขับขี่ไม่ควรเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพราะจะท�าให้
รถคันอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นรถที่ก�าลังจอดอยู่












159

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.14 เทคนิคการขับรถเข้าทางแยก















































5.14.1 การใช้ความเร็ว
ในบริเวณทางร่วมทางแยกอาจเกิดอันตรายได้จาก
หลายสาเหตุ ดังนั้น ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติ ดังนี้
1. ลดความเร็วลงก่อนเข้าสู่ทางร่วมทางแยก

2. สังเกตการณ์สภาพแวดล้อมท่อาจเป็นอันตราย


ภายในทางร่วมทางแยก และเตรียมวางเท้าท่บริเวณ
แป้นเบรกเพื่อให้สามารถเบรกรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

3. สิ่งอันตรายที่ผู้ขับขี่ต้องเตรียมพร้อม ได้แก่
• สัญญาณไฟจราจรอาจเปลี่ยนแปลงได้
• รถท่สวนทางกาลังรอเล้ยวขวา อาจเลี้ยวรถตัดหน้า




• คนเดินเท้าหรือจักรยานท่อยู่ในทางแยก อาจข้าม
ถนนกะทันหัน
• รถด้านหน้าอาจหยุด หรือจอดรถกีดขวางการจราจร

• คนเดินเท้าอาจข้ามถนนด้านหลังรถท่อยู่ด้านหน้า
ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล




160

5.14.2 การป้องกันอุบัติเหตุชนท้าย

การชนท้ายเป็นอุบัติเหตุท่เกิดข้นจ�านวนมากบริเวณทางร่วมทางแยก ซึ่งเกิดได้ 5

จากหลายสาเหตุ ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรปฏิบัติเพื่อป้องกันอุบัติเหตุชนท้าย ดังนี้
1. ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
2. เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้เพียงพอ

3. สังเกตสัญญาณไฟจราจร หากเปล่ยนเป็นสีเหลืองขณะท่รถห่างจากเส้นหยุด


ให้ลดความเร็วเพ่อหยุดรถ และหากอยู่ใกล้เส้นหยุดให้ขับรถต่อไป ซึ่งระยะ

เวลาไฟเหลืองจะเพียงพอให้รถเคลื่อนท่ออกจากทางร่วมทางแยกได้อย่าง
ปลอดภัย เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์



5.14.3 ทัศนวิสัย และสิ่งปิดบังสายตาบริเวณทางแยก


1. เม่อขับรถมาใกล้จะถึงทางร่วมทางแยก ผู้ขับข่จะต้องลดความเร็ว คาดการณ์



ดูอันตรายต่างๆ ท่อาจเกิดข้นได้ โดยเฉพาะอย่างย่งคนเดินเท้าท่อาจจะข้ามถนน

ในลักษณะกระชั้นชิด
2. ในบางครั้งแม้ผู้ขับขี่จะได้รับสิทธิการใช้ทางดีกว่า แต่ก็ต้องพึงระวังรถอื่น และ
คนเดินเท้าที่อาจเข้ามาในช่องทางเดินรถได้

















































161

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.14.4 แนวล้อขณะเลี้ยว

ในการขับรถเข้าสู่ทางเล้ยวท้งทางซ้ายและขวา ผู้ขับข่ต้องมีความเข้าใจว่าแนว


การเคลื่อนที่ของล้อหน้า และล้อหลังจะต่างกัน ส่งผลให้ผู้ขับขี่จะต้องเผื่อระยะห่าง
จากขอบทางส�าหรับล้อหลัง โดยปฏิบัติ ดังนี้
1. ลดความเร็ว เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น
2. เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร
3. ขับรถให้ห่างจากขอบทางด้านที่จะเลี้ยวเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เมตร (ตีวงเลี้ยว)
เพื่อให้แนวล้อหลังพ้นขอบทาง หรือสิ่งกีดขวางอื่นในด้านที่เลี้ยว


4. ควบคุมรถให้เล้ยวไปในทิศทางท่ต้องการ แล้วคืนพวงมาลัยกลับให้รถเคลื่อนท ี ่

ตรงไปตามแนวถนนอย่างปลอดภัย

5. ไม่หมุนพวงมาลัยเร็วเกินไป หรือช้าเกินไปเพราะจะทาให้รถอาจเฉี่ยวชนกับ
สิ่งกีดขวางบนถนนได้
















หมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเร็วเกินไป ส่งผลให้ล้อหลังเฉี่ยวชนกับขอบทางหรือสิ่งกีดขวางได้
หมุนพวงมาลัยช้าเกินไป ส่งผลให้รถข้ามเข้าไปในช่องทางเดินรถอื่นซึ่งอาจจะชนกับรถในช่องทางนั้นๆ ได้



5.14.5 การใช้ช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง
ในการขับรถบนถนน ซึ่งแบ่งช่องทางเดินรถหลายช่องทางน้น บางช่วงอาจมี

การจัดการจราจรของช่องทางเดินรถสาหรับรถท่จะไปทิศทางใดไว้โดยเฉพาะ





ผู้ขับข่สามารถสังเกตเห็นได้จากเคร่องหมายบังคับทิศทางซ่งเป็นรูปลูกศรอยู่บน

พ้นทาง และป้ายบอกเส้นทางส�าหรับช่องทางเดินรถแต่ละช่องทาง เป็นต้น โดย



ผู้ขับข่จะต้องเปล่ยนช่องทางเดินรถให้ถูกต้องก่อนท่จะถึงบริเวณท่เป็นทางร่วม

ทางแยก ท้งน้เพ่อความปลอดภัยเพราะการเปล่ยนช่องทางในระยะกระชั้นชิด




อาจท�าให้รถคันอื่นหยุด หรือลดความเร็วไม่ทันซึ่งจะท�าให้เกิดอุบัติเหตุได้













162

5.14.6 ทางแยกซึ่งไม่มีสัญญาณไฟจราจร หรือสัญญาณไฟชำารุด
ในบางครั้งผู้ขับข่อาจพบกับทางแยกท่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร หรือสัญญาณช�ารุด 5


ดังนั้น ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติ ดังนี้

1. หากมีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับข่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกน้น

ผ่านไปก่อน
2. หากมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับข ่ ี
ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใด

มีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับข่ซึ่งขับรถในทางเอกม ี
สิทธิขับผ่านไปก่อน เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์

ป้ายหยุด

ผู้ขับข่ต้องหยุดรถก่อนถึงทางท่ขวางข้างหน้า หรือ

เส้นแนวหยุด และรอให้รถ และหรือคนเดินเท้าบน
ทางขวางข้างหน้าผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัย และ
ไม่เป็นการกีดขวางการจราจรท่บริเวณทางแยกน้นแล้ว


จึงให้เคลื่อนรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง




ป้ายให้ทาง
ผู้ขับข่ต้องระมัดระวังและให้ทางแก่รถ หรือ

คนเดินเท้าบนทางขวางข้างหน้าผ่านไปก่อน เมื่อ

เห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรท ี ่
บริเวณทางแยกน้นแล้ว จึงให้เคล่อนรถผ่านไปได้ด้วย


ความระมัดระวัง


สัญญาณไฟจราจรกะพริบ (เหลือง/แดง)

ผู้ขับข่ต้องระมัดระวัง

และให้ทางแก่รถหรือ
คนเดินเท้าบนทางขวาง

ข้างหน้าผ่านไปก่อน เมื่อ
เห็นว่าปลอดภัยและ
ไม่เป็นการกีดขวางการ
จราจรท่บริเวณทางแยก

น้นแล้ว จึงให้เคล่อน


รถผ่านไปได้ด้วยความ
ระมัดระวัง






163

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.14.7 สัญญาณมือเจ้าพนักงานที่แตกต่างจากสัญญาณไฟ

ในทางเดินรถท่มีสัญญาณไฟจราจร หรือเคร่องหมายจราจร หรือสัญญาณ



จราจรอื่น ถ้าพนักงานเจ้าหน้าท่ผู้ควบคุมการจราจรในทางเดินรถน้น เห็นสมควร

เพ่อความปลอดภัย หรือความสะดวกในการจราจร จะให้สัญญาณจราจร
เป็นอย่างอื่นก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติการเดินรถตามสัญญาณที่พนักงาน
เจ้าหน้าที่ก�าหนดให้


5.14.8 การขับรถในวงเวียน



























1. ในกรณีท่วงเวียนใดได้ติดต้งสัญญาณจราจร หรือเคร่องหมายจราจร ผู้ขับข ่ ี


ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรนั้น
2. หากไม่มีสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจร เมื่อผู้ขับขี่ขับรถมาถึงวงเวียน
ต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ที่ขับรถอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน


3. ในกรณีท่พนักงานเจ้าหน้าท่เห็นสมควรเพ่อความปลอดภัย หรือความสะดวก



ในการจราจรจะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอ่นก็ได้ ในกรณีเช่นน้ผู้ขับข่ต้อง

ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ก�าหนดให้
5.14.9 สิทธิของคนเดินเท้าในทางแยก
1. ในการใช้ทางเดินรถผู้ขับข่ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้รถชน หรือโดนคนเดินเท้า

ไม่ว่าจะอยู่ ณ ส่วนใดของทาง และต้องให้สัญญาณเตือนคนเดินเท้าให้รู้ตัว

เมื่อจ�าเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก คนชรา หรือคนพิการที่ก�าลังใช้ทาง ผู้ขับขี่
ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการควบคุมรถของตน
2. สัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวชี้ให้เล้ยว หรือชี้ให้ตรงไป ให้ผู้ขับข่เลี้ยวรถ




หรือขับรถตรงไปได้ตามทิศทางท่ลูกศรชี และต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง
ควรต้องให้สิทธิแก่คนเดินเท้าในทางข้าม หรือรถที่มาทางขวาก่อน





164

5.14.10 ทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟสำาหรับเลี้ยวขวา
ทางแยกบางแห่งซึ่งมีปริมาณรถเลี้ยวขวาจานวนไม่มาก จะติดต้งสัญญาณ 5




ไฟจราจรซึ่งไม่มีสัญญาณไฟจราจรส�าหรับรถเล้ยวขวา ดังน้น เมื่อได้รับไฟจราจร




สีเขียวผู้ขับข่สามารถเคล่อนท่ผ่านแยกในทิศทางตรงได้ และกรณีท่ต้องการ
เล้ยวรถทางขวา ผู้ขับข่ต้องรอให้รถท่เคลื่อนท่สวนเข้ามาในทิศทางตรง ซึ่งได้




เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
สัญญาณไฟจราจรสีเขียวเช่นกันไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงเลี้ยวรถทางขวา
5.14.11 ตรวจสอบรถที่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร

















ในบางคร้งผู้ขับข่ขับรถถูกกฎจราจรแล้ว แต่มีผู้ใช้ถนนอื่นฝ่าฝืนกฎจราจรอยู่ใน


ทางแยกขณะนั้น ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงควรสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้ทางอื่น
ที่อาจฝ่าฝืนสัญญาณไฟ และไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร การรับรู้ความเสี่ยง และแก้ไข


สถานการณ์ความเส่ยงน้น เพ่อไม่ให้เกิดอุบัติเหต จึงเป็นส่งท่ควรกระทามากกว่า





แม้ท่านจะมีสิทธิการใช้ทางที่ถูกต้องก็ตาม
5.14.12 เว้นที่ว่างสำาหรับรถจากทิศทางอื่น

ในบริเวณท่มีเคร่องหมายห้ามหยุดอยู่บนพ้นทาง ผู้ขับข่ต้องไม่หยุดรถกีดขวาง



การจราจร แม้จะได้รับสัญญาณไฟจราจรสีเขียว























165

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.15 การหยุด และจอดรถอย่างปลอดภัย

5.15.1 ความหมายของการหยุด และจอด
การจอดรถ (Park) ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 54 หมวด 4 วรรค 2

ให้ความหมายว่า ผู้ขับข่ต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และจอดรถให้

ด้านซ้ายของรถขนานชิดกับขอบทาง หรือไหล่ทางในระยะห่างไม่เกินย่สิบห้า



เซนตเมตร หรือจอดรถตามทิศทาง หรือด้านหน่งด้านใดของทางเดินรถทเจ้าพนักงาน



จราจรกาหนดไว้ แต่ในกรณีท่มีช่องเดินรถประจ�าทางอยู่ทางด้านซ้ายสุดของ


ทางเดินรถ ห้ามมิให้ผู้ขับข่จอดรถในลักษณะดังกล่าวในเวลาท่กาหนดให้ใช้

ช่องเดินรถประจ�าทางนั้น
การหยุดรถ (Stop) ในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาณจราจร มีบัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๒



ผู้ขับข่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเคร่องหมายจราจรท่ปรากฏข้างหน้า
ในกรณีท่สัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอ�าพัน ให้ผู้ขับข่เตรียมหยุดรถหลังเส้น






ให้รถหยุดเพ่อเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณท่จะปรากฏต่อไป เว้นแต่ผู้ขับข่ท่ได้

เลยเส้นให้รถหยุดไปแล้วให้เลยไปได้ สัญญาณจราจรไฟสีแดง หรือเคร่องหมาย
จราจรสีแดงที่มีค�าว่า “หยุด” ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด
5.15.2 การจอดรถ หรือหยุด จะเกิดขึ้นจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. การจอดเพื่อรอผู้โดยสาร
2. การจอดรอเพื่อน�าสินค้าขึ้นหรือลงจากรถ
3. การจอดเนื่องจากรถเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นกับรถ หรือผู้ขับขี่


5.15.3 ข้อห้ามของการหยุดและจอด
จุดท่ห้ามจอดหรือหยุดรถน้นส่วนใหญ่สามารถสังเกตได้จากป้ายจราจรท่ติดต้ง




อยู่ริมถนน ที่มักพบเห็นได้บ่อยครั้ง คือ ป้ายห้ามจอดรถ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปวงกลม
สีแดงและมีเส้นขีดทแยง 1 เส้น และป้ายห้ามหยุดรถ ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมสีแดง
และมีกากบาทในวงกลม โดยป้ายห้าม 2 ป้ายนี้ ก�าหนดให้ปฏิบัติแตกต่างกัน





พ้นท่ท่มีการทาสีบนทางเท้าท่เป็นสีขาว-ดา หมายถง สามารถจอดรถได้

แต่ต้องจอดชิดขอบทาง แต่คุณก็อาจโดนจับได้ในกรณีต่อไปน เช่น จอดรถไม่ชิด


ขอบทาง จอดบนคอสะพานหรือกลางสะพาน จอดรถซ้อนคัน จอดบริเวณท่มีเคร่องก้น



ห้ามจอดที่เจ้าหน้าที่ต�ารวจน�ามาตั้งไว้ (เป็นบางเวลา)







ป้ายห้ามจอดรถ ป้ายห้ามหยุดรถ พื้นที่บนทางเท้าสีขาว-ด�า เส้นทแยงห้ามหยุดรถ


166

5.15.4 สถานที่ห้ามจอดรถ
ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดและจอดรถ ในสถานที่ดังต่อไปนี้ 5
• บนทางเท้า

• บนสะพานหรือในอุโมงค์
• ในทางร่วมทางแยกหรือในระยะสิบเมตรจากทางร่วมทางแยก
• ในทางข้ามหรือในระยะสามเมตรจากทางข้าม
• ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามจอดรถ
• ในระยะสามเมตรจากท่อน�้าดับเพลิง

• ในระยะสิบเมตรจากที่ตั้งสัญญาณจราจร เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
• ในระยะสิบห้าเมตรจากทางรถไฟผ่าน
• ซ้อนกันกับรถอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว

• ตรงปากทางเข้าออกอาคารหรือทางเดินรถ หรือระยะห้าเมตรจาก ปากทางเดินรถ
• ระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทาง หรือในระยะสิบเมตรนับจาก ปลายสุดทางเขตปลอดภัยทั้งสองข้าง
• ในที่คับขัน
• ในระยะสิบห้าเมตรก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจ�าทาง และเลยเครื่องหมายไปอีกสามเมตร
• ในระยะสามเมตรจากตู้ไปรษณีย์

• ในลักษณะกีดขวางการจราจร

5.15.5 ข้อควรปฏิบัติที่ผู้ขับขี่ควรกระทำาหากต้องจอดหรือหยุดรถ

ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามดังต่อไปนี้


















• ในกรณทเครองยนต หรออปกรณของรถขดของ จนตองจอดรถใน ทางเดนรถ ผขบขตองนารถใหพนทางเดนรถ





โดยเร็วที่สุด ถ้าจ�าเป็นต้องจอดรถอยู่ในทางเดินรถผู้ขับขี่ต้องจอดรถ ในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจร และ
ต้องแสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณ ตามลักษณะและเงื่อนไขที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
• การจอดรถในทางเดินรถที่ผู้ขับขี่ไม่อาจควบคุมรถได้ ผู้ขับขี่ต้องหยุด ดับเครื่องยนต์ และห้ามล้อรถไว้
• การจอดรถในทางเดินรถที่เป็นทางลาด หรือชัน ผู้ขับขี่ต้องหันล้อหน้า รถเข้าขอบทาง

• เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าท มีอานาจส่งให้ผู้ขับข เคล่อนย้ายรถท่หยุด หรือท่จอดอยู่อันเป็น








การฝ่าฝืนบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้พ้นจากการกีดขวางการจราจรได้





• ในกรณีท่ผู้ขับข่ไม่อยู่ หรืออยู่แต่ไม่ปฏิบัติตามคาส่งของเจ้าพนักงาน หรือพนักงานเจ้าหน้าท่ซ่งได้ส่ง


ตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอ�านาจเคลื่อนย้ายรถนั้นได้
• การหยุดรถ หรือการจอดรถในทางเดินรถนอกเขตเทศบาล ผู้ขับขี่ ต้องหยุดรถหรือจอดรถ ณ ที่ซึ่งผู้ขับขี่รถอื่น
จะเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร


• ในเวลาท่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ท่ผู้ขับข่จะมองเห็นรถท่จอดในทางเดินรถได้โดยชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า


หน่งร้อยห้าสิบเมตร ผู้ขับข่ซ่งจอดรถในทางเดินรถ หรือไหล่ทางต้องเปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างตามประเภท



ลักษณะ และเงื่อนไขที่ก�าหนดในกฎกระทรวง
• เมื่อมีเสียงสัญญาณของรถไฟ หรือรถไฟกาลังแล่นผ่านเข้ามาใกล้ อาจเกิดอันตรายในเมื่อจะขับรถผ่านไป






ผ้ขบข่ต้องลดความเรวของรถ และหยุดรถให้ห่างจากทางรถไฟไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมือรถไฟผ่านไปแล้ว
และมีเครื่องหมายหรือสัญญาณให้รถผ่านด้วย ผู้ขับขี่จึงจะขับรถผ่านไปได้
167

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์

• ในทางเดินรถตอนใดที่มีรถไฟผ่าน ไม่ว่าจะมีเครื่องระวังรถไฟหรือไม่ ถ้าทางรถไฟนั้นมีสัญญาณระหว่างรถไฟ



หรือส่งปิดก้น ผู้ขับข่ต้องลดความเร็วของรถหยุดห่างจากทางรถไฟในระยะไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อเห็นว่า
ปลอดภัยแล้วจึงขับรถผ่านไปได้





• ในขณะท่ผู้ขับข่รถโรงเรียนหยุดรถในทางเดินรถเพ่อรับส่งนักเรียนข้นหรือลง ให้ผู้ขับข่รถอ่นตามมาในทิศทาง

เดียวกันหรือสวนกันกับรถโรงเรียน ให้ใช้ความระมัดระวัง และลดความเร็วของรถ เมื่อเห็นว่าปลอดภัย
จึงให้ขับรถผ่านไปได้
5.15.6 วิธีการจอดรถที่ปลอดภัย

• ดูกระจกมองหลังเพ่อตรวจว่ามีรถตามมาในระยะกระช้นชิดหรือไม่ เมื่อเห็นว่า

ปลอดภัยให้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อให้รถที่ตามมาทราบว่าก�าลังจะจอด
• ผ่อนคันเร่ง ดูกระจกมองข้าง
• สังเกตจุดที่อาจมองไม่เห็น และเหยียบเบรก
• จอดรถชิดขอบทางด้านซ้าย ขนานชิดกับขอบทาง หรือไหล่ทางในระยะ

ห่างไม่เกิน 25 เซนติเมตร เพ่อหลีกเล่ยงไม่ให้รถจักรยานยนต์แทรกเข้ามาขับข ี ่


ในพื้นที่ระหว่างตัวรถและขอบทางได้
• ดึงเบรกมือ และเปลี่ยนเกียร์มาในต�าแหน่งเกียร์ว่าง ส�าหรับเกียร์ธรรมดา หรือ P
ส�าหรับเกียร์อัตโนมัติ



5.15.7 การเปิดประตูรถ

• ก่อนผู้ขับข่หรือผู้โดยสารจะลงจากรถ ให้มองไปรอบๆ ตัวรถก่อน โดยมองจาก
กระจกส่องหลัง กระจกมองข้างซ้าย ขวา หรือหันศรษะมองด้านซ้ายและขวา

จากล�าตัว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรถขับตามหลังมา

• การเปิดประตูควรเปิดอย่างช้าๆ ให้ได้ความกว้างประมาณ 1 ฟต ก่อนทจะก้าว


ลงจากรถให้หันมองรถทางด้านหลัง โดยมองผ่านช่องว่างระหว่างประตูกับตัวรถ
เพื่อความปลอดภัย
• เมื่อตรวจสอบรถด้านหลังไม่มีรถขับตามมา ให้รีบออกจากตัวรถอย่างรวดเร็ว
โดยไม่เปิดประตูกว้างมากจนเกินไปขณะลงรถ

• ปิดประตูให้สนิท พร้อมกับล็อกประต และต้องทาด้วยความรวดเร็ว เพ่อลดเวลา


การอยู่บนถนน
• หลังจากล็อกประตู้เรียบร้อยแล้ว ให้เดินไปด้านหลังรถผ่านฝากระโปรงหลังรถ
(ตามเข็มนาฬิกา) จะได้มองเห็นรถที่ขับตามมาด้านหลัง

















168

5.15.8 การหยุด และจอดรถอย่างปลอดภัย






• การหยดรถ หรอจอดรถในทางเดนรถ ผ้ขบขต้องให้สญญาณไฟ หรอด้วยมือ 5




และแขนก่อนท่จะหยุด หรือจอดรถในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร และจะหยุดรถ
หรือจอดรถได้เมื่อผู้ขับขี่เห็นว่าปลอดภัย และไม่เป็นการกีดขวางการจราจร
• ผู้ขับข่ต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และจอดรถให้ด้านซ้ายของรถ

ขนานชิดของทาง หรือไหล่ทางในระยะห่างไม่เกิน 25 เซนติเมตร หรือจอดรถ
ตามทิศทางหรือด้านหนึ่งด้านใดของทางเดินรถที่เจ้าพนักงานจราจรก�าหนดไว้
• ในกรณีที่มีช่องทางเดินรถประจ�าทางอยู่ทางด้านซ้ายสุดของทางเดินรถ ห้ามมิให้
ผู้ขับข่จอดรถในลักษณะดังกล่าวในเวลาท่กาหนดให้ใช้ช่องทางเดินรถประจ�าทางน้น เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์





• กรณีการจอดรถบนทางลาดชัน การจอดรถในทางเดินรถท่เป็นทางลาดหรือชัน

ผู้ขับข่ต้องหันล้อหน้าของรถเข้าขอบทาง ดึงเบรกมือ และใส่เกียร์ค้างไว้หลังจาก การจอดรถให้ปลอดภัย



ดับเคร่องยนต์แล้ว สาหรับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติจะต้องเล่อนคันเกียร์ไปท P



ทุกครั้งท่จอด นอกจากน หากเป็นไปได้อาจนาขอนไม้มารองล้อไว้ร่วมด้วย



เพื่อป้องกันรถไหล
5.15.9 การจอดรถในกรณีฉุกเฉิน


หากมีความจ�าเป็นท่ผู้ขับข่ต้องจอดรถเป็นกรณ ี


ฉุกเฉิน ผู้ขับข่จะต้องคานึงถึงความปลอดภัย และปฏิบัต ิ
ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด

• เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพ่อให้ผู้ใช้รถคันอ่นทราบ

และหลบหลีก


• นารถออกจากผิวการจราจร เพ่อไม่ให้กีดขวาง
การจราจร และหลกเล่ยงอุบตเหตทอาจเกดจาก








การถูกรถคันอื่นเฉี่ยวชน


• นาป้ายสัญญาณ หรือวัสดุอ่นมาวางก่อนถึงจุดท ่ ี
รถจอดเป็นระยะไม่น้อยกว่า 20 เมตร เพื่อให้ผู้ขับขี่

อ่นทราบ และเตรียมตวหลบหลีก หรือลดความเร็ว

ล่วงหน้า

• แจ้งเหต หรือขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงาน

ท่เก่ยวข้อง เช่น แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191


แจ้งตารวจทางหลวง 1193 แจ้งตารวจจราจรกลาง

1197 (ส�าหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร) เป็นต้น


169

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.15.10 บทลงโทษผู้จอดรถผิดกฎหมาย
กรณีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม จอดหรือหยุดรถในสถานท่ไม่ได้รับอนุญาต

หรือผิดกฎหมายน้น ผู้ขับข่ควรจะทาโดยคานึงถึงผลกระทบท่รถของคุณจะมี





ต่อการจราจรอื่นๆ และประชาชนท่อาศัยอยู่ตามท้องถนน เพราะอาจจะส่งผล












กระทบกบปัญหาการจราจรท่ตดขด และแม้กระทงอบัตเหตทอาจจะเกิดขน


ตามมาได้ นอกจากน การจอด หรือหยุดรถในท่ห้ามจอด จะมีความผิดตาม



พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา 57 และ 59 หากฝ่าฝืน จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

ซึ่งเจ้าของรถต้องเสียค่าเคล่อนย้าย 500 บาท และ ค่าดูแลรักษารถอีกวันละ 200 บาท
5.16 มารยาทในการขับรถ
5.16.1 มารยาทการใช้ทางของรถยนต์
ในการขับรถบนท้องถนนนั้นผู้ขับขี่มีความจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบถึงค�าเตือน



และมารยาทในการขับรถ อีกท้งในปัจจุบันสภาพสังคมท่มีความเร่งรีบทาให้ผู้คน
ขาดสติ และไม่ได้ค�านึงถึงความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้อาจจะน�าไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ
โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
5.16.2 ความรับผิดชอบต่อตนเอง
ผู้ขับข่มีความจ�าเป็นท่จะต้องตรวจสภาพรถของตนเอง ให้อยู่ในสภาพท ่ ี


ปลอดภัย และพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ทางถนน เพื่อความปลอดภัย ควรจะตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเดินทาง
5.16.3 ความรับผิดชอบต่อผู้ใช้ทางอื่น

ในการขับข่บนท้องถนนมีท้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน และคนเดินทาง

สัญจรร่วมทางกัน มีความจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ขับขี่จ�าเป็นต้องค�านึงถึงผู้ใช้ทางอื่น


5.16.4 ความรับผิดชอบต่อสังคม

ปัจจุบันสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในสังคมไทยเกิดข้นอย่างมากมาย
เราจะพบเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทางโทรทัศน์ ได้ในทุกวัน สาเหตุของ




การเกดอุบัตเหตนน เกดจากหลายสาเหต เช่น การดมสุราแล้วขับรถ การใช้โทรศพท์






ขณะขับรถ การขับรถด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเหล่านี้น�ามาซึ่ง
ความสูญเสียแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ดังน้น ผู้ใช้รถใช้ถนนควรตระหนักถึงความสูญเสีย

ที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง ด้วยจิตส�านึกที่รับผิดชอบต่อสังคม






170

5.16.5 การดื่มสุราขณะขับรถ
การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการเมาสุราเกิดข้นอย่างต่อเน่องเป็นระยะ 5


เวลานาน สังคมไทยจะชินและชา ท้งๆ ท่เป็นเหตุการณ์ท่ควบคุมและป้องกันได้




จากข่าวหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงวันปกต หรือวันหยุดเทศกาล
ปีใหม่ สงกรานต์ วันออกพรรษา เป็นต้น กว่าร้อยละ 50 ของอุบัติเหตุทางถนนเกิดจาก





ผู้ขับข่ด่มเคร่องด่มแอลกอฮอล์ ในขณะท่ผู้ขับข่มีระดับแอลกอฮอล์ในร่างกาย



ส่งผลให้สมรรถณะในการขับข่ลดลง การตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินเมื่อขับข่ลดลง
อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมักจะรุนแรงเสมอ
วิธีป้องกันอุบัติเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


1. หากต้องขับรถ ห้ามด่มเครื่องด่มท่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด





หากจ�าเป็นต้องด่ม ควรให้เพ่อนท่ไม่ด่มแอลกอฮอล์เป็นผู้ขับรถแทน หรือ
ใช้บริการแท็กซี รถโดยสารสาธารณะ กรณีไม่มีเพ่อนร่วมทาง ควรรอ



จนสร่างเมาจึงค่อยขับรถกลับบ้าน หรือจอดรถในบริเวณท่ปลอดภัย เช่น
จุดพักรถริมทาง สถานีบริการน�้ามัน เป็นต้น
2. หากพบผู้ใช้ทาง มีลักษณะการขับรถผิดปกต ให้ชะลอความเร็ว เว้นระยะ


ห่างจากรถคันดังกล่าวให้มากกว่าปกต ไม่ขับเข้าใกล้หรือแซงรถในระยะ
กระชั้นชิด ถ้ารถดังกล่าวอยู่ด้านหลัง ควรขับรถชิดช่องทางด้านซ้าย และ
ลดความเร็วลง เพื่อให้รถดังกล่าวขับแซงไปก่อน
3. หากรถผ่านส่แยกท่มีสัญญาณไฟจราจรในช่วงกลางคืน ควรชะลอความเร็ว


และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีรถขับผ่าน เพราะอาจมีผู้ขับข่เมาสุราขับรถ

ฝ่าสัญญาณไฟแดง ท�าให้เกิดอุบัติเหตุได้
4. กรณีพบเห็นผู้ที่เมาแล้วขับ ให้จดหมายเลข ทะเบียน สีรถ ยี่ห้อรถ โทรศัพท์
แจ้งเจ้าหน้าที่ต�ารวจด�าเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ไปสร้างความ
เดือดร้อนกับผู้ร่วมใช้ทางอื่น
























การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ของผู้ขับขี่ยานพาหนะ





171

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.16.6 การโทรศัพท์ขณะขับรถ

พฤตกรรมการใช้โทรศพท์ขณะขบรถ ถอว่าเป็นพฤตกรรมใหม่ของคนยคน ี ้
















ทต้องอาศยการปลกฝังจตส�านึกให้ตระหนกว่า ผ้ขบขไม่เพยงแต่ต้องมีความ
รับผิดชอบต่อชีวิตตนเอง และคนในรถ แต่ยังต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่น
บนท้องถนนด้วย
ข้อแนะน�าวิธีปฏิบัติเพื่อให้การขับรถมีความปลอดภัย
1. หากขับรถในระยะทางใกล้ๆ ใช้เวลาจนถึงท่หมายไม่นานนัก ไม่ควรใช้โทรศัพท์


เปิดข้อความโต้ตอบ จนกว่าจะถึงท่หมาย หากขับรถระยะทางไกล และใช้
เวลานาน ควรกาหนดจุดหยุดพัก เช่น หยุดพักทุกหน่งชั่วโมง แล้วค่อยโทรศัพท์


เมื่อถึงจุดหยุดพัก




2. ควรจอดรถข้างทางในท่ท่ปลอดภัยแล้วจึงใช้โทรศัพท์ หากอยู่ในท่ท่รถติด
หรือจ�าเป็นต้องขับรถต่อไป ควรขับชิดซ้าย และชะลอความเร็วลง
เตรียมอุปกรณ์เสริมให้พร้อมใช้งานเมื่อเริ่มสนทนา

3. ควรแจ้งให้คู่สนทนาทราบว่าเรากาลังขับรถอย และใช้เวลาในการพูดคุยให้สั้น
ู่
ที่สุด
4. หลีกเลี่ยงเรื่องสนทนาที่ท�าให้เศร้า โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์เสีย
5. ไม่รับ หรือส่งข้อความสั้น (SMS) หรืออีเมล์ในทุกกรณี
6. ก่อนขับขี่ควรวางแผนปิดการสื่อสารที่จะรบกวนการขับขี่ทุกช่องทาง







































172

5.16.7 การขับรถผ่านทางข้ามเขตชุมชน หรือโรงเรียน


ให้ลดความเร็ว และใช้ความระมัดระวังกว่าปกต มีนาใจให้คนเดินเท้าในการ 5

ข้ามถนน ไม่กดแตร หรือกะพริบไฟในลักษณะไล่ หรือท�าให้ตกใจ

เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์














การจราจรบริเวณหน้าโรงเรียน มักมีคนเดินเท้า และรถปริมาณมาก



5.16.8 การแบ่งปันนาใจ


เป็นสิ่งจ�าเป็นที่พึงกระท�าเป็นอย่างยิ่งในขณะขับรถบนท้องถนน เพราะนอกจาก




ทาให้การเดนทางเป็นไปอย่างราบรนแล้ว ยงทาให้ผ้ร่วมใช้ถนนอ่นร้สกสบายใจ







ไม่รู้สกเครียดกับการเดินทาง การแบ่งปันนาใจด้วยการมีเมตตาธรรมกบผู้เดินเท้า



คือ การระวังไม่ให้น�้ากระเซ็นไปโดนผู้อื่น การหยุดรถให้คนเดินเท้าข้ามถนน ไม่กด
แตรให้ตกใจ และการมีน�้าใจกับผู้ขับขี่อื่น ได้แก่ การเปิดทางให้แทรกเข้ามาในช่อง

เดินรถ การเปิดทางให้แซง การเตือนรถสวนมาว่า ข้างหน้ามีด่านตารวจ และประการ
ส�าคัญไม่หงุดหงิด ฉุนเฉียว รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่น เช่น มีผู้มาเบียดแทรกเข้ามาในช่อง
จราจรที่เราต้องเบรกกะทันหัน เราควรให้อภัยด้วยการไม่กะพริบไฟ หรือบีบแตรไล่
5.16.9 การแสดงความขอบคุณ



เป็นมารยาทท่จาเป็นท่ต้องใช้ให้เคยชิน จนติดเป็นนิสัย ในกรณีท่เราได้รับ

การปฏิบัต หรือได้รับนาใจท่ดีจากผู้ร่วมใช้ทาง เช่น เปิดทางให้แทรกเข้าไปในช่อง




เดินรถ การเปิดทางให้แซง การเตือนรถสวนมาว่า ให้เปิดไฟหน้ารถด้วย เราควร
แสดงคาขอบคุณ ด้วยการโค้งศีรษะขอบคุณ ส่งย้มขอบคุณ หรือยกมือขวาพร้อม


โค้งศีรษะ












173

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.17 การขับขี่ในสถานการณ์ที่อาจมีความเสี่ยง

5.17.1 การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า

ส่งสาคัญท่ไม่ควรขับจี้ท้ายรถคันหน้า เน่องจากจะทาให้เกิดอุบัติเหต โดยอุบัติเหต ุ






การชนท้ายในประเทศไทยมักจะเกิดคร้งละหลายๆ คัน บางจุดบางแห่งชนท้ายกัน
นับสิบคัน

เมื่อใช้ความเร็วท่มากข้นระยะห่างจากรถคันหน้าต้องมีมากข้นตามไปด้วย



รวมถึงปัญหาท่ตามมาด้านกฎหมาย รถท่ขับตามมาต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้า

เพียงพอท่จะหยุดได้อย่างปลอดภัยเมื่อคันหน้าเกิดอุบัติเหต หรือหยุด


อย่างกะทันหัน ถ้าขับตามกันมาแล้วชนท้าย หมายถึงรถของเราผิดอย่างชัดเจน













เมื่อเว้นระยะห่างจากคันหน้าไม่เพียงพอ ท�าให้มีระยะเบรกน้อย จึงเกิดการชนท้าย



5.17.2 การเร่งความเร็ว


การเร่งความเร็วให้สูงข้น โดยทาให้ผู้โดยสารในรถรู้สึกกลัว หรือผู้ใช้รถ


ใช้ถนนอ่นๆ เกิดความรู้สึกตกใจ และคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดอุบัติเหต เป็นสิ่งท ี ่


ผู้ขับข่ต้องงดเว้น หรือหลีกเล่ยง การใช้ความเร็วของรถให้เหมาะสมกับรถอื่น



ท่ใช้ถนนร่วมกันน้น พึงระวังอยู่เสมอ เช่น การเบ่ยงแซงออกไปจากช่องทาง

อย่างกะทันหัน อาจทาให้เกิดการชนกับรถในฝั่งตรงข้าม ท่มาในช่องทางปกติได้


การขับรถจี้ท้ายรถคันหน้า กะพริบไฟไล่เพ่อให้รถคันหน้าหลีกทาง หรือบีบแตร













ไล่ อาจเป็นการยวยอารมณ์ของผ้ขบข หลายครงมข่าวว่าผ้ขบรถบนถนน ขบรถ
ไล่ยิงกัน ที่ส�าคัญอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ใช้รถบนถนนคันอื่น
5.17.3 การขับรถลุยฝนหรือนา


เมื่อมีฝนตก หรือหลังฝนตกใหม่ๆ ถนนอาจมีน�้าขัง ควรใช้ความเร็วต�่าเพื่อไม่ให้



นากระเซ็นไปโดนคนเดินเท้า หรือรถคันอ่น หลีกเลี่ยงผิวถนนท่มีนาขังเพราะอาจ





ทาให้เกิดการแฉลบนากระเซ็น หรือเม่อขับรถด้วยความเร็ว ผ่านบริเวณท่มีนาขัง








ผู้ขับข่มักตกใจ และเหยียบเบรกกะทันหัน ทาให้เกิดอันตรายรถอาจจะพลิกควา


ได้ ผู้ขับข่ควรตระหนักอยู่เสมอ ขณะท่มีฝนตก หรือหลังฝนตกใหม่ๆ การขับรถใน



สถานการณ์น มีความเสี่ยงอย่างย่ง ต้องลดความเร็วในการขับข่ลงครึ่งหน่งของช่วงปกต ิ



174

5.17.4 การหยุดรถ
ควรจะหยุดมองหลังผ่านกระจกว่ามีรถตามมาหรือไม่ ควรให้สัญญาณ 5

ล่วงหน้าในระยะท่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟเบรก หรือสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
ลดความเร็วลงโดยค่อยๆ แตะเบรกในระยะท่รถคันหลังมีเวลาเบรกได้ทัน และ

ไม่หยุดรถขวางทางเข้าออกขวางช่องทางเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด



5.17.5 การใช้เบรก


ไม่แตะเบรกโดยไม่จาเป็น เพราะจะทาให้รถคันหลังท่ตามมาต้องเบรกตาม

กะทันหัน และเกิดการชนท้ายคร้งละหลายคัน ผู้ขับข่ควรระลึกไว้เสมอเมื่อขับข ่ ี เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์



ไม่ควรแตะเบรกโดยไม่จ�าเป็น และต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่าไฟเบรกท้งสองข้าง
สามารถใช้งานได้ตามปกติ
5.17.6 ชะลอความเร็ว
การชะลอความเร็ว และรถคันใดถึงทางร่วมทางแยกก่อน ก็ไปก่อน หากมีรถ





มาถงทางร่วมทางแยกพร้อมกน ให้รถท่อย่ทางซ้ายไปก่อน ในกรณทเป็นทางเอก


ทางโท รถทางโทจะต้องหยุดให้รถทางเอกไปก่อนแสมอ ซึ่งจะรู้ได้อย่างไร
ว่าทางใดเป็นทางเอกทางใดเป็นทางโท ให้สังเกตจากป้ายจราจร รถคันหน้า




ขับท้งระยะมากๆ ในขณะท่ถนนด้านหน้าโล่งทาให้เสียพ้นผิวจราจร และหากหลายๆ




คนปฏิบัติเช่นน จะกอให้เกิดการใช้รถใช้ถนน การขับทงระยะมากๆมีผลเสียมากกว่าท่คิด



เพราะรถคันหลังจะพยายามแซงข้นไป โอกาสท่จะเกิดอุบัติเหตุจากการเฉ่ยวชนจึง


มากขึ้น
5.17.7 การให้ทาง
ต้องให้รถทางขวาไปก่อน
เมื่อขับรถมาถึงทางร่วมทางแยก และวงเวียน
คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าจะต้องให้รถทางขวาไปก่อน

เม่อขับมาถึงทางแยกใหญ่ไม่ว่าจะสามแยก หรือส่แยก

ท่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร รวมถึงเมื่อขับเข้าวงเวียน


ต้องให้รถทางขวาไปก่อนเสมอ เน่องจากประเทศไทย

ขับเลนซ้าย เมื่อถึงแยกหรือวงเวียนท่รถมาทางขวา
จะถือว่ามาก่อน ดังน้น ต้องลดความเร็วและด ู

ให้ปลอดภัยก่อนเสมอ เมื่อจะเข้าทางหลัก เช่น
ว่งอยู่ถนนคู่ขนานแล้วจะเบ่ยงขวาเข้าช่องหลัก ก็ต้อง


ชะลอให้ให้รถที่มาทางตรงไปก่อน







175

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.17.8 ไม่ขับแช่ขวา


บนถนนทมีมากกว่าสองเลนขนไปนนเราไม่ควรขบแช่ขวา แม้ว่าเราจะขับ








ตามความเร็วท่กฎหมายกาหนด บนถนนท่โล่งแม้ว่าจะขับมาเร็วเท่าไหร่ก็ไม่ควร
ว่งแช่เลนขวา หลายครั้งบนถนนมีสภาพการจราจรหนาแน่น เคล่อนตัวไปอย่าง


ช้าๆ เมื่อไม่สามารถไล่เลาะหาช่องว่างเพ่อแทรกไปข้างหน้าสุดได้ กลับพบว่ามี




รถว่งแช่ขวาด้วยความเร็วคงท อาจจะใช้ความเร็วตามกฎหมาย แต่สร้างผล
กระทบกับรถท่มาข้างหลังติดยาว ดังน้น ไม่ว่าถนนจะโล่งหรือไม่ ขับช้าหรือเร็ว ควรว่ง



เลนกลาง หรือเลนท่สองถัดจากเลนขวาสุด และควรคานึงเสมอว่า ถ้าว่งเลนขวา



แล้วมีรถมาจ่อท้ายเมื่อไหร่ แสดงว่าเราขับช้าไป โดยมารยาทควรจะต้องเปิด



ไฟเล้ยวซ้ายและหลบให้ทางรถท่มาข้างหลัง หลายครั้งผู้ท่ไม่ทราบมารยาทมีอารมณ์


ฉุนเฉียว กล่าวหาว่ารถคันหลังยกไฟสูงไล่ ต้องคานึงไว้เสมอว่า เลนขวาคือเลนสาหรับ
การแซงหรือเปลี่ยนช่องทางส�าหรับรถที่ขับเร็วกว่า











5.17.9 การให้สัญญาณ
การใช้สัญญาณแตร

แตรรถมีไว้เพ่อใช้เตือน หรือระมัดระวังว่าจะเกิดอุบัติเหตุซึ่งจะใช้เสียงสั้นๆ






ไม่ใช้แตรเสียงยาว เพราะคล้ายกบเป็นการตาหน หรือด่าผ้ขบข่อ่น ไม่ใช้แตร


ในเขตชุมชน โรงพยาบาล หรือเขตห้ามใช้เสียง ไม่ใช้แตรขณะรถจอดอยู่เว้นแต่


รถคันอ่นจะถอยมาชน ควรให้สัญญาณแตรเมื่อขับรถอยู่ในทางโค้งท่มองไม่เห็น




รถสวนมา มุมอับในซอยท่มีกาแพงทึบบังอยู่ หรือบริเวณท่ไม่แน่ใจเพ่อเตือนรถ



ท่สวนมา เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเช่น รถของเราเบรกแตก ยางระเบิดเพ่อให้รถคันอ่นรู้ตัว
และหลบหลีก ใช้แตรเมื่อต้องการขอความช่วยเหลือ
การแสดงสัญญาณมือ

เพ่อแสดงถึงการขอบคุณหรือขอโทษ การยกมือแสดงความขอบคุณท่ให้ทาง หรือ


ยกมือแสดงความขอโทษ โดยยกมือให้อยู่ในระดับใบห พร้อมโค้งศีรษะเล็กน้อย เช่น
การเปิดทางให้แซง ขอเข้าเลน เป็นต้น
176

5.17.10 การขับรถตามปกติ
ควรขับชิดทางเดินรถหรือช่องเดินรถซ้ายเสมอ 5
โดยเฉพาะการขับรถช้าเพราะเป็นการกีดขวาง

รถคันอื่น และไม่คร่อมช่องเดินรถ ไม่ใช้สัญญาณไฟสูง




แตะเบรกเท่าทจ�าเป็น เพ่อไม่ให้รถคันหลังต้องชะงกตาม

การเปลี่ยนช่องเดินรถ หรือเปล่ยนเลนต้องให้สัญญาณ
ก่อน ให้ความสะดวกแก่รถฉุกเฉินต่างๆ ไม่ขับจี้ท้าย
ควรทิ้งระยะห่างจากันหน้าให้เหมาะสม

5.17.11 การขับรถสวนทางกัน เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


ในทางเดินรถท่ว่งสวนทางกันได้ หากมีรถว่ง

สวนทางมาต้องลดความเร็วใช้ความเร็วให้เหมาะสม

ขับรถชิดทางซ้ายให้มากท่สุด เพ่อไม่ให้เกิดอุบัติเหต ุ

หรือการหวาดเสยว ห้ามใช้ไฟสูง เพราะจะแยงตา

ผู้ขับรถคันท่สวนมา ขับชิดขอบทางด้านซ้าย

ให้มากท่สุดเท่าท่จะทาได้ ไม่ขับคร่อมเลนเข้าไปใน



ช่องเดินรถอื่น
5.17.12 การเคลื่อนรถออกจากที่จอด


ผู้ขับข่จะต้องให้สัญญาณก่อนเคล่อนรถออกจาก

ท่จอดทุกคร้ง มองดูกระจกหลังหรือกระจกข้าง เม่อเห็น



ว่าปลอดภัยจึงเลื่อนรถออกจากท่จอดรถ ควรเหยียบ

คันเร่งด้วยความนุ่มนวล ไม่ออกรถแบบกระชาก หรือ
ออกรถไปบนท้องถนนเป็นเหตุให้ผู้ขับข่อ่นต้องหักหลบ


หรือเบรกรถอย่างกะทันหัน




























177

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.17.13 การขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น

• ก่อนแซงข้นหน้ารถคันอ่นต้องให้สัญญาณ

ก่อนแซงเสมอ
• กะพริบไฟหน้ารถสั้น 2 ครั้ง เพื่อให้คนขับรถคันหน้า
มองเห็น และทราบว่ามีผู้จะขอแซง
• ไม่แซงในเขตห้ามแซง หากถนนแคบต้องขับช้า และ
แซงด้วยความระมัดระวัง


• เว้นระยะให้ห่างจากรถรถคันท่ถูกแซงอย่างเหมาะสม
แซงแล้วไม่หักรถเข้าช่องทางซ้ายเร็ว จนอาจเป็นเหตุ
ให้เบียดกับรถคันที่ถูกแซง

• เมื่อแซงพ้นแล้วให้ขับรถชิดช่องเดินรถด้านซ้ายทันที

5.17.14 การขับรถกรณีมีผู้ขับรถขอแซงผ่านขึ้นหน้า


• เมื่อมีรถคันอื่นจะขอแซงผ่านข้นหน้ารถคันท่เราขับอย ู่

เราควรขับรถชิดทางด้านซ้าย

• เม่อเห็นสัญญาณของแซงเราควรตอบรับด้วยการให้
สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย และลดความเร็วให้รถคันหลัง

แซงขึ้นไป
• ไม่ควรเร่งความเร็วตีคู่กับรถท่ขอแซงเพราะอาจเกิด

อุบัติเหตุได้





• ควรลดความเร็วเพอเว้นช่องว่างให้รถท่ตค่กบเรามี



ช่องว่างหลบเข้ามา เป็นการแบ่งปันนาใจแก่เพ่อน


ร่วมทางและป้องกันอุบัติเหตุอีกด้วย
5.17.15 การเลี้ยวรถ








• ผ้ขบรถคนทต้องการจะเลยวรถ ต้องขบรถเข้าไป
ในช่องทางเดินรถในทิศทางท่ประสงค์จะเลี้ยว

เป็นระยะทางที่เหมาะสม




• ใหสญญาณใหทราบวาทิศทางท่จะเล้ยวไปทางใดล่วง



หน้าในระยะท่เหมาะสม
• ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อให้รถคันอื่นรู้ตัว
• การเลี้ยวซ้ายในทางร่วมทางแยก แม้ว่าจะมีป้าย
“เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” หมายความว่า เลี้ยวได้ต่อเมื่อ





เห็นว่าปลอดภัย มารยาททต้องคานงกรณน้คือการ

ให้รถอื่นไปก่อน

• เมื่อเล้ยวรถเรียบร้อยแล้วต้องเปล่ยนสัญญาณไฟ


ให้กลับสู่ปกต ไม่ลืมเปิดค้างไว้ และใช้ความเร็วของรถ
ให้เหมาะสมกับรถท่ใช้ทางอยในทาง หรือช่องเดนรถน้น


ู่

178

5.17.16 การเปลี่ยนช่องเดินรถ
• ผู้ขับรถที่ต้องการจะเปลี่ยนช่องเดินรถต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย หรือขวาตาม 5
แต่กรณีล่วงหน้าในระยะที่เหมาะสม หรือก่อนเปลี่ยนช่องเดินรถ 30 เมตร

• ไม่เปลี่ยนช่องเดินรถในระยะคับขันหรือกระชั้นชิด
เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์
• เมื่อเห็นปลอดภัยแล้วให้เปลี่ยนช่องเดินรถอย่างระมัดระวัง
• เปลี่ยนสัญญาณไฟกลับเป็นปกติ
• ใช้ความเร็วให้สอดคล้องกับรถที่อยู่ในช่องการเดินรถ

• ระวังไม่ให้รถที่ตามมาชะงัก หรือเบรกจนเสียจังหวะ











5.17.17 การเปิดไฟเลี้ยว หน้า 80



การไม่ให้สัญญาณไฟจอด ชะลอ เล้ยวทาให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่า 700 ราย มาตรา 36 การให้สัญญาณ
ต่อปี เพียงแค่เปิดไฟเลี้ยวอุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อต้องเลี้ยว
หน้า 82
ประโยชน์ของการเปิดไฟเลี้ยวมีดังนี้
• บอกให้เพื่อนร่วมทางรู้ว่าเราจะไปทางไหน หรือขอแซงไปก่อน มาตรา 38 การให้สัญญาณ

ของผู้ขับข่รถยนต์ และรถ




• การใช้สัญญาณไฟเล้ยวซ้าย เล้ยวขวา เพ่อจะบอกว่าจะเล้ยวไปในทิศท ่ ี จักรยานยนต์
ต้องการ
• การกลับรถ การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ ขอแซงคันอื่น หรือการขับรถออกจาก
ที่จอดรถ



• การใช้ไฟเล้ยวอย่างถูกต้อง เมือจะเลี้ยวรถหรือต้องการจะแซง ผู้ขับข่ต้อง

ยกไฟเลี้ยวท่อยู่ด้านหน้าหรือข้างรถให้สัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองท ่ ี
ติดอยู่ท้ายรถในทิศทางเดียวกับทางที่จะเลี้ยว หรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
• ควรเปิดไฟเลี้ยวให้คันหลังเห็นชัดก่อนท่เราจะเล้ยว ถ้าเทียบเป็นความเร็ว



รถท่ว่งอยู่ท 30 กม./ชม. ก็ให้เปิดไฟเล้ยวล่วงหน้าก่อน 30 เมตร รถท่ว่งอยู่






ที่ 60 กม./ชม. ก็ให้เปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าก่อน 60 เมตร
• เราควรเปิดไฟเลี้ยวให้เป็นนิสัย แม้ว่าจะไม่มีรถวิ่งตามมาก็ตาม
• การเลี้ยวรถในที่ให้กลับรถ เมื่อเราขับถึงเส้นทางที่จะเลี้ยวรถ ให้เปิดไฟเลี้ยว
ชะลอความเร็ว แล้วค่อยเปลี่ยนเลน


• การเล้ยวเข้าซอย หรือเล้ยวออกจากซอยควรจะดูรถทางขวาด้วย และใช้ความ
ระมัดระวัง แล้วจึงเลี้ยว
กรณีของรถจักรยานยนต์ก่อนถึงทางร่วมทางแยกท่ต้องการจะเล้ยว ควรจะเปิด


ไฟเล้ยวล่วงหน้า อย่างน้อย 30 เมตร ก่อนถึงทางแยก เพ่อให้ผู้ท่ขับข่ตามมาจะได้เห็นว่าเรา




ก�าลังจะเลี้ยว จะได้เตรียมตัวได้ทัน
179

บทที่ 5 เทคนิคและมารยาทในการขับรถยนต์


5.17.18 การขับรถในช่วงเย็นและเช้า
การใช้ไฟตัดหมอก
ควรใช้เมื่อมีหมอกควันตามวัตถุประสงค์ของการผลิตในสภาพการจราจรปกต ิ

แม้เป็นเวลากลางคืนแสงไฟหน้ารถก็เพียงพอ ไฟตัดหมอกหลังสีแดงมีในรถบางรุ่น


เพ่อเตือนรถคันท่ตามมาควรเปิดเมื่อหมอกลง หรือฝนตกหนัก ไม่ควรเปิดในสภาพ
อากาศปกติ













ต�าแหน่งไฟตัดหมอก การใช้ไฟตัดหมอก อาจไปรบกวนสายตาผู้อื่นได้





เม่อผู้ขับข่ได้ทราบเทคนิคการขับรถยนต์เบ้องต้นแล้ว ในการขับรถบนถนนจริง
ผู้ขับข่จะต้องระลึกถึงความหมายของสัญญาณและเครื่องหมายจราจร รวมท้ง




ปฏิบัติตามกฎจราจรควบคู่ไปด้วย เพ่อเกิดความปลอดภัยท้งแก่ตัวท่านเองและ
เพื่อนร่วมทาง





บันทึก




































180

6





บทที่






















การรับรู้ความเสี่ยง






































ในการขับรถบนถนนซึ่งมีรถและผู้ใช้ถนนร่วมกันจ�านวนมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ
ที่ไม่คาดคิด และอาจน�าไปสู่อุบัติเหตุ และความสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น ผู้ขับขี่ จึงต้องตระหนักและ
สามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น









181

6
บทที่ การรับรู้ความเสี่ยง


6.1 การประเมินความเสี่ยง

อุบัติเหตุเป็นส่งท่ทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิดข้น แต่เมื่อเกิดข้นแล้ว จากการค้นหา




สาเหตุของอุบัติเหต พบว่าอุบัติเหตุเกือบทุกครั้ง สามารถป้องกันได้ จากสถิติอุบัติเหต ุ
จราจร 100 ครั้ง กว่า 80 ครั้ง จะอยู่ในการชน 3 ชนิด คือ การชนด้านหลัง 33 ครั้ง การ
ชนที่สี่แยก 32 ครั้ง และการชนสิ่งของข้างทางขณะขับรถอยู่ในทางโค้ง 8 ครั้ง และ
การชนสิ่งของข้างทางขณะขับรถอยู่ในทางตรง 9 ครั้ง




ผู้ขับข่มักคิดว่าการชนเหล่าน อาจเป็นเพราะทัศนวิสัย หรือสภาพอากาศไม่ด ี
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเวลากลางวัน โดยสภาพอากาศ

และทัศนวิสัยปกต และเป็นท่แน่นอนว่า พบในนักขับมือใหม่มากท่สุด โดยเฉพาะ


เมื่อทัศนวิสัยไม่ดี หรือบนถนนสายรองซึ่งสภาพถนนไม่ดี หรือมีสิ่งกีดขวางมาก
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของนักขับมือใหม่จะเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากยังมีประสบการณ์ไม่


เพียงพอ และมักจะมีพฤติกรรมในการขับข่ท่ไม่ปลอดภัย คือ เว้นระยะห่างกับรถ

คันหน้าน้อยเกินไป ขับเร็วเกินไป กะระยะห่างน้อยเกินไป เวลาเล้ยว แซง หรือขับผ่าน
ทางแยก และไม่สังเกตสภาพแวดล้อมข้างหน้าดีพอ ดังนั้น จึงจ�าเป็นที่จะต้องทราบ






และตระหนักถึงอันตรายเหล่าน ตลอดจนเรียนรู้ส่งท่พ่งกระทา เพ่อความปลอดภัย

ของตัวท่านและผู้ขับขี่ท่านอื่น
6.2 การหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสี่ยง



ในฐานะนักขับหน้าใหม่ จึงมีความจ�าเป็นท่จะทราบว่า อะไรคือส่งท่เป็นอันตราย













และอาจกอใหเกดอบตเหต การฝกฝนบนถนนจรง เพอใหเกดการสรางประสบการณ ์








เป็นส่งท่จาเป็นอย่างย่ง ในขณะท่นักขับหน้าใหม่ขาดท้งวัยวุฒ และประสบการณ์







ซึงสงเหล่านไม่อาจสร้างขนมาในเวลาอันสนได้ จากการศกษาของหลายประเทศ



พบว่า สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุในนักขับหน้าใหม่ลงได้อย่างมาก โดยวิธีสร้าง
ประสบการณ์บนการจ�าลองสถานการณ์ต่างๆ ให้ใกล้เคียงกับการใช้รถบนถนนจริง






อาจจะเป็นการฝกฝนผานระบบคอมพวเตอร์ หรือการฝกฝนและทาซ�าในแบบทดสอบ
เรื่องการรับรู้ และตอบสนองต่อความเสี่ยง
6.2.1 การควบคุมความเร็ว
การขับรถด้วยความเร็วสูง เป็นสาเหตุใหญ่ของอุบัติเหตุในนักขับมือใหม่ เน่องจาก


จะทาให้ไม่สามารถสังเกตส่งอันตรายรอบข้าง ป้ายคาเตือน และสภาพถนน


ที่เปลี่ยนแปลง เช่น ทางโค้ง และรับมือได้ทัน ท�าให้เกิดอุบัติเหตุ
ผู้ขับขี่หลายท่านอาจไม่เห็นความส�าคัญของการลดความเร็ว ถึงแม้ว่าจะต่างกัน

เพียงเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเร็วท่ต่างกันเพียงเล็กน้อย อาจให้ผล



ท่แตกต่างกันมากเม่อเกิดอุบัติเหต เช่น ถ้าท่านขับรถชนคนเดินถนนท่ความเร็ว


60 กม./ชม. คนผู้น้นมีโอกาสสูงท่จะเสียชีวิต แต่ถ้าความเร็วน้นเป็น 30 กม./ชม.


คนผู้นั้นอาจบาดเจ็บ แต่โอกาสเสียชีวิตลดลง เป็นต้น
182

6






การรับรู้ความเสี่ยง



















6.2.2 ความเร็วที่ปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ
จะเกิดอะไรข้นถ้ารถคันข้างหน้าเรา เบรกกะทันหัน ถ้าท่านเว้นระยะห่าง



น้อยเกินกว่าท่จะเบรกให้รถหยุดทัน อุบัติเหตุจะเกิดข้นอย่างแน่นอน แล้วเราควร
จะเว้นระยะห่างเท่าใดจึงจะปลอดภัย โดยทั่วไปแล้ว คนปกติจะใช้เวลาในการเบรก

ประมาณไม่เกิน 2 วินาท และคานวณเผ่อระยะความปลอดภัย 1 วินาท ซึ่งเราจะนามาใช้




ในการกะระยะ โดยสังเกตเมื่อรถคันด้านหน้าว่งผ่านต้นไม้ ให้เรานับในใจ

3 วินาที หรือนับ “หนึ่งพันหนึ่ง หนึ่งพันสอง หนึ่งพันสาม” ในใจ ถ้ารถของเราขับผ่าน

ต้นไม้ต้นเดียวกันก่อนนับเสร็จ แสดงว่าเราเว้นระยะส้นเกินไปให้ชะลอความเร็วลง


และทาแบบเดียวกันอีกคร้ง จนกว่ารถของเราจะผ่านเม่อเรานับถึง “หน่งพันสาม”



พอด ในกรณททศนวสัยไม่ด เช่น ฝนตก ถนนเปียก หรือ มีหมอก ท่านอาจนับมากกว่า







น้น เช่น 4 วินาท หรือ “หน่งพันส่” ก็ได้








นอกจากการเว้นระยะห่างการควบคุมความเร็วนั้นเป็นสิ่งส�าคัญมาก โดยเฉพาะ
เมื่อฝนตกใหม่ๆ และถนนลื่น การเบรกกะทันหันจะส่งผลให้รถลื่นไถลออกนอกถนน



หรือชนกับรถคันอ่น หรือพลิกควาได้ จึงต้องลดความเร็ว ห้ามเบรกกะทันหัน หรือ
หักหลบทันท ให้ขับด้วยความเร็วคงท เว้นระยะห่างให้เพียงพอ หากมีหมอกหนา



ท่านไม่ควรขับด้วยความเร็วเกินกว่า 50 กม./ชม.
183

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง

ในการขับขอย่างปลอดภยคอ การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า ทุกๆ อัตราเร็ว




10 กม./ ชม. จะเว้นระยะห่างไว้ 5 เมตร เช่น อัตราเร็ว 50 กม./ชม. จะเว้นระยะห่างไว้



25 เมตร แต่ในสภาพภูมิอากาศท่ไม่ด ควรเพ่มระยะห่างอย่างน้อยสองเท่า การรักษา
ระยะห่างเช่นนี้ จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ หากคุณไม่สามารถมองเห็นข้างหน้า









ของรถทอย่หน้าคณ ให้เพมระยะห่างให้มากขน เพราะรถคนหน้าอาจจะเปลยน



เลนโดยไม่ได้ลดความเร็วหรือหยุดรถ ทาให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ หากต้องหยุดรถ
ให้ชิดซ้ายและใช้ไฟฉุกเฉิน พยายามจอดรถชิดซ้าย หรือไหล่ทาง เพราะไม่เช่นน้น


อาจทาให้เกิดความเสียหายอย่างหนกได้ หากต้องจอดรถบนไหล่ทาง ให้เปิด

ไฟฉุกเฉิน ไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืน ใส่ป้ายบอกเหตุสามเหลี่ยมกับรถด้วย
เพื่อที่จะใช้ได้ตอนกลางคืน มันจะช่วยไม่ไห้รถถูกชนได้






















6.2.3 การขับในเวลากลางคืน

ในเวลากลางคืนมักจะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงข้นบ่อยๆ เน่องจากการจราจร



เบาบางกว่าเวลากลางวัน ผู้ขับข่จึงมักใช้ความเร็วเต็มท ทาให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง


ในเวลากลางคืนเสมอ ผู้ขับข่จึงควรขับด้วยความเร็วท่สามารถหยุดรถได้ในระยะ


ที่สายตามองเห็น

















184

ความเร็วที่ควรใช้คืออะไร ความเร็วที่ควรใช้คือ ความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สภาพถนน และไม่
















ทาใหผอืนเสยชีวตหากเกดอุบตเหต หรอความเรวจ�ากดตามปายจราจรดงรูป ซึงถกกาหนดโดยพิจารณาถงประเภท 6




ถนน สถานการณ์ สภาพแวดล้อม และความเร็วที่ปลอดภัย ที่แนะน�าส�าหรับผู้ใช้ทางประเภทต่างๆ
6.2.4 เลือกใช้ความเร็วให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ
การรับรู้ความเสี่ยง
ประเภทถนน สถานการณ์ ความเร็วที่ปลอดภัย
ถนนที่มีรถยนต์ รถจักรยานยนต์
รถจักรยาน และคนเดินเท้า
ทางแยกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด
อุบัติเหตุชนด้านข้าง






ถนนที่ไม่มีการป้องกันอันตราย
จากวัตถุข้างทาง เช่น เสาไฟ ต้นไม้







ถนนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ชนประสานงา






ถนนท่ไม่มีความเส่ยงต่อการเกิดอุบัติเหต ุ


ชนประสานงา หรือชนด้านข้าง




ดังนั้น นักขับหน้าใหม่ จึงควรขับด้วยความเร็วตามที่ก�าหนดบนป้ายจราจร หรือตามพิกัดความเร็วที่กฎหมาย

ก�าหนด ชะลอเมื่อก�าลังจะเข้าทางโค้ง หรือ ทัศนวิสัยไม่ดี เช่น ฝนตก ฯลฯ













185

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง


6.2.5 การเว้นระยะห่างจากด้านข้าง



ควรเว้นระยะห่างด้านข้างอย่างน้อยประมาณ 1 เมตร เนองจากอาจมรถ

คันอื่นเปิดประตูรถออกมาและเกิดอุบัติเหตุได้ ระยะห่างดังกล่าวเป็นระยะท่เหมาะสม




ในการหลีกเลี่ยงการเฉ่ยวชน รถจักรยานและรถจักรยานยนต์ท่ข่มาทางด้านข้างของ
ตัวรถอีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว รถด้านข้างจะบดบังสิ่งที่เป็นอันตรายต่างๆ เช่น คน
เดินเท้า รถจักรยานยนต์อีกฝั่งหนึ่งได้























6.2.6 การเว้นระยะในการแซง เปลี่ยนช่องทาง หรือทางแยก

ระยะห่างนี้หมายถึง ระยะห่างจากรถ และรถคันอื่นบนถนน เพื่อให้ผู้ขับสามารถ

ไปได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เกิดอุบัติเหต หากระยะห่างไม่มากพอ ท่านควรหยุด


รอจนรถคันน้นผ่านไป หรือมีระยะห่างเพียงพอแล้ว เพ่อความปลอดภัย หากไม่มี

ระยะห่างจากรถฝั่งตรงข้ามเพยงพอทจะทาการเลียว ท่านจึงควรหยดรอจนกว่า





รถจะผ่านไปหรือมีระยะห่างมากพอ




























186

6.2.7 การกะระยะในการเลี้ยว
6



การเลี้ยวขวาน้นจะใช้พ้นท่มากกว่า คือ 2 ช่องทาง จึงสามารถใช้ความเร็ว






ได้มากกว่าการเล้ยวซ้าย ในขณะท่การเล้ยวซ้ายน้นทาได้ง่าย และส้นกว่า
การเล้ยวขวา ควรเว้นระยะจากรถท่กาลังขับเข้ามาประมาณ 100 เมตร (นับ







หน่งพันหน่ง ถึง หน่งพันหกในใจ) การกะระยะจาเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ และการ
ฝึกฝน นอกจากนั้นแล้ว มีข้อควรระวังคือ ห้ามแซงขณะที่รถบรรทุกขนาดใหญ่ก�าลัง






เลยว เนองจากรถชนดน อาจตองใช้พนท 2 ชองทาง ในการเลียว รถของทานอาจหลบ การรับรู้ความเสี่ยง









ไม่พ้นและเกิดอุบัติเหตุได้
6.2.8 การเลี้ยวในสี่แยก



การเล้ยวบริเวณส่แยกน้นจะยากกว่าการเล้ยวท่วๆ ไป โดยเฉพาะบริเวณท่ไม่ม ี



สัญญาณไฟจราจร เนื่องจากท่านจ�าเป็นจะต้องมองดูรถจาก 3 ทิศทางที่เหลือจนมี
ระยะที่ปลอดภัยก่อน ซึ่งโดยทั่วไป จะอยู่ที่ 4-6 วินาที (70-100 เมตร) จึงขับผ่านไป
ถ้าหากไม่มั่นใจในระยะห่าง ให้รอจนกว่าระยะห่างจะมากพอ หรือรถคันอื่นผ่านไป

































187

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง


6.2.9 การแซง





ขั้นตอนปฏิบัติในการแซง การแซงน้นนอกจากจะต้องกะระยะอย่างแม่นยาแล้ว ยังต้องรู้ถึงกาลังเคร่องยนต์

รถของเรา และความยาวของรถท่เรากาลังจะแซง โดยเฉพาะบนถนนขนาด




2 ช่องทาง เน่องจากท่านต้องกะระยะอย่างแม่นยาเพ่อให้รถของท่านสามารถแซง

ได้สาเร็จโดยไม่ปะทะเข้ากับรถท่ว่งสวนมา โดยเฉพาะเมื่อต้องแซงรถขนาดใหญ่



เช่น รถประจ�าทาง และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งมีความยาวกว่ารถยนต์ท่วไป


2-9 เทา หากเกิดความผิดพลาด รถของทานจะปะทะกับรถซึ่งวิ่งสวนมาอยางรุนแรง

ดังนั้น การแซงจึงไม่ควรกระท�าถ้าไม่จ�าเป็น เช่น แซงรถที่จอดเสีย



ส่งท่ท่านควรทราบคือ ท่านไม่ควรแซงด้านซ้าย เน่องจากทัศนวิสัยด้านซ้าย
ของรถ จะแย่กว่าด้านขวา ท�าให้ไม่อาจมองเห็นสิ่งกีดขวางได้ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ

ได้ง่ายกว่าและการแซงซ้าย ยงมีความผดตาม พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522

หมวด 2 มาตรา 45 อีกด้วย
6.2.10 จุดบอด หรือ จุดอับสายตา


จุดบอดหรือจุดอับสายตา หมายถึง บรเวณทไม่สามารถมองเห็นด้วยกระจก

มองข้างได้ ทาให้ผู้ขับไม่ทันสังเกตเห็นรถท่เข้ามาทางด้านข้าง โดยเฉพาะ


ขณะเปลี่ยนช่องทาง ท�าให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น


















พื้นที่สีแดงคือจุดบอด และจุดอับสายตา ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ


จุดบอดน้นจะแตกต่างกันไปตามชนิดของรถดังรูป และมักเกิดอันตราย
โดยเฉพาะเวลาเปลี่ยนช่องทาง หรือถอยหลัง
















188

6.2.11 การลดจุดบอด หรือจุดอับสายตา
ทักษะการลดจุดบอดสามารถฝึกฝนได้ง่าย แต่มักถูกละเลย หรือขาดการรับรู้โดยนักขับมือใหม่ ในทางปฏิบัติ 6


เมื่อผ่านการฝึกอบรมท้งภาคทฤษฎีและฝึกภาคปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ทักษะด้านน้ฝึกฝนได้ง่ายและมี
ประโยชน์มากส�าหรับนักขับหน้าใหม่ ซึ่งสามารถทดลองฝึกฝนเองหรือผ่านผู้เชี่ยวชาญตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. มองไปในระยะไกล 200-300 เมตรข้างหน้า และไม่มุ่งไปยังจุดๆ เดียวนานๆ

2. ดูกระจกต่างๆ และเพื่อตรวจสอบจุดบอดเป็นระยะ (ประมาณทุก 8-10 วินาที)
3. หลีกเลี่ยงการแขวนเสื้อหรือสิ่งของต่างๆในบริเวณเบาะหลังด้านซ้ายของรถ การรับรู้ความเสี่ยง
4. หลีกเลี่ยงการขับรถตามหลังรถขนาดใหญ่เป็นเวลานานๆ
5. เว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้น

6. ในขณะขับแซงให้มองกระจกข้างไปตามจุดบอดของรถ โดยเหลือบมองผ่านหัวไหล่
7. ขณะถอยหลัง ควรดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนหรือสิ่งของกีดขวางทางด้านหลัง ผู้ขับรถขนาดใหญ่ควรระมัดระวัง
เป็นพิเศษ เพื่อป้องการเกิดอุบัติเหตุ









เหตุการณ์ผู้ปกครองถอยรถทับเด็กเสียชีวิตมักเกิดขึ้นเป็นระยะๆ อยู่เรื่อยๆ จากจุดบอดรอบคัน โดยเฉพาะวัตถุ หรือเด็ก ที่มีความสูงไม่พ้นตัวรถ





นอกจากน้นแล้ว ท่าน่งขับรถท่ถูกต้อง และการปรับกระจกมองข้างและมองหลัง จะช่วยลดจุดบอดได้อย่างมาก



โดยกระจกมองหลังต้องปรับให้เห็นกระจกด้านหลังได้ท้งบาน เพ่อให้เห็นรถท่ตามมาด้านหลัง (รูปช่องท 1)






และปรับกระจกมองข้างให้เห็นรถท่อยู่ด้านหลังท่กาลังจะแซง และเห็นรถท่อยู่ช่องทาง เย้องไปทางด้านหลัง

โดยปรับให้ขนานกับตัวรถ (รูปช่องที่ 2-3)
หากต้องการเปลี่ยนช่องทาง เมื่อรถด้านข้างเข้ามาอยู่บริเวณจุดอับสายตา กระจกด้านข้างจะแสดงรถที่ยังคง
อยู่ในจุดอับสายตา ถ้าไม่มีสามารถเปลี่ยนช่องทางได้


ข้อสังเกต มนุษย์เราสามารถพบส่งท่เคล่อนท ได้ง่ายกว่าส่งท่หยุดน่ง เช่น รถยนต์ท่จอดอยู่ข้างทาง ดังน้น








ควรระวังในจุดนี้













ตัวอย่างภาพสะท้อนการมองเห็นจากกระจกส่องหลัง และกระจกมองข้างด้านซ้าย เพื่อฝึกสังเกตในการลดจุดบอด และจุดอับสายตา
189

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง



6.3 กรณีศึกษา การประเมินความเส่ยงของคน รถ ถนน


ถึงแม้ว่าการระวังอันตรายน้นจะเป็นส่งสาคัญในการขับข่ในชีวิตประจ�าวัน


แต่ในบางสถานการณ์ จะมีความส�าคัญอย่างย่งในความปลอดภัยของท่าน และ

ผู้ใช้ถนนท่านอื่นๆ เช่น รถจักรยาน คนเดินเท้า รถพยาบาล เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ยังคง
สามารถใช้การเว้นระยะปลอดภัยให้เพียงพอ และการสังเกตส่งอันตราย

และท�าการหยุด ลดความเร็ว หรือเลี้ยวหลบได้
6.3.1 นักขี่จักรยาน


สามารถพบได้ท้งบริเวณถนน ทางเท้า และช่องทางส�าหรับจักรยาน ซึ่งกลุ่มน ้ ี
จะเคลื่อนผ่านไปมาระหว่างทางเท้า และถนน ซึ่งท�าให้ยากแก่การสังเกต ถึงแม้ว่า


ส่วนใหญ่จะพบนักข่จักรยานบนถนน นอกจากน้แล้ว กลุ่มน้จะเคล่อนท่เร็วกว่า





คนเดินเท้า แต่จะช้ากว่ารถยนต์ โดยเฉพาะการเล้ยว บริเวณสี่แยก อย่างไรก็ตาม นัก













ขกล่มนบางครงอาจไม่ไดขบข่ตามกฎจราจร เช่น ขยอนศร หรอ ไม่สนใจไฟสัญญาณ

จราจร
จึงต้องคานึงถึงความเป็นไปได้ จากบนถนน ทางเท้า และควรเว้นระยะห่าง









ใหเพยงพอ ใช้การบบแตรและ มองสบตา เพอใหแนใจวานกขจักรยานสังเกตเหนรถ




ของท่าน ในบางกรณีอาจต้องหยุดรถจนกว่าจะปลอดภัย
6.3.2 จักรยานยนต์
เช่นเดียวกับกลุ่มอ่นๆ รถจักรยานยนต์น้นมีขนาดเล็กกว่ารถยนต์จึงมองเห็น



ได้ยาก มักขับซอกแซกอย่างรวดเร็ว เปล่ยนช่องทางไปมา โดยเฉพาะในช่วง
การจราจรติดขัด ซึ่งทาให้ยากแก่การสังเกตและคาดเดา และหลายครั้งมักถูกบดบัง

โดยรถขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก รถประจ�าทาง หรืออยู่ในจุดบอดของรถของท่าน






ซึงทาใหมักปรากฏกะทันหนและกระชั้นชิดจนเกิดอุบัติเหต ซึงผ้ขบรถยนต์จะแจ้งว่า


ตนไม่สังเกตเห็นรถจักรยานยนต์ อุบัติเหตุที่พบบ่อยขณะที่รถจักรยานยนต์หักเลี้ยว



ดงน้นผู้ขบรถยนต์ควรระมัดระวง ตรวจสอบจุดบอดของท่าน โดยเฉพาะขณะเลียว


แซง หรือขับผ่านสี่แยก
190

6.3.3 คนเดินเท้า
6

เป็นส่งท่ผู้ขับข่ทุกท่านเกรงกลัวมาก เน่องจากเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อการ





บาดเจ็บรุนแรง และอาจเสียชีวิต ดังน้น ผู้ขับข่ควรเพ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

เมื่อพบคนเดินเท้าข้ามถนน

ปกติบริเวณ ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ป้ายรถประจ�าทาง และทางแยก ผู้ขับจาเป็น

ต้องสังเกตท้งบนถนนทางเท้า และระหว่างรถท่จอดอย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ถึงมองเห็น
ู่

ได้ยากเพราะถูกรถคันอ่น บังเอาไว้ นอกจากน้นแล้วอาจปรากฏข้นอย่างกะทันหัน การรับรู้ความเสี่ยง



ในบริเวณที่คาดไม่ถึง เช่น ระหว่างรถที่จอดอยู่



กลุ่มท่ควรระวังได้แก่ เด็กและผู้สูงอาย เน่องจากเด็กน้นอาจจะพุ่งออกมา

อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้สูงอายุอาจไม่ทันสังเกต มองเห็น หรือรู้สึกรถยนต์ที่เข้าใกล้
และใช้เวลาในการเดินข้ามถนนช้ากว่าปกติ
ดังนั้นจึงควรลดความเร็วลงเมื่อเข้าสู่บริเวณที่จะมีคนเดินเท้า เช่น โรงเรียน และ
ห้างสรรพสินค้า และย่านชุนชม เว้นระยะห่างจากคนเดินเท้า และพยายามสบตา

เพ่อให้แน่ใจว่าเห็นรถแล้ว โดยอาจใช้แตรเม่อจ�าเป็น จนกว่าจะผ่านบริเวณน้นไปได้


นอกจากน้นแล้วควรหยุดรถให้คนเดินข้ามเสมอ การหยุดรถจะเป็นการป้องกัน

การวิ่งข้ามตัดหน้ารถ เมื่อเข้าสู่ทางแยกควรชะลอรถ หากรถของท่านอยู่ในช่องทาง

ซ้ายมือสุด หรือขวาสุด ควรมองว่ามีคนกาลังจะข้ามถนนหรือไม่ หากพบก็หยุดรอ
ให้ข้ามไป
ผู้ขับรถมักกังวลว่าจะถูกรถท่ขับตามมาด้านหลังชน ดังน้น ควรให้สัญญาณต่างๆ






บอกรถท่ขับตามมาด้านหลังก่อนจะชะลอ ให้ขบไปเรอยๆ อย่าเร่งความเรวบ่อย

เนื่องจากจะท�าให้ต้องใช้เบรกมากขึ้นตามไปด้วย จะท�าให้รถคันด้านหลังสับสนได้













เมื่อท่านเห็นรถด้านหน้าหยุดขณะถนนโล่ง ห้ามแซงโดยเด็ดขาด เนื่องจากการที่
รถคันด้านหน้าหยุดขณะถนนโล่งนั้นเป็นเรื่องไม่ปกติให้ท่านชะลอ หรือหยุด จนกว่า


จะทราบว่าคันด้านหน้าหยุดด้วยสาเหตุอะไร มิฉะน้นแล้วหากท่านแซงข้นไป อาจจะ

ชนเข้ากับคนที่ก�าลังข้ามถนน หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ ก็เป็นได้
หากท่านไม่หยุดรถให้คนท่ข้ามทางม้าลาย จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

หากชนคนข้ามตรงทางม้าลายจนบาดเจ็บ จะต้องระวางโทษจ�าคกไม่เกน 3 ปี


และ 10 ปี หากเสียชีวิต


191

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง


6.3.4 การปรับปรุงพื้นผิวถนน



พ้นท่การปรับปรุงผิวถนนน้นจะเต็มไปด้วย


เครื่องจักร คนงาน วัสดุต่างๆ บริเวณดังกล่าวจะมีพ้น

ผิวถนนท่ไม่ด และมักพบเห็นป้ายเตือนก่อนถึงบริเวณ


ปรับปรุงพ้นท่ผิวถนนเสมอ ซึ่งจ�าเป็นต้องลดความเร็วลง

เพ่อสามารถเห็นและหลบเล่ยงส่งอันตรายเหล่าน้ได้






อย่างไรกตามผู้ขับจ�านวนมากละเลยท่จะชะลอ
ความเร็วลงท�าให้เกิดอุบัติเหตุตามมา


6.3.5 การเกิดอุบัติเหตุซาบนถนน
เม่อเราพบการชะลอตัวลงของการจราจร มักเกิดจากอุบัติเหต ซึ่งทาให้กีดขวาง



การจราจรทั้งหมดในบริเวณนั้น ผู้ขับขี่ ขับมาด้วยความเร็วสูง จนไม่สามารถชะลอ
ได้ทันจนเกิดอุบัติเหตุซ�้าได้ และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นซ�้านั้น มักเกิดความรุนแรง
6.3.6 รถในเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ในเหตุการณ์ฉุกเฉินบริเวณที่เกิดเหตุ จะมีรถหน่วยกู้ชีพ รถพยาบาล รถดับเพลิง



รถท่มีอุปกรณ์ตัดถ่าง รถท่ให้แสงสว่าง รถของตารวจ และรถของพลเมืองด ี
รถเหล่านี้มักจะมีแสงและเสียงไซเรนดัง สังเกตได้ง่าย ประชาชนผู้ใช้ทางมักเห็นว่า




รถทตดไฟวบวาบ มักขบมาด้วยความเรวสูง ดงนนหากท่านได้ยนเสยงไซเรนดงขน










ให้ท่านเปิดหน้าต่าง และปิดวิทยุเพื่อง่ายแก่การสังเกต และให้ทางรถฉุกเฉินต่อไป
6.3.7 สัตว์บนถนน
หลายครั้งท่านอาจพบเห็นสัตว์เดินอยู่บนถนน หรือซากสัตว์บนถนน ซึ่งเมื่อสัตว์


พบเห็นรถยนต์ บางชนิดอาจจะต่นตกใจ บางชนิดอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ทาให้



ยากแก่การคาดเดาพฤติกรรม ดังน้น ส่งท่ดีท่สุดคือการลดความเร็วลง เม่อขับเข้า


ใกล้บริเวณที่คาดว่าจะพบสัตว์หรือซากสัตว์ ซึ่งจะท�าให้มองเห็นชัดเจนมากขึ้นและ



ขับหลบหลีกได้ อย่างไรก็ตาม บางคร้งสัตว์ก็ว่งตัดหน้ารถกะทันหันข้นมาในเขตเมือง
เช่น สุนัข หรือแมว ปรากฏขึ้นมากะทันหัน ซึ่งแม้แต่ผู้ขับที่มีประสบการณ์ก็ยากที่จะ
หลบหลีกได้ ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ให้ท่านพิจารณาถึงความปลอดภัยของท่าน
เป็นส�าคัญ โดยให้หยุด หรือหักเลี้ยวรถ หากสามารถท�าได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะขัด


กับปฏิกิริยาส่วนใหญ่คือ หักหลบโดยทันท แต่หากการหักหลบน้นอาจทาให้ท่านเสี่ยง

ต่อการเฉี่ยวชนกับรถยนต์คันอื่นหรือต้นไม้ ท่านไม่ควรหักเลี้ยวหลบ กรณีหลีกเลี่ยง
ไม่ได้ท่านจ�าเป็นต้องชนสัตว์เหล่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง




192

6.3.8 สิ่งที่ไม่คาดฝัน
6


โดยปกติการขับข่น้นจะมีความสัมพันธ์ตามประสบการณ์ในอดีตของผู้ขับข เช่น ท่านคาดว่ารถยนต์คันอ่น







จะหยุดเมื่อเห็นสัญญาณไฟสีแดง หรือคนเดินเท้ากาลังข้ามถนนเฉพาะบริเวณท่กาหนดเท่าน้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว
จะเป็นไปตามที่ท่านคาดเดา อย่างไรก็ตาม หลายครั้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้




ผู้ขับข่มีประสบการณ์มาก จะสามารถคาดเดาสิ่งท่อาจเกิดข้นได้แม่นยา เช่น เมื่อท่านคาดว่าคนเดินเท้า

จะสังเกตเห็นรถของท่าน และไม่ข้ามถนน แต่กลับไม่เป็นไปดังคาด ดังน้นผู้ขับท่ดีจะต้องตระหนักถึงสถานการณ์น ้ ี

และหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ การรับรู้ความเสี่ยง




การขับข่รถบนถนน มีอันตรายเกิดข้นได้ตลอดเวลา องค์ประกอบหลายอย่าง ท้งเกิดข้นจากผู้ขับข ผู้ใช้ถนนอื่น



ตัวถนน หรือรถ ข้อบกพร่องจากสิ่งเหล่าน อาจจะเกิดข้นพร้อมกัน หรือเกิดเพียงอย่างใดอย่างหน่ง ดังน้น






ผู้ขับข ควรถูกฝึกให้มีประสบการณ์ในการแก้ไขสถานการณ์ เช่น การเว้นระยะ การควบคุมความเร็ว การแซง
การตรวจสอบ และตอบสนองสิ่งอันตรายต่างๆ จนเป็นนิสัย ก็จะสามารถป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
6.4 การรับมือเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจากผู้ใช้ทางอื่น
การสังเกตการณ์ การคาดการณ์ล่วงหน้า และการแก้ไขสถานการณ์ก่อนท่จะเกิดอุบัติเหต เป็นหัวใจสาคัญ



ของการขับรถเชิงป้องกัน การจัดลาดับความเส่ยงต่ออันตรายท่ได้มาจากการสังเกตการณ์ มีความส�าคัญ



ต่อการคาดการณ์ และน�าไปสู่การเลือกวิธีการตอบสนองที่เหมาะสมในการแก้ไขสถานการณ์ ดังนี้
6.4.1 กรณีการแซงไม่พ้น






การแซง เป็นสาเหตของอุบติเหตทางถนน ทมักจะเกดการชนแบบ
“ประสานงา” การแซงรถมี 2 ลักษณะ คือ การแซงรถที่จอดหรือแซงผ่าน





ส่งกีดขวางท่อยู่กับท หรือการแซงรถท่ว่งอยู่ข้างหน้าซึ่งไปในทิศทาง


ให้คาดการณ์ว่าอาจมีรถว่งออกมา เราอาจจะต้องใช้แตร หรือชะลอ
ความเร็วลง
การสังเกตการณ์
มีรถจอด หรือมีสิ่งกีดขวางในอีกฝั่งของถนนหรือไม่
การคาดการณ์

รถท่ขับผ่านอาจจะแซงรถจอด หรือมีส่งกีดขวางในอีกฝั่งของถนน

สวนขึ้นมาได้
การแก้ไข
ระวังตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้ ปฏิบัติดังนี้



ไม่ต้องยึดถือในเร่องสิทธไปก่อนไปหลง แม้ว่าสงกดขวางน้นจะอยู่




ในด้านของรถที่สวนมา ก็ไม่ผลีผลามใช้สิทธิแห่งความถูกต้องขอไปก่อน
1. ควรชะลอรถ เพื่อให้รถฝั่งตรงข้ามแซงให้พ้น
2. ถ้าอยู่ในระยะกระชั้นชิดมาก มองกระจกหลัง
3. ให้สัญญาณไฟ





4. หกหลบรถไปบริเวณข้างทางด้านซ้าย เพอให้การแซงของรถทวง


สวนมาผ่านไปได้
193

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง


6.4.2 กรณีการแซงซ้อน
เกิดเมื่อผู้ขับขี่ก�าลังจะแซง อยู่ๆ ก็มีรถอีกคันซิ่งแซงขึ้นมาเสียก่อน



การสังเกตการณ์


สังเกตอาการรถคันข้างหน้า (คันท่ผู้ขับข่จะแซงว่าเป็นอย่างไร ทาท่า

จะแซง หรือจะขับต่อไปด้วยความเร็วเดิม หรือคันอื่นก�าลังจะแซงซ้อน

การคาดการณ์
อาจจะแซงขึ้นมากะทันหัน (แซงซ้อน)



การแก้ไข
ระวัง ตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้ ท่านมี 2 ทางเลือก ดังนี้


1. เร่งความเร็วเข้าหารถท่จะแซงในระยะพอเหมาะ ไม่ขับชิดเกินไป
อย่าเข้าไปอยู่ในจุดบอดของรถท่จะแซงนานๆ เปิดไฟเล้ยวขวา


อาจให้สัญญาณไฟกะพริบหลายๆ คร้ง หรือกดแตรให้ดังพอท่รถคัน


ที่เราแซงได้ยิน


2. กรณีท่คิดว่าจะแซงไม่พ้น ต้องเปิดไฟเล้ยวซ้าย สังเกตว่าไม่มีรถคัน
อื่นขับตามหลังมาในช่องทางซ้าย ตัดสินใจขับเข้ามาอยู่ในช่องทาง
ซ้าย หลังรถคันหน้า


6.4.3 กรณีรถจักรยานยนต์แซงขณะที่รถกำาลังสวน (แซงผ่าหมาก)
เกิดเมื่อผู้ขับขี่ก�าลังจะแซง อยู่ๆ ก็มีรถอีกคันซิ่งแซงขึ้นมาเสียก่อน


การสังเกตการณ์


สังเกตอาการรถคันข้างหน้า (คันท่ผู้ขับข่จะแซงว่าเป็นอย่างไร ทาท่า

จะแซงหรือไม่

การคาดการณ์
มองเห็นรถจักรยานยนต์ อาจจะแซงขึ้นมากะทันหัน



การแก้ไข
ระวัง ตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้ ท่านไม่มีทางเลือกอื่น
1. ต้องลดความเร็ว
2. เปิดไฟเลี้ยวซ้าย
3. สังเกตว่าไม่มีรถคันอื่นขับตามหลังมาในช่องทางซ้าย

4. ตัดสินใจขับเข้ามาอยู่ในช่องทางซ้าย หลังรถคันหน้า










194

6.4.4 กรณีเมาขับขี่รถส่ายไปมา
6
การสังเกตการณ์
สังเกตอาการรถคันข้างหน้า ลักษณะการขับขี่รถ วิถีการวิ่งของรถ



การรับรู้ความเสี่ยง
การคาดการณ์
ผู้ขับขี่เมาแล้วขับรถ



การแก้ไข
ระวัง ตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้ ท่านมี 2 ทางเลือก

1. ไม่แซงถ้าไม่แน่ใจว่าปลอดภัย
2. ถ้าจ�าเป็นต้องแซง
• กดแตรเตือนจนเห็นว่ามีอาการตอบสนองจากคนขับ
• ทิ้งช่วงด้านข้างให้ห่างเข้าไว้ ขณะแซง

• ลดความเร็ว
• เตรียมพร้อมที่จะหยุดรถได้ทันที เมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉิน







6.4.5 กรณีเปิดประตูรถออกมากะทันหัน

การสังเกตการณ์
สังเกตอาการรถคันข้างหน้าที่ก�าลังจอด มีคนในรถหรือไม่




การคาดการณ์
อาจเปิดประตูรถออกมาโดยไม่ระวัง



การแก้ไข
ระวัง ตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้
• ใช้ความเร็วที่เหมาะสม
• ทิ้งช่วงให้ห่างจากรถที่จอดเรียงแถวอยู่ไม่น้อยกว่า 1 เมตร

• ใช้แตรเตือนหากสงสัยหรือไม่แน่ใจ

ระลึกไว้เสมอว่า เมื่อขับรถไปในย่านชุมชน เหตุการณ์แบบน้เกิดข้น

ได้ตลอดเวลา การระวัง เตรียมพร้อม และตื่นตัว เป็นสิ่งจ�าเป็น










195

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง


6.4.6 กรณีขับรถออกจากที่จอดกะทันหัน

การสังเกตการณ์
สังเกตอาการรถคันข้างหน้าที่ก�าลังจอด มีคนในรถหรือไม่





การคาดการณ์
อาจหันหัวรถออกมาโดยไม่ให้สัญญาณ และไม่ดูข้างหลัง



การแก้ไข
ระวัง ตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้

• ใช้ความเร็วที่เหมาะสม
• ทิ้งช่วงให้ห่างจากรถที่จอดเรียงแถวอยู่ ไม่น้อยกว่า 1 เมตร
• ใช้แตรเตือนหากสงสัยหรือไม่แน่ใจ
การขับรถเข้าไปในในย่านชุมชน หรือการขับรถเข้าใกล้ห้างสรรพสินค้า

สวนสาธารณะ ตลาดสด มักเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้ตลอดเวลา
ระลึกไว้เสมอว่า ท่านต้องใช้ความเร็วต�่าเท่านั้นในย่านชุมชน












6.4.7 กรณีรถถอยหลังออกจากบ้านสู่ถนนหรือออกจากซอยสู่ถนน


การสังเกตการณ์
สังเกตปากซอย ทางเข้าบ้านมีรถหรือไม่



การคาดการณ์
อาจมีรถขับออกมาโดยไม่ให้สัญญาณ และไม่ชะลอความเร็ว และไม่

ดูซ้ายดูขวา



การแก้ไข
ระวัง ตื่นตัว เตรียมพร้อมไว้
ไม่ต้องยึดถือในเรื่องสิทธิไปก่อนไปหลัง ไม่ผลีผลามใช้สิทธิแห่งความ

ถูกต้องขอไปก่อน
ข้อปฏิบัติ
• ชะลอรถ

• ใช้แตรเตือน
• หากสงสัยหรือไม่แน่ใจ ให้จอดรอจนกว่าจะมั่นใจ



196

6.4.8 กรณีขับขี่รถตัดหน้า
คนและสัตว์ข้ามถนนในระยะกระชั้นชิด หรือรถประจ�าทางจอดข้างทาง 6


การสังเกตการณ์
• สังเกตอาการรถคันข้างหน้า
• สังเกตคนที่ยืนข้างทาง



การคาดการณ์ การรับรู้ความเสี่ยง
• อาจมีรถตัดหน้า
• คนอาจจะลงจากรถ และเดินตัดหน้ารถ



การแก้ไข
ข้อปฏิบัติ
• ลดความเร็ว
• เตือนด้วยแตรในระยะที่เหมาะสม
• หากยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต้องเตือนซ�้า
• ถ้ายังไม่มีปฏิกิริยา ต้องลดความเร็ว และเตรียมหยุดรถ








6.4.9 กรณีขับรถกลางคืนรถคันหน้าไม่มีไฟท้าย






















ทัศนวิสัยจะลดลงไปอย่างมากในเวลากลางคืน

การสังเกตการณ์ การแก้ไข
ตื่นตัวตลอดเวลา สังเกต ข้อปฏิบัติ
• ใช้ความระมัดระวัง

การคาดการณ์ • ไม่ขับรถเร็ว
อาจมีรถขับอยู่บนทางหรือข้างทางที่ไม่มีไฟท้าย • ควรใช้ความเร็วพอที่จะหยุดรถได้ ในระยะที่แสงไฟ
ส่องไปถึง และมองเห็นได้ชัด



197

บทที่ 6 การรับรู้ความเสี่ยง


6.4.10 กรณีขับรถย้อนศร

การสังเกตการณ์
ตื่นตัวตลอดเวลา สังเกตรถคันที่ย้อนศรก�าลังจอด หรือก�าลังวิ่ง


การคาดการณ์
มีรถวิ่งสวนมา


การแก้ไข
วิธีปฏิบัติ

• ใช้ความระมัดระวัง
• ชะลอรถ
• มองกระจกหลังว่ามีรถตามหลังมาหรือไม่
• เปลี่ยนช่องทาง
สถานการณ์น เจอได้บนถนนทุกสาย ผู้ขับข่จึงไม่ควรขับเร็ว ควรใช้



ความเร็วพอที่จะหยุดรถได้





6.4.11 กรณีรถคันหน้าจอดกะทันหัน


การสังเกตการณ์
สังเกตอาการรถคันข้างหน้า ประเภทของรถ บริเวณข้างทาง ความเร็วของรถ


การคาดการณ์
รถอาจจอดกะทันหัน



การแก้ไข
วิธีปฏิบัติ
เม่อขับข่บนถนนควรเว้นระยะห่างให้เหมาะสม ไม่จ้ชิดเกินไป ควรใช้



ความเร็วพอที่จะหยุดรถได้
วิธีแก้ไข ในกรณีที่คิดว่าน่าจะชนท้ายเพราะเบรกไม่ทัน
• ลดความเร็ว
• ตรวจสอบรถด้านหน้า ด้านขวา และด้านหลัง


• เมือแน่ใจว่าไม่มีรถในช่องทางดังกล่าว จึงตัดสินใจเบ่ยงออกขวา
และหยุดรถ




กรณีน เป็นข้อปฏิบัติท่ทาได้ยาก และมีความเส่ยงสูง ท่านต้อง

ระมัดระวัง และแน่ใจทุกคร้งว่าไม่มีรถอยู่ในด้านหน้า ด้านขวา และ

ด้านหลัง ที่จะชนกับท่านได้ สิ่งที่ง่ายที่สุด คือ ขับด้วยความเร็วที่สามารถ
หยุดรถได้ทัน
198

7





บทที่






















ข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน









































ทุกวันท่ขับข่บนถนน อาจจะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดข้นได้เสมอ การเตรียมความพร้อมจะทาให้ท่าน



ผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างไม่ยากลาบาก นอกจากน้น ไม่เพียงเฉพาะการเตรียมการ และปฏิบัติตัวเมื่อ
เกิดเหตุฉุกเฉินกับรถของท่านเท่าน้น ท่านอาจพบผู้ใช้ทางอ่นเกิดเหตุฉุกเฉิน และต้องการความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน





199

7
บทที่ ข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


7.1 เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ (รถตกนา)

























ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น�้า ล�าคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่จม

ทันทีเหมือนหินตกน�้า แต่จะค่อยๆ จมลงจนกว่าจะถึงพื้น ในนาทีวิกฤตนี้ ควรตั้งสติ
และปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. คนในรถทุกคนควรปลดเข็มขัดนิรภัยออก

2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่จ�ากัด
3. ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน�้าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน



5. หมุนกระจกให้นาไหลเข้าในรถเพ่อปรับความดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน
เพราะท่านจะเปิดประตรถไม่ออก เน่องจากแรงดันนาจากภายนอกตัวรถ




จะดันประตูไว้
6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้ว ให้ผลักบานประตูรถออกให้กว้างสุด





7. ท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยข้นเหนือนาตามธรรมชาต หรือจะว่ายนาข้นมา


ก็ได้
8. ในกรณีน�้าลึกมาก อาจจะมองไม่เห็นว่าทิศใดเหนือน�้า ทิศใดใต้น�้า เพราะว่า






มืดไปหมด ไม่ควรใช้วิธีว่ายนา เพราะอาจจะว่ายไปในทิศทางท่ไม่ข้นเหนือนา
9. ควรปล่อยตัวให้ลอยข้นตามธรรมชาต หรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอย


ไปในทิศทางใด ให้ว่ายน�้าไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มีอาการ
หลงน�้า


10. ก่อนออกจากรถ หากท่านมีผู้โดยสารท่เป็นเด็ก อาจจะพาผู้โดยสารท่เป็น
เด็กออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน
หากท่านปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ชีวิตของท่านจะปลอดภัยได้ในยามวิกฤต
200


Click to View FlipBook Version